มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 39 3. ด้านลีลาการเขียนและการถ่ายทอด โดยพิจารณาว่าลักษณะของการใช้ภาษาไม่ ว่าจะเป็นในเร่ืองของระดับของภาษา บริบทแวดล้อม อารมณ์ความรู้สึก เม่ือนามาเทียบเคียงกันสอง ภาษาแลว้ ตอ้ งมีความใกล้เคียงหรอื ถกู ตอ้ งตรงกนั การตรวจสอบดังกล่าวอาจจะกระทาขึ้นโดยการให้ผู้เช่ียวชาญหรือเพ่ือนร่วมงานอ่านและ ตรวจสอบให้ ผู้ประเมินควรมี 2 คนข้นึ ไป คนหน่ึงต้องไมเ่ คยอา่ นต้นฉบบั มาก่อนเพ่ือตรวจความเข้าใจ ของภาษาปลายทาง อีกคนหน่ึงให้อ่านตรวจท้ังต้นฉบับและฉบับแปลเพ่ือตรวจความถูกต้องของ ความหมาย ในงานแปลที่ละเอียดมากอาจจะใช้เทคนิคการตรวจสอบที่เรียกว่าการแปลแบบย้อนกลับท่ี เรียกว่า back-translation คือวิธีการที่ให้ผปู้ ระเมิน 1 หรือ 2 คนแปลกลับมาเป็นภาษาต้นฉบบั อีกคร้ัง โดยท่ีจะต้องไม่เคยเห็นต้นฉบับของงานแปลนี้มาก่อน เพื่อลดความลาเอียงของข้อมูล แล้วให้ผู้ ประเมินอีกคนอ่านตรวจทั้งต้นฉบับเดิมและต้นฉบับแปลที่แปลกลับเพื่อตรวจความถูกต้องของความหมาย และความเท่าเทียม กลวิธีการแปล กลวิธีการแปล คือ วิธีการหรือเทคนิคท่ีผู้แปลใช้หรือกระทาในระหว่างการแปล กล่าวคือ การ กระทาทุก อ ย่า ง ที่เ กิด ขึ้น กับ ส า ร ต้น ฉ บับ เ ดิม ตั้ง แ ต่เ ริ่ม ต้น เ พื่อ ใ ห้ไ ด้ม า ซึ่ง ส า ร ที่แ ป ล เ ป็น ภ า ษ า ปลายทาง ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะเกิดขึ้นกับสารต้นฉบบั ต้ังแต่ในระดับคาหรือโครงสรา้ งของประโยค ตาม กระบวนการแปลข้ันที่ 1 ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์สารต้นฉบับ และข้ันท่ี 2 ท่ีเกี่ยวข้องกับการแนว ทางการแปล ผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลหลายท่าน (Baker, 1992, p 27: Vinay & Darbelnet, 1995, pp. 31-41: จิโรงน์ เมฆยงค์, 2529:) ได้จาแนกกลวิธีการแปลได้หลายหลายวิธีซ่ึงสามารถ สรปุ ไดด้ ังต่อไปน้ี 1. การแทนที่ (substitution) เป็นการแปลท่ีไม่มีการเปล่ียนแปลงโครงสร้างของประโยคแต่ อย่างใด ผู้แปลจะใช้วิธีการนาคาของภาษาปลายทางไปแทนที่เท่านั้น การแปลชนิดนี้ใช้กับการแปลที่ ประโยคต้นฉบับและประโยคปลายทางมีคล้ายคลึงกันมาก ท้ังในเรื่องของความหมายของคาศัพท์และ โครงสร้างประโยค ตวั อย่าง ตน้ ฉบบั : I don’t want to eat. ฉบบั แปล: ฉันไม่อยากกิน จากตัวอย่างผู้แปลเลือกคาศัพท์ท่ีมีความหมายใกล้เคียงกันแทนที่กันในตาแหน่งเดิมของ ประโยค โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอ่ืน ๆ กลวิธีการแทนท่ีในประโยคตัวอย่างน้ีก็สามารถทาให้เกิด
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 40 ใจความสมบูรณ์แล้ว เนื่องจากคาและโครงสร้างท่ีปรากฏอยู่ในประโยคสามารถเทียบเคียงกันได้ท้ังสอง ภาษา 2. การเปลีย่ นแปลงโครงสร้างประโยค (transposition) เป็นการแปลท่ีต้องมีการเปลยี่ นหรือ สลับตาแหน่งของคาในประโยค หรือโยกย้ายโครงสร้างของประโยคเพ่ือให้ถูกต้องและเหมาะสมกับ ภาษาปลายทางมากขึ้น เนื่องจากภาษาต้นทางและภาษาปลายทางมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน กลวิธีน้ี เรียกวา่ เปน็ การเปลย่ี นแปลงโครงสรา้ งประโยด (syntactic change) ตวั อยา่ ง ตน้ ฉบบั : A white cat lies on the floor. ฉบบั แปล: แมวขาวตัวหน่งึ นอนอยู่บนพื้น จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่ามีการสลับที่ระหว่างคาว่า white cat กับคาว่า แมวขาว เน่ืองจากภาษาปลายทางที่เป็นภาษาไทยจะวางคาคุณศัพท์ไว้หลังคานาม แต่ภาษาอังกฤษจะวาง คาคุณศัพท์ไว้หน้านามแทน ผู้แปลจึงจาเป็นต้องปรับโครงสร้างทางไวยากรณ์ให้มันสอดรับกับภาษา ปลายทาง มิเชน่ นั่นแลว้ จะทาใหป้ ระโยคในภาษาปลายทางเขียนไมถ่ กู ต้อง และไมส่ ามารถสื่อความได้ 3. การเปลี่ยนแปลงในด้านการใช้คาศัพท์ (modulation) คือ วิธีการแปลที่เลือกใช้คาศัพท์ อ่ืนแทนคาศัพท์เดิมของต้นฉบับ เนื่องจากคาศัพท์ในต้นฉบับนั้น ๆ ไม่มีปรากฏตรงตัวในภาษา ปลายทาง จงึ จาเปน็ ต้องมกี ารเปลีย่ นคาเพ่อื ให้ผูอ้ า่ นเกดิ ความเขา้ ใจ ตัวอย่าง ต้นฉบับ: ฉันรูส้ กึ เกรงใจคุณ ฉบับแปล: I feel bad to have bother you. จากประโยคตัวอย่างจะเห็นได้ว่าผู้แปลไม่สามารถแปลตรงตัวคาว่า “เกรงใจ” ได้ ในที่น้ี หมายถึงทาให้ “feel bad to have bother” คือ รู้สึกแย่ท่ีรบกวน ซึ่งตรงกันกับความหมายของ เกรงใจ ท่ีจะเข้ากับภาษาไทยมากท่ีสุด ผู้แปลจึงต้องเปล่ียนแปลงคาศัพท์เป็นคาอื่นแทนที่เหมาะสม กับความหมายในภาษาไทย 4. การใช้คาท่ีมีความหมายกวา้ งกว่า (Using a broader word) เปน็ การแปลโดยเลอื กใช้ใช้ คาหรือสานวนในภาษาปลางทางที่มีความหมายกว้างกว่าหรือครอบคลุมกว่าคาในภาษาต้นฉบับ ใน บางครั้งภาษาปลายทางอาจจะไม่มีคาที่ตรงความหมายของคาในต้นฉบับท่ีเดียวแต่อาจจะมีคาท่ีเป็น คาท่ีมีความหมายกว้างกว่า ซ่ึงผู้แปลจึงเลือกนามาใช้ในการแปลเพื่อให้เกิดความใกล้เคียงกับต้นฉบบั มากทีส่ ุด
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 41 ตัวอยา่ ง ต้นฉบบั : มนั แกวไทยมรี สชาตจิ ืด ฉบบั แปล: The Thai yam fruit is tasteless. จากประโยคตัวอย่างจะเหน็ ไดว้ า่ ผู้แปลจาเปน็ ใช้คากว้าง ๆ แทนคาวา่ มนั แกวเน่ืองจากไม่ มีคาศัพท์เฉพาะของคาว่ามันแกวตรง ๆ มีแต่คาศัพท์เทียบคือคาว่า yam ท่ีอาจจะมีหน้าตาใกล้เคียง กนั จึงใชเ้ ป็นคาว่า yam ซ่งึ เปน็ คากวา้ ง ๆ แทน ให้ผูอ้ า่ น 5. การใช้คาที่มีความหมายทั่ว ๆ ไป (Using a more general word) เป็นกลวิธีการแปลท่ีผู้ แปลใช้คาท่ีมีความหมายท่ัว ๆ ไป มาแทนคาบางคาในประโยค โดยอาจจะมีสาเหตุมาจากที่ผู้แปล ต้องการปรับระดับของภาษาและการแสดงออกทางความรู้สึกของคาให้มีค่าเป็นกลาง หรืออาจจะไม่ สามารถหาคาทม่ี าแทนท่ีกนั ไดพ้ อดจี งึ ใช้คาท่ีเป็นคา่ กลางท่ีดูแล้วใกล้เคียงแทนกันไป ตัวอย่าง ตน้ ฉบบั : It's been a long day without you. ฉบับแปล: เวลาช่างยาวนานเมอ่ื ฉันไมม่ ีเธอ จากประโยคตัวอย่างจะเห็นได้ว่าผู้แปลใช้คาที่มีความหมายท่ัว ๆ ไปแทนการแปลตรงตวั คาว่า “a long day” แปลในประโยคตัวอย่างว่า “เวลาท่ียาวนาน” เน่ืองจากผู้แปลต้องการให้ อารมณ์ของคามีระดับลดลง อันที่จริงแล้วไม่ได้แปลผิดความหมาย เพียงแต่อารมณ์ของผู้เขียนและ อารมณ์ที่ผู้แปลถ่ายทอดออกมาอาจจะไม่เท่าเทียมกับ ผู้แปลมีเจตนาทาให้การแสดงออกของคาลด ระดับลง เพราะในประโยคต้นฉบับจริง ๆ ต้องการส่ือว่า how the days seems longer without ซ่ึงหมายความว่า “วนั คนื ที่ชา่ งแสนยาวนาน” ซงึ่ เม่ือนามาแปลภาษาไทยอาจจะให้เห็นวา่ อารมณ์ของ คาอาจจะโบราณในยุคสมัยปัจจุบัน ผู้อ่านอาจจะรับไม่ได้ ผู้แปลจึงปรับระดับลงมาโดยใช้คาทั่ว ๆ ไป แทน ให้เขา้ กันกับบริบทผอู้ ่านท่เี ปน็ คนไทย 6. การใช้คาแทนที่จากวัฒนธรรมปลายทาง (Using cultural substitution) เม่อื วฒั นธรรม ของภาษาต้นฉบับแตกต่างกับวัฒนธรรมของภาษาฉบับแปล ผู้แปลจึงต้องใช้ความพยายามเพ่ือให้ ผู้อ่านเข้าใจสารโดยยึดคาในวัฒนธรรมของผู้อ่านภาษาปลายทางแทน การใช้คาแทนที่มีอยู่ใน วัฒนธรรมของภาษาปลายทางจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้ผู้แปลได้นามาใชง้ านเพ่ือการสื่อความหมาย ท่ีเข้าถึงผอู้ ่านไดง้ า่ ย ตวั อยา่ ง ต้นฉบบั : Make hay while the sun shines. ฉบบั แปล: น้าข้นึ ให้รบี ตัก
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 42 จากประโยคตัวอย่างจะเห็นได้ว่าสานวน “Make hay while the sun shines.” แปล เทียบเคียงได้กับสานวนไทยว่า “น้าข้ึนให้รีบตัก” การแปลโดยใช้สานวนไทยน้ีจะทาให้ผู้อ่านท่ีเป็นผู้รับ สารคนไทยเข้าใจและเข้าถึงความหมายมากยง่ิ ข้ึน หากถ้าแปลตรงตัวหรือตรงตามความหมายว่า “ถ้า มโี อกาสให้รบี ฉกฉวยไว้” อาจจะทาใหค้ วามสละสลวยของภาษาไทยลดลง ผ้แู ปลจงึ พยายามหาคาที่มี อยู่ในวัฒนธรรมไทยเข้ามาใช้ในการแปลแทนเพ่ือให้เกิดความสวยงามของภาษามากย่ิงข้ึน ผู้อ่านฟัง แลว้ รน่ื หูมากข้ึน 7. การใชค้ ายืมหรือคาทับศัพท์ (Using a loan word) ในบางครัง้ ภาษาปลายทางจะมีคาทับ ศัพท์ท่ียืมมาจากภาษาต้นฉบับ เพ่ือการส่ือความหมายท่ีชัดเจนและเหมาะสม กลวิธีการใช้คายืมจึง เห็นนามาใช้กันอยู่บ่อยคร้ังเนื่องจากง่ายและสะดวกต่อการแปล ในขณะเดียวกันความหมายที่ ถ่ายทอดออกมาก็ได้ใจความเดียวกันกับสารต้นฉบับด้วย ผู้แปลอาจจะมีการการอธิบายเพ่ิมเติมได้ถ้า เห็นวา่ จาเปน็ ตวั อยา่ ง ต้นฉบับ: My computer is broken. ฉบบั แปล: คอมพวิ เตอร์ของฉนั มันพงั จากประโยคตัวอย่างจะเห็นได้ว่าคาว่าคอมพิวเตอร์ท่ีเห็นในประโยคภาษาอังกฤษดัง ตัวอย่าง ในการแปลเป็นภาษาไทยสามารถใช้ทับศัพท์ในภาษาไทยได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากคาว่า คอมพิวเตอร์ในภาษาไทยเป็นคาที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษนั่นเอง เมื่อนามาใช้ในการแปลประโยค ภาษาไทยคาน้ีจึงใช้ทับศพั ท์แทนทไ่ี ดน้ ่ันเอง 8. การถอดความหมายโดยเน้นสารต้นฉบับ (Paraphrasing using a related word) เป็น กลวิธีการแปลที่ผู้แปลใช้การถอดความแล้วนาคามาเรียบเรียงใหม่ โดยให้ได้ใจความเดิมของผู้เขียน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าข้อความจะมีการเขียนเรียบเรียงในแบบใหม่ แต่ไปความยังเป็นใจความเดิม และ ยังคงยึดตดิ กับคาศพั ท์และความหมายที่อยใู่ นภาษาต้นฉบับ ตัวอย่าง ตน้ ฉบบั : It’s time for doing dishes. ฉบับแปล: ไดเ้ วลาตอ้ งไปลา้ งจานกันแลว้ จากประโยคตัวอย่างจะเหน็ ได้ว่าสานวนในประโยคภาษาอังกฤษ ถอดใจความได้วา่ ผู้เขียน ต้องการจะสอื่ วา่ เป็นเวลาทจี่ ะต้องล้างจานแล้ว ดังนั้นผ้แู ปลจงึ นามาเรียบเรยี งใหม่ ให้เปน็ ภาษาไทยท่ี เหมาะสมของตนเอง แต่ยังคงยึดใจความของสารต้นฉบับไว้เหมือนเดิม สังเกตว่าคาศัพท์และสานวน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 43 ยังคงไม่แตกต่างกันมากนักเนื่องจากผู้แปลพยายามแปลไปตามกรอบภายใต้คาศัพท์เดิมของสาร ต้นฉบบั 9. การถอดความหมายโดยไม่เน้นสารต้นฉบับ (Paraphrasing using unrelated words) เป็นวิธีการแปลที่ผู้แปลถอดความหมายของสารต้นฉบับและเลือกใช้คาหรือสานวนที่ไม่เก่ียวข้องกับ ภาษาต้นฉบับ การเรียบเรียงประโยคในการแปลและการเลือกคาจึงเป็นอิสระมากกว่าการแปลแบบ ถอดความโดยเน้นสารต้นฉบับ ดังน้ันวิธีการแปลนี้ผู้แปลจึงมีอิสระในการใช้คาและเลือกโครงสร้าง ประโยคดว้ ยตนเอง แคเ่ พียงอยู่ภายใตก้ รอบของใจความของสารต้นฉบับเท่าน้ัน ตัวอย่าง ต้นฉบับ: As people have returned to work and school, COVID contacts will have increased. ฉบับแปล: ถ้าสถานที่ท้างานและโรงเรียนกลับมาเปิดตามปกติ โควิดก็จะกลับมา แพร่ระบาดเพ่มิ ขึน้ อกี จากประโยคตัวอย่างจะเห็นได้ว่าในใจความของสารที่เป็นต้นฉบับผู้เขียนต้องการส่ือ ความหมายวา่ เมอื่ ทุกคนตอ้ งกลับมาทางานและมาเรยี น กจ็ ะทาใหม้ ีโอกาสในการสัมผสั การติดเชื้อโค วิดเพิ่มมากข้ึน เมื่อผู้แปลใช้วิธีการแปลแบบถอดความโดยไม่เน้นสารต้นฉบับ ผู้แปลจึงมีอิสระในการ เลือกใช้คาเพื่อสื่อความหมายในทางเดยี วกันกับต้นฉบบั แต่ใชภ้ าษาคนและแบบกันได้ ดังในตัวอย่างน้ี ซึ่งแทนที่ผู้แปลจะพูดถึงทุกคนที่จะต้องกลับมาเรียนหรือทางาน แต่เขาใช้ประโยคท่ีกล่าวว่าโรงเรียน กบั สถานทที่ างานกลบั มาเปดิ ตามปกตแิ ทน และใช้คาว่าแพร่ระบาดแทนการเพ่มิ การสัมผัสการติดเชื้อ ดังนั้นท่ีประโยคแปลออกมาจึงฟังแล้วมีความสละสลวย และเป็นธรรมชาติของภาษาปลายทางมาก ย่ิงขนึ้ 10. การละหรือตดั คา (Omission) กลวิธีการแปลน้ีคือกระบวนการที่ผูแ้ ปลเห็นวา่ บางสว่ น หรือบางคาของประโยคไมจ่ าเปน็ ต้องแปล และไม่ส่งผลต่อความหมายหรือจดุ มงุ่ หมายของสารตน้ ฉบบั การละคาหรือตดั คามักจะนามาใชใ้ นกรณที ี่เม่อื แปลแลว้ ทาใหภ้ าษาเยิน่ เย้อและซ้าซ้อนเกินไป ตัวอย่าง ต้นฉบับ: He was wrapped up from head to foot, and the brim of his soft felt hat hid every inch of his face but the shiny tip of his nose. ฉบับแปล: เขาอยู่ในชุดที่ปกคลุมมิดชิด ปีกหมวกนุ่มนั้นคลุมใบหน้าของเขา จนท่วั เวน้ แต่เพยี งปลายจมกู มนั เงาของเขาทเ่ี ปดิ ไว้เท่านั้น
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 44 จากประโยคตัวอย่างจะเห็นได้ว่ามีหลายคาในประโยคที่ไม่จาเป็นต้องแปล สามารถตัด ออกไปไดโ้ ดยไมท่ าให้ความหมายของต้นฉบับขาดหายไป ตวั อย่างส่วนของประโยคที่วา่ “เขาอย่ใู นชุด ที่ปกคลุมมิดชิด” ไม่จาเป็นต้องใส่เพ่ิมว่าจากหัวจรดเท้าเพราะอาจทาให้ภาษาเย่ินเย้อ และไม่จาเป็น เป็นต้น 11. การใช้ภาพส่ือแทนคา (Illustration) คาบางคาที่เป็นคาที่มีบริบทเฉพาะหรือใช้กัน เฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมท่ีภาษาปลายทางไม่มีและสามารถถ่ายทอดความหมายได้ดีกว่าด้วย ภาพ ผแู้ ปลอาจจะใช้กลวธิ ีการนาเสนอเป็นภาพประกอบเพอ่ื ใหผ้ อู้ ่านปลายทางเข้าใจมากขนึ้ ตัวอยา่ ง ต้นฉบบั : Wai is the traditional greeting of Thailand. ฉบับแปล: ไหว้เป็นวัฒนธรรมการทักทายของประเทศไทย ภาพที่ 3.1: การไหว้ ภาพประกอบการแปล ทีม่ า https://www.wallstreetenglish.in.th/ไลฟส์ ไตล/์ ชวนทาบุญ-ภาษาองั กฤษ/ จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าคาว่าไหว้ไม่มีคาศัพท์เฉพาะในภาษาอังกฤษ และการไหว้ เปน็ ทา่ ทางท่ีใช้ภาพสื่อจะทาให้ผู้อ่านเข้าใจมากกว่า ผแู้ ปลจงึ ได้มีการใชภ้ าพประกอบเพ่ือให้เห็นภาพ วา่ คาทีแ่ ปลน้ันหมายถงึ อะไร มลี กั ษณะอยา่ งไรเปน็ ตน้ 12. การเติม (Addition) เป็นกลวิธีการแปลท่ีใช้การเติมหรือเพิ่มคาหรือข้อความเข้าไปเพื่อให้ ข้อความทแี่ ปลนนั้ ฟังดรู ื่นหูและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ตวั อยา่ ง ต้นฉบบั : Believing in himself, he didn't listen to any others. ฉบบั แปล: เพราะเขาเช่ือมั่นในตวั เอง เขาจงึ ไมฟ่ งั ใครทงั้ น้ัน จากประโยคตัวอย่างจะเห็นประโยคต้นฉบับต้องการจะสื่อวา่ เขาเชื่อมนั่ ในตวั เอง เขาจึง ไม่ฟังใคร ดังน้ันเม่ือต้องแปลเป็นภาษาไทย ผู้แปลจึงต้องเพ่ิมคาสันธาน “เพราะ” เพ่ิมเข้าไปให้สอง ประโยคมีความเชอื่ มโยงสัมพันธ์กันในเชงิ เปน็ เหตุเปน็ ผล ผู้แปลยังเพ่ิมคาว่า “ทั้งน้ัน” ที่เป็นคากริยา วิเศษณเ์ ขา้ ไปเพ่อื ขยายคาว่าไม่ฟังใคร ทาให้กรยิ าของประโยคมนี า้ หนกั มากข้ึน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 45 13. การขยายความ (amplification) เป็นกลวิธีการแปลท่ีใช้การขยายความในสิ่งที่ผู้แปล ต้องการจะถ่ายทอดให้ผู้อ่านเข้าใจเพ่ิมมากข้ึน ในการแปลมีหลายครั้งที่ไม่สามารถจะหาคามาแทนท่ี โดยตรง หรอื บางคาท่ีมีความหมายลึกซึ้งกินความมากในสารตน้ ฉบับ ผูแ้ ปลมักจะพยายามเขียนขยาย ความเพมิ่ เติมในสว่ นท่ีเหน็ ว่าจาเปน็ เพื่อให้การถ่ายทอดความหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้เขียน ดังนั้นกลวิธีการขยายความจึงเกิดข้ึนเพื่อให้สารที่ถ่ายทอดออกมาน้ันมีความสมบูรณ์ในแง่ของ ความหมายมากที่สุดแม้ว่าจะต้องเพิ่มเติมหรืออธิบายความเข้าไป ในบทแปลเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ ตรงตามเจตนาของผูส้ ่งสารและผู้รบั สาร ตัวอย่าง ต้นฉบับ: ในวนั ลอยกระทงผคู้ นจะออกมาลอยกระทงกันในแมน่ ้าล้าคลอง ฉบับแปล: Loy Kratong is the day when people come out to float a ritual vessel (a small floating container made of banana tree trunk and banana leaves) on a water way. จากประโยคตัวอย่างจะเหน็ ได้ว่าเม่ือแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษแล้วประโยคท่ีแปลว่า จะถูกขยายความออกมาจนกระท่ังผู้เขียนมั่นใจว่าผู้อ่านที่ไม่มีภูมิหลังเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยสามารถ ทาความเขา้ ใจได้ว่าลอยกระทงนั้นคืออะไร และกระทงคอื อะไร แตถ่ ้าหากไม่ขยายความ ผอู้ ่านอาจจะ ไม่เข้าใจว่าผู้แปลต้องการจะสื่อถึงอะไร ผู้แปลจึงเห็นว่ามีความจาเป็นจะต้องขยายความในประโยค ลกั ษณะดังกล่าว 14. การปรับ (Adaptation) เป็นกลวิธีการแปลที่ผู้แปลปรับสารต้นฉบับในระดับคาหรือ ระดับโครงสร้างเพื่อให้ภาษาปลายทางมีความเป็นธรรมชาติมากท่ีสุด บางคร้ังอาจมีการแต่งข้อความ ใหมเ่ พือ่ ใหส้ ารท่ีผู้อ่านได้รับเป็นสงิ่ ที่ผู้อ่านพึงพอใจ ฟงั แลว้ รืน่ หู โดยจะมีเค้าโครงเดิมของตน้ ฉบับเดิม เทา่ น้นั ดงั นั้นกลวธิ นี ีจ้ ะเป็นวธิ ที ่ผี แู้ ปลใชเ้ พอ่ื ปรบั ภาษาตน้ ฉบับมากทส่ี ดุ เช่น บทละคร เป็นตน้ ตัวอย่าง ต้นฉบับ: He was praised for his courage. ฉบบั แปล: เขาได้รบั การสรรเสริญวา่ กลา้ หาญ จากประโยคตัวอย่างจะเหน็ ได้วา่ สานวนเป็นกรรมวาจกวา่ “ได้ถกู ” ปรบั ไปเป็น “ได้รับ” เพ่ือทาให้เป็นธรรมชาติมากข้ึน อย่างไรก็ตาม ประโยคตัวอย่างน้ีก็ยังถือว่าไม่ได้ปรับมากนัก ผู้แปล ปรับเพยี งโครงสร้างเท่าน้นั
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 46 ตวั อย่าง ตน้ ฉบับ: Make hay while the sun shines. ฉบบั แปล: น้าขนึ้ ใหร้ ีบตกั . จากประโยคตวั อยา่ งจะเหน็ ไดว้ า่ สานวน รูปแบบของสารในบทแปลตามหนา้ ท่ีทางภาษา ทฤษฎีการแปลนนั้ มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีทางภาษาศาสตร์ โดยทฤษฎีหนึ่งของภาษาศาสตร์ท่ี พบบ่อยและมีความสาคัญต่อการแปลเป็นอย่างมาก คือ ทฤษฎีหน้าท่ีของภาษา มีผู้ริเริ่มคือ Jakobson (1995) ทฤษฎีนี้มีความสาคัญเนื่องจากจะช่วยให้ผู้แปลทาการวิเคราะห์สารที่จะแปลได้ตามหน้าท่ี ของสาร เมื่อผู้แปลทราบวา่ สารน้นั มีหน้าท่ีเพ่ืออะไรแลว้ ผู้แปลก็จะสามารถเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายและ สามารถเลือกชนิดและกลวิธีการแปลได้อย่างเหมาะสม เน่ืองจากหน้าที่ของสารมีความสัมพันธ์ เชื่อมโยงกนั ชนิดของการแปล ตามทฤษฎีหน้าทขี่ องภาษาน้ัน หน้าทขี่ องภาษามีดว้ ยกนั 6 ด้าน ดังนี้ 1. สารที่แสดงออกทางความคิด ความรู้สึก และจิตนาการ (expressive function) หน้าที่ของภาษาด้านนี้ หมายถึง สารที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงออกทางความคิดและ ความรู้สึกภายในของผู้ส่งสารโดยตรง เน้นตัวผู้เขียนเป็นหลักในการแสดงออกทางความคิด โดยท่ีผู้ส่ง สารจะผลิตถ้อยคาที่สะท้อนความรู้สึกหรือความคิดของตนเพื่อให้ผู้รับสารได้สัมผัสถึงความรู้สึกและ อารมณ์ของตนที่ส่งออกไป ผู้รับสารจะได้รับอรรถรสของความรู้สึกและความสวยงามทางภาษาของผู้ ส่งสารเท่านั้น เน่ืองจากสารในรูปแบบนี้ผู้ส่งสารไม่ได้มีเจตนาให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังโต้ตอบใด ๆ รูปแบบ ของสารนี้มกั จะพบเห็นในเอกสารดงั ตอ่ ไปน้ี 1.1 วรรณกรรมต่าง ๆ ที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ในเชิงจิตนาการ (serious imaginative literature) งานวรรณกรรมมีทง้ั หมด 4 แบบย่อย ไดแ้ ก่ บทกวี (lyrical poetry) เร่อื งสั้น (Short stories) นวนิยาย (novels) บทละคร (play) ในส่ีแบบน้ี รูปแบบของบทกวีเป็นการแสดงออก ความรู้สึกได้ลึกซึ้งมากท่ีสุด ในขณะท่ีถ้าเป็นบทละครจะมีองค์ประกอบทางด้านวัฒนธรรมเข้ามา สอดแทรกมากกว่า 1.2 สารทแี่ สดงออกถงึ อานาจและการควบคุม (authoritative statement) สารในลักษณะน้ีมักจะถูกรังสรรค์ขึ้นจากผู้มีอานาจ ผู้นาชุมชน หรือหน่วยงานท่ีมี บทบาทในการบริหารกลุ่มคน สารเหล่าน้ีจะถูกกาหนดข้ึนเพ่ือแสดงออกทางความคิด ความรู้ หรือ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 47 กฎเกณฑท์ างสังคมตามบทบาทหน้าที่ของผูส้ ่งสาร เช่น คากล่าวสุนทรพจนท์ างการเมือง สารจากทาง ราชการท่เี ขียนขน้ึ เพือ่ แสดงออกทางความคิดเห็น เป็นตน้ 1.3 สารที่เป็นอัตชีวประวัติ ความเรียง จดหมายโต้ตอบ ที่สะท้องแสดงความคิด และความ เปน็ ตัวตนของผูเ้ ขยี น (autobiography, essays, personal correspondence) สารลักษณะนี้ถูกร้อยเรียงขึ้นจากจินตนา ความรู้สึก จึงเต็มไปด้วยสาบัดสานวน การ เปรียบเปรย คาท่ีลึกซึ้ง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผู้เขียน ที่นักแปลต้องเข้าให้ถึง ทั้งในแง่ของอารมณ์ ความรู้สกึ และแนวการใชภ้ าษาเฉพาะบุคคล จะทาให้สามารถถ่ายทอดเจตนารมณข์ องบทแปลเป็นไป อย่างสมบรู ณ์แบบ บางคร้ังใชเ้ พ่ือการแสดงออกถึงความรสู้ ึกในเชงิ บวก กล่าวโดยสรุปคือสารในรูปแบบท่ีแสดงออกทางความคิด ความรูส้ ึก และจติ นาการน้ี ผู้สง่ สารมี จุดมุ่งหมายเพ่ือสะท้อนความรู้สึกนึกคิดหรืออารมณ์ของตนเองต่อส่ิงใดส่ิงหน่ึงและถ่ายทอดส่งต่อไป ยังผู้รับสารนั้น ๆ ให้ได้รับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดดังกล่าวโดยประหนึ่งว่าผู้อ่านเป็นผู้ส่งสารเอง ผู้ส่งสาร จะส่งสารได้สาเร็จหากผู้อ่านสามารถเข้าถึงอารมณ์และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นร่วมกันกับผู้เขียน ลักษณะของภาษาจึงมีคาขยายเป็นส่วนใหญ่เนื่องต้องมีการพรรณนา เช่น very, so, really ใช้ คาคณุ ศพั ท์บอ่ ย และมีประโยคท่ีมกี ารเพ่มิ คาที่ขยายความรูส้ ึกท่ีมีลักษณะเปน็ คาหรูหรากวา่ ปกติ เช่น You look so lovely today. You are really amazing. That is absolutely unacceptable. He went absolutely troppo. She was ecstatic. เป็นต้น ชนิดของการแปลและกลวิธีที่ใช้ในการแปลของสารประเภทน้ีส่วนใหญ่มักจะไม่ยึดติดกับคา และโครงสร้างของภาษาต้นฉบับมากนัก แต่เน้นการใช้ภาษาท่ีถ่ายทอดอารมณ์หรือความคิดท่ีผู้อ่าน เขา้ ถงึ ได้มากกวา่ จึงเป็นไปไดว้ า่ ผู้แปลอาจจะใช้การแปลแบบดดั แปลง (adaptation translation) ท่ี เน้นถ่ายทอดความรู้สึกไปถึงผู้อ่านและเน้นภาษาที่แปลแล้วสามารถถ่ายทอดความหมายไปสู่ภาษา ปลายทางตามอารมณข์ องผเู้ ขียนต้นฉบบั 2. สารเพอ่ื การถา่ ยทอดข้อเทจ็ จริง (informative function) สารในกลุ่มน้ี เป็นสารที่มาจากปัจจัยภายนอก ผู้เขียนเรียบเรียงขึ้นจากข้อมูลภายนอกที่ ปรากฏในรูปแบบของความจริง ความรู้ในศาสตรต์ ่าง ๆ และเพอื่ ให้ขอ้ มูลทเ่ี ปน็ ข้อเท็จจริง เป็นเหตผุ ล ตามตรรกะหรือความเป็นจริง ลักษณะของข้อความจะสามารถตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด (truth value) ตามความจริง สารรูปแบบน้ีจะหมายรวมถึงเป็นการอธิบายถึงสิ่งท่ีอยู่รอบ ๆ ตัวอย่างของเอกสารใน กล่มุ นค้ี ือ หนงั สอื ตารา รายงานงานวจิ ัย บทความ ข่าวในหนังสอื พมิ พ์ วาระการประชมุ เป็นต้น
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 48 2.1 สารทเี่ ปน็ ทางการ เป็นสารทผ่ี ูอ้ ่านต้องการค้นหาเพ่ือให้ไดค้ าตอบทางวิชาการหรือได้ ความรู้ เช่น บทความทางวิชาการ หนังสือ และตารา เอกสารท่ีเป็นข้อมูลความรู้ให้กับสาธารณะ มี การใช้ภาษาและคาศัพท์ระดับสูง ถ้าเป็นภาษาอังกฤษมักจะมีโครงสร้างที่เป็นกรรมวาจก (passive) นิยมใช้ perfect tense มีการใช้นามขยายนาม (multiple noun) มากกว่าการใช้คาคุณศัพท์ เป็น ลกั ษณะการแปลเอกสารที่เปน็ ทางการมาก ๆ มักจะแปลตรงตวั ไดย้ าก เพราะภาษาจะมีความซับซ้อน มีขยายกริยาหลายตัว และมีคาศัพท์เฉพาะหลายคา ความหมายจึงต้องพิจารณาจากบริบทอย่าง แทจ้ ริง 2.2 สารทมี่ ลี ักษณะท่วั ไป เป็นสารท่ีเกีย่ วข้องกับข้อเท็จจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตวั เท่านั้น ไม่ไดเ้ กย่ี วกบั ความรู้หรือหลักการทางวิชาการใด ๆ มไี วใ้ หผ้ อู้ ่านอา่ นหรือฟังเพื่อรบั ข้อมูลข่าวสารหรือ ติดตามเหตุการณ์รอบตัวท่ีเกิดขึ้น มีการใช้คาศัพท์เฉพาะทางบ้างแตไ่ ม่มาก เช่น ข่าว สารคดี เป็นตน้ มักจะใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 โครงสร้างใช้ active form และใช้ present tense, active verb มากกวา่ 2.3 สารกึ่งทางการ เป็นสารท่ีมีการผสมผสานระหว่างการให้ข้อมูลและการให้ความบันเทิงไว้ ด้วยกัน ผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกผ่อนคลายและได้ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น นิตยาสาร บทสัมภาษณ์คนบันเทิง เป็นต้น มีการใช้คาศัพท์ง่าย ๆ ไม่เป็นทางการมากนัก มีวัตถุประสงค์เพ่ือความบันเทิงและการให้ ข้อมูล 2.4 สารที่ไม่เป็นทางการ เป็นสารที่สะท้อนความสนิทสนม ความเป็นกันเอง เป็นสารท่ี ผู้เขียนต้องการเขียนเพ่ือส่งสารให้กับคนใกล้ชิดหรือคนเฉพาะกลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นภาษาพูด ดังน้ัน ภาษาจะมีความง่ายและเป็นกันเองมากขึ้น เช่น คา slang ต่าง ๆ คานิยมต่าง ๆ โดยมีวัฒนธรรมการ ใช้ภาษาเขา้ มาเกี่ยวขอ้ ง สารรูปแบบนี้เน้นไปทกี่ ารสื่อสารเปน็ หลัก กล่าวโดยสรุปคือสารในกลุ่มท่ีเน้นภาษาเพ่ือถ่ายทอดข้อเท็จจริงน้ันมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ ข้อมูลความรู้หรือเพ่ือการส่ือสารโดยเน้นผู้อ่านเป็นหลัก ภาษาท่ีใช้จึงเป็นลักษณะภาษาท่ีทาให้ผู้อ่าน เกิดความเข้าใจและเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหน่ึงของสังคมในบริบทที่กาหนด มีการใช้ภาษาท่ีเป็น ลักษณะทางการ ไม่เป็นทางการ กึง่ ทางการ เป็นต้น เม่ือผู้แปลต้องแปลสารลักษณะนี้ จะใช้การแปลที่ เน้นให้ผู้อ่านเข้าใจตรงประเด็น ชนิดของการแปลที่มักจะใช้คู่กับสารนี้คือการแปลแบบส่ือสาร (Communicative Translation) การแปลแบบสานวน(Idiomatic Translation) หรือการแปลแบบ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 49 เอาความก็ได้ (Free Translation) กลวิธีการแปล มกั จะใช้ การแทนที่ การถอดความหมายหรือเรียบ เรียงใหม่ และการปรับ ตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้งา่ ยตอ่ ความเข้าใจของผอู้ า่ นและเปน็ กนั เอง 3. สารท่ีมีผลตอ่ การกระทาของผูอ้ ่าน (vocative function) สารที่มีผลต่อการกระทาของผู้อ่านเป็นสารในรูปแบบที่มีผลต่อผู้อ่านโดยตรง เน้นไปท่ีตัว ผู้อ่าน สารรูปแบบนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้อ่านดาเนินการ คิด หรือรู้สึกบางอย่างตามที่ผู้เขียนพยาม กาหนดในสาร ดังนั้นสารน้ีจึงเปรียบเสมือนเป็นเคร่ืองมือให้ผู้อ่านทาตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียน ตัวอย่างสารท่ีอยู่ในรูปแบบนี้ คือ คู่มือ คาแนะนา คาสั่ง โฆษณาชวนเชื่อ ประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ เป็น ต้น ดังนั้นวัตถุประสงค์ของผู้เขียนจงึ ยึดที่ผู้อ่านเป็นหลกั ว่าต้องการส่ิงใดจากผ้อู ่าน รูปแบบของภาษา ท่ีใช้จะเป็นลักษณะคาส่ัง คาขอร้อง คาเชิญชวน ภาษาต้องกระชับ โน้มน้าวและเข้าใจง่ายสาหรับ ผู้อ่าน ภาษาที่ใช้จะมีระดับของการบังคับและสามารถวัดความสาเร็จได้จากปฏิกริยาหรือผลของการ ปฏิบัติที่สะท้อนกลับจากผู้อ่านว่าเป็นไปตามที่ผู้เขียนคาดหวังหรือไม่ รูปแบบภาษาท่ีใช้อาจจะเป็น คาสัง่ คาขอร้อง และเปน็ ไดท้ ั้งทางตรงและทางอ้อม 4. สารเพือ่ แสดงความสวยงามของธรรมชาติ (aesthetic function) ตามหลักการของ Leech (1974) ภาษาในรูปแบบนี้เปน็ รูปแบบเพ่ือให้ความสุนทรีย์ เน้น ความไพเราะและสละสวยสวยงามของภาษาเพ่ือกระตุ้นความรู้สึกของผู้อ่านให้สัมผัสได้จากประสาท สัมผัสโดยผ่านตัวอักษร เช่น ผ่านทางตา (บรรยายคาให้เห็นภาพ) ผ่านหู (บรรยายเสียงให้ผู้อ่านรู้สึก เหมือนได้ยิน) ผ่านจมูก (บรรยายกล่ินให้รู้สึกได้) ผ่านปาก (บรรยายรสชาติให้รู้สกึ ถึงรสชาติ) เป็นตน้ ภาษาที่ใช้จะมีการดัดปรับใหเ้ ป็นภาษาสวยงามกว่ารปู แบบปกติทั่วไป เช่น การทาสัมผัสอักษร สัมผัส สระ มีวรรคตอน มีท่อนแบ่งบท การเลียนเสียงต่าง ๆ โดยเน้นความสวยงามของภาษามากกว่า ความหมายหรือการใชง้ านจรงิ และมีองคป์ ระกอบของวัฒนธรรมเขา้ มาเกยี่ วข้องด้วย ความแตกตา่ งของหน้าที่ทางภาษาระหวา่ งการแสดงออกทางความรสู้ ึกกับการแสดงความ สวยงาม คอื การแสดงความสวยงามจะเน้นการใช้ภาษาที่ทาให้ผู้อ่านสัมผัสความรู้สึกถึงความสวยงาม ของตัวภาษาและส่ิงท่ีบรรยายหรือพรรณนา แต่สารที่แสดงออกทางความรู้สึกน้ันแค่เพียงต้องการสื่อ ใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ถึงความรสู้ กึ ผูเ้ ขยี นและมีอารมณ์ร่วมด้วยเท่านนั้ กลา่ วโดยสรุปคือสารเพื่อแสดงความสวยงามของธรรมชาตินน้ั เป็นสารทมี่ ีการใชภ้ าษาเพ่ือ แสดงออกถึงความสวยงามท่ีเกิดจินตภาพของผู้อ่านโดยผ่านตัวอักษร ชนิดของการแปลที่เหมาะกับ สารประเภทน้ี คอื การแปลเชิงอรรถศาสตร์และการแปลแบบดดั แปลง เปน็ ต้น
50 5. สารท่ีแสดงความเปน็ มติ ร (phatic function) สารที่แสดงความเป็นมิตร เป็นรูปแบบของสารที่มีหน้าที่เพ่ือแสดงความใกล้ชิดสนิทสนม ระหว่างผู้รับสารและส่งสารตามวัฒนธรรม ภาษาท่ีใช้มักจะเป็นสานวนหรือวลที ี่ปรากฏในบทสนทนา ในลักษณะการเริ่มบทสนทนา การหยอกล้อ และการเช่ือมโยงทาให้บทสนทนาเกิดความต่อเน่ืองและ เป็นกันเอง สารลักษณะนี้ไม่มีความสาคัญในแง่ของเนื้อหาแต่แค่สะท้อนความสนิทสนมรักใคร่กัน ส่วนใหญ่จะเป็นคาในลกั ษณะดงั ต่อไปนี้ เช่น What’s up, man? How are you? You know? See you. ในภาษาองั กฤษ หรือ กินอะไรอ่ะ? แหม ๆ ไดท้ เี ชียวนะ ในภาษาไทย เปน็ ต้น เจตนารมณ์ของผู้ ส่งสารในรูปแบบนีเ้ พยี งเพอื่ ต้องการให้ได้มีปฏสิ ัมพนั ธ์ตามมารยาททางสังคม ผูแ้ ปลควรแปลให้สารทัง้ ต้นทางและปลายทางมีความเท่าเทียมกัน ไม่ควรแปลตรงตามตัวอักษรเพียงอย่างเดียว ให้ เปรียบเทียบกับวัฒนธรรมปลายทางด้วยเช่นกันเพ่ือทาให้เกิดความเป็นมิตรกับผู้อ่านมากย่ิงขึ้น ชนิด ของการแปลที่เหมาะสมกับสารลักษณะนี้ คือ การแปลแบบสานวน ท่ีเน้นการแปลโดยใชส้ านวนตาม วัฒนธรรมของภาษาปลายทางเพือ่ ใหเ้ กดิ ความเป็นธรรมชาติกับผูอ้ า่ นน่นั เอง 6. สารทส่ี ะท้อนองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ของภาษา (metalingual function) สารที่สะท้อนองค์ประกอบต่าง ๆ ของภาษา เป็นสารท่ีแสดงออกถึงเอกลกั ษณ์ของการใช้ ภาษาของภาษาตน้ ทาง ซ่ึงบางครง้ั ไมม่ ีปรากฏในภาษาปลายทาง อาจมคี วามหมายพเิ ศษเฉพาะหรือมี ความกากวม ทาให้ไม่สามารถจะนามาเปรียบเทียบกันโดยตรงได้ การแปลจึงต้องพิจารณาองค์รวม เช่น ธรรมชาติของผู้อ่าน เจตนาของผู้เขียน ความสาคัญของคานั้น ๆ ในภาษาต้นทาง หรือพิจารณา คาท่อี าจปรากฏในภาษาปลายทางท่สี ามารถนามาเทียบเคียงได้ สรปุ ได้ว่าสารประเภทนีถ้ ้าต้องนามาแปลการแปลจะต้องพจิ ารณารูปแบบของบทแปลว่า เป็นลักษณะใด มีองค์ประกอบใดบ้างท่ีผู้แปลจะสะท้อนออกมาให้ผู้อ่านสารได้เห็นและรับรู้ถึงความ สวยงามหรือลักษณะของภาษาต้นฉบับ ชนิดของการแปลท่ีเหมาะสมกับสารประเภทนี้ คือ การแปล เชงิ อรรถศาสตร์ (Semantic Translation) นั่นเอง มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 51 แบบฝกึ หดั 1 : แปลประโยคภาษาอังกฤษต่อไปนเี้ ป็นภาษาไทย 1. Do you have a good weekend? 2 . Hotel security told police that two men approached the ledge of the rooftop bar on the hotel's 25th floor on Friday evening and jumped off it, according an incident report from Metro Nashville Police. 3 . Air transport is an efficient and convenient company business and a transport agency that links to many countries. 4. Don’t be a couch potato! Let’s go for a hike. 5. I pigged out last night at McDonald’s. แบบฝกึ หัด 2 : แปลประโยคภาษาไทยต่อไปนีเ้ ปน็ ภาษาอังกฤษ 1.มะม่วงลูกนเ้ี ปรีย้ วจนน้าลายไหล 2.เนอ้ื สมั ผัสของเคก้ กอ้ นนน้ี ุ่มละมนุ หอมหวานมาก 3.ส้มเป็นผลไมท้ มี่ ีรสชาตหิ วานอมเปรย้ี ว 4.ทาไมพวกเธอเสยี งดงั จงั เลย 5.ห้องน้ีสกปรกจัง บทสรปุ ในบทที่ 3 น้ีเน้ือหาสาระประจาบทเก่ียวข้องกับกระบวนการแปล จะเห็นได้ว่ากระบวนการ แปลนั้นประกอบไปด้วย 3 ข้ันตอน คือ 1) การศึกษาต้นฉบับหรือการวิเคราะห์ต้นฉบับที่ได้รับมา เพ่ือให้เข้าใจความหมายท่ีแท้จรงิ ตามจุดมุ่งหมายของผู้ส่งสาร 2) การถ่ายทอดความหมายของผู้เขียน ไปสู่ผู้อ่าน และ 3) การทดสอบการแปลเพื่อให้ม่ันใจว่าผลงานแปลนั้นมีความถูกต้องเหมาะสมและ พร้อมท่ีจะถูกส่งไปยังผู้อ่านสารปลายทาง นอกจากกระบวนการแปลที่ผูแ้ ปลจะต้องทราบแล้ว ผู้แปล จาเปน็ จะต้องรู้กลวธิ ีหรือเทคนิคทีใ่ ช้ในการแปลเพ่ือจะช่วยในการถ่ายทอดความหมายของผู้เขยี นไปสู่ ผู้อ่าน ในขณะท่ีต้องเรียบเรียงภาษาขึ้นมาใหม่ผู้แปลจะต้องใช้กลวิธีที่หลากหลายซ่ึงสามารถเลือก นามาใช้ได้ตามความเหมาะสม เช่น กลวิธีการแทนที่คา การเปล่ียนโครงสร้างของประโยค หรือการ เปล่ียนแปลงการใช้คาศัพท์ เป็นต้น ในตอนท้ายบทผู้จัดทาได้นาเสนอรูปแบบของสารตามหน้าท่ีทาง ภาษาซ่ึงรูปแบบของสารแต่ละชนิดล้วนแล้วแต่มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น สารท่ีแสดงออกทาง ความรู้สึกและจินตนาการ สารเพื่อการถ่ายทอดข้อเท็จจริง สารท่ีมีผลต่อการกระทาของผู้อ่าน และ สารเพื่อแสดงออกถึงความสวยงามของธรรมชาติ เป็นต้น รูปแบบของสารที่แตกต่างกันน้ีจะส่งผลต่อ
52 การพิจารณาเลือกชนิดของการแปลท่ีเหมาะสมกับงานแปลได้ ดังน้ันไม่ว่าจะเป็นชนิดของการแปล หรือกลวิธีการแปลต่าง ๆ ที่ผู้แปลใช้อย่างไรก็ตามจาเป็นจะต้องยึดโยงอยู่ในรูปแบบของสารตาม หน้าท่ีทางภาษาที่ถูกกาหนดไว้แล้วจากผู้เขียนสารต้นฉบับ ผู้แปลจึงมีหน้าที่ดาเนินการแปลตาม ลักษณะต่าง ๆ ด้วยความซ่ือสัตย์และความถูกต้องของภาษา เพ่ือให้สารไม่คลาดเคลื่อนและผู้อ่าน ภาษาปลายทางไม่เกดิ ความสบั สนเก่ียวกบั ความหมายของสารท่แี ปล คาถามทบทวน 1. ถ้านกั ศึกษาตอ้ งแปลนวนยิ าย นักศกึ ษาจะใช้กลวธิ ีการใดในการแปล จงอธิบายพร้อมให้ เหตุผลตามหลกั การของหน้าทีท่ างภาษา 2. ใหน้ กั ศึกษายกตวั อย่างการแปลที่ใชก้ ลวธิ ีการตา่ ง ๆ มา 5 วธิ ี ประกอบประโยค 3. รปู แบบของสารตามหนา้ ที่มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไรในการแปล มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
53 เอกสารอา้ งอิง จิโรจน์ เมฆยงค.์ (2529). แนวทางการปฏบิ ัตกิ ารแปลทว่ั ไป. กรงุ เทพฯ : วทิ ยาลยั ครสู วนสนุ นั ทา. ทพิ า เทพอัครพงศ์. (2542). การแปลเบ้ืองต้น. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วอลลส์ ตรที อิงลิช. (2021). การไหว.้ สืบคน้ 28 พฤศจิกายน 2564. จาก https://www.wallstreetenglish.in.th/ไลฟส์ ไตล/์ ชวนทาบญุ -ภาษาองั กฤษ/ สุพรรณี ป่ินมณ.ี (2554). การแปลขัน้ สงู . กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . สัญฉวี สายบวั . (2538). หลกั การแปล. กรงุ เทพมหานคร: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. สมุ น อริยปตี ิพนั ธ์. (2548). หลักการแปลภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . Baker, M. (1992). In other words. New York: Clays Ltd., St Lves Plc. Geoffrey N. Leech. (1990). Semantics: The Study of Meaning. Penguin Books. Jakobson, R. (1995). On Language. Cambridge: Harvard University Press Vinay, J. P., & Darbelnet, J. (1995). Comparative Stylistics of French and English: A Methodology for Translation, p. 342). Amsterdam/Philadelphia, PA: John Benjamins Publishing Company. มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 54 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 4 เนอื้ หาประจาบท สาระสาคญั ของเน้ือหาประจาบทที่ 4 มีดังต่อไปนี้ 1. ความแตกต่างของภาษาไทยและภาษาอังกฤษระดับคา 1.1 คานาม 1.2 คาสรรพนาม 1.3 คากริยา 1.4 คาวิเศษณ์ 1.5 คาบุพบท 1.6 คาสนั ธาน 1.7 คาอทุ าน 2. ความแตกตา่ งระหว่างภาษาไทยและภาษาองั กฤษในระดับโครงสรา้ งประโยค 2.1 ลักษณะเฉพาะของภาษาองั กฤษที่แตกต่าง 2.1.1 การผันประธานใหส้ อดคลอ้ งกับกรยิ าในภาษาอังกฤษ 2.1.2 กรรมวาจก 2.1.3 กรยิ าวลี 2.2 ลกั ษณะเฉพาะของประโยคในภาษาไทยท่ีแตกต่าง 2.2.1 การละประธานในประโยคภาษาไทย 2.2.2 การละความไวใ้ นฐานท่ีเขา้ ใจในภาษาไทย 2.2.3 การใช้รปู สรรพนามแทนความหลกั ในภาษาไทย 2.2.4 การใชอ้ นภุ าคแสดงความหลักในภาษาไทย 2.3 ความแตกต่างระหวา่ งภาษา 2.3.1 ประธานทไี่ รค้ วามหมายในภาษาอังกฤษและภาษาไทย 2.3.2 กรยิ าตอ่ เน่ือง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 55 วตั ถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1.เพื่อให้ผู้เรยี นสามารถแยกความแตกตา่ งของภาษาไทยและภาษาอังกฤษในระดับประโยคได้ 2.เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถแยกความแตกต่างระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษในระดับ โครงสรา้ งประโยค 3.เพื่อให้ผเู้ รยี นสามารถประยุกต์ใชค้ วามรู้เร่ืองความแตกตา่ งของภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในการแปลได้อย่างถกู ต้องเหมาะสม วิธสี อนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. วธิ สี อนในบทนผี้ ู้สอนจะใชว้ ธิ สี อน 3 แบบผสมผสานกัน คอื 1.1 การสอนแบบบรรยาย 1.2 การสอนแบบอภปิ ราย 1.3 การสอนแบบเนน้ การสบื เสาะหาความรู้ (inquiry-based learning) 2. กจิ กรรมการเรียนการสอน 2.1 ผู้สอนบรรยายและอภิปรายรายละเอียดร่วมกับผู้เรียนในช้ันเรียนเกี่ยวกับความ แตกต่างทางด้านไวยากรณ์ของภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยเน้นให้ผู้เรียนได้มีโอกาสตั้งคาถามเปิด ประเด็นการอภปิ รายและหาคาตอบสรุปรว่ มกันอย่างมีวจิ ารณญาณ 2.2 ผูเ้ รียนฝกึ หดั ทาแบบฝกึ ประกอบบทเรียน (เน้นการต้ังคาถามและหาคาตอบ) 2.3 ผเู้ รียนคน้ ควา้ เพม่ิ เติมจากหัวขอ้ เรื่องท่ีเรยี น (เน้นการตง้ั คาถามและหาคาตอบ) 2.4 ผ้เู รยี นจัดทาสาระสังเขปของเนื้อหาในบทเรยี น (เน้นการตงั้ คาถามและหาคาตอบ) สือ่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวิชาการแปล 1 2. PowerPoint 3. LCD Projector 4. Notebook
56 การวัดผลและประเมินผล 1. สังเกตจากการตอบคาถาม 2. สงั เกตจากการร่วมอภปิ รายกลุ่ม 3. สังเกตจากการร่วมกจิ กรรมและปฏสิ มั พันธ์ระหวา่ งผ้เู รยี นด้วยกนั หรอื กบั ผ้สู อน 4. ตรวจผลงานการตอบคาถามทา้ ยบท 5. ตรวจผลงานการทาสาระสังเขปสรปุ บทเรยี น มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 57 บทท่ี 4 ความแตกต่างทางไวยากรณ์ระหวา่ งภาษาไทยและภาษาองั กฤษ ความแตกต่างของภาษาไทยและภาษาอังกฤษระดบั คา “คา” ในภาษาไทยตรงกับคาว่า \"Word\" ในภาษาอังกฤษ คือหน่วยท่ีเล็กที่สุดที่มีความหมายใน ภาษา ประกอบด้วยพยางค์หนึ่งพยางค์หรือมากกว่า คาหลาย ๆ คาเม่ือนามาประกอบรวมกันจะเกิดเป็น วลีหรือประโยคท่ีมีใจความสมบูรณ์ ดังน้ันคาจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ส่ือความหมายและเป็นหน่วยที่ สาคัญในการถ่ายทอดความหมายในการแปล สามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ตามหน้าท่ีในประโยคได้ 2 ประเภท คอื 1. Content Words คือ คาท่ีให้ข้อมูลและมีความหมายในประโยค จัดอยู่ในกลุ่มเปิดที่ สามารถเกิดข้ึนเติมใหม่ได้ในแต่ละภาษา คาประเภทน้ีได้แก่ คานาม (Noun) คากริยา (Verb) คาคณุ ศัพท์ (Adjective) และคากรยิ าวิเศษณ์ (Adverb) 2. Function Word คือ คาท่ีมีความสัมพันธ์กับโครงสร้างไวยากรณ์แต่ไม่มีความหมายสาคัญใน ประโยค และจัดอยู่ในกลุ่มปิดท่ีมีจานวนน้อยกว่ากลุ่มเปิดและไม่มีเพ่ิมเติม มีหน้าท่ีเพื่อรองรับโครงสร้าง ประโยคให้กับกลุ่ม content word เพื่อให้การเรียงประโยคเกิดความสมบูรณ์ ได้แก่ คากากับนาม (Determiner) คาสรรพนาม (Pronoun) คากริยาช่วย (Auxiliary) คาบุพบท (Preposition) คาเช่ือม (Conjunctions / Connective), คาทใี่ ช้เน้นคา (Intensifier) เปน็ ตน้ คาซง่ึ เป็นองค์ประกอบท่ีมคี วามหมายท่เี ล็กที่สุดของแต่ละภาษาและในการแปลนัน้ การเข้าใจ ความหมายของคาจะทาให้ผู้แปลสามารถรับสารได้ถูกต้องและแปลออกมาได้ คาในแต่ละภาษาก็ อาจจะมีความหมายและการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังน้ันผู้แปลจาเป็นจะต้องรู้เกี่ยวกับความแตกต่าง ของคาในภาษาท่ีตนเองต้องแปล บทน้ีนาเสนอความแตกต่างระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษระดับคา (Hopper P. J., Thompson S. A.,1984; Langacker R. W.,1987; Plank F.,1997; Quirk R, Greenbaum S., Leech G., Svartvik J.,1985; กาชยั ทองหล่อ, 2540) โดยแยกตามประเภทของคาไดด้ ังต่อไปน้ี 1. คานาม ความแตกต่างทเ่ี ห็นชัดเจนท่ีเกย่ี วข้องกับคานามระหวา่ งภาษาไทยและภาษาอังกฤษมดี ังนี้ 1.1 ภาษาไทยไม่มีคานามนับได้หรือนับไม่ได้และเอกพจน์หรือพหูพจน์ เน่ืองจากการ แยกกลุ่มดังกล่าวไม่มีผลทางไวยากรณ์หรอื โครงสร้างของภาษาไทย ในขณะที่ภาษาอังกฤษน้ันจาเปน็ ท่ีจะต้องแยกนามออกมาเป็น 2 ประเภท คือ นามนับได้ (countable noun) กับนับไม่ได้ (uncountable noun) เน่ืองจากโครงสร้างไวยากรณ์ในภาษาอังกฤษในการสร้างประโยคจาเป็น จะต้องระบุได้ว่านามนั้นเป็นนามเอกพจน์ (หน่ึงส่ิง) หรือพหูพจน์ (หลายสิ่ง) เหตุท่ีเป็นเช่นนี้เพราะ ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษจาเป็นต้องมีการผันประธานให้สอดคล้องกับกริยา หรือท่ีเรียกกันว่า (suject
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 58 and verb agreement) เม่ือประธานเป็นนามเอกพจน์หรือพหูพจน์น้ันจะมีผลกับการผันกริยาทันที ดังนนั้ ความเขา้ ใจท่เี กีย่ วขอ้ งกับนามระหวา่ งภาษาไทยกับภาษาอังกฤษจงึ มีความตา่ งกนั ดงั กล่าว ตวั อยา่ ง ภาษาไทย: (แมว) นอนอยบู่ น (โตะ๊ ) ภาษาองั กฤษ: (A cat/cats) (is/are) on (a table/tables). เม่ือเกิดความแตกต่างดังกล่าว เมื่อผู้แปลจาเป็นต้องแปลประโยคภาษาไทยน้ีเป็น ภาษาอังกฤษ จึงต้องสร้างความกระจ่างของความหมายเพิ่มเติมวา่ แมวท่ีนอนอยู่นั้นมีก่ีตัวและโต๊ะมีก่ี โต๊ะน่นั เองเพ่อื ให้นามนนั้ ปรากฏเป็นเอกพจน์ (Singular) หรือ พหพู จน์ Plural ในประโยค 1.2 ภาษาไทยไม่มีคานาหน้านามหรือคากากับนามแต่ในภาษาอังกฤษจาเป็นต้องมีคา นาหน้านามหรือคากากับนามด้วยเพ่ือระบุปริมาณ จานวน และความชี้เฉพาะ ในประโยคผู้อ่านจะให้ เหน็ ความชัดเจนของความหมายดงั กล่าว ตวั อยา่ ง ภาษาไทย: (คร)ู สอนอยหู่ นา้ (หอ้ ง) ภาษาองั กฤษ: (The teacher) is standing in front of (the class). (A teacher) is standing in front of (a class). ความแตกต่างเร่ืองการระบุความเฉพาะเจาะจงทาให้ประโยคภาษาไทยข้างต้นเกิดความ ไม่ชัดเจนเมื่อต้องถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษ ความไม่ชัดจนเกิดขึ้นตรงที่ว่าครูคนที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ัน เป็นครูที่ผู้พูดกล่าวถึงมาก่อนหน้านี้หรือไม่ ผู้อ่านรู้จักมาก่อนแล้วหรือไม่ หรือเป็นครูคนหนึ่งเท่าน้ัน เช่นเดียวกันกับคาว่าห้อง ซ่ึงอาจจะหมายถึงห้องเดิมท่ีผู้พูดเคยกล่าวถึงมาก่อนและผู้อ่านรู้แล้ว หรือ ว่าหมายถึงห้องห้องหนึ่งเท่านั้น เมื่อผู้แปลจะต้องทาการแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษประโยค นี้ ผู้แปลจะต้องเพ่ิมความชัดเจนเร่ืองของความช้ีเฉพาะน้ีด้วยเพ่ือให้เกิดความหมายท่ีชัดเจนกับ ประโยคดงั กล่าวตอ่ ผูอ้ ่านปลายทางท่เี ป็นเจา้ ของภาษาอังกฤษ 1.3 ภาษาอังกฤษไม่มีลักษณะนามกาหนดให้กับนามท่ัว ๆ ไป ยกเว้นแต่ว่านามนั้นเป็น นามท่ีนับไม่ได้หรือนามนั้นถูกนาไปบรรจุ ช่ัง ตวง วัด หรือจัดกลุ่ม ก็จะที่มีหน่วยชัดเจนตามลักษณะ ของหนว่ ยทไี่ ด้ถกู จดั ไว้ ตัวอยา่ ง ภาษาไทย: (แมว) (3) (ตวั ) ภาษาองั กฤษ: three cats
