ตอน ๘ สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษายุทธวธิ ีเอาชนะข้าศึก ร่าย ฝ่ ำยชีพ่อทวิชำชำติ รำชปุริโสดม พรหมพิทยำจำรย์ เบิกโขลนทวำรโดย กระทรวง ปวงละว้ำเซ่นไก่ ไขว่สรวงพลผี สี ำง พลำงธส่งแสงอำชญำ แด่หลวงมหำ วิชัยใจทระนงองอำจ ยำตรตดั ไม้ข่มนำม ตำมตำรับไสยเพท บัดนฤเบศทรงสดบั เสียงปื นทัพแย้งยทุ ธ์ สุดอำเภอเลอโสต โปรดโองกำรธใช้ ให้หม่ืนทิพเสนำ เห็จอำชำ เร็วรีบ ถบี ไปสืบเอำกำร เำรับสำรขึน้ ม้ำ ควบบช้ำบหึง ถึงที่ทวยพลทัพ รับพลำงถอย พล่ำงล่ำ มอญพม่ำตำมติด ประชิดไล่อลวน พจญรับอลหม่ำน ผ่ำนท้องท่งท้องนำ ดำ มำโดยแดนผล.ู ... ขณะท่ีพราหมณ์ผทู้ าพธิ ีเบิกประตูป่ า และพิธีละวา้ เซ่นไก่ หลวงมหาวชิ ยั รับพระแสงดาบอาญาสิทธ์ิ ไปทาพิธีตดั ไมข้ ่มนามตามไสยศาสตร์ สมเดจ็ พระนเรศวร ไดท้ รงสดบั เสียงปื นซ่ึงไทยกบั มอญกาลงั ยงิ ต่อสูก้ นั อยู่ แต่เสียงน้นั อยไู่ กลออกไป จึง รับสงั่ ใหห้ มื่นทิพเสนารีบไปสืบข่าว หม่ืนทิพเสนาข้ึนมาไปอยา่ งรวดเร็ว
ตอน ๘ สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษายุทธวธิ ีเอาชนะข้าศึก ร่าย ...เขำขำนท่ำนถำม สงครำมครำนีห้ นัก เชิญเสดจ็ พกั พลหมน้ั แต่งทัพซั้น ไปหน่วง ถ่วงศึกไว้จงหนำ รำมือลงก่อนไสร้ ไว้สักคร้ังร้ังรอ พอได้ทีจึ่งยำตรำ ยก พยหุ บำตรออกรำญ เห็นควรกำรชัยชอบ ธกต็ รัสตอบมนตรี ตรองคดีดแู ผก ฝ่ ำยเรำ แตกย่นยบั จักส่งทัพไปทำน พอพลอยฉำนสองซำ้ คำ้ บอย่บู หยดุ ชอบถอยทรุดอย่ำรั้ง ให้ศึกพลงั้ เสียเชิง โดยละเลิงใจอำจยำตรตำมติดผิดขบวน ควรเรำยกออกโรม โหม หักหำญรำญรงค์ คงชำนะเศิกไสร้ ได้ด้วยง่ำยด้วยงำม..... ทพั ไทยท่ีปะทะกบั ทพั มอญที่โคกเผาขา้ ว ตอ้ งล่าถอยเพราะกาลงั ขา้ ศีึกมีมากกวา่ สมเดจ็ พระนเรศวรจึงตรัสปรึกษาแม่ทพั นายกองวา่ คิดเห็นเช่นไร บรรดาแม่ทพั มีความคิดวา่ พระองคค์ วรส่งทพั ไปยนั ไวใ้ หข้ า้ ศึกอ่อนกาลงั ลง แต่พระนเรศวรตรัสตอบไปว่า ทพั ไทย กาลงั แตกพา่ ยหากส่งทพั ไปตา้ นทานอีก ก็จะพลอยแตกพ่ายท้งั ๒ ทพั ควรล่าถอยลงมาเพื่อ ลวงขา้ ศึกใหล้ ะเลิงใจ ทพั มอญอาจยกติดตามมาไม่เป็นขบวนเราน่าจะมีทางชนะไดง้ ่ายกวา่
ตอน ๙ ทพั หลวงเคล่ือนพล ช้างทรงสมเดจ็ พระนเรศวรและสมเดจ็ พระเอกาทศรถฝ่ าเข้าไปในกองทพั ข้าศึก เคล่ือนพลตำมเกลด็ นำค ตำกเตม็ ท่งแถวเถ่ือน เกล่ือนกล่นแสนยำทัพ ถบั ประทะไพริน ส่วนหัสดินอุภัย เจ้ำพระยำไชยำนุภำพ เจ้ำพระยำปรำษไตรจักร ตรับตระหนักสำเนียง เสียงฆ้องกลองปื นคึก อึกเอิกก้องกำหลง เร่งคำรนเรียกมัน ชันหูชูหำงแล่น แปร้นแปร๋แลคะไขว่ บำทย่ำงใหญ่ด่มุ ด่วน ป่ วนกิริยำร่ำเริง บำเทิง มนั ครั่นครึก เข้ำสู้ศึกโรมรำญ ควำญคัดท้ำยบมิอยู่ ว่วู ำงว่ิงฉับฉิว ปลิวประเล่ห์ลม พำน สำ่ แสะสำรแสนยำ ขวำซ้ำยแซงหน้ำหลัง ท้ังทยวพลตนขุน ถ้วนทุกมุลมวล มำตย์ ยำตรบทันโทท้ำว ด้ำวศึกสู้สองสำร... สมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงเคลื่อนพลตามเกล็ดนาค ตามตารา พิชยั สงคราม จนปะทะเขา้ กบั กองทพั ขา้ ศึก ชา้ งพระท่ีนงั่ ท้งั ๒ คือ พระเจา้ ไชยานุภาพและ เจา้ พระยาไตรจกั ร ไดย้ นิ เสียงกลอง ฆอ้ ง ของขา้ สึก กส็ ่งเสียงร้องดว้ ยความคึกคะนองเพราะ กาลงั ตกมนั ควาญบงั คบั ไวไ้ ม่อยู่ จนทหารในกองตามไม่ทนั มีแต่กลางชา้ งแลควาญชา้ งท่ี ตามเสดจ็ ไปดว้ ยจนเขา้ ไปใกลก้ องหนา้ ของขา้ ศึก
ตอน ๙ ทพั หลวงเคล่ือนพล ช้างทรงสมเดจ็ พระนเรศวรและสมเดจ็ พระเอกาทศรถฝ่ าเข้าไปในกองทพั ข้าศึก โคลง ๔ จึ่งไทเทเวศอ้ำง สมมตุ ิ ม่ิงมหิศวรมกฎุ เกศหล้ำ เถลิงภพแผ่นอยธุ ยำยิ่ง ยศแฮ แสดงพระเดชฟ้งุ ฟ้ำ เฟื่ องด้ำวดินไหว โชยงกำร ภูวไนยผำยโอษฐ์ อืน้ ฉชั้น แก่เทพทุกถิ่นสถำน กมลำสน์ แลนำ โสฬสพรหมพิมำน สดบั ถ้อยตแู ถลง เชิญช่วยชุมโสตซั้น เม่ือต่อสู้แบบตะลุมบอนจนฝ่ นุ ตลบมองหนา้ กนั ไม่เห็น เหมือนเวลากลางคืน สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสประกาศแด่เทวดาท้งั หลายบนสวรรคท์ ้งั หกช้นั และพรหมท้งั สิบหกช้นั ขอใหบ้ นั ดาลใหฟ้ ้าสวา่ งมองเห็นขา้ ศึกไดช้ ดั เจน
ตอน ๑๐ ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย โคลง ๔ พระพีพ่ ระผ้ผู ่ำน ภพอุต ดมเอย ไป่ ชอบเชษฐ์ยืนหยดุ ร่ มไม้ เชิญรำชร่วมคชยทุ ธ์ เผยอเกียรติ ไว้แฮ สืบกว่ำสองเรำไสร้ สุดสิ้นฤๅมี อวสำน นีน้ ำ หัสดรี ณเรศอ้ำง ห่ อนพ้ อง นับอนำคตกำล คชคู่ กนั แฮ ขตั ติยำยทุ ธ์บรรหำร ตรำบฟ้ำดินกษยั คงแต่เผือพน่ี ้อง สมเดจ็ พระนเรศวรทรงมีพระราชดารัสอนั ไพเราะ ไม่มีสุรเสียงข่นุ แคน้ เชิญ ชวนพระมหาอุปราชา เพื่อเป็นเกียรติไวใ้ หป้ รากฏ ต่อจากเราสองคงจะไม่มีอีกแลว้ การ รบด้วยการชนช้างจะถึงที่สุดเพียงน้ี กษตั ริยท์ ี่ทายุทธหัตถีกนั คงมีแต่เราสองพี่น้อง ตราบชวั่ ฟ้าดินสลาย
ตอน ๑๐ ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย โคลง ๔ เบือ้ งนั้นนฤนำถผู้ สยำมมินทร์ เบีย่ งพระมำลำผิน ห่ อนพ้ อง ศสั ตรำวธุ อรินทร์ ฤๅถกู องค์เอย เพรำะพระหัตถ์หำกป้อง ปัดด้วยขอทรง บัดมงคลพ่ ำห์ ไท้ ทวำรัติ แว้งเหวย่ี งเบ่ียงเศยี รสะบดั ตกใต้ อุกคลกุ พลกุ เงยงัด คอคช เศิกแฮ เบนบ่ำยหงำยแหงนให้ ท่วงท้อทีถอย ในรณ พลอยพลำ้ เพลยี กถ้ำท่ำน พ่ำยฟ้อน บดั รำชฟำดแสงพล เผดจ็ คู่ เขญ็ แฮ พระเดชพระแสงดล ขำดด้ำวโดยขวำ ถนัดพระอังสำข้อน
ตอน ๑๐ ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย โคลง ๔ อุรำรำนร้ ำวแยก ยลสยบ เอนพระองค์ลงทบ ท่ำวดิน้ เหนือคอคชซอนซบ สังเวช วำยชิวำตม์สุดสิ้น สู่ฟ้ำเสวยสวรรค์ เมื่อชา้ งทรงของสมเดจ็ พระนเรศวรเบนสะบดั ไดล้ ่าง จึงใชง้ างดั คอชา้ งของพระ มหาอุปราชาจนหงาย ชา้ งของพระมหาอุปราชาเสียท่าตอ้ งถอยหลงั พลาดท่าในการรบ สมเดจ็ พระนเรศวรจึงทรงเง้ือพระแสงของา้ วฟันถูกพระมหาอุปราชาที่พระองั สาขวาขาด สะพายแล่ง
ตอน ๑๑ สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างสถูปและปูนบาเหน็จทหาร โคลง ๔ รำชำชัยเยศอืน้ โองกำร รังสฤษฎ์พระสถปู สถำน ท่ีมล้ำง ขนุ เขญ็ คู่รำบำญ สวมศพ ไว้แฮ หนตระพงั ตรุสร้ำง สืบหล้ำแหล่งเฉลิม สมเดจ็ พระนเรศวรมีรับสง่ั ใหส้ ร้างสถูปสวมทบั ท่ีพระองคท์ รงทายทุ ธ หตั ถี เพอ่ื เป็นการเฉลิมพระเกียรติสืบไป เสร็จศึกยทุ ธหตั ถีแลว้ สมเดจ็ พระนเรศวร โปรดใหเ้ จา้ เมืองมล่วน รวมท้งั ควาญชา้ งกลบั ไปแจง้ ข่าวการแพส้ งครามและการ สิ้นพระชนมข์ องพระมหาอุปราชาแก่พระเจา้ หงสาวดี แลว้ พระองคก์ ย็ กทพั กลบั กรุงศรีอยธุ ยา
ตอน ๑๑ สมเดจ็ พระนเรศวรทรงสร้างสถูปและปูนบาเหน็จทหาร โคลง ๔ แล้วเผยพจนำรถช้ัน บรรหำร ยกชอบกอบบำนำญ ที่ม้วย นำยมหำนุภำพควำญ กลำงคช หน่ึงนำ หม่ืนภกั ดีศวรด้วย ศึกสู้เสียตน ปูนยศ บดั ดลดำรัสให้ ทั่วท้ัง ทรัพย์สิ่งศรีสำรด ควำมชอบ เขำนำ บตุ รทำรท่ำนแทนทด ต่อเหง้ำเผ่ำเฉลิม สมท่ีภกั ดีตง้ั พระนเรศวรทรงปรารภเรื่องการพระราชทานความดีความชอบแก่ พระยา รามราฆพ และขนุ ศรีคชคง โดยพระราชทานบาเหน็จ เครื่องอุปโภค เงิน ทอง ทาส และพระราชทานบานาญแก่บุตรภรรยาของนายมหานุภาพและหมื่นภกั ดีศวรที่ เสียชีวติ ในสงครามใหส้ มกบั ความดีความชอบที่ภกั ดีต่อพระองค์
ตอน ๑๑ สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างสถูปและปูนบาเหน็จทหาร ร่าย เพิ่มบำเหนจ็ เสร็จไซร้ ธให้เชิญพระอัยกำรศึก ปรึกษำโทษ ขนุ ทัพ สรรพทั้งมวลหม่มู ำตย์ ว่ำอริรำชริปู ยกพยหู เหยยี บเขต ประเวศชำนเวยี ง ชัย พระบำทไทธทั้งสอง ปองพระศำสน์อำรุง ผดุงชุมชีทวิชำติ ท่ัวทวยรำษฏร์ ประชำ ไป่ ระอำออกท้อ ข้อลำเคญ็ พรองค์ ทรงพระอุตสำหภำพ เสดจ็ ปรำบรำชอรี ปวงมนตรีนำยทัพ สรรพทุกตนทุกตัว กลวั อเรนทร์เหลือล้น พ้นย่ิงพระรำชอำญำ ไป่ ยำตรำพลขนั ธ์ ทันเสดจ็ ด้ำวรณรงค์ มละสำรทรงสองเต้ำ เข้ำท่ำมกลำงปัจนึก ถึงสู้ศึกหัสดี มชี ัเยศเสร็จสรรพ โทษขนุ ทัพท้ังมวล... ต่อมากท็ รงโทษแม่ทพั นายกองที่ตามเสดจ็ ไม่ทนั ตามกฎพระอยั การศึกวา่ ในการที่ขา้ ศึกยกทพั เขา้ มาเหยยี บแดนถึงชานพระนคร ปล่อยใหท้ ้งั สองพระองคท์ รง ชา้ งพระท่ีนงั่ ฝ่าเขา้ ไปท่ามกลางขา้ ศึกตามลาพงั
