Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อจท. ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.5

อจท. ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.5

Published by pearyzaa, 2020-10-23 08:42:20

Description: อจท. ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.5

Search

Read the Text Version

มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมทั นา (วชิ ฺชุมมาลา,๘) มายาวนิ . อ้ำสองเทเวศร์ โปรดเกศข้ำบำท ทรงฟังซึ่งวำท ที่กรำบทูลเชอญ โปรดช่วยดลใจ ทรำมวยั ให้เพลิน จนลืมขวยเขิน แล้วรีบเร็วมำ. ด้วยเดชเทพไท้ ทรำมวยั รูปงำม จงได้ทรำบควำม ข้ำขอนีน้ ำ, แม้คิดคัดขืน ฝื นมนตร์คำถำ ขอให้นิทรำ เข้ำสึงถึงใจ มำเถิดนำงมำ อย่ำช้ำเช่ืองช้อย ตขู ้ำนีค้ อย ต้อนรับทรำมวยั , อ้ำนำงโศภำ อย่ำช้ำมำไว ตูข้ำส่ังให้ โฉมตรูรีบจร. โฉมยงอย่ำขดั รีบรัดมำเถิด ขืนขดั คงเกิด ในทรวงเร่งร้อน, มำเร็วบดั นี้ รีบลลี ำจร มำเร็วบังอร ข้ำเรียกนำงมำ มายาวนิ ไหวบ้ ูชาส่ีทิศและร่ายมนตร์เรียกนางมทั นามายงั วมิ าน ของสุเทษณ์จนสาเร็จ

มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมัทนา สุเทษณ์. ควำมรักละเห่ียอุระระทด (วสนั ตะดิลก,๑๔) มทั นา. ควำมรักระทดอุระละเหี่ย เพรำะมิอำจจะคลอเคลยี . สุเทษณ์. โอ้โอ๋กระไรนะมะทะนำ ฤจะหำยเพรำะเคลยี คลอ? มทั นา. โอ้โอ๋กระไรอะมระง้อ บมิตอบพะจีพอ? สุเทษณ์. เสียแรงสุเทษณ์นะประดิพทั ธ์ มะทะนำมิพอดี! มทั นา. แม้ข้ำบเปรมปรฺ ิยะฉะนี้ มะทะนำบเปรีมปรีย์. ผิจะโปรดกเ็ สียแรง. หลงั จากมทั นาตอ้ งมนตร์สะกด มทั นากม็ าหาสุเทษณ์ยงั วมิ าน เมอื่ สุเทษณ์ สนทนากบั นาง นางกต็ อบทวนคาถามเช่นตวั อยา่ งขา้ งตน้ น้ี

มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมัทนา (สุรางคณา,๒๘) สุเทษณ์. แน่ะมำยำวิน เหตใุ ดยพุ ิน จ่ึงเป็นเช่นนี?้ ดูรำวมะเมอ เผลอๆ ฤดี ประดจุ ไม่มี ชีวิตจิตใจ. ครำใดเรำถำม หล่อนกย็ ้อนควำม เหมือนเช่นถำมไป, ดงั นีจ้ ะยวน ชวนเชยฉันใด กเ็ ปรียบเหมือนไป พดู กับหุ่นยนตร์. มายาวนิ . เทวะ, ที่นำง อำกำรเปนอย่ำง นีเ้ พรำะฤทธิ์มนตร์; โยคะอันขลงั บงั คับได้จน ให้ตอบยบุ ล ได้ตำมต้องกำร. แต่จะบงั คับ ใครๆ ให้กลบั มโนวิญญำณ, ให้ชอบให้ชัง ยืนยงั อย่นู ำน ย่อมจะเปนกำร สุดพ้นวิสัย. สุเทษณ์ไม่พอใจในคาตอบของนางมทั นา จึงพดู กบั มายาวนิ วา่ เพราะอะไรนาง จึงดูเหมือนคนไม่มีจิตใจ เหมือนพดู คุยกบั หุ่นยนต์ มายาวนิ จึงตอบไปวา่ ที่เป็น เช่นน้นั เพราะดว้ ยเวทยม์ นตร์ แต่มนตร์น้นั ไม่สามารถบงั คบั ใหเ้ กิดความรักได้

มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมทั นา สุเทษณ์. อ้ำอรเอกองค์อุไร (ฉบงง,๑๖) เจ้ำทรำบคดดี ังจินต์; พจ่ี ะบอกให้ พ่เี องใช้มำยำวิน มำที่น่ีด้วยอำถรรพ์. ให้เชอญยพุ ิน มทั นา. เหตใุ ดพระองค์ทรงธรรม์ จ่ึงทำเช่นน้ัน ให้ ข้ ำพระบำทต้ องอำย แก่หม่ชู ำวฟ้ำทั้งหลำย? โอ้พระฦๅสำย พระองค์บทรงปรำณี. สุเทษณ์สงั่ ใหม้ ายาวนิ คลายมนตร์สะกดมทั นาใหก้ ลบั มาเป็นปกติ แต่เม่ือมทั นาฟ้ื นคืนสติ กต็ กใจและไม่ชอบใจท่ีสุเทษณ์ทาเช่นน้ี

มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมทั นา สุเทษณ์. ท่ีหล่อนมิยินยอม (วสนั ตะดิลก,๑๔) มคี ู่สะมรมำน มะนะรักสมัคสมำน, อภิรมฤเปนไฉน? มทั นา. หม่อมฉันบมบี รุ ุษะผู้ ประดิพัทธะใดใด, เปนโสดบมมี ะนะสุใฝ่ อภิรมฤสมรส. ดนกุ ล่ำวสิเนหะพจน์, สุเทษณ์. เช่นนั้นกเ็ ชิญฟัง กม็ ิควรฤดีจะดำ เจ้ำงำมประเสริฐหมด กส็ ำนึกเสนำะคำ ดจุ ะได้ทำมลู มำ มทั นา. หม่อมฉันสดับมระธุระถ้อย แต่ต้องทูลนูลวะจะนะซำ้ สุเทษณ์หวงั จะฝากรักกบั นางมทั นา แต่นางกไ็ ม่ยนิ ยอม ไม่เตม็ ใจ ทาใหส้ ุ เทษณ์ไม่โกรธในท่ีสุด

มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมัทนา สุเทษณ์. บ่มิยอมจะร่วมรัก (กมล, ๑๒.) กด็ นู ูจะยอมให้ และสมคั สมรไซร์, ผิวะนำงพะเอินชอบ วนิดำนิวำศสฺวรรค์ จะทุรนทุรำยศลั - มรุอื่นกข็ ้ำพลนั เพรำะฉน้ันจะให้ นำง ยะบ่อยำกจะยินยล; มะทะนำประสงค์ตน จุติสู่ณแดนคน, ทวิบทจะตูร์ บำท จะกำเนิดณรูปใด? วธุเลือกจะตำมใจ ฤจะเปนอะไรไซร้ , และจะสำปประดจุ สรร; สุเทษณ์โกรธที่นางมทั นาไม่รับรักตน จึงสาปใหน้ างลงจากสวรรคไ์ ปอยทู่ ่ี เมืองมนุษย์ โดยใหน้ างเลือกวา่ จะกาเนิดเป็นอะไร กจ็ ะสาปใหด้ งั น้นั

มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมัทนา มทั นา อันทรงเมตตำควร (สาลินี,๑๑) คุณท่ำนท่ีมำกแสน จะประจบและตอบแทน อันโปรดให้ เลือกตำม คณนำประมวญม.ี ขอเป็ นซ่ึงมำลี ฤดิข้ำณบัดนี.้ สุดแท้แต่จอมสรวง รุจิเรกวิไลยวรรณ ขอเพยี งให้มคี ัน- จะประสิทธิ์ประสำทพนั ธ์ุ, ด้วยกล่ินของข้ำบำท ธะระร่ืนระรวยหอม. ใจนิตย์บูชำจอม กจ็ ะได้ประณตน้อม สุระบ่มบำเพญ็ บญุ . นางมทั นาจึงขอเลือกเกิดเป็นดอกไม้ ที่มีกลิ่นหอม พนั ธุใ์ ดกไ็ ดส้ ุดแต่สุเทษณ์จะประทาน

มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมัทนา สุเทษณ์. ดรู ำท่ำนมำยำวิน, (ฉบงง,๑๖) จะถือรูปเปนมำล.ี นำงนีถ้ วิล กบ็ ปุ ผำอย่ำงใดมี ท่ีงำมท้ังสี อีกท้ังมกี ล่ินส่งไกล? ป้องกันมิให้ แต่ต้องมหี นำมไว้ เหล่ำเดรัจฉำนผลำญยบั . มลี กั ษณ์ต้องกับ องค์พระศจี มายาวนิ . เทวะ! อันไม้งำมสรรพ ในแดนคนหำ พระองค์ดำรัสน้ันมี ในนันทะโนทยำนศรี ธโปรดเป็ นยอดมำลำ. เห็นมแี ต่ในฟำกฟ้ำ, ไม้นีม้ ิได้แห่งไหน

มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมทั นา มายาวนิ . ไม้เรียกผะกำกพุ - (อินทะวเิ ชียร,๑๑) ปำนแก้มแฉล้มแดง ชะกะสีอรุณแสง ดอกใหญ่และเกสร ดรุณีณยำมอำย; อย่ทู นบวำงวำย สุวคนธะมำกมำย, อีกทั้งสะพร่ังหนำม มธุรสขจรไกล; ดจุ เขม็ ประดบั ไว้, เม่ือนางมทั นาขอเกิดเป็นดอกไม้ สุเทษณ์จึงปรึกษามายาวนิ ถึงดอกไมช้ นิดใด ท่ี งามท้งั สี หอมท้งั กล่ิน แต่ตอ้ งมีหนามไวป้ ้องกนั อนั ตราย มายาวนิ จึงแนะนา ดอกไมช้ ้นั ฟ้าท่ีช่ือวา่ กพุ ชกะ ที่มีสีแดงสวยเหมือนแกม้ สาวในยามอาย ดอก ใหญแ่ ขง็ แรง มีกลิ่นหอมและมีหนามดงั ตอ้ งการ

มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมทั นา สุเทษณ์. ดว้ ยอานาจอิทธิฤทธี (ฉบงง,๑๖) ณ ตวั กผู แู้ รงหาญ, อนั ประมวญมี กสู าปมทั นานงคราญ ไปจากสุราลยั เลิด, ใหจ้ ุติผา่ น สู่แดนมนุษยและเกิด อนั เรียกวา่ กพุ ชะกะ, เปนมาลีเลิด ใหเ้ ป็นเช่นน้นั กวา่ จะ ระอุเพราะรักรึงเขญ็ . รู้สึกอุระ ทุกเดือนเม่ือถึงวนั เพญ็ มนุษอยกู่ าหนดมี ใหน้ างน้ีเปน เพยี งหน่ึงทิวาราตรี; ความรักชายแลว้ มทั นา แต่หากนางมี ภิรมยเ์ พราะเริดร้างรัก, บมีสุขา-

มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมัทนา และนำงเป็ นทุกข์ยิ่งหนัก จงเหลือท่ีจัก อดทนอย่อู ีกต่อไป กล่ำววอนเรำไซร้ เมื่อนั้นผิว่ำอรไทย เรำจึ่งจะงดโทษทัณฑ์. สุเทษณ์ไดส้ าปนางมทั นาใหก้ ลายเป็น ดอกกหุ ลาบในเมืองมนุษย์ โดยใหโ้ อกาสนางเป็น มนุษยไ์ ดเ้ มื่อถึงคืนวนั เพญ็ เพยี งหน่ึงวนั หน่ึงคืน เท่าน้นั เมื่อใดท่ีนางมีรักเมื่อน้นั จงึ จะพน้ คาสาป กลายร่างเป็นมนุษยไ์ ด้ และหากเมื่อใดนางมที ุกข์ เพราะรักใหน้ างกล่าวออ้ นวอนพระองคจ์ ะยกโทษ ทณั ฑใ์ ห้

๖ คาศัพท์ ความหมาย เที่ยวไปถึง คาศัพท์ ตาย(มกั ใชแ้ ก่เทวดา) จรดล บริเวณโดยรอบของโลก ทวั่ โลก จุติ ความรักใคร่ ผกู พนั จกั กะวาฬ แผน่ ดิน ประดิพทั ธ์ มีลายงาม มีลายสุกใส ไผท ดอกไม้ ดอกมะลิ รุจิเรข ทาตาม ประพฤติตาม ปฏิบตั ิตาม สุมณี,สุมนา อนุวตั น์

๗ บทวเิ คราะห์ มทั นะพาธาผลงานประพนั ธ์ของพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั มีคุณค่ามากมายหลายดา้ นดงั น้ี ๗.๑ คุณค่าดา้ นเน้ือหา ๗.๒ คุณค่าดา้ นวรรณศิลป์ ๗.๓ คุณค่าดา้ นสงั คม

๗.๑ คุณค่าด้านเนื้อหา ๑.) รูปแบบ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรง พระราชนิพนธบ์ ทละครพดู คาฉนั ทเ์ รื่องมทั นะพาธา ดว้ ยคา ประพนั ธป์ ระเภทกาพยแ์ ละฉนั ท์ การเลือกถอ้ ยคาและ รูปแบบคาประพนั ธม์ ีความเหมาะสมกบั เน้ือหา ทาใหผ้ อู้ ่าน เกิดความคลอ้ ยตาม

คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.)องค์ประกอบของเร่ือง ๒.๑) สาระ สาระหรือแก่นสาคญั ของเร่ืองมีอยู่ ๒ ประการคือ ทรง ปรารถนาจะกล่าวถึงตานานดอกกหุ ลาบ ทรงพระราชนิพนธ์ใหด้ อกกหุ ลาบมี กาเนิดจากนางฟ้าที่ถูกสาปใหจ้ ุติมาเกิดเป็นดอกไมช้ ่ือ ดอกกพุ ฺชกะ คือดอก กหุ ลาบ และแก่นสาคญั อีกประการหน่ึงคือ เพอ่ื แสดงความเจบ็ ปวดอนั เกิด จากความรัก ใหเ้ ห็นถึงอนุภาพอนั ยงิ่ ใหญ่ของความรัก และความหลง ทรงใช้ ชื่อมทั นะพาธา อนั เป็นชื่อตวั ละครเอกองเร่ืองน้ี ซ่ึงแปลวา่ ความเจบ็ ปวดอนั เกิดจากความรัก ๒.๒) โครงเรื่อง พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงคิดโครง เรื่องเอง ไม่ไดใ้ ชเ้ น้ือเร่ืองหรือตดั ตอนจากวรรณคดีเร่ืองใด โดยมีการผกู เรื่อง ใหม้ ีความขดั แยง้ ซ่ึงเป็นปมปัญหาของเร่ือง ความรักอนั ซบั ซอ้ นของตวั ละคร

คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.๓) ตวั ละคร ในบทละครพดู คาฉนั ทเ์ รื่องมทั นะ พาธา มีลกั ษณะตวั ละครที่สาคญั ดงั น้ี สุเทษณ์ เป็นคนหมกมุ่นในตณั หาราคะ เจา้ อารมณ์ เอาแต่ใจตนเอง และไม่ คานึงถึงความรู้สึกของผอู้ ่ืน ดงั ตวั อยา่ ง สุเทษณ์ เหวยจิตระเสน มึงบงั อำจเล่น ล้อกไู ฉน? จติ ระเสน เทวะ, ข้ำบำท จะบังอำจใจ ทำเช่นน้ันไซร้ ได้บ่พึงมี. สุเทษณ์ เช่นนั้นทำไม พวกมึงมำให้ พรกบู ดั นี,้ ว่ำประสงค์ใด ให้สมฤดี? มึงรู้อย่นู ี่ ว่ำกเู ศร้ำจิต เพรำะไม่ได้สม จิตท่ีใฝ่ ชม, อกกรมเนืองนิตย์. จติ ระเสน ตูข้ำภกั ดี กม็ แี ต่คิด เพื่อให้ทรงฤทธ์ิ โปรดทุกขณะ. สุเทษณ์ กูไม่พอใจ! ไล่คนธรรพ์ไป บัดนีเ้ ทียวละ อย่ำมวั รอร้ัง.

คุณค่าด้านเนื้อหา มทั นา เป็นคนซ่ือตรง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย ปากกบั ใจตรงกนั คิดเห็นอยา่ งไร กพ็ ดู ไปอยา่ งน้นั ไม่เสแสร้ง แต่ความจริงที่นางพดู ทาใหน้ างตอ้ งไดร้ ับความ ทุกขร์ ะทมใจ ดงั ตวั อยา่ งเช่น ฟังถ้อยดำรัสมะธุระวอน ดนนุ ีผ้ ิเอออวย. จักเปนมสุ ำวะจะนะด้วย บมิตรงกะควำมจริง. อันชำยประกำศวะระประทำน ประดิพทั ธะแด่หญิง, หญิงควระเปรมกะมะละยิ่ง ผิวะจิตตะตอบรัก; แต่หำกฤดบี อะภิรม จะเฉลยฉนั้นจัก เปนปดและลวงบรุ ุษะรัก กจ็ ะหลงละเลิงไป. ตูข้ำพระบำทสิสุจริต บมิคิดจะปดใคร, จ่ึงหวงั และม่งุ มะนะสะใน วรเมตตะธรรมำ.

คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.๔) ฉากและบรรยากาศ ฉากท่ีปรากฏในเรื่องตอนท่ีเรียน คือ วมิ านของสุเทษณ์ เทพบุตรกวที รงบรรยายฉากและบรรยากาศได้ เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั สุเทษณ์เทพบุตรเป็นผหู้ มกมุ่นในตณั หา โดย วมิ านของสุเทษณ์เทพบุตรรายลอ้ มไปดว้ ยเทพบริวาร คนธรรพ์ คณะ อปั สร ท่ีต่างมาบารุงบาเรอขบั กล่อมถวาย

คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.๕) กลวธิ ีการแต่ง การดาเนินเรื่องใชก้ ลวธิ ีใหว้ ทิ ยาธรมายาวนิ เป็นผเู้ ล่า อดีตชาติของสุเทษณ์เทพบุตรและดาเนินเรื่องโดยแสดงใหเ้ ห็นลกั ษณะของสุเทษณ์ เทพบุตร ผเู้ ป็นใหญ่ มีบุญ มีบริวารพรั่งพร้อม ควรที่จะเสวยสุขในวมิ านของตน กลบั เอา แต่ใจตน หมกมุ่นแต่ตณั หาราคะ ศิลปะการดาเนินเร่ืองเปรียบเทียบใหเ้ ห็นชายท่ีร่ารวยดว้ ยเงิน อานาจวาสนา อยากไดอ้ ะไรกต็ อ้ งได้ เมื่อไม่ไดด้ ว้ ยเล่ห์กเ็ อาดว้ ยกล ไม่ไดด้ ว้ ยมนตร์กต็ อ้ งเอาดว้ ยคาถา แต่กไ็ ม่ไดแ้ ปลวา่ จะสมหวงั เสมอไป บริวารของสุเทษณ์เทพบุตร เป็นคนธรรพ์ คือ จิตระรถ จิตระเสน มีหน้าท่ี บารุงบาเรอ ใหเ้ จา้ นายมีความสุข พอใจ ดงั น้นั จึงทาทุกอยา่ งเพอื่ ผเู้ ป็นนาย สาหรับนางมทั นา เป็นคนตรง คนซื่อ คิดอยา่ งไรกพ็ ดู อยา่ งน้นั ไม่รักกบ็ อก ตรงๆ ไม่มีเล่ห์เหล่ียม กวกี าหนดใหน้ างถูกสาปกลายเป็นดอกไมช้ ่ือกหุ ลาบ ซ่ึงสวยงามมี หนามแหลมคมเป็นเกราะป้องกนั ตนใหพ้ น้ ากมือผหู้ กั หาญรานกิ่ง เดด็ ดอกไปเชยชม

๗.๒ คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑.) การสรรคา เป็นการเลือกใชค้ าที่ส่ือความคิดและอารมณ์ไดอ้ ยา่ งงดงาม ดงั น้ี ๑.๑) การใช้คาให้เหมาะสมกบั ประเภทของคาประพนั ธ์ กวมี ีความ เชี่ยวชาญดา้ นฉนั ทลกั ษณ์ยง่ิ สามารถแต่งบทเจรจาของตวั ละครใหเ้ ป็นคาฉนั ทไ์ ด้ อยา่ งดีเยย่ี ม อีกท้งั การใชภ้ าษาที่คมคาย โดยบงั คบั ครุ-ลหุ ของฉนั ทไ์ ม่เป็น อุปสรรคเลย เช่น สุเทษณ์ พ่ีรักและหวงั วธุจะรัก และบทอดบทิง้ ไป. มทั นา พระรักสมคั ณพระหทัย ฤจะทอดจะทิง้ เสีย? เพรำะมิอำจจะคลอเคลยี . สุเทษณ์ ควำมรักละเหี่ยอุระระทด ฤจะหำยเพรำะเคลยี คลอ? มทั นา ควำมรักระทดอุระละเห่ีย

