Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2563

หลักสูตรโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2563

Published by KroorachaneChanel, 2021-06-09 09:43:15

Description: หลักสูตรโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2563

Search

Read the Text Version

หลักสูตรโรงเรียนบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร)์ กล่มุ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศกั ราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๔๗ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบรหิ ารวชิ าการ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ หนว่ ย ชื่อหนว่ ย ผลการเรยี นรู้ สาระสำคญั สาระการเรยี นรู้ จำนวน น้ำหนกั ท่ี การเรียนรู้ ชัว่ โมง คะแนน ๒ ของเศรษฐกจิ ไดป้ ระโยชน์สงู สุด ๒. หลกั การทรงงาน (ต่อ) พอเพยี ง ความซอื่ สตั ย์สุจรติ - ประหยัด เรยี บง่าย ได้ และจรงิ ใจตอ่ กนั ประโยชนส์ ูงสุด เปน็ การสง่ เสริมให้ - ความซื่อสัตย์ สุจรติ ผเู้ รียนได้แสดงออก จริงใจตอ่ กัน ถงึ ความรักชาติ ยดึ ม่นั ในศาสนา เทิดทนู สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ สามารถดําเนนิ ชวี ิต ตามวิถี ประชาธปิ ไตย อยู่รว่ มกับผอู้ ืน่ ได้ อย่างสนั ติ และมี วนิ ัยในตนเอง ๓ สมาชกิ ที่ดี ๖. ปฏิบัตติ น การรักษาความ ข้อตกลง กตกิ า และ ๘ ๒๐ ในบา้ น ตามขอ้ ตกลง สะอาดและรกั ษา หน้าที่ทต่ี ้องปฏบิ ตั ิใน และ กตกิ า และ ของใชร้ ่วมกนั การ ห้องเรยี น โรงเรยี น หน้าทที่ ่ตี อ้ ง สง่ งานตรงเวลา - การรักษาความสะอาด ปฏิบัติใน เปน็ หนา้ ที่ทต่ี อ้ ง - การรักษาของใช้ ห้องเรียน ปฏบิ ตั ิในหอ้ งเรยี น รว่ มกัน ๑๐. ปฏบิ ตั ิ ทแ่ี สดงถึงการ - การส่งงาน ตนเป็นผู้มี ปฏิบตั ติ ามข้อตกลง วินยั ในตนเอง และกติกาของ ๗. ปฏบิ ตั ติ น ห้องเรยี น บทบาทหน้าที่ของการ ตามบทบาท เป็นสมาชิกที่ดีของ หนา้ ทใี่ นฐานะ ครอบครวั และห้องเรยี น สมาชกิ ที่ดขี อง ครอบครัว บทบาทหนา้ ทีข่ อง - เชอ่ื ฟังคำสง่ั สอน และห้องเรยี น การ เปน็ สมาชิกทด่ี ี ของพ่อแมญ่ าตผิ ู้ใหญ่ ของครอบครัว และ และครู ห้องเรยี น คือเชอ่ื ฟงั คำสง่ั สอนของ พอ่ แม่ ญาตผิ ู้ใหญ่  ระดบั ประถมศึกษา

หลักสูตรโรงเรียนบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กลุ่มสาระการเรียนรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๔๘ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบรหิ ารวชิ าการ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ หนว่ ย ชอื่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสำคญั สาระการเรียนรู้ จำนวน นำ้ หนกั ท่ี การเรยี นรู้ ชวั่ โมง คะแนน และครู ที่เด็กทกุ คนควรปฏิบตั ิ ๔ แลกเปลี่ย ๘. ยอมรบั การยอมรับความ ความเหมอื นและความ ๗ ๑๕ นความ ความเหมือน เหมือนและความ แตกต่างระหว่างบคุ คล คดิ เห็น และความ แตกตา่ งของตนเอง ในเรอ่ื งเชื้อชาติ ภาษา ยอมรบั แตกต่าง ของ และผอู้ น่ื ในเรอ่ื ง เพศ สุขภาพ ความพกิ าร ความ ตนเองและ เช้ือชาติ ภาษา เพศ ความสามารถ ถิ่นกำเนดิ แตกตา่ ง ผอู้ ่ืน สุขภาพ ความ ฯลฯ ๙. ยกตัวอยา่ ง พิการ ความขัดแย้งในหอ้ งเรียน ความขัดแยง้ ความสามารถ ถ่นิ และวธิ กี าร ในห้องเรียน กําเนิด ฯลฯ ด้วย แก้ปญั หา โดยสันติวธิ ี ใน และเสนอ การเรยี นรคู้ วาม กรณี วิธกี าร ขดั แย้งในห้องเรยี น - ความคดิ เห็น แก้ปญั หาโดย ในกรณคี วาม ไม่ตรงกนั สันติวธิ ี คดิ เหน็ ไมตรงกนั - การละเมดิ สิทธิ การเผชิญ ของผอู้ ่นื สถานการณก์ าร ละเมิดสทิ ธิของ ผอู้ นื่ และการเสนอ วิธกี ารแกป้ ญั หา โดยสนั ติวธิ ี สง่ เสรมิ ให้ผเู้ รียน สามารถเผชิญ สถานการณอ์ ย่างมี เหตุผลและยอมรบั ผลจากการกระทำ ของตนเองได้ การทดสอบระหว่างปี ๒ ๑๐ ปลายป/ี ปลายภาค (การทดสอบคุณลกั ษณะ) ๘ ๒๐ รวม ๔๐ ๑๐๐  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลกั สูตรโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กลุม่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๔๙ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบรหิ ารวิชาการ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ โครงสรา้ งรายวิชาเพิ่มเตมิ หนา้ ที่พลเมอื ง รหัสวชิ า ส ๑๒๒๓๒ รายวิชา หน้าทพี่ ลเมือง ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๒ เวลา ๔๐ ชวั่ โมง หนว่ ย ชอื่ หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสำคัญ สาระการเรียนรู้ จำนวน น้ำหนกั ท่ี การเรยี นรู้ ชวั่ โมง คะแนน ๑ ความ ๑. ปฏิบตั ติ น มารยาทการพดู ท่ี มารยาทไทย ๗ ๑๕ เป็นไทย เป็นผู้มี ไพเราะ การแตง่ - การพดู ดว้ ยถอ้ ยคำ มารยาทไทย กายด้วยผ้าไทย ไพเราะ และการ - การมกี ริ ยิ าสุภาพ แสดงออกถึง ออ่ นนอ้ ม ๒. แสดงออก ความกตัญญู ความกตัญญูกตเวทตี ่อ ถงึ ความ กตเวที มีวินัย บคุ คลในโรงเรียน กตญั ญกู ตเวที เป็นสง่ิ แสดงถึง ตอ่ บคุ คลใน ความเป็นไทย โรงเรยี น ๓. เหน็ การแตง่ กาย ประโยชน์ของ ด้วยผ้าไทย การแตง่ กาย ดว้ ยผา้ ไทย ๑๐.ปฏิบตั ติ น เปน็ ผู้มีวนิ ยั ใน ตนเอง ๒ ชาติ ศาสนา ๔. เขา้ รว่ ม กิจกรรมวันสำคญั ๑. กจิ กรรมเก่ียวกับ ๘ ๒๐ พระมหากษั กจิ กรรม เกี่ยวกบั ชาติ ชาติ ศาสนา และ ตริย์ เก่ยี วกับชาติ ศาสนาและ สถาบนั ศาสนา และ พระมหากษตั รยิ ์ พระมหากษตั รยิ ์ สถาบนั พระบรมราโชวาท ๒. วันสำคญั ของชาติ พระมหากษัต และหลกั การทรง ศาสนา และสถาบัน ริย์ งานเปน็ สง่ิ ที่เรา พระมหากษัตรยิ ์ ๕. ปฏบิ ตั ิตน ทกุ คนต้องปฏิบัติ ๑. พระบรมราโชวาท ตามพระบรม อยา่ งต่อเน่อื ง - ความขยนั ราโชวาท - ความอดทน หลักการทรง ๒. หลักการทรงงาน งาน และหลกั - การพึ่งตนเอง ปรชั ญาของ - รู้ รกั สามัคคี  ระดบั ประถมศึกษา

หลักสูตรโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร)์ กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๕๐ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบรหิ ารวิชาการ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ หนว่ ย ชื่อหนว่ ย ผลการเรยี นรู้ สาระสำคัญ สาระการเรียนรู้ จำนวน นำ้ หนัก ท่ี การเรยี นรู้ ชว่ั โมง คะแนน เศรษฐกจิ พอเพยี ง ๑๐.ปฏิบัตติ น เปน็ ผู้มวี ินยั ใน ตนเอง ๓ สมาชกิ ที่ดี ๖. ปฏิบัตติ น การปฏบิ ตั ิตนตาม กฎ ระเบียบ และ ๘ ๒๐ ตามกฎ กฎ ระเบียบ และ หนา้ ทท่ี ่ตี อ้ งปฏิบตั ิใน ระเบียบ และ หน้าท่ี ตาม โรงเรียน หนา้ ท่ที ่ีต้อง บทบาทหน้าทใ่ี น - การแต่งกาย ปฏิบัตใิ น ฐานะสมาชิกท่ีดี - การเขา้ แถว โรงเรียน ของห้องเรียนและ - การดูแลพื้นท่ีที่ไดร้ บั ๑๐.ปฏิบัตติ น โรงเรียน และมี มอบหมาย เปน็ ผมู้ ีวนิ ัยใน ความตงั้ ใจปฏิบัติ ตนเอง หน้าที่ เป็น ๗. ปฏบิ ตั ติ น พืน้ ฐานของการ บทบาทหน้าที่ของการ ตามบทบาท เปน็ พลเมืองดี เป็นสมาชิกที่ดขี อง หน้าท่ใี นฐานะ ห้องเรียน และโรงเรียน สมาชกิ ที่ดขี อง - การเปน็ ผนู้ ำและการ หอ้ งเรยี น เป็นสมาชกิ ที่ดี และโรงเรียน - หนา้ ทแี่ ละความ ๑๐.ปฏบิ ตั ิตน รบั ผิดชอบ เปน็ ผูม้ ีวนิ ัยใน ตนเอง ๔ ปรองดอง ๘. ยอมรบั การยอมรับความ ความเหมอื นและความ ๗ ๑๕ เถอะน้องพ่ี ความเหมือน แตกตา่ งและร่วม แตกต่างระหว่างบุคคล และความ แก้ปญั หาขอ้ ในเรอ่ื งเชือ้ ชาติ ภาษา แตกต่าง ของ ขดั แย้งโดยสนั ติ เพศ สุขภาพ ความ ตนเองและ วิธี เปน็ สง่ิ จะ พิการ ความสามารถ ผ้อู ่นื นำส่คู วามสามัคคี ถิ่นกำเนิด ฯลฯ ๙. ยกตัวอยา่ ง ปรองดองในหมู่ ความขัดแย้งใน ความขดั แย้ง คณะ โรงเรยี นและวิธกี าร ในโรงเรยี น แกป้ ญั หา โดยสันติวิธี และเสนอ ในกรณี วิธกี าร - หน้าท่ีและความ  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลักสูตรโรงเรยี นบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร)์ กลุม่ สาระการเรียนรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม พุทธศกั ราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๕๑ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบริหารวิชาการ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ หน่วย ชื่อหนว่ ย ผลการเรยี นรู้ สาระสำคญั สาระการเรยี นรู้ จำนวน นำ้ หนัก ท่ี การเรียนรู้ ชัว่ โมง คะแนน แก้ปญั หาโดย รับผดิ ชอบ ๒ ๑๐ ๘ ๒๐ สนั ติวิธี - การใชข้ องสว่ นรวม ๔๐ ๑๐๐ ๑๐.ปฏบิ ัตติ น เปน็ ผู้มวี นิ ัยใน ตนเอง การทดสอบระหว่างปี ปลายป/ี ปลายภาค (การทดสอบคุณลกั ษณะ) รวม  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลักสูตรโรงเรียนบา้ นพลวง(พรหมบำรุงราษฎร)์ กลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๕๒ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบริหารวิชาการ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ โครงสรา้ งรายวิชาเพิ่มเตมิ หนา้ ทพี่ ลเมอื ง รหัสวิชา ส ๑๓๒๓๓ รายวิชา หน้าท่ีพลเมือง ช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๓ เวลา ๔๐ ชัว่ โมง หน่วย ชื่อหน่วยการ ผลการเรยี นรู้ สาระสำคญั จำนวน นำ้ หนกั ท่ี เรยี นรู้ ชวั่ โมง คะแนน ๑ มารยาทไทยดี ๑.ปฏิบตั ติ นเป็นผู้มี การปฏิบตั ิตนเปน็ ผ้มู ีมารยาท มวี นิ ัย นำไทย ๖ ๑๕ ก้าวหน้า มารยาทไทย ไทยมคี วามกตัญญูกตเกทีตอ่ ผมู้ ี ๙ ๒๐ ๒ ชาติ ศาสนา ๒.แสดงออกถงึ ความ พระคุณเอ้ือเฟ้อื เผือ่ แผ่และ พระมหากษัตริ ๑๒ ๒๐ ย์ กตญั ญูกตเวทีตอ่ เสยี สละเห็นคณุ คา่ ของภูมิ ๓ พลเมอื งดีตาม บุคคลในชมุ ชน ปญั ญาทอ้ งถ่ิน นับว่าเปน็ วิถี ประชาธิปไตย ๓.เห็นคณุ ค่าของภมู ิ เอกลกั ษณส์ ำคัญของความเป็น อนั มี พระมหากษัตริ ปญั ญาท้องถน่ิ ไทยซึ่งผู้ปฏบิ ตั ิตอ้ ง ยท์ รงเปน็ ประมุข ๑๐.ปฏิบัติตนเปน็ ผ้มู ี ขยันหม่ันเพยี ร อดทน วินยั ในตนเอง ๔.เขา้ รว่ มกจิ กรรม การเข้ารว่ มกิจกรรมเกยี่ วกบั เกย่ี วกับชาติ ศาสนา ชาติ ศาสนา และสถาบัน และสถาบัน พระมหากษตั รยิ ์ ปฏิบัติตนตาม พระมหากษตั ริย์ พระบรมราโชวาทในเรอ่ื งความ ๕.ปฏบิ ตั ติ นตามพระ ซอ่ื สัตย์และความเสียสละ บรมราโชวาท หลกั การทรงงาน ในเรอ่ื งการมี หลกั การทรงงานและ สว่ นรว่ มและความเพยี ร และ หลกั ปรัชญาของ หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจ เศรษฐกจิ พอเพยี ง พอเพียง ปฏบิ ัตติ นเป็นผมู้ ีวนิ ัย ๑๐.ปฏบิ ัติตนเป็นผูม้ ี ในตนเองในเร่อื งความซ่ือสัตย์ วนิ ัยในตนเอง สจุ ริต ขยนั หมนั่ เพียร อดทน ๖.ปฏบิ ตั ติ นตาม การปฏบิ ัติตนตามข้อตกลง ขอ้ ตกลง กติกา กฎ กติกา กฎ ระเบยี บและหนา้ ท่ีท่ี ระเบียบและหน้าทที่ ี่ ตอ้ งปฏบิ ตั ใิ นห้องเรยี นและ ตอ้ งปฏบิ ัตใิ น โรงเรียนในเรอื่ งการใช้และการ ห้องเรยี นและ ดแู ลส่ิงของเคร่อื งใชแ้ ละสถานท่ี โรงเรยี น ของส่วนรวมปฏิบตั ติ นตาม ๗.ปฏิบตั ิตนตาม บทบาทหน้าท่ใี นฐานะสมาชกิ ที่ บทบาทหนา้ ทีแ่ ละมี ดีของหอ้ งเรียนและโรงเรยี นใน ส่วนร่วมในกิจกรรม เรอื่ งการใชส่ ิทธแิ ละหน้าที่และ ต่างๆของหอ้ งเรียน การใชเ้ สรภี าพอยา่ งรับผิดชอบ  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลักสูตรโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กลุม่ สาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๕๓ ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบรหิ ารวิชาการ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ หน่วย ช่อื หนว่ ยการ ผลการเรียนรู้ สาระสำคัญ จำนวน น้ำหนกั ท่ี เรียนรู้ ชว่ั โมง คะแนน มสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมตา่ งๆของ และโรงเรยี น ห้องเรียนและโรงเรียนปฏิบตั ิ ๑๓ ๑๕ ตนเป็นผมู้ วี ินยั ในตนเองในเรือ่ ง ๑๐.ปฏิบัติตนเปน็ ผู้มี ความซอื่ สัตย์สุจริต ขยนั หม่นั เพียรอดทนใฝ่หา วนิ ัยในตนเอง ความรตู้ ั้งใจปฏบิ ัตหิ นา้ ทีแ่ ละ ยอมรบั ผลที่เกดิ จากการกระทำ ๔ สังคมแห่งความ ๘.ยอมรับและอยู่ ของตนเอง หลากหลายนำ ร่วมกับผูอ้ น่ื อย่าง ความหลากหลายทางสงั คม ชยั ส่สู นั ติสขุ สนั ติ วฒั นธรรมกอ่ ใหเ้ กิดปญั หา ๙.ยกตัวอย่างความ ความขดั แย้งท้งั ระดบั บคุ คล ขดั แย้งในชมุ ชนและ และระดับสงั คมการยอมรับ เสนอวธิ กี าร ความแตกต่างและการแก้ไข แกป้ ญั หาโดยสันติวิธี ปญั หาอยา่ งสันติมีความอดทน ๑๐.ปฏิบตั ติ นเป็นผู้มี เป็นหนทางสร้างสันตสิ ุขและ วินยั ในตนเอง ความมัน่ คงของสังคมไทย ระหว่างปี ๒๐ ๑๐ ปลายปี/ปลายภาค (การทดสอบคณุ ลักษณะ) ๑๐๐ รวม  ระดับประถมศึกษา

หลักสูตรโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๕๔ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบริหารวชิ าการ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ โครงสรา้ งรายวิชาเพ่ิมเติมหนา้ ท่พี ลเมือง รหสั วชิ า ส ๑๔๒๓๔ รายวิชา หนา้ ที่พลเมอื ง ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๔ เวลา ๔๐ ชว่ั โมง หนว่ ย ชอ่ื หน่วยการ ผลการเรียนรู้ สาระสำคญั จำนวน นำ้ หนกั ท่ี เรยี นรู้ ชั่วโมง คะแนน ๑ รักความเปน็ ไทย ๑.เห็นคณุ คา่ และ มารยาทไทยในพธิ กี รรมต่างๆ ๑๐ ๒๐ ๒ รกั ชาติ ศาสน์ ปฏิบตั ิตนเปน็ ผู้มี - การกล่าวคำตอ้ นรบั ๒๐ กษตั รยิ ์ มารยาทไทย - การแนะนำตนเอง แนะนำ ๒๕ ๓ คนดีในวิถี ประชาธิปไตย สถานที่ ๒.แสดงออกถงึ ความ - ความกตัญญูกตเวทีต่อผ้ทู ำ กตัญญกู ตเวทีต่อผูท้ ำ ประโยชนใ์ นสงั คม ประโยชน์ในสังคม - ขนบธรรมเนียมประเพณไี ทย ๓. มีส่วนร่วมใน ในทอ้ งถ่นิ ขนบธรรมเนียม ประเพณีไทย ๔. เหน็ ความสำคญั - การใช้สนิ คา้ ไทย ๑๐ และแสดงออกถงึ -การดูแลรักษาโบราณสถาน ความรักชาติ ยดึ ม่ัน โบราณวัตถุ ในศาสนา และ -การรกั ษาสาธารณสมบัติ เทิดทนู สถาบนั -การปฏิบตั ติ นเป็นศาสนกิ ชนทีด่ ี พระมหากษตั รยิ ์ - การปฏบิ ตั ิตนตามพระราชจรยิ วตั รและพระจรยิ วัตร ๕. ปฏบิ ตั ติ นตาม ๑. พระบรมราโชวาท พระบรมราโชวาท - การมีวินัย หลกั การทรงงาน - การข่มใจ และหลกั ปรชั ญาของ ๒. หลกั การทรงงาน เศรษฐกจิ พอเพยี ง - ประโยชนส์ ่วนรวม - พออยพู่ อกิน ๖.มีส่วนร่วมในการ ๑.ข้อตกลง กติกา ในหอ้ งเรยี น ๑๐ สรา้ งและปฏิบัตติ าม - การรกั ษาความสะอาด กฎ ระเบียบ ของ - การรกั ษาของใช้รว่ มกนั โรงเรยี น - การสง่ งาน ๒. การใชก้ ระบวนการการมีส่วน ร่วมในการสร้างขอ้ ตกลงกตกิ า ด้วยหลกั เหตแุ ละผล และยึดถือ  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลักสูตรโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๕๕ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบริหารวชิ าการ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ หน่วย ชอื่ หนว่ ยการ ผลการเรียนรู้ สาระสำคญั จำนวน น้ำหนกั ท่ี เรยี นรู้ ประโยชนส์ ว่ นรวม ชัว่ โมง คะแนน ๗. ปฏิบัตติ าม ๑.บทบาทหนา้ ท่ขี องการเปน็ บทบาทหนา้ ท่ี มีสว่ น สมาชกิ ท่ีดขี องครอบครวั และ ร่วมและรบั ผิดชอบ ห้องเรยี น ตอ่ การตัดสนิ ใจใน -การเป็นผู้นำและการเป็น กิจกรรมของ สมาชิกท่ีดี ครอบครัวและ -การมีเหตุผลและยอมรบั ฟัง หอ้ งเรียน ความคิดเหน็ ของผู้อ่นื -การปฏบิ ตั ิตนตามเสียงขา้ งมาก และยอมรับเสียงข้างน้อย ๒.กจิ กรรมต่างๆของครอบครัว และห้องเรยี น ๔ สงั คมแหง่ ความ ๘. ยอมรบั และอยู่ ๑. ความเหมอื นและความ ๑๐ ๒๕ หลากหลาย รว่ มกบั ผอู้ น่ื อยา่ ง แตกตา่ งระหวา่ งบุคคลในเร่ือง สันติและพงึ่ พาซ่งึ กัน เชอื้ ชาติ ภาษา เพศ สขุ ภาพ และกัน ความพิการ ความสามารถ ถิ่น กำเนดิ สถานะของบุคคล ฯลฯ ๒.การอยู่ร่วมกนั อย่างสนั ติและ การพึง่ พาซงึ่ กันและกัน -ไม่รังแก ไม่ทำรา้ ย - ไมล่ อ้ เรียน - ช่วยเหลอื ซงึ่ กันและกัน แบ่งปนั ๙. วเิ คราะหป์ ัญหา ความขดั แย้งในท้องถน่ิ และแนว ความขัดแย้งใน ทางการแก้ไขปญั หาโดยสันตวิ ธิ ี ท้องถิน่ และเสนอ ในกรณี แนวทางการแกไ้ ข - การใช้สาธารณสมบัติ ปญั หาโดยสันติวิธี - การรกั ษาสิ่งแวดลอ้ ม ระหว่างปี ๙๐ ปลายปี/ปลายภาค (การทดสอบคุณลักษณะ) ๑๐ รวม ๑๐๐  ระดับประถมศกึ ษา