ตอน ๑๒ ขอพระราชทานอภยั โทษ จอมชี ท่ำนไท้ โคลง สมเดจ็ พนรัตเจ้ำ บวั บำท พระนำ ฉลองพจน์รำชวำที บทเบือ้ งเรณู ทวยทูลละอองธุลี ไป่ เกรง พืน้ ภักดีต่อใต้ ห่ อนพ้ อง ดผู ิดไป่ รักท้ำว อำนำจ พระนำ แผกระบอบแต่เพรง เกียรติอ้ำงอัศจรรย์ พระเดชหำกแสดงเอง เผดจ็ มำร เสนอทุกทวยธเรศก้อง พีน่ ้อง พระตรีโลกนำถแผ้ว อรินำศ ลงนำ เฉกพระรำชสมภำร เกียรติท้ำวทุกพำย เสดจ็ ไร้พิริยะรำญ เสนอพระยศยินก้อง
ตอน ๑๒ ขอพระราชทานอภยั โทษ สมเดจ็ พระวนั รัตกราบทูลสมเดจ็ พระนเรศวรวา่ บรรดาขา้ ทูล ละอองธุลีพระบาทลว้ นมีความจงรักภกั ดี เป็นการผดิ แปลกไปจากแบบแผนแต่ ก่อนท่ีวา่ ไม่จงรักยาเกรงพระองค์ ท้งั น้ีเพราะพระบรมเดชานุภาพสาแดงให้ ปรากฏแก่ปวงชนเป็นที่น่าอศั จรรยจ์ ึงบนั ดาลใหเ้ ป็นเช่นน้นั สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ (พระตรีโลกนาถ) ทรงชนะพระยามาร ลาพงั พระองคเ์ อง เช่นเดียวกบั สมเดจ็ พระนเรศวร พระเอกาทศรถ เสดจ็ ไป ปราบริราชศตั รูจนแพพ้ า่ ยโดยปราศจากไพร่พล พระองคจ์ ึงงดโทษประหารชีวติ แม่ทพั นายกองสกั หน่ึงคร้ัง โดยให้ ยกทพั ไปตีทวายและตะนาวศรีเป็นการแกต้ วั
๖ คาศัพท์ ความหมาย ผกู ไมไ้ ผเ่ ป็นสะพานเรือก คาศัพท์ กลบั กรองเวฬู จระเข้ กระลบั เกยที่ทาเฉพาะในพิธีจะเสดจ็ กรีธาทพั กมุ ภีล์ ออกศึก เกยชยั คอย โชคสี่ประการเก่ียวกบั การยาตราทพั ครอเคร่า รุ่งเรือง เล่ืองลือ จตุรงคโชค ตะวนั ตก เชวง นาน เสียงเอด็ อึง เสียงดงั ป่ันป่ วน ตกไถง ทรหึงทรหวล
คาศัพท์ ความหมาย พระเจา้ แผน่ ดิน คาศัพท์ วนั ๑๕ ค่า เป็นวนั อุโบสถ ธเรศ ขา้ ศึก บณั รสี พระอินทร์ ปัจจามิตร ดวงอาทิตย์ พชั รินทร์ น้าสรงในพิธีพราหมณ์สาหรับงาน ภาณุมาศ พระราชพิธีมงคล เรียกอีกชื่อคือ น้า มุทธาภิสิตธาร มุรธาภิเษก งู พญานาค อุรเคนทร์
๗ บทวเิ คราะห์ ๗.๑ คุณค่าด้านเนื้อหา ๑.) รูปแบบ ลิลิตตะเลงพา่ ยแต่งเป็นลิลิตสุภาพ ประกอบดว้ ยร่ายสุภาพและโคลง สุภาพ ไดแ้ ก่ โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพและโคลงส่ีสุภาพ สลบั กนั ตามความ เหมาะสมของเน้ือหา ลิลิตตะเลงพา่ ยเป็นวรรณคดีแนวประวตั ิศาสตร์และเป็น วรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติท่ีมุ่งสดุดีวรี กรรมของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช การ ใชร้ ่ายสุภาพและโคลงสุภาพนบั วา่ เหมาะอยา่ งยง่ิ เน่ืองจากมกั ใชค้ าประพนั ธ์ ประเภทน้ีในการพรรณาเรื่องราวท่ีสูงส่ง ศกั ด์ิสิทธ์ิ
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.) องค์ประกอบของเรื่อง ๒.๑) สาระ แก่นสาคญั ของเรื่องคือ การยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวร- มหาราชในดา้ นพระปรีชาสามารถทางการรบ โดยการกระทายทุ ธหัตถีกบั พระมหา- อุปราชาแห่งกรุงหงสาวดีและไดร้ ับชยั ชนะอยา่ งสวยงาม นอกจากน้ียงั เนน้ พระปรีชา สามารถในด้านการปกครองและพระจริยวตั รอันกอปรด้วยทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ สงั คหวตั ถุ ๔ ประการ และพระจกั รวรรดิวตั ร ๑๒ ประการ ๒.๒.) โครงเรื่อง เน้ือเรื่องซ่ึงมีขอบเขตกาหนดไวเ้ พยี งเรื่องการทา สงครามยทุ ธหตั ถี แต่เพ่อื มิใหเ้ น้ือเรื่องแหง้ แลง้ ขาดชีวติ ชีวาจึงทรงเพ่ิมเติมเร่ือง ไม่ใช่การสงครามเขา้ ไป เน้ือหาที่สาคยั เป็นหลกั ของเร่ือง “ตะเลงพ่ำย” คือการ ดาเนินความตามเคา้ เรื่องในพงศาวดาร ไดแ้ ก่ การทาสงคราม การต่อสู้ แบบยทุ ธ หตั ถี การจดั ทพั สาหรับเน้ือหาท่ีแทรกเขา้ ไป คือ บทประพนั ธท์ ่ีเป็นลกั ษณะนิราศ ซ่ึงพรรณาเก่ียวกบั การเดินทาง การคร่าครวญถึงนางผเู้ ป็นท่ีรัก
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.๓.) ตวั ละคร สมเดจ็ พระนเรศวร ๑. มคี วำมเป็นนักปกครองท่ีดี ฟังความคิดเห็นของเหล่าขนุ นาง ไม่เผดจ็ การ ถึงแมว้ า่ พระองคจ์ ะมีพระทยั ฝักใฝ่ ในการสูร้ บ ดงั คาประพนั ธต์ ่อไปน้ี ท้ังมวลหม่มู ำตย์ซ้อง สำรพลนั ทูลพระจอมจรรโลง เลื่องหล้ำ แถลงลกั ษณะปำงบรรพ์ มำเทียบ ถวำยแฮ แนะท่ีควรเสดจ็ ค้ำ เศิกไซร้ ไกลกรุง ทูลถวำย โทไท้ทรงสดับถ้อย โอษฐ์ พร้ อง ถกู หฤทัยท่ำนผำย เหมือนตริ ตนู ำ สูตริกต็ รงหมำย ต่อนำ้ ใจตู ตริบ่ต่ำงกันต้อง
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒. มคี วำมเป็นนักรบ ทรงรอบรู้เร่ืองกระบวนศึก การจดั ทพั การเคลื่อนทพั การ ต้งั ค่ายตามตาราพชิ ยั สงคราม ทรงมีความกลา้ หาญเดด็ เด่ียว ไม่หวน่ั เกรงขา้ ศึก ดงั ตอนที่ พระองคต์ กอยใู่ นวงลอ้ มของกองทพั พม่ามอญ สองสุริยพงศ์ผ่ำนหล้ำ ขบั คเชนทร์บ่ำยหน้ำ แขกเจ้ำจอมตะเลง แลนำ พักตร์ ท่ ำนผ่องฤๅเศร้ ำ ไป่ เกรงประภำพเท่ำเผ้ำ หน้ำนำ สู่เสีย้ นไป่ หนี โซรมปื นไฟไป่ ต้อง ผ้ำนนำ ไพรี เร่ งสำดซ้ อง ตื่นเต้ำแตกฉำน
คุณค่าด้านเนื้อหา ๓. มพี ระปรีชำญำณ คือ ความฉลาด รอบรู้ มีไหวพริบ สมเดจ็ พระนเรศวรทรงมี พระปรีชาญาณในหลายๆ ดา้ น โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ดา้ นการทาศึกสงคราม พระองคท์ รงสุขมุ รอบคอบ ทาการศึกโดยไม่ววู่ ามขาดสติ ดงั ตวั อยา่ ง ป่ิ นสยำมยลแท้ท่ำน คะเนนึก อย่นู ำ ถวิลว่ำขนุ ศึกสำ นักโน้น ทวยทัพเทียบพนั ลึก แลหลำก หลำยแฮ ครบเครื่องอุปโภคโพ้น เพ่งเพยี้ งพิศวง
คุณค่าด้านเนื้อหา พระมหาอุปราชา ๑. เป็นลกู กตัญญู ทรงเกรงสมเดจ็ พระนเรศวรเร่ืองฝีมือ แต่จาเป็นตอ้ งยกทพั มาตี กรุงศรีอยธุ ยา เพราะขดั พระบรมราชโองการไม่ได้ ในระหวา่ งทางเกิดลางร้ายต่างๆ พระ มหาอุปราชาเกิดความโศกเศร้าเพราะไม่มน่ั พระทยั วา่ จะชนะ ทาใหท้ รงห่วงใยพระบิดายงิ่ พระเนำนัคเรศอ้ำ เอองค์ ฤๅบ่มใี ครคง คู่ร้ อน จักริจักเร่ิมรงค์ ฤๅลุ แล้วแฮ พระจักข่นุ จักข้อน จักแค้นคับทรวง ภูวดล พระคณุ ตวงเพยี บพืน้ บ่อนใต้ เตม็ ตรลอดแหล่งบน ชุบชีพ มำนำ พระเกิดพระก่อชนม์ กลบั เต้ำตอบสนอง เกรงบ่ทันลกู ได้
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.มพี ระทัยอ่อนไหว พระมหาอุปราชาทรงระทมทุกขม์ าก ไม่ตอ้ งการออกรบ เพราะเสียขวญั กาลงั ใจจากการท่ีโหรทานายวา่ ถึงฆาต สูญเสียความภูมิใจในฐานะโอรสแห่ง กษตั ริย์ พระองคท์ รงมีแต่ความเศร้าโศกพระทยั ที่ตอ้ งจากบา้ นเมือง จากความสุขสบาย เม่ือ ใชช้ ีวติ ในวงั พรั่งพร้อมไปดว้ ยสนม ดงั ตวั อยา่ ง มำเดียวเปลย่ี วอกอ้ำ อำยสู สถิตอย่เู อ้องค์ดู ละห้ อย พิศโพ้นพฤกษ์พบู บำนเบิก ใจนำ พลำงคะนึงนุชน้อย แน่งเนือ้ นวลสงวน
คุณค่าด้านเนื้อหา ๓. มขี ตั ติยมำนะ คือ การถือตวั วา่ เป็นกษตั ริย์ ถึงแมพ้ ระมหาอุปราชาจะมีความ ประหวน่ั พรั่นพรึงวา่ จะตอ้ งสูญเสียชีวติ ในกรทาสงคราม และมีความโศกเศร้าสกั เพยี งใด แต่ ดว้ ยขตั ติยมานะ พระองคก์ เ็ ดินทพั ไปดว้ ยความหยง่ิ ทะนงในพระองคเ์ อง คร้ันพระบำทได้สดบั ธกท็ รงสรรพโดยควร ว่ำนเรศรวรกษตั รำ กบั เอกำทศรุถ ยกมำยทุ ธ์แย้งรงค์ และพระองค์ตรัสถำม สำมสมิงนำยกองม้ำ ถ้ำจักประมำณพลไกล สักเท่ำใดดูตระหนัก ตรัสซำ้ ซักเขำสนอง ว่ำพลผองท้ัง เสร็จ ประมำณสิบเจด็ สิบแปดหม่ืน ดูดำษด่ืนท่งกว้ำง ครั้นเจ้ำช้ำงทรงสดับ ธก็ ตรัสแก่ขนุ ทัพขนุ กอง ว่ำซึ่งสองกษตั ริย์กล้ำ ออกมำถ้ำรอรับ เป็นพยหุ ทัพ ใหญ่ยง คงเขำน้อยกว่ำเรำ มำกกว่ำเขำหลำยส่วน จำเรำด่วนจู่โจม โหมหักเอำ แต่แรก ตใี ห้แตกย่นย่อย ค่อยเบำแรงเบำมือ เร็วเร่งฮือเข้ำห้อม ล้อมกรุงเทพ ทวำรัติ ชิงเอำฉัตรตัดเขญ็ ..
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.๔) ฉากและบรรยากาศ ฉากท่ีปรากฏในเรื่องตอนที่เรียนคือ เหตุการณ์ภายใน เมืองมอญและบรรยากาศระหวา่ งเดินทพั ของพระมหาอุปราชาจากเมืองมอญสู่กาญจนบุรี ล่วงลุด่านเจดีย์ สามองคม์ ีแห่งห้นั แดนต่อแดนกันนั้น เพื่อรู้รำวทำง ขบั พลวำงเข้ำแหล่ง แห่งอยธุ เยศหล้ำ แลธุลฟี ุ้งฟ้ำ มืดคล้มุ มวั มล ย่ิงนำ
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.๕) กลวธิ ีการแต่ง สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรง ดาเนินเรื่องตามธรรมเนียมนิยมในการแต่ง กล่าวคือ เริ่มดว้ ยบทสดุดี มีเน้ือเรื่องและ ตอนทา้ ยกล่าวสดุดีสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชและจบดว้ ยการกล่าวถึงจุดมุ่งหมายของกวี การสร้างและใหบ้ ทบาทบุคคลในเรื่อง กวมี ุ่งแสดงใหเ้ ห็นพระบรมเดชานุ ภาพของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช จึงมีการแทรกเรื่องอิทธิปาฏิหารย์ พระปรีชา สามารถในการใชค้ าพดู โดยใชห้ ลกั จิตวทิ ยาในการทา้ ทายพระมาหอุปราชาออกรบ และความกลา้ หาญ ดงั น้นั บทบาทของสมเดจ็ พระนเรศวรจึงเป็นประดุจสมมุติเทพ และเป็ นบุคคลตามอุดมคติ
๗.๒ คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑.) การสรรคา ลิลิตตะเลงพา่ ย เป็นวรรณคดีมรดกล้าค่าท่ีคนไทยควรศกึ ษา เพ่อื ใหเ้ กิดความภาคภูมิใจในวรี กรรมของนกั รบไทย และภูมิใจในภาษาไทยท่ีกวใี ช้ ถ่ายทอดเร่ืองราวไดอ้ ยา่ งมีคุณค่าทางดา้ นวรรณศิลป์ ดว้ ยการเลือกใชถ้ อ้ ยคาไดอ้ ยา่ ง ไพเราะ ดงั น้ี ๑.๑) การใช้คาทเี่ หมาะแก่เนื้อเร่ืองและฐานะของบุคคล กวเี ลือกใชค้ าที่แสดงฐานะของบุคคล ดงั น้ี
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ เบือ้ งน้ันนฤนำถผู้ สยำมมินทร์ เบ่ียงพระมำลำผิน ห่ อนพ้ อง ศสั ตรำวธุ อรินทร์ ฤๅถกู องค์เอย เพรำะพระหัตถ์หำกป้อง ปัดด้วยขอทรง จากโคลงบทน้ี กวเี ลือกใชค้ าที่มีศกั ด์ิคาสูง แสดงใหเ้ ห็นภาพเด่นชดั และ ไพเราะ เช่น นฤนาถ หมายถึง กษตั ริย์ สยามมินทร์ หมายถึง กษตั ริยส์ ยาม (กษตั ริยอ์ ยธุ ยา) พระมาลา หมายถึง หมวก ศตั ราวธุ อรินทร์ หมายถึง อาวธุ ของขา้ ศึก
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑.๒) การใช้คาโดยคานึงถงึ เสียง ความไพเราะองถอ้ ยคาหรือความ งามของถอ้ ยคาน้นั พจิ ารณาที่การใชส้ มั ผสั การเล่นคา เล่นความ การเลียนเสียง ธรรมชาติ เป็นตน้ ลิลิตตะเลงพา่ ยมีการใชค้ าที่มีเสียงเสนาะ ดงั น้ี ๑.) มกี ำรใช้สัมผสั สระและสัมผสั พยญั ชนะในคำประพันธ์ทุกบท ทา ใหเ้ กิดความไพเราะ เช่น (ใส่ตวั อยา่ งหนา้ 128)
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๒.) มกี ำรใช้สัมผสั พยญั ชนะเดยี วกันเกือบท้ังวรรค เช่น กรตระกองกอดแก้ว เรียมจักร้างรสแคล้ว คลาดเคล้าคลาสมร จาํ ใจจรจําจากสร้อย อย่แู ม่อย่าละห้อย ห่ อนช้ ำคืนสม แม่แล ๓.) มสี ัมผสั สระในแต่ละวรรคของโคลงแต่ละบำทคล้ำยกลบท เช่น ชำวสยามคร้านเศิกสิ้น ท้ังผอง นำยและไพร่ไป่ ปอง รบร้ ำ อพยพหลบหลกี มอง เอำเหตุ ซุกซ่ อนห่ อนให้ ข้ ำ ศึกได้ไปเป็ น
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๔.) กำรเล่นคำ มีการเล่นคาและความหมายเพ่ือใหม้ ีความลึกซ้ึงและเกิด อารมณ์กระทบใจผอู้ ่าน เช่น มีการเล่นคาวา่ \"สาย\" ซ่ึงหมายถึง ดอกสายหยดุ (ดอกไม)้ และยามสาย คือเวลาสาย ดงั ตวั อยา่ ง สายหยดุ หยดุ กลิ่นฟุ้ง ยำมสาย สายบ่หยดุ เสน่ห์หำย ห่ ำงเศร้ ำ กีค่ ืนก่ีวนั วำย วำงเทวษ รำแม่ ถวิลทุกขวบคำ่ เช้ำ หยดุ ได้ฉันใด ๕.) กำรเล่นเสียงวรรณยกุ ต์ เช่น แหนงนอน ไพรฤๅ สลดั ไดใดสลดั น้อง เศิกไสร้ เสมอช่ือ ไม้นำ เพรำะเพื่อมำรำญรอน แม่นแม้นทรวงเรียม สละสละสมร นึกระกำนำมไม้
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๖.) กำรเลยี นเสียงธรรมชำติ เช่น \"...เจ้ำพระยำไชยำนภุ ำพ เจ้ำพระยำปรำบไตรจักร ตรับตระหนักสำเนียง เสียงฆ้อง กลองปื นศึก อึกเอิกก้องกำหล เร่งคำรนเรียกมนั ชันหู ชูหำงเล่น แปร้นแปร๋แล คะไขว่..\" ๗.) กำรใช้คำอัพภำส คือ การซ้าอกั ษรลงหนา้ คาศพั ท์ ทาใหเ้ กิดความ ไพเราะ เช่น \"....สำดปื นไฟยะแย้ง แผลงปื นพิษยะย่งุ พ่งุ หอกใหญ่คะคว้ำง ขว้ำงหอกซัดคะไขว่ ไล่คะคลกุ บกุ บนั เงือ้ ดำบฟันฉะฉำด ง่ำง้ำวฟำดฉะฉับ..\"
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๒.) การใช้โวหาร กวเี ลือกใชถ้ อ้ ยคาในการบรรยาย พรรณาและเปรียบเทียบ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั เน้ือเรื่อง ทาใหผ้ อู้ ่านมองเห็นภาพชดั เจน ดงั น้ี ๒.๑) การใช้คาให้เกดิ จนิ ตภาพ เช่น การใชค้ าที่แสดงใหเ้ ห็นภาพการต่อสู้ อยา่ งหา้ วหาญของพลทหารท้งั สองฝ่ายที่ผลดั กนั รุกรับขบั เค่ียวกนั ดว้ ยอาวธุ หลากหลาย จนต่างฝ่ายต่างลม้ ตายไปเป็นจานวนมาก ดงั ตวั อยา่ ง \"....คนต่อคนต่อรบ งอง้ำวทบทะกนั ต่ำงฟันต่ำงป้องปัด วำงสนัดหลงั สำร ขำนเสียงคึกกึกก้อง ว่องต่อว่องชิงชัย ไวต่อไวชิงชนะ ม้ำไทยพะม้ำมอญ ต่ำงเข้ำรอนเข้ำโรม ทวนแทงโถมทวนทบ หอกเข้ำรบรอหอก หลอกล่อไล่ไขว่แคว้ง แย้งธนูเหน่ียวน้ำว ห้ำวต่อห้ำวหักหำญ...”
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๒.๒) การใช้โวหารโดยการเปรียบเทยี บ วา่ สมเดจ็ พระนเรศวรมีฤทธ์ิเหมือน พระรามยามต่อสูก้ บั ทศกณั ฐ์ ยกตวั อยา่ งเช่น บญุ เจ้ำจอมภพพืน้ แผ่นสยำม แสยงพระยศยินขำม ขำดแกล้ว พระฤทธ์ิดงั่ ฤทธ์ิรำม รอนรำพณ์ แลฤๅ รำญอริรำชแผ้ว แผกแพ้ทุกภำย ๒.๓) การใช้ถ้อยคาสร้างอารมณ์และความรู้สึก แมล้ ิลิตตะเลงพา่ ยเป็น เรื่องเกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์และยอพระเกียรติพระมหากษตั ริย์ แต่ดว้ ยความสามารถ ดา้ นภาษาอยา่ งลึกซ้ึงของกวี สามารถใชถ้ อ้ ยคา ทาใหผ้ อู้ ่านเกิดความสะเทือนอารมณ์ เกิดความเห็นใจ ดีใจ ภูมิใจ ไปตามจุดมุ่งหมายของกวี ดงั น้ี
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑.) กำรใช้ถ้อยคำให้เกิดควำมรู้สึกเห็นใจ เช่น ตอนท่ีพระมหาอุปราชา เคล่ือนกระบวนทพั ดงั น้ี สลดั ไดใดสลดั น้อง แหนงนอน ไพรฤำ เพรำะเพ่ือมำรำญรอน เศิกไสร้ สละสละสมร เสมอช่ือ ไม้นำ นึกระกำนำมไม้ แม่นแม้นทรวงเรียม รุมกำม ไม้โรกเหมือนโรคเร้ ำ ลวกร้ อน ไฟว่ำไฟรำคลำม เยำว์ยวั่ แย้มฤๅ นำงแย้มหนึ่งแย้มยำม อกอ้ันกนั แสง ตูมดั่งตมู ตีข้อน
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๒.) กำรใช้ถ้อยคำเกิดอำรมณ์สะเทือนใจ ดงั ปรากฏต่อท่ีพระมหาอุปรา ชาลาพระสนม ดงั น้ี พระผำดผำยส่ ูห้ อง หำอนุชนวลน้อง หน่มุ เหน้ำพระสนม งำมเสงย่ี มเฟี้ยมเฝ้ำ เรี ยมจักร้ ำงรสแคล้ว ปวงประนมนบเกล้ำ อย่แู ม่อย่ำละห้อย อย่ถู ้ำทูลสนอง กรตระกองกอดแก้ว คลำดเคล้ำคลำสมร จำใจจรจำกสร้ อย ห่อนช้ำคืนสม แม่แล
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๓.) กำรใช้ถ้อยคำให้เกิดควำมรู้สึกเจบ็ ปวด เช่น ตอนพระมหาอุปราชาทูล พระเจา้ หงสาวดีวา่ จะมีเคราะห์ไม่ตอ้ งการออกรบ จึงถูกพระเจา้ หงสาวดีกล่าวประชด ดว้ ยถอ้ ยคาอนั น่าอบั อาย \"...ฟังสำรรำชเอำรส ธกผ็ ะชดบญั ชำ เจ้ำอยธุ ยำมบี ตุ ร ล้วนยงยทุ ธ์ เชี่ยวชำญ หำญหักศึกบมิย่อ ต่อสู้ศึกบมิหยอน ไป่ พักวอนว่ำใช้ ให้ธหวงธห้ำม แม้น เจ้ำคร้ำมเครำะห์กำจ จงอย่ำยำตรยทุ ธนำ เอำพัสตรำสตรี สวมอินทรีย์สร่ำงเครำะห์ ธตรัสเยำะเยย่ี งขลำด องค์อุปรำชยินสำร แสนอัประมำณมำตย์มวล นวลพระพักตร์ ผ่องเผือด เลือดสลดหมดคลำ้ ชำ้ กมลหมองมวั ..\"
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๔.) การใชถ้ อ้ ยคาแสดงความโศกเศร้า เช่น ตอนท่ีพระมหาอุปราชาตอ้ งจาก พระสนมและเดินทพั เมื่อเห็นสิ่งใดกค็ ิดถึงนางอนั เป็นท่ีรัก ดงั ตวั อยา่ งเช่น มำเดียวเปลยี่ วอกอ้ำ อำยสู สถิตอย่เู อ้องค์ดู ละห้ อย พิศโพ้นพฤกษ์พบู บำนเบิก ใจนำ พลำงคะนึงนุชน้อย แน่งเนือ้่ นวลสงวน โหยหำ พระครวญพระคร่ำไห้ ก่ิงเกยี้ ว พลำงพระพิศพฤกษำ รีรัตน์ เรียมฤๅ กลกรกนิษฐนำ- โอบอ้อมองค์เรียม ยำมตระกองเอวเอีย้ ว
๗.๓ คุณค่าด้านสังคม ๑.) สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ เช่น พระเจา้ หงสาวดีตรัสประชดพระมหาอุปราชาวา่ กษตั ริยก์ รุงศรีอยธุ ยามี พระโอรสท่ีกลา้ หาญไม่ครั่นคร้ามต่อการทาศึก แต่พระโอรสองพระองคเ์ ป็นคนขลาด ทาใหพ้ ระมหาอุปราชาทรงอบั อายและเกรงพระอาญา จึงทาตามประสงคพ์ ระบิดา ดงั ตวั อยา่ ง \"..องค์อุปรำชยินสำร แสนอัประมำณมำตย์มวล นวลพระพกั ตร์ผ่อง เผือด เลือดสลดหมดคลำ้ ชำ้ กมลหมองมวั กลวั พระอำชญำยอบ นอบประณตบท มลู ทูลลำไท้ลลี ำศ ธกป็ ระกำศเกณฑ์พล บอกยบุ ลบมิหึง...\"
คุณค่าด้านสังคม ๒.) สะท้อนเกย่ี วกบั ขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น ขนบธรรมเนียมในการศึกท่ีปรากฏในเร่ือง ไดแ้ ก่ การสร้างขวญั กาลงั ใจแก่ ทหารก่อนออกรบ พิธีโขลนทวารตดั ไมข้ ่มนามเพ่ือการสร้างขวญั กาลงั ใจแก่ทหารก่อน ออกศึก ดงั เช่นตวั อยา่ ง \"..พลนั ขยำยพยหุ บำตรำ คลำเข้ำโขลนทวำเรศ สวฆ์สวดชเยศพทุ ธมนต์ ปรำยประชลเฉลิมทัพ ตำมตำรับรำชรณยทุ ธ์ โบกกบ่ีธุชคลำพล ยลนำวำดำดำษ ดู สระพรำศสระพรั่ง คั่งคับขอบคงคำ แลมเหำฬำร์พนั ลึก อธึกท้องแถวธำร..\"
คุณค่าด้านสังคม ๓.) สะท้อนให้เห็นความเชื่อของสังคมไทย เช่น ความเชื่อที่ปรากฏในเร่ือง ไดแ้ ก่ความเช่ือของบรรพบุรุษ ความเช่ือเรื่อควา ฝันบอกเหตุ ความเช่ือเร่ืองโชคลาง ดงั เช่นตวั อยา่ ง ทันใดดิลกเจ้ำ จอมถวลั ย์ สร่ ำงผทมถวิลฝัน ห่ อนร้ ู พระหำพระโหรพลนั พลำงบอก ฝันนำ เร็วเร่ งทำยโดยกระทู้ ท่ีถ้อยตูแถลง
คุณค่าด้านสังคม ๔.) สะท้อนข้อคดิ เพ่ือนาไปใช้ในการดาเนินชีวติ เช่น ความรับผดิ ชอบหนา้ ท่ี ความเมตตา ความนอบนอ้ ม การใหอ้ ภยั เป็นต้น โดย สอดแทรกอยใู่ นบทประพนั ธ์ ผอู้ ่านจะสามารถซึมซบั คุณธรรมเหล่าน้ีผา่ นความงามของ ภาษา เช่น ตอนท่ีพระเจา้ นนั ทบุเรง ทรงสอนการศึกสงครามแก่พระมหาอุปราชา หนึ่งรู้พยหุ เศิกไสร้ สบสถำน เจนจิตวิทยำกำร กำจแกล้ว รู้เชิงพิชัยชำญ ชุมค่ำย ควรนำ อำจจักรอนรณแผ้ว แผกแพ้พงั หนี
๔หน่วยการเรียนรู้ที่ คมั ภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ คมั ภีร์ฉนั ทศาสตร์ แพทยศ์ าสตร์สงเคราะห์ เป็นตาราแพทยข์ องไทยโบราณ ซ่ึงพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหร้ วบรวมไว้ แต่ แพทยศ์ าสตร์สงเคราะห์เป็นฉบบั สมบูรณ์ เมื่อพระยาพิศณุประสาทเวช เป็นผู้ริเริ่มจดั พิมพ์ โดยมีเน้ือหาเก่ียวกบั แพทยแ์ ผนไทย ให้ความรู้เกี่ยวกบั อาการแทรกซ้อนต่างๆ ของโรค และยงั สงั่ สอนเก่ียวกบั จรรยาบรรณของแพทยว์ า่ แพทยท์ ่ีดีควรเป็นอยา่ งไร
๑ ความเป็ นมา ในมหามงคลสมยั ท่ีพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา รัฐบาลไดจ้ ดั งานเฉลิมพระเกียรตินอ้ มเกลา้ น้อมกระหม่อมถวายเป็ นราช สักการะ ในการน้ีคณะกรรมการฝ่ ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ไดพ้ ิจารณา เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐ จดั พิมพห์ นงั สือเป็ นท่ีระลึกในนามของรัฐบาล แพทย์ ศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์ และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ เป็นหน่ึง ในหนงั สือเหล่าน้นั กรมวิชาการไดแ้ ต่งต้งั คณะกรรมการผูท้ รงคุณวุฒิ มีศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชลธิรา สัตยาวฒั นา เป็ นประธานคณะทางาน โดยคณะทางานได้นาตน้ ฉบบั แพทย์ ศาสตร์สงเคราะห์ของพระยาพิศณุประสาทเวช เล่มที่ ๑ พิมพค์ ร้ังท่ี ๒ ร.ศ. ๑๒๘ เล่มท่ี ๒ พิมพค์ ร้ังท่ี ๑ ร.ศ. ๑๒๖ มาจดั พิมพ์ข้ึนใหม่ โดยจดั ทาส่วนอธิบายต่างๆ เพิ่มเติม เพ่ือให้เขา้ ใจง่ายข้ึน และเพ่ือใหเ้ หมาะแก่กาลสมยั ในการเผยแพร่องคค์ วามรู้ในแพทย์ ศาสตร์สงเคราะห์ใหเ้ กิดประสิทธิภาพ จึงใชส้ ่ือที่ผลิตดว้ ยวทิ ยาการสมยั ใหม่ในรูปแบบ ซีดี-รอม ประกอบคู่กบั หนงั สือดว้ ย
๒ ประวตั ผิ ู้แต่ง พระยาพิศณุประสาทเวช (คง ถาวรเวช) เกิดเม่ือ พ.ศ. ๒๓๙๖ ประวตั ิใน วยั เยาวข์ องท่านไม่ปรากฏรายละเอียด แต่ในนิทานโบราณคดี เรื่อง \"ต้ังโรงพยำบำล\" สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงเล่าไวว้ า่ \"หมอคง\" เคย เป็ นศิษยข์ องพระยาประเสริฐศาสตร์ธารง ซ่ึงเป็ นหมอท่ีมีช่ือเสียงได้รับพระมหา กรุณาธิคุณใหเ้ ป็นแพทยใ์ หญป่ ระจาโรงพยาบาลศิริราช เมื่อมีการจดั ต้งั โรงพยาบาลบูรพา หมอคงยา้ ยมาประจาอยทู่ ี่นนั่ เม่ือประมาณ ๒๔๓๖ และไดเ้ ลื่อนบรรดาศกั ด์ิเป็ น \"ขุนประสำรเวชสิทธิ์\" ทาหน้าที่ เป็ นหมอหลวง หมอประจาโรงพยาบาล และเป็ นหมอเชลยศกั ด์ิ โดยใชค้ วามรู้วิชา แพทยส์ มยั ใหม่ผสมกบั ความรู้ตารับไทยโบราณ ทาใหท้ ่านไดเ้ ล่ือนบรรดาศกั ด์ิเป็น \"พระยำพิศณุประสำทเวช\"
๓ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ตอนคานาหรือตอนเปิ ดเรื่อง ใชก้ าพยย์ านี ๑๑ ส่วน ตอนลกั ษณะทบั ๘ ประการใชค้ าประพนั ธ์ชนิดร่าย
๔ เร่ืองย่อ แพทยศ์ าสตร์สงเคราะห์ ตอน คมั ภีร์ฉนั ทศาสตร์ เร่ิมเปิ ดเร่ืองดว้ ย บทไหวค้ รูซ่ึงเรียบเรียงโดย พระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) ผูว้ ่าราชการเมือง จันทบุรี ต่อจากน้ันกล่าวถึงความสาคญั ของแพทย์และคุณสมบัติท่ีพึงมี รวมถึงส่ิงที่ไม่ควรกระทา ซ่ึงโดยทวั่ ไปท่ีมกั จะมีความประมาณ อวดดี ความ ริษยา ความโลภ ความเห็นแก่ตวั ความหลงตวั และความไม่เสมอภาคในการ ให้การรักษาคนรวยกบั คนจน ซ่ึงแต่งเป็ นกาพยย์ านี ๑๑ ต่อจากน้ันจะเป็ น เน้ือหาซ่ึงอาจแบ่งเป็น ๑๙ ตอน คือ
๔ เร่ืองย่อ ๑. วา่ ดว้ ยลกั ษณะทบั ๙ ประการ ๑๑. ลกั ษณะอติสาร ๒. พระคมั ภีร์ตกั กะศิลา ๑๒. ลกั ษณะมรณะญาณสูตร ๓. สมมุติฐานกาเนิดไข้ ๑๓. โรคภยั ต่างๆ แห่งกมุ ารลกั ษณะซางต่างๆ ๔. ลกั ษณะอาการไขท้ ่ีเขา้ เพศเป็นโทษ ๔ อยา่ ง ๑๔. ลกั ษณะกาเนิดซาง ๕. ลกั ษณะน้านมดีและชว่ั ๑๕. ลกั ษณะรูปทารก ๖. ชีพจร ใหร้ ะวงั ในการระบายยา ๑๖. ลกั ษณะซางต้งั ๗. ลกั ษณะรัตนธาตุท้งั หา้ ๑๗. ลกั ษณะตานโจร ๘. ลกั ษณะป่ วง ๘ ประการ ๑๘. ลกั ษณะธาตุท้งั ๔ ๙. ตารายาแกส้ นั ิบาตสองคลองแกอ้ หิวาตกโรค ๑๙. ตอนลงทา้ ย ๑๐. ลกั ษณะสมุฏฐาน
๕ เนื้อเรื่อง คมั ภรี ์ฉันทศาสตร์ \"... จะกล่ำวคัมภีร์ฉัน ทศำสตรบรรพ์ท่ีครูสอน เสมอดวงทินกร แล ดวงจันทร์กระจ่ำงตำ ส่องสัตว์ให้สว่ำง กระจ่ำงแจ้งในมรรคำ หมอนวดแล หมอยำ ผ้เู รียนรู้คัมภรี ์ไสย์ เรียนรู้ให้ครบหมด จนจบบทคัมภีร์ใน ฉันทศำสต รท่ำนกล่ำวไข..\" จะพดู ถึงตาราฉนั ทศาสตร์ของเก่าท่ีครูสอนไวเ้ ปรียดกบั พระอาทิตยแ์ ละ พระจนั ทร์ที่ทาใหม้ องเห็นไดช้ ดั เน หมอนวดและหมอยา ผเู้ รียนรู้เวทมนตร์คาถาของ ศาสนาพราหมณ์ เรียนรู้ใหค้ รบท้งั หมด จนจบขอ้ ความในตาราฉนั ทศาสตร์ที่ครูบอก ไวใ้ หเ้ ขา้ ใจสิบสี่หวั ขอ้ ควรจา
เนื้อเร่ือง คมั ภีร์ฉันทศาสตร์ \"...เป็นแพทย์นีย้ ำกนัก จะรู้จักซึ่งกองกรรม ตัดเสียซึ่งบำปธรรม สิบสี่ตวั จึ่งเที่ยงตรง เป็นแพทย์ไม่รู้ใน คัมภรี ์ไสย์ท่ำนบรรบ รู้แต่ยำมำอ่ำองค์ รักษำไข้ไม่เขด็ ขำม บำงหมอกก็ ล่ำวคำ มุสำซ้ำกระหนำ่ ควำม ยกตนว่ำตน งำม ประเสริฐย่ิงในกำรยำ บำงหมอก็เกียจกัน ท่ีพวกอันแพทย์รักษำ บำง กล่ำวเป็ นมำรยำ เขำเจ็บน้อยว่ำมำกครัน บำงกล่ำวอุบำยให้ แก่คนไข้ น้ัน หลำยพนั หวงั ลำภจะเกิดพลนั ด้วยเช่ือถ้อยอำตมำ..\" เป็นแพทยน์ ้ียากมากที่ะรู้จกั เร่ืองผลการกระทาท่ีไม่ดี ทาดีสิบสี่ขอ้ ควรจา จึงจะเป็นคนซ้ือสัตว์ เป็นแพทยแ์ ต่ไม่รู้ตาราเวทยม์ นตร์คาถาท่ีครูต้งั ใจเรียนไวร้ ู้แต่ยา มาประดบั ตวั รักษาไขไ้ ม่เกรงกลวั หมอบางคนกพ็ ูดโกหก ยกยอ่ งตวั เอง หมอบางคน รังเกียจคนไข้ บางคนกก็ ล่าวหลอกลวงหวงั ผลกาไร
เนื้อเร่ือง คมั ภีร์ฉันทศาสตร์ \"..ต้ังต้นปฐมในฉันทศำสตรดังพรรณำ ปฐมจินดำโชตรัต ครรภ์รักษำ อไภยสันตำ สิทธิสำรนนท์ปักษี อติสำรอะวะสำน มรณะญำนตำมคัมภีร์ สรรพคุณรศอันมี ธำตุบัญจบ โรคนิทำน ฤดูแลเดือนวัน ยังนอกนั้นหลำย สถำน ลกั ษณะธำตพุ ิกำร เกิดกำเริบแลหย่อนไป ทั้งนีเ้ ป็นต้นแรก ยกยกั แยก ขยำยไข กล่ำวย่อแต่ชื่อไว้ ให้พึงเรียนตำหรับจำ..\" ตาราปฐมจินดาโชตรัต ตาราครรภร์ ักษา ตาราอภยั สนั ตาตาราสิทธิสารนนทป์ ักษี ส่ิงที่บอกให้รู้ว่าใกลต้ ายตามตาราสรรพคุณ มีสิ่งท่ีบอกให้รู้ไดอ้ ีกในตาราธาตุบรั รจบ ตาราโรคนิทาน ฤดูแลเดือนวนั ยงั มีสาเหตุอีกหลายอยา่ งลกั ษณะธุติผิดปกติ ระยะเริ่มตน้ ระยะเป็นมากข้ึน และระยะทุเลาลง ไดก้ ล่าวไวต้ อ้ งเรียนรู้และจดจา
เนื้อเร่ือง คมั ภรี ์ฉันทศาสตร์ \"อนึ่งจะกล่ำวสอน กำยนครมีมำกหลำย ประเทียบเปรียบในกำย ทุกหญิง ชำยในโลกำ ดวงจิตรคือกษตั ริย์ ผ่ำนสมบัติอันโอฬำร ข้ำศึกคือโรคำ เกิดเข่นฆ่ำในกำย เรำ เปรียบแพทย์คือทหำร อันชำนำญรู้ลำเนำ ข้ำศึกมำอย่ำใจเบำ ห้อมล้อมรอบทุกทิศำ ให้ดำรงกระษัตริย์ไว้ คือดวงใจให้เร่งยำ อน่ึงห้ำมอย่ำโกรธำ ข้ำศึกมำจะอันตรำย ปิ ต์ต คือวังหน้ำ เร่ งรักษำเขม้นหมำย อำหำรอยู่ในกำย คือเสบียงเลีย้ งโยธำ หนทำงทั้งสำม แห่ง เร่งจัดแจงอย่รู ักษำ ห้ำมอย่ำให้ข้ำศึกมำ ปิ ดทำงได้จะเสียท.ี ..\" กายนคร เปรียบไดก้ บั ในร่างกายของหญิงชายทุกคนในโลก จิตใจเปรียบไดก้ บั กษตั ริยผ์ คู้ รอบครองสมบตั ิอนั ยง่ิ ใหญ่ โรคภยั กเ็ หมือนขา้ ศึกท่ีทาลายร่างกายเรา แพทยเ์ ปรียบ ไดก้ บั ทหาร ท่ีมีความชานาญรู้เรื่องที่อยู่ คือร่างกาย โรคเกิดใหค้ ิดดีๆ ตรวจ หยดุ การแผล่ าม ไวท้ ุกแห่ง น้าดีในตบั มีหน้าที่ย่อยอาหารเปรียบเหมือนวงั หน้า รับต้งั ใจรักษาให้ดีเพราะ อาหารท่ีอยใู่ นร่างกายเปรียบเหมือนเสบียงเล้ียงกองทหาร ทางท้งั สาม หวั ใจ น้าดี อาหาร รีบ จดั เตรียมรักษาอยา่ ใหเ้ ช้ือโรคเขา้ มาทาร้ายเราได้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183