www.kalyanamitra.org
www.kalyanamitra.org
ชาดก เร่ือง ศิษย์ - อาจารย์ ISBN : 978-616-8103-08-1 เรียบเรียง : สริ ิปุณฺโณ ภาพประกอบ : www.dmc.tv และเวบไซต์อน่ื ๆ ออกแบบปก : วทิ ยา สทุ ธศิ รโี ยธนิ รูปเล่ม/จัดอารต์ : สกุ ญั ญา บญุ ทัน พิมพ์ครัง้ ที่ ๑ : พ.ศ. ๒๕๖๒ ลิขสทิ ธิ์และจดั พมิ พโ์ ดย : สมาคมสมาธเิ พอ่ื การพัฒนาศลี ธรรมโลก โทร. ๐๓๘-๔๒๐๐๔๓ พมิ พ์ท่ี : บริษัท พิมพ์ดี จำ� กัด โทร. ๐-๒๔๐๑-๙๔๐๑ ขอ้ มูลทางบรรณานุกรมของสำ� นกั หอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloguing in Publication Data สิริ ปุณฺ โณ. ชาดกเร่ืองศิษย-์ อาจารย.์ -- นนทบุรี : สมาคมสมาธิเพอ่ื การพฒั นา ศีลธรรมโลก, 2562. 200 หนา้ 1. ชาดกยอ่ . 2. ธรรมะศิษยก์ บั อาจารย.์ I. สิริปุณฺโณ ผคู้ น้ ควา้ และเรียบเรียง. II. ชื่อเร่ือง. 294.3184 www.kalyanamitra.org
ค�ำ น�ำ ชาดก เร่ืองราวระหว่างอาจารย์กับศิษย์ ท่ีปรากฎมีอยู่ หลายเร่อื ง จงึ นำ� มารวบรวมเปน็ หนงั สอื เล่มน้ี อาจารยท์ างโลกสอนวชิ าความรเู้ พอื่ ใชด้ ำ� รงชวี ติ ประกอบ สัมมาอาชวี ะในปัจจบุ ัน อาจารยท์ างธรรมสอนวิชชาเพื่อความรู้ แจง้ และหลุดพ้น ฝกึ วิชาครมู านับภพนับชาติไม่ถ้วน จนในทีส่ ุด ไดเ้ ปน็ บรมครูของชาวโลกและชาวสวรรค์ หากผู้อ่านจะได้ประโยชน์ ข้อคิด และหลักธรรมะบ้าง ก็ถือเปน็ การบชู าคณุ ของครบู าอาจารยท์ ัง้ ทางโลกและทางธรรม ขอแสงสวา่ งแห่งธรรมะของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า จงบงั เกิดในดวงใจของทกุ ๆ ท่านเทอญ สิรปิ ุณโฺ ณ มาฆบชู า ๑๙ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไลน์ไอดี Line ID : Siripunno แฟนเพจ Facebook: Siripunno อเี มล์ E-mail : [email protected] www.kalyanamitra.org
สารบญั เม่อื ศษิ ย์มคี วามเชือ่ ผดิ ๆ ๗ ๑) นามสิทธิชาดก ว่าด้วย ช่อื ไมเ่ ป็นของส�ำคญั วิธีฝกึ ศิษยโ์ ง่ ๒) นงั คลีสชาดก วา่ ด้วย คนพาลกล่าวค�ำท่ไี ม่ควรกล่าว ๑๓ ศษิ ย์รู้เรียนผกู แตไ่ มร่ ู้วิธแี ก้ ๒๑ ๓) สัญชวี ชาดก วา่ ดว้ ย โทษทย่ี กยอ่ งอสัตบรุ ษุ อาจารย์บอกคาถาปอ้ งกันภัยให้ลูกศิษย์ ๓๑ ๔) ถุสชาดก วา่ ด้วย ร้จู ักแกลบหรือขา้ วสารในที่มดื ๔๑ ๕) มูสิกชาดก วา่ ด้วยควรเรียนทุกอย่าง แตไ่ ม่ควรใชท้ กุ อยา่ ง ศิษย์ดอื้ ไม่จำ� ค�ำเตอื นของอาจารย์ ๕๑ ๖) เวนสาขชาดก ว่าดว้ ย ท�ำดีได้ดี ท�ำชั่วได้ชวั่ ศษิ ย์คดิ ตเี สมออาจารย์ จึงต้องพบกบั ความพนิ าศ ๗) อปุ าหนชาดก วา่ ดว้ ย อนารยชนยอ่ มใชศ้ ลิ ปะในทางผดิ ๖๑ ๘) คุตติลชาดก วา่ ด้วย ลูกศษิ ยค์ ดิ ล้างครู ๖๗ www.kalyanamitra.org
วธิ ีสอนศิษย์ถือดีอวดตัว ๙) มลู ปรยิ ายชาดก วา่ ดว้ ย กาลเวลากนิ สตั วพ์ รอ้ มทงั้ ตวั เอง ๘๓ อาจารย์สอนวิธีพจิ ารณาให้ลูกศษิ ย์ ๘๙ เหมือนกันท้งั อดีตและปจั จบุ นั ๑๐) สาธศุ ลี ชาดก วา่ ดว้ ย เลอื กเอาผู้มศี ีล อาจารยส์ อนวธิ ีแกป้ ัญหาในครอบครัว ๑ ๙๓ ๑๑) อนภริ ติชาดก ว่าด้วย จิตข่นุ มวั -ไมข่ ุ่นมวั อาจารย์สอนวธิ แี ก้ปญั หาในครอบครัว ๒ ๑๒) อนภริ ตชิ าดก วา่ ดว้ ย เปรยี บหญงิ เหมอื นของ ๕ อยา่ ง ๙๙ อาจารย์สอนวิธีแก้ปัญหาในครอบครัว ๓ ๑๐๕ ๑๓) ทรุ าชานชาดก วา่ ดว้ ยความรู้ไดย้ ากของหญิง อาจารยส์ อนวธิ ีแก้ปัญหาในครอบครัว ๔ ๑๑๓ ๑๔) อมุ มาทันตชี าดก วา่ ด้วย เสนาบดถี วาย นางอุมมาท นั ตี แด่พระราชา อาจารย์สอนวิธีแกป้ ัญหาในครอบครวั ๕ ๑๕) อสาตมนั ตชาดก วา่ ด้วย หญิงเลวทราม ๑๒๓ www.kalyanamitra.org
อาจารยส์ อนเรอ่ื งความประพฤตทิ เ่ี ลวใหล้ กู ศษิ ยพ์ จิ ารณา ๑๖) ลาภครหิกชาดก ว่าด้วย วธิ ีการหลอกลวง ๑๒๙ อาจารย์ลงโทษศิษยเ์ ปน็ การส่ังสอน ๑๗) ตลิ มุฏฐชิ าดก ว่าด้วย การเฆี่ยนตเี ป็นการสง่ั สอน ๑๓๕ อาจารยจ์ บั โกหกของศิษย์ ๑๔๓ ๑๘) เสตเกตชุ าดก ว่าดว้ ย คนทไ่ี ด้ชอื่ วา่ เป็นทิศ ลกู ศิษยไ์ ด้รบั ทกุ ขเวทนา เพราะไม่เชอื่ ฟังค�ำสอน ๑๙) โลสกชาดก ว่าด้วยคนท่ีตอ้ งเศร้าโศก ๑๔๙ ลกู ศษิ ย์ดื้อไมเ่ ช่อื คำ� เตือนอาจารย์ 1๒0๐) เวฬุกชาดก วา่ ด้วย คนทน่ี อนตาย ๑๖๕ ๒๑) อนิ ทสมานโคตตชาดก ว่าดว้ ย การสมาคมกับสตั บรุ ษุ ๑๗๑ ลูกศิษย์หาอบุ ายเตอื นอาจารย์ ๑๗๗ ๒๒) การันทยิ ชาดก วา่ ดว้ ย การท�ำทเี่ หลอื วิสัย ลกู ศษิ ย์เตือนอาจารย์แล้ว ๑๘๓ ๒๓) เวทพั พชาดก วา่ ดว้ ย ผปู้ รารถนาประโยชน์ โดยไมแ่ ยบคายยอ่ มเดอื ดร้อน ๒๔) ทพุ พจชาดก วา่ ดว้ ย ได้รับโทษเพราะท�ำเกนิ ไป ๑๘๙ www.kalyanamitra.org
เม่อื ลูกศิษย์มีความเชอ่ื ผดิ ๆ ๑) นามสทิ ธิชาดก๑ วา่ ดว้ ย ชอ่ื ไม่เป็นของส�ำคญั สถานทีต่ รสั พระวิหารเชตวัน เมอื งสาวัตถี ทรงปรารภพระภิกษุผูห้ วงั ความส�ำเรจ็ โดยช่อื รปู หนึ่ง สาเหตทุ ต่ี รัส ได้ยินว่า กุลบุตรผู้หน่ึง โดยนามช่ือว่า “ปาปกะ” บวชถวายชวี ิตในพระศาสนา เม่อื ถูกพวกภกิ ษเุ รียกว่า “มาเถดิ อาวุโส ปาปกะ หยดุ เถดิ อาวโุ ส ปาปกะ” ก็คิดว่า ‘ในโลกผู้ที่มชี ื่อว่า ปาปกะ เขากล่าวกันว่า ลามกเปน็ ตวั กาฬกรรณ๒ี เราตอ้ งใหพ้ ระอปุ ชั ฌายอ์ าจารย์ หาชื่อท่ีประกอบไปด้วยมงคลอยา่ งอืน่ ’ เธอเขา้ ไปหาอุปชั ฌาย์อาจารย์ กราบเรยี นวา่ ๒๑ มกชาามตฬรก.กฏัรรฐณกถี นา.อเรสรนถยี กดถจาญั ชไารดกลกั เษอกณนะิบทา่ีเตปชน็ าอดปั กม,งลค.ล๕๖, น.๓๗๐, ๑. นามสทิ ธิ 7 www.kalyanamitra.org
ชื่อนั้นสำ� คญั ไฉน “นามนัน้ สำ� คญั ไฉน กหุ ลาบถึงเรยี กขานดว้ ยชอ่ื ใด กย็ ังคงความหอมเชน่ เดมิ ” 8 ศิษย์อาจารย์ www.kalyanamitra.org
“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชื่อของผมเป็นอัปมงคล กรุณา ตั้งชอ่ื อย่างอืน่ ให้กระผมเถดิ .” ครงั้ นนั้ อาจารยแ์ ละอปุ ชั ฌาย์ กก็ ลา่ วกะเธออยา่ งนวี้ า่ “ช่ือเป็นเพียงบัญญัติส�ำหรับเรียกกัน ขึ้นชื่อว่า ความส�ำเร็จประโยชน์ไรๆ มิได้มีเพราะชื่อเลย เธอจง พอใจชอ่ื ของตนนน้ั เถดิ .” เธอคงยงั ออ้ นวอนอยรู่ ำ�่ ไป ความทเ่ี ธอมงุ่ ความสำ� เรจ็ โดยช่อื น้ี เกิดแพรห่ ลายกระจายไปในสงฆ.์ อยู่มาวันหน่ึง ภิกษุท้ังหลายน่ังประชุมกันในธรรม- สภา ตงั้ เรอื่ งสนทนากนั วา่ “ท่านผู้มีอายุท้งั หลาย ไดย้ นิ วา่ ‘ภิกษโุ น้นม่งุ ความ ส�ำเรจ็ โดยชอื่ ’ ขอใหช้ ว่ ยหาชอ่ื ที่เป็นมงคลให”้ พระบรมศาสดาเสด็จมาสธู่ รรมสภา ตรสั ถามวา่ “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย พวกเธอประชุมสนทนากัน ดว้ ยเรอื่ งอะไร ?” เมอ่ื ภกิ ษทุ งั้ หลายกราบทลู ใหท้ รงทราบแลว้ ตรสั วา่ “ดูก่อนภกิ ษุท้งั หลาย มิใช่แตใ่ นบดั นเี้ ท่านั้น แมใ้ น กาลกอ่ นเธอก็มงุ่ ความสำ� เรจ็ เพราะชอ่ื เหมือนกนั ” แล้วทรงน�ำเอาเรือ่ งในอดตี มาสาธก ดงั ตอ่ ไปน้ี : ๑. นามสทิ ธิ 9 www.kalyanamitra.org
เน้ือหาชาดก กาลคร้ังหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็น อาจารยท์ ศิ าปาโมกข์ อยใู่ นเมอื งตกั กสลิ า มลี กู ศษิ ยค์ นหนง่ึ ช่ือว่า “ปาปกะ” (นายบาป) เขาคิดว่าชื่อของเขาไม่เป็น มงคล จงึ เขา้ ไปหาอาจารยแ์ ละขอใหอ้ าจารยต์ งั้ ชอื่ ใหใ้ หม่ อาจารยจ์ งึ บอกใหไ้ ปเทยี่ วแสวงหาชอ่ื ทต่ี นเองชอบใจ มาแลว้ จะท�ำพิธเี ปล่ียนช่อื ให้ เขาไดอ้ อกเดนิ ทางไปแสวงหาชอ่ื ใหม่ จนถงึ เมอื งหนงึ่ เดนิ ผา่ นขบวนญาตหิ ามศพไปปา่ ชา้ จงึ ถามถงึ ชอ่ื คนตาย พวกญาติจึงบอกชอ่ื ว่า “ชีวกะ” (นายบุญรอด) เขาถามวา่ “ชอื่ ชีวกะกต็ ายหรอื ?” พวกญาติจึงกลา่ ววา่ “จะช่ืออะไรๆ ก็ตายทั้งนั้น ชื่อเป็นเพียงบัญญัติ สำ� หรับเรียกกันเท่านัน้ ” พอเดินเข้าไปในเมือง พบเห็นพวกนายทุนก�ำลัง จับนางทาสีเฆี่ยนดว้ ยเชือกอยู่ จึงถามความนั้น ทราบวา่ ‘นางไม่ยอมให้ดอกเบ้ียจึงถูกลงโทษแทน’ ถามถึงชื่อ นางทาสีนนั้ ทราบว่าชือ่ “นางธนปาล”ี (นางรวย) 10 ศิษย์อาจารย์ www.kalyanamitra.org
จึงถามวา่ “ช่ือรวย ยังไม่มเี งินจา่ ยดอกเบย้ี หรือ ?” พวกนายทนุ จึงตอบวา่ “จะชื่อรวยหรอื จน เป็นคนยากจนได้ทง้ั นน้ั ช่ือเป็น เพียงบัญญัตเิ รียกกนั เท่าน้ัน” เขาเริ่มร้สู ึกเฉยๆ ในเร่ืองช่อื ยิง่ ข้ึน เขาได้เดินทางออกจากเมืองไป ในระหว่างทาง พบคนหลงทางคนหนึ่ง จึงถามช่ือทราบว่าช่ือ “ปันถกะ” (นายช�ำนาญทาง) จงึ ถามวา่ “ขนาดชือ่ ชำ� นาญทาง ยังหลงทางอยหู่ รอื ?” คนหลงทางจึงตอบว่า “จะช่ือช�ำนาญทางหรือไม่ช�ำนาญทาง ก็มีโอกาส หลงทางได้เท่ากัน เพราะช่ือเป็นบัญญัติส�ำหรับเรียกกัน เท่านั้น” เขาจงึ วางเฉยในเรอื่ งชอ่ื เดนิ ทางกลบั ไปพบอาจารย์ แล้วเล่าเรื่องท่ีตนพบเห็นมา ให้ฟังและขอใช้ชื่อนายบาป เช่นเดิม อาจารย์จงึ กล่าวคาถานีว้ ่า “เพราะเห็นคนช่ือเป็น ได้ตายไป หญิงชื่อรวย กลับตกยาก และคนช่ือว่านักเดินทาง แต่กลับหลงทาง อยู่ในป่า นายปาปกะจงึ ได้กลบั มา” ๑. นามสทิ ธิ 11 www.kalyanamitra.org
พระบรมศาสดาทรงน�ำอดตี นิทานน้มี าแลว้ ตรสั ว่า “ดูก่อนภิกษุทง้ั หลาย มใิ ช่แต่ในบัดน้ีเท่านนั้ แม้ใน ปางกอ่ น เธอกม็ งุ่ ความสำ� เรจ็ เพราะชอ่ื มาแลว้ เหมอื นกนั ” ประชมุ ชาดก มาณพผูม้ งุ่ ความส�ำเรจ็ เพราะชอ่ื ในคร้งั น้ัน ไดม้ าเป็น ภิกษผุ ูม้ ุ่งความสำ� เร็จเพราะชือ่ ในบัดนี้ บริษัทของอาจารย ์ ได้มาเปน็ พทุ ธบรษิ ทั สว่ นอาจารย ์ ไดม้ าเป็น เราตถาคตฉะนี้แล. 12 ศษิ ยอ์ าจารย์ www.kalyanamitra.org
วิธีฝกึ ศษิ ยโ์ ง่ ๒) นังคลีสชาดก๓ วา่ ดว้ ย คนพาลกล่าวค�ำไมค่ วรกลา่ ว สถานท่ตี รสั พระเชตวนั มหาวหิ าร ทรงปรารภ พระโลลุทายีเถระ สาเหตุทต่ี รสั ไดย้ นิ วา่ พระเถระนน้ั เมอ่ื กลา่ วธรรม มไิ ดร้ ขู้ อ้ ทคี่ วร และไม่ควรว่า ‘ในท่ีน้ีควรกล่าวข้อนี้ ในที่น้ีไม่ควรกล่าว ข้อน’ี้ ในงานมงคล ก็กล่าวอวมงคล กล่าวอนุโมทนา อวมงคล น้วี ่า “เปรตทั้งหลายพากันยืนอยู่ที่นอกฝาเรือน และท่ี กรอบประตูและเชด็ หนา้ ” เปน็ ตน้ ครนั้ ถงึ งานอวมงคล เมอื่ กระทำ� อนโุ มทนากลบั กลา่ ววา่ “เทวดาและมนุษย์ทงั้ หลายเป็นอนั มาก ได้คดิ มงคล ท้ังหลายกนั แล้ว” เปน็ ต้น แล้วกลา่ วย้ำ� ว่า ๓ ต้นฉบบั ชาตกัฏฐกถา อรรถกถาชาดก เอกนิบาตชาดก, ล.๕๖, น.๔๗๙, มมร. ๒. นังคลสี 13 www.kalyanamitra.org
14 ศิษยอ์ าจารย์ www.kalyanamitra.org
“ขอให้พวกท่านสามารถกระท�ำมงคลเห็นปานนั้น ให้ไดร้ ้อยเท่า พนั เท่าเถิด” คร้ันวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย พากันยกเร่ืองนี้ข้ึน สนทนากัน ในโรงธรรมว่า “ผู้มีอายุท้ังหลาย พระโลลุทายีมิได้รู้ข้อท่ีควรและ ไม่ควร กล่าววาจาท่ไี มน่ า่ กล่าวทัว่ ไปทกุ หนทกุ แหง่ .” พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย บัดน้ี พวกเธอนั่งประชุม สนทนากนั ด้วยเร่อื งอะไร ?” ครนั้ ภิกษุท้ังหลายกราบทูลให้ทรงทราบแลว้ . ตรัสวา่ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่าน้ัน ที่ โลลุทายีน้ี มีไหวพริบช้า เมื่อกล่าวก็ไม่รู้ข้อที่ควรและ ไม่ควร แม้ในครั้งก่อน ก็ได้เป็นอย่างน้ี เธอเป็นผู้เล่ือน เป้อื นเรอ่ื ยทเี ดียว” แลว้ ทรงน�ำเอาเรือ่ งในอดีตมาสาธก ดังต่อไปน้ี :- เนอ้ื หาชาดก ในอดีตกาล คร้ังพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ อยู่ในพระนครพาราณสี. พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุล พราหมณม์ หาศาล เจรญิ วยั แลว้ เลา่ เรยี นสรรพศลิ ปวทิ ยา ๒. นงั คลสี 15 www.kalyanamitra.org
ในเมอื งตกั กสลิ า ไดเ้ ปน็ อาจารยท์ ศิ าปาโมกข์ ในพระนคร พาราณสี บอกศลิ ปวิทยาแก่มาณพ ๕๐๐. ครั้งนั้น ในบรรดามาณพเหล่านั้น มีมาณพผู้หน่ึง มีไหวพริบย่อหย่อน (ปัญญาอ่อน) เล่ือนเปื้อน๔ เป็น ธัมมันเตวาสิก๕ เรียนศิลปะ แต่ไม่อาจจะเล่าเรียนได้ เพราะความเปน็ คนทบึ แตไ่ ดเ้ ปน็ ผมู้ อี ปุ การะตอ่ พระโพธ-ิ สัตว์ ท�ำกจิ ทุกๆ อยา่ งใหเ้ หมอื นทาส. อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์บริโภคอาหารเย็นแล้ว นอนเหนอื เตยี งนอน กล่าวกะมาณพน้ัน ผู้ท�ำการนวดมอื เทา้ และหลังให้ แล้วจะไปวา่ “พอ่ คณุ เจา้ ชว่ ยหนนุ เทา้ เตยี งใหก้ อ่ น แลว้ คอ่ ยไปเถดิ .” มาณพหนุนเท้าเตียงข้างหนึ่งแล้ว ไม่ได้อะไรที่จะ หนุนเท้าเตียงอีกข้างหน่ึง ก็เลยเอาวางไว้บนขาของตน จนตลอดคนื . พระโพธสิ ัตวล์ ุกขึน้ ในตอนเช้า เหน็ เขาแล้วถามวา่ “พ่อคุณ เจา้ นง่ั ท�ำไมเล่า ?” เขาตอบว่า “ท่านอาจารยข์ อรับ ผมหาอะไรหนนุ เท้าเตียงไมไ่ ด้ เลยเอาวางไวบ้ นขาของตน น่ังอย.ู่ ” ๕๔ ธทรพี่ รูดมจนั าเเตลวอาะสเทกิ อ[ทะหาํ มาสันา]รนะ.ไมอไ่ันดเ้ตวาสกิ (ศิษย์) ผเู้ รยี นธรรมวนิ ัย. (ส. ป. ธมฺมนเฺ ตวาสิก). 16 ศษิ ยอ์ าจารย์ www.kalyanamitra.org
พระโพธิสัตว์สลดใจ คดิ วา่ ‘มาณพมีอุปการคุณแก่เรายิ่งนัก ในกลุ่มมาณพ มีประมาณเท่าน้ี เจ้านี้คนเดียวโง่กว่าเพื่อน ไม่อาจ ศึกษาศิลปะได้ ท�ำอย่างไรเล่าหนอ ? เราจึงจะท�ำให้เขา ฉลาดขนึ้ ได.้ ’ ครัน้ แลว้ ก็ไดเ้ กดิ ความคดิ ขึ้นว่า ‘มีอุบายอยู่อย่างหน่ึง เราต้องคอยถามมาณพนี้ ผู้ไปหาฟืนหาผกั มาแลว้ วา่ “วันน้ี เจ้าเหน็ อะไร เจ้าท�ำอะไร ?” เมอื่ เป็นเชน่ นี้ เขาจะตอ้ งบอกเราวา่ “วนั น้ี ผมเหน็ ส่งิ ช่ือนี้ ท�ำกจิ ช่ือน.้ี ” คร้นั แล้วเราต้องถามว่า “ทเ่ี จ้าเหน็ ท่ีเจา้ ท�ำเช่นอะไร ?” เขาจักบอกโดยอุปมาและโดยเหตุว่า อย่างน้ี ด้วยวิธีน้ี เราให้เขากล่าวอุปมาและเหตุแล้ว จักท�ำให้ เขาฉลาดได้ ดว้ ยอุบายน.้ี ’ ท่านจงึ เรยี กเขามาบอกวา่ “พ่อมาณพ ต้ังแต่บัดน้ีไป ในที่ที่เจ้าไปหาฟืนและ หาผัก เจ้าได้เห็นได้กินได้ด่ืมหรือได้เคี้ยวส่ิงใด ในที่น้ัน คร้ันมาแลว้ ต้องบอกสิง่ น้นั แก่เรา.” ๒. นังคลีส 17 www.kalyanamitra.org
เขารบั ค�ำวา่ “ดีละ ขอรบั .” วันหน่ึงไปป่าเพ่ือหาฟืนกับมาณพท้ังหลาย เห็นงู ในปา่ . ครนั้ มาแลว้ กบ็ อกว่า “ท่านอาจารย์ครบั ผมเหน็ ง.ู ” ท่านอาจารย์ถามวา่ “พอ่ คณุ ขน้ึ ชอื่ ว่างู เหมือนอะไร ?” ตอบวา่ “แมน้ เหมอื นงอนไถครับ.” อาจารย์ชมว่า “ดีแล้ว ดแี ลว้ พอ่ คุณ อุปมาท่เี จ้านำ� มาวา่ งูเหมือน งอนไถเป็นท่พี อใจละ.” คร้งั นน้ั พระโพธิสตั ว์ด�ำรวิ ่า ‘อุปมาน่าพอใจ มาณพ นำ� มาได้ เราคงอาจจะทำ� ให้เขาฉลาดได้.’ ฝ่ายมาณพ วันหนง่ึ เหน็ ช้างในป่า มาบอกวา่ “ทา่ นอาจารยค์ รบั ผมเหน็ ชา้ ง.” อาจารยซ์ ักวา่ “ช้างเหมือนอะไรเลา่ พอ่ คุณ ?” ตอบวา่ “ก็เหมอื นงอนไถนน่ั แหละ” 18 ศิษย์อาจารย์ www.kalyanamitra.org
พระโพธิสัตว์คิดว่า ‘งวงช้างก็เหมือนงอนไถ อ่ืนๆ เช่นงา เป็นต้น ก็พอจะมีรูปร่างเช่นนั้นได้ แต่มาณพนี้ ไม่อาจจ�ำแนกกล่าวได้ เพราะตนโง่. ชะรอยจะพูดหมาย เอางวงช้าง’ แล้วกน็ ง่ิ ไว้. อยู่มาวันหนึ่ง มาณพได้กินอ้อยในท่ีท่ีเขาเชิญไป ก็มาบอกวา่ “ท่านอาจารยค์ รบั วันน้ี ผมได้เค้ยี วออ้ ย.” เม่อื ถกู ซักวา่ “อ้อยเหมือนอะไรเลา่ ?” ก็กล่าววา่ “เหมอื นงอนไถอย่างไรเลา่ ครบั .” อาจารยค์ ิดว่า ‘มาณพ กลา่ วเหตุผลสมควรหน่อย’ แลว้ คงนิง่ ไว.้ อีกวันหน่ึง ในท่ีท่ีได้รับเชิญ มาณพบางหมู่บริโภค นำ้� ออ้ ยงบกบั นมส้ม บางหมบู่ รโิ ภคน�้ำออ้ ยกบั นมสด. มาณพนนั้ มาแล้วกลา่ ววา่ “ท่านอาจารย์ครับ วันน้ีผมบริโภคทั้งนมส้มและ นมสด.” ครั้นถกู ซักวา่ “นมส้ม นมสดเหมือนอะไร ?” ๒. นังคลสี 19 www.kalyanamitra.org
กต็ อบว่า “เหมอื นงอนไถอยา่ งไรเลา่ ครับ.” อาจารยก์ ลา่ วว่า “มาณพน้ี เมอ่ื กลา่ ววา่ งเู หมอื นงอนไถ เปน็ อนั กลา่ ว ถกู ต้องกอ่ นแล้ว. แม้กลา่ ววา่ ช้างเหมอื นงอนไถ ก็ยังพอ กลา่ วไดด้ ว้ ยเลห่ ท์ ห่ี มายเอางวง. แมท้ กี่ ลา่ ววา่ ออ้ ยเหมอื น งอนไถ กย็ งั เขา้ ทา่ . แตน่ มสม้ นมสดขาวอยเู่ ปน็ นจิ ทรงตวั อยดู่ ว้ ยภาชนะ ไมน่ า่ จะกลา่ วอปุ มาในขอ้ นไี้ ด้ โดยประการ ทัง้ ปวงเลย เราไมอ่ าจใหค้ นเล่ือนเปอ้ื นผ้นู ีศ้ กึ ษาได.้ ” จงึ กล่าวคาถาน้ี ความวา่ :- “คนโง่ ยอ่ มกลา่ วคำ� ทไี่ มค่ วรกลา่ ว ทกุ อยา่ ง ไดใ้ นท่ี ทุกแห่ง คนโง่น้ีไม่รู้จักเนยข้น และงอนไถ ย่อมส�ำคัญ เนยขน้ และนมสด วา่ เหมอื นงอนไถ” ดังน้.ี พระโพธิสัตว์คิดว่า ‘ประโยชน์อะไรด้วยมาณพนี้’ จึงบอกกล่าวแก่ พวกอันเตวาสกิ ท้งั หลายให้เสบยี ง แล้ว สง่ มาณพน้นั กลับไป. ประชุมชาดก มาณพเลื่อนเป้อื นในครั้งน้ัน ได้มาเปน็ โลลทุ ายี ส่วนอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะน้ีแล. 20 ศิษยอ์ าจารย์ www.kalyanamitra.org
ศิษยร์ ู้เรยี นผกู แตไ่ มร่ ู้วิธีแก้ ๓) สัญชีวชาดก๖ วา่ ด้วย โทษท่ยี กยอ่ งอสัตบุรุษ สถานท่ีตรัส วัดเวฬวุ นั เมอื งราชคฤห์ ทรงปรารภ การยกยอ่ งอสตั บรุ ษุ ของพระเจา้ อชาตศตั รู สาเหตุทีต่ รสั พระเจ้าอชาตศัตรูนั้น ทรงเลื่อมใสในพระเทวทัต ผทู้ ศุ ีล มบี าปธรรม เปน็ เสยี้ นหนามตอ่ พระพุทธองคแ์ ละ พุทธสาวก ทรงยกย่องพระเทวทัตนั้น ผู้ไม่สงบระงับ เปน็ อสัตบุรษุ ทรงพระด�ำรวิ ่า ‘จักทำ� สกั การะแกเ่ ธอ’ ดังน้ีแล้ว ทรงบริจาคทรัพย์เป็นอันมาก ให้สร้าง วหิ ารทค่ี ยาสสี ประเทศ ทรงเชอื่ ถอ้ ยคำ� ของเธอ สำ� เรจ็ โทษ พระราชบดิ าผเู้ ปน็ พระราชาผตู้ ง้ั อยใู่ นธรรม เปน็ พระอรยิ - สาวกช้ันพระโสดาบันเสยี ตัดรอนอุปนิสยั แหง่ โสดาปตั ติ- มรรคของพระองค์ ถึงความพินาศใหญห่ ลวง. ๖ ลต.้น๕ฉ๖บ, ับน.๖ช๐าต๗ก,ฏั มฐมกรถ. า อรรถกถาชาดก เอกนบิ าตชาดก, ๓. สัญชีว 21 www.kalyanamitra.org
22 ศิษยอ์ าจารย์ www.kalyanamitra.org
ครนั้ ทา้ วเธอทรงสดบั วา่ ‘พระเทวทตั ถกู แผน่ ดนิ สบู ’ ก็สะดุ้งตกพระทัยว่า ‘ตัวเราเล่า จักถูกแผ่นดินสูบบ้าง ไหมหนอ ?’ ไม่ไดร้ บั ความสุขในราชสมบตั ิ ไมไ่ ดป้ ระสบ ความยนิ ดี บนพระแทน่ บรรทม ทรงหวาดผวาอยเู่ ทยี่ วไป เหมอื นเปรตทถี่ กู ทรมานอยา่ งรนุ แรง ทา้ วเธอนกึ เหน็ เปน็ เสมอื นกำ� ลงั ถกู แผน่ ดนิ สบู เหมอื นเปลวเพลงิ ในอเวจกี ำ� ลงั แลบออกมา และเหมอื นพระองคถ์ กู บงั คบั ใหบ้ รรทมหงาย เหนือแผ่นดินเหล็กที่ร้อน แล้วถูกแทงด้วยหลาวเหล็ก ฉะนัน้ ดว้ ยเหตุนั้น ข้นึ ช่อื วา่ ความสงบพระทัยแมช้ ัว่ ครู่ จึงมิได้มีแก่พระองคผ์ หู้ วาดผวาเหมือนไกท่ ี่ถกู เชอื ด ท้าวเธอมีพระประสงค์จะเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระประสงค์จะให้พระพุทธองค์ทรงอดโทษ ท้ังมี พระประสงคจ์ ะทลู ถามปญั หา แตเ่ พราะพระองคม์ คี วามผดิ อย่างใหญห่ ลวง จึงมิอาจทจ่ี ะเข้าเฝา้ ได้. ครั้งน้ันประจวบกับพระนครราชคฤห์ มีงานราตรี ประจ�ำเดือนกัตติกา๗ ประชาชนพากันตกแต่งบ้านเมือง ประหนงึ่ เทพนคร ๗ [กดั -] น. ดาวฤกษท์ ี่ ๓ มี ๘ ดวง เหน็ เปน็ รปู ธงสามเหลีย่ ม มหี าง เรียวยาว ดาวธงสามเหล่ียม หรือ ดาวลูกไก่ ก็เรียก (โบ) เขียนเป็น กฤตกิ า กม็ .ี (ป. กตตฺ กิ าส. กฤฺ ตฺติกา). ๓. สญั ชีว 23 www.kalyanamitra.org
พระเจ้าอชาตศัตรูแวดล้อมไปด้วยหมู่อ�ำมาตย์ ประทบั นง่ั เหนอื พระราชอาสนท์ องคำ� ในทอ้ งพระโรงหลวง ทอดพระเนตรเห็นหมอชีวกโกมารภัจนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ได้ทรงมพี ระปรวิ ติ กว่า ‘เราจักชวนหมอชีวกไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราไม่อาจท่ีจะชวนไปตรงๆ ทีเดียวว่า ชีวกผู้สหาย เราไมส่ ามารถทจี่ ะไปตามลำ� พงั ได้ มาเถดิ เธอชว่ ยพาฉนั ไปเฝ้าพระศาสดาด้วยเถิด’ ดังนี้ ต้องพรรณาถึงความ เพริศพริ้งงดงามแห่งยามราตรีแก่เขา ด้วยปริยายเป็น อนั มาก แลว้ จึงค่อยกล่าววา่ “ไฉนเล่าหนอ วันน้ีพวกเราน่าจะเข้าไปหาสมณะ หรือพราหมณ์ที่เมอ่ื พวกเราเข้าไปหาท่าน จะพงึ ทำ� จติ ใจ ใหผ้ ่องใสได้” ฟังค�ำนั้นแล้ว พวกอ�ำมาตย์จักพากันพรรณนาคุณ ศาสดาท้ังหลายของตน ถึงหมอชีวกเล่า ก็คงจะกล่าว พรรณนาคุณ แหง่ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ เมื่อเป็นเชน่ น้ัน เราจกั ชวนเขาไปสู่สำ� นักพระศาสดา’ ดังนี้ ทา้ วเธอจงึ พรรณนาราตรกี าล ดว้ ยบททง้ั ๕ ดงั นี้ :- ชาวเราเอ๋ย คนื วนั เพญ็ เจิดจ้า แท้หนอ ชาวเราเอย๋ คืนวันเพญ็ งามจริง ยิ่งหนอ 24 ศษิ ยอ์ าจารย์ www.kalyanamitra.org
ชาวเราเอ๋ย คนื วันเพญ็ นา่ ทัศนา จริงหนอ ชาวเราเอ๋ย คนื วนั เพ็ญ แจ่มใส จริงหนอ ชาวเราเอย๋ คนื วันเพญ็ น่าร่ืนรมย ์ แท้หนอ “วันนี้ใครเล่าหนอท่ีชาวเราควรเข้าไปหา ท่านผู้ใด เล่าทพี่ วกเราเข้าไปหา จิตใจจะพงึ เล่อื มใสได”้ ครั้งนั้น อำ� มาตย์ผูห้ น่ึงกลา่ วถงึ คุณของปูรณกัสสป คนหนึ่งกล่าวถึงคุณของมักขลิโคศาล คนหน่ึงกล่าวถึง คณุ ของอชติ เกสกมั พล คนหนงึ่ กลา่ วคณุ ปกทุ ธกจั จายนะ คนหน่ึงกล่าวคุณของสญชัยเวลัฏฐบุตร คนหนึ่งกล่าว คณุ ของนิครนถนาฏบุตร. พระราชาทรงสดับค�ำของเขาเหล่านั้นแล้ว ได้ทรง ดุษณีภาพ๘ด้วยว่า ‘ท้าวเธอทรงปรารถนาถ้อยค�ำของ มหาอ�ำมาตย์ชวี กเทา่ นัน้ ’ ฝ่ายหมอชีวกด�ำริว่า ‘เมื่อพระราชาตรัสกับเรา น่ันแหละ เราจึงจักกราบทูล’ ดังน้ีแล้ว ก็น่ังนิ่งอยู่ในที่ ไม่ไกล. คร้งั นั้น พระราชาจึงตรสั กะเขาวา่ “ดกู ่อนสหายชีวก ท่านเลา่ ทำ� ไมจงึ นิง่ เสยี ?” ๘ ดษุ ฎี [ดุดสะด]ี น. ความยนิ ดี ความชนื่ ชม. (ส.) ๓. สญั ชีว 25 www.kalyanamitra.org
ขณะนน้ั ชีวกก็ลุกจากอาสนะ ประนมอัญชลีไปทาง ทีพ่ ระผมู้ ีพระภาคเจา้ ประทบั อยู่ กราบทลู ว่า “ขอเดชะ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ผเู้ ปน็ พระอรหนั ต์ เปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์น้ัน ก�ำลังเสด็จประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของข้าพระองค์ กบั ภิกษสุ งฆ์ ๑,๒๕๐ รปู ก็แลกิตติศัพท์อันงามอย่างน้ี เฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองคน์ น้ั ระบอื ไปแลว้ พลางประกาศปาฏหิ ารยิ เ์ กา้ รอ้ ย ประการ อานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีบุรพนิมิต ตง้ั แตป่ ระสูตเิ ปน็ ต้น เปน็ ประเภท”๙ แลว้ กราบทลู ว่า “ขอเชิญพระองค์ผู้สมมติเทพ เสด็จเข้าไปเฝ้าพระ- ผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ัน ทรงสดับธรรม ตรัสถาม ปญั หาเถดิ พระเจ้าขา้ .” พระราชาทรงมีพระมโนรถ๑๐เต็มเปยี่ ม ตรสั ว่า “สหายชวี ก ถ้าเช่นนัน้ เธอจงส่งั ให้จัดแจงชา้ งเถิด” ครั้นรับส่ังให้จัดเตรียมยานพาหนะแล้ว จึงเสด็จ ด�ำเนินไปสู่ชีวกัมพวัน ด้วยราชานุภาพอันใหญ่หลวง ๙ สว่ นทแ่ี บง่ ยอ่ ยออกเปน็ พวก ชนดิ หมู่ เหลา่ เปน็ ตน้ ๑ ๐ ความประสงค,์ ความตอ้ งการ, ความใฝ่ฝนั , ความหวงั . 26 ศษิ ยอ์ าจารย์ www.kalyanamitra.org
ทอดพระเนตรเห็นพระตถาคตเจ้าแวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุ ในโรงโถง ณ ชวี กมั พ วันนั้น ทรงช�ำเลืองดูหมู่ภิกษุผู้ปราศจากการ เคลื่อนไหว ประหน่ึงเรือใหญ่ในท่ามกลางทะเลยาม มีคลื่นลมสงบลงแล้ว ฉะน้ัน โดยถ้วนท่ัว ทรงเลื่อมใส ในอิรยิ าบถนั้นแล ดว้ ยทรงพระด�ำรวิ ่า ‘บริษัทเห็นปานดังน้ี เราไม่เคยเห็นเลย’ พลาง ประคองอัญชลีแด่พระสงฆ์ ตรัสชมเชย ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แลว้ กราบทลู ถามปัญหาในสามัญญผล. ครั้งน้ัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสามัญญผล- สูตร ประดับดว้ ยภาณวาร๑๑ ๒ ภาณวารแกท่ ้าวเธอ ในเวลาจบพระสูตร ท้าวเธอดีพระทัย ทูลขอให้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอดโทษ เสด็จลุกจากอาสนะ ทรงกระท�ำประทักษณิ แลว้ เสดจ็ หลีกไป. เม่ือพระราชาเสด็จไปแล้วไม่นาน พระศาสดาตรัส เรยี กภิกษุทง้ั หลายมา ตรสั วา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย พระราชาองคน์ ถ้ี กู ขดุ เสยี แลว้ ถูกโค่นเสียแล้ว ถ้าท้าวเธอจักไม่ปลงพระชนม์พระราช- ๑๑ ธรรมทจี่ ัดไวเ้ ป็นหมวด, หมวดหน่งึ ๆ. ๓. สญั ชวี 27 www.kalyanamitra.org
บิดาผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นราชาโดยธรรมเสีย เพราะ มงุ่ ความเปน็ ใหญไ่ ซร้ ธรรมจกั ษอุ นั ปราศจากธลุ ี ปราศจาก มลทนิ จกั บังเกดิ ในขณะประทับน่ังนท้ี ีเดยี ว แตท่ า้ วเธออาศยั พระเทวทตั ทำ� การยกยอ่ งอสตั บรุ ษุ จงึ เส่อื มเสยี จากโสดาปัตติผล” ในวันรงุ่ ขึน้ ภกิ ษุทงั้ หลายยกเร่อื งขน้ึ สนทนากันใน ธรรมสภาวา่ “ผู้มีอายุท้ังหลาย ได้ยินว่า ‘พระเจ้าอชาตศัตรู เสอื่ มเสยี จากโสดาปตั ตผิ ล เพราะทำ� การยกยอ่ งอสตั บรุ ษุ อาศัยพระเทวทัตผู้ทุศีล มีบาปธรรม ทรงกระท�ำปิตุฆาต กรรม เปน็ พระราชาทพ่ี ระเทวทตั ให้ฉบิ หายแล้ว’.” พระศาสดาเสด็จมาตรสั ถามวา่ “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย บัดน้ี พวกเธอน่ังประชุม สนทนากนั ด้วยเรอ่ื งอะไร ?” เมอ่ื ภกิ ษทุ งั้ หลายกราบทลู ใหท้ รงทราบแลว้ ตรสั วา่ “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย มิใช่แต่ในบัดน้ีเท่านั้น ท่ี อชาตศัตรูท�ำการยกย่องอสัตบุรุษ ถึงความพินาศอย่าง ใหญ่หลวง แม้ในกาลก่อน เธอก็ท�ำลายตนเสียด้วยการ ยกย่องอสตั บรุ ุษเหมอื นกัน.” ทรงน�ำเรือ่ งราวในอดตี มาสาธก ดังตอ่ ไปน้ี :- 28 ศษิ ย์อาจารย์ www.kalyanamitra.org
เนื้อหาชาดก ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็น อาจารยท์ ิศาปาโมกข์ มีลกู ศิษย์ประมาณ ๕๐๐ คน ในน้ัน มีมานพ คนหน่ึงชื่อ “สัญชีวะ” ได้เรียนมนต์ท�ำคนตาย ใหฟ้ ื้นคืนมาได้ แตไ่ มไ่ ดเ้ รียนมนต์สำ� หรบั ป้องกนั วันหน่ึง เขาเข้าไปหาฟืนกับเพ่ือน เห็นเสือตาย ตัวหนึง่ นอนตายอยู่ ก็พูดกบั เพื่อนๆ วา่ “เราจะทำ� เสอื ตายตวั น้ี ใหฟ้ น้ื คนื มา พวกทา่ นจะเชอื่ เราหรอื ไม่ ?” พวกเพ่ือนๆ ไม่เชอื่ และท้าวา่ “ถา้ ทา่ นมคี วามสามารถ กจ็ งปลกุ ใหม้ นั ตนื่ ขนึ้ มาเถดิ ” แล้วกต็ ่างรบี ปนี ขน้ึ ตน้ ไมไ้ ป ส่วนนายสัญชีวะ ร่ายมนต์แล้วขว้างเสือตายด้วย ก้อนหิน ทันใดนั้นเอง เสือได้ลุกข้ึนกระโดดกัดที่ก้านคอ ของเขา ทำ� ใหเ้ ขาเสยี ชวี ติ ลม้ ลงตรงนนั้ เอง ทงั้ คนและสตั ว์ นอนตายในทเ่ี ดยี วกนั พวกมานพขนฟนื กลบั ไป แลว้ บอก เรอ่ื งนนั้ แก่อาจารย์ อาจารย์จึงกลา่ วคาถาวา่ ผใู้ ดยกยอ่ งและคบหาคนช่ัว คนช่ัวย่อมกระท�ำผ้นู น้ั แหละ ให้เปน็ เหย่ือ ๓. สญั ชวี 29 www.kalyanamitra.org
เหมอื นเสือโคร่งทส่ี ญั ชีวมานพท�ำใหฟ้ ้นื ข้นึ แล้วท�ำเขานัน้ แล ให้เปน็ เหยอื่ พระโพธิสัตว์ แสดงธรรมแก่มาณพท้ังหลาย ด้วยคาถาน้ี กระท�ำบุญมีให้ทานเป็นต้น แล้วก็ไปตาม ยถากรรม. ประชมุ ชาดก มาณพผ้ทู ำ� เสือตายใหฟ้ ื้นในครัง้ นัน้ ได้มาเป็น พระเจา้ อชาตศตั รูในบัดน้ี ส่วนอาจารยท์ ิศาปาโมกข์ ไดม้ าเป็น เราตถาคต 30 ศิษย์อาจารย์ www.kalyanamitra.org
อาจารย์บอกคาถาปอ้ งกันภยั ใหล้ กู ศษิ ย์ ๑ ๔) ถสุ ชาดก๑๒ วา่ ดว้ ย รู้จักแกลบหรอื ข้าวสารในทม่ี ืด สถานท่ีตรสั พระเวฬวุ ันวหิ าร ทรงปรารภ พระเจา้ อชาตศตั รู สาเหตทุ ีต่ รัส ได้ยินว่า เม่ือพระเจ้าอชาตศัตรูน้ันอยู่ในพระครรภ์ ของพระมารดาน้ัน พระมารดาของเธอผเู้ ปน็ พระราชธิดา ของพระเจ้าโกศล เกิดแพ้พระครรภ์ อยากด่ืมพระโลหิต ในพระชานุ๑๓ข้างขวาของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นอาการ แรงกล้า. พระนางถกู นางสนมผรู้ บั ใชท้ ลู ถาม จงึ บอกความนนั้ แกน่ างสนมเหล่าน้นั . ฝ่ายพระราชาได้ทรงสดับแล้ว รับส่ังให้เรียกโหร ผูท้ �ำนายนมิ ิตมาแล้วตรัสถามวา่ ๑๒ ต้นฉบับ ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาชาดก จตุกกนบิ าตชาดก, ๑ ๓ ลพ.ร๕ะ๘ช,านนุ.๖เข๓่า๓, มมร. ๔. ถุส 31 www.kalyanamitra.org
32 ศิษยอ์ าจารย์ www.kalyanamitra.org
“เขาวา่ พระเทวที รงเกดิ การแพพ้ ระครรภเ์ หน็ ปานนี้ ความส�ำเร็จของพระนางจะเป็นอยา่ งไร ?” พวกโหรผูท้ �ำนายนมิ ิตกราบทูลวา่ “สตั วผ์ อู้ บุ ตั ใิ นพระครรภข์ องพระเทวี จกั ปลงพระชนม์ พระองค์แลว้ ยดึ ราชสมบตั .ิ ” พระราชาตรัสวา่ “บุตรของเราจักฆ่าเราแล้วยึดราชสมบัติ ในข้อนั้น จะมโี ทษอะไร แลว้ ทรงเฉอื นพระชานขุ า้ งขวาดว้ ยพระแสง๑๔ เอาจานทองรองรบั พระโลหิตแลว้ ประทานให้พระเทวดี ่มื พระเทวีน้ัน ทรงดำ� ริว่า ‘ถ้าโอรสผู้เกิดในครรภ์ของเราจักปลงพระชนม์ พระบดิ าไซร้ เราจะประโยชน์อะไรดว้ ยพระโอรสนนั้ ’ พระนางจึงให้รีดพระครรภ์ เพอ่ื ให้ครรภต์ กไป. พระราชาทรงทราบ จึงรบั สั่งใหเ้ รยี กพระเทวนี ัน้ มา แล้วตรสั ว่า “นางผู้เจริญ นัยว่าบุตรของเราจักฆ่าเราแล้วยึด ราชสมบัติ ก็เราจะไม่แก่ไม่ตายก็หามิได้ เธอจงให้เรา เห็นหน้าลูกเถิด จ�ำเดิมแต่น้ีไป เธออย่าได้กระท�ำกรรม เห็นปานน้.ี ” ๑๔ มดี ๔. ถุส 33 www.kalyanamitra.org
จ�ำเดิมแต่น้ัน พระเทวีเสด็จไปพระราชอุทยานแล้ว ให้รีดครรภ์. พระราชาได้ทรงทราบ จึงทรงห้ามเสด็จไป พระราชอุทยาน จ�ำเดมิ แตก่ าลนนั้ . พระเทวีทรงมีพระครรภ์ครบบริบูรณ์ แล้วประสูติ พระโอรส. ก็ในวันขนานนามพระโอรสนั้น เขาขนาน พระนามวา่ ‘อชาตศตั รกู มุ าร’ เพราะเปน็ ศัตรตู อ่ พระบิดา ตงั้ แตย่ งั ไมป่ ระสตู ิ เมอื่ อชาตศตั รกู มุ ารนน้ั ทรงเจรญิ เตบิ โต อยดู่ ้วยกมุ ารบริหาร วนั หนง่ึ พระศาสดาแวดลอ้ มดว้ ยภกิ ษุ ๕๐๐ เสดจ็ ไป นิเวศนข์ องพระราชาแล้วประทบั นั่งอย่.ู พระราชาทรงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น ประธาน ด้วยของเคี้ยวและของฉันอันประณีต ทรง นมสั การแล้วประทบั นง่ั สดับธรรมอยู่. ขณะนน้ั พระพ่เี ลยี้ งแตง่ องค์พระกุมารแล้วไดถ้ วาย พระราชา พระราชาทรงรับพระโอรสด้วยพระสิเนหา๑๕ เป็นก�ำลัง ให้น่ังบนพระเพลา ทรงปลาบปล้ืมอยู่เฉพาะ พระโอรส ด้วยความรักในพระโอรส มิได้ทรงสดับ พระธรรม. ๑๕ สเิ นหา สเิ นหะ, สิเนหา, สิเนห่ า ความรกั ใคร่, ความมเี ยอื่ ใย. 34 ศษิ ยอ์ าจารย์ www.kalyanamitra.org
พระศาสดาทรงทราบความประมาทของพระราชา จงึ ตรัสว่า “มหาบพิตร พระราชาท้ังหลายในคร้ังก่อน ทรง ระแวงพระโอรสทั้งหลายถึงกับให้กระท�ำไว้ในท่ีอันมิดชิด ใหข้ งั แล้วตรัสสงั่ ไวว้ า่ ‘เม่อื เราลว่ งไปแลว้ ทา่ นท้งั หลาย จงน�ำออกมาใหด้ �ำรงอยใู่ นราชสมบัติ’.” เมื่อพระราชาทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงน�ำเอาเร่ือง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- เนอื้ หาชาดก ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ต้ังส�ำนักสอนศิษย์อยู่ในเมืองตักสิลา ราชตระกูลและ ตระกูลพราหมณ์ส่งบุตรหลานเข้าเรียนเป็นจ�ำนวนมาก รวมทงั้ พระโอรสของพระเจา้ พรหมทตั ดว้ ย เนื่องจากเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาด สามารถเรียน จบไตรเพทและศิลปะศาสตร์ เม่ืออายุได้ ๑๖ พรรษา ก่อนกลับพระนคร พระอาจารย์ได้ตรวจดูชะตาชีวิตตาม หลักโหราศาสตร์ และได้ผูกคาถาไว้ ๔ ขอ้ ๔. ถุส 35 www.kalyanamitra.org
เนื่องจากพบว่า ‘พระกุมารจะมีอันตราย เม่ือได้ พระโอรสแล้ว’ จึงบอกวิธใี ชใ้ ห้ “ถ้าเจ้าได้ข้ึนครองราชย์ในขณะท่ีพระโอรสของเจ้า มี่อายุได้ ๑๖ พรรษา ก่อนที่จะเสวยพระกระยาหาร จงท่องคาถาบทที่ ๑ เมื่อมกี ารเฝ้า ก็จงท่องคาถาบทท่ี ๒ ตอนขึ้นต�ำหนักยืนอยู่หัวบันได จงท่องคาถาบทท่ี ๓ และก่อนจะเข้าห้องบรรทมอยู่ที่หน้าธรณีประตู ก็จงท่อง คาถาบทท่ี ๔” ได้รับค�ำแนะน�ำจากอาจารย์แล้ว พระกุมารก็ลา อาจาย์กลับ ได้รับตำ� แหน่งอุปราช พอบดิ าเสด็จสวรรคต ไดข้ นึ้ ครองราชสมบตั ติ อ่ มา ทรงใชม้ พี ระนามเดยี วกนั กบั พระบดิ าว่า “พรหมทตั ” ขณะท่ีพระองค์ครองราชย์น้ันพระโอรสของพระเจ้า พรหมทัตมพี ระชนมายุ ครบ ๑๖ พรรษาพอดี เมื่อเห็นราชสมบัติของพระบิดาก็เกิดความโลภขึ้น คิดอยากครอบครองมาเป็นของตนเอง จึงไปปรึกษากับ อ�ำมาตยค์ นสนทิ อ�ำมาตย์ก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มท่ี ในระหว่าง เสวยพระกระยาหารกับพระบดิ าก็น�ำยาพิษมาดว้ ย 36 ศษิ ย์อาจารย์ www.kalyanamitra.org
เมอ่ื อาหารพรอ้ มแลว้ พระบดิ ากไ็ ดท้ อ่ งคาถาบท ที่ ๑ ในทีม่ ืด แม้ฝนดำ� แกลบก็แจม่ แจง้ ปรากฏ วา่ เป็นแกลบ ขา้ วสารกแ็ จม่ แจง้ ปรากฏ วา่ เปน็ ขา้ วสาร แกพ่ วกหนู พวกหนูกินแต่ขา้ วสาร ไม่กินแกลบฉนั ใด การทเ่ี รามานงั่ กมุ ยาพษิ รา้ ยน้ี กป็ รากฎแจม่ แจง้ ฉนั นน้ั ได้ฟงั เชน่ น้ันแลว้ พระโอรสกต็ กใจกลบั นกึ วา่ ‘พระบดิ ารูแ้ ลว้ ’ จึงรีบลุกถวายบังคมแล้วเดินออกไป ได้ปรึกษากับ อ�ำมาตยค์ นสนทิ ว่า “คงจะหมดโอกาสแล้วล่ะ ต้องหาทางลอบปลง พระชนม์พระบิดา เลือกเอาตอนท่ีมีการเข้าเฝ้าครั้งใหญ่ จะเหมาะกวา่ ” เม่ือมีการเข้าเฝ้า พระโอรสจึงได้ด�ำเนินตามแผน ทีว่ างไว้ พระราชาทรงนกึ ถงึ คำ� สงั่ สอนของพระอาจารยจ์ งึ ได้ ท่องคาถาบทที่ ๒ ๔. ถสุ 37 www.kalyanamitra.org
การทป่ี รึกษากันในปา่ กด็ ี การพดู กระซบิ กนั ในบ้าน หรอื แม้แตค่ ดิ ทีจ่ ะหาโอกาสฆา่ เราในตอนนี้ก็ดี เรารหู้ มดแล้ว พระโอรสหมดช่องทาง จึงได้กลับไปปรึกษากับ อ�ำมาตย์ใหม่ นบั จากนัน้ มาประมาณ ๗-๘ วัน อำ� มาตย์ กราบทูลวา่ “คงเป็นการคาดคะเนของพระบิดา แท้จริงแล้ว พระองคค์ งยงั ไม่รู้แน่ พระโอรสจงพยายามตอ่ เถิด” เช้ารุ่งขึ้นพระโอรสเหน็บพระขรรค์อันแหลมคม ไปยนื ดกั รอพระบดิ าทหี่ นา้ ธรณี (ประตหู อ้ ง) ใกลห้ วั บนั ได พอพระราชามาถงึ หวั บนั ได นกึ ค�ำของพระอาจารย์ ได้จึงทอ่ งคาถาบทท่ี ๓ วา่ ไดย้ ินมาว่า ลิงตัวผ้ทู เี่ ป็นพอ่ ใชฟ้ นั กดั พวงสวรรคข์ องลกู ลงิ ตอนเปน็ หนมุ่ ทำ� ใหค้ วามเปน็ ตัวผสู้ ูญเสียไป พระกุมารได้ยนิ เช่นนนั้ ทรงคดิ วา่ ‘พระบิดาคงรู้แน่แล้ว’ จึงรีบกลับไปปรึกษากับ อ�ำมาตย์ๆ ไดท้ ูลวา่ 38 ศษิ ยอ์ าจารย์ www.kalyanamitra.org
“ถา้ พระบดิ าทรงรจู้ รงิ ๆ คงไมว่ างพระทยั ในพระโอรส มาจนป่านน้ี ฉะนนั้ จงพยายามต่อไปเถดิ ” วันรุ่งข้ึน พระโอรสได้เหน็บเอาพระขรรค์ แล้ว ซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงท่ีพระราชาประทับอยู่ พระราชาก็ ท่องคาถาท่ี ๔ การท่ดี นิ้ รนเหมือนแพะตาบอด ที่อยใู่ นไร่ผักกาดกด็ ี หรอื นอนอยใู่ นน้ีก็ดี เราร้หู มดแล้ว” พระโอรสได้ยนิ พระบิดาตรัสเช่นนี้ กท็ รงตกพระทัย กลัว รีบคลานออกมา ก้มลงกราบแทบพระบาทของ พระบดิ า แล้วทลู วงิ วอนขออภยั โทษใหย้ กโทษให้ พระราชาทรงขไู่ ปอกี วา่ “ส่งิ ทที่ �ำอยูน่ ี่ อย่าคดิ วา่ จะไม่มใี ครรูน้ ะ” จากน้ันจึงรับสั่งให้มีการจองจ�ำไว้ในคุก พร้อม อารกั ขาอยา่ งหนาแนน่ พระราชาทรงระลึกถึงวา่ ‘ที่ตนเองรอดพ้นจากความตายมาได้ ก็เพราะคุณ ความดขี องพระอาจารย์ท่ไี ด้เตือนสตแิ ละสั่งสอนมา’ ๔. ถุส 39 www.kalyanamitra.org
ต่อมา พระราชานั้นเสด็จสวรรคต พวกอ�ำมาตย์ ราชเสวก๑๖ กระทำ� การถวายพระเพลงิ พระศพของทา้ วเธอ แลว้ จงึ นำ� พระกุมารออกจากเรือนจำ� ให้ดำ� รงอยู่ในราช- สมบตั .ิ พระศาสดา คร้ันทรงน�ำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงตรสั เหตุน้ีว่า “ดกู อ่ นมหาบพติ ร พระราชาในครง้ั กอ่ นทรงรงั เกยี จ เหตุทค่ี วรรังเกียจอยา่ งน้”ี แม้พระองค์จะทรงตรัสอย่างนี้ พระราชาก็มิได้ทรง กำ� หนด ไม่รู้สกึ พระองค์. ประชุมชาดก อาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกสิลาในคร้ังน้ัน ไดเ้ ป็น เราตถาคต ๑๖ เสวก (อ่านว่า เส-วก) เป็นคาํ มาจากภาษาบาลวี า่ เสวก (เส-วะ-กะ) แปลว่า ผรู้ บั ใช้. ผรู้ ับใชพ้ ระเจา้ แผ่นดินเรียกวา่ ราชเสวก (ราด-ชะ-เส-วก) เป็นคําเรียกข้าราชการพลเรือนใน ราชสาํ นกั ในสมยั กอ่ น 40 ศิษยอ์ าจารย์ www.kalyanamitra.org
อาจารยบ์ อกคาถาปอ้ งกันภัยให้ลกู ศษิ ย์ ๒ ๕) มูสกิ ชาดก๑๗ ว่าดว้ ย ควรเรยี นทกุ อย่าง แตไ่ มค่ วรใชท้ กุ อยา่ ง สถานท่ีตรสั พระเวฬุวนั วหิ าร ทรงปรารภ พระเจ้าอชาตศตั รู สาเหตุท่ีตรสั เรื่องปัจจุบัน พระศาสดาทรงเห็นพระราชาทรง หยอกเลน่ กบั พระโอรสพลาง ทรงฟังธรรมพลางอย่างน้นั ทรงทราบว่า ‘ภัยจักเกิดขึ้นแก่พระราชา เพราะอาศัย พระโอรสนัน้ ’ จึงตรสั วา่ “มหาบพิตร พระราชาครั้งเก่าก่อนท้ังหลายทรง รงั เกยี จสง่ิ ท่ีควรรงั เกยี จ ได้ทรงกระท�ำโอรสของพระองค์ ไว้ ณ ส่วนข้างหน่ึง ด้วยทรงด�ำริว่า ‘พระโอรสจงครอง ราชสมบตั ิในเวลาเราแก่ชราตามวั .’” แลว้ ทรงน�ำเอาเรอื่ งในอดตี มาสาธก ดงั ต่อไปนี้ :- ๑ ๗ ลต.้น๕ฉ๖บ, ับน.ช๕า๐ต๑ก,ฏั มฐมกรถ.า อรรถกถาชาดก เอกนิบาตชาดก, ๕. มูสกิ 41 www.kalyanamitra.org
42 ศิษยอ์ าจารย์ www.kalyanamitra.org
เนอื้ หาชาดก ในอดตี กาล เมอ่ื พระเจา้ พรหมทตั ครองราชสมบตั อิ ยู่ ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ ในเมอื งตักกสลิ า ไดเ้ ปน็ อาจารย์ทิศาปาโมกข.์ โอรสของพระเจ้าพาราณสี พระนามว่า ‘ยวกุมาร’ ได้เรียนศิลปะทุกอย่างในส�ำนักของพระโพธิสัตว์น้ัน แลว้ ใหก้ ารซกั ถาม คอื ทดสอบวชิ าแลว้ ประสงคจ์ ะกลบั มา บา้ นเมอื ง จงึ อ�ำลาอาจารย์นัน้ . อาจารย์รู้ได้ด้วยอ�ำนาจวิชาดูอวัยวะว่า ‘อันตราย จักมแี ก่กมุ ารนี้ เพราะอาศัยบตุ รเปน็ เหต’ุ คิดวา่ ‘เราจักบ�ำบัดอันตรายของพระกุมารนั้น’ จึงเริ่ม ไตร่ตรองหาข้อเปรียบเทียบสกั ข้อหนง่ึ . ก็ในกาลน้ัน ม้าของอาจารย์ทิศาปาโมกข์น้ันมีอยู่ ตัวหน่ึง แผลเกิดขึ้นท่ีเท้าของม้าน้ัน. พวกคนเล้ียงม้า จงึ กระทำ� มา้ ตวั นน้ั ไวเ้ ฉพาะในเรอื น เพอื่ จะตามรกั ษาแผล. ในท่ไี ม่ไกลเรือนน้ัน มีบอ่ นำ้� อยบู่ ่อหน่งึ คร้ังนั้น หนูตัวหน่ึงออกจากเรือน กัดแผลท่ีเท้า ของม้า. มา้ ไมส่ ามารถจะหา้ มมนั ได้. วันหนึ่ง ม้าน้ันไม่อาจอดกลั้นเวทนาได้ จึงเอาเท้า ดีดหนซู ่งึ มากัดกินแผลใหต้ ายตกลงไปในบ่อนำ้� . ๕. มสู ิก 43 www.kalyanamitra.org
พวกคนเลี้ยงม้าไมเ่ หน็ หนมู าจึงกล่าวกันวา่ “ในวนั อน่ื ๆ หนมู ากดั แผล บดั นไ้ี มป่ รากฏ มนั ไปเสยี ทีไ่ หนหนอ.” พระโพธสิ ตั วก์ ระทำ� เหตนุ น้ั ใหป้ ระจกั ษแ์ ลว้ กลา่ ววา่ “คนอื่นๆ ไมร่ ู้ จึงพากนั กลา่ ววา่ ‘หนไู ปเสยี ทไ่ี หน’ แตเ่ ราเทา่ นน้ั ยอ่ มรวู้ า่ หนถู กู มา้ ฆา่ แลว้ ดดี ลงไปในบอ่ นำ้� .” พระโพธิสัตว์น้ันจึงกระท�ำเหตุน้ีน่ันแหละ ให้เป็น ข้อเปรียบเทียบแล้วประพันธ์เป็นคาถาที่หน่ึงมอบให้แก่ พระราชกุมาร. พระโพธิสัตว์นั้นไตร่ตรองหาข้อเปรียบเทียบข้ออื่น อีก ได้เห็นม้าตัวน้ันแหละ มีแผลหายแล้ว ออกไป ที่ไร่ข้าวเหนียวแห่งหนึ่ง แล้วสอดปากเข้าไปทางช่องร้ัว ด้วยหวังว่า ‘จกั กนิ ข้าวเหนยี ว’ จึงกระท�ำเหตุนั้นแหละให้เป็นข้อเปรียบเทียบ แล้ว ประพนั ธ์เปน็ คาถาท่ี ๒ มอบใหแ้ ก่พระราชกุมารน้ัน. ส่วนคาถาท่ี ๓ พระโพธิสัตว์ประพันธ์โดยก�ำลัง ปญั ญาของตน มอบคาถาท่ี ๓ แมน้ ้นั ใหแ้ ก่พระราชกุมาร นั้น แล้วกล่าววา่ “ดกู ่อน พอ่ เธอดำ� รงอย่ใู นราชสมบัตแิ ล้ว เวลาเย็น เมื่อจะไปสระโบกขรณีส�ำหรับสรงสนาน พึงเดินท่องบ่น 44 ศิษย์อาจารย์ www.kalyanamitra.org
คาถาที่ ๑ ไปจนถึงบนั ไดอันใกล้ เมอื่ จะเขา้ ไปยงั ปราสาท อันเป็นที่อยู่ของเธอ พึงเดินท่องบ่นคาถาท่ี ๒ ไปจนถึง ท่ีใกล้เชิงบันได ต่อจากนั้นไป พึงเดินท่องบ่นคาถาท่ี ๓ ไปจนถึงหวั บนั ได คร้ันกล่าวแล้วจึงส่งพระกุมารไป. พระกุมารนั้น ครน้ั ไปถึงแลว้ ได้เปน็ อปุ ราช เม่ือพระบดิ าสวรรคตแลว้ ไดค้ รองราชสมบตั .ิ โอรสองคห์ นงึ่ ของพระองคป์ ระสตู แิ ลว้ พระโอรสนนั้ ในเวลามีพระวัสสา๑๘ ๑๖ ปี คิดว่า ‘จักปลงพระชนม์ พระบดิ า’ เพราะความโลภในราชสมบตั ิ จงึ ตรสั กะอปุ ฏั ฐาก (มหาดเลก็ ) ทง้ั หลายวา่ “พระบดิ าของเรายงั หนมุ่ เราคอยเวลาถวายพระเพลงิ พระบดิ านี้ จกั เปน็ คนแกค่ รำ�่ ครา่ เพราะชรา ประโยชนอ์ ะไร ดว้ ยราชสมบัตแิ ม้ที่ไดใ้ นกาลเชน่ นั้น.” อุปัฏฐากเหลา่ นนั้ ทลู ว่า “ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ไม่อาจไปยังประเทศ ชายแดน แลว้ กระทำ� ความเปน็ โจร พระองคจ์ งปลงพระชนม์ พระบิดาของพระองค์ด้วยอุบายบางอย่าง แล้วยึดเอา ราชสมบตั .ิ ” ๑๘ วัสสา [วสฺส วดั สะ] น. ฝน ฤดูฝน พรรษา ๕. มูสิก 45 www.kalyanamitra.org
พระโอรสนนั้ รับวา่ “ได้” แล้วไปยังที่ใกล้สระโบกขรณีส�ำหรับสรงสนาน ตอนเย็นของพระราชา ในภายในพระราชนิเวศน์ ได้ถือ พระขรรค์ยืนอยู่ดว้ ยต้ังใจวา่ ‘จกั ฆา่ พระบิดานั้น ณ ท่ีนี’้ . ในเวลาเยน็ พระราชาทรงสง่ั นางทาสชี อ่ื ‘หน’ู ไปดว้ ย พระด�ำรสั ว่า “เจา้ จงไปชำ� ระหลงั สระโบกขรณใี หส้ ะอาด แลว้ จงมา เราจกั อาบน�้ำ.” นางทาสีน้ัน ไปช�ำระหลังสระโบกขรณีอยู่ เห็น พระกุมาร. พระกุมารจึงฟันนางทาสีน้ันขาด ๒ ท่อน แล้วทิ้งให้ตกลงไปในสระโบกขรณี เพราะกลัวว่า กรรม ของตนจะปรากฏขึ้น. พระราชาได้เสด็จไปเพ่ือจะสรงสนาน. ชนท่ีเหลือ กลา่ ววา่ “แมจ้ นวนั นนี้ างหนผู เู้ ปน็ ทาสยี งั ไมก่ ลบั มา นางหนู ไปไหน ไปท่ไี ร.” พระราชาตรัสคาถาท่ี ๑ ว่า :- คนพร่�ำบ่นอยู่วา่ นางหนูไปไหน นางหนไู ปไหน เราคนเดียวเท่านั้น รู้ว่า นางหนูตายอยู่ในบ่อน้�ำ ดังนี.้ 46 ศษิ ย์อาจารย์ www.kalyanamitra.org
พระองค์ได้เสด็จไปถงึ ฝัง่ สระโบกขรณ.ี พระราชาได้เสด็จด�ำเนินตรัสคาถาที่ไปถึงฝั่งสระ โบกขรณี พระกมุ ารคดิ วา่ ‘พระบดิ าของเราไดท้ รงทราบกรรม ทเี่ รากระทำ� ไว’้ จงึ กลวั หนไี ปบอกเรอื่ งนน้ั แกพ่ วกอปุ ฏั ฐาก. พอล่วงไป ๗-๘ วัน อุปัฏฐากเหล่านั้น จึงทูล พระกมุ ารนั้นอีกว่า “ขา้ แตส่ มมตเิ ทพ ถา้ พระราชาจะทรงทราบไซร้ จะไม่ ทรงนงิ่ ไว้ กค็ ำ� นน้ั คงจะเปน็ คำ� ทพ่ี ระราชานนั้ ตรสั โดยทรง คาดคะเนเอา พระองคจ์ งปลงพระชนม์พระบิดานั้นเถิด.” วันรุ่งข้ึน พระกุมารนั้นถือพระขรรค์ประทับยืนท่ี ใกลเ้ ชงิ บนั ได ในเวลาพระราชาเสดจ็ มา ทรงมองหาโอกาส ทจ่ี ะประหารไปรอบด้าน. พระราชาได้เสด็จด�ำเนินสาธยายคาถาท่ี ๒ วา่ :- เหตุใดทา่ นจงึ คดิ อย่างนี้ และมองหาโอกาสจะประหารทางโนน้ ทางนี้ แลว้ กลับไปเสมอื นลา เพราะฉะนนั้ เราจึงรูว้ า่ ‘ท่านฆ่าทาสชี อ่ื วา่ นางหนูตายท้ิงไวใ้ นบ่อนำ�้ ’ วนั นย้ี งั ปรารถนาจะบรโิ ภคโภชนะขา้ วเหนยี วอกี หรอื . ๕. มสู ิก 47 www.kalyanamitra.org
แม้คาถานี้กแ็ สดงเนือ้ ความนี้ สำ� หรบั พระราชาผ้ไู ม่ ทรงทราบเลยว่า เพราะเหตุท่ีน้ันคิดอย่างนี้ และมองหา โอกาสจะประหารอยทู่ างโนน้ ทางน้ี แลว้ กลบั ไปเสมอื นลา ฉะนน้ั เพราะฉะนนั้ เราจงึ รจู้ กั ทา่ นวา่ วนั กอ่ นทา่ นฆา่ ทาสี ชื่อนางหนู ท่ีสระโบกขรณี วันนี้ ยังปรารถนาจะบริโภค โภชนะข้าวเหนียวอีก. (ตรงน้ีน่าจะเป็นว่า “วันน้ียัง ปรารถนาจะฆ่าพระเจ้ายวราชอกี ”) พระกุมารสะด้งุ พระทัยหนไี ปด้วยคดิ ว่า ‘พระบดิ าเหน็ เราแล้ว.’ พระกมุ ารนน้ั ใหเ้ วลาลว่ งไปประมาณกง่ึ เดอื นแลว้ คดิ วา่ ‘จกั เอาทอ่ นไม้ประหารพระราชาใหต้ าย’ จึงถือท่อนไม้ส�ำหรับประหารท่อนหนึ่งมีด้ามยาว แล้วไดย้ ืนกุมอยู่. พระราชาตรัสว่า :- แนะ่ เจา้ ผโู้ งเ่ ขลา เจา้ ยงั เปน็ เดก็ ออ่ น ตงั้ อยใู่ นปฐมวยั มผี มด�ำสนทิ มายนื ถอื ท่อนไมย้ าวนีอ้ ยู่ เราจะไม่ยอมยกชวี ติ ให้แกเ่ จา้ . คาถาแมน้ ก้ี ข็ ม่ ขพู่ ระกมุ าร แสดงเนอื้ ความนี้ สำ� หรบั พระราชาผู้ไม่รู้น่ันแลว่า เจ้าคนโง่เจ้าจักไม่ได้บริโภค 48 ศษิ ย์อาจารย์ www.kalyanamitra.org
ข้าวเหนียวของตน บัดนี้ เราจักไม่ให้ชีวิตแก่เจ้าผู้ไม่มี ความละอาย เราจกั ฆ่าตัดใหเ้ ป็นท่อนนอ้ ยท่อนใหญ่ แลว้ ใหเ้ สยี บไว้บนหลาวน่ันแหละ. พระราชาทรงสาธยายคาถาท่ี ๓ พลางขนึ้ ถงึ หวั บนั ได. วนั น้นั พระกมุ ารนนั้ ไมอ่ าจหลบหนี กราบทลู ว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์โปรดประทานชีวิต แกข่ ้าพระองคเ์ ถดิ พระเจ้าขา้ ” แลว้ หมอบลงท่ีใกล้พระบาทของพระราชา. พระราชาทรงคุกคามพระกุมารน้ันแล้ว ให้จองจ�ำ ดว้ ยโซต่ รวน แลว้ ใหข้ งั ไวใ้ นเรอื นจำ� ทรงนง่ั เหนอื ราชอาสน์ ที่ประดับประดา ณ ภายใตเ้ ศวตฉตั ร ทรงดำ� รวิ า่ ‘พราหมณท์ ศิ าปาโมกขผ์ อู้ าจารยข์ องเรา เหน็ อนั ตรายนแี้ ก่เรา จึงไดใ้ หค้ าถา ๓ คาถานี้’ จงึ รา่ เริง ยนิ ด.ี เม่อื จะเปล่งอุทาน จงึ ได้ตรัสคาถาทีเ่ หลือวา่ :- เราเป็นผู้อันบตุ รปรารถนาจะฆา่ เสีย จะพ้นจากความตายเพราะภพในอากาศ หรอื เพราะบุตรทร่ี กั เปรยี บดว้ ยอวยั วะก็หาไม่ เราพน้ จากความตายเพราะคาถาทีอ่ าจารยผ์ กู ให้. ๕. มูสกิ 49 www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202