หลกั สตู รโรงเรยี นบ้านพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กลุม่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศกั ราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๕๖ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบรหิ ารวชิ าการ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ รหสั วิชา ส ๑๕๒๓๕ โครงสร้างรายวิชาเพม่ิ เติมหน้าที่พลเมือง ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี ๕ รายวชิ า หนา้ ทพี่ ลเมอื ง เวลา ๔๐ ชว่ั โมง หนว่ ย ชอ่ื หน่วยการ ผลการเรยี นรู้ สาระสำคญั จำนวน นำ้ หนัก ท่ี เรยี นรู้ ชว่ั โมง คะแนน ๑ มารยาทดีใชช้ ีวิ ๑. เห็นคุณค่าและ เห็นคณุ ค่าและปฏิบัติตน ๘ ๑๕ ๑๐ ๒๐ พอเพยี ง ปฏบิ ัติตนเป็นผู้มี เปน็ ผูม้ มี ารยาทไทยใน ๘ ๑๕ มารยาทไทย การสนทนา การปฏิบัติ ๘ ๑๕ ตนตามกาลเทศะ และ การตอ้ นรบั ผูม้ าเยอื น ๒ เศรษฐกจิ พอเพยี ง ๕. ปฏบิ ตั ิตนตามพระ ปฏิบตั ติ นตามพระบรม บรมราโชวาท หลกั การ ราโชวาท ตามหลกั ทรงงาน และหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจ ปรชั ญา ของเศรษฐกิจ พอเพียง ตัง้ ใจปฏิบตั ิ พอเพียง หนา้ ท่ี และยอมรับผลท่ี เกิดจากการกระทำของ ตนเอง ๓ เดก็ ดสี ังตมดี ๖. มสี ว่ นรว่ มในการ มสี ว่ นรว่ มในการสรา้ ง สร้างและปฏบิ ัตติ ามกฎ และปฏิบตั ติ นตามกฎ ระเบยี บ ของโรงเรยี น ระเบียบของโรงเรียน ร่วมกันและการดูแล พ้นื ท่ีทไี่ ดร้ บั มอบหมาย โดยใชก้ ระบวนการมี ส่วนรว่ มในการสรา้ งกฎ ระเบียบ ด้วยหลกั เหตุผลและยึดถอื ประโยชน์สว่ นรวม ๔ สนั ติวิธี ๘. ยอมรับความ การยอมรับความ หลากหลายทางสงั คม- หลากหลายทางสงั คม วัฒนธรรมในท้องถ่ิน วัฒนธรรมในท้องถิ่น ใน และอยูร่ ่วมกบั ผู้อ่ืน เร่อื งวถิ ชี ีวติ วัฒนธรรม อย่างสันติและพ่งึ พาซ่ึง ศาสนาและส่งิ แวดล้อม กันและกัน อยู่ร่วมกบั ผู้อนื่ อยา่ ง สนั ตแิ ละพง่ึ พากนั ดว้ ย การเคารพซง่ึ กนั และกัน  ระดับประถมศึกษา

หลักสูตรโรงเรยี นบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กลุม่ สาระการเรียนร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๕๗ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบริหารวิชาการ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ หนว่ ย ช่อื หนว่ ยการ ผลการเรยี นรู้ สาระสำคญั จำนวน นำ้ หนัก ท่ี เรยี นรู้ ช่ัวโมง คะแนน ๕ เดก็ ดมี วี ินยั ๑๐. ปฏิบตั ติ นเป็นผู้มี ไม่แสดงกริ ิยา วาจาดู ๑๕ วินัยในตนเอง หมิ่นผอู้ ่นื ชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกัน และแบ่งปนั ระหวา่ งปี ปลายปี/ปลายภาค (การทดสอบคุณลักษณะ) ปฏบิ ัติตนเป็นผมู้ ีวนิ ัยใน ๖ รวม ตนเอง ในเรื่องความ ซ่ือสัตย์สุจริต ตั้งใจ ปฏบิ ัติหนา้ ที่ และ ยอมรับผลที่เกดิ จากการ กระทำ ของตนเอง ๘๐ ๒๐ ๑๐๐  ระดับประถมศกึ ษา

หลกั สตู รโรงเรียนบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร)์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๕๘ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กล่มุ งานบริหารวิชาการ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ โครงสรา้ งรายวิชาเพม่ิ เตมิ หน้าทีพ่ ลเมอื ง รหัสวิชา ส ๑๖๒๓๖ รายวชิ า หนา้ ทพี่ ลเมือง ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๖ เวลา ๔๐ ชว่ั โมง หน่วย ชื่อหนว่ ยการ ผลการเรียนรู้ สาระสำคญั จำนวน นำ้ หนกั ท่ี เรียนรู้ ช่ัวโมง คะแนน ๑ มารยาทงาม ๑. ปฏบิ ตั ติ นและ การปฏบิ ตั ิตนและ ๘ ๑๕ ชกั ชวนผู้อ่นื ให้มี ชกั ชวนผอู้ น่ื ให้มีมารยาท มารยาทไทย ไทย ในเร่อื งการแสดง ความเคารพ การสนทนา การปฏิบตั ติ น ตาม กาลเทศะ และการ ต้อนรบั ผ้มู าเยือน ๒ รกั ชาติยงิ่ ชวี ติ ๕. ปฏบิ ัตติ นตามพระ ปฏิบัตติ นตามพระบรม ๘ ๑๕ บรมราโชวาท ราโชวาท ในเรื่องความ หลกั การทรงงาน และ เออื้ เฟือ้ เผ่อื แผ่และความ หลักปรัชญา ของ สามคั คี หลักการทรง เศรษฐกจิ พอเพียง งาน ในเรื่องการทำ ตามลำดบั ข้นั และทำงาน อยา่ งมคี วามสุข และ หลักปรัชญาของ เศรษฐกจิ พอเพียง ๓ คนดสี ังคมดี ๗. เหน็ คุณค่าและ เหน็ คณุ ค่าและปฏบิ ัติตน ๘ ๑๕ ปฏิบตั ติ นตามบทบาท ตามบทบาทหนา้ ที่ของ หนา้ ที่ มสี ่วนร่วมและ การเป็นสมาชิกที่ดีของ รบั ผิดชอบในการ หอ้ งเรยี นและโรงเรยี น ตัดสินใจในกิจกรรม ด้วยการเปน็ ผู้นำและ ของหอ้ งเรียน และ การเป็นสมาชกิ ท่ีดี การ โรงเรียน ยดึ ถือประโยชนข์ อง ส่วนรวมเปน็ สำคญั ๔ วถิ ไึ ทย ๘. ยอมรับความ การยอมรบั ความ ๑๐ ๒๐ หลากหลายทางสังคม- หลากหลายทางสงั คม วฒั นธรรมในประเทศ วัฒนธรรมในประเทศ ไทย และอยรู่ ว่ มกบั ไทย ในเรอื่ งวถิ ีชวี ิต ผ้อู ืน่ อย่างสันติและ วฒั นธรรม ศาสนาและ พึ่งพาซงึ่ กนั และกนั สง่ิ แวดลอ้ ม อยรู่ ่วมกับ  ระดบั ประถมศึกษา

หลักสูตรโรงเรยี นบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร)์ กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๕๙ ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กล่มุ งานบริหารวิชาการ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ หนว่ ย ชอ่ื หน่วยการ ผลการเรยี นรู้ สาระสำคัญ จำนวน น้ำหนกั ท่ี เรียนรู้ ชั่วโมง คะแนน ผู้อื่นอยา่ งสนั ติและ ๖ ๑๕ พง่ึ พากนั ในเรื่องการ เคารพซ่งึ กนั และกัน ไม่ แสดงกริ ิยา วาจาดหู มน่ิ ผ้อู น่ื ชว่ ยเหลือซึ่งกัน และกนั ๕ ตวั อยา่ งที่ดมี ีวนิ ัย ๑๐. ปฏิบตั ติ นเป็นผมู้ ี การปฏบิ ตั ิตนเปน็ ผู้มี วนิ ัยในตนเอง วนิ ยั ในตนเอง ในเร่อื ง ความซ่อื สตั ย์สุจรติ อดทน และยอมรับผลท่ี เกดิ จากการกระทำของ ตนเอง ระหว่างปี ๘๐ ปลายปี/ปลายภาค (การทดสอบคุณลักษณะ) ๒๐ รวม ๑๐๐  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลกั สูตรโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กล่มุ สาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๖๐ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลุม่ งานบริหารวชิ าการ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ อภธิ านศัพท์ กตัญญูกตเวที ผู้รู้อุปการะท่ีท่านทำแล้วและตอบแทน แยกออกเป็น ๒ ข้อ ๑. กตัญญู รู้คุณท่าน ๒. กตเวทีตอบแทนหรือสนองคุณท่าน ความกตัญญูกตเวทีวา่ โดยขอบเขต แยกได้ เป็น ๒ ระดบั คือ ๒.๑ กตัญญูกตเวทีต่อบุคคลผู้มคี ุณความดีหรืออุปการะต่อตนเป็นส่วนตัว ๒.๒ กตัญญูกตเวทีต่อ บุคคลผไู้ ดบ้ ำเพญ็ คุณประโยชนห์ รอื มคี ณุ ความดี เกื้อกลู แกส่ ่วนรว่ ม (พ.ศ. หนา้ ๒-๓) กตัญญูกตเวทีต่ออาจารย์ / โรงเรียน ในฐานะที่เป็นศิษย์ พึงแสดงความเคารพนับถืออาจารย์ ผู้ เปรียบเสมือนทิศเบอื้ งขวา ดังน้ี ๑. ลูกต้อนรบั แสดงความเคารพ ๒. เข้าไปหา เพ่ือบำรงุ รับ ใช้ ปรึกษา ซักถาม รับคำแนะนำ เป็นต้น ๓. ฟังด้วยดี ฟังเป็น รู้จักฟัง ให้เกิดปัญญา ๔. ปรนนิบัติ ช่วยบริการ ๕. เรยี นศิลปวิทยาโดยเคารพ เอาจรงิ เอาจังถอื เปน็ กจิ สำคญั ดว้ ยดี กรรม การกระทำ หมายถึง การกระทำท่ีประกอบด้วยเจตนา คอื ทำด้วยความจงใจ ประกอบด้วยความ จงใจหรอื จงใจทำดีก็ตาม ช่ัวก็ตาม เช่น ขดุ หลมุ พรางดักคนหรือสัตว์ในตกลงไปตายเปน็ กรรม แต่ ขดุ บ่อน้ำไว้กนิ ไว้ใช้ สัตว์ตกลงไปตายเองไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้อยู่ว่าบ่อน้ำท่ีตนขุดไว้อยู่ในที่ซึ่งคน จะพลดั ตกได้งา่ ยแล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปกไ็ ม่พน้ กรรม) การกระทำที่ดีเรียกว่า “กรรม ดี” ที่ชว่ั เรยี กว่า “กรรมชัว่ ” (พ.ศ. หน้า ๔) กรรม ๒ กรรมจำแนกตามคณุ ภาพ หรือตามธรรมทเ่ี ป็นมูลเหตุมี ๒ คือ ๑. อกุศลกรรม กรรมท่ีเป็นอกุศล กรรมชว่ั คือเกดิ จากอกศุ ลมลู ๒. กุศลกรรม กรรมท่เี ป็นกุศล กรรมดี คอื กรรมทีเ่ กิดจากกุศลมูล กรรม ๓ กรรมจำแนกตามทวารคือทางท่ีกรรมมี ๓ คือ ๓. กายกรรม การกระทำทางกาย ๒. วจีกรรม การกระทำทางวาจา ๓. มโนกรรม การกระทำทางใจ กรรม ๑๒ กรรมจำแนกตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผล มี ๑๒ อย่าง คอื หมวดที่ ๑ ว่าด้วยปากกาล คือจำแนกตามเวลาท่ีให้ผล ได้แก่ ๑. ทิฏฐิธรรมเวทนยี กรรม กรรมท่ี ให้ผลในปัจจุบัน คือในภพน้ี ๒. อุปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในภาพที่จะไปเกิด คือ ในภพหน้า ๓. อปราบปริเวทนยี กรรม กรรมทใ่ี ห้ผลในภพตอ่ ๆ ไป ๔. อโหสิกรรม กรรมเลิกให้ผล หมวดที่ ๒ ว่าโดยกิจ คอื การให้ผลตามหน้าท่ี ได้แก่ ๕. ชนกกรรม กรรมแตง่ ให้เกดิ หรือกรรมท่ี เปน็ ตวั นำไปเกิด ๖. อุปัตถัมภกกรรม กรรมสนับสนุน คือ เข้าสนับสนนุ หรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม ๗. อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้น คือเข้ามาบีบค้ันผลแห่งชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรมนั้นให้ แปรเปลี่ยนทุเลาเบาลงหรือสั้นเข้า ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน คือ กรรมแรงฝ่ายตรงข้ามท่ี เขา้ ตดั รอนใหผ้ ลของกรรมสองอยา่ งนัน้ ขาดหรือหยดุ ไปทเี ดียว กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธิการ การจัดสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา กลมุ่ สาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม กรุงเทพฯ : โรงพิมพค์ รุ สภาลาดพรา้ ว ,ครง้ั ที่ ๒ ๒๕๔๖ . *หมายเหตุ พ.ศ. หมายถึง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศพั ท์ ; พ.ธ. หมายถงึ พจนานุกรม พุทธศาสตร์ ฉบบั ประมาวลธรรม พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๙ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ ฺโต) กรงุ เทพฯ : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ,๒๕๔๓. หมวดท่ี ๓ ว่าโดยปานทานปริยาย คือจำแนกตามลำดับความแรงในการให้ผล ได้แก่ ๙. ครุกรรม กรรมหนัก ให้ผลก่อน ๑๐. พหุลกรรม หรอื อาจิณกรรม กรรท่ีทำมากหรอื กรรมชินใหผ้ ลรองลงมา ๑๑. อาสันนกรรม กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย ถ้าไม่มีสองข้อก่อนก็จะให้ผลก่อนอื่น  ระดับประถมศึกษา

หลกั สูตรโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กล่มุ สาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศกั ราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๖๑ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กล่มุ งานบริหารวชิ าการ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ ๑๒. กตัตตากรรม หรอื กตตั ตาวาปนกรรม กรรมสกั ว่าทำ คือเจตนาออ่ น หรอื มิใช่เจตนาอย่างน้ัน ใหผ้ ลตอ่ เมือ่ ไมม่ ีกรรมอื่นจะให้ผล (พ.ศ. หน้า ๕) กรรมฐาน ที่ตั้งแห่งการงาน อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ อุบายทางใจ วิธีฝึกอบรมจิต มี ๒ ประเภท คอื สมถกรรมฐาน คอื อุบายสงบใจ วิปัสสนากรรมฐาน อบุ ายเรอื งปัญญา (พ.ศ. หน้า ๑๐) กลุ จิรัฏตธรรม ๔ ธรรมสำหรบั ดำรงความมัน่ คงของตระกลู ให้ยงั่ ยืน เหตุที่ทำให้ตระกลู มง่ั ค่ังตั้งอยู่ได้นาน (พ.ธ. หน้า ๑๓๔) ๑. นัฏฐคเวสนา คือ ของหายของหมด รู้จักหามาไว้ ๒. ชิณณปฏิสังขรณา คือ ของ เก่าของชำรุด รู้จักบูรณะซ่อมแซม ๓. ปริมิตปานโภชนา คือ รู้จักประมาณในการกินการใช้ ๔. อธปิ ัจจสลี วนั ตสถาปนา คอื ตงั้ ผมู้ ีศีลธรรมเป็นพอ่ บา้ นแมเ่ รอื น (พ.ธ. หนา้ ๑๓๔) กศุ ล บุญ ความดี ฉลาด สง่ิ ที่ดี กรรมดี (พ.ศ. หนา้ ๒๑) กุศลกรรม กรรมดี กรรมทีเ่ ปน็ กุศล การกระทำท่ีดีคอื เกิดจากกศุ ลมลู (พ.ศ. หนา้ ๒๑) กุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งกรรมดี ทางทำดี กรรมดอี นั เปน็ ทางนำไปสสู่ คุ ตมิ ี ๑๐ อยา่ งได้แก่ ก. กายกรรม ๓ (ทางกาย) ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการทำลายชีวิต ๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้ ๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดใน กาม ข. วจีกรรม ๔ (ทางวาจา) ได้แก่ ๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ ๕. ปิสุณายวาจาย เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เวน้ จากพดู คำหยาบ ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากพูดเพอ้ เจอ้ ค. มโนกรรม ๓ (ทางใจ) ๘. อนภิชฌา ไม่โลกคอยจอ้ งอยากได้ของเขา ๙. อพยาบาท ไม่คิดร้าย เบยี ดเบียนเขา ๑๐. สมั มาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม (พ.ศ. หน้า ๒๑) กุศลมลู รากเหง้าของกุศล ต้นเหตุของกุศล ต้นเหตุของความดี ๓ อย่าง ๑. อโลภะ ไม่โลภ (จาคะ) ๒. อโท สะ ไม่คิดประทุษร้าย (เมตตา) ๓. อโมหะ ไม่หลง (ปัญญา) (พ.ศ. หน้า ๒๒) กุศลวิตก ความตรึกที่เป็นกุศล ความนึกคิดท่ีดีงาม ๓ คือ ๑. เนกขัมมวิตก ความตรึกปลอดจากกาม ๒. อพยาบาทวิตก ความตรึกปลอดจากพยาบาท ๓. อวิหิสาวิตก ความตรึกปลอดจากการ เบียดเบียน (พ.ศ. หนา้ ๒๒) โกศล ๓ ความฉลาด ความเชี่ยวชาญ มี ๓ อย่าง ๑. อายโกศล คือ ความฉลาดในความเจริญ รอบรู้ทาง เจริญและเหตุของความเจริญ ๒. อปายโกศล คือ ความฉลาดในความเส่ือม รอบรู้ทางเสื่อมและ เหตุของความเส่ือม ๓. อุปายโกศล คือ ความฉลาดในอุบาย รอบรูว้ ิธีแก้ไขเหตุการณ์และวิธีท่ีจะ ทำใหส้ ำเรจ็ ทงั้ ในการปอ้ งกันความเส่อื มและในการสร้างความเจริญ (พ.ศ. หนา้ ๒๔) ขนั ธ์ กอง พวก หมวด หมู่ ลำตัว หมวดหน่ึง ๆ ของรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดที่แบ่งออกเป็นห้ากอง ไดแ้ ก่ รูปขันธ์ คือ กองรปู เวทนาขันธ์ คอื กองเวทนา สัญญาขันธ์ คือ กองสัญญา สังขารขันธ์ คือ กองสังขาร วญิ ญาณขนั ธ์ คือ กองวญิ ญาณ เรียกรวมวา่ เบญจขันธ์ (พ.ศ. หนา้ ๒๖ - ๒๗)  ระดบั ประถมศึกษา

