Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการใช้หลักสูตรรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

คู่มือการใช้หลักสูตรรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

Published by Nuttigar, 2018-06-10 23:30:29

Description: คู่มือการใช้หลักสูตรรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

Keywords: คู่มือ,การใช้หลักสูตร,พื้นฐาน,วิทยาศาสตร์,มัธยมศึกษาตอนปลาย

Search

Read the Text Version

คมู่ ือการใชห้ ลักสตู รรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลายจัดท�ำ โดยสถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีกระทรวงศึกษาธกิ าร

วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4 1สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพมาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พันธร์ ะหว่างสง่ิ ไมม่ ชี ีวิตกบั สิ่งมีชีวติ และความสัมพันธ์ระหวา่ งสงิ่ มีชวี ติ กบั ส่งิ มชี ีวิตตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลงั งาน การเปล่ยี นแปลงแทนที่ในระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปญั หาและผลกระทบที่มตี อ่ ทรัพยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อม แนวทางในการอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและการแก้ไขปญั หาส่ิงแวดลอ้ มรวมทัง้ นำ�ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ตัวช้ีวดั 1. สบื คน้ ขอ้ มูลและอธบิ ายความสัมพันธ์ของสภาพภมู ิศาสตร์บนโลกกบั ความหลากหลายของไบโอม และยกตวั อยา่ งไบโอมชนิดต่าง ๆการวิเคราะหต์ ัวช้วี ัด แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชี้วดัดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยเชื่อมโยงความรู้เรื่อง ไบโอม ในวิชาวิทยาศาสตร์ ด้านความรู้ ชวี ภาพกบั เรอ่ื ง สภาพภมู ศิ าสตรต์ า่ ง ๆ บนโลก ในวชิ าสงั คมศกึ ษา โดยใช้1. ความหมายและประเภทของไบโอม แผนทโ่ี ลกทแ่ี สดงทวปี อาณาเขตประเทศตา่ ง ๆ และสภาพภมู ศิ าสตรข์ อง ความรู้เก่ียวกับความสัมพันธ์ของสภาพภูมิศาสตร์2. ความสัมพันธ์ของสภาพภูมิศาสตร์บนโลก บนโลกกับความหลากหลายของไบโอม จากการ โลกมาใหน้ กั เรยี นศกึ ษา หรอื อาจใชก้ ารสบื คน้ ขอ้ มลู จากอนิ เตอรเ์ นต และ อธบิ าย การท�ำ แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ กับความหลากหลายของไบโอม ใช้ตัวอยา่ งคำ�ถามดังน้ี - ประเทศต่าง ๆ บนโลกน้ีมีสภาพภูมิศาสตร์เหมือนหรือแตกต่างกัน ด้านทกั ษะด้านทกั ษะ อยา่ งไร ใชอ้ ะไรเปน็ เกณฑใ์ นการพิจารณา 1. การสังเกต การจัดกระทำ�และสื่อความหมายข้อมูลทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - ทวีปใดบ้างที่น่าจะมีสภาพภูมิประเทศที่คล้ายคลึงกันมากที่สุด1. การสงั เกต สังเกตจากอะไร จากการหาความสัมพันธ์ระหว่างสภาพภูมิศาสตร์2. การจัดกระท�ำ และสื่อความหมายข้อมูล - ประเทศไทยมีสภาพภูมิประเทศเหมือนหรือแตกต่างจากประเทศ ของโลกกบั ความหลากหลายของไบโอมทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 อ่นื  ๆ ในทวีปเอเชียและทวีปอน่ื  ๆ อยา่ งไร 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ 1. การสื่อสารสารสนเทศและการร้เู ทา่ ทันสอ่ื - บรเิ วณใดของโลกนา่ จะมคี วามหลากหลายของระบบนเิ วศมากทส่ี ดุ การสรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม ความรว่ มมอื การท�ำ งาน2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา และนอ้ ยทส่ี ุด เพราะเหตุใดจึงเปน็ เชน่ นั้น เปน็ ทีมและภาวะผ้นู ำ� จากการสืบค้นขอ้ มูล การทำ�3. การสรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม - ความหลากหลายของระบบนเิ วศมคี วามสมั พนั ธก์ บั ความหลากหลาย กิจกรรมกลุม่ การอภิปรายรว่ มกนั และการน�ำ เสนอ4. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ของไบโอมอยา่ งไร ข้อมลู 3. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หาเกย่ี วกบั การหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสภาพภมู ศิ าสตรข์ องโลก กบั ความหลากหลายของไบโอม

2 แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ 2. ให้นักเรยี นสบื คน้ ขอ้ มูลเพม่ิ เตมิ เก่ียวกบั ด้านจิตวิทยาศาสตร์ ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ 2.1 ความหมายของไบโอม 1. การใชว้ ิจารณญาณ 2.2 ไบโอมบนบกและไบโอมในน�ำ้ ทพ่ี บในแตล่ ะทวปี มกี ป่ี ระเภท อะไรบา้ ง 1. การใช้วิจารณญาณ จากการสืบค้นข้อมูลแล้วนำ�มา 2. ความใจกวา้ ง 3. ให้นักเรียนนำ�ข้อมูลจากข้อ 2 ที่สืบค้น มาอธิบายความสัมพันธ์ของ อธิบายในเรื่องน้ัน ๆ ไดอ้ ยา่ งมีเหตผุ ล 3. ความซอื่ สัตย์ 4. ความรอบคอบ ความหลากหลายของไบโอมกับสภาพภูมิศาสตร์บนโลกที่เป็นตัวกำ�หนด 2. ความใจกว้าง จากการอภิปรายร่วมกันและการ ประเภทของไบโอม พรอ้ มทง้ั ยกตวั อยา่ งประกอบ จากนน้ั รว่ มกนั อภปิ ราย น�ำ เสนอขอ้ มลู โดยใช้ค�ำ ถามเพ่มิ เตมิ ดังนี้ - ลักษณะเฉพาะของแตล่ ะไบโอมได้แกอ่ ะไรบา้ ง 3. ความซอ่ื สตั ย์ และความรอบคอบ จากการสบื คน้ ขอ้ มลู - ไบโอมใดทมี่ ีความหลากหลายทางชวี ภาพมากทีส่ ดุ เพราะเหตุใด การท�ำ กจิ กรรม และการตอบคำ�ถาม - ประเทศไทยตง้ั อยใู่ นบรเิ วณไบโอมแบบใด และโดดเดน่ กวา่ ไบโอมอน่ื อย่างไร และมีความสำ�คัญอยา่ งไรต่อมนษุ ย์และสงิ่ แวดล้อม

วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4ตวั ชว้ี ดั 3 2. สืบค้นขอ้ มลู อภปิ รายสาเหตุ และยกตัวอยา่ งการเปลยี่ นแปลงแทนทข่ี องระบบนเิ วศการวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนเก่ียวกับการเปล่ียนแปลงแทนที่ของระบบนิเวศ โดยใช้ ด้านความรู้ ตวั อยา่ งภาพเหตกุ ารณจ์ รงิ หรอื สอ่ื อนื่  ๆ เชน่ วดี ทิ ศั น์ มาใหน้ กั เรยี นศกึ ษา การเปล่ียนแปลงแทนท่ขี องระบบนเิ วศ ความรู้เก่ียวกับการเปล่ยี นแปลงแทนท่ขี องส่ิงมีชวี ติ 1) ภาพน�ำ้ ทว่ ม ในระบบนเิ วศจากการอภปิ ราย ยกตวั อยา่ ง และการท�ำดา้ นทักษะทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2) ภาพไฟไหม้ป่า แบบฝึกหดั และแบบทดสอบ1. การสังเกต2. การจ�ำ แนกประเภท 3) ภาพภเู ขาไฟระเบดิ ดา้ นทกั ษะ3. การลงความเห็นจากขอ้ มูล 1. การสังเกต จากการศึกษาภาพเหตุการณ์จริงที่ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 211. การสอ่ื สารสารสนเทศและการรูเ้ ท่าทนั สือ่ กำ�หนดให้ การตอบค�ำ ถาม และการอธิบาย2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา 2. การจ�ำ แนกประเภท และการลงความเหน็ จากขอ้ มลูด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ จากการวิเคราะห์ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ส่งผล 1. การใชว้ จิ ารณญาณ ให้เกิดการเปล่ียนแปลงแทนท่ีของส่ิงมีชีวิตในเวลา2. ความใจกว้าง3. ความซ่อื สตั ย์ ตอ่ มา การตอบค�ำ ถาม และการอภปิ ราย 3. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ สบื ค้นขอ้ มลู 4. การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา จากการสบื ค้นข้อมูล และการอภปิ ราย ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ 1. การใชว้ จิ ารณญาณ จากการอธบิ ายและน�ำ เสนอขอ้ มลู 2. ความใจกวา้ ง จากการอภปิ รายรว่ มกนั การน�ำ เสนอ ขอ้ มูลและการท�ำ กิจกรรมกลุม่ 3. ความซื่อสัตย์ จากการลงความเห็นและสรุปข้อมูล ตา่ ง ๆ ทไ่ี ดจ้ ากการสบื คน้ ขอ้ มลู การท�ำ กจิ กรรมกลมุ่ 4) ภาพการขดุ หน้าดนิ

4 แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ 5) ภาพการตัดไม้ท�ำ ลายปา่ นักเรียนศึกษาภาพแลว้ ร่วมกนั อภิปราย โดยใชต้ วั อย่างค�ำ ถามดังน้ี - ภาพเหตุการณ์ใดท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและภาพเหตุการณ์ใด ทีเ่ กิดจากมนุษย์เป็นผู้กระท�ำ อธบิ ายพรอ้ มใหเ้ หตุผล 2. ใหน้ กั เรยี นท�ำ กจิ กรรมโดยแบง่ กลมุ่ และใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ จบั ฉลากภาพเหตกุ ารณ์ ในข้อ 1 (หมายเลข 1-5) กลุ่มละ 1 ภาพ เพื่อสืบค้นข้อมูล ศึกษาและ วเิ คราะหใ์ นประเด็นตอ่ ไปนี้ 2.1 ผลกระทบตอ่ ระบบนิเวศจากการเปลีย่ นแปลงท่ีเกิดขึน้ 2.2 ลำ�ดับขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงแทนที่ของสิ่งมีชีวิตหลังจาก เกดิ เหตกุ ารณใ์ นภาพนน้ั ผา่ นไปแลว้ จนกระทง่ั เกดิ เปน็ สงั คมสมบรู ณ์ (climax community) ในระบบนเิ วศ พรอ้ มประมาณการระยะเวลา ทีเ่ กิดการเปล่ยี นแปลงแทนท่ี 3. ใหน้ กั เรยี นออกแบบและจดั กระท�ำ ขอ้ มลู ในขอ้ 2.2 เปน็ ภาพวาด ภาพกราฟกิ หรือภาพเคล่ือนไหว เพื่อให้เห็นเป็นลำ�ดับข้ันตอน น�ำ เสนอผลการศึกษา และอภปิ รายร่วมกัน 4. ให้นักเรียนสรุปความรู้และยกตัวอย่างเหตุการณ์หรือสถานการณ์อื่น ทม่ี ผี ลท�ำ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงแทนทข่ี องสง่ิ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศพรอ้ มกบั ใหเ้ หตุผลประกอบ

วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 4ตัวช้วี ดั 5 3. สืบค้นขอ้ มลู อธิบาย และยกตวั อยา่ งเกีย่ วกบั การเปลีย่ นแปลงขององคป์ ระกอบทางกายภาพและองคป์ ระกอบทางชีวภาพท่มี ผี ลต่อการเปล่ยี นแปลงขนาดของ ประชากรส่ิงมชี ีวิตในระบบนเิ วศ การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ ส่บู ทเรียนเกีย่ วกบั การเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบทางกายภาพ ด้านความรู้ และองค์ประกอบทางชีวภาพ โดยนำ�เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงจากข่าวใน การเปลย่ี นแปลงขององคป์ ระกอบทางกายภาพ หนังสือพิมพ์ หรือแหลง่ อืน่  ๆ มาให้นกั เรยี นศกึ ษา ดังตัวอยา่ งข่าวต่อไปน้ี ความรู้เก่ียวกับการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบ และองค์ประกอบทางชีวภาพที่มีผลต่อการ ทางกายภาพและองคป์ ระกอบทางชวี ภาพทมี่ ผี ลตอ่ รายละเอยี ดของข่าว เปลี่ยนแปลงขนาดของประชากรสิ่งมีชีวิต “ร้อนเกนิ 40 องศาฯ ปลาน้ำ�มูลตายเกล่ือน คาดขาดออกซเิ จน” การเปล่ียนแปลงขนาดของประชากรส่ิงมีชีวิต ในระบบนิเวศ ในระบบนิเวศ จากการวิเคราะหข์ อ้ มลู ของข่าวตาม ทม่ี า: ไทยรฐั ออนไลน์ 27 มนี าคม 2556ด้านทกั ษะ “เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2556 นายพิทยา วงศ์ไกรศรีทอง นายอำ�เภอพิมาย ประเด็นท่ีครูกำ�หนดให้และจากการยกตัวอย่างทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เหตุการณ์หรือสถานการณ์อื่น ๆ เกี่ยวกับการ1. การสังเกต จ.นครราชสีมา ได้รับแจ้งจากนายมา ต่อมิตร อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขท่ี เปลย่ี นแปลงขนาดของประชากร การท�ำ แบบฝกึ หดั2. การลงความเหน็ จากข้อมลู 280/5 ม.14 บา้ นวงั กมุ่ ต.ในเมอื ง อ.พมิ าย จ.นครราชสมี า มอี าชพี หาปลา และแบบทดสอบทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 รวมท้ังชาวบ้านแจ้งว่า ช่วงบ่ายวันนี้สภาพอากาศร้อนตนก็ออกหาปลา1. การสอื่ สารสารสนเทศและการรูเ้ ทา่ ทันสื่อ ตามปกติ แต่ได้เกิดมีปลาลอยตายเกลื่อนหลายร้อยตัวอยู่ในลำ�น้ำ�มูล ด้านทกั ษะ2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา ซึ่งอยู่ติดกับบ้านของตนเอง จึงเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงตามท่ีได้ 1. การสังเกตและการลงความเห็นจากข้อมูล จากการ รับแจ้ง ซ่ึงได้พบกับนายมา ต่อมิตร พร้อมกับเล่าว่า ตนมีอาชีพหาปลาดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ ศึกษาภาพเหตุการณ์จริงที่กำ�หนดให้ การอธิบาย1. การใช้วจิ ารณญาณ และน�ำ เสนอข้อมูล 2. ความใจกวา้ ง 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ3. ความซอื่ สัตย์ สืบคน้ ข้อมลู 3. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หาเกย่ี วกบั การระบุการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบทาง กายภาพและองค์ประกอบทางชีวภาพท่ีมีผลต่อ การเปล่ียนแปลงขนาดของประชากรส่ิงมีชีวิตใน ระบบนิเวศ

6 แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ การวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ ส่งขายท่ีตลาดสดเมืองพิมาย ตอนน้ีขาดรายได้ตนคิดว่าเป็นไปได้น่าจะ ด้านจติ วิทยาศาสตร์ เกดิ มนี �้ำ เสยี ไหลออกมาจากโรงงานแหง่ หนง่ึ ในอ�ำ เภอพมิ าย ประกอบกบั เกิดภัยแล้ง อากาศร้อนจัดทำ�ให้น้ำ�เริ่มแห้งขอด จนอาจจะเป็นผลทำ�ให้ 1. การใชว้ จิ ารณญาณ จากการอธบิ ายและน�ำ เสนอขอ้ มลู นำ้�เสีย ปลาที่ลำ�น้ำ�มูลตายหมดและน้ำ�ก็มีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง ขณะท่ี 2. ความใจกวา้ ง จากการอภปิ รายรว่ มกนั การน�ำ เสนอ นายอำ�เภอพิมาย ได้ไปตรวจสอบพร้อมกับประสานไปทางประมงอำ�เภอ พมิ าย รวมทงั้ สาธารณสขุ อ�ำ เภอพมิ าย เจา้ หนา้ ทจ่ี าก อบต. ในเมอื ง และ ข้อมลู และการท�ำ กิจกรรมกลุ่ม ผกก.สภ.พมิ าย เขา้ ไปตรวจสอบและดทู เี่ กดิ เหตแุ ละพบวา่ บรเิ วณดงั กลา่ ว 3. ความซื่อสัตย์ จากการลงความเห็นและสรุปข้อมูล มีปลาลอยตายเกลื่อนเต็มไปหมดพร้อมกับสั่งตรวจสอบสาเหตุของปลา ต่าง ๆ ท่ีได้จากการสบื ค้นข้อมลู ทต่ี ายว่าเกิดจากสาเหตุอะไรกนั แน ่ รวมทัง้ จะประสานไปยงั ชลประทาน เพ่ือปลอ่ ยน�้ำ มาไลน่ ้ำ� และเป็นการเพิม่ ออกซเิ จนต่อไป” 2. ใหน้ กั เรยี นทำ�กิจกรรมกลุ่ม ดงั นี้ 2.1 วเิ คราะห์ขอ้ มลู จากข่าวตามประเด็นตา่ งๆ ต่อไปน้ี 1) สาเหตทุ ี่ท�ำ ใหป้ ลาในลำ�น�ำ้ มูลตาย 2) ผลกระทบที่เกิดขึ้นในแง่ขององค์ประกอบทางกายภาพและ องคป์ ระกอบทางชวี ภาพของระบบนิเวศ(ล�ำ น้ำ�มลู ) 2.2 สืบค้นข้อมูล และยกตัวอย่างเหตุการณ์หรือสถานการณ์อื่นๆ ในชีวิตประจำ�วันที่มีผลทำ�ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดของ ประชากรสิ่งมีชีวิตในชุมชน หรือระบบนิเวศ พร้อมทั้งระบุ การเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบทางกายภาพและองค์ประกอบ ทางชวี ภาพที่มีผลตอ่ การเปลย่ี นแปลงขนาดของประชากร 3. ใชค้ �ำ ถามเพอื่ ใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั การเพมิ่ ขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ ของประชากรมนษุ ยท์ ส่ี ง่ ผลตอ่ การเปลยี่ นแปลงองคป์ ระกอบทางกายภาพ และทางชีวภาพ ซง่ึ มผี ลตอ่ ทรพั ยากรธรรมชาติ ดังนี้ - ทรัพยากรธรรมชาติอะไรบ้างที่นักเรียนคิดว่ามนุษย์มีการนำ�มาใช้ เพ่ือการด�ำ รงชวี ติ มากท่ีสดุ และแนวโน้มของการใชเ้ ป็นอย่างไร - กิจกรรมของมนษุ ยส์ ่งผลต่อทรัพยากรธรรมชาติดงั กลา่ วอยา่ งไร

วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4ตวั ชี้วดั 7 4. สืบคน้ ข้อมูลและอภปิ รายเกยี่ วกบั ปัญหาและผลกระทบท่มี ีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มในระดบั ประเทศและระดบั โลก พรอ้ มท้งั นำ�เสนอแนวทาง ในการอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ และการแก้ไขปญั หาส่ิงแวดลอ้ มการวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยใช้คำ�ถาม หรือสื่ออ่ืน ๆ เพ่ือกระตุ้นความสนใจของ ดา้ นความรู้ นักเรียนเกี่ยวกับปัญหาและผลกระทบท่ีมีต่อทรัพยากรธรรมชาติและ 1. ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากร ส่ิงแวดล้อม ดังนี้ 1. ความรู้เก่ียวกับการระบุถึงปัญหาท่ีเกี่ยวข้องกับ ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมในระดับประเทศ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มในระดบั ประเทศ - นักเรียนคิดว่าในปัจจุบันท้องถิ่นของนักเรียน หรือประเทศไทย และระดับโลก ประสบกบั ปญั หาทางดา้ นสง่ิ แวดลอ้ มในดา้ นใดบา้ ง และใหจ้ ดั ล�ำ ดบั และระดบั โลก จากการเขยี นผงั มโนทศั นแ์ สดงใหเ้ หน็2. แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ของความรุนแรงของปัญหาทเี่ กิดขน้ึ ภาพรวมของปญั หาและผลกระทบทม่ี ตี อ่ ทรพั ยากร 2. ทบทวนความรู้เกี่ยวกับประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ จากนั้นให้ทำ� ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การทำ�แบบฝึกหัดและ และการแก้ไขปญั หาส่ิงแวดลอ้ ม กจิ กรรมกลมุ่ โดยแบง่ นกั เรยี นออกเปน็ 3 กลมุ่ และใหน้ กั เรยี นยกตวั อยา่ ง ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติทั้ง 3 ประเภทได้แก่ แบบทดสอบด้านทกั ษะ 2. ความรู้เร่ืองแนวทางในการลดปริมาณการใช้ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้ไม่หมดส้ิน ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้แล้วหมดไป 1. การสังเกต ทรัพยากรธรรมชาติทใี่ ช้แลว้ เกดิ ทดแทนได ้ และให้นักเรยี นสืบค้นข้อมลู ทรัพยากรธรรมชาติและการกำ�จัดของเสียที่เป็น2. การจำ�แนกประเภท และอภปิ รายรว่ มกันตามประเด็นดงั ตอ่ ไปนแี้ ล้วน�ำ เสนอขอ้ มลู สาเหตขุ องปญั หาสงิ่ แวดลอ้ ม เพอื่ การพฒั นาทยี่ งั่ ยนื3. การจดั กระท�ำ และส่ือความหมายขอ้ มลู 2.1 ปัญหาและสาเหตุของการเกิดปัญหา จากชน้ิ งานทน่ี กั เรียนออกแบบ และการน�ำ เสนอ4. การลงความเห็นจากข้อมูล 2.2 ความตอ้ งการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ (อาจระบตุ วั เลขเปน็ เชงิ ปรมิ าณ)ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 2.3 ผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาตินั้น ๆ ที่มีต่อสิ่งมีชีวิต ดา้ นทกั ษะ1. การสอ่ื สารสารสนเทศและการรู้เท่าทนั สอื่ และสง่ิ แวดล้อม 1. การสังเกต การจำ�แนกประเภท การจัดกระทำ�และ2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา 3. ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ เขยี นผงั มโนทศั นส์ รปุ ความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการท�ำ กจิ กรรม3. การสรา้ งสรรค์และนวตั กรรม วา่ ปญั หาใดเปน็ ปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ในระดบั ทอ้ งถน่ิ ระดบั ประเทศ และระดบั โลก สอ่ื ความหมายขอ้ มลู และการลงความเหน็ จากขอ้ มลู4. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 4. กำ�หนดหัวข้อหรือประเด็นในการศึกษาเก่ียวกับการใช้และการอนุรักษ์ จากการอธิบาย การตอบคำ�ถามและการนำ�เสนอ ทรพั ยากรธรรมชาตเิ พือ่ การพัฒนาท่ีย่ังยนื ดังนี้ ข้อมลูด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ 4.1 แนวทางในการลดปรมิ าณการใชท้ รพั ยากรธรรมชาตเิ พอื่ การพฒั นา 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ1. การใช้วจิ ารณญาณ ทย่ี ่ังยนื สืบค้นขอ้ มลู2. ความใจกวา้ ง 4.2 แนวทางในการกำ�จัดของเสียที่เป็นสาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม 3. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หาเกย่ี วกบั3. ความซอ่ื สัตย์ เพ่ือการพัฒนาท่ียงั่ ยืน การระบุและยกตัวอย่างปัญหาท่ีเก่ียวข้องกับ ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งการใช้และการอนุรักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาตเิ พอื่ การพฒั นาทย่ี งั่ ยนื จากการ สืบคน้ ขอ้ มลู และการอธิบาย

8 แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ 4.3 แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการใช้ประโยชน์ 4. การสรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม จากการน�ำ เสนอขอ้ มลู อยา่ งย่งั ยืน ในรูปแบบต่าง ๆ 4.4 แนวทางในการแกไ้ ขและฟน้ื ฟทู รพั ยากรธรรมชาตเิ พอ่ื การใชป้ ระโยชน์ อยา่ งย่ังยืน 5. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� จากนน้ั แบง่ กลมุ่ นกั เรยี นและมอบหมายใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ เลอื กศกึ ษา จากการท�ำ กจิ กรรมกลุ่ม กลมุ่ ละ 1 หวั ขอ้ และใหไ้ ปสบื คน้ ขอ้ มลู รวบรวมขอ้ มลู และจดั ท�ำ รายงาน ด้านจิตวิทยาศาสตร์ ผลการศึกษา 1. การใช้วิจารณญาณ จากการอธิบายและนำ�เสนอ 5. นักเรยี นเลือกแนวทางในข้อ 4. เพ่อื นำ�มาวางแผนการใชห้ รือการอนรุ กั ษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติ จากนนั้ น�ำ เสนอขอ้ มลู ในรปู แบบตา่ งๆ ทหี่ ลากหลาย ขอ้ มลู ทด่ี งึ ดดู ความสนใจ โดยใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคนลงคะแนนใหก้ บั รปู แบบทค่ี ดิ วา่ 2. ความใจกวา้ ง จากการอภปิ รายรว่ มกนั การน�ำ เสนอ นา่ สนใจมากท่ีสดุ และสามารถปฏบิ ตั ไิ ด้ ข้อมลู และการทำ�กิจกรรมกลุ่ม 3. ความซื่อสัตย์ จากการลงความเห็นและสรุปข้อมูล ต่าง ๆ ทไ่ี ด้จากการสืบค้นข้อมูล

วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสงิ่ มีชวี ิต หน่วยพื้นฐานของส่ิงมีชีวติ การลำ�เลยี งสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธข์ องโครงสร้าง และหน้าทขี่ องระบบต่าง ๆ 9 ของสัตว์ทที่ �ำ งานสมั พันธ์กัน ความสัมพนั ธข์ องโครงสรา้ ง และหนา้ ทีข่ องอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชทที่ �ำ งานสัมพนั ธ์กนั รวมทง้ั น�ำ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ตวั ชี้วัด 1. อธบิ ายโครงสร้างและสมบตั ิของเยื่อหุ้มเซลล์ทส่ี ัมพันธก์ ับการลำ�เลยี งสาร และเปรียบเทียบการล�ำ เลยี งสารผา่ นเย่ือหุ้มเซลล์แบบตา่ ง ๆการวเิ คราะห์ตัวช้วี ดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินตัวช้วี ัดด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยครทู บทวนความรเู้ กยี่ วกบั โครงสรา้ งพนื้ ฐานของเซลล์ ด้านความรู้ ทปี่ ระกอบดว้ ยสว่ นทห่ี อ่ หมุ้ เซลล์ ไซโทพลาซมึ และนวิ เคลยี ส โดยใหค้ วาม1. โครงสร้างและสมบัติของเย่ือหุ้มเซลล์ รู้เพ่ิมเติมว่าไซโทพลาซึมมีส่วนที่เป็นของเหลวเรียกว่า ไซโทซอล และมี 1. ความรเู้ กยี่ วกบั โครงสรา้ งและสมบตั ขิ องเยอื่ หมุ้ เซลล ์ ทีส่ มั พนั ธ์กับการล�ำ เลยี งสาร ออรแ์ กเนลลเ์ ปน็ องค์ประกอบด้วย ท่ีสัมพันธ์กับการลำ�เลียงสาร จากการตอบคำ�ถาม การท�ำ แบบฝึกหดั และแบบทดสอบ2. การล�ำ เลยี งสารผา่ นเยอ่ื หมุ้ เซลลแ์ บบต่าง ๆ 2. น�ำ ภาพโครงสรา้ งของเยอ่ื หมุ้ เซลลท์ เ่ี ปน็ ลพิ ดิ ไบเลเยอรม์ าใหน้ กั เรยี นศกึ ษา เพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่เรื่อง โครงสร้างและสมบัติของเยื่อหุ้มเซลล์ที่สัมพันธ์ 2. ความรเู้ กย่ี วกบั การล�ำ เลยี งสารผา่ นเซลลแ์ บบตา่ ง ๆด้านทกั ษะ จากการเขียน อธิบาย การทำ�แบบฝึกหัดและแบบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กับการลำ�เลียงสาร จากนั้นให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 1. การสงั เกต ส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์และหน้าที่ของส่วนประกอบนั้น และ ทดสอบ 2. การจ�ำ แนกประเภท ใชต้ วั อย่างค�ำ ถามดังน้ ี 3. การลงความเหน็ จากข้อมูล ด้านทักษะทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 ภาพโครงสร้างของเยอื่ หมุ้ เซลล์ 1. การสังเกตและการจำ�แนกประเภท จากการศึกษา1. การสอื่ สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั ส่อื - โครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์ที่เป็นลิพิดไบเลเยอร์ มีบทบาทหน้าท่ี2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา อย่างไร ภาพทกี่ �ำ หนดให้ การตอบค�ำ ถาม การอภปิ ราย และ การท�ำ กิจกรรมด้านจติ วิทยาศาสตร์ 2. การลงความเห็นจากข้อมูล จากการเปรียบเทียบ1. ความอยากรู้อยากเหน็ การลำ�เลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์แบบต่าง ๆ และ2. ความใจกวา้ ง จากการเขียนแผนภาพเพื่อสรุปการลำ�เลียงสาร3. ความซ่อื สัตย์ โมเลกลุ ใหญเ่ ขา้ สเู่ ซลลด์ ว้ ยกระบวนการเอนโดไซโทซสิ4. ความรอบคอบ และการลำ�เลียงสารโมเลกุลใหญ่ออกจากเซลล์ด้วย5. ความเชอื่ มนั่ ตอ่ หลักฐานเชิงประจักษ์ กระบวนการเอกโซไซโทซิส 3. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทนั สื่อ จากการ สบื คน้ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั วธิ กี ารล�ำ เลยี งสารโมเลกลุ ใหญ่ เขา้ และออกจากเซลล์ การอธบิ ายและน�ำ เสนอขอ้ มลู

10 แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ 3. ครูให้ความรู้เกี่ยวกับสมบัติของฟอสโฟลิพิดในน้ำ�และการเกิด 4. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หาจากการ ฟอสโฟลิพิดไบเลเยอร์ จากนั้นเช่ือมโยงถึงการทำ�หน้าท่ีเป็นเย่ือเลือผ่าน สบื ค้นขอ้ มูล และการอภิปราย และการทำ�กจิ กรรม ของเยื่อหมุ้ เซลล์ 4. ทบทวนความรู้ เรื่องการแพร่แบบธรรมดา และออสโมซิส ที่ได้เรียนมา ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ในระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ แลว้ ใหน้ กั เรยี นยกตวั อยา่ งการแพรแ่ บบธรรมดา 1. ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความเชอื่ มนั่ ตอ่ หลกั ฐาน และออสโมซิสท่ีเกิดข้ึนในชีวิตประจำ�วันของนักเรียน เพ่ือให้นักเรียน เชงิ ประจกั ษ์ จากการตอบค�ำ ถาม การอภปิ ราย และ ร่วมกันสรุปและเปรียบเทียบหลักการระหว่างการแพร่แบบธรรมดาและ การท�ำ กิจกรรม ออสโมซิส 2. ความใจกว้าง ความซื่อสัตย์ และความรอบคอบ 5. น�ำ ภาพ หรอื ภาพเคลอ่ื นไหว เกย่ี วกบั การแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทต และการล�ำ เลยี ง จากการท�ำ กิจกรรม แบบแอกทฟี ทรานสปอร์ตมาใหน้ กั เรยี นศึกษา การแพร่แบบฟาซิลเิ ทต การล�ำ เลียงแบบแอกทีฟทรานสปอรต์

วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ 11การวิเคราะหต์ วั ชี้วดั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 แลว้ ใชต้ วั อยา่ งค�ำ ถามดงั นี้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชี้วดั - การลำ�เลียงสารในภาพทง้ั สองนีเ้ หมือนหรอื ต่างกันอยา่ งไร - ก า ร แ พ ร่ แ บ บ ฟ า ซิ ลิ เ ท ต มี ค ว า ม เ ห มื อ น แ ล ะ ต่ า ง จ า ก ก า ร แพร่แบบธรรมดาอยา่ งไร - พลงั งานทเี่ ซลลใ์ ชใ้ นการล�ำ เลยี งสารมาจากไหนจากนน้ั สรปุ เกย่ี วกบั การแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทต และการล�ำ เลยี งแบบแอกทฟี ทรานสปอรต์ 6. ใชค้ �ำ ถามถามนกั เรยี นเพอ่ื เชอ่ื มโยงเขา้ สเู่ รอ่ื งการล�ำ เลยี งสารโมเลกลุ ใหญว่ า่ ถา้ เซลลล์ �ำ เลยี งสารทม่ี โี มเลกลุ ใหญเ่ ขา้ และออกจากเซลล์ เซลลจ์ ะล�ำ เลยี ง โดยวธิ ใี ดไดบ้ า้ ง 7. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการลำ�เลียงสารโมเลกุลใหญ่เข้าและ ออกจากเซลล์ แลว้ ใหน้ กั เรยี นอธบิ ายเกย่ี วกบั การล�ำ เลยี งสารโมเลกลุ ใหญ่ เขา้ สเู่ ซลลด์ ว้ ยกระบวนการเอนโดไซโทซสิ และการล�ำ เลยี งสารโมเลกลุ ใหญ่ ออกจากเซลล์ด้วยกระบวนการเอกโซไซโทซิส 8. ให้นักเรียนเปรียบเทียบหรือเขียนผังมโนทัศน์การลำ�เลียงสารผ่านเซลล์ โดยการแพรแ่ บบธรรมดา ออสโมซสิ การแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทต การล�ำ เลยี ง แบบแอกทีฟทรานสปอร์ต การลำ�เลียงสารโมเลกุลใหญ่เข้าและออกจาก เซลล์แบบเอนโดไซโทซสิ และเอกโซไซโทซสิ

12 ตัวชีว้ ัด 2. อธบิ ายการควบคุมดุลยภาพของน�้ำ และสารในเลอื ดโดยการทำ�งานของไตการวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยน�ำ ภาพไตทผี่ า่ ตามยาวมาทบทวนเกย่ี วกบั โครงสรา้ ง ดา้ นความรู้ ภายนอกและโครงสร้างภายในของไต เพ่อื เชื่อมโยงเก่ยี วกับหน้าท่ีของไต การควบคมุ ดลุ ยภาพของน�ำ้ และสารในเลอื ด และหนว่ ยไตท่เี กี่ยวข้องกบั การขับถ่ายของเสยี 1. ความรู้เก่ียวกับการควบคุมดุลยภาพของนำ้�และ โดยการท�ำ งานของไต สารในเลอื ดโดยการท�ำ งานของไต จากการวเิ คราะห์ 2. ให้นักเรียนวิเคราะห์ข้อมูลจากกราฟหรือทำ�กิจกรรมเกี่ยวกับการรักษา ข้อมูลหรือจากการท�ำ กิจกรรมและการตอบคำ�ถามด้านทักษะ ดุลยภาพของน�ำ้ ในร่างกาย ดังน้ีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2. ความรู้เกี่ยวกับการเช่ือมโยงเรื่องการทำ�งานของไต1. การสังเกต ให้นักเรียนขับถ่ายปัสสาวะก่อน แล้วจึงด่ืมน้ำ� 600 มิลลิลิตร และเก็บ โดยการกรอง การดูดกลับ และการหลั่ง จากการ2. การจัดกระท�ำ และส่อื ความหมายข้อมลู ปสั สาวะทุก 30 นาที จ�ำ นวน 7 ครั้ง นำ�ผลมาเขยี นกราฟ หรือนำ�กราฟ ตอบคำ�ถาม การทำ�แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ 3. การลงความเหน็ จากข้อมลู แสดงปริมาณปัสสาวะในทุก 30 นาที แล้วอภิปรายร่วมกันในประเด็น ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ต่อไปน้ี ด้านทักษะ1. การสอื่ สารสารสนเทศและการรูเ้ ทา่ ทันสื่อ 1. การสังเกต การจัดกระทำ�และสื่อความหมายข้อมูล2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา กราฟแสดงปรมิ าณปสั สาวะในทกุ 30 นาที 1) จากกราฟ การขับถ่ายปัสสาวะเวลาใดที่มีปริมาณปัสสาวะมากท่ีสุด และการลงความเห็นจากข้อมูล จากการศึกษาภาพดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ และนอ้ ยทส่ี ุด ทก่ี �ำ หนดให้ การตอบค�ำ ถาม หรอื จากการท�ำ กจิ กรรม1. ความรอบคอบ 2) ปริมาตรรวมของปัสสาวะเท่ากับปริมาตรของน้ำ�ที่ดื่มเข้าไปหรือไม่ 2. การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สือ่ จากการ2. ความเช่อื มน่ั ตอ่ หลกั ฐานเชิงประจักษ์ อยา่ งไร สืบค้นข้อมูลเก่ียวกับหน้าที่ของไตและหน่วยไต 3) ให้นักเรียนสรุปผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากกราฟหรือจากการทำ� กจิ กรรมน้ีได้วา่ อย่างไร ที่เก่ียวข้องกับการขับถ่ายของเสีย การอธิบายและ น�ำ เสนอข้อมูล 3. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หาในการ วิเคราะห์และใช้ความคิดอย่างมีเหตุผล จากการ วเิ คราะหข์ อ้ มลู จากกราฟ หรอื การท�ำ กจิ กรรมกลมุ่ ด้านจติ วิทยาศาสตร์ 1. ความรอบคอบ จากการวิเคราะห์ข้อมูล จากกราฟ หรอื การท�ำ กจิ กรรม การอธบิ าย และน�ำ เสนอขอ้ มลู 2. ความเชอื่ มนั่ ตอ่ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษจ์ ากการสบื คน้ ข้อมูล การตอบค�ำ ถาม และการอธิบาย

วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ 13การวเิ คราะหต์ วั ชี้วดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 4 3. ให้นักเรยี นสบื คน้ ข้อมูล และนำ�เสนอขอ้ มูลเกีย่ วกับบทบาทหน้าที่ของไต แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชว้ี ดั และหนว่ ยไตทเ่ี ก่ียวข้องกับการขบั ถ่ายของเสีย 4. ครใู หค้ วามรเู้ พม่ิ เตมิ ในเรอ่ื งการขบั ถา่ ยของไต จากการกรอง การดดู กลบั และการหลง่ั โดยใชต้ วั อย่างค�ำ ถามดังนี้ - เพราะเหตุใดในการตรวจสุขภาพจึงสามารถตรวจสารบางอย่างได้ท้ัง ในปสั สาวะและในเลอื ด - เพราะเหตุใดจึงสามารถตรวจความผิดปกติบางประการของไตได้ จากการตรวจปัสสาวะ 5. เช่ือมโยงผลการทำ�กิจกรรมในข้อ 2 กับกลไกในการควบคุมปริมาณนำ้� ในเลือด โดยใช้แผนผังแสดงการทำ�งานระหว่างสมองส่วนไฮโพทาลามัส ตอ่ มใตส้ มองส่วนหลัง และไต ประกอบการอธบิ ายดังนี้ ปรมิ าณน�ำ้ ในเลอื ดสมดลุ จากน้นั ใช้ค�ำ ถามเพอื่ ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน ดงั น้ี - กรณีท่ีร่างกายขาดน้ำ� ร่างกายจะมีกลไกอย่างไรเพ่ือให้ปริมาณน้ำ� ในเลอื ดสมดุล

14 ตัวชว้ี ดั 3. อธิบายการควบคุมดลุ ยภาพของกรด-เบสของเลือดโดยการทำ�งานของไตและปอดการวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยทบทวนความรเู้ กย่ี วกบั หนา้ ทข่ี องหนว่ ยไตในการกรอง ดา้ นความรู้ การดดู กลบั และการหลงั่ กบั การท�ำ งานของไตทตี่ อ้ งอาศยั ระบบอนื่ ๆ ของ การควบคุมดุลยภาพของกรด-เบสของเลือด ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมดุลยภาพของกรด-เบส โดยการท�ำ งานของไตและปอด รา่ งกาย เพอื่ เชอื่ มโยงเขา้ สเู่ รอ่ื งการควบคมุ ดลุ ยภาพของกรด-เบส โดยใช้ ของเลือดโดยการทำ�งานของไตและปอด จากการ ตัวอย่างคำ�ถามดงั น้ี สืบค้นข้อมูล การอธิบาย การทำ�แบบฝึกหัดและดา้ นทักษะ - การท�ำ งานของไตมคี วามสมั พนั ธเ์ กย่ี วเนอื่ งกบั ระบบใดในรา่ งกายบา้ ง แบบทดสอบทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ - สารจ�ำ พวกไอออนมกี ารกำ�จัดผ่านไตโดยขั้นตอนใด1. การสังเกต 2. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลและนำ�เสนอเก่ียวกับการควบคุมปริมาณของ H+ ดา้ นทักษะ2. การลงความเห็นจากขอ้ มูล ที่ได้จากเมแทบอลิซึมโดยการทำ�งานของไตและปอด จากน้ันครูและ 1. การสงั เกต และการลงความเหน็ จากขอ้ มลู จากการทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 นกั เรียนรว่ มกนั อภปิ รายเพ่อื ให้เขา้ ใจถึงกลไกและสรปุ ได้ว่า1. การสือ่ สารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่อื 1) หน่วยไตหลั่ง H+ แอมโมเนียมไอออน (NH4+) และ ไฮโดรเจน สืบค้นข้อมูลและการอธิบายเกี่ยวกับการควบคุม2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา คาร์บอเนตไอออน (HCO3-) ที่ได้จากเลือดออกสู่ท่อหน่วยไตและ ดุลยภาพของกรด-เบสของเลือดโดยการทำ�งาน ขบั ออกไปพรอ้ มกบั ปสั สาวะ จงึ รกั ษาดลุ ยภาพของกรด-เบสในเลอื ดได้ ของไตและปอดด้านจติ วิทยาศาสตร์ 2) ปอดขบั CO2 ทไ่ี ดจ้ ากเมแทบอลซิ มึ ออกจากเลอื ดโดยการแลกเปลย่ี น 2. การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื การคดิ อยา่ ง1. การใชว้ จิ ารณญาณ แก๊สและขับ CO2 ออกนอกร่างกาย ทำ�ให้การรวมของ CO2 กับนำ้� มวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา จากการสบื คน้ ขอ้ มลู2. ความรอบคอบ ท่ีจะเกิดเป็นกรดคาร์บอนิก (H2CO3) ซึ่งจะแตกตัวได้ H+ ลดลง การตอบค�ำ ถาม และการน�ำ เสนอขอ้ มูล ดงั น้นั จึงช่วยรกั ษาดุลยภาพของกรด-เบสในเลอื ดได้ ด้านจติ วิทยาศาสตร์ การใชว้ จิ ารณญาณและความรอบคอบ จากการสบื คน้ ข้อมลู การอธิบาย การตอบคำ�ถาม และสรปุ ขอ้ มูล

วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4ตัวชวี้ ดั 15 4. อธิบายการควบคุมดุลยภาพของอุณหภมู ิภายในร่างกายโดยระบบหมนุ เวยี นเลอื ด ผิวหนัง และกลา้ มเนอ้ื โครงร่างการวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรียนโดยใช้ค�ำ ถามเพอ่ื ใหน้ ักเรยี นร่วมกันอภิปรายดงั นี้ ด้านความรู้ - ในวันท่ีอากาศร้อนมาก หรือหนาวมาก ร่างกายมีการเปล่ียนแปลง การควบคุมดุลยภาพของอุณหภูมิภายใน ความรเู้ กย่ี วกบั เรอ่ื งการควบคมุ ดลุ ยภาพของอณุ หภมู ิ ร่างกายโดยระบบหมุนเวียนเลือด ผิวหนัง อย่างไร และนักเรียนมีวิธีการคลายร้อนให้แก่ร่างกาย หรือทำ�ให้ร่างกาย ภายในร่างกายจากการตอบคำ�ถาม การอภิปราย และกล้ามเน้อื โครงรา่ ง อบอุ่น อย่างไรบ้าง เพื่อเชื่อมโยงว่า เมื่ออากาศร้อนหรือหนาวมนุษย์มี วธิ ชี ว่ ยใหอ้ ยรู่ อดในสภาพอากาศดงั กลา่ วได้ ในขณะเดยี วกนั ภายในรา่ งกาย การอธบิ ายการทำ�แบบฝึกหดั และแบบทดสอบดา้ นทักษะ มกี ลไกในการควบคมุ ดุลยภาพของอณุ หภูมเิ ช่นกันทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2. ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู เกยี่ วกบั การควบคมุ ดลุ ยภาพของอณุ หภมู ภิ ายใน ด้านทักษะ1. การสงั เกต ร่างกาย แล้วให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์และอภิปรายว่าในการรักษา 1. การสงั เกต และการลงความเหน็ จากขอ้ มลู จากการ2. การลงความเห็นจากขอ้ มูล อุณหภูมิของร่างกายให้คงท่ีนั้นเก่ียวข้องกับการทำ�งานของระบบใดบ้างทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 และมวี ิธีการอย่างไรโดยศึกษาจากแผนผัง ดงั น้ี สืบค้นข้อมูล และการศึกษาแผนผังเกี่ยวกับกลไก1. การสื่อสารสารสนเทศและการรูเ้ ทา่ ทนั ส่ือ การควบคมุ อณุ หภูมขิ องร่างกาย2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ การคิด อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา จากการสบื คน้ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ ขอ้ มลู และการนำ�เสนอขอ้ มลู1. การใช้วิจารณญาณ2. ความรอบคอบ ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์3. ความใจกว้าง 1. การใช้วิจารณญาณและความรอบคอบ จากการ อธิบาย การตอบค�ำ ถามและสรปุ ขอ้ มลู 2. ความใจกว้าง จากการอภปิ ราย แลว้ ใช้คำ�ถามดังน้ี - ถ้าในกรณีที่อุณหภูมิของร่างกายสูงกว่า 37o C ร่างกายจะมีกลไก การรกั ษาดุลยภาพของอณุ หภูมอิ ยา่ งไร - เพราะเหตุใดเมื่อผู้ป่วยมีไข้ขึ้นสูง แพทย์มักจะแนะนำ�ให้เช็ดตัว ผปู้ ่วยดว้ ยน�้ำ ที่อุณหภูมิห้อง - ในกรณที อ่ี ณุ หภมู ขิ องสงิ่ แวดลอ้ มสูงมาก จนรา่ งกายไมส่ ามารถปรบั เขา้ สูส่ มดุลได้ จะมีผลต่อรา่ งกายอย่างไร

16 ตวั ช้วี ดั 5. อธบิ ายและเขียนแผนผงั เกีย่ วกับการตอบสนองของร่างกายแบบไม่จำ�เพาะและแบบจำ�เพาะต่อสิง่ แปลกปลอมของรา่ งกายการวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนเกี่ยวกับการต่อต้านหรือทำ�ลายสิ่งแปลกปลอมท่ีเข้าสู่ ด้านความรู้ รา่ งกาย โดยใชต้ ัวอย่างคำ�ถามดงั นี้ กลไกการตอ่ ตา้ นหรอื ท�ำ ลายสงิ่ แปลกปลอม ความรู้เก่ียวกับเรื่องกลไกการต่อต้านหรือทำ�ลาย แบบไมจ่ �ำ เพาะและแบบจ�ำ เพาะของรา่ งกาย - กรณที น่ี กั เรยี นถกู ยงุ กดั แมลงกดั ตอ่ ย หรอื มดี บาด บรเิ วณผวิ หนงั ทถ่ี กู กดั สงิ่ แปลกปลอมแบบไมจ่ �ำ เพาะและแบบจ�ำ เพาะของ หรอื มดี บาดนน้ั มลี กั ษณะเปน็ อยา่ งไร และเมอ่ื เวลาผา่ นไปจะเกดิ การ ร่างกายจากการเขียนแผนผังสรุป การตอบคำ�ถามดา้ นทกั ษะ เปลีย่ นแปลงอยา่ งไร การอธิบาย การท�ำ แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - บางคร้งั เรามกั จะเกดิ อาการจามโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะเหตุใด1. การสงั เกต 2. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ จากการอภปิ รายวา่ รา่ งกายมผี วิ หนงั และเยอ่ื บุ ด้านทักษะ2. การจ�ำ แนกประเภท อวัยวะภายในที่ป้องกันเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าสู่เน้ือเย่ือใน 1. การสงั เกต การจ�ำ แนกประเภท และการลงความเหน็3. การลงความเห็นจากขอ้ มูล จากขอ้ มูล จากการอธบิ ายและอภปิ รายรว่ มกนั4. การสรา้ งแบบจำ�ลอง ร่างกาย 2. การสรา้ งแบบจ�ำ ลองจากการเขยี นแผนผงั สรปุ เกย่ี วกบัทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 3. ครนู ำ�ภาพแผลอกั เสบหรือเป็นหนองมาให้นกั เรยี นดู และถามนกั เรียนว่า กลไกการต่อต้านหรือทำ�ลายส่ิงแปลกปลอมแบบ 1. การส่อื สารสารสนเทศและการร้เู ท่าทนั สื่อ - แผลอักเสบเกิดจากสาเหตุใด การเกิดสิวและการเป็นหนองจนทำ�ให้2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา เกดิ การอกั เสบของแผลเป็นการทำ�งานของระบบใดของรา่ งกาย ไม่จำ�เพาะและแบบจำ�เพาะของร่างกาย 4. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเก่ียวกับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย 3. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ การคิดดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์1. การใช้วจิ ารณญาณ และกลไกการทำ�งานของระบบภูมิคุ้มกัน จากน้ันครูและนักเรียนร่วมกัน อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา จากการสบื คน้2. ความรอบคอบ อภปิ รายเกย่ี วกบั กลไกการตอ่ ตา้ นหรอื ท�ำ ลายสง่ิ แปลกปลอมแบบไมจ่ �ำ เพาะ ข้อมูล การอธิบายและการน�ำ เสนอข้อมูล และแบบจ�ำ เพาะ 5. ครนู �ำ ภาพเซลลเ์ มด็ เลอื ดขาว 3 ชนดิ มาใหน้ กั เรยี นศกึ ษาและสงั เกตขนาด ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ รปู ร่าง ลักษณะและโครงสร้างภายในของเซลลท์ ั้ง 3 ชนดิ ดังนี้ การใชว้ จิ ารณญาณและความรอบคอบ จากการอธบิ าย และการอภิปราย ชนดิ ท ี่ 1

วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ 17การวิเคราะหต์ วั ชี้วดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 4 แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ชวี้ ดั ชนดิ ที่ 2 ชนิดที ่ 3 แล้วใช้คำ�ถามดังน้ี - ภาพเซลล์เมด็ เลือดขาวทงั้ 3 ชนดิ เหมือนหรอื แตกตา่ งกันอย่างไร 6. ให้นักเรียนสืบคน้ ขอ้ มูลเพ่มิ เติม และนำ�เสนอเกยี่ วกบั เซลลเ์ มด็ เลือดขาว แตล่ ะชนดิ วา่ มหี นา้ ทป่ี อ้ งกนั และก�ำ จดั สงิ่ แปลกปลอมไดอ้ ยา่ งไร เพอ่ื สรปุ ให้ได้ว่า กลไกในการต่อต้านหรือทำ�ลายส่ิงแปลกปลอมแบบจำ�เพาะ เป็นการทำ�งานของเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ ชนิดบี และชนิดที ซ่ึงเซลล์เม็ดเลือดขาวท้ังสองชนิดจะมีตัวรับแอนติเจน ทำ�ให้เซลล์ทั้งสอง สามารถตอบสนองแบบจำ�เพาะ 7. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและเขียนสรุปเป็นผังมโนทัศน์เก่ียวกับ ชนิดและหนา้ ทข่ี องเซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว 8. ครูเช่ือมโยงความรู้เกี่ยวกับการลำ�เลียงสารขนาดใหญ่เข้าสู่เซลล์โดยวิธี เอนโดไซโทซสิ โดยใช้ตัวอย่างค�ำ ถามดังน้ี - การกำ�จัดเชอื้ โรคแบบฟาโกไซโทซิสเปน็ การล�ำ เลียงสารแบบใด 9. นักเรียนเขียนแผนผังสรุปเกี่ยวกับกลไกการต่อต้านหรือทำ�ลาย ส่ิงแปลกปลอมแบบไมจ่ ำ�เพาะและแบบจำ�เพาะ

18 ตัวชวี้ ัด 6. สืบคน้ ข้อมูล อธิบาย และยกตวั อย่างโรคหรืออาการที่เกดิ จากความผิดปกตขิ องระบบภมู ิคุ้มกนั 7. อธิบายภาวะภูมิคุม้ กนั บกพรอ่ งท่มี ีสาเหตุมาจากการติดเชือ้ HIVการวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นเกยี่ วกบั โรคหรอื อาการทเ่ี กดิ จากความผดิ ปกตขิ องระบบ ด้านความรู้ ภูมิค้มุ กนั โดยการยกตวั อย่างอาการของโรคบางชนดิ ดงั นี้1. โรคหรืออาการที่เกิดจากความผิดปกติของ 1. ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคหรืออาการท่ีเกิดจากความ ระบบภมู คิ ุม้ กนั “นายทอง มักมีการอักเสบของอวัยวะต่าง ๆ มีผ่ืนแดงท่ีแก้มคล้ายผื่น ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันจากการสืบค้นข้อมูล แพแ้ ดด จ�ำ้ เลอื ด โดยไมท่ ราบสาเหตุ มกั ไมเ่ จบ็ บางครงั้ มกี ารปวดบวมแดง ตอบค�ำ ถาม และแบบทดสอบ2. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่มีสาเหตุมา จากการติดเชอื้ HIV ท่แี ขน หรือขาดว้ ย” 2. ความรเู้ กย่ี วกบั เรอ่ื งโรคเอดส์ สาเหตขุ องการเกดิ โรค - จากลกั ษณะอาการดงั กลา่ วน้ี นักเรียนจะใช้ความรู้เกี่ยวกับภูมคิ ุ้มกนั และแนวทางในการป้องกนั และดูแลผูป้ ่วย จากการด้านทกั ษะ มาอธิบายได้อย่างไรบ้าง นำ�เสนอขอ้ มูล และการทำ�แบบทดสอบทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลและนำ�เสนอเกี่ยวกับโรคหรืออาการท่ีเกิดจาก1. การสงั เกต ด้านทกั ษะ2. การลงความเหน็ จากข้อมลู ความผดิ ปกตขิ องระบบภมู คิ มุ้ กนั พรอ้ มทง้ั อธบิ าย และยกตวั อยา่ งประกอบ 1. การสงั เกต การลงความเหน็ จากขอ้ มลู จากการอธบิ ายทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 3. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูล และนำ�เสนอเก่ียวกับโรคเอดส์ ความหมาย และการอภิปราย 1. การสอ่ื สารสารสนเทศและการรูเ้ ท่าทันสอื่ 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ การคิด2. การคิดอย่างมีวิจารณญาณและแก้ปัญหา ของโรค ลกั ษณะอาการของโรค และสาเหตกุ ารเกดิ โรคโดยเชอ้ื ไวรสั ชนดิ3. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ HIV รวมทงั้ แนวทางในการปอ้ งกันและดูแลผปู้ ่วย อย่างมีวิจารณญาณและแก้ปัญหา จากการสืบค้น 4. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับโรคหรืออาการท่ีเกิดจากความ ขอ้ มลู การอภิปรายและการน�ำ เสนอข้อมลูดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะสาเหตุการเกิดโรคเอดส์ และ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� 1. การใช้วจิ ารณญาณ แนวทางในการปอ้ งกนั และดูแลผปู้ ว่ ยโรคเอดส์ จากการทำ�กจิ กรรมกลมุ่2. ความรอบคอบ3. ความใจกว้าง ด้านจิตวิทยาศาสตร์4. การยอมรับความเหน็ ต่าง 1. การใช้วิจารณญาณและความรอบคอบ จากการ อภปิ รายและสรปุ ข้อมลู 2. ความใจกวา้ ง และการยอมรบั ความเหน็ ตา่ ง จากการ ตอบคำ�ถาม การอภิปรายและการทำ�กจิ กรรมกลุ่ม

วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4ตวั ชีว้ ัด 19 8. ทดสอบและบอกชนดิ ของสารอาหารทพ่ี ชื สงั เคราะหไ์ ด้การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นเกย่ี วกบั ความส�ำ คญั ของพชื ในการเปน็ แหลง่ สรา้ งอาหาร ดา้ นความรู้ ที่สำ�คัญและเป็นแหล่งกำ�เนิดของปัจจัยส่ีเพื่อการดำ�รงชีวิตของมนุษย์ ชนิดของสารอาหารที่พืชสงั เคราะหไ์ ด้ โดยใชต้ วั อย่างคำ�ถามดงั นี้ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการทดสอบสารอาหารประเภท ท่ีให้พลังงานและบอกชนิดของสารอาหารท่ีพืชด้านทักษะ - ปจั จยั สใ่ี นการด�ำ รงชวี ติ ของมนษุ ยไ์ ดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง และมาจากแหลง่ ใด สังเคราะห์ได้จากการอภิปราย การสืบค้นข้อมูล ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2. ครูนำ�ตัวอย่างพืช หรือมอบหมายให้นักเรียนนำ�ผลผลิตของพืช เช่น ท�ำ กจิ กรรมกลมุ่ การตอบค�ำ ถาม การท�ำ แบบฝกึ หดั1. การสงั เกต และแบบทดสอบ2. การวัด เมลด็ ขา้ ว เมลด็ ถว่ั ลสิ ง เมลด็ ทานตะวนั ผลปาลม์ เผอื ก มนั เทศ ฯลฯ ทใ่ี ห้3. การจำ�แนกประเภท สารอาหารประเภททีใ่ หพ้ ลงั งาน ไดแ้ ก่ คารโ์ บไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ดา้ นทกั ษะ4. การลงความเห็นจากขอ้ มลู 1. การสงั เกต การวดั การจ�ำ แนกประเภท การลงความ5. การตคี วามหมายข้อมูลและลงข้อสรปุ มาคนละ 1 อยา่ ง แลว้ ใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายโดยใชต้ วั อยา่ งค�ำ ถามดงั นี้ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 - พืชเหลา่ นใี้ หส้ ารอาหารประเภทใดได้บ้าง เห็นจากข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและลง1. การสื่อสารสารเทศและการร้เู ท่าทันสอ่ื - พืชเหลา่ น้สี รา้ งสารอาหารโดยวิธีการใด ข้อสรุป จากการทำ�กิจกรรม การอธิบาย และการ2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา 3. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ ท�ำ กจิ กรรมเกยี่ วกบั การทดสอบสารอาหารประเภทท่ี3. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ตอบคำ�ถาม ให้พลังงานที่พืชสังเคราะห์ได้ โดยเลือกชนิดของพืชหรือผลผลิตของพืช 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ ทไี่ ม่ซ�ำ้ กัน แล้วทดสอบสารอาหาร ดงั น้ี คารโ์ บไฮเดรต (แปง้ และน�้ำ ตาล) 1. ความอยากร้อู ยากเห็น โปรตนี และไขมัน (หรือน้�ำ มนั ) สบื ค้นขอ้ มลู และการน�ำ เสนอขอ้ มลู2. ความเชอื่ มนั่ ตอ่ หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ 4. ให้นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ น�ำ เสนอผลการทำ�กิจกรรม 3. การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา 3. การใชว้ ิจารณญาณ 5. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสรปุ ผลการทดสอบสารอาหารท่พี ชื สงั เคราะห์ขึน้4. ความรอบคอบ จากการทดสอบสารอาหาร วิเคราะห์และสรุปได้5. ความใจกว้าง อยา่ งมีเหตผุ ล และน�ำ เสนอขอ้ มลู ได้ถูกตอ้ ง6. การยอมรบั ความเหน็ ต่าง 4. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� 7. ความซือ่ สตั ย์ จากการท�ำ กิจกรรมกลุ่ม8. ความมุ่งมนั่ อดทน9. วัตถุวสิ ยั ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ 1. ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความเชอื่ มน่ั ตอ่ หลกั ฐาน เชิงประจักษ์ จากการสืบค้นข้อมูล การตอบคำ�ถาม การอภปิ ราย และการทำ�กจิ กรรม

20 แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ 2. การใช้วิจารณญาณและความรอบคอบ จากการ อภปิ รายและสรปุ ข้อมลู 3. ความใจกวา้ ง และการยอมรบั ความเหน็ ตา่ ง จากการ ตอบคำ�ถาม การอภปิ รายและการทำ�กจิ กรรมกล่มุ 4. ความซื่อสัตย์ ความมุ่งมั่นอดทน และวัตถุวิสัย จากการท�ำ กจิ กรรม

วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4ตัวชว้ี ดั 21 9. สบื ค้นข้อมลู อภิปราย และยกตวั อย่างเกี่ยวกบั การใชป้ ระโยชน์จากสารต่าง ๆ ที่พชื บางชนดิ สร้างขนึ้การวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากสารต่าง ๆ ที่พืชบางชนิด ดา้ นความรู้ สร้างขึ้น โดยนำ�ผลผลิตของพืชประเภทต่าง ๆ เช่น ตะไคร้หอม มะกรูด การใชป้ ระโยชนจ์ ากสารตา่ ง ๆ ทพ่ี ชื บางชนดิ พริก ขมิ้น กะเพรา โหระพา มาให้นักเรียนสังเกต แล้วใช้คำ�ถามเพื่อให้ ความรู้เกี่ยวกับเร่ืองการใช้ประโยชน์จากสารต่างๆ สร้างขน้ึ นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ ราย ดังนี้ ทพ่ี ชื บางชนดิ สรา้ งขน้ึ จากการท�ำ กจิ กรรม การตอบดา้ นทกั ษะ - ผลผลติ ของพชื เหลา่ น ี้ นา่ จะประกอบดว้ ยสารอาหารประเภทใดบา้ ง คำ�ถาม การท�ำ แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และนอกจากน้ยี งั พบสารอ่นื  ๆ ที่พชื ผลิตขึ้นอกี หรอื ไม่ สงั เกตไดจ้ าก1. การสังเกต อะไร ด้านทกั ษะ2. การวดั 2. ให้นกั เรยี นทำ�กจิ กรรมกลมุ่ ดังน้ี 1. การสงั เกต การวดั การจ�ำ แนกประเภท การลงความ3. การจำ�แนกประเภท 2.1 เลือกศึกษาเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากสารที่พืชสร้างในลักษณะ4. การลงความเห็นจากข้อมูล ต่าง ๆ กลมุ่ ละ 1 อยา่ งไม่ซำ�้ กนั ดงั น้ี เห็นจากข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและลง 5. การตีความหมายขอ้ มูลและลงข้อสรปุ 1) ใชเ้ ปน็ ยาหรอื สมนุ ไพรในการรักษาโรค ข้อสรุป จากการทำ�กิจกรรม การอธิบาย และการ 2) ใชใ้ นการไลแ่ มลง ก�ำ จดั ศัตรพู ืชและสัตว์ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 3) ใช้ในการยบั ยัง้ การเจรญิ เตบิ โตของจลุ ินทรีย์ ตอบค�ำ ถาม1. การสื่อสารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทันสือ่ 4) ใช้เป็นวัตถุดบิ ในอตุ สาหกรรม 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา 2.2 ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูล และศึกษาเกี่ยวกับชนิดของพืชที่นำ�มาใช้3. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ประโยชน์ในหัวข้อที่นักเรียนเลือกในข้อ 2.1 สารในพืชที่นำ�มาใช้ สบื ค้นข้อมลู และการน�ำ เสนอขอ้ มลู ประโยชน์ และสรรพคณุ หรอื สมบตั ขิ องสารนน้ั ๆ ประเภทของผลติ ภณั ฑ์ 3. การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหาในด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ ทีใ่ ชป้ ระโยชนจ์ ากสารของพืชน้ัน ๆ การศกึ ษาเกย่ี วกบั การน�ำ สารทพ่ี ชื สรา้ งไปใชป้ ระโยชน์1. ความอยากรู้อยากเหน็ 2.3 นำ�เสนอผลการศึกษาในรูปแบบที่หลากหลายและน่าสนใจ จากนั้น ในลกั ษณะตา่ ง ๆ2. ความเช่ือม่ันต่อหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากสาร 4. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ�จาก3. การใชว้ จิ ารณญาณ ต่างๆ ที่พืชบางชนิดสร้างขึ้น เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่าสารจากพืชท่ีนำ�มา4. ความรอบคอบ ใช้ประโยชน์นอกจากสารท่ีให้พลังงานแล้วยังมีสารอื่น ๆ เรียกว่า การทำ�กิจกรรมกลมุ่5. ความใจกว้าง สารทตุ ยิ ภมู ิ (secondary metabolize)6. การยอมรับความเห็นตา่ ง ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์7. ความซ่ือสตั ย์ 1. ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความเชอื่ มน่ั ตอ่ หลกั ฐาน8. ความมงุ่ มัน่ อดทน เชิงประจักษ์ จากการสืบค้นข้อมูล การตอบคำ�ถาม การอภิปราย และการทำ�กิจกรรม 2. การใช้วิจารณญาณและความรอบคอบ จากการ อภิปรายและสรปุ ขอ้ มลู

22 แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ 3. ความใจกวา้ ง และการยอมรบั ความเหน็ ตา่ ง จากการ ตอบค�ำ ถาม การอภปิ รายและการท�ำ กจิ กรรมกลุ่ม 4. ความซ่ือสัตย์ และความมุ่งม่ันอดทน จากการทำ� กจิ กรรม

วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 4ตัวชว้ี ดั 23 10. ออกแบบการทดลอง ทดลอง และอธบิ ายเกยี่ วกับปจั จยั ภายนอกท่ีมผี ลตอ่ การเจริญเติบโตของพืชการวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นเกย่ี วกบั ปจั จยั ภายนอกทม่ี ผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพชื ด้านความรู้ โดยเช่ือมโยงความรู้ในชีวิตประจำ�วันเกี่ยวกับการปลูกพืช จากตัวอย่าง ปัจจัยภายนอกท่ีมีผลต่อการเจริญเติบโต ความรู้เก่ียวกับเรื่องปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการ ของพืช ค�ำ ถามดงั นี้ เจรญิ เตบิ โตของพชื จากการทดลอง การตอบค�ำ ถาม - เพราะเหตใุ ดพชื บางชนดิ ตอ้ งปลกู ในทม่ี แี สงสวา่ งร�ำ ไร หรอื บางชนดิดา้ นทกั ษะ ตอ้ งปลูกกลางแจ้งทม่ี แี ดดจัด การทำ�แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - ถา้ ตอ้ งการเพาะถว่ั งอกใหม้ ลี กั ษณะผอม ยาวประมาณ 5-8 เซนตเิ มตร1. การสงั เกต และไมม่ สี เี ขยี ว นักเรยี นจะมีวธิ ีการอย่างไร ดา้ นทกั ษะ2. การวัด 2. ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั ปจั จยั ภายนอกทม่ี ผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โต 1. ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรต์ า่ ง ๆ จากการ3. การหาความสัมพนั ธ์ของสเปซกับเวลา4. การจดั กระท�ำ ขอ้ มลู และสอ่ื ความหมายขอ้ มลู ของพชื จากนน้ั ใหท้ �ำ กจิ กรรมกลมุ่ โดยเลอื กศกึ ษาปจั จยั ภายนอกทม่ี ผี ล ออกแบบการทดลอง การทำ�กิจกรรมกลุ่ม และการ5. การตั้งสมมตฐิ าน ต่อการเจริญเติบโตของพชื กล่มุ ละ 1 ปัจจัยทีไ่ มซ่ ำ�้ กนั โดยมีแนวปฏบิ ตั ิ ตอบคำ�ถาม6. การกำ�หนดนยิ ามเชิงปฏบิ ตั ิการ ดังน้ี 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ7. การก�ำ หนดและควบคมุ ตัวแปร 2.1 ระบปุ ัญหา สืบคน้ ขอ้ มลู8. การทดลอง 2.2 ตง้ั สมมติฐาน 3. การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา 9. การตคี วามหมายขอ้ มูลและลงขอ้ สรปุ 2.3 ออกแบบการทดลอง จากการอภิปรายทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 2.4 ทดลอง 4. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทนั สือ่ 2.5 สรุปผลการทดลอง และรายงานผลการทดลอง จากการทำ�กจิ กรรมกลุม่ และน�ำ เสนอขอ้ มูล2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา จากการอภิปรายร่วมกันครูและนักเรียนร่วมกันสรุปว่า การเจริญเติบโต3. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ของพืชเก่ียวข้องกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น แสง น้ำ� ธาตุอาหาร ซ่ึงเป็นปัจจัย ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ภายนอก 1. ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความเชอ่ื มนั่ ตอ่ หลกั ฐานดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์1. ความอยากรูอ้ ยากเห็น เชิงประจักษ์ จากการสืบค้นข้อมูล การตอบคำ�ถาม2. ความเชอ่ื ม่นั ต่อหลักฐานเชิงประจกั ษ์ การอภิปราย และการท�ำ กิจกรรม3. การใช้วจิ ารณญาณ 2. การใช้วิจารณญาณและความรอบคอบ จากการ4. ความรอบคอบ อภิปรายและสรปุ ข้อมลู 3. ความใจกวา้ ง และการยอมรบั ความเหน็ ตา่ ง จากการ ตอบคำ�ถาม การอภปิ รายและการท�ำ กจิ กรรมกลมุ่

24 แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ การวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ 4. ความซ่ือสัตย์ ความมุ่งมั่นอดทน และวัตถุวิสัย 5. ความใจกวา้ ง จากการทำ�กิจกรรม 6. การยอมรบั ความเห็นต่าง 7. ความซ่อื สัตย์ 8. ความมุง่ ม่ันอดทน 9. วตั ถวุ สิ ัย

วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4ตัวช้วี ดั 25 11. สืบคน้ ข้อมูลเกีย่ วกับสารควบคุมการเจรญิ เตบิ โตของพชื ทมี่ นษุ ยส์ งั เคราะห์ข้นึ และยกตัวอยา่ งการนำ�มาประยกุ ต์ใชท้ างด้านการเกษตรของพืชการวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใชภ้ าพ วดี ทิ ศั น์ หรอื ค�ำ ถามเพอ่ื เชอ่ื มโยงความรใู้ นเรอ่ื ง ด้านความรู้ สารควบคมุ การเจรญิ เตบิ โตของพชื ดงั น้ี สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชที่มนุษย์ ความรู้เก่ียวกับสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช สงั เคราะหข์ น้ึ เพอื่ น�ำ มาประยกุ ตใ์ ชท้ างดา้ น - เพราะเหตใุ ดเกษตรกรมกั นยิ มตดั แตง่ กง่ิ ตน้ ไมห้ ลงั จากทม่ี กี ารเกบ็ เกย่ี ว ทม่ี นษุ ยส์ งั เคราะหข์ นึ้ เพอื่ น�ำ มาประยกุ ตใ์ ชท้ างดา้ น การเกษตร ผลผลติ ไปแลว้ การเกษตร จากการสบื คน้ ขอ้ มลู การอภปิ ราย การท�ำ - ถ้านักเรียนปลูกพืชและต้องการเพิ่มผลผลิตให้ได้จำ�นวนมากและดา้ นทักษะ ได้ผลผลิตรวดเร็ว นักเรยี นจะมีวธิ กี ารอย่างไร แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - เพราะเหตใุ ดเกษตรกรมกั น�ำ กง่ิ ปกั ช�ำ ไปจมุ่ สารเรง่ ราก กอ่ นน�ำ ไปปกั ช�ำ1. การสงั เกต 2. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูล อธิบาย และสรุปเกี่ยวกับฮอร์โมนพืช และสาร ด้านทกั ษะ2. การลงความเหน็ จากขอ้ มูล 1. การสังเกต การลงความเห็นจากข้อมูล และการ3. การจำ�แนกประเภท สงั เคราะห์ท่ีมสี มบตั คิ ลา้ ยฮอร์โมนพืชทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 3. ให้นักเรียนสำ�รวจร้านจำ�หน่ายสารเคมีทางการเกษตรเกี่ยวกับข้อมูล จำ�แนกประเภท จากการสืบค้นข้อมูล การตอบ1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่อื คำ�ถามและการอธบิ าย2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ช่ือสามัญของสารสังเคราะห์ท่ีมีสมบัติคล้ายฮอร์โมนพืชโดยนำ�ผลการ 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือจากการ ส�ำ รวจมาจดั กลมุ่ สารสงั เคราะหท์ มี่ สี มบตั คิ ลา้ ยฮอรโ์ มนพชื วา่ มชี อื่ สามญั สืบคน้ ข้อมูล และการนำ�เสนอข้อมูลดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ อะไรบา้ ง มผี ลตอ่ การเจริญเติบโตของพชื อย่างไร และนำ�เสนอข้อมลู 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ความอยากรู้อยากเหน็ 4. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเก่ียวกับการจัดกลุ่มสารสังเคราะห์ท่ีมี จากการท�ำ กจิ กรรมกลุม่ และการนำ�เสนอขอ้ มูล สมบตั ิคล้ายฮอรโ์ มนพชื ทส่ี �ำ รวจมา ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ ความอยากรอู้ ยากเหน็ จากการท�ำ กจิ กรรมกลมุ่ และ การอภปิ ราย

26 ตัวช้วี ัด 12. สังเกต และอธิบายการตอบสนองของพชื ตอ่ ส่งิ เรา้ ในรปู แบบตา่ งๆ ท่มี ผี ลตอ่ การด�ำ รงชีวติการวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนเกี่ยวกับการตอบสนองต่อส่ิงเร้าของพืช โดยใช้ตัวอย่าง ดา้ นความรู้ คำ�ถามดังนี้ การตอบสนองของพืชต่อส่ิงเร้าในรูปแบบ ความรู้เก่ียวกับการตอบสนองของพืชต่อส่ิงเร้าใน ต่าง ๆ ทีม่ ีผลต่อการด�ำ รงชีวติ - พชื มกี ารตอบสนองตอ่ ส่งิ เร้าได้เช่นเดียวกนั กับสตั วห์ รือไม่ อยา่ งไร รูปแบบต่าง ๆ ท่ีมีผลต่อการดำ�รงชีวิต จากการยก - เมือ่ สมั ผัสใบของตน้ ไมยราบ จะเกดิ การเปล่ยี นแปลงอยา่ งไร เพราะ ตวั อยา่ งประกอบ การตอบค�ำ ถาม การอธบิ าย การท�ำด้านทักษะทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เหตุใด แบบฝึกหดั และแบบทดสอบ1. การสังเกต - ใบของต้นจามจุรีในเวลากลางวันและกลางคืนมีความแตกต่างกัน2. การจ�ำ แนกประเภท หรอื ไมอ่ ย่างไร ด้านทักษะ3. การลงความเห็นจากข้อมลู - ดอกไมช้ นิดใดบ้างบานในเวลากลางคนื 1. การสงั เกต การจ�ำ แนกประเภท และการลงความเหน็ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 2. ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และน�ำ เสนอขอ้ มลู เกย่ี วกบั การตอบสนอง การสอื่ สารสารสนเทศและการรู้เท่าทนั สอ่ื จากขอ้ มลู จากการสบื คน้ ขอ้ มลู การตอบค�ำ ถามและ ของพืชต่อส่ิงเร้าในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำ�รงชีวิต พร้อมทั้งยก การอธิบายด้านจติ วิทยาศาสตร์ ตวั อยา่ งประกอบ 2. การสอื่ สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอื่ จากการ ความอยากร้อู ยากเห็น 3. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับการตอบสนองของพืชต่อส่ิงเร้า สืบค้นขอ้ มลู และการอภิปราย ในรปู แบบต่าง ๆ ทมี่ ผี ลตอ่ การดำ�รงชีวติ ด้านจติ วิทยาศาสตร์ ความอยากรอู้ ยากเหน็ จากการท�ำ กจิ กรรมกลมุ่ และ การอภิปราย

วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4มาตรฐาน ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและความส�ำ คญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม สารพนั ธุกรรม การเปลยี่ นแปลงทางพนั ธกุ รรมที่มีผลตอ่ สิง่ มชี ีวิต 27 ความหลากหลายทางชีวภาพและววิ ัฒนาการของส่ิงมีชีวิต รวมท้ังน�ำ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ตัวช้วี ัด 1. อธบิ ายความสัมพนั ธร์ ะหว่างยีน การสังเคราะห์โปรตนี และลกั ษณะทางพันธกุ รรมการวเิ คราะหต์ ัวช้ีวดั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตัวชีว้ ดัด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนดูภาพลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย์ ดา้ นความรู้ เช่น ลักษณะเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ผิดปกติซึ่งเป็นลักษณะทางพันธุกรรม ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งยนี การสงั เคราะหโ์ ปรตนี ความรู้เก่ียวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างยีน การ และลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ของโรค sickle cell anemia เปรียบเทียบกับเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ปกติ สังเคราะห์โปรตีน และลักษณะทางพันธุกรรม เพื่อทบทวนว่าลักษณะที่แตกต่างกันนี้เกิดจากแอลลีลที่ต่างกันของ จากการอธบิ าย การท�ำ แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบด้านทักษะ ยีนหนึ่ง และถูกควบคุมโดยสารพันธุกรรม แล้วจึงเชื่อมโยงเข้าสู่เรื่องทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โครงสร้างโครโมโซม ยีน สาย DNA ลำ�ดับนิวคลีโอไทด์ จากนั้นใช้ ด้านทักษะ การสงั เกต ตัวอย่างคำ�ถามดังนี้ 1. การสงั เกต จากการตอบค�ำ ถาม การสงั เกตแผนภาพทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 - DNA ประกอบด้วยหน่วยย่อยอะไรบ้าง1. การส่อื สารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทันสื่อ - DNA เป็นโครงสร้างที่เป็นพอลินิวคลีโอไทด์สายเดี่ยวหรือสายคู่ และการอภปิ ราย2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา - แต่ละสายของ DNA เชื่อมต่อกันที่ตำ�แหน่งใด จึงได้เป็น DNA 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ สายคู่ และการเชื่อมต่อกันนี้มีความจำ�เพาะอย่างไร ครูอธิบายดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ เพิ่มเติมว่า การเชื่อมกันระหว่างนิวคลีโอไทด์ของ DNA สาย สบื ค้นขอ้ มูล1. การใช้วิจารณญาณ เดยี วกนั และการเชอ่ื มกนั ของ DNA แตล่ ะสายจะเชอ่ื มกนั ดว้ ยพนั ธะ 3. การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา 2. ความอยากรูอ้ ยากเห็น เคมี และ DNA สายคู่นี้จะบิดเป็นเกลียวเวียนขวา3. ความใจกวา้ ง 2. ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และน�ำ เสนอขอ้ มลู เกยี่ วกบั ความสมั พนั ธ์ จากการสบื ค้นขอ้ มลู และอธิบาย ระหว่างยีน การสงั เคราะห์โปรตีน และลักษณะทางพนั ธุกรรม จากน้นั ครู และนักเรยี นอภิปรายร่วมกนั เพอ่ื สรปุ ให้ไดว้ ่า ยนี เปน็ ช่วงของสาย DNA ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ ทม่ี ลี �ำ ดบั นวิ คลโี อไทดท์ ก่ี �ำ หนดลกั ษณะของโปรตนี ทส่ี งั เคราะหข์ น้ึ ซง่ึ ล�ำ ดบั การใชว้ จิ ารณญาณ ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความ นิวคลีโอไทด์ที่แตกต่างกันส่งผลให้ได้โปรตีนท่ีแตกต่างกัน ทำ�ให้เกิด ลักษณะทางพนั ธุกรรมตา่ ง ๆ พรอ้ มทัง้ ยกตัวอยา่ งลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม ใจกว้าง จากการตอบคำ�ถาม การทำ�กิจกรรมกลุ่ม ประกอบ และการอภิปราย

28 ตวั ชว้ี ัด 2. สบื ค้นขอ้ มูล และอธิบายหลักการถ่ายทอดลักษณะท่ีถูกควบคุมดว้ ยยีนที่อยบู่ นโครโมโซมเพศและมัลติเปลิ แอลลลีการวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใหน้ กั เรยี นศกึ ษาภาพแสดงโครโมโซมของมนษุ ยเ์ พอื่ ดา้ นความรู้ เชอ่ื มโยงใหไ้ ดว้ ่า โครโมโซมมี 2 กลุม่ ไดแ้ ก่ ออโตโซมและโครโมโซมเพศ หลกั การถา่ ยทอดลกั ษณะทถ่ี กู ควบคมุ ดว้ ยยนี ความรู้เกี่ยวกับหลักการถ่ายทอดลักษณะที่ถูก ท่ีอยูบ่ นโครโมโซมเพศและมลั ติเปิลแอลลีล ภาพที่ 1 ควบคุมด้วยยีนท่ีอยู่บนโครโมโซมเพศและมัลติเปิล แอลลลี จากการตอบค�ำ ถาม การอธบิ าย การท�ำ แบบด้านทักษะ ภาพท่ ี 2 ฝกึ หัดและแบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากนัน้ ใชต้ ัวอย่างค�ำ ถามดงั นี้1. การสังเกต - โครโมโซมในภาพท่ี 1 และภาพท่ี 2 เหมือนหรอื แตกต่างกนั อยา่ งไร ดา้ นทักษะ2. การจ�ำ แนกประเภท - การนำ�โครโมโซมมาเรียงเขา้ คู่กันมีหลกั เกณฑ์อย่างไร 1. การสงั เกต การจ�ำ แนกประเภท การใชจ้ �ำ นวน การลง3. การใช้จ�ำ นวน 2. ใหน้ กั เรยี นสืบค้นขอ้ มูลและยกตัวอย่างดงั ต่อไปน้ี ความเหน็ จากขอ้ มลู และการพยากรณจ์ ากการตอบ4. การลงความเห็นจากขอ้ มูล 2.1 ลักษณะท่ีถูกควบคมุ ดว้ ยยีนทอี่ ยบู่ นออโตโซม 5. การพยากรณ์ ค�ำ ถาม การอภปิ ราย แผนภาพ และการท�ำ กจิ กรรมทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ1. การสอื่ สารสารสนเทศและการรู้เท่าทนั สือ่2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา ตอบคำ�ถาม การอภิปราย การสืบค้นข้อมูล และ การนำ�เสนอข้อมลูด้านจิตวิทยาศาสตร์ 3. การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา 1. ความอยากรอู้ ยากเห็น จากการอภิปราย และการทำ�กจิ กรรม2. การใช้วจิ ารณญาณ3. ความใจกวา้ ง ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ 1. ความอยากรู้อยากเห็น และการใช้วิจารณญาณ จากการตอบค�ำ ถาม การอภปิ ราย และการท�ำ กจิ กรรม 2. ความใจกว้าง จากการทำ�กิจกรรมกลุ่มและการ อภิปราย

วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ 29การวิเคราะหต์ วั ชี้วดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 2.2 ลักษณะทถ่ี กู ควบคุมด้วยยีนที่อยู่บนโครโมโซมเพศ แนวทางการวัดและประเมินตวั ชีว้ ัด 2.3 ลกั ษณะทถี่ ูกควบคุมดว้ ยยนี แบบมัลตเิ ปลิ แอลลีล จากน้นั ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายในประเด็นต่อไปนี้ 1) ลักษณะทางพันธุกรรมลักษณะใดบ้างที่ถูกควบคุมด้วยยีนที่อยู่บน ออโตโซม ลักษณะใดบ้างที่ถูกควบคุมด้วยยีนที่อยู่บนโครโมโซมเพศ และลักษณะใดบ้างท่ีถูกควบคุมด้วยยีนที่อยู่แบบมัลติเปิลแอลลีล 2) ลักษณะทางพันธุกรรมดังกล่าวควบคุมโดยแอลลีลเด่นหรือแอลลีล ด้อย 3) ลักษณะทางพันธุกรรมใดของมนุษย์ท่ีมีโอกาสแสดงออกในเพศชาย และเพศหญิงไม่เท่ากนั 3. ให้นักเรียนศึกษาแผนภาพแสดงการถ่ายทอดลักษณะตาบอดสีใน ครอบครวั หน่ึงและใชต้ วั อย่างคำ�ถามดงั น้ี - ลักษณะตาบอดสีน่าจะถูกควบคุมโดยยีนบนออโตโซม หรือยีนบน โครโมโซมเพศและเป็นแอลลีลเด่นหรือแอลลีลด้อย เพราะเหตุใด - ถ้าแต่ละครอบครัวในรุ่นที่ II มีลูกคนต่อไปจะมีโอกาสได้ลูกสาวที่มี ลกั ษณะตาบอดสหี รือไม่ เพราะเหตุใด 4. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปหลักการถ่ายทอดยีนท่ีอยู่บนโครโมโซมเพศ และแก้โจทยพ์ นั ธุศาสตร์ ตวั อย่างโจทย์พันธุศาสตร ์ - หญิงตาบอดสีแต่งงานกับชายตาปกติจะมีโอกาสให้กำ�เนิดลูกที่มี ลกั ษณะอย่างไร - หญิงที่เป็นพาหะของตาบอดสีแต่งงานกับชายตาบอดสีจะมีโอกาส ให้ก�ำ เนดิ ลูกชายตาบอดสหี รอื ไม่ เพราะเหตใุ ด 5. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเก่ียวกับการถ่ายทอดลักษณะหมู่เลือดด้วยยีนแบบ มลั ตเิ ปลิ แอลลีล โดยใชต้ วั อย่างค�ำ ถามดงั น้ี - ถา้ พ่อมีเลือดหมู่ A แมเ่ ลอื ดหมู่ B และมลี กู เลอื ด หมู่ O เหตุการณน์ ี้ จะเป็นไปได้หรอื ไม่ เพราะเหตุใด

30 แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ การวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ - ถ้าพ่อมีเลือดหมู่ AB แม่เลือดหมู่ O และมีลูกเลือดหมู่ O เหตุการณ์ นจ้ี ะเปน็ ไปไดห้ รอื ไม่ เพราะเหตใุ ด จากนน้ั ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ และเขียนแผนภาพแสดงรูปแบบการถ่ายทอดลักษณะหมู่เลือด จากทงั้ 2 กรณี

วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4ตัวช้วี ัด 31 3. อธิบายผลทเ่ี กิดจากการเปลย่ี นแปลงล�ำ ดบั นิวคลโี อไทด์ในดเี อ็นเอต่อการแสดงลักษณะของสิง่ มชี วี ิต 4. สืบค้นขอ้ มลู และยกตัวอยา่ งการนำ�มิวเทชันไปใช้ประโยชน์การวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยใช้ภาพหรือคำ�ถาม เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะ ดา้ นความรู้ ท่ีเปล่ียนไปเนื่องจากการเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรม โดยใช้ตัวอย่าง1. ผลทเ่ี กดิ จากการเปลย่ี นแปลงรหสั พนั ธกุ รรม ค�ำ ถามดังน้ี 1. ความรู้เกี่ยวกับผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงรหัส ใน DNA ตอ่ การแสดงลกั ษณะของสิ่งมีชีวิต พั น ธุ ก ร ร ม ใ น ดี เ อ็ น เ อ ต่ อ ก า ร แ ส ด ง ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง - นักเรียนเคยเห็นสัตว์ท่ีมีลักษณะเป็นสัตว์เผือกบ้างหรือไม่ เป็นสัตว์ สง่ิ มชี วี ติ จากการอธบิ าย แผนภาพ การท�ำ แบบฝกึ หดั2. การน�ำ มิวเทชันไปใชป้ ระโยชน์ ชนิดใดบ้าง ยกตัวอย่าง - ลกั ษณะของสตั วเ์ ผอื กเปน็ อยา่ งไร อธบิ าย มกี ารด�ำ รงชวี ติ เหมอื นหรอื และแบบทดสอบดา้ นทักษะ แตกต่างจากสัตว์ปกติอย่างไร 2. ความรู้เก่ียวกับการนำ�มิวเทชันไปใช้ประโยชน์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ - ปรมิ าณการพบสตั วเ์ ผอื กนน้ั  ๆ มากหรอื นอ้ ย เพราะเหตใุ ดจงึ เปน็ เชน่ นน้ั1. การสังเกต จากค�ำ ถามสามารถเชอ่ื มโยงไดว้ า่ ลกั ษณะเผอื กเปน็ ลกั ษณะหนง่ึ ของ จากการน�ำ เสนอขอ้ มลู การตอบค�ำ ถาม การอภปิ ราย2. การลงความเห็นจากข้อมูล การเกดิ มวิ เทชนั ทที่ �ำ ใหส้ ตั วม์ ลี กั ษณะทแ่ี ตกตา่ งจากสตั วป์ กตทิ ว่ั  ๆ ไป และการทำ�แบบทดสอบทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 2. ใหน้ ักเรยี นสบื ค้นขอ้ มูลเก่ยี วกบั มวิ เทชนั ดังน้ี1. การสื่อสารสารสนเทศและการรเู้ ท่าทนั สื่อ 2.1 สาเหตขุ องการเกิดมวิ เทชัน ด้านทกั ษะ2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา 2.2 ลกั ษณะของการเกดิ มวิ เทชัน 1. การสงั เกต และการลงความเหน็ จากขอ้ มลู จากการ 2.3 ผลของการเกดิ มิวเทชันด้านจิตวิทยาศาสตร์ จากนั้นครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับสาเหตุของการเกิด สบื คน้ ขอ้ มูล การตอบคำ�ถาม และการอภิปราย1. ความอยากรูอ้ ยากเหน็ 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อจากการ2. การใช้วิจารณญาณ มิวเทชัน มิวเทชันที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงลำ�ดับนิวคลีโอไทด์ หรือ3. ความเชอ่ื ม่นั ต่อหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือจำ�นวนโครโมโซม ท่ีอาจส่งผลทำ�ให้ลักษณะ สบื ค้นขอ้ มลู และการน�ำ เสนอข้อมูล ของสิง่ มีชวี ิตเปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ ซง่ึ อาจมีทัง้ ผลดหี รือผลเสยี 3. การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา 3. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการนำ�หลักการของการเกิดมิวเทชันมา ประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสายพันธ์ุใหม่ ๆ ของสิ่งมีชีวิตเพื่อให้ได้ส่ิงมีชีวิต จากการน�ำ เสนอขอ้ มลู การอธบิ ายและการอภปิ ราย ทมี่ ลี กั ษณะทแี่ ตกตา่ งจากเดมิ โดยการใชร้ งั สี และสารเคมตี า่ ง ๆ พรอ้ มทงั้ ยกตวั อย่างสงิ่ มชี วี ิตนนั้  ๆ และนำ�เสนอขอ้ มลู ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ จากนน้ั ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายและสรปุ เกย่ี วกบั การน�ำ มวิ เทชนั มา ความอยากรู้อยากเห็น การใช้วิจารณญาณ และ ใช้ประโยชน์ ความเชอ่ื ม่ันตอ่ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ จากการตอบ ค�ำ ถาม และการอภปิ ราย

32 ตวั ช้วี ัด 5. สบื คน้ ขอ้ มูลและอภปิ รายผลของเทคโนโลยที างดีเอน็ เอท่มี ีต่อมนษุ ย์และสง่ิ แวดลอ้ มการวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยอาจน�ำ ภาพสงิ่ มชี วี ติ ดดั แปรพนั ธกุ รรมหรอื ผลติ ภณั ฑ์ ดา้ นความรู้ อาหารทม่ี กี ารตดิ ฉลากอาหารวา่ ใชส้ ง่ิ มชี วี ติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม เพอ่ื เชอ่ื มโยง ผลของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอท่ีมีต่อมนุษย์ 1. ความรเู้ กย่ี วกบั การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยที างดเี อน็ เอ และสิง่ แวดล้อม การนำ�เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอมาใช้ประโยชน์ โดยร่วมกันอภิปราย ในด้านการแพทย์และเภสัชกรรม ด้านการเกษตร จากตวั อย่างคำ�ถามดังนี้ดา้ นทกั ษะ และดา้ นนิตวิ ิทยาศาสตร์ จากการตอบค�ำ ถาม และทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ - นักเรียนรู้จกั ส่งิ มชี วี ติ ดดั แปรพันธกุ รรมหรอื ไม่ มีอะไรบ้าง การอภิปราย การท�ำ แบบฝึกหัดและแบบทดสอบ1. การสังเกต - ผลติ ภณั ฑอ์ าหารทม่ี กี ารตดิ ฉลากอาหารวา่ ใชส้ ง่ิ มชี วี ติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม 2. ความรเู้ กย่ี วกบั ความปลอดภยั ทางชวี ภาพ ชวี จรยิ ธรรม2. การลงความเห็นจากข้อมูล มีความแตกตา่ งจากผลิตภัณฑอ์ าหารทวั่  ๆ ไปหรือไม่ อย่างไร และผลกระทบตอ่ มนษุ ยแ์ ละสงิ่ แวดลอ้ มของการน�ำ3. การพยากรณ์ - การสรา้ งส่ิงมชี วี ติ ดดั แปรพนั ธกุ รรมมวี ิธกี ารอยา่ งไร เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอไปใช้ จากการตอบคำ�ถามทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 2. ใหน้ กั เรยี นท�ำ กจิ กรรมกลมุ่ เกย่ี วกบั การน�ำ ความรเู้ ทคโนโลยที างดเี อน็ เอมา การอภปิ ราย และการโต้วาทีในกิจกรรม1. การสอ่ื สารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทนั สื่อ ประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชน ์ โดยใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ สบื คน้ ขอ้ มลู และน�ำ เสนอในหวั ขอ้2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา ด้านทกั ษะ3. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ต่อไปนี ้ กลุ่มละ 1 หัวขอ้ 1. การสังเกต การลงความเห็นจากข้อมูล และการ 1) การประยกุ ต์ใชท้ างด้านการแพทย์และเภสชั กรรมด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ 2) การประยกุ ตใ์ ช้ทางด้านการเกษตร พยากรณ์ จากการตอบคำ�ถาม การอภิปราย และ1. ความอยากรอู้ ยากเหน็ 3) การประยกุ ต์ใช้ทางดา้ นนิติวิทยาศาสตร์ การโต้วาทใี นกจิ กรรม2. การใชว้ ิจารณญาณ 4) การประยุกต์ใช้ทางดา้ นอุตสาหกรรม 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือจากการ3. ความเช่ือม่ันต่อหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ 5) การประยกุ ตใ์ ช้ทางด้านสิ่งแวดลอ้ ม สบื คน้ ข้อมลู4. ความรอบคอบ 3. ครแู ละนักเรียนร่วมกันอภปิ รายในประเดน็ ต่างๆ ดังนี้ 3. การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา 5. ความซอ่ื สัตย์ 3.1 ผลของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอท่มี ีตอ่ มนษุ ยแ์ ละส่ิงแวดล้อม ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� 6. ความใจกว้าง 3.2 ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการนำ�เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอมาใช้ ในด้านต่างๆ จากการอธบิ าย อภิปราย และการทำ�กิจกรรมกลุ่ม เกี่ยวกับความปลอดภัยทางชีวภาพ ชีวจริยธรรม และผลกระทบ ทางด้านสังคม ด้านจติ วิทยาศาสตร์ 1. ความอยากรู้อยากเห็น การใช้วิจารณญาณ และ ความเชอ่ื ม่ันต่อหลักฐานเชิงประจกั ษ์ จากการตอบ ค�ำ ถาม และการอภิปราย 2. ความรอบคอบ ความซื่อสัตย์ และความใจกว้าง จากการท�ำ กจิ กรรมกลมุ่ และการโตว้ าทใี นกจิ กรรม

วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4ตัวชว้ี ัด 33 6. สบื ค้นข้อมูล อธิบาย และยกตวั อยา่ งความหลากหลายของสงิ่ มีชีวติ ซึ่งเปน็ ผลมาจากววิ ฒั นาการการวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นเรอ่ื งความหลากหลายทางชวี ภาพ โดยอาจน�ำ ภาพระบบ ด้านความรู้ นเิ วศแบบตา่ ง ๆ เพอื่ เช่ือมโยงเขา้ สูค่ วามหลากหลายของระบบนเิ วศ ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็นผล ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตซึ่ง มาจากววิ ฒั นาการ ภาพท่ี 1 เป็นผลมาจากวิวัฒนาการ จากการสืบค้นข้อมูลดา้ นทักษะ อภิปราย นำ�เสนอข้อมูล การทำ�แบบฝึกหัดและ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ แบบทดสอบ1. การสังเกต2. การลงความเหน็ จากข้อมูล ด้านทกั ษะ3. การจัดกระท�ำ และสื่อความหมายข้อมูล 1. การสงั เกต การลงความเหน็ จากขอ้ มลู การจดั กระท�ำทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 และสอ่ื ความหมายขอ้ มลู จากการศกึ ษาภาพ การท�ำ การสื่อสารสารสนเทศและการรเู้ ท่าทันสื่อ กจิ กรรม การอธิบายและอภปิ รายดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ1. ความอยากร้อู ยากเห็น2. การใช้วิจารณญาณ สบื ค้นข้อมูล และการนำ�เสนอข้อมูล ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ ความอยากรู้อยากเห็นและการใช้วิจารณญาณ จากการท�ำ กิจกรรมและการอภปิ ราย ภาพที ่ 2 จากนน้ั ใชต้ ัวอย่างค�ำ ถามดงั น้ี - จากภาพของระบบนิเวศที่แตกต่างกันจะพบชนิดและจำ�นวนของ ส่งิ มชี วี ิตแตกตา่ งกันหรอื ไม่ อยา่ งไร

34 แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ จากน้ันให้นักเรียนระบุชนิดของส่ิงมีชีวิตท่ีพบในระบบนิเวศแบบใดแบบ หนงึ่ เพือ่ เชื่อมโยงเขา้ สเู่ รอื่ งความหลากหลายของสปีชีส์ ครใู หค้ วามรเู้ พมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรมของสง่ิ มชี วี ติ โดยใช้ภาพเพื่ออธิบายว่าส่ิงมีชีวิตแต่ละสปีชีส์มีลักษณะท่ีปรากฏให้เห็น แตกตา่ งกนั 2. น�ำ ภาพหรอื วดี ทิ ศั นเ์ กย่ี วกบั ไดโนเสาร์ จระเข้ ไทรโลไบท์ และแมงดาทะเล มาให้นักเรยี นศกึ ษาและอภปิ รายรว่ มกัน โดยใช้ตวั อย่างคำ�ถามดงั น้ี ไดโนเสาร์ จระเข้

วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ 35การวเิ คราะหต์ วั ชี้วดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ชว้ี ัด ไทรโลไบท์ แมงดาทะเล - เพราะเหตุใดไดโนเสาร์จึงสูญพันธุ์ แต่จระเข้ยังไม่สูญพันธุ์ และ ในท�ำ นองเดยี วกนั เพราะเหตใุ ดไทรโลไบทจ์ งึ สญู พนั ธ์ุ แตแ่ มงดาทะเล จงึ ยงั ไมส่ ญู พนั ธ์ุ ครใู หค้ วามรเู้ พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั มวิ เทชนั และการสบื พนั ธ์ุ แบบอาศัยเพศ ทำ�ให้เกิดลักษณะที่แตกต่างกันในส่ิงมีชีวิต สิ่งมีชีวิต ท่ีมีลักษณะเหมาะสมต่อการดำ�รงชีวิตในสภาพแวดล้อมจะสามารถ อยู่รอดได้ในสภาพแวดลอ้ มน้ัน ๆ โดยผา่ นการคัดเลือกโดยธรรมชาติ 3. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลและยกตัวอย่างความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากวิวัฒนาการ ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเพื่อให้ได้ ข้อสรุปว่า การคัดเลือกโดยธรรมชาติเป็นกระบวนการสำ�คัญอย่างหนึ่ง ที่ทำ�ให้เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ซึ่งนำ�ไปสู่ความหลากหลายของ ส่ิงมีชีวิต

36 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ : เคมี : ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ (เคม)ีสาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 37มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหว่างสมบตั ขิ องสารกบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหน่ียวระหวา่ งอนุภาค หลกั และ ธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีตวั ชวี้ ดั 1. ระบุวา่ สารเป็นธาตุหรือสารประกอบ และอยู่ในรปู อะตอม โมเลกลุ หรือไอออน จากสูตรเคมีการวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยใช้คำ�ถามเพ่ือทบทวนความรู้เดิม เช่น ธาตุกับ ด้านความรู้ สารประกอบแตกตา่ งกันอยา่ งไร1. ธาตแุ ละสารประกอบ ธาตุ สารประกอบ อะตอม โมเลกุล และไอออน 2. อะตอม โมเลกุล และไอออน 2. ครูยกตัวอย่างสูตรเคมีที่เป็นองค์ประกอบของอากาศ หรือสูตรเคมีของ จากการท�ำ กจิ กรรม การอภปิ ราย การท�ำ แบบฝกึ หดั สารอื่นที่พบในชีวิตประจำ�วัน แต่ต้องเป็นธาตุและสารประกอบที่อยู่ และการทดสอบด้านทักษะ ในรูปอะตอมหรอื โมเลกุลทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. สุ่มนักเรียนเพื่อนำ�เสนอแนวคิดของการแบ่งกลุ่มธาตุและสารประกอบ ดา้ นทักษะ การจ�ำ แนกประเภท 1. การจ�ำ แนกประเภท จากการทำ�กจิ กรรมทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 แล้วอภิปรายร่วมกัน เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า จากสูตรเคมีของสาร สารท่ี 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ การสือ่ สารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทนั สอ่ื ประกอบดว้ ยธาตเุ พยี งชนดิ เดยี วจดั เปน็ ธาตุ ถา้ ประกอบดว้ ยธาตมุ ากกวา่ หน่งึ ชนดิ จดั เป็นสารประกอบ อภิปรายด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ 4. น�ำ ตวั อยา่ งสตู รเคมใี นขอ้ 2 ใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาวา่ สารใดเปน็ อะตอมและ ความใจกวา้ ง สารใดเป็นโมเลกุล เพื่อให้ได้ข้อสังเกตว่า ธาตุมีท้ังที่อยู่ในรูปอะตอมและ ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ โมเลกลุ ส่วนสารประกอบอยู่ในรูปโมเลกลุ ความใจกว้าง จากการสังเกตพฤติกรรมในการ 5. ใหค้ วามรู้เกยี่ วกบั สารประกอบท่ีประกอบด้วยไอออนต่างชนดิ รวมตวั กนั และไมอ่ ยใู่ นรปู โมเลกลุ เชน่ เกลอื แกงหรอื โซเดยี มคลอไรด์ ประกอบดว้ ย อภปิ ราย โซเดียมไอออน (Na+) กับคลอไรด์ไอออน (Cl-) รวมท้ังให้ข้อสังเกตการ เขยี นสตู รของไอออนวา่ จะเขยี นแสดงดว้ ยสญั ลกั ษณธ์ าตแุ ละจ�ำ นวนประจุ 6. ใหน้ กั เรยี นร่วมกันสรปุ บทเรียน แล้วทำ�แบบฝกึ หัดทบทวนความรู้

38 ตวั ช้ีวดั 2. เปรียบเทียบความเหมอื นและความแตกตา่ งของแบบจ�ำ ลองอะตอมของโบร์กับแบบจ�ำ ลองอะตอมแบบกลุ่มหมอกการวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยตั้งคำ�ถามทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับอะตอม เช่น ด้านความรู้ อะตอมมีรูปร่างอย่างไรประกอบด้วยอนุภาคใดบ้าง และอนุภาคภายใน แบบจำ�ลองอะตอมของโบร์และแบบจำ�ลอง อะตอมอย่กู ันอย่างไร แบบจ�ำ ลองอะตอมแบบโบรแ์ ละแบบจ�ำ ลองอะตอม อะตอมแบบกลุ่มหมอก แบบกลุ่มหมอก จากการอภิปราย และการทำ�แบบ 2. ให้ความรู้เกี่ยวกับอะตอมว่า อะตอมมีขนาดเล็ก ไม่สามารถมองเห็นด้วย ทดสอบด้านทักษะ ตาเปล่า การศึกษาเกี่ยวกับอะตอมจึงใช้แบบจำ�ลองอะตอมเป็นตัวแทนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือส่ือสารแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์ โดยแบบจำ�ลองอะตอมสามารถ ด้านทกั ษะ - ปรบั ปรุง เปลยี่ นแปลงได้ตามผลการทดลองทคี่ ้นพบใหม่ การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา 3. ให้นักเรยี นวาดรูปอะตอม พรอ้ มทงั้ แสดงต�ำ แหน่งของโปรตอน นวิ ตรอน จากการเปรยี บเทยี บความเหมอื นและความแตกตา่ ง อิเลก็ ตรอน ทั้งนคี้ รอู าจทบทวนเร่อื งชนิดประจขุ องอนภุ าคเหล่านดี้ ว้ ย ของแบบจำ�ลองอะตอมของโบร์และแบบจำ�ลองด้านจิตวทิ ยาศาสตร์1. ความใจกว้าง 4. ตั้งคำ�ถามให้อภิปรายร่วมกันว่า อิเล็กตรอนเคลื่อนที่รอบนิวเคลียส อะตอมแบบกลมุ่ หมอก2. การใชว้ จิ ารณญาณ ในลกั ษณะใด เพอ่ื น�ำ ไปสกู่ ารใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั แบบจ�ำ ลองอะตอมของโบร์ 5. ใหน้ กั เรยี นท�ำ กจิ กรรมสงั เกตต�ำ แหนง่ ของวตั ถขุ ณะเคลอ่ื นทอ่ี ยา่ งรวดเรว็ ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ความใจกวา้ งและการใชว้ จิ ารณญาณ จากการสงั เกต เชน่ ใบพดั ของพดั ลมขณะหมนุ ปลายดนิ สอหรอื ปากกาขณะแกวง่ ซง่ึ ควร ไดข้ อ้ สงั เกตวา่ ขณะวตั ถเุ คลอ่ื นทอี่ ยา่ งรวดเรว็ จะไมส่ ามารถบอกต�ำ แหนง่ พฤติกรรมในการอภิปราย ที่แน่นอนของวัตถุนั้น ๆ ได้คล้ายกับการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน ในอะตอม 6. ใหค้ วามรู้วา่ อเิ ล็กตรอนมีขนาดเล็ก และเคลอ่ื นท่อี ย่างรวดเรว็ ตลอดเวลา ไม่สามารถระบุตำ�แหน่งของอิเล็กตรอนท่ีแน่นอนได้ แบบจำ�ลองอะตอม แบบกลุ่มหมอกจึงแสดงโอกาสท่ีจะพบอิเล็กตรอนในลักษณะกลุ่มหมอก โดยบริเวณที่เป็นกลุ่มหมอกทึบ มีโอกาสพบอิเล็กตรอนมากกว่าบริเวณ กลมุ่ หมอกจาง 7. ให้นักเรียนพิจารณารูปภาพแบบจำ�ลองอะตอมของโบร์กับแบบจำ�ลอง อะตอมแบบกลมุ่ หมอก แลว้ รว่ มกนั อภปิ รายเพอื่ เปรยี บเทยี บความเหมอื น และความแตกต่างของแบบจำ�ลองอะตอมทั้งสอง เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า แบบจำ�ลองอะตอมท้ังสองมีความเหมือนกันคือ อะตอมประกอบด้วย

วิทยาศาสตร์กายภาพ (เคม)ี ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 5 39การวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ โปรตอน นวิ ตรอน และอเิ ลก็ ตรอน โดยต�ำ แหนง่ ของโปรตอนและนวิ ตรอน เหมอื นกนั คอื อยใู่ นนวิ เคลยี ส สว่ นต�ำ แหนง่ ของอเิ ลก็ ตรอนในแบบจ�ำ ลอง อะตอมทง้ั สองแตกตา่ งกนั คอื แบบจ�ำ ลองอะตอมของโบรแ์ สดงการเคลอ่ื นท่ี ของอเิ ลก็ ตรอนรอบนวิ เคลยี สเปน็ วง แตแ่ บบจ�ำ ลองอะตอมแบบกลมุ่ หมอก แสดงโอกาสทจ่ี ะพบอเิ ลก็ ตรอนรอบนิวเคลยี สในลักษณะกล่มุ หมอก 8. ใหน้ กั เรยี นร่วมกนั สรุปบทเรียน แล้วทำ�แบบฝึกหัดทบทวนความรู้

40 ตวั ช้ีวัด 3. ระบจุ �ำ นวนโปรตอน นิวตรอน และอเิ ลก็ ตรอนของอะตอมและไอออนทเ่ี กดิ จากอะตอมเดียวการวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยทบทวนความรู้เกี่ยวกับชนิดและประจุของอนุภาค ด้านความรู้ ในอะตอม จ�ำ นวนโปรตอน นวิ ตรอน และอเิ ลก็ ตรอนของอะตอม จ�ำ นวนโปรตอน นวิ ตรอน และอเิ ลก็ ตรอนของ และไอออนที่เกิดจากอะตอมเดียว จากการทำ� อะตอมและไอออนทีเ่ กิดจากอะตอมเดียว 2. ต้ังคำ�ถามว่า การท่ีอนุภาคต่าง ๆ ภายในอะตอมมีประจุ จะทำ�ให้อะตอม แบบฝึกหัด และการทดสอบ ของธาตุจะมีประจหุ รือไม่ อย่างไรด้านทกั ษะ ด้านทักษะทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. ใหน้ กั เรยี นวเิ คราะหข์ อ้ มลู จ�ำ นวนโปรตอน นวิ ตรอน และอเิ ลก็ ตรอนของ การใช้จำ�นวน จากการทำ�แบบฝึกหดั การใชจ้ ำ�นวน อะตอมของธาตุบางชนิด เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า อะตอมของธาตุเป็นกลางทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ทางไฟฟา้ เนอื่ งจากมจี �ำ นวนอเิ ลก็ ตรอนซงึ่ มปี ระจลุ บ กบั จ�ำ นวนโปรตอน ด้านจติ วิทยาศาสตร์ - ท่ีมปี ระจุบวกเท่ากัน ความรอบคอบ จากการทำ�แบบฝกึ หัดด้านจิตวิทยาศาสตร์ 4. ตั้งคำ�ถามว่า ในกรณีที่อะตอมของธาตุมีจำ�นวนโปรตอนและอิเล็กตรอน ความรอบคอบ ไม่เทา่ กัน จะเกดิ การเปล่ยี นแปลงอยา่ งไร 5. ใหน้ กั เรยี นเปรยี บเทยี บจ�ำ นวนโปรตอนและจ�ำ นวนอเิ ลก็ ตรอนของอะตอม ของธาตุกับไอออนของธาตุน้ัน เช่น อะตอมโซเดียม (Na) กับโซเดียม ไอออน (Na+) อะตอมคลอรีน (Cl) กับคลอไรด์ไอออน (Cl-) ซึ่งควรได้ ขอ้ สรปุ วา่ Na มจี �ำ นวนอเิ ลก็ ตรอนและโปรตอนเทา่ กนั แต่ Na+ มจี �ำ นวน อิเล็กตรอนน้อยกว่าโปรตอนอยู่หน่ึง ทำ�นองเดียวกันกับ Cl มีจำ�นวน อิเล็กตรอนและโปรตอนเท่ากัน แต่ Cl- มีจำ�นวนอิเล็กตรอนมากกว่า โปรตอนอยูห่ นึ่ง 6. ยกตัวอย่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับอะตอมและไอออนของธาตุนั้น เช่น Mg กบั Mg2+ S กบั S2- และอภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ เกยี่ วกบั จ�ำ นวน โปรตอนและอิเลก็ ตรอนของไอออนบวกและไอออนลบ 7. ให้นักเรยี นรว่ มกนั สรปุ บทเรยี น แลว้ ทำ�แบบฝกึ หดั ทบทวนความรู้

วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (เคม)ี ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 5ตัวชี้วัด 41 4. เขยี นสัญลกั ษณ์นิวเคลยี ร์ของธาตแุ ละระบุการเปน็ ไอโซโทปการวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใชค้ �ำ ถามวา่ ถา้ อะตอมของธาตชุ นดิ หนง่ึ มี 15 โปรตอน ด้านความรู้ นกั เรยี นจะสามารถระบจุ �ำ นวนอเิ ลก็ ตรอนและจ�ำ นวนนวิ ตรอนของธาตนุ น้ั1. สญั ลกั ษณน์ ิวเคลียร์ ไดห้ รือไม่ อย่างไร สญั ลกั ษณน์ วิ เคลยี ร์ และไอโซโทป จากการอภปิ ราย 2. ไอโซโทป 2. เขียนตัวอย่างสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุ แล้วนำ�เข้าสู่การอภิปราย การทำ�แบบฝึกหัด และการทดสอบด้านทกั ษะ เก่ียวกับองค์ประกอบของสัญลักษณ์นิวเคลียร์ และวิธีเขียนสัญลักษณ์ ด้านทักษะทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ นิวเคลยี ร์ 1. ทกั ษะการใช้จำ�นวน จากการท�ำ แบบฝึกหัด1. การใชจ้ ำ�นวน 3. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ความหมายของเลขอะตอม เลขมวล รวมทง้ั ใหค้ วามรวู้ า่ 2. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ จากการ2. การตีความหมายขอ้ มลู และลงข้อสรปุ สามารถระบุจ�ำ นวนอนภุ าคในอะตอมจากสัญลักษณน์ วิ เคลยี รไ์ ด้ ท�ำ แบบฝึกหดัทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 4. ให้นักเรียนฝึกเขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุเม่ือกำ�หนดเลขอะตอม 3. ทักษะการส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ การสอื่ สารสารสนเทศและการรู้เท่าทนั สอ่ื เลขมวล หรือจำ�นวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน ในทางกลับกัน อาจให้ระบุเลขอะตอม เลขมวล หรือจำ�นวนโปรตอน นิวตรอน และ จากการอภปิ รายด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ อเิ ล็กตรอนจากสัญลักษณ์นวิ เคลยี รข์ องธาตุทก่ี ำ�หนดให้ ความใจกวา้ ง 5. ยกตัวอย่างสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุหลาย ๆ ชนิด โดยตัวอย่างอาจมี ด้านจิตวิทยาศาสตร์ ทงั้ ธาตชุ นดิ เดยี วกนั ทม่ี เี ลขมวลไมเ่ ทา่ กนั และธาตตุ า่ งชนดิ กนั ทมี่ เี ลขมวล ความใจกว้าง จากการสังเกตพฤติกรรมในการ เท่ากนั 6. ใหน้ กั เรยี นวเิ คราะหส์ ญั ลกั ษณน์ วิ เคลยี รใ์ นขอ้ 5 และอภปิ รายรว่ มกนั เพอื่ อภิปราย ให้ไดข้ ้อสรุปวา่ เลขอะตอมสามารถใชบ้ ง่ บอกชนดิ ของธาตไุ ด้ 7. น�ำ ตวั อยา่ งสญั ลกั ษณน์ วิ เคลยี รข์ องธาตทุ เี่ ปน็ ไอโซโทปกนั หลาย ๆ คู่ แลว้ ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันว่า ธาตุที่เป็นไอโซโทปกัน มีองค์ประกอบใด ของสญั ลกั ษณน์ วิ เคลยี รแ์ ตกตา่ งกนั และมจี �ำ นวนอนภุ าคชนดิ ใดไมเ่ ทา่ กนั ซงึ่ ควรไดข้ อ้ สรปุ วา่ ธาตทุ เี่ ปน็ ไอโซโทปกนั มเี ลขมวลและจ�ำ นวนนวิ ตรอน แตกต่างกัน 8. ใหน้ ักเรียนร่วมกนั สรุปบทเรยี น แลว้ ทำ�แบบฝึกหัดทบทวนความรู้

42 ตัวช้วี ดั 5. ระบุหมูแ่ ละคาบของธาตุ และระบวุ า่ ธาตเุ ป็นโลหะ อโลหะ ก่งึ โลหะ กลุ่มธาตุเรพรเี ซนเททีฟ หรือกลมุ่ ธาตแุ ทรนซิชัน จากตารางธาตุการวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั ยกตวั อยา่ งชอ่ื ธาตทุ ค่ี นุ้ เคย และอาจ ด้านความรู้ ตง้ั ค�ำ ถามเพอ่ื การอภปิ รายวา่ ปจั จบุ นั มธี าตมุ ากนอ้ ยเพยี งใด นกั วทิ ยาศาสตร์ การจดั ธาตใุ นตารางธาตุ และต�ำ แหนง่ ของธาตโุ ลหะ1. การจัดธาตุในตารางธาตุ2. ตำ�แหน่งของธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ใชว้ ธิ กี ารใดเพอ่ื ใหง้ า่ ยตอ่ การศกึ ษาหรอื จดจ�ำ ธาตทุ ค่ี น้ พบเหลา่ นน้ั อโลหะ กึ่งโลหะ กลุ่มธาตุเรพรีเซนเททีฟ และ กลุ่มธาตุเรพรีเซนเททีฟ และแทรนซิชัน 2. ใหค้ วามรวู้ า่ ในปจั จบุ นั นกั วทิ ยาศาสตรค์ น้ พบธาตแุ ละศกึ ษาสมบตั ขิ องธาตุ แทรนซิชัน ในตารางธาตุ จากการอภิปราย การทำ� ในตารางธาตุ ได้แล้วเป็นจำ�นวนมาก รวมท้งั ได้มีการจัดหมวดหม่ขู องธาตุในแบบต่าง ๆ แบบฝกึ หดั และการทดสอบดา้ นทักษะ จนไดเ้ ปน็ ตารางธาตใุ นปจั จบุ นัทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. ใหน้ กั เรยี นศกึ ษาตารางธาตุ แลว้ อภปิ รายรว่ มกนั วา่ พบขอ้ มลู ในเรอ่ื งใดบา้ ง ดา้ นทกั ษะ การจ�ำ แนกประเภท การจดั เรยี งธาตเุ ปน็ อยา่ งไร ซง่ึ ควรไดข้ อ้ สงั เกตวา่ ตารางธาตจุ ดั เรยี งธาตุ ทักษะการจ�ำ แนกประเภท จากการทำ�แบบฝกึ หดัทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ตามเลขอะตอม โดยแถวในแนวตง้ั เรยี กวา่ หมู่ และแถวในแนวนอนเรยี กวา่ - คาบ ด้านจิตวิทยาศาสตร์ 4. นำ�อภิปรายการแบ่งธาตุตามสมบัติของธาตุ โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่ม -ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ ธาตโุ ลหะ อโลหะ และกง่ึ โลหะ หรอื แบง่ เปน็ กลมุ่ ธาตเุ รพรเี ซนเททฟี และ - กลมุ่ ธาตแุ ทรนซชิ นั 5. ให้นักเรียนฝึกระบุหมู่และคาบของธาตุในตารางธาตุ โดยให้ทำ�กิจกรรม แขง่ ขนั เปน็ แบบทมี หรอื รายบคุ คล เชน่ บอกสญั ลกั ษณธ์ าตแุ ลว้ ใหน้ กั เรยี น ระบหุ มแู่ ละคาบ บอกหมแู่ ละคาบของธาตแุ ลว้ ใหน้ กั เรยี นคน้ หาวา่ คอื ธาตใุ ด 6. ใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาตารางธาตุ และยกตวั อยา่ งธาตทุ อ่ี ยใู่ นกลมุ่ โลหะ กง่ึ โลหะ และอโลหะ กลุ่มละหลาย ๆ ธาตุ จากนั้นช่วยกันทำ�นายว่า ธาตุตัวอย่าง เหล่านั้นเป็นธาตุเรพรีเซนเททีฟ หรือธาตุแทรนซิชัน แล้วอภิปรายให้ได้ ขอ้ สรุปว่า ธาตใุ นกลุ่มโลหะมที ง้ั ที่เป็นธาตเุ รพรีเซนเททีฟและแทรนซิชนั ส่วนกง่ึ โลหะและอโลหะเปน็ ธาตุเรพรีเซนเททีฟทงั้ หมด 7. ใหน้ ักเรยี นร่วมกันสรปุ บทเรยี น แล้วทำ�แบบฝกึ หดั ทบทวนความรู้

วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (เคมี) ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 5ตวั ชีว้ ัด 43 6. เปรยี บเทียบสมบัติการน�ำ ไฟฟา้ การให้และรบั อิเล็กตรอนระหว่างธาตุในกลมุ่ โลหะกบั อโลหะการวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยทบทวนความรู้เกี่ยวกับตำ�แหน่งของกลุ่มธาตุโลหะ ด้านความรู้ การน�ำ ไฟฟา้ การใหแ้ ละรบั อเิ ลก็ ตรอนระหวา่ ง และอโลหะในตารางธาตุ การน�ำ ไฟฟา้ การให้และรับอเิ ล็กตรอนระหว่างธาตุ ธาตุในกลุม่ โลหะและอโลหะ 2. ให้นักเรียนศึกษาและเปรียบเทียบข้อมูลสมบัติของธาตุในกลุ่มโลหะกับ ในกลุ่มโลหะและอโลหะ จากการอภิปราย การทำ�ด้านทกั ษะ อโลหะ เช่น การนำ�ความร้อน การนำ�ไฟฟ้า จุดหลอมเหลวและจุดเดือด แบบฝกึ หดั และการทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การตคี วามหมายข้อมูลและลงข้อสรุป เพอ่ื รว่ มกนั สรปุ ใหไ้ ดว้ า่ โลหะน�ำ ความรอ้ นและน�ำ ไฟฟา้ ไดด้ ี มจี ดุ หลอมเหลว ด้านทักษะทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 และจดุ เดอื ดสงู อโลหะสว่ นใหญไ่ มน่ �ำ ไฟฟา้ มจี ดุ หลอมเหลวและจดุ เดอื ดต�ำ่ การตคี วามหมายและลงขอ้ สรปุ จากการอภปิ ราย - 3. ให้ชุดข้อมูลที่ประกอบด้วยไอออนของธาตุหลายชนิด โดยให้มีท้ังไอออน ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ บวกและไอออนลบคละกนั เชน่ Na+ K+ Fe3+ Zn2+ Ca2+ Pb2+ Cl- F- S2- O2- การใช้วิจารณญาณ จากการสังเกตพฤติกรรมใน การใชว้ จิ ารณญาณ แล้วให้นักเรียนวิเคราะห์และจัดกลุ่มตัวอย่างไอออนว่า เกิดจากธาตุที่อยู่ ในกลุ่มโลหะหรืออโลหะ และธาตุในแต่ละกลุ่มมีแนวโน้มการเกิดเป็น การอภปิ ราย ไอออนอย่างไร แล้วนำ�ผลมาอภิปรายร่วมกันเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า ธาตุใน กลมุ่ โลหะสว่ นใหญม่ แี นวโนม้ ใหอ้ เิ ลก็ ตรอนแลว้ เกดิ เปน็ ไอออนบวก สว่ นธาตุ ในกลุ่มอโลหะมีแนวโน้มรบั อเิ ล็กตรอนแลว้ เกดิ เป็นไอออนลบ 4. ใหน้ ักเรยี นรว่ มกันสรปุ บทเรยี น แลว้ ทำ�แบบฝกึ หัดทบทวนความรู้

44 ตวั ช้ีวัด 7. สบื คน้ ข้อมลู และน�ำ เสนอตวั อยา่ งประโยชน์และอนั ตรายทีเ่ กิดจากธาตเุ รพรเี ซนเททฟี และธาตุแทรนซชิ นัการวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยยกตวั อยา่ งประโยชนแ์ ละอนั ตรายของธาตเุ รพรเี ซน- ด้านความรู้ เททฟี และธาตุแทรนซิชัน 1 – 2 ตวั อยา่ ง ประโยชนแ์ ละอนั ตรายทเ่ี กดิ จากธาตเุ รพรเี ซน- ประโยชนแ์ ละอนั ตรายทเ่ี กดิ จากธาตเุ รพรเี ซนเททฟี เททีฟ และธาตุแทรนซิชัน 2. ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ เลอื กธาตเุ รพรเี ซนเททฟี และธาตแุ ทรนซชิ นั ทส่ี นใจ และธาตุแทรนซิชันจากผลการสืบค้นข้อมูล และ แลว้ สืบคน้ ข้อมูลประโยชนแ์ ละอนั ตรายของธาตนุ นั้ด้านทักษะ การอภปิ รายทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. นำ�เสนอผลการสืบคน้ และอภปิ รายร่วมกัน - ดา้ นทักษะทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากผล การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั ส่อื การสืบคน้ ข้อมูลและการน�ำ เสนอด้านจิตวทิ ยาศาสตร์1. ความใจกว้าง ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์2. การใชว้ จิ ารณญาณ 1. ความใจกวา้ งและการใชว้ จิ ารณญาณ จากการสงั เกต3. การเหน็ คณุ ค่าทางวิทยาศาสตร์ พฤตกิ รรมในการอภปิ ราย 2. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ จากผลการสืบค้น ข้อมูล

วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ (เคม)ี ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5ตวั ช้วี ัด 45 8. ระบวุ ่าพนั ธะโคเวเลนตเ์ ป็นพนั ธะเด่ยี ว พนั ธะคู่ หรือพันธะสาม และระบุจำ�นวนคู่อเิ ลก็ ตรอนระหว่างอะตอมคูร่ ว่ มพันธะ จากสตู รโครงสร้างการวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เขา้ สู่บทเรยี นโดยยกตัวอยา่ งสตู รโมเลกลุ ของนำ�้ หรอื สตู รโมเลกลุ ของ ด้านความรู้ สารโคเวเลนต์ที่นักเรียนเคยเรียนรู้มาแล้ว หรือจากสื่อต่าง ๆ จากนั้น พันธะโคเวเลนต์ สูตรโมเลกุล และสูตรโครงสร้าง 1. พนั ธะโคเวเลนต์2. สตู รโมเลกลุ และสตู รโครงสรา้ ง ใชค้ ำ�ถามเพอ่ื การอภิปรายว่า สตู รเคมีบอกใหท้ ราบอะไรบา้ ง จากการอภปิ ราย การท�ำ แบบฝกึ หดั และการทดสอบ 2. ให้นักเรียนระบุชื่อธาตุ และจำ�นวนของแต่ละธาตุที่เป็นองค์ประกอบด้านทกั ษะ ในสูตรโมเลกุลของสารท่ียกตัวอย่าง จากนั้นร่วมกันสรุปความหมายของ ด้านทกั ษะทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การลงความเห็นข้อมูลและการสื่อสารสารสนเทศ การลงความเหน็ จากขอ้ มูล สูตรโมเลกุล ซ่ึงเป็นสูตรท่ีบอกให้ทราบชนิด และจำ�นวนของธาตุองค์ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ประกอบในโมเลกลุ ของสารนน้ั  ๆ และการรู้เทา่ ทนั สอื่ จากการอภิปราย การส่อื สารสารสนเทศและการรเู้ ท่าทนั สือ่ 3. ตง้ั ค�ำ ถามวา่ สตู รโมเลกลุ บอกใหท้ ราบหรอื ไมว่ า่ อะตอมคใู่ ดยดึ เหนยี่ วกนั จากนน้ั แสดงสตู รโครงสรา้ งของน�้ำ หรอื สารโคเวเลนตท์ ย่ี กตวั อยา่ งไวค้ กู่ นั ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ แล้วให้นักเรียนอภิปรายเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง ความใจกวา้ ง จากการสงั เกตพฤตกิ รรมในการอภปิ ราย ความใจกวา้ ง ระหวา่ งสตู รโมเลกลุ กบั สูตรโครงสร้างของสารชนดิ เดียวกนั 4. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั การสรา้ งพนั ธะโคเวเลนต์ แลว้ อธบิ ายเชอื่ มโยงการเขยี น เสน้ พนั ธะในสตู รโครงสรา้ งกบั จ�ำ นวนเวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนทค่ี อู่ ะตอมใชร้ ว่ มกนั 5. ยกตวั อยา่ งสตู รโครงสรา้ งของสารอนื่  ๆ เพม่ิ เตมิ โดยใหม้ ตี วั อยา่ งครบทงั้ พนั ธะเดีย่ ว พนั ธะคู่ และพนั ธะสาม 6. ให้นกั เรียนร่วมกันสรุปบทเรยี น แลว้ ทำ�แบบฝกึ หัดทบทวนความรู้

46 ตัวชวี้ ดั 9. ระบสุ ภาพข้วั ของสารที่โมเลกลุ ประกอบดว้ ย 2 อะตอม 10. ระบุสารท่เี กิดพนั ธะไฮโดรเจนไดจ้ ากสตู รโครงสรา้ ง 11. อธบิ ายความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งจดุ เดือดของสารโคเวเลนต์กับแรงดงึ ดูดระหว่างโมเลกลุ ตามสภาพขัว้ หรอื การเกดิ พันธะไฮโดรเจนการวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยใช้คำ�ถามทบทวนความรู้เดิมว่า สารเปลี่ยนสถานะ ดา้ นความรู้ จากของเหลวไปเปน็ แกส๊ ไดอ้ ยา่ งไร เพอ่ื ใหไ้ ดค้ �ำ ตอบวา่ สารเปลย่ี นสถานะ1. แรงดึงดดู ระหว่างโมเลกุล เมอ่ื ไดร้ บั พลงั งานความรอ้ นมากพอทจี่ ะท�ำ ลายแรงดงึ ดดู ระหวา่ งโมเลกลุ แรงดงึ ดดู ระหวา่ งโมเลกลุ สารมขี ว้ั สารไมม่ ขี ว้ั และ2. สารมขี วั้ และสารไม่มขี ้วั ของสาร พนั ธะไฮโดรเจน จากการอภปิ ราย การท�ำ แบบฝกึ หดั3. พนั ธะไฮโดรเจน และการทดสอบ 2. ตงั้ ค�ำ ถามวา่ สารแตล่ ะชนดิ จะใชพ้ ลงั งานความรอ้ นในการเปลย่ี นสถานะดา้ นทกั ษะ จากของเหลวไปเปน็ แกส๊ เทา่ กนั หรอื ไม่ ทราบไดอ้ ยา่ งไร จากนน้ั ใหอ้ ภปิ ราย ดา้ นทักษะทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ร่วมกันเพื่อเชื่อมโยงการเปลี่ยนสถานะของสารจากของเหลวไปเป็นแก๊ส การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ -ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 กับจุดเดือดของสาร และควรได้ข้อสรุปว่า สารแต่ละชนิดมีจุดเดือด อภิปราย การส่อื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั ส่ือ แตกตา่ งกนั แสดงวา่ ตอ้ งใชพ้ ลงั งานความรอ้ นในการเปลย่ี นสถานะไมเ่ ทา่ กนั ดังนั้นแรงดึงดดู ระหวา่ งโมเลกลุ ของสารจึงไมเ่ ท่ากัน ด้านจติ วิทยาศาสตร์ด้านจติ วิทยาศาสตร์ 3. แสดงสตู รโครงสร้างของสารโคเวเลนตบ์ างชนดิ ทีโ่ มเลกลุ ประกอบด้วย 2 ความใจกว้าง จากการสังเกตพฤติกรรมในการ ความใจกวา้ ง อะตอมเหมอื นกนั และแตกตา่ งกนั เชน่ N2 กบั NO แลว้ ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั อภปิ ราย สภาพขั้วของสารทั้งสอง และผลของสภาพขั้วที่มีต่อแรงดึงดูดระหว่าง โมเลกุลของสาร 4. อธบิ ายสภาพขวั้ ของสารทโี่ มเลกลุ ประกอบดว้ ยอะตอมมากกวา่ 2 อะตอม ข้ึนไปท้งั สารท่ีเปน็ โมเลกุลมีข้วั และไม่มขี ้วั 5. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั สารโคเวเลนตบ์ างชนดิ ทภ่ี ายในโมเลกลุ มพี นั ธะไฮโดรเจน 6. ใหน้ กั เรยี นฝกึ การระบสุ ภาพขวั้ ของสารทโ่ี มเลกลุ ประกอบดว้ ย 2 อะตอม และระบสุ ารทเ่ี กดิ พนั ธะไฮโดรเจนจากตวั อยา่ งทก่ี �ำ หนดให้ จากนน้ั ตรวจสอบ ความถกู ตอ้ งและอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ในกรณที น่ี กั เรยี นมคี วามเขา้ ใจทค่ี ลาดเคลอ่ื น 7. อภิปรายร่วมกันเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า สารโคเวเลนต์ที่มีแรงดึงดูดระหว่าง โมเลกลุ สงู อาจเปน็ ผลมาจากสภาพขว้ั ของสาร หรอื พนั ธะไฮโดรเจน จะมี จุดเดือดสูงกวา่ สารโคเวเลนต์ที่มีแรงดึงดดู ระหวา่ งโมเลกลุ นอ้ ยกว่า 8. ให้นกั เรยี นร่วมกนั สรุปบทเรียน แลว้ ทำ�แบบฝกึ หดั ทบทวนความรู้

วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (เคม)ี ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 5ตวั ช้วี ัด 47 12. เขียนสตู รเคมีของไอออนและสารประกอบไอออนิกการวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยทบทวนการเกดิ พนั ธะโคเวเลนต์ และการเกดิ ไอออน ด้านความรู้ จากนนั้ ตง้ั ค�ำ ถามวา่ สารประกอบเกดิ จากการรวมตวั ของไอออนไดห้ รอื ไม่ พนั ธะไอออนกิ และสตู รเอมพริ คิ ลั จากการอภปิ ราย1. พันธะไอออนิก อยา่ งไร2. สูตรเอมพริ คิ ลั การท�ำ แบบฝกึ หัด และการทดสอบ 2. อภปิ รายรว่ มกนั เกยี่ วกบั การเกดิ พนั ธะไอออนกิ ซงึ่ เปน็ แรงดงึ ดดู ทางไฟฟา้ดา้ นทักษะ ระหวา่ งไอออนบวกและไอออนลบ ด้านทกั ษะทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การลงความเห็นข้อมูลและการสื่อสารสารสนเทศ การลงความเห็นจากข้อมลู 3. ยกตัวอย่างสารประกอบไอออนิกท่ีพบในชีวิตประจำ�วัน เช่น เกลือแกงทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 หรือโซเดียมคลอไรด์ และสารอนื่  ๆ แล้วใหน้ กั เรยี นระบุไอออนท่เี ป็นองค์ และการรเู้ ทา่ ทันสื่อ จากการอภปิ ราย การสอ่ื สารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทนั สือ่ ประกอบในสารทีย่ กตัวอยา่ งเหลา่ นั้น ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ 4. นำ�ภาพการจัดเรียงไอออนในผลึกของโซเดียมคลอไรด์ แล้วให้นักเรียน ความใจกว้าง จากการสังเกตพฤติกรรมในการ ความใจกวา้ ง พิจารณาและอภิปรายเก่ียวกับจำ�นวนของไอออนบวกและไอออนลบ อัตราส่วนการรวมตัวระหว่างไอออนบวกต่อไอออนลบ เพ่ือเช่ือมโยงสู่ อภปิ ราย การอธิบายเกย่ี วกับสูตรเอมพริ คิ ลั ของสารประกอบไอออนิก 5. ให้นักเรียนเขียนสูตรเอมพิริคัลของสารประกอบ ไอออนิกจากไอออน ที่กำ�หนดให้ จากนั้นตรวจสอบความถูกต้องและอธิบายเพิ่มเติมในกรณี ท่ีนกั เรียนมคี วามเข้าใจท่ีคลาดเคล่อื น 6. อภปิ รายเกย่ี วกบั จดุ หลอมเหลวของสารประกอบ ไอออนกิ โดยเปรยี บเทยี บ กบั จุดหลอมเหลวของสารโคเวเลนต์ 7. ให้นกั เรียนรว่ มกนั สรปุ บทเรียน แล้วท�ำ แบบฝกึ หดั ทบทวนความรู้

48 ตัวชว้ี ัด 13. ระบวุ ่าสารเกดิ การละลายแบบแตกตวั หรือไมแ่ ตกตัว พร้อมใหเ้ หตผุ ล และระบวุ ่าสารละลายทไี่ ด้เปน็ สารละลายอิเลก็ โทรไลต์ หรือนอนอิเลก็ โทรไลต์ การวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยทบทวนความรเู้ กยี่ วกบั ลกั ษณะและองคป์ ระกอบของ ดา้ นความรู้ สารละลาย1. การละลายน�้ำ แบบแตกตวั และการละลายน�้ำ การละลายน้ำ�แบบแตกตัว การละลายน้ำ�แบบ แบบไมแ่ ตกตวั 2. ให้นักเรียนพิจารณาภาพหรือส่ือประกอบเก่ียวกับการละลายนำ้�ของ ไม่แตกตัว สารละลายอิเล็กโทรไลต์ และสารละลาย เกลอื แกงและกลโู คส แลว้ อภปิ รายรว่ มกนั จนไดข้ ้อสรุปว่า การละลายน้ำ�2. สารละลายอเิ ลก็ โทรไลตแ์ ละสารละลายนอน ของสารทั้งสองประเภท เกิดการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกัน โดยอาจเกิด นอนอเิ ลก็ โทรไลต์ จากการอภปิ ราย การท�ำ แบบฝกึ หดั อิเล็กโทรไลต์ และการทดสอบ การละลายแบบแตกตวั หรอื การละลายแบบไมแ่ ตกตัวดา้ นทกั ษะ 3. ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั การละลายน�้ำ ของสารประเภทตา่ ง ๆ โดยการละลายน�้ำ ดา้ นทกั ษะทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1. การจำ�แนกประเภท จากการอภิปราย การทำ�แบบ1. การการจำ�แนกประเภท แบบแตกตัวเกิดข้ึนกับสารบางประเภท เช่น สารประกอบไอออนิก สาร2. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู โคเวเลนตท์ ม่ี สี มบตั เิ ปน็ กรด-เบส สว่ นการละลายน�ำ้ แบบไมแ่ ตกตวั เกดิ ขน้ึ ฝึกหดัทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 กบั สารโคเวเลนตท์ มี่ โี มเลกลุ ขนาดเลก็ รวมทงั้ สารโคเวเลนตท์ สี่ ามารถเกดิ 2. การลงความเห็นข้อมูล และการสื่อสารสารสนเทศ การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทันส่อื พนั ธะไฮโดรเจนกบั น้�ำ ได้ และการรู้เทา่ ทนั สื่อ จากการอภปิ รายดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ 4. อภิปรายร่วมกันเก่ียวกับสมบัติของสารละลายที่เกิดจากการละลายแบบ ความใจกว้าง ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ แตกตวั และไมแ่ ตกตวั พรอ้ มทงั้ ใหค้ �ำ จ�ำ กดั ความของสารละลายอเิ ลก็ โทร ความใจกว้าง จากการสังเกตพฤติกรรมในการ ไลต์และสารละลายนอนอิเลก็ โทรไลต์ 5. ใหน้ ักเรยี นร่วมกันสรุปบทเรยี น แล้วทำ�แบบฝกึ หัดทบทวนความรู้ อภปิ ราย

วิทยาศาสตรก์ ายภาพ (เคม)ี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5ตัวชว้ี ัด 49 14. ระบุสารประกอบอินทรีย์ประเภทไฮโดรคาร์บอนว่าอ่มิ ตัวหรือไม่อมิ่ ตัวจากสูตรโครงสรา้ งการวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใหร้ ว่ มกนั ยกตวั อยา่ งชอ่ื สารเคมที พ่ี บในแหลง่ ตา่ ง ๆ ด้านความรู้ เชน่ อาหาร อากาศ ยา หรือสารเคมที ่มี สี มบตั เิ ป็นกรด-เบส1. สารประกอบอนิ ทรยี ์และอนนิ ทรยี ์ สารประกอบอินทรีย์และอนินทรีย์ สารประกอบ2. สารประกอบไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวและ 2. ใหค้ วามรู้เกยี่ วกบั ความหมายของสารประกอบอนิ ทรยี ์และสารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อนอมิ่ ตวั และไมอ่ ม่ิ ตวั จากการอภปิ ราย ไมอ่ ่ิมตัว อนินทรีย์ แล้วให้จัดประเภทของสารตัวอย่างในข้อ 1 ว่า สารใดเป็น การท�ำ แบบฝกึ หดั และการทดสอบดา้ นทักษะ สารประกอบอินทรีย์ สารใดเปน็ สารประกอบอนินทรีย์ ดา้ นทกั ษะทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั สารประกอบอนิ ทรยี ป์ ระเภทสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน 1. การจำ�แนกประเภท จากการจัดกลุ่มสาร การจ�ำ แนกประเภท รวมทง้ั ยกตวั อยา่ งสตู รโครงสรา้ งประกอบค�ำ อธบิ าย จากนน้ั รว่ มกนั อภปิ ราย 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 เกยี่ วกบั ชนดิ ของพนั ธะทใี่ ชจ้ �ำ แนกสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนอมิ่ ตวั และ การสือ่ สารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทนั สอ่ื อภปิ ราย สารประกอบไฮโดรคาร์บอนไมอ่ ่มิ ตัวดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ 4. ใหน้ กั เรยี นจดั กลมุ่ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนอมิ่ ตวั และไมอ่ มิ่ ตวั จากสตู ร ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ ความใจกว้าง ความใจกว้าง จากการสังเกตพฤติกรรมในการ โครงสรา้ งทกี่ �ำ หนดให้ จากนน้ั ตรวจสอบความถกู ตอ้ งและอธบิ ายเพมิ่ เตมิ ในกรณที น่ี กั เรียนมีความเขา้ ใจท่ีคลาดเคลื่อน อภิปราย 5. ให้นักเรยี นร่วมกันสรุปบทเรยี น แลว้ ทำ�แบบฝกึ หัดทบทวนความรู้