คุณค่าวรรณศิลป์ ๑.๒) การใช้คาโดยคานึงถึงเสียง อนั เกิดจากการเล่นเสียงสมั ผสั คลอ้ ง จอง และการหลากคา ทาใหเ้ กิดความไพเราะ เช่น ตอนท่ีมายาวนิ ร่ายมนตร์ มายาวนิ . อ้ำสองเทเวศร์ โปรดเกศข้ำบำท ทรงฟังซึ่งวำท ที่กรำบทูลเชอญ โปรดช่วยดลใจ ทรำมวยั ให้เพลิน จนลืมขวยเขิน แล้วรีบเร็วมำ. ด้วยเดชเทพไท้ ทรำมวยั รูปงำม จงได้ทรำบควำม ข้ำขอนีน้ ำ, แม้คิดคัดขืน ฝื นมนตร์คำถำ ขอให้นิทรำ เข้ำสึงถึงใจ มำเถิดนำงมำ อย่ำช้ำเช่ืองช้อย ตขู ้ำนีค้ อย ต้อนรับทรำมวยั , อ้ำนำงโศภำ อย่ำช้ำมำไว ตูข้ำสั่งให้ โฉมตรูรีบจร. โฉมยงอย่ำขดั รีบรัดมำเถิด ขืนขดั คงเกิด ในทรวงเร่งร้อน, มำเร็วบัดนี้ รีบลลี ำจร มำเร็วบงั อร ข้ำเรียกนำงมำ

คุณค่าวรรณศิลป์ ๒.) การใช้โวหาร ผแู้ ต่งใชอ้ ุปมาโวหารในการกล่าวชมความงามของมทั นา เป็นการใหภ้ าพความ งามอยา่ งไม่มีที่ติ ท้งั ผวิ พรรณที่ผดุ ผอ่ งดงั่ ทองทา แกม้ ผม นยั นต์ า ทรวดทรงองคเ์ อว ทา ใหผ้ อู้ ่านมองเห็นภาพความงามองมทั นาเด่นชดั ดงั ตวั อยา่ ง งำมผิวประไพผ่อง กลทำบศภุ ำสุพรรณ, งำมแก้มแฉล้มฉัน พระอรุณแอร่ มละลำน. งำมเกศะดำฃำ กลนำ้ ณท้องละหำน, งำมเนตรพินิศปำน สุมณีมะโนหะรำ; งำมทรวงสล้ำงสอง วรถนั สุมนสุมำ- ลเี ลิดประเสริฐกว่ำ วรุบลสะโรชะมำศ; งำมเอวอนงค์รำว สุระศิลปิ ชำญฉลำด เกลำกลึงประหนึ่งวำด วรรูปพิไลพะวง;

๗.๓ คุณค่าด้านสังคม ๑.) สะท้อนให้เห็นความเช่ือของสังคมไทย เช่น ๑. ความเชื่อเรื่องชาติภพ ๒. ความเช่ือเร่ืองทาบุญมากๆ จะไดไ้ ปบงั เกิดในสวรรค์ เสวยสุขในวมิ าน ๓. ความเช่ือเรื่องทากรรมส่ิงใดยอ่ มไดร้ ับผลกรรมน้นั ๔. ความเชื่อเร่ืองเวทมนตร์ คาถา การทาเสน่ห์เล่ห์กล

คุณค่าด้านสังคม ๒.) สะท้อนให้เห็นธรรมชาตขิ องมนุษย์ โดยแสดงใหเ้ ห็นวา่ การมีรักเป็นทุกขอ์ ยา่ งยงิ่ ตรงตามพทุ ธวจั นะท่ีวา่ ที่ใดมีรักท่ีนนั่ มีทุกข์ เช่น ๑. สุเทษณ์รักนางมทั นา แต่เม่ือไม่สมหวงั ในรักกเ็ ป็นทุกข์ แมเ้ มื่อไดเ้ สวยสุข เป็นเทพบุตรกย็ งั รักนางมทั นาอยู่ แต่เมื่อไม่สมหวงั กพ็ ร้อมทาลายความรัก ๒. ทา้ วสุราษฎร์รักลูกและรักศกั ด์ิศรี พร้อมท่ีจะปกป้องศกั ด์ิศรีของตนและ ลูก แมจ้ ะรู้วา่ สูไ้ ม่ได้ ตอ้ งตายแน่นอนกพ็ ร้อมที่จะสู้ รักของพอ่ แม่เป็นรักท่ีบริสุทธ์ิ เท่ียงแท้ ๓. มทั นารักพระบิดา นางยอมทา้ วสุเทษณ์เพอื่ ปกป้องพระบิดา รักศกั ด์ิศรี และรักษาสจั จะ เมื่อทาตามสญั ญาแลว้ จึงฆ่าตวั ตาย ๔. ทา้ วชยั แสนและนางจณั ฑี เป็นความรักที่มีความใคร่ ความหลงอยดู่ ว้ ย จึง มีความหวงแหน โกรธแคน้ เมื่อถูกแยง่ คนรัก พร้อมท่ีจะต่อสู้เพ่ือใหไ้ ดค้ นรักคืน

คุณค่าด้านสังคม ๓.) สะท้อนข้อคดิ เพ่ือนาไปใช้ในการดาเนินชีวิต หญิงใด อยใู่ นฐานะอยา่ งนางมทั นาจะตอ้ งมีความระมดั ระวงั ตวั หลีกหนีจาก ผชู้ ายมากราคะใหห้ ่างไกล กวจี ึงกาหนดใหน้ างมทั นาถูกสาป กลายเป็นดอกไมช้ ื่อ กพุ ฺชกะ(กหุ ลาบ) ซ่ึงสวยงาม มีหนามแหลมคม เป็นเกราะป้องกนั ตนใหพ้ น้ จากมือผหู้ กั หาญรานก่ิงเดด็ ดอกไปเชย ชม กหุ ลาบจึงเป็นสญั ลกั ษณ์แทนหญิงสาวท่ีรูปสวย หนามแหลมคม เปรียบเหมือนสติปัญญา

๓หน่วยการเรียนรู้ท่ี ลลิ ติ ตะเลงพ่าย ลิลิตตะเลงพา่ ย พระนิพนธใ์ นสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นวรรณคดีเฉลิมพระเกียรติสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช โดยกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อคร้ังท่ีพระ มหาอุปราชาของพม่ายกทพั มาเพื่อตีกรุงศรีอยธุ ยา แลว้ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงกระทา ยทุ ธหตั ถีกบั พระมหาอุปราชาจนไดร้ ับชยั ชนะ

