ช้นั ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๗. ตระหนักถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง • การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกกอ่ ใหเ้ กดิ ผลภมู อิ ากาศโลก โดยนำเสนอแนวทางการปฏบิ ตั ติ น กระทบต่อสง่ิ มชี วี ติ และส่ิงแวดลอ้ ม เชน่ ภายใต้การเปล่ียนแปลงภูมอิ ากาศโลก การหลอมเหลวของนำ้ แข็งขัว้ โลก การเพมิ่ ขึน้ ของระดบั ทะเล การเปลี่ยนแปลงวัฏจักรน้ำ การเกดิ โรคอบุ ัตใิ หมแ่ ละอุบัตซิ ้ำ และการเกิด ภยั พบิ ัตทิ างธรรมชาตทิ ีร่ นุ แรงขึ้น มนษุ ย์จึงควร เรียนรแู้ นวทางการปฏิบัตติ นภายใตส้ ถานการณ์ ดังกลา่ ว ทง้ั แนวทางการปฏบิ ตั ติ นให้เหมาะสม และแนวทางการลดกิจกรรมที่สง่ ผลต่อการ เปลี่ยนแปลงภมู ิอากาศโลกม.๒ ๑. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด สมบตั ิ และการใช้ • เชอื้ เพลงิ ซากดกึ ดำบรรพ์ เกดิ จากการเปลย่ี นแปลง ประโยชน์ รวมทง้ั อธิบายผลกระทบจากการใช้ สภาพของซากส่ิงมีชีวติ ในอดีต โดยกระบวนการ เชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดำบรรพ์ จากขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ ทางเคมแี ละธรณีวิทยา เชอ้ื เพลงิ ซากดึกดำบรรพ์ ไดแ้ ก่ ถา่ นหนิ หินนำ้ มัน และปโิ ตรเลยี ม ซงึ่ เกิดจากวตั ถตุ น้ กำเนิด และสภาพแวดลอ้ ม การเกดิ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ทำให้ไดช้ นิดของเชอื้ เพลิง ซากดกึ ดำบรรพท์ ม่ี ลี กั ษณะ สมบตั ิ และการนำไป ใช้ประโยชนแ์ ตกตา่ งกัน สำหรบั ปิโตรเลียม จะตอ้ งมกี ารผา่ นการกลนั่ ลำดบั สว่ นกอ่ นการใชง้ าน เพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลติ ภณั ฑท์ เ่ี หมาะสมตอ่ การใชป้ ระโยชน์ เช้อื เพลิงซากดึกดำบรรพ์เปน็ ทรัพยากรท่ีใชแ้ ล้ว หมดไป เนอ่ื งจากต้องใช้เวลานานหลายลา้ นปี จึงจะเกิดข้นึ ใหมไ่ ด้๒. แสดงความตระหนักถงึ ผลจากการใช้เชอ้ื เพลงิ • การเผาไหม้เชอื้ เพลิงซากดกึ ดำบรรพใ์ นกิจกรรม ซากดึกดำบรรพ์ โดยนำเสนอแนวทางการใช้ ต่าง ๆ ของมนษุ ยจ์ ะทำให้เกดิ มลพิษทางอากาศ เช้ือเพลิงซากดึกดำบรรพ์ ซ่ึงส่งผลกระทบต่อส่งิ มชี วี ิตและส่งิ แวดลอ้ ม นอกจากนแี้ ก๊สบางชนิดท่ีเกิดจากการเผาไหม้ เชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดำบรรพ์ เชน่ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ และไนตรัสออกไซด์ ยงั เป็นแก๊สเรือนกระจก ซ่งึ สง่ ผลให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงภูมิอากาศ ของโลกรนุ แรงขึ้น ดงั นน้ั จงึ ควรใช้เชื้อเพลิง ซากดกึ ดำบรรพ์ โดยคำนึงถึงผลท่เี กิดขนึ้ ตอ่ สิ่งมีชีวิตและส่งิ แวดลอ้ ม เช่น เลอื กใช้พลังงาน ทดแทน หรอื เลือกใชเ้ ทคโนโลยีทลี่ ดการใช้ เชื้อเพลงิ ซากดึกดำบรรพ์ตัวชีว้ ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 95 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๓. เปรียบเทียบขอ้ ดแี ละขอ้ จำกดั ของพลังงาน • เชือ้ เพลงิ ซากดึกดำบรรพ์เป็นแหล่งพลงั งาน ทดแทนแต่ละประเภทจากการรวบรวมข้อมูล ท่ีสำคญั ในกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์ เนอ่ื งจาก และนำเสนอแนวทางการใชพ้ ลงั งานทดแทน เชอื้ เพลงิ ซากดกึ ดำบรรพ์มีปรมิ าณจำกัดและ ทเ่ี หมาะสมในทอ้ งถนิ่ มักเพ่มิ มลภาวะในบรรยากาศมากขนึ้ จึงมีการใช้ พลงั งานทดแทนมากขน้ึ เชน่ พลงั งานแสงอาทติ ย์ พลังงานลม พลงั งานนำ้ พลังงานชวี มวล พลงั งานคลนื่ พลงั งานความรอ้ นใตพ้ ภิ พ พลงั งานไฮโดรเจน ซึง่ พลงั งานทดแทนแตล่ ะชนิด จะมขี อ้ ดแี ละขอ้ จำกดั ทีแ่ ตกตา่ งกัน ๔. สร้างแบบจำลองทอี่ ธบิ ายโครงสร้างภายในโลก • โครงสรา้ งภายในโลกแบ่งออกเปน็ ช้นั ตาม ตามองคป์ ระกอบทางเคมจี ากขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ องคป์ ระกอบทางเคมี ไดแ้ ก่ เปลือกโลก ซึ่งอยู่ นอกสดุ ประกอบด้วยสารประกอบของซิลกิ อน และอะลูมเิ นยี มเปน็ หลัก เน้อื โลกคือส่วนทีอ่ ยู่ ใต้เปลือกโลกลงไปจนถงึ แกน่ โลก มีองคป์ ระกอบ หลกั เป็นสารประกอบของซลิ ิกอน แมกนเี ซียม และเหล็ก และแกน่ โลกคือสว่ นท่ีอยใู่ จกลางของ โลก มีองคป์ ระกอบหลักเป็นเหลก็ และนกิ เกิล ซ่ึงแต่ละช้นั มีลักษณะแตกตา่ งกัน ๕. อธิบายกระบวนการผพุ ังอยูก่ ับท่ี การกรอ่ น • การผพุ ังอยู่กบั ที่ การกร่อน และการสะสมตวั และการสะสมตัวของตะกอนจากแบบจำลอง ของตะกอน เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทาง รวมทงั้ ยกตัวอย่างผลของกระบวนการดงั กล่าว ธรณวี ิทยา ท่ที ำใหผ้ วิ โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ท่ีทำใหผ้ วิ โลกเกิดการเปล่ยี นแปลง เป็นภูมลิ ักษณ์แบบตา่ ง ๆ โดยมีปจั จัยสำคัญ คือ นำ้ ลม ธารนำ้ แขง็ แรงโน้มถว่ งของโลก ส่งิ มีชีวิต สภาพอากาศ และปฏกิ ริ ิยาเคมี • การผพุ ังอย่กู บั ที่ คอื การที่หินผพุ งั ทำลายลง ดว้ ยกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ ลมฟา้ อากาศกบั นำ้ ฝน และรวมทัง้ การกระทำของตน้ ไมก้ ับ แบคทเี รีย ตลอดจนการแตกตัวทางกลศาสตร์ ซึง่ มกี ารเพมิ่ และลดอุณหภูมสิ ลบั กัน เปน็ ตน้ • การกรอ่ น คอื กระบวนการหน่งึ หรือหลาย กระบวนการท่ที ำให้สารเปลอื กโลกหลดุ ไป ละลายไปหรือกรอ่ นไปโดยมตี ัวนำพาธรรมชาติ คอื ลม นำ้ และธารน้ำแขง็ ร่วมกับปจั จัยอื่น ๆ96 ตวั ช้ีวัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ไดแ้ ก่ ลมฟา้ อากาศ สารละลาย การครดู ถู การนำพา ทั้งนไ้ี ม่รวมถงึ การพังทลายเป็นกลุ่ม ก้อน เชน่ แผ่นดนิ ถล่ม ภเู ขาไฟระเบดิ • การสะสมตวั ของตะกอน คือ การสะสมตวั ของ วตั ถุจากการนำพาของนำ้ ลม หรอื ธารน้ำแข็ง๖. อธบิ ายลกั ษณะของชนั้ หนา้ ตดั ดนิ และกระบวนการ • ดินเกดิ จากหนิ ท่ีผพุ ังตามธรรมชาตผิ สมคลุกเคลา้ เกดิ ดิน จากแบบจำลอง รวมท้งั ระบปุ จั จยั กับอินทรียวตั ถทุ ่ไี ดจ้ ากการเนา่ เปอ่ื ยของซากพชื ทีท่ ำใหด้ นิ มีลกั ษณะและสมบัติแตกต่างกัน ซากสัตวท์ ับถมเปน็ ชนั้ ๆ บนผวิ โลก ชนั้ ดิน แบง่ ออกเปน็ หลายชน้ั ขนานหรอื เกอื บขนานไปกบั ผวิ หนา้ ดิน แต่ละช้นั มลี ักษณะแตกตา่ งกนั เนอื่ งจากสมบัติทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ และ ลกั ษณะอน่ื ๆ เชน่ สี โครงสรา้ ง เนอื้ ดนิ การยดึ ตวั ความเปน็ กรด-เบส สามารถสังเกตได้จากการ สำรวจภาคสนาม การเรยี กชอ่ื ชน้ั ดินหลกั จะใช้ อกั ษรภาษาองั กฤษตวั ใหญ่ ไดแ้ ก่ O, A, E, B, C, R • ชนั้ หน้าตัดดิน เป็นชั้นดินทม่ี ลี กั ษณะปรากฏให้ เหน็ เรียงลำดบั เปน็ ชัน้ จากชัน้ บนสุดถึงชั้นลา่ งสุด • ปจั จยั ทที่ ำใหด้ นิ แตล่ ะทอ้ งถน่ิ มลี กั ษณะและสมบตั ิ แตกต่างกนั ได้แก่ วตั ถตุ ้นกำเนดิ ดิน ภมู ิอากาศ สง่ิ มชี วี ิตในดิน สภาพภูมิประเทศ และระยะเวลา ในการเกดิ ดิน๗. ตรวจวดั สมบตั บิ างประการของดนิ โดยใชเ้ ครอื่ งมอื • สมบตั บิ างประการของดนิ เชน่ เนอื้ ดนิ ความชนื้ ดนิที่เหมาะสมและนำเสนอแนวทางการใช้ คา่ ความเป็นกรด-เบส ธาตุอาหารในดนิ สามารถประโยชนด์ นิ จากขอ้ มลู สมบตั ขิ องดิน นำไปใชใ้ นการตดั สนิ ใจถงึ แนวทางการใช้ ประโยชน์ทีด่ นิ โดยอาจนำไปใช้ประโยชน์ ทางการเกษตรหรอื อน่ื ๆ ซ่งึ ดินท่ีไม่เหมาะสม ตอ่ การทำการเกษตร เชน่ ดนิ จดื ดนิ เปรยี้ ว ดนิ เคม็ และดนิ ดาน อาจเกดิ จากสภาพดนิ ตามธรรมชาติ หรือการใช้ประโยชนจ์ ะตอ้ งปรับปรงุ ใหม้ ี สภาพเหมาะสม เพือ่ นำไปใช้ประโยชน์ตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 97 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชัน้ ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๘. อธบิ ายปจั จยั และกระบวนการเกดิ แหลง่ นำ้ ผวิ ดนิ • แหล่งนำ้ ผวิ ดินเกดิ จากนำ้ ฝนท่ตี กลงบนพนื้ โลก และแหล่งนำ้ ใตด้ นิ จากแบบจำลอง ไหลจากทสี่ งู ลงสทู่ ่ีต่ำด้วยแรงโน้มถว่ ง การไหล ของน้ำทำใหพ้ ืน้ โลกเกิดการกัดเซาะเปน็ ร่องนำ้ เชน่ ลำธาร คลอง และแมน่ ำ้ ซงึ่ รอ่ งนำ้ จะมขี นาด และรูปรา่ งแตกต่างกัน ข้นึ อยูก่ บั ปริมาณน้ำฝน ระยะเวลาในการกัดเซาะ ชนดิ ดนิ และหิน และ ลักษณะภูมิประเทศ เช่น ความลาดชัน ความสูง ต่ำของพ้นื ที่ เมื่อนำ้ ไหลไปยังบริเวณทเ่ี ปน็ แอง่ จะเกดิ การสะสมตวั เปน็ แหลง่ นำ้ เชน่ บงึ ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมทุ ร • แหลง่ น้ำใตด้ ินเกดิ จากการซมึ ของน้ำผิวดินลงไป สะสมตัวใตพ้ ้นื โลก ซง่ึ แบ่งเป็นนำ้ ในดนิ และ น้ำบาดาล นำ้ ในดนิ เป็นนำ้ ท่ีอยู่รว่ มกับอากาศ ตามชอ่ งวา่ งระหว่างเมด็ ดิน สว่ นนำ้ บาดาล เป็นนำ้ ท่ไี หลซมึ ลกึ ลงไปและถูกกกั เกบ็ ไว้ ในชั้นหนิ หรอื ชน้ั ดิน จนอ่ิมตวั ไปด้วยนำ้ ๙. สรา้ งแบบจำลองทอี่ ธบิ ายการใชน้ ำ้ และนำเสนอ • แหลง่ นำ้ ผิวดินและแหลง่ นำ้ ใต้ดินถกู นำมาใช้ แนวทางการใช้นำ้ อยา่ งย่ังยนื ในท้องถน่ิ ของ ในกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ส่งผลต่อการจดั การ ตนเอง การใชป้ ระโยชน์นำ้ และคณุ ภาพของแหลง่ น้ำ เน่อื งจากการเพิม่ ขนึ้ ของจำนวนประชากร การใช้ประโยชน์พน้ื ทใี่ นดา้ นต่าง ๆ เชน่ ภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และ การเปลี่ยนแปลงภมู ิอากาศ ทำให้เกิด การเปลย่ี นแปลงปริมาณน้ำฝนในพน้ื ทีล่ ุ่มนำ้ และแหลง่ น้ำผิวดนิ ไมเ่ พียงพอสำหรบั กจิ กรรม ของมนษุ ย์ นำ้ จากแหล่งน้ำใตด้ นิ จึงถกู นำมาใช้ มากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำใตด้ นิ ลดลงมาก จงึ ตอ้ งมกี ารจดั การใชน้ ำ้ อยา่ งเหมาะสมและยงั่ ยนื ซงึ่ อาจทำได้โดยการจัดหาแหลง่ นำ้ เพ่ือให้มี แหลง่ นำ้ เพยี งพอสำหรบั การดำรงชวี ติ การจดั สรร และการใชน้ ำ้ อย่างมีประสิทธิภาพ การอนรุ กั ษ์ และฟืน้ ฟูแหล่งน้ำ การปอ้ งกันและแกไ้ ขปัญหา คณุ ภาพน้ำ98 ตัวชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชัน้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๑๐. สรา้ งแบบจำลองท่อี ธบิ ายกระบวนการเกดิ • นำ้ ท่วม การกดั เซาะชายฝง่ั ดนิ ถลม่ หลุมยุบและผลกระทบของน้ำทว่ ม การกัดเซาะชายฝง่ั แผน่ ดนิ ทรดุ มีกระบวนการเกดิ และผลกระทบ ดนิ ถล่ม หลมุ ยุบ แผ่นดินทรดุ ท่แี ตกต่างกัน ซ่งึ อาจสรา้ งความเสยี หายรา้ ยแรง แก่ชีวิต และทรัพย์สิน • นำ้ ทว่ ม เกดิ จากพนื้ ทหี่ นงึ่ ไดร้ บั ปรมิ าณนำ้ เกนิ กวา่ ทจ่ี ะกกั เกบ็ ได้ ทำใหแ้ ผน่ ดนิ จมอยใู่ ตน้ ำ้ โดยขน้ึ อยู่ กบั ปริมาณน้ำและสภาพทางธรณวี ทิ ยาของพ้นื ท่ี • การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นกระบวนการเปล่ียนแปลง ของชายฝง่ั ทะเลทีเ่ กิดขึ้นตลอดเวลาจากการ กัดเซาะของคล่นื หรือลม ทำใหต้ ะกอนจากทีห่ นึ่ง ไปตกทบั ถมในอกี บริเวณหนึ่ง แนวของชายฝ่ัง เดมิ จึงเปล่ียนแปลงไป บรเิ วณทีม่ ตี ะกอนเคลอ่ื น เขา้ มานอ้ ยกว่าปรมิ าณท่ตี ะกอนเคล่อื นออกไป ถือว่าเป็นบริเวณท่มี กี ารกัดเซาะชายฝ่ัง • ดนิ ถลม่ เปน็ การเคล่ือนทข่ี องมวลดินหรอื หิน จำนวนมากลงตามลาดเขา เน่ืองจากแรงโนม้ ถ่วง ของโลกเปน็ หลกั ซ่งึ เกดิ จากปจั จยั สำคญั ได้แก่ ความลาดชนั ของพ้ืนท่ี สภาพธรณีวิทยา ปรมิ าณ นำ้ ฝน พชื ปกคลุมดนิ และการใช้ประโยชนพ์ น้ื ท่ี • หลุมยบุ คือ แอ่งหรอื หลมุ บนแผน่ ดนิ ขนาดตา่ ง ๆ ทีอ่ าจเกิดจากการถล่มของโพรงถำ้ หนิ ปูน เกลอื หินใต้ดนิ หรอื เกดิ จากน้ำพัดพาตะกอน ลงไปในโพรงถำ้ หรือธารนำ้ ใตด้ ิน • แผน่ ดนิ ทรุดเกิดจากการยุบตัวของชน้ั ดนิ หรือ หนิ รว่ น เมอื่ มวลของแขง็ หรอื ของเหลวปรมิ าณมาก ที่รองรับอยู่ใต้ช้นั ดินบรเิ วณนนั้ ถกู เคล่อื นยา้ ยออก ไปโดยธรรมชาตหิ รอื โดยการกระทำของมนษุ ย์ม.๓ - -ม.๔ - -ม.๕ - -ตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 99 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลางม.๖ ๑. อธิบายการแบ่งช้ันและสมบัติของโครงสร้างโลก • การศึกษาโครงสร้างโลกใช้ขอ้ มลู หลายด้าน เชน่ พรอ้ มยกตวั อยา่ งข้อมูลท่ีสนบั สนนุ องคป์ ระกอบทางเคมขี องหนิ และแร่ องคป์ ระกอบ ทางเคมขี องอกุ กาบาต ข้อมูลคลนื่ ไหวสะเทอื น ทีเ่ คล่ือนท่ีผา่ นโลก จึงสามารถแบง่ ชั้นโครงสรา้ ง โลก ได้ ๒ แบบ คอื โครงสรา้ งโลกตามองคป์ ระกอบ ทางเคมี แบง่ ได้เป็น ๓ ชัน้ ไดแ้ ก่ เปลอื กโลก เน้อื โลก และแกน่ โลก และโครงสร้างโลกตาม สมบัตเิ ชงิ กล แบง่ ไดเ้ ป็น ๕ ช้นั ได้แก่ ธรณีภาค ฐานธรณีภาค มัชฌมิ ภาค แก่นโลกชัน้ นอก และแกน่ โลกช้นั ใน ๒. อธิบายหลกั ฐานทางธรณีวทิ ยาทส่ี นับสนุน • แผ่นธรณีตา่ ง ๆ เปน็ สว่ นประกอบของธรณภี าค การเคลือ่ นทขี่ องแผ่นธรณี การเปลี่ยนแปลงขนาดและตำแหน่งตงั้ แตอ่ ดีต จนถึงปจั จุบนั การเคลอื่ นทข่ี องแผน่ ธรณีดงั กล่าว อธิบายไดต้ ามทฤษฎธี รณแี ปรสัณฐาน ซ่ึงมี รากฐานมาจากทฤษฎที วีปเลื่อนและทฤษฎี การแผข่ ยายพืน้ สมุทร โดยมหี ลกั ฐานท่สี นับสนนุ ไดแ้ ก่ รปู รา่ งของขอบทวปี ทส่ี ามารถเชอื่ มตอ่ กนั ได้ ความคล้ายคลึงกนั ของกลุ่มหินและแนวเทอื กเขา ซากดกึ ดำบรรพ์ รอ่ งรอยการเคล่ือนท่ีของ ตะกอนธารนำ้ แขง็ ภาวะแม่เหลก็ โลกบรรพกาล อายหุ นิ ของพน้ื มหาสมทุ ร รวมท้งั การคน้ พบ สนั เขากลางสมุทร และรอ่ งลึกก้นสมทุ ร ๓. ระบสุ าเหตุ และอธบิ ายรูปแบบแนวรอยตอ่ • การพาความรอ้ นของแมกมาภายในโลก ทำให้ ของแผ่นธรณีท่ีสมั พนั ธก์ บั การเคลอื่ นทีข่ อง เกิดการเคลือ่ นทขี่ องแผน่ ธรณี ตามทฤษฎธี รณี แผน่ ธรณี พร้อมยกตวั อย่างหลกั ฐาน แปรสณั ฐาน ซึ่งนกั วิทยาศาสตรไ์ ดส้ ำรวจพบ ทางธรณีวิทยาท่พี บ หลกั ฐานทางธรณวี ทิ ยา ไดแ้ ก่ ธรณีสัณฐาน และธรณโี ครงสรา้ ง ที่บรเิ วณแนวรอยตอ่ ของ แผ่นธรณี เชน่ ร่องลึกก้นสมทุ ร หม่เู กาะภูเขาไฟ รปู โค้ง แนวภเู ขาไฟ แนวเทือกเขา หบุ เขาทรุด และสนั เขากลางสมุทร รอยเลอื่ น นอกจากนี้ ยงั พบการเกิดธรณพี บิ ัติภยั ท่บี ริเวณแนวรอย ต่อของแผ่นธรณี เช่น แผ่นดินไหว ภเู ขาไฟระเบดิ สนึ ามิ ซึ่งหลักฐานดังกลา่ วสัมพนั ธก์ ับรูปแบบ100 ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง การเคลื่อนที่ของแผน่ ธรณี นกั วิทยาศาสตร์ จงึ สรปุ ไดว้ า่ แนวรอยตอ่ ของแผน่ ธรณมี ี ๓ รปู แบบ ไดแ้ ก่ แนวแผน่ ธรณีแยกตวั แนวแผ่นธรณี เคล่ือนทเ่ี ขา้ หากนั แนวแผน่ ธรณีเคล่อื นท่ผี ่านกนั ในแนวราบ๔. อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกิดภูเขาไฟระเบดิ • ภเู ขาไฟระเบดิ เกิดจากการแทรกดนั ของแมกมารวมทง้ั สืบคน้ ข้อมลู พื้นที่เส่ียงภัย ออกแบบและ ขน้ึ มาตามสว่ นเปราะบาง หรอื รอยแตกบนเปลอื กโลกนำเสนอแนวทางการเฝ้าระวังและการปฏบิ ตั ติ น มักพบหนาแนน่ บรเิ วณรอยต่อระหว่างแผ่นธรณีใหป้ ลอดภัย ทำให้บรเิ วณดงั กล่าวเป็นพน้ื ทเ่ี ส่ียงภัย ผลจาก การระเบิดของภเู ขาไฟมที ง้ั ประโยชนแ์ ละโทษ จึงตอ้ งศกึ ษาแนวทางในการเฝ้าระวัง และ การปฏิบัติตนใหป้ ลอดภัย๕. อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกิด ขนาดและ • แผ่นดินไหวเกิดจากการปลดปลอ่ ยพลังงานที่ความรุนแรง และผลจากแผ่นดนิ ไหว รวมท้ัง สะสมไวข้ องเปลอื กโลกในรูปของคลืน่ ไหวสบื ค้นข้อมลู พืน้ ทเ่ี ส่ยี งภยั ออกแบบและ สะเทอื น แผ่นดนิ ไหวมขี นาดและความรนุ แรงนำเสนอแนวทางการเฝา้ ระวังและการปฏบิ ัติตน แตกต่างกัน มกั เกดิ ขึ้นบรเิ วณรอยต่อของแผน่ใหป้ ลอดภยั ธรณี และพื้นท่ภี ายใต้อิทธพิ ลของการเคล่ือนของ แผ่นธรณี ทำใหบ้ รเิ วณดงั กล่าวเป็นพื้นที่เส่ยี งภัย แผน่ ดนิ ไหว ซ่ึงส่งผลใหส้ ่ิงก่อสรา้ งเสยี หาย เกดิ อันตรายตอ่ ชีวติ และทรพั ยส์ นิ จงึ ต้องศึกษา แนวทางในการเฝ้าระวงั และการปฏิบัตติ น ให้ปลอดภัย๖. อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกดิ และผลจากสนึ ามิ • สึนามิ คอื คลืน่ น้ำท่เี กิดจากการแทนท่ีมวลน้ำ รวมทง้ั สบื คน้ ขอ้ มูลพื้นท่เี ส่ยี งภยั ออกแบบ ในปริมาณมหาศาล สว่ นมากจะเกิดในทะเลหรอืและนำเสนอแนวทางการเฝ้าระวังและการ มหาสมุทร โดยคล่นื มีลักษณะเฉพาะ คอืปฏบิ ตั ิตนให้ปลอดภยั ความยาวคลื่นมากและเคล่อื นท่ดี ว้ ยความเร็วสงู เมอื่ อยู่กลางมหาสมุทรจะมคี วามสงู คล่ืนน้อย และอาจเพิม่ ความสูงขึ้นอย่างรวดเรว็ เมือ่ คลื่น เคลอื่ นทผ่ี ่านบริเวณน้ำตืน้ จงึ ทำใหพ้ ้นื ที่บริเวณ ชายฝง่ั บางบริเวณเปน็ พ้ืนทเ่ี สี่ยงภัยสนึ ามิ กอ่ ใหเ้ กิดอนั ตรายแก่มนุษย์และสิ่งกอ่ สร้าง ในบริเวณชายหาดนั้น จงึ ตอ้ งศกึ ษาแนวทาง ในการเฝา้ ระวงั และการปฏิบัตติ นให้ปลอดภัยตวั ช้ีวัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 101 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ๗. อธบิ ายปจั จัยสำคญั ท่มี ผี ลต่อการไดร้ ับพลังงาน • พน้ื ผวิ โลกแตล่ ะบรเิ วณได้รับพลังงานจาก จากดวงอาทิตย์แตกต่างกันในแตล่ ะบริเวณ ดวงอาทิตย์ในปริมาณทแ่ี ตกต่างกัน เนื่องจาก ของโลก ปจั จยั สำคญั หลายประการ เช่น สณั ฐานและ การเอียงของแกนโลก ลกั ษณะของพ้ืนผิว ละอองลอย และเมฆ ทำใหแ้ ตล่ ะบริเวณบนโลก มีอุณหภมู ิไม่เท่ากัน สง่ ผลใหม้ คี วามกดอากาศ แตกตา่ งกนั และเกดิ การถา่ ยโอนพลงั งานระหวา่ งกนั ๘. อธบิ ายการหมนุ เวยี นของอากาศ ที่เป็น • การหมุนเวยี นของอากาศเกดิ ขึ้นจากความ ผลมาจากความแตกต่างของความกดอากาศ กดอากาศทีแ่ ตกต่างกันระหว่างสองบริเวณ โดยอากาศเคลื่อนท่ีจากบรเิ วณท่ีมคี วามกด อากาศสูงไปยังบรเิ วณทมี่ คี วามกดอากาศต่ำ ซง่ึ จะเหน็ ไดช้ ดั เจน ในการเคล่ือนท่ขี องอากาศ ในแนวราบ และเม่อื พิจารณาการเคลือ่ นที่ของ อากาศในแนวด่ิงจะพบวา่ อากาศเหนือบรเิ วณ ความกดอากาศตำ่ จะมกี ารยกตวั ขึน้ ขณะท่ี อากาศเหนอื บรเิ วณความกดอากาศสงู จะจมตวั ลง โดยการเคล่ือนท่ขี องอากาศทง้ั ในแนวราบและ แนวดิง่ น้ี ทำให้เกิดเปน็ การหมุนเวยี นของอากาศ ๙. อธิบายทิศทางการเคลือ่ นทีข่ องอากาศ ทีเ่ ป็น • การหมนุ รอบตวั เองของโลกทำใหเ้ กดิ แรงคอรอิ อลสิ ผลมาจากการหมนุ รอบตัวเองของโลก สง่ ผลให้ทศิ ทางการเคลื่อนท่ขี องอากาศเบนไป โดยอากาศท่เี คลื่อนทใี่ นบริเวณซีกโลกเหนอื จะเบนไปทางขวาจากทศิ ทางเดมิ สว่ นบรเิ วณซกี โลก ใต้จะเบนไปทางซา้ ยจากทิศทางเดมิ ๑๐. อธบิ ายการหมนุ เวยี นของอากาศตามเขต • โลกมีความกดอากาศแตกต่างกนั ในแต่ละบริเวณ ละติจูด และผลท่มี ีตอ่ ภูมิอากาศ รวมทง้ั อทิ ธพิ ลจากการหมนุ รอบตวั เองของโลก ทำใหอ้ ากาศในแต่ละซกี โลกเกดิ การหมุนเวยี น ของอากาศตามเขตละติจูด แบ่งออกเป็น ๓ แถบ โดยแตล่ ะแถบมีภมู ิอากาศแตกตา่ งกนั ได้แก่ การหมนุ เวยี น แถบข้ัวโลกมภี ูมอิ ากาศแบบ หนาวเยน็ การหมนุ เวียนแถบละติจูดกลาง มีภูมิอากาศแบบอบอนุ่ และ การหมนุ เวียน แถบเขตร้อนมีภูมิอากาศแบบร้อนชน้ื 102 ตัวชว้ี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง • นอกจากนบ้ี รเิ วณรอยตอ่ ของการหมุนเวยี น อากาศแต่ละแถบละตจิ ดู จะมีลกั ษณะลมฟ้า อากาศ ทแ่ี ตกต่างกัน เช่น บริเวณใกลศ้ นู ยส์ ตู ร มีปรมิ าณ หยาดนำ้ ฟา้ เฉลีย่ สงู กว่าบริเวณอื่น บริเวณละติจดู ๓๐ องศา มีอากาศแหง้ แลง้ ส่วนบรเิ วณละตจิ ดู ๖๐ องศา อากาศมคี วาม แปรปรวนสงู ๑๑. อธิบายปจั จัยที่ทำให้เกดิ การหมนุ เวยี นของนำ้ • การหมุนเวยี นของกระแสน้ำผวิ หน้าในมหาสมุทรผวิ หนา้ ในมหาสมทุ ร และรปู แบบการหมนุ เวยี น ได้รบั อิทธิพลจากการหมุนเวียนของอากาศของน้ำผิวหนา้ ในมหาสมุทร ในแต่ละแถบละตจิ ดู เป็นปัจจัยหลกั ทำใหบ้ ริเวณ ซกี โลกเหนอื มกี ารหมนุ เวยี นของกระแสนำ้ ผวิ หนา้ ในทศิ ทางตามเข็มนาฬิกา และทวนเข็มนาฬิกาใน ซีกโลกใต้ ซึ่งกระแสน้ำผวิ หน้าในมหาสมทุ ร มที งั้ กระแสนำ้ อนุ่ และกระแสนำ้ เย็น๑๒. อธิบายผลของการหมนุ เวยี นของอากาศ • การหมนุ เวียนอากาศและน้ำในมหาสมทุ ร และน้ำผิวหน้าในมหาสมทุ รทมี่ ตี ่อลักษณะ ส่งผลตอ่ ภมู ิอากาศ ลมฟ้าอากาศ ส่ิงมีชีวิต ภูมอิ ากาศ ลมฟ้าอากาศ สิ่งมชี ีวิต และ และสง่ิ แวดล้อม เชน่ กระแสน้ำอ่นุ กัลฟ์สตรมี สงิ่ แวดลอ้ ม ทท่ี ำใหบ้ างประเทศในทวีปยโุ รปไมห่ นาวเยน็ เกนิ ไป และเมื่อการหมนุ เวยี นอากาศและนำ้ ในมหาสมทุ รแปรปรวน ทำให้เกดิ ผลกระทบตอ่ สภาพลมฟา้ อากาศ เชน่ ปรากฏการณเ์ อลนโี ญ และลานญี า ซ่งึ เกิดจากความแปรปรวน ของลมคา้ และส่งผลตอ่ ประเทศทอี่ ยบู่ รเิ วณ มหาสมทุ รแปซิฟกิ ๑๓. อธิบายปจั จัยทีม่ ีผลตอ่ การเปลี่ยนแปลง • โลกได้รบั พลงั งานจากดวงอาทติ ย์ โดยปริมาณภูมอิ ากาศของโลก พรอ้ มทง้ั นำเสนอแนวปฏบิ ัติ พลงั งานเฉลีย่ ท่โี ลกได้รับเทา่ กับพลงั งานเฉลี่ยเพ่ือลดกจิ กรรมของมนุษย์ ทสี่ ง่ ผลต่อการ ท่โี ลกปลดปล่อยกลบั สูอ่ วกาศ ทำใหเ้ กิดสมดุลเปลย่ี นแปลงภูมอิ ากาศโลก พลังงานของโลก สง่ ผลใหอ้ ุณหภมู ิเฉลี่ยของโลก ในแตล่ ะปคี ่อนข้างคงทแี่ ละมลี ักษณะภูมอิ ากาศ ที่ไมเ่ ปลย่ี นแปลง หากสมดลุ พลงั งานของโลกเกิด การเปล่ยี นแปลงไปจะทำให้อุณหภมู เิ ฉลยี่ ของ โลกและภมู อิ ากาศเกดิ การเปล่ยี นแปลงได้ เนื่องจากปัจจัยหลายประการท้ังปัจจยั ท่ีเกดิ ขึน้ ตามธรรมชาตแิ ละการกระทำของมนุษย์ เชน่ แกส๊ เรอื นกระจก ลกั ษณะผวิ โลก และละอองลอยตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 103 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • มนษุ ยม์ ีส่วนช่วยในการชะลอการเปลยี่ นแปลง ภมู ิอากาศโลกไดโ้ ดยการลดกจิ กรรมทท่ี ำใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงสมดลุ พลงั งาน เชน่ ลดการ ปลดปลอ่ ยแกส๊ เรือนกระจกและละอองลอย ๑๔. แปลความหมายสญั ลกั ษณล์ มฟ้าอากาศ • แผนทีอ่ ากาศผิวพ้นื แสดงขอ้ มลู การตรวจอากาศ ทส่ี ำคัญจากแผนท่อี ากาศ และนำขอ้ มลู ในรปู แบบสัญลักษณห์ รอื ตวั เลข เช่น บริเวณ สารสนเทศตา่ ง ๆ มาวางแผนการดำเนินชวี ิต ความกดอากาศสูง หย่อมความกดอากาศตำ่ ให้สอดคล้องกับสภาพลมฟ้าอากาศ พายหุ มนุ เขตรอ้ น รอ่ งความกดอากาศตำ่ การแปลความหมายสญั ลกั ษณล์ มฟ้าอากาศ ทำให้ทราบลักษณะลมฟ้าอากาศ ณ บริเวณหนงึ่ • การแปลความหมายสัญลักษณ์ท่ีปรากฏบนแผนที่ อากาศ ร่วมกบั ข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เชน่ โปรแกรมประยกุ ต์เก่ียวกบั การพยากรณอ์ ากาศ เรดารต์ รวจอากาศ ภาพถา่ ยดาวเทียม สามารถ นำมาวางแผนการดำเนินชวี ติ ให้สอดคล้องกับ สภาพลมฟ้าอากาศ เชน่ การเลือกช่วงเวลา ในการเพาะปลกู ให้สอดคลอ้ งกบั ฤดกู าล การเตรียมพรอ้ มรบั มอื สภาพอากาศแปรปรวน104 ตัวชว้ี ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
สาระที่ ๔ เทคโนโลยีมาตรฐาน ว ๔.๑ เขา้ ใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยเี พอ่ื การดำรงชวี ติ ในสงั คมทมี่ กี ารเปลยี่ นแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคำนงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชีวติ สังคม และสง่ิ แวดลอ้ มชัน้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลางป.๑ - -ป.๒ - -ป.๓ - -ป.๔ - -ป.๕ - -ป.๖ - -ม.๑ ๑. อธบิ ายแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยใี นชวี ติ ประจำวนั • เทคโนโลยี เปน็ สง่ิ ทีม่ นุษย์สรา้ งหรอื พัฒนาข้ึน และวเิ คราะหส์ าเหตุหรอื ปัจจัยที่ส่งผลต่อ ซง่ึ อาจเปน็ ไดท้ ง้ั ชน้ิ งานหรอื วธิ กี าร เพอ่ื ใชแ้ กป้ ญั หาการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี สนองความต้องการ หรือเพ่มิ ความสามารถ ในการทำงานของมนุษย์ • ระบบทางเทคโนโลยี เปน็ กลุ่มของสว่ นต่าง ๆ ตั้งแต่สองส่วนขึน้ ไปประกอบเขา้ ดว้ ยกันและ ทำงานรว่ มกนั เพื่อให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ โดย ในการทำงานของระบบทางเทคโนโลยจี ะประกอบ ไปด้วยตวั ป้อน (input) กระบวนการ (process) และผลผลติ (output) ทสี่ มั พนั ธ์กัน นอกจากนี้ ระบบทางเทคโนโลยอี าจมขี อ้ มูลย้อนกลับ (feedback) เพอื่ ใชป้ รบั ปรุงการทำงานไดต้ าม วัตถปุ ระสงค์ ซึง่ การวิเคราะห์ระบบทาง เทคโนโลยีชว่ ยใหเ้ ข้าใจองคป์ ระกอบและ การทำงานของเทคโนโลยี รวมถึงสามารถ ปรบั ปรงุ ใหเ้ ทคโนโลยที ำงานไดต้ ามตอ้ งการ • เทคโนโลยมี กี ารเปลยี่ นแปลงตลอดเวลาตงั้ แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จุบัน ซง่ึ มีสาเหตุหรือปจั จยั มาจาก หลายดา้ น เชน่ ปญั หา ความตอ้ งการ ความกา้ วหนา้ ของศาสตรต์ ่าง ๆ เศรษฐกจิ สงั คมตวั ชวี้ ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 105 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๒. ระบปุ ัญหาหรือความต้องการในชวี ิตประจำวัน • ปัญหาหรอื ความต้องการในชีวิตประจำวนั รวบรวม วเิ คราะหข์ ้อมูลและแนวคิดที่เกย่ี วขอ้ ง พบไดจ้ ากหลายบรบิ ทขนึ้ กบั สถานการณท์ ป่ี ระสบ กับปญั หา เชน่ การเกษตร การอาหาร • การแก้ปัญหาจำเป็นตอ้ งสืบค้น รวบรวมข้อมูล ความรจู้ ากศาสตรต์ ่าง ๆ ที่เกยี่ วขอ้ ง เพอื่ นำไปสู่ การออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหา ๓. ออกแบบวธิ กี ารแก้ปญั หา โดยวเิ คราะห์ • การวเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ และตดั สนิ ใจเลอื กขอ้ มลู เปรียบเทยี บ และตดั สินใจเลือกขอ้ มลู ที่จำเป็น ทีจ่ ำเป็น โดยคำนงึ ถึงเง่ือนไข และทรพั ยากร นำเสนอแนวทางการแกป้ ญั หาให้ผอู้ ื่นเข้าใจ ทม่ี อี ยู่ ชว่ ยใหไ้ ดแ้ นวทางการแกป้ ญั หาทเ่ี หมาะสม วางแผนและดำเนนิ การแก้ปัญหา • การออกแบบแนวทางการแกป้ ญั หาทำได้ หลากหลายวธิ ี เชน่ การรา่ งภาพ การเขยี นแผนภาพ การเขยี นผงั งาน • การกำหนดขัน้ ตอนและระยะเวลาในการทำงาน ก่อนดำเนินการแกป้ ญั หาจะช่วยใหท้ ำงานสำเร็จ ไดต้ ามเป้าหมายและลดข้อผิดพลาด ของการทำงานทอี่ าจเกิดข้นึ ๔. ทดสอบ ประเมนิ ผล และระบขุ อ้ บกพรอ่ ง • การทดสอบ และประเมนิ ผลเปน็ การตรวจสอบ ท่เี กิดขนึ้ พร้อมท้งั หาแนวทางการปรับปรุงแกไ้ ข ชนิ้ งานหรือวิธีการว่าสามารถแกป้ ัญหาได้ตาม และนำเสนอผลการแก้ปญั หา วตั ถุประสงค์ภายใต้กรอบของปญั หา เพ่ือหา ขอ้ บกพร่อง และดำเนนิ การปรับปรุง โดยอาจ ทดสอบซำ้ เพื่อให้สามารถแกป้ ัญหาได้ • การนำเสนอผลงานเปน็ การถ่ายทอดแนวคิด เพื่อใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจเกี่ยวกบั กระบวนการทำงาน และชนิ้ งานหรือวธิ ีการทีไ่ ด้ ซง่ึ สามารถทำได้ หลายวธิ ี เชน่ การเขยี นรายงาน การทำแผน่ นำเสนอ ผลงาน การจดั นิทรรศการ การนำเสนอผา่ น สือ่ ออนไลน์ ๕. ใชค้ วามรู้และทกั ษะเกี่ยวกบั วัสดุ อปุ กรณ์ • วัสดแุ ต่ละประเภทมสี มบตั ิแตกต่างกัน เช่น ไม้ เคร่อื งมอื กลไก ไฟฟา้ หรืออิเล็กทรอนิกส ์ โลหะ พลาสติก จึงต้องมีการวิเคราะห์สมบัติ เพือ่ แกป้ ัญหาไดอ้ ย่างถูกต้อง เหมาะสม เพอื่ เลอื กใชใ้ ห้เหมาะสมกับลักษณะของงาน และปลอดภยั • การสร้างชน้ิ งานอาจใชค้ วามรู้ เรือ่ งกลไก ไฟฟ้า อิเลก็ ทรอนกิ ส์ เชน่ LED บัซเซอร์ มอเตอร์ วงจรไฟฟ้า • อปุ กรณแ์ ละเครอื่ งมอื ในการสร้างช้นิ งานหรอื พฒั นาวิธกี ารมีหลายประเภท ต้องเลือกใช้ ใหถ้ กู ต้อง เหมาะสม และปลอดภยั รวมทง้ั รู้จกั เกบ็ รกั ษา106 ตัวช้ีวดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลางม.๒ ๑. คาดการณแ์ นวโนม้ เทคโนโลยที จี่ ะเกิดขนึ้ • สาเหตุหรือปจั จัยต่าง ๆ เชน่ ความก้าวหน้าของ โดยพิจารณาจากสาเหตหุ รอื ปัจจัยท่ีส่งผลตอ่ ศาสตร์ต่าง ๆ การเปลย่ี นแปลงทางดา้ นเศรษฐกจิ การเปล่ยี นแปลงของเทคโนโลยี และวเิ คราะห์ สังคม วฒั นธรรม ทำใหเ้ ทคโนโลยมี ีการ เปรยี บเทยี บ ตัดสินใจเลอื กใช้เทคโนโลยี เปลีย่ นแปลงตลอดเวลา โดยคำนึงถึงผลกระทบทเ่ี กิดข้ึนตอ่ ชวี ิต สังคม • เทคโนโลยแี ตล่ ะประเภทมีผลกระทบตอ่ ชวี ิต และส่งิ แวดลอ้ ม สังคม และสง่ิ แวดล้อมทแี่ ตกต่างกนั จึงต้อง วิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บข้อดี ข้อเสีย และตัดสินใจ เลือกใชใ้ ห้เหมาะสม๒. ระบุปญั หาหรือความตอ้ งการในชุมชนหรือ • ปัญหาหรือความต้องการในชุมชนหรือท้องถิ่น ทอ้ งถนิ่ สรปุ กรอบของปญั หา รวบรวม วเิ คราะห์ มหี ลายอยา่ ง ขนึ้ กับบริบทหรอื สถานการณ์ข้อมูลและแนวคดิ ที่เก่ียวขอ้ งกบั ปัญหา ทป่ี ระสบ เชน่ ดา้ นพลังงาน ส่ิงแวดล้อม การเกษตร การอาหาร • การระบปุ ัญหาจำเป็นตอ้ งมกี ารวเิ คราะห์ สถานการณ์ของปญั หาเพอ่ื สรปุ กรอบของปัญหา แลว้ ดำเนนิ การสบื ค้น รวบรวมขอ้ มูล ความรู้ จากศาสตรต์ ่าง ๆ ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง เพือ่ นำไปส่กู าร ออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหา๓. ออกแบบวธิ ีการแกป้ ัญหา โดยวเิ คราะห์ • การวเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ และตัดสนิ ใจ เปรยี บเทยี บ และตดั สนิ ใจเลอื กขอ้ มูลทจี่ ำเปน็ เลอื กขอ้ มูลทจ่ี ำเป็น โดยคำนงึ ถงึ เงอ่ื นไข ภายใตเ้ งือ่ นไขและทรัพยากรท่มี อี ยู่ นำเสนอ และทรพั ยากร เชน่ งบประมาณ เวลา ขอ้ มูล แนวทางการแก้ปัญหาให้ผอู้ ืน่ เขา้ ใจ วางแผน และสารสนเทศ วัสดุ เครือ่ งมือและอุปกรณ์ ขัน้ ตอนการทำงานและดำเนินการแกป้ ญั หา ชว่ ยให้ไดแ้ นวทางการแกป้ ัญหาทเ่ี หมาะสม อยา่ งเป็นขัน้ ตอน • การออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหาทำได้ หลากหลายวธิ ี เชน่ การร่างภาพ การเขียน แผนภาพ การเขียนผังงาน • การกำหนดขั้นตอนระยะเวลาในการทำงาน กอ่ นดำเนินการแก้ปญั หาจะชว่ ยให้การทำงาน สำเร็จไดต้ ามเปา้ หมาย และลดข้อผิดพลาด ของการทำงานท่ีอาจเกิดขน้ึ ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 107 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ๔. ทดสอบ ประเมนิ ผล และอธิบายปัญหาหรอื • การทดสอบและประเมินผลเป็นการตรวจสอบ ขอ้ บกพรอ่ งที่เกดิ ขึ้น ภายใตก้ รอบเงื่อนไข ชิน้ งาน หรอื วิธีการวา่ สามารถแกป้ ัญหาได้ พร้อมทง้ั หาแนวทางการปรบั ปรงุ แกไ้ ข และ ตามวตั ถุประสงค์ภายใตก้ รอบของปัญหา เพอ่ื นำเสนอผลการแก้ปญั หา หาขอ้ บกพรอ่ ง และดำเนนิ การปรบั ปรงุ ใหส้ ามารถ แก้ไขปญั หาได้ • การนำเสนอผลงานเปน็ การถ่ายทอดแนวคิด เพอ่ื ใหผ้ ู้อ่นื เขา้ ใจเกย่ี วกับกระบวนการทำงาน และช้นิ งานหรอื วธิ กี ารที่ได้ ซ่ึงสามารถทำได้ หลายวิธี เช่น การเขยี นรายงาน การทำแผน่ นำเสนอผลงาน การจดั นทิ รรศการ ๕. ใชค้ วามรู้ และทกั ษะเกี่ยวกับวัสดุ อุปกรณ์ • วสั ดุแตล่ ะประเภทมีสมบตั แิ ตกตา่ งกัน เช่น ไม้ เครือ่ งมอื กลไก ไฟฟ้า และอิเลก็ ทรอนกิ ส์ โลหะ พลาสตกิ จงึ ตอ้ งมกี ารวิเคราะห์สมบตั ิ เพ่อื แกป้ ญั หาหรือพฒั นางานไดอ้ ย่างถกู ต้อง เพ่ือเลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกับลกั ษณะของงาน เหมาะสม และปลอดภยั • การสรา้ งช้ินงานอาจใช้ความรู้ เรอ่ื งกลไก ไฟฟ้า อเิ ล็กทรอนกิ ส์ เช่น LED มอเตอร์ บัซเซอร์ เฟือง รอก ลอ้ เพลา • อุปกรณแ์ ละเครอื่ งมอื ในการสรา้ งช้นิ งาน หรือพัฒนาวธิ กี ารมีหลายประเภท ต้องเลือกใช้ ให้ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภยั รวมทงั้ รู้จกั เก็บรกั ษาม.