Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รักษ์ป่าน่าน ครั้งที่ ๒

รักษ์ป่าน่าน ครั้งที่ ๒

Published by E-book Prasamut chedi District Public Library, 2020-01-06 03:52:54

Description: สำนักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
หนังสือ,เอกสาร,บทความ นำมาเผยแพร่เพื่อการศึกษาเท่านั้น

Search

Read the Text Version

ลําห้วยระยะห่าง 10 เมตร จะมีความเขียว และจํานวนต้นไม้มากขึ้น โดยเฉพาะต้นกล้วย ในขณะเดียวกันสังเกตได้ว่า มีสัตว์น้ําและสัตว์คร่ึงบกคร่ึงน้ําอยู่มากข้ึน เช่น ปลาก้ัง ปลาบู่ ลูกอ๊อด ปู กบ เขียด เป็นตน้ ผลจากการสร้างฝาย ทําให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจว่า ฝายสามารถกักเก็บนํ้าได้จริง รวมท้ังมีทักษะในการทําฝายชะลอนํ้า รวมท้ังเห็นความสําคัญ และประโยชน์ท่ีได้รับอย่างเป็น รูปธรรมนอกเหนือจากการเรียนในห้องเรยี นเทา่ นนั้ ปัญหาอปุ สรรค ฝายชะลอน้ําท่ีทําข้ึนมักจะร่ัวและกักเก็บน้ําได้ไม่ดี เนื่องจากใช้วัสดุจากธรรมชาติ และการ ก่อสร้างไม่ได้ตามมาตรฐาน ในขณะท่ีฝายท่ีมีความคงทนถาวรและกักเก็บนํ้าได้ดี จะต้องใช้ งบประมาณในการสร้างจํานวนมาก โรงเรียนและชุมชนไม่มีงบประมาณเพียงพอสําหรับดําเนินการ รวมท้ังทําเลที่จะสร้างฝายจะต้องไม่คับแคบเกินไป เพราะจะทําให้ฝายตันในฤดูน้ําหลาก และพังใน ทสี่ ดุ และต้องซอ่ มแซมฝายบอ่ ยครงั้ การใช้แรงงานจากนักเรยี นไมเ่ พยี งพอเพราะนกั เรยี นตัวเล็ก ตอ้ งอาศยั แรงงานจากชมุ ชนใน การเข้ามาชว่ ยในการกอ่ สร้างดว้ ย รวมท้งั การให้ความรู้ แนวปฏบิ ัตทิ ่ถี ูกตอ้ งแก่ชาวบ้านดว้ ย เอกสารอ้างองิ สว่ นจดั การทรัพยากรต้นนํ้า สาํ นกั อนรุ กั ษ์และจัดการตน้ น้ํา กรมอุทยานแห่งชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์ุพืช. คูม่ อื การกอ่ สร้างฝายต้นน้ําลําธาร (Check Dam) . 2550. http://www.phrae.go.th/ http://www.dmr.go.th/download/Landslide/community/ นทิ รรศการ   37  

ฝายแบบผสมผสานหรือแบบท้องถนิ่ ฝายแบบกง่ึ ถาวร ฝายแบบถาวร 38 นทิ รรศการ    

ผูช วยศาสตราจารย ดร.วิเชฏฐ คนซือ่ ภาควิชาชีววทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร และศูนยเครอื ขา ยการเรยี นรเู พ่อื ภูมิภาค จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลัย ดวยพระมหากรุณาธิคณุ ของสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ท่ีสนพระ- ราชหฤทัย เก่ียวกับการดําเนินกิจกรรมการพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดนานทั้งในสวนของ โรงเรียน และศูนยการเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแมฟาหลวงและในพื้นที่ของศูนยภูฟาพัฒนา อําเภอ บอ เกลอื อยา งตอเนอื่ ง ไดท อดพระเนตรเห็นการเปล่ียนแปลงของพ้ืนท่ีปา จากอดีตเปนพื้นที่ที่มีความ อุดมสมบูรณแ ละมีความหลากหลายทางธรรมชาติ กลายเปน พนื้ ทเี่ สื่อมโทรมอยางรวดเร็ว ทรงหวงใย และทรงเห็นถึงความจําเปน อยางยิ่งท่ีจะตองเรง ฟนฟแู ละอนรุ กั ษป าไมใหคืนสสู มดุลโดยเร็วที่สดุ ดังนั้นเพ่อื ใหมีการแกไ ขปญ หาความเสื่อมโทรมของพื้นที่ปาไมในจังหวัดนานอยางย่ังยืน จึงมี พระราชดําริใหหนวยงานตาง ๆ รวมกันจัดทํา “โครงการรักษปานาน” โดยมุงเนนการปลูกฝง จิตสํานึกและความรับผิดชอบใหแกเด็กและเยาวชน และบูรณาการความรวมมือของชุมชนจังหวัด นานและภาคสวนตาง ๆ ทั้งนี้ทรงเห็นวาเด็กและเยาวชนเปนพลังสําคัญท่ีจะชวยในการฟนฟูและ รักษาความสมบูรณของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ซ่ึงถือวาเปนรากฐานของประเทศให มัน่ คงและย่งั ยนื ตอ ไปได จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยในฐานะหนวยวิชาการที่ดําเนินกิจกรรมตอเน่ืองในจังหวัดนาน ได ดําเนินการจัดตั้งสถานีวิจัยและถายทอดเทคโนโลยีผาสิงห (ศูนยการเรียนรูและบริการวิชาการ เครือขา ยแหง จฬุ าลงกรณม หาวทิ ยาลัย จงั หวัดนา น) และสถานีวิจัยและถายทอดเทคโนโลยีไหลนาน (สถานีวิจัยบริการคัดเลือกและบํารุงพันธุสัตว) โดยมีวัตถุประสงคในการเชื่อมโยงองคความรูของ คณะและหนวยงานตาง ๆ จากจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยไปสูทองถ่ินจังหวัดนานผานกิจกรรมการ วิจัยและการบริการวิชาการเปนสําคัญ โดยมีคณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และ สํานักงานเครือขายเพื่อการเรียนรูเพ่ือภูมิภาค รวมดําเนินการโครงการวิทยาเพื่อพ้ืนถิ่นซึ่งเปน โครงการตามแผนพัฒนาวิชาการจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2551 – 2555) มาต้ังแตป พ.ศ. 2551 โดยไดจัดโครงการวิจัยเฉพาะเร่ืองในกรอบกิจกรรมของโครงการฯ ในพื้นท่ีจังหวัดนานใน สาระสําคัญ ไดแก 1. ศูนยอางอิงและบริการวิชาการดานความหลากหลายทางชีวภาพของภาคเหนือตอนบน แถบลุมนํ้านา น 2. งานวิจยั ดานความหลากหลายทางชีวภาพและธรรมชาตวิ ทิ ยาพน้ื ฐาน 3. งานวจิ ยั เพื่อการจดั การทรัพยากรทอ งถิ่นในลมุ นาํ้ นา นแบบบรู ณาการ 4. งานวจิ ัยเพอ่ื การพฒั นาและใชป ระโยชนจากทรัพยากรทองถิ่นในลุมน้าํ นา น 5. การอบรมผนู าํ ชมุ ชนและเยาวชนดานความหลากหลายทางชวี ภาพและธรรมชาติวทิ ยา นิทรรศการ 39

สืบเนอื่ งจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสดจ็ พระราชดาํ เนินมาทรง เปน็ ประธานงานสมั มนาเชงิ ปฏบิ ัติการ “โครงการรกั ษ์ปา่ น่าน” ณ ศนู ยก์ ารเรยี นรู้และบรกิ ารวิชาการ เครือข่ายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตําบลผาสิงห์ อําเภอเมือง จังหวัดน่าน ในวันที่ 10 มีนาคม 2557 ซึ่งมีพระราชดาํ ริใหก้ ารดําเนินงานเกดิ เปน็ รปู ธรรม ในการนี้จังหวัดทหารบกน่าน ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) และจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ไดร้ ว่ มกันจดั กจิ กรรมปลูกป่าสองข้างทางระหว่างกิโลเมตรท่ี 28 – 38 ทางข้ึนอําเภอ บอ่ เกลือ ซึง่ การปลูกปา่ ดงั กลา่ วมีผลกระทบต่อพ้นื ท่ีท่ีชาวบา้ นไดถ้ อื ครองอยู่ ดงั น้นั ชาวบ้านได้เสนอ ขอใหท้ างผ้ดู ําเนินโครงการช่วยหาอาชพี เสริมเพอื่ สรา้ งรายไดท้ ดแทนและเพือ่ พัฒนาเป็นอาชีพตอ่ ไป จากการประชุมร่วมกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการปลูกป่าเม่ือวันที่ 10 พฤษภาคม 2557 ที่อําเภอสันติสุข จังหวัดน่าน ได้ข้อสรุปคือ การทําอาชีพเพาะเล้ียงกบ ซึ่งพื้นที่เลี้ยงเป็นพ้ืนที่ สูง ดังนั้นจะมีความแตกต่างจากการเพาะเล้ียงในพื้นทร่ี าบ ดังนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาคและภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จึงได้ดําเนินการอบรม เชงิ ปฏิบัตกิ ารเรือ่ งการเลี้ยงกบ : เสริมรายได้ – สร้างอาชพี การเพาะเล้ียงกบนาเพ่ือใช้เป็นอาหารโปรตีนเสริมและอาชีพเสริมหรืออาชีพหลักของ เกษตรกรไทย นอกจากใช้เป็นอาหารแล้วยังใช้ประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าวิจัยทางชีววิทยาและ ทางการแพทย์ การเลี้ยงกบของไทยแตเ่ ดิมใช้วธิ เี กบ็ รวบรวมลูกอ๊อดจากแหล่งน้ําธรรมชาติ ซ่ึงมักจะ ได้ขนาดไม่เท่ากัน กบท่ีรวบรวมได้จากธรรมชาติใหม่ ๆ จะตื่นไม่เช่ือง ไม่ยอมกินอาหารในระยะแรก ดังนั้นจึงต้องมวี ธิ กี ารเพาะเลย้ี งกบในหลายช่ัวอายุเพือ่ คดั ตวั ที่เช่อื งและสามารถกินอาหารเมด็ ทีม่ ขี าย ตามทอ้ งตลาดได้ การเพาะเล้ียงกบในอดีตมกั จะเปน็ การรวบรวมลูกอ๊อดจากแหล่งน้ําธรรมชาติแล้วนํามาเล้ียง ในบ่อหรือพื้นที่ท่ีมีการป้องกันอาณาเขตเพ่ือป้องกันกบหลบหนีและหรือป้องกันศัตรูเข้ามารบกวน ภายหลังเมอ่ื มกี ารวจิ ยั และนําเทคโนโลยีชวี ภาพเขา้ มาส่งเสริมการเพาะเล้ียง เช่น การวิจัยขนาดของ บ่อต่อจํานวนกบ ชนิดของอาหาร ยารักษาโรคหรือการนําฮอร์โมนสังเคราะหเ์ ข้ามาช่วยชักนําให้มี การตกไขแ่ ลว้ ใหเ้ กดิ การผสมพนั ธุใ์ นบอ่ เลี้ยง ทาํ ให้ได้ผลผลติ มากขึ้น ปัจจุบันมีการดัดแปลงอุปกรณ์ในการเพาะเล้ียงกบนาหลายชนิดมากขึ้น เช่น การใช้ยาง รถยนต์เก่ามาซ้อนกันเพื่อเป็นบ่อเลี้ยงแทนบ่อดินหรือบ่อซีเมนต์ การเล้ียงในขวดพลาสติกหรือการ ดัดแปลงเอาวัสดเุ หลอื ใชม้ าเปน็ อปุ กรณใ์ นการเล้ยี งกบ การเล้ียงกบ : เสริมรายได้ – สร้างอาชีพ จะเป็นโครงการที่ช่วยเพิ่มอาหารโปรตีนใน ท้องถิ่นและอาจจะสร้างเปน็ รายไดเ้ สรมิ หรือรายได้หลักของเกษตรกรในทอ้ งถิ่นหา่ งไกล วัตถปุ ระสงค์ของโครงการ 1. เพ่ือถ่ายทอดองค์ความรูด้ ้านการเพาะเลย้ี งกบ 2. เพ่ือค้นหาองค์ความรทู้ ี่เหมาะสมกับการเลีย้ งกบนาในพ้ืนทส่ี งู จงั หวัดนา่ น 3. เพือ่ ถ่ายทอดวธิ กี ารจดั การฟาร์มแบบอนิ ทรียท์ เี่ หมาะสมกบั พ้นื ท่ี 40 นิทรรศการ    

กรอบแนวคดิ ของโครงการ กิจกรรม ผลผลติ - โครงการอบรมการ - เกษตรกรทีเ่ ข้าร่วม กรอบแนวคดิ เพาะเล้ียงกบนา การสง่ เสริมการผลิตอาหารโปรตนี / - โครงการเก็บรวบรวมและ โครงการ รายไดเ้ สรมิ ในพื้นที่จากวสั ดใุ นทอ้ งถิน่ คัดแยกปลวก / ไสเ้ ดอื น - นักเรยี น / ครปู ระจํา การสง่ เสรมิ การเพาะเลี้ยงกบนาแบบ ดนิ เพอื่ เป็นอาหารกบนา อินทรยี ด์ ว้ ยปลวกท่ีอยใู่ นพน้ื ทด่ี ้วยวัสดุ โรงเรียนตา่ ง ๆ ทอ้ งถ่นิ กจิ กรรมและวิธีดําเนนิ โครงการ 1. การอบรมการเพาะเล้ียงกบ 1.1 แนะนําชีววิทยาของกบนา : ลักษณะภายนอกและภายใน นิสัย ธรรมชาติ ถ่ินที่อยู่ อาศัย อาหาร การผสมพนั ธุ์ และโรคตา่ ง ๆ 1.2 แนะนําการสร้างบ่อแบบต่าง ๆ : บ่อผสมพันธ์ุ บ่อเล้ียงตัวอ่อน บ่อเลี้ยงกบโต และ บอ่ เกบ็ รักษาพ่อแม่พันธุ์ 1.3 แนะนําการใหอ้ าหาร และสัดส่วนการใหอ้ าหารตอ่ กบนาระยะต่าง ๆ 1.4 แนะนําวิธีการเก็บรวบรวมอาหารจากธรรมชาติ ได้แก่ ปลวกท่ีอาศัยอยู่ในถ่ินที่อยู่ อาศัยแบบต่าง ๆ 1.5 แนะนําวิธีการผสมพนั ธ์ุ การป้องกนั และรักษาโรค 2. การส่งเสริมการเพาะเลยี้ งกบในจังหวดั น่าน เนื่องจากจังหวัดน่าน พ้ืนที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง ส่วนกบนาท่ีจะนําเข้าไปแนะนําการ เพาะเลี้ยงจะมีถ่ินอาศัยด้ังเดิมอยู่ในพื้นที่ราบ เช่น ทุ่งนาต่าง ๆ ดังน้ัน การจัดการสิ่งแวดล้อมของ บ่อเลี้ยงกบนาจึงมีความจําเป็นอย่างย่ิง และนอกจากนั้นเพ่ือเป็นการลดต้นทุนการผลิตกบนา จึงมี ความจาํ เป็นทีจ่ ะต้องคน้ หาสมุนไพร เพ่อื นํามาใช้เปน็ อาหารเสริม และยารักษาหรือปอ้ งกนั โรค กลุ่มเปา้ หมายทีจ่ ะได้รับผลประโยชน์จากโครงการ 1. ชุมชนท้องถิ่นในจังหวดั น่าน และพ้นื ท่ใี กลเ้ คียง 2. นกั เรยี นและครูโรงเรียนประถมศกึ ษาและมธั ยมศกึ ษาในจงั หวัดนา่ น หน่วยงานหลกั (เจ้าภาพ) ของโครงการ 1. ศนู ย์เครือขา่ ยการเรยี นรู้เพ่ือภมู ิภาค จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั 2. ภาควชิ าชวี วทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย นทิ รรศการ   41  

ผลผลติ ทาํ การอบรมเกษตรกรจาํ นวน 3 ครงั้ ประกอบดว้ ย คร้ังท่ี 1 เกษตรกรจากบ้านนํ้ายาว หมู่ 3 และหมู่บ้านดอนน้ํายาว หมู่ 9 และ 10 ต.อวน อ.ปวั จาํ นวน 12 ราย ครั้งท่ี 2 เกษตรกรจากบ้านน้ํายาว หมู่ 3 และหมู่บ้านดอนน้ํายาว หมู่ 9 และ10 ต.อวน อ.ปัว จํานวน 27 ราย และคณะครูและนักเรียนระดับประถมศึกษา โรงเรียนบ้านดอนน้ํายาว จาํ นวน 65 คน คร้ังท่ี 3 พระภิกษุและสามเณรจากวัดหนองบัวและวัดนิโครธารามจํานวน 4 รูปและ เกษตรกรจากบ้านบุญเรือง หมู่ 2 ต.ไหลน่ ่าน อ.เวียงสา จํานวน 12 คน เกษตรกรสามารถเลย้ี งกบได้ผลผลิตดงั ตารางท่ี 1 และ 2 ตารางท่ี 1 แสดง จาํ นวนเกษตรกรรายเกา่ ทไ่ี ดร้ ับการอบรมและจํานวนกบทีผ่ ลิตได้ ท่ี ชอื่ -สกลุ ทอี่ ยู่ จาํ นวนกบพ่อ-แมพ่ นั ธุ์ จาํ นวนกบรุ่น จํานวนกบพรอ้ มจาํ หน่าย หมายเหตุ 1 นางกาญจนา ตาคํา 2 นายสุรพนั ธ์ โนจนั ทร์ 24 หมู่ 10 บา้ นดอนน้ํายาว บอ่ ตวั ก.ก. บอ่ ตวั ก.ก. บ่อ ตวั ก.ก. ไมข่ ายเก็บไวท้ ําอาหารใน 3 นางคาํ เบย พรมคํา ต.อวน อ.ปวั จ.น่าน ครอบครัว 4 นายทอง โนจันทร์ 100 หมู่ 10 บ้านดอนนํ้ายาว 1 30 ไมข่ ายเก็บไว้ทําอาหารใน 5 นางคําฟู มบี ุญ ต.อวน อ.ปวั จ.น่าน ครอบครัว 6 นางพชั รพร พรมคาํ 80 หมู่ 10 บา้ นดอนน้ํายาว 2 100 7 นายพุทธ พรมนิมติ ร ต.อวน อ.ปวั จ.น่าน 8 ตวั / กิโลกรมั 8 นางยอดหล้า พรมนิมิตร 51 หมู่ 10 บ้านดอนนํ้ายาว 2 30 1 300 2 450 56.25 9 นางนติ ยา หยาดอไุ ร ต.อวน อ.ปวั จ.น่าน 10 นายกนกศักด์ิ ตอ้ งสู้ 175 หมู่ 10 บ้านดอนนํ้ายาว 1 150 ไมข่ ายกบยงั มขี นาดเล็ก 11 นายอุดม มีกล่าํ ต.อวน อ.ปัว จ.น่าน 12 นายประสิทธิ์ นรินทร์ 52 หมู่ 10 บ้านดอนนํ้ายาว 2 500 50 1 150 25 (พรอ้ ม) 6 ตวั / กิโลกรัม 13 นายชุม ไชยมงคล ต.อวน อ.ปวั จ.น่าน (กบรนุ่ ) 10 ตัว / กโิ ลกรัม 14 นายพยอม คนั ทะลือ 75 หมู่ 10 บ้านดอนนํา้ ยาว 15 นายโมทย์ ทิศแกว้ ต.อวน อ.ปวั จ.น่าน 1 37 2 200 33.3 6 ตัว / กิโลกรัม 16 นางยุพนิ โนจนั ทร์ 79 หมู่ 10 บ้านดอนนํา้ ยาว 17 นางสาวศศมิ ล กาบิล ต.อวน อ.ปัว จ.น่าน 1 90 15 6 ตวั / กิโลกรัม 18 นางดา ไชยตัน 128 หมู่ 10 บา้ นดอนนํ้ายาว 19 นายจนั ทร์ ล้วนปวน ต.อวน อ.ปัว จ.น่าน 2 100 16.6 6 ตวั / กิโลกรัม 20 โรงเรยี นบา้ นนํ้ายาว 129 หมู่ 10 บา้ นดอนนา้ํ ยาว 21 นางศรวี รรณ กาญจะแสน ต.อวน อ.ปวั จ.น่าน 1 40 2 290 48.3 6 ตวั / กิโลกรัม 22 นางขันคํา กาญจแสน 87 หมู่ 10 บา้ นดอนนา้ํ ยาว รวม ต.อวน อ.ปัว จ.น่าน 2 278 69.5 4 ตัว / กิโลกรมั 22 หมู่ 10 บ้านดอนนา้ํ ยาว ต.อวน อ.ปวั จ.น่าน 1 70 2 430 86 5 ตวั / กิโลกรมั 4 หมู่ 10 บ้านดอนน้ํายาว ต.อวน อ.ปัว จ.น่าน 1 10 4 1 60 5.45 2 135 16.8 (พร้อม) 8 ตวั / กโิ ลกรัม 122 หมู่ 10 บา้ นดอนนํ้ายาว (กบรนุ่ ) 11 ตวั / กิโลกรัม ต.อวน อ.ปัว จ.น่าน 160 หมู่ 10 บ้านดอนนํ้ายาว 1 11 2 70 ไมข่ ายเก็บไว้ทําอาหารใน ต.อวน อ.ปัว จ.น่าน 118 หมู่ 10 บ้านดอนน้ํายาว ครอบครัว ต.อวน อ.ปัว จ.น่าน 120 หมู่ 9 ต.อวน อ.ปวั 1 29 ไมข่ ายเกบ็ ไวท้ ําอาหารใน จ.นา่ น (ครู รร.บ้านนํ้ายาว) 31 หมู่ 3 บ้านนํ้ายาว ต.อวน ครอบครัว อ.ปัว จ.นา่ น 28 หมู่ 3 บ้านนํา้ ยาว ต.อวน 2 145 24.16 6 ตัว / กิโลกรัม อ.ปวั จ.น่าน หมู่ 3 บ้านนํา้ ยาว ต.อวน 1 10 ไมข่ ายเกบ็ ไวท้ ําอาหารใน อ.ปัว จ.น่าน 2 180 22.5 3 70 หมู่ 3 บ้านน้ํายาว ต.อวน ครอบครัว อ.ปัว จ.นา่ น 45 หมู่ 10 บา้ นดอนน้ํายาว 2 30 200 18.8 (พร้อม) 8 ตวั / กิโลกรัม ต.อวน อ.ปัว จ.น่าน (กบรุ่น) 11 ตวั / กิโลกรัม 1 10 1 250 41.6 6 ตวั / กิโลกรัม 4 240 40 6 ตวั / กโิ ลกรัม 1 600 100 6 ตวั / กโิ ลกรัม 2 209 25 8 ตวั / กโิ ลกรัม 1 20 5 4 ตัว / กโิ ลกรมั 10 238 4 10 1,270 77.95 34 3,946 621.31 42 นทิ รรศการ    

