Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการใช้หลักสูตร วิชาฟิสิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

คู่มือการใช้หลักสูตร วิชาฟิสิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

Published by Nuttigar, 2018-06-11 04:50:15

Description: คู่มือการใช้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
วิชาฟิสิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

Keywords: คู่มือ,การใช้หลักสูตร,ฟิสิกส์,มัธยมศึกษาตอนปลาย,วิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

ฟสิ กิ ส์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4 1สาระฟิสิกส์ 1. เขา้ ใจธรรมชาตทิ างฟสิ กิ ส์ ปรมิ าณ และกระบวนการวดั การเคลอ่ื นทแ่ี นวตรง แรงและกฎการเคลอ่ื นทข่ี องนวิ ตนั กฎความโนม้ ถว่ งสากล แรงเสยี ดทาน สมดลุ กลของวัตถุ งานและกฎการอนุรกั ษ์พลังงานกล โมเมนตมั และกฎการอนุรกั ษ์โมเมนตัม การเคลอ่ื นท่ีแนวโคง้ รวมทงั้ นำ�ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ผลการเรียนรู้ 1. สืบคน้ และอธิบายการคน้ หาความรทู้ างฟสิ ิกส์ ประวตั คิ วามเป็นมา รวมท้ังพัฒนาการของหลักการและแนวคิดทางฟิสกิ สท์ ่ีมผี ลต่อการแสวงหา ความรใู้ หม่และการพฒั นาเทคโนโลยีการวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เขา้ ส่บู ทเรียน โดยการตั้งค�ำ ถามหรอื ใหน้ ักเรยี นยกตวั อย่างเหตกุ ารณ์ ดา้ นความรู้ ตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การสบื เสาะคน้ พบทางฟสิ กิ ส์ และนกั วทิ ยาศาสตรท์ ร่ี จู้ กั1. ฟิสิกส์เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหน่ึง ซึ่งเน้น 2. ยกตัวอย่างเกี่ยวกับการค้นพบทางฟิสิกส์ จากน้ันให้นักเรียนสืบค้น 1. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะ การสบื เสาะหาหลกั การและองคค์ วามรตู้ า่ ง ๆ หาความรู้ทางฟิสิกส์ จากการสรุปและการเขียน และอภิปรายร่วมกัน โดยเน้นที่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ผังมโนทัศน์ เพอ่ื อธบิ ายปรากฏการณธ์ รรมชาตโิ ดยเฉพาะ บคุ ลกิ ลักษณะอนั พึงประสงคข์ องนักวทิ ยาศาสตร์ ทีเ่ กย่ี วกบั ระบบและกลไกทางกายภาพ 3. จดั กจิ กรรม เชน่ เกม ละครทางวทิ ยาศาสตร์ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจเกย่ี วกบั 2. ประวตั คิ วามเปน็ มาของพฒั นาการทางฟสิ กิ ส์ ฟสิ กิ ส์2. ประวตั คิ วามเปน็ มาของพฒั นาการทางฟสิ กิ ส์ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการสืบเสาะหาความร้ทู างฟิสกิ ส์ กับการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการ3. ฟสิ กิ สก์ บั การพฒั นาวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี 4. จดั กจิ กรรมเกย่ี วกบั การคน้ พบทางฟสิ กิ ส์ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นไดร้ บั ประสบการณ์ แสวงหาความรใู้ หม่ จากการสรปุ การท�ำ แบบฝกึ หดั ตรงในการค้นหาหลักการหรือองค์ความรู้ทางฟิสิกส์โดยใช้กระบวนการ และแบบทดสอบ และการแสวงหาความรู้ใหม่ สืบเสาะหาความรู้ และอภิปรายร่วมกันเก่ยี วกับกิจกรรม 5. ให้นักเรียนสืบค้นและอภิปรายร่วมกัน โดยเน้นการเช่ือมโยงการค้นพบ ด้านทกั ษะด้านทกั ษะ ในอดีตกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำ�วันและ การลงความเห็นจากข้อมูล การส่ือสารสารสนเทศทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การนำ�เทคโนโลยีไปใช้ค้นหาความรู้ใหม่ในทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจให้ การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (ความนา่ เชอ่ื ถอื นักเรียนเสนอสถานการณ์ท่ีสามารถนำ�วิธีการทางวิทยาศาสตร์ มาเป็น และการรเู้ ทา่ ทนั สอื่ ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี เครอ่ื งมือหาค�ำ ตอบ จากน้ันนำ�เสนอผล และภาวะผู้นำ� การคิดอย่างมีวิจารณญาณและ และความถูกต้องของข้อมลู ) 6. ให้นักเรียนสรปุ เพ่ือตรวจสอบความร้คู วามเขา้ ใจ การแก้ปัญหา จากการทำ�กจิ กรรมทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 211. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทมี่ าและการเปรยี บเทยี บ ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความรอบคอบ จากการ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูลท่ี เขยี นรายงานและจากการนำ�เสนอผล

2 แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ หลากหลายไดอ้ ยา่ งสมเหตสุ มผล การอภปิ ราย ร่วมกนั และการนำ�เสนอผล) 2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 3. การคดิ และการแกป้ ญั หา (กจิ กรรม เกมหรอื ละครวทิ ยาศาสตร์) ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ 1. ความอยากรู้อยากเหน็ 2. ความรอบคอบ

ฟสิ ิกส์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4ผลการเรยี นร ู้ 2. วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสกิ ส์ไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสม โดยนำ�ความคลาดเคลอื่ นในการวดั มาพิจารณาในการนำ�เสนอผล 3 รวมท้งั แสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะหแ์ ละแปลความหมายจากกราฟเสน้ ตรงการวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการตั้งคำ�ถามหรือให้นักเรียนยกตัวอย่างเหตุการณ์ ด้านความรู้ หรอื สถานการณต์ า่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การวดั จากนน้ั อภปิ รายรว่ มกนั เกย่ี วกบั1. ในการวดั ปรมิ าณตา่ ง ๆ ตอ้ งเลอื กใชเ้ ครอ่ื งมอื 1. เหตุผลความจำ�เป็น ท่ีต้องวัดได้อย่างเหมาะสม และวธิ กี ารวดั ใหเ้ หมาะสมกบั สง่ิ ทต่ี อ้ งการวดั เหตุผลและความจำ�เป็นท่ีต้องวัดได้อย่างเท่ียงตรงและแม่นยำ� รวมทั้ง และถูกต้อง ความเป็นมาของการวัดหน่วย และ2. การนำ�เสนอผลการวัดท่ีถูกต้องเหมาะสม ความเปน็ มาของการวัดและหนว่ ย สัญกรณ์วิทยาศาสตร์ จากการอภิปรายร่วมกัน โดยค�ำ นงึ ถงึ ความคลาดเคลอ่ื นในการวดั และ 2. จดั กจิ กรรม เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นศกึ ษาเกย่ี วกบั เครอ่ื งมอื วดั ชนดิ ตา่ ง ๆ ทห่ี ลากหลาย และการสรุป หนว่ ยของการวัด รวมท้งั การใชง้ านใหเ้ หมาะสม 2. เคร่อื งมอื วัด การเลือกใชเ้ ครอ่ื งมอื วดั และวิธีการวดั 3. ใหน้ กั เรยี นท�ำ กจิ กรรมการใชเ้ ครอ่ื งมอื วดั เชน่ เครอ่ื งชง่ั สปรงิ เวอรเ์ นยี รแ์ คลเิ ปอร์ด้านทกั ษะ ไมโครมิเตอร์ เพ่ือให้นักเรียนได้เรียนรู้และฝึกทักษะการใช้เครื่องมือวัด ใหเ้ หมาะสมกบั สง่ิ ทต่ี อ้ งการวดั จากการท�ำ กจิ กรรมทักษะกระบวนการทางวิทยศาสตร์ การทำ�แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ1. การวัด (ใช้เครื่องมือวัดได้อย่างเหมาะสม วิธีการวัด การอ่านค่าที่วัดได้ และนำ�เสนอผลการวัดท่ีถูกต้องเหมาะสม 3. การน�ำ เสนอผลการวดั ทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสม โดยค�ำ นงึ ถงึ โดยคำ�นึงถึงความคลาดเคล่ือน เลขนัยสำ�คัญ หน่วย และสัญกรณ์ ความคลาดเคลอ่ื นในการวดั เลขนยั ส�ำ คญั หนว่ ย และ และถูกต้อง คำ�นึงถึงความคลาดเคล่ือน สัญกรณ์วิทยาศาสตร์ จากการทำ�แบบฝึกหัดและ ในการวดั เลขนยั ส�ำ คญั และหนว่ ยของการวดั ) วทิ ยาศาสตร์ แบบทดสอบ2. การใช้จำ�นวน (ความชันของกราฟ พื้นท่ี 4. ต้ังคำ�ถามเก่ียวกับกิจกรรมในข้อ 3 จากนั้นให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน 4. การเขยี นกราฟ การวเิ คราะหแ์ ละการแปลความหมาย ใตก้ ราฟ) จากกราฟเส้นตรง จากการทำ�แบบฝึกหัดและ3. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล เกี่ยวกับข้อจำ�กัดของเครื่องมือวัดแต่ละชนิด ความคลาดเคลื่อน แบบทดสอบ (การเขยี นกราฟ) เลขนยั สำ�คัญ หน่วย และสญั กรณ์วิทยาศาสตร์4. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 5. ใหน้ กั เรยี นท�ำ กจิ กรรมโดยน�ำ ขอ้ มลู ความสมั พนั ธข์ องปรมิ าณสองปรมิ าณ ดา้ นทักษะ (การวิเคราะห์และแปลความหมายกราฟ 1. การวดั การใชจ้ �ำ นวน การจดั กระท�ำ และสอ่ื ความหมาย เส้นตรง) ทก่ี �ำ หนดให้ เชน่ มวลกบั ปรมิ าตรของวตั ถุ กระแสไฟฟา้ กบั ความตา่ งศกั ย์ เสนอขอ้ มลู การตคี วามหมายและลงขอ้ สรปุ จากการทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 แรงดึงกับระยะยืดของสปริง ปริมาตรกับอุณหภูมิของแก๊ส ความเร็วกับ ทำ�กจิ กรรม การทำ�แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ เวลาทม่ี คี วามเรง่ คงตวั มาเขยี นกราฟ รวมทง้ั วเิ คราะหแ์ ละแปลความหมาย 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� (การอภิปรายร่วมกันและ การนำ�เสนอผล จากกราฟเส้นตรง เช่น ความชัน จุดตดั แกน พ้ืนท่ใี ตก้ ราฟ และการส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ การวดั ) 6. ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั เกย่ี วกบั การใชค้ ณติ ศาสตรใ์ นการศกึ ษา คน้ ควา้2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ และการสือ่ สารสำ�หรบั ฟิสกิ ส์ จากการอภิปรายร่วมกัน การทำ�กิจกรรม และการ 7. ใหน้ กั เรียนสรุปเพ่อื ตรวจสอบความรู้ความเขา้ ใจ น�ำ เสนอผลการวัด

4 แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ ความอยากรู้อยากเห็น ความซื่อสัตย์ และความ 1. ความซ่อื สตั ย์ 2. ความรอบคอบ รอบคอบ จากการอภิปรายร่วมกัน การทำ�กิจกรรม 3. ความอยากรู้อยากเห็น และการนำ�เสนอผลการวัด

ฟสิ ิกส์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4ผลการเรียนรู้ 3. ทดลองและอธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหวา่ งต�ำ แหนง่ การกระจัด ความเร็ว และความเรง่ ของการเคลอ่ื นที่ของวัตถใุ นแนวตรงที่มีความเร่งคงตวั 5 จากกราฟและสมการ รวมทง้ั ทดลองหาค่าความเร่งโน้มถ่วงของโลก และคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ทเ่ี ก่ยี วข้องการวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการต้ังคำ�ถามหรือให้นักเรียนยกตัวอย่างเหตุการณ์ ดา้ นความรู้1 ต�ำ แหนง่ การกระจดั ความเรว็ และความเรง่ ต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ จากนั้นให้นักเรียนอภิปราย 1. การเคล่ือนที่ในแนวตรงด้วยความเร่งคงตัว และ ของการเคล่ือนที่ของวัตถุในแนวตรงที่มี ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จากการอภิปรายร่วมกัน ความเรง่ คงตวั รวมทง้ั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั รว่ มกันเกยี่ วกบั ลักษณะการเคลอื่ นทข่ี องวัตถุ และน�ำ เสนอผล การสรุป การทำ�แบบฝึกหัดและแบบทดสอบ ในรูปแบบกราฟและสมการ 2. อภิปรายร่วมกันเพื่อทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับปริมาณต่าง ๆ ของ 2. ความเร่งโน้มถ่วงของโลก และผลต่อการเคลื่อนท่ี2. ความเร่งโน้มถ่วงของโลก และผลต่อการ ของวัตถุในแนวดิ่ง จากการวิเคราะห์ลักษณะ การเคล่อื นท่ี เช่น ระยะทาง การกระจัด อตั ราเรว็ และความเรว็ เคลื่อนทข่ี องวตั ถใุ นแนวดง่ิ การเคลื่อนท่ีของวัตถุจากกราฟ การทำ�แบบฝึกหัด 3. ยกสถานการณ์เพื่อให้ความรู้เก่ียวกับตำ�แหน่ง จากนั้น อภิปรายร่วมกัน และแบบทดสอบด้านทักษะทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เกี่ยวกับ การนำ�ตำ�แหน่งไปใช้หาระยะทางและการกระจัด เพื่อนำ�ไปสู่ ดา้ นทักษะ1. การวดั (การวดั ระยะหา่ งระหวา่ งจดุ บนแถบ 1. การวดั การทดลอง การจดั กระท�ำ และสอื่ ความหมาย อตั ราเรว็ และความเรว็ โดยมกี ารเนน้ วา่ การกระจดั ความเรว็ และ ความเรง่ ข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป กระดาษ) การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื ความรว่ มมอื2. การใชจ้ �ำ นวน (ความเรว็ ความเรง่ จากความชนั เป็นปรมิ าณเวกเตอร์ สว่ นระยะทางและอัตราเรว็ เป็นปรมิ าณสเกลาร์ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� จากการทำ� ของกราฟหรอื สมการ) การทดลอง และรายงานผลการทดลอง3. การทดลอง 4. ยกสถานการณ์เพื่อให้ความรู้เก่ียวกับความเร่ง จากน้ันให้นักเรียนทำ� 2. การใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง4. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล กจิ กรรมเพอ่ื ศกึ ษาความเรว็ เฉล่ีย ความเร็วขณะหนึ่ง ความเรง่ เฉลยี่ และ กับการเคลื่อนที่แนวตรงที่มีความเร่งคงตัว จาก (เขยี นกราฟจากขอ้ มลู การเคลอื่ นทขี่ องวตั ถ)ุ แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ5. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ความเรง่ ขณะหนงึ่ โดยใชม้ อื ดงึ แถบกระดาษผา่ นเครอ่ื งเคาะสญั ญาณเวลา ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ ( วิ เ ค ร า ะ ห์ ก ร า ฟ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง วิเคราะห์ และนำ�เสนอผล จากนั้นอภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่า ในการ 1. ความซ่ือสัตย์ และความรอบคอบ จากรายงาน ความเร็วและเวลา)ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 เคลอื่ นทขี่ องวัตถุใด ๆ ความเร็วและความเรง่ อาจไมค่ งตวั ผลการทดลอง1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ 2. ความมุ่งมั่นอดทน จากการทำ�การทดลองและ (การอภิปรายรว่ มกนั และการน�ำ เสนอผล) 5. ใหน้ กั เรยี นทดลองการเคลอื่ นทแ่ี นวราบทม่ี คี วามเรง่ คงตวั พรอ้ มทงั้ เขยี น2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ การอภปิ รายรว่ มกัน กราฟความเร็วกับเวลา จากนv้ันอภuิปราaยtร่วมกัน จนสรุปได้ความสัมพันธ์ ตามสมการ xvuu2avt  t  xx=utu2 1v att 2 2 x = ut  1 at2 2 v2 = u2  2ax v2 = u2  2ax n   ma Fi i1

6 แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ 6. ใหน้ กั เรยี นทดลองหาคา่ ความเรง่ โนม้ ถว่ งของโลกจากการตกแบบเสรขี อง ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ วตั ถุ น�ำ เสนอผลและอภิปรายรว่ มกนั 1. ความซ่ือสตั ย์ 2. ความมุ่งมั่นอดทน 7. ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั เกย่ี วกบั การเคลอ่ื นทแ่ี นวตรง ทง้ั ความเรว็ คงตวั 3. ความรอบคอบ และความเร่งคงตัว โดยวิเคราะห์ลักษณะการเคล่อื นท่ขี องวัตถุจากกราฟ หรอื เขียนกราฟจากขอ้ มลู การเคล่อื นทีข่ องวตั ถุ 8. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเคลอื่ นทแี่ นวตรง ที่มีความเร่งคงตัว โดยให้นักเรียนร่วมเสนอแนวคิดและหลักการในการ แกป้ ัญหา 9. ใหน้ ักเรยี นสรุปเพอ่ื ตรวจสอบความรคู้ วามเข้าใจ

ฟิสิกส์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4ผลการเรียนรู้ 4. อธบิ ายแรงและผลของแรงลพั ธ์ทม่ี ีตอ่ การเคลื่อนทข่ี องวตั ถุ รวมทง้ั ทดลองหาแรงลพั ธ์ของแรงสองแรงท่ีทำ�มมุ ตอ่ กัน 7การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการสาธิตออกแรงสองแรงท่ีทำ�มุมต่อกันกระทำ�ต่อ ด้านความรู้ วตั ถหุ นงึ่ ใหน้ กั เรยี นสงั เกตทศิ ทางการเคลอื่ นทขี่ องวตั ถุ จากนนั้ อภปิ ราย1. แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ เมื่อมีแรงกระทำ� รว่ มกนั และน�ำ เสนอผล 1. การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ เม่ือมีแรง ต่อวัตถุหลายแรง หาแรงลัพธ์ที่กระทำ�ต่อ สองแรงทท่ี �ำ มมุ ตอ่ กนั กระท�ำ ตอ่ วตั ถมุ ผี ลท�ำ ใหว้ ตั ถุ วัตถุโดยการรวมเวกเตอร์ 2. อภิปรายร่วมกันเพื่อทบทวนความรู้เกี่ยวกับแรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ เคลอื่ นทใ่ี นทศิ เดยี วกบั แรงลพั ธ์ จากรายงานผลการ รวมทง้ั การเขยี นลูกศรแทนแรง ทดลอง การสรปุ การท�ำ แบบฝกึ หดั และ แบบทดสอบ2. เมอ่ื แรงลพั ธท์ กี่ ระท�ำ ตอ่ วตั ถมุ คี า่ ไมเ่ ปน็ ศนู ย์ วัตถจุ ะมีการเปล่ียนสภาพการเคลอ่ื นท่ี 3. ให้นักเรียนทดลองหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ เม่ือมีแรงกระทำ� 2. การเปลย่ี นสภาพการเคลอื่ นทข่ี องวตั ถเุ มอ่ื แรงลพั ธ์ ต่อวัตถุสองแรง เพื่อหาแรงลัพธ์โดยวิธีสร้างรูปสามเหล่ียมและวิธีสร้าง ทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถไุ มเ่ ปน็ ศนู ย์ จากการอภปิ รายรว่ มกนัด้านทักษะ รปู สเี่ หลยี่ มด้านขนานทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และการสรุป1. การวัด (ขนาดของแรง จากเครอ่ื งชัง่ สปริง) 4. ตั้งคำ�ถาม และให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับการหาแรงลัพธ์ 2. การใช้จ�ำ นวน (การหาขนาดของแรงลัพธ)์ เม่ือมแี รงกระทำ�ต่อวตั ถมุ ากกวา่ สองแรง ในระนาบเดียวกนั ด้านทกั ษะ3. การทดลอง 1. การวดั การทดลอง การจดั กระท�ำ และสอ่ื ความหมาย4. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล 5. ให้ความรู้เรื่องการแยกแรงออกเป็นแรงย่อยสองแรงที่ตั้งฉากกันและ ข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป การคำ�นวณแรงลพั ธโ์ ดยใชแ้ รงย่อย ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� (การเขียนเวกเตอร์แทนแรงและการรวม 6. สาธิตกิจกรรมเก่ียวกับแรงลัพธ์ที่กระทำ�ต่อวัตถุไม่เป็นศูนย์ ให้นักเรียน เวกเตอร์) จากการอภิปรายร่วมกัน การทำ�การทดลอง และ5. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป สงั เกตและอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ วตั ถจุ ะเปลยี่ นสภาพการเคลอื่ นท่ี รายงานผลการทดลอง (การสรปุ ผลการทดลอง) เมื่อแรงลพั ธท์ กี่ ระท�ำ ต่อวตั ถมุ คี ่าไม่เปน็ ศนู ย์ 2. การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอื่ จากการทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 7. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณแรงลพั ธ์ เมอ่ื มแี รงมากกวา่ หนงึ่ แรงกระท�ำ ตอ่ วตั ถุ อภปิ รายรว่ มกันและการน�ำ เสนอผล1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากนน้ั ให้นักเรยี นร่วมเสนอแนวคดิ และหลักการในการแก้ปัญหา 3. การใช้จำ�นวน ในการหาแรงลัพธ์เม่ือมีแรงมากกว่า (การเขียนเวกเตอร์แทนขนาดและทิศทาง 8. ใหน้ ักเรียนสรุป เพอื่ ตรวจสอบความรูค้ วามเขา้ ใจ หนงึ่ แรง จากรายงานผลการทดลอง แบบฝกึ หดั และ การอภิปรายร่วมกนั และการน�ำ เสนอผล) แบบทดสอบ2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ 1. ความซื่อสัตย์ และความรอบคอบ จากรายงาน 1. ความซ่ือสัตย์2. ความมุ่งมน่ั อดทน ผลการทดลอง3. ความรอบคอบ 2. ความมงุ่ มนั่ อดทน จากการทดลองและการอภปิ ราย รว่ มกัน