๓ ๑. วิเคราะห์สาเหตุ หรือปัจจัยท่สี ่งผลต่อการ • เทคโนโลยมี กี ารเปลย่ี นแปลงตลอดเวลาตง้ั แตอ่ ดตี เปลย่ี นแปลงของเทคโนโลยี และความสมั พันธ์ จนถงึ ปจั จบุ ัน ซง่ึ มสี าเหตหุ รือปจั จยั มาจาก ของเทคโนโลยกี ับศาสตร์อ่ืน โดยเฉพาะ หลายดา้ น เชน่ ปญั หาหรอื ความตอ้ งการของมนษุ ย์ วิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ เพื่อเปน็ แนวทาง ความกา้ วหนา้ ของศาสตรต์ า่ ง ๆ การเปลยี่ นแปลง การแก้ปญั หาหรอื พัฒนางาน ทางด้านเศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม สงิ่ แวดลอ้ ม • เทคโนโลยมี คี วามสมั พนั ธก์ บั ศาสตรอ์ นื่ โดยเฉพาะ วิทยาศาสตร์ โดยวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นพน้ื ฐานความรู้ ที่นำไปสกู่ ารพฒั นาเทคโนโลยี และเทคโนโลยที ี่ ไดส้ ามารถเปน็ เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการศึกษา คน้ คว้า เพอื่ ใหไ้ ด้มาซง่ึ องค์ความรูใ้ หม่108 ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๒. ระบปุ ัญหาหรอื ความตอ้ งการของชุมชนหรอื • ปัญหาหรอื ความตอ้ งการอาจพบได้ในงานอาชีพท้องถิ่น เพื่อพัฒนางานอาชพี สรปุ กรอบของ ของชมุ ชนหรือท้องถนิ่ ซ่ึงอาจมหี ลายดา้ น เช่นปญั หา รวบรวม วเิ คราะหข์ อ้ มลู และแนวคดิ ดา้ นการเกษตร อาหาร พลงั งาน การขนสง่ ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับปัญหา โดยคำนึงถึงความถกู ต้อง • การวเิ คราะห์สถานการณ์ปญั หาช่วยใหเ้ ข้าใจดา้ นทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา เงอ่ื นไขและกรอบของปัญหาได้ชัดเจน จากนั้น ดำเนนิ การสบื คน้ รวบรวมขอ้ มลู ความรู้ จากศาสตร์ตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ียวขอ้ ง เพือ่ นำไปสู่ การออกแบบแนวทางการแก้ปญั หา๓. ออกแบบวิธีการแกป้ ญั หา โดยวิเคราะห์ • การวเิ คราะห์ เปรียบเทียบ และตดั สินใจเลอื กเปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกข้อมลู ที่จำเปน็ ขอ้ มลู ที่จำเป็น โดยคำนงึ ถงึ ทรัพย์สินทางปัญญาภายใตเ้ งื่อนไขและทรพั ยากรทมี่ ีอยู่ นำเสนอ เงือ่ นไขและทรพั ยากร เชน่ งบประมาณ เวลาแนวทางการแก้ปัญหาใหผ้ ูอ้ ื่นเขา้ ใจดว้ ยเทคนคิ ขอ้ มลู และสารสนเทศ วสั ดุ เคร่อื งมอื และอุปกรณ์หรอื วิธีการทหี่ ลากหลาย วางแผนขัน้ ตอน ชว่ ยใหไ้ ดแ้ นวทางการแกป้ ัญหาทเ่ี หมาะสมการทำงานและดำเนินการแกป้ ัญหาอยา่ งเป็น • การออกแบบแนวทางการแกป้ ญั หาทำได้ขั้นตอน หลากหลายวธิ ี เชน่ การรา่ งภาพ การเขยี นแผนภาพ การเขียนผงั งาน • เทคนคิ หรอื วิธีการในการนำเสนอแนวทาง การแกป้ ญั หามีหลากหลาย เชน่ การใช้แผนภมู ิ ตาราง ภาพเคลอื่ นไหว • การกำหนดขนั้ ตอนและระยะเวลาในการทำงาน ก่อนดำเนินการแกป้ ัญหาจะช่วยใหก้ ารทำงาน สำเรจ็ ได้ตามเปา้ หมาย และลดข้อผิดพลาด ของการทำงานทอี่ าจเกิดขึน้ ๔. ทดสอบ ประเมนิ ผล วเิ คราะห์ และใหเ้ หตุผล • การทดสอบและประเมนิ ผลเปน็ การตรวจสอบของปัญหาหรือขอ้ บกพรอ่ งทีเ่ กดิ ขึ้นภายใต้ ชน้ิ งานหรอื วธิ ีการว่า สามารถแกป้ ญั หาไดต้ ามกรอบเง่อื นไข พรอ้ มทั้งหาแนวทางการปรบั ปรงุ วตั ถุประสงคภ์ ายใตก้ รอบของปญั หา เพ่อื หาแก้ไข และนำเสนอผลการแก้ปญั หา ข้อบกพรอ่ ง และดำเนนิ การปรบั ปรุง โดยอาจ ทดสอบซ้ำเพื่อใหส้ ามารถแก้ไขปญั หาได้ • การนำเสนอผลงานเปน็ การถ่ายทอดแนวคิด เพอื่ ให้ผ้อู ่ืนเข้าใจเกีย่ วกบั กระบวนการทำงาน และช้ินงานหรอื วธิ ีการทไ่ี ด้ ซึง่ สามารถทำได้ หลายวธิ ี เช่น การเขยี นรายงาน การทำแผ่นนำเสนอผลงาน การจดั นทิ รรศการ การนำเสนอผา่ นสอ่ื ออนไลน์ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 109 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชัน้ ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๕. ใช้ความรู้ และทกั ษะเกย่ี วกับวัสดุ อุปกรณ์ • วสั ดุแต่ละประเภทมสี มบตั ิแตกต่างกัน เชน่ ไม้ เครอื่ งมือ กลไก ไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนกิ สใ์ ห้ โลหะ พลาสตกิ เซรามกิ จึงต้องมีการวเิ คราะห์ ถูกต้องกบั ลกั ษณะของงาน และปลอดภัย สมบัติเพ่ือเลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะของ เพื่อแกป้ ัญหาหรอื พัฒนางาน งาน • การสร้างชิ้นงานอาจใช้ความรู้ เรอื่ งกลไก ไฟฟา้ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เชน่ LED LDR มอเตอร์ เฟอื ง คาน รอก ล้อ เพลา • อุปกรณแ์ ละเครื่องมอื ในการสร้างชน้ิ งาน หรอื พฒั นาวธิ ีการมหี ลายประเภท ต้องเลือกใชใ้ ห้ ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภยั รวมทัง้ รู้จัก เกบ็ รักษาม.๔ ๑. วเิ คราะหแ์ นวคดิ หลกั ของเทคโนโลยี ความสมั พนั ธ์ • ระบบทางเทคโนโลยี เปน็ กลมุ่ ของสว่ นตา่ ง ๆ ตง้ั แต่ กบั ศาสตรอ์ ่นื โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ หรือ สองสว่ นขนึ้ ไปประกอบเขา้ ด้วยกนั และทำงาน คณิตศาสตร์ รวมทง้ั ประเมินผลกระทบท่ี รว่ มกนั เพอื่ ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ โดยในการทำงาน จะเกดิ ขน้ึ ต่อมนษุ ย์ สังคม เศรษฐกจิ และ ของระบบทางเทคโนโลยีจะประกอบไปด้วย สิ่งแวดล้อม เพือ่ เปน็ แนวทางในการพัฒนา ตัวปอ้ น (input) กระบวนการ (process) และ เทคโนโลยี ผลผลิต (output) ที่สมั พนั ธ์กนั นอกจากนี้ ระบบทางเทคโนโลยอี าจมีขอ้ มลู ย้อนกลับ (feedback) เพื่อใช้ปรบั ปรงุ การทำงานไดต้ าม วตั ถุประสงค์ โดยระบบทางเทคโนโลยีอาจมี ระบบย่อยหลายระบบ (sub-systems) ทท่ี ำงาน สัมพันธก์ ันอยู่ และหากระบบย่อยใดทำงาน ผิดพลาดจะส่งผลต่อการทำงานของระบบอนื่ ด้วย • เทคโนโลยมี กี ารเปลีย่ นแปลงตลอดเวลา ต้ังแต่ อดตี จนถงึ ปัจจุบนั ซึ่งมสี าเหตหุ รือปัจจัย มาจากหลายด้าน เชน่ ปัญหา ความตอ้ งการ ความกา้ วหนา้ ของศาสตร์ตา่ ง ๆ เศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม สิง่ แวดลอ้ ม110 ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๒. ระบุปญั หาหรอื ความต้องการท่มี ผี ลกระทบตอ่ • ปญั หาหรอื ความตอ้ งการท่ีมผี ลกระทบตอ่ สังคมสังคม รวบรวม วเิ คราะห์ข้อมูลและแนวคดิ เชน่ ปญั หาดา้ นการเกษตร อาหาร พลงั งาน ที่เกีย่ วขอ้ งกบั ปัญหาท่มี ีความซบั ซอ้ น การขนส่ง สขุ ภาพและการแพทย์ การบรกิ าร เพอ่ื สังเคราะหว์ ิธกี าร เทคนคิ ในการแก้ปญั หา ซึง่ แตล่ ะด้านอาจมีไดห้ ลากหลายปัญหาโดยคำนึงถึงความถกู ตอ้ งดา้ นทรพั ยส์ นิ ทาง • การวเิ คราะหส์ ถานการณ์ปัญหาโดยอาจใชเ้ ทคนิคปัญญา หรอื วธิ ีการวเิ คราะห์ทห่ี ลากหลาย ชว่ ยใหเ้ ข้าใจ เงอ่ื นไขและกรอบของปญั หาไดช้ ัดเจน จากนัน้ ดำเนินการสืบคน้ รวบรวมข้อมลู ความร้จู าก ศาสตรต์ า่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง เพอื่ นำไปสกู่ ารออกแบบ แนวทางการแก้ปัญหา๓. ออกแบบวิธกี ารแกป้ ญั หา โดยวเิ คราะห์ • การวเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ และตดั สนิ ใจเลอื กขอ้ มลูเปรียบเทยี บ และตดั สินใจเลือกข้อมูลที่จำเป็น ท่จี ำเปน็ โดยคำนึงถงึ ทรพั ย์สนิ ทางปัญญาภายใต้เงือ่ นไขและทรัพยากรที่มอี ยู่ นำเสนอ เงอ่ื นไขและทรัพยากร เช่น งบประมาณ เวลาแนวทางการแกป้ ญั หาให้ผ้อู น่ื เข้าใจด้วยเทคนคิ ข้อมูลและสารสนเทศ วัสดุ เคร่ืองมือและอุปกรณ์หรอื วธิ ีการท่ีหลากหลาย โดยใชซ้ อฟตแ์ วร์ ช่วยใหไ้ ดแ้ นวทางการแก้ปญั หาทเี่ หมาะสมชว่ ยในการออกแบบ วางแผนขน้ั ตอนการทำงาน • การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาทำได้และดำเนินการแก้ปัญหา หลากหลายวธิ ี เชน่ การรา่ งภาพ การเขยี นแผนภาพ การเขยี นผังงาน • ซอฟต์แวร์ชว่ ยในการออกแบบและนำเสนอ มีหลากหลายชนิดจงึ ตอ้ งเลอื กใชใ้ ห้เหมาะกบั งาน • การกำหนดข้ันตอนและระยะเวลาในการทำงาน ก่อนดำเนนิ การแก้ปัญหาจะชว่ ยให้การทำงาน สำเรจ็ ไดต้ ามเปา้ หมาย และลดข้อผดิ พลาดของ การทำงานทีอ่ าจเกดิ ขึน้ ๔. ทดสอบ ประเมินผล วิเคราะห์ และใหเ้ หตผุ ล • การทดสอบและประเมินผลเปน็ การตรวจสอบ ของปัญหาหรือขอ้ บกพรอ่ งท่ีเกดิ ขึ้นภายใต้ ชนิ้ งานหรอื วธิ กี ารว่าสามารถแกป้ ญั หาได้ตาม กรอบเงอื่ นไข หาแนวทางการปรับปรงุ แกไ้ ข วตั ถุประสงค์ภายใตก้ รอบของปญั หา เพ่ือหา และนำเสนอผลการแกป้ ญั หา พร้อมท้ังเสนอ ข้อบกพร่อง และดำเนนิ การปรับปรุง โดยอาจ แนวทางการพัฒนาตอ่ ยอด ทดสอบซำ้ เพอ่ื ใหส้ ามารถแก้ไขปญั หาไดอ้ ย่างมี ประสิทธภิ าพ • การนำเสนอผลงานเปน็ การถา่ ยทอดแนวคิด เพื่อให้ผู้อืน่ เข้าใจเกยี่ วกับกระบวนการทำงาน และช้นิ งานหรือวิธีการท่ไี ด้ ซึ่งสามารถทำได้ หลายวธิ ี เช่น การทำแผน่ นำเสนอผลงาน การจัด นทิ รรศการ การนำเสนอผา่ นสอื่ ออนไลน์ หรือ การนำเสนอตอ่ ภาคธรุ กิจ เพื่อการพัฒนาตอ่ ยอด สูง่ านอาชีพตัวชี้วัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 111 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้ัน ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๕. ใชค้ วามรู้และทกั ษะเกย่ี วกับวัสดุ อุปกรณ์ • วสั ดุแต่ละประเภทมสี มบตั แิ ตกตา่ งกัน เชน่ เครอ่ื งมือ กลไก ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ไม้สังเคราะห์ โลหะ จึงตอ้ งมีการวิเคราะห์สมบตั ิ และเทคโนโลยีทซี่ ับซ้อนในการแกป้ ญั หา เพอ่ื เลอื กใช้ใหเ้ หมาะสมกบั ลักษณะของงาน หรือพัฒนางาน ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสม • การสรา้ งชนิ้ งานอาจใชค้ วามรู้ เรอ่ื งกลไก ไฟฟ้า และปลอดภยั อิเลก็ ทรอนกิ ส์ เช่น LDR sensor เฟอื ง รอก คาน วงจรสำเร็จรูป • อุปกรณ์และเครือ่ งมือในการสรา้ งช้ินงาน หรือ พฒั นาวิธกี ารมีหลายประเภท ต้องเลอื กใช้ ใหถ้ ูกตอ้ ง เหมาะสม และปลอดภยั รวมทั้ง รจู้ ักเก็บรกั ษาม.๕ ๑. ประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะจากศาสตร์ตา่ ง ๆ • การทำโครงงาน เป็นการประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ รวมทง้ั ทรพั ยากรในการทำโครงงานเพอื่ แกป้ ญั หา และทกั ษะจากศาสตร์ต่าง ๆ รวมทง้ั ทรัพยากร หรือพัฒนางาน ในการสรา้ งหรอื พฒั นาชิน้ งานหรือวิธกี าร เพ่อื แก้ปัญหาหรอื อำนวยความสะดวกในการทำงาน • การทำโครงงานการออกแบบและเทคโนโลยี สามารถดำเนนิ การได้ โดยเรมิ่ จาก การสำรวจ สถานการณป์ ัญหาที่สนใจ เพ่อื กำหนดหัวขอ้ โครงงาน แลว้ รวบรวมขอ้ มลู และแนวคดิ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง กบั ปญั หา ออกแบบแนวทางการแกป้ ญั หา วางแผน และดำเนนิ การแกป้ ัญหา ทดสอบ ประเมินผล ปรับปรุงแกไ้ ขวิธีการแกป้ ัญหาหรือชน้ิ งาน และ นำเสนอวธิ ีการแก้ปญั หาม.๖ - -112 ตัวชว้ี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระท่ี ๔ เทคโนโลยีมาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแกป้ ญั หาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ รเู้ ทา่ ทนั และมจี รยิ ธรรมชน้ั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลางป.๑ ๑. แกป้ ัญหาอยา่ งงา่ ยโดยใชก้ ารลองผิดลองถูก • การแก้ปัญหาใหป้ ระสบความสำเร็จทำได้โดยใช้ การเปรยี บเทยี บ ขน้ั ตอนการแก้ปัญหา • ปญั หาอย่างงา่ ย เชน่ เกมเขาวงกต เกมหา จดุ แตกตา่ งของภาพ การจดั หนงั สือใส่กระเปา๋ ๒. แสดงลำดบั ขน้ั ตอนการทำงานหรอื การแกป้ ญั หา • การแสดงข้ันตอนการแก้ปัญหา ทำไดโ้ ดยการ อยา่ งงา่ ยโดยใชภ้ าพ สญั ลกั ษณ์ หรอื ขอ้ ความ เขียน บอกเล่า วาดภาพ หรือใช้สญั ลักษณ์ • ปัญหาอยา่ งงา่ ย เช่น เกมเขาวงกต เกมหาจดุ แตกต่างของภาพ การจัดหนังสอื ใส่กระเปา๋ ๓. เขยี นโปรแกรมอยา่ งง่าย โดยใช้ซอฟตแ์ วร์ • การเขยี นโปรแกรมเป็นการสร้างลำดบั ของคำสงั่ หรือสือ่ ใหค้ อมพวิ เตอรท์ ำงาน • ตวั อยา่ งโปรแกรม เชน่ เขยี นโปรแกรมส่งั ให ้ ตวั ละครยา้ ยตำแหนง่ ยอ่ ขยายขนาด เปลยี่ นรปู รา่ ง • ซอฟต์แวรห์ รือสอ่ื ท่ใี ช้ในการเขยี นโปรแกรม เชน่ ใช้บตั รคำสัง่ แสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org๔. ใชเ้ ทคโนโลยใี นการสรา้ ง จดั เกบ็ เรยี กใช้ขอ้ มลู • การใช้งานอปุ กรณเ์ ทคโนโลยเี บ้ืองตน้ เช่น การใช้ ตามวตั ถุประสงค์ เมาส์ คีย์บอร์ด จอสมั ผัส การเปดิ -ปดิ อุปกรณ์ เทคโนโลยี • การใช้งานซอฟตแ์ วรเ์ บอื้ งต้น เชน่ การเข้าและ ออกจากโปรแกรม การสรา้ งไฟล์ การจดั เกบ็ การเรยี กใช้ไฟล์ ทำได้ในโปรแกรม เชน่ โปรแกรม ประมวลคำ โปรแกรมกราฟกิ โปรแกรมนำเสนอ • การสร้างและจัดเกบ็ ไฟลอ์ ย่างเปน็ ระบบจะทำให้ เรยี กใช้ คน้ หาขอ้ มลู ไดง้ า่ ยและรวดเรว็ ๕. ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภยั ปฏิบัติ • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภัย เชน่ ตามข้อตกลงในการใช้คอมพิวเตอร์รว่ มกัน ดูแล รจู้ ักข้อมูลสว่ นตวั อันตรายจากการเผยแพร่ รกั ษาอุปกรณ์เบื้องตน้ ใชง้ านอยา่ งเหมาะสม ข้อมลู สว่ นตัว และไมบ่ อกข้อมลู สว่ นตัวกบั บุคคลอน่ื ยกเว้นผู้ปกครองหรอื ครู แจง้ ผเู้ ก่ียวขอ้ ง เม่ือต้องการความช่วยเหลอื เกี่ยวกับการใชง้ านตวั ช้ีวัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 113 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชนั้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง • ขอ้ ปฏิบตั ิในการใชง้ านและการดูแลรกั ษาอปุ กรณ์ เช่น ไม่ขีดเขยี นบนอุปกรณ์ ทำความสะอาด ใชอ้ ุปกรณ์อยา่ งถกู วธิ ี • การใชง้ านอย่างเหมาะสม เชน่ จดั ทา่ นั่งให้ถูกต้อง การพักสายตาเมอื่ ใช้อุปกรณ์เป็นเวลานาน ระมัดระวงั อบุ ตั ิเหตุจากการใช้งานป.๒ ๑. แสดงลำดบั ขนั้ ตอนการทำงานหรอื การแกป้ ญั หา • การแสดงขนั้ ตอนการแกป้ ญั หา ทำไดโ้ ดยการเขยี น อย่างงา่ ยโดยใชภ้ าพ สญั ลักษณ์ หรอื ข้อความ บอกเลา่ วาดภาพ หรอื ใชส้ ญั ลักษณ์ • ปญั หาอย่างงา่ ย เช่น เกมตวั ตอ่ ๖-๑๒ ช้ิน การแตง่ ตัวมาโรงเรยี น ๒. เขยี นโปรแกรมอยา่ งงา่ ย โดยใชซ้ อฟตแ์ วร์ • ตัวอยา่ งโปรแกรม เช่น เขยี นโปรแกรมสัง่ ให ้ หรอื ส่อื และตรวจหาขอ้ ผดิ พลาดของโปรแกรม ตวั ละครทำงานตามท่ตี อ้ งการ และตรวจสอบ ข้อผดิ พลาด ปรับแกไ้ ขให้ไดผ้ ลลัพธต์ ามทก่ี ำหนด • การตรวจหาขอ้ ผดิ พลาด ทำไดโ้ ดยตรวจสอบคำสงั่ ท่แี จ้งขอ้ ผิดพลาด หรอื หากผลลพั ธไ์ มเ่ ปน็ ไปตาม ทีต่ อ้ งการใหต้ รวจสอบการทำงานทลี ะคำสั่ง • ซอฟต์แวรห์ รอื สอื่ ที่ใชใ้ นการเขยี นโปรแกรม เช่น ใชบ้ ัตรคำสั่งแสดงการเขยี นโปรแกรม, Code.org ๓. ใช้เทคโนโลยใี นการสรา้ ง จดั หมวดหมู่ คน้ หา • การใชง้ านซอฟต์แวรเ์ บ้อื งตน้ เชน่ การเขา้ จัดเก็บ เรียกใช้ขอ้ มูลตามวัตถปุ ระสงค์ และออกจากโปรแกรม การสร้างไฟล์ การจดั เก็บ การเรยี กใช้ไฟล์ การแก้ไขตกแตง่ เอกสาร ทำได้ ในโปรแกรม เช่น โปรแกรมประมวลคำ โปรแกรมกราฟกิ โปรแกรมนำเสนอ • การสร้าง คดั ลอก ย้าย ลบ เปล่ยี นช่อื จดั หมวด หม่ไู ฟล์ และโฟลเดอรอ์ ยา่ งเปน็ ระบบจะทำให้ เรยี กใช้ ค้นหาขอ้ มูลไดง้ ่ายและรวดเร็ว ๔. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภยั ปฏบิ ัติ • การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภัย เชน่ ตามข้อตกลงในการใชค้ อมพิวเตอรร์ ว่ มกัน ดูแล รจู้ ักข้อมลู สว่ นตวั อนั ตรายจากการเผยแพร่ รกั ษาอุปกรณ์เบอ้ื งตน้ ใช้งานอย่างเหมาะสม ข้อมูลส่วนตัว และไมบ่ อกขอ้ มูลสว่ นตวั กบั บุคคล อนื่ ยกเว้นผ้ปู กครองหรือครู แจ้งผ้เู ก่ียวขอ้ งเมื่อ ต้องการความช่วยเหลอื เกีย่ วกบั การใช้งาน • ข้อปฏิบตั ใิ นการใช้งานและการดแู ลรกั ษาอปุ กรณ์ เช่น ไม่ขีดเขียนบนอปุ กรณ์ ทำความสะอาด ใช้อุปกรณ์อยา่ งถกู วิธี114 ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง • การใช้งานอย่างเหมาะสม เชน่ จดั ทา่ นั่งให้ถกู ต้อง การพักสายตาเม่อื ใชอ้ ปุ กรณเ์ ป็นเวลานาน ระมัดระวังอบุ ัตเิ หตจุ ากการใชง้ านป.๓ ๑. แสดงอลั กอรทิ มึ ในการทำงานหรอื การแกป้ ญั หา • อัลกอริทมึ เปน็ ข้นั ตอนทีใ่ ชใ้ นการแก้ปญั หา อยา่ งง่ายโดยใชภ้ าพ สัญลกั ษณ์ หรือข้อความ • การแสดงอลั กอริทึม ทำได้โดยการเขยี น บอกเล่า วาดภาพ หรอื ใชส้ ญั ลักษณ์ • ตัวอยา่ งปัญหา เชน่ เกมเศรษฐี เกมบนั ไดง ู เกม Tetris เกม OX การเดินไปโรงอาหาร การทำความสะอาดหอ้ งเรียน๒. เขยี นโปรแกรมอย่างงา่ ย โดยใช้ซอฟตแ์ วร์ • การเขียนโปรแกรมเป็นการสร้างลำดบั ของคำสั่ง หรือสือ่ และตรวจหาข้อผดิ พลาดของโปรแกรม ใหค้ อมพวิ เตอร์ทำงาน • ตัวอยา่ งโปรแกรม เช่น เขยี นโปรแกรมท่ีสง่ั ให้ ตวั ละครทำงานซ้ำไม่สิ้นสุด • การตรวจหาขอ้ ผดิ พลาด ทำไดโ้ ดยตรวจสอบคำสงั่ ทีแ่ จง้ ข้อผิดพลาด หรอื หากผลลัพธ์ไมเ่ ป็นไปตาม ทต่ี ้องการใหต้ รวจสอบการทำงานทลี ะคำสง่ั • ซอฟต์แวร์หรอื สื่อท่ใี ชใ้ นการเขียนโปรแกรม เช่น ใชบ้ ัตรคำสัง่ แสดงการเขยี นโปรแกรม, Code.org๓. ใช้อนิ เทอร์เน็ตค้นหาความรู้ • อินเทอรเ์ น็ตเปน็ เครือข่ายขนาดใหญ่ช่วยให ้ การตดิ ต่อสื่อสารทำไดส้ ะดวกและรวดเรว็ และเป็นแหลง่ ข้อมลู ความรทู้ ่ชี ่วยในการเรียน และการดำเนินชีวติ • เว็บเบราวเ์ ซอรเ์ ป็นโปรแกรมสำหรบั อ่านเอกสาร บนเว็บเพจ • การสบื คน้ ขอ้ มูลบนอินเทอรเ์ น็ต ทำไดโ้ ดยใช้ เว็บไซตส์ ำหรับสืบค้น และต้องกำหนดคำคน้ ทเ่ี หมาะสมจงึ จะได้ข้อมลู ตามต้องการ • ข้อมลู ความรู้ เช่น วิธที ำอาหาร วธิ ีพับกระดาษ เป็นรูปตา่ ง ๆ ขอ้ มลู ประวตั ิศาสตรช์ าติไทย (อาจเป็นความร้ใู นวชิ าอื่น ๆ หรอื เร่อื งที่เปน็ ประเด็นที่สนใจในชว่ งเวลาน้นั ) • การใช้อินเทอรเ์ นต็ อยา่ งปลอดภัยควรอยู่ ในการดูแลของครู หรอื ผ้ปู กครองตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 115 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๔. รวบรวม ประมวลผล และนำเสนอข้อมลู โดยใช้ • การรวบรวมขอ้ มูล ทำไดโ้ ดยกำหนดหัวขอ้ ซอฟต์แวรต์ ามวัตถปุ ระสงค์ ท่ตี อ้ งการ เตรยี มอปุ กรณใ์ นการจดบันทกึ • การประมวลผลอย่างง่าย เชน่ เปรียบเทยี บ จัดกลุม่ เรียงลำดบั • การนำเสนอข้อมูลทำไดห้ ลายลักษณะตาม ความเหมาะสม เชน่ การบอกเลา่ การทำเอกสาร รายงาน การจัดทำปา้ ยประกาศ • การใช้ซอฟต์แวรท์ ำงานตามวัตถุประสงค์ เชน่ ใช้ซอฟตแ์ วรน์ ำเสนอ หรือซอฟต์แวรก์ ราฟิก สรา้ งแผนภูมริ ปู ภาพ ใช้ซอฟตแ์ วรป์ ระมวลคำ ทำปา้ ยประกาศหรอื เอกสารรายงาน ใช้ ซอฟต์แวรต์ ารางทำงานในการประมวลผลข้อมลู ๕. ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภยั ปฏบิ ัติ • การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภยั เช่น ตามขอ้ ตกลงในการใช้อินเทอรเ์ น็ต ปกป้องข้อมูลส่วนตัว • ขอความช่วยเหลอื จากครูหรือผปู้ กครอง เมื่อ เกดิ ปัญหาจากการใช้งาน เมอื่ พบขอ้ มลู หรอื บุคคลที่ทำใหไ้ ม่สบายใจ • การปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลงในการใช้อินเทอรเ์ นต็ จะทำใหไ้ มเ่ กดิ ความเสยี หายต่อตนเองและผ้อู นื่ เช่น ไมใ่ ชค้ ำหยาบ ลอ้ เลียน ดา่ ทอ ทำให้ผ้อู น่ื เสยี หายหรือเสยี ใจ • ข้อดีและข้อเสยี ในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่อื สารป.๔ ๑. ใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปญั หา การอธิบาย • การใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะเปน็ การนำกฎเกณฑ์ หรือ การทำงาน การคาดการณ์ผลลพั ธ์ จากปญั หา เง่ือนไขทคี่ รอบคลมุ ทุกกรณมี าใชพ้ ิจารณาในการ อยา่ งงา่ ย แกป้ ัญหา การอธบิ ายการทำงาน หรอื การ คาดการณผ์ ลลัพธ์ • สถานะเรม่ิ ต้นของการทำงานท่แี ตกต่างกนั จะให้ ผลลัพธ์ทแี่ ตกต่างกนั • ตัวอย่างปญั หา เช่น เกม OX โปรแกรมทม่ี ี การคำนวณ โปรแกรมทม่ี ีตัวละครหลายตวั และมกี ารสัง่ งานทแ่ี ตกตา่ งหรือมีการสอ่ื สาร ระหวา่ งกนั การเดนิ ทางไปโรงเรยี น โดยวิธีการ ต่าง ๆ116 ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๒. ออกแบบ และเขยี นโปรแกรมอยา่ งงา่ ย โดยใช้ • การออกแบบโปรแกรมอยา่ งงา่ ย เชน่ การออกแบบซอฟตแ์ วร์หรอื ส่ือ และตรวจหาข้อผิดพลาด โดยใช้ storyboard หรือการออกแบบอัลกอริทมึ และแกไ้ ข • การเขยี นโปรแกรมเปน็ การสรา้ งลำดบั ของคำสัง่ ให้คอมพิวเตอรท์ ำงาน เพอ่ื ให้ได้ผลลัพธ์ตาม ความต้องการ หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบ การทำงานทลี ะคำสงั่ เมื่อพบจุดทที่ ำให้ผลลัพธ์ ไมถ่ กู ตอ้ ง ใหท้ ำการแก้ไขจนกว่าจะไดผ้ ลลพั ธ์ ท่ถี กู ตอ้ ง • ตวั อยา่ งโปรแกรมท่มี ีเรือ่ งราว เชน่ นทิ านทม่ี ี การโตต้ อบกบั ผใู้ ช้ การต์ นู สนั้ เลา่ กจิ วตั รประจำวนั ภาพเคลือ่ นไหว • การฝกึ ตรวจหาขอ้ ผดิ พลาดจากโปรแกรมของผอู้ น่ื จะช่วยพฒั นาทกั ษะการหาสาเหตุของปัญหาไดด้ ี ยง่ิ ขึ้น • ซอฟตแ์ วร์ทใ่ี ชใ้ นการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo ๓. ใชอ้ ินเทอร์เน็ตค้นหาความรู้ และประเมิน • การใช้คำค้นทตี่ รงประเด็น กระชับ จะทำให้ได้ ความน่าเชอ่ื ถือของขอ้ มูล ผลลัพธท์ ่รี วดเรว็ และตรงตามความตอ้ งการ • การประเมินความนา่ เช่อื ถอื ของขอ้ มูล เชน่ พิจารณาประเภทของเว็บไซต์ (หน่วยงานราชการ สำนักข่าว องค์กร) ผเู้ ขยี น วันท่ีเผยแพรข่ อ้ มลู การอ้างองิ • เม่อื ไดข้ อ้ มูลที่ตอ้ งการจากเวบ็ ไซตต์ า่ ง ๆ จะตอ้ ง นำเน้ือหามาพิจารณา เปรยี บเทียบ แลว้ เลือก ข้อมูลทมี่ ีความสอดคล้องและสัมพนั ธ์กัน • การทำรายงานหรือการนำเสนอข้อมูลจะต้อง นำข้อมูลมาเรยี บเรยี ง สรุป เป็นภาษาของตนเอง ที่เหมาะสมกับกลมุ่ เปา้ หมายและวธิ กี ารนำเสนอ (บูรณาการกับวิชาภาษาไทย) ๔. รวบรวม ประเมนิ นำเสนอขอ้ มลู และสารสนเทศ • การรวบรวมข้อมลู ทำได้โดยกำหนดหัวข้อ โดยใช้ซอฟตแ์ วร์ทห่ี ลากหลาย เพอื่ แกป้ ัญหา ท่ตี ้องการ เตรยี มอปุ กรณ์ในการจดบนั ทกึ ในชวี ิตประจำวัน • การประมวลผลอย่างงา่ ย เชน่ เปรียบเทยี บ จดั กล่มุ เรียงลำดับ การหาผลรวมตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 117 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง • วเิ คราะห์ผลและสรา้ งทางเลือกท่ีเปน็ ไปได้ ประเมินทางเลือก (เปรียบเทยี บ ตดั สนิ ) • การนำเสนอข้อมูลทำได้หลายลกั ษณะตามความ เหมาะสม เชน่ การบอกเลา่ เอกสารรายงาน โปสเตอร์ โปรแกรมนำเสนอ • การใช้ซอฟตแ์ วร์เพือ่ แกป้ ัญหาในชวี ิตประจำวนั เช่น การสำรวจเมนูอาหารกลางวนั โดยใช้ ซอฟตแ์ วร์สรา้ งแบบสอบถามและเกบ็ ขอ้ มลู ใช้ ซอฟต์แวรต์ ารางทำงานเพือ่ ประมวลผลข้อมลู รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับคุณค่าทางโภชนาการและ สรา้ งรายการอาหารสำหรับ ๕ วนั ใชซ้ อฟตแ์ วร์ นำเสนอผลการสำรวจรายการอาหารที่เป็น ทางเลือกและขอ้ มลู ดา้ นโภชนาการ ๕. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภัย เข้าใจ • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภัย เขา้ ใจ สทิ ธิและหน้าทข่ี องตน เคารพในสิทธิของผอู้ ่ืน สทิ ธแิ ละหนา้ ท่ขี องตน เคารพในสทิ ธิของผอู้ ่ืน แจ้งผู้เกี่ยวขอ้ งเมอ่ื พบข้อมลู หรือบคุ คลท่ี เช่น ไม่สร้างข้อความเท็จและส่งใหผ้ ู้อน่ื ไมส่ ร้าง ไมเ่ หมาะสม ความเดือดรอ้ นตอ่ ผอู้ ืน่ โดยการสง่ สแปม ขอ้ ความลกู โซ่ สง่ ตอ่ โพสตท์ มี่ ขี อ้ มลู สว่ นตวั ของผอู้ นื่ ส่งคำเชิญเล่นเกม ไม่เข้าถึงข้อมลู สว่ นตัวหรือ การบ้านของบคุ คลอืน่ โดยไม่ไดร้ บั อนุญาต ไม่ใช้ เครอ่ื งคอมพวิ เตอร/์ ชือ่ บัญชีของผูอ้ ่ืน • การสื่อสารอยา่ งมมี ารยาทและร้กู าลเทศะ • การปกปอ้ งข้อมลู ส่วนตวั เช่น การออกจากระบบ เมื่อเลกิ ใช้งาน ไมบ่ อกรหัสผา่ น ไมบ่ อกเลข ประจำตวั ประชาชนป.๕ ๑. ใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะในการแก้ปญั หา การอธิบาย • การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนำกฎเกณฑ์ หรอื การทำงาน การคาดการณผ์ ลลพั ธ์ จากปญั หา เง่ือนไขที่ครอบคลมุ ทกุ กรณมี าใช้พจิ ารณาในการ อย่างง่าย แกป้ ญั หา การอธบิ ายการทำงาน หรอื การคาดการณ์ ผลลัพธ์ • สถานะเร่ิมตน้ ของการทำงานทแ่ี ตกตา่ งกันจะให้ ผลลัพธ์ท่ีแตกตา่ งกนั • ตวั อย่างปญั หา เชน่ เกม Sudoku โปรแกรม ทำนายตวั เลข โปรแกรมสร้างรปู เรขาคณติ ตามคา่ ขอ้ มูลเขา้ การจดั ลำดบั การทำงานบา้ น ในชว่ งวันหยุด จดั วางของในครัว118 ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ๒. ออกแบบ และเขยี นโปรแกรมทม่ี กี ารใชเ้ หตุผล • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำได้โดยเขียนเชิงตรรกะอย่างงา่ ย ตรวจหาขอ้ ผดิ พลาด เป็นข้อความหรือผังงานและแกไ้ ข • การออกแบบและเขยี นโปรแกรมทม่ี กี ารตรวจสอบ เงอ่ื นไขที่ครอบคลมุ ทกุ กรณีเพ่ือใหไ้ ด้ผลลัพธ์ ท่ีถกู ตอ้ งตรงตามความตอ้ งการ • หากมีข้อผดิ พลาดใหต้ รวจสอบการทำงาน ทลี ะคำสัง่ เมอื่ พบจดุ ท่ที ำใหผ้ ลลัพธ์ไม่ถูกตอ้ ง ใหท้ ำการแก้ไขจนกวา่ จะได้ผลลพั ธ์ที่ถกู ตอ้ ง • การฝึกตรวจหาขอ้ ผดิ พลาดจากโปรแกรมของ ผู้อน่ื จะชว่ ยพัฒนาทกั ษะการหาสาเหตุของ ปญั หาได้ดีย่ิงขนึ้ • ตวั อย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมตรวจสอบเลขคู่ เลขค่ี โปรแกรมรบั ข้อมลู น้ำหนกั หรือส่วนสูง แลว้ แสดงผลความสมส่วนของรา่ งกาย โปรแกรม สั่งใหต้ วั ละครทำตามเง่อื นไขทก่ี ำหนด • ซอฟตแ์ วรท์ ่ใี ช้ในการเขยี นโปรแกรม เชน่ Scratch, logo๓. ใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตคน้ หาข้อมูล ติดตอ่ ส่อื สาร • การค้นหาขอ้ มลู ในอินเทอร์เนต็ และการพิจารณา และทำงานรว่ มกัน ประเมนิ ความนา่ เชอ่ื ถอื ผลการคน้ หา ของขอ้ มูล • การติดตอ่ สือ่ สารผา่ นอินเทอร์เนต็ เช่น อเี มล บล็อก โปรแกรมสนทนา • การเขียนจดหมาย (บรู ณาการกับวิชาภาษาไทย) • การใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ ในการตดิ ตอ่ สอื่ สารและทำงาน ร่วมกัน เช่น ใชน้ ดั หมายในการประชุมกลมุ่ ประชาสมั พนั ธก์ จิ กรรมในหอ้ งเรยี น การแลกเปลยี่ น ความรู้ ความคิดเห็นในการเรยี น ภายใต้การดแู ล ของครู • การประเมนิ ความนา่ เชือ่ ถือของข้อมูล เช่น เปรียบเทยี บความสอดคลอ้ ง สมบรู ณข์ องขอ้ มลู จากหลายแหล่ง แหลง่ ตน้ ตอของขอ้ มูล ผ้เู ขยี น วนั ทีเ่ ผยแพรข่ ้อมลู • ข้อมูลทดี่ ตี ้องมีรายละเอียดครบทุกดา้ น เช่น ข้อดี และข้อเสีย ประโยชนแ์ ละโทษตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 119 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๔. รวบรวม ประเมนิ นำเสนอขอ้ มลู และสารสนเทศ • การรวบรวมข้อมลู ประมวลผล สร้างทางเลือก ตามวัตถปุ ระสงคโ์ ดยใชซ้ อฟตแ์ วรห์ รือบริการ ประเมินผล จะทำให้ได้สารสนเทศเพือ่ ใชใ้ นการ บนอนิ เทอร์เน็ตท่ีหลากหลาย เพ่อื แกป้ ญั หา แกป้ ญั หาหรอื การตดั สนิ ใจไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ในชีวติ ประจำวัน • การใชซ้ อฟตแ์ วร์หรือบริการบนอนิ เทอรเ์ นต็ ที่หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ งทางเลือก ประเมนิ ผล นำเสนอ จะชว่ ยให้ การแก้ปัญหาทำได้อยา่ งรวดเร็ว ถกู ต้อง และ แม่นยำ • ตัวอย่างปัญหา เชน่ ถ่ายภาพ และสำรวจแผนท่ี ในท้องถิ่นเพ่อื นำเสนอแนวทางในการจดั การ พนื้ ท่ีว่างให้เกิดประโยชน์ ทำแบบสำรวจความ คดิ เหน็ ออนไลน์ และวเิ คราะหข์ อ้ มลู นำเสนอขอ้ มลู โดยการใช้ blog หรือ web page ๕. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภยั มมี ารยาท • อนั ตรายจากการใช้งานและอาชญากรรม เขา้ ใจสทิ ธแิ ละหน้าทขี่ องตน เคารพในสิทธิของ ทางอินเทอร์เน็ต ผอู้ ่ืน แจง้ ผู้เก่ยี วขอ้ งเมอื่ พบขอ้ มลู หรอื บคุ คล • มารยาทในการติดต่อส่ือสารผา่ นอินเทอร์เนต็ ทีไ่ ม่เหมาะสม (บรู ณาการกบั วชิ าท่เี ก่ยี วขอ้ ง)ป.๖ ๑. ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการอธบิ ายและออกแบบ • การแกป้ ญั หาอยา่ งเปน็ ขน้ั ตอนจะชว่ ยใหแ้ กป้ ญั หา วธิ กี ารแก้ปัญหาทพี่ บในชีวติ ประจำวัน ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ • การใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะเปน็ การนำกฎเกณฑ์ หรือ เงื่อนไขทีค่ รอบคลุมทุกกรณมี าใช้พจิ ารณา ในการแกป้ ัญหา • แนวคิดของการทำงานแบบวนซ้ำ และเง่อื นไข • การพจิ ารณากระบวนการทำงานที่มกี ารทำงาน แบบวนซ้ำหรอื เงอ่ื นไขเปน็ วิธีการท่จี ะชว่ ย ใหก้ ารออกแบบวิธีการแก้ปัญหาเป็นไปอยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพ • ตัวอย่างปญั หา เช่น การคน้ หาเลขหน้าทต่ี ้องการ ให้เร็วท่สี ดุ การทายเลข ๑-๑,๐๐๐,๐๐๐ โดย ตอบใหถ้ ูกภายใน ๒๐ คำถาม การคำนวณเวลา ในการเดนิ ทาง โดยคำนึงถึงระยะทาง เวลา จุดหยุดพกั 120 ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๒. ออกแบบและเขยี นโปรแกรมอย่างงา่ ย เพอ่ื • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำไดโ้ ดยเขียนแก้ปัญหาในชวี ิตประจำวนั ตรวจหาข้อผดิ พลาด เปน็ ขอ้ ความหรือผังงานของโปรแกรมและแกไ้ ข • การออกแบบและเขียนโปรแกรมทมี่ ีการใชต้ วั แปร การวนซำ้ การตรวจสอบเงือ่ นไข • หากมขี ้อผดิ พลาดใหต้ รวจสอบการทำงานทลี ะ คำส่ัง เม่อื พบจดุ ที่ทำให้ผลลพั ธ์ไม่ถูกต้อง ใหท้ ำการแก้ไขจนกวา่ จะไดผ้ ลลัพธท์ ถ่ี กู ตอ้ ง • การฝกึ ตรวจหาขอ้ ผิดพลาดจากโปรแกรมของ ผู้อน่ื จะชว่ ยพัฒนาทักษะการหาสาเหตขุ องปัญหา ไดด้ ยี ิง่ ขึ้น • ตัวอยา่ งโปรแกรม เช่น โปรแกรมเกม โปรแกรม หาคา่ ค.ร.น. เกมฝึกพิมพ์ • ซอฟตแ์ วรท์ ี่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo๓. ใช้อนิ เทอรเ์ น็ตในการค้นหาขอ้ มลู อยา่ งมี • การคน้ หาอยา่ งมีประสิทธภิ าพ เป็นการค้นหา ประสิทธภิ าพ ข้อมูลที่ไดต้ รงตามความต้องการในเวลาทร่ี วดเร็ว จากแหลง่ ขอ้ มลู ทน่ี า่ เชอื่ ถอื หลายแหลง่ และขอ้ มลู มีความสอดคลอ้ งกัน • การใชเ้ ทคนคิ การคน้ หาขัน้ สงู เช่น การใช้ ตวั ดำเนนิ การ การระบุรปู แบบของข้อมลู หรอื ชนดิ ของไฟล์ • การจัดลำดบั ผลลพั ธจ์ ากการคน้ หาของโปรแกรม คน้ หา • การเรยี บเรียง สรปุ สาระสำคัญ (บรู ณาการกับ วิชาภาษาไทย)๔. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศทำงานร่วมกนั อยา่ ง • อนั ตรายจากการใช้งานและอาชญากรรม ปลอดภัย เข้าใจสทิ ธแิ ละหนา้ ท่ีของตน เคารพ ทางอนิ เทอร์เนต็ แนวทางในการปอ้ งกัน ในสิทธิของผอู้ ่นื แจ้งผู้เก่ียวขอ้ งเม่อื พบขอ้ มลู • วธิ กี ำหนดรหัสผา่ น หรอื บคุ คลท่ีไมเ่ หมาะสม • การกำหนดสทิ ธิ์การใช้งาน (สทิ ธิใ์ นการเขา้ ถงึ ) • แนวทางการตรวจสอบและป้องกนั มลั แวร์ • อนั ตรายจากการตดิ ตงั้ ซอฟตแ์ วรท์ อ่ี ยบู่ นอนิ เทอรเ์ นต็ ม.๑ ๑. ออกแบบอัลกอรทิ ึมท่ใี ชแ้ นวคิดเชงิ นามธรรม • แนวคดิ เชงิ นามธรรม เปน็ การประเมนิ ความสำคญั เพื่อแก้ปญั หาหรืออธิบายการทำงานที่พบใน ของรายละเอียดของปญั หา แยกแยะส่วนทเี่ ปน็ ชวี ิตจริง สาระสำคญั ออกจากสว่ นทีไ่ มใ่ ช่สาระสำคญั ตวั ช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 121 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง • ตวั อย่างปัญหา เช่น ตอ้ งการปูหญ้าในสนาม ตามพืน้ ท่ที ี่กำหนด โดยหญา้ หนึ่งผืนมีความกวา้ ง ๕๐ เซนติเมตร ยาว ๕๐ เซนติเมตร จะใชห้ ญ้า ทง้ั หมดก่ผี ืน ๒. ออกแบบและเขยี นโปรแกรมอยา่ งงา่ ย • การออกแบบและเขยี นโปรแกรมท่ีมีการใชต้ ัวแปร เพ่ือแกป้ ญั หาทางคณติ ศาสตรห์ รอื วิทยาศาสตร์ เง่ือนไข วนซำ้ • การออกแบบอลั กอรทิ มึ เพอื่ แก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์อย่างง่าย อาจใช้ แนวคดิ เชิงนามธรรมในการออกแบบ เพอ่ื ให้ การแก้ปัญหามีประสิทธภิ าพ • การแกป้ ญั หาอยา่ งเปน็ ขนั้ ตอนจะชว่ ยใหแ้ กป้ ญั หา ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ • ซอฟตแ์ วรท์ ใี่ ชใ้ นการเขยี นโปรแกรม เชน่ Scratch, python, java, c • ตวั อย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมสมการ การเคล่อื นท่ี โปรแกรมคำนวณหาพ้นื ท่ี โปรแกรมคำนวณดัชนีมวลกาย ๓. รวบรวมขอ้ มลู ปฐมภมู ิ ประมวลผล ประเมินผล • การรวบรวมขอ้ มลู จากแหล่งข้อมลู ปฐมภมู ิ นำเสนอขอ้ มลู และสารสนเทศ ตามวตั ถปุ ระสงค์ ประมวลผล สรา้ งทางเลอื ก ประเมินผล จะทำให้ โดยใช้ซอฟตแ์ วร์ หรือบริการบนอนิ เทอร์เนต็ ได้สารสนเทศเพอ่ื ใช้ในการแก้ปัญหาหรอื การ ทีห่ ลากหลาย ตัดสินใจไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ • การประมวลผลเป็นการกระทำกับขอ้ มูล เพื่อให้ ได้ผลลพั ธท์ ี่มคี วามหมายและมีประโยชนต์ ่อ การนำไปใชง้ าน สามารถทำได้หลายวธิ ี เช่น คำนวณอตั ราสว่ น คำนวณค่าเฉล่ยี • การใชซ้ อฟตแ์ วร์หรอื บรกิ ารบนอินเทอร์เนต็ ทหี่ ลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ งทางเลอื ก ประเมินผล นำเสนอ จะชว่ ยให้ แกป้ ญั หาได้อยา่ งรวดเรว็ ถกู ตอ้ ง และแมน่ ยำ • ตวั อย่างปญั หา เน้นการบรู ณาการกับวชิ าอ่นื เชน่ ตม้ ไขใ่ หต้ รงกบั พฤตกิ รรมการบรโิ ภค คา่ ดชั นี มวลกายของคนในท้องถิ่น การสรา้ งกราฟ ผลการทดลองและวเิ คราะหแ์ นวโน้ม122 ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๔. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภัย ใช้ส่ือ • ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภัย เชน่ และแหลง่ ขอ้ มูลตามขอ้ กำหนดและขอ้ ตกลง การปกปอ้ งความเปน็ สว่ นตวั และอตั ลักษณ์ • การจดั การอัตลกั ษณ์ เช่น การต้งั รหัสผา่ น ม.๒ ๑. ออกแบบอัลกอรทิ มึ ทีใ่ ชแ้ นวคดิ เชิงคำนวณใน การปกปอ้ งข้อมูลส่วนตวั การแกป้ ัญหา หรือการทำงานที่พบในชวี ติ จริง • การพิจารณาความเหมาะสมของเนือ้ หา เชน่ ๒. ออกแบบและเขียนโปรแกรมทใ่ี ช้ตรรกะ ละเมดิ ความเป็นสว่ นตัวผอู้ ื่น อนาจาร วจิ ารณ์ และฟังกช์ นั ในการแกป้ ัญหา ผู้อืน่ อย่างหยาบคาย • ขอ้ ตกลง ข้อกำหนดในการใชส้ ่อื หรอื แหลง่ ข้อมูล ๓. อภิปรายองคป์ ระกอบและหลกั การทำงานของ ต่าง ๆ เชน่ Creative commons ระบบคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีการส่ือสาร • แนวคิดเชงิ คำนวณ เพอื่ ประยกุ ต์ใช้งานหรอื แกป้ ัญหาเบือ้ งตน้ • การแกป้ ัญหาโดยใช้แนวคดิ เชิงคำนวณ • ตวั อย่างปัญหา เชน่ การเขา้ แถวตามลำดับ ความสูงใหเ้ รว็ ท่ีสุด จัดเรยี งเสื้อใหห้ าไดง้ า่ ยทีส่ ดุ • ตวั ดำเนินการบลู นี • ฟังก์ชัน • การออกแบบและเขยี นโปรแกรมทมี่ กี ารใช้ตรรกะ และฟังก์ชัน • การออกแบบอัลกอรทิ มึ เพ่ือแกป้ ญั หาอาจใช้ แนวคิดเชงิ คำนวณในการออกแบบ เพื่อให้ การแกป้ ญั หามีประสิทธิภาพ • การแกป้ ญั หาอยา่ งเปน็ ขน้ั ตอนจะชว่ ยใหแ้ กป้ ญั หา ได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ • ซอฟตแ์ วรท์ ใ่ี ชใ้ นการเขยี นโปรแกรม เชน่ Scratch, python, java, c • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมตัดเกรด หาคำตอบทั้งหมดของอสมการหลายตัวแปร • องค์ประกอบและหลกั การทำงานของระบบ คอมพวิ เตอร์ • เทคโนโลยกี ารสอื่ สาร • การประยุกต์ใชง้ านและการแกป้ ญั หาเบอื้ งต้นตัวชีว้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 123 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชัน้ ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๔. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย มคี วาม • ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั โดยเลอื ก รับผดิ ชอบ สร้างและแสดงสทิ ธใิ นการเผยแพร่ แนวทางปฏบิ ตั ิเมอื่ พบเนอื้ หาท่ไี ม่เหมาะสม เชน่ ผลงาน แจง้ รายงานผูเ้ กีย่ วข้อง ปอ้ งกนั การเข้ามาของ ขอ้ มลู ที่ไมเ่ หมาะสม ไม่ตอบโต้ ไม่เผยแพร่ • การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งมคี วามรบั ผดิ ชอบ เช่น ตระหนกั ถึงผลกระทบในการเผยแพร่ข้อมูล • การสรา้ งและแสดงสทิ ธิความเป็นเจ้าของผลงาน • การกำหนดสทิ ธิการใชข้ ้อมูลม.๓ ๑. พัฒนาแอปพลเิ คชันที่มีการบูรณาการกบั วิชาอ่ืน • ข้ันตอนการพัฒนาแอปพลิเคชัน อย่างสรา้ งสรรค์ • Internet of Things (IoT) • ซอฟตแ์ วร์ทใ่ี ช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชนั เชน่ Scratch, python, java, c, AppInventor • ตัวอยา่ งแอปพลเิ คชนั เช่น โปรแกรมแปลง สกลุ เงนิ โปรแกรมผนั เสียงวรรณยุกต์ โปรแกรม จำลองการแบ่งเซลล์ ระบบรดนำ้ อัตโนมตั ิ ๒. รวบรวมขอ้ มลู ประมวลผล ประเมนิ ผล นำเสนอ • การรวบรวมข้อมลู จากแหลง่ ขอ้ มูลปฐมภูมแิ ละ ข้อมูลและสารสนเทศตามวตั ถุประสงค์ โดยใช้ ทตุ ิยภมู ิ ประมวลผล สรา้ งทางเลือก ประเมนิ ผล ซอฟตแ์ วรห์ รือบรกิ ารบนอนิ เทอร์เน็ตที่ จะทำให้ไดส้ ารสนเทศเพ่อื ใชใ้ นการแกป้ ัญหา หลากหลาย หรอื การตัดสนิ ใจไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ • การประมวลผลเปน็ การกระทำกบั ขอ้ มลู เพอ่ื ใหไ้ ด้ ผลลพั ธ์ที่มคี วามหมายและมีประโยชน์ตอ่ การ นำไปใช้งาน • การใช้ซอฟตแ์ วร์หรอื บรกิ ารบนอนิ เทอร์เน็ต ที่หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สร้างทางเลอื ก ประเมินผล นำเสนอ จะชว่ ยให้ แกป้ ัญหาได้อย่างรวดเรว็ ถูกตอ้ ง และแมน่ ยำ • ตวั อย่างปัญหา เชน่ การเลือกโปรโมชันโทรศัพท์ ใหเ้ หมาะกบั พฤตกิ รรมการใช้งาน สินค้าเกษตร ที่ตอ้ งการและสามารถปลกู ไดใ้ นสภาพดนิ ของ ท้องถิ่น ๓. ประเมนิ ความนา่ เช่ือถอื ของข้อมลู วเิ คราะหส์ ่อื • การประเมนิ ความนา่ เชื่อถือของข้อมูล เชน่ และผลกระทบจากการใหข้ า่ วสารทผี่ ดิ เพือ่ การ ตรวจสอบและยืนยันข้อมลู โดยเทยี บเคียงจาก ใชง้ านอย่างรู้เทา่ ทัน ขอ้ มลู หลายแหลง่ แยกแยะขอ้ มลู ทเี่ ปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ คิดเหน็ หรือใช้ PROMPT124 ตัวช้วี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง • การสืบคน้ หาแหล่งตน้ ตอของข้อมลู • เหตผุ ลวบิ ัติ (logical fallacy) • ผลกระทบจากขา่ วสารทผี่ ิดพลาด • การร้เู ทา่ ทนั สือ่ เชน่ การวิเคราะห์ถงึ จุดประสงค์ ของข้อมลู และผูใ้ ห้ขอ้ มลู ตีความ แยกแยะเนือ้ หา สาระของสอ่ื เลอื กแนวปฏิบตั ไิ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม เมอ่ื พบข้อมลู ตา่ ง ๆ๔. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั และมี • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั เชน่ ความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม ปฏิบัตติ ามกฎหมาย การทำธรุ กรรมออนไลน์ การซ้อื สนิ คา้ เกี่ยวกบั คอมพิวเตอร์ ใชล้ ิขสทิ ธิข์ องผูอ้ ื่น ซือ้ ซอฟต์แวร์ ค่าบริการสมาชิก ซือ้ ไอเท็ม โดยชอบธรรม • การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งมคี วามรบั ผดิ ชอบ เชน่ ไมส่ รา้ งขา่ วลวง ไมแ่ ชรข์ อ้ มลู โดยไมต่ รวจสอบ ขอ้ เทจ็ จริง • กฎหมายเก่ยี วกบั คอมพวิ เตอร์ • การใช้ลขิ สิทธ์ขิ องผู้อืน่ โดยชอบธรรม (fair use)ม.๔ ๑. ประยกุ ตใ์ ช้แนวคิดเชิงคำนวณในการพัฒนา • การพฒั นาโครงงาน โครงงานทีม่ กี ารบูรณาการกับวิชาอน่ื • การนำแนวคดิ เชิงคำนวณไปพฒั นาโครงงาน อยา่ งสร้างสรรค์ และเช่ือมโยงกับชีวิตจริง ทีเ่ ก่ียวกับชีวิตประจำวนั เช่น การจดั การพลงั งาน อาหาร การเกษตร การตลาด การคา้ ขาย การทำธรุ กรรม สุขภาพ และสิ่งแวดลอ้ ม • ตวั อยา่ งโครงงาน เช่น ระบบดูแลสขุ ภาพ ระบบ อัตโนมตั คิ วบคุมการปลูกพืช ระบบจดั เสน้ ทาง การขนสง่ ผลผลติ ระบบแนะนำการใชง้ านหอ้ งสมดุ ที่มกี ารโตต้ อบกับผ้ใู ช้และเชือ่ มตอ่ กบั ฐานขอ้ มลู ม.๕ ๑. รวบรวม วิเคราะหข์ ้อมูล และใชค้ วามรู ้ • การนำความรดู้ า้ นวิทยาการคอมพิวเตอร์ ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ สือ่ ดจิ ิทลั เทคโนโลยี สอ่ื ดจิ ทิ ลั และเทคโนโลยสี ารสนเทศ มาใชแ้ กป้ ญั หาสารสนเทศในการแกป้ ัญหาหรอื เพ่ิมมูลค่า กับชีวติ จรงิ ใหก้ ับบริการหรือผลติ ภัณฑ์ที่ใช้ ในชวี ิตจริง • การเพ่มิ มลู คา่ ให้บริการหรอื ผลิตภณั ฑ์อยา่ งสรา้ งสรรค์ • การเกบ็ ขอ้ มูลและการจัดเตรยี มข้อมลู ให้พรอ้ ม กบั การประมวลผล • การวิเคราะหข์ ้อมูลทางสถติ ิ • การประมวลผลขอ้ มูล และเครอ่ื งมือ • การทำขอ้ มลู ใหเ้ ปน็ ภาพ (data visualization) เช่น bar chart, scatter, histogramตวั ชวี้ ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 125 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง • การเลอื กใชแ้ หล่งขอ้ มลู เชน่ data.go.th, wolfram alpha, OECD.org, ตลาดหลักทรัพย์ , world economic forum • คุณคา่ ของขอ้ มลู และกรณีศกึ ษา • กรณศี กึ ษาและวิธีการแก้ปัญหา • ตัวอย่างปัญหา เช่น - รูปแบบของบรรจุภัณฑ์ทีด่ ึงดูดความสนใจ และ ตรงตามความตอ้ งการผู้ใช้ในแตล่ ะประเภท - การกำหนดตำแหน่งปา้ ยรถเมล์เพ่อื ลดเวลา เดนิ ทางและปัญหาการจราจร - สำรวจความต้องการรบั ประทานอาหาร ในชมุ ชน และเลอื กขายอาหารทจ่ี ะไดก้ ำไรสงู สุด - ออกแบบรายการอาหาร ๗ วนั สำหรบั ผ้ปู ่วย เบาหวาน ม.๖ ๑. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในการนำเสนอ และ • การนำเสนอและแบ่งปนั ข้อมลู เชน่ การเขยี น แบง่ ปนั ขอ้ มูลอย่างปลอดภัย มีจริยธรรม และ บลอ็ ก อปั โหลดวิดโี อ ภาพอนิ โฟกราฟิก วเิ คราะห์การเปลย่ี นแปลงเทคโนโลยีสารสนเทศ • การนำเสนอและแบง่ ปนั ข้อมูลอยา่ งปลอดภัย ท่ีมผี ลตอ่ การดำเนินชีวิต อาชีพ สงั คม และ เชน่ ระมัดระวังผลกระทบท่ีตามมา เมื่อมกี าร วฒั นธรรม แบง่ ปนั ขอ้ มูลหรือเผยแพรข่ อ้ มูล ไม่สรา้ ง ความเดอื ดร้อนต่อตนเองและผอู้ ื่น • จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ • เทคโนโลยีเกดิ ใหม่ แนวโนม้ ในอนาคต การเปล่ยี นแปลงของเทคโนโลยี • นวตั กรรมหรอื เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง กบั ชีวิตประจำวัน • อาชพี เกย่ี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ • ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการ ดำเนินชีวติ อาชพี สังคม และวัฒนธรรม126 ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
วิทยาศาสตรเ์ พิ่มเติม วิทยาศาสตร์เพ่ิมเติมจัดทำขึ้นสำหรับผู้เรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายแผนการเรียนวิทยาศาสตร์ ที่จำเป็นต้องเรียนเน้ือหาในสาระชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และโลกดาราศาสตร์ และอวกาศ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญและเพียงพอสำหรับการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อประกอบวิชาชีพในสาขาที่ใช้วิทยาศาสตร์เป็นฐาน เช่น แพทย์ ทันตแพทย์สัตวแพทย์ เทคโนโลยชี ีวภาพ เทคนิคการแพทย์ วศิ วกรรม สถาปตั ยกรรม ฯลฯ โดยมีผลการเรยี นรู้ท่ีครอบคลุมด้านเนื้อหา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ รวมทง้ั จติ วทิ ยาศาสตรท์ ่ีผู้เรียนจำเป็นต้องมี วิทยาศาสตร์เพิ่มเติมนี้ ได้มีการปรับปรุงเพื่อให้มีเนื้อหาทที่ ดั เทยี มกบั นานาชาติ เนน้ กระบวนการคดิ วเิ คราะหแ์ ละการแกป้ ญั หา รวมทง้ั เชอ่ื มโยงความรสู้ กู่ ารนำไปใชใ้ นชวี ติ จริง สรปุ ไดด้ ังน้ี ๑. ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาระหว่างตัวช้ีวัดในรายวิชาพ้ืนฐานและผลการเรียนรู้รายวชิ าเพ่ิมเตมิ เพ่อื ให้ผเู้ รียนไดม้ เี วลาสำหรบั การเรียนรู้ และทำปฏบิ ัตกิ ารทางวทิ ยาศาสตรเ์ พ่มิ ขนึ้ ๒. ลดความซำ้ ซอ้ นของเน้อื หาระหวา่ งสาระชวี วิทยา เคมี ฟิสกิ ส์ และโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ โดยมีการพจิ ารณาเนอ้ื หาทมี่ คี วามซำ้ ซอ้ นกัน แล้วจัดให้เรียนท่สี าระใดสาระหน่งึ เชน่ - เร่ืองสารชีวโมเลกุล เดิมเรียนท้ังในสาระชีววิทยา และเคมี ได้พิจารณาแล้วจัดให้เรียนในสาระชีววทิ ยา - เร่ืองปโิ ตรเลียม เดมิ เรียนทั้งในสาระเคมี และโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ได้พิจารณาแล้วจดั ให้เรยี นในสาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ - เร่ืองกฎของบอยล์ กฎของชาร์ล ไอโซโทปกัมมันตรังสี ได้พิจารณาแล้วจัดให้เรียนในสาระเคมี และเร่ืองพลังงานนิวเคลียร์ จัดให้เรียนในสาระฟิสิกส์ เน่ืองจากเดิมเน้ือหาเหล่านี้ทับซ้อนกนั ในสาระเคมแี ละฟิสกิ ส์ - เร่ืองการทดลองของทอมสัน และการทดลองของมลิ ลิแกน เดิมเรียนท้งั ในสาระเคมี และฟิสกิ ส์ ได้พิจารณาแลว้ จัดให้เรยี นในสาระเคมี ๓. ลดความซ้ำซ้อนกันระหว่างระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เชน่ - เรื่องระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในสาระชีววิทยา ได้ปรับให้สาระการเรียนรู้เน้ือหา และกจิ กรรม มคี วามแตกตา่ งกนั ตามความเหมาะสมของระดับผ้เู รยี น - เร่ืองเทคโนโลยีอวกาศ การเกิดลม การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลก พายุและมรสุม ได้มีการปรับให้สาระการเรียนรู้ เน้ือหา และกิจกรรม เรียนต่อเนื่องกันจากระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้นไปสูร่ ะดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย เพอ่ื ไม่ให้ซ้อนทบั กันตวั ชวี้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 127 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
๔. ลดทอนเนอ้ื หาทยี่ าก เพอื่ ใหเ้ หมาะสมกบั กลมุ่ ของผเู้ รยี นในระดบั มธั มศกึ ษาตอนปลาย ๕. มีการเพ่ิมเนื้อหาด้านต่าง ๆ ที่มีความทันสมัย สอดคล้องต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบันและอนาคตมากข้ึน เช่น เรื่องเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ท่ีมีต่อมนุษย์และส่ิงแวดล้อมในสาระชีววิทยา เรื่องทักษะและความปลอดภัยในปฏิบัติการเคมี นวัตกรรมและการแก้ปัญหาที่เน้นการบูรณาการในสาระเคมี เร่ืองเทคโนโลยีด้านพลังงานและส่ิงแวดล้อม การส่ือสารด้วยสัญญาณดิจิทัลท่ีเหมาะสมกับสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัลในปัจจุบัน รวมท้ังเนื้อหาเกี่ยวกับการคน้ ควา้ วจิ ัยด้านฟสิ ิกสอ์ นุภาค เพอ่ื ความสอดคลอ้ งกับความกา้ วหน้าของวิชาฟสิ กิ ส์ในปัจจุบัน วิทยาศาสตร์เพิ่มเติมนี้ ถึงแม้ว่าสถานศึกษาสามารถจัดให้ผู้เรียนได้เรียนตามความเหมาะสมและตามจุดเน้นของสถานศึกษา แต่ในแนวทางปฏิบัติสถานศึกษาควรจัดให้ผู้เรียนไดเ้ รยี นทกุ สาระเพอื่ ใหม้ คี วามรเู้ พยี งพอในการนำไปใชเ้ พอื่ การศกึ ษาตอ่ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เนอ้ื หาของวชิ าโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ทสี่ ถานศกึ ษามักมองขา้ มความสำคัญของการเรียนสาระนี้ ซ่ึงเป็นการบรู ณาการความรทู้ างดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ทง้ั ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา รวมท้ังศาสตร์อื่น ๆ ทเ่ี กย่ี วข้องเพ่ือมาช่วยในการอธิบายและเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติ ทั้งการเปลี่ยนแปลงบนผิวโลกการเปล่ียนแปลงภายในโลก และการเปล่ียนแปลงทางลมฟ้าอากาศ ซ่ึงกระบวนการเปล่ียนแปลงทั้งหมดดังกล่าวล้วนส่งผลซึ่งกันและกัน รวมทั้งสิ่งมีชีวิตด้วย และที่สำคัญคือ ความรู้ในวิชานี้สามารถนำไปใชใ้ นการศกึ ษาตอ่ เพอ่ื ประกอบอาชีพในหลาย ๆ ด้าน เช่น อาชีพทีเ่ กีย่ วกบั วสั ดศุ าสตร์การเดินเรือ การบิน การเกษตร การศึกษาประวัติศาสตร์ วิศวกร อุตสาหกรรมน้ำมัน เหมือง นักธรณีวิทยา นักอุตุนิยมวิทยา นักดาราศาสตร์ นักบินอวกาศ ดังนั้นพื้นฐานความรู้ทางวิชาโลกดาราศาสตร์ และอวกาศ จะช่วยเปิดโอกาสทางด้านอาชีพท่ีหลากหลายให้กับผู้เรียน เพราะในอนาคตขา้ งหนา้ นอกจากมนษุ ยจ์ ะตอ้ งมคี วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั โลกทตี่ วั เองอาศยั อยแู่ ลว้ ยงั ตอ้ งพฒั นาตนเองเพอ่ื ศึกษาข้อมลู ต่าง ๆ ทีอ่ ยู่นอกโลกเพ่อื นำขอ้ มูลเหลา่ น้นั กลบั มาพัฒนาคุณภาพชีวิตใหด้ ีขน้ึ เรยี นรูอ้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์เพิ่มเติม วิทยาศาสตร์เพิม่ เติม ผู้เรียนจะไดเ้ รยี นรสู้ าระสำคญั ดังน้ี ✧ ชีววิทยา เรียนรู้เกี่ยวกับ การศึกษาชีววิทยา สารที่เป็นองค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต เซลลข์ องสงิ่ มชี วี ติ พันธุกรรมและการถ่ายทอด วิวัฒนาการ ความหลากหลายทางชีวภาพโครงสร้างและการทำงานของส่วนตา่ ง ๆ ในพืชดอก ระบบและการทำงานในอวัยวะตา่ ง ๆ ของสตั ว์และมนษุ ย์ และสง่ิ มชี วี ติ และสง่ิ แวดล้อม ✧ เคมี เรยี นรเู้ กยี่ วกบั ปรมิ าณสาร องคป์ ระกอบและสมบตั ขิ องสาร การเปลย่ี นแปลงของสาร ทกั ษะและการแกป้ ัญหาทางเคมี ✧ ฟิสิกส์ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติและการค้นพบทางฟิสิกส์ แรงและการเคลื่อนที ่ และพลังงาน 128 ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
✧ โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เรยี นรเู้ กย่ี วกบั โลกและกระบวนการเปลีย่ นแปลงทางธรณวี ทิ ยา ขอ้ มลู ทางธรณวี ทิ ยาและการนำไปใชป้ ระโยชน์ การถา่ ยโอนพลงั งานความรอ้ นของโลกการเปล่ียนแปลงลักษณะลมฟ้าอากาศกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ โลกในเอกภพ และดาราศาสตร์กับมนษุ ยา์ สาระวิทยาศาสตร์เพม่ิ เติมสาระชวี วทิ ยา ๑. เข้าใจธรรมชาติของส่ิงมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ สารที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของส่ิงมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหนา้ ท่ขี องเซลล์ การลำเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการหายใจระดบั เซลล์ ๒. เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติและหน้าที่ของสารพันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐานข้อมูลและแนวคิดเกยี่ วกบั ววิ ฒั นาการของสง่ิ มชี วี ติ ภาวะสมดลุ ของฮารด์ -ี ไวนเ์ บริ ก์ การเกดิ สปชี สี ใ์ หม่ ความหลากหลายทางชีวภาพ กำเนิดของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายของส่ิงมีชีวิต และอนุกรมวิธาน รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ๓. เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพชื รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ๔. เขา้ ใจการยอ่ ยอาหารของสตั วแ์ ละมนษุ ย์ รวมทง้ั การหายใจและการแลกเปลยี่ นแกส๊การลำเลยี งสารและการหมนุ เวยี นเลอื ด ภมู คิ มุ้ กนั ของรา่ งกาย การขบั ถา่ ย การรบั รแู้ ละการตอบสนองการเคลื่อนที่ การสืบพันธ์ุและการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์ รวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ๕. เข้าใจแนวคิดเก่ียวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีของส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศประชากรและรูปแบบการเพ่ิมของประชากร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัญหา และผลกระทบทเ่ี กดิ จากการใช้ประโยชน์ และแนวทางการแก้ไขปัญหาตัวชีว้ ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 129 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระเคมี ๑. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ขิ องสาร แกส๊ และสมบตั ขิ องแกส๊ ประเภทและสมบตั ขิ องสารประกอบอนิ ทรยี ์ และพอลเิ มอร์รวมทั้งการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ๒. เขา้ ใจการเขยี นและการดลุ สมการเคมี ปรมิ าณสมั พนั ธใ์ นปฏกิ ริ ยิ าเคมี อตั ราการเกดิปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์เคมีไฟฟา้ รวมทั้งการนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ๓. เขา้ ใจหลกั การทำปฏบิ ตั กิ ารเคมี การวดั ปรมิ าณสาร หนว่ ยวดั และการเปลย่ี นหนว่ ย การคำนวณปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรแู้ ละทกั ษะในการอธบิ ายปรากฏการณใ์ นชวี ติ ประจำวนั และการแกป้ ญั หาทางเคม ี สาระฟสิ ิกส์ ๑. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคล่ือนท่ีแนวตรง แรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนท่ีแนวโค้ง รวมท้งั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ๒. เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับแสง รวมท้งั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ๓. เขา้ ใจแรงไฟฟา้ และกฎของคลู อมบ์ สนามไฟฟา้ ศกั ยไ์ ฟฟา้ ความจไุ ฟฟา้ กระแสไฟฟา้และกฎของโอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟ้าและกำลังไฟฟา้ การเปลยี่ นพลงั งานทดแทนเปน็ พลงั งานไฟฟา้ สนามแมเ่ หลก็ แรงแมเ่ หลก็ ทก่ี ระทำกบั ประจไุ ฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ การเหนยี่ วนำแม่เหล็กไฟฟ้า และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ๔. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสารสภาพยืดหยุ่นของวัสดุ และมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดีสความตึงผวิ และแรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติ และสมการแบร์นลู ลี กฎของแกส๊ ทฤษฎจี ลน์ของแก๊สอดุ มคตแิ ละพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทรกิ ทวภิ าวะของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสี แรงนิวเคลียร์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ ฟิสิกส์อนภุ าค รวมท้งั นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์130 ตวั ช้ีวัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ๑. เข้าใจกระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัยและผลต่อสิ่งมีชีวิตและส่งิ แวดลอ้ ม การศกึ ษาลำดบั ชั้นหิน ทรพั ยากรธรณี แผนท่ี และการนำไปใชป้ ระโยชน์ ๒. เขา้ ใจสมดลุ พลงั งานของโลก การหมนุ เวยี นของอากาศบนโลก การหมนุ เวยี นของนำ้ในมหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปลย่ี นแปลงภูมิอากาศโลกและผลต่อสิง่ มีชวี ิตและส่ิงแวดล้อม รวมทั้งการพยากรณอ์ ากาศ ๓. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพกาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย์จากการศึกษาตำแหน่งดาวบนทรงกลมฟ้าและปฏิสมั พันธภ์ ายในระบบสรุ ยิ ะ รวมทง้ั การประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ คุณภาพผู้เรียน ผ้เู รยี นทีเ่ รียนครบทกุ ผลการเรยี นรู้ มคี ุณภาพดงั นี้ ❖ เข้าใจวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหาคำตอบเก่ียวกับส่ิงมีชีวิต สารท่ีเป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต และปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ การใช้กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าทขี่ องเซลล์ การลำเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดับเซลล์ ❖ เข้าใจหลักการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิต การถ่ายทอดยีนบนออโตโซมและโครโมโซมเพศ โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ การจำลองดีเอ็นเอกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน การเกิดมิวเทชันในสิ่งมีชีวิต หลักการและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐานและข้อมูลท่ีใช้ในการศึกษาวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิต แนวคิดเก่ียวกับวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิต เง่ือนไขของภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก กระบวนการเกิดสปีชีส์ใหม่ของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ กำเนิดของสิ่งมีชีวิต ลักษณะสำคัญของสิ่งมีชีวิตกลมุ่ แบคทีเรีย โพรทสิ ต์ พชื ฟังไจ และสัตว์ การจำแนกสิง่ มชี ีวติ ออกเป็นหมวดหมู่และวธิ ีการเขยี นชื่อวิทยาศาสตร์ ❖ เขา้ ใจโครงสรา้ งและสว่ นประกอบของพชื ทงั้ ราก ลำตน้ และใบ การแลกเปลยี่ นแกส๊ การคายน้ำ การลำเลียงน้ำและธาตุอาหาร การลำเลียงอาหาร การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์และการปฏิสนธิของพืชดอก การเกิดผลและเมล็ด บทบาทของสารควบคุมการเจรญิ เตบิ โตของพชื และการประยุกตใ์ ช้ และการตอบสนองของพืช ❖ เข้าใจกลไกการรักษาดุลยภาพของส่ิงมีชีวิต โครงสร้าง หน้าที่ และกระบวนการตา่ ง ๆ ของสตั วแ์ ละมนษุ ย์ ไดแ้ ก่ การยอ่ ยอาหาร การแลกเปลยี่ นแกส๊ การเคลอ่ื นท่ี การกำจดั ของเสยีออกจากรา่ งกายของสงิ่ มชี วี ติ ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด ระบบภมู คิ มุ้ กนั ในรา่ งกายของมนษุ ย์ การทำงานของระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก ระบบสืบพันธ์ุ การปฏิสนธิ การเจริญเติบโต ฮอร์โมนและพฤติกรรมของสัตว์ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 131 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
❖ เข้าใจกระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การเปล่ียนแปลงจำนวนประชากรมนุษย์ในระดบั ทอ้ งถิน่ ระดบั ประเทศ และระดบั โลก แนวทางการปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม ❖ เข้าใจการศึกษาโครงสร้างอะตอมของนักวิทยาศาสตร์ การจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอม สมบัติบางประการของธาตุและการจดั เรียงธาตุในตารางธาตุ พนั ธะเคมี สมบัตขิ องสารท่มี ีความสัมพันธ์กับพันธะเคมี กฎต่าง ๆ ของแก๊ส และสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอนิ ทรยี ์ และประเภทและสมบัติของพอลิเมอร์ ❖ เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี การคำนวณปริมาณสารต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีและปัจจัยท่ีมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมีและปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลเคมี ทฤษฎีกรด-เบส สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบสสารละลายบฟั เฟอร์ ปฏิกิรยิ ารดี อกซ์ และเซลลเ์ คมีไฟฟา้ ❖ เข้าใจข้อปฏิบัติเบื้องต้นเก่ียวกับความปลอดภัยในการทำปฏิบัติการเคมี การเลือกใช้อุปกรณ์หรือเคร่ืองมือในการทำปฏิบัติการ หน่วยวัดและการเปล่ียนหน่วยวัดด้วยการใช้แฟกเตอร์เปล่ียนหน่วย การคำนวณเก่ียวกับมวลอะตอม มวลโมเลกลุ และมวลสูตร ความสัมพนั ธ์ของโมล จำนวนอนุภาค มวล และปริมาตรของแก๊สท่ี STP การคำนวณสูตรอย่างง่ายและสูตรโมเลกุลของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย การเตรียมสารละลาย และการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบายปรากฏการณใ์ นชวี ติ ประจำวันและการแกป้ ญั หาทางเคมี ❖ เขา้ ใจธรรมชาตขิ องฟสิ กิ ส์ กระบวนการวดั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปรมิ าณทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเคลือ่ นที่ การเคล่อื นที่ในแนวตรง แรงลพั ธ์ กฎการเคลอื่ นท่ี แรงเสียดทาน กฎความโน้มถว่ งสากล สนามโน้มถ่วง งาน กฎการอนุรักษ์พลังงานกล สมดุลกลของวัตถุ เครื่องกลอย่างง่ายโมเมนตมั และการดล กฎการอนรุ กั ษโ์ มเมนตมั การชน และการเคลอื่ นที่ในแนวโค้ง ❖ เข้าใจการเคลื่อนท่ีแบบคล่ืน ปรากฏการณ์คล่ืน การสะท้อน การหักเห การเล้ียวเบนและการแทรกสอด หลักการของฮอยเกนส์ การเคลื่อนที่ของคล่ืนเสียง ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง ความเข้มเสียงและระดับเสียง การได้ยิน ภาพที่เกิดจากกระจกเงาและเลนส์ปรากฏการณท์ เ่ี ก่ียวขอ้ งกับแสงและการมองเห็นแสงสี ❖ เข้าใจสนามไฟฟา้ แรงไฟฟา้ กฎของคลู อมบ์ ศักย์ไฟฟา้ ตวั เก็บประจุ ตวั ตา้ นทานและกฎของโอห์ม พลังงานไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลงั งาน สนามแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหลก็ กบั กระแสไฟฟ้า การเหนยี่ วนำแม่เหลก็ไฟฟ้า ไฟฟ้ากระแสสลบั คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ และประโยชน์ของคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า132 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
❖ เข้าใจผลของความร้อนต่อสสาร สภาพยืดหยุ่น ความดันในของไหล แรงพยุง ของไหลอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส แนวคิดควอนตัมของพลังงาน ทฤษฎีอะตอมของโบร์ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีกัมมันตภาพ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน แรงภายในนวิ เคลยี ส และการคน้ คว้าวิจยั ด้านฟิสิกส์อนุภาค ❖ เข้าใจการแบ่งช้ันและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีท่ีสัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐานและธรณีโครงสร้างแบบต่าง ๆ หลักฐานทางธรณีวิทยาที่พบในปัจจุบันและการลำดับเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาในอดีต สาเหตุ กระบวนการเกดิ แผน่ ดนิ ไหว ภเู ขาไฟระเบดิ สนึ ามิ ผลกระทบ แนวทางการเฝา้ ระวงั และการปฏบิ ตั ติ นใหป้ ลอดภยัสมบัติและการจำแนกชนิดของแร่ กระบวนการเกิดและการจำแนกชนิดหิน กระบวนการเกิดและการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมและถ่านหิน การแปลความหมายจากแผนท่ีภูมิประเทศและแผนที่ธรณีวทิ ยา และการนำข้อมูลทางธรณีวิทยาไปใชป้ ระโยชน์ ❖ เข้าใจปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการรับและปลดปล่อยพลังงานจากดวงอาทิตย์กระบวนการทท่ี ำใหเ้ กดิ สมดลุ พลงั งานของโลก ผลของแรงเนอ่ื งจากความแตกตา่ งของความกดอากาศแรงคอริออลิส แรงสู่ศูนย์กลางและแรงเสียดทานท่ีมีต่อการหมุนเวียนของอากาศการหมุนเวียนของอากาศตามเขตละตจิ ดู และผลทม่ี ตี อ่ ภมู อิ ากาศปจั จยั ทที่ ำใหเ้ กดิ การแบง่ ชน้ั นำ้ และการหมนุ เวยี นของน้ำในมหาสมุทร รูปแบบการหมุนเวียนของน้ำในมหาสมุทร และผลของการหมุนเวียนของน้ำในมหาสมุทรที่มีต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ ส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างเสถียรภาพอากาศและการเกิดเมฆ การเกิดแนวปะทะอากาศแบบต่าง ๆ และลักษณะลมฟ้าอากาศท่ีเกี่ยวข้องปัจจัยต่าง ๆ ท่ีมีผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศของโลก รวมท้ังการแปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟา้ อากาศ และการพยากรณล์ กั ษณะลมฟา้ อากาศเบอ้ื งตน้ จากแผนท่อี ากาศและข้อมูลสารสนเทศ ❖ เข้าใจการกำเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร ขนาดอุณหภูมิของเอกภพหลักฐานท่ีสนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก กระบวนการเกิดดาวฤกษ์ และการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ ปัจจัยท่ีส่งผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์ และความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ความสัมพันธ์ระหว่างสี อุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ วิธีการหาระยะทางของดาวฤกษ์ด้วยหลักการแพรัลแลกซ์ วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์กระบวนการเกดิ ระบบสรุ ยิ ะ การแบง่ เขตบรวิ ารของดวงอาทติ ย์ ลกั ษณะของดาวเคราะหท์ เี่ ออ้ื ตอ่ การดำรงชีวิต การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ด้วยกฎเคพเลอร์ และกฎความโนม้ ถว่ งของนิวตันโครงสร้างของดวงอาทิตย์ การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะและผลท่ีมีต่อโลก การระบุพิกัดของดาวในระบบขอบฟ้าและระบบศูนย์สูตร เส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ เวลาสุริยคติ และการเปรียบเทียบเวลาของแต่ละเขตเวลาบนโลก การสำรวจอวกาศและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยอี วกาศตัวชว้ี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 133 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
❖ ระบปุ ญั หา ตงั้ คำถามทจ่ี ะสำรวจตรวจสอบ โดยมกี ารกำหนดความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ตัวแปรต่าง ๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ตั้งสมมติฐานที่เป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือกตรวจสอบสมมติฐานที่เป็นไปได้ ❖ ต้ังคำถามหรือกำหนดปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ ทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถงึ การใชค้ วามคดิ ระดบั สงู ทสี่ ามารถสำรวจตรวจสอบหรอื ศกึ ษาคน้ ควา้ ได้อย่างครอบคลมุ และเชือ่ ถือได้ สรา้ งสมมติฐานทมี่ ีทฤษฎรี องรับหรอื คาดการณส์ งิ่ ท่จี ะพบ เพื่อนำไปสู่การสำรวจตรวจสอบ ออกแบบวิธีการสำรวจตรวจสอบตามสมมติฐานท่ีกำหนดไว้ได้อย่างเหมาะสมมีหลักฐานเชิงประจักษ์ เลือกวัสดุ อุปกรณ์ รวมทั้งวิธีการในการสำรวจตรวจสอบอย่างถูกต้องทั้งในเชงิ ปริมาณและคุณภาพ และบันทกึ ผลการสำรวจตรวจสอบอย่างเปน็ ระบบ ❖ วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุปเพื่อตรวจสอบกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวิธีการสำรวจตรวจสอบ จัดกระทำข้อมูลและนำเสนอข้อมูลด้วยเทคนิควิธีท่ีเหมาะสม สื่อสารแนวคิด ความรู้ จากผลการสำรวจตรวจสอบ โดยการพูด เขยี น จัดแสดงหรอื ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ เพือ่ ให้ผูอ้ นื่ เข้าใจ โดยมีหลักฐานอา้ งองิ หรือมที ฤษฎรี องรบั ❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในการสืบเสาะหาความรู้ โดยใช้เคร่ืองมือ และวิธีการท่ีให้ได้ผลถูกต้อง เชื่อถือได้ มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตรอ์ าจมีการเปลยี่ นแปลงได้ ❖ แสดงถงึ ความพอใจและเหน็ คณุ คา่ ในการคน้ พบความรู้ พบคำตอบ หรอื แกป้ ญั หาได้ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบเก่ียวกับผลของการพัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและสงิ่ แวดล้อม และยอมรบั ฟงั ความคดิ เห็นของผ้อู ืน่ ❖ เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และการพัฒนาเทคโนโลยีท่ีส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าผลของเทคโนโลยีตอ่ ชวี ติ สังคม และสง่ิ แวดล้อม ❖ ตระหนักถึงความสำคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ช้ินงานท่ีเป็นผลมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและการพัฒนาเทคโนโลยีท่ีทันสมัย ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทำโครงงานหรอื สรา้ งชิ้นงานตามความสนใจ ❖ แสดงความซาบซงึ้ หว่ งใย มพี ฤตกิ รรมเกยี่ วกบั การใชแ้ ละรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มของทอ้ งถ่นิ 134 ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ผลการเรยี นร้แู ละสาระการเรยี นรูเ้ พม่ิ เติมสาระชวี วทิ ยา ๑. เข้าใจธรรมชาติของส่ิงมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ สารท่ีเป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กลอ้ งจลุ ทรรศน์ โครงสรา้ งและหนา้ ทขี่ องเซลล์ การลำเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดับเซลล์ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่มิ เตมิ ม.๔ ๑. อธบิ าย และสรุปสมบตั ิทส่ี ำคัญของสง่ิ มชี วี ติ • สิง่ มชี ีวิตทกุ ชนดิ ตอ้ งการสารอาหารและพลงั งานและความสัมพันธ์ของการจดั ระบบในสง่ิ มีชีวติ มกี ารเจริญเติบโต มกี ารตอบสนองต่อส่ิงเร้า ท่ีทำใหส้ ิง่ มชี ีวติ ดำรงชวี ิตอยูไ่ ด้ มกี ารรักษาดุลยภาพของรา่ งกาย มีการสบื พนั ธุ์ มีการปรับตัวทางวิวฒั นาการ และมีการทำงาน รว่ มกันขององคป์ ระกอบตา่ ง ๆ อย่างเปน็ ระบบ สงิ่ เหล่าน้ีจัดเปน็ สมบตั ทิ ี่สำคัญของสง่ิ มชี ีวติ • การจดั ระบบในสง่ิ มีชีวติ เรม่ิ จากหนว่ ยเล็ก ไปหน่วยใหญ่ ได้แก่ เซลล์ เนื้อเย่อื อวัยวะ ระบบ อวยั วะ และสิ่งมชี วี ิต ตามลำดบั ๒. อภปิ ราย และบอกความสำคัญของการระบุ • วธิ ีการทางวิทยาศาสตรใ์ นการค้นหาคำตอบปญั หา ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งปัญหา สมมติฐาน เกย่ี วกบั สง่ิ มชี วี ติ เรมิ่ จากการตง้ั ปญั หาหรอื คำถามและวธิ ีการตรวจสอบสมมตฐิ าน รวมท้ัง ตั้งสมมตฐิ าน ตรวจสอบสมมตฐิ าน เกบ็ รวบรวมออกแบบการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน ขอ้ มลู วิเคราะหข์ ้อมลู และสรุปผล • การศึกษาสิ่งมชี ีวติ ตอ้ งอาศัยความร้จู ากแขนงวชิ า ตา่ ง ๆ ของชีววทิ ยาและสาขาวิชาอื่นท่ีเก่ยี วข้อง และควรคำนึงถึงชวี จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณ การใชส้ ัตวท์ ดลอง๓. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ ายเกย่ี วกับสมบตั ิของน้ำ • สง่ิ มีชีวติ ประกอบด้วย ธาตแุ ละสารประกอบ และบอกความสำคญั ของนำ้ ทม่ี ีตอ่ สิ่งมชี วี ิต ในรา่ งกายของสิง่ มชี ีวิตมีน้ำเปน็ องคป์ ระกอบและยกตวั อย่างธาตุชนดิ ต่าง ๆ ทีม่ คี วามสำคัญ มากที่สุด นำ้ ประกอบด้วยธาตไุ ฮโดรเจนตอ่ ร่างกายสง่ิ มชี ีวติ และออกซเิ จน มีสมบตั ใิ นการเป็นตวั ทำละลาย ทด่ี ี เก็บความรอ้ นได้ดี และมคี วามจุความร้อนสงู ซึง่ ชว่ ยรักษาดลุ ยภาพของเซลลไ์ ด ้ • ธาตุทส่ี งิ่ มีชวี ิตต้องการจะอยู่ในรูปของไอออน ในมนุษย์และสตั ว์ ธาตุจะชว่ ยใหก้ ารทำงานของ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายดำเนนิ ไปตามปกติ นอกจากนีใ้ นกระดกู ฟนั และกลา้ มเนือ้ จะมีธาตุ เป็นองค์ประกอบด้วยตัวชี้วดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 135 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พ่ิมเติม ๔. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ ายโครงสรา้ งของคารโ์ บไฮเดรต • คาร์โบไฮเดรตประกอบด้วย ธาตุคารบ์ อน ระบกุ ลมุ่ ของคารโ์ บไฮเดรต รวมทง้ั ความสำคญั ไฮโดรเจน และออกซิเจน แบง่ ตามขนาดโมเลกลุ ของคาร์โบไฮเดรตท่มี ตี อ่ ส่ิงมชี วี ิต ออกได้เป็น ๓ กลุ่ม คอื มอโนแซก็ คาไรด์ ไดแซก็ คาไรด์ และพอลแิ ซ็กคาไรด์ ๕. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบายโครงสรา้ งของโปรตีน • โปรตีนมีกรดอะมิโนเปน็ หนว่ ยยอ่ ย ประกอบดว้ ย และความสำคญั ของโปรตีนทม่ี ตี ่อสง่ิ มชี ีวติ ธาตคุ ารบ์ อน ไฮโดรเจน ออกซเิ จน และไนโตรเจน บางชนดิ อาจมี ธาตฟุ อสฟอรสั เหลก็ และกำมะถนั เป็นองคป์ ระกอบ ๖. สืบค้นขอ้ มูล อธบิ ายโครงสร้างของลิพิด • ลิพิดประกอบด้วย ธาตคุ ารบ์ อน ไฮโดรเจน และ และความสำคัญของลิพดิ ท่มี ตี ่อสิง่ มีชวี ติ ออกซิเจน เปน็ สารประกอบท่ีละลายได้ด ี ในตัวทำละลายที่เป็นสารอินทรยี ์ ลิพดิ กลุ่มสำคญั ท่ีพบในส่งิ มีชีวิต เช่น กรดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ ฟอสโฟลพิ ดิ สเตอรอยด์ ๗. อธิบายโครงสร้างของกรดนิวคลอิ กิ และระบุ • กรดนวิ คลิอิกประกอบดว้ ย หน่วยย่อย เรียกวา่ ชนดิ ของกรดนวิ คลิอกิ และความสำคญั ของ นวิ คลโี อไทด์ โมเลกลุ ของนวิ คลโี อไทดป์ ระกอบดว้ ย กรดนวิ คลิอิกทมี่ ตี ่อสิ่งมีชีวิต หมูฟ่ อสเฟต นำ้ ตาลทีม่ ีคาร์บอน ๕ อะตอม และเบสท่มี ีไนโตรเจนเปน็ องคป์ ระกอบ • กรดนิวคลอิ ิกเปน็ องค์ประกอบของสารพนั ธุกรรม ทำหน้าทเี่ กบ็ และถ่ายทอดข้อมลู ทางพนั ธกุ รรม มี ๒ ชนดิ คือ DNA และ RNA ๘. สืบคน้ ขอ้ มูล และอธิบายปฏกิ ริ ยิ าเคมที เี่ กิดข้ึน • เมแทบอลซิ ึมเปน็ ปฏกิ ิริยาเคมที ีเ่ กิดขึ้นภายใน ในสิ่งมชี วี ติ เซลล์ของสงิ่ มชี ีวติ ปฏิกริ ิยาเคมี ประกอบด้วย ๙. อธบิ ายการทำงานของเอนไซมใ์ นการเรง่ ปฏกิ ริ ยิ า ปฏิกริ ิยาคายพลงั งาน และปฏิกิรยิ าดูดพลังงาน เคมใี นสง่ิ มชี วี ติ และระบปุ จั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การทำงาน ปฏกิ ิรยิ าเคมีเหล่าน้ีจะดำเนนิ ไปได้อยา่ งรวดเรว็ ของเอนไซม์ จำเป็นตอ้ งอาศยั เอนไซม์ช่วยเร่งปฏิกิรยิ า • เอนไซมส์ ่วนใหญ่เปน็ สารประเภทโปรตนี ทำหน้าท่เี รง่ ปฏิกริ ยิ าเคมี ในขณะทเ่ี กดิ ปฏกิ ิรยิ า เคมีในเซลล์ สารต้งั ต้นจะเข้าไปจับกับเอนไซม์ ทบี่ รเิ วณจำเพาะของเอนไซมท์ เ่ี รียกว่า บริเวณเร่ง ถา้ สารตั้งต้นมีโครงสร้างเขา้ กับบริเวณเร่งได ้ สารต้งั ตน้ นัน้ จะถกู เปลยี่ นเปน็ สารผลิตภัณฑ์ • อณุ หภมู ิ สภาพความเปน็ กรด-เบส และ ตวั ยับย้ังเอนไซม์ เปน็ ปัจจยั ทมี่ ผี ลตอ่ การทำงาน ของเอนไซม์136 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่มิ เตมิ ๑๐. บอกวิธกี าร และเตรยี มตวั อย่างสงิ่ มชี วี ิต • กล้องจลุ ทรรศนเ์ ป็นเครือ่ งมอื ท่ใี ชศ้ กึ ษาสงิ่ มชี วี ิตเพื่อศกึ ษาภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศนใ์ ช้แสง ขนาดเลก็ ท่ีไมส่ ามารถเหน็ ได้ดว้ ยตาเปล่าและวัดขนาดโดยประมาณ และวาดภาพทป่ี รากฏ รายละเอียดโครงสร้างของเซลล์ ภายใตก้ ลอ้ ง บอกวธิ กี ารใช้ และการดแู ลรกั ษา • กล้องจุลทรรศน์ใชแ้ สงเชงิ ประกอบ และกล้องจลุ ทรรศนใ์ ชแ้ สงทถ่ี ูกต้อง กลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สงแบบสเตอริโออาศยั เลนส์ ในการทำใหเ้ กิดภาพขยาย • กล้องจลุ ทรรศนอ์ ิเลก็ ตรอนทำให้เกิดภาพขยาย โดยอาศัยเลนสแ์ มเ่ หล็กไฟฟา้ รวมลำอเิ ลก็ ตรอน ซึง่ มีอยดู่ ว้ ยกนั ๒ ชนดิ คอื ชนิดส่องผา่ น และชนดิ สอ่ งกราด • ตวั อยา่ งสงิ่ มชี วี ติ ทนี่ ำมาศกึ ษาภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ ใชแ้ สงตอ้ งมวี ิธกี ารเตรียมทีถ่ ูกต้องและเหมาะสม กับชนิดของสิ่งมชี วี ติ เพ่ือใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพ ในการศกึ ษา • กลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ชแ้ สงเปน็ เครอ่ื งมอื ทม่ี คี วามละเอยี ด ซับซอ้ น และราคาค่อนขา้ งสงู จงึ ควรใชอ้ ยา่ ง ถูกวธิ ี มกี ารเกบ็ และดูแลรกั ษาทีถ่ ูกตอ้ ง เพอ่ื ให้ สามารถใช้งานได้นาน๑๑. อธิบายโครงสรา้ งและหน้าทข่ี องส่วนทหี่ อ่ หุ้ม • เซลลเ์ ป็นหนว่ ยพื้นฐานทเ่ี ลก็ ท่สี ดุ ของส่ิงมชี ีวติเซลลข์ องเซลล์พืชและเซลลส์ ัตว์ โครงสรา้ งพื้นฐานของเซลลป์ ระกอบดว้ ย ส่วนที่๑๒. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และระบุชนิดและหนา้ ที่ หอ่ หมุ้ เซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลยี ส ของออรแ์ กเนลล์ • ส่วนทหี่ ่อห้มุ เซลลท์ พี่ บในเซลลท์ ุกชนดิ คอื ๑๓. อธิบายโครงสรา้ งและหน้าที่ของนิวเคลียส เยอ่ื หมุ้ เซลล์ แตใ่ นแบคทเี รยี สาหรา่ ย ฟงั ไจ และพชื จะมผี นงั เซลลเ์ ปน็ สว่ นหอ่ หมุ้ เซลลเ์ พม่ิ เตมิ ขนึ้ มาอกี ชั้นหนึ่ง • โครงสรา้ งของเยอื่ ห้มุ เซลลป์ ระกอบด้วยโมเลกลุ ของฟอสโฟลพิ ดิ เรียงเป็นสองชน้ั และมีโปรตีน แทรกหรอื อยทู่ ่ีผวิ ท้งั สองดา้ นของฟอสโฟลิพดิ • ไซโทพลาซมึ อย่ภู ายในเย่อื หุ้มเซลล์ ประกอบดว้ ย ไซโทซอลและออรแ์ กเนลล์ • นิวเคลยี สเปน็ ศนู ย์กลางควบคมุ การทำงานของ เซลล์ยูคารโิ อต ประกอบดว้ ยเยื่อหุ้ม ซ่ึงภายใน มี DNA RNA และโปรตนี บางชนิดตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 137 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ ๑๔. อธบิ าย และเปรียบเทียบการแพร่ ออสโมซสิ • สารต่าง ๆ มีการเคลื่อนที่เข้าและออกจากเซลล์ การแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทต และแอกทฟี ทรานสปอรต์ อยู่ตลอดเวลาโดยกระบวนการต่าง ๆ ไดแ้ ก ่ ๑๕. สบื คน้ ขอ้ มูล อธบิ าย และเขียนแผนภาพ การแพร่ ออสโมซสิ การแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต การลำเลยี งสารโมเลกลุ ใหญ่ออกจากเซลล์ แอกทฟี ทรานสปอรต์ กระบวนการเอกโซไซโทซสิ ดว้ ยกระบวนการเอกโซไซโทซสิ และการลำเลยี ง กระบวนการเอนโดไซโทซสิ สารโมเลกุลใหญ่เขา้ ส่เู ซลล์ด้วยกระบวนการ • แก๊สต่าง ๆ เข้าหรอื ออกจากเซลล์โดยการแพร่ เอนโดไซโทซิส สว่ นน้ำเขา้ หรอื ออกจากเซลล์ผ่านเย่ือหุ้มเซลล์ โดยออสโมซิส • ไอออนและสารบางอย่างท่ไี มส่ ามารถลำเลยี ง ผา่ นเยื่อหุม้ เซลล์โดยตรงได้ จำเป็นตอ้ งอาศยั โปรตีนท่อี ยบู่ นเยือ่ หมุ้ เซลล์เป็นตัวพาสารนนั้ เข้าและออกจากเซลล์ เรยี กว่า การแพรแ่ บบ ฟาซลิ ิเทต • แอกทีฟทรานสปอร์ต เปน็ การลำเลยี งสารจาก บรเิ วณทม่ี ีความเขม้ ข้นต่ำไปยงั บริเวณท่ีมี ความเขม้ ขน้ สงู • สารบางอย่างทไี่ มส่ ามารถแพรผ่ ่านเย่ือหุ้มเซลล์ หรอื ลำเลียงผ่านโปรตีนทเ่ี ป็นตวั พาไดจ้ ะถูก ลำเลยี งออกจากเซลล์ ด้วยกระบวนการ เอกโซไซโทซสิ • สารที่มีขนาดใหญจ่ ะสามารถลำเลียงเข้าสเู่ ซลล์ ดว้ ยกระบวนการเอนโดไซโทซสิ ซง่ึ แบง่ เปน็ ๓ แบบ ได้แก่ พโิ นไซโทซิส ฟาโกไซโทซสิ และการนำสาร เข้าสู่เซลลโ์ ดยอาศัยตวั รบั ๑๖. สงั เกตการแบ่งนวิ เคลยี สแบบไมโทซสิ และ • การแบง่ เซลลข์ องสงิ่ มชี วี ติ เปน็ การเพม่ิ จำนวนเซลล์ แบบไมโอซสิ จากตวั อยา่ งภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ ซงึ่ เปน็ กระบวนการทเ่ี กดิ ขน้ึ ต่อเนอ่ื งกันเปน็ พร้อมทง้ั อธบิ ายและเปรียบเทยี บการแบง่ วัฏจกั ร โดยวฏั จักรของเซลล์ ประกอบดว้ ย นวิ เคลียสแบบไมโทซสิ และแบบไมโอซิส อนิ เตอรเ์ ฟส การแบ่งนวิ เคลยี สแบบไมโทซิสและ การแบ่งไซโทพลาซึม • การแบง่ นวิ เคลยี สมี ๒ แบบ คอื การแบง่ นวิ เคลยี ส แบบไมโทซิสและการแบง่ นิวเคลยี สแบบไมโอซิส • การแบง่ นวิ เคลยี สแบบไมโทซสิ ประกอบดว้ ย ระยะโพรเฟส เมทาเฟส แอนาเฟส และเทโลเฟส138 ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเตมิ • การแบง่ นิวเคลยี สแบบไมโอซสิ ประกอบด้วย ๑๗. อธิบาย เปรียบเทียบ และสรปุ ข้นั ตอน ระยะโพรเฟส I เมทาเฟส I แอนาเฟส I การหายใจระดับเซลล์ในภาวะทีม่ อี อกซเิ จน เทโลเฟส I ระยะโพรเฟส II เมทาเฟส II เพียงพอ และภาวะท่มี ีออกซิเจนไมเ่ พยี งพอ แอนาเฟส II และเทโลเฟส II • การแบ่งนิวเคลยี สแบบไมโทซสิ ทำใหเ้ ซลล์รา่ งกาย ม.๕ - เพิม่ จำนวนเพอื่ การเจรญิ เตบิ โต และซอ่ มแซม ม.๖ - สว่ นทส่ี กึ หรอหรือถูกทำลายไปได้ สว่ นการแบง่ นิวเคลยี สแบบไมโอซิสมคี วามสำคัญต่อสง่ิ มชี ีวิต ในกระบวนการสร้างเซลลส์ ืบพันธุ์ • การแบง่ ไซโทพลาซมึ ในเซลลพ์ ชื จะมีการสรา้ ง แผน่ กนั้ เซลลแ์ ละเซลลส์ ัตวจ์ ะมีการคอดเวา้ เขา้ หากันของเยอ่ื หุม้ เซลล์ • การหายใจระดบั เซลลเ์ ป็นการสลายสารอาหาร ทม่ี พี ลงั งานสูง โดยมอี อกซเิ จนเปน็ ตวั รบั อิเล็กตรอนตัวสดุ ทา้ ย ประกอบดว้ ย ๓ ขัน้ ตอน คอื ไกลโคลซิ ิส วฏั จกั รเครบส์ และกระบวนการ ถา่ ยทอดอิเลก็ ตรอน • การหายใจระดบั เซลล์ พลังงานส่วนใหญไ่ ดจ้ าก ขน้ั ตอนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน พลังงานน้ี จะถูกเก็บไว้ในพันธะเคมใี นโมเลกลุ ของ ATP • ในภาวะท่มี ีออกซิเจนไมเ่ พียงพอ ทำให้การหายใจ ของเซลล์ไม่สมบรู ณ์ จึงเกิดได้เฉพาะไกลโคลิซิส ผลทไี่ ด้จากการหายใจในสภาวะน้ใี นสตั วจ์ ะได้ กรดแลกตกิ ในจลุ นิ ทรียแ์ ละพชื อาจได้ กรดแลกติก หรอื เอทิลแอลกอฮอล์ - -ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 139 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระชีววทิ ยา ๒. เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติ และหนา้ ทข่ี องสารพันธกุ รรม การเกดิ มิวเทชัน เทคโนโลยีทางดเี อ็นเอ หลกั ฐาน ขอ้ มลู และแนวคดิ เกยี่ วกบั ววิ ฒั นาการของสง่ิ มชี วี ติ ภาวะสมดลุ ของฮารด์ -ี ไวนเ์ บริ ก์ การเกดิ สปชี สี ใ์ หม่ ความหลากหลายทางชวี ภาพ กำเนดิ ของสงิ่ มชี วี ติ ความหลากหลาย ของสิ่งมชี ีวิต และอนกุ รมวธิ าน รวมทั้งนำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พม่ิ เติมม.๔ ๑. สบื คน้ ข้อมูล อธิบาย และสรปุ ผลการทดลอง • เมนเดลศกึ ษาการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม ของเมนเดล โดยการผสมพันธ์ถุ วั่ ลนั เตา จนสรปุ เปน็ กฎแห่ง ๒. อธบิ าย และสรปุ กฎแหง่ การแยก และ การแยกและกฎแห่งการรวมกลุม่ อยา่ งอิสระ กฎแหง่ การรวมกลุม่ อย่างอิสระ และนำกฎของ • กฎแห่งการแยกมีใจความวา่ แอลลลี ท่ีอยู่เป็นคู่ เมนเดลนี้ ไปอธบิ ายการถา่ ยทอดลกั ษณะทาง จะแยกออกจากกันในระหว่างการสรา้ งเซลล์ พันธกุ รรมและใชใ้ นการคำนวณโอกาสในการ สบื พนั ธ์ุ โดยเซลลส์ ืบพนั ธุ์แตล่ ะเซลล์จะมเี พยี ง เกดิ ฟีโนไทป์และจีโนไทปแ์ บบตา่ ง ๆ ของรุ่น แอลลีลใดแอลลลี หนึง่ F1 และ F2 • กฎแห่งการรวมกลุ่มอยา่ งอิสระมใี จความว่า หลังจากคู่ของแอลลลี แยกออกจากกัน แต่ละ แอลลีลจะจัดกลมุ่ อย่างอิสระกับแอลลลี อ่นื ๆ ท่แี ยกออกจากคเู่ ช่นกนั ในการเข้าไปอยใู่ นเซลล์ สืบพนั ธ์ุ ๓. สบื คน้ ขอ้ มลู วเิ คราะห์ อธบิ าย และสรปุ เกยี่ วกบั • การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมบางลกั ษณะ การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม ทเ่ี ปน็ ให้อตั ราสว่ นทแี่ ตกต่างจากผลการศกึ ษาของ ส่วนขยายของพันธุศาสตรเ์ มนเดล เมนเดล เรียกลกั ษณะเหล่าน้วี า่ ลกั ษณะ ๔. สบื คน้ ขอ้ มลู วเิ คราะห์ และเปรยี บเทยี บลกั ษณะ ทางพนั ธกุ รรมทเ่ี ป็นส่วนขยายของพนั ธุศาสตร์ ทางพันธกุ รรมทีม่ ีการแปรผนั ไมต่ ่อเนื่อง เมนเดล เชน่ การขม่ ไมส่ มบรู ณ์ การข่มร่วมกนั และลักษณะทางพันธกุ รรมทม่ี กี ารแปรผัน มลั ตเิ ปลิ แอลลลี ยนี บนโครโมโซมเพศ และพอลยิ นี ตอ่ เนอ่ื ง • ลกั ษณะพนั ธกุ รรมบางลกั ษณะมคี วามแตกตา่ งกนั ชัดเจน เชน่ การมตี ิ่งหูหรอื ไมม่ ีติ่งหู ซ่ึงเปน็ ลกั ษณะทางพันธุกรรมที่มีการแปรผนั ไม่ต่อเน่อื ง140 ตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่ิมเติม • ลักษณะทางพนั ธกุ รรมบางลกั ษณะมีความ แตกต่างกนั เล็กน้อยและลดหล่นั กันไป เช่น ความสงู และสีผิวของมนษุ ยถ์ ูกควบคุมโดยยีน หลายคู่ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะทางพันธุกรรมทม่ี ีการ แปรผนั ต่อเนอ่ื งและส่ิงแวดลอ้ มอาจมีผลต่อการ แสดงลักษณะนน้ั ๕. อธบิ ายการถา่ ยทอดยีนบนโครโมโซม และ • โครโมโซมภายในเซลลร์ ่างกายแบ่งเป็นออโตโซม ยกตวั อย่างลักษณะทางพนั ธุกรรมท่ีถกู ควบคมุ และโครโมโซมเพศ ลักษณะทางพนั ธกุ รรม ดว้ ยยีนบนออโตโซมและยีนบนโครโมโซมเพศ ส่วนใหญถ่ กู ควบคุมดว้ ยยนี บนออโตโซม บางลักษณะถกู ควบคมุ ดว้ ยยนี บนโครโมโซมเพศ ซ่ึงสว่ นมากเป็นยีนบนโครโมโซม X • เมอื่ มกี ารสรา้ งเซลล์สบื พันธ์ุ ยีนบนโครโมโซม เดยี วกนั ทอ่ี ยูใ่ กล้กนั มักจะถูกถา่ ยทอดไปดว้ ยกนั แตก่ ารเกิดครอสซงิ โอเวอร์ในการแบง่ เซลลแ์ บบ ไมโอซิสอาจทำใหย้ นี บนโครโมโซมเดยี วกันแยก จากกนั ได้ ส่งผลให้รปู แบบของเซลลส์ บื พันธุท์ ี่ได้ แตกต่างไปจากกรณีทีไ่ มเ่ กิดครอสซงิ โอเวอร์๖. สืบคน้ ขอ้ มลู อธบิ ายสมบตั ิและหนา้ ทข่ี อง • DNA เปน็ พอลิเมอร์ของนิวคลโี อไทด์ แต่ละ สารพนั ธกุ รรม โครงสร้างและองคป์ ระกอบ นิวคลโี อไทด์ ประกอบด้วย นำ้ ตาลดีออกซไี รโบสทางเคมีของ DNA และสรปุ การจำลอง DNA หม่ฟู อสเฟต และไนโตรจนี ัสเบส คอื A T C ๗. อธิบาย และระบขุ ั้นตอนในกระบวนการ และ G สังเคราะหโ์ ปรตนี และหน้าท่ีของ DNA และ • โมเลกลุ ของ DNA เป็นพอลนิ ิวคลโี อไทด์ ๒ สายRNA แตล่ ะชนดิ ในกระบวนการสงั เคราะห์ เรยี งสลับทศิ และบิดเป็นเกลยี วเวียนขวา โดยการโปรตีน เขา้ คู่กันของสาย DNA เกดิ จากการจบั ค่ขู อง๘. สรปุ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสารพนั ธกุ รรม แอลลลี เบสคู่สม คอื A คูก่ บั T และ C คู่กบั Gโปรตนี ลกั ษณะทางพันธุกรรม และเชือ่ มโยงกบั • ยนี คอื สาย DNA บางช่วงทคี่ วบคมุ ลักษณะทางความรู้เรื่องพันธศุ าสตรเ์ มนเดล พันธุกรรมได้ โดยยีนกำหนดลำดับกรดอะมิโน ของโปรตนี ซึ่งทำหนา้ ทีเ่ ป็นโครงสรา้ ง เอนไซม์ และอ่ืน ๆ มีผลทำให้เซลลแ์ ละส่ิงมชี ีวิตปรากฏ ลักษณะตา่ ง ๆ ได้ • DNA จำลองตวั เองไดโ้ ดยใชส้ ายหน่งึ เป็นแม่แบบ และสรา้ งอีกสายขึน้ มาใหม่ ซ่ึงจะมโี ครงสร้าง และลำดบั นวิ คลีโอไทดเ์ หมือนเดมิ ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 141 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเตมิ • DNA ควบคมุ ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของสง่ิ มชี วี ติ ได้ โดยการสร้าง RNA ๓ ประเภท คือ mRNA tRNA และ rRNA ซ่งึ ร่วมกันทำหน้าที่ในกระบวนการ สงั เคราะห์โปรตีน • RNA เป็นพอลิเมอร์ของนวิ คลโี อไทด์สายเด่ยี ว แต่ละนวิ คลโี อไทดป์ ระกอบดว้ ย น้ำตาลไรโบส หมฟู่ อสเฟต และไนโตรจนี สั เบส คอื A U C และ G ๙. สืบค้นขอ้ มลู และอธบิ ายการเกดิ มวิ เทชนั • มวิ เทชนั เปน็ การเปลยี่ นแปลงของลำดบั หรอื ระดบั ยีนและระดับโครโมโซม สาเหตกุ ารเกิด จำนวนนิวคลโี อไทดใ์ น DNA ซ่ึงอาจนำไปส่ ู มวิ เทชัน รวมท้งั ยกตวั อย่างโรคและกล่มุ อาการ การเปล่ยี นแปลงโครงสร้างและการทำงานของ ทเ่ี ป็นผลของการเกดิ มิวเทชัน โปรตีน ซงึ่ ถ้าการเปล่ียนแปลงดังกลา่ วเกดิ ในเซลลส์ บื พันธุ์ จะสามารถถ่ายทอดไปยัง รนุ่ ตอ่ ๆ ไปได้ และทำให้เกิดความแปรผนั ทาง พันธุกรรมของส่งิ มชี ีวิต การเกิดมิวเทชนั มสี าเหตุ มาจากปัจจยั ตา่ ง ๆ เช่น รังสี และสารเคมี • การขาดหายไปหรอื เพิม่ ขน้ึ ของนวิ คลโี อไทด์ และการแทนทคี่ เู่ บส เปน็ การเกดิ มวิ เทชนั ระดบั ยนี เชน่ โรคโลหิตจางชนิดซกิ เคลิ เซลล์ เป็นผลมาจาก การแทนทค่ี ู่เบส • การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโครโมโซม เช่น หายไปหรอื เพม่ิ ข้ึนบางสว่ น และการเปลี่ยนแปลง จำนวนโครโมโซม เชน่ การลดลงหรือเพ่มิ ข้นึ ของโครโมโซมบางแท่งหรอื ทัง้ ชดุ เป็นสาเหตุ ของการเกดิ มวิ เทชันระดับโครโมโซม เช่น กลุ่ม อาการคริดชู าต์และกล่มุ อาการดาวน์ กลุ่มอาการ เทอร์เนอร์และกลุ่มอาการไคลนเ์ ฟลเตอร์ ๑๐. อธบิ ายหลกั การสรา้ งสง่ิ มชี วี ติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม • การใช้เทคโนโลยที างดีเอน็ เอ ในการสร้างดเี อ็นเอ โดยใช้ดเี อน็ เอรีคอมบแิ นนท์ รคี อมบแิ นนท์ สามารถนำไปใชใ้ นการสรา้ ง ๑๑. สบื ค้นขอ้ มลู ยกตัวอยา่ ง และอภิปรายการนำ สิ่งมชี ีวิตดดั แปรพนั ธุกรรม โดยนำยนี ที่ต้องการ เทคโนโลยีทางดเี อน็ เอไปประยกุ ตใ์ ช้ทั้งในดา้ น มาตดั ต่อใส่ในส่งิ มชี วี ติ ทำให้สงิ่ มีชวี ิตน้ันมสี มบัติ ส่งิ แวดลอ้ ม นติ ิวทิ ยาศาสตร์ การแพทย์ ตามตอ้ งการ การเกษตรและอตุ สาหกรรม และขอ้ ควรคำนึง • เทคโนโลยที างดีเอ็นเอ สามารถนำไปประยกุ ต์ ถึงดา้ นชีวจริยธรรม ใช้ในดา้ นต่าง ๆ เชน่ สง่ิ แวดล้อม นิตวิ ทิ ยาศาสตร์142 ตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เตมิ การแพทย์ การเกษตร และอตุ สาหกรรม โดยการ ใชเ้ ทคโนโลยที างดเี อน็ เอตอ้ งคำนงึ ถงึ ความปลอดภยั ทางชวี ภาพ ชีวจริยธรรม และผลกระทบตอ่ สงั คม๑๒. สบื ค้นขอ้ มลู และอธบิ ายเก่ียวกบั หลกั ฐาน • หลักฐานท่ที ำให้เชื่อว่าสิ่งมชี วี ิตมีวิวฒั นาการ เชน่ ทส่ี นบั สนุนและขอ้ มลู ทใี่ ช้อธบิ ายการเกิด ซากดกึ ดำบรรพ์ กายวิภาคเปรยี บเทียบ ววิ ัฒนาการของสิง่ มีชีวิต วทิ ยาเอ็มบรโิ อ การแพรก่ ระจายของสง่ิ มชี ีวติ ทาง ภมู ศิ าสตร์ การศกึ ษาทางชีวภมู ศิ าสตร์ และ ด้านชวี วทิ ยาระดับโมเลกุล • มนษุ ย์มกี ารสบื สายวิวัฒนาการมาเปน็ เวลานาน โดยมหี ลกั ฐานที่สนบั สนุนจากซากดึกดำบรรพ์ ของบรรพบุรุษมนษุ ย์ท่ีค้นพบ และจากการ เปรียบเทยี บลำดับเบสบน DNA ระหวา่ งมนุษย์ กับไพรเมตอนื่ ๆ๑๓. อธิบาย และเปรยี บเทียบแนวคิดเก่ยี วกับ • ฌอง ลามาร์ก ไดเ้ สนอแนวคดิ เพ่ืออธิบายเก่ยี วกบั ววิ ฒั นาการของสิ่งมีชวี ิตของฌอง ลามารก์ วิวัฒนาการของสิง่ มชี วี ิตวา่ ส่งิ มีชีวิตมีการ และทฤษฎีเกี่ยวกับวิวฒั นาการของส่งิ มีชีวติ เปลยี่ นแปลงโครงสรา้ งใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ ม ของชาลส์ ดาร์วิน โดยอาศัยกฎการใช้และไม่ใช้ และกฎแหง่ การ ถ่ายทอดลกั ษณะทเ่ี กดิ ข้ึนมาใหม่ • ชาลส์ ดารว์ ิน เสนอทฤษฎเี กีย่ วกบั วิวัฒนาการ ของสง่ิ มชี วี ติ วา่ เกดิ จากการคดั เลอื กโดยธรรมชาติ โดยสงิ่ มีชวี ติ มีแนวโนม้ ท่ีจะให้กำเนดิ ลกู ท่ีมี ลักษณะแตกตา่ งกันจำนวนมาก แต่มีเพียง จำนวนหน่ึงที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม สามารถมีชวี ติ รอด และถา่ ยทอดลักษณะ ที่เหมาะสมไปยงั รนุ่ ต่อไปได้๑๔. ระบุสาระสำคญั และอธิบายเง่ือนไขของภาวะ • เมอื่ ประชากรอยใู่ นภาวะสมดลุ ของฮารด์ -ี ไวนเ์ บริ ก์สมดลุ ของฮาร์ด-ี ไวน์เบิร์ก ปจั จัยท่ีทำให้เกิด โดยประชากรมีขนาดใหญ่ ไมม่ กี ารถ่ายเทยีนการเปล่ยี นแปลงความถข่ี องแอลลลี ระหวา่ งประชากร ไมเ่ กดิ มวิ เทชนั สมาชกิ ทกุ ตวั ในประชากร พรอ้ มทงั้ คำนวณหาความถ่ี มโี อกาสผสมพนั ธไุ์ ดเ้ ทา่ กนั และไมเ่ กดิ การคดั เลอื กของแอลลีลและจโี นไทป์ของประชากร โดยธรรมชาติ จะทำใหค้ วามถขี่ องแอลลีลของโดยใช้หลกั ของฮารด์ -ี ไวนเ์ บริ ก์ ลักษณะน้นั ไมเ่ ปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะผา่ นไปกร่ี นุ่ กต็ าม เป็นผลให้ลักษณะนัน้ ไม่เกิดวิวฒั นาการ • การเปลี่ยนแปลงความถ่ขี องยนี หรอื แอลลีล ในประชากร เกิดจากปัจจัยหลายประการ นำไปสู่ การเกดิ ววิ ัฒนาการตัวชวี้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 143 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่มิ เติม ๑๕. สบื คน้ ข้อมูล อภปิ ราย และอธิบาย • สปีชีส์ใหม่จะเกิดขึ้นไดเ้ มื่อไมม่ ีการถา่ ยเท กระบวนการเกดิ สปีชีสใ์ หม่ของส่ิงมชี วี ติ เคล่อื นย้ายยีนระหว่างประชากรหนง่ึ กบั อกี ประชากรหนง่ึ ในรุ่นบรรพบุรุษ ทำใหป้ ระชากร ทงั้ สอง มีโครงสรา้ งทางพนั ธุกรรมทีแ่ ตกต่างกัน และวิวัฒนาการเกดิ เป็นสปีชีสใ์ หม่ • ปจั จยั ทท่ี ำใหเ้ กดิ สปชี สี ใ์ หมอ่ าจเกดิ ได้ ๒ แนวทาง คอื การเกดิ สปชี ีส์ใหม่จากการแบ่งแยกทาง ภูมิศาสตร์และการเกดิ สปีชสี ใ์ หมใ่ นเขตภูมิศาสตร์ เดยี วกันม.๕ - -ม.๖ ๑. อภปิ รายความสำคญั ของความหลากหลายทาง • ความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบดว้ ย ชีวภาพ และความเชอื่ มโยงระหว่าง ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรม ความหลากหลาย ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรม ความหลากหลาย ของสปีชีส์ และความหลากหลายของระบบนเิ วศ ของสปชี สี ์ และความหลากหลายของระบบนเิ วศ • การแปรผันทางพนั ธุกรรมทำให้เกิดความ หลากหลายทางพนั ธุกรรม ซงึ่ สง่ิ มีชวี ิตใดท่ีมี ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรมมากยอ่ มทำให้ มีโอกาสอยู่รอดเพิม่ ขึน้ และสบื ทอดลูกหลาน ต่อไปได้ • สิ่งมชี ีวติ ทด่ี ำรงชีวิตอยู่ในสิง่ แวดลอ้ มตา่ ง ๆ ไดผ้ ่านกระบวนการคัดเลอื กโดยธรรมชาติ หรอื โดยมนุษยม์ าเปน็ ระยะเวลายาวนาน หลายช่ัวรุ่นซึง่ อาจเกิดเป็นสปีชสี ์ใหม่ สง่ ผลให้ เกดิ ความหลากหลายของสปีชีส์ • แหลง่ ทอ่ี ยอู่ าศยั แตล่ ะแหลง่ ทส่ี งิ่ มชี วี ติ อาศยั อยนู่ น้ั จะมีองคป์ ระกอบของปจั จัยทางกายภาพ และปจั จยั ทางชีวภาพที่แตกต่างกนั ทำให้เกดิ ความหลากหลายของระบบนิเวศ ๒. อธิบายการเกิดเซลล์เริม่ แรกของสง่ิ มชี ีวิต • จุดเร่มิ ต้นของวิวฒั นาการของเซลลเ์ กดิ จาก และวิวฒั นาการของสิง่ มีชีวติ เซลล์เดยี ว โมเลกุลของสารอนิ ทรยี ์ โดยเซลล์รูปแบบแรก ที่เกิดขนึ้ คอื เซลล์โพรคาริโอต และมีววิ ัฒนาการ ขึน้ มาเป็นเซลลย์ ูคาริโอต และจากส่งิ มีชวี ติ เซลลเ์ ดียว เป็นสิ่งมชี วี ิตหลายเซลลท์ ี่มโี ครงสรา้ ง แบบงา่ ย ๆ จนกลายมาเป็นสงิ่ มชี วี ติ หลายเซลล์ ที่มโี ครงสร้างซับซอ้ นมากข้ึนตามลำดบั 144 ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273