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 59 จะเห็นได้ว่าวลี “แมว 3 ตัว” ท่ีเป็นตัวอย่างภาษาไทยข้างต้นมีลักษณะนามคือคาว่า “ตัว” เพื่อให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย ในขณะท่ีภาษาอังกฤษไม่มีและไม่จาเป็นต้องใส่ลักษณะนาม คาว่า “ตัว” ท่ีเป็นลักษณะนามดังกล่าว จะระบุเพียง “จานวน three” และใส่คานามคือคาวา่ “แมว = cat” เทา่ นนั้ ดังนน้ั ผแู้ ปลที่ต้องแปลวลนี ี้จากภาษาไทยเปน็ ภาษาอังกฤษ คาวา่ แมวสามตวั จาเป็น จะตอ้ งตัดลกั ษณะนามคาวา่ “ตวั ” ดงั กล่าวออกไปดว้ ยเพอื่ ใหภ้ าษาองั กฤษถกู ต้องตามหลกั การ 2. คาสรรพนาม ในภาษาไทยมีการใช้สรรพนามน้อยกว่าภาษาอังกฤษเนื่องจากสรรพนามประธานอาจ ถกู ละไปไมค่ ่อยได้ใช้ ในขณะทใี่ นภาษาอังกฤษสรรพนามสาคัญมากเนอ่ื งจากสรรพนามจะใช้แทนนาม ทีก่ ลา่ วถึงมาแล้วทกุ ครงั้ ความแตกต่างท่พี บสามารถแบ่งไดต้ ามลักษณะดังต่อไปนี้ 2.1 ภาษาอังกฤษใช้สรรพนามแทนนามท่ีกล่าวมาแล้วเกือบทุกคร้ังและจะไม่นิยมใช้ นามซา้ อกี เพ่อื ให้ภาษาไมเ่ กิดความซ้าซ้อน ตวั อย่าง ภาษาไทย: รถไฟกาลังมา ว่ิงเร็วมาก มาจากชมุ พร ภาษาองั กฤษ: The train is coming. It is running very fast. It is from Chumphon. จากประโยคตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่าในภาษาไทยอาจจะละประธาน “มัน” ซึ่งเป็น สรรพนามแทนรถไฟในประโยคหลังโดยไม่มีผลต่อโครงสร้างของภาษาไทย ในขณะท่ีภาษาอังกฤษถ้า หากต้องกล่าวถึงคานาม “รถไฟ” นั้นอีกครั้งในประโยคต่อมาจาเป็นจะต้องใช้คาสรรพนามมาแทนที่ เสมอและในทนี่ ้ี คอื คาวา่ “It” ไมม่ ีการละหรือตดั ออกไปเนื่องจากประโยคในภาษาองั กฤษจาเป็นต้อง มีประธานเสมอ ดงั นัน้ ภาษาองั กฤษจึงต้องมสี รรพนามเพอื่ ใชแ้ ทนนามในตาแหนง่ ของนามที่ไปแทนที่ 2.2 ภาษาไทยมีคาสรรพนามแทนประธานแต่ละบุรุษหลายคาโดยแบ่งไปตามสถานะ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง และระดับการใช้ภาษา ในขณะท่ีภาษาอังกฤษมีเพียงคาเดี่ยว ๆ เพ่ือแทนสรรพนามในกลุ่มของแต่ละบรุ ษุ ตัวอยา่ ง ภาษาไทย: ฉัน เรา ดฉิ ัน กระผม ผม ขา้ พเจา้ อาตมา เคา้ (ภาษาพดู ในกลมุ่ วัยรุ่น) ภาษาอังกฤษ: I จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าภาษาไทยมีสรรพนามประธานท่ีแทนคาว่า “ฉัน” หลากหลาย คาซ่ึงแตกต่างกันไปตามสถานะ ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สนทนา และระดับของภาษา แต่ในขณะที่ ภาษาอังกฤษมีคาท่ีแทน “ฉัน” ท่ีเป็นประธานเพียงคาเดียวเท่านั้นคือ “I” ดังน้ันในการแปลภาษา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 60 อังกฤษเป็นไทยในส่วนของคาสรรพนามผู้แปลจาเป็นที่จะต้องวิเคราะห์ด้วยวา่ ควรจะเลือกใช้คาใดถงึ จะเหมาะสมกับบรบิ ทมากทสี่ ุด 2.3 สรรพนามภาษาอังกฤษแยกออกเป็น 2 กลุ่มคือประธานและกรรม ซ่ึงคาอาจจะ เปล่ียนไป ในขณะท่ีภาษาไทยสรรพนามไม่ไดแ้ ยกระหว่างประธานกับกรรม สามารถใช้คาร่วมกันได้ ตวั อย่าง ภาษาไทย: ฉนั รักแม่ แม่รักฉนั ภาษาอังกฤษ: I love my mom. My mom loves me. ประโยคตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า คาว่า “ฉัน” เมื่อสลับตาแหน่งระหว่างประธาน และกรรมในประโยคภาษาไทยก็ยังคงใช้คาเดิมคือคาว่า “ฉัน” ในขณะท่ีภาษาอังกฤษจะสังเกตได้ว่า คาว่า “ฉัน” หากถ้าเป็นประธานจะใช้ “I” แต่ถ้าเป็นกรรมจะเปล่ยี นเปน็ คาว่า “me” แทน ซ่ึงสรรพ นามท้ังสองจะใช้คาแตกต่างกันเมื่อทาหน้าที่ต่างกันในแต่ละประโยค ดังน้ันผู้แปลที่จะต้องแปลสรรพ นามในภาษาอังกฤษจาเป็นต้องวิเคราะห์ด้วยว่าตาแหน่งของสรรพนามนนั้ อยู่ในตาแหน่งประธานหรือ กรรมของประโยคเนอ่ื งจากความแตกต่างท่มี ีของภาษาอังกฤษดงั กล่าว 2.4 สรรพนามบุรุษท่ี 3 ในภาษาอังกฤษสะท้อนให้เห็นความเป็นเอกพจน์และพหูพจน์ ตามคานามทมี่ าแทน ในขณะท่ีภาษาไทยบางคาสามารถใช้ร่วมกนั ได้ ตวั อย่าง ภาษาองั กฤษ: The pens (they) are in the drawer. ภาษาไทย: ปากกา (มนั ) อยูบ่ นโต๊ะ. จากประโยคตัวอย่าง คาว่าปากกาหลายแท่งในภาษาอังกฤษใช้คาสรรพนามแทน คือ “They” แตถ่ า้ หากปากกามีแท่งเดียวในภาษาองั กฤษจะใช้คาวา่ “It” แทน ในขณะที่ภาษาไทยใช้คา แทนคือคาว่า “มัน” ไม่ว่าปากกาจะมีกี่แท่งก็ตาม ดังนั้นแสดงให้เห็นว่าภาษาอังกฤษใช้คาสรรพนาม บุรุษท่ี 3 แยกกันระหว่างเอกพจน์และพหูพจน์ตามรูปแบบของคานาม ผู้แปลจึงจาเป็นจะต้อง พจิ ารณาว่า จะตอ้ งใชส้ รรพนามใดแทนบุรษุ ที่ 3 จึงเหมาะสม 3. คากริยา คากริยาในภาษาไทยและภาษาอังกฤษมีความแตกต่างกันในเร่ืองของการระบุเวลา ใน ภาษาอังกฤษคากริยาต้องแสดงเวลาแต่ในภาษาไทยไม่จาเป็น ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงมีกริยาช่วยและ กริยาแท้ ซึ่งกรยิ าช่วยกล่มุ น้ีไม่ไดม้ ีความหมายใด ๆ เป็นเพยี งองค์ประกอบทางภาษาที่มาชว่ ยเติมเต็ม ให้เกิดความถูกต้องทางด้านไวยากรณ์และใช้เพื่อสะท้อนเวลาเท่านั้น อีกส่วนหน่ึงของความแตกต่าง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 61 คอื คากริยาในภาษาอังกฤษจะต้องผันให้ถูกต้องและสอดคลอ้ งกับประธาน ความแตกต่างดงั ทไ่ี ดก้ ล่าว มาทง้ั หมด สามารถอธิบายในรายละเอียดดงั ต่อไปนี้ 3.1 ในภาษาอังกฤษคากริยาต้องปรับเปลี่ยนไปตามกาล (Tense) หรือเวลาท่ี เฉพาะเจาะจงเพ่ือสะท้อนการกระทาน้ันว่าเกิดข้ึนตอนไหนเม่ืออยู่ในประโยค ในขณะที่ในภาษาไทย คากริยาไมจ่ าเป็นต้องปรบั เปล่ยี นใด ๆ เมอื่ ตา่ งเวลากนั แต่จะใช้วิธีการเพมิ่ คาขยายกรยิ าเข้าไปแทนเพื่อให้ ผู้อ่านเข้าใจว่าเกิดขึ้นเมื่อใด การสังเกตเวลาของการกระทาในประโยคภาษาอังกฤษดูได้ท่ีส่วนของคากริยา ซึ่งจะมีจานวนต้ังแต่ 1 ขึ้นไป แต่จะมีเพียงคาเดียวที่เป็นกริยาแท้และจะเป็นคาท่ีอยู่หลังสุดของกลุ่ม กริยานั้น ส่วนท่ีเหลือด้านหน้าจะเป็นกริยาช่วยเพื่อแสดงเวลาเท่าน้ันไม่ได้มีความหมายเฉพาะใน ประโยค ตวั อยา่ ง ภาษาองั กฤษ: I (have been studying) here for 3 years. ภาษาไทย: ฉัน (เรียน) ทนี่ ่มี า 3 ปแี ล้ว จากประโยคตัวอย่างจะเห็นได้ว่าคากริยาในภาษาอังกฤษของประโยคน้ีมีถึง 3 คา ด้วยกัน คือ (have been studying) เป็นการสะท้อนเวลาปัจจุบัน ในรูปแบบของ Perfect Tense (Have + V3) ที่แสดงความยาวนานของการกระทาจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และ Continuous tense (Be + Ving) ที่แสดงความต่อเน่อื งของการกระทามาจนถึง ณ ขณะท่ีพูด และกริยาแท้ คือ คา ว่า “study” ในขณะที่ภาษาไทยใช้คาว่า “เรียน” คาเดียวเป็นกริยาหลักท่ีปรากฏอยู่ในประโยค ดังนั้นถ้าผู้แปลจาเป็นต้องแปลคากริยาในประโยคภาษาอังกฤษผู้แปลจะต้องปรับเปลี่ยนคากริยา เพื่อให้สอดคลอ้ งกบั กาลดว้ ย มเิ ชน่ นั้นแลว้ ประโยคท่แี ปลจะไม่ถูกต้องตามหลกั ภาษา กาลหลักในภาษาองั กฤษ มที ้งั หมด 3 กาลดังนี้ 1) อดีตกาล คือ การกระทาท่ีเกดิ ขนึ้ แลว้ และจบไปแล้ว (Past tense) 2) ปจั จบุ นั กาล คอื การกระทาทเี่ กิดขึ้นในปัจจบุ นั (Present tense) 3) อนาคตกาล คอื การกระทาท่เี กิดขน้ึ ในอนาคต (Future tense) กาลยอ่ ยท่ีจะต้องระบตุ ่อจากกาลหลัก (ถา้ มี) มอี ยู่ 2 กาลดังน้ี 1) การกระทาที่มีความต่อเนื่องหรือกาลังกระทา ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา หรือ ณ ขณะท่ีพูด (Continuous tense) 2) การกระทาทเ่ี กดิ ขึน้ ตง้ั แตอ่ ดีตมาจนถงึ ปจั จุบันและยังไมส่ ้นิ สุด (Perfect tense)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 62 3.2 คากริยาในภาษาอังกฤษต้องมีการผันตามประธานเพื่อความถูกต้องในด้าน ไวยากรณ์ ซ่ึงภาษาไทยไม่จาเป็นต้องมีการผันกริยาให้เข้ากับประธาน การผันกริยาในภาษาอังกฤษ ทาได้สองแบบ คือ ถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาเติม _s หรือ _es ท้ายคา ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาไม่ต้องเติม s กล่าวคือ การคงรูปเดิมน่ันเอง กริยาของภาษาอังกฤษในรูปอดีตกาลส่วนใหญ่อาจ ไมต่ อ้ งผัน ตวั อย่าง ภาษาอังกฤษ: She runs to school everyday. ภาษาไทย: หล่อนว่ิงไปโรงเรยี นทกุ วัน จากประโยคตัวอย่างจะเห็นได้ว่าในประโยคภาษาอังกฤษคาว่า “ว่ิง” หรือ “Runs” มี การ ผันโดยเติม s ท้ายคาเพื่อให้เข้ากันกับประธาน She ซ่ึงเป็นเอกพจน์ แต่ในขณะท่ีภาษาไทยใช้ เพยี งคาว่า “วิง่ ” โดยที่ไมไ่ ด้มีการผนั กริยา และคาวา่ “วง่ิ ” นี้เป็นเพยี งคาท่ีแสดงความหมายของการ กระทาว่าวิ่งเท่าน้ันไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโครงสร้างของภาษาในด้านอ่ืน ๆ ดังนั้นหากผู้แปล จาเป็นต้องแปลคากริยาในภาษาอังกฤษโดยเฉพาะอย่างย่ิงในกาลปัจจุบัน ผู้แปลจาเป็นที่จะต้อง พิจารณาเพ่ือปรับหรือผัน คากริยาในประโยคนั้น ๆ ให้เป็นไปตามประธานด้วย เพ่ือให้เกิดความ ถูกต้องทางด้านไวยากรณ์ 3.3 ภาษาอังกฤษมีคากริยาช่วยที่มาทาหน้าท่ีแสดงกาล มาช่วยสร้างประโยคคาถาม และประโยคปฏิเสธให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ คากริยาช่วยในกลุ่มนี้จึงไม่ได้มีความหมายแต่มาทา ให้เกิดความสมบรู ณ์ของโครงสร้างภาษาเทา่ นั้น ในขณะทภ่ี าษาไทยไมม่ ีกรยิ าชว่ ยในกลุ่มนี้ ตวั อยา่ ง ภาษาองั กฤษ: He doesn’t like to eat pork. ภาษาไทย: เขาไมช่ อบกนิ เนอื้ หมู จากประโยคตัวอย่างซึง่ เป็นประโยคปฏิเสธในภาษาอังกฤษมีคากริยาช่วยคือ “Verb to do” มาวางไว้ในตาแหน่งหน้าคาว่าไม่หรือ “not” เพื่อให้เกิดความถูกต้องของหลักภาษา ในขณะที่ ภาษาไทยใช้คาว่า “ไม่” คาเดียวได้โดยไม่จาเป็นจะต้องมีกริยาช่วยแต่อย่างใด ดังน้ันหากผู้แปล จะต้องแปลประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ และประโยคคาถาม ในภาษาอังกฤษ ผู้แปลจาเป็นต้อง พิจารณาในเรื่องของการใช้กริยาช่วยประกอบกับกริยาแท้ในลักษณะต่าง ๆ ตามกฎเกณฑ์ เพ่ือทาให้ ประโยคเกดิ ความสมบรู ณแ์ ละถกู ต้องตามหลักภาษา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 63 4. คาวิเศษณ์ คาวิเศษณ์ทั้งคาคุณศัพท์และคากริยาวิเศษณ์ของภาษาอังกฤษและภาษาไทยต่างก็มี ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ถ้าเป็นคาคุณศัพท์เราจะเห็นความแตกต่างตรงการวางตาแหน่งของคา ถ้าหากเป็นคากรยิ าวิเศษณ์ จะเหน็ ความแตกต่างในเรื่องของการใช้งาน ซ่งึ ภาษาไทยมกั จะละคากริยา วิเศษณ์ในบางประโยคเพ่ือทาให้ภาษามีความกระชับและเป็นธรรมชาติมากยิ่งข้ึน รายละเอียด สามารถอธิบายแบ่งตามประเดน็ ไดด้ งั น้ี 4.1 คาวิเศษณ์ขยายนามหรือคาคุณศัพท์ขยายนาม (Adjective) คือ คาที่บอกลักษณะ หรอื สภาพของนาม ความแตกต่างระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษเกี่ยวกบั คาวิเศษณน์ ้ันอยู่ในเร่ือง ของการวางตาแหน่งของคา คาขยายนามในภาษาอังกฤษจะวางอยู่หน้าคานามน้ัน ๆ ยกเว้นแต่อยู่หลัง verb to be หรอื linking verbs เช่น I’m sorry. I feel sorry. ในขณะท่ีคาขยายนามในภาษาไทยจะ วางอยู่หลังคานามนัน้ ๆ แทน ตัวอย่าง ภาษาไทย: (ข้าว) (เหนยี ว) (อร่อย). ภาษาอังกฤษ: (Yummy) (sticky) (rice). จากประโยคตัวอย่างเราจะเห็นได้ว่า คานามหลัก คือ คาว่า “ข้าว = Rice” ส่วนคาขยายคือ คาว่า “เหนียว = sticky” และ “อร่อย = yummy” วิธีการเรียงคาขยายของภาษาอังกฤษจะวางคา ขยายไว้ด้านหน้านามเสมอ ในขณะท่ีภาษาไทยนาคาขยายท้ังสองคาไปไว้ท้ายคานาม ดังนั้นหากผู้ แปลถา้ จาเป็นจะต้องแปลคาขยายนามเหล่านี้ ผู้แปลจะต้องพิจารณาเรื่องของการวางตาแหน่งของคา ให้ถกู ต้องตามหลกั การของแตล่ ะภาษาตามท่ไี ด้กลา่ วไปแล้วขา้ งต้น 4.2 คาวิเศษณ์ขยายกริยา (Adverb) คือ คาท่ีมีไว้เพื่อบอกอาการ สถานท่ี เวลา ระดับของ กริยา เป็นต้น และถูกนามาใช้ขยายคาคุณศัพท์ กริยา กริยาวิเศษณ์เอง หรือกลุ่มคาและประโยค ความแตกต่างที่พบได้อย่างชัดเจนคือภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่นิยมใช้กริยาวิเศษณ์ในประโยค เนื่องจากคากริยาในภาษาอังกฤษจะสะท้อนเวลา ดังน้ันคาขยายกริยาจึงมีความจาเป็นจะต้องระบุให้ ชัดเจนเพ่ือให้สอดรับกับกริยาของแต่ละประโยค เราจึงจะพบเห็นการใช้คากริ ยาวิเศษณ์ใน ภาษาอังกฤษบ่อยกว่าในภาษาไทย โดยเฉพาะด้านการแสดงถึงความเป็นกิจวัตร ความเป็นอดีต ความถี่บ่อย และระดับความเข้มข้นของกริยา แต่ภาษาไทยไม่นิยมใช้คากริยาวิเศษณ์ถ้าไม่จาเป็น เพราะต้องการใหป้ ระโยคกระชับไม่เยิน่ เย้อ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 64 ตวั อยา่ ง ภาษาองั กฤษ: I usually get up at 6.00 o’clock. ภาษาไทย: (ปกต)ิ ฉันตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า จากประโยคตวั อย่างจะเห็นได้ว่าในภาษาอังกฤษจะใช้คากริยาวเิ ศษณ์ คือ “usually” มา ขยายกริยาคาว่า “get up” เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นกิจวัตรของกริยานน้ั ในขณะที่ภาษาไทยถ้า เราเติม “ปกติ” เข้าไปในประโยคจะทาให้ภาษาอาจไม่กระชับและไม่เป็นธรรมชาติ จึงสามารถตัดคา วา่ ปกติออกไปได้ 5. คาบพุ บท คาบุพบทเป็นคาท่ีใช้เช่ือมในระดับคา เช่น คานามกับคานาม คานามกับวลี หรือคานาม กับประโยค เป็นต้น เป็นคาที่ใช้แสดงสถานท่ี ตาแหน่ง การเคลื่อนไหว ทิศทาง เวลา ลักษณะ และ ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของระหว่างคากับหน่วยอื่น ๆ ของภาษา เช่น คาว่า ใน บน ล่าง ที่ ฯลฯ ความ แตกต่างระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษในเรื่องของการใช้คาบุพบทท่ีเห็นชัดมีอยู่ 2 ด้าน ดังต่อไปน้ี 5.1 การใช้คาบุพบทในความหมายท่ีแตกต่างกัน เน่ืองจากมีคาบุพบทหลายคาเมื่อ นามาใช้จริงตามบริบทต่าง ๆแล้ว ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษแตกต่างกัน ดังนั้นผู้แปลจึงไม่สามารถ แปลคาบุพบทได้ตรงตัวตามความหมายเดิมเสมอไป เน่ืองจากว่าความหมายของคาบุพบทนั้นอาจจะ เปล่ียนแปลงไปตามบริบท ผู้แปลจึงจาเป็นต้องระมัดระวังในการใช้คาเชือ่ มเหล่านี้ทั้งในภาษาอังกฤษ และภาษาไทยว่าในแต่ละบริบทนั้นควรใช้คาว่าอะไรถึงจะทาให้ประโยคถูกต้องและมีความเป็น ธรรมชาติของแต่ละภาษา ตวั อยา่ ง ภาษาองั กฤษ: See you on Monday. ภาษาไทย: เจอกัน (ใน) วนั จนั ทร์ จากตัวอย่างประโยคจะเห็นได้ว่าในภาษาอังกฤษคาเช่ือมที่ใช้กับวัน คือ คาว่า “On” ใน ประโยคตัวอยา่ ง คอื “on Monday” ในขณะที่ภาษาไทยใช้คาเชื่อมวา่ “ใน” แทน ความแตกต่างตรง การใช้งานนี้ทาให้ผู้แปลต้องพยายามอ่านให้มาก ศึกษาให้มาก เพราะต้องอาศัยความเคยชินหรือได้ เห็นการใช้งานคาเช่ือมในบริบทต่าง ๆ ของแต่ละภาษาบ่อย ๆ จึงจะทาให้ทราบว่าควรจะต้องใช้คา บพุ บทใดถึงจะเหมาะสม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 65 5.2 การใช้คาบุพบทเป็นคาคู่สาหรับคาอกรรมกริยา (กริยาท่ีไม่ต้องการกรรมมารองรับ) ในภาษาอังกฤษมีกลุ่มคาท่ีเป็นกริยาวลีอยู่มากมายหลายคา มีทั้งการใช้งานที่เป็นคาคู่ที่ความหมาย ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป และท่ีคาคู่แบบท่ีเป็นสานวนท่ีความหมายจะเปล่ียนแปลงไปจากรปู คา ลักษณะ ดังกล่าวจึงทาให้ภาษาอังกฤษมีเอกลักษณ์เฉพาะในการใช้คาบุพบทท่ีเป็นคาคู่กับคากริยา ผู้แปลต้อง ศึกษาด้วยตนเองและต้องจดจาคาเหล่านั้นด้วย ในภาษาไทยมีคาคู่ลักษณะท่ีความหมายไม่ได้ เปล่ียนแปลงเช่นกัน เช่น “ใช้เวลา (กับ)” “สนใจ (ใน)” เป็นต้น ผู้แปลท่ีเป็นเจ้าของภาษาใดในสอง ภาษานี้ย่อมจะมีความถนัดในการใช้คาเช่ือมของภาษาตนเองได้ดีกว่า การเทียบเคียงและแทนท่ีคา อาจใช้ไม่ได้ผล เพราะคาเช่ือมของอีกภาษาหนึ่งที่ใช้ในการแปลอาจไม่ได้ใช้เหมือนกันอย่างท่ีคิด ผู้ แปลควรต้องใช้เวลาศึกษาเพ่ิมเติมอย่างละเอียดเพ่ือให้การแปลมีความเหมาะสมและถูกต้องของ ภาษานนั้ ๆ ตัวอยา่ ง ภาษาอังกฤษ: Don’t laugh at me. ภาษาไทย: อยา่ หวั เราะ (ท่)ี ฉันนะ จากประโยคตัวอย่าง “อย่าหัวเราะฉันนะ” ในภาษาอังกฤษ คาว่า “หัวเราะ” หรือ “laugh” จะใชค้ กู่ บั คาบุพบท “at” ซึง่ แปลเปน็ ไทยว่า “ท”ี่ ประโยคนใี้ นภาษาไทยจะต้องไม่ใส่คาว่า “ที่” เพราะถ้าใส่คาว่าท่ีจะทาให้ประโยคผิดและสื่อความหมายได้ไม่ถูกต้อง บุพบทน้ีจึงไม่ได้ใช้กับ กรยิ าในบริบทดงั กลา่ วในภาษาไทย 6. คาสนั ธาน คาสันธานเป็นคาท่ีใช้เชื่อมประโยคกับประโยค หรือข้อความกับข้อความ ถูกนามาใช้ใน ประโยคความรวมและประโยคความซ้อน จึงมีหน้าท่ีบอกทิศทางความสัมพันธ์ของประโยคสอง ประโยคดงั กลา่ ว ซึ่งทศิ ทางความสัมพนั ธท์ ีว่ ่า ได้แก่ ขดั แยง้ กัน คล้อยตามกนั เป็นเหตผุ ลตอ่ กัน เลอื ก อย่างใดอย่างหนึ่ง เปรียบเทียบกัน เป็นต้น การเลือกใช้คาสันธานก็ต้องพิจารณาจากความสัมพันธ์ ระหว่างสอง ประโยคน้ัน ๆ และต้องพิจารณาเลือกท่ีเหมาะสมกับบริบทของประโยคทั้งคู่ ในด้านการ แปล การใช้คาสันธานระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษค่อนข้างใกล้เคียงกัน ดังนั้นผู้แปลอาจจะ พจิ ารณาเลือกคา แทนที่อยูใ่ นภาษาแปลไดต้ ามความเหมาะสมของบริบท อยา่ งไรกต็ าม กย็ ังคงต้องมี ข้อควรระวังว่าคาสันธานในภาษาอังกฤษบางคาอาจจะสัมพันธ์กับเร่ืองของโครงสร้างภาษาด้วย เช่น คาเชื่อมบางคาเป็นคาคู่ที่ต้องใช้คู่กันเสมอ เป็นต้น ดังน้ันถ้าผู้แปลจาเป็นต้องแปลสารเป็น ภาษาองั กฤษ ควรต้องระมดั ระวังในเรื่องของการเลือกใชค้ าสันธานในลักษณะดงั กล่าว คาสนั ธานแบ่ง ไดเ้ ป็นสองกลมุ่ ดังนี้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 66 6.1 คาสันธานเช่ือมประโยคความรวม คอื ประโยคทม่ี ีใจความหลกั อย่สู องใจความ การเชื่อม ประโยคความรวมนี้จงึ เป็นการเชื่อมใจความหลักสองใจความเข้าดว้ ยกันตามทิศทางของความสัมพันธ์ ซึ่งภาษาไทยและภาษาอังกฤษมีความใกล้เคียงกันจึงไม่ซับซ้อนมากนัก เช่น คาว่า and but or nor for so yet ในภาษาอังกฤษ เป็นต้น อย่างไรก็ตามจะมีบางคาอาจท่ีมีความหมายซ้าซ้อนกันแล้วอาจทา ใหส้ บั สนได้ ตัวอย่าง ภาษาอังกฤษ: I went to bed, (for) I was tired. ภาษาไทย: ฉนั ไปเข้านอน (เพราะ) ฉันเหนือ่ ยมาก จากประโยคตัวอย่างจะเห็นได้ว่าคาว่าสันธาน “for” มีความหมายใกล้เคียงกับคาว่า “because” ซึ่งแปลว่า “เพราะว่า” และท้ังคู่เป็นคาสันธาน ในกรณีน้ีผู้เขียนเน้นความหมายของทั้ง สองประโยคเท่า ๆ กัน โดยไม่ได้เน้นชัดเจนว่าสาเหตุท่ีไปนอนเพราะเหนื่อยจริง ๆ จึงใช้คาว่า “for” แทนคาว่า “because” ดังนั้นหากผู้แปลไม่มีประสบการณ์ในการใช้คาสันธานในบริบทดังกล่าว อาจจะทาให้สับสนหรือใช้คาสลับกันได้ ดังนั้นผู้แปลอาจต้องตีความว่าผู้เขียนเน้นสาเหตุของประโยค แรกเป็นผลไปสู่ประโยคหลักหรือไม่ หรือต้องการบอกสองใจความที่เกิดข้ึนร่วมกันอย่างเป็นเหตุเป็น ผลเทา่ นัน้ 6.2 คาสันธานเชื่อมประโยคความซ้อน ทมี่ ใี จความหลักและใจความย่อยของอนุประโยค หาก เทียบความแตกต่างของคาสันธานในกลมุ่ น้ีระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษนั้น จะเห็นได้ว่ามีความ แตกต่างกันบ้างในบางคาและบางลักษณะของการใช้งานของคา ทั้งในแง่ของความหมายและ โครงสร้างประโยค ความแตกต่างท่ีเห็นได้ชัด เช่น การใช้คาสันธานคู่ในภาษาอังกฤษ เช่น not only_but also so_ that neither_nor either_or เป็นต้น ดังน้ันผู้แปลจึงต้องระมัดระวังการแปล คาสันธานดังกล่าวโดยให้ยึดหลักการใช้งานคานน้ั ในบรบิ ทจรงิ ตวั อยา่ ง ภาษาไทย: ไม่เพยี งแต่เธอจะท้ิงฉันไปเท่านัน้ เธอยงั เอาของมคี ่าฉันไปด้วย ภาษาอังกฤษ: Not only you leaved me but you also took my properties. จากประโยคตัวอย่างจะเห็นว่าถ้าผู้แปลต้องแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ ผู้แปล จาเป็นท่ีจะต้องเลือกใช้ คาสันธานคู่ที่เหมาะสมกัน มิฉะนั้นจะทาให้การแปลเกิดความผิดพลาดทาง ไวยากรณไ์ ด้ ในกรณีนีใ้ ชค้ าวา่ not only คกู่ บั คาว่า but also เปน็ ตน้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 67 7. คาอทุ าน คาอทุ านในภาษาอังกฤษและภาษาไทยน้นั แตกตา่ งกันเพียงแค่คา ซ่งึ ผูแ้ ปลจะต้องศึกษาดู วา่ คาเหลา่ นนั้ ในแต่ละภาษาแสดงออกด้วยคาวา่ อะไร ตวั อยา่ งเชน่ Damn it! = โถ่เวย่ ! (โมโห) Phew! = โล่ งอก! Ouch! = โอ๊ย! (เจ็บ) Oops! = อุ้ย (ตกใจ) Shit! = ซวยละ! เป็นต้น องค์ประกอบอื่น ๆ ของคา อทุ านในภาษาทั้งสองใกลเ้ คยี งกนั ความแตกต่างระหว่างภาษาไทยและภาษาองั กฤษในระดบั โครงสร้างประโยค ความแตกตา่ งระหว่างภาษาไทยและภาษาองั กฤษ (ทิพา เทพอัครพงศ์, 2542) รายละเอียดมดี ังนี้ 1. ลักษณะเฉพาะของภาษาอังกฤษทีแ่ ตกตา่ ง 1.1 การผันประธานให้สอดคลอ้ งกบั กริยาในภาษาอังกฤษ ในประโยคภาษาอังกฤษทุกประโยคจะต้องมีการแสดงประธานและกริยาของประโยค ไว้อย่างชัดเจน เช่น She goes to school. “She” เป็นประธาน “goes” คือกริยา และลักษณะ เฉพาะที่สาคัญของ ภาษาอังกฤษ คือการที่จะต้องผันกริยาให้เข้ากันกับประธาน โดยที่ประธาน เอกพจนก์ ริยาต้องเติม s หรอื ประธานพหพู จน์ กรยิ า ไม่ต้องเติม s ท้ายคา ตามท่ีได้กล่าวรายละเอียด ในเร่ืองของคากริยามาแลว้ ดังนนั้ หากถา้ ผแู้ ปลจาเป็นจะต้องแปลกรยิ าจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ กต็ ้องพงึ ระวงั เรื่องการผนั กรยิ าด้วยเช่นกัน เน่อื งจากในภาษาไทยไม่มีองค์ประกอบนี้ 1.2 กรรมวาจก ในภาษาอังกฤษกรรมวาจกถูกนามาใช้กันอย่างแพร่หลายในกรณีท่ีต้องการเน้น ผู้ถูกกระทาและไม่ต้องการบอกว่าใครเป็นคนทา และกรรมวาจกในภาษาอังกฤษยังมีหน้าท่ีท่ี แสดงออกให้เห็นถึงความเป็นทางการของภาษาอีกด้วย โครงสร้างของกรรมวาจกในภาษาอังกฤษจะ ประกอบด้วยส่วนท่ีเป็นประธานของประโยคซึ่งจะต้องเป็นผู้ถูกกระทา และตามด้วย verb to be และ verb ช่องท่ี 3 ตามลาดับ ลักษณะนี้เป็นลักษณะเฉพาะของภาษาอังกฤษ ดังนั้นถ้าผู้แปลต้อง แปลกรรมวาจกภาษาอังกฤษน้ีเป็นภาษาไทย อาจจาเป็นต้องมีการปรับให้เหมาะสมเพราะ ใน ภาษาไทยมีการใช้กรรมวาจกน้อยกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นประโยคในรูปแบบท่ีผู้เขียนไม่ต้องการเน้น ประธานแต่ต้องการเน้นผลของการกระทา เช่น โต๊ะจัดเสร็จแล้ว เป็นต้น โดยนาประธานท่ีเป็นกรรม มาตอ่ ด้วยกริยาทนั ที ในบางกรณี ประธานที่ถูกกระทาในภาษาไทย หากการกระทาน้ันมีความหมายเชิงลบ ภาษาไทยมักจะนิยมใช้อนุภาค เช่น คาว่า “ถูก” และ “โดน” เข้าไปเสริมด้วย เช่น เขาถูกแม่ดุว่า เป็นต้น เมื่อเพิ่มคาว่าถูกเข้าไปจะทาให้เกิดความหมายที่เป็นเชิงลบทันที ดังน้ันกรรมวาจกใน ภาษาไทยจึงถูกมองเป็นความหมายแฝงในไม่ดี หากผู้แปลต้องแปลประโยคท่ีเป็นกรรมวาจกเป็น
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 68 ภาษาไทยและต้องการสื่อเป็น เชิงบวกอาจจะเปลี่ยนมาใช้ Active Voice แทน เช่น “แม่ดุว่าเขา” แทนคาวา่ “เขาถกู แมด่ ุวา่ ” เพอื่ ทาให้ความหมายออ่ นลงได้ อีกรูปแบบหนึ่งที่พบได้ในส่วนของกรรมวาจกของภาษาไทย คือ กริยาที่มีความหมาย เป็นเชิงบวก ภาษาไทยจะนิยมใช้คาว่า “ได้รับ” เป็นกริยาวลีแทน ดังนั้นประโยคกรรมวาจกจงึ ไม่เกดิ เปน็ รปู กรรมวาจกจริง ๆ ในภาษาไทยอกี ต่อไป เช่น เขาได้รบั การยกยอ่ ง เปน็ ต้น จากท่ีได้กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่ากรรมวาจกเป็นลักษณะเฉพาะของ ภาษาอังกฤษ ดังน้ันผู้แปลต้องพิจารณาตามความเหมาะสมว่าหากต้องแปลเป็นภาษาไทยจะใช้กลวธิ ี ใดทดแทนเพ่ือใหเ้ กิดความหมายทเี่ หมาะสม 1.3 กรยิ าวลี ลกั ษณะเฉพาะอีกอย่างหนง่ึ ของภาษาอังกฤษ คือ การใช้กรยิ าวลีในรูปของ participle (กริยาช่องที่ 3 หรือ กริยาที่เติม –ing) ในการควบรวมประโยคความซ้อนกับประโยคหลักในกรณีท่ี ประโยคนั้นกล่าวถึงประธานคนเดียวกันและทากริยาในประโยคย่อยด้วย เพื่อให้ประโยคเกิดความ กระชับ ถ้ายึดตามหลักการของการเขียนประโยคโดยทั่วไปแล้ว ในประโยคหนึ่ง ๆ ประธานย่อมมี กริยาแทไ้ ดเ้ พยี งตัวเดียว เท่านนั้ ยกเว้นแต่จะใช้คาสรรพนามประธานมาเช่ือมประโยคย่อยเขา้ ด้วยกัน การนาประโยคความซ้อนมาควบรวมกันดังกล่าว อาจจะทาให้กระชับขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้สรรพนาม เช่ือมระหว่างประโยคอีกต่อไป กล่าวคือ ตัดสรรพนามประธานที่เช่ือมออกไปและเปล่ียนกริยาท่ีมีอยู่ ในประโยคย่อยเดิมเป็นกริยาในรูปที่เติม -ing แทน active verb และ กริยาช่องท่ี 3 แทน passive verb น่ันเอง เพื่อให้ประโยคกระชับมากข้ึนแต่ความหมายก็ยงั คงเดิม ตามหลักการสรา้ งกริยาวลีกลุ่ม participle ตวั อยา่ ง ภาษาองั กฤษ: The man (who works) working there is my brother. ภาษาไทย: ผู้ชายคนทที่ างานที่นั่นเปน็ พ่ีชายฉันเอง จากประโยคตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าในประโยคภาษาอังกฤษได้ปรับประโยคย่อยให้เป็น รปู ของกริยาวลีเพ่ือทาให้ประโยคกระชับขน้ึ โดยตัดสรรพนามประธานกับกรยิ าแท้ในประโยคย่อยออก “who works” และใช้คาว่าเป็น working เข้าไปแทนท่ี เม่ือแปลเป็นภาษาไทยแล้วผู้แปลยังคงต้อง แปล เหมือนแปลประโยคความซ้อนปกติคือยังต้องใส่คาว่าคนที่ไว้และใช้คาว่าทางาน ไม่ใช่กาลัง ทางาน เพราะเปลย่ี นเป็นกรยิ าวลนี ี้ไมไ่ ด้มีผลเก่ยี วกบั กาลของประโยคย่อย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 69 สรปุ ไดว้ า่ การใชก้ รยิ าวลนี ี้เปน็ ลักษณะเฉพาะอยา่ งหนึง่ ที่ปรากฏแตใ่ นภาษาอังกฤษ ไม่ ปรากฏในภาษาไทย และมีนยิ มมากในการใช้ภาษาอังกฤษเน่อื งจากสามารถทาให้ประโยคความซ้อนท่ี ยาวมคี วามกระชบั มากข้ึน ดงั นน้ั ในการแปลผูแ้ ปลจะตอ้ งเข้าใจองคป์ ระกอบของภาษาอังกฤษว่า กริยาวลีประเภทน้ีคือประโยคยอ่ ยในประโยคความซ้อนน่นั เอง 2. ลักษณะเฉพาะของประโยคในภาษาไทยท่ีแตกต่าง 2.1 การละประธานในประโยคภาษาไทย โดยปกติแล้วโครงสร้างประโยคของภาษาไทยและภาษา อื่น ๆ ในโลกจะ ประกอบด้วยภาคประธานและภาคแสดง เพ่ือบ่งบอกถึงเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หน่ึง ว่าเกิดอะไรขึ้น อยา่ งไร แต่ภาษาไทยจะมลี ักษณะเฉพาะตรงทีส่ ามารถจะละเว้นไมก่ ล่าวถึงประธานได้ในบางประโยค ซ่งึ สามารถจาแนกไดเ้ ป็นสองกรณี ดงั นี้ 2.1.1 ประธานดงั กล่าวเปน็ ประธานที่ซ้ากบั ประโยคแรก ๆ สามารถละเว้นไว้ โดยนยั ไดเ้ นอื่ งจากผเู้ ขยี นเห็นวา่ ผู้อ่านสามารถคาดเดาไดเ้ องวา่ ภาคแสดงในประโยคที่ตามมานัน้ กระทาโดยใครหรอื ส่ิงใด ตัวอยา่ ง ภาษาไทย: นายดมี ีอาชีพเป็นชาวนา (เขา) มีรายได้เฉลยี่ ต่อปี 30,000 บาท ภาษาอังกฤษ: Dee is a farmer. He has an average income of 30,000 THB. หากพิจารณาประโยคในภาษาไทยโดยผิวเผินแล้วจะพบว่าประธานของประโยคมี เพียงคนเดียว คือ นายดีซึ่งเป็นประธานของภาคแสดงท้ังสองประโยคตามตัวอย่าง แต่ในประโยคที่ สองมีการละประธานสาหรับภาคแสดงของคากริยา “มีรายได้” ซึ่งในภาษาไทยสามารถละเว้น ประธานได้ถ้าประธานก่อนหน้าเป็นคนเดียวกันหรือส่ิงเดียวกัน ในทางตรงข้าม การละประธานไม่มี ปรากฏในโครงสร้างของภาษาอังกฤษ เน่ืองจากทุกประโยคในภาษาอังกฤษจะต้องมีภาคประธาน เสมอ อาจจะใช้สรรพนาม (pronoun) แทน หรือคาเหมือน (synonym) ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการ ซ้าซ้อน 2.2 ไม่ปรากฏประธานผู้กระทากริยาในประโยค ในกรณีที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ประธานของประโยคเป็นใครเนื่องจากผู้เขียนเน้นผลของการกระทามากกว่า ผู้แปลสามารถใช้กรรม วาจกหรอื passive voice ในภาษาอังกฤษทดแทนได้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 70 ตัวอยา่ ง ภาษาไทย: โครงการนด้ี าเนินงานมาเกือบเสรจ็ แลว้ ภาษาอังกฤษ: This project has almost finished. จากประโยคตัวอย่างจะเห็นได้ว่า ผู้เขียนเน้นที่คาว่าโครงการมากกว่าท่ีจะเน้นว่าใครเป็น ผู้ดาเนินการ และไม่ได้สนใจว่าใครดาเนินการด้วย ลักษณะเช่นนี้จะมีความสอดคล้องกับโครงสร้าง ภาษาอังกฤษ คือ กรรมวาจกหรือ Passive Voice เน่ืองจากผู้เขียนจะเน้นประธานมากกว่า ดังน้ันถ้า ผู้แปลภาษาในประโยคลักษณะนี้จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษจะใช้โครงสร้างของ passive voice น่นั เอง 2.3 การใชร้ ปู สรรพนามแทนความหลกั ในภาษาไทย การใช้รปู สรรพนามแทนความหลกั ในภาษาไทย หมายถึง การที่ผเู้ ขยี นใช้สรรพ นามแทนประธานในประโยคโดยวิธกี ารเขยี นซ้าสรรพนามนั้นในประโยคอีกคร้ังร่วมกับประธาน จงึ ทา ใหน้ ้าหนักของประธานไปอยู่ทต่ี รงสรรพนามแทนและมีความหมายเนน้ ประธานมากข้นึ ด้วย โครงสร้างนปี้ รากฏเฉพาะในภาษาไทยเท่านนั้ ตวั อย่าง ภาษาไทย: พส่ี าวของฉนั หล่อนสวย ภาษาอังกฤษ: My sister is beautiful. จะเห็นได้ว่า ประโยคดังกล่าวน้ีมีการใช้ประธานซึ่งเป็นคานาม คือ “พี่สาว” และ สรรพนามแทนพ่ีสาว คือ คาว่า “หล่อน” ในประโยคเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าท้ังพี่สาวและหล่อนคือ คนเดียวกันในประโยค แต่ว่าเป็นการเน้นย้าสรรพนามนี้เพ่ือใชแ้ ทนประธานหลัก ในการแปลประโยค ที่มลี กั ษณะเฉพาะของภาษาไทยน้ีเป็นภาษาอังกฤษ กไ็ มจ่ าเป็นจะตอ้ งใชส้ รรพนามซ้าอีกคร้ัง สามารถ ตัดออกไปได้เลย เพราะ ถ้าเขียนซ้าจะทาให้เกิดความซ้าซ้อนของประธานซึ่งผิดต่อหลักไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษโดยสน้ิ เชงิ 2.4 การใช้อนภุ าคแสดงความหลกั ในภาษาไทย ในภาษาไทย ความหลักอาจมีอนุภาคตามหลังได้ เช่น คาว่า นั่น น่ะ หรือ น่ะ หรือน่ันหรือ เพียรศิริ วงศ์วิภานนท์ (2525, หน้า 44) ได้ให้ความหมายไว้วา่ อนุภาคแสดงความหลกั เป็นคาที่ วางไว้ท้ายประโยค เพื่อสื่อถึงการย้อนคิดในเรือ่ งท่ีได้นาเสนอไปแล้ว จึงละความหลักไว้และ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 71 ใช้อนุภาคแทน อนุภาคจะแทนสิ่งที่ผู้พูดได้กล่าวไปก่อนหน้าแล้วและเข้าใจวา่ ผฟู้ ังรู้ว่าตนเองหมายถงึ อะไร เพื่อให้เกิดความม่ันใจอีกคร้ังเมื่อมีการกล่าวความนาเสนอ จึงได้นาส่วนอนุภาคน้ีมาแทน ลกั ษณะเฉพาะนี้เป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดข้ึนในภาษาไทย ไม่ปรากฏในภาษาองั กฤษ ตัวอย่าง ภาษาไทย: เลิกกันได้ก็เลิกไปเถอะ ผู้ชายแบบนน้ี ่ะ ภาษาองั กฤษ: Just dump him! (The man like him or like that!) ประโยคขา้ งตน้ มอี นุภาคแสดงไว้ทา้ ยประโยค เพื่อเปน็ การแสดงให้เห็นว่าผ้พู ูดต้องการยอ้ น คดิ อีกคร้งั และยืนยันในส่งิ ที่คิด และเปน็ สิ่งท่ีผู้ฟังรอู้ ยู่แลว้ ความเสนอในท่อนแรก คือ “เลกิ กันได้ก็ เลิกไปเถอะ” เปน็ ลกั ษณะของการแนะนา และมอี นุภาคทา้ ยประโยคเพื่อยืนยนั ความคดิ วา่ “ผชู้ าย แบบนีน้ ะ่ ” เมอื่ ต้องแปลเปน็ ภาษาอังกฤษบางคร้งั อนุภาคเหลา่ นี้กไ็ ม่มีความจาเป็นแลว้ เนือ่ งจากว่าได้ กล่าวความหลักไปเรยี บร้อยแล้วจะไม่กล่าวซ้าซ้อนหรือจะไม่มีสร้อยคาอีก 3 ความแตกตา่ งระหว่างภาษา 3.1 ประธานทไี่ ร้ความหมายในภาษาอังกฤษและภาษาไทย เรื่องของประธานท่ีไร้ความหมายน้ันปรากฏท้ังในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่มีวิธีการดาเนินการตามหลักไวยากรณ์ที่แตกต่างกัน สาหรับภาษาไทยประธานในกลุ่มน้ีมักจะไม่ ปรากฏและไม่จาเป็นต้องมีเลยในประโยค ดังน้ันประโยคลักษณะน้ีจึงเปน็ เพียงคากริยา ลอย ๆ ทไ่ี ม่มี ประธานเป็นเจ้าของกริยา เช่น มีนักเรียนหลายคนในห้องน้ี อย่างไรก็ตามในภาษาอังกฤษแม้ว่า ประธานในกลุ่มนี้จะไม่มีความหมายก็ตามแต่เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ประโยค ต้องมีความ สมบูรณ์ทั้งภาคประธานและภาคแสดง ภาษาอังกฤษจึงจาเป็นจะต้องหาประธานมาใส่ให้กับประธาน ในกลุ่มน้ี ท่ีเรียกกันว่า dummy subject ซึ่งมี 2 คา คือคาว่า there ที่บอกสภาพของการมีส่ิงใดส่ิง หนึ่ง และคาว่า it ในประโยคท่ัว ๆ ไป ท่ีไม่ได้มีประธานชัดเจน เช่น การบอกถึงสภาพดินฟ้าอากาศ และการพูดถึงเรอื่ งทว่ั ๆ ไป ตวั อยา่ งประโยค ภาษาองั กฤษ: (It) rains in June. (There) are many students in the class. (It) seems to be very difficult for him. เปน็ ต้น ภาษาไทย: ____ฝนมักจะตกในเดือนมิถุนายน ____มีเด็กนักเรียนหลายคนในห้อง ___ดเู หมอื นว่ามันยากสาหรบั เขา เปน็ ตน้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 72 จากประโยคตัวอย่างจะเห็นได้ว่าในภาษาอังกฤษทุกประโยคมีประธานที่เป็น dummy subject คือ it และ there (มี) ในขณะที่ภาษาไทยทุกประโยคข้ึนต้นด้วยกริยาทั้งหมดและ สามารถละประธานไปได้เลย 3.2 กริยาตอ่ เนื่อง ในภาษาไทยเราสามารถนากริยามาต่อกับกริยาอีกตัวหนึ่งโดยไม่ต้องคานึงถึงหลัก ไวยากรณ์ใดมากนัก กริยาหลายกริยาสามารถใช้เชื่อมต่อกันได้ทันที เช่น ฉันอยากกินข้าว ในขณะท่ี ภาษาอังกฤษ เมื่อนากริยา 2 ตัวมาต่อกัน ผู้แปลจาเป็นตอ้ งคานึงถึงหลกั ไวยากรณ์ เน่ืองจากกริยาตวั แรกจะเป็นตัวกาหนดว่าถูกตัดถัดไปจะเป็นกริยาในรูปแบบใด เช่น อาจจะเป็นกริยาในรูปของ ราก กริยา (base form) to infinitive infinitive without to หรือ เป็นรูปแบบของ กริยาที่เติม ing (gerund) กเ็ ปน็ ได้ ดงั นน้ั ต้องใชค้ วามระมัดระวังในการเลือกสรรรูปแบบของกริยาตัวที่มาต่อกับกริยา แท้ ใหต้ รงตามหลัก ทถี่ กู ต้องของภาษาอังกฤษนน่ั เอง ตัวอย่าง ภาษาไทย: ฉันลมื ปดิ ประตหู ้อง ภาษาอังกฤษ: I forgot locking the door. ประโยคตัวอย่างแสดงให้เห็นได้ว่าในภาษาไทยประโยค “ฉันลืมปิดประตู” มี กริยาคือต่อเนื่องสองคา คือคาว่า “ลืม” และ “ปิด” ประตู ทั้งสองคาน้ีสามารถนามาต่อกันได้เลย ในขณะที่ภาษาอังกฤษ คาว่า “ลืม” เป็นกริยาแท้ซ่ึงจะผันตามกาลและประธาน และกริยาตัวท่ี 2 คือ “ปิด” จะต้องอยู่ในรูปของ gerund เมื่อนามาต่อกัน เน่ืองจากกริยาคาว่า forget จะต้องตามด้วย กริยาที่เป็น gerund ในบริบทดังกล่าวตามหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ดังน้ันผู้แปลจึงจาเป็นต้อง พิจารณารูปของกริยาประเภทต่าง ๆ ท่ีเหมาะสมก่อนจะนากริยามาต่อกันในภาษาอังกฤษเพ่ือความ ถกู ต้องของการแปล แบบฝึกหดั 1 : จงแปลดงั ตอ่ ประโยคดังต่อไปน้ีเปน็ ภาษาอังกฤษ 1. ฉนั รกั การอ่าน 2. พ่ีอยทู่ ี่อเมริกา5 ปีมาแลว้ 3. น้องฉันน่ารกั 4. ฉนั ไมเ่ ข้าใจบทเรียนเพราะว่าบทเรียนมนั ยากมาก ๆ 5. อยากมีอนาคตท่ดี ีแตย่ ังไม่รจู้ ะเริ่มอย่างไร 6. ชาวบ้านท่นี ่มี ีความสามัคคีกนั แต่ผูใ้ หญ่บ้านไม่ใส่ใจดูแล
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 73 แบบฝึกหดั 2 : จงแปลดงั ต่อประโยคดังต่อไปนี้เปน็ ภาษาไทย 1. I know that you did your best but you can do it better. 2. When he comes to you, you always avoid to talk to him. 3. It surprisingly appears when everyone doesn’t expect. 4. You need to strictly follow all the instructions in the manual within a week. 5. They were very happy. 6. The man likes those cars. 7. Our parents have got visitors. 8. A cat is sleeping on a table. 9. I get sick. 10. I really like English. บทสรปุ ความรู้เร่ืองความแตกต่างของภาษาระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษมีความสาคัญเป็น อย่างยิ่งในการแปล เน่ืองจากผู้แปลทาหน้าที่เป็นเสมือนตัวกลางทั้งเป็นผู้รับสารและผู้ส่งสาร เมื่อผู้ แปลวิเคราะห์สารต้นได้เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนของการถ่ายทอดความหมายท่ีผู้แปลจะต้องเรียบเรียง สารขึ้นมาใหม่น้ันจาเป็นจะต้องใช้ความรู้เร่ืองความแตกต่างระหว่างภาษาเป็นอย่างมาก เพ่ือให้มาก พอท่ีจะทาให้ผู้แปลเข้าใจและรู้วิธีการว่าจะถึงต้องทาการถ่ายทอดอย่างไรเพื่อให้ภาษาปลายทางเป็น ภาษาท่มี คี วามสละสลวยและมคี วามธรรมชาติมากท่สี ดุ เน้ือหาในบทน้ีได้รวบรวมความแตกต่างระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษไว้ทั้งในระดับคา และระดับประโยค เม่ือพิจารณาแยกความแตกต่างของสองภาษาออกมาระดับคาแล้วจะเห็นว่า ประเภทของคาเกือบทุกชนิดมีรายละเอียดของโครงสร้างท่ีมีความแตกต่างกันไม่มากก็น้อย นอกจาก ความแตกต่างจะเกิดขึ้นที่ระดับคาแล้ว ความแตกต่างอย่างเกิดขึ้นในระดับโครงสร้างประโยคด้วย เห็นได้ชัดเจนว่าท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษต่างก็มีลักษณะเฉพาะของแต่ละภาษาท่ีผู้แปลจะต้อง เรียนรูแ้ ละนาวิธีการท่ีเหมาะสมมาใช้ในการแปลโดยเฉพาะกับโครงสร้างที่มลี ักษณะเฉพาะเพ่ือให้เกิด ความสมดลุ ของสองภาษาในการแปลมากท่ีสุด นอกจากนั้นแล้วมีบางโครงสร้างทท่ี ้ังสองภาษาต่างก็มี ลั ก ษ ณ ะ เ ฉ พ า ะ ร่ ว ม กั น แ ต่ มี โ ค ร ง ส ร้ า ง ท่ี แ ต ก ต่ า ง กั น ดั ง น้ั น ผู้ แ ป ล จ า เ ป็ น ต้ อ ง รู้ ว่ า โ ค ร ง ส ร้ า ง ใ น ลกั ษณะร่วมกันดังกลา่ วจะใชว้ ิธกี ารใดกบั ภาษาใดจึงจะเหมาะสมท่ีสุด
74 คาถามทบทวน 1. ใหน้ ักศึกษาบอกความแตกต่างระหวา่ งไวยากรณ์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษมา 4 ด้าน อธบิ ายพร้อมยกตัวอยา่ ง 2. ให้นักศึกษาหาประโยคทีไ่ ร้ประธานภาษาอังกฤษพร้อมแปลความหมายเปน็ ภาษาไทยมา 10 ประโยค 3. ใหน้ ักศึกษาหาประโยคทอ่ี ยู่ในรูปกรรมวาจกภาษาอังกฤษพร้อมแปลความหมายมา 10 เป็นภาษาไทยมา 10 ประโยค มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
75 เอกสารอา้ งองิ กาชัย ทองหล่อ. (2540). หลักภาษาไทย. พิมพ์คร้ังที่ 10. กรงุ เทพมหานคร : บริษัทรวมสาสน์ (๑๙๙๙) จากดั ทิพา เทพอัครพงศ์. (2542). การแปลเบ้อื งตน้ . กรุงเทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. Hopper P. J., Thompson S. A. (1984). The discourse basis for lexical categories in universal grammar. Language 60: 703-52 Langacker R. W. (1987). Nouns and verbs. Language 63: 53-94 Plank F. (1997). Word classes in typology: recommended readings (a bibliography). Linguistic Typology 1: 185-92 Quirk R, Greenbaum S., Leech G., Svartvik J. (1985). A Comprehensive Grammar of the English Language. Longman, London มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 76 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 5 เนอ้ื หาประจาบท สาระสาคัญของเน้ือหาประจาบทท่ี 5 มดี ังต่อไปนี้ 1. ความหมายของการแปลทางวิชาการ 2. การแปลขา่ ว 2.1 ลักษณะเฉพาะทางภาษาและองคป์ ระกอบของขา่ ว 2.2 กลวธิ กี ารแปลข่าว 3. การแปลบทคัดยอ่ 3.1 ลักษณะเฉพาะทางภาษาองค์ประกอบของบทคดั ย่อ 3.2 กลวิธกี ารแปลบทคัดย่อ 4. การแปลสนุ ทรพจน์ 4.1 ลกั ษณะเฉพาะทางภาษาองค์ประกอบของสุนทรพจน์ 4.2 กลวิธกี ารแปลสนุ ทรพจน์ วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 1. เพือ่ ให้ผเู้ รยี นสามารถบอกความหมายของการแปลทางวชิ าการได้ 2. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถบอกลักษณะเฉพาะทางภาษา องค์ประกอบ และกลวิธีการ แปลของการแปลข่าว การแปลบทคัดย่อ การแปลสุนทรพจน์ 3. เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้เก่ยี วกับลักษณะเฉพาะทางภาษา องค์ประกอบ และกลวิธีการแปลของการแปลข่าว การแปลบทคัดย่อ การแปลสุนทรพจน์ ในการแปลได้ วธิ สี อนและกจิ กรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1. วิธีสอนในบทนี้ผู้สอนจะใช้วิธีสอน 3 แบบผสมผสานกัน คือ 1.1 การสอนแบบบรรยาย 1.2 การสอนแบบอภิปราย 1.3 การสอนแบบรว่ มมอื (cooperative learning)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 77 2. กิจกรรมการเรยี นการสอน 2.1 ผ้สู อนบรรยายและอภิปรายรายละเอียดรว่ มกับผเู้ รียนในชนั้ เรียนเก่ียวกบั การแปลทาง วชิ าการตา่ ง ๆ ในประเดน็ ของลกั ษณะเฉพาะทางภาษา องคป์ ระกอบ และกลวธิ กี ารแปลของการแปล ข่าว การแปลบทคัดย่อ การแปลสนุ ทรพจน์ โดยเน้นใหผ้ เู้ รียนไดม้ โี อกาสลงมอื ปฏิบตั ิ ด้วยการทดลอง แปลในกลุม่ ความรเู้ กดิ จากการแลกเปลี่ยนเรยี นรูก้ ันในกลุ่มและในห้องเรียน ผู้สอนคอยเป็นทป่ี รกึ ษา 2.2 ผู้เรียนฝึกหัดทาแบบฝึกประกอบบทเรียน (เน้นทากิจกรรมเป็นกลุ่ม และแลกเปลี่ยน ความรภู้ ายในกล่มุ ) 2.3 ผูเ้ รียนคน้ ควา้ เพ่มิ เตมิ จากหวั ขอ้ เรื่องทเี่ รยี น (เน้นทากิจกรรมเป็นกลมุ่ และแลกเปลย่ี น ความรู้ภายในกลุม่ ) 2.4 ผู้เรียนจัดทาสาระสังเขปของเนื้อหาในบทเรียนและนาเสนอหน้าห้องเรียน (เน้นทา กิจกรรมเป็นกลุ่ม และแลกเปล่ียนความรใู้ นหอ้ งเรียน) สอ่ื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวิชาการแปล 1 2. PowerPoint 3. LCD Projector 4. Notebook การวัดผลและประเมนิ ผล 1. สังเกตจากการตอบคาถาม 2. สังเกตจากการรว่ มอภิปรายกลุ่ม 3. สงั เกตจากการร่วมกจิ กรรมและปฏิสัมพันธ์ระหว่างผ้เู รียนด้วยกันหรือกบั ผ้สู อน 4. ตรวจผลงานการตอบคาถามท้ายบท 5. ตรวจผลงานการทาสาระสังเขปสรุปบทเรียน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 78 บทที่ 5 การแปลทางวิชาการ ความหมายของการแปลทางวิชาการ การแปลเอกสารทางวิชาการ หมายถงึ การแปลท่มี ีวัตถุประสงค์ในการถ่ายทอดสารต้นทางที่ เปน็ เอกสารทางวิชาการ เนน้ การนาเสนอข้อเท็จจริง สาระความรู้ โดยไม่มกี ารสอดแทรกอารมณ์หรือ ความรู้สึกของผู้เขียนลงไปในสาร เอกสารทางวิชาการอาจจะเป็นรูปแบบของ ข่าว ตาราวิชาการ งานวิจัย หนังสือ รายงานการประชุมทางวิชาการ เป็นต้น ผู้รับสารสามารถนาข้อมูลท่ีได้ไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจาวันได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นการแปลเอกสารทางวิชาการจึงเป็นต้อง คานึงถึงการใช้ถ้อยคาท่ีมีความชัดเจน กระชับ ตรงประเด็น ตรงตามความหมายของสารต้นฉบับ ตลอดจนมีระดับภาษาท่ีเป็นทางการและมีความเป็นธรรมชาติ ดังนั้นแนวทางการแปลเอกสารทาง วิชาการจึงควร 1) มีความกระชับ ไม่ใช้คาที่ไม่จาเป็น 2) ใช้ภาษาท่ีเรียบง่าย ไม่มีลักษณะของโวหาร และ 3) มีความเทียบเคียงกับต้นฉบับโดยสามารถใช้ศัพท์เทคนิค หรือคาศัพท์เฉพาะได้ตามความ เหมาะสม เพื่อใหก้ ารส่ือสารเป็นไปอย่างชดั เจน (ทิพา เทพอคั รพงศ์, 2547: สุพรรณี ปน่ั มณี, 2554) เนื้อหาของตัวเอกสารทางวิชาการเองก็มีลักษณะที่แตกต่างไปจากงานเขียนท่ัวไป ทั้งในด้าน ของการเลือกใช้คา โครงสร้างประโยค และสานวนโวหาร ต่าง ๆ ภาษาในการแปลทางวิชาการน้ีจะมี ลกั ษณะท่เี ปน็ ทางการ ง่ายต่อความเขา้ ใจ เพือ่ ให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจสารได้อย่างชัดเจน กลวิธีท่ีใช้ในการแปลเอกสารทางวิชาการนั้นเน้นไปท่ีการสื่อสารเพื่อให้ภาษามีความกระชับ เรียบง่าย ไม่มสี านวนโวหารท่ีซับซ้อน และยังสามารถใช้ศัพทเ์ ทคนคิ หรอื ศัพท์เฉพาะได้บางส่วนเพื่อให้ การสื่อสารเป็นไปอย่างชัดเจน การนาเสนอมุ่งให้ข้อเท็จจริงท่ีชัดเจนสอดคล้องกับความหมายตาม ต้นฉบับ ตลอดจนมีระดับภาษาท่ีเป็นทางการ การแปลทางวิชาการน้ีมีเอกสารหลายประเภทท่ีมักจะ ถกู นามาแปล และผ้จู ัดทาจะขอนาเสนอ ดังตอ่ ไปนี้ การแปลข่าว ข่าวเป็นสารประเภทหนึ่งที่มีไว้เพื่อให้ข้อมูลท่ีเป็นข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนจริงใน สังคม ดังน้ันการแปลข่าวจึงมีลักษณะเฉพาะตัวที่ผู้แปลจะต้องเลือกชนิดของการแปลที่เหมาะสม กล่าวคือ ภาษาท่ีใช้จะต้องกระชับ ทาให้ผู้อ่านเข้าใจอย่างชัดเจน ภาษาต้องเป็นธรรมชาติ สารท่ีแปล จะต้องไม่กากวมหรือบิดเบือนไปจากความเป็นจริง ดังน้ันผู้แปลจึงต้องเลือกใช้กลวิธีการแปลต่าง ๆ เพื่อทาให้ข้อความมีความตรงต่อต้นฉบับและเป็นธรรมชาติต่อผู้รับสารปลายทางมากที่สุด (กรมประชาสัมพันธ์, 2565)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 79 ลักษณะเฉพาะทางภาษาและองคป์ ระกอบของขา่ ว องค์ประกอบสาคญั ของขา่ วมีสองสว่ นดังน้ี พาดหวั ขา่ ว ลักษณะเฉพาะทางภาษาของพาดหัวข่าวมีดังนี้ 1. ใช้คาสัน้ ๆ กระชบั นยิ มใช้คาย่อ 2. คาทใี่ ชก้ ระตุ้นความสนใจ 3. ใช้ present simple tense เพอ่ื แสดงถึงความสดใหม่ของเนอื้ หาในภาษาอังกฤษ 3. ไมใ่ ส่รายละเอยี ดของเนือ้ หา ใส่เฉพาะประโยคท่ีเปน็ ใจความหลกั ของขา่ ว 4. ถา้ เปน็ อนาคตกาล will ในพาดหวั ข่าวจะใช้ to แทน ในภาษาองั กฤษ 5. ใช้กรยิ าชอ่ งท่ี 3 ในพาดหวั ข่าวเพอ่ื บอกว่าประธานถูกกระทา (passive voice) ในภาษาองั กฤษ 6. ไมใ่ ส่ article ในพาดหวั ข่าว 7. ใช้เคร่อื งหมาย, แทนคาวา่ and หรือ but 8. ใสต่ วั เลขแทนตวั หนังสือ ตวั อย่าง 1: การแปลพาดหวั ขา่ ว ภาษาองั กฤษ : A big page reveals chiming noise complaint by locals to Wat Sai. ภาษาไทย: เพจดังเผยคนร้องเรียนเสยี งพระวัดไทรตีระฆังดงั ตวั อย่าง 2: การแปลพาดหัวขา่ ว ภาษาอังกฤษ : Nadal makes history with 21 Grand Slam victory ภาษาไทย: นาดาลสรา้ งประวัตศิ าสตร์เถลิงบัลลังก์ “แกรนด์สแลม” สมยั ท่ี 21 จากตัวอย่างทั้งสองจะเห็นได้ว่าการแปลพาดหัวข่าวข้างต้นนี้ผู้แปลใช้ภาษาท่ีกระชับและ ตื่นเต้นน่าสนใจเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ในขณะเดียวกันผู้แปลก็พยายามเก็บรักษาใจความ หลักของสารต้นฉบับไว้ และเขียนให้เปน็ ไปตามกรอบโครงสร้างที่กาหนดตามลักษณะเฉพาะของพาด หัวขา่ ว เนื้อหาของข่าว ลักษณะเฉพาะทางภาษาของเนื้อหาข่าวมีดงั นี้ เน้ือหาข่าวต้องใช้ภาษาท่ีกระชับตรงประเด็นตามข้อเท็จจริง โดยสามารถระบุไวร้ ายละเอยี ด ของข้อมลู ได้ว่า 1. ใคร (Who) บุคคลหรอื องคก์ รทีม่ ีบทบาทสาคญั ต่อข่าวนน้ั ๆ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 80 2. ทาอะไร (What) การกระทาหรอื เหตกุ ารณ์เด่น ๆ ในขา่ วนนั้ 3. ท่ไี หน (Where) สถานท่ีท่ีเกดิ ข่าว 4. เมือ่ ไร (When) ขา่ วนน้ั เกดิ ขึน้ วนั ใด เวลาใด 5. ทาไมและอยา่ งไร ( Why and How) ทาไมเหตกุ ารณ์น้ันจงึ เกิด และเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร 6. ข้อมลู ประกอบอนื่ ๆ เช่น ความเป็นมา ผู้แปลจาเปน็ จะต้องรู้องค์ประกอบของขา่ วเพ่ือจะชว่ ยในการวางกรอบของการแปลใหเ้ ป็นไป ตามรูปแบบเฉพาะของสาร เมื่อผู้แปลได้ทราบกรอบของการแปลข่าวแล้ว ผู้แปลจะสามารถวเิ คราะห์ สารต้นฉบับได้ครบถ้วนและได้องค์ประกอบตามรูปแบบของการนาเสนอข่าวเพื่อเตรียมถ่ายทอด ข้อมลู ในการแปลให้ครบถ้วนสมบรู ณ์ กลวิธีการแปลขา่ ว การแปลแบบเอาความ (free translation) เป็นรูปแบบการแปลท่ีเหมาะสมกับจุดประสงค์ ของการแปลข่าว คือ เพ่ือสื่อความของบทแปล ผู้แปลจึงควรปรับให้เข้ากับรูปแบบการใช้ภาษาและ วฒั นธรรมผูอ้ า่ น โดยการแปลแบบเอาความมีกลวิธีการแปลดงั น้ี 1) กลวิธีการแปลแบบเติม (addition) เช่น การอธิบายความเพ่ิมเติมเพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย ขึ้น การแปลแบบน้ีมักจะใช้เม่ือข่าวต้นฉบับให้ข้อมูลสาคัญน้อยเกินไป ผู้เรียบเรียงข่าวอาจต้องหา ข้อมูลเพ่ิมเติมเพื่อให้ผู้อ่านภาษาปลายทางเข้าใจเรื่องราวในข่าวง่ายข้ึน การพิจารณาว่าข่าวใดควร ต้องเพิ่มรายละเอียดในบทแปล ผู้แปลควรอ่านข่าวต้นฉบับโดยสมมติให้ตัวเองเป็นผู้รับข่าวสารท่ัวไป หากผู้แปลอ่านข่าวภาษาไทยแล้วเกิดข้อสงสัยว่าเนื้อหาในข่าวครบถ้วนแล้วจริงหรือแสดงว่าควรเพ่ิม รายละเอยี ดในขา่ วดังกลา่ ว 2. กลวิธีการละหรือตัดคา (omission) เช่น การละไม่แปลบางข้อความ แล้วสรุปความ ใน บางกรณีผู้แปลข่าวอาจจาเป็นต้องใชก้ ลวธิ กี ารยอ่ ความถ้าตน้ ฉบับมีเนื้อหาเกี่ยวกับแวดวงเฉพาะด้าน มากหรือมีเน้ือหาที่ยาว ซ่ึงถ้าแปลแบบคาตอ่ คาอาจใช้เวลานานเกนิ ไป 3. กลวิธีการปรับ (adaptation) ได้แก่ การเรียบเรียงข่าวต้นฉบับใหม่ ผู้แปลข่าวอาจใช้ วิธีการปรับบทแปลข่าวให้แตกต่างจากต้นฉบับ หากพิจารณาแล้วว่าการยึดรูปแบบตามต้นฉบับอาจ ทาให้บทแปลไม่เป็นธรรมชาติ หรืออ่านแล้วไม่สามารถเข้าใจได้เน่ืองจากไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรม ของผูร้ บั สารฉบบั แปลทงั้ ดา้ นความหมายและด้านโครงสรา้ ง ตวั อยา่ ง: การแปลขา่ วภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย New York is the first main city in America that the government announced on Wednesday to stop the public transportation licenses for pick-up taxi
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 81 service. It causes a big problem to Uber because it has the largest market in the United States. นิวยอรค์ เป็น (เมืองหลัก) เมืองแรกในอเมรกิ าทร่ี ัฐบาลประกาศเมื่อวันพธุ ท่ีผา่ นมาว่าหยุดการ ออกใบอนุญาตขับข่ีประเภทบริการขนส่งสาธารณะให้กับรถกระบะแท็กซ่ี ทาให้เกิดเป็นปัญหาและมี ผลกระทบโดยตรงกบั บรษิ ทั UBER (เพราะวา่ ) ที่เปน็ เจา้ หลักครองตลาดรถแท็กซข่ี นสง่ ในอเมริกา จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าผู้แปลทาการตัดเน้ือหาบางส่วน (ตัวหนังส่ือท่ีขีดฆ่า) เน่ืองจาก เน้ือหามีความเยน่ิ เย้อและไมส่ าคัญกบั สาระมากนัก มกี ารเพิม่ บางสว่ น (ตัวหนังสือที่ขีดเสน้ ใต้) เพื่อให้ ผู้อ่านเข้าใจมากยิ่งข้ึน และมีการปรับบางส่วนให้ภาษากระชับและได้ใจความ (ตัวหนังสือเอน) ทุก กลวิธีท่ีผู้แปลใช้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ภาษาเหมาะสมกับผู้อ่านภาษาปลายทางมากท่ีสุด และเป็น ธรรมชาตมิ ากท่ีสุด ตวั อยา่ ง: การแปลขา่ วภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ปูทางเพ่ือเพิ่มมูลค่าการส่งออกผลไม้ของไทยไปยังตลาดที่ ใหญท่ ีส่ ุดของประเทศ โดยมีการประชมุ กลุม่ มาตรฐานของประเทศนัน้ The Department of Agriculture has paved the way for increasing the value of Thai fruit exports to the Kingdom's biggest market, by meeting with the commodity standard representatives of that country. จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าผู้แปลพยายามปรับภาษา (ตัวหนังสือเอน) ให้ผู้อ่านปลายทาง ภาษาอังกฤษได้ให้เข้าใจง่ายและชดั เจนมากที่สุด เน่ืองจากมีความเฉพาะทาง ผู้แปลจาเป็นต้องศึกษา ความหมายอย่างชัดเจนว่าผู้เขียนต้องการสื่ออะไร เช่น อาจจะต้องหาความรู้เพ่ิมเติมเกี่ยวกับคาว่า กลุ่มมาตรฐานของประเทศน้ัน ซึ่งหมายถึงกลุ่มมาตรฐานการส่งออกสินค้าของประเทศนั้น ๆ เพื่อให้ การแปลขา่ วไมค่ ลมุ เครือและมาครบองคป์ ระกอบของเน้ือหาในขา่ ว การแปลบทคัดย่อ บทคัดย่อเป็นสารประเภทหน่ึงท่ีเป็นวิชาการและเป็นส่วนหน่ึงของงานวิจัยในปัจจุบัน สถาบัน American Psychological Association หรือ APA (2002) ได้กล่าวไว้ว่าบทคัดย่อคือ บทสรุปของงานวิจัยท่ีมีเน้ือหาครอบคลุมชัดเจน ใช้ภาษาเหมาะสมในการให้ข้อมูล (informative language) ภาษาเป็นทางการและกระชับมากที่สุด เนื่องจากมีการจากัดคาในการเขียน ดังนั้นการ แปลบทคัดย่อต้องมีภาษาตรงประเด็น เป็นทางการ และมีเนื้อหาครบถ้วน เพราะบทคัดย่อเป็นส่วน แรกของงานวิจยั ที่ผอู้ า่ นจะพจิ ารณาว่าจะเลอื กอา่ นเน้ือหาในงานวจิ ัยน้นั ๆ ต่อไปหรอื ไม่
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 82 ลักษณะเฉพาะทางภาษาองค์ประกอบของบทคดั ยอ่ องค์ประกอบของบทคัดย่อสามารถสรุปออกมาตามแนวทางของผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน (Bhatia, 1993, อา้ งใน Prabripoo, 2009; APA, 2002) ไดด้ งั น้ี ส่วนท่ี 1 คือการแนะนาเป้าหมายที่แสดงความชัดเจนของวัตถุประสงค์ของงานวิจัยหรือ กล่าวถงึ ปัญหาท่พี บและสมมตฐิ านของงานวจิ ัย ส่วนที่ 2 ผเู้ ขา้ รว่ มงานวิจัยหรือกลุม่ ทดลอง รวมถึงลกั ษณะพเิ ศษต่างๆ ส่วนที่ 3 อธิบายวิธีการทดลอง การออกแบบการทดลอง การเก็บรวบรวมข้อมูล และการ วิเคราะห์ขอ้ มลู ส่วนท่ี 4 คอื ผลสรุปของการวิจยั รวมถึงผลทางสถติ ิซ่ึงตอบคาถามวิจยั ส่วนที่ 5 นาเสนอบทสรุปท่ีนามาจากผลการทดลองและให้ข้อเสนอแนะหรือการประยุกต์ใช้ของ งานวจิ ยั ลักษณะเฉพาะทางภาษาของการเขียนบทคัดย่อนั้นสามารถสรุปได้ตามหลักการของ ผู้เชี่ยวชาญหลาย (Graetz, 1985, อา้ งใน Swales, 1990; APA, 2002) ทไ่ี ด้กล่าวไว้ดังนี้ 1. เขียนด้วยอดีตกาล (past tense) เนอื่ งจากการศึกษาผ่านมาแล้ว 2. ใช้ สรรพนามบุรุษที่ 3 (the third person) เพือ่ ใหภ้ าษาเปน็ ทางการมากขึ้น 3. ใช้ประโยคกรรมวาจก (passive voice) เพอ่ื ใหภ้ าษาเป็นทางการมากขึน้ 4. เล่ยี งการใช้ประโยคปฏิเสธ เนื่องจากประโยคปฏเิ สธเข้าใจไดย้ ากกวา่ ประโยคบอกเลา่ 5. เลี่ยงการใช้ประโยคย่อยที่มีอนุประโยค (subordinate clauses) สัญลักษณ์ต่าง ๆ คาย่อ (abbreviations) และคาสั้นๆ ของภาษา (shortcuts) เนื่องจากบทคัดย่อต้องการความกระชับดังนน้ั ประโยคควรต้องกระชับไม่มีใจความซ้อนมากนัก และการใช้ตัวย่อหรือสัญลักษณ์ในบทคัดย่อผู้อ่าน อาจไม่เข้าใจ 6. ใช้อดตี กาล (past tense) ในการอธิบายการทดลองและตัวแปรต่าง ๆ เน่อื งจากเกิดข้ึนแล้ว 7. ใชป้ จั จุบนั กาล (present tense) ในการอธบิ ายผลการทดลอง บทสรปุ และการประยุกต์ใช้ เนือ่ งแสดงออกถงึ ความเป็นจรงิ โดยเฉพาะการทดลองเชงิ วิทยาศาสตร์ 8. ใชค้ าศพั ท์ทางด้านเทคนคิ อยา่ งถกู ต้องเพ่ือความเปน็ มอื อาชพี กลวธิ กี ารแปลทใ่ี ชใ้ นการแปลบทตดั ยอ่ 1. กลวิธีการแทนที่ (substitution) หรือการแทนทค่ี าโดยตรงตัว เนอ่ื งจากการแปลบทคัดย่อ เป็นการแปลแบบเน้นความตรงไปตรงมาของสาร กลวิธีการแปลส่วนใหญ่จึงเน้นการแปลแบบตรงตัว เพ่ือให้สารไม่คลาดเคลือ่ นไปจากตน้ ฉบบั
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 83 2. กลวิธีการเปล่ียนแปลงโครงสร้างประโยค (transposition) เน่ืองจากภาษาที่ใช้ใน บทคัดย่อเป็นภาษาทางการ โครงสร้างของภาษาท่ีผู้เขียนเลือกมาใช้อาจจะอ่านยากกว่าปกติท่ีใช้ใน การสื่อสารท่ัวไปอย่างไม่เป็นทางการ ดังน้ันผู้แปลจึงจาเป็นต้องมีการสลับโครงสร้างของภาษาเพื่อ จัดลาดบั ความคดิ ใหม่ใหก้ ารแปลนัน้ อ่านเขา้ ใจง่ายขนึ้ 3. กลวิธีการปรับ (adaptation) การใช้คาในประโยค ในบทคัดย่อบางครั้งอาจพบว่าการใช้ คาศัพท์บางคามีความแตกต่างกันระหวา่ งภาษาต้นทางกับภาษาปลายทาง ผู้แปลจึงต้องปรบั บางส่วน ใหผ้ ้อู า่ นเข้าใจในบริบทของภาษาปลายทางมากขนึ้ แตย่ ังคงความหมายของต้นฉบบั ไว้ 4. กลวิธีการละหรือตัดคา (omission) มีหลายคร้ังในบทคัดย่อท่ีคาบางคาซ้าซ้อนหรือเย่ิน เยอ้ ผูแ้ ปลอาจพิจารณาตัดออกตามความเหมาะสมหากมนั ไมม่ ีผลกระทบการสารตน้ ฉบับโดยตรง 5. กลวิธีการถอดความหมายโดยเน้นสารต้นฉบับ (paraphrasing using a related word) การถอดความเป็นวิธีหนึ่งท่ีจาเป็นในการแปลเอกสารท่ีอ่านยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกสารทาง วิชาการ เนื่องจากว่าบางส่วนของสารมีการใช้คาศัพท์ที่เป็นทางการหรือใช้โครงสร้างท่ีเป็นทางการ มาก ผู้แปลจึงต้องใช้วิธีการถอดความหมายและเรียบเรียงข้ึนมาใหม่ ภายใต้กรอบของสารต้นฉบับ มิฉะน้ันแล้วสารที่แปลออกมาโดยไม่ปรับอาจจะไม่รู้เร่ือง หรือยากท่ีจะเข้าใจสาหรับผู้อ่านในภาษา ปลายทางก็เปน็ ได้ ตวั อย่าง: การแปลบทคัดย่อจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ (อา้ งองิ จาก นศรินทร์ ยวงย้ิม, และปราณภา โหมดหริ ญั , 2557) การวิจัยน้ีมีจุดประสงค์ 2 ประการ คือ (1) เพ่ือศึกษาผลของการสอนพูดภาษาอังกฤษเพื่อ การสอื่ สารโดยการใช้เทคนิคการวเิ คราะหว์ าทกรรมและเนือ้ เพลงสมัยนิยมต่อความสามารถในการพูด ภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสารและ (2) เพ่ือศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อการสอนพูด ภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสารโดยการใช้เทคนิคการวิเคราะห์วาทกรรมและเนื้อเพลงสมัยนิยมต่อ ความสามารถในการพดู ภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสาร The objectives of this research were: (1 ) to study the effects of oral communication instruction using discourse analyzing techniques and pop song lyrics on the English oral communication ability of grade 9 students, and (2 ) to study the opinions of grade 9 students toward the oral communication instruction using discourse analyzing techniques and pop song lyrics on English oral communication ability.
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 84 จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าผู้แปลพยายามใช้วิธีการถ่ายทอดตรงตามตัวอักษร เพื่อให้ ความหมายของสารต้นฉบับถูกถ่ายทอดออกมาอย่างถูกต้องตรงไปตรงมา ผู้แปลจึงใช้กลวิธีการแปล แบบแทนท่ี (substitution) เป็นหลัก โดยไม่ได้เน้นว่าภาษาปลายทางน้ันจะเป็นธรรมชาติหรือไม่ เพยี งแคใ่ หผ้ รู้ บั สารปลายทางอ่านแล้วเข้าใจเท่านน้ั ตัวอย่าง: การแปลบทคดั ยอ่ จากภาษาองั กฤษเป็นภาษาไทย (WU J., & ROEVER C., 2021), We found that learners at different levels clearly differed in their ability to organize refusals as dispreferred and to fine tune their refusal to the initiating action. ผลงานวิจัยพบว่าผู้เรียนท่ีมีความสามารถในระดับต่างระดับ มีระดับความสามารถในการ ปฏิเสธเมือ่ รูส้ กึ ไมพ่ อใจและการหากลวิธีเพอ่ื ดาเนนิ การตอ่ ไดใ้ นระดบั ที่ตา่ งกนั อย่างชดั เจน จากตวั อยา่ งขา้ งตน้ จะเหน็ ได้ว่าผู้แปลใชก้ ลวธิ ีการปรับคา (คาทขี่ ีดเสน้ ใต)้ เพื่อใหผ้ ู้อ่านเขา้ ใจมาก ขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังมีการปรับเปล่ียนตาแหนง่ ของคาในประโยคเพ่ือให้การส่อื ความหมายในภาษา ปลายทางเข้าใจได้ง่ายขึ้น เน่ืองจากภาษาต้นฉบับมีโครงสร้างของคาในประโยคท่ีไม่สอดคล้องกันกับ ภาษาปลายทางในบางส่วน ผู้แปลจงึ ตอ้ งใชก้ ลวิธกี ารเปล่ยี นแปลงโครงสร้างประโยค (transposition) เสียก่อนหลังจากน้ันจึงใช้กลวิธีการถอดความหมายโดยเน้นสารต้นฉบับ (paraphrasing using a related word) (คาท่ีเป็นตัวเอน) เพื่อให้สารที่แปลยังคงความหมายเดิมของสารต้นฉบับไว้แต่ผู้อ่าน ยงั สามารถอา่ นเขา้ ใจได้ มกี ารตดั บางคาทไี่ มจ่ าเป็นออกด้วยเพ่ือใหส้ ารท่ีแปลกระชับ (คาท่ขี ีดฆ่า) การแปลสุนทรพจน์ สุนทรพจน์เป็นสารชนิดหนึ่งท่ีผู้เขียนใช้ทักษะการเขียนข้ันสูงและใช้องค์ประกอบทาง วาทศิลป์เกือบทุกด้านเพ่ือให้สารเกิดความน่าเชื่อถือและโน้มน้าวใจผู้รับสา รโดยการสะท้อนมุมมอง ความคิดของตนเองท่ีมีต่อประเด็นต่าง ๆ สุนทรพจน์จึงเป็นสารในกลุ่มท่ีมีความแตกต่างกับสารอื่น ๆ ในประเภทวิชาการ เน่ืองจากลักษณะทางภาษาของสุนทรพจน์ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ต้องการท่ีจะให้ ข้อมูลเท่าน้ัน แต่เป็น สารที่มี Tone หรือคาพูดที่ส่ออารมณ์ท่ีอยู่ในใจท่ีผู้เขียนออกมาด้วย ดังนั้น ผู้เขียนสารจะมีความสามารถในการใช้ภาษาเชิงภาพพจน์ได้ดี (Beard, A., 2000) สารท่ีส่งน้ันเน้นให้ ผู้ฟังหรือผู้อ่านคิดตามเพราะไม่ตรงตามตัวอักษร ส่วนใหญ่เป็นการปรียบเทียบ ผู้แปลบทสุนทรพจน์ จึงจะต้องหาวิธีการถ่ายทอดสารนั้นออกมาให้ได้ลีลาของภาษาในรูปแบบเดิม การแปลสุนทรพจน์จึง ไม่ได้เป็นเพียงแค่แปลสารเพื่อใหผ้ ู้อ่านเกิดความเข้าใจเท่านั้น แต่เป็นสารที่ผู้แปลตอ้ งเข้าไปใหถ้ ึงลีลา การเขยี นของผู้เขยี นในบริบทของผู้เขยี นเอง และเลอื กว่าจะใช้ลีลาการเขยี นแบบต้นฉบับเดิม หรือจะ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 85 ปรบั ใหมใ่ ห้บริบทเขา้ กับผู้อา่ นเพื่อให้อยู่ในเจจนากรมณ์ของผเู้ ขียน กลา่ วอกี นยั หน่ึง คอื ผู้แปลสนุ ทรพจน์ ต้องศึกษาบทแปลสุนทรพจน์ให้ละเอียดทั้งในระดับของคาศัพท์ (lexical level) โครงสร้างภาษา (grammatical level) และรูปแบบการเขียน (stylistic level) และสามารถสะท้อนมุมมองของ ผู้เขียนต่อประเด็นท่ีเขียนได้อย่างถูกต้อง ดังน้ันงานแปลสุนทรพจน์นี้ถือว่าเป็นงานแปลชนิดท่ีมีความ ท้าทายเป็นอย่างมากตอ่ ผู้แปล ลกั ษณะเฉพาะทางภาษาองคป์ ระกอบของสนุ ทรพจน์ องค์ประกอบเน้ือหา 1. บทนา เน่ืองจากสุนทรพจน์เป็นสารท่ี โน้มน้าวใจ ดังน้นั บทนาจะต้องมีความน่าสนใจ 2. เนอื้ หาสาระที่มีตรรกะ เน้นการใหเ้ หตแุ ละผล และการแสดงออกถึงความถกู ต้องและ การแสดงทรรศนะสว่ นบุคคล 3. บทสรุปท่ีกระต้นุ ความคิด โดยเปน็ การกล่าวซา้ ความคิดเพ่ือทาให้ผู้อ่านเกดิ ความ ประทบั ใจ ลกั ษณะเฉพาะทางภาษา ภาษาทใี่ ช้ในสนุ ทรพจน์นน้ั จะเป็นลกั ษณะการใช้โวหารภาพพจน์ ซ่งึ แบง่ เป็น 2 ประเภทดังน้ี 1. ภาพพจน์ประเภทวาทศิลป์ คือภาพพจน์ท่ีมีการเปล่ียนลาดับของคาในระดับโครงสร้าง ภาษา ซ่ึงส่งผลในเชิงวาทศิลป์และอาจก่อให้เกิดความน่าสนใจในเชิงสุนทรีย์ (aesthetic appeal) เช่น โวหารบุคลาธษิ ฐาน โวหารแฝงนยั เป็นต้น 2. ภาพพจน์ประเภทเปรียบเทียบ เป็นการโนม้ นา้ วผู้ฟังดว้ ยการเปล่ียนแปลงความหมายของ คาท่ีควรจะเป็นให้เป็นความหมายอื่น ภาพพจน์ประเภทนี้มักใช้เมื่อผู้พูดต้องการกล่าวถึงส่ิงหนึ่งหรือ บุคคลหน่ึงในเชิงบวกหรือลบ หรือเพ่ือดึงดูดใจผู้ฟังเมื่อกล่าวถึงตนเองพูดหรือกลุ่มของตนเองเพ่ือทา ให้เกิดความรู้สึกและความคิดเชิงบวก เช่น ความภาคภูมิใจ พลัง เกียรติยศ แรงสนับสนุน และความ เป็นเอกภาพ แต่เม่ือกล่าวฝ่ายตรงข้าม จะทาให้เกิดความรู้สึกและความคิดเชิงลบ เช่น ความกลัว ความละอาย ความบาดหมาง การแบง่ แยก เช่น โวหารอุปมา อปุ ลกั ษณ์ เปน็ ต้น มีรปู แบบการเขียนสนุ ทรพจน์ดงั นี้ 1. ใช้คาศพั ทท์ ่แี สดงให้เห็นภาพหรอื จินตภาพ 2. ใชป้ ระโยคในโครงสรา้ งท่เี ปน็ ประโยคความรวมและความซ้อนมากกวา่ ความเดยี ว 3. ใชภ้ าษาเชงิ ภาพพจน์ 4. ใชค้ าเชือ่ มในการประตดิ ประต่อเนื้อเรือ่ งอย่างสัมพันธก์ นั
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 86 กลวธิ กี ารแปลสนุ ทรพจน์ ทฤษฎีการแปลที่ใช้ในการแปลสุนทรพจน์นั้นสามารถเป็นได้ท้ังสองฝ่ังของการแปล คือ เน้น สารต้นทาง (Source language focused translation) และอีกทางหน่ึงท่ีตรงข้ามกัน คือ การแปล แบบเน้นสารปลายทาง (Target language focused translation) ขึ้นอยู่กับเน้ือหาสาระของสุนทร พจน์น้ัน และจุดมุ่งหมายของผู้แปลในการแปลว่าต้องการแปลแบบตรงตัวหรือไม่ โดยข้อดีของการ แปลแบบตรงตัว ซ่ึงส่วนใหญ่ถ้าเน้นภาษาต้นทาง ผู้เขียนจะใช้แนวการแปลเชิงอรรถศาสตร์ท่ีเน้น ความสละสลวยของภาษาต้นทาง แต่ผู้อ่านภาษาปลายทางจะยังคงรู้สึกขัดหูและไม่เป็นธรรมชาติ ในขณะที่แนวการแปลแบบท่ีเน้นภาษาปลายทางเป็นหลักนิยมใช้การแปลแบบเชิงสื่อสาร ซ่ึงจะให้ ความสาคญั กับผู้อา่ นมากกวา่ ผ้เู ขยี น กลวธิ ที ่ีนามาใช้มีดังต่อไปน้ี 1. กลวิธีการปรับระดับคา เป็นการแก้ปัญหาเมื่อคาหรือสานวนในบทสุนทรพจน์ต้นฉบับไมม่ ี คาหรอื สานวนท่ีเทยี บกันได้กับคาในภาษาปลายทาง เช่น การปรบั บทแปลดใหเ้ ข้ากับความหมายและ วัฒนธรรมปลายทาง การปรับบทแปลด้านจารีตสนุ ทรพจน์ เปน็ ต้น 2. กลวิธีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประโยค (transposition) การปรับระดับโครงสร้าง เป็น การแกป้ ญั หาเก่ียวกับลักษณะภาษาท่ีใชใ้ นฉบบั แปลท่ีแตกต่างกันกบั ภาษาปลายทางมาก ทาใหผ้ แู้ ปล ไม่สามารถใช้โครงสร้างเดิมได้ จึงต้องมีสลับปรับตาแหน่งของคาเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับบริบท และความเป็นธรรมชาติของภาษาปลายทาง 3. กลวิธีการใช้คาที่มีความหมายกว้างกว่า (using a broader word) คือการแทนคาที่มี ความหมายกวา้ ง ดว้ ยคาทมี่ คี วามหมายเฉพาะ 4. กลวิธีการเติม (addition) เป็นการเติมคาเพื่อทาให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจมากขึ้น และ ภาษาเกิดความสละสลวยมากข้ึน 5. กลวิธีการแทนที่ (substitution) การแทนที่คือความพยายามของผู้แปลท่ีจะหาคามาแทน เพ่ือให้สารตรงกับต้นฉบับมากท่ีสุด ในขณะเดียวกันการแทนที่อาจจะมีการแทนที่คาท่ีมีความหมาย ทางวัฒนธรรมกับภาษาปลายทางที่อาจจะใกล้เคยี งหรือแตกตา่ ง แต่สามารถสอื่ ความหมายเดยี วกันได้ เพอื่ ให้เกิดความเขา้ ใจกับผอู้ ่านปลายทาง 6. กลวิธีการละหรือตัดคา (omission) และการละคาที่มีความหมายทางวัฒนธรรมบางคาท่ี ผ้อู า่ นไม่สามารถเขา้ ใจหรอื เขา้ ถึงได้ ตัวอยา่ ง 1 การแปลสุนทรพจนภ์ าษาองั กฤษเปน็ ภาษาไทย “Together, starting today, let us finish the work that needs to be done, and usher in a new birth of freedom on this Earth\"
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 87 “มาร่วมมือกัน เร่ิมจากวันน้ี มาช่วยกันเพื่อทาภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าเราให้สาเร็จ และมาเร่มิ ต้นชีวิตใหมก่ ับอสิ ระภาพท่ีเราควรไดร้ บั กัน” จากประโยคข้างต้น ผู้แปลใชค้ าวา่ “freedom” หรือ อสิ รภาพดว้ ยการเปรียบเทยี บกบั ทารก ที่เกิดใหม่ “a new birth” เพื่อทาให้ภาษามีพลังมากข้ึน มีทั้งการปรับใหเ้ ขา้ ใจ เช่น “มาร่วมมือกนั ” แทน “Together” เนื่องจากเป็นคาห้วนเกินไป ไม่ได้ใจความในภาษาไทย มีการแทนที่คา การละคา เพอ่ื ทาใหผ้ ู้อ่านเกดิ ความเขา้ ใจ และการใชค้ าทม่ี ใี จความกวา้ งขนึ้ เปน็ ต้น ตวั อย่าง 2 การแปลสนุ ทรพจน์จากภาษาไทยเปน็ ภาษาอังกฤษ “เขาเป็นเจ้านายท่ยี อดเยียมมาก ทางานไดเ้ หมือนชาย” \"She is a good boss because she acts like a man.\" จากประโยคตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าผู้แปลใช้โวหารท่ีเป็นอุปลักษณ์เพื่อเปรียบเทียบศักยภาพ ความเป็นผู้นาของผูห้ ญิงท่ีมีความเข้มแข็งเหมือนผชู้ าย โดยกลวิธกี ารหาคาแทนท่ีที่ใกล้เคียงกับภาษา วฒั นธรรมของภาษาปลายทางเพื่อใหผ้ ้อู ่านเข้าใจ แบบฝกึ หัด 1 : แปลข้อความดงั ตอ่ ไปน้ี แปลพาดหัวข่าวจากภาษาไทยเปน็ ภาษาองั กฤษ และภาษาอังกฤษเปน็ ไทย 1. “ชาวเวียดนามเตรียมฉลองปใี หม่ ตรุษญวน ท่ามกลาง การเฝา้ ระวังโควิด-19” 2. “How a tiny European country took on China over Taiwan” แปลเนื้อขา่ วดังตอ่ ไปน้ีจากภาษาไทยเป็นภาษาองั กฤษ เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 65 บรรยากาศในตลาดใหญ่กลางกรุงฮานอย เต็มไปด้วยการวาง จาหนา่ ยของประดับตกแต่งบ้านสีแดงและสีทอง แสดงถึงความเป็นมงคล ความเจรญิ รุ่งเรอื ง รับทรัพย์ รับโชคปีเสือ ในขณะท่ีลูกค้าพากันออกมาเดินจับจ่ายซื้อของใช้สาหรับเทศกาล \"เต๊ด\" ตรงกับวันท่ี 1 ก.พ. อย่างคึกคัก แต่ก็เป็นไปตามมาตรการระมัดระวังในเรื่องของการรักษาระยะห่าง เพราะยังมีการ ระบาดของโควิด-19 แปลเน้ือข่าวดังต่อไปน้ีจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย In November, Lithuania became the first country in Europe to allow self- ruled Taiwan to open a de facto embassy under the name \"Taiwan.\" Other such offices in Europe and the United States use the name Taipei, Taiwan's capital, to avoid references that would imply the island's independence from China. Taiwan's Foreign
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 88 Ministry said the opening of the Taiwanese Representative Office in Vilnius would \"charter a new and promising course for bilateral relations between Taiwan and Lithuania.\" แบบฝกึ หดั 2 : แปลบทคดั ย่อดงั ต่อไปน้จี ากภาษาไทยเปน็ ภาษาอังกฤษ และจากภาษาองั กฤษเป็นไทย 1. การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ และ ประเมินประสิทธิภาพของระบบที่พัฒนาข้ึน โดยท่ีระบบที่พัฒนาข้ึนแบ่งออก เป็น 4 ส่วน ได้แก่ส่วน ของผู้เรียน ส่วนของผู้ปกครอง ส่วนของผู้สอน และส่วนของผู้บริหารรบบ ในส่วนของผู้เรียนสามารถ ลงทะเบียนวิชาเรียน แสดงปฏิทินการศึกษา ศึกษาบทเรียน ส่งการบ้าน ดาวน์โหลดเอกสาร ทา ข้อสอบ ติดตามผลการเรียน และติดต่อสื่อสารกับผสู้ อน ในส่วนของผู้ปกครองสามารถติดตามผลการ เรียน และติดตามประวัติการเข้าเรียนของผู้เรียนในความปกครองและติดต่อกับผูส้ อนได้ สาหรับส่วน ของผู้สอนสามารถลงทะเบียนเปิดรายวิชา เพ่ิมแก้ไขและลบรายวิชาท่ีเปิดสอน เพิ่มแก้ไขและลบ เนื้อหาเสริม ติดต่อผู้เรียนผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียนแสดงผู้เรียนที่ ออนไลน์ 2. On our planet, chemical waste increases day after day, the emergence of new types of it, as well as the high level of toxic pollution, the difficulty of daily life, the increase in the psychological state of humans, and other factors all have led to the emergence of many diseases that affect humans, including deadly once like COVID- 19 disease. Symptoms may appear on a person, and sometimes they may not; some people may know their condition, and others may neglect their health status due to lack of knowledge that may lead to death, or the disease may be chronic for life. แบบฝึกหัด 3 : แปลประโยคสุนทรพจน์ดังต่อไปนี้จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ และจากภาษาอังกฤษ เปน็ ไทย 1. กรุงศรีอยุธยาแตกไม่ใช่เพราะ ไม่มีทแกล้วทหาร หากแต่แตกคราน้ัน เพราะแตกความ สามัคคกี นั ภายใน 2. เมอ่ื ความสามัคคีเกิดข้นึ จะทาส่ิงใดกจ็ กั สาเร็จผล เพราะฉะนัน้ เราจะต้องชว่ ยกันทาให้ คนในชาติมีความรกั สามัคคี เป็นน้าหนึ่งใจเดียวกัน ความสุข ความสงบ และภาพของความศิวไิ ลซ์ วฒั นาสถาพรของชาติ จักบังเกดิ ขึน้ แนน่ อน.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142