8 ผลการเรียนรู ้ 5. เขยี นแผนภาพของแรงท่กี ระท�ำ ต่อวัตถอุ ิสระ อธบิ ายกฎการเคลื่อนท่ีของนิวตันและการใช้กฎการเคล่ือนทีข่ องนวิ ตนั กบั สภาพการเคลื่อนที่ ของวัตถุ รวมทง้ั ทดลองและอธิบายความสัมพันธร์ ะหว่างแรง มวล และความเรง่ ตามกฎการเคลือ่ นทข่ี ้อทสี่ องของนิวตันการวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการยกตัวอย่างสถานการณ์เกี่ยวกับการเคล่ือนท่ี ดา้ นความรู้1. ความเฉื่อยเป็นสมบัติของวัตถุที่ต้านการ ของวัตถุ เช่น การปล่อยวัตถุให้ตกในแนวด่ิงจนกระทบพ้ืน ให้นักเรียน 1. ความเฉื่อย กฎการเคล่ือนท่ีของนิวตันและสภาพ เปลี่ยนสภาพการเคลื่อนท ่ี การเคล่ือนที่ของวัตถุ จากการอภิปรายร่วมกัน 2. สภาพการเคล่ือนท่ีของวัตถุอธิบายได้ด้วย อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับแรงทvี่กระuทำ�ต่aอวt ัตถุ ขณะท่ีวัตถุอยู่ในมือ ขณะ การสรุป การทำ�แบบฝึกหัดและแบบทดสอบ 2. ใทหว่ี ้ตันถักกุ เำ�รลียังนเคอลภอ่ื ิปนรทา่ี ขยณร่วะมทก่วี xัตันถเุกกร่ียะวuทก2บับพvผ้ืนลแขt ลอะงขแณระงทลัว่ีพตั ธถ์ทหุ ่ีมยีตดุ ่อนสง่ิ ภาพ กฎการเคลอ่ื นทขี่ องนิวตัน 2. การเขียนแผนภาพของแรงท่ีกระทำ�กับวัตถุอิสระ3. เม่ือมีแรงกระทำ�ต่อวัตถุท่ีจุดเดียวกันหรือ การเคลอื่ นทข่ี องวตั ถุ กรณวี ตัxถ=อุ ยuนู่ tงิ่ และ1วตัaถtเุ2คลอ่ื นทดี่ ว้ ยความเรว็ คงตวั จากการสรปุ การท�ำ แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ จากนน้ั ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ความเฉอ่ื ยและก2ฎการเคลอ่ื นทข่ี อ้ ทห่ี นง่ึ ของนวิ ตนั แนวเดียวกัน โดยแรงลัพธ์ท่ีกระทำ�ต่อวัตถุ ด้านทกั ษะ เปน็ ศนู ยว์ ตั ถจุ ะไมเ่ ปลยี่ นสภาพการเคลอื่ นที่ 3. ต้ังคำ�ถามเก่ียวกับแรงลัพธ์ท่ีกระทำ�ต่อวัตถุมีค่าไม่เป็นศูนย์ สภาพการ 1. การวดั การทดลอง การจดั กระท�ำ และสอ่ื ความหมาย ซึ่งเป็นไปตามกฎการเคล่ือนท่ีข้อท่ีหนึ่งของ ข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป นวิ ตนั เคลอ่ื นทข่ี องวตั ถจุ ะเปน็ อยา่ งไร ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั และน�ำ เสนอผล ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ�4. เมอ่ื แรงลพั ธท์ กี่ ระท�ำ ตอ่ วตั ถไุ มเ่ ปน็ ศนู ยว์ ตั ถุ จากการอภิปรายร่วมกัน การทำ�การทดลอง และ จะเปลี่ยนสภาพการเคล่ือนที่ ซึ่งเป็นไปตาม 4. ให้นักเรียนทดลองเพ่ือศึกvษ2าค=วาuม2สัมพ2ันaธ์ระxหว่างแรงลัพธ์ที่กระทำ�ต่อ รายงานผลการทดลอง กฎการเคล่ือนท่ขี ้อทส่ี องของนวิ ตัน 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ5. เมื่อมีแรงกิริยากระทำ�ต่อวัตถุ วัตถุจะมีแรง วัตถุกับความเร่งเมื่อมวลของวัตถุมีค่าคงตัว อภิปรายร่วมกันจนสรุปได้ ปฏกิ ริ ยิ ากระท�ำ โตต้ อบดว้ ยแรงขนาดเทา่ กนั อภปิ รายร่วมกันและการนำ�เสนอผล แต่ทิศทางตรงกันข้าม ซ่ึงเป็นไปตามกฎการ ความสัมพันธต์ ามกฎการเคลื่อนท่ขี ้อที่สองของนวิ ตัน ตามสมการ 3. การใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เคล่อื นทข่ี อ้ ท่สี ามของนวิ ตัน6. การแสดงแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุทำ�ได้โดยการ n   ma กบั การเคลือ่ นทข่ี องวตั ถุโดยใช้กฎการเคลอื่ นที่ของ เขยี นแผนภาพของแรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถอุ สิ ระ Fi นวิ ตนั จากรายงานผลการทดลอง การท�ำ แบบฝกึ หดั และใชห้ าแรงลัพธ์ทก่ี ระทำ�ตอ่ วัตถุได้ และแบบทดสอบ7. คำ�นวณหาปริมาณต่าง ๆ ของการเคลื่อนท่ี i1 เมอ่ื แรงลพั ธท์ กี่ ระท�ำ ตอ่ วตั ถไุ มเ่ ปน็ ศนู ยต์ าม ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ กฎการเคลือ่ นท่ีของนิวตนั 5. สาธติ เกย่ี วกบั แรงกริ ยิ าและแรงปฏกิ ริ ยิ า เชน่ การออกแรงดงึ เครอ่ื งชง่ั สปรงิ 1. ความซื่อสัตย์ และความรอบคอบ จากรายงาน เสคอลงอื่ อนันททขี่ ี่เ้อกท่ีย่สี วาเขม้ขาดอ้งวนยวิกตันันFอGภ=ิปรGายmร่Rว1mม2ก2ันจนได้ข้อสรุปตามกฎการ ผลการทดลอง 2. ความมุง่ มน่ั อดทน จากการทำ�การทดลอง 6. ให้ความรู้เกี่ยวกับการเขียนแผนภาพของแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุอิสระใน สถานการณ์ต่างๆ เพ่ือแสดงแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุและใช้หาแรงลัพธ์ที่ กระท�ำ ตอ่ วตั ถุ จากนน้ั ใหน้ กั เรgยี น=ฝกึ กFาGรเขยี นแผนภาพของแรงทก่ี ระท�ำ ต่อวัตถุอสิ ระ m W  mg fs  sN

การวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ ฟสิ ิกส์ 9 ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านทักษะ 7. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การเคลอื่ นทข่ี องวตั ถุ โดยใช้กฎการเคลื่อนท่ีของนิวตัน โดยให้นักเรียนร่วมเสนอแนวคิดและทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หลกั การในการแก้ปัญหา1. การวดั (ความถูกต้องของการวดั และหนว่ ย)2. การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั 8. ใหน้ ักเรียนสรุป เพือ่ ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ การเคลอื่ นทข่ี องวตั ถโุ ดยใชก้ ฎการเคลอ่ื นที่ ของนวิ ตัน)3. การทดลอง4. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล ( เ ขี ย น ก ร า ฟ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง แ ร ง กบั ความเร่ง)5. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (การวเิ คราะห์และสรุปผลการทดลอง)ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 211. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ (การอภิปรายรว่ มกนั และการน�ำ เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำด้านจิตวทิ ยาศาสตร์1. ความซ่อื สตั ย์2. ความม่งุ ม่ันอดทน3. ความรอบคอบ

10 ผลการเรยี นร้ ู 6. อธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและผลของสนามโนม้ ถว่ งทท่ี ำ�ใหว้ ัตถมุ ีน�้ำ หนกั รวมท้ังค�ำ นวณปริมาณตา่ ง ๆ ที่เกีย่ วขอ้ งการวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยทบทวนเกย่ี วกบั การตกของวตั ถสุ พู่ น้ื ทเ่ี ปน็ ผลมาจาก ดา้ นความรู้ แรงโน้มถว่ งของโลกดงึ ดูดวตั ถุ1. กฎความโน้มถ่วงสากลกล่าวถึงแรงดึงดูด 1. กฎความโน้มถ่วงสากล จากการอภิปรายร่วมกัน ระหว่างวัตถุสองชิ้นมีค่าขึ้นอยู่กับมวลและ 2. อภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ทบทวนความรเู้ รอื่ งกฎการเคลอ่ื นทขี่ องนวิ ตนั จากนน้ั การสรุป การทำ�แบบฝึกหดั และแบบทดสอบ ระยะหา่ งระหว่างวัตถุทัง้ สอง ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั กฎความโนม้ ถว่ งสากลและยกตวั อยา่ งประกอบ เพอื่ ให้ ทราบวา่ แรงดงึ ดดู ระหวา่ งมวลเปน็ แรงคกู่ ริ ยิ า-ปฏกิ ริ ยิ า ซง่ึ มคี วามสมั พนั ธ์ 2. สนามโน้มถ่วง แรงโน้มถ่วงและนำ้�หนักของวัตถุ2. รอบ ๆ วตั ถจุ ะมสี นามโนม้ ถว่ ง ซง่ึ ท�ำ ใหว้ ตั ถอุ น่ื ตามสมการ กรณีทวี่ ัตถอุ ยู่ทผี่ วิ โลกและทตี่ �ำ แหนง่ ใด ๆ ห่างจาก ทอี่ ยใู่ นสนามโนม้ ถ่วงนัน้ มีน�้ำ หนัก 3. ให้ความรูแ้ ละความหมายของสนามโน้มถว่ ง ( ) โดย จากนน้ั ผิวโลก ตลอดจนน้ำ�หนักของวัตถุบนดาวอื่น ๆด้านทักษะ ตง้ั คำ�ถามเกี่ยวกับค่าสนามโน้มถ่วงในกรณีเมื่อวัตถุอยู่ที่ตำ�แหน่งใด ๆ จากการสรปุ การทำ�แบบฝึกหัดและแบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การใช้จำ�นวน (ปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ กีย่ วขอ้ งกับ หา่ งจากผวิ โลก ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ คา่ สนามโนม้ ถว่ ง ด้านทักษะ ของโลกที่ตำ�แหน่งใดจะแปรผกผันกับระยะทางที่ตำ�แหน่งน้ันห่างจาก 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ กฎความโน้มถ่วงสากล สนามโน้มถ่วง และ ศนู ยก์ ลางของโลกยกก�ำ ลงั สอง ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� น้ำ�หนัก) จากการอภปิ รายร่วมกนั และการน�ำ เสนอผลทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 4. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมวลและน�้ำ หนกั ของวตั ถุ อภปิ ราย 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ ร่ ว ม กั น จ น ส รุ ป ไ ด้ ว่ า นำ้ � ห นั ก เ ป็ น แ ร ง ดึ ง ดู ด ข อ ง โ ล ก ท่ี ก ร ะ ทำ � ต่ อ วั ต ถุ กฎความโน้มถ่วงสากล ค่าสนามโน้มถ่วงและ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทม่ี าและการเปรยี บเทยี บ เปน็ ไปตามความสัมพันธ ์ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูล น�ำ้ หนกั ของวตั ถบุ นดาวอน่ื  ๆ จากการท�ำ แบบฝกึ หดั ท่ี ห ล า ก ห ล า ย ไ ด้ อ ย่ า ง ส ม เ ห ตุ ส ม ผ ล 5. ตง้ั ค�ำ ถามเกย่ี วกบั น�้ำ หนกั ของวตั ถุ เมอ่ื วตั ถอุ ยทู่ ผี่ วิ โลกและหา่ งจากผวิ โลก และแบบทดสอบ การอภปิ รายรว่ มกันและการน�ำ เสนอผล) ออกไป จากน้นั ให้นักเรยี นอภปิ รายร่วมกัน จนสรปุ ได้วา่ นำ้�หนกั ของวตั ถุ2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ จะเปลีย่ นไปตามต�ำ แหน่งทีห่ ่างจากศนู ย์กลางโลก ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ การใชว้ ิจารณญาณ จากการอภิปรายร่วมกนัด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ 6. ตง้ั ค�ำ ถามเพอ่ื น�ำ ไปสกู่ ารสบื คน้ เกยี่ วกบั สนามโนม้ ถว่ งของดาวอนื่ ๆ และ การใชว้ จิ ารณญาณ นำ้�หนักของวัตถุบนดาวน้ัน ๆ จากนั้นให้นักเรียนสืบค้น อภิปรายร่วมกัน และนำ�เสนอผล

การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ ฟิสิกส์ 11 7. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั กฎความโนม้ ถว่ งสากล ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โดยใหน้ ักเรยี นร่วมกนั เสนอแนวคิดและหลกั การในการแกป้ ญั หา 8. ให้นกั เรียนสรุป เพอ่ื ตรวจสอบความรูค้ วามเข้าใจ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้

2 x = ut  1 at2 212 ผลการเรียนรู้ 7. วิเคราะหแ์ ละอธิบายแรงเสยี ดทานระหวา่ งvผ2วิ ส=มั ผuสั 2ของ2วaตั ถxคุ ู่หน่งึ  ๆ ในกรณที ี่วตั ถหุ ยดุ นิ่งและวตั ถเุ คล่อื นท่ี รวมทัง้ ทดลองหาสัมประสิทธ์ิ ความเสยี ดทานระหว่างผิวสัมผสั ของวตั ถุคู่หนึ่ง ๆ และน�ำ ความรู้เร่อื งแรงเสยี ดทานไปใชใ้ นชวี ิตประจ�ำ วนั การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยการยกสiถn1านFกiารณmก์ aารออกแรงกระท�ำ ตอ่ วตั ถทุ อ่ี ยนู่ ง่ิ ด้านความรู้1. เมื่อวัตถุมีแนวโน้มท่ีจะเคล่ือนท่ีหรือกำ�ลัง แล้ววัตถุยังคงอยู่นิ่ง ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับแรงท้ังหมด 1. แรงเสยี ดทาน และปรมิ าณตา่ งๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง จากการ เคล่ือนท่ีบนพ้ืนผิวใด ๆ จะมีแรงเสียดทาน อภิปรายร่วมกัน การสรุป การทำ�แบบฝึกหัดและ ระหว่างผวิ สมั ผัสตา้ นการเคลื่อนทีข่ องวัตถุ 2. ทสา่กี ธริตะทกาำ�ตรผอ่ ลวตัักถวุัตแถลุ ะในห�ำ ้นเสักนFเรอGียผน=ลสังGเกmตRแ1mร2ง2ท่ีผลักวัตถุ ในขณะท่ีวัตถุยัง แบบทดสอบ2. แรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ ไม่เคล่ือนท่ี ขณะท่ีวัตถุกำ�ลังจะเคลื่อนท่ีและขณะท่ีวัตถุกำ�ลังเคล่ือนท่ี 2. ประโยชน์ของการเพิ่มและลดแรงเสียดทาน คู่หนึ่ง ๆ ขณะวัตถุจะเคลื่อนที่หรือกำ�ลัง จากน้ันอภิปรายร่วมกันเพื่อทบทวนความรู้เก่ียวกับแรงเสียดทานสถิต เคล่ือนท่ี ขึ้นกับสัมประสิทธ์ิความเสียดทาน และแรงเสียดทานจลน์ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำ�วัน จากการ และแรงปฏิกิริยาต้งั ฉากระหวา่ งพ้นื ผวิ ค่นู ้นั อภปิ รายรว่ มกนั การท�ำ แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ 3. ใหน้ กั เรยี นทดลองเพอ่ื ศกึ ษาสมัgป=ระสFทิ Gธคิ์ วามเสยี ดทานระหวา่ งผวิ สมั ผสั3. การเพม่ิ และลดแรงเสยี ดทาน สามารถน�ำ มา คหู่ นงึ่ ๆ อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ สmมั ประสทิ ธค์ิ วามเสยี ดทานสถติ มคี า่ ด้านทกั ษะ ใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจำ�วัน 1. การสังเกต การวัด การทดลอง การจัดกระทำ�และ มากกวา่ สัมประสิทธิค์ วามเสยี ดทานจลน์ด้านทกั ษะ 4. ตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับความสัมพัWนธ์ระหmว่าgงแรงเสียดทานและแรงปฏิกิริยา สื่อความหมายข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ตงั้ ฉากกบั พน้ื จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดค้ วามสมั พนั ธ์ ลงขอ้ สรปุ การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื1. การสังเกต (แรงดึงสูงสุดก่อนท่ีวัตถุเริ่ม ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ตามสมการ จากการอภิปรายร่วมกัน การทำ�การทดลองและ เคลอ่ื นท่ี และแรงดงึ เมอ่ื วัตถุเคลื่อนที่) รายงานผลการทดลอง2. การวดั (การอ่านคา่ แรงจากเครื่องชง่ั สปรงิ ) fs  sN 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั3. การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่เี กีย่ วขอ้ งกับ fk  k N แรงเสยี ดทาน จากการท�ำ แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ แรงเสยี ดทาน) 5. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั แรงเสยี ดทาน โดยให้ ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์4. การทดลอง นกั เรยี นร่วมกันเสนอแนวคดิ และหลักการในการแกป้ ญั หา 1. ความอยากรูอ้ ยากเห็น จากการอภิปรายร่วมกัน5. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล 2. ความซ่ือสัตย์ และความรอบคอบ จากรายงาน 6. ให้นักเรียนยกตัวอย่างประโยชน์ของการเพิ่มและลดแรงเสียดทาน (เขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่างแรงดึงกับ ในสถานการณต์ ่าง ๆ ในชวี ิตประจ�ำ วัน ผลการทดลอง น้�ำ หนกั ) 3. ความมุ่งม่ันอดทน จากการทำ�การทดลองและ 7. ให้นักเรียนสรปุ เพอื่ ตรวจสอบความร้คู วามเข้าใจ การอภปิ รายรว่ มกัน

การวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฟสิ กิ ส์ 136. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 (สมั ประสทิ ธค์ิ วามเสยี ดทานสถติ มคี า่ มากกวา่ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ สมั ประสิทธ์ิความเสยี ดทานจลน์)ทักษะแห่งศตวรรษที่ 211. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ (การอภปิ รายร่วมกันและการนำ�เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำด้านจิตวทิ ยาศาสตร์1. ความอยากรูอ้ ยากเห็น2. ความซื่อสัตย์3. ความมุ่งมั่นอดทน4. ความรอบคอบ

