Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 3 วิทยาการวิจัยพุทธจิตวิทยา พล.อ.ต.รศ.ดร.นภัทร์ แก้วนาค

บทที่ 3 วิทยาการวิจัยพุทธจิตวิทยา พล.อ.ต.รศ.ดร.นภัทร์ แก้วนาค

Published by Kanokrat Sudlapa, 2021-09-14 11:39:32

Description: 3 บทที่ 3 วิทยาการวิจัยพุทธจิตวิทยา พล.อ.ต.รศ.ดร.นภัทร์ แก้วนาค

Search

Read the Text Version

วิ วี ทิ ยาการวิจัย กรอบความคดิ การออกแบบการวจิ ยั ปญั หาการวจิ ยั วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั กรอบทฤษฎกี ารวจิ ยั ตวั แปร ตวั แปร ตวั แปร เคร่อื งมอื การวจิ ยั การเก็บขอ้ มลู การวเิ คราะห/์ สรุปผลการวจิ ยั

เครื่องมือการวจิ ัย เนน้ อปุ กรณ์/วสั ด/ุ วิ กี าร เกบข้อมลู เชิงปรมิ าณ เช่น 1. แบบสารวจรายการ..................... 2. แบบทดสอบความรู้...................... 3. แบบวดั ทางจิตวทิ ยา.................... 4. แบบวดั ทางพฤติกรรมมนุษย.์ ....... 5. แบบวดั ทศั คติ/ความคิดเห็น........

ข้อมลู การวิจัย เปน็ เชิงปรมิ าณ/จานวน/ตวั เลข/สถิติ จาก 1. การคานวณนบั .............................................. 2. การนบั ความถี่/ความมากนอ้ ย....................... 3. การจดั กลุ่มเชิงปริมาณ................................... 4. การวเิ คราะห์เชิงจาแนก.................................... 5. การใชห้ ลกั สถิติวิเคราะห์..................................

สถติ ิเพอ่ื การวิจัย 1. สถิติ การบรรยาย : สถิตพิ ้นื ฐาน เชน่ จานวน/ความถ/ี่ รอ้ ยละ/คา่ เฉลยี่ 2. สถติ ิการอา้ งอิง / การอ บิ ายข้อมูล เชน่ t-test / Z-test / F-test ANOVA / ANCOVA / Mannova 3. สถิตขิ ัน้ สงู เพื่อการจัดระบบขอ้ มลู การยืนยัน ความเชอ่ื ถอื ได้ เชน่ Factor Analysis, Path Analysis

การวิจยั แบบ MIX Method 1. ผสานรปู แบบการวิจยั 2. ผสานคณุ ลักษณะข้อมลู 3. ผสานเครื่องมือการวิจัย 4. ผสานกระบวนการวิจัย 5. ผสานวิ วี ิทยาการวิจยั หวั ขอ้ การวจิ ัย การเกบขอ้ มูล ผลลพั ์การวิจัย

1. Mixed Design………….. 2. Mixed Data……………… 3. Mixed Instrument…… 4. Mixed Process…………

4.1 Ring Style 4.2 Spiral Style 4.3 Jigsaw Style DA CB

1 QL Qn Res. Repast R.R. 2 QL + Qn R.R. QL 3+ R.R. R.R. Qn R.R. 4 Qn QL QL 5 QL Qn 6 Qn QL

ประสิท ิภาพการวจิ ัย 1.Good Advisor G. Mentor G. Researcher G. Assessor G. Facilitator 8 มติ ิ G. Counselor G. Instructor G. Motivator G. Monitor

2. Advisor skill & characteristic 1. Research Mind...................... 2. Research Thinking................ 3. Research Technic................ 4. Research Design................ 5. The Critical Thinking........... ต่อ

6. The Analytical Technic............ 7. The Critical Writing................... 8. The Conclusion Skill................ 9. The Paraphrase & gist skill...... 10. The Conceptualize skill...........

3.เครอื่ งมือการวิจยั มคี ุณภาพ ➢ กล่าวทั่วไปเก่ียวกบั เคร่ืองมือฯ ➢ การสรา้ งเครื่องมอื ฯ ➢ การใช้เคร่อื งมอื ฯ ➢ แบบสอบถาม/แบบสงั เกต แบบสัมภาษณแ์ ละ Focus group

กล่าวทว่ั ไป 1. เครอ่ื งมือการวจิ ยั คอื อะไร? “วัสดุ/อปุ กรณ/์ เทคนคิ วิ ีท่ใี ช้ในการ รวบรวมขอ้ มูลเพือ่ การวิจยั ”

2. เครือ่ งมือฯ ดมี ีคณุ ลกั ษณะอยา่ งไร? 2.1 มคี วามเหมาะสมกบั ขอ้ มลู 2.2 มคี วามเทย่ี ง (Reliability) 2.3 มีความตรง (Validity) 2.4 มคี วามสะดวกในการนาไปใช้ 2.5 มคี ุณภาพดา้ นอืน่ ๆ

3. เครื่องมือฯ ดีจะทาใหไ้ ด้ขอ้ มูลที่มคี ณุ ภาพ 4. เครอ่ื งมือฯ มีความเก่ยี วข้องกบั 4.1 นยิ ามศพั ทก์ ารวจิ ยั 4.2 ตวั แปร/ประเดนการวจิ ยั หลกั ของ กรอบฯ 4.3 ขอบเขตเชงิ เน้ือหา 4.4 หลักการ/แนวคดิ /ทฤษฎที ี่ใช้

5. เครอ่ื งมอื ฯ ดีตอ้ งมีวิ ีการใชท้ ี่ดี 5.1 รู้ความมงุ่ หมายการใช้ 5.2 มกี ารวางแผน/เตรยี มการ 5.3 มีการสรา้ งความพรอ้ ม 5.4 มีทักษะการจัดการใชเ้ ครือ่ งมอื

ประเภทเครอื่ งมอื ทส่ี าคัญ เชน่ 1. แบบสอบถาม (Questionnaire) 2. แบบสมั ภาษณ์ (Interview) 3. แบบสังเกต (Observation) 4. แบบสนมนากลุ่มย่อย (Focus Group) ฯลฯ

จะเรียนรู้ “เครอื่ งมือ” อยา่ งไร ประเภท ประเดนการเรยี นรู้ 1. แบบสอบถาม 1. ความมุง่ หมายการใช้ 2. แบบสัมภาษณ์ 3. แบบสังเกต VS 2. คณุ ลกั ษณะเครอ่ื งมือทดี่ ี 4. แบบสนทนากลมุ่ 3. กระบวนการสร้างเครอ่ื งมอื 4. การใชเ้ ครอ่ื งมือ 5. การวิเคราะห์ขอ้ มูล

แบบสอบถาม 1. ความมุง่ หมายการใช้ 1.1 กาวิจัยเชงิ สารวจ (ทศั นคติ = เจตคต)ิ 1.2 สารวจ/วิเคราะห/์ ประเมนิ ความคดิ เหน/ทัศนคติ 1.3 เกบขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณเปน็ หลกั 1.4 ให้ขอ้ เสนอแนะ/คาแนะนาเพ่ิมเตมิ 1.5 กลมุ่ ผใู้ ห้ขอ้ มลู เปน็ Mass ไม่ Focus.

2. คณุ ลกั ษณะของแบบสอบถามท่ีดี 2.1 มีคุณลักษณะ/คุณภาพ เชน่ (1) ความเท่ียง (Reliability) (2) ความตรง (Validity) (3) เหมาะสมกบั การสารวจทัศนคติ/ความคดิ เหน (4) สะดวกต่อการใช้เกบขอ้ มลู (ผทู้ ี่ตอบได้ : อา่ น/คิด) (5) สรา้ งจากการมีส่วนร่วมของผู้ตอบแบบสอบถาม (6) มีจรรยาบรรณการสารวจ

3. กระบวนการสรา้ งแบบสอบถาม (เชงิ วชิ าการ) (1) ทบทวนวรรณกรรม (ใหต้ กผลึก) (2) นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ (ใหค้ รอบคลมุ ใจความสาคัญ) (3) กาหนดขอบเขตเชิงเน้อื หาทจี่ ะวิจยั (4) กาหนดกรอบแนวคิดเชงิ ทฤษฎกี ารวจิ ยั (5) วเิ คราะหค์ วามคาดหวงั /ผลลัพ ์ตาม วตั ถุประสงค์การวิจัย (6) กาหนดโครงสรา้ งเอกสาร/แบบสอบถาม (7) กาหนดรปู แบบ (Form) เอกสาร/องค์ประกอบ

(8) กาหนดประเดนการสอบถาม/รว่ มกบั ผตู้ อบ (1) ตวั แปรพน้ื ฐาน/ส่วนบุคคล (2) ประเดนเชงิ เน้ือหา/ทฤษฎี (3) คาถามปรายเปิด (9) ร่างฯ เอกสารต้นฉบบั โดยผ้วู จิ ยั (10) ทา Face Validity โดย Advisors (11) หาคา่ IOC โดย ผชช. > 5 ท่าน (12) หาคา่ สัมประสทิ ์ิ (∞) ครอนบัค (13) จัดระบบการแจกจ่าย/จัดชดุ /ทารหัส

4. สาระสาคญั อน่ื ๆ (1) การเขียนข้อคาถามแตล่ ะขอ้ “ต้องมนี ัยเดยี ว” (2) ตวั แปรสว่ นบุคคล “มีกล่มุ ตวั แปรทม่ี ีความหมาย” (3) จานวนขอ้ ไม่มากเกนิ ไป (30 - 50 ขอ้ ) (4) Scope ของประเดนคาถามสอดคลอ้ งกบั 4.1 นยิ ามศพั ท์เชงิ ปฏิบตั ิการ 4.2 ขอบเขตเน้อื หาท่กี าหนดไว้ 4.3 ตอบวัตถุประสงค์การวิจัยครบทุกขอ้

(5) แจกจานวนเอกสารเท่ากบั ทีส่ ุ่ม/กาหนดไว้ (ไมแ่ จกเกิน) (6) จานวนการได้กลับคืน > 85 % ก OK (7) ถา้ ไม่พอใหท้ วงถาม (ครั้ง 1,2) (8) ถ้าไม่ครบให้เปล่ยี นกลมุ่ ตัวอย่างใหมเ่ ท่าทข่ี าด (9) ผู้ตอบตอ้ งมีคณุ สมบตั ทิ จ่ี ะตอบแบบสอบถามได้

5. การทาแบบสอบถามไปเกบขอ้ มลู (1) มกี ลมุ่ ตวั อย่าง/พน้ื ท/ี่ สถานทชี่ ดั เจน (2) ประสานการปฏบิ ัติ/การแจกจ่าย/การเกบคืน (3) รวมรวบแบบสอบถามกลับคนื (4) ตรวจสอบความครบถว้ น/ความถกู ต้อง (5) จดั กลุ่ม/หมวดหมขู่ องแบบสอบถาม (6) นามาจดั ระบบและกระบวนการวิเคราะห์ข้อมลู

แบบสัมภาษณ์ 1. ความมุง่ หมายการสมั ภาษณ์ : เพ่ือ ➢ ทราบความคดิ /ความเหน ➢ ขอความรู้/ปัญญา ➢ ดูทัศนคติ/มุมมอง ➢ ทราบความเข้าใจ/ความเชอ่ื ➢ ถามประสบการณ์

2. คุณลักษณะแบบสัมภาษณท์ ีด่ ี ➢ มีคณุ ภาพความตรง/ความเท่ียง ➢ ใช้ถ้อยคาสานวนภาดี (สภุ าพ/เปน็ วิชาการ) ➢ มคี วามเปน็ สงิ่ เร้าการตอบโจทยว์ จิ ยั ➢ จะนามาซ่ึงการหลอมรวมคาตอบการวจิ ยั ➢ ตอบวัตถุประสงค์การวิจัยไดค้ รบ ➢ สอดคล้องกบั นยิ ามศัพท์และกรอบแนวคดิ

ตวั อยา่ งรปู แบบคาถามการสมั ภาษณ์ 1. ขอความกรุณาท่านได้วิเคราะหส์ ภาพปัญหาทาง วิชาการ ของ มจร. 2. ระบบการศกึ ษาท่ีเหมาะสมของ มจร. ควรเป็น อย่างไร ? 3. เพราะเหตุใดจงึ ต้องมีนวัตกรรมการบริหาร สมัยใหม่ ? 4. เหตผุ ลในการปฏิรปู ประเทศ คืออะไร ? ฯลฯ

3. กระบวนการสรา้ งแบบสัมภาษณ์ (1) วิเคราะหค์ าสาคญั (Key words) จากช่อื เร่ือง วจิ ยั (2) วเิ คราะห์ประเดนเน้ือหาในวตั ถุประสงค์การวจิ ัย (3) วเิ คราะห์คาถามการวิจยั /โจทยว์ ิจยั (4) วเิ คราะห์นยิ ามศัพท์การวจิ ยั (5) วเิ คราะห์ขอบเขตเชงิ เนื้อหาที่จะวิจยั

(6) วิเคราะห์สาระสาคญั จากกรอบแนวคดิ การ วิจยั (7) รา่ งขอ้ ความทมี่ ี Question word + Concept ที่จะถาม (8) นาไปให้ Advisors ดู Face Validity (9) หาค่าความตรง/เท่ียง โดยทา IOC แล้ว ปรับปรงุ

4. สาระสาคัญอ่นื ๆ ของแบบสมั ภาษณ์ (1) ข้อความต้องกระชบั มนี ยั เดียว (2) ไม่สับสนไปประเดนคาถาม (3) มี Question Words ท่ใี หแ้ สดงออกถงึ “ระบบความคดิ ” (ไมใ่ ช่ Fact/ความจา) (4) ไม่ละเมิดความเปน็ ส่วนตวั ของใคร (5) เรา้ ความคิดความเหนของผ้ตู อบ (6) ไมใ่ ชศ้ ัพท์สานวนทีผ่ ตู้ อบไม่เข้าใจ

5. การดาเนนิ การสมั ภาษณ์ (1) สง่ เอกสารและรายการคาถามใหผ้ ้ตู อบ (2) นดั หมาย วัน/เวลา/สถานที่ (3) เข้าพบ/นดั หมาย/สรา้ งความคนุ้ เคย (4) แนะนาตวั เองและทมี งาน (ถ้ามี) (5) แนะนาโครงร่างกาวิจัย (โดยย่อ) (6) บอกความมุ่งหมายการสมั ภาษณ์ (ครั้งน้ี) (7) บอกหวั ข้อ/ประเดน/คาถามทงั้ หมด

(8) ขออนญุ าตบันทกึ ขอ้ มลู /ถ่ายภาพ (9) บอกจรรยาบรรณการเผยแพร่ขอ้ มลู (10) ดาเนินการสัมภาษณ์ (ตามแผน) (11) ขอให้ผตู้ อบสรปุ ปดิ ทา้ ย (12) กลา่ วขอบคณุ /มอบของทีร่ ะลึก (ถา้ มี) (13) ถา่ ยภาพ/อาลา

6. การเตรยี มวิเคราะหข์ อ้ มูล : ผลสัมภาษณ์ (1) รวบรวมคาถามจากทุกคนของข้อคาถามทกุ ขอ้ (2) ถอดความ คาตอบจากทุกคนแต่ละข้อ (100% / 80% / 50%) (3) รวมความของคาถามแต่ละข้อของทกุ คน (จัดพมิ พ์) (4) เขา้ สู่กระบวนการวิเคราะห์ขอ้ มูลเชงิ เนอื้ หา (Content Analysis)

7. การสมั ภาษณ์ท่ีดี (1) ทกุ ฝา่ ยมคี วามพร้อม/ทาการบา้ น (2) ใช้คาถามเดยี วกันในทุกคนที่ตอบ (3) Face to Face dialogue (4) ถามไป / วิเคราะห์ / สังเกตไป (5) ฟังดว้ ยหู / ด้วยสมอง /ด้วยใจ (6) มี Attention ต่อกัน (7) ใช้มนษุ ยสมั พนั ์และจติ วิทยาการพูด

แบบสังเกต (Observation 1T. eคcวาhมnมiงุ่cห)มายการสังเกต : เพื่อการวจิ ยั ➢ รวบรวมขอ้ มูลผ่านอายาตนะสมั ผัส ➢ เฝ้าดดู ้วยความต้ังใจ (แตเ่ ปน็ รรมชาติ) ➢ ใชป้ ระสาทสัมผสั การรวบรวมขอ้ มลู อย่างเปน็ ระบบ ➢ บนั ทึกขอ้ มูลผ่านการเหน/การคิด/ทศั นะ/ความรู้สกึ

2. คณุ ลกั ษณะ “การสงั เกต” ทด่ี ี (1) มีแบบแผน / Check list / เครือ่ งมือ (2) มคี วามเป็นกลาง/เป็นวิชาการ/เปน็ นกั วจิ ัย (3) มกี ารวางแผน/เตรยี มการ/ทาการบา้ น (4) มกี ารบนั ทึกหลากหลายรปู แบบ เช่น = Field Note = Observation Note = Theoretical Note

(5) ทาไดท้ ้งั สงั เกตแบบมสี ว่ นร่วมและสงั เกตไม่ มีสว่ นรว่ ม (Un obstructive Method) (6) ไมล่ ะเมิดความเปน็ สว่ นตวั / รรมชาต/ิ สทิ มิ นษุ ยชน (7) บันทกึ ทงั้ ภาพท่ีเหนและความคิดทไ่ี ด้จาก การเหน

3. การสรา้ งแบบสงั เกต (1) วิเคราะหว์ ัตถุประสงค์การวิจยั เพ่ือกาหนด ประเดนสาคญั การวิจยั (2) วเิ คราะห์ประเดนขอ้ มลู ท่ีจะรวบรวมจากการ สงั เกต (3) วิเคราะหน์ ยิ ามศัพท์เชิงปฏบิ ัติการดใู จความ สาคัญ (Key words) (4) ดูกรอบแนวคดิ : วิเคราะหใ์ จความสาคญั

(5) วิเคราะหข์ อบเขตเชงิ เน้ือหาจับประเดนทจ่ี ะ สงั เกต (6) ร่างแบบสังเกตในรูปของ Scope / Context / check list (7) ทา Face Validity โดย Advisors (8) หาคา่ IOC โดยผเู้ ชีย่ วชาญ (9) ปรับปรุงและนาไปใช้

4. การใช้ “แบบ สงั เกต” (1) วางแผนการเขา้ พ้นื ที่ครบวงจร (2) Build up Rapport (สรา้ งความคุ้นเคยกับสถานท/่ี บคุ คล) (3) รวบรวมขอ้ มูลผ่านอายาตนะสมั ผสั พรอ้ มการบันทกึ ตามแบบสงั เกต

(4) ต้องสงั เกต - อย่างเป็นระบบ - อย่างมีแบบแผน - รอบคอบ/รอบด้าน (5) บันทึกทง้ั สิ่งทเ่ี ปน็ อยู่/มอี ยู่ โดยปกต/ิ ไม่ปกติ (6) ใชห้ ลัก Triangulation ในการแสวงหา ขอ้ มลู

การทา Focus group : สนทนากลุ่ม 1. ยควอ่ ายมม่งุ หมายในการ F/G ➢ รวบรวมขอ้ มูลจากผู้ทรงคุณวุฒิ ➢ สร้างปฏสิ ัมพัน ์ของความคิดเหน ➢ หา Consensus การสนทนา ➢ หา Solution ท่มี ีเหตุผล ➢ ได้ขอ้ มูลจากผู้ทรงคุณวฒุ พิ ร้อมคาอ บิ าย ร่วมกนั

2. การทา F/G ทด่ี ี ➢ เชิญผู้ทรงคุณวฒุ ิที่เหมาะสม ➢ จานวน 12 – 15 คน ➢ มคี วามเปน็ ตัวแทน/ระบบข้อมูล ➢ มีการวางแผน/เตรยี มการ/การจดั การดี ➢ Moderator มีความเข้าใจ/พร้อม/มีทักษะการจดั การ ➢ ผ้รู ว่ มสนทนามีความเขา้ ใจในโครงร่างวจิ ยั และ วตั ถปุ ระสงค์การวิจัย ➢ บรรยากาศเปน็ ไปแบบสรา้ งสรรค์/สาระ/สนุก (3ส.)

3. กระบวนการสร้างแบบ F/G ➢ ทาเช่นเดียวกบั การสัมภาษณ์ (รายบคุ คล) 4. สาระสาคญั การทา F/G (1) ผู้ทรงคุณวุฒเิ ปน็ ผู้ท่ีมคี วามรจู้ รงิ /มปี ระสบการณ์ จริง (2) มีความเป็น Homogeneous หรอื Heterogeneous กได้ (แต่ต้องไม่ขัดแยง้ กนั )

(3) มีกระบวนการ Dialectic Process (4) จะใหผ้ รู้ ูใ้ ดๆ เป็น Moderator แทนผวู้ จิ ยั กได้ (เวน้ Advisors) (5) มีการบริหารการประชุมใหส้ รา้ งสรรค์ + บรกิ ารท่ดี ี

5. กระบวนการทา F/G (1) กาหนดตัวบุคคลผทู้ รงคณุ วุฒิ 12-15 คน (2) เรียนเชญิ พร้อมแนบเอกสาร - โครงรา่ งการวจิ ัย - หวั ข้อ/ประเดน/คาถามการสนทนา - รายช่ือผู้เข้ารว่ มเสวนา - ระบุ ว/ด/ป. เวลา และสถานที่ (3) จดั เตรยี มสถานท/่ี สิ่งสนับสนนุ (4) จดั เตรียมอาหารวา่ ง/เครอ่ื งด่มื

(5) วัน F/G - ลงทะเบียน/รับเอกสาร - ทักทายทปี่ ระชมุ - แนะนาตนเอง/ผู้วิจยั /ผรู้ ่วมสนทนา - แนะนาโครงรา่ งการวจิ ัย - บอกวัตถุประสงคก์ ารสนทนา - อ ิบาย Scope การสนทนา - ดาเนินการสนทนา - ใช้เทคนิค Dialectic Process

- สรปุ ประเดนการสนทนา (แตล่ ะข้อ) - ให้ทกุ คนมสี ่วนรว่ มอภปิ ราย - สร้างบรรยากาศการสนทนา - ท้ิงทา้ ยโดยใหแ้ ตล่ ะคนกล่าว สาระสาคญั - ขอบคณุ ผรู้ ่วมสนทนา - มอบของท่ีระลกึ (ถา้ ม)ี - ถ่ายภาพร่วมกนั

สาระสาคัญอืน่ ๆ 1. Moderator ตอ้ งมีความรอบรูท้ งั้ โครง ร่าง/วตั ถปุ ระสงค์การวิจัย 2. Moderator ต้องรู้จักผู้รว่ มเสวนา 3. ผ้รู ว่ มเสวนาตอ้ งมคี วามเขา้ ใจโครงรา่ ง/ และวัตถุประสงคก์ ารวิจยั 4. มีผรู้ ว่ มจดบนั ทึกขอ้ มูล/ภาพ