หลกั สตู รโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๖๒ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบรหิ ารวชิ าการ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ คารวธรรม ๖ ธรรม คือ ความเคารพ การถือเป็นส่ิงสำคัญที่จะพึงใส่ใจและปฏิบัติด้วย ความเอื้อเฟื้อ หรือโดยความหนักแน่นจริงจังมี ๖ ประการ คอื ๑. สตั ถุคารวตา ความเคารพในพระศาสดา หรือ พทุ ธคารวตา ความเคารพในพระพุทธเจ้า ๒. ธัมมคารวตา ความเคารพในพระธรรม ๓. สังฆคารว ตา ความเคารพในพระสงฆ์ ๔. สิกขาคารวตา ความเคารพในการศึกษา ๕. อัปปมาทคารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท ๖.ปฏิสันถารคารวตาความเคารพในการปฏิสันถาร (พ.ธ.หน้า ๒๒๑) คิหิสุข (กามโภคีสุข ๔) สุขของคฤหัสถ์ สุขของชาวบ้าน สุขที่ชาวบ้านควรพยายามเข้าถึงให้ได้สม่ำเสมอ สุขอันชอบธรรมท่ีผู้ครองเรือนควรมี ๔ ประการ ๑. อัตถิสุข สุขเกิดจากความมีทรัพย์ ๒. โภคสุข สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ ๓. อนณสุข สุขเกิดจากความไม่เป็นหน้ี ๔. อนวัชชสุข สุขเกิดจาก ความประพฤติไมม่ โี ทษ (ไมบ่ กพร่องเสียหายทัง้ ทางกาย วาจา และใจ) (พ.ธ. หนา้ ๑๗๓) ฆราวาสธรรม ๔ ธรรมสำหรับฆราวาส ธรรมสำหรับการครองเรือน หลักการครองชีวิตของคฤหัสถ์ ๔ ประการ ได้แก่ ๑. สัจจะ คือ ความจริง ซ่ือตรง ซ่ือสตั ย์ จริงใจ พูดจริง ทำจริง ๒. ทมะ คือ การฝึกฝน การข่มใจ ฝึกนิสัย ปรับตัว รู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหัด ดัดนิสัย แก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรุงตนให้เจริญก้าวหน้าด้วยสตปิ ัญญา ๓. ขนั ติ คือ ความอดทน ต้ังหน้าทำหน้าท่ีการงาน ดว้ ยความขยนั หม่นั เพียร เข้มแข็ง ทนทาน ไม่หวั่นไหว มั่นในจุดหมาย ไม่ท้อถอย ๔. จาคะ คอื เสียสละ สละกิเลส สละความสุขสบาย และผลประโยชน์สว่ นตนได้ ใจกว้าง พร้อมท่จี ะรบั ฟัง ความทกุ ข์ ความคิดเห็นและความตอ้ งการของผู้อ่ืน พร้อมท่ีจะรว่ มมือช่วยเหลือ เอ้ือเฟือ้ เผื่อแผ่ ไม่คบั แคบเหน็ แกต่ ัวหรอื เอาแต่ใจตวั (พ.ธ. หน้า ๔๓) จิต ธรรมชาตทิ ร่ี ้อู ารมณ์ สภาพทีน่ ึกคดิ ความคดิ ใจ ตามหลักฝา่ ยอภธิ รรม จำแนกจติ เป็น ๘๙ แบ่ง โดยชาติเป็นอกศุ ลจติ ๑๒ กศุ ลจติ ๒๑ วิปากจิต ๓๖ และกิรยิ าจิต ๘ (พ.ศ. หนา้ ๔๓) เจตสกิ ธรรมท่ีประกอบกับจิต อาการหรือคุณสมบัติต่าง ๆ ของจิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เมตตา สติ ปัญญาเป็นต้น มี ๕๒ อย่าง จัดเป็นอัญญสมานาเจตสิก ๑๓ อกุศลเจตสิก ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕ (พ.ศ. หนา้ ๔๙) ฉนั ทะ ๑. ความพอใจ ความชอบใจ ความยินดี ความต้องการ ความรักใคร่ในส่ิงน้ัน ๆ ๒. ความยินยอม ความยอมให้ทป่ี ระชุมทำกิจน้ัน ๆ ในเม่ือตนมไิ ด้ร่วมอยู่ด้วย เปน็ ธรรมเนียมของภิกษุทอ่ี ยู่ในวัดซึง่ มี สีมารวมกัน มีสิทธิที่จะเข้าประชุมทำกิจของสงฆ์ เว้นแต่ภิกษุนั้นอาพาธ จะเข้าร่วมประชุมด้วย ไม่ได้ ก็มอบฉนั ทะคือ แสดงความยนิ ยอมให้สงฆ์ทำกิจนนั้ ๆ ได้ (พ.ศ. หน้า ๕๒) ฌาน การเพ่ง การเพ่งพินิจด้วยจิตท่ีเป็นสมาธิแน่วแน่ มี ๒ ประเภท คือ ๑. รูปฌาน ๒. อรูปฌาน (พ.ศ. หน้า ๖๐) ฌานสมบัติ การบรรลุฌาน การเขา้ ฌาน (พุทธธรรม หนา้ ๙๖๔) ดรุณธรรม ธรรมที่เป็นหนทางแห่งความสำเร็จ คือ ข้อปฏิบัติท่ีเป็นดุจประตูชัยอันเปิดออกไปสู่ความสุข ความเจริญก้าวหน้าแห่งชีวิต ๖ ประการ คือ ๑. อาโรคยะ คือ รักษาสุขภาพดี มิให้มีโรคท้ังจิต และกาย ๒. ศีล คือ มีระเบียบวินัย ไม่ก่อเวรภัยแก่สังคม ๓. พุทธานุมัติ คือ ได้คนดีเป็น แบบอย่าง ศกึ ษาเยย่ี งนยิ มแบบอย่างของมหาบุรุษพทุ ธชน ๔. สุตะ คือ ตงั้ เรียนรใู้ ห้จริง เลา่ เรียน ค้นคว้าให้รู้เช่ียวชาญใฝ่สดับเหตุการณ์ให้รู้เท่าทัน ๕. ธรรมานุวัติ คือ ทำแต่ส่ิงที่ถูกต้องดีงาม ดำรงม่ันในสุจริต ทั้งชีวิตและงานดำเนินตามธรรม ๖. อลีนตา คือ มีความขยันหมั่นเพียร มี  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลกั สูตรโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร)์ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศกั ราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๖๓ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบริหารวิชาการ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ กำลังใจแข็งกล้า ไม่ท้อแท้เฉือ่ ยชา เพียรก้าวหน้าเรอ่ื ยไป (ธรรมนูญชีวิต บทท่ี ๑๕ คนสืบตระกูล ข้อ ก. หน้า๕๕) หมายเหตุ หลักธรรมข้อน้ีเรียกช่อื อีกย่างหน่ึงว่า “วฒั นมุข” ตรงคำบาลีว่า “อัตถทวาร” ประตแู ห่ง ประโยชน์ ตัณหา (๑) ความทะยานอยาก ความดินรน ความปรารถนา ความแส่หา มี ๓ คือ ๑. กามตัณหา ความ ทะยานอยากในกาม อยากได้อารมณ์อันน่ารักน่าใคร่ ๒. ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ อยาก เป็นน่ันเป็นน่ี ๓. วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวภิ พ อยากไม่เป็นน่ันไม่เป็นนี่ อยากพรากพ้น ดบั สูญ ไปเสยี ตันหา (๒) ธิดามารนางหนึ่งใน ๓ นาง ท่ีอาสาพระยามารผู้เป็นบิดา เข้าไปประโลมพระพุทธเจ้าด้วยอาการ ต่าง ๆ ในสมัยที่พระองค์ประทับอยู่ท่ีต้นอชปาลนิโครธ ภายหลังตรัสรู้ใหม่ ๆ (อีก ๒ นางคือ อรดี กบั ราคา) (พ.ศ. หนา้ ๗๒) ไตรลกั ษณ์ ลักษณะสาม คือ ความไมเ่ ที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใชต่ ัวตน ๑. อนิจจตา (ความเป็น ของไม่เที่ยง) ๒. ทกุ ขตา (ความเป็นทกุ ข์) ๓. อนตั ตา (ความเปน็ ของไมใ่ ช่ตน) (พ.ศ. หน้า ๑๐๔) ไตรสิกขา สกิ ขาสาม ขอ้ ปฏิบัติท่ตี ้องศึกษา ๓ อย่าง คือ ๑. อธศิ ลี สกิ ขา หมายถงึ สิกขา คือ ศลี อันยิ่ง ๒. อธิจิตตสิกขา หมายถึง สิกขา คือ จิตอันย่ิง ๓. อธิปัญญาสิกขา หมายถึง สิกขา คือ ปั ญ ญ า อันยิ่ง เรยี กกนั งา่ ย ๆ วา่ ศีล สมาธิ ปญั ญา (พ.ศ. หน้า ๘๗) ทศพิธราชธรรม ๑๐ ธรรม สำหรบั พระเจ้าแผน่ ดิน คุณสมบัติของนักปกครองท่ีดี สามารถปกครองแผน่ ดิน โดยธรรม และยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชน จนเกิดความชื่นชมยินดี มี ๑๐ ประการ คือ ๑. ทาน การให้ทรพั ย์สินสิ่งของ ๒. ศีล ประพฤติดีงาม ๓. ปรจิ จาคะ ความเสียสละ ๔. อาชชวะ ความซ่ือตรง ๕. มัททวะ ความออ่ นโยน ๖. ตบะ ความทรงเดช เผากิเลสตัณหา ไม่หมกมุ่นใน ความสุขสำราญ ๗. อักโกธะความไมก่ ริ้วโกรธ ๘. อวิหิงสา ความไม่ข่มเหงเบียดเบียน ๙. ขนั ติ ความอดทนเข้มแขง็ ไมท่ อ้ ถอย ๑๐. อวโิ รธนะ ความไม่คลาดธรรม (พ.ศ. หนา้ ๒๕๐) ทฏิ ธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม ๔ ธรรมท่ีเป็นไปเพ่ือประโยชนใ์ นปจั จุบัน คือ ประโยชน์สขุ สามัญท่ีมองเห็น กันในชาติน้ี ที่คนทั่วไปปรารถนา เช่น ทรัพย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นต้น มี ๔ ประการ คือ ๑.อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหม่ัน ๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา ๓. กัลยาณมิตตตา ความมีเพ่ือนเป็นคนดี ๔. สมชีวิตา การเล้ียงชีพตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ท่ี หาได้ (พ.ศ. หน้า ๙๕) ทกุ ข์ ๑. สภาพที่ทนอยู่ได้ยาก สภาพท่ีคงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดข้ึนและดับสลาย เนื่องจากต้องไปตามเหตุปัจจัยที่ไม่ข้ึนต่อตัวมันเอง ๒. สภาพท่ีทนได้ยาก ความรู้สึกไม่สบาย ได้แก่ ทุกขเวทนา (พ.ศ. หน้า ๙๙) ทุกรกิรยิ า กิริยาท่ีทำได้ยาก การทำความเพียรอันยากที่ใคร ๆ จะทำได้ เช่น การบำเพ็ญเพียรเพ่ือบรรลุธรรม วเิ ศษ ด้วยวิธีทรมานตนต่าง ๆ เช่น กล้ันลมอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) ปัสสาสะ (ลมหายใจออก) และ อดอาหาร เป็นต้น (พ.ศ. หน้า ๑๐๐) ทุจริต ๓ ความประพฤติไม่ดี ประพฤติชั่ว ๓ ทาง ได้แก่ ๑. กายทุจริต ประพฤติช่ัวทางกาย ๒. วจีทุจริต ประพฤติช่ัวทางวาจา ๓. มโนทุจริต ประพฤตชิ ว่ั ทางใจ (พ.ศ. หน้า ๑๐๐)  ระดบั ประถมศึกษา

หลักสูตรโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๖๔ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลุม่ งานบรหิ ารวิชาการ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ เทวทูต ๔ ทูตของยมเทพ สื่อแจ้งข่าวของมฤตยู สัญญาณท่ีเตือนให้ระลึกถึงคติธรรมดาของชีวิต มีให้มีความ ประมาท ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ๓ อย่างแรกเรียกเทวทูต ส่วนสมณะเรียกรวม เป็นเทวทูตไปด้วยโดยปริยายเพราะมาในหมวดเดียวกัน แต่ในบาลีท่านเรียกว่านิมิต ๔ ไม่ได้เรียก เทวทตู (พ.ศ. หน้า ๑๐๒) ธาตู ๔ ส่ิงที่ทรงภาวะของมั้นอยู่เองตามธรรมดาของเหตุปจจัย ได้แก่ ๑. ปฐวีธาตุ หมายถึง สภาวะที่แผ่ไป หรือกินเน้ือท่ี เรียกช่ือสามัญว่า ธาตุเข้มแข็งหรือธาตุดิน ๒. อาโปธาตุ หมายถึง สภาวะท่ีเอิบอาบ ดูดซึม เรียกสามัญว่า ธาตุเหลว หรือธาตุน้ำ ๓. เตโชธาตุ หมายถึง สภาวะที่ทำให้ร้อน เรียกสามัญ ว่า ธาตุไฟ ๔. วาโยธาตุ หมายถึง สภาวะที่ทำให้เคล่ือนไหว เรียกสามัญว่า ธาตุลม (พ.ศ. หน้า ๑๑๓) นาม ธรรมที่รู้จักกันด้วยชื่อ กำหนดรู้ด้วยใจเป็นเรื่องของจิตใจ ส่ิงที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีรูปแต่น้อมมาเป็น อารมณ์ของจิตได้ (พ.ศ. หนา้ ๑๒๐) นิยาม ๕ กำหนดอันแน่นอน ความเป็นไปอันมีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ กฎธรรมชาติ ๑. อุตุนิยาม (กฎธรรมชาติเก่ียวกับอุณหภูมิ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะ ดิน น้ำ อากาศ และฤดูกาล อันเป็นส่ิงแวดล้อมสำหรับมนุษย์) ๒. พีชนิยาม (กฎธรรมชาติเก่ียวกับการสืบพันธ์ุ มีพันธุกรรมเป็นต้น) ๓. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต) ๔. กรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือ กระบวนการให้ผลของการกระทำ) ๕. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความสัมพันธ์และอาการที่เป็นเหตุ เป็นผลแก่กันแห่งสิ่งทั้งหลาย (พ.ธ. หน้า ๑๙๔) นิวรณ์ ๕ สิ่งท่ีก้ันจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม ธรรมท่ีกั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี อกุศลธรรมท่ีทำจิตให้ เศร้าหมองและทำปัญญาให้อ่อนกำลัง ๑. กามฉันทะ (ความพอใจในกาม ความต้องการกามคุณ) ๒. พยาบาท (ความคิดร้าย ความขัดเคืองแค้นใจ) ๓. ถนี มิทธะ (ความหดหแู่ ละเซ่ืองซึม) ๔. อุทธัจจ กุกกุจจะ (คามฟุง้ ซ่านและร้อนใจ ความกระวนกระวายกล้มุ กงั วล) ๕. วิจกิ ิจฉา (ความลังเลสงสัย) (พ.ธ. หน้า ๑๙๕) นโิ รธ ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้ส้ินเชิง ภาวะปลอดทุกข์ เพราะไม่มีทุกข์ท่ีจะเกิดขึ้นได้ หมายถึง พระนิพพาน (พ.ศ. หนา้ ๑๒๗) บารมี คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างย่ิงยวด เพ่ือบรรลุจุดหมายอนั สูงย่ิงมี ๑๐ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิรยิ ะ ขันติ สัจจะ อธษิ ฐาน เมตตา อเุ บกขา (พ.ศ. หนา้ ๑๓๖) บุญกิริยาวัตถุ ๓ ที่ตั้งแห่งการทำบุญ เรื่องที่จัดเป็นการทำความดี หลักการทำความดี ทางความดีมี ๓ ประการ คือ ๑. ทานมัย คือทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ ๒. ศีลมัย คือ ทำบุญด้วยการรักษาศีล หรือประพฤติดีมีระเบียบวินัย ๓. ภาวนมัย คือ ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝึกอบรมจิตใจ (พ.ธ. หน้า ๑๐๙) บุญกิรยิ าวตั ถุ ๑๐ ทตี่ ั้งแห่งการทำบุญ ทางความดี ๑. ทานมัย คอื ทำบุญด้วยการให้ปันส่ิงของ ๒. สลี มัย คือ ทำบุญด้วยการรักษาศีล หรือประพฤติดี ๓. ภาวนมัย คือ ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือ ฝกึ อบรมจติ ใจ ๔. อปจายนมัย คือ ทบญุ ด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถอ่ มตน ๕. เวยยาวัจจมัย คือ ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวาย รับใช้ ๖. ปัตติทานมัย คือ ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนแห่งความดี ให้แก่ผู้อ่ืน ๗. ปัตตานุโมทนามัย คือ ทำบุญดว้ ยการยินดีในความดีของผู้อื่น ๘. ธัมมัสสวนมัย คือ  ระดับประถมศึกษา

หลกั สูตรโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร)์ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๖๕ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบรหิ ารวิชาการ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ ทำบุญด้วยการฟังธรรม ศึกษาหาความรู้ ๙. ธัมมเทสนามัย คือทำบุญด้วยการส่ังสอนธรรมให้ ความรู้ ๑๐. ทฏิ ฐุชกุ รรม คือ ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง (พ.ธ. หนา้ ๑๑๐) บุพนิมิตของมัชฌิมาปฏิปทา บุพนิมิต แปลว่า ส่ิงที่เป็นเครื่องหมายหรือส่ิงบ่งบอกล่วงหน้า พระพุทธองค์ ตรัสเปรียบเทียบว่า ก่อนท่ีดวงอาทิตย์จะข้ึน ย่อมมีแสงเงินแสงทองปรากฏให้เห็นก่อนฉันใด กอ่ นท่ีอรยิ มรรคซึง่ เป็นขอ้ ปฏิบตั ิสำคัญในพระพุทธศาสนาจะเกิดขนึ้ ก็มธี รรมบางประการปรากฏ ข้ึนก่อน เหมือนแสงเงินแสงทองฉันน้ัน องค์ประกอบของธรรมดังกล่าว หรือบุพนิมิตแห่ง มัชฌิมาปฏปิ ทา ไดแ้ ก่ ๑. กัลป์ยาณมติ ตตา ความมีกัลยาณมิตร ๒. สีลสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยศีล มี วนิ ัย มีความเป็นระเบียบในชวี ิตของตนและในการอยู่ร่วมในสังคม ๓. ฉันทสัมปทา ถึงพร้อมด้วย ฉันทะ พอใจใฝ่รักในปัญญา สัจธรรม ในจริยธรรม ใฝ่รู้ในความจริงและใฝ่ทำความดี ๔. อัตต สมั ปทา ความถึงพร้อมด้วยการที่จะฝกึ ฝน พัฒนาตนเอง เห็นความสำคญั ของการท่ีจะต้องฝึกตน ๕. ทิฏฐิสัปทา ความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ยึดถือ เชื่อถือในหลักการ และมีความเห็นความเข้าใจ พ้ืนฐานท่ีมองส่ิงท้ังหลายตามเหตุปัจจัย ๖. อัปปมาทสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท มี ความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เห็นคุณค่าของกาลเวลา เห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นส่ิง กระตุ้นเตือนให้เร่งรัดการค้นหาให้เขาถึงความจริงหรือในการทำชีวิตที่ดีงามให้สำเร็จ ๗. โยนิโส มนสกิ าร รู้จัดคดิ พิจารณา มองสงิ่ ท้ังหลายให้ได้ความรแู้ ละได้ประโยชน์ทจี่ ะเอามาใชพ้ ัฒนาตนเอง ยงิ่ ๆ ขนึ้ ไป (แสงเงนิ แสงทองของชีวติ ท่ี ดงี าม: พระธรรมปิฎก) (ป.อ. ปยุตฺโต) เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ ความดี ๕ อย่าง ท่ีควรประพฤติคู่กันไปกับการรักษาเบญจศีลตามลำดับข้อ ดงั น้ี ๑. เมตตากรุณา ๒. สัมมาอาชวี ะ ๓. กามสังวร (สำรวมในกาม) ๔. สัจจะ ๕. สติสัมปชัญญะ (พ.ศ. หนา้ ๑๔๐ – ๑๔๑) เบญจศลี ศีล ๕ เวน้ ฆ่าสตั ว์ เวน้ ลักทรัพย์ เวน้ ประพฤตผิ ิดในกาม เวน้ พูดปด เวน้ ของเมา (พ.ศ. หน้า ๑๔๑) ปฐมเทศนา เทศนาคร้ังแรก หมายถึง ธมั มจักรกัปปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ใน วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หลังจากวันตรัสรู้สองเดือน ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี (พ.ศ. หนา้ ๑๔๗) ปฏิจจสมุปบาท สภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น การท่ีสิ่งท้ังหลายอาศัยกันจึงมีขึ้น การท่ีทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัย ปจั จัยต่อเนอื่ งกนั มา (พ.ศ. หน้า ๑๔๓) ปริยตั ิ พุทธพจน์อนั จะพงึ เล่าเรยี น ส่ิงทค่ี วรเล่าเรยี น การเลา่ เรียนพระธรรมวินัย (พ.ศ. หน้า ๑๔๕) ปธาน ๔ ความเพียร ๔ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ๑. สงั วรปธาน คือ การเพยี รระวงั หรือเพียรปิดก้ัน (ยบั ย้ังบาปอกุศลธรรม ที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดข้ึน) ๒. ปหานปธาน คือ เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ๓. ภาวนาปธาน คือ เพียรเจริญ หรือทำกุศลธรรมท่ียังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ๔. อนุรักขนาปธาน คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่ เกดิ ขนึ้ แล้วไมใ่ ห้เสอื่ มไปและทำให้เพิ่มไพบูลย์ (พ.ศ. หนา้ ๑๔๙) ปปัญจธรรม ๓ กิเลสเคร่ืองเนิ่นช้า กิเลสทีเ่ ปน็ ตัวการทำใหค้ ิดปรงุ แต่งยดึ เย้ือพิสดาร ทำให้เขาห่างออกไปจาก ความเป็นจริงง่าย ๆ เปิดเผย ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ และขัดขวางไม่ให้เข้าถึงความจริง หรือทำให้ ไม่อาจแก้ปัญหาอย่างถูกทางตรงไปตรงมา มี ๓ อย่าง คือ ๑. ตัณหา (ความทะยานอยาก ความ ปรารถนาที่จะบำรงุ บำเรอ ปรนเปรอตน ความยากไดอ้ ยากเอา) ๒. ทิฏฐิ (ความคดิ เห็น ความเชอ่ื ถือ ลกั ธิ ทฤษฎี อุดมการณ์ต่าง ๆ ท่ยี ึดถือไวโ้ ดยงมงายหรอื โดยอาการเชดิ ชวู ่าอย่างนีเ้ ทา่ น้นั จริงอยา่ งอื่น เท็จทง้ั น้ัน เปน็ ตน้ ทำให้ปดิ ตัวแคบ ไม่ยอมรับฟังใคร ตดั โอกาสทีจ่ ะเจริญปญั ญา หรอื คิดเตลดิ ไปข้าง เดยี ว ตลอดจนเปน็ เหตแุ หง่ การเบยี ดเบยี นบีบคั้นผู้อื่นที่ไมถ่ ืออย่างตน ความยึดติดในทฤษฎี ฯลฯ คือ  ระดับประถมศกึ ษา

หลกั สตู รโรงเรียนบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร)์ กล่มุ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๖๖ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบรหิ ารวชิ าการ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ ความคิดเห็นเป็นความจริง) ๓. มานะ (ความถือตัว ความสำคัญตนว่าเป็นน่ันเป็นนี่ ถือสูง ถือต่ำ ย่ิงใหญ่ เท่าเทยี มหรือดอ้ ยกวา่ ผู้อ่ืน ความอยากเด่นอยากยกชูตนให้ยิง่ ใหญ)่ (พ.ธ. หนา้ ๑๑๑) ปฏิเวธ เขา้ ใจตลอด แทงตลอด ตรัสรู้ ร้ทู ะลุปรุโปรง่ ลุลว่ งด้วยการปฏิบตั ิ (พ.ศ. หน้า ๑๔๕) ปฏิเวธสัทธรรม สัทธรรม คือ ผลอันจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน (พ.ธ. หนา้ ๑๒๕) ปัญญา ๓ ความรอบรู้ เขา้ ใจ รซู้ ้ึง มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. สุตมยปัญญา (ปัญญาเกดิ แต่การสดับการเล่าเรื่อง) ๒. จินตามนปัญญา (ปัญญาเกิดแต่การคิด การพิจารณาหาเหตุผล) ๓. ภาวนามยปัญญา (ปัญญาเกิด แต่ การฝึกอบรมลงมือปฏิบตั ิ) (พ.ธ. หน้า ๑๑๓) ปญั ญาวฒุ ธิ รรม ธรรมเป็นเครื่องเจริญปัญญา คุณธรรมท่ีก่อให้เกิดความเจริญงอกงามแห่งปัญญา ๑. สปั ปุรสิ สังเสวะ คบหาสตั บุรษุ เสวนาท่านผู้ทรง ๒. สัทธมั มสั สวนะ ฟังสัทธรรม เอาใจใส่ เล่าเรียน หาความรู้จริง ๓. โยนิโสมนสิการ ทำในใจโดยแยบคาย คิดหาเหตุผลโดยถูกวิธี ๔. ธัมมานุธัมม ปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมถูกต้องตามหลัก คือ ให้สอดคล้องพอดี ขอบเขตความหมาย และวัตถุประสงค์ที่ สัมพันธ์กับธรรมขอ้ อนื่ ๆ นำส่ิงที่ไดเ้ ล่าเรียนและตริตรองเห็นแลว้ ไปใช้ปฏิบตั ิใหถ้ ูกต้องตามความมุ่ง หมายของสิ่งน้นั ๆ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๒ – ๑๖๓) ปาปณิกธรรม ๓ หลักพ่อค้า องค์คุณของพ่อค้ามี ๓ อย่าง คือ ๑ จักขุมา ตาดี (รู้จักสินค้า) ดูของเป็น สามารถคำนวณราคา กะทุน เก็งกำไร แม่นยำ ๒. วิธูโร จัดเจนธุรกิจ (รู้แหล่งซ้ือขาย รู้ความ เคล่ือนไหวความต้องการของตลาด สามารถในการจัดซ้ือจัดจำหน่าย รู้ใจและรู้จักเอาใจลูกค้า) ๓. นิสสยสัมปันโน พร้อมด้วยแหล่งทุนอาศัย (เป็นที่เชื่อถือไว้วางในในหมู่แหล่งทุนใหญ่ ๆ หาเงินมา ลงทุนหรอื ดำเนินกิจการโดยง่าย ๆ) (พ.ธ. หน้า ๑๑๔) ผัสสะ หรือ สัมผัส การถูกต้อง การกระทบ ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ วิญญาณ มี ๖ คือ ๑. จักขุสัมผัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รูป + จักขุ - วิญญาณ) ๒. โสต สัมผสั (ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวญิ ญาณ) ๓. ฆานสัมผัส (ความกระทบทางจมูก คือ จมกู + กลิ่น + ฆานวิญญาณ) ๔. ชวิ หาสัมผัส (ความกระทบทางลน้ิ คือ ลิ้น + รส + ชิวหาวญิ ญาณ) ๕. กายสัมผัส (ความกระทบทางกาย คอื กาย + โผฏฐพั พะ + กายวญิ ญาณ) ๖. มโนสัมผัส (ความ กระทบทางใจ คอื ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวญิ ญาณ) (พ.ธ. หนา้ ๒๓๓) ผู้วิเศษ หมายถงึ ผสู้ ำเร็จ ผู้มวี ิทยากร (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕) พระธรรม คำสัง่ สอนของพระพทุ ธเจ้าท้งั หลักความจรงิ และหลกั ความประพฤติ (พ.ศ. หน้า ๑๘๓) พระอนุพุทธะ ผู้ตรัสรู้ตาม คือ ตรัสรู้ด้วยได้สดับเล่าเรียนและปฏิบัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน (พ.ศ. หนา้ ๓๗๔) พระปจั เจกพทุ ธะ พระพทุ ธเจ้าประเภทหน่ึง ซงึ่ ตรสั รู้เฉพาะตัว มไิ ดส้ ั่งสอนผ้อู ื่น (พ.ศ. หนา้ ๑๖๒) พระพุทธคุณ ๙ คุณของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ได้แก่ อรหํ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ๒. สมฺมาสัมฺพุทฺโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและ จรณะ ๔. สคุ โต เป็นผู้เสด็จไปแลว้ ด้วยดี ๕. โลกวทิ ู เปน็ ผูร้ ้โู ลกอย่างแจ่มแจ้ง ๖. อนุตฺตโร ปรุ สิ ทมฺมสารถิ เป็นผูส้ ามารถฝึกบรุ ุษที่สมควรฝึกได้อยา่ งไม่มใี ครยิ่งกว่า ๗. สตถฺ า เทวมนสุ ฺสานํ เป็นครูผู้สอนเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ๘. พุทฺโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตน่ื ผู้เบิกบาน ๙. ภควา เป็นผู้มโี ชค มีความเจริญ จำแนก ธรรมส่งั สอนสตั ว์ (พ.ศ. หนา้ ๑๙๑)  ระดบั ประถมศึกษา

หลกั สูตรโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๖๗ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบริหารวชิ าการ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ พระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้โดยชอบแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ท่านผู้รู้ดี รู้ชอบด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ (พ.ศ. หน้า ๑๘๓) พระภิกษุ ชายผูไ้ ด้อปุ สมบทแล้ว ชายท่ีบวชเป็นพระ พระผู้ชาย แปลตามรูปศพั ท์ว่า ผขู้ อหรือผู้มองเห็นภัย ในสังขารหรือผู้ทำลายกิเลส ดูบริษัท ๔ สหธรรมิก บรรพชิต อุปสัมบัน ภิกษุสาวกรูปแรก ได้แก่ พระอัญญาโกณฑญั ญะ (พ.ศ. หน้า ๒๐๔) พระรัตนตรัย รัตนะ ๓ แก้วอันประเสริฐ หรือส่ิงล้ำค่า ๓ ประการ หลักท่ีเคารพบูชาสูงสุดของ พุทธศาสนิกชน ๓ อย่าง คือ ๑ พระพุทธเจ้า (พระผูต้ รัสรเู้ อง และสอนให้ผูอ้ ่นื ร้ตู าม) ๒.พระธรรม (คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทง้ั หลักความจริงและหลักความประพฤติ) ๓. พระสงฆ์ (หมูส่ าวกผู้ ปฏบิ ัตติ ามคำส่ังสอนของพระพุทธเจา้ ) (พ.ธ.หน้า ๑๑๖) พระสงฆ์ หมู่ชนที่ฟังคำส่ังสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย หมู่สาวกของ พระพุทธเจ้า (พ.ศ. หน้า ๑๘๕) พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หมายถงึ ท่านผตู้ รสั ร้เู อง และสอนผ้อู น่ื ให้ร้ตู าม (พ.ศ. หน้า ๑๘๙) พระอนุพุทธะ หมายถึง ผู้ตรัสรู้ตาม คือ ตรัสรูด้วยได้สดับเล่าเรียนและปฏิบัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอน ไดแ้ ก่ พระอรหนั ตส์ าวกทงั้ หลาย (พ.ศ. หน้า ๓๗๔) พระอริยบคุ คล หมายถงึ บคุ คลผูเ้ ปน็ อรยิ ะ ท่านผู้บรรลุธรรมวเิ ศษ มีโสดาปตั ติผล เปน็ ต้น มี ๔ คอื ๑. พระโสดาบัน ๒. พระสกทาคามี (หรือสกิทาคาม)ี ๓. พระอนาคามี ๔. พระอรหันต์ แบง่ พสิ ดารเป็น ๘ คอื พระผู้ตั้งอย่ใู นโสดาปตั ตมิ รรค และพระผู้ตัง้ อยใู่ นโสดาปตั ตผิ ลคู่ ๑ พระผ้ตู ั้งอยใู่ นสกทาคามิมรรค และพระผตู้ ้งั อยใู่ นสกทาคามผี ลคู่ ๑ พระผตู้ ้งั อยู่ในอนาคามิมรรค และพระผ้ตู ้ังอย่ใู นอนาคามผิ ลคู่ ๑ พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค และพระผูต้ ้งั อยใู่ นอรหตั ตผลคู่ ๑ (พ.ศ. หน้า ๓๘๖) พราหมณ์ หมายถึง คนวรรณะหน่ึงใน ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ; พราหมณ์เป็น วรรณะนักบวชและเป็นเจ้าพิธี ถือตนว่าเป็นวรรณะสูงสุด เกิดจากปากพระพรหม (พ.ศ. หน้า ๑๘๕) พละ ๔ กำลัง พละ ๔ คือ ธรรมอันเป็นพลังทำให้ดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องหวาดหวั่นภัยต่าง ๆ ได้แก่ ๑. ปัญญาพละ กำลังคือปัญญา ๒. วิรยิ พละ กำลังคอื ความเพียร ๓. อนวัชชพละ กำลังคือ การกระทำที่ไม่มีโทษ ๔. สังคหพละ กำลังการสังเคราะห์ คือ เกื้อกูลอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้ดี (พ.ศ. หน้า ๑๘๕ – ๑๘๖) พละ ๕ พละ กำลัง พละ ๕ คือ ธรรมอันเป็นกำลัง ซ่ึงเป็นเครื่องเกื้อหนุนแก่อริยมรรค จัดอยู่ในจำพวก โพธปิ ักขยิ ธรรม มี ๕ คอื สัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญั ญา (พ.ศ. หนา้ ๑๘๕ – ๑๘๖) พุทธกิจ ๕ พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ ๕ ประการ คือ ๑. ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ ตอนเช้าเสด็จ ออกบิณฑบาต เพ่ือโปรดสตั ว์ โดยการสนทนาธรรมหรอื การแสดงหลักธรรมใหเ้ ข้าใจ ๒. สายณฺเห ธมฺมเทสนํ ตอนเย็น แสดงธรรมแก่ประชาชนท่ีมาเฝ้าบริเวณที่ประทับ ๓. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ ตอนค่ำ แสดงโอวาทแก่พระสงฆ์ ๔. อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ ตอนเท่ียงคืนทรงตอบปัญหาแก่พวก  ระดบั ประถมศึกษา

หลักสูตรโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรุงราษฎร)์ กลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศกั ราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๖๘ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบริหารวชิ าการ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ เทวดา ๕. ปจจฺ ูเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ตอนเช้ามืด จวนสว่าง ทรงตรวจพิจารณาสัตว์ โลกวา่ ผใู้ ดมอี ปุ นิสัยทีจ่ ะบรรลุธรรมได้ (พ.ศ. หนา้ ๑๘๙ - ๑๙๐) พุทธคุณ คุณของพระพุทธเจ้า คือ ๑. ปํญญาคุณ (พระคุณ คือ ปัญญา) ๒. วิสุทธคิ ุณ (พระคุณ คือ ความ บริสุทธิ์) ๓. กรณุ าคณุ (พระคุณ คือ พระมหากรุณา) (พ.ศ. หนา้ ๑๙๑) ภพ โลกเป็นท่ีอยู่ของสตั ว์ ภาวะชีวติ ของสัตว์ มี ๓ คอื ๑. กามภพ ภพของผู้ยังเสวยกามคุณ ๒. รูปภพ ภพของผูเ้ ข้าถงึ รูปฌาน ๓. อรูปภพ ภพของผเู้ ข้าถงึ อรูปฌาน (พ.ศ. หน้า ๑๙๘) ภาวนา ๔ การเจริญ การทำให้มีขึ้น การฝกึ อบรม การพฒั นา แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑. กายภาวนา ๒. สีลภาวนา ๓. จิตตภาวนา ๔. ปัญญาภาวนา (พ.ธ. หน้า ๘๑ – ๘๒) ภูม๓ิ ๑ ๑.พื้นเพ พ้ืน ชั้น ที่ดิน แผ่นดิน ๒. ช้ันแห่งจิต ระดับจิตใจ ระดับชีวิต มี ๓๑ ภูมิ ได้แก่ อบายภูมิ ๔ (ภูมทิ ี่ปราศจากความเจริญ) - นริ ยะ (นรก) – ติรัจฉานโยนิ (กำเนดิ ดริ ัจฉาน) – ปิตติ วิสยั (แดนเปรต) - อสุรกาย (พวกอสรู ) กามสุคตภิ มู ิ ๗ (กามาวจรภมู ิที่เป็นสคุ ติ ภูมิที่เป็นสุคติ ซ่ึงยังเก่ียวข้องกับกาม) - มนุษย์ (ชาวมนุษย์) – จาตุมหาราชิกา (สวรรค์ชั้นที่ท้าวมหาราช ๔ ปกครอง) - ดาวดึงส์ (แดนแหง่ เทพ ๓๓ มีทา้ วสกั กะเป็นใหญ่) -ยามา (แดนแหง่ เทพผู้ปราศจาก ความทกุ ข์) - ดุสิต (แดนแห่งผู้เอิบอม่ิ ด้วยสิริสมบัติของตน) - นิมมานรดี (แดนแห่งเทพผยู้ ินดีใน การเนรมิต) - ปรนิมมิตวสวัตตี (แดนแห่งเทพผู้ยังอำนาจให้เป็นไปในสมบัติท่ีผู้อื่นนิรมิตให้) (พ.ธ. หนา้ ๓๑๖-๓๑๗) โภคอาทยิ ะ ๕ ประโยชน์ทค่ี วรถือเอาจากโภคทรัพย์ ในการท่ีจะมีหรือเหตผุ ลในการท่จี ะมีหรอื ครอบครองโภค ทรัพย์ ๑. เลี้ยงตัว มารดา บิดา บุตร ภรรยา และคนในปกครองทั้งหลายให้เป็นสุข ๒. บำรุงมิตร สหายและร่วมกิจกรรมการงานให้เป็นสุข ๓. ใช้ป้องกนั ภยันตราย ๔. ทำพลี คอื ญาติพลี สงเคราะห์ ญาติ อติถิพลี ต้อนรับแขก ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ลว่ งลับ ราชพลี บำรุงราชการ เสียภาษี เทว ตาพลี สักการะบำรุงสง่ิ ท่ีเช่อื ถอื ๕. อปุ ถมั ภบ์ ำรงุ สมณพราหมณ์ ผูป้ ระพฤติชอบ (พ.ธ. หนา้ ๒๐๒ - ๒๐๓) มงคล ส่งิ ท่ีทำให้มีโชคดีตามหลกั พระพุทธศาสนา หมายถึง ธรรมที่นำมาซง่ึ ความสุข ความเจริญ มงคล ๓๘ ประการ หรือ เรียกเต็มว่า อุดมมงคล (มงคลอันสูงสุด) ๓๘ ประการ (ดูรายละเอียดมงคล สูตร) (พ.ศ. หน้า ๒๑๑) มิจฉาวณิชชา ๕ การค้าขายที่ผิดศีลธรรมไม่ชอบธรรม มี ๕ ประการ คือ ๑. สัตถวณิชชา ค้าอาวุธ ๒. สัตตวณิชชา ค้ามนุษย์ ๓. มังสวณิชชา เลี้ยงสัตว์ไว้ขายเน้ือ ๔. มัชชวณิชชา ค้าขายน้ำเมา ๕. วสิ วณชิ ชา คา้ ขายยาพิษ (พ.ศ. หน้า ๒๓๓) มรรคมอี งค์ ๘ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรียกเต็มว่า “อริยอัฏฐังคิกมรรค” ได้แก่ ๑. สัมมาทิฎฐิ เห็นชอบ ๒. สมั มาสังกปั ปะ ดำรชิ อบ ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมันตะ ทำการชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ เล้ียงชีพชอบ ๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ ๗.สัมมาสติ ระลึกชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ต้ังจติ มน่ั ชอบ (พ.ศ. หนา้ ๒๑๕) มิจฉตั ตะ ๑๐ ภาวะทีผ่ ิด ความเป็นส่ิงทผี่ ิด ได้แก่ ๑. มิจฉทิฏฐิ (เห็นผิด ได้แก่ ความเห็นผิดจากคลองธรรม ตามหลกั กศุ ลกรรมบถ และความเห็นท่ีไม่นำไปสู่ความพน้ ทุกข์) ๒. มิจฉาสงั กปั ปะ (ดำรผิ ิด ได้แก่ ความดำริที่เป็นอกุศลท้ังหลาย ตรงข้ามจากสัมมาสังกัปปะ) ๓. มิจฉาวาจา (วาจาผิด ได้แก่ วจี ทจุ ริต ๔) ๔. มิจฉากมั มันตะ (กระทำผิด ได้แก่ กายทุจรติ ๓) ๕. มิจฉาอาชวี ะ (เลี้ยงชีพผดิ ได้แก่ เล้ียงชีพในทางทุจริต) ๖. มิจฉาวายามะ (พยายามผิด ได้แก่ ความเพียรตรงข้ามกับ  ระดับประถมศึกษา

หลกั สูตรโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กลุม่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๖๙ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบริหารวชิ าการ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ สัมมาวายามะ) ๗. มิจฉาสติ (ระลกึ ผดิ ไดแ้ ก่ ความระลึกถงึ เรื่องราวทล่ี ว่ งแล้ว เช่น ระลึกถึงการได้ ทรัพย์ การได้ยศ เป็นต้น ในทางอกุศล อันจัดเป็นสติเทียม) เป็นเหตุชักนำใจให้เกิดกิเลส มีโลภะ มานะ อสสา มัจฉริยะ เปน็ ต้น ๘. มิจฉาสมาธิ (ตั้งใจผิด ได้แก่ ตงั้ จิตเพ่งเล็ง จดจ่อปกั ใจแน่วแน่ใน กามราคะพยาบาท เป็นต้น หรือเจริญสมาธิแล้ว หลงเพลิน ติดหมกมุ่น ตลอดจนนำไปใช้ผิดทาง ไม่เป็นไปเพ่ือญาณทัสสนะ และความหลุดพ้น) ๙. มิจฉาญาณ (รู้ผิด ได้แก่ ความหลงผิดท่ี แสดงออกในการคดิ อุบายทำความช่ัวและในการพิจารณาทบทวน วา่ ความชั่วน้ัน ๆ ตนกระทำได้ อยา่ งดีแล้ว เป็นต้น) ๑๐. มิจฉาวมิ ตุ ติ (พ้นผิด ได้แก่ ยงั ไมถ่ งึ วิมตุ ติ สำคัญว่าถึงวิมตุ ติ หรือสำคัญผิด ในสิ่งที่มิใชว่ มิ ุตต)ิ (พ.ธ. หนา้ ๓๒๒) มิตรปฏริ ปู คนเทียมมติ ร มติ รเทยี ม มิใชม่ ติ รแท้ มี ๔ พวก ไดแ้ ก่ ๑. คนปอกลอก มีลกั ษณะ ๔ คือ ๑.๑ คิดเอาได้ฝ่ายเดียว ๑.๒ ยอมเสยี แต่น้อย โดยหวังจะเอาให้มาก ๑.๓ ตัวเองมีภัย จึงมาทำกิจของเพื่อน ๑.๔ คบเพ่ือนเพราะ เห็นแก่ประโยชน์ของตวั ๒. คนดีแตพ่ ดู มลี ักษณะ ๔ คือ ๒.๑ ดีแต่ยกเรื่องที่ผ่านมาแล้วมาปราศรัย ๒.๒ ดแี ต่ อา้ งส่งิ ทยี่ ังมดี ี แตอ่ า้ งสง่ิ ที่ยังไมม่ ีมาปราศรยั ๒.๓ สงเคราะหด์ ว้ ยสง่ิ ทไ่ี รป้ ระโยชน์ ๒.๔ เมอื่ เพือ่ นมกี ิจอา้ งแตเ่ หตขุ ดั ขอ้ ง ๓. คนหวั ประจบมลี กั ษณะ ๔ คือ ๓.๑ จะทำชว่ั ก็คล้อยตาม ๓.๒ จะทำดกี ็คล้อยตาม ๓.๓ ต่อหนา้ สรรเสรญิ ๓.๔ ลับหลงั นนิ ทา ๔. คนชวนฉิบหายมีลักษณะ ๔ ๔.๑ คอยเป็นเพื่อนดื่มน้ำเมา ๔.๒ คอยเป็นเพื่อนเที่ยวกลางคืน ๔.๓ คอยเปน็ เพอื่ นเที่ยวดกู ารเล่น ๔.๔ คอยเปน็ เพอ่ื นไปเล่นการพนนั (พ.ธ. หน้า ๑๕๔ – ๑๕๕) มิตรนำ้ ใจ ๑. เพ่อื นมีทกุ ข์พลอยทกุ ขด์ ้วย ๒. เพือ่ นมีสุขพลอยดีใจ ๓. เขาติเตียนเพ่อื น ช่วยยับย้งั แก้ไข ให้ ๔. เขาสรรเสริญเพอ่ื น ชว่ ยพดู เสรมิ สนบั สนุน (พ.ศ. หน้า ๒๓๔) รปู ๑. สิ่งท่ตี ้องสลายไปเพราะปัจจัยตา่ ง ๆ อันขัดแยง้ ส่ิงท่ีเปน็ รูปรา่ งพร้อมทั้งลกั ษณะอาการของมัน ส่วนร่างกาย จำแนกเป็น ๒๘ คือ มหาภูตรูป หรือธาตุ ๔ และอุปาทายรูป ๒. อารมณ์ท่ีรู้ได้ด้วย จักษุ ส่ิงท่ีปรากฏแก่ตา ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรืออายตนะภายนอก ๓. ลักษณนามใช้เรียก พระภิกษุสามเณร เช่น ภิกษุรปู หน่งึ (พ.ศ. หน้า ๒๕๓) วัฏฏะ ๓ หรือไตรวัฎฎ์ การวนเวียน การเวียนเกิด เวียนตาย การเวียนว่ายตายเกิด ความเวียนเกิด หรือ วนเวียนดว้ ยอำนาจกเิ ลส กรรม และวบิ าก เช่น กเิ ลสเกิดข้ึนแล้วให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมแลว้ ย่อม ได้ผลของกรรม เมื่อได้รับผลของกรรมแล้ว กิเลสก็เกิดอีกแล้ว ทำกรรมแล้วเสวยผลกรรม หมนุ เวยี นต่อไป (พ.ธ. หนา้ ๒๖๖) วาสนา อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซ่ึงเกิดจากกิเลสบางอยา่ ง และได้ส่ังสมอบรมมา เป็นเวลานานจนเคยชินติดเป็นพ้ืนประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกาย วาจาที่เคยชนิ ไม่ได้ เชน่ คำพดู ตดิ ปาก อาการเดนิ ท่เี รว็ หรือเดนิ ต้วมเตยี้ ม เปน็ ตน้ ท่านขยายความ ว่า วาสนา ท่ีเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤต คือ เป็นกลาง ๆ ไม่ดีไม่ช่ัวก็มี ท่ีเป็นกุศล กบั อัพยากฤตนน้ั ไม่ต้องละ แต่ที่เป็นอกุศลซึง่ ควรจะละนั้น แบ่งเป็น ๒ ส่วน คอื ส่วนทจ่ี ะเป็นเหตุ ให้เข้าถึงอบายกับส่วนท่ีเป็นเหตุให้เกิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลก ๆ ต่าง ๆ ส่วนแรก พระอรหนั ต์ทุกองค์ละได้ แตส่ ว่ นหลังพระพุทธเจ้าเท่านัน้ ละได้ พระอรหนั ต์อนื่ ละไม่ได้ จึงมคี ำกลา่ วว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลสท้ังหมดได้ พร้อมทั้งวาสนา; ในภาษาไทย คำว่าวาสนามีความหมาย  ระดับประถมศกึ ษา

หลักสูตรโรงเรียนบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กลุม่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๗๐ ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบริหารวิชาการ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ เพ้ยี นไป กลายเป็นอำนาจบุญเก่า หรือกุศลที่ทำใหไ้ ด้รับลาภยศ (ไม่มีใน พ.ศ. ฉบับท่ีพิมพ์เป็นเล่ม แต่คน้ ได้จากแผน่ ซีดรี อม พ.ศ. ของสมาคมศิษยเ์ กา่ มหาจฬุ าฯ) วติ ก ความตรึก ตริ กายยกจติ ขึน้ สู่อารมณ์ การคิด ความดำริ “ไทยใช้ว่าเปน็ ห่วงกังวล” แบ่งออกเป็นกศุ ล วิตก ๓ และอกุศลวิตก ๓ (พ.ศ. หน้า ๒๗๓) วิบตั ิ ๔ ความบกพร่องแห่งองคป์ ระกอบต่าง ๆ ซึง่ ไม่อำนวยแก่การที่กรรมดีจะปรากฏผล แตก่ ลับเปิดช่อง ให้กรรมช่ัวแสดงผล พูดส้ัน ๆ ว่าส่วนประกอบบกพร่อง เปิดช่องให้กรรมช่ัววิบตั ิมี ๔ คือ ๑. คติ วิบัติ วิบัติแห่งคติ หรือคติเสีย คือเกิดอยู่ในภพ ภูมิ ถิ่น ประเทศ สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะ ไม่ เก้ือกูล ทางดำเนินชีวิต ถ่ินท่ีไปไม่อำนวย ๒. อุปธิวิบัติ วิบัติแห่งร่างกาย หรือ รูปกายเสีย เช่น ร่างกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไม่สวยงาม กิริยาท่าทางน่าเกลียด ไม่ชวนชมตลอดจนสุขภาพท่ีไม่ดี เจ็บป่วย มีโรคมาก ๓. กาลวิบัติ วิบัติแห่งกาลหรือหรือกาลเสีย คือเกิดอยู่ในยุคสมัยท่ีบ้านเมืองมี ภยั พิบัติไม่สงบเรียบร้อย ผู้ปกครองไม่ดี สังคมเสื่อมจากศีลธรรม มากด้วยการเบียดเบียน ยกย่อง คนช่ัว บีบค้ันคนดี ตลอดจนทำอะไรไม่ถูกาลเวลา ไม่ถูกจังหวะ ๔. ปโยควิบัติ วิบัติแห่งการ ประกอบ หรือกิจการเสีย เช่น ฝักใฝ่ในกิจการหรือเรื่องราวท่ีผิด ทำการไม่ตรงตามความถนัด ความสามารถ ใช้ความเพยี รไมถ่ ูกตอ้ ง ทำการครึง่ ๆ กลาง ๆ เป็นต้น (พ.ธ. หนา้ ๑๖๐- ๑๖๑) วปิ ัสสนาญาณ ๙ ญาณในวปิ ัสสนา ญาณที่นบั เข้าในวิปัสสนา เปน็ ความรู้ท่ีทำให้เกิดความเห็นแจ้ง เข้าใจ สภาวะของส่ิงท้ังหลายตามเป็นจริง ได้แก่ ๑. อุทยัพพยานุปัสสนาณาณ คือ ญาณอันตามเห็น ความเกิดและดับของเบญจขันธ์ ๒. ภังคานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันตามเห็นความสลาย เมื่อ เกิดดับก็คำนึงเด่นชัด ในส่วนดับของสงั ขารทัง้ หลาย ต้องแตกสลายทั้งหมด ๓. ภยตปู ัฏฐานญาณ คือ ณาณอันมองเห็นสังขาร ปรากฏเปน็ ของน่ากลัว ๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ คอื ญาณอนั คำนึง เหน็ โทษของสงั ขารทั้งหลาย ว่าเป็นโทษบกพร่องเป็นทกุ ข์ ๕. นิพพิทานุปสั สนาญาณ คอื ญาณอัน คำนึงเห็นความหน่ายของสงั ขาร ไม่เพลินเพลิน ติดใจ ๖. มุญจิตกุ ัมยตาญาณ คือ ญาณอันคำนึง ดว้ ย ใคร่พ้นไปเสีย คอื หน่ายสังขารทั้งหลาย ปรารถนาทจี่ ะพน้ ไปเสีย ๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนึงพิจารณาหาทาง เม่ือต้องการจะพ้นไปเสีย เพ่ือมองหาอุบายจะปลดเปลื้อง ออกไป ๘. สังขารุเปกขาณาณ คือ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร คือ พิจารณา สังขารไม่ยินดียินร้ายในสังขารท้ังหลาย ๙. สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ คือ ณาณอัน เป็นไปโดยอนุโลกแก่การหย่ังรู้อริยสัจ แล้วแล้วมรรคญาณให้สำเร็จความเป็นอริยบุคคลต่อไป (พ.ศ. หน้า ๒๗๖ – ๒๗๗) วมิ ตุ ติ ๕ ความหลุดพ้น ภาวะไร้กิเลส และไมม่ ีทุกข์ มี ๕ ประการ คือ ๑. วิกขมั ภนวิมุตติ ดับโดยขม่ ไว้ คือ ดับกิเลส ๒. ตทังควิมุตติ ดับกิเลสด้วยธรรมท่ีเป็นคู่ปรับธรรมท่ีตรงกันข้าม ๓. สมุจเฉทวิมุตติ ดับด้วยตัดขาด ดับกิเลสเสร็จส้ินเด็ดขาด ๔. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ ดับด้วยสงบระงับ โดยอาศัย โลกุตตรมรรคดับกิเลส ๕. นิสรณวิมุตติ ดับด้วยสงบระงับ คือ อาศัยโลกุตตรธรรมดับกิเลส เดด็ ขาดเสรจ็ สน้ิ (พ.ธ. หน้า ๑๙๔) โลกบาลธรรม ธรรมคุ้มครองโลก ได้แก่ ปกครองควบคุมใจมนุษย์ไว้ให้อยู่ในความดี มิให้ละเมิดศีลธรรม และให้อยู่กันด้วยความเรียบร้อยสงบสุข ไม่เดือดร้อนสับสนวุ่นวาย มี ๒ อย่างได้แก่ ๑. หิริ ความอายบาป ละอายใจต่อการทำความชั่ว ๒. โอตตัปปะ ความกลัวบาปเกรงกลัวต่อความชั่ว และผลของกรรมชวั่ (พ.ศ. หน้า ๒๖๐)  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลกั สูตรโรงเรยี นบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กลุ่มสาระการเรยี นร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๗๑ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบริหารวิชาการ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ ฤาษี หมายถึง ผู้แสวงธรรม ได้แก่ นักบวชนอกพระศาสนาซ่ึงอยู่ในป่า ชีไพร ผู้แต่งคัมภีร์พระเวท (พ.ศ. หน้า ๒๕๖) สตปิ ฏั ฐาน ๔ ที่ต้ังของสติ การตัง้ สติกำหนดพิจารณาสิง่ ทั้งหลายใหร้ ู้เห็นตามความเปน็ จริง คอื ตามส่ิงนั้น ๆ มันเปน็ ของมันเอง มี ๔ ประการ คือ ๑. กายานุปสั สนาสติปัฏฐาน (การต้ังสติกำหนดพิจารณากายให้รูเ้ ห็นตามเปน็ จริงว่า เป็นแต่เพยี ง กาย ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา) ท่านจำแนกวิธีปฏิบัติได้หลายอย่าง คือ อานาปานสติ กำหนดลมหายใจ ๑ อิริยาบถ กำหนดรู้ทันอิริยาบถ ๑) สัมปชัญญะ สร้างสัมปชัญญะในการ กระทำความเคล่ือนไหวทุกอย่าง ๑) ปฏกิ ูลมนสิการ พิจารณาส่วนประกอบอนั ไม่สะอาดทั้งหลาย ท่ีประชุมเข้าเป็นร่างกายน้ี ๑) ธาตุมนสิการ พจิ ารณาเห็นร่างกายของตน โดยสักว่าเป็นธาตุแต่ละ อย่างๆ ๒. เวทนานุปัสสาสติปัฏฐาน (การต้ังสติกำหนดพิจารณาเวทนาให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่ เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา) คือ มีสติรู้ชดั เวทนาอันเป็นสขุ ก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉย ๆ ก็ดี ท้ังทเ่ี ป็นสามสิ และเป็นนริ ามสิ ตามทีเ่ ป็นไปอยูข่ ณะนัน้ ๆ ๓. จิตตานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน (การตั้งสตกิ ำหนดพิจารณาจิต ใหร้ ู้เห็นตามเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียง จิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา) คือ มีสติรู้ชัดจิตของตนที่มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไมม่ ีโมหะ เศร้าหมองหรือผอ่ งแผว้ ฟงุ้ ซา่ นหรือเป็นสมาธิ ฯลฯ อย่างไร ๆ ตามที่เปน็ ไป อย่ใู นขณะนั้น ๆ ๔. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การต้ังสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่ เพียงธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนของเรา) คือ มีสติรู้ชัดธรรมท้ังหลาย ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร มีในตนหรือไม่ เกิดขึ้น เจริญบรบิ รู ณ์และดบั ไดอ้ ยา่ งไร เปน็ ตน้ ตามท่ีเปน็ จรงิ ของมนั อย่างน้นั ๆ (พ.ธ. หน้า ๑๖๕) สมณะ หมายถงึ ผู้สงบ หมายถึงนกั บวชทั่วไป แต่ในพระพุทธศาสนา ทา่ นใหค้ วามหมายจำเพาะ หมายถึง ผู้ระดับบาป ได้แก่ พระอริยบุคคล และผู้ปฏิบัติเพ่ือระงับบาป ได้แก่ ผู้ปฏิบัติธรรมเพ่ือเป็น พระอริยบคุ คล (พ.ศ. หน้า ๒๙๙) สมบัติ ๔ คือ ความเพียบพร้อมสมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งช่วยเสริมส่งอำนวยโอกาสให้กรรมดี ปรากฏผล และไม่เปิดช่องให้กรรมชั่วแสดงผล มี ๔ อย่าง คือ ๑. คติสมบัติ สมบัติแห่งคติ ถึง พร้อมดว้ ยคติ หรอื คตใิ ห้ คือ เกดิ อยู่ในภพ ภูมิ ถิ่น ประเทศทีเ่ จรญิ เหมาะหรอื เก้อื กลู ตลอดจนใน ระยะสั้นคือ ดำเนินชีวติ หรือไปในถ่ินท่ีอำนวย ๒. อุปธิสมบัติ สมบัติแห่งร่างกาย ถึงพร้อมด้วย ร่างกาย คอื มรี ูปร่างสวย รา่ งกายสงา่ งาม หน้าตาท่าทางดี น่ารัก นา่ นยิ มเล่ือมใส สุขภาพดี แขง็ แรง ๓. กาลสมบัติ สมบัติแห่งกาล ถึงพร้อมด้วยกาลหรือกาลให้ คือ เกิดอยู่ในสมัยท่ีบ้านเมืองมีความ สงบสุข ผู้ปกครองดี ผู้คนมีคุณธรรมยกย่องคนดี ไม่ส่งเสริมคนช่ัว ตลอดจนในระยะเวลาส้ัน คือ ทำอะไรถูกกาลเวลา ถูกจังหวะ ๔. ปโยคสมบัติ สมบัติแห่งการประกอบ ถึงพร้อมด้วยการ ประกอบกิจ หรือกิจการให้ เช่น ทำเรื่องตรงกับท่ีเขาต้องการ ทำกิจตรงกับความถนัด ความสามารถของตน ทำการถึงขนาดถูกหลักครบถ้วน ตามเกณฑ์หรือเต็มอัตรา ไม่ใช่ทำคร่ึง ๆ กลาง ๆ หรือเหยาะแหยะ หรือไม่ถูกเร่อื งกัน รูจ้ ักจดั ทำ รจู้ ักดำเนนิ การ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๑ – ๑๖๒) สมาบัติ ภาวะสงบประณีตซ่ึงพ่ึงเข้าถึง; สมาบัติมีหลายอย่าง เช่น ณานสมบัติ ผลสมาบัติ อนุปุพพวิหาร สมาบัติ (พ.ศ. หนา้ ๓๐๓)  ระดบั ประถมศึกษา

หลกั สตู รโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กลุ่มสาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๗๒ ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบรหิ ารวิชาการ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ สติ ความระลกึ ได้ นึกได้ ความไมเ่ ผลอ การคุมใจได้กบั กจิ หรือคุมจติ ใจไวก้ ับสิง่ ทเี่ กย่ี วข้อง จำการ ทีทำและคำพดู แมน้ านได้ (พ.ศ. หน้า ๓๒๗) สังฆคุณ ๙ คุณของพระสงฆ์ ๑. พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดี ๒. เป็นผู้ปฏิบัติตรง ๓. เป็นผู้ปฏบิ ัตถิ ูกทาง ๔. เป็นผ้ปู ฏิบตั ิสมควร ๕. เป็นผู้ควรแก่การคำนับ คือ ควรกับของท่ีเขา นำมาถวาย ๖. เป็นผู้ควรแก่การตอนรับ ๗. เป็นผคู้ วรแก่ทักษิณา ควรแก่ของทำบุญ ๘. เป็นผู้ ควรแก่การกระทำอัญชลี ควรแก่การกราบไหว้ ๙. เป็นนาบุญอันยอดเย่ียมของโลก เป็นแหล่ง ปลกู ฝังและเผยแพร่ความดีท่ยี อดเยย่ี มของโลก(พ.ธ. หนา้ ๒๖๕-๒๖๖) สังเวชนียสถาน สถานทต่ี ้ังแหง่ ความสังเวช ที่ทใ่ี ห้เกดิ ความสังเวช มี ๔ คอื ๑. ท่ีพระพุทธเจ้าประสูติ คือ อทุ ยานลุมพินี ปัจจุบนั เรยี กลุมพินีหรือรมุ มนิ เด (Lumbini หรือ Rummindei) ๒. ทพ่ี ระพุทธเจ้า ตรัสรู้ คือ ควงโพธ์ิ ที่ตำบลพุทธคยา (Buddha Gaya หรือ Bodh – Gaya) ๓. ท่ีพระพุทธเจ้า แสดงปฐมเทศนา คือป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันเรียกสารนาถ ๔. ท่ี พระพุทธเจ้าปรินิพพาน คือท่ีสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา หรือกุสินคร บัดนี้เรียกกาเซีย (Kasia หรอื Kusinagara) (พ.ศ. หนา้ ๓๑๗) สันโดษ ความยินดี ความพอใจ ยินดีด้วยปัจจัย ๔ คือ ผ้านุ่งห่ม อาหารที่นอนท่ีนั่ง และยาตามมีตามได้ ยินดขี องของตน การมีความสุข ความพอใจดว้ ยเคร่ืองเล้ยี งชพี ทห่ี ามาได้ด้วยเพยี รพยายามอันชอบ ธรรมของตน ไมโ่ ลภ ไมร่ ษิ ยาใคร (พ.ศ. หนา้ ๓๒๔) สันโดษ ๓ ๑. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้ คือ ได้สิ่งใดมาด้วยความเพียรของตน ก็พอใจด้วยส่ิงน้ัน ไมไ่ ดเ้ ดือดรอ้ นเพราะของทไี่ ม่ได้ ไมเ่ พ่งเล็งอยากไดข้ องคนอ่ืนไม่ริษยาเขา ๒. ยถาพลสันโดษ คือ ยินดตี ามกำลงั คือ พอใจเพียงแค่พอแก่กำลงั ร่างกาย สขุ ภาพ และขอบเขตการใชส้ อยของตน ของ ทเี่ กินกำลังก็ไมห่ วงแหนเสียดายไม่เก็บไว้ให้เสียเปลา่ หรือฝืนใชใ้ ห้เป็นโทษแก่ตน ๓. ยถาสารุปป สันโดษ ยินดีตามสมควร คือ พอใจตามท่ีสมควร คือ พอใจตามท่ีสมควรแก่ภาวะฐานะแนวทาง ชวี ิต และจุดหมายแห่งการบำเพญ็ กิจของตน เชน่ ภิกษพุ อใจแตอ่ งอนั เหมาะกบั สมณภาวะ หรือได้ ของใช้ท่ีไม่เหมาะสมกับตนแต่จะมีประโยชน์แก่ผู้อ่ืนก็นำไปมอบให้แก่เขา เป็นต้น (พ.ศ. หน้า ๓๒๔) สัทธรรม ๓ ธรรมอันดี ธรรมท่ีแท้ ธรรมของสตั บุรุษ หลกั หรอื แก่นศาสนา มี ๓ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. ปริยตั สิ ทั ธรรม (สัทธรรมคือคำส่งั สอนอันจะต้องเล่าเรียน ได้แก่ พุทธพจน์) ๒. ปฏิบัตสิ ทั ธรรม (สทั ธรรมคอื ส่ิงพงึ ปฏบิ ตั ิ ได้แก่ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา) ๓. ปฏิเวธสัทธรรม (สัทธรรมคือผลอันจะพึงเข้าถึง หรือบรรลุด้วยการปฏิบัติ ได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน (พ.ธ. หน้า ๑๒๕) สัปปุริสธรรม ๗ ธรรมของสัตบุรุษ ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ คุณสมบัติของคนดี ธรรมของผู้ดี ๑. ธมั มญั ญุตา คือ ความรูจ้ ักเหตุ คือ รู้หลกั ความจรงิ ๒. อัตถัญญตุ า คอื ความรจู้ ักผล คือรู้ความ ม่งุ หมาย ๓. อัตตัญญุตา คือ ความรู้จักตน คือ รู้ว่าเรานั้นว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กำลังความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรม เป็นต้น ๔. มัตตัญญุตา คือ ความรู้จักประมาณ คือ ความพอดี ๕. กาลัญญุตา คอื ความรจู้ กั กาล คือ รูจ้ กั กาลเวลาอันเหมาะสม ๖. ปรสิ ัญญุตา คือ ความรจู้ ักบริษัทคือรู้จักชุมชนและรู้จักที่ประชุม ๗. ปุคคลัญญุตา หรือ ปุคคลปโรปรัญญุตา คือ ความรจู้ ักบคุ คล คอื ความแตกตา่ งแหง่ บุคคล (พ.ธ. หนา้ ๒๔๔) สมั ปชญั ญะ ความรู้ตวั ทวั่ พรอ้ ม ความรตู้ ระหนกั ความรู้ชัดเขา้ ใจชดั ซ่ึงสิ่งนกึ ได้ มักมาคกู่ ับสติ (พ.ศ. หน้า ๒๔๔)  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลักสตู รโรงเรยี นบ้านพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร)์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๗๓ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบริหารวชิ าการ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ สาราณยี ธรรม ๖ ธรรมเป็นท่ีต้ังแห่งความให้ระลึกถึง ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน หลักการอยู่ร่วมกัน เรียกอีกอย่างว่า “สาราณียธรรม” ๑. เมตตากายกรรม มีเมตตากายกรรมท้ังต่อหน้าและลับหลัง ๒. เมตตาวจีกรรม มีเมตตาวจีกรรมท้ังต่อหน้าและลับหลัง ๓. เมตตา มโนกรรม มีเมตตา มโนกรรมท้ังต่อหน้าและลับหลัง ๔. สาธารณโภคี แบ่งปันส่ิงของท่ีได้มาไม่หวง แหน ใช้ผู้เดียว ๕. สีลสามัญญตา มคี วามประพฤติร่วมกันในข้อทีเ่ ปน็ หลกั การสำคัญท่ีจะนำไปสู่ความหลุดพ้นส้ิน ทุกข์หรือขจัดปัญหา ๖.ทิฏฐิสามัญญตา มีความเห็นชอบดีงาม เช่นเดียวกับหมู่คณะ (พ.ธ. หน้า ๒๓๓-๒๓๕) สขุ ๒ ความสบาย ความสำราญ มี ๒ อย่าง ได้แก่ ๑. กายิกสุข สุขทางกาย ๒. เจตสิกสุข สุขทางใจ อีก หมวดหน่ึงมี ๒ คือ ๑. สามิสสุข สุของิ อามิส คือ อาศยั กามคุณ ๒. นิรามิสสุข สุขไม่อิงอามิส คอื อิงเนกขมั มะ (พ.ศ. หน้า ๓๔๓) ศรทั ธา ความเช่อื ความเช่ือถือ ความเชอ่ื มน่ั ในส่งิ ทีด่ ีงาม (พ.ศ. หนา้ ๒๙๐) ศรทั ธา ๔ ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตผุ ล ๔ ประการคือ ๑. กัมมสทั ธา (เชือ่ กรรม เช่ือว่ากรรมมีอยู่จริง คอื เช่ือว่าเมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำท้ังท่ีรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่ว ความดี มี ข้ึนในตน เป็นเหตปุ ัจจัยกอ่ ให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไมว่ ่างเปลา่ และเชื่อว่าผล ท่ีต้องการจะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น ๒. วิปาก สัทธา (เช่ือวิบาก เชื่อผลของกรรม เช่ือว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่สำเร็จต้องมีผล และผลต้อง มีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี และผลช่ัวเกิดจากกรรมช่ัว ๓. กัมมัสสกตาสัทธา (ความ เช่ือท่ีสัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของจะตอ้ งรบั ผิดชอบเสวยวิบากเป็นไปตาม กรรมของตน ๔. ตถาคตโพธิสัทธา (เช่ือความตรสั รู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคตว่า ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง ๙ ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไวด้ ้วยดี ทรงเป็น ผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ คือเราทุกคนน้ี หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บรสิ ุทธ์หิ ลดุ พ้นได้ดงั ทพี่ ระองค์ได้ทรงบำเพ็ญไว้ (พ.ธ. หน้า ๑๖๔) สงเคราะห์ การชว่ ยเหลือ การเอื้อเฟือ้ เกอื้ กูล (พ.ศ. หนา้ ๒๒๘) สงั คหวัตถุ ๔ เรอื่ งสงเคราะหก์ ัน คุณธรรมเป็นเคร่ืองยึดเหน่ยี วใจของผู้อืน่ ไว้ได้ หลักการสงเคราะห์ คือ ชว่ ยเหลือกันยึดเหน่ียวใจกันไว้ และเป็นเครื่องเกาะกุมประสานโลก ได้แก่ สังคมแห่งหมู่สตั ว์ไว้ ดุจสลักเกาะยึดรถที่กำลังแลน่ ไปให้คงเปน็ รถ และวงิ่ แลน่ ไปไดม้ ี ๔ อยา่ งคอื ๑. ทาน การแบง่ ปัน เอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่กัน ๒. ปิยวาจา พูดจาน่ารัก น่านิยมนับถือ ๓. อัตถจริยา บำเพ็ญประโยชน์ ๔.สมานตั ตนา ความมีตนเสมอ คอื ทำตัวให้เข้ากันได้ เช่น ไม่ถือตัว ร่วมสุข ร่วมทกุ ข์กัน เปน็ ต้น (พ.ศ. หน้า ๓๑๐) สมั มัตตะ ความเป็นถกู ภาวะที่ถูก มี ๑๐ อย่าง ๘ ข้อต้น ตรงกับองค์มรรคทั้ง ๘ ข้อ เพ่ิม ๒ ข้อท้าย คือ ๙. สัมมาญาณ รู้ชอบได้แก่ผลญาณ และปัจจเวกขณญาณ ๑๐. สัมมาวิมุตติ พ้นชอบได้แก่ อรหตั ตผลวมิ ตุ ติ; เรยี กอีกอย่าง อเสขธรรม ๑๐ (พ.ศ. หนา้ ๓๒๙) สุจริต ๓ ความประพฤติดี ประพฤติชอบตามคลองธรรม มี ๓ คือ ๑. กายสุจริต ประพฤติชอบทางกาย ๒. วจีสจุ รติ ประพฤติชอบทางวาจา ๓. มโนสจุ ริต ประพฤติชอบทางใจ (พ.ศ. หน้า ๓๔๕) หริ ิ ความละอายต่อการทำช่ัว (พ.ศ. หน้า ๓๕๕) อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งอกุศลกรรม ทางความชั่ว กรรมช่วั อันเป็นทางนำไปสู่ความเสอื่ ม ความทุกข์ หรือทุคติ ๑. ปาณาตบิ าต การทำชวี ิตให้ตกล่วง ๒. อทินนาทาน การถือเอาของท่ีเขามิได้ให้ โดย  ระดับประถมศึกษา

หลักสูตรโรงเรยี นบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร)์ กล่มุ สาระการเรยี นร้สู งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๗๔ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลุม่ งานบริหารวิชาการ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ อาการขโมย ลักทรัพย์ ๓. กาเมสุมิจฉาจาร ความประพฤติผิดทางกาม ๔. มุสาวาท การพูดเท็จ ๕. ปสิ ณุ วาจา วาจาสอ่ เสียด ๖. ผรุสวาจา วาจาหยาบ ๗. สัมผปั ปลาปะ พูดเพอ้ เจ้อ ๘. อภชิ ฌา เพ่งเล็งอยากได้ของเขา ๙. พยาบาท คิดร้ายผู้อื่น ๑๐. มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม (พ.ธ. หน้า ๒๗๙, ๓๐๙) อกุศลมูล ๓ รากเหง้าของอกุศล ต้นตอของความช่ัว มี ๓ คือ ๑. โลภะ (ความอยากได้) ๒. โทสะ (ความคดิ ประทุษรา้ ย) ๓. โมหะ (ความหลง) ๘ (พ.ธ. หน้า ๘๙) อคติ ๔ ฐานะอันไม่พึงถึง ทางความประพฤติที่ผิด ความไม่เที่ยงธรรม ความลำเอียง มี ๔ อย่างคือ ๑. ฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะชอบ) ๒. โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชงั ) ๓. โมหาคติ (ลำเอียงเพราะ หลง พลาดผดิ เพราะเขลา) ๔. ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว) (พ.ธ. หนา้ ๑๗๔) อนตั ตา ไม่ใชอ่ ตั ตา ไมใ่ ชต่ ัวตน (พ.ศ. หน้า ๓๖๖) อบายมุข ช่องทางของความเสื่อม เหตุเครื่องฉิบหาย เหตุย่อยยับแห่งโภคทรัพย์ ทางแห่งความพินาศ (พ.ศ. หนา้ ๓๗๗) อบายมุข ๔ ๑. อิตถีธุตตะ (เป็นนักเลงหญิง นักเที่ยวผู้หญิง) ๒. สุราธุตตะ (เป็นนักเลงสุรา นักดื่ม) ๓. อักขธุตตะ (เปน็ นักการพนนั ) ๔. ปาปมติ ตะ (คบคนชว่ั ) (พ.ศ. หนา้ ๓๗๗) อบายมุข ๖ ๑. ติดสุราและของมึนเมา ๑.๑ ทรัพย์หมดไป ๆ เห็นชัด ๆ ๑.๒ ก่อการทะเลาะวิวาท ๑.๓ เป็นบ่อเกิดแห่งโรค ๑.๔ เสยี เกียรติ เสียชื่อเสยี ง ๑.๕ ทำให้ไม่รู้อาย ๑.๖ ทอนกำลังปัญญา ๒. ชอบเที่ยวกลางคืน มีโทษ ๖ อย่างคือ ๒.๑ ชื่อว่าไม่รักษาตน ๒.๒ ช่ือว่าไม่รักษาลูกเมีย ๒.๓ ชื่อว่าไม่รกั ษาทรัพย์สมบัติ ๒.๔ เป็นที่ระแวงสงสัย ๒.๕ เป็นเป้าให้เขาใส่ความหรือข่าวลือ ๒.๖ เป็นท่ีมาของเรอื่ งเดือดร้อนเป็นอันมาก ๓. ชอบเท่ียวดูการละเลน่ มโี ทษ โดยการงานเสื่อม เสียเพราะมีใจกังวลคอยคดิ จ้อง กบั เสียเวลาเมอื่ ไปดสู ิ่งนั้น ๆ ท้ัง ๖ กรณี คอื ๓.๑ รำท่ไี หนไปท่ี นั่น ๓.๒ – ๓.๓ ขับร้อง ดนตรี เสภา เพลงเถิดเทิงที่ไหนไปท่ีนั่น ๔. ติดการพนัน มีโทษ ๖ คือ ๔.๑ เมื่อชนะย่อมก่อเวร ๔.๒ เม่ือแพ้ก็เสียดายทรัพย์ท่ีเสียไป ๔.๓ ทรัพย์หมดไป ๆ เห็นชัด ๆ ๔.๔ เข้าที่ประชุมเขาไม่เชื่อถือถ้อยคำ ๔.๕ เป็นที่หม่ินประมาทของเพื่อนฝูง ๔.๖ ไม่เป็นที่ พึงประสงค์ของผู้ที่จะหาคู่ครองให้ลูกของเขา เพราะเห็นว่าจะเล้ียงลูกเมียไม่ได้ ๕. คบคนช่ัว มีโทษโดยนำให้กลายเป็นคนช่ัวอย่างท่ีตนคบท้ัง ๖ ประเภท คือ ได้เพื่อนท่ีจะนำให้กลายเป็น ๕.๑ นักการพนัน ๕.๒ นักเลงหญิง ๕.๓ นักเลงเหล้า ๕.๔ นักลวงของปลอม ๕.๕ นัก หลอกลวง ๕.๖ นักเลงหัวไม้ ๖. เกียจคร้านการงาน มีโทษโดยทำให้ยกเหตุตา่ ง ๆ เป็นข้ออ้าง ผิดเพี้ยน ไม่ทำการงานโภคะใหม่ก็ไม่เกิด โภคะท่ีมอี ยู่กห็ มดสิ้นไป คอื ใหอ้ ้างไปท้งั ๖ กรณวี า่ ๖.๑ – ๖.๖ หนาวนกั รอ้ นนกั เย็นไปแล้ว ยงั เช้านัก หวิ นัก อ่มิ นัก แล้วไม่ทำการงาน (พ.ธ. หน้า ๑๗๖ – ๑๗๘) อปริหานิยธรรม ๗ ธรรมอันไม่เป็นที่ต้ังแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียวมี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. หม่ันประชุมกันเนืองนิตย์ ๒. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจกรรมท่ีพึงทำ ๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ๔. ท่านเหล่าใดเป็นผใู้ หญ่ ควรเคารพนับถือทา่ นเหล่าน้ัน ๕. บรรดากุลสตรี กุลกมุ ารที ้ังหลาย ให้อยู่ ดีโดยมิถูก ข่มเหง หรือฉุดคร่า ขืนใจ ๖. เคารพสักการบูชา เจดีย์หรืออนุสาวรีย์ประจำชาติ ๗. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกันอันชอบธรรมแก่พระอรหันต์ท้ังหลาย (รวมถึงพระภิกษุ ผู้ ปฏิบตั ดิ ี ปฏิบตั ชิ อบด้วย) (พ.ธ. หน้า ๒๔๖ – ๒๔๗)  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลกั สูตรโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๗๕ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบริหารวชิ าการ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ อธิปไตย ๓ ความเป็นใหญ่ มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. อตั ตาธปิ ไตย ความมีตนเป็นใหญ่ ถือตนเป็นใหญ่ กระทำ การด้วยปรารภตนเป็นประมาณ ๒. โลกาธิปไตย ความมีโลกเป็นใหญ่ ถือโลกเป็นใหญ่ กระทำ การด้วยปรารภนิยมของโลกเป็นประมาณ ๓. ธัมมาธิปไตย ความมีธรรมเป็นใหญ่ ถือธรรมเป็น ใหญ่, กระทำการด้วยปรารภความถูกต้อง เป็นจริง สมควรตามธรรมเป็นประมาณ (พ.ธ. หน้า ๑๒๗-๑๒๘) อริยสัจ ๔ ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะมี ๔ คือ ๑. ทกุ ข์ (ความทุกข์ สภาพท่ที นไดย้ าก สภาวะทบ่ี ีบคั้น ขัดแย้ง บกพร่อง ขาดแก่นสารและความ เที่ยงแท้ ไม่ให้ความพึงพอใจแท้จริง ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับส่ิงอันไม่เป็นที่รัก การพลดั พรากจากสงิ่ ทีร่ กั ความปรารถนาไม่สมหวงั โดยย่อว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ๒. ทุกขสมุทัย (เหตุเกิดแห่งทุกข์ สาเหตุให้ทุกข์เกิด ได้แก่ ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และ วิภวตัณหา) กำจัดอวิชชา สำรอกตัณหา สิ้นแล้ว ไม่ถูกยอ้ ม ไม่ติดขัด หลดุ พ้น สงบ ปลอด โปรง่ เป็นอสิ ระ คอื นพิ พาน) ๓. ทุกขนิโรธ (ความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะท่ีตัณหาดับสิ้นไป ภาวะที่เข้าถึงเม่ือกำจัดอวิชชา สำรอกตณั หาสน้ิ แล้ว ไมถ่ ูกย้อม ไมต่ ิดขอ้ ง หลดุ พน้ สงบ เป็นอิสระ คอื นพิ พาน) ๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ปฏิปทาท่ีนำไปสู่ความดับแห่งทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ อริยอัฏฐังคิกมรรค หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า มัชฌิมปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง มรรคมอี งค์ ๘ น้ี สรปุ ลงในไตรสกิ ขา คือ ศลี สมาธิ ปัญญา) (พ.ธ. หน้า ๑๘๑) อรยิ อฏั ฐคกิ มรรค ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ (ศลี สมาธิ ปญั ญา) (พ.ธ. หน้า ๑๖๕) อัญญาณุเบกขา เป็นอุเบกขาฝ่ายวิบัติ หมายถึง ความไม่รู้เร่ือง เฉยไม่รู้เรื่อง เฉยโง่ เฉยเมย (พ.ธ. หน้า ๑๒๖) อตั ตา ตัวตน อาตมัน ปุถุชนย่อมยึดม่ันมองเห็นขันธ์ ๕ อย่างใดอย่างหน่ึง หรือทั้งหมดเป็นอัตตา หรือ ยึดถอื วา่ มอี ัตตา เนื่องดว้ ยขนั ธ์ (พ.ศ. หนา้ ๓๙๘) อตั ถะ เรื่องราว ความหมาย ความมุ่งหมาย ประโยชน์ มี ๒ ระดบั คือ ๑. ทิฏฐิธมั มิกัตถะ ประโยชน์ใน ชีวิตน้ีหรือประโยชน์ในปัจจุบัน เป็นท่ีมุ่งหมายกันในโลกนี้ ได้แก่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ รวมถึง การแสวงหาส่ิงเหล่านี้มาโดยทางท่ีชอบธรรม ๒. สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์เบื้องหน้า หรือ ประโยชน์ท่ีล้ำลึกกว่าท่ีจะมองเห็นกันเฉพาะหน้า เป็นจุดหมายขั้นสูงข้ึนไป เป็นหลักประกันชีวิต เมื่อละจากโลกน้ีไป ๓. ปรมัตถะ ประโยชน์สูงสุด หรือประโยชน์ท่ีเป็นสาระแท้จริงของชีวิตเป็น จุดหมายสูงสุดหรือที่หมายข้ันสุดท้าย คือ พระนิพพาน อีกประการหนึ่ง หมายถึง ๑. อัตตัตถะ ประโยชน์ตน ๒. ปรตั ถะ ประโยชน์ผู้อน่ื ๓. อุภยัตถะ ประโยชน์ทง้ั สองฝ่าย (พ.ธ. หนา้ ๑๓๑ – ๑๓๒) อายตนะ ที่ต่อ เครื่องตดิ ต่อ แดนต่อความรู้ เครื่องรู้ และส่ิงที่ถกู รู้ เช่น ตาเป็นเคร่อื งรู้ รูปเป็น สิ่งที่รู้ หเู ปน็ เคร่ืองรู้ เสยี งเป็นสง่ ทีร่ ู้ เปน็ ต้น จดั เป็น ๒ ประเภท ได้แก่ ๑. อาตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ ๒. อายตนะภายนอก หมายถึง เครอ่ื งต่อภายนอก สิ่งที่ถูกรู้ มี ๖ คือ ๒.๑ รูป คือ รปู ๒.๒ สัท ทะ คือ เสียง ๒.๓ คันธะ คือ กล่ิน ๒.๔ รส คือ รส ๒.๕ โผฏฐัพพะ คือ สิ่งต้องกาย ๒.๖ ธัมมะ หมายถึง ธรรมารมย์ คือ อารมณ์ที่เกิดกับใจ หรือส่ิงที่ใจรู้ อารมณ์ ๖ ก็เรียก (พ.ศ. หน้า ๔๑๑)  ระดับประถมศกึ ษา

หลักสตู รโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๗๖ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบรหิ ารวชิ าการ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ อายตนะภายใน เครือ่ งตอ่ ภายใน เครอื่ งรับรู้ มี ๖ คอื ๑. จกั ขุ คือ ตา ๒. โสตะ คอื หู ๓. ฆานะ คือ จมูก ๔. ชิวหา คอื ลนิ้ ๕. กาย คือ กาย ๖. มโน คอื อนิ ทรยี ์ ๖ ก็เรียก (พ.ศ.หน้า ๔๑๑) อริยวัฑฒิ ๕ ความเจริญอย่างประเสริฐ หลักความเจริญของอารยชน มี ๕ คือ ๑. ศรัทธา ความเช่ือ ความม่ันใจในพระรัตนตรัย ในหลักแห่งความจริง ความดีอันมีเหตุผล ๒.ศีลความประพฤติดี มี วินัย เลี้ยงชีพสุจริต ๓. สุตะ การเล่าเรียน สดับฟัง ศึกษาหาความรู้ ๔. จาคะ การเผื่อแผ่ เสยี สละ เอ้ือเฟ้ือ มีน้ำใจช่วยเหลือ ใจกว้าง พร้อมที่จะรับฟังและร่วมมือ ไม่คบั แคบ เอาแต่ตัว ๕. ปัญญา ความรอบรู้ รู้คดิ ร้พู ิจารณา เข้าใจเหตุผล ร้จู ักโลกและชีวิตตามความเป็นจริง (พ.ธ. หนา้ ๒๑๓) อิทธิบาท๔ คุณเคร่ืองใหถ้ งึ ความสำเร็จ คณุ ธรรมท่ีนำไปสู่ความสำเร็จแหง่ ผลทมี่ ุ่งหมาย มี ๔ ประการ คือ ๑. ฉนั ทะ ความพอใจ คอื ความต้องการที่จะทำใฝ่ใจรักจะทำส่ิงน้ันอยู่เสมอแล้วปรารถนาจะทำ ใหไ้ ดผ้ ลดยี ิง่ ๆ ขึน้ ไป ๒. วิริยะ ความเพียร คือ ขยันหม่ันประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เขม้ แขง็ อดทน เอาธุระไม่ ทอ้ ถอย ๓. จติ ตะ ความคิด คือ ตง้ั จิตรับรู้ในส่ิงที่ทำและทำส่ิงน้ันด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ ฟงุ้ ซ่านเลอ่ื นลอย ๔. วิมังสา ความไตร่ตรอง หรือทดลอง คือ หม่ันใช้ปัญญาพิจารณา ใคร่ครวญ ตรวจตราหา เหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในส่ิงท่ีทำนั้น มีการวางแผน วัดผลคิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง ตัวอย่างเช่น ผู้ทำงานท่ัว ๆ ไปอาจจำสั้น ๆ ว่า รักงาน สู้งาน ใส่ใจงาน และทำงานด้วยปัญญา เป็นต้น (พ.ธ. หน้า ๑๘๖-๑๘๗) อุบาสกธรรม ๗ ธรรมท่ีเป็นไปเพ่ือความเจริญของอุบาสก ๑. ไม่ขาดการเย่ียมเยือนพบปะพระภิกษุ ๒. ไม่ละเลยการฟังธรรม ๓. ศึกษาในอธิศีล ๔. มีความเล่ือมใสอย่างมากในพระภิกษุทุกระดับ ๕. ไม่ฟังธรรมด้วยตั้งใจจะคอยเพ่งโทษติเตียน ๖. ไม่แสวงหาบุญนอกหลักคำสอนใน พระพุทธศาสนา ๗. กระทำการสนับสนุน คือ ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา (พ.ธ. หน้า ๒๑๙ – ๒๒๐) อุบาสกธรรม ๕ สมบัติของอุบาสก ๕ คือ ๑. มีศรัทธรา ๒. มีศีลบริสุทธิ์ ๓. ไม่ถือมงคลต่ืนข่าว เช่ือ กรรม ไม่เชื่อมงคลคือมุ่งหวังผลจากการกระทำ และการงานมิใช่จากโชคลาภ และสิ่งท่ีต่ืนกันว่า ขลงั ศักดิส์ ิทธิ์ ๔. ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา ๕. ขวนขวายในการอปุ ถัมภ์บำรุง พระพุทธศาสนา (พ.ศ. หนา้ ๓๐๐) อุบาสกธรรม ๗ ผู้ใกล้ชิดพระศาสนาอย่างแท้จริง ควรต้ังตนอยู่ในธรรมท่ีเป็นไปเพื่อความเจริญของ อุบาสก มี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. ไม่ขาดการเย่ยี มเยอื นพบปะพระภกิ ษุ ๒. ไม่ละเลยการฟังธรรม ๓. ศึกษาในอธิศีล คือ ฝึกอบรมตนให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติรักษาศีลข้ันสูงขึ้นไป ๔. พรั่งพร้อม ด้วยความเลื่อมใส ในพระภิกษุท้ังหลายทั้งที่เป็นเถระ นวกะ และปูนกลาง ๕. ฟังธรรมโดยความ ต้ังใจ มิใช่ มาจับผดิ ๖. ไม่แสวงหาทักขิไณยภายนอก หลักคำสอนน้ี คือ ไม่แสวงหาเขตบุญนอก หลักพระพุทธศาสนา ๗. กระทำความสนับสนุนในพระพุทธศาสนาน้ี คือ เอาใจใส่ทำนุบำรุงและ ชว่ ยกจิ กรรม (ธรรมนูญชวี ติ , หนา้ ๗๐ – ๗๐) อุเบกขา มี ๒ ความหมายคือ ๑. ความวางใจเป็นกลาง ไม่เองเอียงด้วยชอบหรือชัง ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอนั เกิดขึ้นโดยสมควรแก่เหตุและรู้ว่าพึงปฏิบัติต่อไป  ระดับประถมศกึ ษา

หลักสูตรโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๗๗ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบริหารวชิ าการ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ ตามธรรม หรอื ตามควรแก่เหตุนั้น ๒. ความร้สู ึกเฉย ๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เรียกเต็มว่าอเุ บกขาเวทนา (อทกุ ขมสขุ ) (พ.ศ. หนา้ ๔๒๖ – ๔๒๗) อุปาทาน ๔ ความยึดมั่น ความถือม่ันด้วยอำนาจกิเลส ความยึดตดิ อันเนอื่ งมาแต่ตัณหา ผูกพนั เอาตัวตน เป็นที่ต้ัง ๑. กามุปาทาน ความยดึ มั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะที่นา่ ใคร่ น่าพอใจ ๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือ ความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่าง ๆ ๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดม่ันในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบวิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่าง ๆ กัน ไปอย่างงมงายหรือโดยนิยมว่าขลัง ว่า ศกั ดิ์สิทธ์ิ มไิ ด้เปน็ ไปด้วยความรู้ ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธแ์ ห่งเหตุและผล ๔. อัตตาวาทุ ปาทาน ความยดึ ม่ันในวาทะว่าตวั ตน คือ ความถือหรือสำคัญ หมายอยู่ในภายในว่ามีตัวตน ที่จะ ได้ จะมี จะเป็น จะสูญสลาย ถูกบีบค้ัน ทำลายหรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคบั บัญชาส่ิงต่าง ๆ ได้ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งท้ังปวง อนั รวมท้ังตัวตนวา่ เป็นแตเ่ พยี งสง่ิ ท่ีประชุมประกอบกันเข้า เปน็ ไปตามเหตุปจั จัยทัง้ หลายทม่ี าสัมพันธ์กนั ลว้ น ๆ (พ.ธ. หน้า ๑๘๗) อปุ นิสัย ๔ ธรรมที่พ่ึงพิง หรือธรรมช่วยอุดหนุน ๑. สงฺขาเยกํ ปฏิเสวติ พิจารณาแล้วจงึ ใช้สอยปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช เป็นต้น ที่จำเป็นจะต้องเกี่ยวข้องและมีประโยชน์ ๒. สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ พิจารณาแล้วอดกล้ันได้แก่ อนิฏฐารมณ์ ต่าง ๆ มีหนาวร้อน และ ทุกขเวทนา เป็นต้น ๓. สงฺขาเยกํ ปริวชฺเชติ พิจารณาสิ่งที่เป็นโทษ ก่ออันตรายแก่ร่างกาย และ จิตใจแล้ว หลีกเว้น ๔. สงฺขาเยกํ ปฏิวิโนเทติ พิจารณาส่ิงท่ีเป็นโทษ ก่ออันตรายเกิดขึ้น แล้ว เช่น อกุศลวิตก มีกามวิตก พยาบาทวิตก และวิหิงสาวิตก และความชั่วร้ายทั้งหลาย แล้วพจิ ารณาแก้ไข บำบัดหรอื ขจัดให้สิน้ ไป (พ.ธ. หน้า ๑๗๙) โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ต่อความชวั่ (พ.ศ. หน้า ๔๓๙) โอวาท คำกล่าวสอน คำแนะนำ คำตักเตือน โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ คือ ๑. เว้นจากทุจริต คือ ประพฤติชั่วด้วยกาย วาจา ใจ (ไม่ทำช่ัวท้ังปวง) ๒.ประกอบสุจริต คือ ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ (ทำแต่ความดี) ๓. ทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง โลภ โกรธ หลง เป็น ต้น (ทำจติ ของตนใหส้ ะอาดบริสทุ ธิ)์ (พ.ศ. หนา้ ๔๔๐) สังคมศาสตร์ การศกึ ษาความสัมพนั ธข์ องมนษุ ย์ โดยใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ สงั คมศกึ ษา การเรียนร้เู พอื่ พัฒนาตนให้อย่รู ่วมในสังคมได้อยา่ งมีคุณภาพ คุณธรรม(virtue) และจริยธรรรม(moral or morality or ethics) คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงาม ความดี จริยธรรมมีความหมายเช่นเดียวกับศีลธรรม หมายถึง ธรรมท่ีเป็นข้อประพฤติกรรม ปฏิบัติความประพฤติหรือหน้าท่ีท่ีชอบ ท่ีควรปฏิบัติในการครองชีวิต ดังน้ันคุณธรรมจริยธรรม จึงหมายถึง สภาพคุณงามความดีท่ีประพฤติปฏิบัติหรือหน้าที่ท่ีควรปฏิบัติในการครองชีวิต หรือ คุณธรรมตามกรอบจริยธรรม ส่วนศีลธรรมและจริยธรรม มคี วามหมายใกลเ้ คียงกัน คุณธรรมจะมี ความหมายท่ีเน้นสภาพ ลักษณะ หรือคุณสมบัติที่แสดงออกถึงความดีงาม ส่วนจริยธรรม มี ความหมายเนน้ ท่ี ความประพฤติหรือการปฏบิ ัติท่ดี งี าม เปน็ ทยี่ อมรบั ของสงั คม นักวิชาการมักใช้ คำทั้งสองคำนี้ในความหมายนัยเดียวกันและมักใช้คำสองคำดังกล่าวควบคู่กันไป เป็นคำว่า คุณธรรมจริยธรรม ซึ่งรวมความหมายของคุณธรรมและจริยธรรม น่ันคือมีความหมายเน้นทั้ง สภาพ ลักษณ ะหรือคุณ สมบัติ และความประพฤติอันดีงาม เป็นท่ียอมรับของสังคม (โครงการเร่งสร้างคณุ ลกั ษณะท่ีดขี องเด็กและเยาวชนไทย ศนู ยค์ ณุ ธรรม หนา้ ๑๑ -๑๒)  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลักสูตรโรงเรียนบา้ นพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กล่มุ สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๗๘ ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบรหิ ารวิชาการ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ การเมือง ความรเู้ กี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจในการจัดระเบียบสังคมเพ่ือประโยชน์และความ สงบสขุ ของสงั คม มคี วามสัมพนั ธ์ต่อกันโดยรวมท้ังหมดในสว่ นหน่ึงของชีวิตในพน้ื ทห่ี น่ึงทเี่ ก่ยี วขอ้ ง กับอำนาจ อำนาจชอบธรรม หรอื อิทธพิ ล และมคี วามสามารถในการดำเนินการได้ ข้อมูล ส่ิงที่ได้รับร้แู ละยงั ไม่มกี ารจดั ประมวลใหเ้ ป็นระบบ เม่อื จดั ระบบแล้วเรยี กวา่ สารสนเทศ ค่านยิ ม การกำหนดคณุ คา่ และพฒั นาจนเปน็ บคุ ลกิ ภาพประจำตวั คณุ คา่ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์ เช่น ความดี ความงาม ความดีเปน็ คุณค่าของจรยิ ธรรม ความงามเป็นคณุ ค่า ทางสุนทรียศาสตร์ สิ่งที่ตอบสนองความต้องการได้เป็นสงิ่ ท่ีมีคุณค่า คุณค่าเป็นส่งิ เปล่ียนแปลงได้ คุณค่าเปลีย่ นไปได้ตามเวลา และคุณคา่ มักเปลี่ยนแปลงไปตามววิ ฒั นาการของความเจริญ บทบาท การกระทำทสี่ งั คมคาดหวังตามสถานภาพท่ีบุคคลครองอยู่ หนา้ ที เปน็ ความรบั ผิดชอบทางศลี ธรรมของปัจเจกชนซึ่งสังคมยอมรับ สถานภาพ ตำแหน่งทแ่ี ตล่ ะคนครองอยู่ในสถานที่หน่งึ ในชว่ งเวลาหน่ึง บรรทัดฐาน ข้อตกลงของสังคมท่ีกำหนดใหส้ มาชิกประพฤติ ปฏิบัติ บางทีเรยี กปทัสถาน สามารถใช้บรรทัด ฐานของสังคม (social norms) เปน็ มาตรฐานความประพฤติในทางจรยิ ธรรมได้ ซง่ึ แยกออกเปน็ ก. วิถีประชา (folkways) ได้แก่ แบบแผนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่สังคมยอมรับ และ ได้ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมา มักเก่ียวข้องกับเรื่องการดำเนินชีวิต และในส่วนที่เก่ียวข้องกับ จรยิ ธรรมจะไมม่ ีกฎเกณฑเ์ คร่งครดั แน่นอนตายตัว ข. กฎศีลธรรมหรือจารีต (mores) เป็นมาตรฐานความประพฤติของสังคมที่มีการกำหนด เกี่ยวกับจริยธรรมที่เข้มข้ึน ในกรณีมีผู้ฝ่าฝืนอาจมีการลงโทษ แม้วา่ ในบางครั้งจะไมม่ ีการเขียนไว้ เปน็ ลายลักษณอ์ กั ษรกต็ าม เชน่ การลวนลามสตรีในชนบท ต้องลงโทษด้วยการเสยี ผี ค. กฎหมาย (law) เป็นมาตรฐานความประพฤติท่ีรัฐกำหนดให้สมาชิกของรัฐพึงปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบตั ิ และกำหนดวธิ กี ารปฏิบัติการลงโทษสำหรบั ผฝู้ า่ ฝนื สิทธิ ขอ้ เรียกรอ้ งของปจั เจกชนซึง่ สังคมยอมรับ สทิ ธิทางศลี ธรรม เป็นข้อเรียกร้องทางศลี ธรรมของปัจเจกชนซึ่งสงั คมยอมรับ ประเพณี เป็นความประพฤติของคนหมู่หนึ่ง อยู่ในที่แห่งหน่ึง ถือเป็นแบบแผนกันมาอย่างเดียวกันและ สืบกนั มานาน ประเพณี คือ กิจกรรมที่มีรูปแบบของชุมชนหรือสังคมหนึ่งที่จัดข้ึนมาด้วยจุดประสงค์ใด จุดประสงคห์ นึ่ง และกำหนดการจัดกิจกรรมในช่วงเวลาแน่นอนสม่ำเสมอ กิจกรรที่เป็นประเพณี อาจมองไดอ้ กี ประการหนงึ่ วา่ เปน็ แบบแผนการปฏบิ ตั ิของกลุ่มเฉพาะหรอื ทางศาสนา ปฏิญญาสากลวา่ ด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights sinv UDHR) คือการ ประกาศเจตนารมณ์ ในการร่วมมือระหว่างประเทศที่มีความสำคัญในการวางกรอบเบ้ืองต้น เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและเป็นเอกสารหลักด้านสิทธิมนุษยชนฉบับแรก ซึ่งท่ีประชุมสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติ ให้การรับรองตามข้อมติท่ี ๒๑๗ A (III) เมื่อวันท่ี ๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๑ โดย ประเทศไทยออกเสยี งสนนั สนนุ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทย เป็นการศึกษา วิเคราะห์เกยี่ วกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในเรอื่ งเกย่ี วกับ ความเป็นมา ปัจจัยพ้ืนฐานและผลกระทบจากภายนอกที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์วัฒนธรรม ไทย วัฒนธรรมท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย รวมทั้งวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของมนุษยชาติโลก  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลักสตู รโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กลุม่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๗๙ ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลุม่ งานบรหิ ารวชิ าการ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ ความสำคัญ และผลกระทบทีม่ ีอทิ ธิพลต่อการดำเนนิ ชวี ิตของคนไทยและมนุษยชาติ ต้ังแต่อดีตถึง ปัจจบุ นั สมั มาชพี การประกอบอาชพี สจุ ริตและเหมาะสมในสังคม ประสิทธิภาพ ความสามารถในการทำงานจนสำเร็จ หรือผลการกระทำที่ได้ผลออกมาดีกวา่ เดิม รวมท้ัง การใชท้ รัพยากรต่างๆ อย่างคุ้มค่า โดยไม่ให้เกิดความสญู เปล่าหรือความสญู เสยี ทรัพยาการต่างๆ พจิ ารณาได้จากเวลา แรงงาน วัตถดุ ิบ เครือ่ งจักร ปริมาณและคุณภาพ ฯลฯ ประสทิ ธิผล ระดบั ความสำเร็จของวัตถปุ ระสงค์ หรอื ผลสำเรจ็ ของงาน สินค้า หมายความว่าส่ิงของทส่ี ามารถซ้ือขาย แลกเปล่ยี น หรือโอนกนั ได้ ไม่ว่าจะเกิดโดยธรรมชาติหรือ เปน็ ผลติ ผลทางการเกษตร รวมตลอดถงึ ผลติ ภณั ฑ์ทางหตั ถกรรมและอุตสาหกรรม ภูมิปัญญา ส่วนหน่ึงของประเพณี หรือเป็นกิจกรรมเฉพาะตัวก็ได้ เช่น พิธีถวายสังฆทาน พิธีบวชนาค พธิ ีบวชลกู แกว้ พิธขี อฝน พธิ ีไหว้ครู พธิ แี ต่งงาน มนุษยชาติ การเกดิ เปน็ มนษุ ยม์ าจาก มนุษย์ = ผู้มจี ิตใจสงู กับชาติ = เกิด โดยปกตหิ มายถงึ มนุษยท์ ว่ั ๆ ไป มรรยาท พฤตกิ รรมทส่ี งั คมกำหนดว่าควรประพฤติเป็นวฒั นธรรม วัดจากความเหมาะสมและไมเ่ หมาะสม ระบบ การนำสว่ นตา่ ง ๆ มาปรบั เรียงต่อให้ทำงานประสานต่อเน่อื งกันจนดเู ป็นสง่ิ เดียวกนั กระบวนการ กรรมวิธีหรือลำดับการกระทำซง่ึ ดำเนินการต่อเนอ่ื งกนั ไปจนสำเร็จลง ณ ระดับหน่ึง วเิ คราะห์ การแยกแยะใหเ้ หน็ คณุ ลกั ษณะของแตล่ ะองคป์ ระกอบ เศรษฐกิจ ความรู้เกี่ยวกับการกิน การอยู่ของมนุษย์ในสังคม ว่าด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดการผลิต การกระจายผลผลิต และการบริโภค สหกรณ์ แปลว่าการทำงานร่วมกัน การทำงานร่วมกันนี้ลึกซ้ึงมาก เพราะว่าต้องร่วมมือกันในทุกด้าน ท้ัง ในด้านงานทท่ี ำด้วยร่างกาย ท้งั ในด้านงานที่ทำด้วยสมอง และงานการท่ีทำดว้ ยใจ ทุกอย่างน้ีขาด ไม่ได้ต้องพร้อม (พระราชดำรัสพระราชทานแก่ผู้นำสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นิคมและสหกรณ์ ประมงทั่วประเทศ ณ ศาลาดสุ ติ ดาลยั ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖) ทรพั ยส์ ินทางปัญญา หมายถึง ผลงานอนั เกิดจากการประดิษฐค์ ิดคน้ หรอื สรา้ งสรรคข์ องมนุษย์ ซึง่ เน้น ที่ผลผลิตของสติปัญญาและความชำนาญ โดยไม่คำนึงถึงชนิด ของการสร้างสรรค์หรือวิธีในการ แสดงออก ทรัพย์สินทางปัญญา อาจเป็นส่ิงที่จับต้องได้ เช่นสินค้า ต่าง ๆ หรือ เป็นสิ่งท่ีจับต้อง ไม่ได้ เช่น บริการ แนวความคิด กรรมวิธีและทฤษฎีต่าง ๆ เป็นต้น ทรัพย์สินทางปัญญามี ๒ ประเภ ท ทรัพ ย์สิน ทางอุตสาหก รรม (Industrial property) และลิขสิทธิ์ (Copyright) ๑. ทรพั ยส์ นิ ทางอตุ สาหกรรม มีสิทธบิ ตั ร แบบผงั ภมู ขิ องวงจรรวม เครือ่ งหมายการค้า ความลับ ทางการค้า ชอ่ื ทางการค้า สิ่งบ่งช้ที างภูมศิ าสตร์ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หมายความว่า ช่ือ สัญลักษณ์ หรือส่ิงอื่นใดที่ใช้เรียกหรือใช้แทนแหล่ง ภูมิศาสตร์ และทีสามารถบ่งบอกว่าสินค้าที่เกิดจากแหล่งภูมิศาสตร์น้ันเป็น สินค้าที่มีคุณภาพ ช่อื เสียง หรอื คุณลักษณะเฉพาะของแหล่งภมู ิศาสตรด์ งั กลา่ ว ๒. ลขิ สิทธ์ิ คือ งานหรอื ความคิดสร้างสรรคใ์ นสาขาวรรณกรรม ศลิ ปกรรม ดนตรกี รรม งานภาพยนตร์ หรืองานอื่นใดในแผนกวรณคดี หรือแผนกศิลปะ แผนกวิทยาศาสตร์ ลิขสิทธ์ิยัง รวมท้งั สิทธิขา้ งเคียง (Neighbouring Right) เหตุ ภาวะเงอ่ื นไขทีจ่ ำเปน็ ท่ที ำให้ส่ิงหนึ่งเกดิ ขึ้นตามมา เรียกวา่ ผล เหตกุ ารณ์ ปรากฏการณ์ที่เกดิ ขึน้  ระดบั ประถมศึกษา

หลักสตู รโรงเรียนบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร)์ กลุ่มสาระการเรยี นร้สู งั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๘๐ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบริหารวชิ าการ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ อำนาจ ความสามารถในการบีบบงั คบั ใหส้ ง่ิ หนง่ึ (คนหนง่ึ ...) กระทำตามท่ีปรารถนา อทิ ธพิ ล อำนาจบังคบั ท่ีกอ่ ให้เกดิ ความสำเรจ็ ในสิ่งใดสิ่งหนง่ึ เอกลกั ษณ์ ลกั ษณะทีม่ ีความเปน็ หน่ึงเดียว ไม่มีท่ีใดเหมือน ตำนาน เป็นเรอื่ งเลา่ ตอ่ กนั มาและถกู บันทึกข้ึนภายหลงั พงศาวดาร คือ การบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับเวลา ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวท่ีกับ พระมหากษตั ริย์ และราชสำนกั อดีต คือ เวลาท่ีล่วงมาแล้ว ความสำคัญของอดีต คือ อดตี จะครอบงำความคดิ และความร้ขู องเราอย่าง กว้างขวางลกึ ซึ้ง อดตี ท่ีเกี่ยวข้องกับกลุ่มคน/ความสำคัญท่ีมตี ่อเหตุการณ์และกล่มุ คนจะถกู นำมา เช่ือมโยงเขา้ ด้วยกนั นักประวัติศาสตร์ เป็นผบู้ ันทึกเหตุการณ์ท่ีเกดิ ขึ้น ผู้สร้างประวัติศาสตรข์ ้ึนจากหลกั ฐานประเภทต่าง ๆ ตามจดุ มุ่งหมายและวธิ ีการคดิ ซงึ่ งานเขยี นอาจนำไปสูก่ ารเป็นวิชาประวตั ศิ าสตร์ได้ในท่สี ุด ความม่งุ หมายในการเขียนประวตั ศิ าสตร์ - นกั ประวตั ิศาสตร์รนุ่ เกา่ มงุ่ สกู่ ารรวมชาติ/รับใชก้ ารเมือง - นักประวตั ศิ าสตร์รนุ่ ใหม่ มุง่ ทีจ่ ะหาความจริง (truth) จากอดตี และตีความโดยปราศจากอคติ (bias) หลักฐานประเภท ตา่ ง ๆ จะให้ข้อเท็จจริงบางประการ ซ่ึงจะนำไปสู่ความจริงในที่สดุ โดยมีวิธีการแบ่ง ประเภทของหลักฐานหลายแบบ เช่น หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์และหลักฐานสมัย ประวัติศาสตร์แบบหน่ึง หลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษรและหลักฐานท่ีไม่ใช่ลายลักษณ์แบบ หน่ึง หรือหลักฐานชั้นต้นและหลักฐานช้ันรอง (หรือหลักฐานชั้นท่ีหน่ึง ช้ันท่ีสอง ชั้นที่สาม) อีกแบบหน่ึง หลักฐานทจ่ี ะถูกประเมนิ ว่านา่ เชอ่ื ถอื ท่สี ดุ คือ หลกั ฐานท่ีเกดิ ร่วมสมัยหรือเกิดโดยผู้ท่ี รูเ้ ห็นเหตุการณ์นั้น ๆ แต่กระน้ันนักประวตั ิศาสตร์ก็จะต้องวิเคราะห์ท้ังภายในและภายนอกก่อน ด้วยเช่นกัน เน่ืองจากผู้ที่อยู่ร่วมสมัยก็ย่อมมีจุดมุ่งหมายส่วนตัวในการบันทึก ซ่ึงอาจทำให้เลือก บนั ทกึ เฉพาะเรอ่ื งบางเรอ่ื งเท่านัน้ อคติ คือ ความลำเอียง ไม่ตรงตามความเป็นจริง เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน ซึ่งผู้ท่ีเป็นนัก ประวัติศาสตร์จะต้องตระหนักและควบคมุ ใหไ้ ด้ ความเปน็ กลาง คือ การมองด้วยปราศจากความรู้สึกอคตจิ ะเกิดข้ึนได้หากเข้าใจธรรมชาติของหลักฐาน แต่ละประเภท เข้าใจปรัชญาและวธิ ีการทางประวัติศาสตร์ เข้าใจจุดมุ่งหมายของผู้เรียน ผู้บันทึก ประวตั ศิ าสตร์ (นัน่ คือ เข้าใจว่าบนั ทึกเพอื่ อะไร เพราะเหตุใด) ความจริงแท้ (real truth) คือ ความจริงท่ีคงอยู่แน่นอนนิรันดร์ เป็นจุดหมายสูงสุดท่ีนักประวัติศาสตร์ มุ่งแ สวงห าซ่ึ งจะ ต้อ งอ าศัย ความเข้าใจและความ จริงที่ อ ยู่เบ้ือ งห ลั งก าร เกิ ดพฤติกรรมและ เหตุการณ์ต่าง ๆ (ท่ีมนุษย์เป็นผู้สร้าง) ซ่ึงการแสวงหาความจริงแท้ ต้องอาศัยความสมบูรณ์ของ หลกั ฐานและกระบวนการทางประวตั ิศาสตร์ท่ีละเอยี ด ถี่ถว้ น กนิ เวลายาวนาน แต่นีค้ ือ ภาระหนา้ ท่ี ของนักประวัตศิ าสตร์ ผูส้ อนวิชาประวัติศาสตร์ คือ ผนู้ ำความรูท้ างประวตั ิศาสตร์มาพัฒนาให้ผู้เรยี นเกิดความรู้ เจตคตแิ ละ ทักษะในการใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความจริงและความจริงแท้จะต้องศึกษา ผลงานของนักประวัตศิ าสตรแ์ ละเลือกเน้ือหาประวัติศาสตร์ที่เหมาะสมกับวยั ของผู้เรียน โดยต้อง เป็นไปตามจุดประสงคข์ องหลักสตู รและสอดคลอ้ งธรรมชาตขิ องประวตั ศิ าสตร์  ระดับประถมศึกษา

หลักสตู รโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร)์ กล่มุ สาระการเรียนรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๘๑ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบริหารวิชาการ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาเรื่องการนับเวลา และการแบ่งช่วงเวลาตามระบบ ต่าง ๆ ทั้งแบบไทย สากล ศักราชที่สำคัญ ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก และการแบ่งยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ ท้ังน้ีเพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะพ้ืนฐานสำหรับการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สามารถเข้าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ท่ีสัมพันธ์กับอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ตระหนักถึง ความสำคัญในความต่อเนื่องของเวลา อิทธิพลและความสำคัญของเวลาท่ีมีต่อวิถีการดำเนินชีวิต ของมนุษย์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึงกระบวนการในการแสวงหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดจากวิธี วิจัยเอกสารและหลักฐานประกอบอ่ืนๆ เพ่ือให้ได้มาซ่ึงองค์ความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์บน พ้นื ฐานของความเปน็ เหตเุ ป็นผล และการวเิ คราะหเ์ หตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ อย่างเป็นระบบ ประกอบดว้ ย ขน้ั ตอนตอ่ ไปนี้ หน่ึง การกำหนดเป้าหมายหรือประเด็นคำถามที่ต้องการศึกษา แสวงหาคำตอบด้วยเหตุ และผล (ศึกษาอะไร ชว่ งเวลาไหน สมยั ใด และเพราะเหตุใด) สอง การค้นหาและรวบรวมหลักฐานประเภทต่าง ๆ ท้ังท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร และไม่เป็นลาย ลักษณ์อกั ษร ซึ่งไดแ้ ก่ วัตถโุ บราณ รอ่ งรอยถิน่ ทอี่ ยอู่ าศยั หรือการดำเนนิ ชวี ติ สาม การวิเคราะห์หลักฐาน (การตรวจสอบ การประเมินความน่าเช่ือถือ การประเมินคุณค่าของ หลักฐาน) การตคี วามหลกั ฐานอย่างเปน็ เหตเุ ป็นผล มคี วามเป็นกลาง และปราศจากอคติ ส่ี การสรุปข้อเท็จจริงเพื่อตอบคำถาม ด้วยการเลือกสรรข้อเท็จจรงิ จากหลักฐานอย่างเคร่งครัด โดยไม่ใช้ค่านิยมของตนเองไปตัดสินพฤตกิ รรมของคนในอดีต โดยพยายามเข้าใจความคิดของคน ในยุคน้ันหรือนำตวั เขา้ ไปอยใู่ นยคุ สมัยท่ตี นศึกษา หา้ การนำเสนอเรอ่ื งท่ีศกึ ษาและอธบิ ายได้อย่างสมเหตุสมผล โดยใช้ภาษาที่เขา้ ใจง่าย มีความ ตอ่ เนื่อง น่าสนใจ ตลอดจนมีการอ้างอิงข้อเท็จจริง เพื่อให้ได้งานทางประวัติศาสตร์ทีม่ ีคุณค่าและ มีความหมาย พัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน เป็นการศึกษาเรื่องราวของสังคม มนุษย์ในบริบทของ เวลาและสถานที่ โดยท่ัวไปจะแยกเร่ืองศึกษาออกเป็นด้านต่าง ๆ ได้แก่ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยกำหนดขอบเขต การศึกษาในกลุ่มสังคม มนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ในท้องถ่ิน/ประเทศ/ภูมภิ าค/โลก โดยมุ่งศึกษาว่า สังคมนั้น ๆ ได้เปล่ียนแปลงหรือพัฒนาตามลำดับเวลาได้อย่างไร เพราะเหตุใด จึงเกิดความ เปล่ียนแปลงมีปัจจัยใดบ้าง ท้ังทางด้านภูมิศาสตร์และปัจจัยแวดล้อมทางสังคม ท่ีมีผลต่อ พัฒนาการหรือการสร้างสรรคว์ ัฒนธรรม และผลกระทบของการสร้างสรรค์ของมนษุ ย์ในดา้ นต่าง ๆ เป็นอย่างไร ท้งั นีเ้ พือ่ ใหเ้ ข้าใจอดตี ของสังคมมนุษยใ์ นมิตขิ องเวลาและความต่อเน่ือง ภมู ิศาสตร์ เป็นคำที่มาจากภาษากรีก (Geography) หมายถึงการพรรณนาลกั ษณะของโลกเป็นศาสตร์ ทางพ้ืนท่ี เป็นความรู้ท่วี ่าด้วยปฏิสมั พนั ธข์ องสง่ิ ต่าง ๆ ในขอบเขตหน่ึง ลักษณะทางกายภาพ ของภูมิศาสตร์ หมายถึง ลักษณะที่มองเห็นเป็นรูปร่าง รูปทรง โดยสามารถ มองเห็นและวิเคราะห์ไปถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่ง เกี่ยวข้องกับลักษณะของธรณีสัณฐานวิทยาภูมิอากาศวิทยา ภูมิศาสตร์ดิน ชีวภูมิศาสตร์พืช ภูมิศาสตรส์ ตั ว์ ภมู ศิ าสตร์ส่งิ แวดลอ้ มตา่ ง ๆ เป็นต้น  ระดบั ประถมศึกษา

หลกั สูตรโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๘๒ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบริหารวชิ าการ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน หมายถึงวิธีการศึกษา หรือวิธีการวิเคราะห์ พิจารณาสำหรับศาสตร์ทาง ภูมิศาสตร์ได้ใช้สำหรับการศึกษาพิจารณา คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ถึงสิ่งต่าง ๆ ท่ีมีผลต่อกัน ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับมนุษย์ (Environment) ทางกายภาพ ด้วยวิธีการศึกษา พิจารณาถึง ความแตกต่าง ความเหมือนระหว่างพื้นที่หน่ึงๆ กับอีกพ้ืนท่ีหนึ่ง หรือระหว่างภูมิภาคหน่ึงกับ ภูมิภาคหน่ึง โดยพยายามอธิบายถึงความแตกต่าง ความเหมือน รูปแบบของภูมิภาค และ พยายามขีดเส้นสมมุติ แบ่งภูมิภาคเพ่ือพิจารณาวิเคราะห์ ดูสัมพันธภาพของภูมิภาคเหล่านั้นว่า เปน็ อยา่ งไร ภูมศิ าสตร์ คอื ภาพปฏสิ มั พนั ธข์ องธรรมชาติ มนุษย์ และวัฒนธรรม รปู แบบตา่ ง ๆ ถา้ พิจารณาเฉพาะปจั จัยทางธรรมชาติ จะเปน็ ภมู ศิ าสตร์กายภาพ (Physical Geography) ถ้าพิจารณาเฉพาะปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เช่น ประชากร วิถีชีวิต ศาสนา ความเช่ือ การ เดนิ ทาง การอพยพจะเป็นภูมิศาสตรม์ นุษย์ (Human Geography) ถ้าพิจารณาเฉพาะปัจจัยท่ีเป็นสิ่งท่ีมนุษย์สร้างข้ึน เช่น การตั้งถิ่นฐาน การคมนามคม การค้า การเมือง จะเป็นภมู ศิ าสตรว์ ัฒนธรรม (Cultural Geography) ภมู ิอากาศ คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบอุตุนิยมวิทยา รปู แบบต่าง ๆ เช่น ภูมิอากาศ แบบร้อน ชนื้ ภูมอิ ากาศแบบอบอุ่นชน้ื ภูมอิ ากาศแบบรอ้ นแห้งแล้ง ฯลฯ ภูมิประเทศ คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบแผ่นดิน เช่น หิน ดิน ความต่างระดับ ทำให้เกิด ภาพลักษณะรูปแบบต่าง ๆ เช่น พ้ืนท่ีแบบภูเขา พื้นที่ระบบลาด เชิงเขา พ้ืนท่ีราบ พื้นท่ีลุ่ม ฯลฯ ภูมพิ ฤกษ์ คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ของพืชพรรณ อากาศ ภูมปิ ระเทศ ดิน สตั วป์ า่ ในรปู แบบต่าง ๆ เช่น ป่า ดบิ ปา่ เต็งรัง ปา่ เบญจพรรณ ปา่ ทุง่ หญา้ ฯลฯ ภูมิธรณี คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ของแร่ หนิ โครงสร้างทางธรณี ทำให้เกิดรปู แบบทางธรณีชนิดต่าง ๆ เช่น ภูเขาแบบทบตัว ภเู ขาแบบยกตัว ทีร่ าบนำ้ ท่วมถงึ ชายฝัง่ แบบยุบตวั ฯลฯ ภูมิปฐพี คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ของแร่ หิน ภูมิประเทศลักษณะอากาศ พืชพรรณ ทำให้เกิดดินรูปแบบ ตา่ ง ๆ เชน่ แดนดินดำ มอดินแดง ดินทรายจดั ดินกรด ดนิ เค็ม ดนิ พรุ ฯลฯ ภูมอิ ทุ ก คอื ภาพปฏสิ ัมพันธ์ของแผน่ ดิน ภูมิประเทศ ภมู อิ ากาศ ภมู ธิ รณี พชื พรรณ ทำให้เกิดรปู แบบ แหล่งน้ำชนิดต่าง ๆ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บึง ทะเล ทะเลสาบ มหาสมุทร น้ำใต้ดิน น้ำบาดาล ฯลฯ ภูมิดารา คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ของดวงดาว กลุ่มดาว เวลา การเคล่ือนการโคจรของ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ทำให้เกิดรปู แบบปรากฏการณต์ ่าง ๆ เช่น การเกดิ กลางวันกลางคืน ข้างขึ้น-ข้างแรม สุริยุปราคา ตะวันออ้ มเหนอื ตะวนั อ้อมใต้ ฯลฯ ภัยพิบัติ เหตุการณ์ท่ีกอ่ ให้เกดิ ความเสียหายและสูญเสียอย่างรนุ แรง เกิดข้ึนจากภัยธรรมชาติและกระทำ ของมนุษย์ จนชมุ ชนหรอื สงั คมทเ่ี ผชิญปญั หาไมอ่ าจรบั มือ เชน่ ดินถลม่ สึนามิ ไฟปา่ ฯลฯ แหล่งภูมิศาสตร์ หมายความว่า พ้ืนท่ีของประเทศ เขต ภูมิภาคและท้องถิ่น และให้หมายความรวมถึง ทะเล ทะเลสาบ แมน่ ้ำ ลำนำ้ เกาะ ภเู ขา หรือพืน้ ทอ่ี ่นื ทำนองเดยี วกันดว้ ย เทคนิคทางภูมิศาสตร์ หมายถึง แผนที่ แผนภูมิ แผนภาพ และกราฟ ภายถ่ายทางอากาศ และภาพถ่ายจาก ดาวเทียม เทคโนโลยีภูมสิ ารสนเทศ ส่อื ที่สามารถค้นขอ้ มูลทางภูมศิ าสตร์ได้  ระดับประถมศกึ ษา

หลักสตู รโรงเรียนบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๘๓ ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลมุ่ งานบรหิ ารวิชาการ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ มิติทางพื้นท่ี หมายถึง การวิเคราะห์ พิจารณาในเร่ืองขององค์ประกอบทางภูมิศาสตร์ท่ีเกี่ยวข้องกับ เวลา สถานที่ ปัจจัยแวดล้อม และการกระจายของพ้ืนที่ในรูปแบบต่าง ๆ ท้ังความกว้าง ยาว สูง ตามขอบเขตที่กำหนด หรอื สมมุติพน้ื ทขี่ ึน้ มาพิจารณา การศึกษารูปแบบทางพื้นที่ หมายถึง การศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับพื้นท่ีหรือมิติทางพื้นที่ของ สังคม มนษุ ย์ ท่ีตั้งถน่ิ ฐานอยู่ มีการใช้และกำหนดหน่วยเชิงพื้นที่ ที่ชดั เจน มีการอาศัยเสน้ ทเี่ ราสมมุตขิ ึ้น อาศัยหน่วยต่าง ๆ ข้ึนมากำหนดขอบเขต ซ่ึงมีองค์ประกอบลักษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง และลักษณะทางพัฒนาการของมนุษย์ท่ีเด่นชัด สอดคล้องกันเป็น พื้นฐานในการศกึ ษา แสวงหาข้อมลู ภูมิศาสตร์กายภาพ หมายถึง ศาสตร์ท่ีศึกษาเร่ืองเกี่ยวกับระบบธรรมชาติ ถึงความเป็นมา ความ เปลย่ี นแปลง และพัฒนาการไปตามยุคสมัย โดยมีขอบเขตท่ีกลา่ วถึง ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ ลักษณะ ภูมิอากาศ ภูมิปฐพี (ดิน) ภูมิอากาศ (ลมฟ้าอากาศ บรรยากาศ) และภูมิพฤกษ์ (พืชพรรณ ป่าไม้ ธรรมชาติ) รวมท้ังทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ การเปล่ียนแปลงของ ธรรมชาติที่มผี ลตอ่ ชีวิตและความเป็นอยขู่ องมนษุ ย์ ส่ิงแวดล้อม สิ่งท่ีอยู่รอบ ๆ ส่ิงใดสิ่งหนึ่งและมีอิทธิพลต่อส่ิงน้ัน อาทิ อากาศ น้ำ ดิน ต้นไม้ สัตว์ ซึ่ง สามารถถกู ทำลายได้โดยการขาดความระมดั ระวัง ส่งิ แวดล้อมทางภายภาพ หมายถึง ทุกส่ิงทุกอยา่ ง ยกเว้นตัวมนษุ ยแ์ ละผลงาน และมนุษย์ ส่ิงแวดล้อม ทางกายภาพ ได้แก่ ภูมิอากาศ ดิน พืชพรรณ สัตว์ป่า ธรณีสัณฐาน (ภูเขาและที่ราบ) บรรยากาศ มหาสมทุ ร แรธ่ าตุ และนำ้ อนุรักษ์ การรักษา จัดการ ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม หรือการรักษาป้องกันบางสิ่งไม่ให้ เปลยี่ นแปลง สูญหายหรอื ถกู ทำลาย ภูมิศาสตร์มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม หมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาเร่ืองราวเกี่ยวกับมนุษย์ วิถีชีวิตและ ความเป็นอยู่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ส่ิงแวดล้อมด้านสังคมทั้งในเมืองและท้องถิ่น การเปล่ียนแปลงทางส่ิงแวดล้อม สาเหตแุ ละผลกระทบท่ีมตี ่อมนุษย์ ปัญหาและแนวทางแกป้ ัญหา ทางสังคม กรอบทางพ้ืนท่ี (Spatial Framework) หมายถึง การวางข้อกำหนดหรือขอบเขตของพื้นที่ในการศึกษา เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือแบบรูปแบบกระจายของส่ิงต่าง ๆ บนผิวโลกส่วนใดส่วนหน่ึง เพ่ือให้เรา เข้าใจลักษณะโลกของมนุษย์ดขี ้ึน เชน่ การกำหนดให้มนษุ ย์ และวัฒนธรรมของมนษุ ย์ดีขนึ้ เช่น การกำหนดให้มนุษย์และวัฒนธรรมของมนุษย์กรอบพื้นท่ีของโลกที่มีลักษณะเป็น ภูมิภาค ประเทศ จังหวัด เมือง ชุมชน ท้องถ่ิน ฯลฯ สำหรับการวิเคราะห์ หรือศึกษาองค์ประกอบใด องค์ประกอบหน่งึ เฉพาะเรือ่ ง รูปแบบทางพื้นที่ (Spatial Form) หมายถึง ข้อเท็จจริง เคร่ืองมือ หรือวิธีการ โดยเฉพาะกลุ่มของ ข้อมูลท่ีได้มา เป็นต้นว่า ความสัมพันธ์ทางพ้ืนทแี่ บบรปู แบบของการกระจาย การกระทำระหว่าง กัน เคร่อื งมอื ที่ใช้ ได้แก่ แผนที่ ภาพถา่ ย ฯลฯ พ้ืนท่ีหรือระวางท่ี(Space) หมายถงึ ขอบเขตทางพ้ืนที่ในการวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์ เป็นการศึกษา พื้นท่ีในมิติต่าง ๆ ตามระวางที่ (Spatiak study) ที่กำหนดขึ้นมีขอบเขตชัดเจน อาจจะมีการ กำหนดเป็นเขตบริเวณ สถานท่ี นำมิติของความกว้าง ความลึก ความสูง ความยาว รวมทง้ั มิติทาง เวลา ในเขตพ้ืนที่ต่าง ๆ ตามที่เรากำหนด ขอบเขตระหว่างที่ ด้วยเคร่ืองมือ เส้นสมมติและเทคนิค  ระดับประถมศกึ ษา

หลกั สตู รโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร)์ กล่มุ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๘๔ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กล่มุ งานบริหารวชิ าการ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ ทางภูมิศาสตร์ต่าง ๆ เช่น แผนที่ ภาพถ่าย ฯลฯ อาจจะจำแนกเป็นเขต ภูมิภาค ประเทศ จงั หวัด เมือง ชุมชน ท้องถิ่น ฯลฯ ท่ีเฉพาะเจาะจงไป มีการพิจารณา วิเคราะห์ถึงการกระจายและ สัมพนั ธภาพของมนษุ ย์บนผวิ โลก และลักษณะทางพนื้ ท่ีของการตั้งถน่ิ ฐานของมนษุ ย์ และการท่ีใช้ ประโยชน์จากพื้นโลก สัมพันธ์จากถิ่นฐานของมนุษย์ และการที่ใช้ประโยชน์จากพ้ืนโลก สัมพันธภาพระหวา่ งสังคมมนุษย์กับส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ ซ่ึงถือว่าเป็นส่วนหน่ึงในการศึกษา ความแตกตา่ งเชิงพนื้ ที่ (Area difference) มติ ิสัมพนั ธเ์ ชิงทำเลที่ตง้ั หมายถึง การศกึ ษาความแตกต่างหรือความเหมอื นกันของสงั คมมนุษย์ในแต่ ละสถานที่ ในฐานะท่ีความแตกต่างและเหมือนกันน้ันอาจมีความเกี่ยวเน่อื งกับความแตกตา่ งและ ความเหมอื นกันในสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ทางเศรษฐกจิ ทางสังคม ทางวฒั นธรรม ทางการเมือง และการศึกษาภูมทิ ัศนท์ ่ีแตกต่างกันในเรื่ององค์ประกอบ ปัจจัย ตลอดจนแบบรูปการกระจายของ มนุษย์บนพืน้ โลก และการที่มนษุ ย์ใช้ประโยชน์จากพนื้ โลก เหตไุ รมนุษย์จึงใชป้ ระโยชนจ์ ากพื้นโลก แตกตา่ งกันในสถานท่ีตา่ งกัน และในเวลาท่ีตา่ งกนั มีผลกระทบอย่างไร ภาวะประชากร รายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประชากรในเร่ืองสำคัญ ๓ ด้าน คือขนาดประชากร การกระจายตวั เชิงพื้นที่ และองคป์ ระกอบของประชากร ขนาดของประชากร จำนวนประชากรท้ังหมดของเขตพ้ืนท่ีหน่งึ พนื้ ที่ ณ เวลาทก่ี ล่าวถงึ การกระจายตัวเชิงพื้นท่ี การท่ีประชากรกระจายตัวกันอยู่ในส่วนต่างๆ ของพ้ืนที่หน่ึงพ้ืนท่ี ณ เวลาที่ กลา่ วถงึ องค์ประกอบของประชากร ลักษณะต่าง ๆ ที่มีส่วนผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือจำนวน ประชากร องค์ประกอบของประชากรเป็นดัชนีอย่างหน่ึงท่ีช้ีให้เห็นถึงคุณภาพของประชากร องค์ประกอบประชากรทสี่ ำคัญ ไดแ้ ก่ เพศ อายุ การศกึ ษา อาชีพ การสมรส การเปล่ยี นแปลงประชากร องค์ประกอบสำคัญท่ีทำใหเ้ กิดกรเปลยี่ นแปลงประชากร คือ การเกิด การ ตาย และการย้ายถน่ิ  ระดับประถมศึกษา

หลกั สูตรโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) กลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศกั ราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๘๕ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบรหิ ารวิชาการ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ บรรณานกุ รม สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา. กรอบแนวทางการปรบั ปรงุ หลักสตู รการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๔๔. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร, ๒๕๕๐. . ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณก์ ารเกษตร, ๒๕๕๑. . แนวทางการบริหารจัดการหลกั สตู ร. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชมุ นุม สหกรณ์ การเกษตร, ๒๕๕๑. . แนวปฏบิ ัติการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตร, ๒๕๕๑. . หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตร, ๒๕๕๑.  ระดับประถมศกึ ษา

หลกั สูตรโรงเรียนบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร์) กล่มุ สาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศกั ราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๘๖ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กล่มุ งานบริหารวชิ าการ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ ภาคผนวก  ระดบั ประถมศึกษา

หลักสูตรโรงเรยี นบ้านพลวง(พรหมบำรุงราษฎร)์ กลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓ หนา้ ๑๘๗ ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบรหิ ารวชิ าการ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ คณะผ้จู ดั ทำ คณะท่ปี รกึ ษา นายอดุ ม ภาสดา ศึกษานเิ ทศกส์ ำนกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาสรุ นิ ทร์เขต ๓ คณะกรรมการสถานศกึ ษา ๑. นายมิตร พะงาตนุ ัด ประธานกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน ๒. นางสมบตั ิ กิมเลง กรรมการผู้แทนผู้ปกครอง ๓. นายประเสริฐ ใจกล้า กรรมการผแู้ ทนครู ๔. นายสุวรรณ ไกยฝา้ ย กรรมการผูแ้ ทนองคก์ รชุมชน ๕. นายเกยี ว พันธ์เสน กรรมการผ้แู ทนองคก์ รปกครองส่วนท้องถน่ิ ๖. พระวสิ ทุ ธ์ วิสทุ โธ กรรมการผู้แทนพระภกิ ษสุ งฆ์ ๗. นายทวี ปิยไพร กรรมการผู้แทนองคก์ รศาสนา ๘. นายคอย สำราญสุข กรรมการผูแ้ ทนศิษยเ์ กา่ ๙. นายธนพล คูณสว่าง กรรมการผู้ทรงคณุ วุฒิ ๑๐. นายถาวร ผกู ดวง กรรมการผ้ทู รงคุณวฒุ ิ ๑๑. นายแถม อดิ ประโคน กรรมการผทู้ รงคุณวุฒิ ๑๒. นายหอม กายดี กรรมการผทู้ รงคณุ วุฒิ ๑๓. นางสุภาพ หมนั่ เที่ยง กรรมการผู้ทรงคณุ วฒุ ิ ๑๔. นายบัญญตั ิ โสพนิ กรรมการผทู้ รงคณุ วฒุ ิ ๑๕. นายศกั ด์ิชัย เลศิ อรุณรัตน์ กรรมการและเลขานุการ คณะทำงาน ๑. นายศักดช์ิ ัย เลิศอรณุ รัตน์ ผอู้ ำนวยการโรงเรยี น ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ ๒. นายประทปี อร่ามเรือง รองผู้อำนวยการโรงเรียน กรรมการ ๓. นางลัดดา นิสสยั ดี ครชู ำนาญการพเิ ศษ กรรมการ กรรมการ ๔. นางสาวเอ้อื งนภา คิดสม ครูชำนาญการ กรรมการ ๕. นางสาวกนกนาถ สุชาตสิ นุ ทร ครู กรรมการ กรรมการและเลขานกุ าร ๖. นายราชนพ ลำภู ครชู ำนาญการ กรรมการและผู้ชว่ ยเลขานกุ าร ๗. นางสาวขนิษฐา แก้วมุงคุณ ครูอัตราจา้ ง ๗. นายชนายทุ ธ ตรงตามคำ ครูชำนาญการ 8. นางสาวกิตติยา กมิ าวหา ครู  ระดบั ประถมศกึ ษา

หลกั สตู รโรงเรียนบา้ นพลวง(พรหมบำรงุ ราษฎร)์ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๑๘๘ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) กลุ่มงานบริหารวชิ าการ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ ผู้เสนอโครงการ ……………………………………………... (นายชนายุทธ ตรงตามคำ) ครู/หวั หนา้ กล่มุ บรหิ ารงานวชิ าการ ผเู้ ห็นชอบโครงการ ……………………………………………. (นายศักดิ์ชยั เลิศอรณุ รตั น์) ผ้อู านวยการโรงเรยี นบา้ นพลวง(พรหมบำรุงราษฎร์) ผอู้ นุมัติโครงการ ……………………………………………. (นายมิตร พะงาตุนดั ) ประธานคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน โรงเรียนบา้ นพลวง(พรหมบำรุงราษฎร)์  ระดบั ประถมศกึ ษา