14 ผลการเรยี นร้ ู 8. อธิบายสมดลุ กลของวัตถุ โมเมนต์และผลรวมของโมเมนตท์ ่มี ีต่อการหมุน แรงคู่ควบและผลของแรงคคู่ วบทมี่ ตี ่อสมดลุ ของวตั ถุ เขียนแผนภาพของแรงทีก่ ระทำ�ต่อวัตถอุ ิสระเมื่อวัตถุอยใู่ นสมดลุ กล และคำ�นวณปริมาณตา่ ง ๆ ทีเ่ กี่ยวขอ้ งรวมทง้ั ทดลองและ อธบิ ายสมดุลของแรงสามแรงการวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับสมดุลต่อ ดา้ นความรู้ การเลื่อนที่ของวัตถุ และเขียนแผนภาพของแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุอิสระ 1. เม่ือแรงลัพธ์ที่กระทำ�ต่อวัตถุเป็นศูนย์วัตถุ ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่าแรงลัพธ์ที่กระทำ�ต่อวัตถุ 1. สมดลุ กล สมดลุ สถติ สมดลุ จลน์ สมดลุ ตอ่ การเลอ่ื นท่ี จะอยใู่ นสมดลุ ตอ่ การเลอ่ื นทแี่ ละเมอื่ ผลรวม สมดุลต่อการหมุน และโมเมนต์ของแรง จากการ โมเมนตท์ กี่ ระท�ำ ตอ่ วตั ถเุ ปน็ ศนู ย์ วตั ถจุ ะอยู่ เปน็ ศนู ยจ์ ากนน้ั ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั สมดลุ ตอ่ การเลอ่ื นท่ี ซง่ึ มที ง้ั สมดลุ สถติ และ ในสมดุลตอ่ การหมนุ สมดลุ จลน์ เขียนผังมโนทัศน์ การอภิปรายร่วมกัน การทำ� 2. ให้นักเรียนทดลอง เพื่อศึกษาสมดุลของแรงสามแรง จากนั้นให้นักเรียน แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ2. การแสดงแรงท่ีกระทำ�ต่อวัตถุทำ�ได้โดยการ 2. สมดุลกล การเขียนแผนภาพของแรงที่กระทำ�ต่อ เขยี นแผนภาพของแรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถอุ สิ ระ อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ วตั ถทุ อ่ี ยใู่ นสภาพสมดลุ ตอ่ การเลอ่ื นท่ี แนวแรง และใชห้ าแรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถทุ อ่ี ยใู่ นสมดลุ กล ทั้งสามต้องพบกันท่ีจุดหนึ่ง และแรงลพั ธท์ ีก่ ระทำ�ต่อวตั ถุมีคา่ เปน็ ศูนย์ วัตถุอิสระ เมื่อวัตถุอยู่ในสมดุลกล จากการทำ� 3. อภิปรายร่วมกันเพื่อทบทวนความรู้เกี่ยวกับโมเมนต์ โดยให้นักเรียน แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ3. เม่ือมีแรงคู่ควบกระทำ�ต่อวัตถุ แรงลัพธ์ของ 3. แรงคู่ควบ จากการสรุป การทำ�แบบฝึกหัดและ แรงคู่ควบนั้นจะเป็นศูนย์ ทำ�ให้วัตถุสมดุล ยกตัวอย่างสถานการณ์โมเมนต์ท่ีมีผลต่อการหมุน เช่น การใช้แรงผลัก ต่อการเล่ือนท่ี แตไ่ มส่ มดลุ ตอ่ การหมนุ ประตูที่ตำ�แหน่งต่างๆ จากน้ันอภิปรายร่วมกันเก่ียวกับการหาโมเมนต์ แบบทดสอบ ในสถานการณ์ต่างๆ ซงึ่ เปน็ ไปตามสมการ 4. ผลของแรงคคู่ วบทม่ี ตี อ่ สมดลุ ของวตั ถุ จากการสรปุ4. เมื่อมีแรงคู่ควบหลายคู่กระทำ�ต่อวัตถุแล้ว ท�ำ ใหว้ ตั ถสุ มดลุ ตอ่ การหมนุ ผลรวมโมเมนต์ 4. ใหน้ กั เรยี นยกสถานการณเ์ กย่ี วกบั สมดลุ ตอ่ การหมนุ และอภปิ รายรว่ มกนั การทำ�แบบฝึกหัดและแบบทดสอบ ของแรงคู่ควบเปน็ ศูนย์ จนสรปุ ไดว้ า่ วตั ถุจะสมดลุ ตอ่ การหมุนเมอ่ื ผลรวมโมเมนตเ์ ป็นศูนย์ ด้านทกั ษะด้านทักษะ 5. ให้ความรู้เกี่ยวกับสมดุลกลว่า วัตถุอาจจะอยู่ในสมดุลต่อการเลื่อนท่ีหรือ 1. การสังเกต การวัด การทดลอง การจัดกระทำ�และทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ สมดุลต่อการหมุน ในกรณีที่วัตถุอยู่ในสมดุลท้ังสองแบบจัดเป็นสมดุล สื่อความหมายข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและ1. การสังเกต (แรงท่ีกระทำ�ต่อวัตถุเม่ือวัตถุ สมบรู ณ์ ลงข้อสรุป ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและ อยใู่ นสมดลุ กล) 6. ยกสถานการณ์เกี่ยวกับสมดุลกล และให้นักเรียนเขียนแผนภาพของแรง ภาวะผนู้ �ำ จากการอภปิ รายรว่ มกนั การท�ำ การทดลอง2. การวัด (การอา่ นค่าแรงจากเครือ่ งชัง่ สปริง) ทกี่ ระทำ�ต่อวตั ถุอสิ ระ อภปิ รายร่วมกันและนำ�เสนอผล และรายงานผลการทดลอง3. การใช้จำ�นวน (หาแรงและโมเมนต์ของแรง 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ เมอื่ วัตถอุ ยูใ่ นสมดุลกล) อภิปรายร่วมกนั และการนำ�เสนอผล4. การทดลอง

ฟสิ ิกส์ ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4การวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 155. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล 7. ยกตวั อยา่ งสถานการณเ์ กย่ี วกบั แรงคคู่ วบ เชน่ การหมนุ พวงมาลยั รถยนต์ 3. การใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง (การเขียนเวกเตอร์แทนแรงและการรวม ขณะเลย้ี วโคง้ หรอื การบดิ ลกู บดิ ประตู จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั กับสมดุลกล จากรายงานผลการทดลอง การทำ� เวกเตอร)์ เก่ียวกับแรงในการหมุนพวงมาลัยรถยนต์ หรือแรงที่ใช้บิดลูกบิด และ แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ6. การตีความหมายและลงข้อสรุป (เก่ียวกับ น�ำ เสนอผล สมดุลกลของวัตถุ การอภิปรายเกี่ยวกับ ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ 8. อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ แรงคคู่ วบเกดิ จากแรงสองแรงทม่ี ขี นาดเทา่ กนั 1. ความซ่ือสัตย์และความรอบคอบ จากรายงาน แรงคคู่ วบ) กระทำ�ตอ่ วัตถุในทิศทางตรงขา้ มและแนวแรงขนานกนัทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 9. ตง้ั ค�ำ ถามเกย่ี วกบั ผลของแรงคคู่ วบทมี่ ตี อ่ สมดลุ ของวตั ถุ จากนน้ั อภปิ ราย ผลการทดลอง1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ 2. ความมุ่งมั่นอดทน จากการทำ�การทดลองและ รว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ แรงคคู่ วบท�ำ ใหว้ ตั ถสุ มดลุ ตอ่ การเลอื่ นท่ี แตไ่ มส่ มดลุ (การอภิปรายรว่ มกันและการนำ�เสนอผล) ต่อการหมนุ เนื่องจากมโี มเมนตข์ องแรงคคู่ วบ เปน็ ไปตามสมการ การอภปิ รายรว่ มกัน2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ โดยมีคา่ ไม่ขน้ึ กบั จดุ หมุน1. ความซื่อสตั ย์ 10. ยกสถานการณเ์ กย่ี วกบั สมดลุ ของวตั ถทุ มี่ แี รงคคู่ วบกระท�ำ และใหน้ กั เรยี น2. ความมุ่งมน่ั อดทน3. ความรอบคอบ เขียนแผนภาพของแรงท่ีกระทำ�ต่อวัตถุอิสระ เพื่อนำ�มาอธิบายสมดุล ของวัตถุ จากนั้น อภิปรายร่วมกันจนสรุปได้ว่า เม่ือมีแรงคู่ควบหลายคู่ กระทำ�ต่อวัตถุ แล้วทำ�ให้วัตถุสมดุลต่อการหมุน ผลรวมโมเมนต์ของ แรงคคู่ วบเปน็ ศูนย์ 11. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับสมดุลกล แรงคู่ควบ โดยใหน้ ักเรยี นรว่ มกันเสนอแนวคดิ และหลกั การในการแกป้ ัญหา 12. ให้นักเรียนยกตัวอย่างการนำ�ความรู้เร่ืองสมดุลกลและแรงคู่ควบไปใช้ ประโยชนใ์ นชีวิตประจ�ำ วนั 13. ให้นกั เรียนสรปุ เพอ่ื ตรวจสอบความร้คู วามเขา้ ใจ

16 ผลการเรยี นร ู้ 9. สงั เกตและอธบิ ายสภาพการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ เมอ่ื แรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถผุ า่ นศนู ยก์ ลางมวลของวตั ถุ และผลของศนู ยถ์ ว่ งทม่ี ตี อ่ เสถยี รภาพของวตั ถุการวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยให้นักเรียนออกแรงผลักวัตถุที่ตำ�แหน่งท่ีทำ�ให้วัตถุ ด้านความรู้ เลอื่ นทโ่ี ดยไมห่ มนุ แลว้ ลากเสน้ แนวแรงบนวตั ถนุ นั้ จากนน้ั ท�ำ ซ�ำ้ โดยออก1. ศนู ยก์ ลางมวลเปน็ จดุ ทเ่ี สมอื นเปน็ ทรี่ วมมวล ศูนย์กลางมวล และศูนย์ถ่วงของวัตถุรูปทรงใด ๆ ของวตั ถทุ งั้ กอ้ น อาจอยภู่ ายในหรอื ภายนอก แรงหลาย ๆ แนวทท่ี �ำ ใหว้ ตั ถเุ ลอ่ื นทไ่ี ปโดยไมห่ มนุ อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ จากการน�ำ เสนอชน้ิ งาน การสรปุ การท�ำ แบบฝกึ หดั วตั ถกุ ไ็ ด้ เมอ่ื ออกแรงกระท�ำ ผา่ นศนู ยก์ ลางมวล ได้ว่าแนวแรงเหล่าน้ันจะมาตัดกันที่ตำ�แหน่งหนึ่ง โดยให้ความรู้เพิ่มเติม และแบบทดสอบ ของวัตถุ ทำ�ให้วัตถุมีการเล่ือนท่ีโดยไม่หมุน ว่าต�ำ แหน่งนั้น เรียกวา่ ศนู ยก์ ลางมวล ด้านทักษะ แตถ่ า้ แนวแรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถไุ มผ่ า่ นศนู ยก์ ลาง 2. ให้ความรู้เก่ียวกับวัตถุแข็งเกร็ง ตำ�แหน่งของศูนย์กลางมวลจะอยู่ท่ี การสงั เกต การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื มวลของวัตถุ วตั ถุจะเกิดการหมุน ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� 2. ศนู ยถ์ ว่ งของวตั ถเุ ปน็ จดุ ทเ่ี สมอื นเปน็ ต�ำ แหนง่ ตำ�แหน่งเดิมตลอด ซึ่งอาจอยู่ภายในหรือภายนอกวัตถุก็ได้ เมื่อออกแรง ทรี่ วมน�ำ้ หนกั ของวตั ถุ ถา้ สนามโนม้ ถว่ งมคี า่ กระท�ำ ผา่ นศนู ยก์ ลางมวล วตั ถจุ ะมกี ารเลอ่ื นทโ่ี ดยไมห่ มนุ แตถ่ า้ แนวแรง และการตคี วามหมายขอ้ มูลและลงขอ้ สรปุ จากการ ทกี่ ระท�ำ ตอ่ วตั ถุไม่ผ่านศูนยก์ ลางมวล วัตถจุ ะเกิดการหมนุ ทำ�กิจกรรมและการอภิปรายรว่ มกนั สมำ่�เสมอศูนย์กลางมวลกับศูนย์ถ่วงจะเป็น 3. ให้นักเรียนทำ�กิจกรรมเก่ียวกับการหาศูนย์ถ่วงของวัตถุ โดยการนำ�วัตถุ ตำ�แหน่งเดียวกัน รปู ทรงใด ๆ มาแขวน จากนน้ั ลากเสน้ ตามแนวเสน้ เชอื ก ท�ำ ซ�ำ้ โดยเปลยี่ น ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์3. ตำ�แหน่งของศูนย์ถ่วงมีผลต่อเสถียรภาพ ตำ�แหน่งที่แขวนวัตถุ สังเกต อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่าเมื่อเปล่ียน ความอยากรอู้ ยากเหน็ จากการอภปิ รายรว่ มกนั และ ของวตั ถุ จุดแขวนวัตถุ แนวแรงดึงดูดของโลกที่กระทำ�ต่อวัตถุจะตัดกันที่จุดหน่ึง ซ่ึงเสมือนว่าน้ำ�หนักรวมของวัตถุทั้งหมดจะอยู่ท่ีจุดตัดของแนวแรง และ การทำ�กิจกรรมดา้ นทกั ษะ แรงดึงดูดของโลกต้องกระทำ�ผ่านจุดน้ีไม่ว่าจะแขวนวัตถุในตำ�แหน่งใดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ก็ตาม เรยี กต�ำ แหน่งนว้ี า่ ศนู ยถ์ ว่ งของวัตถุ1. การสังเกต (ตำ�แหน่งของศูนย์กลางมวลและ 4. ให้ความรู้ว่า ในกรณีสนามโน้มถ่วงมีค่าสมำ่�เสมอทั่วปริมาตรของวัตถุ ศนู ยก์ ลางมวลกบั ศนู ยถ์ ว่ งจะอยทู่ ต่ี �ำ แหนง่ เดยี วกนั แตถ่ า้ วตั ถมุ ขี นาดใหญ่ ศนู ยถ์ ว่ งของวตั ถุ) จนทำ�ให้แต่ละส่วนของวัตถุนั้นอยู่ในสนามโน้มถ่วงที่มีค่าไม่สม่ำ�เสมอ 2. การตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ (จากการ ศนู ย์ถ่วงและศนู ย์กลางมวลจะอยูค่ นละต�ำ แหน่งกนั ท�ำ กิจกรรม) 5. ให้นักเรียนทำ�กิจกรรมเก่ียวกับเสถียรภาพของวัตถุ โดยออกแรงกระทำ�ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ต่อวัตถุท่ีมีความสูงให้วัตถุขยับหมุนหรือเอียงไปจากเดิมเล็กน้อย สังเกต1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ ระดับของศูนย์ถ่วงที่เปลี่ยนไปจากเดิม อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่า หากศูนย์ถ่วงสูงขึ้นกว่าระดับเดิม วัตถุจะอยู่ในสมดุลเสถียร ถ้าศูนย์ถ่วง (การอภปิ รายร่วมกันและการน�ำ เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ

การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ฟสิ กิ ส์ 17ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ต่ำ�กว่าระดับเดิมวัตถุอยู่ในสมดุลไม่เสถียร และถ้าศูนย์ถ่วงอยู่ระดับเดิม ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ความอยากร้อู ยากเหน็ วตั ถุจะอยู่ในสมดุลสะเทิน 6. ยกสถานการณ์ เช่น รถบรรทุกผลผลิตทางการเกษตร รถโดยสารสองชั้น แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างศูนย์ถ่วงของวัตถุกับ เสถียรภาพของวัตถุ จนสรุปได้ว่า วัตถุที่มีศูนย์ถ่วงตำ่�จะมีเสถียรภาพ มากกว่าวตั ถุท่ีมศี ูนยถ์ ว่ งสูง 7. ให้นักเรียนยกตัวอย่างการนำ�ความรู้เร่ืองศูนย์กลางมวลและศูนย์ถ่วง ไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตประจ�ำ วนั 8. ให้นกั เรียนสรปุ เพื่อตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ

18 ผลการเรยี นร ู้ 10. วเิ คราะหแ์ ละค�ำ นวณงานของแรงคงตวั จากสมการและพน้ื ทใ่ี ตก้ ราฟความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งแรงกบั ต�ำ แหนง่ รวมทง้ั อธบิ ายและค�ำ นวณก�ำ ลงั เฉลย่ีการวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการทบทวนความรู้เก่ียวกับงานในความหมายของ ดา้ นความรู้ วชิ าฟสิ กิ ส์ จากนนั้ ยกตวั อยา่ งเกยี่ วกบั งานในกรณที แ่ี รงขนานกบั แนวการ1. เม่ือมีแรงคงตัวกระทำ�ต่อวัตถุแล้วทำ�ให้วัตถุ เคลอ่ื นทแี่ ละแรงท�ำ มมุ กบั แนวการเคลอื่ นทขี่ องวตั ถุ แลว้ ตง้ั ค�ำ ถามวา่ งาน งานและกำ�ลัง จากการสรุป การทำ�แบบฝึกหัดและ เคล่ือนที่จะเกิดงาน โดยหางานได้จากความ ในกรณที งั้ สองมคี า่ แตกตา่ งกนั หรอื ไMม่ อยา่ Fงไlร ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั แบบทดสอบ สมั พนั ธร์ ะหวา่ งขนาดของแรงและขนาดของ และนำ�เสนอผล การกระจัดในแนวเดียวกันหรือหาได้จาก ดา้ นทักษะ พ้นื ทใ่ี ต้กราฟระหวา่ งแรงและการกระจดั 2. ให้ความรู้และอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับการหางานเนื่องจากแรงคงตัว 1. การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื ความรว่ มมอื ทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถใุ หเ้ คลอ่ื นทใ่ี นแนวตรMง จนสFรlปุ ไดค้ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งงาน การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� การตีความหมาย2. งานที่ทำ�ในหน่ึงหน่วยเวลาเป็นปริมาณที่ บง่ บอกก�ำ ลงั กับแรงและการกระจัดทอี่ ยใู่ นแนวเดยี วกนั ตามสมการ ข้อมูลและลงข้อสรุป จากการอภิปรายร่วมกันและ การนำ�เสนอผลด้านทักษะ W M= FFxlcos 2. การใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กับงานและกำ�ลัง จากการทำ�แบบฝึกหัดและ 1. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 3. ให้ความรู้และอภิปรายร่วมกันเก่ียวกับการหางานจากพ้ืนท่ีใต้กราฟ แบบทดสอบ (การหางานจากพืน้ ทใี่ ตก้ ราฟ) คในวแานมวสเัมดพยี วันกธนั ์ร)ะหว่างแรงกับกาMรPกavระ=จFัดWl t(โดยแรงและการกระจัดอยู่ ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์2. การใช้จำ�นวน (หางานจากสมการหรือ ความอยากรูอ้ ยากเห็น จากการอภิปรายรว่ มกนั 4. ยกสถานการณก์ ารท�ำ งานทมี่ ปี รมิ าณงานเทา่ กนั แตใ่ ชเ้ วลาตา่ งกนั จากนนั้ พ้นื ทใี่ ต้กราฟ)ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ให้ความรู้เรื่อง กำ�ลัง อภิปราWยร=่วมFกันx จc1oนmsสvรุ2ปได้ความสัมพันธ์ระหว่าง1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ ก�ำ ลงั เฉล่ยี กับงานและเวลา ตามสEมkกา=ร 2 (การอภิปรายร่วมกนั และการนำ�เสนอผล) PEɑavEvpsp==W1m2t gkhs 22. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 5. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั งานและก�ำ ลงั เนอ่ื งจากดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ ความอยากรูอ้ ยากเหน็ แรงคงตัว โ ดย ใ ห้ นั ก เ รี ยนร่ว มEEกk ั น=เ สE1นkm+อvแE2นp ว คิ ด แ ล ะห ลั ก ก าร ใ น ก า ร แก้ปญั หา 2 6. ให้นักเรียนสรุป เพ่ือตรวจสอบควEาpมร=คู้ mวาgมhเข้าใจ E W 1 1 sm2v 2 2 2k p s E  Ek + Ep

ฟสิ กิ ส์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4ผลการเรยี นรู้ 11. อธิบายและค�ำ นวณพลังงานจลน์ พลงั งานศกั ย์ พลังงานกล ทดลองหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างงานกบั พลงั งานจลน์ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งงาน 19 กบั พลังงานศักยโ์ นม้ ถ่วง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งขนาดของแรงท่ใี ช้ดึงสปรงิ กับระยะท่สี ปริงยดื ออกและความสัมพนั ธ์ระหว่างงานกับ พลังงานศกั ยย์ ืดหยุ่น รวมทง้ั อธิบายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งงานของแรงลัพธแ์ ละพลงั งานจลน์ และค�ำ นวณงานทเ่ี กิดข้ึนจากแรงลพั ธ์การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ความหมายและทม่ี าของพลงั งานจลน์ ดา้ นความรู้ พลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถว่ ง พลงั งานศกั ยย์ ดื หยนุ่ และพลงั งานกล จากนน้ั รว่ มกนั1. พลังงานจลน์เป็นพลังงานของวัตถุที่กำ�ลัง อภปิ รายจนสรุปไดค้ วามสัมพันธ์ ตามสมการ พลังงานจลน์ พลังงานศักย์โน้มถ่วง พลังงานศักย์ เคลอ่ื นท่ี พลงั งานศกั ยเ์ ปน็ พลงั งานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ยืดหยุ่น พลังงานกลและความสัมพันธ์ระหว่างงาน S ของแรงลัพธ์กับพลังงานจลน์ จากการสรุป การทำ� กบั ต�ำ แหนง่ หรอื รปู รา่ งของวตั ถุ ผลรวมของ แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ พลังงานจลน์และพลังงานศักย์เรียกว่า 2. ให้นักเรียนทดลองเพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างงานของแรงลัพธ์และ พลงั งานจลน์ จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดค้ วามสมั พนั ธ์ ดา้ นทกั ษะ พลงั งานกล ตามสมการ 1. การวดั การทดลอง การจดั กระท�ำ และสอื่ ความหมาย2. งานและพลงั งานมคี วามสมั พนั ธก์ นั โดยงาน ข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ทท่ี �ำ มผี ลท�ำ ใหว้ ตั ถมุ กี ารเปลย่ี นแปลงพลงั งาน ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� จลน์ พลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถว่ ง หรอื พลงั งานศกั ย์ จากการอภิปรายร่วมกันการทำ�การทดลอง และ รายงานผลการทดลอง ยดื หยุน่ 2. การสอ่ื สารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทันสอ่ื จากการ (ในกรณที ี่วตั ถเุ ริม่ เคลื่อนที่จากหยดุ นิ่ง และ เป็นงานของแรงลพั ธ์) อภปิ รายและน�ำ เสนอผลดา้ นทักษะ 3. ใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. อภิปรายร่วมกันเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างงานของแรงลัพธ์กับการ พลงั งานกล ไดแ้ ก่ พลงั งานจลน์ พลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถว่ ง1. การวดั (ระยะหา่ งระหวา่ งจดุ บนแถบกระดาษ และพลงั งานศกั ยย์ ดื หยนุ่ จากการท�ำ แบบฝกึ หดั และ และคา่ ทีอ่ า่ นไดจ้ ากเครอื่ งช่งั สปริง) เปล่ียนแปลงพลังงานจลน์ จนสรปุ ไดv้ทฤษuฎีบทaงtาน-พลงั งานจลน์ ดังนี้2. การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั แบบทดสอบ พลังงานจลน์ พลังงานศักย์โน้มถ่วงและ x  u  v  t 2  ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ พลงั งานศกั ย์ยืดหยุ่น) ความซื่อสัตย์และความรอบคอบ จากรายงานผล3. การทดลอง ( เป็นงานขxอง=แรuงtลัพธ1)์ at 24. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล 2 การทดลอง (การเขียนกราฟความสัมพันธ์ที่เก่ียวข้อง กบั แรง งานและพลังงาน) v2 = u2  2ax

20 แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ การวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้5. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 4. ให้นักเรียนทดลอง เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างงานและ 2. ความมงุ่ มนั่ อดทน จากการทดลองและการอภปิ ราย (การสรุปผลการทดลอง) พลังงานศักย์โน้มถ่วง จากนั้นให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน จนสรุป ร่วมกัน ได้ความสมั พันธ์ตามสมการทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 211. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ ( เปน็ งานของแรงที่ใชด้ ึงมวลใหเ้ ปลี่ยนระดับด้วยอตั ราเร็วสมำ�่ เสมอ) 5. ให้นักเรียนทดลองเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงท่ีใช้ (การอภิปรายร่วมกันและการน�ำ เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ดงึ สปรงิ และระยะทางทสี่ ปรงิ ยดื ออก จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั เกยี่ วกบั งานและพลงั งานศกั ยย์ ดื หยนุ่ จนสรปุ ไดค้ วามสมั พนั ธ์ ตามสมการดา้ นจิตวิทยาศาสตร์1. ความซอื่ สัตย์ และ 2. ความมุ่งมัน่ อดทน3. ความรอบคอบ ( เป็นงานของแรงทีใ่ ชด้ ึงสปริงออกเปน็ ระยะ ด้วยอตั ราเร็ว สม�ำ่ เสมอ) 6. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ความหมายของแรงอนรุ กั ษ์ เชน่ แรงโนม้ ถว่ ง แรงสปรงิ อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ แรงอนรุ กั ษเ์ ปน็ แรงทท่ี �ำ ใหเ้ กดิ งานทไ่ี มข่ น้ึ กบั เส้นทางการเคล่อื นท่ี 7. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับงานและพลังงาน โดยใหน้ ักเรยี นรว่ มกันเสนอแนวคิดและหลกั การในการแก้ปญั หา 8. ให้นักเรยี นสรุป เพ่อื ตรวจสอบความรู้ความเขา้ ใจ

ฟสิ กิ ส์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4ผลการเรยี นร ู้ 12. อธบิ ายกฎการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานกล รวมทง้ั วเิ คราะหแ์ ละค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถใุ นสถานการณต์ า่ ง ๆ 21 โดยใชก้ ฎการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานกลการวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการยกตัวอย่างเหตุการณ์ท่ีเก่ียวกับกฎการอนุรักษ์ ดา้ นความรู้ พลังงานกล เช่น การปล่อยวัตถุท่ีความสูงต่างกัน แล้วตั้งคำ�ถามว่า1. เมื่อแรงท่ีกระทำ�ต่อวัตถุเป็นแรงอนุรักษ์ พลังงานจลน์และพลังงานศักย์ของวัตถุท่ีตำ�แหน่งต่าง ๆ เปล่ียนแปลง กฎการอนุรักษ์พลังงานกล จากการสรุป การเขียน ผลรวมของพลังงานศักย์และพลังงานจลน์ อยา่ งไรใหน้ กั เรยี นอภิปรายรว่ มกนั และนำ�เสนอผล ผังมโนทศั น์ การทำ�แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ ของวัตถุที่ตำ�แหน่งใด ๆ มีค่าคงตัว เป็นไป ตามกฎการอนุรักษ์พลังงานกล 2. นำ�แถบกระดาษที่ดึงผ่านเครื่องเคาะสัญญาณเวลาจากการปล่อยวัตถุ ดา้ นทกั ษะ ตกแบบเสรมี าวเิ คราะห์ เพอ่ื ค�ำ นวณพลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถว่ งและพลงั งานจลน์ 1. การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื ความรว่ มมอื2. การใช้กฎการอนุรักษ์พลังงานกล อธิบาย ของวัตถุท่ีตำ�แหน่งต่าง ๆ และอภิปรายร่วมกันจนสรุปได้ว่า ผลรวมของ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� การวัด และการ ปริมาณท่ีเก่ียวข้องกับการเคลื่อนท่ีของวัตถุ ตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ จากการสรปุ การท�ำ ในสถานการณ์ต่าง ๆ พลงั งานศักยโ์ นม้ ถ่วงและพลงั งานจลน์มีค่าคงตวั กจิ กรรมและบนั ทกึ ผลการท�ำ กิจกรรม 3. ทบทวนความรเู้ กย่ี วกบั แรงอนรุ กั ษ์ อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ เมอื่ แรง 2. ใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านทกั ษะ ทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถเุ ปน็ แรงอนรุ กั ษ์ ผลรวมของพลงั งานศกั ย์ และพลงั งานจลน์ การเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยใช้กฎการอนุรักษ์ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ของวตั ถทุ ต่ี �ำ แหนง่ ใด ๆ จะมคี า่ คงตวั เปน็ ไปตามกฎการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานกล พลังงานกล จากบันทึกผลการทำ�กิจกรรม การทำ�1. การวดั (ระยะหา่ งระหวา่ งจดุ บนแถบกระดาษ) 4. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การเคลอื่ นทข่ี องวตั ถุ2. การใชจ้ �ำ นวน (ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง แบบฝึกหัดและแบบทดสอบ กบั การเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถใุ นสถานการณต์ า่ ง ๆ ในสถานการณต์ า่ ง ๆ โดยใชก้ ฎการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานกล โดยใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั จากสมการ) เสนอแนวคิดและหลกั การในการแกป้ ญั หา ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์3. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 5. ให้นักเรยี นสรปุ เพอื่ ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ ความอยากร้อู ยากเหน็ จากการอภิปรายร่วมกนั (วเิ คราะหจ์ ากแถบกระดาษ)ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 211. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ (การอภิปรายร่วมกันและการน�ำ เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ความอยากร้อู ยากเหน็

22 ผลการเรยี นรู้ 13. อธบิ ายการท�ำ งาน ประสทิ ธภิ าพและการไดเ้ ปรยี บเชงิ กลของเครอ่ื งกลอยา่ งงา่ ยบางชนดิ โดยใชค้ วามรเู้ รอ่ื งงานและสมดลุ กล รวมทง้ั ค�ำ นวณประสทิ ธภิ าพและการไดเ้ ปรยี บเชงิ กลการวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยการอภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ทบทวนเกยี่ วกบั การท�ำ งาน ดา้ นความรู้ ของเครอ่ื งกลอยา่ งงา่ ยบางชนดิ ทใ่ี ชค้ วามรเู้ กย่ี วกบั งานและโมเมนต์ และ1. หลกั การท�ำ งานของเครอ่ื งกลอยา่ งงา่ ยบางชนดิ จากน้ันให้นักเรียนยกตัวอย่างเครื่องกลอย่างง่ายท่ีใช้ความรู้เก่ียวกับงาน หลักการทำ�งานของเครื่องกลอย่างง่ายและ อาศยั ความรูเ้ กย่ี วกบั งานและสมดลุ กล และโมเมนต์ในการอธบิ าย ประสิทธิภาพของเครื่องกลอย่างง่ายโดยใช้ความรู้2. รอ้ ยละของอตั ราสว่ นระหวา่ งงานทไี่ ดต้ อ่ งาน 2. ให้ความรู้เก่ียวกับการใช้สมการอธิบายการทำ�งานของเคร่ืองกล โดยใช้ เรื่องงาน จากการสรุป การทำ�แบบฝึกหัดและ ท่ีให้แก่เครื่องกล เรียกว่า ประสิทธิภาพของ หลักของงานและสมดุลกล กรณีที่ไม่มีแรงเสียดทาน แต่ในความเป็นจริง แบบทดสอบ เครือ่ งกลอย่างงา่ ย จะมีแรงเสียดทานหรือแรงต้านเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ทำ�ให้งานท่ีได้จาก3. อตั ราสว่ นระหวา่ งแรงทไ่ี ดก้ บั แรงทใ่ี ห้ เรยี กวา่ เครอื่ งกลน้อยกวา่ งานทีใ่ หแ้ ก่เคร่ืองกล ดา้ นทกั ษะ การได้เปรียบเชิงกลของเคร่ืองกล ซึ่งเป็น 1. การใชจ้ �ำ นวน จากการท�ำ แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ ปริมาณท่ีบ่งบอกถึงการผ่อนแรงหรือการ 3. ให้ความรู้เกี่ยวกับอัตราส่วนระหว่างงานท่ีได้รับจากเคร่ืองกลกับงานท่ีให้ 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ อำ�นวยความสะดวกของเครื่องกลชนดิ นนั้ กบั เครอื่ งกล ซงึ่ เรยี กวา่ ประสทิ ธภิ าพของเครอ่ื งกล จากนนั้ ยกสถานการณ์ การหาประสทิ ธภิ าพของเครอื่ งกลบางชนดิ อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ อภปิ รายรว่ มกนั และการน�ำ เสนอผลดา้ นทกั ษะทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การบอกคา่ ของประสทิ ธภิ าพของเครอ่ื งกลบอกเปน็ รอ้ ยละของอตั ราสว่ น ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ การใช้จำ�นวน (ประสิทธิภาพและการได้ ระหวา่ งงานทไ่ี ดต้ อ่ งานทใ่ี หแ้ กเ่ ครอ่ื งกล และมคี า่ นอ้ ยกวา่ 100 ตามสมการ ความอยากรอู้ ยากเหน็ ความรอบคอบ และความมงุ่ มน่ั อดทน จากการอภิปรายรว่ มกนั เปรยี บเชิงกล)ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 x การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ 4. ต้ังคำ�ถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครื่องกลอย่างง่ายในชีวิตประจำ�วัน (การอภปิ รายรว่ มกันและการน�ำ เสนอผล) จากนั้นใหน้ กั เรียนอภปิ รายร่วมกันและน�ำ เสนอผลด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ 5. ยกตวั อยา่ งเกยี่ วกบั การค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ประสทิ ธภิ าพ1. ความอยากรู้อยากเห็น ของเครื่องกลอย่างง่าย โดยให้นักเรียนร่วมกันเสนอแนวคิดและหลักการ 2. ความมุ่งมั่นอดทน ในการแก้ปัญหา3. ความรอบคอบ

การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ ฟสิ กิ ส์ 23 6. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั การไดเ้ ปรยี บเชงิ กลวา่ เปน็ ปรมิ าณทไ่ี ดจ้ ากการเปรยี บเทยี บ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4 ขนาดของแรงที่ได้จากเครื่องกลกับปริมาณของแรงที่กระทำ�ต่อเครื่องกล แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ การไดเ้ ปรยี บเชงิ กล มคี วามสมั พนั ธ์ ตามสมการ out in ในกรณที ี่เครือ่ งกลมีประสทิ ธิภาพ 100% out in in out จากน้ันให้นักเรียนยกตัวอย่างเคร่ืองกลอย่างง่ายท่ีสามารถผ่อนแรงหรือ อ�ำ นวยความสะดวกในการท�ำ งาน โดยพจิ ารณาจากคา่ การไดเ้ ปรยี บเชงิ กล 7. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับเครื่องกลอย่างง่าย และการไดเ้ ปรยี บเชงิ กล โดยใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั เสนอแนวคดิ และหลกั การ ในการแก้ปญั หา 8. ให้นักเรียนสรุป เพ่ือตรวจสอบความร้คู วามเข้าใจ

24 ผลการเรยี นร ู้ 14. อธบิ ายและค�ำ นวณโมเมนตมั ของวตั ถุ และการดลจากสมการและพน้ื ทใ่ี ตก้ ราฟความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งแรงลพั ธก์ บั เวลา รวมทง้ั อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งแรงดลกบั โมเมนตมัการวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยให้นักเรียนปล่อยวัตถุมวลต่างกันให้ตกกระทบมือ ด้านความรู้1. โมเมนตัมเป็นปริมาณที่อธิบายการเคล่ือนท่ี จากระดับความสงู เดยี วกัน และปล่อยวัตถชุ นิ้ เดยี วกันจากระดับความสงู 1. แรงทใี่ ชใ้ นการหยดุ วตั ถทุ มี่ โี มเมนตมั ตา่ งกนั จากการ ของวัตถุ สำ�หรับวัตถุหน่ึงโมเมนตัมมีค่า อภปิ รายรว่ มกนั ขน้ึ กับมวลและความเร็ว ต่างกันให้กระทบมือ เปรียบเทียบแรงที่ใช้ในการหยุดวัตถุในแต่ละกรณี 2. ผลของแรงลัพธท์ ีม่ ตี ่อการดลของวัตถุ จากการสรปุ2. แรงลัพธ์ที่กระทำ�ต่อวัตถุจะทำ�ให้โมเมนตัม อภปิ รายรว่ มกันและน�ำ เสนอผล การท�ำ แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ ของวัตถุเปลี่ยนแปลง โดยแรงลัพธ์ที่กระทำ� ตอ่ วตั ถใุ นเวลาสนั้  ๆ เรยี กวา่ แรงดล ซงึ่ หาได้ 2. ให้ความรู้เก่ียวกับโมเมนตัมของวัตถุว่าเป็นปริมาณของการเคลื่อนท่ี ดา้ นทักษะ 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ การตี จากอตั ราการเปล่ียนโมเมนตัมของวตั ถุ ของวตั ถุ มคี วามสัมพันธก์ ับมpวล=แลmะคvวามเร็วตามสมการ ความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป จากการอภิปราย3. การดลเปน็ ปรมิ าณทบ่ี ง่ บอกการเปลย่ี นแปลง โมเมนตมั ของวตั ถุ มคี วามสมั พนั ธก์ บั แรงดล รขกให่วอร้นมะงวักกทตั เันำ�รถตเียุก่อตน่ียวาใวมัชตกส้กถับมฎุจกกะกาามารรรีคเเควคiาลลn1ม่ื่ืออinสFนนp1inัมiททp1F==พ่ีข่ีขiFp=ัน้อ=อmiทธ=ง=mpt์วvก่ีสัตัmอบpvtถงอptvขุจัตอนรงสานกริวุปาตรไันเดปว้วิเล่าค่ียรผนาละแขหปอ์แลงลงแะโรมองเภมลิปัพนรตธา์ทัมยี่ ร่วมกันและการนำ�เสนอผล และเวลา และหาไดจ้ ากพนื้ ทใ่ี ตก้ ราฟระหวา่ ง 3. 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั แรงลัพธ์กับเวลา  โมเมนตัมของวัตถุ แรงดล การดลทั้งการใช้สมการ และพ้ืนทีใ่ ต้กราฟ จากแบบฝกึ หัดและแบบทดสอบดา้ นทกั ษะ มโใใหสใหนมหมคีรค้กเ้นือกวมวรัหากานาณมรเามรตสกีทรียัมัมาแ่ีเู้ นรกขพรดใยี่องนั ชลวลงธ้คกจพัว์กวบาััตธับกาiกถท์nมกพา1ุวี่กiาสรนื้nิเFรร1iดคัมทnะเiลF1รพปทIใี่วาiตFiลันำ�nIา่ะI1้ก่ียiตธหเIรน่อ์Fปรt์แาแะวน็iฟลัตi=หปtคnระถ1ixวลtวiะnmอnใุ่างา1Fห1นiภโงมnmpvtiFมวช1แFิปสmา่2เuiว่รviFมัรมงงงx2าแvพiนเลtยtวร2นัตmัพลงรtัมtธลธ่าวmvร์ตtสัพ์กม1ะmาvน้ัับกธหม1 ก์vันอๆวสบั1ัาต่จมเงเรรนกวแียาสลารกกรงราาวดุปร่าลไเกแดปบัร้วลง่าเ่ียวดนลลกาแาปรตดาลมลง ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4. ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์1. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (โดย ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความรอบคอบ จากการ   อาศยั ความรู้จากกฎการเคลือ่ นทขี่ องนวิ ตนั ) อภิปรายรว่ มกัน2. การใช้จำ�นวน (ปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวกับ โมเมนตัมของวัตถุ การดล และแรงดล) 5. ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ (การอภปิ รายร่วมกนั และการนำ�เสนอผล)  n  vyxt uyxmuxvat2uytxtm v Fi 1  i 1 yvyy vyuuyxyuuuyyya2vu1yyvtxatyvtyyt t 

การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ ฟิสิกส์ 25ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ 6. ยกสถานการณเ์ กย่ี วกบั โมเมนตมั การดล และแรงดลทพ่ี บในชวี ติ ประจ�ำ วนั ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 41. ความอยากรู้อยากเห็น จากนัน้ ให้นกั เรียนอภิปรายรว่ มกนั และนำ�เสนอผล2. ความรอบคอบ 7. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั โมเมนตมั ของวตั ถุ การดล แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแรงดล โดยใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั เสนอแนวคดิ และหลกั การในการแกป้ ญั หา 8. ใหน้ กั เรยี นสรุป เพอื่ ตรวจสอบความรูค้ วามเข้าใจ

26 ผลการเรยี นร ู้ 15. ทดลอง อธบิ ายและค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั การชนของวตั ถใุ นหนง่ึ มติ ทิ ง้ั แบบยดื หยนุ่ ไมย่ ดื หยนุ่ และการดดี ตวั แยกจากกนั ในหนง่ึ มติ ิ ซง่ึ เปน็ ไปตามกฎการอนรุ กั ษโ์ มเมนตมัการวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยยกตัวอย่างและอภิปรายเกี่ยวกับการชนที่เกิดข้ึน ดา้ นความรู้ ในชวี ติ ประจำ�วนั1. การชนกนั ของวตั ถแุ ละการดดี ตวั แยกจากกนั การชนของวตั ถใุ นแนวตรงในแนวตรงทง้ั แบบยดื หยนุ่ ของวัตถุในแนวตรง เม่ือไม่มีแรงภายนอก 2. อภิปรายร่วมกันเพื่อทบทวนความรู้เกี่ยวกับโมเมนตัมและพลังงานจลน์ ไม่ยืดหยุ่น และการดีดตัวแยกจากกันของวัตถุ จากนั้น ให้นักเรียนทดลอง เพ่ือศึกษาการชนของวัตถุในหน่ึงมิติท้ังแบบ กระทำ� โมเมนตัมรวมของระบบมีค่าคงตัว ยืดหยุ่น ไม่ยืดหยุ่น และการดีดตัวแยกจากกันของวัตถุ จากนั้นอภิปราย เมื่อไม่มีแรงภายนอกกระทำ� และกฎการอนุรักษ์ ซ่งึ เปน็ ไปตามกฎการอนุรกั ษโ์ มเมนตัม ร่วมกนั จนสรปุ ไดว้ ่าเมอ่ื ไมม่ ีแรงภายนอกกระท�ำ ต่อวัตถุ การชนทุกแบบ โมเมนตมั จากการอภปิ รายรว่ มกนั การสรปุ การท�ำ2. การชนที่พลังงานจลน์รวมของระบบคงตัว และการดีดตัวแยกจากกันของวัตถุเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ เปน็ การชนแบบยดื หยนุ่ สว่ นการชนทพ่ี ลงั งาน สำ�หรับการชนแบบยืดหยุ่นผลรวมพลังงานจลน์ของระบบมีค่าคงตัว จลน์รวมของระบบไม่คงตัวเป็นการชนแบบ แตก่ ารชนแบบไมย่ ดื หยนุ่ ผลรวมพลงั งานจลนข์ องระบบมคี า่ ไม่คงตวั ด้านทกั ษะ ไมย่ ืดหยุน่ 1. การวัด การทดลอง การตีความหมายข้อมูลและ 3. ยกสถานการณ์เกี่ยวกับกฎการอนุรักษ์โมเมนตัมในหนึ่งมิติท่ีพบ ดา้ นทักษะ ในชวี ติ ประจำ�วัน จากนั้นใหน้ ักเรียนอภิปรายรว่ มกนั และนำ�เสนอผล ลงข้อสรุป ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ภาวะผนู้ �ำ จากการอภปิ รายรว่ มกนั การท�ำ การทดลอง1. การวดั (ระยะหา่ งระหวา่ งจดุ บนแถบกระดาษ) 4. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการชนของวัตถุและ และรายงานผลการทดลอง2. การใช้จำ�นวน (ผลรวมโมเมนตัมก่อนและ การดีดตัวแยกจากกันของวัตถุในหนึ่งมิติเมื่อไม่มีแรงภายนอกกระทำ� 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จาก โดยใหน้ ักเรยี นรว่ มกันเสนอแนวคดิ และหลกั การในการแกป้ ัญหา การนำ�เสนอผล หลังชนและผลรวมของพลังงานจลน์ก่อน 3. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั และหลังชน) 5. ใหน้ ักเรยี นสรุป เพ่อื ตรวจสอบความรู้ความเขา้ ใจ การชนของวัตถุและการดีดตัวแยกจากกันของวัตถุ3. การทดลอง เมือ่ ไมม่ แี รงภายนอกกระท�ำ จากการทำ�แบบฝึกหัด4. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป และแบบทดสอบ (จากผลการทดลอง)ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ 1. ความซื่อสัตย์ ความรอบคอบ จากรายงานผลการ (การอภปิ รายรว่ มกันและการน�ำ เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ทดลอง 2. ความมุ่งมั่นอดทนและความอยากรู้อยากเห็น จากการท�ำ การทดลองและการอภิปรายรว่ มกัน

การวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 27ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 41. ความซอ่ื สัตย์2. ความมุ่งมั่นอดทน แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้3. ความรอบคอบ4. ความอยากรอู้ ยากเหน็

28 ผลการเรยี นรู้ p = mv 16. อธบิ าย วเิ คราะห์ และค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง pๆ ท=pเ่ี กmย่ี=vวขmอ้ vงกบั การเคลอ่ื นทแ่ี บบโพรเจกไทล์ และทดลองการเคลอ่ื นทแ่ี บบโพรเจกไทล์ การวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ 1. แจคใอใโกใในพหหหนนภาวนำ�้้น้นรรคแาเสปิวขเเมักวันกรรคจร้าเาุปเเะาวกลรรรสมยดไรง่ไือ่ียียู่ดบทรรโาับนนนนู้ว่ว้วบทลขทอมา่่ทาม้ ์ทเอซเ่ีภกรถดกปี่มกงงึ่ียนัิปi่วลา็นnมวีาคงนเร1รอัตรกแีคขวเาFงเคถย่ีนiวiอายโคnniiลาวุiดทมเวง1nรแ1iลnIพ1มnกื่อโโ่วย1ี่เกF1นFื่อลคFรสบั่ืนอมสำF�iFวกiน็iง้วiiมัศกiทกลnาiInIiทnIiคท1nพ1แIา1ึกัtนธี่แัง=1างรลี่แเิษนัตFบFFเpงiFตpคกกะบnกธiาบiกii1ัรtวลtนี่ยt=t====ค์ต=บmาาโะp่ือtวFixำ�พiiราวรinโจสnmnmnกเน1v1มพiโาจ1รส1ดั่mวยัpบpmมttทm2FสFเvvัดpรนpแtนFtจFนแviสมiี่แเกลuอvกใviจi2น2วัมกบาะนtผไ2x2กัตmวารพทคบtลแไtรกเถtวลmันทรโนmvาุtใาtพ์เยีธm1ลmวvหรปมvน์รก1์เดป้เน็เ1คvvเราคร่ิงรจว1ลว1็รู้มละถิกขื่เอ่ืีอคกคโีไอนคทนอวลงท้งาลบ่ือทวพี่แมตั์น่ีดแลาอเถ้ทวบรระภทุ ย่ี่าใงบสิปนเี่โกคคาโบรแางพเลลหารตนอรื่ ายเตัววเคนรจุซทดลท่วกึ่ิ่งง่ีทื่อมแี่ แเไำ�ปนบกทลใ็ับทนนหละ่ี์ ้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 2. ด้านความรู้1. การเคลอ่ื นทแ่ี บบโพรเจกไทลเ์ ปน็ การเคลอ่ื นท่ี  3. การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ ในกรณีท่ีวัตถุมี ของวตั ถใุ นสองมติ ิ โดยแนวการเคลอ่ื นทเ่ี ปน็ ความเร็วต้นในแนวราบและทำ�มุมกับแนวราบ 4. โดยสังเกตจากการอภิปรายร่วมกัน และการ วถิ โี คง้ พาราโบลา และการเคลอ่ื นทใ่ี นแนวราบ วิเคราะห์ มคี วามเรว็ คงตวั สว่ นการเคลอ่ื นท่ใี นแนวด่งิ แนวระดับ vyxxxuuyxtuuxaxtxytt ดา้ นทักษะ เปน็ การเคลือ่ นที่ด้วยความเร่งคงตัว แนวดิง่ 1. การวดั การทดลอง การจดั กระท�ำ และสอื่ ความหมาย2. ในกรณีการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ใน สนามโน้มถ่วงของโลก การเคล่ือนที่ในแนว ขอ้ มูล การตคี วามหมายข้อมูลและลงขอ้ สรปุ ความ ร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� จากการ ด่งิ เป็นการเคลื่อนทแี่ บบเสรี อภปิ รายรว่ มกันและรายงานผลการทดลอง 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการด้านทักษะ อภปิ รายร่วมกันและน�ำ เสนอผลทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั1. การวดั (ระยะในแนวดิง่ ท่ีวัตถเุ คล่อื นท่ีได)้2. การทดลอง3. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล yyvvyy2yyyyyyvyuyvvvvvvyyyuuy2yy2y2y2tuuyyuuy2yuuyyyuuuu2ututtutuuyy12yyyyyay2y2vy2y2222ay22y1212taa1a2v1v2ya2v2ayvtayyyyt2t2taay2ayyayytttayayyyt2t2yttyytt22yy yy การเคล่ือนที่แบบโพรเจกไทล์ จากแบบฝึกหัดและ (เขยี นกราฟจากขอ้ มลู การเคลอื่ นทข่ี องวตั ถ)ุ แบบทดสอบ 5. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับการเคลื่อนที่แบบ 4. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป โพรเจกไทล์ท้ังในกรณีที่วัตถุมีความเร็วต้นในแนวราบและทำ�มุมกับ ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ (การสรุปผลการทดลอง) แนวราบ โดยใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั เสนอแนวคดิ และหลกั การในการแกป้ ญั หา 1. ความซ่ือสัตย์และความรอบคอบ จากรายงานผล5. การใช้จำ�นวน (ปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการ การทดลอง เคลื่อนทแี่ บบโพรเจกไทล)์ 2. ความมุ่งมั่นอดทนและความอยากรู้อยากเห็น จากการทดลอง และการอภิปรายรว่ มกนัทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 211. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ (การอภปิ รายร่วมกนั และการนำ�เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 6. ใหน้ กั เรยี นสรปุ เพ่อื ตรวจสอบความรูค้ วามเขา้ ใจ

การวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 29ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 41. ความซอ่ื สัตย์2. ความมุ่งมั่นอดทน แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้3. ความรอบคอบ4. ความอยากรอู้ ยากเหน็

30 ผลการเรียนร ู้ 17. ทดลองและอธิบายความสมั พันธร์ ะหว่างแรงส่ศู ูนยก์ ลาง รัศมขี องการเคล่ือนท่ี อตั ราเร็วเชงิ เสน้ อตั ราเรว็ เชงิ มมุ และมวลของวตั ถใุ นการเคลอื่ นที่ แบบวงกลมในระนาบระดบั รวมทง้ั คำ�นวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง และประยุกต์ใช้ความรูก้ ารเคลอ่ื นทแ่ี บบวงกลมในการอธบิ าย การโคจรของดาวเทียมการวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการสาธิตการเคล่ือนท่ีเป็นวงกลมของวัตถุ นำ�วัตถุ ด้านความรู้ ผูกกับเชือกแล้วเหวี่ยงวัตถุให้เคล่ือนท่ีเป็นวงกลมในระนาบระดับ 1. วัตถุที่เคล่ือนท่ีแบบวงกลม จะมีแรงกระทำ� การเคลื่อนท่ีแบบวงกลมในระนาบระดับด้วย ในทิศทางเขา้ สศู่ ูนย์กลาง ซง่ึ มีความสัมพนั ธ์ ให้นักเรียนสังเกตแนวการเคล่ือนท่ีของวัตถุและแรงดึงในเส้นเชือก อตั ราเรว็ คงตวั จากการอภปิ รายรว่ มกนั และการเขยี น กบั มวล อตั ราเร็ว และรัศมีการเคล่อื นที่ของ เมอื่ เหวย่ี งวตั ถดุ ว้ ยอตั ราเรว็ ทแ่ี ตกตา่ งกนั จากนน้ั อภปิ รายรว่ มกนั เกย่ี วกบั วตั ถุ แรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ วัตถแุ ละทิศทางของความเร็วของวัตถุและน�ำ เสนอผล ผังมโนทัศน์ 2. ให้ความรเู้ ก่ียวกบั แรงสู่ศูนยก์ ลาง ความเรง่ สศู่ นู ยก์ ลาง คาบ ความถ่ีและ2. การโคจรของดาวเทยี มอธบิ ายไดโ้ ดยใชค้ วามรู้ อตั ราเรว็ ของวตั ถทุ เี่ คลอ่ื นทแ่ี บบวงกลมในระนาบระดบั ดว้ ยอตั ราเรว็ คงตวั ดา้ นทกั ษะ เกย่ี วกบั การเคล่อื นทแี่ บบวงกลม 1. การวดั การทดลอง การจดั กระท�ำ และสอื่ ความหมาย 3. ใวหเิ ค้นรักาเะรหียผ์ นFลทcกด=าลรทอmงดrvล2เพองื่อแศลึกะษอาภกปิ ารราเยครลว่ ื่อมนกทนั ่ีแจบนบสวรงปุ กไลดมว้ ขา่ อแงรวงัตสถศู่ ุนู จยาก์ กลนาั้นงดา้ นทกั ษะ ข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุปทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ รัศมีของการเคลื่อนที่ อัตราเร็วและมวลของวัตถุ ในการเคลื่อนที่ ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� 1. การวดั (คาบการแกวง่ ของวัตถ)ุ แบบวงกลม มคี วามสมั พนั ธ์ ตามสมการ จากการอภปิ รายรว่ มกนั และรายงานผลการทดลอง2. การทดลอง 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ3. การใช้จำ�นวน (ปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง Fc  m2r อภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล กับการเคลื่อนทีแ่ บบวงกลม) 4. ให้ความรู้เก่ียวกับอัตราเร็วเชิงมFุมc =ซ่ึงmมrvีค2วามสัมพันธ์กับอัตราเร็วเชิงเส้น 3. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั4. การจัดกระทำ�และสื่อความหมายข้อมูล การเคลื่อนท่ีแบบวงกลม จากแบบฝึกหัดและ ตามสมการ v   r จากนั้นอภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ความสัมพันธ์ (เขียนกราฟท่ีเกี่ยวข้องกับแรงสู่ศูนย์กลาง แบบทดสอบ รัศมีการเคลื่อนทแี่ ละคาบ) ตามสมการ5. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ (การสรปุ ผลการทดลอง) Fc  m2r 1. ความซื่อสัตย์และความรอบคอบ จากรายงานผลทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 211. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ 5. ยกตวั อยา่ งการเคลอื่ นทแี่ บบวงกลมของวตั ถุ เชน่ การเคลอ่ื นทข่ี องรถยนต์ การทดลอง (การอภิปรายร่วมกนั และการนำ�เสนอผล) 2. ความมุ่งมั่นอดทนและความอยากรู้อยากเห็น 2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ รถจกั รยานยนตท์ ก่ี �ำ ลงั เลยี้ วโคง้ บนvถนนรrาบและถนนเอยี ง การโคจรของ จากการทดลองและการอภปิ รายรว่ มกนั ดาวเทียมเป็นวงกลมรอบโลก และการเคล่ือนท่ีของดาวเทียมท่ีมีวงโคจร ค้างฟ้า ให้นักเรียนอภิปรายรว่ มกนั และนำ�เสนอผล

การวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฟสิ ิกส์ 31ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ 6. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แบบ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 41. ความซื่อสตั ย์ วงกลมของวัตถุ โดยให้นักเรียนร่วมกันเสนอแนวคิดและหลักการในการ2. ความมงุ่ มนั่ อดทน แกป้ ัญหา แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้3. ความรอบคอบ4. ความอยากรู้อยากเห็น 7. ใหน้ กั เรยี นสรปุ เพื่อตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ

32 ฟิสกิ ส์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5

ฟสิ กิ ส์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 33สาระฟสิ กิ ส์ 2. เขา้ ใจการเคลอื่ นทีแ่ บบฮารม์ อนกิ ส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสยี งและการไดย้ ิน ปรากฏการณท์ ี่เก่ียวขอ้ งกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณท์ เ่ี ก่ยี วข้องกบั แสง รวมทง้ั น�ำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ผลการเรยี นรู้ 1. ทดลองและอธิบายการเคลอื่ นทแี่ บบฮาร์มอนกิ อย่างง่ายของวัตถุติดปลายสปรงิ และลกู ตุม้ อยา่ งง่าย รวมท้งั ค�ำ นวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ งการวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยอภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ทบทวนเกยี่ วกบั แอมพลจิ ดู คาบ ดา้ นความรู้ และความถ่ี จากนั้นสาธิตการแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่ายและการเคลื่อนที่1. การเคลอ่ื นทแ่ี บบฮารม์ อนกิ อยา่ งงา่ ยเปน็ การ ของวตั ถตุ ดิ ปลายสปรงิ ทเ่ี ปน็ การเคลื่อนที่กลับไปกลับมา โดยใหน้ ักเรียน 1. การเคลอ่ื นทแ่ี บบฮารม์ อนกิ อยา่ งงา่ ยและการวเิ คราะห์ เคล่ือนท่ีแบบสั่นที่มีแอมพลิจูดคงตัว โดยมี สังเกต อภิปรายรว่ มกันเกย่ี วกบั ลักษณะการเคลอ่ื นท่ี และน�ำ เสนอผล ปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จากการอภิปรายร่วมกัน ความเรง่ ไมค่ งตวั และมที ศิ ทางตรงขา้ มกบั ทศิ 2. ให้ความรู้ว่า การเคลื่อนท่ีกลับไปกลับมาเป็นการเคล่ือนที่แบบสั่น และ และการเขียนผังมโนทศั น์ ของการกระจดั ในกรณีแอมพลิจูดคงตัว เรียกว่า การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 2. ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการกระจดั กบั เวลา ความเรว็2. เมอื่ ฉายแสงใหข้ นานกบั ระนาบการเคลอื่ นท่ี จากนั้นให้นักเรียนยกตัวอย่างการเคล่ือนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายท่ี พบเห็นในชีวิตประจำ�วัน อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับการกระจัด ความเร็ว กับเวลาและความเร่งกับเวลาของวัตถุที่เคล่ือนท่ี แบบวงกลมของวัตถุ เงาของวัตถุบนฉาก ความเรง่ ของวตั ถุ และแรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถทุ เ่ี คลอ่ื นแบบฮารม์ อนกิ อยา่ งงา่ ย แบบฮารม์ อนิกอย่างง่าย จากการเขยี นกราฟ จ ะ เ ค ล่ื อ น ที่ ก ลั บ ไ ป ก ลั บ ม า ใ น แ น ว ต ร ง 3. ความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิก ซงึ่ เปน็ การเคลอื่ นทแ่ี บบฮารม์ อนกิ อยา่ งงา่ ย 3. ให้นักเรียนทดลอง เพ่ือศึกษาการกระจัดและความเร็วของรถทดลอง อย่างง่ายและการเคล่ือนท่ีแบบวงกลม จากการ3. การแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่าย โดยเชือก ท่ีเคล่ือนท่ีแบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายในช่วงเวลาคร่ึงคาบ จากนั้นอภิปราย วิเคราะห์และสรุปเป็นสมการแสดงความสัมพันธ์ ท�ำ มมุ เลก็ ๆ กบั แนวดง่ิ และการเคลอ่ื นทข่ี อง ร่วมกัน จนสรุปได้ว่า การกระจัดและเวลา รวมทั้งความเร็วและเวลา ของการกระจัด ความเร็ว ความเร่งของวัตถุที่มี วัตถุติดปลายสปริงเป็นการเคล่ือนที่แบบ มคี วามสมั พนั ธก์ ันเป็นรูปฟังก์ชนั แบบไซน์ การเคลอ่ื นทแ่ี บบฮารม์ อนกิ อยา่ งงา่ ยและการเคลอ่ื นท่ี ฮาร์มอนกิ อยา่ งงา่ ย แบบวงกลม 4. ยกสถานการณ์การหมุนแผ่นกลมท่ีมีดินนำ้�มันติดอยู่บนแผ่นบริเวณขอบด้านทักษะ ดว้ ยอตั ราเรว็ คงตวั แลว้ ฉายแสงขนานล�ำ ใหญใ่ นแนวขนานกบั ระนาบของ ด้านทักษะทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1. การวัด การทดลอง การตีความหมายข้อมูลและ1. การวดั (ระยะหา่ งระหวา่ งจดุ บนแถบกระดาษ แผน่ กลมเพอ่ื ใหเ้ กดิ เงาบนฉาก ซงึ่ ตงั้ ฉากกบั ล�ำ แสง เงาของวตั ถบุ นฉากจะ และคาบการแกวง่ ของลูกตุ้มอยา่ งง่าย) เคลื่อนที่กลับไปมาในแนวตรงแบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย อภิปรายร่วมกัน ลงข้อสรุป การจัดกระทำ�และสื่อความหมายข้อมูล2. การทดลอง ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� จนไดค้ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการเคลอ่ื นทแ่ี บบวงกลมกบั การเคลอ่ื นทแ่ี บบสน่ั จากการอภปิ รายร่วมกนั และรายงานการทดลอง

xA sixn( At sin)( t   )34 x A sxin(Atsin() t   )การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ v แAนวทvcาoงsก(าAรจtัดcกoารs)เ(รียนt รู้  ) แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ vx x AAvAsicnsoi(nsA((t ttcos)()) t   ) 124ทด5321 .......า้ัก นษคคกกกกค(อ((ทจคกกกจะาววยววาา่ีเาาาาากิตราแาาาร่ากรรรรรใมมีย่มมสงหวจสเอสตชงรวขเซม่ือทิั่งดรภจรี้มคา่ว่ขยี่อืงุ่ศสปุว็�ยำยมปิกก้อวมนสนาตผ)ามกรรงาานั่กรตัววศลอาาืกะรมสรอนยรรยกาบัทกกาาหดกร์รสา(คฟาำรา�กษรท่วรมตราสรแะคามททนทาบรจรเนลวกด�่ีำคยก์ดแัา2เนัะงลรทลมขลา1แสแอะื่นะ้ศอสอลื่ลงอจคัมเแน)ะมะดัปควพลกูกทลน็าวคะรนัาี่แมทแาวากรธยมาบีมฟลนา์ทมาแหคบะร�ำ ่เีวเลรวกเรลมฮเสะู้าเว็ชยี่ งาาทภนมือวคขยรา่าสอขกว์้มวอขทมัผอ้า)ะ้อสอันพลมงผนกมร)เสนันู้ รุับปิูื่กอลธ�ำง่ ์ 59678..... avvaxaอฮใใลอยวกตตยอใvvaxหนหัตกูภภกภดก�าิำา้นก้แนรถรตปสตปิิปิป์าแมหักุัุ้มกถัAวลรรรแAAรกAเอนาอาาเาาลรแมรAวยยนยยนs่งยAยีะกsีคีย่งสรiรสริ่กาก2cนi้ปnโc2วว่นค่วม่วnปงxoอาดสาัญxมoม(ม2า่กดทรA(ร2ยsยรมAคกsกกาุลงิหณsด(ุป่าปสs2(นัaงันรvัaนi2tาจงลiจ์tมัเตรnคเเงnพเนถอtพะะกวัพกำ�(่tา(า้ส่ือaสขงมa่ียvavอ่ืvนี่ยaยนัxวxรรศอวาตววธ2ตัเtปุุปaaaaa)2vvvvvvvvvvกaaaaaึณงกโxxxxtกร)พณต์ถดสไคับ)ษวับAา)ดข่ือเุปปยวจAรแมาแaว้อศva2าใTสรม่ิsรsรกTTสรา่ssหงมึTกxิงิAAAAAมiอง)AaiเAAAAvaางiม)ลi2nคค้nนสทvAษnบาทมรnv2กูกc2ลาAAAAAมััณs่ีกเsssเาคีคี่เ2าxกบตคxoอ่ืก2พiiiiเกว22ว12ร2cc2222ccc22ตี่ยAรุ้n2นมA1ล2nnnกี่ยsานัาาxxxxxoooooี่ยาAวfsื่sอาอท(วม(ม((fร2222222ธงAAAAAขนรisssssiขนยจ่ีแรAส2xไ์ๆnสnsssss้อ(((((ร้ดอู่้คาาvท22222ัมกvxt2vน่ัiiiiivงgtttt2(่วml(กง2้ตงk1วg2ทm่ีlพวขAnnnnnกk12ขมงxกxตาxา่tttttง่ีเsอับ2ัน่า(((((อมAักบ2มก�ำข22tiงยtกธงxxxxxแsเัน่ีสยกnอTวs2ขsแว์ตาTหSi)ม22222วาเัตtttttงi())))ตัา้iรลnาสนรขกnลnถใ1เvมถxะ)))))นแ(TคจsT้ง่อาssูกsุตTSTตุสค2มกรtลอix)งii)iติดดิม2วnTTTTTnnssssวมุกื่2อ11nsssss2vแvTTTTT2ุ้tมปปาก่งiiii ั)))))นบiiiiiน fมอnnnnาลลnnnnnpvvvvvทจก2ว2SรTยs212ยาs2า12hTSนคา่ีแยiยา่)iา2iTvfs22222รvfsิบดสn Tn22222ว111112222สSvสงg mlเSki12ใ)iรแเบงปคปnดfffffnช1vุป่าล2สvรลvv2 รvือๆ21ย2gไgะmlงิ่ันmlื่kอิ12งk12ดก2หvvvvเvvvvvf2ข12มน้ทวจgggggทจmmmmmlllllkkkkk11111ล2222Sอวท่าfายีา่ีแักลง2ก่ีแกSบvvขควขกgmlนบนk1ก2ัตวา2อvาv้ั้ับบบันนgนถmlรงk12 ุ 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ อภิปรายร่วมกนั และการนำ�เสนอผล 3. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเคลอ่ื นทแ่ี บบฮารม์ อนกิ อยา่ งงา่ ย จากแบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ 1. ความซ่อื สตั ย์ จากรายงานผลการทดลอง 2. ความมงุ่ มนั่ อดทน จากการทดลอง และการอภปิ ราย รว่ มกัน

ฟสิ กิ ส์ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5ผลการเรยี นรู้ 2. อธบิ ายความถธ่ี รรมชาตขิ องวตั ถุ และการเกดิ การสน่ั พอ้ ง 35การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยอภิปรายร่วมกันเพ่ือทบทวนเกี่ยวกับความถี่ของ ด้านความรู้ การแกวง่ ของลกู ตมุ้ อยา่ งงา่ ย ซง่ึ เปน็ คา่ ทข่ี น้ึ กบั ความยาวเชอื ก จนสรปุ ไดว้ า่1. เมอ่ื ใหว้ ตั ถสุ น่ั หรอื แกวง่ อยา่ งอสิ ระ วตั ถจุ ะสน่ั 1. ความถีธ่ รรมชาติ ของการแกว่งของลกู ตมุ้ อย่างง่าย หรอื แกวง่ ดว้ ยความถธี่ รรมชาติ ซงึ่ มคี า่ คงตวั ที่ความยาวเชือกค่าหนึ่งความถี่ของการแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่าย จะมี การสั่นพ้อง จากการอภปิ รายรว่ มกัน2. เม่ือมีแรงกระตุ้นต่อวัตถุแล้วทำ�ให้วัตถุส่ัน ค่าคงตวั จากนนั้ ให้ความรเู้ กี่ยวกับความถ่ีธรรมชาติ 2. ให้นักเรียนทำ�กิจกรรมโดยดึงลูกตุ้มแล้วปล่อยให้แกว่งอย่างอิสระ 2. ความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ธรรมชาติและ หรอื แกวง่ โดยความถขี่ องการให้แรงกระตนุ้ การสน่ั พอ้ งของวตั ถุ จากแบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ เท่ากับความถี่ธรรมชาติของวัตถุ วัตถุจะสั่น แลว้ คอยผลกั ลกู ตมุ้ เบา ๆ เปน็ จงั หวะทไ่ี มต่ รงกบั ความถธี่ รรมชาติ สงั เกต หรือแกว่งโดยมีแอมพลิจูดเพ่ิมขึ้น เรียกว่า แอมพลิจูดการแกว่งของลกู ตุม้ ดา้ นทักษะ การส่ันพอ้ ง 3. จากนั้น ให้นักเรียนผลักลูกตุ้มเป็นจังหวะให้ตรงกับความถี่ธรรมชาติ 1. การสังเกต การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ของการแกว่ง สังเกตแอมพลิจูดการแกว่งของลูกตุ้ม อภิปรายร่วมกันดา้ นทกั ษะ จนได้ข้อสรุปว่า เม่ือลูกตุ้มถูกกระตุ้นให้แกว่งด้วยความถี่ตรงกับความถี่ จากการอภปิ รายร่วมกันทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติน้ัน จะทำ�ให้ลูกตุ้มแกว่งด้วยแอมพลิจูดมากขึ้นเรียกว่าเกิดการ 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ1. การสงั เกต (การแกวง่ ของลูกตุม้ ) สน่ั พอ้ ง2. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 4. สาธิตเก่ียวกับการสั่นพ้องของลูกตุ้มที่แขวนบนลวดขึงตึงด้วยเชือกท่ีมี อภปิ รายร่วมกันและการน�ำ เสนอผล ความยาวต่าง ๆ โดยให้ลูกตุ้มคู่หน่ึงแขวนด้วยเชือกท่ีมีความยาวเท่ากัน (เกยี่ วกับการเกิดการสัน่ พอ้ ง) จากนน้ั ท�ำ ใหล้ กู ตมุ้ ลกู หนง่ึ ของลกู ตมุ้ ทแี่ ขวนดว้ ยเชอื กทม่ี คี วามยาวเทา่ กนั ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 แกวง่ ให้นักเรยี นสังเกตและอภิปรายร่วมกัน จนสรุปไดว้ ่า ลกู ตุ้มลูกอ่ืน ๆ ความอยากรูอ้ ยากเหน็ จากการอภิปรายร่วมกัน การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จะแกว่งด้วย แต่ลูกตุ้มที่แขวนด้วยเชือกที่มีความยาวเท่ากันจะแกว่งโดย มีแอมพลจิ ดู กว้างที่สดุ เนือ่ งจากเกดิ การสน่ั พ้อง (การอภิปรายร่วมกันและการน�ำ เสนอผล) 5. ใหน้ กั เรยี นศกึ ษาเกยี่ วกบั การสน่ั ของสะพานทาโคมา จากภาพหรอื วดี ทิ ศั น์ จากน้ันอภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่าการส่ันของสะพานทาโคมาเป็นผลด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ มาจากการสัน่ พอ้ ง ความอยากรู้อยากเหน็ 6. อาจให้นักเรียนสืบค้นเพ่ิมเติมเก่ียวกับผลกระทบท่ีเกิดจากการส่ันพ้อง ในชวี ติ ประจ�ำ วนั และแนวทางการแกไ้ ข จากน้ัน ใหน้ กั เรยี นน�ำ เสนอผล 7. ให้นักเรยี นสรปุ เพอื่ ตรวจสอบความรคู้ วามเข้าใจ

vv AAccooss((tt))36 vv AA22 xx22 ผลการเรยี นรู้ 3. อธบิ ายปรากฏการณค์ ลน่ื ชนดิ ของคลน่ื สว่ นประกอบของคลน่ื การแผข่ องหนา้ คลน่ื ดว้ ยหลกั การของฮอยเกนส์ และการรวมกนั ของคลน่ื ตามหลกั การซอ้ นทบั พรอ้ มทง้ั ค�ำ นวณอตั ราเรว็ ความถ่ี และความยาวคลน่ื aa AA22 ssiinn((tt  ))การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ aa   1. นำ�เ2ข2x้าxสู่บทเรียน โดยทบทวนการเกิดคลื่น เช่น สาธิตการสะบัดเชือกที่มี ดา้ นความรู้1. การเคล่ือนที่แบบคล่ืนเป็นการถ่ายโอน เมด็ โฟมตดิ อยใู่ หเ้ กดิ คลนื่ ในเสน้ เชอื ก ใหน้ กั เรยี นสงั เกตการเคลอื่ นทข่ี อง 1. การเคลื่อนท่ีแบบคลื่น การจำ�แนกชนิดของคล่ืน พลังงานจากการรบกวน จากที่หนึ่งไปอีก เมด็ โฟมและเสน้ เชอื ก จากนน้ั อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ คลน่ื เปน็ การ ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วคล่ืน ความยาวคล่ืน ทห่ี นง่ึ การถา่ ยโอนพลงั งานนอ้ี าจอาศยั ตวั กลาง ถ่ายโอนพลังงานจากการรบกวนผ่านตัวกลาง โดยอนุภาคตัวกลางไม่ได้ ความถี่ หลกั ของฮอยเกนส์ จากการอภปิ รายรว่ มกนั เคลือ่ นทีไ่ ปพรอ้ มกับคลนื่ และการเขียนผงั มโนทศั น์ หรือไม่อาศยั ตัวกลาง2. คลนื่ กลจ�ำ แนกตามลกั ษณะการเคลอ่ื นทขี่ อง 2. ยร่วกมตกัวันอยเก่าี่ยงเวกกี่ยับวกกาับรคถล่า่ืนยกTโTอลนแพละลค2ัง2ลงาื่นนแมโด่เหgยlgลlใ็กชไ้ตฟัวฟกล้าาใงหแ้นลักะเไรมีย่ในชอ้ตภัวิปกรลาายง 2. หลักของฮอยเกนส์ และการรวมกันของคล่ืนตาม จนสรปุ ไดว้ า่ คลืน่ กลใชต้ ัวกลาง ส่วนคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ ไม่จำ�เปน็ ตอ้ งใช้ หลักการซ้อนทับ ในสถานการณ์ต่าง ๆ จากการ อนุภาคตัวกลางออกเป็นคลื่นตามขวางและ ตัวกลางในการถา่ ยโอนพลังงาน วาดภาพ แบบฝึกหัดและแบบทดสอบ คลนื่ ตามยาว 3. สาธิตการเกิดคล่ืนตามยาวและคล่ืนตามขวางโดยใช้ขดลวดสปริง 3. คลื่นที่เกิดจากแหล่งกำ�เนิดคลื่นท่ีส่งคลื่น ดา้ นทักษะ อย่างต่อเน่ืองและมีรูปแบบท่ีซ้ำ�กันบรรยาย ให้นักเรียนสังเกตการเคลื่อนท่ีของตำ�แหน่งหน่ึงบนขดลวดสปริงและ 1. การสงั เกต การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื ไดด้ ว้ ย การกระจดั สนั คลน่ื ทอ้ งคลน่ื หนา้ คลน่ื การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป จากการ เฟส แอมพลิจูด ความยาวคลนื่ ความถ่ี คาบ mmการเคลอื่ นทขี่ องคลนื่ จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั เกยี่ วกบั ลกั ษณะ และอตั ราเรว็ คล่ืน TT 22 kkของคลื่นตามยาวและคล่นื ตามขวาง และนำ�เสนอผล อภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล4. อัตราเร็วของคลื่นชนิดเดียวกัน ในตัวกลาง 2. การใชจ้ �ำ นวนในการหาอตั ราเรว็ ความยาวคลน่ื และ หน่ึง ๆ มีค่าคงตัว และมีความสัมพันธ์กับ 4. สาธติ การเกดิ คลนื่ ผวิ น�ำ้ โดยใชถ้ าดคลน่ื หรอื กลอ่ งคลนื่ ใหน้ กั เรยี นสงั เกต ความถ่ีและความยาวคลืน่ การกระจัด สันคลื่น ท้องคล่ืน ความยาวคล่ืน และแอมพลิจูด จากน้ัน ความถ่ขี องคลน่ื จากแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ5. การแผข่ องหนา้ คลนื่ อธบิ ายดว้ ยหลกั การของ ให้ความรู้เก่ียวกับหน้าคลื่นและเฟส จากน้ันอภิปรายร่วมกันเก่ียวกับ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� อัตราเร็ว ความถ่ี และความยาวคล่นื จนได้ความสมั พันธ์ ตามสมการ จากการอภปิ รายร่วมกนั ฮอยเกนส์ vv ff6. เมอ่ื คลน่ื ตงั้ แตส่ องขบวนมาพบกนั จะเกดิ การ ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ 5. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั หลกั การของฮอยเกนส์ เพอ่ื อธบิ ายการแผข่ องหนา้ คลนื่ ความอยากรอู้ ยากเหน็ จากการอภิปรายร่วมกัน รวมการกระจัดของคล่ืน โดยอาจรวมแบบ อภปิ รายร่วมกันเก่ยี วกับการเกดิ หนา้ คลื่นใหมแ่ ละนำ�เสนอผล เสรมิ กนั หรอื หกั ลา้ งกนั ตามหลกั การซอ้ นทบั ssiinn  vv6. ให้ความรู้เก่ียวกับหลักการซ้อนท1ับ1ของคล1่ืน1 จากน้ันสาธิตการทำ�ให้เกิด ssiinn vvคลน่ื ดลจากปลายขดลวดสปรงิ ทง้ั สองปลาย เมอ่ื สะบดั ปลายทง้ั สองพรอ้ มกนั ไปในทิศทางเดียวกันและทิศทาง2ต2รงกันข2้า2มให้นักเรียนสังเกต จากน้ัน อภิปรายร่วมกัน จนได้ข้อสรุปว่า ถ้ามีคลื่นตั้งแต่สองขบวนมาพบกันจะ SS SS

การวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ฟสิ กิ ส์ 37 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นทกั ษะ รวมการกระจดั แบบเสรมิ หรอื แบบหักลา้ ง ตามหลักการซ้อนทับ โดยหลังทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากทคี่ ลนื่ เคลอื่ นทผี่ า่ นพน้ กนั แลว้ แตล่ ะคลนื่ ยงั คงมรี ปู รา่ งและเคลอ่ื นที่1. การสงั เกต (คลนื่ ในเสน้ เชอื ก คลนื่ ในขดลวด ในทศิ ทางเดมิ 7. ยกตัวอย่างการคำ�นวณอัตราเร็ว ความยาวคล่ืน และความถี่ โดยให้ สปริง คลื่นผิวนำ้� และการซ้อนทับของคลื่น นกั เรียนรว่ มกันเสนอแนวคิดและหลักการในการแก้ปัญหา ในขดลวดสปรงิ ) 8. ให้นกั เรียนสรุป เพื่อตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ2. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (ปรมิ าณต่าง ๆ ท่เี ก่ียวข้องกบั คลื่น)3. การใชจ้ �ำ นวน (อตั ราเรว็ ความยาวคลน่ื และ ความถี่จากสมการ)ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 211. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ (การอภปิ รายร่วมกนั และการน�ำ เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ ความอยากรอู้ ยากเหน็

v  A2  x238 ผลการเรยี นรู้ a  A 2 s in ( t   ) 4. สงั เกตและอธบิ ายการสะทอ้ น การหกั เห การแทรกสอด และการเลย้ี วเบนของคลน่ื ผวิ น�ำ้ รวมทง้ั ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง a   2 xการวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน ต้ังคำ�ถามเพ่ืออภิปรายร่วมกันว่า เมื่อคล่ืนเคลื่อนที่ ด้านความรู้1. การสะท้อนของคลื่นเกิดเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ คไปลใื่นนจตะวั แกสลดางงแพลฤะตพิกบรสรมง่ิ กอดี ยขา่ Tวงาไรงบต้า2วั งกลางใglหม่ ขอบวตั ถุ หรอื คลน่ื อกี ขบวน การสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และการ ไปตกกระทบสง่ิ กดี ขวาง แลว้ กลบั สตู่ วั กลางเดมิ เลย้ี วเบน จากการอภปิ รายร่วมกันและการเขยี นผัง ซง่ึ เปน็ ไปตามกฎการสะทอ้ น หรอื เกดิ เมอ่ื คลน่ื 2. สาธิตการเคลื่อนท่ีของคลื่นในเส้นเชือกครั้งแรก ปลายข้างหนึ่งผูกไว้ มโนทัศน์ เคลอื่ นทไ่ี ปกระทบรอยตอ่ ระหวา่ งตวั กลางที่ กบั หลัก ครงั้ หลงั ปลายอกี ข้างหนึง่ ผูกไวก้ บั หลักอยา่ งหลวม ๆ ใหน้ กั เรยี น ดา้ นทกั ษะ ต่างกนั 1. การสังเกต การทดลอง การตีความหมายข้อมูลและ2. การหักเหของคลื่นเกิดเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ สงั เกตคลนื่ กอ่ นและหลงั กระทบหลกั ทงั้ สองครงั้ รว่ มกนั อภปิ รายเพอ่ื ใหไ้ ด้ ลงข้อสรุป ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและ ผ่านรอยต่อระหว่างตัวกลางที่ต่างกัน จะมี ใขห้อ้นสักรุปเรเียกน่ียวทกดับลอกงาเรพสื่อะศทึก้อษนTาขกอางรคส2ละนื่ ทแ้อลนะmkขรปูองรคา่ งลขื่นอผงิวคนลำ้�่ืนโสดะยทใช้อ้ถนาดคล่ืน ภาวะผู้นำ� จากการอภิปรายร่วมกันและรายงาน อัตราเร็วของคล่ืนเปลี่ยนไป ซ่ึงเป็นไปตาม 3. การทดลอง กฎการหกั เห 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ3. คล่ืนอาพันธ์สองขบวนมาซ้อนทับกันจะเกิด จากนั้นอภิปรายและวิเคราะห์ร่วมกันเกี่ยวกับการสะท้อนของคล่ืนผิวนำ้� อภปิ รายรว่ มกันและการนำ�เสนอผล การแทรกสอด ซึ่งมีทั้งแบบเสริมและ 3. การใชจ้ �ำ นวนในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั แบบหกั ลา้ ง การแทรกสอดของคลน่ื ท�ำ ใหเ้ กดิ จนสรปุ ไดต้ ามกฎการสะท้อน การหักเหและการแทรกสอด จากแบบฝึกหัดและ คลน่ื นิ่ง แบบทดสอบ4. เมื่อคลื่นเคล่ือนที่ไปพบขอบของสิ่งกีดขวาง 4. ให้นักเรียนทดลองเพื่อศึกษาการหักเหของคลื่นผิวนำ้�โดยใช้ถาดคลื่น จะมีคล่ืนแผ่ไปด้านหลังของสิ่งกีดขวางนั้น ด้านจติ วิทยาศาสตร์ เนือ่ งจากการเลีย้ วเบนของคลืน่ จากนั้นอภิปรายและวิเคราะหv์ร่วมกfันเกี่ยวกับการหักเหของคล่ืนผิวนำ้� 1. ความซ่อื สัตย์ จากรายงานผลการทดลอง 2. ความมงุ่ มนั่ อดทน จากการทดลอง และการอภปิ รายด้านทกั ษะ จนสรปุ ความหมายของการหกั เหของคลน่ื และกฎการหกั เหไดต้ ามสมการทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ รว่ มกนั1. การสงั เกต (ลกั ษณะการเคลอ่ื นทข่ี องคลน่ื ผวิ น�ำ้ sin1  v1 เมอ่ื เกดิ การสะทอ้ น การหกั เห การแทรกสอด sin2 v2 และการเลยี้ วเบนของคลน่ื ผวิ น�้ำ และการเกดิ 5. สาธิตการแทรกสอดของคล่นื ผวิ น้ำ�จากแหลง่ กำ�เนดิ อาพนั ธ์ และ คล่นื นิง่ ของคลนื่ บนเสน้ เชือก)2. การทดลอง ให้นักเรียนสังเกต และอภิปรายร่วมกันเก่ียวกับการแทรกสอดของคลื่น ผิวนำ้� จนสรุปได้ว่าการแทรกSส1อดของSค2ล่ืนผิวนำ้�มีท้ังการแทรกสอดแบบ เสริมเรียกวา่ ปฏบิ ัพ และการแทรกสอดแบบหักล้างเรียกวา่ บพั โดยเมอ่ื และ ให้คลน่ื ทม่ี ีเฟสตรงกนั จะไดค้ วามสัมพนั ธ์ของต�ำ แหนง่ ปฏิบพั และบพั ตามSส1มPก-าSร2P  n n  0,1, 2, 3,... S1Q-S2Q  n  1   n  1, 2, 3, ...  2 

sinssiinn2ssiinn1212v2vv12 v1 ฟิสิกส์ v2 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ S1 S2 39 S Sแนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้3. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (เก่ยี วกับสมบตั ขิ องคล่ืน) 1 S1S1 2S2S24. การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั S1Pตำ�-แSห2นP่งปฏิบnพั  n  0,1, 2, 3,... การหักเหและการแทรกสอด) S1P-SS21PPS-1SP2-PSn2P nnเม่อื nnn00,,10,,221,,,323,,.,3..,.....ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ต�ำ แหนง่ บัพด21..า้ นกค(กจวาาิตารรมสวอรื่อทิ ภว่ สยมปิ ามารรศอืาสยาการสารว่ รตสมทรนก�ำ ์ เงนั ทาแนศลเแปะลกน็ ะาทกรมี านแรำ�ลรเะสู้เทภน่าาอวทผะันลผส)นู้ ่ือ�ำS1SQ1-Q SS-21 SQQS21- QQS2-QS2Qnnn12n12112  เมnือ่ nn1,21,1,32,,,2.3..,,3..., ... n  1, 2, 3, ...1. ความซือ่ สัตย์ นำ�รูปแบบการแทรกสอดของคล่ืนผิวน้ำ�ท่ีสังเกตได้มาอภิปรายร่วมกัน 2. ความมุ่งมนั่ อดทน จนสรุปได้ว่าการแทรกสอดของคล่ืนจากแหล่งกำ�เนิดอาพันธ์ ทำ�ให้เกิด คลนื่ นงิ่ ซง่ึ มีปฏิบัพและบพั เปน็ ต�ำ แหน่งท่อี ยูก่ บั ที่ 6. สาธติ การเกดิ คลนื่ นง่ิ บนเสน้ เชอื ก ใหน้ กั เรยี นสงั เกต และอภปิ รายรว่ มกนั เกี่ยวกับการแทรกสอดของคล่ืนตกกระทบกบั คลืน่ สะท้อนไดเ้ ปน็ คลน่ื นิ่ง 7. สาธิตการเกิดการเล้ียวเบนของคล่ืนผิวน้ำ�เมื่อคลื่นผ่านขอบส่ิงกีดขวาง ใหน้ กั เรยี นสงั เกต อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ คลนื่ เกดิ การเลย้ี วเบนเมอ่ื คลน่ื เคลอ่ื นทพ่ี บสง่ิ กดี ขวางแลว้ มคี ลน่ื แผจ่ ากขอบสง่ิ กดี ขวางไปดา้ นหลงั 8. สาธติ การเลย้ี วเบนของคลน่ื ผวิ น�้ำ เมอื่ คลน่ื ผา่ นชอ่ งเปดิ ทม่ี คี วามกวา้ งของ ช่องตา่ งกัน ให้นกั เรียนสงั เกต อภปิ รายร่วมกันและน�ำ เสนอผล 9. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การสะทอ้ น การหกั เห และการแทรกสอด โดยใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั เสนอแนวคดิ และหลกั การในการ แกป้ ญั หา 10. ให้นักเรยี นสรปุ เพ่ือตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ

x A sin( t   ) v A cos( t   )40 ผลการเรยี นรู้ 5. อธบิ ายการvเกดิเสยี ง การเคAลอ่ื 2นทข่ี อxง2เสยี ง ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคลน่ื การกระจดั ของอนภุ าคกบั คลน่ื ความดนั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอตั ราเรว็ ของเสยี งในอากาศทข่ี น้ึ กบั อณุ หภมู ใิ นหนว่ ยองศาเซลเซยี ส สมบตั ขิ องคลน่ื เสยี ง ไดแ้ ก่ การสะทอ้ น การหกั เห การแทรกสอด การเลย้ี วเบน รวมทง้ั ค�ำ นaวณปรมิ าAณตา่ ง2 ๆsทi เn่ี ก(ย่ี วขอt้ ง  )การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ a   2 x ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยอภิปรายร่วมกันเพื่อทบทวนเกี่ยวกับการเกิดเสียง 1. การเกดิ เสยี ง อตั ราเรว็ ของเสยี ง สมบตั ขิ องคลน่ื เสยี ง และปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งจากการอภปิ รายรว่ มกนั1. เสียงเป็นคลื่นกลเกิดจากการสั่นของ โดยใหน้ กั เรยี นเคาะสอ้ มเสยี งหรอื เปลง่ เสยี งในลกั ษณะตา่ งๆ เชน่ การพดู แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งและเสยี งทไ่ี ดย้ นิ เกดิ จากการ การร้องเพลง จากนั้นอภิปรายร่วมกัน จนได้ข้อสรุปว่า เสียงเป็นคล่ืนกล 2. ความสัมพันธ์ระหว่างความดันและการกระจัดของ ถ่ายโอนพลังงานจากการสั่นผ่านตัวกลาง เกิดจากการสนั่ ของแหล่งก�ำ เนิดเสยี ง ต�ำ แหนง่ ตา่ งๆ เมอ่ื มคี ลน่ื เสยี งผา่ น จากการอภปิ ราย จากต�ำ แหนง่ หนง่ึ ไปยงั อกี ต�ำ แหนง่ หนงึ่ ท�ำ ให้ 2. สาธิตการเคลื่อนท่ีของเสียงผ่านตัวกลาง เช่น โทรศัพท์กระป๋อง การวาง ร่วมกนั และการเขยี นกราฟ โมเลกุลของตัวกลางเกิดการส่ันในแนวเดียว T  2 lแหล่งกำ�เนิดเสียงไว้ในภาชนะท่ีสามารถสูบอากาศออกได้ ให้นักเรียน 3. การแทรกสอดของคลน่ื เสยี ง จากการเขยี นแผนภาพ กับการเคลื่อนที่ของเสียง เสียงจึงเป็นคลื่น gอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ การเคลอื่ นทข่ี องคลนื่ เสยี งตอ้ งอาศยั ตวั กลาง ของแนวบพั ปฏบิ พั ตามยาว2. อัตราเร็วของเสียงในอากาศมีความสัมพันธ์ 3. ให้ความรู้ว่า เสียงเป็นคลื่นตามยาวเกิดจากการส่ันของโมเลกุลอากาศ ดา้ นทกั ษะ กับอุณหภมู ิของอากาศ ในแนวการเคล่ือนท่ีของเสียง ทำ�ให้เกิดการอัดและขยายของโมเลกุล 1. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป จากการ3. เสียงมกี ารสะท้อน การหกั เห การแทรกสอด อากาศ จากน้ันให้นักเรียนศึกษาแผนภาพการอัดและการขยายของ และการเล้ียวเบน โมเลกลุ อากาศ กราฟระหวา่ งความดนั กบั ต�ำ แหนง่ ทค่ี ลน่ื เสยี งเคลอ่ื นทผ่ี า่ น อภปิ รายรว่ มกัน 2. การใชจ้ �ำ นวนในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบัด้านทักษะ T  2 m และกราฟระหว่างการกระจัดของอนุภาคในตัวกลางกับตำ�แหน่งที่ อัตราเร็วเสียงในอากาศ จากแบบฝึกหัดและแบบ k คลน่ื เสยี งเคลอ่ื นทผ่ี า่ น อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความดนั ทดสอบ และการกระจดั ทต่ี ำ�แหน่งตา่ ง ๆ เมอ่ื มีคลน่ื เสยี งผา่ น 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 4. ให้ความรู้เกี่ยวกับสมบัติความเป็นคล่ืนของเสียง และอัตราเร็วของเสียง จากการอภิปรายรว่ มกัน1. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ท่ีมีความสมั พนั ธ์กบั ความถี่และความยาวคลื่น ตามสมการ ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ ความอยากรู้อยากเห็น จากการอภิปรายรว่ มกัน(ความสัมพันธ์ระหว่างความดันและการ กระจดั ของคลน่ื เสียง) vv  ff2. การใช้จำ�นวน (อัตราเร็วเสียงในอากาศที่ข้ึนกบั อุณหภูมิ) 5. ให้ความรู้เก่ียวกับอัตราเร็วของเสียงในอากาศที่สัมพันธ์กับอุณหภูมิ ในหน่วยองศาเซลเซยี สตามสมการ 1 sin  v1 sin2 v2 vt  331 0.6t

การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ ฟิสกิ ส์ 41 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 เมอ่ื อณุ หภมู อิ ยใู่ นชว่ ง -50 องศาเซลเซยี สถงึ +50 องศาเซลเซยี ส ในกรณี1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ ที่ตัวกลางเป็นของแข็งหรือของเหลว อัตราเร็วของเสียงข้ึนอยู่กับความ หนาแนน่ ของตวั กลางน้ัน (การอภปิ รายรว่ มกันและการน�ำ เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 6. สาธิตการสะท้อนของเสียง โดยนำ�สิ่งกีดขวางผิวเรียบแข็งมาวางหน้า แหล่งกำ�เนิดเสียง ให้ห่างจากแหล่งกำ�เนิดเสียงเล็กน้อย ให้นักเรียนยืนด้านจติ วิทยาศาสตร์ หลงั แหล่งก�ำ เนดิ เสียงและสังเกตเสยี งทไ่ี ด้ยนิ จากนัน้ น�ำ ส่งิ กีดขวางออก ความอยากรู้อยากเหน็ โดยใหแ้ หลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งยงั อยทู่ เี่ ดมิ และใหน้ กั เรยี นสงั เกตเสยี งทไี่ ดย้ นิ และ เปรยี บเทยี บกบั เสยี งทไ่ี ดย้ นิ ในกรณที ม่ี สี งิ่ กดี ขวาง อภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ลง ข้อสรปุ เกี่ยวกบั การสะท้อนของคลืน่ เสยี งเมือ่ ตกกระทบสงิ่ กดี ขวาง 7. ยกสถานการณก์ ารเกดิ ฟา้ แลบฟา้ รอ้ งแลว้ ตง้ั ค�ำ ถามวา่ เพราะเหตใุ ดบางครง้ั เกิดฟ้าแลบแต่ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง จากน้ันให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน จนสรุปไดว้ า่ เสียงมีการหกั เห 8. สาธิตการแทรกสอดของเสียงโดยใช้ลำ�โพงสองตัวที่เป็นแหล่งกำ�เนิด อาพันธ์และให้นักเรียนฟังเสียงท่ีได้ยินที่ตำ�แหน่งต่าง ๆ บริเวณด้านหน้า ล�ำ โพง จากนน้ั อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ เสยี งมกี ารแทรกสอดแบบเสรมิ และแบบหักล้าง ท�ำ ใหไ้ ดย้ นิ เสียงดังและค่อยตามตำ�แหนง่ ตา่ ง ๆ 9. สาธิตการเลี้ยวเบนของเสียงโดยใช้ลำ�โพงเป็นแหล่งกำ�เนิดเสียงวางไว้ ด้านหลงั แผน่ กั้น หรอื หลงั ประตหู ้องเรยี น ให้นกั เรยี นสังเกตเสียงที่ได้ยิน เม่ืออยู่หลังแผ่นกั้นหรือหลังประตู จากน้ันอภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่า เสียงเลยี้ วเบนออ้ มไปดา้ นหลังส่งิ กดี ขวางได้ 10. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับอัตราเร็วของเสียง ในอากาศ โดยใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั เสนอแนวคดิ และหลกั การในการแกป้ ญั หา 11. ใหน้ ักเรียนสรปุ เพือ่ ตรวจสอบความร้คู วามเขา้ ใจ

42 ผลการเรยี นรู้ 6. อธบิ ายความเขม้ เสยี ง ระดบั เสยี ง องคป์ ระกอบของการไดย้ นิ คณุ ภาพเสยี ง และมลพษิ ทางเสยี ง รวมทง้ั ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง การวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางกาvรจัดกfารเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ v fด้านความรู้ ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยการยกตวั อยา่ งกจิ กรรมทที่ �ำ ใหเ้ กดิ เสยี งดงั และคอ่ ย1. ปริมาณที่บอกถึงความดังของเสียงเรียกว่า เชน่ พูดหรือเปดิ เพลงจากลำ�โพงด้วยเสยี งดังและค่อย ตัง้ คำ�ถามเกีย่ วกับ 1. กำ�ลังเสียงของแหล่งกำ�เนิดเสียง ความเข้มเสียง ความเข้มเสียงซ่ึงมีค่าข้ึนกับกำ�ลังของแหล่ง ปัจจัยที่ทำ�ให้ได้ยินเสียงดังและค่อย จากน้ันให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน ระดับเสียง คุณภาพเสียง และองค์ประกอบของ ก�ำ เนิดเสยี ง และพนื้ ท่ที รี่ บั เสียง และนำ�เสนอผล การได้ยิน จากการอภิปรายร่วมกันและการเขียน ผังมโนทัศน์2. ระดับเสียง เป็นปริมาณที่บอกความดังของ 2. กส�ำาเธนิตดิ กเาสรยี ใงชแ้เลคะรก่ือ�ำ งลวงััดขรอะงดแับvvหtคtลวง่ากม3�ำ3เเ33นข้มดิ11เเสสยีีย00งง..โ6เ6ดพttยอื่ ปแรสับดรงปะยจั ะจหยั ท่างที่ จ�ำ าใกหแไ้ ดหย้ ลนิ ่ง เสียงให้ใกล้เคียงกับความรู้สึกของผู้ฟัง 2. มลพิษทางเสียง ผลกระทบและการป้องกันแก้ไข เสียงดงั และคอ่ ย จากการอภิปรายรว่ มกันและการนำ�เสนอผล โ ด ย เ ป็ น ก า ร เ ป รี ย บ เ ที ย บ ค ว า ม เ ข้ ม เ สี ย ง 3. ให้ความรู้เก่ียวกับกำ�ลังเสียงของแหล่งกำ�เนิดเสียง ความเข้มเสียงและ ที่ตกกระทบพื้นท่ีหน่ึง ๆ กับความเข้มเสียง ดา้ นทกั ษะ น้อยท่ีสุดทท่ี �ำ ให้หูคนปกติเร่มิ ไดย้ ิน ระดบั เสยี ง อภิปรายร่วมกนั จนสรปุ ได้ความสมั พนั ธ์ ตามสมการ 1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ3. องค์ประกอบที่ทำ�ให้ได้ยินเสียง เช่น ความ เข้มเสียง ระดับเสียง ความถี่เสียง และส่วน I  P รายงาน การอภปิ รายรว่ มกนั และการน�ำ เสนอผล ประกอบของหู I  PA 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั4. เสียงที่ได้ยินมีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกัน A ความเข้มเสียงและระดับเสียง จากแบบฝึกหัดและ เนอ่ื งจากมีคณุ ภาพเสยี งต่างกัน แบบทดสอบ5. เสียงท่ีมีระดับความเข้มเสียงมาก อาจทำ�ให้   10 lloogg I  3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� เกิดอันตรายต่อหู ตลอดจนเสียงที่ก่อให้เกิด   10 III00 ความรำ�คาญ ลว้ นจดั เป็นมลพษิ ทางเสยี ง จากการอภปิ รายร่วมกนั 4. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับความเข้มเสียงและด้านทกั ษะ ด้านจิตวิทยาศาสตร์ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ระดับเสยี ง ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความรอบคอบ จากการ การใช้จำ�นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทีเ่ กย่ี วข้องกับ 5. สาธติ เกยี่ วกบั ระดบั สงู ต�่ำ ของเสยี ง โดยใหฟ้ งั เสยี งจากสอ้ มเสยี งทมี่ คี วามถ่ี เขียนรายงาน ความเขม้ เสียงและระดับเสยี ง)ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ต่างกันหรือเสียงจากเครื่องดนตรีท่ีโน้ตต่างกัน ให้นักเรียนสังเกตและ1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทม่ี าและการเปรยี บเทยี บ 6. อขใหอภน้ งิปเกั รสเารยี ยยีงรน่วสมบื กคันน้ เจกffนยี่nnไวดก้ขบั n้อnชสว่ 44รงvvLคุปLววา่ามรถะขี่ ดอับงnnเสสูงยี ตง1ำ่�1ทข,,ไ่ี 33อด,ย,ง้ 55เนิ ส,,ียแ....งล..ขะ้ึนชว่องยรู่กะับดคบั วคาวมามถี่ เเมมอ่ือ่ืเข้มเสียงที่ได้ยินแล้วไม่เป็นอันตรายต่อหู ส่วนประกอบของหู จากนั้น n น�ำ เสนอผลและอภปิddรsาsiยinnร่วมกัน n n  0,1,2,... n  0,1,2,... dx  n เเมมื่ออ่ื n  0 , 1, 2, .. dDx  n n  0 , 1, 2, .. D

การวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฟิสกิ ส์ 43 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูล 7. สาธิตการเล่นโน้ตดนตรีตัวเดียวกัน จากเครื่องดนตรีต่างชนิดกัน ที่หลากหลายได้อย่างสมเหตุสมผลการ ใหน้ กั เรยี นสงั เกตเสยี งทไี่ ดย้ นิ และดรู ปู คลนื่ เสยี งจากจอแสดงผล อภปิ ราย อภิปรายรว่ มกนั และการนำ�เสนอผล) ร่วมกัน จนสรุปได้ว่า เสียงทแี่ ตกต่างกนั เนอื่ งจากคณุ ภาพเสยี งตา่ งกัน2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 8. ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั มลพษิ ทางเสยี ง จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ ผลกระทบและดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ แนวทางป้องกันแกไ้ ขมลพษิ ทางเสยี ง แล้วน�ำ เสนอผล1. ความอยากรอู้ ยากเหน็2. ความรอบคอบ

vvtt 33331100..66tt44 ผลการเรยี นรู้ 7. ทดลองและอธบิ ายการเกดิ การสน่ั พอ้ งของอากาศในทอ่ ปลายเปดิ หนง่ึ ดา้ น รวมทง้ั สงั เกตและอธบิ ายการเกดิ บตี คลน่ื นง่ิ ปรากฏการณด์ อปเพลอร์ คลน่ื กระแทกของเสยี ง ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง และน�ำ ความรเู้ รอ่ื งเสยี งไปใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนัการวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางIกIารจPAัดPAการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นขออภำ�งเปิ ขวรตั้าาสถยูุ่บจรทา่วกมเรนกียน้ันั นตแง้ั ลโคดะ�ำ ยนถทำ�าเมบสวทนา่ วอเ1สน1ผ0ยี เ0ลกงlม่ียloกี oวgากgรับสคน่ั IIวพI0Iา0อ้ มงถได่ีธห้ รรรอืมไชมา่ อตยิแา่ ลงะไรกใาหรน้สกัั่นเพรยี ้อนง ด้านความรู้ 1. เมอ่ื ใหเ้ สยี งทม่ี คี วามถต่ี รงกบั ความถธ่ี รรมชาติ 1. การสั่นพ้องของอากาศในท่อปลายเปิดหนึ่งด้าน ของอากาศในท่อปลายเปิดหน่ึงด้าน จะเกิด 2. ให้นักเรียนทดลอง เพื่อศึกษาการส่ันพ้องของเสียงในท่อปลายเปิด การเกิดบีต การเกิดคลื่นน่ิงของเสียง ปรากฏการณ์ การสั่นพ้องของอากาศในทอ่ หนง่ึ ดา้ น จากนน้ั อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ เมอื่ ใหเ้ สยี งทมี่ คี วามถต่ี รง ดอปเพลอร์ และคล่ืนกระแทก จากการอภิปราย 2. คล่ืนเสียงสองขบวนท่ีมีความถ่ีต่างกันมา รว่ มกนั และการเขียนผงั มโนทัศน์ กบั ความถธี่ รรมชาตขิ องล�ำ อากาศในทอ่ จะเกดิ การสนั่ พอ้ งของล�ำ อากาศ แทรกสอดกัน จะเกิดบีตทำ�ให้เกิดเสียงดัง 2. การสั่นพ้องของคล่ืนเสียงในท่อปลายเปิดหน่ึงด้าน และค่อยสลบั กนั เป็นจงั หวะ ในทอ่ โดยความถท่ี ีท่ �ำ ให้เกดิ การสน่ั พ้องมคี วามสมั พนั ธ์ตามสมการ จากการเขยี นแผนภาพการเกดิ คลนื่ นง่ิ ของคลนื่ เสยี ง3. คลื่นเสียงสองขบวนที่มีความถี่เท่ากัน มา ในทอ่ ปลายเปดิ หนง่ึ ดา้ น แทรกสอดกัน จะทำ�ใหเ้ กิดคล่ืนน่ิง ffnn nn44vLvL เมอ่ื nn11,,33,,55,,....4. เมอ่ื แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งเคลอื่ นที่ ผฟู้ งั เคลอื่ นท่ี 3. การประยุกต์ใช้ความรู้เรื่องเสียงในชีวิตประจำ�วัน หรือเคล่ือนท่ีทั้งแหล่งกำ�เนิดเสียงและผู้ฟัง 3. สาธิตการเกิดบีตโดยใช้แหล่งกำ�เนิดเสียงสองแหล่งที่มีความถ่ีต่างกัน จากการอภปิ รายรว่ มกันและการนำ�เสนอผล ดว้ ยความเรว็ ตา่ งกนั จะไดย้ นิ เสยี งทม่ี คี วามถี่ เปล่ยี นไป ซง่ึ เป็นปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ เเมม่ือ่อืเล็กน้อย ให้นกั เรdยีdนsอsiinภnปิ รายร่วnมnกัน จนไดnข้ nอ้ สรปุ00เ,ก1,1ี่ย,,2ว2ก,.,ับ..ก.ารเกดิ บีต ด้านทกั ษะ5. เม่ือแหล่งกำ�เนิดเสียงเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว 1. การวัด การทดลอง การตีความหมายข้อมูลและ มากกวา่ อตั ราเรว็ เสยี ง ท�ำ ใหเ้ กดิ คลน่ื กระแทก 4. สาธิตการเกิดคลื่นนิ่งของเสียง โดยให้เสียงจากแหล่งกำ�เนิดเสียง ของเสียง ลงข้อสรุป ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและ6. ความรู้เรื่องเสียงนำ�ไปประยุกต์ใช้ในชีวิต เเมมื่ออ่ื ทไป่ีตตำ�กแกหรนะ่งทตบ่างตๆั้งdฉDรdDาxะxกหกวับ่างตnnแัวหกล้ัน่งหกนำ�้าเnนตnิดรงเสใีย0ห0ง,้นแ,11ลัก,,ะเ2รต2ีย,ัว,.นก.ส.ั้นังเอกภติปเสรียายงทร่ว่ีไมด้กยิันน ภาวะผู้นำ� จากการอภิปรายร่วมกันและรายงานผล ประจำ�วนั ด้านตา่ ง ๆ การทดลอง จนไดข้ ้อสรุปเก่ียวกับการเกิดคลน่ื นง่ิ ของเสียง 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการด้านทกั ษะ อภปิ รายรว่ มกันและการน�ำ เสนอผลทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 5. สาธิตการเกิดปรากฏการณ์ดอปเพลอร์โดยใช้คลื่นน้ำ� เมื่อแหล่งกำ�เนิด 3. การใช้จำ�นวนในการหาปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวกับ 1. การทดลอง การสั่นพ้องของคลื่นเสียงในท่อปลายเปิดหน่ึงด้าน2. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป คลนื่ น�ำ้ เคลอ่ื นที่ ใหน้ กั เรยี นสงั เกตความยาวคลนื่ ดา้ นหนา้ และความยาว จากแบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ (การสรุปผลการทดลอง) เเมมอื่ ื่อ คแคหลวาื่นลม่งดกย้าำ�านเวหนคลิดลังคื่นขลขอื่dนอdงหแงsยsคหiุดiลnลnน่ืน่งก่ิงนำ�้ำ�จเ นาอกิดัตนคnรnั้นลา่ืในเหร้็นวเ12ท12ขักียอเรบงียคกนัลบอื่นคภนวิปาำ้�มรnแnายลยาะรวค1่วค1ว,มล,2าก2่ืนม,ัน3,ใถ3นเ,ี่ปก.,ข.่ีย.รณ.วากกะัทบฏ ี่ ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ ความซื่อสัตย์ จากรายงานผลการทดลอง ในบริเวณดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั ของแหล่งกำ�เนิดคลื่น และนำ�เสนอผล ddxx nn1212เเมมือ่ อ่ื nn11,,22,3,3,.,... DD

การวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ ฟสิ ิกส์ 45 ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้3. การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั 6. ยกสถานการณ์เก่ียวกับเสียงท่ีสังเกตได้เม่ือแหล่งกำ�เนิดเสียงเคลื่อนที่ การเกิดคล่ืนน่ิงและการส่ันพ้องของเสียงใน ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายเทยี บกบั คลนื่ น�ำ้ จนสรปุ ไดว้ า่ ความถปี่ รากฏดา้ นหนา้ ทอ่ ปลายเปดิ หนงึ่ ดา้ น) และด้านหลังของแหล่งกำ�เนิดเสียง มีค่าเปลี่ยนไปจากความถี่ของทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี ง จากนน้ั ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ปรากฏการณด์ อปเพลอรเ์ มอื่1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ แหล่งกำ�เนิดเสียงเคลื่อนที่ แล้วให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทมี่ าและการเปรยี บเทยี บ ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ ในกรณีท่ีผู้ฟังมีการเคลื่อนที่เทียบกับแหล่ง ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูล ที่ ห ล า ก ห ล า ย ไ ด้ อ ย่ า ง ส ม เ ห ตุ ส ม ผ ล ก�ำ เนิดเสียง และนำ�เสนอผล 7. สาธิตการเกิดคลื่นกระแทกจากคลื่นนำ้� เมื่อแหล่งกำ�เนิดคลื่นเคลื่อนที่ การอภปิ รายรว่ มกนั และการนำ�เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ด้วยอัตราเร็วมากกว่าอัตราเร็วของคลื่น จากน้ันยกตัวอย่างเหตุการณ์ท่ี อตั ราเรว็ ของแหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งมากกวา่ อตั ราเรว็ เสยี ง อภปิ รายรว่ มกนั จนดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ สรุปได้ว่าคลื่นกระแทกเกิดเม่ือแหล่งกำ�เนิดเสียงเคลื่อนท่ีทะลุหน้าคลื่น ความซือ่ สัตย์ ของเสียงออกมาได้ 8. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การสน่ั พอ้ งของอากาศ ในท่อปลายเปิดหนึ่งด้าน จากนั้นให้นักเรียนสรุป เพ่ือตรวจสอบความรู้ ความเข้าใจ 9. ตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับประโยชน์และการประยุกต์ใช้ความรู้เรื่องเสียงใน ชวี ติ ประจ�ำ วนั และในดา้ นเทคโนโลยี ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ เพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั การประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชนข์ องเสยี ง และ น�ำ เสนอผล

t เเเมมม่อืื่อื่อ เเเมเมมเเมเือ่มมอมื่อือ่เื่อม่ือเื่อือ่มเ่อื มเเ่อื มม่อืเเเมมอ่ือื่มเื่อ่ือ่อืมเมเือ่ มื่อเือ่ม่ือเมอื่46 v  331 0.6t  2 ดท11ด 22345 ท1 .........้า้าักัก นนษษกกกแแก(เก(เเกสคเแกกกกปมมทคะะทาลลาาวลาาาาาาร่ื่ื็นออรรราวแกรรรักะะิตรรรรตแมสวใทแแากแสเหรหคษสอตชกตทดังัรมสสะถดื่สอกกังู่่รภีะดจ้เิคว่ิงรแอบบงลกงศรส(าปุลมิป�ำกกรลวผดผแรอู้ผตสวาตา้ผนะมส าระา่ลาว่ารงงนวลทวยรลออาวื(เนมเิกนะสแ่าแกรก�กยะำนดกคกสงนัถสาหใสรทหราราแารแหาลรบ(เลษตร่วลรรรลมา่าปปรลเ้สติเิมตมกททตงกิตทะะทราระ็นนเขสดกดืเิกงิดหาคยี�่ีมิดำยหดแ2อ)เอกันาแงงล ู่นแ์ผี่ยาทกัข่ียถรงา1วาดลแอณลวรลแเลน้ศรวบอทิะลลง)ู้ทะเกถา้จตเ แมแย)้สมียะปเง�ำบาะา่ลถวดืรกูกากลนใ็รงเมมเิะบหศราบกัน เทแๆกดืกรรตสเ้าิดนเมี8กลนัแนียปาสวตทผกแดิ.ะเลรนา่ำ� ตน็ิงป่ีเา่ลากงระเกลรจนรแสนร็ะาู้เแย่ีจู้ง์ะทถเภนรแทรสถลวาขเเบวาถ่าอลดกบกสขี้ย้วอมทบมผติสริลอ้ดสวะสทสันดืเมลิลงวอเกผดวบรงก)้กัตสิา่นง้ยู่าีา่คุงปบันัน่ืคแอวร�ำง)�ำ ู่ล นะวอณธบิป1 32fffาdd...ddรddddddnddd nnDDDDDยมิ xแกแจทรในเใแแเxxxxxสsาssหกsหหsss่วาถถถาบf�ำำ�มณdiidรiมiiiidนd้ม้คกnรเDบบบใDบnnบnnnขตnnหเอืnxตหกกัnวxnfมสสsลsหdา้ddตัตdddnนา้เfเัDนาD่ลfiifววfดื้ยีสรกddัdกddndกndิิdnมงdddnddxndงdxxnnddd4แ4DnDDdDD4อ่าา่snnDDDยssบีวู่Dิดคล nจnาtnรxvๆvxxxงงลxvxxxiiiดsเนssssทxvssnsLกรLnnล้าู้นLวบn4s11fะs1niiiไไiiinทitiทแvfงเd่dาาื่นnnddฟnnnสดนnแiiInIdddLรnIDnDdddn0n0n1เv0nnDDDทรดnเn่ี4nแรยกีค้ตแnกxIxnxtxxแ0vvnnเลssnnสรุ1ป41sss2vnนส4n1ิ2ดLกวnnvสยn่มflี1lnnnlท3t4nnvกอii1i2vdัnงddviidndางไolnoตnเLIDn4onnDงLวtn01vอ่ืโ1nเเonรงดปสnม3ทLtxPเnดxPกv่าAมขIAP1gIAs3Pgก0Aกssg102ปเnng้วอnเL็nสนlvี่งnอnnnn11ยตม4Iอ้iiiมอื่า3o0สf่า123nnก1็น2ดnnnnnnัมแtlnvแอnใI4lแnรnPง0Aอื่L1g่ือo2อห13o2ัน11n2ขn1นพ2คเ112nvถnเแกลnlPnnIAPมvnAม3Igดnื่อLgเนII้0อ40nnIอoล1เ1ทบnIวจนั3ะIl0nมI1n2tI0vมื่อแอ่ืเเ3กยP0ัnเoื่A1ท.นง2I0าnnอLร3g00nมธI00lเ1มมn102มอื่n6112I,บเแ0ื่อแเเ่าPoกnมกเnAn3ภแก์0nาnIg1ืม1ดnIร0เ0มIเมอ่ื,ื่อเntสงI1Pื่อเ1,02AบสIเ.n,สgแมงnมมอื่ยันีม,0lิปn,n1nม10211เ36ไ0มnอ่ื,10112่อืง1nn1อ่ืงnก.อoแl3เมตnnรn2น11เ่อื่เnตIือ่ร่อืผ61t่อื,สo2,,nอ่ืผ3,In,ม0ห,102,ดPา,ลn,่Aล,nn,่อื11เใา1ngเ,nา1P01เA3่ารtIg0n2n3Iา5่เรม3nช3มn,ล2กขอ่ืะ12.In2ยIะเ,0,ม.n0,,1,เnนมิมเ0.0น002nจม0,เ60ส,้,30็ม,0ริดกออ่ื3ชม,21ือ่ร,1,,2ส,.1ม,11n2.สเ,n.ื่อ11251,ัด0n5ส่,วลเ026.อ่ื่,วn,ง,ขไ,5.tก,่.ออื่,5110n36,ม,อ่ื1,.,I,1ม,..nล2n1อ่ื0,1ฟ1II.5แมเ,,.,0ตลกม1ิ5,2n.t,น้ึ,,1..ิn,1ด,I,ง2n,.010ก2nม,100,n.0.ิ.,tต,,,,32nอื่0..สเ1,2n202,0กคติากฟ,.,1.จ..,30n1ไ,.เ,,,3า.,ม2,.2.,.6,อื่0.ค,,,.,.ง.2ปรด,3,2,ั,2นู่,ันnค,,2ะ1.,.10,ร้n33า312.1.11เ3311,2..ผื่อ,.1t,1เู่.แ25ก..,้อ2,็.น.ท,แส.่,,ูว.nเ,,5,,,0,,รn,,,,,11,1เ.,..,,.า่,,,..ก..จ10ล1132n.ร2,.1ย,22ิ3เ...ม,,�ำล.2n2.0แ2ียำ.21.�.,1..น2.5,..ค,,,.,ต.ึ,.ง่ีย...,ะ,..0.,,หา่...,,ต,1,ะ,,.ถ,น22่ือ,..1,,2,2...,...มส13.n23.3ร1ต3วเ2ง.,5.,,..2ร.เั.ว.2,.บ,.,ก1ร,.,.,ล.าไ,0ี.ส,.กก,.,.งิ,2n30,บั3,,.2เ..1..ร,12ู้.,ร,.ส2ะ1.,ติ3.มป.ับ.ร.,.,5,แ.,.23,ส,...3.ต..,.31ห.,ว,.,1แค,ต2.บ,็.สนล...2nล2.,,.,ต,,.่า1.,..์ตลแู่.ต,,..ิ่งะ1.ั.ต.2แ..ิต..3ง,.,.ิง,2.ะลำ�.ท..,งิส..33ิกแห,คช2.,.2แน.ะ..ล่ีส,,สลา.,ู่.่อล,,เห...�ำ.ต.ิัง13รก3ะม..่งง.เเน.เแ.,,.สขรกกกบ,ด.2่ทง..ตนำอา�ตย.ี่ตั.แตร,รเ.งอเวกิน3ถหแกสงิ ผาสิบด,ทส็นลอลร.อ่ อมอิตร.มภเง.ลากืดดคีคปิดพย้ีสแแู่แวแูรวัอนลลลาาสเมดยะะะธงบ์ นและด23 ดด112 ก.....า้า้า้ านนนรสกกกคอภเแกรแแกกคกคจทแ่วาลบบาัาาภลววาบแารมริตทรวรรารากัะิตวนิปบบกสตแมทสมกใาลวระษครทฝวางชัทตื่อมมันดซกิทงผาู่เทรึกะด้จขกิสเงรงุ่ลอ่ืสรยู้นแยกหาสำม�กตอ้าอู้สอรทาำง�รแนอัดรนส่ัส่วงัตด กกศตลรสบแอวรมอยจาขาตกาาะลนปุดดกร์ารอสริงสจสะวแใทันกวคสงตนาดแัอลลแนดัแกแนวกบิรดกตะลกลแาสารเจ์กบาแเะาทมะรลางดารราลสทกรอศยผะก่ียทหรลว่ะดางแภา่ปกเวดามราิลตกนสลิาปรปลนนมยี้เาอระสจะดรอรผ�ำวรอืทบกลาเาง่ียิมเเเลมดากสบติกยลวกากรลินนกาเี้รนยาณราดอจรผ่าวอรวขู้เรย่ทีงาตทรตมลผเอทกวบอ�ำ่คาแี่ากลกงดงแงวลทภนแันาาล บาๆะิันสปรขนแอมกบเงสรอเลงหรทาผปฝื่อางียะรม่ีเา่นยึ็กแกอนรานจหรทสี่ยภยารา่วสัดมงียขวปิกู้ มผลแอ้แขงกรกต่ิาามลล้อาาันนนคลยูะะรง ู่

การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ ff 4 ddddnnDD. xxssจสแใหนiiถ�ำ nn้นหบสnnddddddddddddDDDDักรรสDDddddddddddddับddxxDDปุDDnnddเxxddDDวDDdddd44xxssDDรssffDDssxxเ่าxxไxxddvvxxีddssยกnniiiixxsssxxดDDssiiงLLssnnssnnนnnรiiiiiiว้xxiiiinnnnตssnnnทา่ffเเnnnnddiiตddnnnnมมDDดnnเnnnมงิnnnnnnnnxxลssnnอื่่ืออ่ืnnnniiอnnnnnnแ44nnงnnเvvสกมvvnnเเเLLเ441122งnnาnnเมแมมมttnnvvผ1122อื่รnn1122มnnLLnn1111nนเเnn1122nnา่เือ่ออ่ืื่ือ่nnIIมมล0000อ่ืเเวนnnn00nมม้ีย33ทnnnส่ืื่ออnnnเllllวอ่ือื่n,,ooooมเ33าล122เเเ11เ11PPAAม122เggggงnnมติ1บ22nnเเ11มมือ่เเมเ1ก22,,,,เมมเเเเือ่เเนเมมเม่ือ0ดมมเม33า่ือือ่ม0เมม22มมอ่ื0nnเnขมอืื่อ่nn0ยี่IIIInมร00อื่อื่อื่อือ่อื่,IIInม,,00ือ่0,่อื,,nืือ่่ออ0000อ่ืจื่อ,วnn001nnื่อn,155่อื..,,nn..100nnง่ือัด,nnn1166n1,,จn,n..เเn,แnnn1n,,1111,กเ,,nttะมม,,,n2เเส..2มn,,,,11211,22าเเม0มม..2033ง220ืืออ่่11,มมร211,,,..,,กอื่ี011,00ผ,,,,,.อื่ือ่เ11,,0,,,,33.,1..0,,.า22,,55ร1อ่ื่ือ011่า,,.10..22nn0,...1122nn.0,,22nร001..0ีย,น,,...,,,,,,22nn,0,10,,,เ,,,,2...,,22nn,,น055,,21ล,222ส,331..,1..1331331,,,1,2,....1ย้ีรล,,,33,1,,,,,2,,,,,,,1,,...,331..ู้ว.11.ิต2..,..,....2111,,.,2222......,,......เ,,.,11,,เ2....2,,,บ....,..11ด,2,,222,,.222,,.....น.,..ี่,ย,,...22...,,,.,,.,,.22...แ.33ว.333,,..ล,,33..,,,อ33..ะ...,,...ภ..ก,,.....ิปา..ร..รแาทยรร่วกมสกอันด ฟิสกิ ส์ 47 เเเเมมเเมมมมื่่อือ่อ่ือื อื่อ่ื เเเมเเมเมมเมมเเเม่ือมอื่มเเมมอื่อ่ืเเอื่อื่ มม่อือมม่ือืือ่่อืือ่อ่ ื่อ่อื เเมมือ่่ือ6 5ddddddddDDDD.. xxxxssssแแแเจกวยใพหเิาiiiiบถกาทคnnือ่กnnร้นบตบรdรddเตนdDััวกมกDลหาdddรd้ันDnnอxdสะDdดืี้ยxเักsDวsรยnnxนหddอddxวddddลiจsxDDDDsีiย่าเns�ำ์ตดา้nสiบixxxxงนเissnง�ำผnssอสกffนnเแสdddddddddiiii่ddddาddddnnnบกนDDDDาDDDDnผnn11ห22nnัnnนงxxxxnรnxxxxิดnnคอsssssssss่าnเนคสเผวiiiiiiiiiกนปnnnnnnn่งำ�nnnnลาnnลตแนน็nnมิตสแคถnnnn44วแรลnคลnnnnn1122vvบวณู้คถnิตnLLู่ะาnมเวบคอปกมเเ11าดื22nnมู่มมภnnรรม11112222nnnnnเเnnnnดืิมกไิปตหื่อ่อืเดแnnขราตรมnnnnค้ตลณ้าาnnิงือเวใยะตมม11112222ต1122จนเเเาnnแแริงเเมมมออ่ื่ื่าเเเมว่ลมมหบ11มมม00งแ่อื่่อ่ืออืืสมะnnn,,บอ่อื่ื รn00ๆn่ือออ่่ืืล,,nnัมn22ก00สnืnnnnn11อ11เnะnnnพส,,ันnnnลทn,,nn,,,,คเเเเ,,ส1133ร1133nnมมมมิ22ันต่ีเnnวลมิ00ก,,,,,,,,อ่อ่่ือือื่ืเ1111ธ,,าิต0..55ดเ011ี่ย,,220..022,,,,ก์11000ก..ม0เ..02222nnnn000ี่ย,,ว,,,..11ด0ัน0,,,ิด,,,,,,..แ,,22,,,,0ข,1,,,,22ว1..,111..1ี่ย,,33331111ต1เ00..,ต,....้อ122nn00ป,,,1,,,,ว,,,,,,..,..,า,1,พ..133....1111ก222ง,,222..,็น2,,....ม,22,,22..ก,,,,จ11,....ร33,11,ต,,,2,,22222แส,.....,า้2,ัอบ,2,,..,,่...,,.,,า.ถ,,,,.ม...ก,....,....ม113333.22..ง22,,.บ...กก..น..,,,,ท,,ข.......,,.าสา,,22ั้น........้ัอง....รร..ว..ใเ,,..งแ..่าหข33ลงทีย้น,,วร..แนัก..ดกล..แเสลระผียอรานนว่ดยภมสแกการลาพุปันะร ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 51. ความซอื่ สตั ย์2. ความมุ่งมัน่ อดทน แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ddxsin  n เเมมอ่ื ่ือnn  0 ,1, 2 ,... n  0 , 1, 2, .. dDx  n เมอ่ื n  0,1, 2, ..

48 ผลการเรยี นร ู้ 9. ทดลองและอธบิ ายการสะทอ้ นของแสงท่ผี ิววัตถตุ ามกฎการสะทอ้ น เขยี นรังสขี องแสงและคำ�นวณต�ำ แหนง่ และขนาดภาพของวตั ถุเม่อื แสง ตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมทัง้ อธบิ ายการนำ�ความรเู้ รอ่ื งการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม ไปใช้ประโยชนใ์ นชีวติ ประจำ�วันการวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการทบทวนความรู้เกี่ยวกับการเขียนรังสีของแสง ด้านความรู้ เมอ่ื แสงตกกระทบผวิ วตั ถทุ เ่ี รยี บ จะเกดิ การ จากแหล่งกำ�เนิดแสงตกกระทบผิววัตถุ จากนั้นต้ังคำ�ถามว่า เม่ือรังสีแสง 1. การสะทอ้ นแสง การสะทอ้ นของแสงจากกระจกเงาราบ สะท้อนเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสง วัตถุท่ีอยู่หน้ากระจกเงาราบและกระจกเงา เมื่อตกกระทบวัตถุที่มีผิวเรียบ ผิวโค้ง และผิวขรุขระ รังสีสะท้อนจะเป็น n แ1ล,ะ2ก,ร3ะ,จ..ก. เงาทรงกลม จากการอภิปรายร่วมกัน ทรงกลม จะเกดิ ภาพจากการสะทอ้ นของแสง อยา่ งไร ให้นกั เรยี นอภิปรายร่วมกันและน�ำ เสนdอผsลin   n  2. ความรู้ในการเขียนรังสีของแสงสะท้อน เพื่อหาดา้ นทักษะทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เมื่อ2. ใหน้ กั เรยี นทดลองการสะทอ้ นของแสงทผี่ วิ วตั ถุ อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ต�ำ แหนง่ ภาพและขนาดภาพทเ่ี กดิ จากกระจกเงาราบ1. การวัด (ระยะวัตถแุ ละระยะภาพ)2. การใช้จ�ำ นวน (ปริมาณต่าง ๆ ทเี่ กย่ี วข้องกับ ได้วา่ การสะท้อนของแสงเปน็ ไปตามกฎการสะทdอ้ xน  n n  แ1ล,2ะก,3ร,ะ.จ..กเงาทรงกลม จากแบบฝึกหัดและแบบ 3. ให้ความรู้เก่ียวกับการเขียนรังสีของแสง โดยใชD้กฎการสะท้อนของแสง การสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบและ ทดสอบ กระจกเงาทรงกลม)3. การทดลอง เมื่อแสงจากวัตถุที่มีขนาดตกกระทบกระจกเงาราบ จากนั้นให้นักเรียน4. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (การสรุปผลการทดลอง) เขียนรังสีของแสงเพ่ือหาตำ�แหน่งและขนาดภาพของวัตถุ ซึ่งมีความ ด้านทกั ษะทักษะแห่งศตวรรษที่ 211. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ สมั พันธต์ ามสมการ 1. การวัด การทดลอง การตีความหมายข้อมูลและ (การอภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ s'  s ลงข้อสรุป ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและ ภาวะผู้นำ� จากการอภิปรายร่วมกันและรายงาน ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์1. ความซือ่ สตั ย์ 4. ให้ความรู้เกี่ยวกับการเขียนรังสีของแสงท่ีตกกระทบกระจกเงาทรงกลม การทดลอง2. ความม่งุ ม่ันอดทน และการสะท้อนแสง จากน้ันให้นักเรียนเขียนรังสีของแสง โดยใช้กฎการ 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ สะท้อนของแสง เมอื่ แสงจากวัตถุทีม่ ขี นาดตกกระทบกระจกเงาทรงกลม อภปิ รายรว่ มกันและการน�ำ เสนอผล 3. การใชจ้ �ำ นวนในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั 1  1  1ให้นักเรียนเขียนรังสีการสะท้อนของแสงเพ่ือระบุตำ�แหน่งของภาพและ การสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบและ f s s'ขนาดภาพจากนน้ั อภปิ รายร่วมกนั จนสรุปไดค้ วามสัมพันธ์ ตามสมการ M  y' กระจกเงาทรงกลม จากแบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ y ด้านจิตวิทยาศาสตร์ 1. ความซอ่ื สตั ย์ จากรายงานผลการทดลอง 2. ความมงุ่ มนั่ อดทน จากการทดลอง และการอภปิ ราย 1 2 รว่ มกนั

การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฟสิ ิกส์ 49 5. ให้นักเรียนยกตัวอย่างการนำ�ความรู้เรื่องการสะท้อนของแสงจาก ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 5 กระจกเงาราบ และจากกระจกเงาทรงกลมไปใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนั จากนน้ั แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ อภปิ รายร่วมกันและน�ำ เสนอผล 6. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับการสะท้อนของแสง จากกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม จากนั้นให้นักเรียนสรุป เพอ่ื ตรวจสอบความรคู้ วามเข้าใจ