ตารางที่ 2 แสดง จาํ นวนเกษตรกรรายใหมท่ ่ีได้รบั การอบรมและจาํ นวนกบท่ีผลติ ได้ ที่ ชือ่ -สกุล ที่อยู่ จํานวนกบพอ่ -แม่พนั ธ์ุ จํานวนกบรุ่น จาํ นวนกบพรอ้ มจําหนา่ ย หมายเหตุ บ่อ ตัว ก.ก. บ่อ ตัว ก.ก. บอ่ ตัว ก.ก. 6 ตัว / กโิ ลกรัม 1 นางจอ๋ ย โนจันทร์ 12 หมู่ 10 บ้านดอนนํ้ายาว ต.อวน 2 330 55 7 ตัว / กิโลกรัม อ.ปวั จ.นา่ น 7 ตวั / กโิ ลกรัม 2 นางเขียว ยานะคาํ 111 หมู่ 10 บ้านดอนน้ํายาว ต.อวน 1 28 3 250 35.7 อ.ปวั จ.นา่ น 7 ตวั / กิโลกรัม ไม่ขายเกบ็ ไว้ทําอาหารใน 3 นายถนอม โนจันทร์ 83 หมู่ 10 บา้ นดอนน้ํายาว ต.อวน 1 100 14.25 อ.ปัว จ.น่าน ครอบครัว 6 ตวั / กโิ ลกรัม 4 นางคําบุตร อุดนันทร์ 99 หมู่ 10 บ้านดอนน้ํายาว ต.อวน 1 3 1 50 7.14 อ.ปัว จ.นา่ น ไมข่ ายกบยังไม่โต ไมข่ ายเก็บไว้ทําอาหารใน 5 นายเปลย่ี น โนจนั ทร์ 44 หมู่ 10 บ้านดอนนา้ํ ยาว ต.อวน 1 20 อ.ปัว จ.นา่ น ครอบครัว 4 ตัว / กิโลกรัม 6 นางคาํ อุทัยสา 50 หมู่ 10 บา้ นดอนนา้ํ ยาว ต.อวน 1 100 16.6 อ.ปวั จ.น่าน 8 ตวั / กโิ ลกรมั 7 นางสาํ อาง มบี ญุ 182 หมู่ 10 บ้านดอนนํ้ายาว 2 100 7 ตวั / กโิ ลกรัม ต.อวน อ.ปัว จ.น่าน 8 นายศรีลัย จนิ ะตา 64 หมู่ 10 บา้ นดอนน้ํายาว ต.อวน 1 60 อ.ปัว จ.น่าน 9 นายนอ้ ม คนั ทะลอื 152 หมู่ 10 บ้านดอนน้าํ ยาว 3 440 110 ต.อวน อ.ปวั จ.น่าน 10 นางแฝง นรินทร์ 1 หมู่ 10 บา้ นดอนนํ้ายาว ต.อวน 2 100 12.5 อ.ปวั จ.นา่ น 11 นางธรี ะนันท์ พรมนมิ ิตร 135 หมู่ 3 บ้านน้าํ ยาว ต.อวน 2 300 42.85 อ.ปวั จ.นา่ น รวม 2 31 0 2 100 0 17 1,750 294.04 จากตารางที่ 1 และ 2 สามารถสรุปผลิตจากเกษตรกรทส่ี ามารถเลีย้ งกบได้ดงั ตารางท่ี 3 ตารางท่ี 3 แสดงจาํ นวนของเกษตรกรทเี่ ข้ารบั การอบรมแลว้ นําไปปฏบิ ัตกิ บั จํานวนผลผลิต วัน/เดือน/ปี จํานวนเกษตรกรที่เขา้ จาํ นวนกบท่ี จาํ นวน จํานวนเกษตรกรที่ จาํ นวนกบที่ จาํ นวน 4-5 พ.ย. 2557 อบรมการเล้ียงกบ พร้อมจําหน่าย กโิ ลกรัม เขา้ อบรมการเลี้ยง พร้อมจาํ หนา่ ย กิโลกรัม (รายเกา่ ) (คน) 703.26 กบ (รายใหม)่ (คน) 294.04 22 (ตวั ) (ตัว) 5,226 11 1,750 จํานวนเกษตรกร จํานวนกบที่พรอ้ ม จาํ นวนกโิ ลกรัม ทงั้ หมด (คน) จําหน่าย (ตวั ) 997 7,690 33 จากตารางที่ 1 - 3 สามารถสรุปได้ว่า จํานวนผู้เข้ารับการอบรมทั้งส้ินจํานวน 120 คน แยกออกเป็น เกษตรกร 51 คน พระภิกษุ 1 รูป สามเณร 3 รูป และนักเรียนระดับประถมศึกษา จาํ นวน 65 คน เกษตรกรมคี วามสนใจในการนาํ ความรู้ที่ได้จากการอบรม และนําไปเล้ียงจํานวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 43.14 และมีการถ่ายทอดความรู้เรื่องการเลี้ยงกบให้เพื่อนบ้านจนสามารถเลี้ยง ได้จาํ นวน 11 ราย คิดเปน็ ร้อยละ 21.57 จากจํานวนเกษตรกรที่เข้าอบรมการเลี้ยงกบแล้วนําไปปฏิบัติพบว่า เกษตรกรท่ีเข้ารับการ อบรมทั้ง 22 ราย สามารถเลี้ยงได้ท้ังสิ้น 5,226 ตัว คิดเป็น 703.26 กิโลกรัม และเกษตรกรท่ี ได้รับการถ่ายทอดจากเกษตรกรที่ได้รับอบรมจํานวน 11 ราย สามารถเล้ียงกบได้จํานวน 1,750 ตัว คดิ เปน็ 294.04 กโิ ลกรมั นทิ รรศการ   43  

ข้อเสนอแนะจากเกษตรกร 1. ตอ้ งการราคากบท่เี หมาะสม (ทีบ่ า้ นน้ํายาวขายกิโลกรมั ละ 100 บาท) 2. ต้องการตลาดรับซื้อท่ีแน่นอน (เนื่องจากจํานวนการเล้ียงกบของเกษตรกรมีจํานวนหลาย รายทาํ ใหไ้ มส่ ามารถจาํ หน่ายกบได้ในพนื้ ทแี่ ละตลาดใกล้เคียง) 3. ตอ้ งการอบรมการแปรรูปกบ 4. ตอ้ งการอบรมให้ความรู้เรอื่ งการเลีย้ งกบ (โรงเรยี นบ้านน้ํายาว) 5. พบปัญหาเรื่องโรค (ในเกษตรกรบางราย) ผลลัพธ์จากการอบรม เกษตรกรมีความสนใจและลงมือปฏิบัติการเล้ียงกบและมีการถ่ายทอดสู่เพ่ือนบ้านในชุมชน เดียวกัน โดยนําความรู้และแรงบันดาลใจจากการอบรม ทําให้เกิดการเลี้ยงกบเป็นการอาชีพเสริม และเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพและสามารถส่งเสริมเพ่ือสร้างรายได้ทดแทนและเพ่ือพัฒนา เป็นอาชพี ตอ่ ไป กบนาเพศเมีย ถุงเสียงในตวั ผู้ พงุ มขี นาดใหญ่ กบนาเพศผใู้ นธรรมชาติ กบนาเพศผใู้ นที่เลย้ี ง 44 นทิ รรศการ    

เรียน – รู้ – รกั ษ์นก (พ.ศ. 2557 – 2558) ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พงชัย หาญยุทธนากร และอาจารย์ ดร.นพดล กิตนะ ภาควชิ าชวี วิทยา คณะวทิ ยาศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วิเชฏฐ์ คนซอ่ื ศูนย์เครือข่ายการเรยี นรู้เพือ่ ภมู ิภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ในช่วง 50 ปี ท่ีผ่านมา พื้นท่ีป่าในประเทศไทยมีการลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียงร้อยละ 50 ของพื้นท่ีเดิม แม้ว่าสถานการณ์พื้นท่ีป่ามีแนวโน้มเพ่ิมข้ึนต้ังแต่ปีพ.ศ. 2549 แต่มีบางจังหวัดท่ี พื้นที่ป่าลดลงมากเกินร้อยละ 5 ของพื้นที่จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดน่าน (มูลนิธิสืบ นาคะ เสถยี ร, 2555) ซ่ึงการท่ีพื้นท่ีธรรมชาติท่ีมีความอุดมสมบูรณ์กลายเป็นพ้ืนที่เสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว น้ีอาจนําไปสู่ปัญหาส่ิงแวดล้อมทั้งในระยะส้ันและระยะยาว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ตระหนักถึง ปัญหาและมุ่งหวังเป็นส่วนหน่ึงในการแก้ปัญหาพ้ืนที่ป่าไม้ในจังหวัดน่านอย่างยั่งยืน โดยน้อมนํา แนวพระราชดําริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในการสอนและอบรมให้ เยาวชนมีจิตสํานึกในการอนุรักษ์ โดยปลูกฝังให้เห็นความงดงาม ความน่าสนใจ และเกิดความปิติท่ี จะศกึ ษาและอนุรักษ์ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี, 2553) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยวิชาการท่ีดําเนินกิจกรรมต่อเนื่องในจังหวัดน่าน โดย อาศัยการดําเนินงานของศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการ เชื่อมโยงองคค์ วามรขู้ องคณะและหน่วยงานต่าง ๆ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปสู่ท้องถิ่นจังหวัด น่านผา่ นกจิ กรรมการวจิ ยั และการบรกิ ารวิชาการ โดยมีคณะวิทยาศาสตร์ ดําเนินงานวิจัยด้านความ หลากหลายทางชีวภาพและธรรมชาติวิทยาพื้นฐานในพื้นที่จังหวัดน่านมาอย่างต่อเน่ือง และได้นํา ความรู้ดังกล่าวมาใช้การอบรมผู้นําชุมชนและเยาวชนตามโครงการวิทยาเพ่ือพ้ืนถ่ิน ซ่ึงเป็นโครงการ ตามแผนพฒั นาวชิ าการจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั มาต้งั แตป่ พี .ศ. 2551 และในปีพ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ และศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพ่ือภูมิภาค จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั ได้รว่ มกนั จดั ทําโครงการ \"เรยี น – รู้ – รักษ์นก\" เพื่ออบรมเยาวชนในจังหวัดน่านให้มี ความรเู้ กี่ยวกับนกเพอื่ ปลูกฝงั แนวความคิดในการอนรุ กั ษ์ธรรมชาตใิ ห้แก่เยาวชน โครงการ \"เรียน – รู้ – รักษ์นก\" เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษา ได้เรียนรู้ธรรมชาติโดยใช้ \"นก\" เป็นตัวแทนของส่ิงมีชีวิตท่ีมีบทบาทในธรรมชาติหลากหลายท้ังใน ฐานะผู้ล่าท่ีช่วยกําจัดศัตรูพืช ผู้กระจายพันธุ์ไม้ หรือศัตรูของเกษตรกร (วีณา เมฆวิชัย, 2551) ดังนั้นความหลากหลายของนกชนิดต่าง ๆ ในจังหวัดน่านจึงสามารถใช้เป็นดัชนีแสดงความสมบูรณ์ ของพื้นที่ และเป็นสิ่งย้ําเตือนถึงความอุดมสมบูรณ์รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติให้กับ เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ซ่ึงนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ ด้านการให้ความรู้เร่ืองการจําแนกนก บทบาทของนกในธรรมชาติ และการใช้อุปกรณ์ในการดูนกอย่างถูกวิธี ตลอดจนการให้ความรู้และ พัฒนาแนวทางการศึกษานกในธรรมชาติแล้ว โครงการ \"เรียน – รู้ – รักษ์นก\" ยังใช้รูปแบบการ เรียนการสอนแบบโครงการ (โครงการ อพ.สธ., 2554) เพ่ือฝึกเยาวชนให้สามารถทําโครงงาน วทิ ยาศาสตรแ์ ละนาํ เสนอผลงานเกยี่ วกบั การศึกษานกเพือ่ การอนุรักษแ์ ละพฒั นาอีกด้วย นทิ รรศการ   45  

การดําเนินโครงการในปีแรก (พ.ศ. 2556 – 2557) ได้เน้นให้ \"นก\" เป็นศูนย์กลาง การศึกษา ทั้งด้านการศึกษาชีววิทยาของนกจนถึงการศึกษาความหลากหลายของนก เพ่ือเป็น จดุ เรม่ิ ต้นในการสรา้ งความสนใจนกในธรรมชาติ ซึ่งแม้วา่ จะมีบทบาทที่สําคัญแต่มักถูกมองข้ามไปใน สังคมมนุษย์ และเม่ือเยาวชนและครูได้พัฒนาทักษะในการศึกษานกแล้ว การดําเนินโครงการในปีที่ สอง (พ.ศ. 2557 – 2558) จึงเพิ่มน้ําหนักให้เนื้อหาด้านความสัมพันธ์ระหว่างนกกับป่าไม้ เพื่อให้ เยาวชนได้ตระหนักถึงปฏสิ ัมพันธ์และการพง่ึ พาอาศัยกนั ระหว่างนกกับป่าไม้ อันจะนําไปสู่การพัฒนา แนวทางการอนุรักษ์ \"ป่าไม้\" ผ่านมุมมองของการอนุรักษ์ \"นก\" ซ่ึงสามารถนําไปใช้ได้จริงในพื้นที่ จงั หวดั นา่ น และมสี าระสังเขปตลอดจนแนวปฏบิ ตั ขิ องโครงการดังน้ี ในปีพ.ศ. 2557 – 2558 โครงการ “เรียน – รู้ – รักษ์นก” เริ่มดําเนินงานในโรงเรียนนําร่อง 7 โรงเรียน จาก 4 อําเภอในจังหวัดน่าน ได้แก่ อําเภอเวียงสา (โรงเรียนสา และโรงเรียนพระปริยัติ ศาสนาพิพัฒน์วัดเมืองราม) อําเภอท่าวังผา (โรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม และโรงเรียนพระปริยัติ- ธรรมวัดนิโครธาราม) อําเภอภูเพียง (โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดพระธาตุแช่แห้ง) และอําเภอเชียง กลาง (โรงเรียนเชียงกลาง \"ประชาพัฒนา\" และโรงเรียนพระธาตุพิทยาคม) โดยรับสมัครนักเรียน เข้าร่วมกิจกรรมทั้งส้ิน 60 คน และเชิญครูท่ีจะทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในโรงเรียนเข้าร่วมการอบรม และการนําเสนอ โรงเรียนละ 1 – 2 คนทุกคร้ัง เพ่ือให้งานในโรงเรียนดําเนินงานต่อไปได้อย่าง ตอ่ เนอื่ ง กจิ กรรม “เรยี น – รู้ – รักษน์ ก” แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ \"การเรียน\" เป็นช่วงของการส่ังสมประสบการณ์ในการจําแนกชนิดของนกและต้นไม้ทั้งจาก การออกภาคสนามในแหล่งท่ีอยู่อาศัยแบบต่าง ๆ ในจังหวัดน่าน โดยมีวิทยากรที่เช่ียวชาญให้ คําแนะนํา \"การหาความรู้\" เป็นช่วงของการแสวงหาความรู้ด้วยตัวเองจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ เช่น หนังสือ หรืออินเตอร์เน็ต แล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนคิดโครงงานเก่ียวกับนกและต้นไม้ที่นักเรียน อยากศึกษา เพ่ือสะสมองค์ความรเู้ กี่ยวกับนกที่พบได้ในจังหวัดนา่ นในแงม่ มุ ต่าง ๆ \"การหาแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนา\" เป็นการนําความรู้ต่าง ๆ เก่ียวกับนกและต้นไม้ท่ีได้ จากส่วนท่ี 1 และ 2 มาใช้ในการนําเสนอปัญหารวมทั้งแนวทางในการแกป้ ัญหา และสร้างกิจกรรมท่ี เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ และพัฒนาส่ิงแวดล้อมท่ีจะช่วยให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับ \"นก\" ได้อย่าง สมดุลและย่ังยืน ในช่วงของ \"การเรียน\" โครงการฯ ได้จัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้แก่นักเรียนและครู ผู้รับผิดชอบ จํานวน 2 ครั้ง โดยให้ความรู้เกี่ยวกับบทบาทนกในป่าไม้ การจําแนกชนิดของนกใน แหล่งท่ีอยู่อาศัยแบบต่าง ๆ ในจังหวัดน่าน (จารุจินต์ นภีตะภัฏ และคณะ, 2555) ตลอดจนการใช้ และดูแลรักษาอุปกรณ์ท่ีใช้ในการดูนก รวมท้ังพื้นฐานการทําโครงงาน ในเดือนกันยายน 2557 ณ ศูนย์การเรียนรู้และบริการวิชาการ เครือข่ายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จังหวัดน่าน และ อทุ ยานแหง่ ชาตดิ อยภคู า 46 นิทรรศการ    

ในช่วงของ \"การหาความรู้\" นักเรียนจากแต่ละโรงเรียนได้ถูกมอบหมายให้คิดโครงงาน วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ \"นกและป่าไม้\" โดยมีครูจากโรงเรียนและคณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยร่วมให้คําปรึกษา จากนั้นในช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2557 นักเรียนแต่ละ โรงเรียนได้ร่วมกันดําเนินโครงงานโดยได้รับวัสดุและอุปกรณ์จากโครงการฯ ได้แก่ คู่มือดูนก กล้อง ส่องนกแบบสองตา กล้อง Spotting Scope และขาตั้งกล้อง เป็นอุปกรณ์ประกอบการศึกษาใน โครงงานวิทยาศาสตร์ และในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 ซ่ึงโรงเรียนกําลังดําเนินโครงงาน วิทยาศาสตร์ คณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดกิจกรรมนิเทศโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยไปเยี่ยมชมการดําเนินงานของแต่ละโรงเรียน เพื่อติดตามความก้าวหน้าและช่วยให้คําปรึกษาใน พืน้ ทป่ี ฏบิ ตั งิ านของแต่ละโรงเรียน เมื่อนักเรียนดําเนินการเสร็จส้ิน โครงการ “เรียน – รู้ – รักษ์นก” ได้จัดให้มีการนําเสนอ ผลงานในรปู แบบโปสเตอร์และนิทรรศการผลงาน ในช่วงเดือนธันวาคม 2557 ซึ่งเป็นส่วนของ \"การ หาแนวทางการอนรุ ักษ์และพัฒนา\" โดยมีขอบเขตงานของโครงงานวิทยาศาสตร์แตล่ ะโรงเรียนดงั น้ี โรงเรยี นสา โครงงาน : ชนิดและความสัมพันธ์ของนกกับต้นไม้ในโรงเรียนสาและโรงเรียนประถมศึกษา ในเครอื ขา่ ย ขอบเขตของโครงงาน : สร้างเครอื ขา่ ย “เรียน – รู้ – รกั ษ์นก” ในโรงเรยี นประถมศึกษาที่ อยู่ในเขตพื้นท่ีบริการของโรงเรียนสา (โรงเรียนศรีเวียงสาวิทยาคาร และโรงเรียนบ้านวัวแดง) โดย ใช้เป็นพื้นที่ศึกษาชนิดและความสัมพันธ์ของนกกับต้นไม้ในโรงเรียนร่วมกับการศึกษาในพ้ืนท่ีโรงเรียน สา ในช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2557 ตลอดจนสร้างเว็บเพจใน Facebook เกี่ยวกับกิจกรรม “เรยี น – รู้ – รักษ์นก” โรงเรยี นสา โรงเรยี นพระปรยิ ตั ิศาสนาพิพัฒนว์ ดั เมอื งราม โครงงาน : รกั ษ์นก – รกั ษป์ ่า บ้านเมืองราม ต.นาเหลอื ง อ.เวยี งสา จ.น่าน ขอบเขตของโครงงาน : ส่งเสริมและสนับสนุนให้นักเรียนมีความสนใจในการศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับระบบนิเวศและการอนุรักษ์นกในป่าชุมชน ผ่านการศึกษาและจําแนกชนิดนกในแหล่งท่ีอยู่ อาศยั แบบต่าง ๆ ในป่าชมุ ชนทอ้ งถ่ิน ในช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจกิ ายน 2557 และเผยแพร่ความรู้ ด้านนเิ วศวิทยาของป่าและนกทอ่ี ยูใ่ นปา่ ชุมชนแกส่ าธารณชน โรงเรยี นท่าวงั ผาพทิ ยาคม โครงงาน : การใช้ประโยชนจ์ ากพชื ของนกในพ้นื ท่โี รงเรียนท่าวังผาพทิ ยาคม ขอบเขตของโครงงาน : เสริมสร้างจิตสํานึกให้นักเรียนได้ตระหนักและเห็นความสําคัญ ของการอนุรักษ์นกและป่าไม้ ผ่านการศึกษาการใช้ประโยชน์จากพืชของนกในพ้ืนที่โรงเรียนท่าวังผา พิทยาคม โดยเฉพาะพชื กล่มุ ไมย้ ืนตน้ และสนามหญ้า ในช่วงเดือนตลุ าคม – พฤศจกิ ายน 2557 นิทรรศการ   47  

โรงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรมวัดนิโครธาราม โครงงาน : ความสัมพันธ์ระหว่างชนิดนกและพันธ์ุพืชในเขตพื้นที่ป่าชุมชนบ้านฝายมูล อ.ท่าวงั ผา จ.นา่ น ขอบเขตของโครงงาน : ศึกษาชนิดของนกและความสัมพันธ์ระหว่างนกกับพันธุ์พืชชนิด ต่าง ๆ ในเขตพื้นที่ป่าชุมชนบ้านฝายมูล อ.ท่าวังผา จ.น่าน ในช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2557 เพ่ือนําข้อมูลเก่ียวกับนกเผยแพร่สู่ชุมชน ผ่านการบอกเล่าสอดแทรกในการเทศน์ธรรมใน วนั พระ และทําแผน่ พับแจกให้ประชาชนเพือ่ เสริมสร้างจิตสาํ นกึ อนรุ ักษธ์ รรมชาติ โรงเรียนเชยี งกลาง \"ประชาพัฒนา\" โครงงาน : บทบาทของนกในธรรมชาติกับการอนุรักษ์ป่า ป่าปกปักพันธุกรรมพืชท้องถิ่น งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนเชียงกลาง \"ประชาพัฒนา\" และป่าชุมชนห้วยส้อ อ.เชียง กลาง จ.นา่ น ขอบเขตของโครงงาน : ศึกษาเปรียบเทียบบทบาทของนกในเขตป่าปกปักพันธุกรรมพืช ท้องถิ่น งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนเชียงกลาง \"ประชาพัฒนา\" และป่าชุมชนห้วยส้อ อ.เชียงกลาง จ.น่าน ตลอดจนเสริมสร้างจิตสํานึกในการอนุรักษ์ป่า และส่งเสริมการปลูกป่าเป็น แหล่งอาศยั ของนก โรงเรยี นพระธาตพุ ิทยาคม โครงงาน : ละอ่อนน่าน ฮกั ปา่ ฮักนก ขอบเขตของโครงงาน : ศึกษาชนิดและจํานวนนกในบริเวณโรงเรียนพระธาตุพิทยาคม อ.เชียงกลาง จ.น่าน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2557 เพื่อนํามาสู่การสร้างแผนที่นก บริเวณโรงเรียน และสร้างความเข้าใจในการอนุรักษ์ป่า อนุรักษ์นก ให้นักเรียนโรงเรียนพระธาตุ พิทยาคม ตลอดจนเผยแพร่ความรู้จากโครงการ “เรียน – รู้ – รักษ์นก” สู่นักเรียนโรงเรียน ประถมศกึ ษาเครอื ข่ายคอื โรงเรยี นพร้าวกลาง และโรงเรียนบา้ นดอนแก้ว โรงเรยี นพระปริยัติธรรมวัดพระธาตุแชแ่ ห้ง โครงงาน : ความหลากหลายของต้นไม้ทีน่ กอาศัยอยู่ ขอบเขตของโครงงาน : ศกึ ษาความหลากหลายของตน้ ไม้ ชนิดของนกและตน้ ไม้ท่นี กอาศัย อยู่ เพ่ือเสริมสร้างจิตสํานึกให้สามเณรนักเรียนได้เห็นความสําคัญของนกและต้นไม้ อันนําไปสู่การ อนรุ กั ษ์พ้ืนที่ป่าไมบ้ ริเวณสวนรกุ ขชาติ โรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรมวัดพระธาตุแชแ่ หง้ การดําเนินงานโครงการ “เรียน – รู้ – รักษ์นก” ที่เริ่มจากการให้ความรู้และจัดสรร ทรัพยากรพื้นฐานที่จําเป็นให้กับเยาวชนและครูในท้องถิ่นนําไปต่อยอด ขวนขวาย เรียนรู้ ได้ ก่อให้เกิดผลผลิตและผลลัพธ์ท่ีเป็นรูปธรรม สามารถนําเสนอปัญหารวมท้ังแนวทางในการแก้ปัญหา และสร้างกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการอนุรักษ์และพัฒนาส่ิงแวดล้อมที่อาจช่วยให้มนุษย์สามารถอยู่ ร่วมกับ \"นก\" ได้อย่างสมดุลและย่ังยืน และยังขยายผลต่อเนื่องไปยังโรงเรียนประถมศึกษาในพื้นท่ี บริการ ตลอดจนชุมชนโดยรอบของโรงเรียนนําร่อง จึงนับได้ว่าเป็นการสร้างแนวร่วมท่ีเป็นเยาวชน 48 นทิ รรศการ    

ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นกําลังสําคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพ้ืนท่ี จงั หวัดน่าน และเผยแพรค่ วามรดู้ ้านการอนรุ ักษ์ธรรมชาตติ อ่ ไปในอนาคต บรรณานุกรม โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเน่ืองมาจากพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.). แผนแม่บท โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเน่ืองมาจากพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราช- กุมารี (อพ.สธ.) ระยะ 5 ปีท่ีห้า (ตุลาคม 2554 – กันยายน 2559). กรงุ เทพมหานคร : เวริ ์ค สแควร์, 2554. จารุจินต์ นภีตะภัฏ, กานต์ เลขะกุล และวัชระ สงวนสมบัติ. คู่มือศึกษาธรรมชาติหมอ บุญส่ง เลขะกุล นกเมืองไทย. กรุงเทพมหานคร : คณะบุคคลนายแพทย์บุญส่ง เลขะกลุ , 2555. มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร. รายงานสาธารณะ “สถานการณ์ป่าไม้ไทย 2555”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.seub.or.th/index.php?option=com_content&view= article&id=927:seubnews&catid=5:2009-10-07-10-58-20&Itemid=14, 2555. วีณา เมฆวิชัย. คู่มือการอบรมทางวิชาการ เร่ืองการอนุรักษ์นกยูง. กรุงเทพมหานคร : พรินท์แอทมี (ประเทศไทย), 2551. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงบรรยายเรื่อง ประสบการณ์การ พัฒนาชนบทท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม. กรุงเทพมหานคร : สํานักงานโครงการ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี, 2553. นิทรรศการ   49  

ภาพที่ 1 การอบรมให้ความรู้แกส่ ามเณร นกั เรียน และครู ของโครงการ “เรยี น – รู้ – รักษ์นก” ณ ศนู ย์การเรียนรู้และบริการวิชาการเครือข่าย แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั จังหวดั นา่ น และ อทุ ยานแห่งชาติดอยภคู า  ภาพท่ี 2 กจิ กรรมนเิ ทศโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เพือ่ ตดิ ตามความก้าวหนา้ และชว่ ยใหค้ าํ ปรกึ ษา ในพื้นที่ปฏิบตั ิงานของแตล่ ะโรงเรยี น ภาพท่ี 3 วทิ ยากร ผู้จดั กิจกรรม และผู้เข้าร่วมโครงการ “เรยี น – รู้ – รกั ษน์ ก” ปพี .ศ. 2557 – 2558  50 นทิ รรศการ    

ผูชวยศาสตราจารย ดร.ศิรวิ ิไล ธีระโรจนารัตน ภาควิชาภูมิศาสตร คณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลัย สภาพภูมิประเทศของจังหวัดนานสวนใหญเปนเทือกเขาสูงชันสลับซับซอน จัดเปนพื้นท่ีปา ตนนํ้าท่ีสําคัญของภาคเหนือและประเทศไทย เดิมนานอุดมสมบูรณไปดวยผืนปา พรรณไม สัตวปา และความหลากหลายดานชีวภาพ อยางไรก็ดี ในชวงสองสามทศวรรษท่ีผานมา พื้นที่ปาถูกบุกรุก ทําลายอยางตอเนื่อง แผวถางเปนไรขาวโพด สวนยางพารา และการทําไรเล่ือนลอย กอใหเกิด ปญหานานัปการ ท่ีเห็นไดชัด คือ เกิดการปนเปอนของสารเคมี ยาฆาแมลงและวัชพืชในแหลงน้ํา นาน การเกิดน้ําหลากและน้ําทวมในตัวเมืองนาน สาเหตุสําคัญประการหน่ึงของการบุกรุกปา เกิด จากความไมเขาใจของคนในพื้นที่ในการเรงใชประโยชนจากปาโดยไมคํานึงถึงผลกระทบที่ตามมาทั้ง ในระยะสนั้ และระยะยาว ภาควิชาภูมิศาสตร คณะอักษรศาสตร ในฐานะสวนงานหน่ึงของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย มีหนาที่รับผิดชอบการเรียนการสอนและการวิจัยทางภูมิศาสตร และการทําแผนที่ ใน ระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย เปนลําดับแรก ๆ ไดตระหนักถึงปญหาและมุงหวังเปนสวนหน่ึงใน การรวมอนุรักษผืนปานาน จึงไดนอมนําแนวพระราชดําริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยาม- บรมราชกุมารี เพื่อปลูกจิตสํานึกใหเด็กและเยาวชน “นาน” เกิดความรักและหวงแหนผืนปา อันเปน จุดเร่ิมตนของการอนุรักษปาอยางยั่งยืน โดยภาควิชาฯ ไดจัดทําโครงการ “คลินิกแผนท่ี” ข้ึนในป พ.ศ 2557 เปน ปแรก โดยไดรับการสนับสนุนจากธนาคารกสิกรไทย มีสาระโดยสังเขป ดังน้ี โครงการ “คลินิกแผนที่” เปนโครงการที่เปดโอกาสใหนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในจังหวัด นาน ไดเรียนรูและรูจักผืนปาและทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ เชน นก พรรณไม สัตวปาที่พบ รวมทั้ง กิจกรรมที่เก่ียวของกับการอนุรักษตนไมและปา ดวยวิธีการบันทึกขอมูลเกี่ยวกับปาและการอนุรักษ โดยใชแผนทอี่ อนไลนเปนสื่อ จุดเดน ของโครงการ มี 2 ขอ คือ 1. นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในพ้ืนท่ีโครงการ ไดรับการอบรมความรูขั้นพ้ืนฐานทาง ภูมิศาสตร ทรัพยากรธรรมชาติ เทคนิคการสรางแผนท่ี และการทําแผนท่ีออนไลน การจัดอบรมจะ ชวยทําใหเด็กและเยาวชน “นาน” มีความรู ทักษะท่ีจําเปนทางภูมิศาสตร และสามารถนําความรูท่ี ไดรับไปปรับใชในการสรางแผนท่ีปาชุมชน สวนพฤกษศาสตร หรือกิจกรรมที่เก่ียวกับการอนุรักษ ผืนปาในโครงงานของโรงเรียนนั้น ๆ และสามารถคอยติดตามพฤติกรรมการใชผืนปาและกิจกรรมที่ เกี่ยวของกับการอนุรักษตนไมและผืนปา บันทึกขอมูลลงบน “แผนที่เลาเรื่องแบบออนไลน” การ บันทึกขอมูลผานแผนท่ีออนไลนจะทําใหสามารถเห็นภาพรวมโครงงานของโรงเรียนตาง ๆ และ สามารถติดตามความกาวหนา ของกิจกรรมที่เก่ยี วของกับปา ในพื้นท่ีนานไดอยางตอเนื่อง ซ่ึงในขณะน้ี ยังไมมีผูรวบรวมจัดทํามากอน เนื่องจากการจัดทํากิจกรรมและบันทึกขอมูล ทําโดยนักเรียนซึ่งเปน เจาของพ้ืนท่ีจังหวัดนาน จึงทําใหสามารถปรับปรุงขอมูลไดอยางเปนปจจุบัน ขอมูลมีความทันสมัย และเปนประโยชนตอชาวนานและหนวยงานที่เกี่ยวของอยางแทจริง กิจกรรมดังกลาวจะเปน นิทรรศการ 51

ตวั กระตุ้นให้เยาวชนเกิดความเข้าใจ เหน็ ความสําคัญของผนื ป่า เกิดความรัก ความหวงแหนพื้นที่ป่า ตามแนวพระราชดําริของสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี 2. นิสิตของภาควิชาภูมิศาสตร์ เป็นผู้สอนและถ่ายทอดความรู้ขั้นพ้ืนฐานทางภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ และการสร้างแผนท่ี ให้แก่นักเรียนในพ้ืนท่ีโครงการ จึงจักเป็นการให้นิสิตของ ภาควิชาฯ ได้ลงพ้ืนที่ศึกษา เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนชนบท สภาพป่าจริง และฝึกการนํา ความรู้ท่ีมีไปถ่ายทอดในเชิงปฏิบัติ สร้างความมีจิตอาสาและจิตสาธารณะ บําเพ็ญประโยชน์ต่อ สังคม อนั เปน็ คณุ ลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ตามท่ีจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ไดต้ ้ังเปา้ หมายไว้ โครงการ “คลินิกแผนท่ี” ในปีแรกน้ี เร่ิมดําเนินงานโดยมีโรงเรียนนําร่อง 11 โรงเรียน รวม 47 คน ได้แก่ 1) โรงเรียนเชียงกลาง “ประชาพัฒนา” 2) โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดพระธาตุแช่แห้ง 3) โรงเรียนสันติสขุ พิทยาคม 4) โรงเรียนสา 5) โรงเรียนตาลชุมพิทยาคม 6) โรงเรียนสตรีศรีน่าน 7) โรงเรียนพระธาตุพิทยาคม 8) โรงเรียนบ้านไร่ 9) โรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม 10) โรงเรียน พระปริยัตธิ รรมวัดนิโครธาราม 11) โรงเรียนไตรเขตประชาสามัคคีรัชมังคลาภิเษก โดยมีนักเรียน ระดับมัธยมต้นและมัธยมปลายเข้าร่วมกิจกรรมทั้งส้ิน 35 คน และครูอาจารย์ของโรงเรียนต่าง ๆ ในฐานะที่ปรึกษาของแต่ละโรงเรียนท่ีเข้าร่วมอบรมและนําเสนอจํานวน 12 คน กิจกรรมของ โครงการจัดที่ศูนย์การเรียนรู้และบริการวิชาการ เครือข่ายจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จังหวัดน่าน กิจกรรมในปีที่ผ่านมาแบ่งออกเป็น 3 คร้งั ดงั นี้ ครั้งท่ี 1 เป็น “การระดมความคิดและจัดอบรม” โดยอาจารย์และนิสิตของภาควิชาฯ เย่ียม ชมพ้ืนท่ปี ่าชมุ ชนและสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน สอบถามสภาพการณป์ า่ นา่ นและปัญหาเบ้อื งตน้ จาก ชุมชนและนักเรียนท่ีร่วมโครงการ ระดมความคิดปัญหาป่าน่าน และจัดอบรมความรู้ข้ันพ้ืนฐานทาง ภูมิศาสตร์ หลักการทําแผนที่ด้วยมือ และการทําแผนที่ออนไลน์ให้แก่เยาวชนในพ้ืนท่ีโครงการ โดย จดั กิจกรรมระหวา่ งวันท่ี 6 – 11 พฤษภาคม 2557 ครั้งที่ 2 เป็น “การให้คําปรึกษาการทําแผนที่ออนไลน์” ในเร่ืองสวนพฤกษศาสตร์ ป่าชุมชน หรือกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการอนุรักษ์ต้นไม้และผืนป่า แก่กลุ่มโรงเรียนเดิมท่ีเข้าร่วม ต่อยอดจาก การจดั กิจกรรมในคร้งั ที่ 1 โดยจัดกิจกรรมระหว่างวนั ท่ี 23 – 26 มิถุนายน 2557 ครั้งท่ี 3 เป็น “การประเมินผลการทําแผนที่ออนไลน์” แก่กลุ่มโรงเรียนเดิม และคัดเลือก โรงเรยี นเพอ่ื การนําเสนอผลของนักเรียนในงานรักษป์ า่ น่าน ซึ่งจะจัดให้มีข้ึนในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 กิจกรรมครั้งท่ี 3 นี้ จัดขึ้นระหว่างวันท่ี 11 – 14 ธันวาคม 2557 ทั้งนี้ในการประเมินผล นักเรียน จากโรงเรียนตา่ ง ๆ ไดน้ ําเสนอผลงานกิจกรรมรักษ์ปา่ ในรูปแบบ “แผนทเี่ ล่าเร่ืองแบบออนไลน์” รวม 7 โรงเรยี น แสดงผลผลติ ในรูปเวบ็ ไซต์โครงงานของแต่ละโรงเรยี น ดังนี้ 52 นทิ รรศการ    

โรงเรยี น ผลผลิต : ชื่อเรอ่ื ง / โครงการ โรงเรยี นเชยี งกลาง สิ่งที่เราทํากับส่ิงท่ีป่าต้องการ (การใช้ระบบภูมิศาสตร์สารสนเทศกับ “ประชาพฒั นา” งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนบูรณาการร่วมกับการอนุรักษ์ป่าห้วยส้อ อ.เชยี งกลาง อ.เชียงกลาง จ.น่าน) URL : http://bit.ly/1wRulAB โรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม ต้นไม้ในพทุ ธกาล วดั พระธาตแุ ชแ่ หง้ URL : http://bit.ly/135fp8t อ.ภเู พยี ง โรงเรียนสันติสขุ พทิ ยาคม เท่ยี วป่ากบั ฉนั ….ไปด้วยกนั ทีบ่ ้านภแู ยง อ.สนั ตสิ ขุ URL : http://bit.ly/1yG0zCr นทิ รรศการ   53  

โรงเรยี น ผลผลติ : ชื่อเรอ่ื ง / โครงการ โรงเรยี นสา อ.เวยี งสา แผนท่สี วนพฤกษศาสตร์ URL : http://bit.ly/1rfxVyY โรงเรียนตาลชมุ พิทยาคม พรรณไมใ้ นโรงเรยี นตาลชมุ พิทยาคม อ.เวียงสา URL : http://bit.ly/1umgu24 โรงเรยี นสตรศี รนี ่าน ต้นไมใ้ หญเ่ ล่าเรอ่ื ง อ.เมอื ง URL : http://bit.ly/1BA2klL   นทิ รรศการ     54  

โรงเรียน ผลผลติ : ชื่อเรอ่ื ง / โครงการ โรงเรียนพระธาตุพิทยาคม จุดชมนกโรงเรยี นพระธาตพุ ิทยาคม อ.เชียงกลาง URL : http://bit.ly/1yFjtEs โดยสรุป โครงการ “คลินิกแผนที่” ได้นําร่องโดยการนําเทคนิคทางภูมิศาสตร์มาใช้ในการ จัดเก็บข้อมูลกิจกรรมการอนุรักษ์ป่าแบบยั่งยืน สามารถแสดงผลในรูป “แผนที่เล่าเรื่องแบบออนไลน์” ไดอ้ ยา่ งเปน็ รปู ธรรม และยงั แสดงให้เห็นศักยภาพของนักเรียนและครูที่ปรึกษาในโรงเรียนต่าง ๆ ใน จังหวัดน่านในการนําแผนที่มาบูรณาการกับการเก็บข้อมูลเก่ียวกับป่า การดําเนินโครงการได้รับผล ตอบรับอย่างดีจากครูและนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการและอยากให้จัดอบรมเชิงปฏิบัตินานข้ึน ในการ ดําเนินการในปีถัด ๆ ไป จะจัดทําในรูปการอบรมด้านแผนที่และกิจกรรมการอนุรักษ์ป่า โดยขยาย การอบรมไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ท่ีมีความพร้อมในจังหวัดน่านเพ่ิมเติม ซ่ึงจะทําให้เห็นภาพเครือข่าย การจัดกิจกรรมการอนุรักษ์ป่าของโรงเรียนต่าง ๆ และใช้เป็นตัวช้ีวัดความสําเร็จและความต่อเนื่อง ของกิจกรรมรักษ์ปา่ ได้วธิ ีหนึ่ง นทิ รรศการ   55  

โครงการ “คลินกิ แผนที”่ คร้งั ท่ี 1 โครงการ “คลนิ กิ แผนที”่ คร้งั ท่ี 2 นทิ รรศการ   56  

ธัญศภิ รณ จันทรหอม, วนิ ยั แกวละมลุ , ภัณฑิรา เหมภทั รสุวรรณ, พิมสิริ ตยิ ายน, อยุทธ คงปน , สุพิณ แสง, สุขนิโลบล ใจแกว, รชั นีกร มะโนแปก , สมทศั น อยา งสขุ , ขจร นติ วิ รารกั ษ สํานกั วชิ าทรพั ยากรการเกษตร จฬุ าลงกรณม หาวทิ ยาลัย บทนํา พื้นทีป่ า จอมจนั ทร ต้งั อยูใ นเขตตําบลจอมจันทร อําเภอเวียงสา จังหวัดนาน มีพื้นท่ีโดยรวม 470 ไร มีอาณาเขตท่ีคาบเก่ียว 2 หมูบาน คือหมู 4 และหมู 7 ของบานจอมจันทร ตําบลจอม จันทร อําเภอเวียงสา จังหวัดนาน ภายใตการดูแลขององคการบริหารสวนตําบลจอมจันทร ปาจอม จันทรมีพืชพรรณธรรมชาติ ตนไม สัตวปานานาชนิด และความหลากหลายทางชีวภาพของระบบ นิเวศท่ีคอนขางสมบูรณแหงหน่ึงในจังหวัดนาน ซ่ึงเปนแหลงอาหารและการใชประโยชนที่สําคัญ รวมกันของคนในชุมชนและนอกชุมชนตามฤดูกาล ทามกลางกระแสการลดลงของพ้ืนท่ีปาไมอยาง รนุ แรงตอเน่ือง พ้ืนท่ีปาไมถูกเปล่ียนไปเปนพื้นที่สําหรับการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพ่ือการพาณิชย ซ่ึงอาจ เปนไดวาปาแหงนี้เปนแหลงศูนยรวมความเช่ือเรื่องส่ิงศักดิ์สิทธิ์และตํานานตาง ๆ จากสมัยอดีตและ ยังคงเลาขานมาจนถึงปจจุบัน จากรุนสูรุน ดวยเหตุน้ีชุมชนที่อยูในเขตพ้ืนที่จึงยังคงอนุรักษพื้นที่ปา โดยเฉพาะอยางยิ่งในบริเวณพ้ืนที่ท่ีมีตนไมใหญท่ีเช่ือวามีเทวดาปกปกรักษาอยู ซึ่งทางชุมชนบริเวณ โดยรอบไดทําขอตกลงและขอกําหนดในการใชประโยชนและดูแลรักษาปาผืนน้ีไวนับแตอดีตจนถึง ปจ จบุ ัน แมวา ปาผนื นย้ี งั ไมไ ดขึน้ ทะเบียนจดั ตง้ั ปาชุมชนของกรมปา ไม ดวยความตระหนักและเล็งเห็นแนวทางในการรักษาและสืบสานปาจอมจันทรใหยังคงอยู ตราบนานเทานาน จาํ เปน ตองอาศัยความรวมมือของทุกภาคสวนในชุมชน และ “เยาวชน” ซึ่งจะเปน กําลังสําคัญในการดูแลรักษาปาผืนน้ีและดํารงไวซ่ึงวัฒนธรรมประเพณีและตํานานเลาขานตาง ๆ เพื่อเปนกลไกผลักดันใหเกิดการปกปองและอนุรักษปาจอมจันทร สํานักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย รวมกับองคการบริหารสวนตําบลจอมจันทรและชุมชนบานจอมจันทร จึง ไดจัดทําโครงการ “ปาชุมชน เยาวชนรักษปา โอแครรวมพัฒนา ประชาสุขใจ” ข้ึน ภายใตการ สนับสนุนงบประมาณจาก บจม. ธนาคารกสิกรไทย โดยมีเปาหมายมุงเนนหาแนวทางและ กระบวนการที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมในการปลูกปาในใจเยาวชน ดวยหลักการของการมี บทบาทและการเรียนรูอยางมีสวนรวมของเยาวชน ซึ่งเริ่มตนจากการศึกษาเรียนรู ติดตามการ เปล่ียนแปลงระบบนิเวศปาในพ้ืนที่ของชุมชนเพื่อทําความรูจักและคุนเคยกับปา แลวจึงสรางโอกาส ในการรวมดแู ลและรักษาปาของชมุ ชน ตามแนวคดิ ปาชุมชนคือ “ปาเปนของชุมชน ชุมชนรวมกันดูแล และใชประโยชนรวมกันจากปาอยางเหมาะสม” ผานกิจกรรมตาง ๆ ของโครงการ โดยในปท่ี 1 ได เนนสรางกระบวนการเรียนรูดวยการสัมผัสปาดวยใจและกาย เพ่ือปลูกปาในใจเยาวชนในพื้นท่ี ให สืบสาน พัฒนา และอนุรักษผืนปาจากคนรุนเกาสูคนรุนใหม และสามารถอยูกับปาในชุมชนไดอยาง ย่ังยืนตอไปในอนาคต ซึ่งเยาวชนที่เขารวมโครงการมีจํานวนทั้งส้ิน 70 คน จากโรงเรียนตาลชุม นิทรรศการ 57

พิทยาคม จังหวัดน่าน และผลการดําเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ เยาวชนในพ้ืนท่ีได้เรียนรู้ ป่าจอมจันทร์และรู้จักพืชประจําถ่ิน และมีความตระหนักถึงความสําคัญของป่า ซึ่งทางโครงการได้ ดําเนินการต่อเน่ืองเข้าสู่ปีที่ 2 โดยขยายผลไปยังโรงเรียนจอมจันทร์วิทยาคาร ซึ่งมีเยาวชนในพ้ืนที่ บริเวณโดยรอบป่าจอมจันทร์ศึกษาอยู่ และมุ่งเน้นการศึกษาเรียนรู้ป่าอย่างต่อเน่ือง ติดตามการ เปลี่ยนแปลงของป่าตามช่วงฤดูกาลที่เปล่ียนไป เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจลักษณะตามธรรมชาติ ของป่าเพื่อสร้างความรักและหวงแหนป่า โดยแบ่งกิจกรรมในปีท่ี 2 ออกเป็น 3 รูปแบบ ประกอบด้วยกิจกรรมท่ีหน่ึง คือ การสัมผัส / สํารวจ เป็นกิจกรรมติดตามการเปลี่ยนแปลงระบบ นเิ วศในชว่ งฤดฝู น และวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างระบบนิเวศฤดฝู นและฤดูหนาว กิจกรรมที่สอง คือ การศึกษาวิธีเก็บข้อมูลป่าโดยการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System : GIS) เพอื่ ทจ่ี ะนําเทคโนโลยดี ังกล่าวเขา้ มีส่วนร่วมในการทําผังป่าและบันทึก ข้อมูลพรรณไม้ และเป็นระบบการติดตามและตรวจสอบพื้นที่ป่าจากการบุกรุกทําลายต่อไปใน อนาคต และกิจกรรมที่สามคือ การอนุรักษ์ โดยการศึกษาเก็บข้อมูลจํานวนต้นไม้ซ่ึงเป็นพรรณไม้ ประจําถิ่น 5 อันดับแรกของป่าจอมจันทร์ ในโซนศึกษาเรียนรู้ท้ัง 7 โซนท่ีมีความแตกต่างกันของ ระบบนเิ วศ 4 ลกั ษณะ ประกอบด้วยระบบนิเวศป่าบริเวณพ้ืนราบ เนินเขา ร่องน้ํา และใกล้แหล่งนํ้า โดยจุดมุ่งหมายของทั้ง 3 กิจกรรมหลักคือ เพื่อเป็นการปลูกป่าในใจผู้เข้าร่วมกิจกรรม และให้ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสัมผัสป่าด้วยกายและใจ นอกจากนี้การดําเนินโครงการนี้ยังเป็นการฝึกฝน ศักยภาพการทํางานเป็นทีมให้แก่นิสิตและนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ และเสริมสร้างโอกาสในการ ฝึกฝนตนเอง ให้สามารถทํางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีจิตอาสาและจิตสาธารณะ มี ความเสียสละและร้จู ักอุทิศตนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม วธิ กี ารดาํ เนินการ 1. วางแผนการดําเนนิ งาน เปา้ หมาย / ตัวช้วี ดั กจิ กรรม และการประเมินผลการปลูกป่าใน ใจเยาวชนที่มุ่งพัฒนาให้เยาวชนเกิดกระบวนการเรียนรู้เร่ืองราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับป่า ซ่ึงเป็น กลไกท่ีทําให้เกิดความตระหนักและหวงแหนป่า ตลอดจนมุ่งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมกับผู้ใหญ่ใน ชมุ ชนในการดแู ลและรกั ษาป่าของชมุ ชน 2. ประสานงานกับผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องทุกภาคส่วนเพ่ือทําความเข้าใจแนวทางการดําเนินการ ของโครงการ 3. ดําเนินกิจกรรมการปลูกจิตสํานึกรักป่าตามแนวทางและแผนงานผ่านกิจกรรมค่ายของ โครงการปา่ ชุมชน เยาวชนรกั ษ์ปา่ โอแครร์ ่วมพฒั นา ประชาสุขใจ 4. ทําการนําเสนอข้อมูลต่าง ๆ จากกิจกรรมกลุ่มในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมทั้งสรุปและ อภิปรายผล เพ่ือให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและส่งต่อข้อมูลจากรุ่นสู่รุ่นของนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือวิเคราะห์และปรับปรุงแนวทางการปลูกป่าใน ใจเยาวชนให้มีคณุ ภาพและประสทิ ธิภาพเหมาะสมกับบรบิ ทของพ้ืนท่ีศึกษาและกลุ่มเปา้ หมาย 5. จัดกิจกรรมเพื่อให้โอกาสเยาวชนได้นําเสนอผลงานต่อสาธารณะชน และผลการ ดาํ เนินการหรือข้อมูลท่ไี ด้มาต้องนํากลบั ส่ชู มุ ชนในรูปแบบตา่ ง ๆ อย่างต่อเนอ่ื ง 58 นิทรรศการ    

กลุ่มเปา้ หมาย กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ของโรงเรียนตาลชุมพิทยาคมและ โรงเรียนจอมจันทร์วิทยาคาร ซ่ึงนักเรียนท่ีเข้าร่วมโครงการเป็นเยาวชนในพ้ืนท่ีพํานักอาศัยอยู่ใน พ้ืนท่ตี ําบลจอมจันทร์ รวม 70 คน กลุ่มเป้าหมายรอง คือ นิสิตสํานักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซ่ึง ทําหน้าท่ีเป็นพี่เลี้ยงในการทํากิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ร่วมกับนักเรียน โดยนิสิตมีภูมิลําเนาอยู่ หลากหลายท้องท่ใี นประเทศไทยซ่ึงส่วนใหญ่พกั อาศยั อยู่ในเขตภาคเหนือ (ร้อยละ 50) แผนการดาํ เนนิ การ การปลกู ปา่ ในใจเยาวชนให้เกดิ ความรัก ความตระหนัก และมีจิตสํานึกที่ดีต่อการพัฒนาและ อนุรักษ์ป่าให้ประสบความสําเร็จต้องอาศัยกระบวนการ 3 ส่วน คือต้องเรียนรู้ให้รู้จักและมีความ เข้าใจจนเกิดความรักและผูกพันซึ่งจะเป็นกลไกสําคัญในการผลักดันความเข้มแข็งของชุมชนจากรุ่น เยาวชนถึงรุ่นผู้ใหญ่ในชุมชนต่อการใช้ประโยชน์และพฤติกรรมในการดูแลรักษาป่าได้อย่างมี ประสิทธิภาพดงั รูปแบบกระบวนการดังรูปท่ี 1 รู้ รัก รกั ษา รูปท่ี 1 แผนผงั กระบวนการปลูกป่าในใจเยาวชน กระบวนการดังกลา่ วน้ี จําเปน็ ต้องใชร้ ะยะเวลาเพาะบม่ ปลูกฝังในใจเยาวชนซึ่งเริ่มต้นจากการ เรียนรใู้ นด้านตา่ ง ๆ ซง่ึ การดาํ เนินโครงการในปที ่ี 2 จะเป็นการเสริมสร้างการเรียนรู้ป่าอย่างต่อเนื่อง เพือ่ ให้เกิดความตระหนกั และรักปา่ ผ่านกิจกรรมการเรยี นร้อู ย่างมีสว่ นร่วม 3 กิจกรรม ดังนี้ 1. กิจกรรมการสัมผัส / สํารวจป่า เป็นกิจกรรมติดตามการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในช่วง ฤดูฝน และวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างระบบนิเวศฤดูฝนและฤดูหนาว ซ่ึงจะสามารถพบความ แตกต่างของลกั ษณะต้นไม้และระบบนเิ วศ รวมถงึ ชนิดของสตั ว์และแมลงในพน้ื ที่อีกด้วย โดยในปีท่ี 1 ได้ดําเนินกิจกรรมให้เยาวชนศึกษาเรียนรู้ลักษณะป่าไม้และพืชพรรณในระบบนิเวศในระหว่างเดือน ธันวาคม 2556 ถึง กุมภาพันธ์ 2557 ซ่ึงเป็นช่วงฤดูหนาวของจังหวัดน่าน และในปีที่ 2 จะเริ่ม ดําเนินกิจกรรมการศึกษาเรียนรู้ป่าและพืชพรรณในระบบนิเวศในเดือนกันยายน 2557 จนถึงเดือน พฤศจกิ ายน 2557 จงึ เปน็ การศกึ ษาและติดตามการเปลย่ี นแปลงระบบนิเวศของป่าจอมจันทร์ในช่วง ฤดูฝนของจงั หวัดน่าน 2. กิจกรรมการศึกษาวิธีเก็บข้อมูลป่าโดยการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System : GIS) เป็นกิจกรรมการให้ความรู้ระบบ GIS และวิธีการใช้ เครื่อง GPS โดยน้อมนําแนวทางการเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วยระบบแผนที่ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยหู่ ัว มารวมกับเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพื่อช่วยในการเก็บ ข้อมูลป่าไม้เชิงพื้นที่และส่ือความหมายในการเปล่ียนแปลงของป่าจอมจันทร์ท่ีสัมพันธ์กับช่วงเวลา ซึ่งอาจเป็นช่องทางสําหรับการเก็บบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ของป่าจอมจันทร์ เพื่อการศึกษาเรียนรู้ของ เยาวชนและบุคคลท่สี นใจไดอ้ ยา่ งสะดวกและแพร่หลาย นทิ รรศการ   59  

3. กิจกรรมการอนุรักษ์ เป็นกิจกรรมการเก็บข้อมูลจํานวนต้นไม้ซึ่งเป็นพรรณไม้ประจําถิ่น 5 อันดับแรกของป่าจอมจันทร์และตําแหน่งที่อยู่ในโซนศึกษาเรียนรู้ท้ัง 7 โซนท่ีมีความแตกต่างกันของ ระบบนิเวศ 4 ลกั ษณะ ประกอบดว้ ยระบบนิเวศป่าบริเวณพ้ืนราบ เนินเขา ร่องน้ํา และใกล้แหล่งน้ํา โดยทาํ การตดิ ป้ายรหัสต้นไมด้ ว้ ยการนาํ วสั ดทุ ม่ี คี วามคงทนหรือวัสดุท่สี ามารถหาได้ง่ายในธรรมชาติ เช่น แผ่นสังกะสี กระป๋องนํ้าอัดลม ไม้ กระดาษแข็งเคลือบพลาสติก เป็นต้น มาตัดเป็นแผ่น เจาะรู ทง้ั 2 ข้าง รอ้ ยด้วยลวดขดเป็นสปริงและนําไปติดแสดงท่ีต้นไม้ ทําการสํารวจ บันทึกชื่อและจํานวน ตันไม้ในแต่ละพ้ืนท่ี นําข้อมูลมาวิเคราะห์ร่วมกันและกําหนดรหัสพรรณไม้เป็นรหัสหมายเลขให้พืช แต่ละชนิดไมซ่ า้ํ กัน ผลการดาํ เนนิ งาน ผลจากการจัดกจิ กรรมของโครงการปา่ ชุมชน เยาวชนรักษ์ป่า โอแคร์ร่วมพัฒนา ประชาสุขใจ ปที ี่ 2 เพ่ือปลกู ป่าในใจเยาวชนดว้ ยกระบวนการ รู้ – รัก – รักษา มรี ายละเอยี ดดังนี้ 1. กจิ กรรมการสมั ผัส / สาํ รวจปา่ เยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการได้ลงพื้นที่สํารวจและติดตามการเปล่ียนแปลงแบบต่อเนื่อง (Continuous Forest Inventory) ในพื้นที่ 7 โซน โดยมีขนาดพ้ืนที่เฉล่ียโซนละ 1 ไร่ ซึ่งมีความ แตกต่างของระบบนิเวศ 4 ลักษณะ จากการสํารวจพื้นที่ เยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการได้พบเห็นความ แตกต่างของลักษณะต้นไม้ ความชุ่มช้ืนของป่าและระบบนิเวศ จากการพบมอสและเห็ดหลากหลาย ชนิด (รปู ที่ 2) รวมถึงพบสัตว์จาํ พวกมดและแมลงต่าง ๆ (รูปที่ 3) ในพ้ืนที่เพ่ิมขึ้น เม่ือเปรียบเทียบ ป่าในโซนต่างๆ จากในปีที่ 1 ซึ่งได้ดําเนินกิจกรรมให้เยาวชนศึกษาเรียนรู้ลักษณะป่าไม้และพืชพรรณ ในระบบนิเวศในระหว่างเดือนธันวาคม 2556 ถึงกุมภาพันธ์ 2557 ซ่ึงเป็นช่วงฤดูหนาวของจังหวัด น่าน และในปีที่ 2 นี้ ได้ดําเนินกิจกรรมการศึกษาเรียนรู้ป่าและพืชพรรณในระบบนิเวศในเดือน กันยายน 2557 จนถงึ เดอื นพฤศจกิ ายน 2557 ซ่ึงชว่ งฤดฝู นของจงั หวัดนา่ น 2. กจิ กรรมการศึกษาวธิ ีเกบ็ ขอ้ มูลปา่ โดยการประยกุ ตใ์ ชร้ ะบบ GIS / GPS การประยุกตใ์ ชร้ ะบบ GIS / GPS ในการเกบ็ ข้อมูลปา่ จอมจนั ทร์ เร่ิมตน้ จากการสอนให้ เยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการได้รู้จักระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System : GIS) และวธิ กี ารใชเ้ ครือ่ ง GPS และได้ทดลองนําเครื่อง GPS จบั ตําแหนง่ และบอกพิกัดสิง่ ของตา่ ง ๆ รอบตัว และสรา้ งกระบวนการเรยี นรู้อย่างมสี ว่ นรว่ มด้วยการทําผังปา่ ขอบเขตพนื้ ทใี่ นแตล่ ะโซนทีไ่ ด้ ทําการศึกษา รวมถึงจับพิกัดต้นไม้ซ่ึงเป็นพรรณไม้ประจําถิ่น 5 ชนิด ผ่านกิจกรรมเกมสันทนาการ จดจําลักษณะและระบุตําแหน่งท่ีอยู่ในแต่ละโซนพื้นที่ (รูปท่ี 4) โดยในระยะการดําเนินโครงการ ข้ันต่อไปจะทําการรวบรวมไว้เป็นฐานข้อมูลชนิดพรรณไม้ ลักษณะพันธ์ุ และตําแหน่งของต้นไม้ชนิด อ่ืน ๆ ในเขตพ้ืนท่ีป่าจอมจันทร์ เพื่อช่วยในการเก็บข้อมูลป่าไม้เชิงพื้นที่และสื่อความหมายในการ เปลี่ยนแปลงของป่าจอมจันทร์ท่ีสัมพันธ์กับช่วงเวลาต่าง ๆ ซึ่งสามารถเป็นช่องทางสําหรับการเก็บ บันทึกข้อมูลต่าง ๆ ของป่าจอมจันทร์ เพื่อการศึกษาเรียนรู้ของเยาวชนและบุคคลที่สนใจศึกษา เรยี นรู้ป่าจอมจันทร์ได้อยา่ งสะดวกและแพร่หลายมากย่งิ ข้นึ 60 นทิ รรศการ    

รปู ที่ 2 ตวั อย่างเหด็ หลากหลายชนิดและมอสทีพ่ บในป่าจอมจันทรช์ ่วงฤดฝู น รูปท่ี 3 ตวั อยา่ งสัตว์และแมลงท่พี บในปา่ จอมจันทร์ชว่ งฤดฝู น รูปท่ี 4 การเรยี นรวู้ ธิ กี ารเกบ็ ข้อมลู ในระบบ GIS และฝกึ ทดลองใช้เครื่อง GPS รปู ท่ี 5 ตวั อยา่ งการเขียนป้ายตดิ รหัสตน้ ไม้ รูปที่ 6 การตดิ รหัสพรรณไม้ประจําถิน่ 5 ชนิดแรกของป่าจอมจนั ทร์ นทิ รรศการ   61  

3. กจิ กรรมการอนุรักษพ์ รรณไมป้ ระจําถิ่น กิจกรรมการเก็บข้อมูลจํานวนต้นไม้ซึ่งเป็นพรรณไม้ประจําถิ่น 5 อันดับแรกของป่าจอม จันทร์ประกอบด้วย ต้นตึง ต้นเหียง ต้นแดง ต้นแงะ และต้นประดู่ พร้อมทั้งระบุตําแหน่งท่ีอยู่ใน โซนศึกษาเรียนรู้ทั้ง 7 โซนที่มีความแตกต่างกันของระบบนิเวศ 4 ลักษณะ ประกอบด้วยระบบนิเวศ ป่าบริเวณพ้ืนราบ เนินเขา ร่องน้ํา และใกล้แหล่งนํ้า โดยติดป้ายรหัสต้นไม้ด้วยแผ่นสังกะสี ขนาด ความกว้าง 8 นิ้ว สูง 3 น้ิว เจาะรูท้ัง 2 ข้าง ร้อยด้วยลวดขดสปริงและนําไปติดแสดงท่ีต้นไม้ ซึ่ง จากการสํารวจและวิเคราะห์พันธ์ุไม้ จึงกําหนดหมายเลขไว้ 6 ช่อง ช่องที่ 1 คือ รหัสพื้นท่ีสํารวจ ชอ่ งท่ี 2 คอื รหัสพรรณไม้ ชอ่ งที่ 3 คอื – ชอ่ งที่ 4 5 6 คือ ลาํ ดบั ตน้ ไม้ (รปู ที่ 5) ซึ่งกําหนดรหัส พรรณไม้ 5 ชนิดไว้ว่า หมายเลข 1 คือ ต้นตึง หมายเลข 2 คือ ต้นเหียง หมายเลข 3 คือ ต้นแดง หมายเลข 4 คือ ต้นแงะ หมายเลข 5 คือ ต้นประดู่ และมีข้อกําหนดว่าต้นไม้จะต้องมีความสูง มากกวา่ 1.30 เมตร และต้นไมต้ ้องมเี สน้ รอบวง มากกวา่ 30 เซนตเิ มตร เมอ่ื จัดทาํ ป้ายแลว้ จึงนาํ ไป แขวนไว้กบั ต้นไมน้ ัน้ (รปู ที่ 6) ผลการวิเคราะหร์ ะดับผลสมั ฤทธขิ์ องกจิ กรรม ผลการดําเนินงานในปีที่ 2 ซ่ึงเป็นระยะที่มุ่งเน้นการเรียนรู้ สํารวจและสัมผัสป่าด้วยกาย และใจอย่างต่อเนื่อง ไดเ้ ร่ิมดาํ เนนิ การนับตงั้ แตเ่ ดือนสงิ หาคม 2557 จนถึงเดือนมีนาคม 2558 โดย มงุ่ เน้น 2 กระบวนการแรก คือ รู้ และ รัก และเริ่มต้นกิจกรรมการอนุรักษ์ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ของ โครงการปา่ ชุมชน เยาวชนรักษ์ป่า โอแคร์ร่วมพัฒนา ประชาสุขใจ ซ่ึงมีเยาวชนจากโรงเรียนตาลชุม พิทยาคมเข้าร่วมกิจกรรมจํานวน 35 คน และขยายผลเพ่ิมเติมไปยังโรงเรียนจอมจันทร์วิทยาคาร จํานวน 37 คน และนิสิตสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาวิจัยทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการ 60 คน รวมทั้งส้ิน 132 คน โดยเริ่มต้นจากกิจกรรมสานสันทนาการ เพ่ือสร้างความคุ้นเคยและละลายพฤติกรรมของนักเรียนและนิสิตผู้เข้าร่วมโครงการ และกิจกรรม ค่าย “โครงการป่าชุมชน เยาวชนรักษ์ป่า โอแคร์ร่วมพัฒนา ประชาสุขใจคร้ังท่ี 2” เพื่อให้นักเรียน และนิสิตผู้เข้าร่วมโครงการได้สํารวจและสัมผัสป่าเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลของป่าจอม จันทร์ พร้อมท้ังเรียนรู้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System : GIS) และวิธีการใช้เครอื่ ง GPS เพ่ือช่วยในการเกบ็ ข้อมูลป่าไมเ้ ชงิ พ้นื ท่ี ตลอดจนเริ่มต้นการอนุรักษ์พรรณ ไม้ประจําถ่ิน 5 อันดับแรกของป่าจอมจันทร์และตําแหน่งที่อยู่ในโซนศึกษาเรียนรู้ท้ัง 7 โซนท่ีมีความ แตกต่างกันของระบบนิเวศ 4 ลักษณะ ประกอบด้วยระบบนิเวศป่าบริเวณพ้ืนราบ เนินเขา ร่องน้ํา และใกล้แหล่งนํ้า ซ่ึงได้จัดทําการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยแบบสอบถามโดยมี ระดับคะแนนความพึงพอใจ 5 ระดับคือ ระดับคะแนน 5 = มากที่สุด 4 = มาก 3 = ปานกลาง 2 = น้อย 1 = น้อยท่ีสุด สามารถสรุปผลได้ดังตารางท่ี 1 พบว่าค่าการประเมินผลสัมฤทธิ์ของทุก กจิ กรรมโดยเฉล่ียมีระดับที่ดีมาก ค่าระดับผลสัมฤทธ์ิสูงสุดพบว่าเยาวชนท่ีเข้าร่วมโครงการได้รู้และ เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของป่าและสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ที่แตกต่างระหว่างฤดูหนาว และฤดูฝน และเยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการอยากมีส่วนร่วมและช่วยสืบสานการดูแลรักษาป่าให้คงอยู่ สืบไป ซ่ึงเป็นการแสดงทัศนคติท่ีดีต่อการทํากิจกรรมเพ่ือสังคมและส่งเสริมการอนุรักษ์ป่า ซ่ึงถือได้ ว่าเป็นแนวโน้มท่ีดีต่อการใช้กิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ สอดแทรกเนื้อหาสาระความรู้ให้เกิดความ 62 นิทรรศการ    

ตระหนักถึงความสําคัญของบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของตนต่อการพัฒนา ดูแลรักษา และ อนรุ ักษ์ผนื ป่าและสบื สานใหค้ งอยูส่ ืบไป นอกจากนี้นักเรียนและนิสิตผู้เข้าร่วมโครงการได้ให้ข้อคิดเห็นและความรู้สึกที่มีต่อกิจกรรม ของโครงการว่าเป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างความรู้และมีความสนุกสนาน อยากให้เพ่ิมเวลาในการจัด กิจกรรมและมีการจัดกิจกรรมลักษณะนี้ขึ้นอีกอย่างต่อเน่ือง และมีความรู้สึกรักโครงการน้ีและ มีความผูกพันกับพี่น้องที่เข้าร่วมกิจกรรม รู้สึกมีความสุขเวลาทํากิจกรรมร่วมกัน ตลอดจนมี ความรู้สึกวา่ เปน็ โครงการท่ีดีสง่ เสรมิ ให้เยาวชนรกั และหวงแหนป่าและรักบ้านเกิดเพิม่ มากข้ึน ตารางที่ 1 ผลการประเมนิ ผลสัมฤทธิ์ของกจิ กรรมตามตวั ชีว้ ัด / เป้าหมาย ตัวชีว้ ดั /เป้าหมาย กิจกรรม ผลสัมฤทธิ์ ผลการประเมนิ 1. ร้จู กั และรกั ป่า 1. สัมผสั ปา่ ดว้ ย 1. รูแ้ ละเข้าใจความแตกต่างของ 4.4±0.6 กาย / ใจ ลกั ษณะนิเวศป่าชมุ ชนจอมจนั ทรใ์ น 2. เรยี นร้รู ะบบ ระหว่างฤดูหนาวและฤดฝู น GIS 2. รู้จักพืชพรรณท่พี บในปา่ ชมุ ชน 4.3±0.8 จอมจันทรช์ ่วงฤดฝู น 3. การเสรมิ สร้าง ทศั นคติท่ดี ีผา่ น 3. รจู้ ักสิ่งมชี วี ติ ทพ่ี บในปา่ ชมุ ชน 4.3±1.0 การสันทนาการ จอมจนั ทร์ช่วงฤดฝู น   1. ทราบวิธีการเก็บและบนั ทึกขอ้ มลู 4.3±1.1 ด้วยเครือ่ ง GPS 2. ร้แู นวทางการประยุกต์ใช้ระบบ 4.2±1.0 GPS / GIS ในการสํารวจและเกบ็ ขอ้ มลู เพอ่ื การอนรุ กั ษ์ป่า 3. รู้จักและสามารถระบุตาํ แหนง่ พืช 4.2±1.1 ประจาํ ถน่ิ ทงั้ 5 ชนิด (ตึง สาก แดง เตง็ และประด่)ู ในเขตพืน้ ที่ (โซน) ท่ีได้เดนิ สาํ รวจ 4. อยากมีส่วนรว่ มในการเกบ็ ขอ้ มลู และ 4.3±0.9 ตําแหน่งพรรณไมช้ นดิ อ่ืน ๆ ในป่า ชมุ ชนจอมจนั ทร์ 1. อยากมีสว่ นรว่ มและชว่ ยสบื สานการ 4.4±0.7 ดูแลรกั ษาป่าใหค้ งอยู่สบื ไป 2. มคี วามสนใจที่จะเขา้ ร่วมกจิ กรรม 4.3±0.6 โครงการป่าชมุ ชน เยาวชนรกั ษ์ป่า โอแคร์รว่ มพฒั นา ประชาสขุ ใจ ใน คร้งั ตอ่ ไป นทิ รรศการ   63  

ตัวชีว้ ดั /เปา้ หมาย กิจกรรม ผลสมั ฤทธิ์ ผลการประเมิน 3. มคี วามสนใจอยากเข้าร่วมกจิ กรรม 4.3±0.9 2. รกั ษาป่า 1. การเรยี นรู้แนว ทางการบริหาร เพื่อการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรและ 4.3±0.9 จัดการและ ส่ิงแวดลอ้ มโครงการอืน่ ๆ 4.1±0.9 อนุรักษป์ า่ 1. รู้วิธีการติดรหัสพรรณไมข้ องพรรณ ไมป้ ระจาํ ถิ่นของปา่ จอมจันทร์ 2. เกิดแนวคดิ สร้างสรรค์ และ สามารถประยกุ ตว์ ธิ กี ารดูแลรักษา พรรณไมช้ นดิ อน่ื ๆ สรุปผล กระบวนการสร้างความรู้ความเข้าใจจนเกิดความรักและหวงแหนป่าเป็นกลไกสําคัญต่อการ คิดดูแลรักษาป่าที่มีประสิทธิภาพ หากแต่ต้องใช้ระยะเวลาในการเพาะบ่มจิตใจตั้งแต่เยาวชนและ ดําเนินการอย่างต่อเน่ือง ผ่านกิจกรรมที่มีความสนุกสนานสอดแทรกความรู้ให้สอดคล้องกับลักษณะ นิสัยของเด็ก / เยาวชน เพ่ือให้เกิดทัศนคติที่ดี ส่งผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมในด้านการ ดูแลรักษา อนุรักษ์และพัฒนาผืนป่าให้คงความอุดมสมบูรณ์เป็นหน้าท่ีท่ีต้องปฏิบัติ ทางโครงการป่า ชุมชน เยาวชนรักษ์ป่า โอแคร์ร่วมพัฒนา ประชาสุขใจ ได้มีการวางแผนการดําเนินการเป็นระยะเวลา 10 ปี เพื่อสร้างกลไกการถ่ายทอดข้อมูลและองค์ความรู้ต่าง ๆ ของเยาวชนจากรุ่นสู่รุ่น เพ่ือให้เกิด ความรักความหวงแหนป่าของคนในชุมชนซึ่งจะสามารถร่วมกันผลักดันให้มีระบบการดูแลควบคุมท่ี เหมาะสมและมีความสมดลุ ระหว่างการใชป้ ระโยชน์และอนุรกั ษ์ผนื ปา่ ให้เกิดความยั่งยืนตอ่ ไป กระบวนการเรียนรู้ป่าอย่างต่อเน่ืองนั้น สามารถทําได้โดยการติดตามการเปล่ียนแปลงของ ป่า ตามการเปล่ียนแปลงของฤดูกาล ซึ่งจะสามารถพบความแตกต่างของลักษณะต้นไม้และระบบ นิเวศ รวมถึงชนิดของสัตว์และแมลงในพื้นที่ด้วย โดยในปีท่ี 1 ได้ดําเนินกิจกรรมให้เยาวชนศึกษา เรียนรู้ลักษณะป่าไม้และพืชพรรณในระบบนิเวศที่แตกต่างกันในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2556 ถึง กุมภาพันธ์ 2557 ซ่ึงเป็นช่วงฤดูหนาวของจังหวัดน่าน ดังนั้นกิจกรรมที่จะต้องดําเนินการต่อไปในปีที่ 2 ซึ่งจะเริ่มดําเนินกิจกรรมการศึกษาเรียนรู้ป่าและพืชพรรณในระบบนิเวศท่ีแตกต่างกันในเดือน กนั ยายน 2557 จนถงึ เดือนมีนาคม 2558 จึงเป็นการศึกษาและติดตามการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ ในฤดฝู นของจังหวดั น่าน นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System : GIS) เพ่ือช่วยในการเก็บข้อมูลป่าไม้เชิงพื้นท่ีจะสามารถใช้เป็นอกี แนวทางหนึ่งสําหรับการศึกษา เรียนรู้ของเยาวชนท่ีมีความแปลกใหม่ในการเก็บข้อมูลลักษณะทางพฤษศาสตร์ของพรรณไม้นานา ชนิดที่พบในป่าจอมจันทร์และสามารถเผยแพร่ให้กับเยาวชนและบุคคลที่สนใจ ซึ่งจะสามารถมา ศึกษาเรียนรู้ป่าจอมจันทร์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วตามยุค “เครือข่ายสังคม / ชุมชนออนไลน์ (Social Network) โดยระบบการจัดเก็บข้อมูลลักษณะป่าและพรรณไม้ดังกล่าว ซึ่งรูปแบบและ ความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ท้ังหลาย จะสามารถนํามาวิเคราะห์ด้วย GIS ให้สื่อความหมายใน 64 นทิ รรศการ    

เรื่องการเปล่ียนแปลงของป่าจอมจันทร์ที่สัมพันธ์กับช่วงเวลาได้ จึงอาจเป็นช่องทางสําหรับการเก็บ บันทึกข้อมูลต่าง ๆ ของป่าจอมจันทร์ เพ่ือการศึกษาเรียนรู้ของเยาวชนและบุคคลท่ีสนใจได้อย่าง สะดวกและแพรห่ ลาย กติ ตกิ รรมประกาศ การดําเนินโครงการป่าชุมชน เยาวชนรักษ์ป่า โอแคร์ร่วมพัฒนา ประชาสุขใจ ปีที่ 2 ได้รับ การสนับสนุนงบประมาณจาก บจม.ธนาคารกสิกรไทย และการสนับสนุนด้านต่าง ๆ ให้สามารถ ดําเนินกิจกรรมจนบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้ด้วยดี จากชุมชนบ้านจอมจันทร์ ตําบลจอมจันทร์ อําเภอ เวียงสา จังหวัดน่าน องค์การบริหารส่วนตําบลจอมจันทร์ โรงเรียนจอมจันทร์วิทยาคาร โรงเรียน ตาลชุมพิทยาคม ศูนยก์ ารเรียนรู้ชุมชนสวนแสงประทีป และองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวดั น่าน นทิ รรศการ   65  

การบรหิ ารจดั การปา่ ตน้ น้ําแบบชุมชนมสี ว่ นร่วม : บา้ นหว้ ยลอย ตาํ บลภูฟ้า อําเภอบอ่ เกลือ จงั หวดั น่าน สพุ จน์ ดอี ิ่นคาํ จงเจตต์ พานิชกุล และกาญจนา รุจพิ จน์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา นา่ น ตาํ บลฝายแก้ว อาํ เภอภูเพยี ง จงั หวัดน่าน 55000 ความเป็นมาและความสาํ คัญของโครงการ ทรพั ยากรปา่ ไม้และน้ําเป็นส่งิ สาํ คัญตอ่ การดํารงคงอยขู่ องสง่ิ มชี ีวิตโดยเฉพาะมนษุ ย์ ซึ่งเป็น ตน้ ทุนทธี่ รรมชาติได้มอบใหม้ าแบบได้เปลา่ แตห่ ากไม่มีการบรหิ ารจดั การใชป้ ระโยชน์จากป่าไม้ และ ต้นนํ้าอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยเฉพาะหากไม่มีการปกปักรักษาป่าไม้อันเป็นต้นนํ้า ก็จะ ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ําท่ีใช้อยู่ในปัจจุบันและอนาคต ชุมชนบ้านห้วยลอย ตําบลภูฟ้า อําเภอ บ่อเกลือ จังหวัดน่าน เป็นชุมชนท่ีต้ังอยู่บนท่ีสูง มีความสัมพันธ์กับป่าต้นนํ้าน่าน ซ่ึงมีพ้ืนที่แนวเขต ชมุ ชนครอบคลมุ ทั้งหมดประมาณ 34,833.33 ไร่ โดยแบ่งออกดังน้ี 1. พนื้ ทอี่ ยู่อาศัย จาํ นวน 184.67 ไร่ (0.53%) 2. พน้ื ที่เกษตรกรรม จํานวน 9,972.30 ไร่ (28.63%)  พนื้ ทเี่ กษตรกรรมถาวร จํานวน 13.13 ไร่ (0.04%) สวนไม้ผล แปลงเกษตรศูนยภ์ ูฟ้า  พ้ืนที่เกษตรแบบหมุนเวียน จํานวน 9,959.17 ไร่ (28.59%) ไร่ข้าว ไร่ข้าวโพดเลี้ยง สตั ว์ ไรห่ มนุ เวยี นหรือไรเ่ ปลา่ ทงิ้ ไว้ 1 – 6 ปี 3. พื้นที่ป่า จาํ นวน 24,676.36 ไร่ (70.84%) ใช้เป็นแหล่งอาหาร ยาสมุนไพร แหล่งต้นนํ้า ประปาภูเขา เพอ่ื ใช้อุปโภคและบริโภคในครวั เรอื น  ป่าพิธกี รรม จํานวน 20.74 ไร่ (0.06%)  ป่าอนรุ ักษ์ จาํ นวน 24,568.42 ไร่ (70.53%)  ป่าอนุรักษฟ์ น้ื ฟู จาํ นวน 19,695.91 ไร่ (56.54%)  ป่าใชส้ อย จาํ นวน 4,959.71ไร่ (14.24%) (ที่มาข้อมูล : การหมายแนวเขตพื้นท่ีโซนพิเศษอย่างมีส่วนร่วม โครงการจัดการพ้ืนท่ี คุ้มครองอย่างมีส่วนร่วม อุทยานแห่งชาติดอยภูคา มูลนิธิรักษ์ไทยและสถาบันทรัพยากรและ ส่ิงแวดลอ้ มลุ่มนํา้ โขง. กันยายน 2552.) 66 นิทรรศการ    

ในปัจจุบันการเพิ่มข้ึนของจํานวนประชากรส่งผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงวิถีการผลิตด้าน การเกษตร และการดําเนินชีวิตของชุมชน ได้ก่อให้เกิดภาวะความกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าต้นนํ้า เพื่อใช้เป็นพื้นที่ทําการเกษตรเชิงพาณิชย์มากขึ้น สมาชิกในชุมชนเริ่มละเลย ภูมิปัญญาการเกษตรดั้งเดิม หันมาพ่ึงพารูปแบบการเกษตรแผนใหม่ (เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมี และ สารเคมีกําจัดศัตรูพืช) เพ่ือสร้างรายได้ที่สูงข้ึน จนมีผลกระทบต่อป่าต้นน้ําน่าน แบบรุกคืบ ดังนั้น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน ร่วมกับ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย และผู้นําเกษตรกร ชุมชนบ้านห้วยลอย ได้ตระหนักถึงปัญหาท่ีกล่าวมาข้างต้น อาจส่งผลกระทบต่อ “ป่าต้นน้ํา” และ พื้นท่ีป่าชุมชนที่มีอยู่เดิม และได้เล็งเห็นความสําคัญกับปัญหาท่ีจะเกิดข้ึนตามมาในอนาคต จึงได้มี แนวคิดที่จะพัฒนาบริหารจัดการป่าต้นน้ําแบบชุมชนมีส่วนร่วม : บ้านห้วยลอย ตําบลภูฟ้า อําเภอ บ่อเกลือ เพ่ือให้ชุมชน (เด็ก เยาวชน และประชาชน) ได้ตระหนักถึง “การอนุรักษ์และการใช้ ประโยชน์จากป่าและนํ้า” เพื่อให้มีความหลากหลายทางชีวภาพของสรรพสิ่งในพื้นท่ีป่า ให้มีสัตว์น้ํา ในแหล่งน้ํา ตลอดจนเพ่ือสร้างความม่ันคงทางด้านอาหารของชุมชนอย่างย่ังยืน โดยการบริหาร จัดการของสมาชิกชุมชนเอง ทั้งน้ี เพ่ือชุมชนจะได้มีป่าต้นน้ํา พืชอาหาร พืชใช้ประโยชน์ พืชใช้สอย เป็นการสร้างความเข้มแข็งและให้สามารถพ่ึงตนเองได้อย่างยั่งยืน บนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ทอ้ งถ่นิ ของชุมชน วัตถปุ ระสงคโ์ ครงการ 1. เพ่ือส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชนของชุมชนบ้านห้วยลอย มีจิตสํานึก และมี สว่ นร่วมในการอนุรกั ษป์ ่าต้นนา้ํ ป่าอนรุ ักษ์ และปา่ รอบชุมชน 2. เพื่อใช้ประโยชน์จากผืนป่าเป็นแหล่งต้นนํ้า แหล่งอาหาร แหล่งท่ีอยู่อาศัยสัตว์ป่า แหล่ง พืชสมนุ ไพร ใหค้ งอยู่อย่างยั่งยืน และสามารถพัฒนาเป็นแหลง่ ทอ่ งเทีย่ วเชิงนิเวศ 3. เพ่ือให้ชุมชนบ้านห้วยลอยเกิดการบริหารจัดการและเกิดการใช้ประโยชน์ป่าต้นนํ้าร่วมกัน อย่างยัง่ ยนื 4. เพื่อรว่ มสนองงาน “รักษ์ป่าน่าน” ตามพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ขอบเขตและพืน้ ที่ดาํ เนนิ งานโครงการ พนื้ ท่ีบ้านหว้ ยลอย หมู่ 6 ตําบลภูฟ้า อาํ เภอบ่อเกลือ จังหวัดนา่ น นทิ รรศการ   67  

กรอบแนวความคิดของการดําเนินงานโครงการ ภาคีเครอื ขา่ ย (ในพน้ื ท)ี่ มทร.ล้านนา นา่ น ภาคีเครือข่าย (นอกพื้นท่)ี  โรงเรยี นทา่ นผ้หู ญงิ สง่าฯ (ครู) (อาจารย์ นักศกึ ษา  หน่วยจัดการต้นนํ้าในพ้ืนท่ีบ้าน  สถาบนั ถา่ ยทอดเทคโนโลยี เจา้ หนา้ ท่)ี สู่ชุมชน มทร.ล้านนา ห้วยลอย  เกษตรอาํ เภอบอ่ เกลือ  สํานกั งานพัฒนาชมุ ชน  อบต. ภูฟา้ จงั หวดั น่าน เด็ก / เยาวชนบ้านหว้ ยลอย ชุมชนบา้ นห้วยลอย โรงเรยี นท่านผู้หญงิ สงา่ ฯ (นักเรียน) (ผูน้ ํา / แกนนําผู้ใหญ่ / ปราชญช์ าวบา้ นและเกษตรกร) ข้ันตอนท่ี 1 กิจกรรมเตรียม ขั้ น ต อ น ท่ี 2 กิ จ ก ร ร ม ขั้นตอนที่ 3 กิจกรรมการ ค ว า ม พ ร้ อ ม ข อ ง พ้ื น ท่ี แ ล ะ อนุรักษ์ ป้องกันรักษา พื้นที่ พัฒนาและส่งเสริมอาชีพเพื่อ บุคลากร เพ่ิมประสิทธิภาพ ป่าต้นน้ําและพื้นท่ีอนุรักษ์ ยกระดับความเป็นอยู่ในการ การบรหิ ารจดั การ แบบชุมชนมสี ว่ นรว่ ม ดํารงชวี ิตแบบชุมชนมสี ่วนร่วม ขั้นตอนท่ี 4 กิจกรรมการพัฒนาคน ข้ันตอนที่ 5 การประเมินผล สรุปผลการดําเนินงาน และคณุ ภาพชีวติ และประชาสมั พันธ์เพอ่ื ขยายผลสู่พน้ื ท่ี / หม่บู า้ นอน่ื ๆ ปา่ ต้นน้ํา ป่าอนรุ ักษ์ (สหายยงค)์ และปา่ รอบชมุ ชน ชมุ ชนเกิดกระบวนการบรหิ าร จดั การ ใชท้ รัพยากรทด่ี ิน ปา่ ไมแ้ ละนาํ้ ให้เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ ควบคกู่ ารอนุรกั ษ์ก่อใหเ้ กดิ ความอย่างยง่ั ยืนและต่อเนอ่ื ง 68 นิทรรศการ    

ผลการดําเนนิ งานชว่ งปีท่ี 1 ประจาํ ปี 2557 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน ร่วมกับ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย คัดเลือก พื้นที่ดําเนินงานโครงการในพ้ืนที่ชุมชนบ้านห้วยลอย ตําบลภูฟ้า อําเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ซึ่งผล การดําเนนิ งานในช่วงปีท่ี 1 ประจําปี 2557 รายละเอยี ดดงั น้ี วธิ ีการดําเนินงาน ขัน้ ตอนการดําเนินงาน แบง่ ออกเป็น 5 กิจกรรม รายละเอยี ดดงั นี้ กิจกรรมท่ี 1 กจิ กรรมเตรียมความพร้อมของพนื้ ท่ีและบคุ ลากร เพิ่มประสทิ ธิภาพการ บริหารจัดการ ทําการศึกษาบริบท ศักยภาพท่ัวไปของชุมชน เพ่ือจัดเวทีชาวบ้านระดมความคิดกําหนด ขอบเขตพื้นท่ีเป้าหมายการดําเนินงาน และกิจกรรมท่ีจะดําเนินงาน โดยมีพ้ืนที่ที่มีลักษณะเป็นป่า อนุรักษ์ ป่าใช้สอยและ / หรือ พื้นท่ีทํากินของชุมชน พร้อมเปิดรับกลุ่มแกนนําเข้าร่วมโครงการ มี ผู้เข้าร่วมท้ังสิ้น 9 ครัวเรือน และปรับกระบวนทัศน์การพัฒนา มุ่งบูรณาการดําเนินงานอย่างเป็น องค์รวม พัฒนาพร้อมกันท้ังคนและพื้นที่ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน สร้างความเข้าใจ และเตรียมความพรอ้ มการขับเคลื่อนโครงการรว่ มกนั กิจกรรมท่ี 2 กิจกรรมอนุรักษ์ ป้องกันรักษาพื้นท่ีป่าต้นน้ําและพ้ืนที่อนุรักษ์แบบชุมชน มสี ว่ นรว่ ม จัดเวทีทบทวนแนวเขตพ้ืนที่โซนพิเศษอย่างมีส่วนร่วม บ้านห้วยลอย และพ้ืนท่ีใกล้เคียง พร้อมออกแบบกิจกรรมดูแลรักษาพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์ในพ้ืนที่ เช่น การกําหนดเขตพื้นที่ทํากิน โดยมี เงื่อนไข ลดพ้ืนที่ปลูกข้าวโพด กิจกรรมการอนุรักษ์ดินและนํ้า โดยใช้จุลินทรีย์ในการป้องกันกําจัด ศัตรูพืช เพ่ือลดการใช้สารเคมีในพื้นท่ีต้นน้ํา ตลอดจนการส่งเสริมสนับสนุนการปลูกป่าตามแนว พระราชดําริ “การปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ตลอดจนกิจกรรมอนุรักษ์เชิงพื้นที่ เพ่ือ ผลักดันเป็นพ้ืนท่ีอนุรักษ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เส้นทางศึกษาธรรมชาติในพื้นที่อนุรักษ์ เช่น การบวชปา่ ป่าอนรุ กั ษ์สหายยงค์ กจิ กรรมอนรุ ักษว์ ังปลา ปลอ่ ยปลาตามลําน้ําสาขาในพนื้ ท่ี เป็นต้น กิจกรรมท่ี 3 กิจกรรมการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ในการ ดํารงชวี ติ แบบชุมชนมีสว่ นรว่ ม สนับสนุน ส่งเสริมกลุ่มอาชีพภาคเกษตรนําร่อง ลดพื้นท่ีปลูกข้าวโพด “กลุ่มปลูกเสาวรส โครงการหลวง” โดยการสนับสนุนจากภาคี สํานักงานขยายผลโครงการหลวงลุ่มน้ําน่าน และพืช รายได้ระยะสั้น (เงินรายวัน) จากการปลูกพืชผักกินใบ ทางเลือกอื่น ๆ ตลอดจนกระบวนการผลิต แบบผสมผสาน โดยอาศัยการใช้ประโยชน์จากนํ้าของป่าต้นนํ้า “นํ้าประปาภูเขา” เพ่ือลดรายจ่าย ภาคครัวเรือน และสนับสนุน ส่งเสริม พัฒนากลุ่มปราชญ์ หมอสมุนไพร โดยการรวบรวมองค์ ความรขู้ องชมุ ชน เพ่ือผ่องถา่ ยองค์ความรสู้ ูร่ ่นุ ลกู หลานตอ่ ไป กิจกรรมท่ี 4 กจิ กรรมการพัฒนาคนและคุณภาพชวี ติ จัดการอบรมเพื่อถ่ายทอด องค์ความรู้ กรอบการอนุรักษ์ และสืบสานภูมิปัญญาท้องถ่ิน โดยการศึกษาแนวทางจากพื้นท่ีนําร่องและประสบผลสําเร็จ การศึกษาดูงานทางด้านวิถีชีวิต นทิ รรศการ   69  