๑ ความเป็ นมา ลิลิตตะเลงพา่ ย เป็นวรรณคดีเฉลิมพระเกียรติ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช โดยดาเนินเร่ืองตามพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา เร่ิมต้งั แต่สมเด็จพระมหาธรรม ราชาเสด็จสวรรคต จนถึงตอนท่ีสมเดจ็ พระนเรศวรทรงกระทายทุ ธหตั ถีกบั พระมหา อุปราชาของพม่า และพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนมใ์ น พ.ศ. ๒๑๓๕ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงพระนิ พนธ์เรื่ องน้ ี เพ่ือเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวร มหาราช โดยแต่งแนวเดียวกบั ลิลิตยวนพ่าย ซ่ึงมีมาก่อนต้งั แต่ สมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ

๒ ประวตั ผิ ู้แต่ง ผูท้ รงพระนิพนธ์เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย คือ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นพระราชโอรสองคท์ ่ี ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระมารดาคือ เจา้ จอมมารดาจุย้ ต่อมาไดเ้ ลื่อนเป็น “ท้าวทรงกนั ดาล” เป็นตาแหน่งผรู้ ักษาการคลงั ใน เป็นที่ไวว้ างพระราชหฤทยั ใน รัชกาลท่ี ๓ ประสูติเมื่อวนั ท่ี ๑๑ ธนั วาคม ๒๓๓๓ และมีพระนามเดิมวา่ พระองค์ เจา้ วาสุกรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๕ พระองค์ทรงผนวชเป็ น สามเณรเม่ือพระชนมายุเพียง ๑๒ พรรษาและจาพรรษาอยู่ที่ วดั พระเชตุพนวิมลมงั คลารามราชวรมหาวิหาร พระองค์เจ้า สามเณรวาสุกรีประทบั จาพรรษาและศึกษาอยใู่ นวดั พระเชตุ พนฯ จนสิ้นรัชกาลที่ ๑

ประวตั ผิ ู้แต่ง สมยั รัชกาลท่ี ๒ ไดท้ รงผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๔ ทรงไดร้ ับพระ สมณฉายาวา่ “สุวัณณรังษี” ทรงผนวชอยไู่ ด้ ๓ พรรษา สมเด็จพระพนรัตน์อธิบดีสงฆว์ ดั พระเชตุพนฯ ถึงแก่มรณภาพ รัชกาลท่ี ๒ เสด็จพระราชดาเนินมาท่ีวดั พระเชตุพนฯ พระองคโ์ ปรดแต่งต้งั ใหพ้ ระองคเ์ จา้ พระ “สุวัณณรังษ”ี เป็นพระราชาคณะและอธิบดีสงฆ์ วดั พระเชตุพนฯ ต่อมาทรงไดร้ ับเล่ือนข้ึนเป็น “กรมหมนื่ นุชิตชิโนรส ศรีสุคตขตั ติยวงศ์” เม่ือรัชกาลที่ ๔ เสด็จข้ึนเสวยราชสมบตั ิแลว้ มีพระราชโองการประกาศเลื่อนให้ดารงตาแหน่งสกล มหาสังฆปริณายก และได้เลื่อนพระอิสริยยศสูงข้ึน ตามลาดบั คือ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนากรมสมเด็จพระปรมานุชิต ชิโนรสเป็น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุ ชิตชิโนรส”

ประวตั ผิ ู้แต่ง พระองค์ทรงเชี่ยวชาญท้งั คดีโลกและคดีธรรม และเช่ียวชาญดา้ นอกั ษร ศาสตร์เป็ นอย่างย่ิง มีผลงานพระนิพนธ์ต่างๆ มากมายเช่น กฤษณาสอนนอ้ งคาฉันท์ พระปฐมสมโพธิกถา ร่ายมหาเวสสันดรชาดก ๑๑ กณั ฑ์ สรรพสิทธ์ิคาฉันท์ เป็ นตน้ และเป็นพระอาจารยข์ องเจา้ นายหลายพระองค์ เช่น รัชกาลท่ี ๓ และรัชกาลที่ ๔ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชิต ชิโนรส มีพระชนมายุอยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เพียง ๒ พรรษา ก็ประชวรดว้ ยพระโรคชราและสิ้นพระชนมเ์ ม่ือปี ๒๓๙๖ สิริรวมพระชนมายไุ ด้ ๖๔ พรรษา

๓ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ลิลิตตะเลงพ่ายเป็ นวรรณคดีแนวประวตั ิศาสตร์และเป็ นวรรณกรรม เฉลิมพระเกียรตินบั เป็ นวรรณคดีที่มุ่งสดุดีวีรกรรมดา้ นการรบของวีรบุรุษของชาติ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่งเป็ นลิลิตสุภาพ ประกอบดว้ ยร่ายสุภาพและ โคลงสุภาพ โดยเริ่มต้นด้วยร่ายสุภาพ ซ่ึงเป็ นบทยอพระเกียรติและสดุดีความ เจริญรุ่งเรืองของบา้ นเมือง โดยแต่งใหค้ าสุดทา้ ยของบทประพนั ธ์บทตน้ ส่งสัมผสั มายงั คาที่ ๑ หรือ คาท่ี ๒ หรือคาท่ี ๓ ของบทต่อไป เชื่อมกนั อย่างน้ีตลอดท้งั เรื่อง เรียกวา่ เขา้ ลิลิต ลกั ษณะคาประพนั ธ์ของลิลิตตะเลงพา่ ย มีดงั น้ี ๑.) ร่ายสุภาพ ๒.) โคลงสองสุภาพ ๓.) โคลงสามสุภาพ ๔.) โคลงสี่สุภาพ

ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ๑.) ร่ายสุภาพ ร่ายสุภาพบทหน่ึงจะมีกี่วรรคกไ็ ด้ วรรคหน่ึงมี ๕ คา คาสุดทา้ ยของ วรรคหนา้ ตอ้ งสมั ผสั กบั คาที่ ๑, ๒ หรือ ๓ ของวรรคต่อๆ ไป ดงั แผนภูมิ ตวั อยา่ ง ศรีสวสั ดิเดชะ ชนะรำชอรินทร์ ยินพระยศเกริกเกรียง เพียง พกแผ่นฟำกฟ้ำ หล้ำล่มเลื่องชัยเชวง เกรงพระเกยี รติระย่อ ฝ่ อใจห้ำวบมิหำญ... เถกิงพระเกยี รติฟุ้งฟ้ำ ลือตรลบแหล่งหล้ำ โลกล้วนสดดุ ี

ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ๒.) โคลงสองสุภาพ โคลงสองสุภาพมีสามวรรค วรรคหน่ึงและวรรคสองมีวรรคละหา้ คา วรรคท่ีสามมีส่ีคา และคาสร้อยสองคา บงั คบั เอกโทในวรรค ดงั ผงั ภูมิ ตวั อยา่ ง โคลงสองเป็นอย่ำงนี้ แสดงแก่กลุ บตุ รชี้ เช่ นให้ เห็นเลบง แบบนำ

ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ๓.) โคลงสามสุภาพ โคลงสามสุภาพ มีจานวนวรรคเพ่มิ จากโคลงสองสุภาพอีกหน่ึงวรรค โดยคา สุดทา้ ยของวรรคแรก ส่งสมั ผสั ไปยงั คาที่สามของวรรคสอง คาสุดทา้ ยวรรคที่ ๒ สมั ผสั กบั คาสุดทา้ ยของวรรคท่ี ๓ บงั คบั เอก โท ดงั น้ี ตวั อยา่ ง โคลงสำมแปลกโคลงสอง ตำมทำนองท่ีแท้ วรรคหน่ึงพึงเติมแล้ เล่ห์นีจ้ งยล เยย่ี งเทอญ

ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ๔.) โคลงสี่สุภาพ โคลงสี่สุภาพมีส่ีบท บาทละสองวรรค วรรคหนา้ หา้ คา วรรคหลงั สองคา เฉพาะ วรรคหลงั บาทที่ ๔ มี ๔ คา คาสร้อยมีไดท้ า้ ยบาทท่ี ๑ และ ๓ มีบงั คบั เอก ๗ แห่ง โท ๔ แห่ง คาเอก โท ในวรรคที่ ๑ บาทท่ี ๑ น้นั เปล่ียนท่ีกนั ได้ ตวั อยา่ ง อ้ำจอมจักรพรรดิผู้ เพญ็ ยศ แม้พระเสียเอำรส แก่เสีย้ น จักเจบ็ อุระระทด ทุกข์ใหญ่ หลวงนำ ถนัดดง่ั พำหำเหีย้ น ห่ันกลิง้ ไกลองค์

๔ เร่ืองย่อ ตะเลง หมายถึง มอญ พ่าย แปลว่า แพ้ แต่พม่าเป็ นผูท้ ่ีปกครองมอญอยู่ คาว่า ตะเลงในท่ีน้ี จึงหมายถึง พม่าและมอญเป็นผยู้ อมแพส้ งคราม เน้ือหาในลิลิตตะเลงพา่ ยมี ๑๒ ตอน โดยเร่ิมตน้ เรื่องดว้ ยร่ายสุภาพ และโคลงส่ีสุภาพ ยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวร มหาราช ซ่ึงกล่าวถึงการสิ้นพระชนมข์ องสมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธิราช สมเดจ็ พระนเรศวรทรงข้ึนครองราชย์ พระเจา้ หงสาวดีทราบข่าวไทยผลดั เปล่ียน แผน่ ดินกป็ รารภวา่ จะมาตีไทยเพื่อหยง่ั เชิง จึงมีพระราชบญั ชาใหพ้ ระมหาอุปราชายกทพั มาตี ไทย ฝ่ายสมเดจ็ พระนเรศวรปรารภจะไปตีเมืองเขมร เม่ือรู้ข่าวกท็ รง เตรียมการสูศ้ ึกพม่า ทรงตระเตรียมกองทพั ดา้ นพระมหาอุปราชาทรงปรึกษา การศึกแลว้ ยกทพั มาปะทะทพั หนา้ ของไทย

เร่ืองย่อ เม่ือทพั หลวงของสมเด็จพระนเรศวรเคล่ือนพลชา้ งทรงของพระองคแ์ ละชา้ งทรง ของสมเด็จพระเอกาทศรถกาลงั ตกมนั ก็เตลิดเขา้ ไปในวงลอ้ มของขา้ ศึก ณ ตาบลตระพงั ตรุ สมเด็จพระนเรศวรทรงกระทายทุ ธหตั ถีกบั พระมหาอุปราชา สมเด็จพระเอกาทศรถทรงทา ยทุ ธหตั ถีกบั มางจาชโรและไดร้ ับชยั ชนะท้งั สองพระองค์ เมื่อพระมหาอุปราชาถูกฟันขาดคอ ชา้ ง กองทพั หงสาวดีกแ็ ตกพา่ ยกลบั ไป สมเด็จพระนเรศวรทรงปูนบาเหน็จทหารและปรึกษาโทษนาย ทพั นายกองที่ตามชา้ งทรงเขา้ ไปในกองทพั พม่าไม่ทนั สมเด็จพระวนั รัต ทูลขอพระราชทานอภัยโทษแทนแม่ทัพนายกองท้งั หมด สมเด็จพระ นเรศวรก็โปรดพระราชทานอภยั โทษให้ โดยให้ยกทพั ไปตีทวายและ ตะนาวศรีเป็นการแกต้ วั

๕ เนื้อเร่ือง ลลิ ติ ตะเลงพ่าย เนื่องจากลิลิตตะเลงพา่ ย มีความยาวมาก ไม่อาจ เรียนไดจ้ บในเวลาจากดั จึงไดน้ ามาใหเ้ รียนบางตอน โดยมี บทประพนั ธท์ ี่รวมไวท้ ้งั สิ้น ๑๒ ตอน ดงั น้ี

ตอน ๑ เร่ิมบทกวี ร่าย ศรีสวสั ดิเดชะ ชนะรำชอรินทร์ ยินพระยศเกริกเกรียง เพยี งพกแผ่นฟำกฟ้ำ หล้ำล่มเลื่องชัยเชวง เกรงพระเกียรติระย่อ ฝ่ อใจห้ำวบมิหำญ ลำญใจแกล้วบมิกล้ำ บค้ำอำ ตม์ออกรงค์ บคงอำตม์ออกฤทธ์ิ ท้ำวทั่วทิศทั่วเทศ ไท้ทุกเขตทุกด้ำว น้ำวมกฎุ มำนบ น้อม พิภพมำนอบ มอบบัวบำทวิบลุ อดลุ ยำนุภำพ.... โคลง ๔ แผ่นสยำม บญุ เจ้ำจอมภพพืน้ ขำดแกล้ว รอนรำพณ์ แลฤๅ แสยงพระยศยินขำม แผกแพ้ทุกภำย พระฤทธ์ิด่งั ฤทธิ์รำม รำญอริรำชแผ้ว ตอนที่ ๑ เร่ิมบทกวี เป็นการกล่าวยอพระเกียรติสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ที่ทรง ปกป้องประเทศไทยอยา่ งกลา้ หาญ ไม่มีศตั รูชาติใดกลา้ ปรากฏตวั ออกสู้รบ พระ เกียรติของพระองคแ์ ผไ่ พศาลสร้างความร่มเยน็ ไปทว่ั สารทิศ

ตอน ๒ เหตุการณ์ทางเมืองมอญ ร่าย ฝ่ายพระนครรามญั ขณั ฑเ์ ขตดา้ วอสั ดง หงสาวดีบุเรศ รั่วรู้เหตุบมิหึง แห่งเอิก อึงกิดาการ ฝ่ ายพสุธารออกทิศ วา่ อดิศวรกษตั รา มหาธรรมราชนรินทร์ เจา้ ปัฐพินผา่ นทวปี ดบั ชนมชีพพริ าลยั เอารสไทนฤเบศ นเรศวรเสวยศวรรยา แจง้ กิจจาตระหนกั จ่ึงพระปิ่ นปัก ธาษตรี บุรีรัตนหงสา ธกบ็ ญั ชาพิภาษ ดว้ ยมวลมาตยากร วา่ นครรามินทร์ ผลดั แผน่ ดิน เปล่ียนราช เยยี วววิ าทชิงฉตั ร เพอ่ื กษตั ริยส์ องสู้ บร้างรู้เหตุผล ควรยาตรพลไปเยอื น เตือน ประยทุ ธเ์ อาเปรียบ.... โคลง ๒ พระผำดผำยส่ ูห้ อง หำอนุชนวลน้อง หน่มุ เหน้ำพระสนม งำมเสงี่ยมเฟี้ยมเฝ้ำ ปวงประนมนบเกล้ำ อย่ถู ้ำทูลสนอง ฝ่ ายพระเจา้ หงสาวดี เม่ือเห็นไทยผลดั เปล่ียนแผน่ ดิน จึงหวงั วา่ จะจดั ทพั มาตี ดว้ ย คิดวา่ สมเดจ็ พระนเรศวรกบั พระเอกาทศรถอาจแยง่ ชิงแผน่ ดินกนั เองกจ็ ะยงิ่ เป็น ผลดี พระมหาอุปราชมีลางสงั หรณ์ จาใจออกศึกร่าลานางสนมก่อนออกศึกใหญ่

ตอน ๓ พระมหาอปุ ราชายกทพั เข้าเมืองกาญจนบุรี โคลง ๒ ยกพลผ่ำนด้ำนกว้ำง เสียงสน่ันม้ำช้ำง โคลง ๓ กึกก้องทำงหลวง สำมองค์มแี ห่งห้ัน ล่วงลดุ ่ำนเจดยี ์ เพื่อรู้รำวทำง แดนต่อแดนกนั้ นั้น แห่งอยธุ เยศหล้ำ มืดคล้มุ มวั มลย่ิงนำ ขบั พลวำงเข้ำแหล่ง แลธุลฟี ุ้งฟ้ำ พระมหาอุปราชายกพลทพั หลวง ยงิ่ ใหญเ่ สียงชา้ งมา้ สนน่ั กึกกอ้ ง ผา่ ด่านเจดียส์ ามองค์ มุ่งหวงั จะตีอยธุ ยา

ตอน ๓ พระมหาอปุ ราชายกทพั เข้าเมืองกาญจนบุรี โคลง ๒ พระฝืนทุกขเ์ ทวษกล้า แกล่ครวญ ขบั คชบทจรจวน บรรลพุ นมทวน จักเพล้ เหตอุ นำถหนักเอ้ เถ่ือนท่ี นั้นนำ อำจให้ ชนเห็น เกิดเป็ นหมอกมืดห้ อง เวหำ หนเฮย ลมชื่อเวรัมภำ พดั คล้มุ หวนหอบหักฉัตรำ คชขำด ลงแฮ แลธุลกี ลดั กล้มุ เกลื่อนเพีย้ งจักรผนั เม่ือทพั พระมหาอุปราชายกทพั ต่อไปถึงตาบลพนมทวน เกิด ลมเวรัมภาพดั หอบเอาฉตั รหกั พระมหาอุปราชาตกพระทยั ทรงใหโ้ หร ทานาย โหรไม่กลา้ พดู ความจริงจึงทานายวา่ ทพั พม่าจกั มีชยั

ตอน ๔ สมเดจ็ พระนเรศวรทรงปรารภเร่ืองตเี มืองเขมร โคลง ๔ นฤบดดี ำรัสด้วย กำรยทุ ธ์ ซ่ึงจักยอกมั พชุ แผ่นโพ้น พลบกยกเอำอุต ดมโชค ชัยนำ นับดฤษถนี ีโ้ น้น แน่นั้นวนั เมือ ทำงชลำ พลเรือพลรบท้อง ปักษ์ใต้ เกณฑ์แต่พลพำรำ นีมำศ เมืองเฮย ไปตพี ทุ ไธธำ เร่ งล้อมขอมหลวง ตีป่ ำสัก เสร็จให้ สมเดจ็ พระนเรศวรมีพระดารัสถึงการท่ีจะยกทพั ไปตีเขมร โดย กาหนดวนั ท่ีจะยกทพั ออกไป ส่วนทพั เรือใหเ้ กณฑห์ วั เมืองปักษใ์ ตเ้ พอื่ ยก ไปตีเมืองพทุ ไธมาศและเมืองป่ าสกั แล้ ใหล้ อ้ มเมืองหลวงของเขมรไว้

ตอน ๔ สมเด็จพระนเรศวรทรงปรารภเร่ืองตีเมืองเขมร โคลง ๔ พระห่วงแต่ศึกเสีย้ น อัสดง เกรงกระลบั ก่อรงค์ ร่ัวหล้ำ คือใครจักคุมคง ควรคู่ เขญ็ แฮ อำจประกนั กรุงถ้ำ ทัพข้อยคืนถึง ภกั ดี ท่ำนนำ พระพึงพิเครำะห์ ผ้ ู กำจแกล้ว คือพระยำจักรี มอบมิ่ง เมืองเฮย พระตรัสแด่มนตรี เกลือกช้ำคลำคืน กูจักไกลกรุงแก้ว พระองคท์ รงพระวติ กวา่ พม่าจะยกทพั มา จะไม่มีใครป้องกนั บา้ นเมืองรอพระองคเ์ สดจ็ กลบั มา ทรงเห็นวา่ พระยาจกั รีเป็นผทู้ ่ีเหมาะสม แก่การแต่งต้งั ใหเ้ ป็นผรู้ ักษาบา้ นเมือง

ตอน ๕ สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการสู้ศึกมอญ ร่าย แล้วธบรรหำรตระบดั ว่ำเรำจัดจตรุ งค์ จะไปยงยอยทุ ธ์ ยงั กมั พชุ พำรำ ศึก มอญมำชิงควนั กนั บให้ไปออก บอกให้เต้ำโดยตก ควรจักยกไปยทุ ธ์ เป็นมหุสสว มหันต์ ปันเอำชัยชิงชื่น แล้วธกอ็ ืน้ ออกพจน์ พระรำชกฎประกำศ แก่เมืองรำชบรุ ี เกณฑ์โยธีห้ำห้อย คะค้อยไปซุ่มซ่อน ดูศึกผ่อนพลเดิน ผ่ำนลำกระเพินโดยสะพำนเห็น เสร็จ ให้ระเห็จเข้ำหั่น บัน่ เรือกขำดเป็นท่อน ค่อนพวนขำดเป็นทุ่น สมเด็จพระนเรศวรมีพระดารัสวา่ พระองคเ์ ตรียมทพั เพื่อไปตีเมืองเขมร แต่ทพั มอญกลบั ชิงมาตีสยาม จึงตอ้ งเอาชนะศึกพม่าน้ีให้ไดเ้ สียก่อน แลว้ พระองคก์ ็ รับสง่ั ใหป้ ระกาศแก่เมืองราชบุรี ใหเ้ กณฑท์ หารจานวน ๕๐๐ คน ไปซุ่มดูขา้ ศึกขณะ สร้างสะพานท่ีลากระเพินและใหร้ ีบตดั สะพานใหข้ าดอยา่ ใหเ้ หลือ

ตอน ๕ สมเดจ็ พระนเรศวรทรงเตรียมการสู้ศึกมอญ โคลง ๔ ภูธรสง่ั ใหเ้ ทียบ โยธีทพั แฮ ห้ ำหม่ืนหมำยบัญชี เรียกได้ เกณฑ์เมืองจัตวำตรี ไตรตรวจ เอำนำ ยส่ี ิบสำมเมืองใต้ เตรียบตัง้ ต่อฉำน อำจอง บรรหำรให้ จัดผ้ ู ฤทธิ์ ห้ ำว เอำพระศรีไสนรงค์ ไปยว่ั ยทุ ธ์แฮ เป็นจอมพยหุ ยง ออกร้ ำรอนเขญ็ นำนิกรทัพท้ำว พระองคท์ รงวางแผนการศึก ใหท้ พั กาลงั พลหา้ หม่ืน เกณฑจ์ ากหวั เมืองตรี และจตั วา ๒๓ หวั เมืองใต้ เป็นทพั หนา้ ใหพ้ ระยาศรีไสนรงคเ์ ป็นแม่ทพั

ตอน ๖ พระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทพั ร่าย กษณะน้ันนเรนทร์ไท้ ธให้โหรหำมหุติฤกษ์ ซึ่งจะเบิกพยหุ บำตรำ จ่ึงพระโหรำผู้โศลก หลวงญำณโยคโลกทีป รับคำนวณทำนำย ถวำยพยำกรณ์ แก่ไท้ ท้ำวธได้จตรุ งคโชค อำจปรำบโลกลำญรงค์ เชิญบำทบงส์ุเสดจ็ คลำ จำกอ โยธยำยำมเช้ำ เข้ำรวิวำรมหันต์ วนั สิบเอด็ ขึน้ คำ่ ยำ่ รุ่งสองนำฬิกำ เศษสังขยำห้ำ บำท ในบษุ ยมำสดฤษถี ศรีสวสั ดีฤกษ์อุดม...... สมเดจ็ พระนเรศวรกม็ ีรับสงั่ ใหโ้ หรหาฤกษท์ ี่จะยกทพั หลวง หลวงญาณ โยคและหลวงโลกทีปคานวนฤกษด์ ีในการยกทพั ยกทพั ออกจากพระนคร ณ วนั อาทิตย์ ข้ึน ๑๑ ค่า เดือนย่ี เวลา ๘.๓๐ น.

ตอน ๖ พระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทพั โคลง ๔ พระกรำยกรย่ำงเยือ้ ง จรลี เร่ียวกว้ำง ลยุ มหำวำรี หนึ่งใหญ่ ไสร้นำ จักเคีย้ วขบองค์ พอพำนพะกมุ ภีล์ กบั กร เฟ่ื องนำ้ โถมปะทะเจ้ำช้ำง รำญชีพ กนั แฮ ท่งท้องชลธี พระทรงแสดงดำบแก้ว โจมประจัญฟันฟอน ต่ำงฤทธิ์ต่ำงรบรอน สระท้ำนทุกถิ่นท่ำถำ้ เมื่อเสดจ็ เขา้ บรรทม พระองคท์ รงพระสุบินเป็นศุภนิมิตร เร่ืองราวในพระ สุบินมีวา่ พระองคไ์ ดท้ อดพระเนตรน้าไหลบ่าท่วมป่ าสูง เป็นแนวยาวสุดพระเนตร และ พระองคท์ รงลุยกระแสน้าอนั เชี่ยว มีจระเขใ้ หญต่ วั หน่ึงโถมปะทะหมายจะกดั พระ พระองคจ์ ึงใชพ้ ระแสงดาบฟันถูกจระเขต้ าย เมื่อตื่นจากบรรทมึงใหโ้ หรทานาย ความวา่ เป็ นฝ่ ายชนะพระมหาอุปราชา

ตอน ๗ พระมหาอปุ ราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกทพั เข้า ปะทะทพั หน้าของไทย ร่าย ฝ่ ำยกองตระเวนรำมญั อันขนุ ศึกธใช้ ให้เอำม้ำมำลำด คอยข่ำวรำชริปู ดู ทัพชำวพระนคร จักออกรอนออกรบ จักออกทบออกทำน เอำอำกำรมำบอก แม้บอ อกต่อติด จักประชิดเมืองถึง จึงสมิงอะคร้ำนขนุ กอง รองสมิงเป่ อ ปลดั ทัพ กบั สมิง ซำยม่วน ทั้งสำมด่วนเดินพลพวกพหลหม่มู ้ำ ห้ำร้อยมำมองควำม ยลสยำมยำตรทัพ อย่ทู ่ำรับรำยค่ำย ขอบหนองสร่ำยเรียบพยหู ์ ดกู องหน้ำกองหลวง แลท้ังปวงทรำบ เสร็จ เร็วระเห็จไปทูล แดนเรศรู อุปรำช คร้ันพระบำทได้สดับ ธกท็ รำบสรรพโดย ควร ว่ำนเรศวรกษตั รำ กบั เอกำทศรุถ ยกมำยทุ ธ์แย้งรงค์.... ฝ่ายกองตระเวนของมอญ ซ่ึงไดร้ ับคาสงั่ ใหม้ าสืบข่าวดูกองทพั ไทยที่จะยกมา ตา้ นทานทพั พม่า โดยสมิงอะคร้าน สมิงเป่ อ สมิงซายม่วน พร้อมดว้ ยกองมา้ ๕๐๐ คน ได้ ไปพบกองทพั ไทยต้งั ค่ายรอรับอยทู่ ่ีหนองสาหร่ายจึงรีบกลบั ไปทูลแด่พระมหาอุปราชา

ตอน ๗ พระมหาอปุ ราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกทพั เข้า ปะทะทพั หน้าของไทย ร่าย ....โดยลำเนำลำดบั ถึบถึงโคกเผำเข้ำ พอยำมเช้ำยงั สำย หมำย ประมำณโมงครบ ประทบทัพรำมญั ประทันทัพพม่ำ ขบั ทวนกล้ำเข้ำแทง ขบั ทวยแขงเข้ำฟัน สองฝ่ ำยยนั ยืนยทุ ธ์ อุดอึงโห่เอำฤกษ์ เอิกอึกเห่เอำชัย สำดปื นไฟยะแย้ง แผลงปื นพิษยะย่งุ พ่งุ หอกใหญ่คะคว้ำง ขว้ำงหอกซัด คะไขว่ ไล่คะคลกุ บกุ บนั เงือ้ ดำบฟันฉะฉำด ง่ำง้ำวฟำดฉะฉับ.... ฝ่ายทพั ไทยเคลื่อนออกจากหนองสาหร่ายถึงโคกเผา ในยามเชา้ ได้ ปะทะกบั ทพั มอญ ท้งั สองฝ่ายไดต้ ่อสู้กนั ดว้ ยอาวธุ ท้งั ปื นไฟ หอก ดาบ ต่างฝ่าย ต่างลม้ ตายเป็นจานวนมาก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook