มหา ิวทยาลัยราชภัฏห ่มู ้บานจอมบึง ภาวะผนู้ าเชงิ กลยุทธข์ องผูบ้ ริหารสถานศกึ ษากับประสทิ ธิผลของโรงเรยี น สังกดั สานักงานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 1 วทิ ยานิพนธ์ ของ ปยิ นชุ อินทรดบิ เสนอตอ่ บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ราชภฏั หมูบ่ ้านจอมบึงเพือ่ เป็นสว่ นหนึง่ ของการศกึ ษา ตามหลกั สูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา กมุ ภาพนั ธ์ 2565 ลขิ สทิ ธิเ์ ป็นของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมูบ่ ้านจอมบึง
มหา ิวทยาลัยราชภัฏห ่มู ้บานจอมบึง ภาวะผนู้ าเชงิ กลยุทธข์ องผูบ้ ริหารสถานศกึ ษากับประสทิ ธิผลของโรงเรยี น สังกดั สานักงานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 1 วทิ ยานิพนธ์ ของ ปยิ นชุ อินทรดบิ เสนอตอ่ บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ราชภฏั หมูบ่ ้านจอมบึงเพือ่ เป็นสว่ นหนึง่ ของการศกึ ษา ตามหลกั สูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา กมุ ภาพนั ธ์ 2565 ลขิ สทิ ธิเ์ ป็นของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมูบ่ ้านจอมบึง
มหา ิวทยาลัยราชภัฏห ่มู ้บานจอมบึงSTRATEGIC LEADERSHIP OF ADMINISTRATORS AND SCHOOL EFFECTIVENESS UNDER RATCHABURI PRIMARY EDUCATIONAL SERVICE AREA OFFICE 1 THESIS BY PIYANUT INTHARADIP Presented in partial fulfillment of the requirements for the Master of Education Program in Educational Administration February 2022 Copyright by Muban Chom Bueng Rajabhat University
ชอื่ วทิ ยานิพนธ์มหา ิวทยาลัยราชภัฏห ่มู ้บานจอมบึงภาวะผ้นู าเชิงกลยุทธข์ องผู้บรหิ ารสถานศกึ ษากบั ประสทิ ธผิ ลของโรงเรียน สังกัดสานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 ช่อื ผู้วจิ ัย นางสาวปิยนชุ อนิ ทรดบิ หลักสตู ร ครุศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรศักด์ิ สจุ ริตรักษ์ ปีที่สาเร็จการศึกษา 2565 คาสาคั ภาวะผนู้ าเชิงกลยุทธ์ ประสิทธิผลของโรงเรียน บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นาเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาประสิทธิผลของโรงเรียน และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาเชิงกลยุทธ์ของ ผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา ราชบุรี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 จานวน 338 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวจิ ัย คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเช่ือมั่นเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และสหสัมพันธ์แบบเพยี ร์สนั ผลวิจยั พบวา่ 1. ภาวะผู้นาเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อแยกพิจารณาเป็นรายดา้ นพบวา่ อยู่ในระดับ มากทุกด้าน เรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยได้ดังน้ี การคิดเชิงปฏิวัติ การคาดหวังและสร้างโอกาส สาหรับอนาคต การกาหนดวิสัยทัศน์ การรวบรวมปัจจัยสู่การกาหนดกลยุทธ์ และการมีความคิด ความเข้าใจระดับสงู 2. ประสิทธผิ ลของโรงเรียน สงั กดั สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อแยกพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านความสามารถในการพัฒนา นักเรียนให้มีเจตคติทางบวก อยู่ในระดับมากที่สุด และ ด้านความสามารถในการปรับเปลี่ยนและ พัฒนาโรงเรียนให้เข้ากับส่ิงแวดล้อม ด้านความสามารถในการแก้ปัญหาภายในโรงเรียน และ ดา้ นความสามารถในการผลิตนกั เรยี นให้มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นเพ่มิ ขึน้ อยู่ในระดบั มาก 3. ภาวะผู้นาเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัด สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวก ในระดับสงู (r = .744) อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดบั .01
(ข) มหา ิวทยาลัยราชภัฏห ่มู ้บานจอมบึงTHESIS TITLESTRATEGIC LEADERSHIP OF ADMINISTRATORS AND SCHOOL EFFECTIVENESS UNDER RATCHABURI PRIMARY EDUCATIONAL RESEARCHER SERVICE AREA OFFICE 1 CURRICULUM MISS. PIYANUT INTHARADIP MASTER OF EDUCATION PROGRAM IN EDUCATIONAL ADVISOR ADMINISTRATION GRADUATION YEAR ASST. PROF. DR.PHORNSAK SUCHARITRAK KEYWORDS 2022 STRATEGIC LEADERSHIP, SCHOOL EFFECTIVENESS ABSTRACT The purposes of this research were to; 1) explore the strategic leadership of school administrators, 2) examine the school effectiveness, and 3) investigate the relationship between the strategic leadership of school administrators and the school effectiveness under Ratchaburi Primary Educational Service Area Office 1. The sample consisted of 338 administrators and teachers under Ratchaburi Primary Educational Service Area Office 1 using a stratified random sampling technique. The research instrument was a five-rating scale questionnaire with a reliability of 0.92. The statistics for data analysis were frequency distribution, percentage, mean, standard deviation, and Pearson’s coefficient. The research findings were as follows: 1. The strategic leadership of administrators under Ratchaburi Primary Educational Service Area Office 1 overall was at a high level. When considering each aspect, all of them were at a high level. Ranking from the most to the least were revolutionary and contrarian thinking, anticipating and creating a future, creating a vision, gathering multiple inputs to formulate strategy and high-level cognitive activity of the leader. 2. The school’s effectiveness overall was at a high level. When considering each aspect, it was found that developing students’ positive attitude was at the highest level. Having adaptability and improving school environmental development, problem-solving, and helping students increase high academic achievement was at a high level. 3. The strategic leadership of administrators and school effectiveness under Ratchaburi Primary Educational Service Area Office 1 overall were at a high level of positive correlation (r=.744) with statistical significance at .01.
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง ประกาศคุณูปการ วิทยานิพนธ์เรื่อง ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 เล่มนี้ สำเร็จลงได้ด้วยความเมตตา กรุณาของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรศักด์ิ สุจริตรักษ์ อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ท่ีได้ให้ความรู้ คำแนะนำ และตรวจแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ รวมทั้งได้ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์และให้กำลังใจแก่ ผู้วิจัยด้วยดีเสมอมา จนทำให้วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จลงได้ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซ้ึงในความกรุณาและขอ กราบขอบพระคุณเปน็ อย่างสูง มา ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ นาวาอากาศโท ดร.สุมิตร สุวรรณ รองคณบดีฝ่ายวิจัย และบริการวิชาการ คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กําแพงแสน กรุณารับเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการสอบวิทยานิพนธ์และให้คำแนะนำการปรับปรุงให้ วทิ ยานพิ นธ์ฉบับน้ีสมบูรณม์ ากข้นึ ขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชวน ภารังกูล ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.สมคดิ ดวงจักร์ และ อาจารย์ ดร.สุดจิต หม่ันตะคุ ที่กรุณาเป็นผูเ้ ช่ียวชาญตรวจสอบเครื่องมอื ในวิจัยและใหค้ ำปรึกษาแนะนำ จนทำให้วทิ ยานิพนธ์คร้งั นสี้ ำเรจ็ ไดด้ ว้ ยดี ขอขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 ผอู้ ำนวยการ สถานศึกษาท่ีอนุญาตให้ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลวิจัย และขอขอบพระคุณครูในสถานศึกษาท่ีเป็นกลุ่ม ตัวอย่างทุกท่านที่ได้กรุณาตอบแบบสอบถาม ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลสามารถดำเนินการได้สำเร็จ ลลุ ว่ งไปด้วยดี ท้ายท่ีสุดนี้ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซ้ึงต่อบิดา มารดา และทุกคนในครอบครัวท่ีให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน และเป็นกำลังใจท่ีสำคัญให้กบั ผู้วิจัยมาโดยตลอด ขอขอบพระคณุ เพ่ือนร่วมรนุ่ ทกุ คนท่ีคอย ชแ้ี นะ และให้คำปรกึ ษาผู้วิจัยเสมอมา ประโยชนแ์ ละคุณค่าท้ังมวลที่เกดิ จากวทิ ยานิพนธ์ฉบับน้ี ผวู้ ิจัย ขอมอบเป็นเคร่ืองมือบูชาแด่ บิดา มารดา ซึ่งเป็นผู้ให้ชีวิต ผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง และผู้เป็นแบบอย่าง สำคัญของความกระตือรือร้น ความอดทน และความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เพ่ือผลักดันให้ผู้วิจัย ประสบความสำเรจ็ จนถึงทกุ วันนี้ ปิยนชุ อินทรดิบ
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึงสารบญั หน้า บทคดั ย่อภาษาไทย............................................................................................................. (ก) บทคัดย่อภาษาองั กฤษ………………………………………….…………………………………………………. (ข) ประกาศคณุ ปู การ................................................................................................................ (ค) สารบัญ……………………………….……………………………………………………………..………..……….. (ง) สารบัญตาราง..................................................................................................................... (ฉ) สารบญั ภาพประกอบ.......................................................................................................... (ซ) บทที่ 1 บทนำ……………………………………………………………………………….……………………… 1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา............................................................. 1 วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั .................................................................................... 4 สมมติฐานการวิจยั .............................................................................................. 4 ขอบเขตของการวิจยั ........................................................................................... 5 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ................................................................................................ 5 นิยามปฏิบัตกิ าร.................................................................................................. 6 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ..................................................................................... 8 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกย่ี วข้อง............................................................................. 9 เอกสารที่เกยี่ วข้องกบั หลักการ แนวคิด และทฤษฎ.ี ........................................... 9 ภาวะผนู้ ำเชงิ กลยทุ ธ์...…....................................………….....…………………....……. 10 ประสทิ ธิผลของโรงเรยี น..................................................................................... 24 ขอ้ มลู พ้นื ฐานของพ้นื ทวี่ จิ ยั ................................................................................. 42 งานวิจยั ทเ่ี กย่ี วข้อง.............................................................................................. 42 งานวจิ ยั ในประเทศ........................................................................................ 42 งานวิจยั ต่างประเทศ...................................................................................... 47 บทท่ี 3 วิธดี ำเนินการวิจยั .................................................................................................. 49 ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง................................................................................. 49 ประชากร..................................................................................................... 49 กลุ่มตัวอยา่ ง................................................................................................ 49 ตัวแปรทศี่ กึ ษา.................................................................................................... 50
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึงสารบัญ (ตอ่ ) หน้า เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัย........................................................................................... 50 การสร้างเครื่องมือวิจยั ...................................................................................... 51 52 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล.............................................................................................. 52 การวเิ คราะห์ขอ้ มูลและสถติ ิที่ใช้ในการวเิ คราะห.์ ..................................................... บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู …………………………………………………..……………….……………… 54 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มลู ........................................................................ 54 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู .............................................................................................. 55 บทที่ 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ…………………………………..………………………. 68 สรุปผลการวิจยั ........................................................................................................ 68 อภปิ รายผลการวจิ ัย................................................................................................. 68 ขอ้ เสนอแนะ............................................................................................................ 71 ขอ้ เสนอแนะในการนำไปใช้............................................................................. 71 ข้อเสนอแนะในการวิจยั คร้ังต่อไป................................................................... 72 บรรณานกุ รม........................................................................................................................ 73 ภาคผนวก............................................................................................................................. 81 ภาคผนวก ก เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ................................................................................... 82 ภาคผนวก ข ผลการตรวจสอบความตรงของแบบสอบถาม.................................................. 91 ภาคผนวก ค รายช่ือผเู้ ชยี่ วชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจยั ……….............................................. 101 ภาคผนวก ง หนงั สือขออนญุ าตทดลองใช้เครอ่ื งมอื วิจยั ........................................................ 106 ภาคผนวก จ หนงั สือขอความอนุเคราะห์เกบ็ ข้อมูลวจิ ยั ......................................................... 113 ภาคผนวก ฉ ค่าความเชอ่ื ม่ันของแบบสอบถาม..………………………….……….……………….....… 115 ประวตั ิยอ่ ผู้วจิ ัย
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึงสารบญั ตาราง ตารางที่ หน้า 1 ตัวแบบประสิทธผิ ลของโรงเรียน..................................................................................…. 39 2 ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง.............................................................................................. 50 3 สถานภาพของผตู้ อบแบบสอบถาม..........................................……………......................... 56 4 คา่ เฉลีย่ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผ้บู รหิ ารสถานศึกษา 57 สงั กดั สำนกั งานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 1 โดยภาพรวม........... 58 5 คา่ เฉล่ีย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ภาวะผนู้ ำเชงิ กลยทุ ธ์ของผู้บรหิ ารสถานศึกษา 59 สงั กัดสำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษาราชบุรี เขต 1 ด้านการมีความคิดความเขา้ ใจระดบั สูง....................................................................... 60 6 ค่าเฉลย่ี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ภาวะผู้นำเชิงกลยทุ ธข์ องผูบ้ ริหารสถานศึกษา สังกดั สำนกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาราชบุรี เขต 1 60 ดา้ นการรวบรวมปจั จยั สู่การกำหนดกลยุทธ์............................................................... 7 คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผ้บู รหิ ารสถานศึกษา 61 สงั กัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาราชบุรี เขต 1 62 ดา้ นการคาดหวงั และสร้างโอกาสสำหรบั อนาคต........................................................ 8 ค่าเฉล่ีย และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ภาวะผ้นู ำเชิงกลยุทธ์ของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา 63 สังกดั สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบรุ ี เขต 1 ดา้ นการคิดเชิงปฏวิ ตั ิ................................................................................................... 9 ค่าเฉลี่ย และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ภาวะผูน้ ำเชงิ กลยทุ ธข์ องผู้บรหิ ารสถานศึกษา สงั กัดสำนกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 ดา้ นการกำหนดวิสยั ทศั น์............................................................................................ 10 ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประสทิ ธิผลของโรงเรยี น สงั กดั สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 1 โดยภาพรวม............. 11 ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประสิทธิผลของโรงเรยี น สงั กดั สำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาราชบรุ ี เขต 1 ดา้ นความสามารถในการผลิตนักเรยี นใหม้ ีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นเพ่ิมขึ้น.................
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึงสารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หนา้ 12 ค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประสทิ ธิผลของโรงเรียน 64 สงั กดั สำนกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 1 65 ดา้ นความสามารถในการพัฒนานักเรยี นให้มเี จตคติทางบวก...................................... 66 67 13 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ประสทิ ธผิ ลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 ดา้ นความสามารถในการปรับเปล่ยี นและพฒั นาสถานศกึ ษาใหเ้ ขา้ กับส่งิ แวดล้อม..... 14 ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ประสทิ ธผิ ลของโรงเรยี น สงั กดั สำนักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 1 ดา้ นความสามารถในการแกป้ ัญหาภายในสถานศึกษา................................................ 15 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากบั ประสทิ ธิผลของโรงเรยี น สังกดั สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 1...................................
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึงสารบัญภาพประกอบ ภาพประกอบท่ี หนา้ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย................................................................................................. 8
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง บทท่ี 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา สถานการณ์และแนวโน้มของโลกในช่วงที่ผ่านมามีการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีสื่อสาร และเทคโนโลยีชีวภาพ ได้ทำให้รูปแบบการผลิต การ ดำเนินธุรกจิ และการใช้ชวี ิตของประชาชนเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มนษุ ยส์ ามารถส่ือสารทงั้ ภาพ และเสียงได้อย่างไร้พรมแดน การทำธุรกิจและธุรกรรมบนโครงข่ายดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น ประเทศท่ีใช้ เทคโนโลยีเป็นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจทำให้การเติบโตไปอย่างก้าวกระโดดในอนาคตองค์ความรู้ดา้ น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีส่ังสมมาอย่างต่อเน่ือง ประกอบกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ พ้ืนฐานแขนงใหม่ กล่าวคือวิทยาการรับรู้ ซึ่งเป็นการทำงานระหว่างสมองและจิตใจ ความสัมพันธ์ ระหว่างความคิด อารมณ์ และการกระทำมีความสำคญั ต่อการสรา้ งเทคโนโลยแี ละนวัตกรรมใหมท่ ่ีจะ ส่งผล ให้ เกิด การผลิก โฉม การพั ฒ น าเศ รษ ฐ กิจ สั งคม และการด ำรงชี วิต ของม นุ ษ ย์ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2560, 23-24) ทรัพยากรมนุษย์จึง เป็นปัจจัยที่มีค่าย่ิงให้เกิดการพัฒนาปัจจัยอื่น ๆ ท่ีก่อให้เกิดการพัฒนาประเทศไม่ว่าจะเป็นด้าน เศรษฐกิจ การเมือง สังคมก็มาจากทรัพยากรมนุษย์ทั้งส้ิน ประเทศต่าง ๆ จึงมุ่งหวังท่ีจะมีทรัพยากร มนุษย์ที่มีประสิทธิภาพและมีระบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ท่ีดีและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ ประเทศชาติหากประเทศใดมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพสูงและสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในทางสร้างสรรค์แล้ว ประเทศนั้นก็เจริญก้าวหน้ามีความม่ังคั่งและมั่นคงทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมอื งและทางสงั คมแต่ถ้าหากประเทศใดขาดทรัพยากรมนุษย์ที่มคี ุณค่าหรือไม่สามารถนำมาใชใ้ ห้ เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติได้ ประเทศก็พัฒนาไปได้ยากความเจริญหรือความล้าหลังของประเทศ จงึ ขึ้นอยกู่ ับปัจจัยทรพั ยากรมนษุ ยเ์ ปน็ สำคัญ (กรรณิการ์ สุวรรณศรี, 2564, 1) การพัฒนาประเทศใน อนาคตต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างทุนของประเทศที่มีอยู่ให้เข้มแข็ง และมีพลังเพียงพอใน การขบั เคล่ือนกระบวนการการพัฒนาท้ังในระยะกลางและระยะยาว โดยเฉพาะ “การพัฒนาคน” ให้ มีการเตรียมความพร้อมรับการเปล่ียนแปลงของโลกในศตรวรรษที่ 21 (สำนักงานปลัดกระทรวง ศึกษาธิการ, 2560, 10) เป็นความสำคัญจำเป็นเร่งด่วนท่ีประเทศต้องเร่งดำเนินการเพื่อสร้างขีด ความสามารถ โดยรัฐและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันกำหนดกรอบทิศทางและเป้าหมาย การผลิตและพัฒนากำลังคนท่ีชัดเจนในสาขาต่าง ๆ พัฒนาหลักสูตรการศึกษาในระดับต่าง ๆ ที่ ส า ม า ร ถ ส ร้ า ง เส ริ ม ทั ก ษ ะ ส ำ คั ญ เพ่ื อ ร อ ง รั บ พ ล วั ต แ ล ะ ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง โ ล ก (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560, 101) เพราะการศึกษามีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ ช่วย พัฒนาคนให้มีความรู้ความสามารถ เสริมสร้างสติปัญญา และเป็นพลเมืองที่มีประสิทธิภาพของ ประเทศชาติซ่ึงจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศใน ทุก ๆ ด้าน (สมหมาย ปวะบุตร, 2558, 12) การศึกษาจึงเป็นความจําเป็นของชีวิตอีกประการหนึ่ง นอกเหนือจากความจําเป็นด้านท่ีอยู่อาศัย อาหารเครื่องนุ่งห่ม และยารกั ษาโรค การศกึ ษาจงึ เป็นปจั จยั ท่ี 5 ของชีวิตจะช่วยแก้ปญั หาทุก ๆ ด้าน
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 2 ของชวี ิตและเป็นปัจจัยที่สำคญั ที่สุดของชีวิตท่ีช่วยให้คนอยรู่ อดในโลกได้ เป็นประโยชน์กับตนเอง กับ ครอบครัว ประเทศชาติ และสังคมโลกโดยส่วนรวมในโลกท่ีมีกระแสความเปลี่ยนแปลงทางด้าน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยอี ย่างรวดเรว็ (พชิ ญาภา ยนื ยาว, 2557, 6) อย่างไรก็ตามเมื่อความเปล่ียนแปลงได้เกิดขึ้นมากมาย และเป็นไปอย่างพลวัตองค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องเรียนรู้และปรับตัวเองให้สามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัย บุคคลผู้มีบทบาทสำหรับของการ ปรับเปล่ียนกลยุทธ์ขององค์กร คือผู้บริหาร (พิชญ์ณิฐา พรรณศิลป์, 2558, 148) ดังนั้นผู้บริหารจึงมี บทบาทสำคัญต่อความสำเร็จหรือประสิทธิภาพของงาน ผู้บริหารจะต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม มี พฤติกรรมในการเปน็ ผ้นู ำเพอื่ ให้งานเกดิ ประสิทธิภาพ (รญิ ญาภัทร์ สภาศิริธนานนท์, 2563, 2) เพราะ การดำเนินการด้านกลยุทธ์ขององค์กรต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ เกดิ ขึ้น กลยทุ ธเ์ หล่านั้นกต็ ้องมาจากผู้นำขององค์กรน้ันเอง ไม่ว่าจะเปน็ การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ วัตถุประสงค์ และเป้าหมายขององค์กร ตลอดจนผู้นำคือผู้ที่รับผิดชอบต่อความสำเร็จและความ ล้มเหลวขององค์กรท่ีต้องดำเนินงานภายใต้สังคมโลกท่ีมีลกั ษณะสังคมแบบไรพ้ รมแดน มีส่ิงแวดล้อม ที่มีการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา และการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (นฤมล จิตรเอื้อ, 2560, 1739-1740) นอกเหนือจากนั้นการท่ีจะช่วยให้องค์กรนั้นอยู่ได้โดยไม่มีปัญหา มีความ เจริญก้าวหน้าและบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ องค์ประกอบที่จะขาดไม่ได้ คือ บุคคลที่ทำหน้าที่เป็น ผู้บริหารขององค์กรนั้น ๆ ท่ีมีภาวะผู้นำ เพราะภาวะผู้นำเป็นปัจจัยสำคัญต่อการบริหารหรือต่อตัว ผู้บริหาร ซ่ึงถือเป็นประเด็นที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ตราบใดท่ียังมีการทำงานของบุคคลร่วมกันอยู่ ภายในองค์กร มีบทบาทและความรับผิดชอบโดยตรงต่อการวางแผน การตัดสินใจ การส่ังการดูแล และควบคุมให้บุคลากรขององค์กรปฏิบัติงานต่าง ๆ รวมถึงความรับผิดชอบต่อการพัฒนาขององค์กร ด้วย (ธนัณฎา ประจงใจ, 2557, 18) ผู้นำจึงต้องเรียนรู้และปรับวิสัยทัศน์ของการบริหารจัดการให้ ทันสมยั และนำเคร่ืองมอื ทีม่ ีประสทิ ธภิ าพมาใช้ ความรู้การบรหิ ารเชงิ กลยุทธ์ทำให้ผูน้ ำมแี บบแผนการ ดำเนินการท่ีมีความรอบคอบมากยิ่งขึ้น นอกจากผู้นำจะต้องหาความรู้ด้านการบริหารกลยุทธ์ให้มาก ย่ิงข้ึนแล้ว ยังจำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์อีกด้วย (ปนัดดา วรกานต์ทิวัตถ์, 2555, 27) ดังนั้นผู้บริหารจำเป็นต้องมีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ท่ีต้องปรับเปลี่ยนทิศทาง วิธีการคิด และการ บริหารแบบใหม่ ที่สอดคล้องทันต่อการเปลี่ยนแปลง มีความพยายามในการวางแผนกลยุทธ์อย่าง สมบูรณ์ ท่ีครอบคลุมภารกิจและขอบข่ายทั้งหมดของโรงเรียน ทำให้มีการนำเอาเร่ืองของ กระบวนการบริหารงานโดยเฉพาะการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ เข้ามาบูรณาการร่วมกันเป็นรูปแบบการ บริหารเชิงกลยุทธ์ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์จึงนับว่าเป็นภาวะผู้นำอีกรูปแบบหนึ่งท่ีมีความสำคัญในยุค ปฏิรูปการศึกษาเช่นกัน โดยผู้บริหารท่ีมีภาวะผู้นำกลยุทธ์จะสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ มีกลยุทธใ์ นการสร้างแรงจูงใจ และสรา้ งมนุษย์สัมพันธ์เพื่อให้บุคลากรปฏิบัติหน้าทเ่ี ต็ม กำลังความสามารถ รวมถึงมีความสามารถในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ เน้นการมีส่วนร่วม วางแผนปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาโรงเรียน ปฏิรูปโรงเรียน เปลี่ยนแปลงและพัฒนาโรงเรยี นไปสู่ความทนั สมัย (วรรณฤดี มณฑลจรัส, 2562, 246) องค์กรในยุคโลกาภิวัตน์หรือยุคศตวรรษท่ี 21 ต่างก็ต้องปรับตัวเองให้เข้ากับพลวัตของ สภาพแวดล้อมทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว องค์กรจึงต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ เพ่ือให้องค์กรอยู่รอดและ
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 3 สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรได้อยา่ งแท้จริง ประสิทธิผลจึงมีความสำคัญอย่าง ย่ิงในทางการบริหารองค์กร เพราะเปน็ ตัวช้ีวัดว่าการบริหารองค์กรประสบความสำเร็จหรือไม่เพียงใด และยังเป็นปัจจัยบ่งช้ีประการหน่ึงถึงความสำเร็จของผู้นำองค์กรท่ีแสดงถึงความสามารถ ศักยภาพ ภาวะผู้นำ และความรับผิดชอบของผนู้ ำองค์ในการบรหิ ารทรัพยากรให้เกิดประโยชน์หรือคุณค่าสูงต่อ องค์กร (มยรุ ี วรรณสกลุ เจริญ, 2563, 194-197) ถ้าปราศจากการประเมินประสทิ ธผิ ลแล้วจะไม่มที าง ทราบว่าผลการปฏิบัติตามภารกิจขององค์กรเป็นอย่างไรซึ่งประสิทธิผลของการบริหารจัดการจะ สัมฤทธิ์ผลมากหรือน้อยนั้นพฤติกรรมการบริหารของผู้นำเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดปัจจัยหน่ึง (นันท์นภัส สุทธิการ, 2562, 2) ดังนั้นในการบริหารจัดการย่อมคำนึงถึงประสิทธิผลขององค์กรเป็น สำคัญดงั นนั้ ในการบรหิ ารจัดการที่ผนู้ ำองค์กรยอ่ มมีความต้องการเห็นประสทิ ธิผลของการดำเนินการ จัดการมากกว่าส่ิงใด ๆ และการที่บุคลากรหรือผู้ดำเนินการจัดการได้ประสบความสำเร็จในการ ดำเนินงาน โดยที่ใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและใชอ้ ย่างมีคุณภาพมากที่สุด (สุภาภรณ์ วงศ์กรเชาวลิต, 2560, 14) ส่วนในด้านประสิทธิผลองค์กรทางด้านการศึกษา กล่าวคือโรงเรียน หรือ โรงเรียน ประสิทธผิ ลมีความสำคัญอยา่ งยิ่งในการบริหารโรงเรยี น เปน็ การตรวจสอบขั้นสดุ ท้ายว่าการ บริหารโรงเรียนประสบความสำเร็จหรือไม่เพียงใด โรงเรียนจะอยู่รอดและมีความมั่นคงก็ข้ึนอยู่กับ ประสิทธิผลของโรงเรียน ถ้าโรงเรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์จะสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ (ขวัญพิชชา มีแก้ว, 2562, 30) แต่ถ้าไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ โรงเรียนจะล่มสลายไม่สามารถ ดำรงอยู่ตอ่ ไปได้ ดังนั้นโรงเรียนต่างก็ให้ความสำคัญกบั ประสิทธิผลทกุ ๆ โรงเรียน เพราะประสิทธิผล ของโรงเรียนจะหมายถึงผลสำเร็จของการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพแลว้ ยังหมายถึงคุณภาพของ ผู้เรียนท่ีจะส่งผลต่อความรู้ ความสามารถ และอนาคตของผู้เรียนอีกด้วย ดังนั้นประสิทธิผลจึงส่ิง สำคัญทีท่ ุกโรงเรยี นจำเป็นตอ้ งมี การท่ีผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำเชงิ กลยุทธ์ จะมีความคิดท่ีสร้างสรรค์ มีกลยุทธใ์ นการ วางแผนและการทำงานร่วมกันภายในโรงเรียน อันจะก่อให้เกิดการทำงานอย่างเป็นข้ันตอนและ รอบคอบส่งผลให้โรงเรียนเกิดประสิทธิผล ดังนั้นภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาจึงมี ความสัมพันธ์และเป็นองค์ประกอบในการบรหิ ารงานที่จะส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนเป็นอย่าง มาก เพ็ญประภา สาริภา (2556, 94) ได้ศึกษาวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหาร สถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี ระดับ .01 สอดคล้องกับ วันวิสาข์ ทองติง (2555, 64) กรรณาภรณ์ พุฒชงค์ (2560, 93) และ นพวรรณ บุญเจริญสุข (2560, 93) ได้ศึกษาวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา กบั ประสิทธิผลของโรงเรียนมคี วามสมั พันธ์กนั ในระดับสงู อย่างมนี ัยสำคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .01 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เป็นภาวะผู้นำสมัยใหม่อีกรูปแบบหน่ึง ท่ีมีความสำคัญต่อองค์กรทุก องค์กรในการนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้โดยง่ายและประหยัดทรัพยากรขององค์กร ถึงแม้ว่า ภาวะผู้นำเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อผู้บริหารสถานศึกษาที่จะทำให้การบริหารจัดการมี ประสิทธิภาพ แต่ยังพบว่าผู้บริหารสถานศึกษาขาดภาวะผู้นำ โดยเฉพาะอย่างย่ิงภาวะผ้นู ำเชิงกลยุทธ์ ในโรงเรียนหลายพื้นที่ จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของ ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาท่ผี ่านมา พบว่า ภาวะผ้นู ำเชงิ กลยุทธ์ด้านการมีความคิดความเข้าใจในระดบั สูงมี คา่ เฉลี่ยอยู่ในลำดับต่ำสุด (สพุ รรณ ประศรี ,2555, 102) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ด้านการมวี ธิ ีการคิดเชิง
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 4 ปฏิวัติมีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับต่ำสุด (วันวิสาข์ ทองติง, 2555, 64) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ด้าน ความสามารถในการนำปัจจัยนำเข้าต่าง ๆ มากำหนดกลยุทธ์มีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับต่ำสุด (เยาวรินทร์ ย้ิมรอด, 2559, 82) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ด้านความสามารถในการนำปัจจัยนำเข้าต่าง ๆ มากำหนด กลยุทธ์ค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับต่ำสุด (เหมือนฝัน นันทิยกุล, 2562, 139) และภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ด้าน การกำหนดวิสยั ทัศน์มคี า่ เฉลยี่ อยใู่ นลำดับต่ำสุด (นวลจนั ทร์ จุนทนพ, 2559, 44) โรงเรียนก็เปรียบเสมือนองค์กรหน่ึงในสังคม ท่ีจัดตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย ซ่ึงประสิทธิผลขององค์กรเกือบทุกแห่งก็คือรายได้และผลการบริหารจัดการภายในองค์กร แต่ ประสิทธผิ ลของโรงเรยี นก็คือผลสัมฤทธิข์ องนกั เรยี นและผลการบรหิ ารจัดการ ซงึ่ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา มคี วามสำคัญเป็นอย่างมากในการกำกับ ดูแลโรงเรียน หากผู้บริหารสถานศึกษาขาดภาวะผู้นำเชิงกล ยุทธ์ ย่อมมีความสัมพันธ์และส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังผลวิจัยพบว่า ประสิทธิผลของโรงเรียนด้านความสามารถในการผลิตนักเรียนให้มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเพ่ิมขึ้น มี ค่าเฉล่ียอยู่ในลำดับต่ำสุด (วันวิสาข์ ทองติง, 2555, 74) ประสิทธิผลของโรงเรียนด้านความสามารถ ในการผลิตนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้นมีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับต่ำสุด (มัทนิตา คงช่วย, 2563, 93) ประสิทธิผลของโรงเรียนด้านความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติ ทางบวกมีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับต่ำสุด (ฤทัยรตั น์ บุญอินทร์, 2559, 102) และประสิทธิผลของโรงเรียน ด้านความสามารถในการผลิตนักเรียนให้มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเพ่ิมข้ึนมีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับต่ำสุด (กฤตชั ญ์ สุริยนต์, 2562, 11) จากความเป็นมาและความสำคัญของปญั หาดงั กล่าว ทำให้ผู้วิจยั เห็นความสำคญั และสนใจที่ จะศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงาน เขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 โดยคาดหวังว่าข้อมูลที่ได้จากการศึกษาคร้ังน้ีสามารถ นำไปเป็นแนวทางในการปรบั ปรุงพัฒนาการบริหารต่อไป วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย จากความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา ผู้วจิ ยั จงึ กำหนดวตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศกึ ษาราชบุรี เขต 1 2. เพื่อศึกษาประสทิ ธผิ ลของโรงเรยี น สังกัดสำนักงานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 3. เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับ ประสิทธผิ ลของโรงเรียน สงั กดั สำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาราชบุรี เขต 1 สมมติฐานการวจิ ัย เพ่อื ให้สอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย ผู้วิจัยจึงกำหนดสมมติฐานของการวิจัย ดงั น้ี ภาวะผนู้ ำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศกึ ษากับประสทิ ธิผลของโรงเรยี น สังกดั สำนักงาน เขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาราชบรุ ี เขต 1 มคี วามสัมพันธ์กันทางบวกในระดบั สงู
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 5 ขอบเขตของการวจิ ัย 1. ขอบเขตดา้ นประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง การวิจัยคร้ังน้ีมุ่งศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของ โรงเรยี น สังกดั สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 1 โดยกำหนดขอบเขตวจิ ัย ดงั น้ี 1.1 ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูสังกัดสำนักงานเขต พ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 จำนวน 2,661 คน จำแนกเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 175 คน และครู จำนวน 2,486 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาและครูสังกัดสำนักงานเขต พ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 จำนวน 338 คน ได้จากการเปิดตารางขนาดกลุ่มตัวอย่าง ของ เครจซ่ี และ มอร์แกน (Krejcie & Morgan, 1970, 607-610) จากนั้นผู้วิจัยทำการสุ่มตัวอย่าง แบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน (stratified random sampling) โดยใช้ขนาดโรงเรียนเป็นชัน้ ประกอบด้วย ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และขนาดใหญ่พิเศษ ได้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 22 คน และครู จำนวน 316 คน เพื่อให้ไดผ้ ู้ตอบแบบสอบถาม ผู้วิจยั ทำการสุ่มอย่างง่ายด้วย วิธีการจบั ฉลาก 2. ขอบเขตดา้ นพนื้ ท่ี โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 จำนวน 175 แห่ง จำนวน 6 อำเภอ ประกอบดว้ ย เมืองราชบรุ ี จอมบงึ ปากทอ่ บ้านคา สวนผง้ึ และวดั เพลง 3. ตัวแปร 3.1 ตัวแปรต้น คอื ภาวะผูน้ ำเชิงกลยทุ ธข์ องผบู้ ริหารสถานศึกษาของ ดูบริน (DuBrin, 2007, 393-396) ซง่ึ ประกอบด้วย 5 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1. การมีความคิดความเขา้ ใจระดับสูง 2. การรวบรวมปจั จยั สกู่ ารกำหนดกลยุทธ์ 3. การคาดหวังและสรา้ งโอกาสสำหรบั อนาคต 4. การคิดเชงิ ปฏวิ ตั ิ 5. การกำหนดวิสัยทศั น์ 3.2 ตัวแปรตาม คือ ประสิทธิผลของโรงเรียนตามแนวคิดของ มอทท์ (Mott cited in Hoy & Miskel, 2013, 319-320) ซงึ่ ประกอบดว้ ย 4 ดา้ น ได้แก่ 1. ความสามารถในการผลติ นกั เรยี นให้มีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนเพิ่มข้ึน 2. ความสามารถในการพัฒนานกั เรยี นใหม้ ีเจตคตทิ างบวก 3. ความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาโรงเรยี นให้เข้ากบั สิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการแกป้ ญั หาภายในโรงเรียน นิยามศัพทเ์ ฉพาะ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง กระบวนการที่แสดงถึงความสามารถของตัวผู้บริหารในการ กำหนดทิศทางและสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างองค์การหรือรักษาองค์กรไว้ โดยมีลักษณะและ บคุ ลิกส่วนตัวทซ่ี ับซอ้ นหลากหลาย มีการคิดอยา่ งเป็นรูปแบบ และมกี ารจัดการอย่างมปี ระสิทธิภาพ
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 6 ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ผลสำเร็จของการบริหารจัดการของผู้บริหารภายใน โรงเรียนและการดำเนินงานท่ีมีประสิทธิภาพของบุคลากรในการจัดการศึกษาท่ีบรรลุผลตาม วตั ถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตง้ั ไว้ของโรงเรียน ผู้บริหารสถานศึกษา หมายถึง ผู้ที่ได้รับการแต่งต้ังให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือรักษาราชการแทนในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 ครู หมายถึง บุคลากรวิชาชีพซึ่งทำหน้าท่ีหลักทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริม การเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศกึ ษาราชบุรี เขต 1 โรงเรียน หมายถึง โรงเรียนในสังกดั สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 จำนวน 175 แห่ง นยิ ามปฏบิ ัติการ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง กระบวนการท่ีแสดงถึงความสามารถของตัวผู้บริหารในการ กำหนดทิศทางและสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างองค์การหรือรักษาองค์กรไว้ โดยมีลักษณะและ บุคลิกส่วนตัวที่ซับซ้อนหลากหลาย มีการคิดอย่างเป็นรูปแบบ และมีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงประกอบด้วย 5 ดา้ น ดงั น้ี 1. การมีความคิดความเข้าใจระดับสูง หมายถึง ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ คิด สงั เคราะห์ จนสามารถสรุปข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำไปกำหนดเป็นแผนปฏิบัติงาน ผู้บริหารมีความคิดเชิง ระบบ คือสามารถบริหารงานให้คนในองค์กรทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และมี ความสามารถในการคิดแก้ไขปัญหาสามารถนำความรู้ความเข้าใจ ท่ีมีไปใช้ในการแก้ปัญหาอย่างมี วจิ ารณญาณ มีความคิดริเร่มิ สรา้ งสรรคใ์ นการทำงาน 2. การรวบรวมปัจจัยสู่การกำหนดกลยุทธ์ หมายถึง ความสามารถในการวิเคราะห์ปัจจัย ภายนอกและปัจจัยภายในองค์กรเพ่ือเก็บเป็นข้อมูลในการกำหนดกลยุทธ์บริหา รจัดการข้อมูลโดย จัดเป็นขอ้ มูลสารสนเทศ มีการรายงานผล แผนงานและโครงการเพ่ือนำเป็นข้อมูลในการพัฒนางาน มี การคิดเชงิ ประยุกต์นำความรู้ท่ีเก็บรวบรวมไดม้ าใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนเ์ พือ่ ให้งานบรรลเุ ป้าหมายทต่ี ้ังไว้ 3. การคาดหวังและสร้างโอกาสสำหรับอนาคต หมายถึง ความสามารถในการวางแผนการ ทำงาน สามารถคาดการณ์อนาคต สถานการณ์ มีการทำงานเชิงรุก มีปฏิภาณไหวพริบ มีทักษะ ใน การคิดแก้ปัญหาขององค์กรเป็นนักวางแผนกลยุทธ์และขับเคล่ือนกลยุทธ์ให้บรรลุเป้าหมายของ องค์กร 4. การคิดเชิงปฏิวัติ หมายถึง ความสามารถในการคิดเชิงบูรณาการ มีความคิดริเริ่ ม สรา้ งสรรค์ มคี วามสามารถในการคิดแบบองคร์ วม คดิ เปลีย่ นแปลง คดิ แปลกใหม่เพือ่ พัฒนาความเป็น เลิศขององค์กร มีการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่อย่างไม่หยุดน่ิง พัฒนาทักษะใหม่ ๆ ภายใต้กรอบการ ทำงานอยา่ งชดั เจนมีความเขา้ ใจหลักการพัฒนาองคก์ รแบบย่ังยนื 5. การกำหนดวสิ ยั ทัศน์ หมายถงึ ความสามารถในการแสดงศักยภาพของการเป็นผู้นำ เพ่ือ พาองค์กรส่เู ปา้ หมายแหง่ ความสำเรจ็ มองเหน็ ภาพรวมในอนาคตขององค์กรท่ตี ้องการท่ีจะให้เปน็ ได้
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 7 อย่างชัดเจน โดยภาพน้นั ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั เป้าหมายขององคก์ ร มคี วามเปน็ ไปไดข้ องวิสยั ทศั นแ์ ละ สามารถมองเป็นวิธีการท่จี ะนำองค์กรใหบ้ รรลุความต้องการ ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ผลสำเร็จของการบริหารจัดการของผู้บริหารภายใน โรงเรียนและการดำเนินงานท่ีมีประสิทธิภาพของบุคลากรในการจัดการศึกษาที่บรรลุผลตาม วัตถปุ ระสงคห์ รือเป้าหมายท่ีต้ังไวข้ องโรงเรียน ซ่ึงประกอบด้วย 4 ด้าน ดงั นี้ 1. ความสามารถในการผลิตนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพ่ิมข้ึน หมายถึง ความสามารถในการบรหิ ารและการจัดการศกึ ษาที่มีประสิทธภิ าพมีการวางแผนในการพัฒนาคณุ ภาพ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน พัฒนานักเรียนด้วยกิจกรรมที่หลากหลายตามความเหมาะสม และสอดคล้องกับความต้องการและความสามารถของผู้เรียน สามารถผลิตนักเรียนให้มีระดับ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่มีเฉลี่ยสูงเพิ่มขึ้น นักเรียนมีความสามารถในการเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูง เพ่ิมข้ึน และจำนวนร้อยละของนักเรียนท่ีได้รับรางวัลทางด้านวิชาการจากหน่วยงานภาครัฐและ เอกชนเพม่ิ ขน้ึ 2. ความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีเจตคติทางบวก หมายถึง ความสามารถในการ ดำเนินงานในการส่งเสริมนักเรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม คิดเชิงบวก มีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ต่อ สังคม เพ่ือให้ผู้เรียนแสดงออกถึงพฤติกรรมในทางท่ีดีงามเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย รู้จักพั ฒ นาตน เองใน ด้านการศึกษาเล่าเรียนมีเจตคติท่ีดีต่อการศึกษาและอยู่ ใน สังคมได้อย่างมี ความสุข 3. ความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาโรงเรียนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม หมายถึง ความสามารถในการดำเนนิ งานด้านการบริหาร ด้านวชิ าการการจัดการเรียนการสอน เพ่ือให้โรงเรยี น มีความเจรญิ ก้าวหนา้ สามารถปรับตัวให้กา้ วทนั ตอ่ การเปลยี่ นแปลง ครมู ีความกระตอื รือร้น ปรบั ปรุง วิธีการสอน นำความรู้และประสบการณ์จากการอบรมมาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมีนวัตกรรม และส่อื สอนใหม่ ๆ มีการค้นคว้าและพฒั นาส่ืออุปกรณก์ ารสอนอยูเ่ สมอ 4. ความสามารถในการแก้ปัญหาภายในโรงเรียน หมายถึง ความสามารถในการบริหารด้าน การจัดการเรียนการสอน มีการกระตุ้นครูในโรงเรียนให้เห็นวิธีการหรือแนวทางในการแก้ปัญหา ส่งเสริมให้ครูในโรงเรียนเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน มีการกระตุ้นให้ครูในโรงเรียนแสดงความคิดเห็น มองปัญหาในแง่มุมต่าง ๆ มีการวิเคราะห์ปัญหา โดยใช้เหตุผลและข้อมูลหลักฐาน มีความคิดริเริ่ม สรา้ งสรรค์ ดูแลเอาใจใส่และให้ความช่วยเหลือผู้เรียนด้วยความเต็มใจ ปกครองนักเรียนให้ปฏิบัติตน อยใู่ นกฎระเบียบของโรงเรยี นและสังคม การรว่ มมือกันของบุคลากรในการพัฒนาและแก้ไขปญั หาตา่ ง ๆ รวมถงึ งานรับผดิ ชอบอน่ื ๆ โดยใช้ระบบการมสี ่วนร่วมของทกุ ฝ่าย ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะไดร้ บั ผลท่ีไดจ้ ากการวิจยั ครัง้ น้ี สามารถนำไปใชเ้ ป็นข้อมูลใหผ้ ้บู รหิ ารสถานศกึ ษาสังกดั สำนักงาน เขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 ไดด้ งั น้ี 1. เพื่อเปน็ แนวทางในการพฒั นาภาวะผนู้ ำเชงิ กลยุทธ์ของผู้บรหิ ารสถานศึกษาให้มีระดบั ที่สูง ปรบั ปรงุ ข้อท่ีควรแกไ้ ข ซง่ึ เป็นองคป์ ระกอบท่ีสำคัญในการนำพาสถานศึกษาไปสู่เป้าหมาย
8 มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง2. เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาประสิทธิผลของโรงเรียนท่ีสะท้อนให้เห็นถึงข้อที่ควรแก้ไข เพ่ือ ก่อให้เกดิ ประโยชน์ตอ่ บุคลากร และนกั เรียนโดยตรง และใหโ้ รงเรยี นเป็นผนู้ ำทางการศึกษา กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั การวิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยได้ศึกษาทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาของ ดูบริน (DuBrin, 2010, 382-387) ซ่ึงประกอบด้วย 1) การมีความคิดความเข้าใจระดับสูง 2) การรวบรวม ปัจจัยสู่การกำหนดกลยุทธ์ 3) การคาดหวังและสร้างโอกาสสำหรับอนาคต 4) การคิดเชิงปฏิวัติ 5) การกำหนดวิสัยทัศน์ ส่วนประสิทธิผลของโรงเรียนผู้วิจัยศึกษาทฤษฎีประสิทธิผลขององค์กรของ มอทท์ (Mott, 1972 cited in Hoy & Miskel, 2013, 319-320) แล้วจึงนำมาประยุกต์เข้ากับบริบท ขององค์กรทางการศึกษา ซึ่งประกอบด้วย 1) ความสามารถในการผลิตนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเพิ่มขึ้น 2) ความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีเจตคติทางบวก 3) ความสามารถใน การปรับเปลี่ยนและพัฒนาโรงเรียนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการแก้ปัญหาภายใน โรงเรียน ผู้วิจัยจึงสรุปกรอบแนวคิดในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหาร สถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา ราชบรุ ี เขต 1 ดงั ภาพประกอบท่ี 1 ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาวะผูน้ ำเชงิ กลยทุ ธ์ ประสทิ ธผิ ลของโรงเรยี น 1. การมีความคดิ ความเข้าใจระดบั สูง 1. ความสามารถในการผลติ นักเรียน 2. การรวบรวมปจั จยั สู่การกำหนด ใหม้ ผี ลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นเพ่มิ ข้ึน กลยุทธ์ 2. ความสามารถในการพฒั นานกั เรียน 3. การคาดหวงั และสร้างโอกาส ใหม้ ีเจตคตทิ างบวก สำหรบั อนาคต 3. ความสามารถในการปรบั เปล่ยี นและ 4. การคิดเชิงปฏวิ ตั ิ พฒั นาโรงเรียนให้เขา้ กับสิ่งแวดลอ้ ม 5. การกำหนดวสิ ัยทศั น์ 4. ความสามารถในการแกป้ ัญหา ภายในโรงเรยี น ภาพประกอบท่ี 1 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี ก่ยี วข้อง การวิจัยในครั้งน้ี เป็นการศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลของ โรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรีเขต 1 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและ งานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วข้องตามลำดบั ดงั นี้ เอกสารที่เกย่ี วข้องกับหลักการ แนวคิด และทฤษฎี 1. ภาวะผนู้ ำเชงิ กลยุทธ์ 1.1 ความหมายของภาวะผู้นำเชงิ กลยทุ ธ์ 1.2 ความสำคัญของภาวะผนู้ ำเชิงกลยุทธ์ 1.3 บทบาทภาวะผ้นู ำเชิงกลยุทธ์ 1.4 การบริหารและวางแผนเชงิ กลยทุ ธ์ 1.5 แนวคิดทฤษฎีเกย่ี วกับภาวะผู้นำเชิงกลยทุ ธ์ 1.5.1 ทฤษฎภี าวะผูน้ ำเชงิ กลยุทธข์ อง ยุคล์ (Yukl) 1.5.2 ทฤษฎีภาวะผนู้ ำเชิงกลยุทธ์ของ ฮติ ต์, ไอร์แลนด์ และ ฮอสคิสสนั (Hitt, Ireland, & Hoskisson) 1.5.3 ทฤษฎีของภาวะผู้นำเชงิ กลยุทธข์ อง เดส และ มลิ เลอร์ (Dess & Miller) 1.5.4 ทฤษฎขี องภาวะผู้นำเชิงกลยุทธข์ อง ดบู ริน (Dubrin) 2. ประสิทธิผลของโรงเรยี น 2.1 ความหมายของประสิทธผิ ลของโรงเรยี น 2.2 ความสำคัญของประสทิ ธผิ ลของโรงเรียน 2.3 แนวทางการประเมินประสทิ ธิผลของโรงเรียน 2.4 แนวคดิ ทฤษฎีเก่ยี วกับประสทิ ธิผลของโรงเรยี น 2.4.1 ทฤษฎปี ระสทิ ธิผลของโรงเรียนของ แคลด์เวล และ สปิงคส์ (Caldwell & Spinks) 2.4.2 ทฤษฎีประสทิ ธผิ ลของโรงเรียนของ ฮอย และ เฟอร์กูสนั (Hoy & Ferguson) 2.4.3 ทฤษฎปี ระสิทธิผลของโรงเรยี นของ เช็ง (Cheng) 2.5.3 ทฤษฎีประสิทธผิ ลของโรงเรยี นของ มอท (Mott) 3. สภาพทั่วไปของโรงเรียน สังกัดสำนกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาราชบุรเี ขต 1 งานวิจยั ทเ่ี กย่ี วข้อง 1. งานวจิ ัยในประเทศ 2. งานวิจัยตา่ งประเทศ
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 10 เอกสารทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั หลกั การ แนวคดิ และทฤษฎี 1. ภาวะผ้นู ำเชิงกลยุทธ์ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เป็นภาวะผู้นำอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความสำคัญในการบริหารองค์กร ด้วย การใช้กลยุทธ์ที่สร้างแรงจูงใจในการทำงานแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา และมีวิสัยทัศน์ท่ีกว้างไกล และใช้ ความคิดสร้างสรรค์ในทรัพยากรต่าง ๆ อย่างคุ้มค่า ก่อให้เกิดประสิทธิผลขององค์กร จึงทำให้ภาวะ ผู้นำเชิงกลยุทธ์เป็นสิ่งที่ผู้บริหารองค์กรทุกประเภทล้วนจำเป็นท่ีจะต้องเรียนรู้และนำไปปรับ ประยกุ ตใ์ ช้ 1.1 ความหมายของภาวะผนู้ ำเชิงกลยุทธ์ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เป็นภาวะผู้นำรูปแบบหน่ึงท่ีมีผู้ให้ความหมายมากมาย เพ่ือให้เข้าใจถึง ความหมายของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์อย่างถ่องแท้ ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง และทำการรวบรวม ซงึ่ มรี ายละเอียดดังน้ี มันทนา กองเงิน (2554, 20) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง การเป็นผู้ที่มี ความสามารถในการคาดการณ์มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความยืดหยุ่น และสามารถนำวิสัยทัศน์ไปสู่การ ปฏบิ ัติ เพือ่ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร ปนัดดา วรกานต์ทิวัตถ์ (2555, 28) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง กระบวนการ ใช้อิทธิพลของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการบริหารโดยยึดเป้าหมาย และภารกิจขององค์กรเป็นหลัก และ จะสรรหาวิธีการบริหารงาน ด้วยการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน การกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจ ใหแ้ กผ่ ้ใู ต้บังคับบญั ชา จูงใจผใู้ ตบ้ ังคับบญั ชาด้วยรางวลั อันเกดิ จากการบรรลุผลสำเร็จในงาน การรเิ ร่ิม สร้างสรรค์ส่ิงใหม่ ๆ โดยให้อำนาจแก่ผู้ปฏิบัติงานให้มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานด้วย เพ่ือให้ องค์กรสามารถดำเนนิ งานได้ตามเป้าหมายโดยจัดใหม้ ีสภาพแวดล้อมในการทำงานทดี่ ี และยังคงไว้ซึ่ง สัมพันธภาพระหว่างพนกั งานด้วยกนั จนั ทนา แสนสุข (2557, 35) ไดก้ ล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง การที่บุคคลใช้ความ พยายามของตนในการทำนายคาดคะเน ตัดสินใจ และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์มีความคิดเชิงกล ยุทธ์ และทำงานร่วมกับผู้อ่ืนภายใต้การเปล่ียนแปลงท่ีสร้างความเติบโตสำหรับอนาคต เพื่อนำไปสู่ ความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างย่ังยืน ความสามารถภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ต้องมีความกล้าในการ สรา้ งสรรค์ความแตกต่าง โดยเฉพาะสิ่งที่เช่ือว่าดีกว่า ต้องกล้ายืนหยัดในความถูกต้อง หากเช่ือมั่นว่า จะได้รับประโยชน์ในระยะยาวอย่างแท้จริง ต้องมีความมุ่งมั่นผลักดันไม่ยอมแพ้แม้จะมีแรงต้าน มากมายก็ตาม สภุ ัทรา สงครามศรี (2558, 28) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง กระบวนการของ อิทธิพลที่ผู้นำมีต่อบุคคลอื่น ให้มีพฤติกรรมไปในทิศทางที่ต้องการเพื่อบรรลุและรักษาไว้ซ่ึง วัตถุประสงค์ขององค์กรให้รอบคลุมท้ังเป้าหมายและวิธีการ โดยกำหนดทิศทางขององค์กร การ วางแผนหรือการสร้างทางเลือก การนำส่กู ารปฏิบัติและมีการควบคมุ หรอื ประเมินผล เพื่อพาองค์กรสู่ ความสำเร็จไดท้ ง้ั ในระยะสน้ั และระยะยาวได้อยา่ งชาญฉลาด วารุณี ก๋งหมึง (2559, 23) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง ผู้นำท่ีมีความสามารถ ในการคาดคะเนมองในอนาคตและกำหนดวิสัยทัศน์ได้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ท้ังภายในและภายนอกองค์กร มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถกำหนดแผนกลยุทธ์เพ่ือสร้างความ
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 11 ได้เปรียบต่อคู่แข่งขัน รวมท้ังสามารถถ่ายทอดผลักดันให้การบริหารเชิงกลยุทธ์ประสบความสำเร็จ ลลุ ว่ งไดด้ ้วยดี คมกฤช พรหมฉิน (2560, 37) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง กระบวนการใช้ อิทธิพลของผู้นำท่ีมีวิสัยทัศน์ในการบริหารสถานศึกษาโดยยึดเป้าหมาย และ ภารกิจขององค์กรเป็น หลัก และจะสรรหาวิธีการบริหารงาน ด้วยการกำหนดทิศทางท่ีชัดเจน การกระตุ้นและสร้างแรง บันดาลใจให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยรางวัลอันเกิดจากการบรรลุผลสำเร็จในงาน การริเริ่มสร้างสรรค์ ส่ิงใหมๆ่ โดยให้อำนาจแก่ผ้ปู ฏิบตั งิ านให้มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ในการทำงานด้วยเพ่ือให้องค์กรสามารถ ดำเนินงานได้ตามเป้าหมายโดยจัดให้มีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีและยังคงไว้ซึ่งสัมพันธภาพ ระหว่างพนักงาน มนสิชา ธรรมรักษ์ (2561, 28) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง กระบวนการ ดำเนินงานของผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ในการกำหนดทิศทาง เป้าหมายขององค์กร โดยยึดภารกิจของ องค์กรเป็นหลัก มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน กระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจ จูงใจ ให้แก่ ผู้ใต้บังคับบัญชาดำเนินงานจนบรรลุผลสำเร็จในงาน ส่งผลให้องค์กรสามารถดำเนินการได้ตาม เปา้ หมาย ดบู ริน (Dubrin, 2010, 381-382) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง กระบวนการที่ แสดงถึงความสามารถของตัวผู้บริหารในการกำหนดทิศทางและสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างหรือ รกั ษาองค์กร โดยมีลักษณะและบุคลิกส่วนตัวที่ซับซ้อนหลากหลาย มีการคิดอย่างเป็นรูปแบบ และมี การจดั การอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ คริสเท็นเซ็น (Christensen, 1997, 143) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการคาดการณ์ มจี นิ ตนาการ มีความยืดหยนุ่ คิดอย่างมีกลยุทธ์ และทำงาน รว่ มกบั ผอู้ น่ื เพ่ือเริม่ ตน้ การเปล่ยี นแปลงทีจ่ ะสร้างอนาคตทด่ี ีให้กบั องค์กร บาลอค และไอนัม (Baloch & Inam, 2007, 3) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง กระบวนการวางแผนของบุคคลเพื่อสร้างกลยุทธ์ให้สอดคล้องกนั เป็นหนึ่งเดียว มีกรอบบูรณาการการ ตดั สินใจโดยเฉพาะอย่างยิง่ ทเี่ ก่ยี วกบั ทศิ ทางของธุรกจิ และการใช้ทรพั ยากร ฮิวจส์ และเบ็ตต้ี (Hughes & Beatty, 2005, 44) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง ความสามารถในการรวบรวม ตีความ สร้างและประเมินขอ้ มูล และมีแนวคิดท่ีกำหนดความได้เปรียบ ในการแข่งขนั ท่ยี ง่ั ยนื ขององคก์ ร ฮิตต์, ไอร์แลนด์, และ ฮอสคิสสัน (Hitt, Ireland, & Hoskisson, 2007b, 375) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง ความสามารถของผู้นำในการคาดการณ์ จินตนาการ และรักษาความ ยดื หยุ่น และให้อำนาจผ้อู ่นื ในการสรา้ งการเปลีย่ นแปลงเชงิ กลยุทธ์ตามความจำเป็น ฮิวอี้ย์ (Huey, 1994, 42–50) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง ความสามารถ หลากหลายรูปแบบผสมผสานกันเก่ียวข้องกับการจัดการผ่านผู้อ่ืน และช่วยให้องค์กรรับมือกับการ เปลย่ี นแปลง จากความหมายของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์พอสรุปได้ว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการกำหนดทิศทาง และเป้าหมายขององค์กร มีวิสัยทัศน์ท่ีกว้างไกล มี
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 12 ความยืดหยุ่น สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจ สามารถจัดการได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพก่อให้เกิดความไดเ้ ปรียบในการแข่งขนั 1.2 ความสำคญั ของภาวะผูน้ ำเชิงกลยุทธ์ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เป็นภาวะผู้นำสำคัญท่ีทำให้การบริหารงานในองค์กรเกิดประสิทธิผล และใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ได้อย่างคุ้มค่าตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้เข้าใจถึงความหมายของ ความสำคัญของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและทำการ รวบรวม ซ่ึงมรี ายละเอียดดังน้ี จันทนา แสนสุข (2557, 35) ได้กล่าวว่า ความสามารถภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ จำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้นำในยุคของการแข่งขัน ท่ีจะต้องเร่งสร้างขึ้นเพ่ือนำไปสู่การพัฒนาประสิทธิผลขององค์การ ซึ่งความสามารถภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์อาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การรับรู้ในความสามารถของตน เพือ่ สรา้ งความแตกต่างท่ีเช่ือมน่ั ว่าดีกว่า กล้ายนื หยดั ในความถกู ต้อง มคี วามมุ่งม่ันผลักดัน ไม่ยอมแพ้ ตอ้ งมคี วามสามารถในการปรับตัว เนื่องจากภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ตอ้ งเผชิญกับความ เปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ต้องสามารถปรับองค์การให้สอดคล้องกับภาวะความผันแปรของโลกได้ ต้องมี ความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อประโยชน์ในการนำพาองค์การให้สามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างสงบ สุข และต้องมีความตระหนักในการแข่งขันเพื่อความอยู่รอดขององค์การ ดังน้ันงานวิจัยน้ีจึงมุ่งศึกษา การรับรู้ในความสามารถของตน ความสามารถในการปรับตัว ความรับผิดชอบต่อสังคม และความ ตระหนักในการแข่งขันท่ีส่งผลต่อความสามารถภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ซ่ึงจะนำไปสู่ประสิทธิผลของ องคก์ าร วรรณฤดี มณฑลจรัส และ อนุสรา สุวรรณวงศ์ (2560, 246) ได้กล่าวว่า ผู้บริหารที่มีภาวะ ผู้นำกลยุทธ์จะสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีกลยุทธ์ในการสร้างแรงจูงใจ และ สรา้ งมนุษยส์ มั พันธ์ เพอื่ ใหบ้ ุคลากรปฏบิ ัติหน้าทเี่ ต็มกำลังความสามารถ รวมถึงมีความสามารถในการ แก้ปัญหาและการตัดสินใจ เน้นการมีสว่ นร่วมวางแผนปรับปรุงอย่างต่อเนอื่ ง อันเป็นพ้ืนฐานสำคญั ใน การพฒั นาโรงเรียน ปฏิรูปโรงเรยี น เปลี่ยนแปลงและพัฒนาโรงเรยี นไปสู่ความทนั สมยั กัญญาณัฐ ไชยชะนะ (2563, 3) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เป็นรูปแบบภาวะผู้นำท่ีมี ความสำคัญอย่างมากในการบริหาร และการเรียนรู้ในยุคท่ีสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ซึ่งภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์นั้นเป็นคุณลักษณะภาวะผู้นำที่สะท้อนการมี วิสยั ทัศน์ โดยการมีกจิ กรรมท่ีใชค้ วามคิด ความเข้าใจในระดบั สูงมคี วามสามารถในการรวบรวมข้อมูล ต่าง ๆ มากำหนดกลยุทธ์ได้ มีความสามารถในการพยากรณ์และกำหนดอนาคต การมีความคิดเชิง ปฏิวัติ และการมวี ิสยั ทัศนเ์ ชงิ กลยุทธ์ นวลจนั ทร์ จนุ ทนพ (2559, 1) ไดก้ ลา่ วว่า ภาวะผนู้ ำเชงิ กลยทุ ธ์สามารถบรหิ ารจัดการเชิงกล ยุทธ์ ทั้งการวางแผน การนำไปปฏิบัติ การควบคุมหรือการประเมิน และบริหารได้เป็นอย่างดี มี ความสามารถในการจัดการองค์กร การใช้ทรัพยากรท่ีหามาได้อย่างคุ้มค่า มีความสามารถในการ สร้างสรรค์วิสัยทัศน์ในอนาคตและสานฝันให้เป็นจริง มุ่งสู่ความมีประสิทธิผลขององค์กร นำความ เจรญิ กา้ วหน้ามาสู่องคก์ ร ฏิมากร บุ้นก้ี (2563, 1-2) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา องค์กรไปสู่ความสำเร็จ เน่ืองจากความสำเร็จและประสิทธิผลของงานทุกด้านขึ้นอยู่กับผู้นำหรือ
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 13 ผ้บู ริหารเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในเวลาที่จะต้องมีการวินิจฉัยสั่งการหรือตัดสินใจแกไ้ ขปัญหาต่างๆ จึง ต้องอาศัยความสามารถจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชา ความสามารถประเมินคุณค่าขององค์กร ความคิดท่ี สร้างสรรค์ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์จึงมีบทบาทสำคัญต่อประสิทธิผลขององค์กรเป็นอย่างมาก นำมาซึ่ง ความเจรญิ กา้ วหน้ามาสู่องคก์ ร พระครูสุตวรธรรมกิจ (2561, 79-80) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำกลยุทธ์มีความสำคัญมากต่อ ความสำเร็จของกิจการขององค์การ ช่วยให้ผู้บริหารสามารถมองเห็นภาพรวมและขอบเขตได้ กว้างขวางและชัดเจนเป็นรูปธรรมมากข้ึน เพราะการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์จะมีความลึกซ้ึงในการ วิเคราะห์ปัญหาในระดับที่มีนัยสำคัญต่ออนาคตขององค์การซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ภาวะผู้นำกลยุทธ์ ช่วยจะส่งเสริมและสนับสนุนการกำหนดและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายในองค์การตามทิศทางท่ี ชัดเจนและเป็นเคร่ืองนำทางที่เป็นรูปธรรมสำหรับสมาชิก โดยช่วยให้สมาชิกเข้าใจในวิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์และทิศทางท่ีแน่นอนขององค์การ ไม่ก่อให้เกิดความสับสน หรือความขัดแย้งในการ ทำงาน ทำให้องค์การสามารถบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็น ประโยชน์ต่อองค์การในการสร้างความเข้าใจระหว่างการทำงานและบุคคลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้มีส่วนไดส้ ่วนเสีย เช่น บุคลากร ชุมชน กลมุ่ ผลประโยชนแ์ ละหน่วยงานราชการท่ีสามารถ ติดตามตรวจสอบการดำเนินงาน และความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายขององค์การ ช่วยให้องค์การ สามารถดำเนินงานและใช้ทรัพยากรในการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลส ำเร็จดีกว่าการ บริหารงานตามปกติ เน่ืองจากการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์จะมีการศึกษา วิเคราะห์ และจัดระบบ ความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ขององค์การอย่างรัดกุมและชัดเจน ทำให้การดำเนินงานและการจัดสรร ทรัพยากรเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ สามารถวางแผนการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับ บริบทของสังคม มเี ทคนิคหรอื กลยทุ ธ์การดำเนนิ งานให้ประสบผลสำเร็จ โดยเฉพาะการแก้ปญั หาและ การตัดสินใจและดแู ลผรู้ ับบริการอย่างใกล้ชดิ ฮิตต์, ไอร์แลนด์, และ ฮอสคิสสัน (Hitt, Ireland, & Hoskisson, 2007b, 384) ได้กล่าวว่า ผู้นำเชิงกลยุทธ์มีบทบาททั้งความสามารถในการกำหนดทิศทาง การควบคุมองค์กรให้สมดุล การ จัดการทรัพยากรอย่างมีระสิทธิภาพ การรักษาวัฒนธรรมองค์กรที่มีประสิทธิผล และการเน้นการ ปฏิบัติตามจริยธรรม สิ่งท่ีกล่าวมาข้างต้นนี้ล้วนส่งผลต่อการดำเนินการแต่ละอย่างในเชิงบวก มีส่วน ช่วยในการดำเนินกลยทุ ธอ์ ย่างมีประสทิ ธผิ ล โรว์ (Rowe, 2001, 8) ได้กล่าวว่า ผู้นำเชิงกลยุทธ์สามารถสร้างสมดุลทางการเงินในช่วง ระยะสั้นได้มากขึ้น และมีความสามารถในการดำเนินงานขององค์กรด้วยโอกาสเชิงกลยุทธ์ในระยะ ยาว มีวิสัยทัศน์ ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมท่ีจำเป็นสำหรับความสำเร็จในระยะยาวเข้ากับ จุดเน้นในการดำเนินงาน สามารถทำได้เช่ือมต่อกับผู้คนรอบตัวพวกเขา ก่อให้เกิดเสถียรภาพของ องคก์ ร เกิดการปฏบิ ตั งิ านที่มปี ระสทิ ธิภาพในองคก์ ร จากความสำคัญของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์พอสรุปได้ว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์มีบทบาทสำคัญ ต่อการบริหาร ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ ทั้งการวางแผนที่มีประสิทธิภาพ รู้จักจูงใจและเข้าถึงผู้อื่น มีการ ปรบั ตัวในเข้ากับสถานการณ์ สามารถคาดการณ์อนาคต มีความคิดที่สร้างสรรค์ ความสามารถเหล่าน้ี จึงสง่ ผลองค์กรเกิดประสทิ ธภิ าพ เสถยี รภาพขององคก์ ร เกิดการปฏิบตั งิ านท่ีมีประสทิ ธิภาพ
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 14 1.3 บทบาทภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ไพโรจน ปยะวงศวัฒนา (อ้างถึงใน ซาฝนะ แอหลัง, 2561, 56-57) กล่าววา่ บทบาทของผู้นําเชิงกล ยุทธแบงได้ ดงั น้ี 1. กำหนดทิศทาง หมายถึง ผู้นำเชิงกลยุทธตองกำหนดทิศทางขององคกรใหชัดเจน มองภาพ อนาคต องคกรวาในอีกห้าปข้างหนาองคกรจะเป็นอะไร เดินไปในทิศทางไหน ผู้นําควรเปิดโอกาสใหเพ่ือน ร่วมงาน พนักงานได้มีสวนร่วมในการแสดงความคิดเห็นถึงเป้าหมาย อนาคตและทิศทางขององคกรด้วย เพราะจะทำใหทกุ คนมคี วามผกู พันกบั เป้าหมายร่วมกนั ด้วย 2. คิดเชิงกลยุทธ์ หมายถึง ผู้นําเชิงกลยุทธรอบรูสถานการณภายนอกองคกร เขาใจสภาวะของ ตลาดว่าเป็นชวงขาขึ้นหรือขาลง รูทันความคิดความเคล่ือนไหวของคูแขงขันเพื่อปรับตัวและรับมือได้ทัน เข้าใจพฤติกรรมของลูกคาท่ีนับวันจะมีความจงรักภักดีท่ีลดน้อยลง เขาใจจุดแข็งจุดออนขององคกรเพื่อ หาทางเสริมจุดแข็งใหแขง็ ยิ่งข้ึนและหาทางขจดั จุดออนท่สี ำคญั กอน ผู้นําเชงิ กลยุทธควรพฒั นาการคิดแบบ วิเคราะห์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค มีมุมมองวิธีคิดท่ีเป็นระบบ ทั้งนี้เพ่ือจะได้มองเห็นทั้งภาพกว้างและ ภาพลึก 3. มองโอกาสมากกว่าปญหา หมายถึง ผู้นําเชิงกลยุทธมุ่งเน้นใหความสำคัญกับโอกาสมากกว่า ปัญหา เพราะการจับจังหวะของโอกาสภายนอกจะเหมือนพลังที่สงผลใหองคกรขับเคลื่อนไป ข้างหน้าได้ อย่างรวดเร็ว (คณุ คงพอจะนึกภาพตัวอย่างองคกรท่เี ติบโตอย่างรวดเร็วเมือ่ ผู้นาํ องคกรนน้ั เลง็ เห็นโอกาสดี ๆ ทเ่ี กดิ ขึ้น เชน บรษิ ัทจำหน่ายชาเขยี ว บรษิ ทั ขายกาแฟลดความอ้วน) อย่างไรกต็ าม ไม่ได้หมายความวาผู้นํา ควรละเลย ปกปดหรือน่ังทับปญหาในองคกรเอาไว แต่การที่ไปใหความสำคัญกับการแกไขปญหาต่าง ๆ ภายในองคกรไม่ได้ช่วยใหองคกรพัฒนาเติบโตในระยะยาว แต่เป็นเพียงการปองกันความเสียหายท่ีจะ เกดิ ขนึ้ เทาน้นั 4. สื่อสาร หมายถึง ผู้นําเชิงกลยุทธตองส่ือสารแผนงานและข้อมูลสำคัญใหพนักงานทุกคนได้รับรู และขาใจผู้นําตองใชเคร่ืองสื่อสารทุกรูปแบบเพื่อใหพนักงานทุกคนในองคกรทราบวา เป้าหมายขององคกร คืออะไร องคกรมีกลยุทธอะไรทต่ี องทำเพ่ือไปใหถึงเป้าหมาย องคกรคาดหวงั ใหพนักงานทุกคนทำอะไร เพื่อ อะไร และทำใหพนักงานรูวางานท่ีพวกเขาทำอยู่มีความท้าทาย ขนาดไหน ผลลัพธ์ท่ีเกิดข้ึนสงผลต่อ ความสำเรจ็ ขององคกรอย่างไร เหมอื นเรอ่ื งอุปมาอุปมัยท่ีวา่ มพี นักงานสองบรษิ ทั ทที่ ำหน้าทเี่ หมอื นกนั แต่มี ความภาคภูมใิ จในงานทีท่ ำแตกต่างกัน ดังนนั้ จงึ เปน็ หนาท่ขี องผู้นําเชงิ กลยุทธที่ตองสร้างคณุ คาในงานของ พนกั งานทุกคนเพื่อความสำเรจ็ ขององคกร 5. สร้างแรงบันดาลใจ หมายถึง ผู้นําเชิงกลยุทธเปิดโอกาสใหพนักงานแสดงความคิดเห็นตอแผน งาน รับฟงอย่างจริงใจไม่ส่ังการแต่ใชวิธีการถามคําถามปลายเปิดเพื่อใหพนักงานได้เรียนรู ได้คิดและแสดง ความสามารถท่ีมีอยู่กระตุนใหพนักงานคิดหาทางแกไขปญหาด้วยตัวพนักงานเอง กล่าวชมเชยพนักงาน เสมอเมื่อทำงานสำเร็จ (อาจจะใชการดขอบคุณหรือชมเชยในหองประชุมหรือติดบอรดประกาศก็ได้) สนับสนุนใหพนักงานกลาคิดนอกกรอบ กลาทำส่ิงใหม่ ๆ เพื่อความสำเร็จขององคกรและพรอมท่ีจะใหอภัย และเรียนรูจากความผิดพลาดทเ่ี กิดขึ้นร่วมกับพนกั งาน 6. สร้างความเชื่อมั่นและจริงใจ หมายถึง ผู้นําเชิงกลยุทธตองแสดงออกทั้งทางการกระทำการพูด การแสดงออกใหพนกั งานมคี วามเชื่อม่ันและรูสกึ ไดถ้ ึงความจริงใจท่ผี ู้นํามีต่อพวกเขา (ความจรงิ ใจเป็นสิ่งท่ี ไม่ยาก เพียงแต่ผู้นําคนนั้นจริงใจกับพนักงานมากน้อยเพียงใด) ผู้นําเพียงเอาใจเขามาใสใจเรา เลิกใชคําว่า
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 15 ผมแต่ใชคําว่าเรา รับผิดเมื่อเกิดความผิดพลาด ไม่โทษผู้อื่นและเม่ือเกิดความชอบความสำเร็จก็ยกความดี ความชอบนใ้ี หลูกนอง (พูดง่ายแต่หลายคนทําไมได้) เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ใหตามคําสุภาษิตทว่ี า ท่านตองให ความจริงใจกับผู้อื่นกอน ทานจึงจะได้รับความจริงใจน้ันกลับมานอกจากน้ีผู้นําควรสงเสริมใหโอกาส พนกั งานได้เรยี นรู พัฒนาและเตบิ โตไปกบั องคกร 7. สร้างวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีม หมายถึง ผู้นําเชิงกลยุทธเขาใจดีวาการทำงานเป็นทีมเป็น หนทางสู่ความสำเรจ็ ขององคกร เป็นไปไมไ่ ดเ้ ลยที่จะมียอดมนุษย์ในองคกรท่เี กงไปหมดทุกอย่างดังน้ันผู้นํา จงึ ตองสร้างวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีม ซ่งึ นอกจากจะจัดกิจกรรมการทำงานเป็นทีมปละครั้งแลว (ซึ่งสวน ใหญไ่ ดผ้ ลและคึกคกั อยู่ประมาณ 2 - 3 สัปดาห์แลวกเ็ หมอื นเดมิ ) ผู้นาํ เชิงกลยุทธควรสนับสนุนใหพนักงาน ทกุ ระดับช้ันได้ปฏิบัติงานร่วมกัน ช่วยเหลือกัน ส่ือสารกันอย่างเปิดเผย แกไขปญหาร่วมกนั ใหอภัยกัน ให กาํ ลงั ใจกนั ไมห่ าคนผดิ แตห่ าสาเหตุท่ีผดิ พลาดทีส่ ำคัญควรหาจงั หวะโอกาสในการฉลองความสำเร็จ (แมว้ ่า เล็กน้อย) ร่วมกนั เสมอ ๆ วารุณี ก๋งหมึง (2559, 28) ได้ศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้องกับบทบาทภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์แล้วสรุป ได้ว่า บทบาทภาวะผู้นาํ เชิงกลยุทธ์ ประกอบดว้ ย 1. การกำหนดทิศทางขององค์การ จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมท้ังภายในภายนอกองค์การ ติดตามตรวจสอบ คาดการณ์ ประเมินความเป็นไปได้จัดวางตำแหน่งขององคการในตลาดการแข่งขันและ สังคม สามารถสื่อสาร ค่านิยมกับทิศทาง และคาดหวังสู้บุคลากรทุกคนอย่างมีประสิทธิผล ทบทวนผลการ ดำเนินการ ตำแหน่งของกลยุทธ์ระหวา่ งการสร้างและการขบั เคล่ือนวิสยั ทัศน์ 2) การนำกลยุทธไ์ ปปฏิบัติดว้ ยภาวะผ้นู ําการสร้างวัฒนธรรมการเปล่ียนแปลงการติดต่อสื่อสารการ สรา้ งระบบการจูงใจ 3) มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรด้วยกระบวนการการเรียนรู้ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือจูงใจช่วย สนับสนุนให้การนำกลยุทธ์ไปปฏบิ ัติมีประสิทธิภาพ 4) การเป็นผจู้ ัดสรรทรัพยากร และเปน็ ผู้ควบคมุ การใช้ทรัพยากรอยา่ งคุม้ ค่า 5) การเป็นผู้สร้างทีมงาน กระตุ้นให้บุคลากรเกิดความเชื่อม่ันและผูกพันร่วมกันในทุกฝ่ายรวมท้ัง การเป็นผู้ประเมนิ ผลงานและรู้จกั ใช้คน 6) ยึดมนั่ และมุ่งเน้นแนวการปฏิบัตอิ ย่างมีจริยธรรมภายใตว้ ัฒนธรรมท่ีหลากหลายในปัจจุบัน ซ่ึง ผู้นําท่ีจะทำหน้าที่ตามบทบาทภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ได้น้ัน จะตองมีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ มีเจตคติ ค่านิยม และแรงขับภายในตามองค์ประกอบของสมรรถนะท่ีเหมาะสมจึงจะสามารถแสดงหรือปฏิบัติออก จริงตามตำแหน่งของเขาได้ดงั น้ันความสามารถตามบทบาทของภาวะผนู้ ําเชงิ กลยทุ ธ์จึงเปน็ อีกองค์ประกอบ หน่ึงทสี่ ามารถนำไปกำหนด เปน็ องคป์ ระกอบของสมรรถนะภาวะผู้นาํ เชงิ กลยุทธ์ 1.4 การบริหารและวางแผนเชิงกลยุทธ์ 1.4.1 สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ (2552, 29 – 33) ได้กล่าวถึงกระบวนการ บริหารเชิงกลยทุ ธ์ (strategic management) ไว้ 3 ขน้ั ตอน คือ 1. การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ (strategic analysis) หมายถึง ข้ันตอนการวิเคราะห์ องค์ประกอบทั้งหมด 3 ประการ คือ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก การ วิเคราะห์ สภาพแวดล้อมภายในองค์กร และการวเิ คราะห์ทัศนคติ ค่านิยม หรือวัฒนธรรมองค์กร โดยเปา้ หมาย ของการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ก็คือ การท่ีจะกำหนดสิ่งท่ีเรียกว่า “ตำแหน่งเชิงกลยุทธ์” (strategic
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 16 position) โดยพิจารณาถึงทิศทางการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดล้อม และพิจารณาถึงข้อเท็จจริงใน จุดอ่อน จุดแข็งขององค์กร ค่านิยมต่าง ๆ เพื่อท่ีจะวางตำแหน่งกลยุทธ์ให้สอดคล้อง และเป็นไปได้ และสามารถปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมอันเหมาะสม จากประสบการณ์ของ ผู้เขียนมีความเห็นว่านักบริหารสถานศึกษาจำนวนไม่มากนักท่ีจะให้ความสำคัญในส่ิงนี้ ซึ่งท่ีจริงแล้ว เป็นเรื่องสำคัญในอันดับต้น ๆ เพราะว่าการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์จะทำให้เราทราบคำตอบว่า ปัจจุบัน สถานศึกษาของเราอยู่ตรงไหน หรือมีศักยภาพแค่ไหน ซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์หาสิ่งที่เป็นโอกาส หรือค้นหาอุปสรรค ที่เป็นปัจจัยภายนอกของสถานศึกษา และในขณะเดียวกันสถานศึกษาก็ต้องรู้ ตัวเองว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่เป็นจุดแข็ง และจุดอ่อน เพื่อที่จะนำไปสู่การกำหนดแนวทางหรือกลยุทธ์ เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น ดังน้ันหากผู้บริหารสถานศึกษาให้ความสำคัญในการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์อย่าง จริงจัง ก็จะสามารถล่วงรู้ได้ว่าในสถานการณ์ตอนน้ันสถานศึกษามีสภาพเป็นอย่างไร ตำแหน่งเชิงกล ยุทธอ์ ยู่ตรงไหน 2. ทางเลือกในเชิงกลยทุ ธ์ (strategic choice) ประกอบด้วย 2.1 การกำหนดแนวทางเลือกทางกลยุทธ์ (strategic options) คือ ขั้นตอนที่จะ พิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดทิศทางการพัฒนาองค์กร เพื่อให้ไปสู่แนวทางท่ีสอดคล้องกับ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม การกำหนดทางเลอื กกลยุทธ์น้ันย่อมหมายถงึ การกำหนดทิศทาง กลยุทธ์ (strategic direction) กล่าวคือ เป็นการกำหนดแนวทางการพัฒนาขององค์กร ไปสู่อนาคต เป็นการกำหนดทิศทางระยะยาวของการพัฒนาองค์กร ตลอดจนกำหนดทางเลือกกลยุทธ์ เพื่อท่ีจะ บรรลุสู่ทิศทางที่ได้กำหนดไว้ เมื่อผู้บริหารสถานศึกษาเข้าใจ และรู้ตำแหน่งกลยุทธ์ของสถานศึกษา แล้วว่าอยู่ในสถานการณ์เช่นใด ส่ิงท่ีต้องคำนึงถึงต่อมาคือ การกำหนดทางเลือกกลยุทธ์ท่ีจะนำมาใช้ ใหเ้ หมาะสมนั่นเอง 2.2 การประเมินทางเลือกกลยุทธ์ หมายถงึ ขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ และ ความเหมาะสมของแนวทาง หรือเป็นการประเมินทางเลือกท่ีดีท่ีสุด โดยคำนึงถึงจุดอ่อนจุดแข็งของ องค์กร และความเป็นไปได้ที่จะมีการปฏิบัติบนพื้นฐานของค่านิยม แนวทางดังกล่าวอาจจะเรียกว่า “กลยุทธ์ที่เหมาะสมท่ีสุด” (strategic fit) เป็นข้ันตอนที่ละเอียดอ่อนหากผู้บริหารสถานศึกษาไม่ สามารถประเมินได้ว่ากลยุทธ์ท่ีกำหนดมานั้นมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน และมีความเหมาะสม หรอื ไม่เพียงใด การพฒั นา หรือแกไ้ ขปัญหาผู้เรยี นก็จะไมป่ ระสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน 2.3 การเลือกกลยุทธ์ หมายถึง ขั้นตอนท่ีเกิดข้ึนหลังจากได้มีการประเมินข้อดี ข้อเสียของทางเลือกเชิงกลยุทธ์ต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว เป็นช่วงของการตัดสินใจการเลือกทางเลือกใด เป็นท่ีเดน่ ชัด ในการท่ีจะนำไปสู่ขอ้ ยุตแิ ละได้กลยทุ ธท์ ี่ดีท่ีสุด ผูบ้ ริหารสถานศึกษาที่ชาญฉลาด และให้ ความสำคัญในการหาทางเลือกกลยุทธโ์ ดยการมีส่วนร่วมของผู้ร่วมงาน หรือผู้มีส่วนได้สว่ นเสียในการ จัดการศึกษา ก็จะสามารถเลอื กกลยุทธ์ได้อย่างรอบคอบ เน่ืองจากกลยุทธ์ที่ได้น้ันได้ผ่านกระบวนการ อยา่ งมีขน้ั ตอน ดังนนั้ ในข้ันตอนนผี้ ู้เขียนยงั มคี วามเหน็ เพิม่ เติมอีกว่า หากผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาใจกวา้ ง ยอมรับความคิดเห็นของทุกฝ่าย ต้ังแต่ ครู นักเรยี น ผปู้ กครอง คณะกรรมการสถานศึกษา และชมุ ชน ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดการศึกษา ได้มีส่วนเลือกกลยุทธ์ที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพ ผู้เรียนอย่างแท้จริงแล้ว โอกาสทจ่ี ะประสบผลสำเรจ็ กม็ ีความเป็นไปไดส้ ูง
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 17 3. การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (strategic implementation) หมายถึง ขั้นตอน ท่ีจะมี การวางแผนใชท้ รัพยากร ไมว่ ่าจะเป็นการหามาซึ่งการเงิน กำหนดบคุ ลากร หรือการสร้างโรงงานหรือ เครอื ข่าย นอกจากนั้นยงั หมายถึงข้ันตอนของการจัดโครงสรา้ งองค์กรท่ีเหมาะสม เพื่อสามารถนำเอา แนวทางหรือกลยทุ ธท์ ไ่ี ดไ้ ปปฏิบัติในข้ันตอนนีเ้ ปน็ รายละเอยี ดที่ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาจะต้องมีส่วนรว่ ม ในการดำเนินการ เพราะว่าเป็นเรอื่ งของการกำหนดทรพั ยากร กำหนดผ้รู ับผิดชอบ และวิธีดำเนินการ ให้กลยุทธบ์ รรลุวสิ ัยทัศน์ ซึ่งจะมีความละเอียดอ่อนและจะพบกับความทา้ ทายอีกนานัปการ ผู้บริหาร สถานศึกษาจะต้องใช้หลักการบริหารเชิงกลยุทธ์ท่ีมีความยืดหยุ่น สามารถปรับสถานการณ์ได้ทุกเม่ือ เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้แสดงความคิดเห็น มีความสามารถโน้มน้าวให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีพลังและ ความคิดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โอกาสที่จะมีความสำเร็จในการนำกลยุทธ์ไปใช้ก็มีสูงข้ึนและ ขน้ั ตอนในการบริหารเชิงกลยทุ ธ์ (strategic management) 1.4.2 โมเดลการวางแผนเชิงกลยุทธ์ (the strategic planning model) เป็นการวางแผน เก่ียวกับภารกิจขององค์การ ทิศทาง เป้าหมายและวัตถุประสงค์ในอนาคต ทั้งในระยะสั้นและระยะ ยาว ตลอดจนเป็นวิธีการใช้กลยุทธ์ที่เก่ียวกับการจัดสรรทรัพยากรท่ีมีอย่างจำกัดให้สามารถบรรลุ วตั ถปุ ระสงค์โดยรวมขององค์การได้ (พระครูสุตวรธรรมกจิ , 2561, 91-96) ประกอบด้วย 1. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก (analyze the environment) เป็นการ วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นโอกาส (opportunities) และอุปสรรค (threats) ต่อธุรกิจ เช่น ลักษณะพิเศษเฉพาะการแข่งขันอุตสาหกรรม ความต้องการซ้ือสินค้า การใช้เทคโนโลยีอย่าง แพรห่ ลาย และกฎระเบยี บขอ้ บงั คับของรฐั ซึง่ ผู้นำสามารถค้นหาได้จากฐานข้อมลู และอนิ เทอร์เนต็ 2. การวิเคราะห์สภาพภายในองค์การ (analyze the organization) เป็นการ วิเคราะห์จุดแข็ง (strengths) และจุดอ่อน (Weakness) ภายในองค์การ เช่น ตำแหน่งขององค์การ สถานะทางการเงิน ทักษะด้านเทคนิคโครงสร้างองค์การและหน่วยงาน เช่น ความสามารถที่ประสบ ความสำเรจ็ จะต้องมขี ้อมลู เหลา่ นอี้ ยใู่ นมือ 3. การกำหนดทักษะทีจ่ ำเป็นต่อความสำเร็จ (determine the skills necessary for success) เป็นการวิเคราะห์จุดแข็ง (strengths) ที่เป็นทั กษะ (skills) และความสามารถ (competence) เปน็ สงิ่ สำคญั ทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กิดความสำเรจ็ ต่อธุรกิจ เช่น ความสามารถท่ีจะรับรถู้ ึงความ ต้องการของลกู ค้า ทักษะทางการตลาด ฯลฯ 4. การประเมินปัญหาและโอกาส (assess the problems and opportunities) เป็นการวิเคราะห์ถึงส่วนท่ีเป็นปัญหา (problem) ที่เกิดจากภายใน อุปสรรค (threats) ท่ีเกิดจาก สภาพแวดล้อมภายนอก ซ่ึงจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์โดยผู้นำสามารถใช้เคร่ืองมือ ประเมินปัญหาและโอกาสจาก SWOT Analysis การวางแผนเชิงกลยุทธ์น้ัน ผู้นำจำเป็นต้องมีความรู้ เกย่ี วกับ SWOT ซ่ึงเป็นเครื่องมือช่วยในการวเิ คราะห์สถานการณ์ ผู้นำเชิงกลยุทธจ์ ะต้องเก็บรวบรวม ข้อมูลท่ีเกย่ี วข้องกับการเลอื กสภาพแวดล้อมตลอดจนศึกษาพลังของคูแ่ ขง่ เพื่อนำมากำหนดกลยุทธ์ที่ เหมาะสมใหแ้ กอ่ งคก์ าร โดยจำแนกออก ดงั น้ี 4.1 S (strengths) จุดแข็งด้านทรัพยากรที่มีศักยภาพและความสามารถทางการ แข่งขันจากภายใน (potential resource strengths and competitive capabilities) หมายถึง ความแข็งแกร่ง (ข้อดี) ทักษ ะ (skill) และความ สามารถทางการแข่งขัน (competitive
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 18 competence) ที่สามารถสร้างความสำเรจ็ ให้เกิดกับองค์การ จุดแข็งที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายใน ประกอบดว้ ย 1. กลยุทธ์ที่มีอำนาจ ซ่ึงได้รับการสนับสนุนโดยการใช้ทักษะท่ีดีและความ เชี่ยวชาญในขอบเขตท่ีสำคญั 2. สภาพการเงินท่ีแข็งแกร่ง ทรัพยากรทางการเงินที่จะท ำให้ธุรกิจ เจริญเติบโตได้ 3. ภาพพจน์ในชือ่ ตราสินค้า/ชือ่ เสียงของบริษทั ทีม่ คี วามแขง็ แกร่ง 4. ผู้นำตลาด ซง่ึ เป็นทีย่ อมรบั อยา่ งกว้างขวางและสามารถจงู ใจลูกคา้ ได้ 5. ความสามารถท่ีจะสร้างข้อได้เปรียบจากขนาดของการผลิต และ/หรือ มี ผลกระทบซงึ่ เกิดจากการเรียนรู้ และประสบการณ์ 6. เทคโนโลยีของเจ้าของกิจการ/การใช้เทคโนโลยีท่ีเหนือกว่า/ลิขสิทธิ์ท่ี สำคัญ 7. ขอ้ ได้เปรยี บดา้ นต้นทุน 8. การโฆษณาและการสง่ เสริมการตลาดท่ีแขง็ แกร่ง 9. ทกั ษะนวตั กรรมด้านผลติ ภณั ฑ์ 10. ทักษะในการปรับปรงุ กระบวนการผลิต 11. ชอ่ื เสียงทดี่ ีในการใหบ้ รกิ ารลกู คา้ 12. คณุ ภาพผลติ ภัณฑท์ เ่ี หนอื กว่าคแู่ ข่ง 13.. ความครอบคลุมและความสามารถในการจดั จำหนา่ ย 14. การร่วมลงทนุ (joint ventures) และการรว่ มมือกนั (alliances) 15. อน่ื ๆ เช่น จุดแขง็ ด้านการบริหารงานและการจัดองคก์ าร ความถนดั ของ องค์การและความสามารถท่ีโดดเด่นความแตกต่างทางการแข่งขัน ตราสินค้าซ่ึงเป็นท่ีรู้จักกันอย่าง แพร่หลาย ความมีนวัตกรรม ความเป็นผู้นำด้านต้นทุนและราคา พนักงานมีความสามารถ มีฐานะ การเงนิ ท่มี ั่นคง เทคโนโลยลี ้ำหน้า สามารถควบคมุ การจดั จำหนา่ ย เปน็ ต้น 4.2 W (weaknesses) จุดอ่อนด้านทรัพยากรที่มีศักยภาพ และความเสียเปรียบ ทางการแข่งขันภายใน (potential resource weaknesses and competitive deficiencies) หมายถึง ปัญหาท่ีเกิดจากส่ิงแวดล้อมภายในด้านต่าง ๆ ซ่ึงผู้น ำจะต้องหาวิธีการแก้ปัญหา ประกอบด้วย 1. ทิศทางกลยทุ ธ์ทไี่ ม่ชดั เจน 2. สงิ่ อำนวยความสะดวกท่ีล้าสมัย 3. มปี ญั หาดา้ นงบดลุ มภี าระหนส้ี ินมากเกินไป 4. ตน้ ทุนต่อหน่วยสงู กวา่ ค่แู ขง่ 5. ขาดทกั ษะหรอื ความสามารถทส่ี ำคัญบางประการในการจดั การ 6. ความสามารถในการสรา้ งกำไรต่ำ 7. มปี ญั หาการดำเนนิ งานภายใน 8. มีปญั หาด้านการวิจัยและพฒั นา (R & D)
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 19 9. สายผลิตภณั ฑแ์ คบเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกบั คูแ่ ขง่ 10. ภาพพจนห์ รอื ช่ือเสยี งตราสนิ ค้าอ่อนแอไม่เปน็ ท่รี ูจ้ ัก 11. คนกลางหรือเครือข่ายการจัดจำหนา่ ยด้อยกว่าคแู่ ขง่ ขนั ที่สำคัญ 12. ทักษะการตลาดด้อยกว่าคู่แข่งขัน ขาดแคลนทรัพยากรทางการเงินใน การทจี่ ะริเรมิ่ การกำหนดกลยทุ ธ์ตา่ ง ๆ 13. สมรรถนะของโรงงานไมไ่ ดน้ ำมาใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งเต็มที่ 14. คุณภาพของผลติ ภณั ฑด์ อ้ ยกว่าคูแ่ ข่งขัน 15. อื่น ๆ เช่น มีปัญหาด้านการเงิน ไม่มีการพัฒนาสินค้าใหม่ ขาดความ ชำนาญการด้านการตลาด ต้นทุนในการผลิตสินค้าและค่าใช้จ่ายสูง สิ่งเอ้ืออำนวยและเครื่องมือ เครื่องใช้ในองคก์ ารลา้ สมัย เป็นตน้ 4.3 O (opportunities) โอกาสของบริษัทท่ีมีศักยภาพจากภายนอก (potential company opportunities) หมายถึง ขอ้ ไดเ้ ปรียบซ่งึ วเิ คราะหจ์ ากสภาพแวดล้อมภายนอกท่ีผู้นำอาจ แสว งห าโอกาสจากสภ าพ แว ดล้อม ด้านใดด้าน หนึ่งเพื่อจะได้น ำมากำห นดกลยุทธ์การบริห ารที่ เหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ มนนั้ ประกอบดว้ ย 1. สามารถให้บรกิ ารกลุม่ ลูกคา้ ได้มากขึ้น หรอื ขยายเขา้ สู่ตลาดทางภูมศิ าสตร์ ใหม่ หรือสว่ นของผลิตภณั ฑใ์ หม่ 2. การขยายสายผลิตภัณฑ์ของบริษัทท่ีสามารถตอบสนองความต้องการของ ลูกคา้ ไดม้ ากขึ้น 3. การเปล่ียนทักษะของบริษัทหรือความรู้ด้านเทคโนโลยีสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือธุรกจิ ใหม่ ท่สี ามารถตอบสนองความตอ้ งการของตลาดได้ดีข้นึ 4. การประสมประสานไปขา้ งหน้า หรือย้อนหลงั 5. อุปสรรคทเ่ี กิดจากข้อกีดกันทางการคา้ ในตลาดต่างประเทศ 6. การเปดิ ตัวต่อสว่ นครองตลาด นอกเหนือจากธรุ กิจของคู่แข่งขนั 7. ความสามารถท่ีจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเน่ืองจากการเพ่ิมความ แข็งแกร่งในอปุ สงค์ของตลาด 8. การซ้ือกจิ การของคู่แขง่ 9. การร่วมมือกันหรือการร่วมลงทุนท่ีสามารถขยายความครอบคลุมของ ตลาดและความสามารถทางการแข่งขัน 10. การเปดิ รับต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทเ่ี กิดขึน้ 11. การเปิดรับตลาดโดยการขยายชื่อตราสินค้าสู่อาณาเขตทางภูมิศาสตร์ ใหม่ ๆ 12. อื่น ๆ เช่น การเจริญเติบโตในตลาดใหม่ โอกาสจากการขยายตลาดท่ัว โลกโอกาสโดยการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ในตลาดน้ัน การให้บริการใหม่ ๆ ในตลาดใหม่ การได้เปรียบ จากสภาพเศรษฐกิจ เปน็ ตน้ 4.4 T (threats) อุปสรรคภายนอกท่ีมีศักยภาพที่จะทำให้บริษทั มีความเป็นอยู่ท่ีดี จากภายนอก (potential external threats to a company’s well-being) เป็นข้อจำกดั ท่ีเกิดจาก
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 20 สภาพแวดล้อมภายนอกซึ่งผู้นำจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การบริหารให้สอดคล้องและขจัดอุปสรรคต่าง ๆ ท่เี กิดขน้ึ ประกอบดว้ ย 1. การเขา้ มาของคู่แข่งขนั ใหม่ท่ีมีศักยภาพ 2. อปุ สรรคจากผลิตภณั ฑ์ท่ีสามารถทดแทนกนั ได้ 3. การลดลงของความเจรญิ เตบิ โตของตลาด 4. การเปล่ียนทิศทางในอัตราแลกเปล่ียนเงินตราต่างประเทศ และนโยบาย ทางการค้าของรัฐบาลต่างประเทศ 5. ข้อกำหนดหรอื กฎหมายตา่ ง ๆ ท่ที ำใหบ้ ริษทั ตอ้ งใช้ตน้ ทุนเพม่ิ มากข้ึน 6. วงจรชีวติ ของธุรกจิ อยู่ในชว่ งอม่ิ ตัวหรอื ตกต่ำ 7. อำนาจการต่อรองของลูกค้าหรอื ผู้ขายปจั จัยการผลติ มากขึ้น 8. การเปลี่ยนแปลงด้านความต้องการและรสนิยมของผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ของ บรษิ ทั 9. การเปล่ยี นแปลงทางด้านประชากร ซงึ่ มีผลทำใหข้ นาดตลาดเล็กลง 10. อ่ืน ๆ เชน่ ผู้นำต้องคิดลว่ งหน้าสำหรับแผนฉกุ เฉินเก่ียวกับการเข้ามาของ ค่แู ขง่ ขึ้นในตลาด ต้นทนุ วัตถุดิบซึ่งทำให้การขาดแคลนวัตถุดิบสงู ขนึ้ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี การเปล่ียนแปลงด้านประชากรศาสตร์ ส่ิงทดแทนการนำเข้าปัญหาเศรษฐกิจ อุปสรรคจากกฎหมาย ความตอ้ งการทีเ่ ปลี่ยนไปของลูกค้า เป็นต้น 5. การพัฒนา ประเมิน และการเลือกกลยุทธ์ (develop, evaluate and select alternative strategies) กลยุทธ์ (strategies) เป็นการกำหนดจดุ มุ่งหมายและเป้าหมายท้ังหมดของ องค์การตลอดจนวิธีการเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายนั้น ซึ่งเป็นเร่ืองเก่ียวกับภารกิจและทิศทางในอนาคต เป้าหมายการทำงานระยะสั้นและระยะยาวตลอดจนกลยุทธ์ในการทำงานซึ่งเป็นแผนท่ีเกี่ยวข้องกับ วิธีการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เพ่ือให้เกิดผลดีสามารถบรรลุวัตถุประสงค์โดยให้มีความ เส่ียงนอ้ ยท่ีสดุ ณ ระดับทย่ี อมรับได้ แผนกลยุทธ์จะต้องมี ดงั น้ี 1. การพัฒนา (develop) ผู้บริหารระดับสูงต้องมีการพัฒนาแผนข้ึนมาก่อน เพ่ือ ใชเ้ ป็นแนวทางในการบริหารองค์การตามแผนกลยุทธท์ ก่ี ำหนดไว้ 2. ประเมิน (evaluate) การพิจารณาความเหมาะสมของแผน 3. เลือกกลยุทธ์ท่ีเหมาะสม (select) เน่ืองจากองค์การต้องเผชิญกับภาวะ ทรัพยากรท่มี ีอย่จู ำกัด องค์การจำเปน็ ต้องเลือกใช้กลยุทธ์โดยข้อมูลต่าง ๆ อาจมาจากหลาย ๆ ฝ่ายท่ี เกย่ี วขอ้ ง แต่ผนู้ ำเชงิ กลยทุ ธ์เทา่ นั้นจะเป็นผเู้ ลอื กเอง โดยทั่วไปแล้วการวางแผนเชิงกลยุทธ์เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารระดับสูง แต่อาจมีทีม ผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนช่วยเหลือก็ได้ ซ่ึงผู้นำเชิงกลยุทธ์ในปัจจุบันจะทำงานร่วมกับทุกระดับ เนื่องจากระดับล่างมีความใกล้ชิดกับข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานของผลิตภัณฑ์ ความสัมพันธ์กับลูกค้า ปฏิกิริยาของคู่แข่งขันและปัญหาในการขนส่งโดยการตัดสินใจที่สรุปออกมานั้นจะมีความเป็นเชิงกล ยุทธ์ก็ต่อเมื่อการตัดสินใจนั้นสามารถกำหนดทิศทางโดยรวมขององค์การได้ การวางแผนเชิงกลยุทธ์ อาจตอ้ งใชก้ ารวิจยั เพอื่ กำหนดแนวการตดั สนิ ใจจากการศึกษา เพ่ือดวู ่าการใช้หลักเหตุผลตามข้นั ตอน
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 21 (procedural rationality) เช่น การใช้แบบจำลอง การวางแผนเชิงกลยุทธ์ และพฤติกรรมทางการ เมืองจะมีอิทธพิ ลตอ่ ประสิทธผิ ลของการตดั สินใจเชิงกลยทุ ธ์หรือไม่ พบประเด็นสำคัญ ดงั น้ี 1. เรื่องของการใช้เหตุผลตามข้ันตอนและพฤติกรรมทางการเมือง สามารถหาคำตอได้จาก การใช้แบบสอบถาม ส่วนเรื่องของประสิทธิผลขอลการตัดสินใจ สามารถหาคำตอบได้จากการให้ คะแนนของผูบ้ รหิ าร 2. ผู้จัดการที่ได้เก็บข้อมูลและใช้เทคนิคเชิงวิเคราะห์น้ี จะเป็นผู้จัดการท่ีมีประสิทธิผล มากกว่าผู้จดั การที่ไมไ่ ด้ใช้วิธีดังกล่าว 3. ผู้จัดการที่เน้นการใช้อำนาจเป็นสำคัญจะเป็นผู้ที่มีประสิทธิผลน้อยกว่าผู้จัดการที่ หลีกเลี่ยงการใชอ้ ำนาจ 1.5 แนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับภาวะผ้นู ำเชงิ กลยทุ ธ์ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เป็นภาวะผู้นำรูปแบบหนึ่งท่ีมีองค์ประกอบที่หลากหลาย และแตกต่าง กันตามแตล่ ะแนวคิดหรือทฤษฎี แต่ทง้ั หมดล้วนเป็นส่ิงทจ่ี ำเป็นต่อผ้นู ำในองค์กรที่จะนำพาองค์กรไปสู่ เป้าหมาย พร้อมทั้งบริหารจดั การทรัพยากรใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด ตามท่ีผวู้ ิจยั ไดเ้ หน็ ความสำคัญของ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์และนำมาเป็นตัวแปรต้น ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับ แนวคิดทฤษฎีภาวะผนู้ ำเชงิ กลยทุ ธ์ เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจถงึ รูปแบบของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์อย่างถ่องแท้และ ทำการรวบรวม ซง่ึ มีรายละเอียดดังนี้ 1.5.1 แนวคิดทฤษฎีภาวะผูน้ ำเชิงกลยุทธ์ของ ยคุ ล์ (Yukl, 2013, 273-275) ได้เสนอแนวคิด ทฤษฎีเก่ียวกับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ โดยกำหนดความสามารถของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ไว้ 5 ด้าน ดังนี้ 1. การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม (adaptation to the environment) หมายถึง ความสามารถในการตอบสนองและการปรับตัวอย่างเหมาะสมให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีข้ึน โดยมี การกำหนดกลยุทธ์การแขง่ ขนั มกี ารนำเสนอวธิ กี ารที่จะมีอทิ ธิพลต่อผู้รับบรกิ ารอย่างมีศักยภาพ และ พัฒนาองค์กรท่ีมีกลยุทธ์ท่ีเน้นผลิตภัณฑ์หรือบริการระดับแนวหน้าท่ีไม่เหมือนใคร เพื่อตอบสนอง ความตอ้ งการทีเ่ ปล่ียนแปลงไปของผูร้ ับบรกิ าร 2. ประสิทธิภาพและความน่าเช่ือถือของกระบวนการ (efficiency and process reliability) หมายถงึ ความสามารถในการใชบ้ ุคลากรและทรัพยากรเพ่อื ดำเนนิ การในการลดต้นทุน มี กลยุทธ์การแข่งขันในองค์กร มีการสนับสนุนการดำเนินการ มีการออกแบบกระบวนการทำงานใหม่ ด้วยการใช้เทคโนโลยี มีการประสานงานสามารถเพ่ิมต้นทุน สร้างความม่ันใจ รักษามาตรฐานด้าน คณุ ภาพและความปลอดภัยให้กับผรู้ ับบรกิ าร 3. ทรัพยากรบุคคลและความสัมพันธ์ (human resources and relations) หมายถึง ความสามารถในจัดการคุณภาพของทรัพยากรบุคคล ให้สมาชิกมีแรงจูงใจและมีความสัมพันธ์ในการ ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ท่ีมีทักษะเข้มแข็งเกิดความมุ่งม่ันทุ่มเทเพื่อให้บรรลุ วตั ถปุ ระสงค์ 4. กลยุทธ์การแข่งขัน (competitive strategy) หมายถึง ความสามารถในการ กำหนดกลยุทธ์การแขง่ ขันด้วยการใช้พฤติกรรมทม่ี ุ่งเน้นการเปลยี่ นแปลง ต่อสภาพแวดล้อม นำเสนอ
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 22 กลยุทธ์ที่เป็นนวัตกรรมและกลยุทธ์ทางเลือก โปรแกรม และระบบสำหรับตรวจสอบภัยคุกคาม แล้ว ระบุกลยุทธท์ เี่ หมาะสมสำหรบั องคก์ ร 5. รูปแบบการจัดการ ระบบ และโครงสร้าง (management programs, system and structures) หมายถึง ความสามารถในการประยุกต์ใช้โปรแกรมการปรับปรุงระบบการจัดการ รูปแบบ และโครงสร้างต่าง ๆ ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น โปรแกรมลดค่าใช้จ่าย กระบวนการและ โปรแกรมการปรบั ปรุงคุณภาพ โปรแกรมการจัดการประสิทธภิ าพและกำหนดเปา้ หมาย เป็นต้น จากแนวคิดทฤษฎีภาวะผนู้ ำเชิงกลยุทธข์ องยคุ ล์พอสรุปได้ว่า แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงกล ยุทธ์เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวในเข้ากับสถานการณ์ พยายามหาช่องทางการแข่งขัน โดย สร้างแรงจูงใจภายในองค์กรให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีการลดต้นทุนของผลผลิตแต่ ยงั คงรักษาไว้ซึง่ คณุ ภาพ และมกี ลยุทธ์ในการดำเนนิ ธุรกจิ เพอื่ ใหเ้ กิดความสนใจของผู้รับบรกิ าร 1.5.2 แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของ ฮิตต์, ไอร์แลนด์ และ ฮอสคิสสัน (Hitt, Ireland, & Hoskisson, 2007a, 372-383) ได้เสนอแนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ โดย กำหนดความสามารถของภาวะผนู้ ำเชิงกลยุทธ์ไว้ 5 ดา้ น ดังน้ี 1. การกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ (determining strategic direction) หมายถึง ความสามารถในการกำหนดวสิ ัยทัศน์ และสามารถถ่ายทอดวสิ ัยทัศน์ ตลอดจนจงู ใจกระตุ้นผู้ร่วมงาน ให้ปฏิบัติตามได้อย่างสม่ำเสมอ สามารถวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก เพ่ือกำหนด แผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการเปลย่ี นแปลง 2. การบริหารทรัพยากรในองค์กร (effectively managing the firm's resource portfolio) หมายถึง ความสามารถใช้กลยุทธ์ในการบริหารทรัพยากรในองค์กร ทั้งด้านงบประมาณ และด้านทรัพยากร บุคคล เพ่ือใหท้ รพั ยากรเหลา่ นน้ั เกิดประโยชนส์ ูงสุด มีความคุ้มคา่ คุม้ ทุน เพ่อื เกิด ความไดเ้ ปรียบ ทางการแขง่ ขนั ผรู้ ับบรกิ ารได้รบั บริการท่มี คี ุณภาพ 3. ส นั บ ส นุ น วัฒ น ธรรม อ งค์ ก รท่ี มี ป ระสิ ท ธิผ ล (sustaining an effective organizational culture) มีความสามารถในการกำหนด เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยม ใหเ้ หมาะสมกับ การเปลี่ยนแปลงของส่ิงแวดล้อมภายนอก สามารถเลอื กวัฒนธรรมองค์กรที่มอี ิทธิพล ตอ่ การดำเนินงานและเป็นตวั กำหนดพฤติกรรมการทำงานของสมาชิก 4. มุ่งเน้นการปฏิบัติอย่างมีคุณธรรม (emphasizing ethical practices) เป็นผู้นำท่ี มีคุณธรรม จริยธรรม มีความซ่ือสัตย์ สุจริต เป็นท่ีน่าไว้วางใจ มีการตัดสินใจโดยคำนึงถึงประโยชน์ ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตวั 5. การจัดต้ังควบคุมองค์กรให้สมดุล (establishing balanced organizational controls) มีการจัดการบริหารงานดูแลในกระบวนการทำงานให้ได้มาตรฐาน คุณภาพการบริการ ผู้รับบริการ พึงพอใจในบริการท่ีได้รับและผู้ให้บริการมีความสุขและเกิดความพึงพอใจในการ ปฏิบตั งิ าน จากแนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของ ฮิตต์, ไอร์แลนด์ และ ฮอสคิสสัน พอสรุปได้ว่า ทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เป็นแนวคิดท่ีเกี่ยวกับบริหารจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ แล้ว จะนำไปสู่ความสำเร็จจากภายนอก โดยการกำหนดวิสัยทัศน์และสร้างแรงจูงใจต่อผู้ร่วมงาน ใช้
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 23 ทรัพยากรในองค์กรอย่างคุ้มค่าเพอื่ ให้คุม้ ทุนทำใหเ้ กิดข้อได้เปรยี บทางการแข่งขัน รักษาค่านิยมท่ีดีใน องคก์ ร และรกั ษามาตรฐานของผลผลิตเพอื่ ใหผ้ ู้รบั บริการพงึ พอใจ 1.5.3 แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของ นาฮาแวนดิ และ มาเลคซาเดห์ (Nahavandi & Malekzadeh, 1993, อ้างถึงใน คมกฤช พรหมฉิน, 2560, 39-40) ได้เสนอแนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับ ภาวะผ้นู ำเชิงกลยุทธ์ โดยกำหนดความสามารถของภาวะผนู้ ำเชงิ กลยุทธ์ท่เี ดน่ ชัดไว้ 2 ดา้ น ดงั น้ี 1. ด้านแสวงหาความท้าทาย (degree of challenge seeking) หมายถึง ผู้นำมีความ เต็มใจท่ีจะเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ผู้นำจะมุ่งต่อกลยุทธ์สู่อนาคตกับการดำเนินงานประจำปัจจุบันมาก น้อยเพียงไร เป็นต้น ผู้นำท่ีมุ่งแสวงหาความท้าทายสูงพบว่ามักจะกำหนดกลยุทธ์ท่ีมีลักษณะความ เสี่ยงสูง และมักจะพยายามริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในขณะที่ผู้นำซึ่งมีระดับของการแสวงหาความ ท้าทายต่ํา มักจะไม่ชอบและปฏิเสธต่อความเสี่ยงทั้งหลายด้วยการยึดติดอยู่กับแนวคิดและวิธีเดิมที่ พิสูจน์ว่าเคยได้ผลดีมาแล้ว 2. ด้านความต้องการที่จะมีอำนาจในการควบคุม (need of control) หมายถึง ผู้นำที่มี ความต้องการมีอำนาจในการควบคุมสูงจะจัดรูปแบบขององค์กรท่ีเป็นการรวมศูนย์อำนาจ มีการ กระจายงานกระจายอำนาจค่อนข้างน้อยและมุ่งเน้นท่ีกระบวนการต่ํา จะเน้นวัฒนธรรมแบบตึงตัว เน้นการปฏิบัติแบบเดียวที่เหมือนกันและการให้ลอกเลียนแบบการปฏิบัติเป็นหลัก ในขณะท่ีผู้นำท่ีมี ระดับความต้องการทีอำนาจในการควบคุมตํ่า มักจะเน้นการกระจายอำนาจในองค์กร จะกระจาย อำนาจความรับผดิ ชอบในการตัดสนิ ใจแก่บุคคลต่าง ๆ ที่ร่วมงาน ผู้นำแบบน้ีจะมงุ่ เน้นวฒั นธรรมแบบ ปรบั ตัวพยายามกระตุ้นการมีสว่ นร่วมและการแสดงออกโดยเปิดเผยของผ้ตู าม มุ่งเนน้ การใช้วิธีบรู ณา การความคิดท่ีหลากหลายของบุคคลต่าง ๆ มากกวา่ ความคิดที่เปน็ แบบเดียวท่ีเหมอื น ๆ กัน จะสร้าง วัฒนธรรมท่ีกระตุ้นการมีส่วนร่วมของพนักงานและวัฒนธรรมในการแสดงความอดทนต่อการรับฟัง ความคดิ ของผอู้ นื่ ทเ่ี กดิ ข้ึนในองคก์ ร จากแนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำเชงิ กลยุทธข์ อง นาฮาแวนดิ และ มาเลคซาเดห์ เป็นการกล่าวถึง ความสามารถ หรือคุณลักษณะที่เด่นชัดของผู้นำที่มีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ โดยผู้นำน้ันจะมี ความสามารถ หรือคุณลักษณะที่ชอบความท้าทายในการริเร่ิมส่ิงใหม่ ๆ กล้าเส่ียง กล้าลอง และจะ ชอบการกระจายอำนาจ และความรับผิดชอบ เพ่ือให้ทุกคนในองค์กรได้ทำงานร่วมกัน และมุ่งเน้น การใชว้ ธิ ีบรู ณาการความคิดที่หลากหลายของบคุ คลต่าง ๆ มากกวา่ ความคิดท่ีเปน็ แบบเดยี ว 1.5.4 แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของ ดูบริน (Dubrin, 2010, 382-387) ได้เสนอ แนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ โดยกำหนดความสามารถของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ไว้ 5 ดา้ น ดังนี้ 1. การมีความคิดความเข้าใจระดับสูง (high level cognitive activity of the leader) หมายถึง ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ จนสามารถสรุปข้อมูลตา่ ง ๆ เพื่อ นำไปกำหนดเป็นแผนปฏิบัติงาน ผูบ้ ริหารมีความคิดเชิงระบบ คอื สามารถบรหิ ารงานให้คนในองค์กร ทำงานร่วมกันเพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีความสามารถในการคิดแก้ไขปัญหาสามารถนำความรู้ ความเข้าใจ ทมี่ ีไปใชใ้ นการแกป้ ญั หาอย่างมีวิจารณญาณ มคี วามคดิ ริเริ่มสร้างสรรค์ในการทำงาน 2. การรวบรวมปัจจัยสู่การกำหนดกลยุทธ์ (gathering multiple inputs to formulate strategy) หมายถึง ความสามารถในการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 24 องค์กรเพ่ือเก็บเป็นข้อมูลในการกำหนดกลยทุ ธ์บรหิ ารจัดการขอ้ มูลโดยจดั เปน็ ขอ้ มูลสารสนเทศ มกี าร รายงานผล แผนงานและโครงการเพ่ือนำเป็นข้อมูลในการพัฒนางาน มีการคิดเชงิ ประยกุ ต์นำความรูท้ ี่ เก็บรวบรวมได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายที่ต้งั ไว้ 3. การคาดหวังและสร้างโอกาสสำหรับอนาคต (anticipating and creating a future) หมายถึง ความสามารถในการวางแผนการทำงาน สามารถคาดการณ์อนาคต สถานการณ์ มี การทำงานเชิงรุก มีปฏิภาณไหวพริบ มีทักษะ ในการคิดแก้ปัญหาขององค์กรเป็นนักวางแผนกลยุทธ์ และขับเคล่ือนกลยทุ ธ์ให้บรรลเุ ป้าหมายขององค์กร 4. ก า ร คิ ด เชิ งป ฏิ วั ติ (Revolutionary and contrarian thinking) ห ม า ย ถึ ง ความสามารถในการคิดเชิงบูรณาการ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความสามารถในการคิดแบบองค์ รวม คิดเปลี่ยนแปลง คดิ แปลกใหมเ่ พ่ือพัฒนาความเปน็ เลิศขององค์กร มกี ารเรียนรปู้ ระสบการณ์ใหม่ อยา่ งไม่หยดุ นิ่ง พฒั นาทักษะใหม่ ๆ ภายใต้กรอบการทำงานอยา่ งชดั เจนมีความเข้าใจหลักการพัฒนา องคก์ รอยา่ งย่ังยนื 5. การกำหนดวิสัยทัศน์ (creating a vision) หมายถึง ความสามารถในการแสดง ศักยภาพของการเป็นผู้นำ เพ่ือพาองค์กรสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ มองเห็นภาพรวมในอนาคตขอ องค์กรท่ีต้องการที่จะให้เป็นได้อย่างชัดเจน โดยภาพน้ันต้องสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร มี ความเป็นไปไดข้ องวิสัยทัศน์และสามารถมองเปน็ วธิ ีการที่จะนำองคก์ รใหบ้ รรลคุ วามต้องการ จากแนวคดิ ทฤษฎีภาวะผนู้ ำเชงิ กลยุทธ์ของ ดูบริน พอสรุปได้ว่า ทฤษฎภี าวะผู้นำเชงิ กลยุทธ์ เป็นแนวคิดที่เน้นคุณลักษณะภายในตัวผู้บริหาร ให้มีความคิดเป็นระบบ แก้ปัญหาอย่างมีวิจารญาณ มีความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ ไม่หยุดนิ่ง มีการวางแผนโดยวิเคราะห์ปัจจัยภายในและ ภายนอกได้ แล้วนำมาเปน็ ศกั ยภาพเพ่ือพาองค์กรให้บรรลุเป้าหมาย การศึกษาวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของ ดูบริน เป็นตัวแปรต้น เพราะเปน็ ทฤษฎีที่ได้กำหนดความสามารถผ่านกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและมีกลยุทธ์ ไม่ว่าจะ เป็นการมคี วามคิดความเข้าใจระดับสูง การรวบรวมปัจจัยส่กู ารกำหนดกลยุทธ์ การคาดหวงั และสรา้ ง โอกาสสำหรับอนาคต การคิดเชิงปฏิวัติ และการกำหนดวิสัยทัศน์ ซ่ึงเป็นคุณสมบัติของภาวะผู้นำที่ ผ้บู รหิ ารทกุ คนพึงมีในโลกท่มี กี ารเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็ว 2. ประสิทธิผลของโรงเรียน องค์กรทางการศึกษาเป็นองค์กรท่ีสำคัญท่ีสุดของสังคม เพราะเป็นองค์กรท่ีสร้างทักษะและ พัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีศักยภาพพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานของประเทศที่กำลังต้องการทรัพยากร มนุษย์ในการขับเคล่ือนประเทศ รวมถึงการเป็นผู้ประกอบการเพื่อเพ่ิมการแข่งขันทางเศรษฐกิจตง้ั แต่ ในระดบั ชมุ ชน ประเทศ จนไปถงึ ระดับโลกในอนาคต 2.1 ความหมายของประสทิ ธิผลของโรงเรียน ประสทิ ธิผลของโรงเรยี นเป็นเครอื่ งมอื ชี้วดั ความสำเร็จอยา่ งหนง่ึ ขององค์กรทางการศกึ ษา ทั้ง ในด้านการบริหารและการดำเนินงาน ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับความหมาย ของประสทิ ธผิ ลของโรงเรียนและทำการรวบรวม ซง่ึ มรี ายละเอียดดังน้ี
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 25 ยกุ ตนันท์ หวานฉ่ำ (2555, 21) ไดก้ ล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง เครื่องมอื หรือ ตัวบ่งชี้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารว่า การบริหารองค์กรหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหน่ึง สามารถดำเนินการจนบรรลเุ ปา้ หมายและวัตถุประสงค์ทีต่ ้งั ไว้ได้มากน้อยเพยี งใดน้นั วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ (2555, 14) ได้กล่าววา่ ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ระดับการ บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ลว่ งหน้าว่าไดก้ ่อให้เกดิ ผลผลติ ผลลัพธ์ตามวตั ถุประสงคท์ ่ีโรงเรยี นตัง้ ไว้ มากน้อยเพยี งใด อลิษา สุคุณพันธ์ (2555, 47) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ผลการ ดำเนินการของโรงเรียนทีบ่ รรลุวัตถปุ ระสงค์ของโรงเรยี น การจดั การศึกษาท่ที ำให้ครูและนักเรยี นเกิด การเรียนรู้ และเกิดความพึงพอใจ ความสามารถของโรงเรียนในการแสวงหาผลประโยชน์จาก สิ่งแวดล้อมเพ่ือให้ได้ทรัพยากรในการนำไปสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กร การใช้ทรัพยากรต่าง ๆ จนเกิดผลสำเร็จ บรรลุตามเป้าหมายท่ีองค์กรต้ังไว้ ความมีประสิทธิภาพในการทำงาน การปรับตัว ขององค์กรให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ความยืดหยุ่นในการดำเนินการต่าง ๆ ใหเ้ หมาะสมกับบริบทของ โรงเรยี น นนทกร อรุณโน (2563, 26) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง การดำเนินการ ของโรงเรียนท่ีบรรลุวัตถปุ ระสงค์ของโรงเรียน การจัดการศึกษาที่ทำให้ครูและนักเรียนเกิดการเรยี นรู้ และความพึงพอใจ ความสามารถในการแสวงหาผลประโยชน์จากส่ิงแวดล้อมเพื่อให้ได้ทรัพยากรใน การนำไปสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กร การใช้ทรัพยากรต่าง ๆ จนเกิดลสำเร็จบรรลุตาม เป้าหมายท่ีองค์กรตั้งไว้ ความมีประสิทธิผลในการทำงาน การปรับตัวขององค์กรในเข้ากับ สภาพแวดล้อม ความยืดหยนุ่ ในการดำเนินการต่าง ๆ ให้เหมาะสมกบั บรบิ ทของโรงเรียน ปวีณ า ศรีนาราง (2560, 51-52) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายในการทำงานในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาสมุทรสาครโดยพิจารณาจากความสามารถในการผลิตนักเรียน ที่มีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนสูง และสามารถพัฒนาให้นักเรียนมีทัศนะคติทางบวก ตลอดจนสามารถปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อมท้ังภายใน ภายนอกและรวมท้ังสามารถแก้ปัญหาภายในโรงเรียน จนทำให้เกิดความ พอใจในการทำงาน ซ่ึงเป็นการมองประสิทธิผลในภาพรวมทั้งระบบร่วมกันพิจารณาตามแนวคิด แนวทางในการพัฒนาวิสัยทัศน์เปา้ หมายของโรงเรียนและแนวทางเชิงระบบ แนวทางเชงิ กลยุทธ์ ให้มี ประสิทธิภาพของประสิทธิผลท่ีดีสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถแก้ปัญหา เพื่อให้ บรรลุเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของโรงเรียน เพื่อตอบสนองความต้องการของของบุคลากรใน โรงเรยี น นิศรา มูลวรรณ (2561, 51) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ดัชนีชี้วัด ความสำเร็จในการจัดการศึกษา ของโรงเรียนที่ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สมรรถนะและคุณลักษณะท่ี พึงประสงค์ของนักเรียน ความผูกพันต่อโรงเรียน ความพึงพอใจและแรงจูงใจในการทำงานของครู ทักษะการบริหารและ ภาวะผ้นู ำของผบู้ รหิ ารโรงเรยี น การมีสว่ นร่วมของผชู้ มุ ชน เบ็ญจมาศ หนูไชยทอง (2561, 77) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ระดับ ความสำเร็จหรือการบรรลุผลตามวตั ถปุ ระสงค์หรือเปา้ หมายของโรงเรียนที่กำหนดโดยผู้นำเป็นปัจจัย สำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินการ ประสานงานกบั บุคลากรและทกุ ส่วนท่ีเก่ยี วข้องเพ่ือให้ผเู้ รียนมี
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 26 คุณภาพ และตรงตามความตอ้ งการของสังคม โดยมีความหมายครอบคลุมถึงผลผลิตท่ีเกิดกับนกั เรยี น เป็นสำคัญ และความพงึ พอใจของครผู ้ปู ฏบิ ัตดิ ว้ ย ประจัญ เดชสุภา (2562, 34) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ความสำเร็จของ โรงเรียนที่สามารถทำหน้าท่ีให้บรรลุเป้าหมายท่ีต้ังไว้ โดยใช้ความสามารถและประสบการณ์ของ ผ้บู รหิ ารในการดำเนนิ งาน เพ่อื โน้มนา้ วใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาปฏิบตั ิงานให้เกิดผลตามเป้าหมายที่ตงั้ ไว้ ศรายุทธ เมืองคำ (2563, 37) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง การดำเนินงาน ของโรงเรียน ที่บรรลุวัตถุประสงค์ของโรงเรียน เป็นการจัดการศึกษาท่ีทาให้ครูและนักเรียนเกิดการ เรียนรู้และความพึงพอใจ เป็นความสามารถในการแสวงหาผลประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมเพ่ือให้ได้ ทรัพยากรในการนำปสนับสนุนการดาเนินงานขององค์กร การใช้ทรัพยากรต่าง ๆ จนเกิดผลสำเร็จ บรรลุ ตามเป้าหมายท่ีองค์กรตั้งไว้ ความมีประสิทธิภาพในการทางาน การปรับตัวขององค์กรให้เข้า กับสภาพแวดลอ้ ม ความยืดหย่นุ ในการดาเดนิ การต่าง ๆ ใหเ้ หมาะสมกบั บรบิ ทของโรงเรยี น ฮอย และ เฟอร์กูสัน (Hoy & Furguson, 1985, 117) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง การพจิ ารณาผลลัพธ์ของโรงเรยี นจากนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิส์ ูง การจัดสรรทรัพยากรอย่างมี ประสิทธิภาพ ความสามารถในการปรับเปล่ียนต่อสภาพแวดล้อมท่ีมากระทบท้ังภายในและภายนอก และการสร้างความพงึ พอใจแก่ครูอาจารยไ์ ด้ เฟรเดอริค (Frederick, 1987, 4) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ผลการ ดำเนินงานท่ีได้ตามต้องการหรือต้ังใจในแง่ของผลลัพธข์ องนักเรียน นั่นคือผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ดี ข้ึนคือเป้าหมายสูงสุดของทุกส่ิงที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ซ่ึงเป็นองค์ประกอบท่ีสำคัญของโรงเรียนที่มี ประสิทธผิ ล มอทท์ (Mott cited in Hoy & Miskel, 2013, 319) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ผลสำเร็จของการบริหารจัดการของผู้บริหารภายในโรงเรียนและการดำเนินงานท่ีมี ประสิทธิภาพของบุคลากรในการจัดการศึกษาที่บรรลุผลตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ต้ังไว้ของ โรงเรียน โดยพิจารณาจากความสามารถในการผลิตนักเรียน ท่ีมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพ่ิมขึ้น สามารถพัฒนานักเรียนให้มีเจตคติทางบวกต่อการเรียนรู้ตลอดจนนักเรียนสามารถปรับตัวให้เข้ากับ สภาพแวดล้อม สังคมทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน รวมถึงความสามารถในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ภายในโรงเรยี น บูรูซิค บาบาโรวิค และ เวลิค (Burušić, Babarović, ans Velić, 2016, 10) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ประสิทธิภาพทางการศึกษาที่สามารถกำหนดได้ว่าเป็นผลการ ดำเนินงานที่มคี ุณภาพหรือผลลัพธ์ประสบความสำเร็จสงู สุดโดยใชท้ รัพยากรด้วยความพยายาม เวลา ค่าใช้จ่ายท่ีน้อยที่สุด เพราะระบบการศึกษาจะถือว่าเมื่อผลการศึกษาเกิดข้ึนได้จากการลงทุน ทรัพยากรและความพยายามเพียงเล็กน้อยหรือเมื่อใด ผลทไ่ี ด้รบั จะเกดิ ผลลัพธ์สูงสดุ จากความหมายของประสิทธิผลของโรงเรียนพอสรุปได้ว่าประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ผลสำเร็จตามท่ีได้ต้ังเป้าหมายไว้ ด้วยการบริหารและดำเนินงานที่ใช้ทรัพยากร ใช้เวลา มีค่าใช้จ่าย และความพยายามน้อยที่สุด ซ่ึงองค์ประกอบของโรงเรียนท่ีมีประสิทธิผลหลักคือผลลัพธ์ท่ีเกิดจาก นกั เรยี น
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 27 2.2 ความสำคัญของประสิทธผิ ลของโรงเรียน การเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ ของสังคมในปัจจุบันส่งผลให้แต่ละ ประเทศต้องการทรัพยากรมนุษย์ท่ีมีศักยภาพเพื่อเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันระหว่างประเทศ โรงเรียนจึงเป็นแหล่งผลิตทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญ และต้องเป็นโรงเรียนที่มีประสิทธิผลเพื่อท่ีจะผลิต ทรัพยากรมนุษย์ออกมาให้มีศักยภาพ ผู้วิจัยเห็นถึงความสำคัญของประสิทธิผลของโรงเรียน จึงได้ ศกึ ษาเอกสาร และงานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง และทำการรวบรวม ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดังน้ี จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั (2553, 27) ได้กลา่ วว่า ประสิทธผิ ลมคี วามสำคัญทำให้เกดิ ผลในส่ิง ท่ีควรจะเกิดข้ึน เพื่อเป็นสิ่งที่ดีงามของการพัฒนา ประสิทธิผลจึงเป็นการดำเนินการให้สามารถ บรรลผุ ลตามจุดมงุ่ หมายทต่ี ้องการได้อยา่ งครบถ้วน เหมาะสม และดีงามอย่างทสี่ ดุ วรนารถ แสงมณี (2553, 92) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหาร และองค์กร ซ่ึงเป็นการตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าองค์กรบรรลุผลสำเร็จหรือไม่เพียงใด องค์กรจะอยู่หรือ ม่ันคงก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิผล ถ้าองค์กรมีประสิทธิผลก็จะสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าไม่มี ประสิทธผิ ลองค์กรนน้ั กอ็ าจจะล่มสลาย ภารดี อนันต์นาวี (2554, 204) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลช่วยตรวจสอบวัตถุประสงค์กับการ จัดต้ังองค์กร การจัดตั้งองค์กรย่อมกำหนด วัตถุประสงค์ และเป้าหมายไวอ้ ย่างชดั เจน เพ่อื ดำเนนิ งาน ให้เปน็ ไปตามความต้องการหรือไม่ ประเมินผลการดำเนนิ งานกับแผนงานที่กำหนด การดำเนินงานใน แต่ละกิจกรรม ย่อมต้องมีการวางแผน กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ การจัดสรรทรัพยากร การใช้ อำนาจหน้าที่ การบริหารการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน ประเมิน ผลสำเร็จกับวัตถุประสงคเ์ ปรียบเทียบผลงานท่ีดำเนินการได้ตามแผนงาน กับวตั ถุประสงค์ขององค์กร ที่คาดหวัง ถ้าผลของงานบรรลุผลตามวัตถุประสงค์และความคาดหวังขององค์กรแสดงว่าองค์กรมี ประสิทธิผล วานิช บุญครอบ (2556, 39) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลขององค์กรช่วยตรวจสอบวัตถุประสงค์ กับการจัดตั้งองค์กร การจัดตั้งองค์กรย่อมกำหนด วัตถุประสงค์และเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนเพ่ือ ดำเนินงานให้เป็นไปตามความต้องการหรือไม่ ประเมินผลการดำเนินงานกับแผนงานที่กำหนด การ ดำเนินงานในแต่ละกิจการย่อมต้องมีการวางแผน กำหนดหน้าท่ีความรับผิดชอบ การจัดสรร ทรัพยากร การใชอ้ ำนาจหนา้ ทีก่ ารบริหาร การปฏบิ ัติงานใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลของงาน และประเมินความสำเร็จกับวัตถุประสงค์ เปรียบเทียบผลงานท่ีดำเนินการได้ตามแผนงานกับ วัตถุประสงค์ขององค์กรที่คาดหวัง ถ้าผลของงานบรรลุผลตามวัตถุประสงค์และความคาดหวังของ องคก์ รแสดงวา่ องค์กรมปี ระสทิ ธผิ ล กรชนก แย้มอุทัย (2557, 19-20) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลมีความสำคัญต่อองค์กรหรือ หน่วยงาน เพราะเป็นตวั ชี้วัดความสำเร็จขององค์กร หากการดำเนินงานขององค์กรไม่มีประสิทธิภาพ ก็ยากท่ีองค์กรจะอยู่ได้ดังน้ันประสิทธิผล เป็นการทำให้บรรลุสำเร็จตามเป้าหมายองค์กรและ ประสิทธิภาพเป็นการทำให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความพึงพอใจและร่วมมือกันปฏิบัติงานให้ได้ผลผลิตท่ี ต้องการ จึงมีความสัมพันธ์กันทำให้องค์กรบรรลุเป้าหมายภายในเง่ือนไขท่ีมีการใช้ทรัพยากรให้เกิด ประโยชน์สูงสุด การบรรลุถึงประสิทธิผลและประสิทธิภาพจึงเป็นท่ีพึงปรารถนาของทุก องค์กร ประสิทธิผลของบุคคล คือ ลักษณะของบุคคลท่ีมีความสามารถปฏิบัติงานใด ๆ หรือปฏิบัติ
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 28 กิจกรรมใด ๆ แล้วประสบผลสำเร็จ ทำใหเ้ กิดผลโดยตรงและครบถว้ นตามวัตถุประสงค์ ผลที่เกดิ ข้ึนมี ลกั ษณะคุณภาพ เช่น ความถูกต้อง ความมีคณุ ค่า เหมาะสมดกี ับงาน ตรงกับความคาดหวังและความ ตอ้ งการของหมู่คณะ สังคม และผจู้ ะนำผลน้ันไปใช้เป็นผลทไ่ี ดจ้ ากการปฏบิ ัติอยา่ งมีประสิทธภิ าพ เบ็ญจมาศ หนูไชยทอง (2561, 78) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียนเป็นผลลัพธ์ครั้ง สุดท้ายของการบริหารโรงเรียนท่ีประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ซ่ึงเป็นการมองประสิทธิผลของ โรงเรียนท้ังระบบ สามารถอธิบายถึงคุณภาพการบริหารของผู้บริหารโรงเรียนและคุณภาพการสอน ของครูและเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรไม่ถึงหลานเข้ามาเรียนด้วยจึงถือได้ว่า ประสิทธิผลมีความสำคัญต่อการจัดการศกึ ษาในโรงเรยี นเปน็ อย่างยงิ่ ประจัญ เดชสุภา (2562, 34) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลของโรงเรียนมีความสำคัญต่อการ บริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งสามารถช่วยตรวจสอบการจัดต้ังโรงเรียน ช่วยประเมินการ ดำเนนิ งานกับแผนท่ีกำหนด และประเมนิ ความสำเร็จกับวตั ถุระสงค์ เปรยี บเทยี บผลการดำเนินการได้ ตามแผนงานกบั วตั ถปุ ระสงคข์ ององค์กรที่คาดหวงั แซลลิส และ โจนส์ (Sallis & Jones, 2002, 1-2) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลขององค์กรมี ความสำคัญต่อองค์กรทุกประเภท เพื่อเพิ่มพูนผลผลิต บริการ และผู้รับบริการ ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารใน ฐานผูน้ ำองคก์ รตอ้ งคำนึงถึงการบริหารทเ่ี กิดประสทิ ธิผลขององคก์ รเปน็ สำคัญ แคทซ์ และ คาห์น (Katz & Kahn, 2003, 42) ได้กล่าวว่า ประสิทธิผลมีความสำคัญในการ เปรียบเทียบอัตราส่วนปัจจัยกับผลงาน เพ่ือดูว่าผลที่ได้รับมากหรือน้อยกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ และใช้ทรัพยากรใหไ้ ดผ้ ลสำเร็จนัน้ มากน้อยเพยี งใด จากความสำคัญของประสิทธิผลของโรงเรียนพอสรุปได้ว่า ประสิทธิผลของโรงเรียนมี ความสำคัญในการดำรงอยู่หรือล่มสลายขององคก์ ร สามารถใช้เปรียบเทียบผลสำเร็จท่ีได้รับมากน้อย เพียงใด รวมถึงทรัพยากรท่ีใช้ได้ว่าคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด การมีประสิทธิผลจึงสามารถบ่งชี้ได้ว่าผล การดำเนนิ งานที่ครบถว้ น 2.3 แนวทางการประเมนิ ประสทิ ธผิ ลของโรงเรียน 1. แนวทางการประเมินประสิทธิผลของโรงเรียนในการพัฒนาการศึกษาตามมาตรฐาน การศึกษาข้ันพื้นฐาน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน, 2561, 11-39) มีการกำหนด มาตรฐานการศึกษาที่เน้นคุณภาพผู้เรียน คุณภาพผู้บริหารโรงเรียนและคุณภาพครูมีความสอดคล้อง กับมาตรฐานการศึกษาชาติและข้อกำหนดในกฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561 ซง่ึ มรี ายละเอียดดงั นี้ มาตรฐานการศกึ ษาระดบั ปฐมวัย มาตรฐานท่ี 1 คุณภาพของเด็กผลพัฒนาการเด็กในด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปญั ญา 1.1 มพี ัฒนาการดา้ นร่างกาย แข็งแรง มีสุขนสิ ัยทีด่ ี และดูแลความปลอดภยั ของตนเอง ได้เด็กมีน้ำหนัก ส่วนสูงตามเกณฑ์มาตรฐาน เคลื่อนไหวร่างกายคล่องแคล่ว ทรงตัวได้ดีใช้มือและตา ประสานสัมพันธ์ได้ดีดูแลรักษาสุขภาพอนามัยส่วนตนและปฏิบัติจนเป็นนิสัย ปฏิบัติตนตามข้อตกลง เกย่ี วกบั ความปลอดภัย หลีกเล่ียงสภาวะท่ีเสี่ยงตอ่ โรค สง่ิ เสพตดิ และระวังภัยจากบุคคล สงิ่ แวดล้อม และสถานการณท์ ี่เสีย่ งอนั ตราย
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 29 1.2 มีพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ควบคุมและแสดงออกทางอารมณ์ได้เด็กร่าเริง แจ่มใส แสดงอารมณ์ความรู้สึกได้เหมาะสมรู้จักยับยั้งช่ังใจ อดทนในการรอคอย ยอมรับและพอใจใน ความสามารถและผลงานของตนเองและผู้อื่น มีจิตสำนึกและค่านิยมที่ดีมีความม่ันใจกล้าพูด กล้า แสดงออก ช่วยเหลือแบ่งปัน เคารพสิทธิรู้หน้าท่ีรับผิดชอบอดทนอดกลั้น ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม จรยิ ธรรมตามทโ่ี รงเรียนกำหนดช่นื ชมและมคี วามสุขกับศิลปะ ดนตรีและการเคลื่อนไหว 1.3 มีพัฒนาการด้านสังคม ช่วยเหลือตนเอง และเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเด็ก ช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันมีวินัยในตนเอง ประหยัดและพอเพียง มีส่วนร่วมดูแล รกั ษาสง่ิ แวดลอ้ มในและนอกห้องเรียน มีมารยาทตามวฒั นธรรมไทย เชน่ การไหวก้ ารย้มิ ทักทาย และ มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ เป็นต้น ยอมรับหรือเคารพความแตกต่างระหว่างบุคคล เช่น ความคิด พฤติกรรม พื้นฐานครอบครัวเช้ือชาติศาสนา วัฒนธรรม เป็นต้น เล่นและทำงานร่วมกับผู้อ่ืนได้แก้ไข ข้อขัดแยง้ โดยปราศจากการใช้ความรนุ แรง 1.4 มีพัฒนาการด้านสติปัญญา สื่อสารได้ มีทักษะการคิดพ้ืนฐาน และแสวงหาความรู้ ได้เด็กสนทนาโต้ตอบและเล่าเร่ืองให้ผู้อื่นเข้าใจต้ังคำถามในสิ่งท่ีตนเองสนใจหรือสงสัย และพยายาม ค้นหาคำตอบ อ่านนิทานและเล่าเร่ืองที่ตนเองอ่านได้เหมาะสมกับวัย มีความสามารถในการคิดรวบ ยอด การคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ การคิดแก้ปัญหาและสามารถตัดสินใจใน เรื่องง่าย ๆ ได้สร้างสรรค์ผลงานตามความคิดและจินตนาการ เช่น งานศิลปะ การเคลื่อนไหวท่าทาง การเล่นอิสระ เป็นต้น และใช้ส่ือเทคโนโลยีเช่น แว่นขยาย แม่เหล็กกล้องดิจิตอล เป็นต้น เป็น เคร่อื งมอื ในการเรยี นรแู้ ละแสวงหาความรไู้ ด้ มาตรฐานท่ี 2 กระบวนการบรหิ ารและการจดั การ 2.1 มีหลักสูตรครอบคลุมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น โรงเรียนมีหลักสูตรโรงเรียนที่ยืดหยุ่น และสอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย โดยโรงเรียน ออกแบบการจัดประสบการณ์ท่ีเตรียมความพร้อมและไม่เร่งรัดวิชาการ เน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่น และการลงมอื ปฏิบัตติ อบสนองความต้องการและความแตกต่างของเด็กปกติและกล่มุ เป้าหมายเฉพาะ และสอดคลอ้ งกบั วิถีชีวิตของครอบครัว ชมุ ชนและท้องถิ่น 2.2 จัดครูให้เพียงพอกับชั้นเรียนโรงเรียนจัดครูให้เหมาะสมกับภารกิจการเรียนการ สอนหรือจัดครูทจ่ี บการศกึ ษาปฐมวยั หรอื ผา่ นการอบรมการศึกษาปฐมวยั อย่างพอเพยี งกับช้ันเรยี น 2.3 ส่งเสรมิ ให้ครูมีความเชย่ี วชาญด้านการจัดประสบการณ์พัฒนาครแู ละบคุ ลากรให้มี ความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์และออกแบบหลักสูตรโรงเรียน มีทักษะในการจัดประสบการณ์ และการประเมินพัฒนาการเด็ก ใช้ประสบการณ์สำคัญในการออกแบบการจัดกิจกรรม มีการสังเกต และประเมินพัฒนาการเด็กเป็นรายบคุ คล มีปฏิสมั พนั ธ์ที่ดกี ับเดก็ และครอบครวั 2.4 จัดสภาพแวดล้อมและส่ือเพ่ือการเรียนรู้ อย่างปลอดภัยและเพียงพอโรงเรียนจัด สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกห้องเรียนที่คำนึงถึงความปลอดภัยส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้เป็น รายบุคคลและกลุ่มเล่นแบบร่วมมือรว่ มใจ มมี ุมประสบการณห์ ลากหลาย มสี อ่ื การเรียนร้เู ชน่ ของเล่น หนังสือนิทาน สื่อจากธรรมชาติสื่อสำ หรับเด็กมุด ลอด ปีนป่าย ส่ือเทคโนโลยีส่ือเพื่อการสืบเสาะหา ความรู้
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 30 2.5 ให้บริการส่ือเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อการเรียนรู้เพ่ือสนับสนุนการจัด ประสบการณ์สำหรับครูโรงเรียนอำนวยความสะดวก และให้บรกิ ารส่ือเทคโนโลยีสารสนเทศวัสดุและ อปุ กรณเ์ พือ่ สนับสนุนการจัดประสบการณแ์ ละพฒั นาครู 2.6 มีระบบบริหารคุณภาพท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีส่วนร่วมโรงเรียนกำ หนดมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียนที่สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาปฐมวัย และอัตลักษณ์ท่ี โรงเรยี นกำหนดจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนท่ีสอดรับกับมาตรฐานท่ีโรงเรียนกำหนดและ ดำเนินการตามแผน มีการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพภายในโรงเรียน ติดตามผลการ ดำเนินงาน และจดั ทำรายงานผลการประเมินตนเองประจำปนี ำผลการประเมินไปปรับปรงุ และพัฒนา คุณภาพโรงเรียน โดยผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีส่วนร่วมและจัดส่งรายงานผลการประเมิน ตนเองให้หน่วยงานตน้ สงั กัด มาตรฐานท่ี 3 การจัดประสบการณ์ทีเ่ น้นเดก็ เปน็ สำคัญ 3.1 จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการทุกด้านอย่างสมดุลเต็มศักยภาพครู วิเคราะห์ข้อมูลเด็กเป็นรายบุคคลจัดทำแผนการจัดประสบการณ์จากการวิเคราะห์มาตรฐาน คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ในหลักสูตรโรงเรียนโดยมีกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการเด็กครบทุกด้านท้ัง ดา้ นร่างกายด้านอารมณ์จิตใจด้านสังคม และด้านสติปัญญาไม่มุ่งเน้นการพัฒนาด้านใดด้านหนึ่งเพียง ด้านเดียว 3.2 สร้างโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง เล่นและปฏิบัติอย่างมีความสุขครูจัด ประสบการณ์ท่ีเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมให้เด็กมีโอกาสเลือกทำกิจกรรมอย่างอิสระตามความ ต้องการความสนใจความสามารถ ตอบสนองต่อวิธีการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคลหลากหลาย รูปแบบจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เด็กได้เลือกเล่นเรียนรู้ลงมือ กระทำ และสร้างองค์ความรู้ด้วย ตนเอง 3.3 จัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ใช้ส่ือ และเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมกับวัยครูจัด หอ้ งเรียนให้สะอาดอากาศถ่ายเทปลอดภัย มีพ้ืนท่ีแสดงผลงานเดก็ พ้ืนทสี่ ำหรับมุมประสบการณ์และ การจัดกิจกรรมเด็กมีส่วนร่วมในการจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียน เช่น ป้ายนิเทศการดูแลต้นไม้เป็น ต้น ครูใช้ส่ือและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับช่วงอายุระยะความสนใจ และวิถีการเรียนรู้ของเด็ก เช่น กล้องดิจิตอล คอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนรู้กลุ่มย่อย ส่ือของเล่นท่ีกระตุ้นให้คิดและหาคำตอบเป็น ตน้ 3.4 ประเมินพัฒนาการเด็กตามสภาพจริง และนำผลการประเมินพัฒนาการเด็กไป ปรบั ปรงุ การจับประสบการณ์และพัฒนาเด็กครปู ระเมินพัฒนาการเดก็ จากกิจกรรมและกิจวตั รประจำ วันด้วยเครื่องมือและวิธีการที่หลากหลาย ไม่ใช้แบบทดสอบวิเคราะห์ผลการประเมินพัฒนาการเด็ก โดยผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม และนำผลการประเมินท่ีได้ไปพัฒนาคุณภาพเด็กและ แลกเปลีย่ นเรียนรู้การจดั ประสบการณท์ ม่ี ีประสทิ ธิภาพ มาตรฐานการศึกษาระดับการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน มาตรฐานท่ี 1 ด้านคุณภาพผเู้ รยี น 1.1 ผลสัมฤทธิท์ างวชิ าการของผู้เรยี น
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 31 1) มีความสามารถในการอ่าน การเขียน การส่ือสารและการคิดคำนวณผู้เรียนมี ทักษะในการอ่าน การเขียน การสื่อสารและการคิดคำ นวณตามเกณฑ์ท่ีโรงเรียนกำหนดในแต่ละ ระดบั ชน้ั 2) มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ อภิปรายแลกเปล่ียน ความคิดเห็น และแก้ปัญหาผู้เรียนมีความสามารถในการคิดจำแยกแยะใคร่ครวญไตร่ตรอง พิจารณา อย่างรอบคอบ โดยใช้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ แก้ปัญหาอย่างมเี หตผุ ล 3) มีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมผู้เรียนมีความสามารถในการรวบรวม ความรู้ได้ท้ังด้วยตัวเองและการทำงานเป็นทีม เช่ือมโยงองค์ความรู้และประสบการณ์มาใช้ในการ สร้างสรรค์ส่งิ ใหมๆ่ อาจเปน็ แนวความคิดโครงการ โครงงานช้ินงาน ผลผลิต 4) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผู้เรียนมี ความสามารถในใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เพ่ือการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการ เรยี นรู้การส่ือสาร การทำงานอยา่ งสรา้ งสรรค์และมีคุณธรรม 5) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามหลักสูตรโรงเรียนผู้เรียนบรรลแุ ละมีความกา้ วหน้า ในการเรยี นรตู้ ามหลักสูตรโรงเรยี นจากพื้นฐานเดิมในด้านความรู้ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการต่าง ๆ รวมท้ังมคี วามกา้ วหนา้ ในผลการทดสอบระดับชาตหิ รอื ผลการทดสอบอน่ื ๆ 6) มีความรู้ ทักษะพื้นฐาน และเจตคตทิ ี่ดีตอ่ งานอาชีพผู้เรยี นมีความรู้ทกั ษะพื้นฐาน ในการจดั การ เจตคตทิ ีด่ ีพรอ้ มทจี่ ะศึกษาต่อในระดบั ชั้นทสี่ ูงขึน้ การทำงานหรืองานอาชพี 1.2 คุณลักษณะทพี่ งึ ประสงคข์ องผู้เรยี น 1) มีคุณลักษณะและค่านิยมที่ดีตามที่โรงเรียนกำหนดผู้เรียนมีพฤติกรรมเป็นผู้ท่ีมี คุณธรรม จริยธรรมเคารพในกฎกติกา มีค่านิยมและจิตสำนึกตามท่ีโรงเรียนกำหนดโดยไม่ขัดกับ กฎหมายและวฒั นธรรมอนั ดีของสังคม 2) มีความภูมิใจในท้องถ่ินและความเป็นไทยผู้เรียนมีความภูมิใจในท้องถิ่น เห็น คณุ คา่ ของความเป็นไทย มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์วฒั นธรรมและประเพณีไทยรวมทั้งภมู ปิ ัญญาไทย 3) ยอมรับท่ีจะอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างและหลากหลายผู้เรียนยอมรับและอยู่ ร่วมกันบนความแตกตา่ งระหว่างบุคคลในด้าน เพศวยั เชื้อชาตศิ าสนา ภาษาวัฒนธรรม ประเพณี 4) มีสุขภาวะทางร่างกาย และจิตสังคมผู้เรียนมีการรักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิต อารมณ์และสังคม และแสดงออกอย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงวัยสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมี ความสุข เขา้ ใจผู้อน่ื ไมม่ คี วามขดั แยง้ กบั ผูอ้ ่ืน มาตรฐานท่ี 2 กระบวนการบรหิ ารและการจัดการ 2.1 มีเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และพันธกิจที่โรงเรียนกำหนดชัดเจนโรงเรียนกำหนด เป้าหมาย วิสัยทัศน์ และพันธกิจไว้อย่างชัดเจน สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียน ความต้องการของ ชมุ ชน ท้องถิ่น วัตถปุ ระสงค์ของแผนการศึกษาแห่งชาตินโยบายของรัฐบาลและของต้นสงั กัด รวมทั้ง ทันตอ่ การเปลย่ี นแปลงของสงั คม 2.2 มีระบบบริหารจัดการคุณภาพของโรงเรียนโรงเรียนสามารถบริหารจัดการคุณภาพ ของโรงเรียนอย่างเป็นระบบ ท้ังในส่วนการวางแผนพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา การนำแผนไป
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 32 ปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษามีการติดตามตรวจสอบประเมินผลและปรับปรุงพัฒนางานอย่าง ต่อเนื่องมีการบริหารอัตรากำลัง ทรัพยากรทางการศึกษาและระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีระบบ การนิเทศภายใน การนำข้อมูลมาใช้ในการพัฒนา บุคลากรและผู้ท่ีเก่ียวข้องทุกฝ่ายมีส่วนร่วมการ วางแผน ปรับปรุงและพัฒนาและร่วมรับผิดชอบตอ่ ผลการจัดการศึกษา 2.3 ดำเนินงานพัฒนาวิชาการท่ีเน้นคุณภาพผู้เรียนรอบด้านตามหลักสูตรโรงเรียนและ ทุกกลุ่มเป้าหมายโรงเรียนบริหารจัดการเกี่ยวกับงานวิชาการ ท้ังด้านการพัฒนาหลักสูตร กิจกรรม เสริมหลักสูตรท่ีเน้นคุณภาพผู้เรียนรอบด้านเช่ือมโยงวิถีชีวิตจริงและครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย หมายรวมถึงการจดั การเรียนการสอนของกลมุ่ ทีเ่ รียนแบบควบรวมหรือกลุ่มที่เรยี นร่วมดว้ ย 2.4 พัฒนาครูและบุคลากรให้มีความเช่ียวชาญทางวิชาชีพโรงเรียนส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาครูบุคลากร ให้มีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ และจัดให้มีชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพมาใช้ใน การพฒั นางานและการเรียนรู้ของผูเ้ รียน 2.5 จัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคมที่เอ้ือต่อการจัดการเรียนรู้โรงเรียนจัด สภาพแวดล้อมทางกายภาพทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน และสภาพแวดล้อมทางสังคม ที่เอื้อต่อ การจัดการเรยี นร้แู ละมีความปลอดภยั 2.6 จดั ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือสนับสนุนการบริหารจดั การและการจัดการเรยี นรู้ โรงเรียนจัดระบบการจัดหาการพัฒนาและการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อใช้ในการบริหาร จัดการและการจัดการเรียนร้ทู ่ีเหมาะสมกบั สภาพของโรงเรียน มาตรฐานท่ี 3 กระบวนการจดั การเรยี นการสอนที่เน้นผู้เรยี นเปน็ สำคญั 3.1 จัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติจริง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ใน การดำเนินชีวิตจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้ตัวช้ีวัดของหลักสูตร โรงเรียนท่ีเน้นให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติจริง มีแผนการจัดการเรียนรู้ที่สามารถนำ ไปจัด กิจกรรมได้จริงมีรูปแบบการจัดการเรียนรู้เฉพาะสำ หรับผู้ท่ีมีความจำเป็น และต้องการความ ช่วยเหลือพิเศษ ผู้เรียนได้รับการฝึกทักษะแสดงออก แสดงความคิดเห็น สรุปองค์ความรู้นำเสนอ ผลงาน และสามารถนำไปประยุกตใ์ ช้ในชีวิตได้ 3.2 ใช้สื่อ เทคโนโลยีสารสนเทศ และแหล่งเรียนรู้ท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้มีการใช้สื่อ เทคโนโลยีสารสนเทศ และแหล่งเรียนรู้รวมท้ังภูมิปัญญาท้องถ่ินมาใช้ในการจัดการเรียนรู้โดยสร้าง โอกาสใหผ้ ู้เรยี นไดแ้ สวงหาความรู้ดว้ ยตนเองจากสอ่ื ทีห่ ลากหลาย 3.3 มีการบริหารจัดการชั้นเรียนเชิงบวกครูผู้สอนมีการบริหารจัดการชั้นเรียน โดยเน้น การมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก ให้เด็กรักครูครูรักเด็ก และเด็กรักเด็ก เด็กรักท่ีจะเรียนรู้สามารถเรียนรู้ รว่ มกันอย่างมคี วามสขุ 3.4 ตรวจสอบและประเมินผู้เรียนอย่างเป็นระบบ และนำผลมาพัฒนาผู้เรียนมีการ ตรวจสอบและประเมินคณุ ภาพการจัดการเรยี นรู้อย่างเปน็ ระบบ มขี ั้นตอนโดยใชเ้ ครอื่ งมือและวธิ ีการ วัดและประเมินผลที่เหมาะสมกับเป้าหมายในการจัดการเรียนรู้และให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนเพื่อ นำ ไปใชพ้ ฒั นาการเรยี นรู้
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 33 3.5 มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้ข้อมูลป้อนกลับเพ่ือปรับปรุงและพัฒนาการจัดการ เรียนรู้ครูและผู้มีส่วนเก่ียวข้องร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์รวมทั้งให้ข้อมูลป้อนกลับ เพอ่ื นำไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรยี นรู้ 2. แนวทางการประเมินประสิทธิผลของโรงเรียนในการพัฒนาการศึกษาตามมาตรฐาน การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2554-2558 ตามแนวคิดของสำนักงานรับรองมาตราฐานและประเมิน คุณภาพการศึกษา ได้กำหนดตัวบ่งชี้ในการประเมินมาตรฐานการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน 12 ตัวบ่งช้ี ซ่ึง กรกนก แยม้ อุทยั (2557, 34-37) ไดศ้ ึกษาและอธบิ ายความหมายของตัวบ่งชี้ไว้ ดังน้ี 2.1 ผู้เรียนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี หมายถึง ผู้เรียนที่มีนำ้หนัก ส่วนสูง และผล การทดสอบสมรรถภาพทางกายเป็นไปตามเกณฑ์ รวมทั้งรู้จักดูแลตนเองให้มีความปลอดภัยจากสิ่ง เสพติดอบายมุข รวมท้ังปัญหาการติดเกม และปัญหาทางเพศ นอกจากนี้ผู้เรียนต้องมีสุขภาพจิตที่ดี โดยดูจากท่ีผู้เรียนมีการฝึกฝน พัฒนาและซึมซับจนเป็นลักษณะนิสัย ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งใน และนอกหลักสตู ร เช่น กิจกรรมศิลปะ ดนตรี/นาฏศลิ ป์ วรรณศิลป์ และนันทนาการ เปน็ ตน้ 2.2 ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมท่ีพึงประสงค์ หมายถึง ผู้เรียนที่เป็นลูกท่ีดี ของพ่อแม่ ผ้ปู กครอง เช่น ผู้เรยี นดูแลกตัญญู สร้างความสบายใจใหพ้ ่อแม่ และช่วยทำกิจธรุ ะการงาน ต่าง ๆ นอกจากนี้ผู้เรียนต้องเป็นนักเรียนท่ีดขี องสถานศกึ ษา และเป็นคนดีของสงั คม เช่น ผเู้ รยี นท่ีไม่ ขาดเรียน ไม่มาสาย ไม่ออกจากการศึกษากลางคัน รวมทั้งมีคุณลักษณะของผู้เรียนที่ดี ได้แก่ สุภาพ อ่อนน้อม ช่วยเหลือผู้อื่น รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ซื่อสัตย์สุจริต อยู่อย่างพอเพียง รักความเป็น ไทย และยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข นอกจากนผี้ ู้เรียนต้องบำเพญ็ ประโยชนต์ ่อสงั คม เช่น การช่วยเหลอื งานโรงเรียน เป็นตน้ 2.3 ผู้เรียนมีความใฝ่รู้และเรียนรู้อยางต่อเน่ือง หมายถึง ผู้เรียนที่มีนิสัยรักการอ่านและ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนรู้ในห้องสมุดหรือนอกสถานท่ี โดยท่ีผู้เรียนแสวงหาข้อมูล ขา่ วสาร ความรู้ ข้อเท็จจริง ความคดิ เห็น จินตนาการท่ีบนั ทกึ ไวในเอกสาร หนังสือ ส่ิงพิมพ์ แผนศิลา ใบลาน ป้ายโฆษณา สื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยการอ่าน การดู การฟัง และการเขียน นอกจากนี้ผู้เรียน เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงร่วมกับผู้อื่นท้ังในและนอกสถานศึกษา เช่น ผู้เรียนรว่ มกิจกรรม เทศกาล วันสำคญั โครงการต่าง ๆ ทง้ั ในสถานศกึ ษาจัดให้และนอกสถานศึกษา 2.4 ผู้เรียนคิดเป็นทำเป็น หมายถึง ผู้เรียนที่มีความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ คิด สร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดเป็นระบบ ท่ีนําไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อ การตัดสินใจและแก้ปัญหาของตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาข้อมูลจากการบันทึก จำนวนผู้เรียนท่ีผ่านการประเมินความสามารถด้านการคิดตามที่กาหนดในหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นอกจากนี้ผู้เรียนต้องมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับ สังคม โดยผู้เรียนสามารถใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการแก้ปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง เหมาะสม ซึ่งเป็นสมรรถนะในหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อนั ดีระหว่างบุคลล การปรับตัวให้ทันกับ ความเปล่ียนแปลงของสงั คมและสภาพแวดล้อม และการหลีกเล่ียงพฤตกิ รรมไมพ่ ึงประสงค์ 2.5 ผลสัมฤทธ์ิด้านการเรียน หมายถึง ผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนระดับดีและมี พัฒนาการทางการเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้อยู่ในระดับชั้น ป.3 ป.6 ม.3 และ ม.6 โดยพิจารณา
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 34 จากผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเป็นความสามารถของนักเรียนในด้าน ต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับประสบการณ์จากกระบวนการเรยี นการสอนของครู โดยครูต้องศึกษา แนวทางในการวัดและประเมินผล การสร้างเครืองมือวัดให้มีคุณภาพน้ัน ความสามารถหรือผลสำเร็จ ที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และประสบการณ์เรียนรู้ ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จําแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะ ของวตั ถปุ ระสงคข์ องการเรยี นการสอนที่แตกต่างกัน 2.6 ประสิทธิผลของการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ หมายถึง การ ดำเนินการของสถานศึกษาให้สามารถจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นถึงความสามารถของผู้เรียนเป็น รายบคุ คลและจัดกระบวนการเรียนการสอนที่สง่ เสริมให้ผูเ้ รียนสามารถพัฒนาตนเองได้ตามธรรมชาติ และเต็มศักยภาพ โดยสถานศึกษาส่งเสริมให้ครูทุกคนได้รับการพัฒนาในวิชาท่ีสอนหรือวิชาชีพครู ตามท่ีคุรุสภากาหนด (ไม่ต่ำกว่า 20 ชม./ปี) สถานศึกษามีการประเมิน แผนการจัดการเรียนรู้ของครู ทุกคนอยางสม่ำเสมอ อย่างน้อยภาคการศึกษาละ 1 คร้ัง และสถานศึกษามีการประเมินการจัดการ เรียนรู้ของครูทุกคนอยางสม่ำเสมอ อย่างน้อยภาคการศึกษาละ 1 คร้ัง นอกจากน้ีครูต้องสามารถ จัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เช่น ครูต้องกำหนดเป้าหมายท่ี ต้องการให้เกิดข้ึนกับผู้เรียน ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลเป็นรายบุคคลแล้วนํามาวางแผนการจัดการเรียนรู้ ครตู ้องออกแบบและจดั การเรยี นร้ทู ี่ตอบสนองความต้องการระหว่างบคุ คล 2.7 ประสิทธิภาพของการบรหิ ารจัดการและการพัฒนาสถานศึกษา หมายถึง ความสำเร็จ ของการบริหารจัดการของผู้บรหิ ารสถานศึกษา ให้สถานศึกษามคี วามเข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามกรอบที่กฎหมายกำหนด เพื่อพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาให้บรรลุตาม จดุ หมายของการจัดการศึกษาอย่างคมุ้ ค่า ตามแนวทางของการกระจายอำนาจการบริหารและการจัด การศกึ ษา เน้นการมีส่วนร่วมของบุคลากรท่ีเกย่ี วข้องทุกฝ่าย ใช้ขอ้ มูลสารสนเทศในการบรหิ ารจดั การ ให้สามารถดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย เช่น การใช้ระบบบริหารคุณภาพ (PDCA) การบริหารโดยใช้ โรงเรียนเป็นฐาน การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ เป็นต้น ซ่ึงในการบรหิ ารจัดการสถานศึกษาควรจัดให้ สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา และหน่วยงานต้นสังกัดที่มีการแบ่งงานเป็น 4 ด้าน ได้แก่ การ บรหิ ารงานวิชาการ การบรหิ ารงานงบประมาณ การบรหิ ารงานบุคคล และการบริหารงานท่ัวไป 2.8 พัฒนาการของการประกันคุณภาพภายในโดยสถานศึกษาและต้นสังกัด หมายถึง การ ดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาตามกฎกระทรวงที่ว่าด้วยระบบหลักเกณฑ์ และ วิธีการประกันคุณภาพการศึกษา พ .ศ. 2553 ข้อที่ 18 ระบุว่า “กำหนดให้สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานจัด ให้มีระบบการประกันคุณภาพภายในตามหลักเกณฑ์ แนวปฏิบัติเก่ียวกับการประกันคุณภาพภายใน ระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน” ท่ียึดหลักการมีส่วนร่วมของชุมชนและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และเอกชน โดยการส่งเสริม สนับสนุน และกำกับดูแลของหน่วยงานต้นสังกัดสถานศึกษาจะต้อง ดำเนินการประกันคุณภาพภายในท่ีครอบคลมุ ตัวบ่งชี้ตามกฎกระทรวง ซ่ึงผลการประเมินภายในจาก ต้นสังกัดจะเป็นคะแนนท่ีสามารถสะท้อนประสิทธิผลของคุณภาพการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของ สถานศึกษาได้ ดังน้ันในการประเมินตัวบ่งชี้น้ีจะใช้คา่ เฉลี่ยคะแนนประเมินการประกันคุณภาพภายใน โดยต้นสังกดั ไมต่ ้องทำการประเมนิ ใหม่
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 35 2.9 ผลการพัฒนาให้บรรลุตามปรัชญา ปณิธาน พันธกิจ และวัตถุประสงคการจัดต้ัง สถานศึกษา หมายถึง ผลลัพธ์หรือผลการดำเนินงานตามปรัชญา ปณิธาน พันธกิจ และวัตถุประสงค์ ของการจัดต้ังสถานศึกษากำหนดไว้เป็นขอ้ มลู เบ้ืองต้นและเป็นขอ้ ตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการ สถานศึกษา ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาหนว่ ยงานต้นสังกัดทกี่ ำหนดเป็นอตั ลักษณข์ องสถานศึกษาโดย สมศ. จะประเมินตามอัตลักษณ์ที่สถานศึกษากำหนด โดยพิจารณาจากผู้บริหาร ครู บุคลากร ชุมชน และ องคก์ รภายนอกทม่ี ีสว่ นรว่ มในการกำหนดแผนปฏิบตั ิงานด้านผลผลิต โดยระบุเป้าหมายและกลยุทธ์ท่ี สอดคล้องกับปรัชญา ปณิธาน/วิสยั ทัศน์ และพันธกจิ การดำเนินงานของสถานศึกษา 2.10 ผลการพัฒนาตามจุดเน้นและจุดเด่นท่ีส่งผลสะท้อนเป็นเอกลักษณ์ของสถานศึกษา หมายถึง ผลการดำเนินงานท่ีสะท้อนความเป็นเอกลักษณต์ ามจุดเน้นและจุดเด่นของสถานศึกษา เช่น จุดเน้นหรือจุดเด่นด้านกีฬา ศาสนา ภาษา สิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรมท่องถ่ิน และวิชาการ เป็นต้น สามารถพิจารณาได้จากผู้บริหาร ครู บุคลากร ชุมชน และองค์กรภายนอกที่มีส่วนร่วมในการกำหนด จุดเน้น จุดเดน่ ของสถานศึกษา รวมท้ังกำหนดแผนปฏิบัตงิ านท่ีเก่ียวข้อง อีกทงั้ มีการสร้างระบบการมี สว่ นร่วมของผู้เรียน และบคุ ลากรในการปฏิบัตติ ามแผนปฏิบัตงิ านท่ีกำหนดอยา่ งครบถ้วนสมบูรณ์ 2.11 ผลการดำเนินงานโครงการพิเศษเพ่ือส่งเสริมบทบาทของสถานศึกษา หมายถึง สถานศึกษามีการกำหนดมาตรการที่นาํ มาปรับปรุงและพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาทง้ั ในสถานศึกษา และ/ หรือชุมชนรอบสถานศึกษาโดยเน้นการแก้ปัญหาท้องถิ่นท่ีมีการดำเนินงานท่ีเกิดจากการมีส่วนร่วม ของสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน และสังคม รวมท้ังมีการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไป ประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ การจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และการพัฒนาบุคลากร นอกจากนี้พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของการพัฒนาท่ีดีข้ึนในการ แก้ปัญหา เช่น ปัญหาผู้เรียนท่ีด้อยโอกาส ปัญหาผู้เรียนขาดสารอาหาร ปัญหาท้องวัยใส ปัญหาใน ชุมชน หรือท้องถ่ิน การส่งเสริมการศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพตามศักยภาพของผู้เรียนและบริบท ของสถานศึกษาการเป็นแบบอยางการจัดการเรียนรู้การบริหารจัดการตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง 2.12 ผลการส่งเสริมพัฒนาสถานศึกษาเพื่อยกระดับมาตราฐาน รักษามาตราฐาน และ พัฒนาสู่ความเป็นเลิศเพ่ือให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษา หมายถึง สถานศึกษามีการ กำหนดมาตรการท่ีนํามาปรับปรงุ และพัฒนา เพื่อมุ่งไปสู่สถานศึกษาท่ีมีคุณภาพ เป็นข้อตกลงรว่ มกัน ระหว่างสถานศึกษา หน่วยงานต้นสังกัด สมศ. และ/หรือหน่วยงานสนับสนุน เช่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คม เป็นต้น การพิจารณาสามารถดไู ด้จากสถานศกึ ษา มีแผนการดำเนินงานประจำปี ตามมาตรการที่นํามาปรับปรุงและพัฒนา เพื่อมุ่งไปสู่สถานศึกษาท่ีมี คุณภาพตามกลุ่มสถานศึกษาข้างต้น โดยใช้ข้อเสนอแนะจากผลการประเมินคุณภาพภายนอกรอบ สองและผลการประเมินคุณภาพภายใน (กรณีสถานศึกษาท่ียังไม่เคยได้รับการประเมินคุณภาพ ภายนอกรอบสองให้ใช้ผลการประเมินคุณภาพภายในจากต้นสังกัด) นอกจากนี้สถานศึกษามีการ ดำเนินงานตามระบบบริหารคุณภาพ (PDCA) และผลการดําเนินงานบรรลุเป้าหมายตามแผนปฏิบัติ การประจำปี
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 36 2.4 แนวคิดทฤษฎีของประสิทธผิ ลของโรงเรยี น ตามที่ผู้วิจัยได้สนใจประสิทธิผลของโรงเรียน จึงได้ทำการศึกษาแนวคิดทฤษฎีจากหนังสือ บทความ เอกสารและวจิ ัยต่างๆ ซึ่งผู้วจิ ัยได้นำแนวคิดทฤษฎีที่น่าสนใจมาเรียบเรียงจำนวน 3 ทฤษฎี มรี ายละเอียดดังน้ี 2.4.1 ทฤษฎีประสิทธิผลของโรงเรียนของ แคลด์เวล และ สปิงคส์ (Caldwell & Spinks 1990, อ้างถึงใน กันต์ชญาณี ส่งเจริญทรัพย์, 2563, 41) ได้กำหนดแนวคิดทฤษฎีว่าประสิทธิผลของ โรงเรียนประกอบด้วย 6 ด้าน ซึง่ เขาถือว่าเป็นเกณฑ์ “แบบอุดมคติ” (ideal type) คือแม้แต่โรงเรียน ท่ีมีประสิทธิผลสูงสุดอาจมีไม่ครบทุกรายการ แต่ก็มีประโยชน์ที่จะใช้วัดความมีประสิทธิผลของ โรงเรียนได้ ดังน้ี 1. หลักสูตร หมายถึง การมีจุดหมายทางการศึกษาท่ีชัดเจน มีแผนงานที่ ได้รับการ วางแผนไว้อย่างสมดุลและเป็นระบบ สามารถตอบสนองความต้องการของนักเรียนในโรงเรียนได้มี แผนงานงานพัฒนานักเรียนให้มีทักษะที่ต้องการ และผู้ปกครองมีส่วนร่วมในกิจกรรมของนักเรยี นใน ระดับสูง 2. การตัดสินใจ หมายถึง การที่บุคลากรมีส่วนร่วมในการพัฒนานโยบาย โรงเรียนใน ระดับสูง คณะครูมสี ่วนรว่ มในการตัดสนิ ใจกับโรงเรยี นในระดับสูง ชมุ ชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจกับ โรงเรียนในระดับสงู 3. ทรัพยากร หมายถึง การที่โรงเรียนมีทรัพยากรอย่างเพียงพอท่ีจะช่วยให้ครูทำการ สอนไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล โรงเรยี นมคี รูท่มี คี วามสามารถและแรงจูงใจ 4. ภาวะผนู้ ำ หมายถึง ความสามารถในการทำหน้าท่ีและทรัพยากรเพื่อปฏิบัติงานที่มี ประสิทธิภาพ การจัดการทรัพยากรได้สอดคล้องกับความต้องการทางการศึกษา การตอบสนอง และ การสนับสนุนความต้องการของครู การใส่ใจต่อการพัฒนาในวิชาชีพของครู การกระตุ้นครูเก่ียวข้อง กับแผนพัฒนาวิชาชีพและใช้ครูท่ีมีทักษะ การตระหนักถึงสิ่งที่กาลังเกิดข้ึน ในโรงเรียนในระดับสูง การสร้างความสัมพันธอ์ ันดีกบั หน่วยงานอ่ืน ชมุ ชน ครูและนักเรียน มีรปู แบบการบรหิ ารที่ยืดหยนุ่ มี ความพยายามท่ีจะเกิดการเปลี่ยนแปลง จัดให้มีข้อมูลย้อนกลับ สาหรับครูอยู่ในระดับสูง ตรวจสอบ แผนงานและวดั ความก้าวหนา้ ตามจุดมุ่งหมาย 5. บรรยากาศ หมายถึง การที่โรงเรียนกำหนดค่านิยมที่สำคัญ ผู้บริหาร ครู นักเรียน แสดงความผูกพันและความจงรักภักดีต่อจุดหมายและค่านิยมของโรงเรียนจัดสภาพแวดล้อมน่าอยู่ ต่ืนเต้น และท้าทายต่อครูและนักเรียน มีบรรยากาศยอมรับและเชื่อถือกันของครูกับนักเรียนมี บรรยากาศความไว้วางใจและการส่ือสารแบบเปิดในโรงเรียน มีความคาดหวังใน โรงเรียนว่านักเรียน ทุกคนจะทำดี ผู้บริหารครูและนักเรียน คาดหวังความสำเร็จในระดับสูง นักเรียนมีขวัญกำลังใจใน ระดับสูง นักเรียนมีการยอมรับนับถือและความเป็นเจ้าของผู้อ่ืน จัดให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อ โรงเรยี น มีความเป็นระเบียบวินัยท่ีดีในโรงเรียน ผู้บรหิ ารอาวุโสเก่ยี วข้องกับเรื่องวินัยของนักเรยี นใน ระดับต่ำ อัตราการขาดเรียนของนักเรียนต่ำ อัตราการพักเรียนของนักเรียนต่ำอัตราความประพฤติ เหลวไหลของนักเรียนต่ำครูมีขวญั กำลงั ใจในระดับสูง ครูมีความเปน็ อันหน่งึ อันเดียวในระดับสูง อัตรา การขาดงานของครูต่ำ การย้ายของครูมเี พยี งเลก็ นอ้ ย
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 37 6. ผลลัพธ์ หมายถึง อัตราการออกกลางคันของนักเรียนต่ำ คะแนนทดสอบแสดงถึง ความสำเร็จในระดับสงู การศกึ ษาต่อหรอื หางานทำของนักเรียนอยู่ในระดบั สูง จากแนวคิดทฤษฎีประสิทธิผลของโรงเรียนของ แคลด์เวล และ สปิงคส์ พอสรุปได้ว่า เป็น แนวคิดทฤษฎีที่กล่าวถึงการตัวช้ีวัดความมีประสิทธิผลของโรงเรียนไว้หลากหลายรูปแบบทั้งในการ บริหาร การดำเนินงาน และผลัพธ์ที่ได้ รวมถึงระบบสังคม และความรสู้ ึกของผปู้ ฏิบัตภิ ายในโรงเรยี น 2.4.2 ทฤษฎีประสิทธิผลของโรงเรียนของ ฮอย และ เฟอร์กูสัน (Hoy & Ferguson อ้างถึงใน เพ็ญประภา สาริภา, 2556, 52-60) ได้กำหนดแนวคิดทฤษฎีประสิทธิผลของโรงเรียนไว้ 3 ดา้ น ดงั นี้ 1. ความพึงพอใจในการทำงานของครู หมายถึง ความรู้สึกของครูที่มีต่อการทำงาน ภายในโรงเรียน ทำให้ปฏิบัติงานได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ ซ่ึงจะช่วยให้การทำงานประสบ ความสำเร็จ โดยพิจารณาจากสภาพการทำงาน ลักษณะของงานทป่ี ฏบิ ัติ ความกา้ วหนา้ ในการทำงาน 2. มีการบริหารจัดการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภ าพ หมายถึง ความสามารถในการวางแผนจัดสรรด้านงบประมาณการเงิน ทรัพยากรในด้านทางกายภาพ และ ทรัพยากรในด้านวัสดุ อุปกรณ์ของผู้บริหาร เพื่อใช้ในการบริหารและจัดการเรียนการสอน และการ ดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของโรงเรยี นใหเ้ ป็นไปดว้ ยความสะดวก คล่องตัว ตรงตามเป้าหมายอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดตอ่ การพัฒนาโรงเรยี นและผ้เู รยี นเปน็ สำคญั 3. ความสามารถในการปรับเปลี่ยนต่อสภาวะแวดล้อมท่ีมากระทบทั้งภายในและ ภายนอก หมายถึง ความสามารถของผู้บริหารและครูในโรงเรียนท่ีร่วมกันพัฒนา ปรับปรุง เปล่ียนแปลง วธิ ีดำเนินงานในด้านตา่ งๆ ภายในโรงเรยี น เพ่ือให้โรงเรียนมีความก้าวหนา้ คลอ่ งตัว ทัน กบั สภาพที่เปลี่ยนไป โดยพิจารณาจากลักษณะการยอมรับของครตู ่อการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ท้ัง การบริหารและการเรียนการสอน ความสามารถ ความรวดเร็วของครูต่อการพัฒนาหรือปรับเปล่ียน วิธกี ารดำเนนิ การของตนเอง ความกระตอื รอื รน้ ที่ไดจ้ ากการปรับปรงุ หรือพฒั นาโรงเรียน จากแนวคิดทฤษฎีประสิทธิผลของโรงเรียนของ ฮอย และ เฟอร์กูสัน พอสรุปได้ว่า เป็น แนวคิดทฤษฎีทเี่ นน้ พดู ถึงการบรหิ ารจัดการภายในโรงเรียนใหเ้ กิดประสิทธิภาพ แล้วการดำเนินงานก็ จะเกิดประสิทธิภาพตามไปด้วย ท้ังในด้านการปรับตัวให้เข้าสภาพแวดล้อมภายในและภายนอก การ บริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการบริหารงานเพ่ือให้เกิดความพึงพอใจในการ ปฏบิ ตั งิ านของครู 2.4.3 ทฤษฎีประสิทธิผลของโรงเรียนของ เช็ง (Cheng อ้างถึงใน วราภรณ์ ชาเรืองเดช, 2558, 21-23) ได้กำหนดประสิทธิผลของโรงเรยี นไว้ 8 ดา้ น ดงั น้ี 1. ตัวแบบเป้าหมาย หมายถึง โรงเรียนที่สามารถดำเนินการบรรลุเป้าหมายท่ีกำหนด ไว้ทุกข้อ เง่ือนไขของการประเมินอยู่ท่ีโรงเรียนต้องมีเป้าหมายของโรงเรียนที่ชัดเจน และเป็นที่ ยอมรับของทุกฝ่าย ซ่ึงในทางปฏิบัติจริงอาจเกิดความยุ่งยากหากกำหนดเป้าหมายไม่ชัดเจน เพราะ โรงเรียนหรือผู้ปกครองอาจกำหนดเป้าหมายของโรงเรียนไม่ตรงกัน เช่น โรงเรียนเน้นการพัฒนา คุณธรรมจริยธรรม ในขณะที่ผู้ปกครองอาจจะต้องการให้เน้นผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เป็นต้น ดังน้ัน โรงเรียนจึงควรให้มีการกำหนดวิสยั ทัศน์ร่วมเพ่ือให้เกิดการยอมรับและเป็นที่เข้าใจตรงกันของทกุ ฝ่าย สำหรับตัวบง่ ชี้ท่ีใชใ้ นการประเมินตามตวั แบบน้ี คือ วตั ถปุ ระสงคห์ รือเป้าหมายที่โรงเรียนกำหนด
มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึง 38 2. ตัวแบบทรัพยากรปัจจัยป้อน หมายถึง โรงเรียนท่ีมีความสามารถจัดหาทรัพยากร หรือปัจจัยป้อน เช่น นักเรียนที่มีคุณภาพเง่ือนไขของการประเมินอยู่ที่ต้องแน่ใจว่ามีความสัมพันธ์ ระหว่างทรัพยากรในการดำเนินงานกับผลผลิต และโรงเรียนอยู่ในสภาพท่ีขาดแคลนทรัพยากร หาก โรงเรียนสามารถจัดหาทรัพยากรได้ตามที่ต้องการก็แสดงว่าโรงเรียนประสบความส ำเร็จในการ ดำเนินงาน ตัวบ่งช้ีท่ีใช้ในการประเมิน คือ ทรัพยากรต่างๆ ท่ีจัดหาได้ แต่จุดอ่อนของตัวแบบนี้ คือ การเน้นทรพั ยากรและปจั จัยปอ้ นมากเกินไปจนไม่ไดใ้ ห้ความสำคญั กับกระบวนการดำเนนิ งาน 3. ตัวแบบกระบวนการ หมายถึง โรงเรียนท่ีมีกระบวนการดำเนินงานภายในราบร่ืน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการบริหารจัดการกระบวนการเรียนการสอน ซ่ึงตัวแบบนี้จะใช้ได้ดีถ้ามั่นใจว่ามี ความสมั พันธร์ ะหวา่ งทรัพยากรในการดำเนนิ งานกับผลผลติ จริง ตัวบ่งช้ีทใ่ี ช้ในการประเมิน คือ ความ เปน็ ผ้นู ำของผบู้ รหิ าร วิธีการติดต่อสอื่ สารในโรงเรียน และการมสี ว่ นร่วมในการทำงานของทกุ ฝ่าย 4. ตัวแบบความพึงพอใจ หมายถึง โรงเรียนท่ีสามารถดำเนินการให้ได้ผลท่ีเป็นที่พึง พอใจของทุกฝ่ายท่ีเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะฝ่ายท่ีรับผิดชอบในการบริหารโรงเรียน แต่หากผู้เก่ียวข้องมี ความต้องการที่แตกต่างกันตัวแบบนี้อาจไม่เหมาะสมที่จะนำไปใช้เพราะเป็นการยากสำหรับโรงเรยี น ท่ีจะดำเนินงานให้สนองความต้องการหรือเป็นที่พึงพอใจของทกุ ฝา่ ย ซึ่งตัวบ่งชี้ท่ีใช้ในการประเมนิ คือ ความพงึ พอใจของโรงเรียน หรือคณะกรรมการหรือกลุม่ ต่างๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง 5. ตัวแบบการดำเนินงานถูกต้องตามหลักการ หมายถึง โรงเรียนที่สามารถแข่งขันใน การดำเนินงานในทุกวิถีทางท่ีจะทำให้โรงเรียนอยู่รอดได้โดยไม่ผิดหลักการ เงื่อนไขในการใช้อยู่ท่ี สภาพความเปล่ียนแปลงภายนอกท่ีกดดันให้โรงเรียนต้องดำเนินให้อยู่ได้ โดยเฉพาะการแสวงหา ทรัพยากรต่างๆ ท่ีใช้ในการดำเนินงาน ตัวแบบน้ีจึงยอมให้โรงเรียนมีการใช้กลไกการตลาดในการ บริหารจัดการให้สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องยุบเลิกกิจการ และจะใช้ก็ต่อเมื่อมีการประเมินเพื่อนำผลไป ใช้ในการตัดสินอนาคตของโรงเรียนว่าควรปรับขยาย ดำเนินการต่อ หรือยกเลิก หากดำเนินการไม่ ไดผ้ ล ตัวบง่ ช้ที ีใ่ ชใ้ นการประเมนิ คอื ภาพลักษณข์ องโรงเรยี น และชอื่ เสียงกติ ติศัพท์ 6. ตัวแบบเน้นการดำเนินงานที่ยงั ไม่บรรลุผล หมายถึง โรงเรียนที่สามารถดำเนินงาน ให้ปลอดจากคุณลักษณะท่ีไม่พึ่งประสงค์และบอกได้ว่าลักษณะอะไรบ้างที่ไม่ควรปรากฏอยู่อยู่ใน โรงเรียน เช่น การติดส่ิงเสพติดของนักเรียนถือว่าเป็นส่ิงที่ไม่พึงประสงค์ หากโรงเรียนสามารถ แสดงผลการดำเนินงานได้ว่านักเรียนในโรงเรียนปลอดภัยส่ิงเสพติดจริง แสดงว่าโรงเรียนดำเนินงาน ไดป้ ระสบความสำเร็จ ตัวบ่งชี้ที่ใช้ในการประเมิน คือ สภาพปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดข้ึน ปัญหาและจุดอ่อน ในสถานศึกษา เป็นต้น 7. ตัวแบบการเรียนรู้ขององค์การ หมายถึง โรงเรียนท่ีสามารถพัฒนาองค์การให้เกิด การเรียนรู้ได้ สามารถปรับเปล่ียนการดำเนินงานให้ทันต่อการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดล้อม ภายนอก ซง่ึ การเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อมภายนอกจะกดดันให้โรงเรียนต้องปรับตัว ตัวบ่งช้ที ี่ใช้ใน การประเมิน คือ ความตระหนักถึงความต้องการจำเป็นภายนอก การกำกับติดตามการทำงาน การ วางแผนพัฒนา และประเมนิ การทำงานต่างๆ 8. ตัวแบบการบริหารคุณภาพโดยรวม หมายถึง โรงเรียนท่ีสามารถบริหารจัดการ โดยรวมซ่ึงตอบสนองความต้องการของทุกฝ่ายที่เก่ียวข้อง และประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายท่ี กำหนด เง่ือนไขอยู่ท่ีว่าต้องมีความสอดคล้องของเป้าหมายหรือความต้องการจำเป็นของทุกฝ่ายที่
39 มหา ิวทยา ัลยราชภัฏห ่มูบ้านจอมบึงเกี่ยวขอ้ ง ตัวบ่งชที้ ่ีใช้ในการประเมิน คือ ความเป็นผนู้ ำของผู้บริหาร การบริหารจดั การ กระบวนการ ทำงานและผลงาน จากแนวคิดทฤษฎีประสิทธิผลของโรงเรียนของ เช็ง พอสรุปได้ว่า เป็นแนวคิดทฤษฎีที่แสดง ให้เห็นถึงการประเมินประสิทธิผลของโรงเรียนน้ันขึ้นอยู่กับสภาพเง่ือนไขของโรงเรียน และการใช้ตัว แบบใดในการประเมิน โรงเรียนมีอิสระในการกำหนดรูปแบบการประเมินประสิทธิผล การดำเนินงาน ของตนเอง ขน้ึ อยู่กบั นโยบายหรือสภาพบริบทของโรงเรียน อย่างไรก็ดีเม่ือวิเคราะห์ตัวแบบทั้งหมดที่ กล่าวมา จะเห็นว่าทุกตัวแบบสามารถนำไปใช้ในการประเมินประสิทธิผลของโรงเรียนได้ ดังตางรางที่ 1 ตารางท่ี 1 ตัวแบบประสิทธิผลของโรงเรียนในทัศนะของ เช็ง (Cheng, 1996 อ้างถึงใน วราภรณ์ ชาเรืองเดช, 2558, 24-26) ตัวแบบ มโนทศั น์เกย่ี วกบั เง่อื นไขของการใช้ตัว ตัวบ่งช/ี้ สาระ ประสทิ ธิผลของ แบบ หลักการประเมนิ โรงเรียน ตัวแบบที่ 1 ตวั แบบ การบรรลุเปา้ หมายที่ - มเี ปา้ หมายทีก่ ำหนด - วัตถุประสงค์ของ เปา้ หมาย กำหนด ชัดเจนเป็นทยี่ อมรบั โรงเรียนท้งั หมดที่ระบุ (goal model) ของทกุ ฝ่าย สามารถ ไว้ วดั ได้ - มีทรัพยากรในการ ดำเนนิ งานเพยี งพอ ตัวแบบท่ี 2 ตัวแบบ การได้ทรัพยากร และ - มีการระบุชัดเจนว่า - ทรัพยากรที่โรงเรียน ทรัพยากรปัจจัยป้อน ปัจจัยต่าง ๆ ตามที่ มีความสัมพันธ์ระหว่าง ได้รบั (resource-input โรงเรียนตอ้ งการ ทรัพยากร และปัจจัย - คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง model) ท่ีใช้ในการดำเนินงาน นักเรียนที่คัดเลือกไว้ได้ กั บ ผ ล ผ ลิ ต ภ า ย ใต้ ส่ิงอำนวยความสะดวก ข้อจำกดั ดา้ นทรัพยากร ตา่ ง ๆ ตัวแบบที่ 3 ตัวแบบ กระบวนการภายใน มีการระบุชัดเจนว่ามี ค ว าม เป็ น ผู้ น ำก า ร ก ร ะ บ ว น (process ราบร่นื และสมบูรณ์ ความสัมพันธ์ระหว่าง ติดต่อส่ือสาร การมี model) ก ร ะ บ ว น ก า ร กั บ ส่วนร่วม ความร่วมมือ ผลผลิต กันปฏิสัมพันธต์ า่ ง ๆ ตัวแบบที่ 4 ตัวแบบ ค ว าม พึ งพ อ ใจ ข อ ง ค ว า ม ต้ อ งก า ร ข อ ง ค ว าม พึ งพ อ ใจ ข อ ง ค ว า ม พึ ง พ อ ใ จ ผ้เู กี่ยวขอ้ งของทุกฝา่ ย ผู้ เกี่ ย ว ข้ อ งทุ ก ฝ่ า ย ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร (satisfaction model) ตรงกันและจะละเลย การศึกษา ผู้บริหาร ครู ไม่ใหค้ วามสำคญั ไมไ่ ด้ ผ้ปู กครอง นักเรียน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131