เศรษฐกิจพอเพียงและการใช้ประโยชน์จากพืชด้านอาหาร สมุนไพร และหัตถกรรม จากชุมชนท่ี ประสบผลสาํ เรจ็ ในจังหวัดนา่ น การศกึ ษาพฒั นาอาชีพทางเลือก ปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าวโพดใน พืน้ ที่ ลดการบกุ รกุ พ้นื ท่เี ขตปา่ อนรุ ักษ์ และสามารถตอ่ ยอดขยายผลในชุมชน กิจกรรมที่ 5 การประเมนิ ผล สรุปผลการดาํ เนนิ งาน จัดประชุมด้วยกระบวนการ Focus Group โดยมีคณะทํางาน ผู้นําชุมชน และสมาชิกของ ชุมชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติรวมทั้งพืชท่ีมีในป่าของชุมชน ร่วมแลกเปลย่ี นเรียนรู้ ในการกระตนุ้ และสง่ เสริมให้มีการอนรุ กั ษ์และการใชป้ ระโยชน์อย่างย่ังยืน ซึ่ง อยู่ระหว่างการดําเนนิ งานและขบั เคล่อื นโครงการเพือ่ การขยายผลเชงิ พ้นื ท่ีต่อไป บทสรุป การปลูกจิตสํานึก “รักษ์ป่าน่าน” และสร้างความรับผิดชอบในการบริหารจัดการป่าต้นนํ้า แบบชุมชนมีส่วนร่วมของชุมชนบ้านห้วยลอย โดยการดําเนินงานระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช- มงคลล้านนา น่าน ร่วมกับ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เช่น สํานักงานขยาย ผลโครงการหลวงลุ่มนํ้าน่าน สถาบันวิจัยและพัฒนาพ้ืนท่ีสูง (องค์การมหาชน) สํานักงานเกษตร อําเภอบอ่ เกลือ โรงเรยี นท่านผหู้ ญงิ สงา่ ฯ หนว่ ยจัดการต้นน้ําในพ้ืนที่บ้านห้วยลอย สํานักงานเกษตร อําเภอบ่อเกลือ องค์การบริหารส่วนตําบลภูฟ้า อําเภอบ่อเกลือ และสํานักงานการวิจัยเพื่อพัฒนา ท้องถ่ิน (สกว.) เป็นต้น ได้ร่วมมือในการสนับสนุน ผลักดันประสานความร่วมมือทํางานเพื่อพัฒนา ระบบเกษตรในพ้ืนท่ใี หส้ ําเร็จตามวตั ถุประสงค์ทีต่ ้งั ไว้ โครงการการบริหารจัดการป่าต้นนํ้าแบบชุมชนมีส่วนร่วม : บ้านห้วยลอย ตําบลภูฟ้า อําเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน เน้นใช้กระบวนการเรียนรู้ บริหารจัดการกลุ่มเกษตรกรเพื่อพัฒนา รูปแบบแนวทาง การพัฒนาขีดความสามารถในการจัดการเชิงธุรกิจของเกษตรกรในพ้ืนป่าอนุรักษ์ โดยกําหนด ต้นน้ํา คือ การรวมกลุ่มเกษตรกร บริหารจัดการกลุ่ม โดยมีการวางแผนการผลิต ร่วมกัน ภายใต้กรอบการอนรุ ักษป์ า่ ตน้ นํ้า (คน ป่า นํ้า) อยรู่ ่วมกัน กลางน้ํา คือ การลงมือการผลิต ภายใต้การส่งเสริม สนับสนุนจากภาคีต่าง ๆ เป็นพี่เลี้ยง และนํามาสู่ ปลายนํ้า คือ กระบวนการ ตลาด จําหน่ายผลผลิต เพื่อสร้างรายได้ ควบคู่กับการอนุรักษ์ป่าต้นนํ้าน่าน จนสามารถพัฒนาเป็น ต้นแบบระบบเกษตรเชิงธุรกิจเพ่ือการอนุรักษ์ป่าต้นนํ้าน่าน ตลอดจนสามารถใช้ข้อมูลเพื่อสนับสนุน และเป็นทางเลือกการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่สูงของหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ต่อไป และการเกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงอนุรักษ์ป่าและนํ้า เพื่อพัฒนาเชิงพ้ืนท่ีต้นน้ําจะสําเร็จ เห็นผลอย่างรูปธรรมนั้น สิ่งท่ีจะขาดไม่ได้คือ การสนับสนุน ส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาพื้นท่ี ตน้ นํา้ อยา่ งต่อเนอื่ ง จากภาคีเครอื ข่าย จากหน่วยงาน จากคนลุ่มนา้ํ ท่ีไม่ปลอ่ ยให้คนต้นนํ้าโดดเดี่ยว ในการแกไ้ ขปัญหา ซึ่งจะนาํ ไปสแู่ นวทางการเป็นชมุ ชนต้นนาํ้ แบบยง่ั ยนื และพ่งึ พาตนเองไดต้ ่อไป 70 นทิ รรศการ    

เอกสารอ้างอิง การหมายแนวเขตพื้นที่โซนพิเศษอย่างมีส่วนร่วม โครงการจัดการพื้นท่ีคุ้มครองอย่างมี ส่วนร่วม. อุทยานแห่งชาติดอยภูคา มูลนิธิรักษ์ไทยและสถาบันทรัพยากรและ สิง่ แวดล้อมลมุ่ นํา้ โขง. กนั ยายน 2552. โครงการยกระดับคุณภาพชีวิตหมู่บ้าน / ชุมชนแบบมีส่วนร่วม : บ้านห้วยลอย ตําบลภูฟ้า อาํ เภอบ่อเกลอื จงั หวดั น่าน. กันยายน 2554. แผนปฏิบัติการแบบบูรณาการ โครงการขยายผลโครงการหลวงบ่อเกลือ อําเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ประจําปีงบประมาณ 2558. สถาบันวิจัยและพัฒนาพ้ืนท่ีสูง (องค์การ มหาชน). ธันวาคม 2557. แผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555 - 2559). เอกสาร ประกอบการสัมมนา เพ่ือจัดทําแผนบูรณาการโครงการขยายผลโครงการหลวง ใน พื้นท่ีจังหวัดน่าน ประจําปีงบประมาณ 2558. สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นท่ีสูง (องคก์ ารมหาชน). ธันวาคม 2557. นิทรรศการ   71  

สรา้ งเมืองนา่ นน่าอยู่ คปู่ า่ ตน้ น้ํา ปี 2 นายอุกริช พึ่งโสภา ผู้ว่าราชการจงั หวดั น่าน จังหวัดน่านเป็นพ้ืนที่ต้นนํ้าท่ีสําคัญของประเทศ ได้แก่แม่น้ําน่านและบางส่วนของแม่น้ํายม ซึ่งไหลลงสู่แม่นํ้าเจ้าพระยา สภาพภูมิประเทศของจังหวัดน่านส่วนใหญ่เป็นภูเขาถึงร้อยละ 87.2 ของพ้ืนที่ท้ังหมด และมีท่ีราบเพียงร้อยละ 12.8 ของพื้นที่ จากข้อมูลของกรมป่าไม้พบว่าในปี 2519 จงั หวดั น่านมีพ้นื ทป่ี ่าสมบูรณ์ทอ่ี ยูท่ ัง้ ในและนอกเขตปา่ สงวนแห่งชาตทิ ัง้ หมด 5,280,625 ไร่ คดิ เป็น ร้อยละ 73.94 ของพ้ืนที่ทั้งหมด และในปี 2548 ได้มีการนําเทคโนโลยีระบบสารสนเทศ (GIS) มา ใช้ในการสํารวจพ้ืนที่ป่าไม้ในจังหวัดน่าน พบว่าในปี 2548 จังหวัดน่าน มีพื้นท่ีป่าไม้ 8,393 ตาราง กิโลเมตร หรือ 5,245,625 ไร่ คดิ เป็นร้อยละ 69 ของพ้ืนที่ท้ังหมด และสถานการณ์ด้านทรัพยากร ป่าไม้ของจังหวัดน่านล่าสุดในปี 2556 พบว่า จังหวัดน่านมีพ้ืนท่ีป่าไม้ 7,036.28 ตารางกิโลเมตร หรือ 4,397,673.20 ไร่ คิดเปน็ ร้อยละ 57.32 ของพื้นท่ีทั้งหมด จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ด้าน ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมในพื้นท่ีจังหวัดน่าน โดยเฉพาะทรัพยากรป่าไม้มีแนวโน้มลดลง ซ่ึงปัจจัยทางภูมิศาสตร์ท่ีมีข้อจํากัดของพื้นที่ ประกอบกับการเพ่ิมข้ึนของจํานวนประชากรที่สัมพันธ์ กับการใช้ทรัพยากรที่มากข้ึน นโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาลที่มุ่งเน้นความเจริญเติบโตทาง เศรษฐกิจตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งการถั่งโถมเข้ามาของระบบทุนนิยม วัตถุนิยม เป็นสาเหตุที่สําคัญท่ีทําให้มีการบุกรุกพื้นท่ีเพื่อทํากิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ ปลกู พชื เชิงเดย่ี วเชน่ ขา้ วโพดเลี้ยงสัตว์ท่ีต้องใช้สารเคมีจํานวนมาก ล้วนแต่เป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้ มีการบุกรุกพ้ืนที่ป่าต้นน้ําของจังหวัดน่านเพิ่มมากข้ึน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ด้าน ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมของจังหวัดน่าน สภาพพื้นทป่ี ่าทาํ กินชาวบ้านในพื้นท่จี ังหวดั น่าน จากปัญหาและสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น ทําให้องคก์ รทุกภาคส่วนได้ตระหนักและร่วมกัน แสวงหาแนวทางในการอนุรักษ์ ฟ้ืนฟู และพัฒนาพื้นท่ีป่าต้นนํ้าในจังหวัดน่าน โดยได้มีการสัมมนา วิชาการ “รักษ์ป่าน่าน” ซ่ึงดําเนินการโดยสํานักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยาม- 72 การเสวนา    

บรมราชกุมารี ร่วมกับกองทัพบก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จังหวัดน่าน และสนับสนุนการ ดําเนนิ งานโดย ธนาคารกสกิ รไทย จาํ กดั เมอ่ื วันท่ี 10 มีนาคม 2557 ณ ศูนย์การเรียนรูแ้ ละบริหาร วิชาการเครอื ขา่ ยแหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราช- กุมารี ทรงเป็นประธานและพระราชทานพระราชดํารัส เปิดงานสัมมนา “รักษ์ป่าน่าน” และทรง บรรยาย เรื่อง การสร้างจิตสํานึกให้เด็กและเยาวชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยมี พระราชดํารัสว่า “จังหวัดน่านมีปัญหาพื้นที่ป่าเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ความสมดุลตาม ธรรมชาติสูญเสียไป มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การฟ้ืนฟูป่าให้ดีขึ้น ควรหาทางให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้ โดยให้ป่าเป็น supermarket ของชุมชน” และได้ทรงให้แนวทางใน การรักษาและฟื้นฟูผืนป่าในจังหวัดน่านอย่างยั่งยืนว่า ควรเน้นการปลูกฝังจิตสํานึกและความ รับผิดชอบในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้แก่เยาวชน และสืบเน่ืองจากการสัมมนา “รักษ์ป่า น่าน” เม่ือวันที่ 10 มีนาคม 2557 จังหวัดน่าน จึงนําพระราชดํารัสมาจัดทําเป็นตัวชี้วัดรองรับการ ดาํ เนนิ งานในโครงการกิจกรรมเพอื่ แก้ไขปัญหาดงั กลา่ ว ประกอบกับ จังหวัดน่าน โดยความเห็นชอบ ของคณะกรรมการจังหวัดและทุกภาคส่วน ได้ร่วมกันการกําหนด วาระจังหวัดน่าน 2013 – 2017 “สร้างเมืองน่านน่าอยู่ คู่ป่าต้นนํ้า” โดยให้ส่วนราชการ องค์กรเอกชน ประชาชน และทุกภาคส่วน ของจงั หวัด รว่ มดาํ เนินการผลักดันให้จงั หวดั นา่ นเปน็ “เมืองน่าอยู่ คู่ป่าต้นนํ้า” อย่างจริงจังและเป็น รูปธรรม ท้ังนี้ วาระจังหวัดน่าน 2013 – 2017 “สร้างเมืองน่านน่าอยู่ คู่ป่าต้นนํ้า” ได้กําหนดหัวข้อ ในการดําเนินงาน เรื่องการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ไฟป่า และหมอกควัน และได้รวบรวมแผนงาน โครงการ กิจกรรม ท่ีจะดําเนินการในปี พ.ศ. 2557 – 2560 จากหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง บรรจุเป็น ยุทธศาสตร์ วาระจังหวัดน่าน “สร้างเมืองน่านน่าอยู่ คู่ป่าต้นนํ้า” เพ่ือนําไปสู่การปฏิบัติ โดยมี หน่วยงานท่ีจัดส่งแผนงาน โครงการ กิจกรรมเพื่อบรรจุเป็นยุทธศาสตร์วาระจังหวัดน่าน 65 หนว่ ยงาน จํานวน 809 แผนงาน ประกอบดว้ ย กิจกรรมหลัก 7 กจิ กรรม ได้แก่ 1) การป้องกนั ดแู ลรักษาปา่ 2) การเพมิ่ พนื้ ที่ ป่าไม้ / การปลูกป่า 3) การปลูกต้นไม้ในพื้นท่ีทั่วไป 4) การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันและ ไฟป่า 5) การเพิ่มพื้นที่แหล่งนํ้า 6) การพัฒนาอาชีพ และ 7) การพัฒนาคน ซ่ึงได้มีการดําเนิน กิจกรรมอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่วันท่ี 12 มีนาคม 2557 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยแนวทางการ ดาํ เนินการได้น้อมนาํ ศาสตรพ์ ระราชา หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แนวพระราชดําริ และ หลกั วิชาการมาบูรณาการโดยเชอื่ มโยงขอ้ กฎหมายและขอ้ เทจ็ จรงิ ดังน้ี 1. การพัฒนาได้ยึดหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งเป็นแนวทางในการพฒั นา 2. น้อมนําหลักศาสตร์พระราชา ในองค์ความรู้ 6 มิติ คือ ดิน นํ้า ป่าไม้ เกษตร สง่ิ แวดล้อม และพลังงานทดแทน เปน็ แนวทางในการพฒั นาภายใตบ้ รบิ ทภูมิสังคมของจังหวัดนา่ น 3. การพัฒนาพ้ืนท่ีเขตป่าต้นนํ้าและเขตป่าอนุรักษ์ ตามแนวทาง “จากย่าสู่หลาน” โดยการ ปลูก ป่าเริ่มท่ีปลูกคน ปลูกป่าในใจคน ของสมเด็จย่า และการปลูกป่าสร้างรายได้ ตามแนว พระราชดําริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี 4. นํากระบวนการพัฒนาตามแนวทางพระราชดําริ คือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เพ่ือสร้างให้ เกิด การรู้ รกั สามัคคี 5. ใช้หลักวิชาการจัดการลุม่ นํ้า เพือ่ ใหเ้ กิดความสมดุลอย่างยัง่ ยืน การเสวนา   73  

6. นําหลักบูรณาการแบบไร้ตะเข็บมาเป็นแนวทางในการดําเนินการ โดยการบูรณาการ ร่วมกับทุกฝ่าย ทั้งภาคราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน (ธนาคารกสิกรไทย จํากัด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพ่ือการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร ฯลฯ) รวมถึงมูลนิธิ (มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มูลนิธิฮักเมือง น่าน ฯลฯ) องคก์ รภาคประชาชน (เครือข่ายประชาคมจังหวัดน่าน เครือข่ายน่านจัดการตนเอง สภา เกษตรกร ฯลฯ) และประชาชนในพ้ืนทหี่ มบู่ ้านดําเนนิ การ ดว้ ยการจัดตั้งคณะทํางานทุกระดับ ตั้งแต่ ระดับจงั หวดั / อาํ เภอ / ล่มุ น้าํ ในระดบั พน้ื ที่ 7. ข้ันตอนการปฏิบัติงานได้ดําเนินการตามแนวทางของการพัฒนาพื้นที่ชนบทเชิงประยุกต์ ตามแนวพระราชดําริ (พชร.) ท้ัง 8 ข้ันตอน โดยมุ่งเน้นให้เกิดผลสัมฤทธ์ิรักษาป่า สร้างแหล่งน้ํา ตน้ ทนุ และพัฒนาอาชพี ทเ่ี หมาะสมตามแนวปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง 8. การเช่ือมโยงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและความต้องการของประชาชนมาเป็นแนวทางใน การพัฒนา โดยนํามติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันท่ี 30 มิถุนายน 2541 ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้ง ท่ีดินระหว่างประชาชนกับรัฐหรืองานหน่วยราชการ เพ่ือให้เกิดการยอมรับร่วมกัน โดยการใช้แผนที่ มาตราสว่ น 1 : 4,000 มาเปน็ เครื่องมอื ในการกาํ หนดแนวเขตท่ีอยอู่ าศัย ทท่ี ํากิน ป่าชุมชน และเขต ปา่ อนรุ กั ษห์ รือเขตหวงห้าม ซึ่งในการดําเนินงานท่ีผ่านมาได้รับความร่วมมือจากส่วนราชการ องค์กร มูลนิธิ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมดําเนินการตามแผนงาน / โครงงาน / กิจกรรม ตามแนวทาง “รักษ์ป่าน่าน” และวาระนา่ น 2013 – 2017 “สร้างเมอื งน่านน่าอยู่ คู่ปา่ ต้นนา้ํ ” ใน 7 กจิ กรรมหลกั ดงั นี้ 1. การป้องกันดแู ลรักษาปา่ โดยไดด้ ําเนินการตรวจลาดตระเวนปราบปรามการกระทาํ ผดิ กฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ การ ตรวจพื้นท่ีและจับกุมดําเนินคดีเพื่อป้องกันการลักลอบตัดไม้ทําลายป่าและทรัพยากรธรรมชาติ สัตว์ ป่า การสํารวจพ้ืนที่ป่าราษฎรบุกรุกเพ่ือทําการเกษตร การกําหนดพื้นที่แนวเขตที่ทํากิน และการขอ คืนพื้นท่ีป่าทถ่ี ูกบกุ รกุ เป็นพนื้ ท่ีทํากิน ในพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ เป็นต้น ซ่ึงสรุปผลการ ดาํ เนนิ งาน ดงั น้ี การจับกุมดาํ เนินคดีจาํ นวน 250 คดี เป็นคดีไม้แปรรูปจํานวน 13,934 แผ่น / เหลี่ยม / ท่อน ปรมิ าตร 1,876.99 ลกู บาศกเ์ มตร และเป็นไมท้ ่อนจํานวน 4,062.75 ทอ่ น ปรมิ าตร 1,123.46 ลูกบาศก์เมตร อุปกรณ์การกระทําผิดจํานวน 56 รายการ และพ้ืนที่ถูกบุกรุกยึดคืนจํานวน 1,821 – 7 – 63 ไร่ อนง่ี การจับกุมดําเนินคดีเกี่ยวกับป่าไม้ เม่ือวันที่ 5 – 14 เมษายน 2557 ที่บ้านบ่อหอย ภักดีธรรม ได้ตรวจยึดไม้ได้เป็นจํานวนมาก คือ จํานวน 2,547 ท่อน / เหล่ียม ปริมาตรไม้ 83.14 ลูกบาศก์เมตร ประกอบด้วยไม้ประดู่ สัก และชิงชัน ซึ่งเป็นการจับกุมท่ีมีไม้ของกลางมากที่สุดเท่าที่ เคยดาํ เนินการมาในพ้ืนทีจ่ ังหวดั นา่ น 74 การเสวนา    

2. การปอ้ งกนั แกไ้ ขปญั หาหมอกควันและไฟปา่ โดยได้ดําเนินกิจกรรมด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ตามแผนงาน โครงการ กิจกรรมในพืน้ ทีป่ า่ อนรุ ักษ์ พ้ืนที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นท่ีเพาะปลูก / การเกษตร และพื้นท่ี ติดถนนเส้นทางคมนาคม รวมจํานวน 198 ครั้ง / กิจกรรม เช่น การประสัมพันธ์ตามโครงการ หนว่ ยบาํ บัดทุกข์ บํารงุ สขุ สร้างรอยยม้ิ ให้แกป่ ระชาชน เพือ่ ให้ความรแู้ กป่ ระชาชนในพ้ืนที่ของแต่ละ อําเภอ โครงการรณรงค์แก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน 2 แผ่นดิน เพ่ือประชาคมอาเซียน (แขวง ไชยบุรีและจังหวัดน่าน) สุขอย่างยั่งยืน ณ บริเวณด่านชายแดนห้วยโก๋น อําเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน โครงการ “ป้องกันไฟ ป้องกันป่า ด้วยจิตอาสา 1 วัน 100 กิโลเมตร ถวายพ่อของ แผน่ ดิน” โดยความร่วมมอื ของทุกภาคสว่ น ซงึ่ ดาํ เนินการพร้อมกันทั้ง 15 อําเภอ สําหรับในปี 2558 ได้ดําเนินการเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2558 การอบรมให้ความรู้เก่ียวกับไฟป่าและหมอกควันแก่ นกั เรียน ประชาชน การลาดตระเวนและต้งั ทมี เฝ้าระวังไฟปา่ รว่ มกบั ชมุ ชน การจัดทาํ ขอ้ บญั ญัติเรื่อง การควบคุมไฟและฝุ่นละอองเน่ืองจากการเผา และโครงการรณรงค์การไถกลบตอซังเพ่ือบรรเทา ภาวะโลกร้อน ฯลฯ ซ่ึงผลจากการดําเนินการดังกล่าว ทําให้ในปี 2557 จังหวัดน่านมีแนวโน้มของ ปัญหาไฟป่าและหมอกควันลดลง โดยมีจุดความร้อนเกิดขึ้นในพ้ืนที่จังหวัดน่าน จํานวน 1,527 จุด ลดลงจากปี 2556 (2,104 จุด) จํานวน 577 จุด นอกจากน้ี ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM10) เกนิ มาตรฐานลดลง จากปี 2556 จํานวน 1 วัน (ปี 2556 จํานวน 23 วัน, ปี 2557 จาํ นวน 22 วนั ) 3. การเพ่ิมพนื้ ที่ปา่ (การปลูกป่า) เป็นการปลูกเพ่ือเพ่ิมพ้ืนที่ป่า ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าชุมชน โดย ดําเนนิ การปลกู ไม้ปา่ ไม้ผล ไมย้ ืนตน้ หวาย หญา้ แฝก ตามแผนงานโครงการ กิจกรรม และเนื่องใน วนั สาํ คัญต่าง ๆ เชน่ การปลูกปา่ แบบตามศาสตร์ของพระราชา (ป่า 3 อย่าง) ป่าต้นน้ํา / ป่าเปียก / ป่าปลูกแบบไม่ต้องปลูก การปลูกป่าของหน่วยงานภาครัฐ การปลูกป่าโดยภาคประชาชน รฐั วิสาหกิจ และ CSR โดยในปี 2557 ได้ดาํ เนนิ การปลูกป่าแลว้ ในพนื้ ทีจ่ าํ นวน 26,552 ไร่ 4. การปลูกต้นไม้ เป็นการปลูกต้นไม้เพอื่ ปรับภูมิทัศน์และเพ่ิมพ้ืนท่ีสีเขียว ตามแผนงาน โครงการ กิจกรรม และเนื่องในวันสําคัญต่าง ๆ เช่น การปลูกต้นไม้เพื่อเป็นแหล่งท่องเท่ียว เพ่ือความสวยงามของถนน เพื่อความปลอดภัยของเส้นทางคมนาคม การปลูกต้นไม้ ไม้ 3 อย่าง เพื่อเป็นธนาคารต้นไม้ การ ปลูกต้นไม้ตามวัด โรงเรียน และสถานท่ีต่าง ๆ โดยในปี 2557 ได้ดําเนินการปลูกต้นไม้แล้ว รวม จาํ นวน 155,744 ตน้ 5. การพฒั นาแหลง่ นํา้ / การเพม่ิ พน้ื ที่แหล่งนาํ้ จงั หวัดนา่ น เปน็ ต้นนํ้าของแม่น้ําน่าน ซึ่งมีลุ่มนํ้าสาขา 9 ลุ่มน้ํา และแม่นํ้ายม ซ่ึงมีลุ่มน้ํา สาขา 3 ลุ่มนํ้า แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศไม่เอื้ออํานวยและติดขัดในข้อกฎหมาย ทําให้ไม่สามารถ สร้างเข่ือนขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บน้ําต้นทุนซึ่งเป็นน้ําฝนไว้ได้ ส่งผลให้ในฤดูแล้งเกิดปัญหาการ ขาดแคลนนํ้าเพ่ือใช้ในการบริโภค อุปโภค และการเกษตร รวมถึงปัญหาน้ําท่วม ท้ังน้ี ประชากร ส่วนใหญ่ของจังหวัดน่าน อยู่ในภาคการเกษตรและมีภาวะความยากจนสูง โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว ของประชากร ตํ่าเป็นลําดับท่ี 3 ของประเทศ เช่นเดียวกับสัดส่วนคนจนซึ่งมากจัดเป็นลําดับท่ี 3 การเสวนา   75  

ของประเทศเช่นกัน และเป็นลําดับที่ 2 ของภาคเหนือ รองจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน จึงต้องมีการ พัฒนาและจัดหาแหล่งนํ้าเพื่อใช้ในการเกษตรและพัฒนาอาชีพ เพ่ือแก้ไขปัญหาความยากจนและ พฒั นาคณุ ภาพชีวิตของประชาชน โดยเป็นการดําเนินกิจกรรมด้านการพัฒนาแหล่งน้ําท่ีเป็นแหล่งน้ํา ธรรมชาติและแหล่งนํ้าท่ีสร้างข้ึน ในพื้นที่จังหวัดน่าน อาทิ การสร้างฝายชะลอน้ํา 3 แบบ (ฝาย ชั่วคราว / ฝายก่ึงถาวร / ฝายถาวร) การสร้างฝายแบบประชาอาสาและระบบส่งนํ้าทางท่อและ ระบบบ่อพวงของมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ การสร้างฝาย / อ่างเก็บน้ํา พร้อมระบบส่งน้ําของ ชลประทาน โครงการอนรุ ักษด์ นิ และน้ําในพ้ืนที่เส่ียงต่อดินถล่ม และขุดลอกดินตะกอน ซ่อมแซมฝาย ลาํ เหมอื งฯ ซ่ึงได้ดําเนินกิจกรรรมพฒั นาแหล่งนาํ้ สร้างฝายแล้วเสร็จจํานวน 1,752 แห่ง และสร้าง อ่างเก็บน้ําจํานวน 3 แหง่ ท้ังนี้ จังหวัดน่าน ได้จัดทําโครงการซ่อมแซม ปรับปรุง เสริมฝาย อ่างเก็บนํ้า การส่งน้ํา ด้วยระบบท่อ ตามยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในภาค การเกษตรและชนบทของจังหวัดน่านจํานวน 427 โครงการ 15 อําเภอ กําหนดแล้วเสร็จภายใน 120 วัน โดยได้แจ้งการอนุมัติให้สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนว พระราชดําริ จังหวัดน่าน เป็นหน่วยดําเนินงานและจัดหาวัสดุ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็น ผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง และใช้แรงงานสมทบจากราษฎรในชุมชน ซ่ึงคาดว่าจะมีพื้นท่ีท่ี ได้รับประโยชน์จากโครงการดงั กล่าวจาํ นวน 93,987.21 ไร่ 6. การส่งเสรมิ พฒั นาอาชีพและรายได้ เป็นการดําเนินกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเพื่อสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับ ประชาชน ภายใต้แผนงานโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การปลูกป่าสร้างรายได้ตามแนว พระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี การส่งเสริมตามแนวทางมูลนิธิ ปิดทองหลงั พระฯ การส่งเสริมปลกู พืชเศรษฐกิจในพน้ื ทเ่ี ฉพาะ (พนื้ ทสี่ ูง / พืน้ ท่เี สีย่ งท่มี กี ารปลกู พชื ยาเสพติด พ้ืนที่ขาดแคลนน้ํา / พ้ืนที่ท่ีสภาพดินมีปัญหา) การส่งเสริมปลูกพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั่วไป การส่งเสริมปลูกพืชโดยการลดการใช้สารเคมี การส่งเสริมการทํานาข้ันบันได และการ ส่งเสริมการเล้ียงสัตว์ โดยพืชเศรษฐกิจท่ีได้รับการส่งเสริม ได้แก่ หวาย ไผ่ หม่อน และกาแฟ ซึ่ง ในปี 2557 ได้มีหน่วยงาน องค์กร มูลนิธิ ภาคเอกชน ได้ดําเนินการจัดอบรมให้ความรู้ จัดการเรียน การสอน ฝึกอาชีพเพื่อพัฒนาอาชีพให้แก่เกษตรกรและประชาชน รวมจํานวน 209 กิจกรรม เพ่ือ แก้ไขปญั หาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของประชาชน อนึ่ง ในการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและรายได้ จะต้องมีการวางแผนการผลิต การตลาด เพ่ือรองรับผลผลิต โดยเมือ่ วันที่ 8 มกราคม 2557 จังหวัดน่าน ไดเ้ ชญิ ภาคเอกชนท่ีมคี วามประสงค์ ท่ีจะสนับสนุนเกษตรกรในพื้นท่ีโครงการมาให้ความรู้แก่ส่วนราชการ ผู้นําชุมชน แกนนําเกษตรกร ณ ห้องประชุมเทศบาลเมืองน่าน ท้ังนี้ ได้รับความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ อาทิ รอง ปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายจรินทร์ จักกะพาก) ผู้แทนมูลนิธิ แม่ฟ้าหลวง ผู้แทนสถาบันส่งเสริม และพัฒนากจิ กรรมปิดทองหลังพระ สบื สานแนวพระราชดําริ ส่วนภาคเอกชนที่เข้าร่วมได้แก่ ผู้แทน บริษัทศุภดิถี จํากัด บริษัทเบทาโกร (ประเทศไทย) จํากัด บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์จํากัด บริษัท เกาลี่จํากัด และบรษิ ทั ลฟิ ว่ิงฟารม์ จํากัด 76 การเสวนา    

7. การพฒั นาคน จังหวัดนา่ น มจี ํานวนประชากรทัง้ หมด 475,726 คน และมีความแตกต่างทางชาตพิ นั ธุ์ที่ หลากหลาย ประกอบด้วย คนพ้ืนเมืองและชนเผ่า เช่น ม้ง ขมุ ถ่ิน เมี่ยน และมลาบรี เป็นต้น ซ่ึง การมีชาติพันธ์ุท่ีหลากหลาย วิถีชีวิต และการศึกษาที่แตกต่างกัน ย่อมมีผลกระทบต่อการใช้ ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นพื้นท่ีไม่มากก็น้อย ดังน้ัน การส่งเสริมพัฒนาอาชีพและรายได้ควบคู่ไปกับการ สร้างจติ สาํ นึกและความตระหนักในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของเยาวชนและประชาชนในพ้ืนที่ จึงเป็นสิ่งสําคัญย่ิง หน่วยงานหลักของภาครัฐ องค์กร และมูลนิธิต่าง ๆ จึงได้ร่วมกันดําเนิน โครงการและกจิ กรรมเพื่อพัฒนาคน อาทิ เช่น การประชุมสร้างแนวความคิดให้ตระหนักถึงการดูแล รักษาปา่ การเพิม่ พน้ื ทปี่ ลูกป่าตามแหล่งต้นนํ้าตามวาระจังหวัดน่าน โครงการพัฒนาการเกษตรตาม แนวทฤษฎีใหม่ โดยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ศูนย์ปราชญ์ชาวบ้าน) การอบรมให้ความรู้แก่ นักเรียนทุกระดับช้ันในเรื่องการอนุรักษ์ป่า เช่น การฝึกอบรม “เยาวชนต้นน้ํา” ตามโครงการดวงใจ สีเขียวรักษ์ป่าน่าน สืบสานแนวพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี การแลกเปล่ียนเรียนรู้กับพ้ืนที่ต้นแบบท่ีมีการบริหารจัดการให้คนกับป่าอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่าง เกอื้ กูลและย่งั ยนื ของคณะทํางานขับเคล่ือนโครงการ 1 หมู่บ้าน 1 อําเภอ 1 ลุ่มน้ํา 1 ธนาคารต้นไม้ การอบรมโครงการสนับสนุนการดําเนินงานตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงระดับครัวเรือน ชุมชน และระดับปกครองส่วนท้องถ่ิน การอบรมให้ความรู้แก่ผู้นํา อาสาพัฒนาหมู่บ้าน อสพ. และการ อบรมปฏิบัติธรรมเรือนจํา เรือนธรรม ณ เรือนจําจังหวัดน่าน โดยในปี 2557 มีการดําเนินกิจกรรม จาํ นวน 365 กิจกรรม นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมจังหวัดน่าน องค์กรภาคีเครือข่ายจังหวัดน่าน ได้ลงนาม บันทึกความร่วมมือ (MOU) ในการจัดทําข้อบัญญัติท้องถ่ินว่าด้วยการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมอย่างย่ังยืน เพ่ือการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมบนฐานวิถีวัฒนธรรมท้องถ่ิน ตาม แนวทาง \"รักษ์ป่าน่าน\" และวาระจังหวัดน่าน \"สร้างเมืองน่านน่าอยู่ คู่ป่าต้นนํ้า\" เม่ือวันที่ 8 กันยายน 2557 ณ ห้องประชุม 1 ศาลากลางจังหวัดน่าน ซ่ึงผลจากการลงนามบันทึกความตกลง ดังกล่าวได้นําไปสู่การจัดทําข้อบัญญัติท้องถิ่น ว่าด้วยการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ ม เพือ่ พัฒนาคณุ ภาพชวี ิตและสงั คมท่ียั่งยืนฯ ถ่ินซึ่งหมายถึงการบริหารจัดการปัญหาของ แต่ละพื้นท่ี บุคคลในพื้นที่นั้นต้องเป็นผู้จัดการปัญหา เนื่องจากบุคคลน้ันอาศัยอยู่ในพื้นที่ สามารถ รับรู้ถึงปัญหาโดยแท้จริงที่เกิดขึ้นกับพ้ืนที่นั้น ส่วนผลการดําเนินงานสะท้อนถึงการพัฒนาของการ ขับเคลอ่ื นการจดั ทําขอ้ บญั ญตั ิฯ ในแตล่ ะพ้นื ทีไ่ ปแล้วจํานวน 36 แห่ง โดยองค์การบริหารส่วนตําบล บ้านพี้ อําเภอบ้านหลวง เป็นแห่งแรกที่ดําเนินการออกข้อบัญญัติฯ แล้วเสร็จ โดยนายอําเภอบ้าน หลวงได้ประกาศใช้เม่ือวันท่ี 23 มกราคม 2558 และแม้ในบางพื้นท่ีจะมีการขับเคลื่อนเป็นไปอย่าง ช้า ๆ แต่ก็ทําให้ทราบถึงปัญหาของแต่ละพ้ืนที่ และหาแนวทางแก้ไขเพื่อพัฒนาให้มีการขับเคล่ือน ต่อไป เพ่อื ท่จี ะผลกั ดันกระบวนการจดั ทําขอ้ บัญญตั ิท้องถ่ินฯ ใหม้ ีความพรอ้ มและสมบูรณ์มากยง่ิ ขน้ึ การเสวนา   77  

สรุป การบุกรุกทําลายทรัพยากรธรรมชาติเพื่อใช้ประโยชน์ สาเหตุแห่งการบุกรุกทําลายป่ามี หลาย ๆ สาเหตุ ซ่ึงต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ซ่ึง เป้าหมาย ในการดําเนินงานตามแนวทาง “รักษ์ป่าน่าน” และวาระจังหวัดน่าน “สร้างเมืองน่าน น่าอยู่ คู่ป่าต้นนํ้า” ดังกล่าว เพ่ือลดการบุกรุกพื้นที่และการตัดไม้ทําลายป่าแหล่งต้นน้ํา มีพื้นที่ป่าไม้ เพิ่มขึ้นจํานวน 221,327 ไร่ ซ่ึงเมื่อรวมกับพ้ืนท่ีป่าที่สมบูรณ์ในปัจจุบัน จํานวน 4,397,673 ไร่ พ้ืนที่ ป่าต้นน้าํ จงั หวดั น่านทจ่ี ะเป็นปา่ คงสภาพสมบรู ณ์ จํานวน 4,619,000 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 60.76 ของ พ้ืนท่ีป่าท้ังจังหวัด การมีแหล่งนํ้าต้นทุนหรือแหล่งน้ําเพื่อใช้ในการอุปโภค บริโภค และการเกษตร เพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีการควบคุมคุณภาพอากาศที่เกิดจากหมอกควันไฟป่าให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพและการดําเนินชีวิตของประชาชน สิ่งแวดล้อม การท่องเท่ียว คมนาคม ขนส่ง นอกจากน้ี เพอ่ื สง่ เสรมิ การทําการเกษตรทไี่ มก่ ระทบตอ่ ส่ิงแวดล้อมและสามารถดํารงชีพตาม แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพ่ิมขึ้น ประชาชนมีอาชีพและรายได้ที่ม่ันคง มีการพัฒนาคนให้มี คุณธรรม จริยธรรม และคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นทุกกลุ่ม ท้ังเยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ทว่ั ไป การคงอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ของป่าต้นน้ําในจังหวัดน่าน จะทําให้ประชาชนในพ้ืนที่ต้นนํ้า กลางน้ํา และปลายน้ํามีคุณภาพชีวิตท่ีดีขึ้น ทั้งนี้ เพราะป่าต้นน้ําในพื้นท่ีจังหวัดน่านซึ่งเป็นกลุ่มป่า ภคู า – แมย่ ม เป็นพืน้ ท่ตี ้นน้าํ ที่สําคัญของประเทศ กล่าวคือ เป็นต้นนํ้าแม่น้ําน่านและต้นนํ้าแม่น้ํายม ซึ่งล้วนแต่เป็นแม่น้ําสาขาท่ีสําคัญของแม่นํ้าเจ้าพระยา จึงมีความจําเป็นอย่างย่ิงท่ีต้องปกปักรักษา พื้นที่ป่าดังกล่าว ความสําเร็จของการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นท่ีจังหวัดน่านตามแนวทาง “รักษ์ป่า น่าน” เพ่ือ “สร้างเมืองน่านน่าอยู่ คู่ป่าต้นนํ้า” จะเกิดขึ้นได้ต้องมีการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่าง ไร้ตะเข็บ โดยนําหลักการพัฒนาตามแนวทางพระราชดําริ คือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เพ่ือสร้างให้ เกิดการ รู้ รัก สามัคคี รวมถึงต้องดําเนินการตามขั้นตอนการพัฒนาชนบทเชิงพ้ืนที่ประยุกต์ตาม แนวพระราชดําริ (พชร.) คือ มีองค์กรรับผิดชอบตั้งแต่ระดับจังหวัด อําเภอ และในระดับพื้นที่ รวมถึงให้มูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดําริ ช่วยดูแลสนับสนุนการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สํานักงานโครงการอัน เน่ืองมาจากพระราชดําริ (กปร.) โครงการหลวง และภาคีเครือข่าย ภาคประชาชน ภาคเอกชน องค์กร มูลนิธิ ร่วมในการดําเนินการขับเคล่ือนในระดับพ้ืนที่ โดยเฉพาะหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรมีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบและนโยบายที่เป็นธรรม การกระจายความ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายจากการได้ประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรท่ีออกไปจากป่าต้นนํ้า เพื่อท่ีจะแก้ไข สาเหตุแห่งปัญหาที่ทําให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ในพื้นท่ีจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ําลําธารที่ สาํ คญั ของประเทศ ให้คงความอุดมสมบูรณ์ และยั่งยืนสืบไป 78 การเสวนา    

กิจกรรมการป้องกันดแู ลรกั ษาป่า กิจกรรมการป้องกันแกไ้ ขปัญหาหมอกควนั และไฟป่า กจิ กรรมการปลูกตน้ ไม้ กจิ กรรมการพัฒนาแหลง่ น้าํ / การเพ่ิมพน้ื ที่แหล่งนาํ้ กิจกรรมการสง่ เสริมพัฒนาอาชีพและรายได้ กจิ กรรมการพัฒนาคน การเสวนา   79  

สร้างป่าสรา้ งรายได้ : ชาเมย่ี งบา้ นศรนี าป่าน - ตาแวน บญุ ทวี ทะนันไชย กลมุ่ วิสาหกิจชมุ ชนผลิตภัณฑช์ าและส่งเสรมิ การทอ่ งเทีย่ วเชงิ นเิ วศศรีนาปา่ น - ตาแวน ความสาํ คัญของชาเมีย่ ง ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 เม่ียง หมายถึง ของกินเล่นที่นิยมกัน มากในพ้ืนท่ีเขตภาคเหนือของประเทศไทย ใช้ใบไม้บางชนิด เช่น ใบชาหมัก ใบชะพลู ใบทองหลาง ห่อเครื่อง มีถั่วลิสง มะพร้าว กุ้งแห้ง หัวหอม ขิง เป็นต้น มีหลายชนิดเรียกช่ือต่าง ๆ กัน เช่น เม่ียงคํา เมี่ยงลาว เมี่ยงส้ม และอีกความหมายหนึ่งที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ หมายถึง ต้นชา ท่ี นาํ เอาใบมามัดรวมเปน็ กอ้ นและนาํ ไปหมัก โดยที่ต้นชาท่ีนําไปผลิตเป็นเม่ียง เป็นชาป่า หรือชาอัสสัม (Camellia sinensis var. assamica) ซึ่งมีแหล่งกําเนิดท่ีประเทศอินเดีย ใบใหญ่กว่าชาจีน เป็น ไม้พุ่ม ลําต้นมีขนาดกลางถึงใหญ่ ผิวเรียบ ก่ิงอ่อนปกคลุมด้วยขนอ่อน อาจสูงถึง 17 เมตร ใบมี ลักษณะเป็นใบเด่ียว ปลายใบแหลม การเรียงตัวของใบบนกิ่งเป็นแบบสลับและเวียน (Spiral) ใบมี ความกว้างประมาณ 3 – 6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7 – 16 เซนติเมตร แต่อาจพบใบท่ีมีขนาด ใหญก่ วา่ นีไ้ ด้ โดยท่ัวไปต้นชาอัสสัมหรือชาเมี่ยงสามารถเจริญเติบโตในเขตป่าร่วมกับต้นไม้ชนิดอื่น ๆ ต้นเม่ียงท่ีชาวบ้านครอบครองอยู่ มักจะได้รับสืบทอดจากบรรพบุรุษ และอาจได้มาจากการซ้ือขาย พ้ืนท่ีในภายหลัง ชาเมี่ยงสามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด หรือนําต้นอ่อนที่เกิดจากเมล็ดที่งอก เองตามธรรมชาติในป่าไปปลกู ยังพ้นื ที่วา่ งภายในสวนป่าหรือภายในพื้นที่ของตนเอง ชาเม่ียงโดยมาก จะอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ มีค่าใช้จ่ายในการบํารุงดูแลรักษาน้อย ไม่จําเป็นต้องให้น้ําและปุ๋ย เน่ืองจากต้นเม่ียงอาศัยนํ้าและปุ๋ยจากธรรมชาติ การดูแลจะมีเพียงการตัดแต่งก่ิง ซ่ึงจะทําปีละ 1 ครั้งในช่วงปลายปี เพื่อไม่ให้ต้นชาเม่ียงสูงใหญ่จนเกินไป สะดวกในการเก็บเกี่ยวและเป็นการกระตุ้น ให้แตกยอดใหม่ การเก็บใบชาเมี่ยงน้ันจะทําในตอนเช้าตรู่ของแต่ละวัน ชาวบ้านจะเข้าป่าเพื่อนําใบ ชาเม่ียงสดมาน่ึงในตอนสายหรือตอนเย็นของวันนั้น ๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละวันตามจุดต่าง ๆ ภายในสวน สามารถเก็บผลผลิตได้ตลอดปี ต้นชาเมี่ยงแต่ละต้น สามารถเก็บผลผลิตได้เฉล่ียปีละ 4 คร้ัง ในพ.ศ. 2550 นักวิจัยได้ทําการสํารวจพื้นท่ีปลูกต้นชาเม่ียงของประเทศไทยซ่ึงอยู่ในพ้ืนที่ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ น่าน แพร่ แม่ฮ่องสอน และลําปาง พบว่ามี พืน้ ท่รี วมประมาณ 41,946 ไร่ ได้ผลผลิตใบชาเม่ียงเฉล่ีย จํานวน 18,622 ตันต่อปี สร้างรายได้เป็น มลู คา่ ถงึ 229,360,251 บาทตอ่ ปี แม้วา่ แนวโน้มการบริโภคเมี่ยงจะลดลง เน่ืองจากกลุ่มคนที่บริโภค เม่ียงส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตามใบจากต้นชาเมี่ยงยังสามารถนําไปแปรรูปเพ่ิมมูลค่าได้ ท้ังในรูปแบบชาเขยี วและชาดาํ ป่าเมี่ยงมักมีลักษณะท่ีเป็นวนเกษตรที่สมดุล และเป็นระบบท่ีรักษาสภาพแวดล้อมปกป้อง ผืนป่าทเ่ี ป็นแหลง่ ต้นนํา้ และทรัพยากรท่ีมคี ุณค่า ปา่ เม่ียงเป็นพื้นท่ีกันชน ป้องกันแหล่งต้นน้ํา ป้องกัน การบกุ รกุ ของกลุ่มคนที่เข้าไปยึดครองใช้ประโยชน์ภายในเขตป่า และยังป้องกันภัยพิบัติรูปแบบต่าง ๆ 80 การเสวนา    

สภาพป่าเมี่ยงเป็นโครงสร้างท่ีมีความหลากหลายทางชีวภาพ พบพืชพันธุ์ พืชอาหารและสัตว์อ่ืนอีก มากมาย ชุมชนบ้านศรีนาป่าน - ตาแวน เป็นชุมชนหน่ึงซึ่งชาวบ้านสามารถอาศัยอยู่ร่วมกับป่ามา นานนับรอ้ ยปี มีรายได้จากการขายใบชา ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถรักษาผืนป่าไว้ได้ สามารถเป็น ตัวอย่างให้แก่ชุมชนอ่ืน ๆ สอดคล้องกับพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราช- กุมารี เกย่ี วกบั สร้างป่าสรา้ งรายไดด้ ว้ ย สถานทต่ี ัง้ ป่าหว้ ยหลวง บา้ นศรนี าป่าน – ตาแวน ตง้ั อยู่ในเขตปา่ สงวนแหง่ ชาตปิ ่านาซาว ฝั่งซ้ายถนน แพร่ – น่าน (ป่านาซาวฝ่ังซ้าย) ชุมชนมีการดูแลป่าในพ้ืนที่รวมประมาณหม่ืนไร่ มีความสูงเหนือ ระดับนา้ํ ทะเล 426 – 1,094 เมตร พชื พรรณผสมกนั ทัง้ ปา่ เบญจพรรณและป่าดิบเขา อยู่ในพ้ืนที่ลุ่ม นาํ้ น่าน มีลํานํ้าสาขาชื่อขุนสมุนล่าง ซึ่งมีห้วยหลวง ห้วยตาแวน ห้วยวะ เป็นลุ่มน้ําย่อย อยู่ในความ รับผิดชอบของบา้ นศรีนาปา่ น – ตาแวน หมทู่ ี่ 1 และหมทู่ ี่ 4 ตาํ บลเรอื ง อาํ เภอเมือง จังหวัดน่าน ประวัติความเป็นมา ชุมชนบ้านศรีนาป่าน – ตาแวน เดิมชื่อ “บ้านป่าเม่ียง” อยู่บริเวณห้วยหลวง เป็นชุมชน เก่าแก่ที่มีประวัติยาวนาน สืบเชื้อสายมาจากแคว้นสิบสองปันนา ซ่ึงได้อพยพเดินทางมาต้ังถ่ินฐาน หลายที่ และได้เข้ามาอาศัยอยู่ท่ีบ้านป่าเมี่ยง ประมาณ พ.ศ. 2019 ประกอบอาชีพทําสวนเมี่ยง ทําไร่ ทํานา ต่อมาชาวบ้านได้สร้างวัดขึ้นมาชื่อว่า “วัดป่าน” ตามช่ือของหนองหญ้า หลังจากน้ัน หมบู่ า้ นไดเ้ ปลี่ยนช่อื เป็น “บา้ นศรีนาปา่ น – ตาแวน” ในปัจจบุ ันชาวบ้านท่ีอพยพมาจากสิบสองปันนา ชอบกินเม่ียง จึงได้นําพันธุ์เมี่ยงติดตัวมาจากท่ีอยู่อาศัยเก่าเพ่ือมาปลูก ณ บริเวณป่าบ้านศรีนาป่าน จะเห็นได้ว่าเม่ียงเป็นท่ีชื่นชอบของชาวบ้าน และยังรวมไปถึงเจ้าผู้ปกครองนครด้วย เล่ากันว่า ใน สมัยของพระเจ้าติโลกราช พระองค์ได้เสด็จยังเมืองน่าน และผ่านมาจนถึงบริเวณบ้านป่าเมี่ยง ชาวบ้านก็ได้นําเมี่ยงที่หมักเสร็จแล้วมาถวาย ต้องพระทัยเป็นย่ิงนัก จึงรับสั่งให้นําไปถวายเพ่ิม เมยี่ งจงึ กลายเปน็ ของทใ่ี ช้ถวายเจา้ เมืองมาอยา่ งต่อเนอื่ ง ติดตอ่ กันมานานนับรอ้ ยปี ชุมชนบ้านศรนี าป่าน – ตาแวน ได้อาศยั พ้นื ที่ปา่ บริเวณห้วยหลวงทาํ สวนเมีย่ งต่อเนื่องมาจาก บรรพบุรุษ จนกระท่ังในปี พ.ศ. 2517 มีนายทุนต่างถิ่นเข้ามาในชุมชนเพ่ือจะขอสัมปทานป่า ชาวบ้านไม่เห็นดว้ ย เลยมกี ารตงั้ คณะกรรมการ 6 คน เพื่อทําหน้าท่ดี แู ลป่า กลายเปน็ จุดเริม่ ตน้ ของ ป่าชุมชน มีการกําหนดกฎระเบียบการใช้ประโยชน์จากป่าของชุมชนข้ึน คณะกรรมการดูแลป่าให้ ความสําคญั กบั ป่า มกี ารปลกู จิตสํานกึ ใหช้ มุ ชนรักปา่ ดูแลต้นนํ้าลําธาร การใช้น้ําเพ่ือการเกษตรและ อุปโภคบริโภค นําบทเรียนจากที่อื่นมาเป็นตัวอย่าง เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการทําสวนเม่ียงและ การรักษาป่าทั้งสองส่วนต้องอาศัยกันและกัน ถ้าไม่มีป่าต้นชาเมี่ยงก็จะอยู่ไม่ได้เพราะเมี่ยงอาศัย ความชมุ่ ชนื้ ของป่า พ.ศ. 2521 เกิดปัญหาชุมชนในพื้นท่ีใกล้เคียงได้เข้ามาบุกรุกพื้นท่ีป่าต้นน้ําห้วยหลวง คณะกรรมการจึงได้ร่วมกันจัดทําป้ายแนวเขต เพ่ือป้องกันการบุกรุกพ้ืนที่ป่า หลังจากน้ันได้สํารวจ ทําทะเบียนต้นไม้ พร้อมท้ังร่วมกันทําพิธีบวชป่า โดยนําผ้าเหลืองผูกไว้กับต้นไม้ และทําป้ายติดใน การเสวนา   81  

เขตตําบลเรือง มีแกนนําของชุมชนท่ีมีบทบาทต่อต้านการตัดไม้ทําลายป่า ทําหน้าที่เช่ือมประสานให้ เกิดการจัดการป่าและแก้ไขปัญหา โดยนําเอาแนวคิดเรื่องการจัดการป่าโดยชุมชนขยายไปเช่ือมโยง กับการทํางานของสภาตําบลเรือง พร้อมกับจัดตั้งเป็นกฎระเบียบการจัดการป่าชุมชน มี คณะกรรมการดูแลรักษาป่าในนาม “กลุ่มเรืองรักษ์ป่า” ขึ้นในปี 2537 มีการระดมทุนเพื่อทํากองทุน ดูแลป่าโดยขอบริจาคหลังคาเรือนละ 5 บาท ทั้งนี้กลุ่มเรืองรักษ์ป่า มีบทบาทหน้าท่ีในการทํา กิจกรรมอนุรักษ์ป่าในระดับตําบล แต่ชุมชนที่เข้าร่วมในกระบวนการนั้นมีเพียง 2 ชุมชนเท่าน้ัน คือ บา้ นศรีนาป่านและบา้ นตาแวน ปัจจุบันทั้งสองบ้านมีสมาชิกรวมกัน 315 คน โดยที่ทุกคนในชุมชนจะ ถือเป็นสมาชิกกลมุ่ เรืองรกั ษป์ า่ มีบทบาทหน้าท่ปี กปอ้ ง ฟน้ื ฟู และดูแลรกั ษาปา่ ตําบลเรืองรว่ มกนั การใช้ประโยชนจ์ ากปา่ ของชุมชน ชุมชนบ้านศรีนาป่าน – ตาแวน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก อาศัยที่ราบ บริเวณลําห้วยไหลผ่าน ทําการเกษตร ได้แก่ ทํานา ทําไร่ และปลูกพืชผกั โดยมีพืชเศรษฐกิจ คือ ข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง และเม่ียง การทํานาจะทําได้ฤดูเดียว จะหาอาหารอ่ืน ๆ จากป่า เช่น หน่อไม้ เห็ด ชาเม่ียงของบ้านศรีนาป่าน – ตาแวน เป็นพันธ์ุที่บรรพบุรุษปลูกไว้ตามร่มเงาของไม้ ใหญ่ ทาํ ใหช้ าวบ้านศรีนาป่านมอี าชพี และรายไดจ้ ากการขายเม่ียงตกทอดมาจนถงึ ปจั จุบนั มีการแบ่งพ้ืนท่ีป่าออกเป็น 5 เขต ดังนี้ 1) ป่าต้นน้ํา มีพื้นท่ีประมาณ 2,000 ไร่ ชาวบ้าน แบง่ ออกเอาไวส้ าํ หรบั เปน็ เขตอนุรักษ์เพราะเป็นป่าต้นนํ้า เป็นต้นกําเนิดลําห้วยสําคัญ ๆ คือ ลําห้วย หลวง หว้ ยตาแวน หว้ ยวะ เปน็ แหล่งนํา้ สาํ หรับประปาภเู ขาของชมุ ชน ในเขตป่าต้นนํา้ น้ีห้ามเข้าไปใช้ ประโยชน์โดยเด็ดขาด 2) ป่าเศรษฐกิจ (ป่าเม่ียง) มีพ้ืนที่รวมทั้งตําบล ประมาณ 5,000 ไร่ ส่วน ของบ้านศรีนาป่าน – ตาแวน มีพ้ืนที่ประมาณ 3,000 ไร่ เป็นลักษณะการปลูกเมี่ยงอยู่ใต้ร่มเงาของ ต้นไม้ใหญ่ อยู่ระหว่างเขตป่าอนุรักษ์กับป่าใช้สอย ส่วนใหญ่ป่าเหล่าน้ีจะมีผู้ครอบครองสิทธ์ิและใช้ ประโยชน์ ในขณะเดียวกันก็มีการอนุรักษ์ป่าไปด้วย 3) ป่าใช้สอย มีพ้ืนท่ีประมาณ 1,000 ไร่ ส่วนใหญ่ เปน็ ป่าเส่อื มโทรม อย่ใู นเขตพืน้ ท่ปี ฏิรปู ท่ดี ินเพือ่ เกษตรกรรม (สปก.) จะเป็นพ้ืนที่ไม้เบญจพรรณและ พื้นที่ทําการเกษตร 4) ป่าชุมชน รวมพ้ืนที่ทั้งหมด 2 หมู่บ้าน ประมาณ 200 ไร่ เป็นป่าที่สงวนไว้ สําหรับนําไม้มาใช้ในกิจกรรมของหมู่บ้าน และ 5) ป่าพิธีกรรมหรือป่าประเพณี มีพ้ืนที่ประมาณ 5 ไร่ เช่น ป่าสสุ าน ปา่ วดั รา้ ง และป่าหอเจ้าหลวง ต้นชาเม่ียงที่ป่าห้วยหลวงนี้มีอายุแตกต่างกันไป บางต้นกว่า 100 ปี บางต้นชาวบ้านเพิ่ง ปลูกเสริมเข้าไป สาเหตุที่ต้นชาเจริญเติบโตดีเพราะอยู่ในป่าไม้ใหญ่อุดมสมบูรณ์ ใบไม้ที่ร่วงหล่น ทับถมกันมานานปี กลายเป็นปุ๋ยตามธรรมชาติ รวมทั้งได้รับความชุ่มช้ืน จุดท่ีปลูกชาสูงกว่า ระดับน้ําทะเลอยู่ท่ี 300 – 800 เมตร อุณหภูมิ 25 – 30 องศา นอกจากต้นชาเม่ียงแล้วยังมี ตน้ ไม้อ่นื ๆ ทกี่ นิ ได้ เช่น หมาก หวาย หนอ่ ไม้ รวมถึงสมุนไพรนานาชนิด ในปัจจุบันป่ายังคงความ อุดมสมบูรณ์ โดยมีตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของผืนป่าและสายน้ําคือ เต่าปูลู และจิงโจ้นํ้าที่พบใน ลาํ ห้วยหลวง แสดงให้เหน็ ความสะอาดและความสมบูรณ์ของนา้ํ 82 การเสวนา    

จากเม่ยี งสู่ชาชง เดิมผลผลิตจากต้นชาของบ้านศรีนาป่าน – ตาแวน นําไปทําเป็นเม่ียงท้ังหมด ชาวบ้าน ไม่เคยนําไปจําหน่ายเป็นชาชงสําหรับดื่ม อาจจะมีทําไว้ชงด่ืมกันเองบ้างในครัวเรือน ท้ังนี้ชาชง ท้ังหมดจะมี 3 ตระกลู ใหญ่ ๆ มี 1) ชาจีนหรือชาอู่หลง ก้านอ่อนเบอร์ 15 – 17 – 19 – 21 ซึ่งจะ เป็นชาปรุงแต่ง อย่างหอมหม่ืนล้ี กุหลาบ มะลิ จะมีอายุการกิน การเก็บ 2) ชาอัสสัม จะไม่มี เบอร์ ยิ่งเก็บไว้นานจะยิ่งมีราคา และ 3) ชาเขมร ก้านจะมีสีแดง นํามาจากกัมพูชา พื้นท่ี ๆ ปลูก ส่วนมากจะโดนฝนเหลือง เหมาะเป็นผลิตภัณฑ์ดูดกลิ่น ซึ่งชาท่ีแม่สลอง ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มพันธ์ุ ชาจีน ในปี 2550 เจ้าของใบชาโชคจําเริญ บริษัทส่งออกชารายใหญ่ของประเทศไทย ได้นํา นักธุรกิจชาวจีน เข้ามาลงทุนทําชาสําหรับชงดื่มในชุมชนบ้านศรีนาป่าน – ตาแวน เพราะเห็นว่ามี ต้นชาอัสสัมจํานวนมากในชุมชน สามารถนําไปเป็นวัตถุดิบได้ปริมาณมาก จึงนําเคร่ืองจักรราคา แพงในการผลติ ชามาไว้ในชมุ ชน ประกอบกับชุมชนเองก็ตระหนักว่าการผลิตชาชงสําหรับดม่ื น่าจะ เป็นทางเลือกเพ่ิมข้ึนเพราะเป็นเคร่ืองด่ืมสากลที่มีคนด่ืมกันท่ัวโลก ซึ่งต่างไปจากเมี่ยงซึ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมของชุมชน ซ่ึงนับวันจะมีคนกินเม่ียงน้อยลง จึงให้ความสนใจท่ีจะร่วมกับบริษัท ดังกล่าว แต่ชาวบ้านยังไม่มีความพร้อม ไม่มีความรู้ทั้งเร่ืองแปลงชา การตัดชา ทําให้รายได้ ชาวบ้านท่ีเคยเก็บใบเม่ียงขายได้วันละประมาณ 200 บาท ลดลงเป็นการเก็บใบชาได้วันละ 30 บาท ชาวบา้ นสว่ นใหญไ่ ม่สามารถเขา้ รว่ มโครงการได้ ทาํ ใหก้ ิจการดงั กล่าวต้องปิดลงไป “ทีพนา” ผลติ ภณั ฑ์วิสาหกิจชมุ ชน ถึงแม้ว่าบริษัทดังกล่าวจะเลิกกิจการไป แต่มิได้นําเครื่องจักรสําหรับผลิตชาชงกลับไปด้วย ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจึงรวมตัวกันภายใต้วิสาหกิจชุมชนเพื่อจะผลิตชาต่อ ท้ังนี้ได้รับการสนับสนุนจาก ส่วนราชการต่าง ๆ ทั้งจากกรมส่งเสริมการเกษตรและกรมป่าไม้ มีการส่งผู้เชี่ยวชาญมาสอน วิธีการตัดแต่งกิ่งชาเพ่ือให้ได้ผลผลิตที่ดี และพาไปศึกษาดูงานท่ีดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย ผลิตภัณฑ์ภายใต้ “ทีพนา : Tea Phanaa” ประกอบไปด้วยชาเขียวและชาดํา โดยในระยะแรก ๆ เปน็ การผลติ ขายในชมุ ชนและภายในจงั หวัด เม่ือมงี านออกรา้ นต่าง ๆ ในการประกวดที่งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดเชียงใหม่ ปี 2554 ผลติ ภัณฑ์ “ทีพนา” ได้รับรางวัลที่ 3 ทั้งจากชาเขียวและชาดํา อีกท้ังยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ไปออกร้านท่พี ระตาํ หนกั บ้านธงน้อย มี โอกาสถวายน้ําชาแด่พระองค์ท่าน ภายหลังได้มีการส่ังซื้อจากร้านภูฟ้า ซึ่งเป็นร้านภายใต้ พระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ต่อเน่ืองมาต้ังแต่ปี 2555 จนถึงปัจจุบันน้ี ระยะเวลา 3 – 4 ปี ที่ผ่านมา วิสาหกิจชุมชนบ้านศรีนาป่าน – ตาแวน ได้มีการ เรียนรู้และพัฒนาตนเองมาอย่างต่อเน่ือง สร้างความม่ันใจให้กับสมาชิก และชุมชนบ้านศรีนาป่าน – ตาแวน ซึ่งสามารถขายใบชาได้ทั้งเป็นเมี่ยงและชาชงสําหรับดื่ม ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ “ทีพนา” เป็นที่รู้จักมากข้ึน มีลูกค้าทั้งภายในและต่างประเทศหลายแห่ง ได้มีคําส่ังซ้ือเข้ามาจํานวนมากท้งั ขายส่งและขายปลีก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชกระแส การเสวนา   83  

แนะนําให้ชุมชนดูแลผืนป่าให้ดีท่ีสุด รักษามาตรฐานในการผลิต เพราะรสชาติของเราจะแตกต่าง จากทีอ่ ่ืน “ทีพนา” มีจุดเด่นหลายประการ เช่น เป็นชาออร์แกนิก เป็นชาไร้สารเคมี ไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ได้ใช้ยาปราบศัตรูพืช และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าชาทั่วไป มีกาเฟอีนสูงกว่ากาแฟ รสชาตขิ องทีพนาจะหอมกว่าท่ีอ่ืน เพราะชาท่ีนี่จะไม่คายน้ําและอมนํ้าจนเกินไป การคั่วก็ต้องคั่วให้ สุก การหมักการนวดต้องสัมพันธ์กันด้วย นอกจากน้ียังชูจุดขายในประเด็นที่ว่า \"ดื่มชาทีพนา เทา่ กับรักษาป่าเป็นหมนื่ ไร่” สรุป ชุมชนบ้านศรีนาป่าน – ตาแวนเป็นชุมชนตัวอย่างท่ีปลูกชาสําหรับนํามาทําเม่ียงและชาชง ท่ียังคงอนุรักษ์หวงแหนป่าเมี่ยงไว้ให้คงอยู่กับชุมชน ท่ามกลางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว เป็นอีกทางเลือกหน่ึงของเศรษฐกิจชุมชน ท่ีมีการอนุรักษ์ผืนป่า ชีวิต สายนํ้า วัฒนธรรม ภูมิปัญญา ชุมชนสามารถอยู่ร่วมกับป่าไดอ้ ยา่ งย่ังยืน เอกสารอา้ งองิ สายลม สัมพันธ์เวชโสภา และคณะ (2551) การศึกษาสถานภาพปัจจุบันของชาไทย. รายงานการวิจยั ฉบับสมบรู ณ์ สาํ นกั งานกองทุนสนบั สนนุ การวิจยั http://biodiversity.forest.go.th/TK/ http://info.matichon.co.th/rich/ https://www.gotoknow.org/posts/244578 http://www.naewna.com/local/49255 84 การเสวนา    

การเสวนา   85  

กจิ กรรมการเรียนร้อู นรุ กั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ มเพ่อื ชีวิตทยี่ ัง่ ยนื นางสาวณัฐณชิ า ทพิ ยโ์ พธิ์ โรงเรียนบา้ นดา่ น อ.เฉลิมพระเกยี รติ จ.นา่ น หลักการและเหตผุ ล ทรพั ยากรธรรมชาติ (Natural resources) หมายถึง สงิ่ ท่ปี รากฏอยู่ตามธรรมชาติหรือสิ่งที่ เกิดขึน้ เอง อํานวยประโยชน์แก่มนุษย์และธรรมชาติด้วยกันเอง (ทวี ทองสว่าง และทัศนีย์ ทองสว่าง, 2523:4) ถ้าส่ิงนั้นยังไม่ให้ประโยชน์ต่อมนุษย์ ก็ไม่ถือว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติ (เกษม จันทร์แก้ว, 2525:4) ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติมักจะมองในแง่ที่ว่า เป็นส่ิงอํานวยประโยชน์แก่มนุษย์ ทง้ั ทางตรงและทางอ้อม หากไมไ่ ดใ้ ห้ประโยชนอ์ ะไรเลยก็คงไม่ใชท่ รัพยากรธรรมชาติ ดังน้ันจึงมีการ จดั ประเภททรพั ยากรธรรมชาติไวห้ ลายประเภทดว้ ยกัน เชน่ ดนิ น้ํา ปา่ ไม้ สตั วป์ ่า แร่ธาตุ ฯลฯ ซึ่ง เปน็ ทรัพยากรทีเ่ ป็นแหลง่ พลังงานสาํ คญั ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาตทิ ่มี คี วามสาํ คัญอย่างยิง่ ต่อสิ่งมชี ีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ เพราะป่าไม้มีประโยชน์ทั้งการเป็นแหล่งวัตถุดิบของปัจจัยสี่ คือ อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ท่ีอยู่อาศัย และยารักษาโรคสําหรับมนุษย์ และยังมีประโยชน์ในการรักษาสมดุลของส่ิงแวดล้อม ถ้าป่าไม้ถูก ทําลายลงไปมาก ๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมท่ีเก่ียวข้องอื่น ๆ เช่น สัตว์ป่า ดิน นํ้า อากาศ ฯลฯ เม่ือป่าไม้ถูกทําลาย จะส่งผลไปถึงดินและแหล่งนํ้าด้วย เพราะเม่ือเผาหรือถางป่าไป แล้ว พื้นดินจะโล่งขาดพืชปกคลุม เม่ือฝนตกลงมาก็จะชะล้างหน้าดินและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ไป นอกจากน้ันเม่ือขาดต้นไม้คอยดูดซับนํ้าไว้ นํ้าก็จะไหลบ่าท่วมบ้านเรือน และท่ีลุ่มในฤดูนํ้าหลาก พอถึงฤดูแล้งก็ไม่มีนํ้าซึมใต้ดินไว้หล่อเลี้ยงต้นน้ําลําธารทําให้แม่นํ้ามีน้ําน้อย ส่งผลกระทบต่อมาถึง ระบบเศรษฐกิจและสังคม เช่น การขาดแคลนน้ําในการการชลประทาน ทําให้ทํานาไม่ได้ ขาดน้ํามา ผลิตกระแสไฟฟ้า โรงเรียนบ้านด่าน ตําบลขุนน่าน อําเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน สังกัดสํานักงานเขต พ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 2 ได้จัดการเรียนการสอนต้ังแต่ระดับปฐมวัยจนถึง มัธยมศึกษาตอนต้น เป็นหนึ่งในโรงเรียนโครงการตามพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งบริเวณโรงเรียนเป็นพ้ืนท่ีภูเขาสูง พ้ืนที่ป่าไม้ที่เคยมีมากน้ัน ปัจจุบันได้ถูก ทาํ ลายแผว้ ถางลงเพ่อื นําไปทาํ ไร่ขา้ วโพด ซึ่งเป็นสาเหตุท่ีทําให้เกิดผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม นําไปสู่ ภัยพิบัติต่าง ๆ โรงเรียนบ้านด่านตระหนักถึงสภาพปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ อนุรักษ์ผืนป่า เพ่ือชีวิตท่ียั่งยืนขึ้น เพ่ือสร้างจิตสํานึกในการอนุรักษ์เฝ้าระวังทรัพยากรธรรมชาติ และรว่ มกนั ดูแลรักษาทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมใหก้ บั ผเู้ รยี น 86 บทความ    


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook