Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กลักสูตรแกนกลางสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2551 ปรับปรุง 2560

กลักสูตรแกนกลางสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2551 ปรับปรุง 2560

Published by yutthana10, 2018-04-26 04:26:04

Description: กลักสูตรแกนกลางสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2551 ปรับปรุง 2560

Keywords: หลัสกสูตร,วิทยาศาสตร์,2560

Search

Read the Text Version

ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • เมอ่ื ใหค้ วามรอ้ นแกข่ องเหลว อนภุ าคของของเหลว จะมพี ลงั งานและอณุ หภมู เิ พมิ่ ขนึ้ จนถึงระดับหนง่ึ ซึ่งของเหลวจะใชค้ วามรอ้ นในการเปลยี่ นสถานะ เปน็ แกส๊ เรยี กความร้อนท่ใี ช้ในการเปลี่ยนสถานะ จากของเหลวเปน็ แก๊สวา่ ความรอ้ นแฝงของ การกลายเปน็ ไอ และอุณหภมู ขิ ณะเปลย่ี นสถานะ จะคงที่ เรียกอุณหภูมนิ วี้ า่ จดุ เดอื ด • เมอื่ ทำใหอ้ ุณหภมู ขิ องแกส๊ ลดลงจนถึงระดบั หนงึ่ แก๊สจะเปล่ียนสถานะเป็นของเหลว เรยี กอณุ หภูมิ นว้ี ่า จุดควบแน่น ซง่ึ มีอุณหภูมิเดียวกับจดุ เดอื ด ของของเหลวนั้น • เมอ่ื ทำใหอ้ ณุ หภูมขิ องของเหลวลดลงจนถงึ ระดบั หนง่ึ ของเหลวจะเปลย่ี นสถานะเปน็ ของแขง็ เรียกอณุ หภูมิน้ีวา่ จดุ เยือกแขง็ ซง่ึ มอี ุณหภมู ิ เดยี วกบั จดุ หลอมเหลวของของแขง็ นนั้ ม.๒ ๑. อธบิ ายการแยกสารผสมโดยการระเหยแหง้ • การแยกสารผสมใหเ้ ปน็ สารบริสุทธิ์ทำไดห้ ลายวิธีการตกผลึก การกลัน่ อย่างงา่ ย ขน้ึ อยกู่ ับสมบตั ขิ องสารน้ัน ๆ การระเหยแหง้ ใช้ โครมาโทกราฟแี บบกระดาษ การสกดั ดว้ ย แยกสารละลายซ่ึงประกอบดว้ ยตัวละลายทเ่ี ปน็ ตัวทำละลาย โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ของแข็งในตัวทำละลายท่ีเปน็ ของเหลว โดยใช้๒. แยกสารโดยการระเหยแห้ง การตกผลกึ ความร้อนระเหยตัวทำละลายออกไปจนหมด การกล่นั อยา่ งงา่ ย โครมาโทกราฟแี บบกระดาษ เหลอื แตต่ วั ละลาย การตกผลึกใช้แยกสารละลายการสกดั ดว้ ยตวั ทำละลาย ทปี่ ระกอบด้วยตัวละลายท่ีเปน็ ของแข็งใน ตวั ทำละลายทเ่ี ปน็ ของเหลว โดยทำใหส้ ารละลายอม่ิ ตวั แล้วปล่อยให้ตวั ทำละลายระเหยออกไปบางส่วน ตวั ละลายจะตกผลกึ แยกออกมา การกลนั่ อยา่ งงา่ ย ใช้แยกสารละลายทป่ี ระกอบด้วยตัวชว้ี ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 45 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ตัวละลายและตัวทำละลายท่เี ปน็ ของเหลวที่มี จุดเดอื ดต่างกนั มาก วธิ ีน้จี ะแยกของเหลวบรสิ ทุ ธิ์ ออกจากสารละลายโดยใหค้ วามรอ้ นกบั สารละลาย ของเหลวจะเดือดและกลายเป็นไอแยกจาก สารละลายแลว้ ควบแน่นกลบั เป็นของเหลว อีกครั้ง ขณะท่ีของเหลวเดอื ด อุณหภูมขิ องไอจะ คงที่ โครมาโทกราฟแี บบกระดาษเป็นวธิ กี ารแยก สารผสมที่มีปรมิ าณน้อยโดยใชแ้ ยกสารท่ีมสี มบตั ิ การละลายในตวั ทำละลายและการถกู ดดู ซับด้วย ตวั ดดู ซบั แตกตา่ งกนั ทำใหส้ ารแตล่ ะชนิด เคลอื่ นทีไ่ ปบนตัวดูดซบั ได้ต่างกนั สารจึงแยก ออกจากกันได้ อตั ราส่วนระหวา่ งระยะทางท่ีสาร องค์ประกอบแต่ละชนดิ เคล่ือนท่ีไดบ้ นตวั ดดู ซบั กับระยะทางทตี่ วั ทำละลายเคลอ่ื นทีไ่ ด้ เปน็ ค่าเฉพาะตวั ของสารแต่ละชนิดในตัวทำละลาย และตัวดูดซบั หนง่ึ ๆ การสกัดด้วยตัวทำละลาย เปน็ วธิ ีการแยกสารผสมทม่ี สี มบัตกิ ารละลายใน ตัวทำละลายทีต่ า่ งกัน โดยชนิดของตวั ทำละลาย มผี ลตอ่ ชนิดและปรมิ าณของสารท่สี กัดได้ การสกดั โดยการกล่นั ดว้ ยไอน้ำ ใช้แยกสาร ทร่ี ะเหยงา่ ย ไมล่ ะลายนำ้ และไมท่ ำปฏิกริ ิยา กับน้ำออกจากสารทร่ี ะเหยยาก โดยใช้ไอนำ้ เปน็ ตัวพา46 ตัวช้ีวดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๓. นำวธิ กี ารแยกสารไปใชแ้ กป้ ญั หาในชวี ติ ประจำวนั • ความรูด้ า้ นวทิ ยาศาสตร์เก่ียวกับการแยกสารโดยบูรณาการวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ บรู ณาการกบั คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี โดยใช้เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ กระบวนการทางวศิ วกรรม สามารถนำไปใช้ แก้ปัญหาในชวี ติ ประจำวนั หรอื ปัญหาทีพ่ บใน ชมุ ชนหรือสรา้ งนวตั กรรม โดยมีขนั้ ตอน ดงั นี้ - ระบปุ ญั หาในชวี ิตประจำวนั ท่เี ก่ียวกับการ แยกสารโดยใชส้ มบตั ทิ างกายภาพ หรอื นวตั กรรม ทต่ี ้องการพฒั นา โดยใช้หลกั การดังกลา่ ว - รวบรวมขอ้ มลู และแนวคดิ เกีย่ วกบั การแยกสาร โดยใช้สมบตั ทิ างกายภาพทีส่ อดคล้องกับปัญหา ทร่ี ะบุ หรือนำไปสูก่ ารพัฒนานวตั กรรมนน้ั - ออกแบบวิธกี ารแก้ปัญหา หรือพัฒนานวตั กรรม ที่เกีย่ วกบั การแยกสารในสารผสม โดยใช้สมบัติ ทางกายภาพ โดยเช่อื มโยงความรู้ด้าน วิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และ กระบวนการทางวศิ วกรรม รวมทัง้ กำหนดและ ควบคุมตัวแปรอย่างเหมาะสม ครอบคลมุ - วางแผนและดำเนนิ การแก้ปญั หา หรือพฒั นา นวัตกรรม รวบรวมข้อมูล จดั กระทำขอ้ มูล และเลอื กวธิ ีการสอื่ ความหมายทเ่ี หมาะสม ในการนำเสนอผล - ทดสอบ ประเมินผล ปรับปรงุ วิธีการแกป้ ญั หา หรอื นวัตกรรมท่ีพัฒนาขึน้ โดยใช้หลกั ฐาน เชิงประจกั ษ์ทีร่ วบรวมได้ - นำเสนอวิธกี ารแก้ปัญหา หรอื ผลของนวัตกรรม ท่ีพฒั นาข้ึน และผลท่ีได้ โดยใช้วธิ กี ารสอ่ื สาร ทเ่ี หมาะสมและน่าสนใจตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 47 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๔. ออกแบบการทดลองและทดลองในการอธิบาย • สารละลายอาจมสี ถานะเปน็ ของแขง็ ของเหลว ผลของชนดิ ตัวละลาย ชนิดตวั ทำละลาย และแก๊ส สารละลายประกอบด้วยตวั ทำละลาย อณุ หภมู ทิ ม่ี ตี อ่ สภาพละลายไดข้ องสาร รวมทง้ั และตวั ละลาย กรณสี ารละลายเกิดจากสารท่ีมี อธบิ ายผลของความดนั ทีม่ ีตอ่ สภาพละลายได้ สถานะเดียวกนั สารทม่ี ีปริมาณมากทสี่ ุดจดั เป็น ของสาร โดยใชส้ ารสนเทศ ตัวทำละลาย กรณสี ารละลายเกิดจากสารทมี่ ี สถานะตา่ งกนั สารทมี่ ีสถานะเดียวกนั กับ สารละลายจดั เป็นตัวทำละลาย • สารละลายทีต่ ัวละลายไมส่ ามารถละลายในตวั ทำละลายไดอ้ กี ท่ีอุณหภูมหิ นึง่ ๆ เรยี กวา่ สารละลายอ่ิมตวั • สภาพละลายได้ของสารในตัวทำละลาย เปน็ คา่ ที่ บอกปรมิ าณของสารที่ละลายได้ในตัวทำละลาย ๑๐๐ กรัม จนได้สารละลายอ่ิมตัว ณ อุณหภมู ิ และความดนั หน่งึ ๆ สภาพละลายได้ของสาร บง่ บอกความสามารถในการละลายไดข้ องตวั ละลาย ในตวั ทำละลาย ซึ่งความสามารถในการละลาย ของสารขึ้นอย่กู บั ชนดิ ของตวั ทำละลายและ ตัวละลาย อณุ หภมู ิ และความดัน • สารชนดิ หนง่ึ ๆ มสี ภาพละลายไดแ้ ตกตา่ งกนั ใน ตัวทำละลายที่แตกต่างกนั และสารตา่ งชนดิ กัน มสี ภาพละลายไดใ้ นตวั ทำละลายหนงึ่ ๆ ไมเ่ ทา่ กนั • เมอื่ อณุ หภูมสิ งู ขึ้น สารส่วนมาก สภาพละลายได้ ของสารจะเพิม่ ขน้ึ ยกเว้นแก๊สเม่อื อณุ หภูมิสูงขึ้น สภาพการละลายได้จะลดลง สว่ นความดันมีผล ตอ่ แก๊ส โดยเมือ่ ความดนั เพม่ิ ขน้ึ สภาพละลายได้ จะสงู ขึ้น • ความร้เู กี่ยวกับสภาพละลายไดข้ องสาร เมือ่ เปลี่ยนแปลงชนิดตัวละลาย ตัวทำละลาย และ อณุ หภมู ิ สามารถนำไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวนั เช่น การทำน้ำเชื่อมเข้มข้น การสกัดสารออกจาก สมนุ ไพรให้ไดป้ ริมาณมากท่ีสุด48 ตัวชวี้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๕. ระบปุ รมิ าณตัวละลายในสารละลาย ในหน่วย • ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย เป็นการระบปุ ริมาณความเข้มข้นเป็นร้อยละ ปรมิ าตรตอ่ ปริมาตร ตัวละลายในสารละลาย หนว่ ยความเขม้ ข้นมวลต่อมวล และมวลตอ่ ปริมาตร มีหลายหน่วย ทนี่ ิยมระบุเปน็ หน่วยเป็นรอ้ ยละ๖. ตระหนกั ถึงความสำคญั ของการนำความรเู้ ร่อื ง ปรมิ าตรตอ่ ปรมิ าตร มวลตอ่ มวล และมวลความเข้มข้นของสารไปใช้ โดยยกตวั อยา่ งการใช้ ตอ่ ปริมาตรสารละลายในชวี ิตประจำวันอย่างถูกต้อง • รอ้ ยละโดยปรมิ าตรต่อปรมิ าตร เป็นการระบุและปลอดภัย ปรมิ าตรตวั ละลายในสารละลาย ๑๐๐ หน่วย ปรมิ าตรเดยี วกนั นิยมใชก้ บั สารละลายทเ่ี ป็น ของเหลวหรือแกส๊ • ร้อยละโดยมวลตอ่ มวล เป็นการระบมุ วล ตัวละลายในสารละลาย ๑๐๐ หนว่ ยมวลเดียวกัน นยิ มใชก้ ับสารละลายทม่ี สี ถานะเป็นของแขง็ • รอ้ ยละโดยมวลตอ่ ปรมิ าตร เปน็ การระบมุ วล ตวั ละลายในสารละลาย ๑๐๐ หนว่ ยปรมิ าตร นยิ มใช้กับสารละลายที่มีตวั ละลายเป็นของแข็ง ในตัวทำละลายท่เี ป็นของเหลว • การใช้สารละลาย ในชีวิตประจำวัน ควรพจิ ารณา จากความเข้มขน้ ของสารละลาย ข้ึนอยูก่ ับ จดุ ประสงค์ของการใชง้ าน และผลกระทบตอ่ สิง่ ชีวิตและสงิ่ แวดล้อมตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 49 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๓ ๑. ระบสุ มบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์ • พอลิเมอร์ เซรามิกส์ และวัสดุผสม เปน็ วัสดทุ ี่ใช้ วัสดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามิกส์ และวสั ดผุ สม มากในชีวิตประจำวัน โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ และสารสนเทศ • พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกลุ ใหญ่ ๒. ตระหนักถงึ คุณค่าของการใช้วสั ดปุ ระเภท ทีเ่ กดิ จากโมเลกลุ จำนวนมากรวมตวั กนั ทางเคมี พอลิเมอร์ เซรามิกส์ และวสั ดุผสม โดยเสนอ เชน่ พลาสตกิ ยาง เสน้ ใย ซงึ่ เปน็ พอลเิ มอรท์ ่ีมี แนะแนวทางการใชว้ สั ดอุ ยา่ งประหยดั และคมุ้ ค่า สมบตั ิแตกต่างกนั โดยพลาสติกเป็นพอลเิ มอรท์ ่ี ขน้ึ รปู เปน็ รูปทรงตา่ ง ๆ ได้ ยางยืดหยุ่นได้ สว่ นเสน้ ใยเปน็ พอลเิ มอรท์ สี่ ามารถดงึ เปน็ เสน้ ยาวได้ พอลเิ มอร์จงึ ใช้ประโยชน์ไดแ้ ตกต่างกัน • เซรามิกสเ์ ปน็ วสั ดทุ ี่ผลิตจาก ดนิ หิน ทราย และ แรธ่ าตุตา่ ง ๆ จากธรรมชาติ และสว่ นมากจะผ่าน การเผาทอ่ี ุณหภมู ิสูง เพ่ือใหไ้ ด้เน้อื สารที่แข็งแรง เซรามิกสส์ ามารถทำเปน็ รปู ทรงต่าง ๆ ได้ สมบตั ิ ทั่วไปของเซรามิกสจ์ ะแข็ง ทนต่อการสกึ กรอ่ น และเปราะ สามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เช่น ภาชนะทเี่ ปน็ เครอ่ื งปนั้ ดนิ เผา ชน้ิ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ • วัสดุผสมเป็นวสั ดทุ ่ีเกิดจากวัสดตุ ง้ั แต่ ๒ ประเภท ทมี่ สี มบตั แิ ตกตา่ งกนั มารวมตวั กนั เพือ่ นำไปใช้ ประโยชนไ์ ด้มากขึ้น เชน่ เส้ือกันฝนบางชนดิ เปน็ วสั ดผุ สมระหวา่ งผา้ กบั ยาง คอนกรตี เสรมิ เหลก็ เป็นวสั ดผุ สมระหว่างคอนกรีตกบั เหล็ก • วสั ดบุ างชนดิ สลายตวั ยาก เช่น พลาสติก การใช้ วัสดอุ ยา่ งฟมุ่ เฟอื ยและไม่ระมดั ระวังอาจก่อ ปญั หาตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม50 ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้ัน ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ๓. อธิบายการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี รวมถงึ การจดั • การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีหรือการเปลยี่ นแปลงทาง เรยี งตัวใหม่ของอะตอมเมื่อเกิดปฏิกริ ิยาเคมี เคมขี องสาร เปน็ การเปลยี่ นแปลงทที่ ำใหเ้ กดิ โดยใชแ้ บบจำลองและสมการข้อความ สารใหม่ โดยสารทเี่ ขา้ ทำปฏกิ ริ ยิ า เรยี กวา่ สารตง้ั ตน้ สารใหมท่ เี่ กดิ ขนึ้ จากปฏิกริ ยิ า เรียกว่า ผลติ ภัณฑ์ การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมีสามารถเขียนแทนไดด้ ว้ ย สมการข้อความ • การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี อะตอมของสารต้ังต้นจะมี การจัดเรียงตัวใหม่ ได้เป็นผลติ ภัณฑ์ ซง่ึ มีสมบตั ิ แตกตา่ งจากสารต้ังตน้ โดยอะตอมแต่ละชนดิ กอ่ นและหลังเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีมีจำนวนเทา่ กนั ๔. อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ • เม่ือเกดิ ปฏิกิริยาเคมี มวลรวมของสารตั้งตน้ เท่ากบั มวลรวมของผลิตภณั ฑ์ ซ่งึ เปน็ ไปตาม กฎทรงมวล ๕. วเิ คราะห์ปฏิกิริยาดดู ความร้อน และปฏิกริ ยิ า • เม่ือเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี มีการถ่ายโอนความรอ้ นคายความรอ้ น จากการเปลีย่ นแปลงพลงั งาน ควบคไู่ ปกบั การจดั เรยี งตวั ใหมข่ องอะตอมของสารความร้อนของปฏิกิริยา ปฏกิ ริ ยิ าทมี่ กี ารถา่ ยโอนความรอ้ นจากสงิ่ แวดลอ้ ม เข้าสู่ระบบเป็นปฏกิ ริ ยิ าดูดความรอ้ น ปฏกิ ิริยา ทมี่ ีการถ่ายโอนความร้อนจากระบบออกสู่ สง่ิ แวดลอ้ มเปน็ ปฏกิ ริ ยิ าคายความรอ้ น โดยใช้ เครอื่ งมอื ทเี่ หมาะสมในการวดั อณุ หภมู ิ เชน่ เทอรม์ อมเิ ตอร์ หวั วดั ทีส่ ามารถตรวจสอบ การเปลย่ี นแปลงของอุณหภูมิไดอ้ ยา่ งต่อเนอ่ื งตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 51 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๖. อธิบายปฏิกริ ยิ าการเกิดสนมิ ของเหล็ก ปฏกิ ิรยิ า • ปฏกิ ริ ยิ าเคมที ี่พบในชีวติ ประจำวันมีหลายชนิด ของกรดกบั โลหะ ปฏกิ ริ ิยาของกรดกับเบส และ เชน่ ปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ การเกิดสนมิ ของเหลก็ ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ โดยใช้หลักฐานเชงิ ปฏิกริ ิยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิรยิ าของกรดกบั ประจักษ์ และอธบิ ายปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม ้ เบส ปฏกิ ิริยาของเบสกบั โลหะ การเกิดฝนกรด การเกดิ ฝนกรด การสังเคราะหด์ ้วยแสง โดยใช้ การสังเคราะห์ด้วยแสง ปฏกิ ิรยิ าเคมสี ามารถ สารสนเทศ รวมท้งั เขียนสมการขอ้ ความแสดง เขยี นแทนได้ด้วยสมการข้อความ ซ่ึงแสดงช่ือของ ปฏกิ ิรยิ าดังกล่าว สารตง้ั ตน้ และผลติ ภณั ฑ์ เช่น เชอื้ เพลงิ + ออกซเิ จน → คารบ์ อนไดออกไซด์ + นำ้ ปฏกิ ิริยาการเผาไหม้เป็นปฏิกิรยิ าระหวา่ งสารกบั ออกซิเจน สารทเ่ี กิดปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ สว่ นใหญเ่ ป็นสารประกอบที่มคี าร์บอนและ ไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ ซง่ึ ถ้าเกดิ การเผาไหม้ อยา่ งสมบูรณ์ จะได้ผลติ ภณั ฑ์เป็น คารบ์ อนไดออกไซด์และนำ้ • การเกดิ สนมิ ของเหลก็ เกดิ จากปฏกิ ริ ยิ าเคมี ระหว่างเหล็ก นำ้ และออกซิเจน ไดผ้ ลิตภัณฑ์ เปน็ สนมิ ของเหลก็ • ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้และการเกิดสนิมของเหลก็ เปน็ ปฏกิ ิรยิ าระหวา่ งสารตา่ ง ๆ กบั ออกซเิ จน • ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกบั โลหะ กรดทำปฏกิ ริ ยิ ากบั โลหะได้หลายชนิด ได้ผลติ ภัณฑ์เปน็ เกลอื ของ โลหะและแกส๊ ไฮโดรเจน • ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกบั สารประกอบคารบ์ อเนต ได้ผลิตภณั ฑเ์ ปน็ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ เกลอื ของโลหะ และนำ้ • ปฏกิ ิรยิ าของกรดกับเบส ได้ผลิตภัณฑ์เปน็ เกลอื ของโลหะและน้ำ หรืออาจไดเ้ พียงเกลอื ของโลหะ • ปฏกิ ิรยิ าของเบสกบั โลหะบางชนดิ ไดผ้ ลติ ภณั ฑ์ เปน็ เกลอื ของเบสและแก๊สไฮโดรเจน • การเกดิ ฝนกรด เปน็ ผลจากปฏิกิรยิ าระหว่าง นำ้ ฝนกบั ออกไซด์ของไนโตรเจน หรือออกไซด์ ของซลั เฟอร์ ทำให้นำ้ ฝนมสี มบัติเปน็ กรด • การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื เปน็ ปฏกิ ริ ยิ า ระหว่างแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์กับน้ำ โดยมี แสงชว่ ยในการเกดิ ปฏิกิรยิ า ได้ผลติ ภณั ฑเ์ ปน็ นำ้ ตาลกลโู คสและออกซเิ จน52 ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๗. ระบปุ ระโยชนแ์ ละโทษของปฏกิ ริ ิยาเคมี • ปฏกิ ิรยิ าเคมีที่พบในชวี ติ ประจำวันมีท้ังประโยชน์ทมี่ ีตอ่ สิ่งมชี ีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม และยกตวั อย่าง และโทษต่อสิง่ มีชีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม จึงต้องวธิ กี ารปอ้ งกนั และแกป้ ญั หาทเี่ กดิ จากปฏกิ ริ ยิ าเคมี ระมดั ระวังผลจากปฏิกริ ยิ าเคมี ตลอดจนรู้จกั วิธีทพ่ี บในชีวิตประจำวัน จากการสบื ค้นขอ้ มลู ป้องกันและแก้ปญั หาท่ีเกิดจากปฏกิ ิริยาเคมที พ่ี บ๘. ออกแบบวธิ แี ก้ปัญหาในชวี ิตประจำวนั โดยใช้ ในชีวติ ประจำวนั ความร้เู ก่ียวกับปฏกิ ริ ิยาเคม ี • ความรู้เกย่ี วกบั ปฏกิ ริ ิยาเคมี สามารถนำไปใช้โดยบรู ณาการวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวนั และสามารถบรู ณาการเทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ กับคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศาสตร์ เพอื่ ใชป้ รับปรุงผลิตภัณฑ์ใหม้ ีคุณภาพ ตามต้องการหรอื อาจสรา้ งนวตั กรรมเพอ่ื ปอ้ งกนั และแกป้ ญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ จากปฏิกิรยิ าเคมี โดยใช้ ความรเู้ กย่ี วกบั ปฏกิ ริ ยิ าเคมี เชน่ การเปลย่ี นแปลง พลงั งานความร้อนอนั เนือ่ งมาจากปฏกิ ริ ิยาเคมี การเพิม่ ปริมาณผลผลติ ม.๔ - -ม.๕ ๑. ระบุว่าสารเป็นธาตุหรอื สารประกอบ และอยใู่ น • สารเคมที กุ ชนิดสามารถระบุได้ว่าเปน็ ธาตหุ รือ รูปอะตอม โมเลกลุ หรือไอออนจากสูตรเคมี สารประกอบ และอยู่ในรูปของอะตอม โมเลกลุ หรือไอออนได้ โดยพจิ ารณาจากสูตรเคมี๒. เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกตา่ ง • แบบจำลองอะตอมใชอ้ ธบิ ายตำแหนง่ ของโปรตอน ของแบบจำลองอะตอมของโบร์กบั แบบจำลอง นิวตรอน และอิเล็กตรอนในอะตอม โดยโปรตอน อะตอมแบบกล่มุ หมอก และนวิ ตรอนอยรู่ วมกนั ในนวิ เคลยี ส สว่ นอเิ ลก็ ตรอน เคลื่อนทร่ี อบนิวเคลยี ส ซ่งึ ในแบบจำลองอะตอม ของโบร์ อิเล็กตรอนเคล่ือนทเี่ ปน็ วง โดยแต่ละวง มรี ะยะห่างจากนิวเคลียสและมพี ลังงานตา่ งกัน และอเิ ล็กตรอนวงนอกสุด เรียกว่า เวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอน • แบบจำลองอะตอมแบบกลมุ่ หมอก แสดงโอกาส ทจ่ี ะพบอเิ ลก็ ตรอนรอบนวิ เคลยี สในลกั ษณะ กลุม่ หมอก เน่ืองจากอเิ ล็กตรอนมขี นาดเลก็ และ เคลอ่ื นทีอ่ ย่างรวดเรว็ ตลอดเวลา จึงไม่สามารถ ระบตุ ำแหนง่ ทแี่ น่นอนได้ตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 53 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๓. ระบจุ ำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเลก็ ตรอน • อะตอมของธาตเุ ปน็ กลางทางไฟฟา้ มจี ำนวน ของอะตอม และไอออนท่ีเกดิ จากอะตอมเดียว โปรตอนเท่ากับจำนวนอเิ ล็กตรอน การระบชุ นดิ ของธาตพุ จิ ารณาจากจำนวนโปรตอน • เมอ่ื อะตอมของธาตมุ กี ารใหห้ รอื รบั อเิ ลก็ ตรอน ทำให้ จำนวนโปรตอนและอเิ ลก็ ตรอนไมเ่ ท่ากัน เกดิ เปน็ ไอออน โดยไอออนทม่ี ีจำนวนอิเล็กตรอน นอ้ ยกวา่ จำนวนโปรตอน เรียกวา่ ไอออนบวก ส่วนไอออนท่ีมจี ำนวนอเิ ล็กตรอนมากกว่า โปรตอน เรียกวา่ ไอออนลบ ๔. เขียนสญั ลักษณน์ วิ เคลยี รข์ องธาตุและระบกุ าร • สญั ลกั ษณ์นวิ เคลียร์ ประกอบด้วยสัญลกั ษณธ์ าตุ เปน็ ไอโซโทป เลขอะตอมและเลขมวล โดยเลขอะตอมเป็น ตัวเลขทแ่ี สดงจำนวนโปรตอนในอะตอม เลขมวล เปน็ ตัวเลขท่แี สดงผลรวมของจำนวนโปรตอนกบั นิวตรอนในอะตอม ธาตุชนดิ เดยี วกันแตม่ ี เลขมวลต่างกัน เรยี กว่าไอโซโทป ๕. ระบุหมแู่ ละคาบของธาตุ และระบุว่าธาตเุ ป็น • ธาตุจัดเปน็ หมวดหม่ไู ด้อย่างเปน็ ระบบ โดยอาศัย โลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ กลุ่มธาตุเรพรเี ซนเททีฟ ตารางธาตุ ซ่งึ ในปจั จุบันจดั เรียงตามเลขอะตอม หรอื กลุ่มธาตุแทรนซิชนั จากตารางธาตุ และความคลา้ ยคลึงของสมบตั ิ แบ่งออกเป็นหมู่ ซงึ่ เปน็ แถวในแนวตงั้ และคาบซงึ่ เปน็ แถวในแนวนอน ทำใหธ้ าตทุ มี่ สี มบตั เิ ปน็ โลหะ อโลหะและกง่ึ โลหะ อยู่เปน็ กลมุ่ บริเวณใกล้ ๆ กัน และแบ่งธาตุออก เปน็ กลมุ่ ธาตเุ รพรเี ซนเททฟี และกลมุ่ ธาตแุ ทรนซชิ นั ๖. เปรยี บเทียบสมบัติการนำไฟฟา้ การให้และรบั • ธาตุในกลมุ่ โลหะ จะนำไฟฟ้าได้ดี และมีแนวโน้ม อเิ ลก็ ตรอนระหวา่ งธาตุในกลุ่มโลหะกบั อโลหะ ใหอ้ ิเลก็ ตรอน ส่วนธาตใุ นกลมุ่ อโลหะ จะไมน่ ำ ไฟฟ้า และมแี นวโน้มรับอิเลก็ ตรอน โดยธาตุ เรพรเีซนเททฟี ในหมู่ IA - IIA และธาตแุ ทรนซชิ นั ทกุ ธาตุ จดั เปน็ ธาตุในกลุ่มโลหะ ส่วนธาตเุ รพรเี ซนเททีฟ ในหมู่ IIIA - VIIA มที ง้ั ธาตใุ นกลมุ่ โลหะและอโลหะ ส่วนธาตเุ รพรเี ซนเททีฟในหมู่ VIIIA จัดเป็นธาตุ อโลหะทง้ั หมด54 ตัวช้ีวดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ๗. สืบค้นขอ้ มลู และนำเสนอตัวอย่างประโยชน์และ • ธาตเุ รพรีเซนเททฟี และธาตุแทรนซชิ ัน อนั ตรายที่เกิดจากธาตเุ รพรีเซนเททฟี และ นำมาใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตประจำวันได้หลากหลายธาตแุ ทรนซิชนั ซึ่งธาตบุ างชนิดมีสมบัติทเ่ี ป็นอันตราย จงึ ตอ้ ง คำนงึ ถึงการป้องกนั อนั ตรายเพื่อความปลอดภยั ในการใชป้ ระโยชน์๘. ระบุว่าพันธะโคเวเลนตเ์ ป็นพันธะเด่ยี ว พันธะคู่ • พนั ธะโคเวเลนต์ เปน็ การยึดเหน่ียวระหวา่ ง หรอื พนั ธะสาม และระบุจำนวนคอู่ เิ ลก็ ตรอน อะตอมดว้ ยการใช้เวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั เกดิระหว่างอะตอมคู่ร่วมพนั ธะ จากสูตรโครงสร้าง เปน็ โมเลกลุ โดยการใชเ้ วเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนร่วมกัน ๑ คูเ่ รียกว่า พันธะเดย่ี ว เขียนแทนด้วยเสน้ พนั ธะ ๑ เสน้ ในโครงสรา้ งโมเลกลุ สว่ นการใช้ เวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั ๒ คู่ และ ๓ คู่ เรยี กวา่ พนั ธะคู่ และพันธะสาม เขียนแทนดว้ ยเสน้ พันธะ ๒ เส้น และ ๓ เส้น ตามลำดับ๙. ระบสุ ภาพข้วั ของสารที่โมเลกุลประกอบดว้ ย • สารที่มพี นั ธะภายในโมเลกลุ เป็นพนั ธะโคเวเลนต์๒ อะตอม ท้งั หมดเรยี กวา่ สารโคเวเลนต์ โดยสารโคเวเลนต์๑๐. ระบสุ ารท่เี กดิ พนั ธะไฮโดรเจนไดจ้ ากสตู ร ท่ปี ระกอบดว้ ย ๒ อะตอมของธาตุชนดิ เดียวกัน โครงสรา้ ง เปน็ สารไมม่ ขี ้ัว ส่วนสารโคเวเลนต์ ทปี่ ระกอบ ดว้ ย ๒ อะตอมของธาตตุ า่ งชนิดกัน เป็นสาร๑๑. อธบิ ายความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งจดุ เดอื ดของสารโคเวเลนต์กับแรงดึงดดู ระหวา่ งโมเลกุลตาม มีขวั้ สำหรบั สารโคเวเลนตท์ ปี่ ระกอบด้วยอะตอมสภาพข้วั หรือการเกิดพนั ธะไฮโดรเจน มากกว่า ๒ อะตอม อาจเปน็ สารมขี ั้วหรอื ไม่มีข้ัว ข้ึนอยูก่ บั รูปรา่ งของโมเลกลุ ซงึ่ สภาพขัว้ ของ สารโคเวเลนต์สง่ ผลต่อแรงดึงดดู ระหวา่ งโมเลกลุ ทีท่ ำใหจ้ ุดหลอมเหลวและจดุ เดือดของสาร โคเวเลนตแ์ ตกตา่ งกนั นอกจากนี้สารบางชนิด มีจดุ เดอื ดสูงกว่าปกติ เน่ืองจากมีแรงดึงดูด ระหว่างโมเลกุลสงู ท่ีเรียกว่า พนั ธะไฮโดรเจน ซึง่ สารเหล่านม้ี ีพันธะ N–H O–H หรือ F–H ภายในโครงสร้างโมเลกุลตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 55 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๑๒. เขียนสตู รเคมีของไอออนและสารประกอบ • สารประกอบไอออนกิ สว่ นใหญเ่ กดิ จากการรวมตวั กนั ไอออนกิ ของไอออนบวกของธาตุโลหะและไอออนลบของ ธาตุอโลหะ ในบางกรณีไอออนอาจประกอบด้วย ๑๓. ระบุวา่ สารเกิดการละลายแบบแตกตัวหรอื กลุม่ ของอะตอม โดยเมือ่ ไอออนรวมตัวกันเกดิ ไมแ่ ตกตวั พรอ้ มใหเ้ หตผุ ลและระบวุ า่ เปน็ สารประกอบไอออนกิ จะมสี ดั สว่ นการรวมตวั สารละลายทไ่ี ดเ้ ปน็ สารละลายอิเลก็ โทรไลต์ เพอื่ ทำให้ประจขุ องสารประกอบเป็นกลางทาง หรือนอนอเิ ล็กโทรไลต์ ไฟฟ้า โดยไอออนบวกและไอออนลบจะจดั เรยี งตวั สลบั ตอ่ เนอ่ื งกนั ไปใน ๓ มติ ิ เกดิ เป็นผลึกของสาร ซง่ึ สตู รเคมขี องสารประกอบไอออนกิ ประกอบดว้ ย สญั ลักษณธ์ าตุทีเ่ ป็นไอออนบวกตามดว้ ย สญั ลักษณธ์ าตทุ เี่ ป็นไอออนลบ โดยมีตวั เลขที่ แสดงจำนวนไอออนแตล่ ะชนดิ เปน็ อตั ราสว่ น อย่างตำ่ • สารจะละลายนำ้ ไดเ้ มอ่ื องคป์ ระกอบของสาร สามารถเกดิ แรงดึงดูดกบั โมเลกุลของน้ำได ้ โดยการละลายของสารในนำ้ เกดิ ได้ ๒ ลกั ษณะ คือ การละลายแบบแตกตวั และการละลายแบบ ไมแ่ ตกตัว การละลายแบบแตกตวั เกดิ ขน้ึ กบั สาร ประกอบไอออนกิ และสารโคเวเลนต์บางชนดิ ที่มีสมบตั ิเปน็ กรดหรอื เบส โดยเมื่อสารเกิด การละลายแบบแตกตัวจะไดไ้ อออนทีส่ ามารถ เคลือ่ นที่ได้ ทำใหไ้ ดส้ ารละลายทนี่ ำไฟฟา้ ซง่ึ เรยี กวา่ สารละลายอิเล็กโทรไลต์ การละลาย แบบไมแ่ ตกตวั เกดิ ข้นึ กับสารโคเวเลนต์ทมี่ ขี ัว้ สูง สามารถดึงดูดกับโมเลกลุ ของน้ำได้ดี โดยเมือ่ เกิด การละลายโมเลกลุ ของสารจะไม่แตกตัวเป็น ไอออน และสารละลายที่ได้จะไม่นำไฟฟ้า ซง่ึ เรียกว่า สารละลายนอนอิเลก็ โทรไลต์56 ตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ๑๔. ระบสุ ารประกอบอนิ ทรยี ป์ ระเภทไฮโดรคารบ์ อน • สารประกอบอนิ ทรีย์เปน็ สารประกอบของ วา่ อมิ่ ตวั หรือไม่อิม่ ตัวจากสูตรโครงสร้าง คาร์บอนส่วนใหญ่พบในสงิ่ มชี วี ิต มโี ครงสรา้ ง หลากหลายและแบ่งได้หลายประเภท เน่ืองจาก ธาตคุ ารบ์ อน สามารถเกิดพนั ธะกบั คารบ์ อน ดว้ ยกนั เองและธาตอุ น่ื ๆ นอกจากนพ้ี นั ธะระหวา่ ง คารบ์ อนยังมีหลายรปู แบบ ได้แก่ พนั ธะเดี่ยว พันธะคู่ พนั ธะสาม • สารประกอบอนิ ทรีย์ท่มี ีเฉพาะธาตคุ ารบ์ อนและ ไฮโดรเจนเป็นองคป์ ระกอบ เรียกวา่ สารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อน โดยสารประกอบไฮโดรคาร์บอน อ่ิมตวั มีพนั ธะระหว่างคารบ์ อนเป็นพนั ธะเด่ยี ว ทุกพนั ธะในโครงสรา้ ง ส่วนสารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อนไม่อม่ิ ตวั มพี ันธะระหว่างคาร์บอน เปน็ พันธะคู่หรอื พันธะสามอยา่ งน้อย ๑ พนั ธะ ในโครงสรา้ ง๑๕. สบื คน้ ขอ้ มูลและเปรยี บเทียบสมบัต ิ • สารทพ่ี บในชีวิตประจำวนั มที ง้ั โมเลกลุ ขนาดเลก็ทางกายภาพระหวา่ งพอลเิ มอรแ์ ละมอนอเมอร์ และขนาดใหญ่ พอลเิ มอรเ์ ปน็ สารท่มี โี มเลกุลของพอลเิ มอรช์ นดิ น้ัน ขนาดใหญ่ทีเ่ กดิ จากมอนอเมอร์หลายโมเลกลุ เชอ่ื มตอ่ กันด้วยพนั ธะเคมี ทำใหส้ มบตั ิทาง กายภาพของพอลเิ มอรแ์ ตกต่างจากมอนอเมอร์ ทเ่ี ปน็ สารตงั้ ตน้ เชน่ สถานะ จดุ หลอมเหลว การละลาย๑๖. ระบุสมบัตคิ วามเปน็ กรด-เบส • สารประกอบอนิ ทรยี ์ทม่ี ีหมู่ -COOH สามารถ จากโครงสรา้ งของสารประกอบอนิ ทรีย์ แสดงสมบตั คิ วามเปน็ กรด สว่ นสารประกอบอนิ ทรยี ์ ทมี่ ีหมู่ -NH2 สามารถแสดงสมบัติความเปน็ เบสตัวชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 57 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๑๗. อธิบายสมบตั กิ ารละลายในตัวทำละลายชนิด • การละลายของสารพิจารณาไดจ้ ากความมีข้วั ของ ต่าง ๆ ของสาร ตัวละลายและตัวทำละลาย โดยสารสามารถ ละลายไดใ้ นตวั ทำละลายท่มี ขี ้วั ใกลเ้ คียงกัน โดยสารมขี วั้ ละลายในตวั ทำละลายทมี่ ขี วั้ สว่ นสารไมม่ ขี ว้ั ละลายในตัวทำละลายทไี่ ม่มขี ว้ั และสารมขี ้ัวไม่ละลายในตัวทำละลายที่ไมม่ ีข้ัว ๑๘. วเิ คราะหแ์ ละอธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง • โครงสร้างของพอลิเมอรอ์ าจเปน็ แบบเสน้ แบบกง่ิ โครงสร้างกับสมบตั ิเทอรม์ อพลาสติกและ หรอื แบบรา่ งแห โดยพอลิเมอรแ์ บบเส้นและ เทอร์มอเซตของพอลเิ มอร์ และการนำ แบบกิ่ง มีสมบัติเทอรม์ อพลาสตกิ สว่ นพอลเิ มอร์ พอลเิ มอรไ์ ปใช้ประโยชน์ แบบร่างแห มสี มบัตเิ ทอรม์ อเซต จึงมกี ารใช้ ประโยชน์ไดแ้ ตกตา่ งกนั ๑๙. สบื คน้ ข้อมูลและนำเสนอผลกระทบของการใช้ • การใชผ้ ลติ ภัณฑพ์ อลเิ มอรใ์ นปริมาณมากก่อให้ ผลติ ภณั ฑพ์ อลเิ มอร์ทม่ี ีต่อส่ิงมชี วี ิตและ เกดิ ปญั หาทสี่ ง่ ผลกระทบตอ่ สง่ิ มชี วี ติ และสงิ่ แวดลอ้ ม สิง่ แวดล้อม พรอ้ มแนวทางปอ้ งกันหรอื แก้ไข ดงั นั้นจงึ ควรตระหนักถึงการลดปรมิ าณการใช้ การใชซ้ ้ำ และการนำกลบั มาใช้ใหม่ ๒๐. ระบสุ ูตรเคมีของสารตงั้ ต้น ผลติ ภณั ฑ์ และ • ปฏกิ ริ ยิ าเคมที ำใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลงของสาร แปลความหมายของสญั ลกั ษณ์ในสมการเคมี โดยปฏกิ ิรยิ าเคมอี าจใหพ้ ลังงานความร้อน ของปฏิกริ ิยาเคมี พลงั งานแสง หรอื พลังงานไฟฟ้า ทส่ี ามารถนำไป ใชป้ ระโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้ • ปฏิกริ ิยาเคมีแสดงไดด้ ้วยสมการเคมี ซง่ึ มสี ูตรเคมี ของสารตง้ั ต้นอยทู่ างดา้ นซ้ายของลูกศร และ สตู รเคมขี องผลติ ภณั ฑ์อยูท่ างดา้ นขวา โดยจำนวน อะตอมรวมของแตล่ ะธาตทุ างด้านซ้ายและขวา เทา่ กนั นอกจากนส้ี มการเคมยี งั อาจแสดงปจั จยั อน่ื เช่น สถานะ พลังงานที่เก่ยี วขอ้ ง ตัวเรง่ ปฏกิ ิรยิ า เคมที ่ีใช้58 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชัน้ ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ๒๑. ทดลองและอธิบายผลของความเข้มขน้ • อัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีขน้ึ อยกู่ ับความเขม้ ข้น พื้นท่ผี วิ อุณหภมู ิ และตวั เรง่ ปฏิกิรยิ า อุณหภมู ิ พน้ื ทผ่ี วิ หรอื ตวั เรง่ ปฏกิ ริ ิยา ทมี่ ีผลตอ่ อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี • ความรเู้ กย่ี วกบั ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ อตั ราการเกดิ ๒๒. สบื ค้นข้อมูลและอธิบายปัจจัยทม่ี ีผลต่ออตั รา ปฏิกิริยาเคมีสามารถนำไปใช้ประโยชนใ์ นชีวิต การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมที ใ่ี ช้ประโยชน์ในชวี ิต ประจำวนั และในอุตสาหกรรม ประจำวันหรอื ในอุตสาหกรรม ๒๓. อธบิ ายความหมายของปฏกิ ิริยารีดอกซ์ • ปฏิกริ ยิ าเคมีบางประเภทเกิดจากการถ่ายโอน อเิ ล็กตรอนของสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมี ซึ่งเรียกว่า ปฏกิ ิรยิ ารดี อกซ์ ๒๔. อธิบายสมบัตขิ องสารกัมมนั ตรังสี และคำนวณ • สารทีส่ ามารถแผร่ งั สีได้เรียกว่า สารกมั มันตรังสี ครง่ึ ชวี ิตและปรมิ าณของสารกมั มันตรงั สี ซึง่ มนี วิ เคลียสทสี่ ลายตวั อย่างตอ่ เนอ่ื ง ระยะเวลา ทส่ี ารกัมมนั ตรงั สีสลายตัวจนเหลือครง่ึ หนึ่ง ของปรมิ าณเดมิ เรียกว่า ครึ่งชีวติ โดยสาร กัมมันตรงั สีแต่ละชนิดมีค่าครึ่งชวี ติ แตกต่างกนั ๒๕. สบื ค้นขอ้ มูลและนำเสนอตวั อย่างประโยชน์ • รงั สีทีแ่ ผ่จากสารกมั มันตรังสมี ีหลายชนดิ เชน่ ของสารกมั มันตรังสีและการปอ้ งกนั อันตราย แอลฟา บตี า แกมมา ซงึ่ สามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ ที่เกิดจากกัมมนั ตภาพรังสี ได้แตกต่างกัน การนำสารกมั มันตรงั สแี ตล่ ะชนิด มาใช้ ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อส่ิงมีชีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม รวมทงั้ มกี ารจดั การอยา่ งเหมาะสม ม.๖ - - ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 59 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพมาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุ ลกั ษณะการเคลื่อนทแี่ บบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ชนั้ ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๑ - - ป.๒ - - ป.๓ ๑. ระบุผลของแรงทม่ี ตี ่อการเปลย่ี นแปลง • การดงึ หรอื การผลกั เปน็ การออกแรงกระทำตอ่ การเคลื่อนทีข่ องวัตถุจากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ วตั ถุ แรงมผี ลต่อการเคลื่อนที่ของวตั ถุ แรงอาจ ทำให้วัตถเุ กดิ การเคล่อื นที่โดยเปลีย่ นตำแหนง่ จากท่หี นึ่งไปยังอีกท่หี น่ึง • การเปลยี่ นแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ ไดแ้ ก่ วตั ถทุ ี่อย่นู ง่ิ เปล่ียนเป็นเคลือ่ นท่ี วตั ถทุ ีก่ ำลัง เคล่อื นทีเ่ ปล่ียนเป็นเคล่อื นท่เี รว็ ข้ึนหรอื ชา้ ลง หรอื หยุดน่ิง หรอื เปลี่ยนทิศทางการเคล่ือนท่ี ๒. เปรียบเทียบและยกตัวอย่างแรงสัมผสั และ • การดงึ หรอื การผลกั เปน็ การออกแรงที่เกิดจาก แรงไม่สมั ผสั ท่ีมีผลต่อการเคลอื่ นทข่ี องวัตถ ุ วัตถุหน่งึ กระทำกบั อีกวตั ถุหนึง่ โดยวัตถุทัง้ สอง โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจักษ์ อาจสัมผสั หรอื ไมต่ ้องสัมผสั กนั เชน่ การออกแรง โดยใช้มอื ดึงหรอื การผลักโตะ๊ ให้เคลอ่ื นท่ีเป็นการ ออกแรงทีว่ ัตถุต้องสัมผัสกนั แรงนจ้ี ึงเปน็ แรงสมั ผสั สว่ นการทแ่ี มเ่ หลก็ ดงึ ดดู หรอื ผลกั ระหวา่ ง แม่เหลก็ เป็นแรงท่เี กิดขนึ้ โดยแม่เหลก็ ไม่จำเป็น ต้องสมั ผัสกนั แรงแมเ่ หลก็ น้ีจึงเปน็ แรงไม่สมั ผัส ๓. จำแนกวตั ถโุ ดยใช้การดงึ ดูดกับแมเ่ หล็ก • แม่เหลก็ สามารถดึงดูดสารแมเ่ หลก็ ได้ เปน็ เกณฑ์จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ • แรงแม่เหล็กเป็นแรงทเ่ี กดิ ขน้ึ ระหว่างแม่เหลก็ กับสารแม่เหลก็ หรอื แมเ่ หลก็ กบั แม่เหล็ก ๔. ระบุขว้ั แมเ่ หล็กและพยากรณ์ผลที่เกดิ ขึน้ แมเ่ หล็ก มี ๒ ข้วั คือ ขว้ั เหนอื และขวั้ ใต ้ ระหวา่ งขวั้ แมเ่ หลก็ เมื่อนำมาเขา้ ใกล้กันจาก ขว้ั แมเ่ หลก็ ชนดิ เดยี วกนั จะผลกั กนั ต่างชนดิ กนั หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ จะดงึ ดูดกัน ป.๔ ๑. ระบุผลของแรงโน้มถ่วงทีม่ ีตอ่ วตั ถุจากหลกั ฐาน • แรงโนม้ ถว่ งของโลกเป็นแรงดึงดดู ท่โี ลกกระทำตอ่ เชิงประจกั ษ์ วตั ถุ มที ศิ ทางเขา้ สศู่ นู ยก์ ลางโลก และเปน็ ๒. ใชเ้ ครอื่ งชั่งสปรงิ ในการวดั นำ้ หนักของวัตถุ แรงไมส่ มั ผสั แรงดงึ ดดู ทโ่ี ลกกระทำกบั วตั ถหุ นงึ่ ๆ ทำใหว้ ัตถุตกลงสพู่ นื้ โลก และทำใหว้ ตั ถมุ นี ำ้ หนกั วดั นำ้ หนกั ของวัตถุไดจ้ ากเครือ่ งชง่ั สปรงิ นำ้ หนกั ของวัตถุขึ้นกบั มวลของวตั ถุ โดยวัตถุท่ีมมี วลมาก จะมนี ำ้ หนกั มาก วตั ถทุ มี่ มี วลนอ้ ยจะมนี ำ้ หนกั นอ้ ย60 ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๓. บรรยายมวลของวตั ถทุ ่มี ีผลตอ่ การเปลี่ยนแปลง • มวล คอื ปริมาณเนือ้ ของสสารทัง้ หมดท่ปี ระกอบ การเคลอ่ื นทขี่ องวตั ถุจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ กนั เป็นวตั ถุ ซ่งึ มีผลตอ่ ความยากง่ายในการ เปล่ยี นแปลงการเคลื่อนท่ขี องวตั ถุ วตั ถุท่มี ี มวลมากจะเปล่ยี นแปลงการเคล่อื นทีไ่ ด้ยากกว่า วัตถทุ ม่ี มี วลนอ้ ย ดงั น้นั มวลของวตั ถนุ อกจาก จะหมายถงึ เนอ้ื ทัง้ หมดของวตั ถนุ ั้นแลว้ ยังหมายถึงการตา้ นการเปลี่ยนแปลง การเคล่ือนที่ของวัตถนุ ้ันดว้ ยป.๕ ๑. อธบิ ายวธิ กี ารหาแรงลพั ธข์ องแรงหลายแรงในแนว • แรงลัพธเ์ ป็นผลรวมของแรงที่กระทำต่อวตั ถุ โดยเดยี วกันท่กี ระทำตอ่ วัตถใุ นกรณที วี่ ัตถอุ ยนู่ งิ่ แรงลพั ธข์ องแรง ๒ แรงท่กี ระทำต่อวตั ถเุ ดยี วกนัจากหลักฐานเชิงประจักษ์ จะมีขนาดเท่ากับผลรวมของแรงทง้ั สองเมอ่ื แรง๒. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทำต่อวตั ถุท่อี ยใู่ น ท้ังสองอยใู่ นแนวเดียวกันและมที ิศทางเดียวกนัแนวเดยี วกันและแรงลพั ธ์ทก่ี ระทำต่อวตั ถุ แตจ่ ะมีขนาดเทา่ กบั ผลตา่ งของแรงทง้ั สอง ๓. ใชเ้ ครื่องชงั่ สปริงในการวดั แรงท่กี ระทำต่อวตั ถุ เม่ือแรงท้ังสองอยู่ในแนวเดียวกนั แต่มที ิศทาง ตรงข้ามกัน สำหรับวัตถุทีอ่ ยนู่ ่ิงแรงลัพธ์ท่ี กระทำต่อวตั ถุมคี า่ เป็นศนู ย์ • การเขียนแผนภาพของแรงทก่ี ระทำต่อวัตถุ สามารถเขยี นไดโ้ ดยใชล้ กู ศร โดยหวั ลกู ศรแสดง ทศิ ทางของแรง และความยาวของลกู ศรแสดง ขนาดของแรงทก่ี ระทำตอ่ วตั ถุ๔. ระบผุ ลของแรงเสยี ดทานทมี่ ตี อ่ การเปลยี่ นแปลง • แรงเสยี ดทานเปน็ แรงท่ีเกดิ ขึ้นระหวา่ งผวิ สัมผสัการเคลอ่ื นท่ขี องวัตถุจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ของวัตถุ เพ่ือตา้ นการเคลือ่ นที่ของวตั ถุนั้น โดย๕. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรง ถ้าออกแรงกระทำต่อวัตถทุ อ่ี ยนู่ งิ่ บนพืน้ ผวิ หนึง่ทอี่ ยใู่ นแนวเดยี วกนั ทก่ี ระทำต่อวัตถุ ให้เคลอื่ นที่ แรงเสียดทานจากพื้นผวิ น้นั กจ็ ะตา้ น การเคลือ่ นที่ของวัตถุ แตถ่ า้ วัตถุกำลังเคลอื่ นท่ี แรงเสียดทานก็จะทำให้วตั ถนุ ้ันเคลอื่ นทช่ี ้าลง หรอื หยดุ นิ่งป.๖ ๑. อธบิ ายการเกิดและผลของแรงไฟฟา้ ซึ่งเกิดจาก • วตั ถุ ๒ ชนดิ ทผี่ า่ นการขดั ถแู ลว้ เมอ่ื นำเขา้ ใกลก้ นั วัตถุทีผ่ ่านการขัดถู โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ อาจดึงดูดหรอื ผลกั กัน แรงที่เกิดขึ้นนเ้ี ป็น แรงไฟฟา้ ซงึ่ เปน็ แรงไมส่ มั ผสั เกดิ ขนึ้ ระหวา่ งวตั ถุ ทมี่ ปี ระจุไฟฟ้า ซ่งึ ประจุไฟฟา้ มี ๒ ชนิด คือ ประจุไฟฟา้ บวกและประจไุ ฟฟ้าลบ วัตถทุ ่ีมี ประจไุ ฟฟา้ ชนดิ เดยี วกนั ผลกั กนั ชนดิ ตรงขา้ มกนั ดงึ ดดู กนั ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 61 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้ัน ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๑ ๑. สร้างแบบจำลองท่ีอธิบายความสัมพันธร์ ะหว่าง • เม่ือวัตถุอยูใ่ นอากาศจะมีแรงท่อี ากาศกระทำต่อ ความดนั อากาศกบั ความสงู จากพ้นื โลก วัตถุในทกุ ทิศทาง แรงท่ีอากาศกระทำต่อวตั ถุ ขึน้ อยกู่ ับขนาดพืน้ ท่ีของวตั ถุน้นั แรงทอ่ี ากาศ กระทำต้ังฉากกับผิววัตถุต่อหนงึ่ หน่วยพืน้ ท่ี เรียกว่า ความดนั อากาศ • ความดนั อากาศมคี วามสมั พนั ธ์กบั ความสูง จากพืน้ โลก โดยบรเิ วณทส่ี งู จากพนื้ โลกขนึ้ ไป อากาศเบาบางลง มวลอากาศนอ้ ยลง ความดนั อากาศก็จะลดลง ม.๒ ๑. พยากรณ์การเคล่อื นทข่ี องวัตถทุ เ่ี ป็นผลของ • แรงเปน็ ปริมาณเวกเตอร์ เม่ือมแี รงหลาย ๆ แรง แรงลพั ธท์ ่ีเกดิ จากแรงหลายแรงทก่ี ระทำตอ่ วตั ถุ กระทำตอ่ วัตถุ แลว้ แรงลพั ธ์ท่กี ระทำตอ่ วตั ถมุ คี า่ ในแนวเดียวกนั จากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ เปน็ ศนู ย์ วตั ถจุ ะไมเ่ ปลย่ี นแปลงการเคลื่อนที่ ๒. เขยี นแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธ์ทีเ่ กิดจาก แต่ถ้าแรงลัพธท์ ่กี ระทำตอ่ วัตถมุ ีค่าไม่เป็นศนู ย์ แรงหลายแรงทกี่ ระทำต่อวัตถุในแนวเดียวกัน วัตถุจะเปลี่ยนแปลงการเคลอ่ื นท่ี ๓. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธี • เม่ือวตั ถุอยใู่ นของเหลวจะมีแรงท่ขี องเหลว ทเ่ี หมาะสมในการอธบิ ายปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ ความดนั กระทำต่อวัตถุในทุกทศิ ทาง โดยแรงท่ีของเหลว ของของเหลว กระทำตงั้ ฉากกับผิววัตถุต่อหน่ึงหนว่ ยพ้ืนท ่ี เรยี กวา่ ความดันของของเหลว • ความดนั ของของเหลวมคี วามสมั พนั ธก์ บั ความลกึ จากระดบั ผิวหนา้ ของของเหลว โดยบริเวณท่ี ลกึ ลงไปจากระดับผิวหนา้ ของของเหลวมากขนึ้ ความดนั ของของเหลวจะเพมิ่ ขนึ้ เนอื่ งจาก ของเหลวทอ่ี ยลู่ กึ กวา่ จะมีน้ำหนกั ของของเหลว ด้านบนกระทำมากกวา่ ๔. วิเคราะห์แรงพยุงและการจม การลอยของวตั ถุ • เม่ือวตั ถอุ ย่ใู นของเหลว จะมแี รงพยุงเน่ืองจาก ในของเหลวจากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ของเหลวกระทำต่อวัตถุ โดยมีทิศข้นึ ในแนวดิง่ ๕. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่กี ระทำตอ่ วตั ถ ุ การจมหรอื การลอยของวตั ถขุ นึ้ กบั นำ้ หนกั ของ ในของเหลว วตั ถแุ ละแรงพยงุ ถ้านำ้ หนักของวตั ถแุ ละแรงพยงุ ของของเหลวมีคา่ เทา่ กนั วัตถจุ ะลอยน่งิ อย่ใู น ของเหลว แตถ่ า้ น้ำหนักของวัตถุมคี า่ มากกว่า แรงพยุงของของเหลววัตถจุ ะจม62 ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๖. อธบิ ายแรงเสยี ดทานสถติ และแรงเสยี ดทานจลน์ • แรงเสียดทานเป็นแรงทเี่ กดิ ขน้ึ ระหวา่ งผวิ สมั ผัสจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ของวัตถุ เพอ่ื ต้านการเคล่อื นทขี่ องวตั ถุนัน้ โดยถ้าออกแรงกระทำต่อวตั ถุทอ่ี ยู่น่ิงบนพน้ื ผวิ ให้เคลื่อนที่ แรงเสยี ดทานกจ็ ะต้านการเคลอื่ นที่ ของวัตถุ แรงเสยี ดทานทเี่ กิดข้ึนในขณะท่ีวตั ถยุ ัง ไม่เคลือ่ นท่เี รยี ก แรงเสยี ดทานสถติ แต่ถา้ วตั ถุ กำลงั เคล่ือนท่ี แรงเสยี ดทานกจ็ ะทำให้วัตถุนั้น เคลอ่ื นทชี่ า้ ลงหรอื หยดุ นง่ิ เรยี ก แรงเสยี ดทานจลน์๗. ออกแบบการทดลองและทดลองดว้ ยวธิ ที ี่ • ขนาดของแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวตั ถุเหมาะสมในการอธบิ ายปัจจยั ทมี่ ผี ลต่อขนาด ข้ึนกับลักษณะผวิ สมั ผสั และขนาดของของแรงเสยี ดทาน แรงปฏิกิรยิ าต้ังฉากระหวา่ งผิวสมั ผสั ๘. เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงอื่น ๆ • กิจกรรมในชวี ิตประจำวันบางกิจกรรมต้องการทก่ี ระทำตอ่ วัตถุ แรงเสยี ดทาน เชน่ การเปิดฝาเกลยี วขวดน้ำ ๙. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ องความรเู้ รอ่ื งแรงเสยี ดทาน การใช้แผ่นกันลืน่ ในหอ้ งนำ้ บางกิจกรรมโดยวิเคราะห์สถานการณป์ ญั หาและเสนอแนะ ไม่ต้องการแรงเสียดทาน เชน่ การลากวตั ถบุ นพนื้วธิ กี ารลดหรอื เพมิ่ แรงเสยี ดทานทเ่ี ปน็ ประโยชน์ การใชน้ ำ้ มนั หลอ่ ลน่ื ในเครือ่ งยนต์ต่อการทำกิจกรรมในชีวติ ประจำวนั • ความรเู้ รือ่ งแรงเสียดทานสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจำวนั ได้๑๐. ออกแบบการทดลองและทดลองดว้ ยวธิ ี • เมื่อมแี รงทกี่ ระทำตอ่ วตั ถโุ ดยไม่ผ่านศนู ย์กลาง ทเี่ หมาะสมในการอธบิ ายโมเมนต์ มวลของวัตถุ จะเกิดโมเมนตข์ องแรง ทำใหว้ ตั ถุ ของแรง เมื่อวตั ถอุ ยใู่ นสภาพสมดุลตอ่ หมนุ รอบศนู ยก์ ลางมวลของวัตถนุ ัน้ การหมุน และคำนวณโดยใชส้ มการ • โมเมนตข์ องแรงเปน็ ผลคณู ของแรงทกี่ ระทำต่อ M = Fl วัตถกุ บั ระยะทางจากจุดหมนุ ไปตง้ั ฉากกบั แนวแรง เมอ่ื ผลรวมของโมเมนตข์ องแรงมคี า่ เปน็ ศนู ย์ วัตถุจะอยูใ่ นสภาพสมดุลตอ่ การหมนุ โดย โมเมนต์ของแรงในทิศทวนเขม็ นาฬิกาจะมีขนาด เท่ากบั โมเมนตข์ องแรงในทศิ ตามเขม็ นาฬิกา • ของเลน่ หลายชนดิ ประกอบดว้ ยอุปกรณ์หลาย สว่ นท่ีใชห้ ลกั การโมเมนต์ของแรง ความรเู้ รื่อง โมเมนตข์ องแรงสามารถนำไปใชอ้ อกแบบและ ประดิษฐข์ องเลน่ ได้ตัวชวี้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 63 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๑๑. เปรยี บเทียบแหลง่ ของสนามแมเ่ หลก็ • วตั ถทุ ีม่ มี วลจะมสี นามโนม้ ถ่วงอยโู่ ดยรอบ สนามไฟฟา้ และสนามโน้มถ่วง และทศิ ทาง แรงโนม้ ถว่ งทก่ี ระทำตอ่ วตั ถทุ อี่ ยใู่ นสนามโนม้ ถว่ ง ของแรงท่ีกระทำตอ่ วตั ถุท่ีอยใู่ นแต่ละสนาม จะมที ศิ พงุ่ เขา้ หาวตั ถทุ เ่ี ปน็ แหลง่ ของสนามโนม้ ถว่ ง จากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ • วตั ถทุ ่ีมีประจุไฟฟา้ จะมีสนามไฟฟ้าอย่โู ดยรอบ ๑๒. เขยี นแผนภาพแสดงแรงแมเ่ หลก็ แรงไฟฟ้า แรงไฟฟา้ ทก่ี ระทำตอ่ วตั ถทุ ม่ี ปี ระจุจะมที ิศพุ่ง และแรงโน้มถ่วงที่กระทำตอ่ วตั ถุ เขา้ หาหรอื ออกจากวตั ถทุ ี่มปี ระจุท่เี ป็นแหล่งของ สนามไฟฟ้า • วตั ถุท่เี ปน็ แม่เหลก็ จะมีสนามแมเ่ หลก็ อยู่โดยรอบ แรงแม่เหลก็ ท่ีกระทำต่อขวั้ แมเ่ หลก็ จะมีทิศ พ่งุ เขา้ หาหรือออกจากขว้ั แมเ่ หลก็ ทเ่ี ปน็ แหลง่ ของสนามแมเ่ หลก็ ๑๓. วเิ คราะห์ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งขนาดของแรง • ขนาดของแรงโนม้ ถว่ ง แรงไฟฟา้ และแรงแมเ่ หลก็ แม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และแรงโนม้ ถ่วงทีก่ ระทำ ที่กระทำต่อวัตถุทีอ่ ยู่ในสนามน้นั ๆ จะมคี ่าลดลง ต่อวัตถทุ ่อี ยูใ่ นสนามนั้น ๆ กบั ระยะหา่ งจาก เมอื่ วตั ถอุ ยหู่ า่ งจากแหลง่ ของสนามนนั้ ๆ มากขนึ้ แหลง่ ของสนามถงึ วัตถจุ ากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ ๑๔. อธิบายและคำนวณอัตราเร็วและความเรว็ ของ • การเคล่ือนทีข่ องวัตถเุ ปน็ การเปล่ยี นตำแหนง่ การเคลอื่ นทข่ี องวัตถุ โดยใช้สมการ ของวัตถุเทียบกบั ตำแหนง่ อ้างองิ โดยมปี รมิ าณ ท่เี กยี่ วขอ้ งกับการเคลื่อนทีซ่ ึ่งมีท้ังปริมาณ v =st และ v =st สเกลารแ์ ละปริมาณเวกเตอร์ เช่น ระยะทาง จากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ อตั ราเรว็ การกระจัด ความเร็ว ปรมิ าณสเกลาร์ ๑๕. เขียนแผนภาพแสดงการกระจัดและความเรว็ เปน็ ปริมาณทม่ี ขี นาด เชน่ ระยะทาง อัตราเร็ว ปริมาณเวกเตอรเ์ ป็นปรมิ าณทม่ี ที ัง้ ขนาด และทิศทาง เชน่ การกระจดั ความเร็ว • เขียนแผนภาพแทนปรมิ าณเวกเตอรไ์ ด้ด้วยลูกศร โดยความยาวของลกู ศรแสดงขนาดและหวั ลกู ศร แสดงทศิ ทางของเวกเตอรน์ น้ั ๆ • ระยะทางเปน็ ปรมิ าณสเกลาร์ โดยระยะทาง เป็นความยาวของเสน้ ทางท่ีเคลอ่ื นท่ไี ด้ • การกระจดั เป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยการกระจดั มีทศิ ชี้จากตำแหน่งเร่ิมต้นไปยังตำแหนง่ สดุ ท้าย และมขี นาดเทา่ กบั ระยะทีส่ ั้นทีส่ ดุ ระหวา่ งสอง ตำแหนง่ นน้ั • อตั ราเร็วเปน็ ปรมิ าณสเกลาร์ โดยอตั ราเร็วเปน็ อัตราสว่ นของระยะทางต่อเวลา • ความเรว็ ปรมิ าณเวกเตอร์มที ศิ เดียวกบั ทศิ ของ การกระจดั โดยความเรว็ เปน็ อตั ราสว่ นของ การกระจดั ตอ่ เวลา64 ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลางม.๓ - -ม.๔ - -ม.๕ ๑. วิเคราะหแ์ ละแปลความหมายขอ้ มูลความเรว็ • การเคล่ือนทข่ี องวัตถุที่มีการเปล่ียนความเรว็ กับเวลาของการเคล่อื นท่ขี องวตั ถุ เพ่อื อธิบาย เป็นการเคลอื่ นท่ดี ้วยความเรง่ ความเร่งเป็น ความเรง่ ของวตั ถุ อัตราสว่ นของความเรว็ ทเี่ ปลยี่ นไปตอ่ เวลาและ เปน็ ปรมิ าณเวกเตอร์ ในกรณีทว่ี ตั ถุทอ่ี ยู่นง่ิ หรือ เคลอ่ื นทใี่ นแนวตรงดว้ ยความเรว็ คงตวั วัตถนุ นั้ มี ความเรง่ เปน็ ศนู ย์ • วตั ถมุ คี วามเรว็ เพม่ิ ขน้ึ ถา้ ความเรว็ และความเรง่ มีทศิ เดยี วกัน และมคี วามเรว็ ลดลง ถา้ ความเรว็ และความเรง่ มที ิศตรงกนั ข้าม๒. สงั เกตและอธิบายการหาแรงลพั ธท์ ่ีเกดิ จาก • เมอ่ื มีแรงหลายแรงกระทำต่อวตั ถหุ นง่ึ โดยแรง แรงหลายแรงทอี่ ยใู่ นระนาบเดยี วกนั ทกี่ ระทำตอ่ ทุกแรงอยใู่ นระนาบเดียวกนั สามารถหาแรงลัพธ์ วตั ถโุ ดยการเขยี นแผนภาพการรวมแบบเวกเตอร์ ทีก่ ระตอ่ วตั ถุน้ันไดโ้ ดยรวมแบบเวกเตอร์๓. สงั เกต วเิ คราะห์ และอธบิ ายความสมั พนั ธ์ • เมือ่ แรงลัพธม์ คี า่ ไม่เท่ากับศนู ยก์ ระทำต่อวตั ถุ ระหวา่ งความเร่งของวตั ถกุ บั แรงลพั ธ์ จะทำใหว้ ตั ถเุ คลอ่ื นทดี่ ว้ ยความเรง่ มที ศิ ทางเดยี วกบั ทกี่ ระทำตอ่ วัตถุและมวลของวัตถุ แรงลัพธ์โดยขนาดของความเรง่ ขน้ึ กับขนาดของ แรงลพั ธ์กระทำตอ่ วตั ถแุ ละมวลของวัตถุ๔. สังเกตและอธบิ ายแรงกิริยาและแรงปฏกิ ริ ยิ า • แรงกระทำระหว่างวตั ถคุ หู่ น่ึง ๆ เปน็ แรงกริ ยิ า ระหว่างวัตถุคหู่ นง่ึ ๆ และแรงปฏกิ ริ ิยา แรงทง้ั สองมขี นาดเท่ากนั เกดิ ขนึ้ พรอ้ มกัน กระทำกับวตั ถคุ นละก้อน แตม่ ที ศิ ทางตรงขา้ ม๕. สังเกตและอธิบายผลของความเร่งทมี่ ีตอ่ การ • วตั ถุท่ีเคลอ่ื นทีด่ ้วยความเร่งคงตวั หรอื ความเรง่ เคลอื่ นทแ่ี บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ ไดแ้ ก่ การเคลอื่ นท่ี ไม่คงตัว อาจเปน็ การเคลือ่ นท่ีแนวตรง แนวตรง การเคลอื่ นทแ่ี บบโพรเจกไทล ์ การเคลอื่ นที่แนวโค้ง หรอื การเคลือ่ นที่แบบสั่นการเคลอ่ื นทแี่ บบวงกลม และการเคลอ่ื นทแี่ บบสน่ั การเคลอื่ นทแี่ นวตรงดว้ ยความเรง่ คงตวั นำไปใช้ อธบิ ายการตกแบบเสรี การเคลอื่ นทแี่ นวโค้งดว้ ย ความเร่งคงตัว นำไปใชอ้ ธิบายการเคล่ือนท่แี บบ โพรเจกไทล์ การเคลือ่ นทีแ่ นวโคง้ ดว้ ยความเรง่ มี ทศิ ทางต้ังฉากกบั ความเร็วตลอดเวลา นำไปใช้ อธิบายการเคลอ่ื นท่ีแบบวงกลม การเคลือ่ นที่ กลับไปกลับมาด้วยความเรง่ มีทิศทางเข้าสจู่ ดุ ที่ แรงลัพธ์เป็นศูนย์ เรียกจดุ น้วี า่ ตำแหนง่ สมดลุ ซ่ึงนำไปใช้อธบิ ายการเคลื่อนท่ีแบบสัน่ ตัวช้วี ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 65 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๖. สืบคน้ ขอ้ มูลและอธบิ ายแรงโนม้ ถ่วง • ในบริเวณท่มี ีสนามโนม้ ถ่วง เมื่อมวี ัตถุที่มมี วล ทีเ่ ก่ยี วกับการเคลอ่ื นท่ขี องวัตถตุ ่าง ๆ รอบโลก จะมแี รงโน้มถว่ งซง่ึ เป็นแรงดึงดูดของโลกกระทำ ตอ่ วัตถุ แรงนีน้ ำไปใช้อธบิ ายการเคลื่อนทีข่ อง วตั ถตุ า่ ง ๆ เชน่ ดาวเทยี ม และดวงจนั ทรร์ อบโลก ๗. สงั เกตและอธบิ ายการเกิดสนามแมเ่ หล็ก • กระแสไฟฟา้ ทำใหเ้ กดิ สนามแม่เหล็กในบริเวณ เนื่องจากกระแสไฟฟา้ รอบแนวการเคลอื่ นทข่ี องกระแสไฟฟา้ หาทศิ ทาง ของสนามแมเ่ หลก็ เนื่องจากกระแสไฟฟา้ ได้จาก กฎมือขวา ๘. สังเกตและอธิบายแรงแมเ่ หลก็ ทก่ี ระทำตอ่ • ในบริเวณท่มี สี นามแมเ่ หล็ก เม่อื มีอนุภาคทม่ี ี อนภุ าคทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ ทเี่ คลอ่ื นทใี่ นสนามแมเ่ หลก็ ประจุไฟฟ้าเคล่ือนทโ่ี ดยไมอ่ ยู่ในแนวเดยี วกบั และแรงแม่เหล็กที่กระทำตอ่ ลวดตัวนำทม่ี ี สนามแมเ่ หลก็ หรอื มกี ระแสไฟฟา้ ผ่านลวดตัวนำ กระแสไฟฟา้ ผ่านในสนามแมเ่ หล็ก รวมทั้ง โดยกระแสไฟฟา้ ไมอ่ ยูใ่ นแนวเดียวกบั สนาม อธบิ ายหลักการทำงานของมอเตอร์ แม่เหลก็ จะมีแรงแม่เหล็กกระทำ ซง่ึ เป็นพ้นื ฐาน ในการสรา้ งมอเตอร์ ๙. สังเกตและอธิบายการเกดิ อีเอม็ เอฟ รวมทง้ั • เมอื่ มสี นามแมเ่ หลก็ เปลย่ี นแปลงตดั ขดลวดตัวนำ ยกตวั อย่างการนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ทำให้เกิดอีเอม็ เอฟ ซึ่งเป็นพ้ืนฐานในการสร้าง เคร่ืองกำเนิดไฟฟ้า ๑๐. สืบคน้ ขอ้ มลู และอธิบายแรงเข้มและแรงอ่อน • ภายในนิวเคลยี สมีแรงเข้มทเี่ ปน็ แรงยึดเหนย่ี ว ของอนภุ าคในนิวเคลยี ส และเป็นแรงหลกั ทใี่ ช้ อธิบายเสถยี รภาพของนิวเคลยี ส นอกจากน้ยี ังมี แรงออ่ น ซึง่ เป็นแรงท่ใี ชอ้ ธิบายการสลายให้ อนุภาคบีตาของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี ม.๖ - -66 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพมาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติ ของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมท้งั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ชั้น ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลางป.๑ ๑. บรรยายการเกดิ เสียงและทศิ ทางการเคลอ่ื นที่ • เสยี งเกดิ จากการสนั่ ของวตั ถุ วตั ถทุ ท่ี ำใหเ้ กดิ เสยี ง ของเสยี งจากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ เปน็ แหลง่ กำเนดิ เสยี ง ซงึ่ มีทั้งแหล่งกำเนิดเสยี ง ตามธรรมชาติและแหลง่ กำเนดิ เสียงท่ีมนุษย์ สร้างข้ึน เสียงเคลอ่ื นทีอ่ อกจากแหลง่ กำเนิดเสียง ทกุ ทศิ ทางป.๒ ๑. บรรยายแนวการเคล่อื นทขี่ องแสงจาก • แสงเคลื่อนทจี่ ากแหล่งกำเนิดแสงทุกทศิ ทางแหล่งกำเนดิ แสง และอธบิ ายการมองเหน็ วตั ถุ เปน็ แนวตรง เม่อื มีแสงจากวัตถมุ าเขา้ ตาจะทำให้จากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ มองเห็นวัตถนุ ้นั การมองเห็นวตั ถุที่เป็น๒. ตระหนกั ในคุณค่าของความรขู้ องการมองเหน็ แหลง่ กำเนดิ แสง แสงจากวตั ถนุ นั้ จะเขา้ สตู่ าโดยตรง โดยเสนอแนะแนวทางการป้องกนั อนั ตราย สว่ นการมองเหน็ วตั ถทุ ไี่ มใ่ ชแ่ หลง่ กำเนดิ แสง ตอ้ งมีจากการมองวตั ถุทอี่ ยใู่ นบริเวณที่มแี สงสวา่ ง แสงจากแหลง่ กำเนดิ แสงไปกระทบวัตถุแล้วไมเ่ หมาะสม สะท้อนเขา้ ตา ถ้ามีแสงทีส่ ว่างมาก ๆ เขา้ สูต่ า อาจเกดิ อนั ตรายต่อตาได้ จงึ ต้องหลกี เลย่ี ง การมองหรอื ใชแ้ ผน่ กรองแสงท่ีมีคุณภาพ เม่อื จำเป็น และตอ้ งจดั ความสว่างใหเ้ หมาะสม กับการทำกจิ กรรมต่าง ๆ เช่น การอา่ นหนังสือ การดูจอโทรทัศน์ การใชโ้ ทรศัพทเ์ คลอ่ื นท่ี และแทบ็ เลต็ ป.๓ ๑. ยกตวั อยา่ งการเปลยี่ นพลังงานหนง่ึ ไปเปน็ อีก • พลงั งานเปน็ ปริมาณที่แสดงถงึ ความสามารถ พลังงานหน่ึงจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ในการทำงาน พลังงานมหี ลายแบบ เชน่ พลังงานกล พลังงานไฟฟา้ พลังงานแสง พลงั งานเสยี ง และพลังงานความรอ้ น โดย พลังงานสามารถเปลยี่ นจากพลังงานหนงึ่ ไปเป็น อีกพลงั งานหน่ึงได้ เช่น การถูมอื จนรสู้ ึกรอ้ น เปน็ การเปลย่ี นพลงั งานกลเปน็ พลงั งานความรอ้ น แผงเซลลส์ รุ ิยะเปล่ียนพลังงานแสงเปน็ พลงั งานไฟฟา้ หรอื เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ เปลย่ี นพลงั งานไฟฟา้ เปน็ พลังงานอืน่ ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 67 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๒. บรรยายการทำงานของเคร่อื งกำเนิดไฟฟา้ และ • ไฟฟ้าผลติ จากเคร่อื งกำเนดิ ไฟฟ้าซึง่ ใช้พลังงาน ระบแุ หล่งพลังงานในการผลิตไฟฟ้า จากขอ้ มูล จากแหล่งพลังงานธรรมชาติหลายแหลง่ เชน่ ทีร่ วบรวมได้ พลังงานจากลม พลงั งานจากน้ำ พลังงานจาก ๓. ตระหนกั ในประโยชนแ์ ละโทษของไฟฟา้ โดย แกส๊ ธรรมชาต ิ นำเสนอวิธกี ารใชไ้ ฟฟ้าอยา่ งประหยดั และ • พลงั งานไฟฟา้ มคี วามสำคญั ตอ่ ชวี ติ ประจำวนั ปลอดภัย การใช้ไฟฟ้านอกจากต้องใชอ้ ย่างถกู วธิ ี ประหยดั และคมุ้ คา่ แลว้ ยงั ตอ้ งคำนงึ ถงึ ความปลอดภยั ดว้ ย ป.๔ ๑. จำแนกวตั ถเุ ปน็ ตัวกลางโปร่งใส • เมอื่ มองสงิ่ ตา่ ง ๆ โดยมวี ตั ถตุ า่ งชนดิ กนั มากน้ั แสง ตวั กลางโปรง่ แสง และวัตถทุ ึบแสง จากลกั ษณะ จะทำใหล้ ักษณะการมองเห็นสิ่งน้ัน ๆ ชดั เจน การมองเหน็ สิง่ ต่าง ๆ ผ่านวัตถนุ ้นั เป็นเกณฑ์ ต่างกัน จึงจำแนกวัตถทุ ี่มากน้ั ออกเป็น โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ตวั กลางโปรง่ ใส ซง่ึ ทำใหม้ องเหน็ สง่ิ ตา่ ง ๆ ไดช้ ดั เจน ตัวกลางโปรง่ แสงทำให้มองเหน็ ส่ิงต่าง ๆ ได้ ไมช่ ัดเจน และวัตถุทบึ แสงทำใหม้ องไมเ่ หน็ ส่ิงตา่ ง ๆ นั้น ป.๕ ๑. อธิบายการได้ยินเสยี งผา่ นตวั กลางจากหลกั ฐาน • การไดย้ ินเสียงตอ้ งอาศยั ตวั กลาง โดยอาจเปน็ เชิงประจักษ์ ของแขง็ ของเหลว หรอื อากาศ เสียงจะสง่ ผา่ น ตัวกลางมายงั หู ๒. ระบตุ วั แปร ทดลอง และอธิบายลักษณะและ • เสียงที่ได้ยินมีระดับสงู ตำ่ ของเสียงตา่ งกนั ขึ้นกับ การเกดิ เสียงสงู เสยี งต่ำ ความถี่ของการสน่ั ของแหล่งกำเนดิ เสยี ง โดยเมอ่ื แหลง่ กำเนดิ เสยี งสนั่ ดว้ ยความถตี่ ำ่ จะเกดิ เสยี งตำ่ ๓. ออกแบบการทดลองและอธิบายลกั ษณะและ แต่ถ้าสน่ั ดว้ ยความถ่ีสูงจะเกิดเสยี งสงู สว่ น การเกิดเสยี งดงั เสยี งคอ่ ย เสียงดงั คอ่ ยที่ได้ยินขึ้นกับพลงั งานการสน่ั ของ แหลง่ กำเนดิ เสยี ง โดยเมอ่ื แหลง่ กำเนดิ เสยี งสนั่ ดว้ ย ๔. วัดระดบั เสยี งโดยใช้เครื่องมอื วัดระดบั เสยี ง พลงั งานมากจะเกดิ เสยี งดงั แตถ่ า้ แหลง่ กำเนดิ เสยี ง ๕. ตระหนกั ในคุณค่าของความรู้เรือ่ งระดับเสยี ง ส่ันด้วยพลงั งานน้อยจะเกดิ เสียงค่อย • เสียงดงั มาก ๆ เป็นอันตรายต่อการได้ยินและ โดยเสนอแนะแนวทางในการหลกี เลี่ยงและลด เสยี งท่ีก่อใหเ้ กดิ ความรำคาญเปน็ มลพิษทางเสียง มลพษิ ทางเสียง เดซิเบลเปน็ หน่วยท่ีบอกถงึ ความดงั ของเสียง ป.๖ ๑. ระบุสว่ นประกอบและบรรยายหนา้ ทขี่ องแตล่ ะ • วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ยประกอบดว้ ย แหลง่ กำเนดิ ไฟฟา้ สว่ นประกอบของวงจรไฟฟา้ อย่างง่ายจาก สายไฟฟา้ และเครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ หรืออปุ กรณไ์ ฟฟ้า หลกั ฐานเชิงประจักษ ์ แหลง่ กำเนิดไฟฟา้ เช่น ถา่ นไฟฉาย หรือ ๒. เขียนแผนภาพและตอ่ วงจรไฟฟา้ อย่างงา่ ย แบตเตอร่ี ทำหนา้ ที่ให้พลงั งานไฟฟ้า สายไฟฟา้ เปน็ ตวั นำไฟฟา้ ทำหนา้ ทเ่ี ชอื่ มตอ่ ระหวา่ ง แหลง่ กำเนดิ ไฟฟา้ และเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ เขา้ ดว้ ยกนั เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ มหี น้าท่เี ปลี่ยนพลงั งานไฟฟ้าเป็น พลังงานอน่ื 68 ตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ชัน้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๓. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวธิ ีที่ • เมื่อนำเซลล์ไฟฟา้ หลายเซลล์มาต่อเรียงกัน เหมาะสมในการอธิบายวิธีการและผลของ โดยใหข้ ้วั บวกของเซลลไ์ ฟฟ้าเซลลห์ นง่ึ ต่อกับการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม ข้วั ลบของอีกเซลล์หนง่ึ เปน็ การต่อแบบอนุกรม๔. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ องความรู้ของการต่อ ทำใหม้ ีพลังงานไฟฟา้ เหมาะสมกบั เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าเซลล์ไฟฟ้าแบบอนกุ รมโดยบอกประโยชนแ์ ละ ซงึ่ การต่อเซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนกุ รมสามารถนำไปการประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจำวัน ใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจำวนั เช่น การตอ่ เซลล์ไฟฟ้าในไฟฉาย๕. ออกแบบการทดลองและทดลองดว้ ยวิธที ี่ • การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนกุ รมเม่อื ถอด เหมาะสมในการอธิบายการตอ่ หลอดไฟฟา้ หลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหน่ึงออกทำใหห้ ลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนาน ทเ่ี หลือดับท้ังหมด สว่ นการต่อหลอดไฟฟา้ แบบขนาน เมอ่ื ถอดหลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหนงึ่ ออก๖. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการตอ่ หลอดไฟฟ้าทเี่ หลอื กย็ งั สว่างได้ การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนาน โดย หลอดไฟฟา้ แตล่ ะแบบสามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ บอกประโยชน์ ข้อจำกดั และการประยุกต์ใช้ เช่น การตอ่ หลอดไฟฟา้ หลายดวงในบา้ นจงึ ตอ้ ง ในชีวติ ประจำวนั ตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบขนาน เพอื่ เลือกใช้ หลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึง่ ไดต้ ามตอ้ งการ๗. อธบิ ายการเกดิ เงามดื เงามวั จากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ • เม่อื นำวตั ถุทึบแสงมากั้นแสงจะเกิดเงาบนฉาก๘. เขยี นแผนภาพรงั สีของแสงแสดงการเกดิ รบั แสงทอี่ ยดู่ ้านหลังวตั ถุ โดยเงามรี ปู รา่ งคล้ายเงามดื เงามวั วตั ถุทีท่ ำใหเ้ กิดเงา เงามัวเป็นบรเิ วณท่ีมแี สง บางสว่ นตกลงบนฉาก สว่ นเงามืดเปน็ บริเวณ ทไ่ี ม่มีแสงตกลงบนฉากเลยม.๑ ๑. วเิ คราะห์ แปลความหมายข้อมูล และคำนวณ • เม่ือสสารไดร้ บั หรือสญู เสียความรอ้ นอาจทำให้ ปริมาณความร้อนที่ทำให้สสารเปลย่ี นอุณหภูมิ สสารเปลยี่ นอณุ หภมู ิ เปล่ยี นสถานะ หรือเปล่ยี น และเปล่ียนสถานะ รูปรา่ ง • ปรมิ าณความร้อนทท่ี ำใหส้ สารเปล่ียนอณุ หภูมิ โดยใช้สมการ Q = m c ∆ t และ Q = mL ขึ้นกบั มวล ความรอ้ นจำเพาะ และอณุ หภูม ิ ๒. ใช้เทอร์มอมิเตอร์ในการวดั อุณหภูมขิ องสสาร ทเ่ี ปล่ยี นไป • ปรมิ าณความรอ้ นทีท่ ำใหส้ สารเปลีย่ นสถานะ ขึ้นกับมวลและความรอ้ นแฝงจำเพาะ โดยขณะท่ี สสารเปล่ยี นสถานะ อณุ หภูมจิ ะไมเ่ ปลีย่ นแปลง๓. สรา้ งแบบจำลองทอ่ี ธบิ ายการขยายตวั หรือ • ความร้อนทำใหส้ สารขยายตัวหรอื หดตัวได้ หดตัวของสสารเนอ่ื งจากได้รับหรือสญู เสยี เน่อื งจากเมื่อสสารไดร้ บั ความร้อนจะทำให้ ความร้อน อนุภาคเคลอื่ นที่เร็วขึน้ ทำให้เกดิ การขยายตัวตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 69 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๔. ตระหนกั ถึงประโยชน์ของความรขู้ องการหด แต่เมอื่ สสารคายความรอ้ นจะทำใหอ้ นภุ าค และขยายตัวของสสารเนอื่ งจากความร้อน เคล่อื นทีช่ า้ ลง ทำใหเ้ กดิ การหดตวั โดยวเิ คราะห์สถานการณ์ปัญหา และเสนอแนะ • ความร้เู รอื่ งการหดและขยายตัวของสสาร วธิ ีการนำความรูม้ าแก้ปัญหาในชวี ติ ประจำวัน เนือ่ งจากความร้อนนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ดา้ น ต่าง ๆ เชน่ การสรา้ งถนน การสร้างรางรถไฟ การทำเทอรม์ อมิเตอร์ ๕. วเิ คราะห์สถานการณ์การถา่ ยโอนความร้อน • ความรอ้ นถา่ ยโอนจากสสารท่มี อี ณุ หภมู ิสงู กวา่ และคำนวณปริมาณความร้อนทถี่ า่ ยโอน ไปยังสสารทีม่ อี ุณหภมู ติ ่ำกวา่ จนกระทั่งอณุ หภมู ิ ระหวา่ งสสารจนเกดิ สมดลุ ความรอ้ นโดยใช้ ของสสารท้งั สองเท่ากัน สภาพทส่ี สารทั้งสอง สมการ Qสญู เสีย = Qได้รับ มอี ุณหภูมิเทา่ กนั เรยี กวา่ สมดุลความรอ้ น • เม่ือมีการถ่ายโอนความร้อนจากสสารท่มี ี อณุ หภูมติ า่ งกนั จนเกดิ สมดุลความรอ้ น ความรอ้ นทเ่ี พม่ิ ขึน้ ของสสารหนงึ่ จะเทา่ กบั ความร้อนที่ลดลงของอีกสสารหนง่ึ ซงึ่ เปน็ ไป ตามกฎการอนุรกั ษ์พลังงาน ๖. สรา้ งแบบจำลองทอ่ี ธบิ ายการถา่ ยโอนความรอ้ น • การถ่ายโอนความร้อนมี ๓ แบบ คอื โดยการนำความร้อน การพาความร้อน การนำความร้อน การพาความร้อน และ การแผ่รงั สคี วามร้อน การแผร่ งั สคี วามรอ้ น การนำความรอ้ นเปน็ การถา่ ยโอน ๗. ออกแบบ เลอื กใช้ และสร้างอุปกรณ์ เพอ่ื แก้ ความรอ้ นทอ่ี าศัยตัวกลาง โดยทีต่ วั กลาง ปัญหาในชีวติ ประจำวันโดยใชค้ วามรเู้ กีย่ วกบั ไมเ่ คล่ือนที่ การพาความรอ้ นเปน็ การถ่ายโอน การถา่ ยโอนความร้อน ความรอ้ นทีอ่ าศยั ตัวกลาง โดยทีต่ ัวกลาง เคลือ่ นทไ่ี ปด้วย ส่วนการแผ่รังสคี วามรอ้ น เป็นการถา่ ยโอนความร้อนทีไ่ ม่ต้องอาศยั ตัวกลาง • ความรเู้ กีย่ วกบั การถ่ายโอนความรอ้ นสามารถ นำไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจำวนั ได้ เช่น การเลือกใช้วสั ดุเพือ่ นำมาทำภาชนะบรรจอุ าหาร เพ่อื เกบ็ ความรอ้ น หรือการออกแบบระบบ ระบายความร้อนในอาคาร ม.๒ ๑. วเิ คราะห์สถานการณแ์ ละคำนวณเกยี่ วกบั งาน • เมอ่ื ออกแรงกระทำต่อวตั ถุ แลว้ ทำใหว้ ตั ถุ และกำลงั ท่ีเกดิ จากแรงทีก่ ระทำตอ่ วตั ถุ เคล่อื นท่ี โดยแรงอยใู่ นแนวเดียวกบั การเคลือ่ นท่ี จะเกิดงาน งานจะมคี า่ มากหรอื น้อยขน้ึ กับขนาด โดยใชส้ มการ W = Fs และ P = Wt ของแรงและระยะทางในแนวเดยี วกบั แรง จากข้อมูลท่รี วบรวมได้ • งานทท่ี ำในหนง่ึ หนว่ ยเวลาเรยี กวา่ กำลงั หลกั การ ๒. วเิ คราะห์หลักการทำงานของเครื่องกลอย่างงา่ ย ของงานนำไปอธิบายการทำงานของ จากขอ้ มลู ทรี่ วบรวมได้70 ตัวชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ๓. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรขู้ อง เครอ่ื งกลอยา่ งงา่ ย ไดแ้ ก่ คาน พนื้ เอยี ง รอกเดยี่ ว ลม่ิ เครอ่ื งกลอย่างง่าย โดยบอกประโยชน์ สกรู ลอ้ และเพลา ซงี่ นำไปใชป้ ระโยชนด์ า้ นตา่ ง ๆ และการประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจำวนั ในชีวติ ประจำวัน๔. ออกแบบและทดลองด้วยวธิ ที เ่ี หมาะสมในการ • พลงั งานจลน์เปน็ พลงั งานของวตั ถุทีเ่ คล่ือนท่ี อธิบายปัจจยั ทมี่ ีผลต่อพลงั งานจลน์ และ พลงั งานจลนจ์ ะมคี ่ามากหรือนอ้ ยข้นึ กบั มวลและ พลังงานศักยโ์ น้มถ่วง อัตราเรว็ ส่วนพลงั งานศกั ยโ์ น้มถว่ งเกี่ยวขอ้ งกับ ตำแหน่งของวตั ถุ จะมคี า่ มากหรือน้อยขึน้ กับ มวลและตำแหนง่ ของวัตถุ เม่ือวัตถุอย่ใู น สนามโน้มถ่วง วัตถุจะมพี ลังงานศักย์โนม้ ถ่วง พลงั งานจลนแ์ ละพลังงานศกั ย์โนม้ ถว่ งเป็น พลงั งานกล๕. แปลความหมายข้อมลู และอธิบายการเปล่ียน • ผลรวมของพลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถว่ งและพลงั งานจลน์พลังงานระหวา่ งพลังงานศักยโ์ นม้ ถ่วงและ เปน็ พลังงานกล พลงั งานศักยโ์ น้มถว่ งและพลังงานจลนข์ องวตั ถโุ ดยพลงั งานกลของวตั ถ ุ พลงั งานจลนข์ องวัตถหุ นง่ึ ๆ สามารถเปลีย่ นมีค่าคงตัวจากขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ กลบั ไปมาได้ โดยผลรวมของพลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถว่ ง และพลังงานจลนม์ ีคา่ คงตวั นน่ั คือพลังงานกล ของวตั ถุมีคา่ คงตวั ๖. วเิ คราะหส์ ถานการณ์และอธิบายการเปลี่ยน • พลงั งานรวมของระบบมีค่าคงตัวซ่งึ อาจเปลี่ยน และการถ่ายโอนพลังงานโดยใช้ จากพลงั งานหน่ึงเปน็ อีกพลงั งานหนึง่ เช่น กฎการอนรุ กั ษ์พลังงาน พลงั งานกลเปลยี่ นเป็นพลงั งานไฟฟ้า พลงั งานจลนเ์ ปลย่ี นเปน็ พลงั งานความรอ้ น พลังงานเสยี ง พลงั งานแสง เนือ่ งมาจาก แรงเสียดทาน พลงั งานเคมีในอาหารเปลีย่ นเปน็ พลงั งานท่ีไปใชใ้ นการทำงานของสิง่ มีชีวติ • นอกจากนีพ้ ลงั งานยังสามารถถ่ายโอนไปยงั อกี ระบบหน่ึงหรอื ไดร้ ับพลงั งานจากระบบอน่ื ได้ เชน่ การถ่ายโอนความร้อนระหว่างสสาร การถา่ ยโอนพลงั งานของการสน่ั ของแหลง่ กำเนดิ เสยี ง ไปยงั ผฟู้ งั ทง้ั การเปลยี่ นพลงั งานและการถา่ ยโอน พลังงาน พลังงานรวมทัง้ หมดมีคา่ เทา่ เดมิ ตาม กฎการอนุรักษพ์ ลงั งานตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 71 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๓ ๑. วิเคราะหค์ วามสมั พนั ธ์ระหวา่ งความตา่ งศักย์ • เมื่อตอ่ วงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมกี ระแสไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ และความตา้ นทาน และคำนวณ ออกจากขัว้ บวกผ่านวงจรไฟฟา้ ไปยังขัว้ ลบของ ปรมิ าณที่เก่ยี วข้องโดยใชส้ มการ V = IR แหลง่ กำเนิดไฟฟ้า ซึ่งวดั ค่าไดจ้ ากแอมมิเตอร์ จากหลักฐานเชิงประจักษ์ • คา่ ทบ่ี อกความแตกตา่ งของพลงั งานไฟฟา้ ตอ่ หนว่ ย ๒. เขยี นกราฟความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟา้ ประจุระหว่างจุด ๒ จดุ เรยี กวา่ ความตา่ งศกั ย์ และความต่างศักย์ไฟฟ้า ซ่งึ วดั คา่ ไดจ้ ากโวลต์มเิ ตอร์ ๓. ใชโ้ วลต์มเิ ตอร์ แอมมิเตอรใ์ นการวัดปรมิ าณทาง • ขนาดของกระแสไฟฟ้ามคี ่าแปรผนั ตรงกับ ไฟฟา้ ความตา่ งศักย์ระหวา่ งปลายทง้ั สองของตัวนำ โดยอตั ราสว่ นระหวา่ งความตา่ งศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟา้ มคี ่าคงท่ี เรยี กคา่ คงท่นี วี้ า่ ความตา้ นทาน ๔. วิเคราะหค์ วามต่างศกั ย์ไฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ • ในวงจรไฟฟ้าประกอบดว้ ยแหลง่ กำเนิดไฟฟ้า ในวงจรไฟฟา้ เมอื่ ต่อตวั ต้านทานหลายตวั สายไฟฟ้า และอุปกรณ์ไฟฟา้ โดยอุปกรณ์ไฟฟ้า แบบอนกุ รมและแบบขนานจากหลกั ฐาน แตล่ ะชนิ้ มีความต้านทาน ในการตอ่ ตัวตา้ นทาน เชงิ ประจกั ษ์ หลายตวั มีทง้ั ต่อแบบอนกุ รมและแบบขนาน ๕. เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟา้ แสดงการตอ่ ตวั ตา้ นทาน • การตอ่ ตวั ต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมใน แบบอนุกรมและขนาน วงจรไฟฟ้า ความต่างศักยท์ ี่คร่อมตวั ตา้ นทาน แตล่ ะตัวมคี า่ เทา่ กับผลรวมของความต่างศักย์ ที่ครอ่ มตวั ตา้ นทานแต่ละตัว โดยกระแสไฟฟ้า ที่ผ่านตวั ตา้ นทานแต่ละตวั มคี ่าเทา่ กัน ๖. บรรยายการทำงานของช้นิ สว่ นอเิ ล็กทรอนิกส์ • การต่อตวั ตา้ นทานหลายตวั แบบขนานใน อยา่ งง่ายในวงจรจากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ วงจรไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ทผี่ า่ นวงจรมคี า่ เทา่ กบั ผลรวม ของกระแสไฟฟา้ ที่ผ่านตัวตา้ นทานแตล่ ะตวั ๗. เขยี นแผนภาพและต่อชนิ้ ส่วนอเิ ล็กทรอนกิ ส์ โดยความต่างศกั ยท์ ่ีคร่อมตวั ตา้ นทานแต่ละตวั อยา่ งงา่ ยในวงจรไฟฟ้า มคี ่าเทา่ กนั • ชน้ิ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนกิ สม์ หี ลายชนดิ เชน่ ตวั ตา้ นทาน ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ตวั เกบ็ ประจุ โดยชิน้ สว่ น แตล่ ะชนดิ ทำหน้าท่ีแตกต่างกันเพ่อื ใหว้ งจร ทำงานได้ตามตอ้ งการ • ตวั ตา้ นทานทำหนา้ ทคี่ วบคมุ ปรมิ าณกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้ ไดโอดทำหน้าที่ให้กระแสไฟฟา้ ผ่านทางเดยี ว ทรานซสิ เตอร์ทำหน้าทเี่ ปน็ สวติ ช์ ปดิ หรือเปิดวงจรไฟฟ้าและควบคมุ ปริมาณ กระแสไฟฟ้า ตัวเกบ็ ประจุทำหนา้ ทเี่ กบ็ และ คายประจไุ ฟฟา้ 72 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้ัน ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ อย่างงา่ ยประกอบดว้ ยชิน้ ส่วน อิเลก็ ทรอนกิ สห์ ลายชนิดทีท่ ำงานร่วมกนั การต่อวงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์โดยเลอื กใชช้ ้นิ ส่วน อเิ ลก็ ทรอนิกส์ท่ีเหมาะสมตามหนา้ ทขี่ องชน้ิ สว่ น นั้น ๆ จะสามารถทำใหว้ งจรไฟฟา้ ทำงานไดต้ าม ตอ้ งการ๘. อธบิ ายและคำนวณพลังงานไฟฟา้ โดยใชส้ มการ • เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ จะมคี า่ กำลงั ไฟฟา้ และความตา่ งศกั ย์W = Pt รวมทั้งคำนวณค่าไฟฟ้าของเครือ่ งใช้ กำกบั ไว้ กำลงั ไฟฟา้ มหี นว่ ยเปน็ วตั ต์ ความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ ในบา้ น มีหน่วยเปน็ โวลต์ ค่าไฟฟ้าสว่ นใหญค่ ดิ จาก๙. ตระหนกั ในคณุ คา่ ของการเลอื กใชเ้ ครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ พลังงานไฟฟ้าที่ใชท้ ั้งหมด ซ่ึงหาได้จากผลคูณโดยนำเสนอวธิ กี ารใชเ้ คร่ืองใช้ไฟฟ้า ของกำลงั ไฟฟา้ ในหนว่ ยกโิ ลวัตต์ กบั เวลาในอย่างประหยัดและปลอดภัย หนว่ ยช่วั โมง พลงั งานไฟฟ้ามีหน่วยเป็น กิโลวัตต์ ชั่วโมง หรือหน่วย • วงจรไฟฟ้าในบ้านมกี ารต่อเคร่อื งใช้ไฟฟ้าแบบ ขนานเพอ่ื ใหค้ วามตา่ งศกั ยเ์ ทา่ กนั การใชเ้ ครอ่ื งใช้ ไฟฟา้ ในชวี ติ ประจำวนั ตอ้ งเลอื กใชเ้ ครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ทีม่ คี วามตา่ งศักยแ์ ละกำลงั ไฟฟ้าใหเ้ หมาะกบั การใชง้ าน และการใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้าและอุปกรณ์ ไฟฟา้ ตอ้ งใชอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ปลอดภยั และประหยดั ๑๐. สรา้ งแบบจำลองทอี่ ธบิ ายการเกดิ คลนื่ • คลนื่ เกดิ จากการสง่ ผา่ นพลงั งานโดยอาศยั ตวั กลาง และบรรยายสว่ นประกอบของคล่นื และไม่อาศยั ตวั กลาง ในคลน่ื กล พลงั งานจะถกู ถา่ ยโอนผ่านตวั กลางโดยอนภุ าคของตวั กลาง ไม่เคลื่อนทีไ่ ปกบั คล่ืน คลื่นท่ีแผอ่ อกมาจาก แหล่งกำเนดิ คล่ืนอยา่ งต่อเน่ืองและมีรูปแบบที่ ซ้ำกนั บรรยายได้ด้วยความยาวคลนื่ ความถี่ แอมพลจิ ดู ๑๑. อธบิ ายคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและสเปกตรมั • คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ เป็นคลื่นทไ่ี ม่อาศัยตวั กลาง คลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ จากขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได ้ ในการเคลอื่ นที่ มคี วามถตี่ อ่ เนอื่ งเปน็ ชว่ งกวา้ งมาก เคล่อื นทใี่ นสุญญากาศดว้ ยอัตราเร็วเท่ากัน ๑๒. ตระหนักถึงประโยชน์และอันตรายจาก แตจ่ ะเคล่อื นท่ีดว้ ยอัตราเรว็ ต่างกันในตัวกลางอื่น คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ โดยนำเสนอการใช้ คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แบง่ ออกเปน็ ชว่ งความถตี่ า่ ง ๆ ประโยชน์ในดา้ นตา่ ง ๆ และอนั ตรายจาก เรียกว่า สเปกตรมั ของคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ แตล่ ะ คลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ ในชีวติ ประจำวนั ชว่ งความถมี่ ชี ่อื เรียกต่างกนั ไดแ้ ก่ คลน่ื วิทยุ ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด แสงทมี่ องเหน็ อลั ตราไวโอเลต รงั สเี อกซ์และรงั สีแกมมา ซง่ึ สามารถนำไป ใชป้ ระโยชน์ได้ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 73 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง • เลเซอร์เป็นคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าทม่ี ีความยาวคลน่ื เดยี ว เปน็ ลำแสงขนานและมคี วามเขม้ สงู นำไปใช้ ประโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ เช่น ดา้ นการสื่อสาร มีการใชเ้ ลเซอรส์ ำหรับส่งสารสนเทศผา่ น เสน้ ใยนำแสง โดยอาศยั หลกั การการสะทอ้ นกลบั หมด ของแสง ดา้ นการแพทยใ์ ชใ้ นการผ่าตดั • คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ นอกจากจะสามารถนำไปใช้ ประโยชนแ์ ลว้ ยังมโี ทษต่อมนษุ ยด์ ว้ ย เชน่ ถา้ มนษุ ยไ์ ด้รบั รงั สีอลั ตราไวโอเลตมากเกินไป อาจจะทำใหเ้ กดิ มะเร็งผิวหนัง หรือถ้าได้รงั สี แกมมาซง่ึ เป็นคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ ที่มพี ลังงานสงู และสามารถทะลผุ ่านเซลล์และอวัยวะได ้ อาจทำลายเนอื้ เยือ่ หรืออาจทำใหเ้ สยี ชีวิตได้ เมอื่ ได้รบั รังสีแกมมาในปรมิ าณสูง ๑๓. ออกแบบการทดลองและดำเนินการทดลอง • เมอื่ แสงตกกระทบวัตถุจะเกิดการสะทอ้ นซง่ึ เป็น ดว้ ยวิธีที่เหมาะสมในการอธบิ าย ไปตามกฎการสะทอ้ นของแสง โดยรงั สตี กกระทบ กฎการสะท้อนของแสง เส้นแนวฉาก รงั สีสะท้อนอยูใ่ นระนาบเดยี วกนั และมุมตกกระทบเท่ากบั มมุ สะท้อน ภาพจาก ๑๔. เขยี นแผนภาพการเคลอ่ื นที่ของแสง แสดง กระจกเงาเกิดจากรงั สสี ะทอ้ นตัดกันหรือตอ่ แนว การเกดิ ภาพจากกระจกเงา รงั สสี ะทอ้ นใหต้ ดั กนั โดยถา้ รงั สสี ะทอ้ นตดั กนั จรงิ จะเกิดภาพจรงิ แต่ถา้ ตอ่ แนวรงั สีสะทอ้ นให้ ไปตัดกัน จะเกิดภาพเสมอื น ๑๕. อธิบายการหักเหของแสงเม่อื ผา่ นตัวกลาง • เมือ่ แสงเดนิ ทางผ่านตัวกลางโปร่งใสท่ีแตกตา่ ง โปร่งใสทแี่ ตกต่างกนั และอธบิ ายการกระจาย กัน เชน่ อากาศและน้ำ อากาศและแกว้ จะเกดิ แสงของแสงขาวเมื่อผา่ นปรซิ มึ จากหลกั ฐาน การหักเห หรอื อาจเกดิ การสะท้อนกลบั หมดใน เชิงประจกั ษ ์ ตวั กลางท่ีแสงตกกระทบ การหกั เหของแสงผา่ น ๑๖. เขียนแผนภาพการเคล่ือนทขี่ องแสง เลนส์ทำให้เกิดภาพท่ีมชี นิดและขนาดตา่ ง ๆ แสดงการเกดิ ภาพจากเลนสบ์ าง • แสงขาวประกอบดว้ ยแสงสีตา่ ง ๆ เม่อื แสงขาว ผา่ นปรซิ มึ จะเกดิ การกระจายแสงเปน็ แสงสตี า่ ง ๆ เรียกวา่ สเปกตรมั ของแสงขาว เมื่อเคลอ่ื นท่ใี น ตัวกลางใด ๆ ทไ่ี มใ่ ช่อากาศ จะมอี ัตราเร็วต่างกนั จงึ มีการหักเหตา่ งกนั 74 ตัวชีว้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ๑๗. อธิบายปรากฏการณท์ เ่ี ก่ียวกบั แสง และการ • การสะทอ้ นและการหกั เหของแสงนำไปใช้อธิบายทำงานของทัศนอุปกรณ์จากข้อมลู ทรี่ วบรวม ปรากฏการณท์ ่ีเกีย่ วกบั แสง เชน่ รงุ้ มิราจ และได้ อธบิ ายการทำงานของทศั นอปุ กรณ์ เชน่ แวน่ ขยาย๑๘.เขยี นแผนภาพการเคลอื่ นท่ีของแสง แสดงการ กระจกโคง้ จราจร กลอ้ งโทรทรรศน์เกิดภาพของทศั นอุปกรณ์และเลนส์ตา กล้องจุลทรรศน์ และแว่นสายตา • ในการมองวตั ถุ เลนส์ตาจะถูกปรบั โฟกสั เพอ่ื ให้เกิดภาพชดั ที่จอตา ความบกพร่องทางสายตา เชน่ สายตาสน้ั และสายตายาว เปน็ เพราะตำแหนง่ ทเี่ กิดภาพไมไ่ ดอ้ ยู่ทจ่ี อตาพอดี จึงตอ้ งใชเ้ ลนส์ ในการแกไ้ ขเพือ่ ช่วยใหม้ องเห็นเหมอื นคนสายตา ปกติ โดยคนสายตาสั้นใช้เลนส์เวา้ ส่วนคน สายตายาวใช้เลนสน์ นู ๑๙. อธบิ ายผลของความสว่างท่ีมตี ่อดวงตาจาก • ความสวา่ งของแสงมผี ลตอ่ ดวงตามนษุ ย์ การใช้ขอ้ มลู ที่ได้จากการสบื คน้ สายตาในสภาพแวดลอ้ มทม่ี คี วามสวา่ งไมเ่ หมาะสม๒๐. วัดความสวา่ งของแสงโดยใชอ้ ปุ กรณว์ ดั จะเป็นอนั ตรายตอ่ ดวงตา เช่น การดูวตั ถใุ นทมี่ ีความสว่างของแสง ความสว่างมากหรือนอ้ ยเกินไป การจ้องดู๒๑. ตระหนักในคุณคา่ ของความรู้เรอ่ื ง ความสว่าง หนา้ จอภาพเปน็ เวลานาน ความสวา่ งบนพน้ื ทรี่ บั แสงของแสงทม่ี ตี อ่ ดวงตา โดยวเิ คราะหส์ ถานการณ์ มีหน่วยเป็นลกั ซ์ ความรู้เก่ียวกบั ความสว่างปญั หาและเสนอแนะการจดั ความสวา่ ง สามารถนำมาใชจ้ ัดความสว่างให้เหมาะสมกบัใหเ้ หมาะสมในการทำกจิ กรรมต่าง ๆ การทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ เช่น การจัดความสว่าง ท่เี หมาะสมสำหรบั การอ่านหนงั สอื ม.๔ - -ม.๕ ๑. สืบค้นขอ้ มลู และอธบิ ายพลงั งานนิวเคลียร ์ • พลงั งานทป่ี ลดปลอ่ ยออกมาจากฟชิ ชนั หรอื ฟวิ ชนัฟชิ ชนั และฟวิ ชนั และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมวล เรยี กวา่ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ โดยฟชิ ชนั เปน็ ปฏกิ ริ ยิ ากบั พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากฟิชชนั ทน่ี วิ เคลยี สทมี่ มี วลมากแตกออกเปน็ นวิ เคลียสที่มีและฟิวชัน มวลน้อยกวา่ ส่วนฟวิ ชันเปน็ ปฏกิ ิรยิ าทน่ี ิวเคลยี ส ทม่ี ีมวลนอ้ ยรวมตวั กนั เกิดเปน็ นวิ เคลียสท่ีมีมวล มากขนึ้ พลงั งานนวิ เคลยี รท์ ปี่ ลดปลอ่ ยออกมาจาก ฟิชชันและฟิวชนั มีค่าเปน็ ไปตามความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งมวลกับพลงั งานตวั ชี้วัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 75 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ๒. สบื ค้นข้อมลู และอธิบายการเปล่ยี นพลังงาน • การนำพลังงานทดแทนมาใชเ้ ปน็ การแกป้ ัญหา ทดแทนเป็นพลังงานไฟฟา้ รวมทัง้ สบื คน้ และ หรือตอบสนองความต้องการดา้ นพลงั งาน เช่น อภปิ รายเกย่ี วกบั เทคโนโลยที นี่ ำมาแกป้ ญั หา การเปลยี่ นพลังงานนิวเคลียร์เปน็ พลังงานไฟฟา้ หรือตอบสนองความต้องการทางด้านพลงั งาน ในโรงไฟฟา้ นวิ เคลยี ร์ และการเปลี่ยนพลงั งาน โดยเน้นดา้ นประสทิ ธิภาพและความคุ้มคา่ แสงอาทติ ย์เปน็ พลังงานไฟฟา้ โดยเซลลส์ ุรยิ ะ ด้านค่าใชจ้ า่ ย • เทคโนโลยตี า่ ง ๆ ทนี่ ำมาแกป้ ญั หาหรอื ตอบสนอง ความต้องการทางดา้ นพลงั งานเปน็ การนำความรู้ ทักษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์มาสรา้ ง อปุ กรณ์หรือผลติ ภัณฑ์ต่าง ๆ ทีช่ ว่ ยใหก้ ารใช้ พลังงานมีประสิทธภิ าพยิง่ ขึ้น ๓. สังเกต และอธบิ ายการสะท้อน การหกั เห • เมือ่ คล่นื เคล่อื นทไี่ ปพบสิ่งกดี ขวาง จะเกิด การเลยี้ วเบน และการรวมคลื่น การสะทอ้ น เมอ่ื คลนื่ เคลอื่ นทผี่ า่ นรอยตอ่ ระหวา่ ง ตวั กลางที่ต่างกนั จะเกิดการหกั เห เมอื่ คลื่น เคลอื่ นทไี่ ปพบขอบสง่ิ กดี ขวางจะเกดิ การเลย้ี วเบน เมอ่ื คล่ืนสองขบวนมาพบกันจะเกิดการรวมคล่นื เกดิ รปู ร่างของคล่ืนรวม หลงั จากคลื่นทัง้ สอง เคลอ่ื นทผ่ี า่ นพน้ กนั แลว้ จะแยกกนั โดยแตล่ ะคลนื่ ยังคงมีรปู รา่ งและทศิ ทางเดมิ ๔. สงั เกต และอธบิ ายความถธี่ รรมชาติ การสนั่ พอ้ ง • เมือ่ กระต้นุ ให้วัตถสุ น่ั แลว้ หยดุ กระตุน้ วัตถจุ ะส่นั และผลทเี่ กิดขึน้ จากการส่นั พ้อง ด้วยความถีท่ ่ีเรยี กว่า ความถ่ธี รรมชาติ ถ้ามีแรง กระต้นุ วัตถุที่กำลังสัน่ ดว้ ยความถีข่ องการ ออกแรงตรงกบั ความถ่ีธรรมชาตขิ องวตั ถุนน้ั จะทำให้วัตถุสนั่ ดว้ ยแอมพลิจดู มากขนึ้ เรยี กว่า การสนั่ พอ้ ง เชน่ การสัน่ พ้องของอาคารสูง การส่ันพอ้ งของสะพาน การส่นั พอ้ งของเสยี ง ในเครอ่ื งดนตรปี ระเภทเป่า ๕. สังเกต และอธิบายการสะทอ้ น การหักเห • เสียงมีการสะท้อน การหกั เห การเลีย้ วเบนและ การเลีย้ วเบน และการรวมคลื่นของคล่นื เสียง การรวมคลน่ื เช่นเดียวกับคลืน่ อื่น ๆ ๖. สบื คน้ ข้อมลู และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง • ความถ่ีของคล่ืนเสยี งเปน็ ปริมาณท่ใี ชบ้ อกเสยี งสูง ความเข้มเสยี งกับระดบั เสียงและผลของความถ่ี เสยี งตำ่ โดยความถีท่ ่ีคนไดย้ นิ มีค่าอย่รู ะหวา่ ง กบั ระดับเสยี งทม่ี ตี อ่ การได้ยนิ เสียง ๒๐-๒๐,๐๐๐ เฮิรตซ์ ระดบั เสียงเป็นปรมิ าณท่ใี ช้ บอกความดงั ของเสยี งซ่งึ ขึน้ กบั ความเข้มเสียง โดยความเข้มเสยี งเปน็ พลังงานเสียงทต่ี กต้งั ฉาก บนพน้ื ทห่ี นึ่งหนว่ ยในหนง่ึ หน่วยเวลา เสียงท่ีมี ความดังมากเกนิ ไปเป็นอันตรายต่อหู76 ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ๗. สังเกต และอธบิ ายการเกิดเสียงสะทอ้ นกลับ • เมื่อเสยี งจากแหล่งกำเนดิ เดินทางไปกระทบวตั ถุ บีต ดอปเพลอร์ และการสนั่ พ้องของเสียง แลว้ สะท้อนกลับมายงั ผู้ฟงั ถ้าผู้ฟงั ได้ยนิ เสยี ง ทอี่ อกจากแหลง่ กำเนดิ และเสยี งทสี่ ะทอ้ นกลบั มา ๘. สบื คน้ ข้อมลู และยกตัวอยา่ งการนำความรู้ แยกจากกนั เสยี งทไี่ ด้ยินนี้เปน็ เสียงสะทอ้ นกลับ เก่ยี วกบั เสียงไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจำวนั • เมอื่ คลืน่ เสียงสองขบวนทม่ี ีความถ่ีใกล้เคียงกนั มารวมกนั จะเกิดบีต ๙. สงั เกต และอธิบายการมองเหน็ สขี องวัตถุ • เมือ่ แหล่งกำเนดิ เสียงเคลอ่ื นท่ี ผู้ฟงั เคลอ่ื นที่ หรือ และความผดิ ปกติในการมองเห็นส ี ท้ังแหล่งกำเนดิ และผ้ฟู ังเคล่อื นท่ี ผฟู้ งั จะได้ยิน เสยี งทม่ี ีความถ่เี ปลยี่ นไป เรยี กว่า ปรากฏการณ์ ๑๐. สังเกต และอธิบายการทำงานของแผน่ กรอง ดอปเพลอร์ แสงสี การผสมแสงสี การผสมสารสี และ • ถา้ อากาศในทอ่ ถกู กระตนุ้ ดว้ ยคลน่ื เสยี งทมี่ คี วามถ่ี การนำไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวัน เท่ากับความถีธ่ รรมชาติของอากาศในท่อนั้น จะเกิดการสั่นพ้องของเสียง • ความรเู้ กยี่ วกบั เสยี งนำไปใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ เช่น คลื่นเหนือเสยี งหรอื อลั ตราซาวนด์ใช้ใน ทางการแพทย์ บีตของเสยี งในการปรับเทียบ เสียงของเครือ่ งดนตรี การสัน่ พอ้ งของเสยี งใช้ ในการออกแบบเคร่ืองดนตรแี ละอธบิ ายการ เปลง่ เสียงของมนษุ ย์ • เมอื่ แสงตกกระทบวตั ถุ วตั ถจุ ะดดู กลนื แสงสบี างสี โดยขน้ึ กับสารสีบนผวิ วัตถุ และสะท้อนแสงสี ทีเ่ หลอื ออกมา ทำให้มองเหน็ วัตถเุ ป็นสีต่าง ๆ ขึ้นกบั แสงสีที่สะท้อนออกมา ความผดิ ปกติ ในการมองเห็นสหี รือการบอดสีเกิดจากความ บกพรอ่ งของเซลล์รปู กรวยบนจอตา • แผ่นกรองแสงสยี อมใหแ้ สงสบี างสผี ่านออกไปได้ และกัน้ บางแสงสี • การผสมแสงสที ำใหไ้ ดแ้ สงสีทห่ี ลากหลาย เปลี่ยนไปจากเดิม ถา้ นำแสงสีปฐมภูมใิ นสัดส่วน ที่เหมาะสมมาผสมกันจะได้แสงขาว • การผสมสารสีทำให้ได้สารสที ่หี ลากหลาย เปลีย่ นไปจากเดิม ถ้านำสารสีปฐมภมู ใิ นปริมาณ ทเ่ี ทา่ กนั มาผสมกันจะไดส้ ารสผี สมเปน็ สีดำตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 77 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชนั้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง • การผสมแสงสีและการผสมสารสีสามารถนำไปใช้ ประโยชนใ์ นด้านต่าง ๆ เชน่ ดา้ นศลิ ปะ ดา้ นการแสดง ๑๑. สบื ค้นขอ้ มลู และอธิบายคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ • คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ประกอบดว้ ยสนามแมเ่ หลก็ ส่วนประกอบคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า และหลกั และสนามไฟฟ้าทีเ่ ปล่ยี นแปลงตลอดเวลา การทำงานของอุปกรณ์บางชนดิ ทอี่ าศัย โดยสนามทงั้ สองมีทศิ ทางตง้ั ฉากกัน และตัง้ ฉาก คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ กับทศิ ทางการเคลอ่ื นที่ของคลน่ื • อปุ กรณบ์ างชนดิ ทำงานโดยอาศยั คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เช่น เครื่องควบคมุ ระยะไกล เคร่ืองถา่ ยภาพ เอกซเรยค์ อมพวิ เตอร์ และเคร่อื งถ่ายภาพ การสั่นพ้องแมเ่ หลก็ ๑๒. สบื ค้นขอ้ มลู และอธบิ ายการสือ่ สาร โดยอาศยั • ในการส่ือสารโดยอาศยั คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าในการส่งผ่านสารสนเทศ เพอ่ื ส่งผา่ นสารสนเทศจากท่ีหนง่ึ ไปอีกทีห่ นง่ึ และเปรยี บเทยี บการส่ือสารดว้ ยสัญญาณ สารสนเทศจะถกู แปลงใหอ้ ยู่ในรูปสัญญาณ แอนะล็อกกบั สัญญาณดิจทิ ลั สำหรับสง่ ไปยงั ปลายทางซึง่ จะมีการแปลง สัญญาณกลบั มาเป็นสารสนเทศทเ่ี หมอื นเดิม • สัญญาณท่ีใชใ้ นการส่อื สารมสี องชนดิ คือ แอนะลอ็ กและดิจทิ ัล การสง่ ผา่ นสารสนเทศ ดว้ ยสญั ญาณดิจิทลั สามารถสง่ ผา่ นได้โดยมี ความผดิ พลาดนอ้ ยกวา่ สญั ญาณแอนะลอ็ ก ม.๖ - -78 ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศมาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมท้ังปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ทส่ี ง่ ผลต่อสง่ิ มีชวี ติ และการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยอี วกาศช้ัน ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลางป.๑ ๑. ระบดุ าวท่ีปรากฏบนท้องฟา้ ในเวลากลางวนั • บนท้องฟา้ มีดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และดาว และกลางคนื จากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ ซ่ึงในเวลากลางวนั จะมองเหน็ ดวงอาทิตย์ และอาจมองเห็นดวงจันทร์บางเวลาในบางวนั ๒. อธิบายสาเหตุท่ีมองไมเ่ ห็นดาวส่วนใหญ่ แตไ่ มส่ ามารถมองเห็นดาว ในเวลากลางวันจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ • ในเวลากลางวันมองไม่เหน็ ดาวส่วนใหญ่ เนื่องจาก แสงอาทติ ย์สว่างกว่าจงึ กลบแสงของดาว ส่วนใน เวลากลางคนื จะมองเห็นดาวและมองเหน็ ดวงจนั ทรเ์ กือบทกุ คืนป.๒ - -ป.๓ ๑. อธิบายแบบรปู เสน้ ทางการขน้ึ และตก ของ • คนบนโลกมองเหน็ ดวงอาทิตยป์ รากฏขนึ้ ดวงอาทิตยโ์ ดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ทางดา้ นหน่ึงและตกทางอกี ด้านหนงึ่ ทุกวนั๒. อธบิ ายสาเหตกุ ารเกิดปรากฏการณก์ ารขึน้ หมุนเวยี นเปน็ แบบรูปซำ้ ๆและตกของดวงอาทติ ย์ การเกดิ กลางวนั กลางคนื • โลกกลมและหมุนรอบตัวเองขณะโคจรรอบดวงและการกำหนดทศิ โดยใชแ้ บบจำลอง อาทิตย์ ทำให้บริเวณของโลกได้รับแสงอาทิตย์๓. ตระหนักถงึ ความสำคญั ของดวงอาทิตย์ โดย ไม่พร้อมกัน โลกด้านทไ่ี ด้รับแสงจากดวงอาทติ ย์บรรยายประโยชน์ของดวงอาทติ ยต์ อ่ สงิ่ มชี วี ติ จะเป็นกลางวันส่วนดา้ นตรงขา้ มท่ีไม่ไดร้ ับแสง จะเป็นกลางคนื นอกจากนีค้ นบนโลกจะมองเห็น ดวงอาทติ ย์ปรากฏข้นึ ทางด้านหนึง่ ซึ่งกำหนดให้ เป็นทิศตะวันออก และมองเห็นดวงอาทิตย์ ตกทางอกี ดา้ นหนึ่ง ซ่งึ กำหนดให้เปน็ ทิศตะวันตก และเมื่อใหด้ ้านขวามืออยู่ทางทิศตะวนั ออก ดา้ นซา้ ยมืออย่ทู างทศิ ตะวนั ตก ด้านหนา้ จะเป็น ทศิ เหนอื และด้านหลังจะเป็นทศิ ใต้ • ในเวลากลางวนั โลกจะไดร้ ับพลงั งานแสงและ พลังงานความรอ้ นจากดวงอาทติ ย์ ทำใหส้ ่ิงมชี ีวิต ดำรงชีวิตอยู่ได้ตัวช้ีวดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 79 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๔ ๑. อธิบายแบบรปู เส้นทางการขน้ึ และตก • ดวงจนั ทรเ์ ปน็ บรวิ ารของโลก โดยดวงจันทร์ ของดวงจันทร์ โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ หมนุ รอบตวั เองขณะโคจรรอบโลก ขณะทโ่ี ลกก็ หมุนรอบตวั เองดว้ ยเชน่ กัน การหมนุ รอบตัวเอง ๒. สรา้ งแบบจำลองทอี่ ธิบายแบบรปู ของโลกจากทิศตะวนั ตกไปทศิ ตะวันออกใน การเปลีย่ นแปลงรปู ร่างปรากฏของดวงจันทร์ ทศิ ทางทวนเข็มนาฬิกาเมอื่ มองจากขว้ั โลกเหนือ และพยากรณ์รปู ร่างปรากฏของดวงจนั ทร์ ทำให้มองเหน็ ดวงจันทรป์ รากฏขึน้ ทางด้าน ทิศตะวนั ออกและตกทางดา้ นทิศตะวนั ตก ๓. สร้างแบบจำลองแสดงองคป์ ระกอบของระบบ หมุนเวยี นเป็นแบบรปู ซำ้ ๆ สรุ ยิ ะ และอธิบายเปรียบเทียบคาบการโคจร • ดวงจันทร์เป็นวตั ถุทเ่ี ป็นทรงกลม แต่รูปร่างของ ของดาวเคราะห์ตา่ ง ๆ จากแบบจำลอง ดวงจันทร์ท่มี องเห็นหรอื รูปรา่ งปรากฏของ ดวงจันทรบ์ นทอ้ งฟา้ แตกตา่ งกนั ไปในแต่ละวัน ป.๕ ๑. เปรียบเทยี บความแตกต่างของดาวเคราะห์ โดยในแต่ละวนั ดวงจนั ทรจ์ ะมรี ปู ร่างปรากฏเป็น และดาวฤกษจ์ ากแบบจำลอง เสี้ยวทมี่ ขี นาดเพ่มิ ขน้ึ อยา่ งตอ่ เนื่องจนเตม็ ดวง จากนน้ั รปู ร่างปรากฏของดวงจันทรจ์ ะแหวง่ และมีขนาดลดลงอย่างตอ่ เน่ืองจนมองไมเ่ หน็ ดวงจนั ทร์ จากนั้นรปู ร่างปรากฏของดวงจนั ทร์ จะเปน็ เสีย้ วใหญข่ ึน้ จนเตม็ ดวงอกี ครั้ง การเปลย่ี นแปลงเช่นนเี้ ปน็ แบบรปู ซำ้ กันทุกเดือน • ระบบสรุ ยิ ะเปน็ ระบบทมี่ ดี วงอาทติ ยเ์ ปน็ ศนู ยก์ ลาง และมบี รวิ ารประกอบดว้ ย ดาวเคราะหแ์ ปดดวง และบรวิ าร ซ่ึงดาวเคราะห์แต่ละดวงมีขนาด และระยะห่างจากดวงอาทติ ยแ์ ตกต่างกัน และ ยังประกอบด้วย ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์ นอ้ ย ดาวหาง และวัตถขุ นาดเลก็ อืน่ ๆ โคจรอยู่ รอบดวงอาทติ ย์ วัตถขุ นาดเลก็ อืน่ ๆ เมือ่ เข้ามา ในชัน้ บรรยากาศเนอ่ื งจากแรงโนม้ ถว่ งของโลก ทำให้เกดิ เป็นดาวตกหรือผพี ุง่ ไตแ้ ละอกุ กาบาต • ดาวทีม่ องเห็นบนท้องฟา้ อยู่ในอวกาศซ่ึงเป็น บรเิ วณทอี่ ยนู่ อกบรรยากาศของโลก มที งั้ ดาวฤกษ์ และดาวเคราะห์ ดาวฤกษเ์ ป็นแหลง่ กำเนิดแสง จึงสามารถมองเห็นได้ ส่วนดาวเคราะหไ์ มใ่ ช่ แหล่งกำเนิดแสง แตส่ ามารถมองเห็นได้เนอ่ื งจาก แสงจากดวงอาทติ ย์ตกกระทบดาวเคราะหแ์ ลว้ สะทอ้ นเข้าสูต่ า80 ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชนั้ ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ๒. ใช้แผนท่ดี าวระบุตำแหน่งและเสน้ ทางการขนึ้ • การมองเหน็ กลุม่ ดาวฤกษม์ รี ปู รา่ งต่าง ๆ เกดิ จากและตกของกลุม่ ดาวฤกษ์บนท้องฟ้า และอธิบาย จนิ ตนาการของผูส้ งั เกต กลมุ่ ดาวฤกษต์ า่ ง ๆ ท่ีแบบรปู เสน้ ทางการขนึ้ และตกของกลมุ่ ดาวฤกษ์ ปรากฏในทอ้ งฟ้าแตล่ ะกล่มุ มีดาวฤกษแ์ ตล่ ะดวงบนทอ้ งฟา้ ในรอบปี เรยี งกนั ทตี่ ำแหนง่ คงท่ี และมเี ส้นทางการขนึ้ และตกตามเส้นทางเดิมทกุ คืน ซ่ึงจะปรากฏ ตำแหนง่ เดิม การสงั เกตตำแหน่งและการขึ้น และตกของดาวฤกษ์ และกลุ่มดาวฤกษ์ สามารถ ทำได้โดยใชแ้ ผนทดี่ าว ซ่ึงระบมุ มุ ทิศและมุมเงย ที่กล่มุ ดาวนนั้ ปรากฏ ผู้สังเกตสามารถใชม้ อื ในการประมาณคา่ ของมุมเงยเมือ่ สงั เกตดาว ในท้องฟ้าป.๖ ๑. สรา้ งแบบจำลองที่อธบิ ายการเกดิ และ • เมอ่ื โลกและดวงจนั ทร์ โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรง เปรยี บเทียบปรากฏการณส์ รุ ิยปุ ราคา เดียวกันกบั ดวงอาทติ ยใ์ นระยะทางท่เี หมาะสม และจันทรุปราคา ทำใหด้ วงจันทรบ์ งั ดวงอาทิตย์ เงาของดวงจนั ทร์ ทอดมายงั โลก ผูส้ ังเกตทอี่ ยบู่ ริเวณเงาจะมองเห็น ดวงอาทิตย์มดื ไป เกิดปรากฏการณ์สรุ ิยุปราคา ซ่ึงมที ้งั สุรยิ ปุ ราคาเต็มดวง สุริยปุ ราคาบางสว่ น และสรุ ิยุปราคาวงแหวน • หากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรง เดียวกนั กบั ดวงอาทติ ย์ แล้วดวงจนั ทรเ์ คลอื่ นท่ี ผา่ นเงาของโลก จะมองเห็นดวงจันทรม์ ดื ไป เกดิ ปรากฏการณจ์ นั ทรปุ ราคา ซงึ่ มที งั้ จนั ทรปุ ราคา เตม็ ดวง และจันทรปุ ราคาบางส่วน ๒. อธบิ ายพัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศ และ • เทคโนโลยีอวกาศเร่มิ จากความตอ้ งการของมนษุ ย์ยกตวั อยา่ งการนำเทคโนโลยอี วกาศมาใชป้ ระโยชน์ ในการสำรวจวตั ถทุ อ้ งฟ้าโดยใช้ตาเปลา่ ในชีวติ ประจำวัน จากขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ กล้องโทรทรรศน์ และได้พฒั นาไปส่กู ารขนส่ง เพ่อื สำรวจอวกาศดว้ ยจรวดและยานขนส่งอวกาศ และยังคงพฒั นาอยา่ งต่อเน่ือง ปจั จบุ ันมีการนำ เทคโนโลยอี วกาศบางประเภทมาประยุกตใ์ ช้ ในชวี ิตประจำวนั เช่น การใช้ดาวเทียมเพ่ือ การสอื่ สาร การพยากรณอ์ ากาศ หรือการสำรวจ ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้อปุ กรณว์ ัดชีพจร และการเต้นของหวั ใจ หมวกนริ ภยั ชุดกฬี าตัวชวี้ ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 81 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๑ - ม.๒ - - ม.๓ ๑. อธบิ ายการโคจรของดาวเคราะหร์ อบ - • ในระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางโดยมี ดวงอาทติ ย์ด้วยแรงโน้มถ่วงจากสมการ ดาวเคราะห์และบริวาร ดาวเคราะหแ์ คระ F = (Gm1m2)/r2 ดาวเคราะหน์ อ้ ย ดาวหาง และอน่ื ๆ เชน่ วตั ถคุ อยเปอร์ โคจรอย่โู ดยรอบ ซง่ึ ดาวเคราะห์ และวัตถุ ๒. สรา้ งแบบจำลองท่ีอธิบายการเกดิ ฤดู และ เหลา่ นโ้ี คจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยแรงโน้มถ่วง การเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทติ ย ์ แรงโนม้ ถว่ งเปน็ แรงดงึ ดดู ระหวา่ งวตั ถสุ องวตั ถ ุ โดยเปน็ สดั สว่ นกบั ผลคณู ของมวลทง้ั สอง และเปน็ ๓. สรา้ งแบบจำลองทอ่ี ธบิ ายการเกดิ ข้างขึ้น สดั ส่วนผกผนั กบั กำลงั สองของระยะทางระหวา่ ง ข้างแรม การเปลีย่ นแปลงเวลาการขน้ึ และตก เวมัตอ่ื ถทุ F้ังแสทอนง คแวสาดมงโไนด้ม้โดถยว่ สงรมะกหาวร่าFงม=วล(Gทmง้ั ส1อmง2 )/r2 ของดวงจันทร์ และการเกดิ น้ำขึน้ นำ้ ลง Gวr ตัแแถททแุ นนรรกคะา่ยmนะ2ิจหแโา่ นทง้มรนถะมหว่ วงวลสา่ ขางอกวงัตลวถตัmทุ ถ้งั1ทุ สแี่สอทองนงมแวลละข อ ง • การท่โี ลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลักษณะท่ี แกนโลกเอียงกบั แนวตั้งฉากของระนาบทางโคจร ทำใหส้ ว่ นตา่ ง ๆ บนโลกได้รับปริมาณแสงจาก ดวงอาทติ ยแ์ ตกต่างกันในรอบปี เกิดเปน็ ฤดู กลางวนั กลางคนื ยาวไม่เทา่ กัน และตำแหนง่ การขึน้ และตกของดวงอาทติ ยท์ ่ีขอบฟา้ และ เส้นทางการขึ้นและตกของดวงอาทติ ย์เปลยี่ นไป ในรอบปี ซง่ึ ส่งผลตอ่ การดำรงชวี ิต • ดวงจันทรโ์ คจรรอบโลก โลกและดวงจนั ทรโ์ คจร รอบดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์รบั แสงจากดวงอาทิตย์ ครง่ึ ดวงตลอดเวลา เมอ่ื ดวงจันทรโ์ คจรรอบโลก ไดห้ ันสว่ นสวา่ งมายงั โลกแตกต่างกนั จงึ ทำใหค้ น บนโลกสงั เกตส่วนสว่างของดวงจนั ทร์แตกตา่ งไป ในแต่ละวนั เกดิ เปน็ ข้างข้ึนข้างแรม • ดวงจนั ทรโ์ คจรรอบโลกในทิศทางเดยี วกันกบั ทโ่ี ลกหมนุ รอบตวั เอง จงึ ทำใหเ้ หน็ ดวงจนั ทรข์ นึ้ ชา้ ไปประมาณวันละ ๕๐ นาที82 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชัน้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง • แรงโนม้ ถ่วงที่ดวงจันทร์ ดวงอาทติ ยก์ ระทำต่อ โลกทำใหเ้ กดิ ปรากฏการณ์นำ้ ขึน้ น้ำลง ซ่ึงสง่ ผล ตอ่ สง่ิ แวดล้อมและสิ่งมชี วี ติ บนโลก วันทีน่ ้ำมี ระดบั การข้นึ สูงสดุ และลงต่ำสุดเรียก วนั น้ำเกดิ ส่วนวันที่ระดบั น้ำมีการข้นึ และลงน้อยเรยี ก วนั นำ้ ตาย โดยวนั นำ้ เกดิ นำ้ ตาย มคี วามสมั พนั ธก์ บั ขา้ งขน้ึ ข้างแรม๔. อธิบายการใชป้ ระโยชนข์ องเทคโนโลยอี วกาศ • เทคโนโลยีอวกาศได้มบี ทบาทตอ่ การดำรงชีวิต และยกตวั อยา่ งความก้าวหน้าของโครงการ ของมนุษยใ์ นปจั จบุ ันมากมาย มนุษย์ได้ใช้ สำรวจอวกาศ จากข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ ประโยชนจ์ ากเทคโนโลยอี วกาศ เชน่ ระบบนำทาง ดว้ ยดาวเทยี ม (GNSS) การตดิ ตามพายุ สถานการณไ์ ฟปา่ ดาวเทยี มช่วยภยั แล้ง การตรวจคราบน้ำมนั ในทะเล • โครงการสำรวจอวกาศต่าง ๆ ได้พฒั นาเพม่ิ พูน ความรคู้ วามเข้าใจตอ่ โลก ระบบสรุ ิยะและเอกภพ มากข้นึ เป็นลำดบั ตวั อย่างโครงการสำรวจอวกาศ เช่น การสำรวจสิง่ มีชวี ิตนอกโลก การสำรวจ ดาวเคราะหน์ อกระบบสรุ ยิ ะ การสำรวจดาวองั คาร และบรวิ ารอืน่ ของดวงอาทติ ย์ม.๔ - -ม.๕ - -ม.๖ ๑. อธบิ ายการกำเนิดและการเปลีย่ นแปลงพลงั งาน • ทฤษฎีกำเนิดเอกภพทยี่ อมรบั ในปจั จุบัน คอืสสาร ขนาด อุณหภูมิของเอกภพหลังเกิด ทฤษฎีบิกแบง ระบุว่าเอกภพเร่ิมต้นจากบกิ แบงบิกแบงในชว่ งเวลาตา่ ง ๆ ตามววิ ัฒนาการ ทเ่ี อกภพมขี นาดเล็กมาก และมีอณุ หภูมสิ ูงมากของเอกภพ ซงึ่ เปน็ จดุ เร่ิมตน้ ของเวลาและววิ ฒั นาการของ เอกภพ โดยหลงั เกิดบิกแบง เอกภพเกดิ การ ขยายตวั อยา่ งรวดเรว็ มอี ณุ หภมู ลิ ดลง มสี สารคงอยู่ ในรปู อนภุ าคและปฏยิ านภุ าคหลายชนิด และมี ววิ ัฒนาการต่อเนอ่ื งจนถึงปจั จบุ ัน ซ่งึ มีเนบิวลา กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ยิ ะเป็นสมาชกิ บางสว่ นของเอกภพตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 83 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๒. อธิบายหลกั ฐานทส่ี นับสนุนทฤษฎบี ิกแบง • หลักฐานสำคญั ทสี่ นับสนุนทฤษฎีบกิ แบง คอื จากความสมั พนั ธร์ ะหว่างความเรว็ กบั ระยะทาง การขยายตวั ของเอกภพ ซง่ึ อธบิ ายดว้ ยกฎฮบั เบลิ ของกาแลก็ ซี รวมท้ังขอ้ มลู การค้นพบไมโครเวฟ โดยใชค้ วามสมั พนั ธร์ ะหว่างความเร็วและ พนื้ หลังจากอวกาศ ระยะทางของกาแล็กซที ่เี คลอื่ นท่หี า่ งออกจากโลก และหลกั ฐานอกี ประการ คอื การคน้ พบไมโครเวฟ พื้นหลงั ท่ีกระจายตัวอยา่ งสม่ำเสมอทุกทิศทาง และสอดคล้องกบั อณุ หภมู เิ ฉลี่ยของอวกาศ มคี ่าประมาณ ๒.๗๓ เคลวนิ ๓. อธิบายโครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของกาแล็กซี • กาแลก็ ซี ประกอบดว้ ย ดาวฤกษจ์ ำนวนหลายแสน ทางชา้ งเผือก และระบุตำแหน่งของระบบสรุ ิยะ ลา้ นดวง ซง่ึ อยู่กนั เป็นระบบของดาวฤกษ์ พรอ้ มอธบิ ายเชื่อมโยงกับการสงั เกตเหน็ นอกจากน้ี ยงั ประกอบด้วยเทห์ฟ้าอ่นื เชน่ ทางช้างเผอื กของคนบนโลก เนบิวลา และสสารระหว่างดาว โดยองค์ประกอบ ต่าง ๆ ภายในของกาแล็กซอี ยู่รวมกนั ดว้ ย แรงโนม้ ถว่ ง • กาแล็กซีมีรูปรา่ งแตกตา่ งกัน โดยระบบสุริยะ อยู่ในกาแล็กซที างช้างเผือกซึง่ เปน็ กาแล็กซกี งั หัน แบบมคี าน มีโครงสรา้ ง คอื นวิ เคลียส จาน และ ฮาโล ดาวฤกษจ์ ำนวนมากอยใู่ นบรเิ วณนิวเคลียส และจาน โดยมรี ะบบสรุ ยิ ะอยหู่ า่ งจากจดุ ศนู ยก์ ลาง ของกาแลก็ ซที างชา้ งเผอื ก ประมาณ ๓๐,๐๐๐ ปแี สง ซงึ่ ทางชา้ งเผอื กท่สี งั เกตเห็นในท้องฟ้าเปน็ บริเวณหนึง่ ของกาแล็กซที างชา้ งเผือกในมุมมอง ของคนบนโลก แถบฝา้ สขี าวจาง ๆ ของทาง ช้างเผอื กคอื ดาวฤกษ์ ท่ีอยอู่ ย่างหนาแนน่ ใน กาแล็กซีทางช้างเผอื ก ๔. อธบิ ายกระบวนการเกิดดาวฤกษ์ โดยแสดง • ดาวฤกษ์ส่วนใหญอ่ ยู่รวมกนั เป็นระบบดาวฤกษ์ การเปลยี่ นแปลงความดนั อุณหภูมิ ขนาด คอื ดาวฤกษ์ที่อย่รู วมกันตั้งแต่ ๒ ดวงขึ้นไป จากดาวฤกษ์ก่อนเกิดจนเป็นดาวฤกษ์ ดาวฤกษเ์ ป็นกอ้ นแก๊สรอ้ นขนาดใหญ่ เกิดจาก การยบุ ตัวของกลมุ่ สสารในเนบวิ ลาภายใต้ แรงโนม้ ถว่ ง ทำใหบ้ างสว่ นของเนบวิ ลามขี นาดเลก็ ลง ความดนั และอุณหภมู เิ พ่ิมขึ้น เกิดเป็นดาวฤกษ์ ก่อนเกดิ เม่ืออณุ หภูมทิ แี่ ก่นสูงขึน้ จนเกิดปฏกิ ิรยิ า เทอรม์ อนวิ เคลยี ร์ ดาวฤกษก์ อ่ นเกิดจะกลายเปน็ ดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์อยู่ในสภาพสมดลุ ระหวา่ ง แรงดนั กบั แรงโนม้ ถว่ งซ่ึงเรียกว่า สมดลุ อุทกสถิต จึงทำใหด้ าวฤกษ์มีเสถยี รภาพและปลดปลอ่ ย พลังงานเป็นเวลานาน ตลอดช่วงชวี ติ ของ ดาวฤกษ์84 ตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • ปฏิกิรยิ าเทอร์มอนิวเคลียร์ เป็นปฏกิ ริ ยิ าหลกั ของ กระบวนการสรา้ งพลงั งานของดาวฤกษท์ ่แี กน่ ของดาวฤกษ์ ทำให้เกิดการหลอมนิวเคลยี สของ ไฮโดรเจนเปน็ นวิ เคลียสฮีเลยี มแลว้ ก่อให้เกิด พลงั งานอย่างตอ่ เน่ือง๕. ระบปุ จั จยั ท่ีส่งผลต่อความสอ่ งสว่างของ • ความส่องสวา่ งของดาวฤกษ์เป็นพลงั งานจากดาวฤกษ์ และอธบิ ายความสมั พันธ์ระหว่างความ ดาวฤกษท์ ่ีปลดปล่อยออกมาในเวลา ๑ วินาทีตอ่สอ่ งสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ หนว่ ยพ้นื ท่ี ณ ตำแหน่งของผูส้ งั เกต แตเ่ นอ่ื งจาก ตาของมนุษย์ไมต่ อบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ความสอ่ งสว่างท่ีมีค่านอ้ ยๆ จึงกำหนดคา่ การ เปรยี บเทียบความสอ่ งสว่างของดาวฤกษ์ดว้ ยค่า โชติมาตร ซ่ึงเป็นการแสดงระดบั ความสอ่ งสว่าง ของดาวฤกษ์ ณ ตำแหนง่ ของผู้สงั เกต๖. อธิบายความสัมพันธร์ ะหว่างสี อณุ หภมู ผิ วิ • สีของดาวฤกษส์ มั พันธก์ บั อณุ หภูมผิ ิว และ และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ สเปกตรมั ของดาวฤกษ์ ซ่ึงนักดาราศาสตร์ใช้ สเปกตรัมในการจำแนกชนดิ ของดาวฤกษ์๗. อธิบายลำดับวิวัฒนาการท่ีสัมพนั ธก์ บั มวลตั้งต้น • มวลของดาวฤกษ์ขึ้นอยกู่ บั มวลของดาวฤกษ ์ และวเิ คราะหก์ ารเปลยี่ นแปลงสมบตั บิ างประการ กอ่ นเกดิ ดาวฤกษท์ ม่ี มี วลมากจะผลติ และใช้ของดาวฤกษ์ พลงั งานมาก จงึ มอี ายสุ น้ั กวา่ ดาวฤกษท์ มี่ มี วลนอ้ ย • ดาวฤกษม์ กี ารวิวฒั นาการทแี่ ตกตา่ งกนั การวิวัฒนาการและจดุ จบของดาวฤกษ์ข้ึนอยู่กบั มวลตั้งตน้ ของดาวฤกษ์ ส่วนใหญเ่ ทยี บกบั จำนวน เท่าของมวลดวงอาทิตย์๘. อธบิ ายกระบวนการเกดิ ระบบสรุ ยิ ะ และการแบง่ • ระบบสุริยะเกิดจากการรวมตัวกันของกล่มุ ฝุน่เขตบรวิ ารของดวงอาทติ ย์ และลกั ษณะของ และแก๊สทเ่ี รยี กวา่ เนบวิ ลาสุริยะ โดยฝ่นุ และแก๊สดาวเคราะหท์ เ่ี อื้อต่อการดำรงชวี ติ ประมาณรอ้ ยละ ๙๙.๘ ของมวล ได้รวมตวั เปน็ ดวงอาทิตย์ซึ่งเปน็ กอ้ นแก๊สรอ้ น หรือ พลาสมา สสารส่วนท่เี หลอื รวมตัวเปน็ ดาวเคราะห์และ บริวารอนื่ ๆ ของดวงอาทิตย์ ดงั น้นั จงึ แบง่ เขต บรวิ ารของ ดวงอาทติ ย์ตามลักษณะการเกดิ และองคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ ดาวเคราะห์ชั้นใน ดาวเคราะหน์ อ้ ย ดาวเคราะหช์ นั้ นอก และดงดาวหางตวั ชว้ี ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 85 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • โลกเป็นดาวเคราะห์ในระบบสรุ ยิ ะทม่ี สี ิง่ มชี ีวิต เพราะโคจรรอบดวงอาทติ ยใ์ นระยะทางทเ่ี หมาะสม อยู่ในเขตที่เอ้ือต่อการมีสิง่ มชี วี ติ มอี ณุ หภูมิ เหมาะสมและสามารถเกดิ น้ำทยี่ งั คงสถานะเปน็ ของเหลวได้ ปจั จบุ นั มกี ารคน้ พบดาวเคราะห์ ทอ่ี ยนู่ อกระบบสรุ ยิ ะจำนวนมาก และมดี าวเคราะห์ บางดวงท่อี ยู่ในเขตท่ีเอื้อต่อการมีสงิ่ มีชีวิต คล้ายโลก ๙. อธบิ ายโครงสร้างของดวงอาทติ ย์ การเกดิ • ดวงอาทติ ย์มโี ครงสรา้ งภายในแบง่ เป็น ลมสุรยิ ะ พายสุ ุริยะ และสบื ค้นข้อมูล วิเคราะห ์ แกน่ เขตการแผร่ งั สี และเขตการพาความรอ้ น และมี นำเสนอปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ท่เี ก่ียวขอ้ ง ชัน้ บรรยากาศอยเู่ หนอื เขตพาความรอ้ น ซึ่งแบง่ กบั ผลของลมสรุ ยิ ะ และพายุสุริยะที่มีตอ่ โลก เปน็ ๓ ชนั้ คอื ชั้นโฟโตสเฟียร์ ช้ันโครโมสเฟยี ร์ รวมทง้ั ประเทศไทย และคอโรนา ในชั้นบรรยากาศของดวงอาทติ ย์ มีปรากฏการณ์สำคญั เช่น จุดมดื ดวงอาทติ ย ์ การลุกจา้ ท่ีทำใหเ้ กิดลมสุริยะ และพายุสุริยะ ซง่ึ ส่งผลตอ่ โลก • ลมสรุ ยิ ะ เกิดจากการแพร่กระจายของอนุภาค จากชน้ั คอโรนาออกสูอ่ วกาศตลอดเวลา อนุภาค ทีห่ ลดุ ออกสอู่ วกาศเป็นอนภุ าคท่ีมีประจุ ลมสรุ ยิ ะสง่ ผลทำใหเ้ กดิ หางของดาวหางทเี่ รอื งแสง และชีไ้ ปทางทิศตรงกนั ข้ามกบั ดวงอาทิตย์ และเกิดปรากฏการณ์แสงเหนือ แสงใต้ • พายุสุริยะ เกดิ จากการปลดปล่อยอนภุ าคมีประจุ พลังงานสูงจำนวนมหาศาล มักเกดิ บอ่ ยครั้ง ในช่วงท่ีมกี ารลกุ จา้ และในชว่ งท่มี ีจุดมดื ดวงอาทิตย์จำนวนมาก และในบางครง้ั มกี าร พ่นก้อนมวลคอโรนา พายุสรุ ิยะอาจส่งผลตอ่ สนามแม่เหลก็ โลก จึงอาจรบกวนระบบการ สง่ กระแสไฟฟ้าและการส่ือสาร รวมท้งั อาจสง่ ผล ต่อวงจรอเิ ล็กทรอนิกสข์ องดาวเทยี ม นอกจากนั้น มกั ทำใหเ้ กดิ ปรากฏการณแ์ สงเหนือ แสงใต้ ทส่ี ังเกตไดช้ ัดเจน86 ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๑๐. สืบคน้ ข้อมูล อธบิ ายการสำรวจอวกาศ โดยใช้ • มนษุ ย์ใช้เทคโนโลยีอวกาศในการศึกษา เพอ่ื ขยาย กลอ้ งโทรทรรศน์ในช่วงความยาวคล่ืนต่าง ๆ ขอบเขตความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และในขณะ ดาวเทยี ม ยานอวกาศ สถานอี วกาศ และนำเสนอ เดียวกนั มนษุ ยไ์ ดน้ ำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ แนวคดิ การนำความร้ทู างด้านเทคโนโลยี ประโยชน์ในด้านตา่ ง ๆ เช่น วัสดุศาสตร์ อาหาร อวกาศมาประยกุ ตใ์ ช้ ในชวี ติ ประจำวัน การแพทย์ หรอื ในอนาคต • นกั วทิ ยาศาสตรไ์ ดส้ รา้ งกลอ้ งโทรทรรศน์ เพอื่ ศกึ ษา แหลง่ กำเนดิ ของรงั สหี รอื อนภุ าคในอวกาศ ในชว่ ง ความยาวคลื่นตา่ ง ๆ ได้แก่ คลนื่ วิทยุ ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลต และรงั สีเอก็ ซ์ • ยานอวกาศ คอื ยานพาหนะท่นี ำมนษุ ยห์ รอื อปุ กรณท์ างดาราศาสตรข์ ้นึ ไปส่อู วกาศ เพื่อ สำรวจหรอื เดนิ ทางไปยังดาวดวงอนื่ ส่วนสถานี อวกาศ คอื หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารลอยฟา้ ทโ่ี คจรรอบโลก ใชใ้ นการศกึ ษาวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตรใ์ นสาขาตา่ ง ๆ ในสภาพไรน้ ้ำหนกั • ดาวเทยี ม คอื อปุ กรณท์ ใี่ ชใ้ นการสำรวจวตั ถทุ อ้ งฟา้ และนำมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ การสอื่ สาร โทรคมนาคม การระบตุ ำแหนง่ บนโลก การสำรวจ ทรัพยากรธรรมชาติ อุตนุ ิยมวิทยา โดยดาวเทยี ม มหี ลายประเภทสามารถแบง่ ไดต้ ามเกณฑว์ งโคจร และการใชง้ าน ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 87 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

สาระท่ี ๓ วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศมาตรฐาน ว ๓.๒ เขา้ ใจองคป์ ระกอบและความสมั พนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลง ลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทงั้ ผลตอ่ สิ่งมชี วี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. อธิบายลกั ษณะภายนอกของหิน จากลักษณะ • หินท่ีอยู่ในธรรมชาตมิ ีลกั ษณะภายนอกเฉพาะตัว เฉพาะตัวท่สี งั เกตได้ ท่ีสังเกตได้ เช่น สี ลวดลาย นำ้ หนกั ความแข็ง และเน้ือหนิ ป.๒ ๑. ระบสุ ว่ นประกอบของดนิ และจำแนกชนดิ ของดนิ • ดนิ ประกอบดว้ ยเศษหนิ ซากพชื ซากสตั วผ์ สมอยู่ โดยใชล้ กั ษณะเนือ้ ดินและการจบั ตวั เปน็ เกณฑ์ ในเน้ือดิน มีอากาศและนำ้ แทรกอย่ตู ามชอ่ งวา่ ง ๒. อธบิ ายการใช้ประโยชนจ์ ากดิน จากข้อมลู ในเน้อื ดิน ดนิ จำแนกเป็น ดินร่วน ดินเหนียว ทีร่ วบรวมได้ และดนิ ทราย ตามลกั ษณะเนอื้ ดนิ และการจับตวั ของดนิ ซึ่งมีผลตอ่ การอมุ้ นำ้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั • ดนิ แต่ละชนดิ นำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้แตกตา่ งกนั ตามลักษณะและสมบัติของดิน ป.๓ ๑. ระบุส่วนประกอบของอากาศ บรรยายความ • อากาศโดยทว่ั ไปไม่มสี ี ไมม่ ีกลิ่น ประกอบดว้ ย สำคญั ของอากาศ และผลกระทบของมลพษิ ทาง แกส๊ ไนโตรเจน แกส๊ ออกซเิ จน แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ อากาศตอ่ ส่ิงมชี วี ติ จากขอ้ มลู ทรี่ วบรวมได้ แกส๊ อ่นื ๆ รวมท้ังไอน้ำ และฝุน่ ละออง อากาศ ๒. ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของอากาศ โดยนำเสนอ มีความสำคัญตอ่ สง่ิ มชี ีวติ หากสว่ นประกอบของ แนวทางการปฏิบตั ิตนในการลดการเกดิ มลพษิ อากาศไม่เหมาะสม เนื่องจากมแี กส๊ บางชนดิ หรือ ทางอากาศ ฝุน่ ละอองในปริมาณมาก อาจเปน็ อนั ตรายต่อ สง่ิ มชี ีวิตชนดิ ตา่ ง ๆ จัดเป็นมลพษิ ทางอากาศ • แนวทางการปฏบิ ตั ิตนเพ่อื ลดการปลอ่ ยมลพิษ ทางอากาศ เชน่ ใชพ้ าหนะรว่ มกัน หรือเลือกใช้ เทคโนโลยที ่ลี ดมลพิษทางอากาศ ๓. อธิบายการเกิดลมจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ • ลม คอื อากาศทเี่ คลอ่ื นท่ี เกดิ จากความแตกตา่ งกนั ของอณุ หภมู อิ ากาศบรเิ วณทอ่ี ยใู่ กลก้ นั โดยอากาศ บรเิ วณทมี่ อี ณุ หภมู สิ งู จะลอยตวั สงู ขน้ึ และอากาศ บรเิ วณท่ีมีอณุ หภูมติ ่ำกวา่ จะเคล่ือนเขา้ ไปแทนที่ ๔. บรรยายประโยชน์และโทษของลม จากขอ้ มูล • ลมสามารถนำมาใช้เป็นแหล่งพลงั งานทดแทน ท่ีรวบรวมได้ ในการผลิตไฟฟา้ และนำไปใชป้ ระโยชน์ในการ ทำกจิ กรรมต่าง ๆ ของมนษุ ย์ หากลมเคลอ่ื นที่ ดว้ ยความเรว็ สงู อาจทำใหเ้ กดิ อันตรายและ ความเสยี หายตอ่ ชวี ิตและทรัพยส์ นิ ได้88 ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชัน้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลางป.๔ - -ป.๕ ๑. เปรยี บเทยี บปริมาณนำ้ ในแต่ละแหล่ง และระบุ • โลกมที ัง้ นำ้ จืดและนำ้ เค็มซึ่งอยู่ในแหล่งนำ้ ตา่ ง ๆปริมาณน้ำทมี่ นุษยส์ ามารถนำมาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ทีม่ ีทัง้ แหลง่ น้ำผิวดิน เช่น ทะเล มหาสมทุ ร บึงจากข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ แม่น้ำ และแหลง่ น้ำใตด้ นิ เชน่ นำ้ ในดนิ และ นำ้ บาดาล นำ้ ทั้งหมดของโลกแบ่งเปน็ น้ำเคม็ ประมาณร้อยละ ๙๗.๕ ซงึ่ อยใู่ นมหาสมทุ ร และแหล่งนำ้ อ่นื ๆ และที่เหลอื อกี ประมาณ ร้อยละ ๒.๕ เป็นนำ้ จืด ถ้าเรียงลำดบั ปรมิ าณ น้ำจืดจากมากไปนอ้ ยจะอยู่ท่ี ธารน้ำแขง็ และ พดื นำ้ แขง็ นำ้ ใตด้ นิ ชนั้ ดนิ เยอื กแขง็ คงตวั และนำ้ แขง็ ใต้ดนิ ทะเลสาบ ความช้นื ในดิน ความชน้ื ใน บรรยากาศ บงึ แมน่ ้ำ และน้ำในสง่ิ มชี วี ติ ๒. ตระหนักถึงคณุ ค่าของนำ้ โดยนำเสนอแนวทาง • น้ำจืดทีม่ นุษย์นำมาใชไ้ ด้มปี ริมาณนอ้ ยมาก การใชน้ ้ำอย่างประหยัดและการอนุรักษ์น้ำ จงึ ควรใชน้ ำ้ อย่างประหยดั และร่วมกนั อนรุ กั ษน์ ำ้ ๓. สรา้ งแบบจำลองทีอ่ ธิบายการหมนุ เวยี นของน้ำ • วัฏจกั รนำ้ เปน็ การหมุนเวียนของนำ้ ที่มีแบบรปูในวัฏจกั รน้ำ ซ้ำเดิม และตอ่ เนือ่ งระหวา่ งน้ำในบรรยากาศ นำ้ ผวิ ดนิ และนำ้ ใตด้ นิ โดยพฤตกิ รรมการดำรงชวี ติ ของพชื และสตั วส์ ่งผลตอ่ วฏั จักรนำ้ ๔. เปรยี บเทียบกระบวนการเกดิ เมฆ หมอก น้ำค้าง • ไอนำ้ ในอากาศจะควบแน่นเปน็ ละอองน้ำเล็ก ๆและน้ำค้างแขง็ จากแบบจำลอง โดยมีละอองลอย เชน่ เกลือ ฝุ่นละออง ละออง เรณขู องดอกไม้ เปน็ อนุภาคแกนกลาง เมอ่ื ละอองนำ้ จำนวนมากเกาะกลมุ่ รวมกันลอยอยู่สงู จากพื้นดนิ มาก เรียกว่า เมฆ แตล่ ะอองน้ำ ท่ีเกาะกลมุ่ รวมกนั อยูใ่ กล้พ้นื ดนิ เรยี กวา่ หมอก สว่ นไอนำ้ ท่ีควบแน่นเป็นละอองนำ้ เกาะอยู่ บนพืน้ ผวิ วัตถใุ กลพ้ นื้ ดิน เรยี กว่า นำ้ ค้าง ถา้ อณุ หภูมใิ กล้พื้นดินตำ่ กวา่ จุดเยอื กแข็ง นำ้ ค้างก็จะกลายเปน็ นำ้ ค้างแขง็ ตัวชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 89 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้ัน ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๕. เปรยี บเทียบกระบวนการเกดิ ฝน หมิ ะ และ • ฝน หมิ ะ ลกู เห็บ เปน็ หยาดนำ้ ฟ้าซึ่งเป็นน้ำทีม่ ี ลูกเหบ็ จากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ สถานะตา่ ง ๆ ทต่ี กจากฟา้ ถึงพน้ื ดิน ฝนเกดิ จาก ละอองนำ้ ในเมฆทรี่ วมตัวกันจนอากาศไมส่ ามารถ พยงุ ไวไ้ ดจ้ ึงตกลงมา หิมะเกิดจากไอนำ้ ในอากาศ ระเหดิ กลบั เปน็ ผลกึ นำ้ แขง็ รวมตวั กนั จนมนี ำ้ หนกั มากขึน้ จนเกนิ กวา่ อากาศจะพยุงไวจ้ งึ ตกลงมา ลกู เหบ็ เกดิ จากหยดนำ้ ทเ่ี ปลย่ี นสถานะเปน็ นำ้ แขง็ แล้วถกู พายพุ ัดวนซ้ำไปซ้ำมาในเมฆฝนฟ้าคะนอง ทม่ี ขี นาดใหญแ่ ละอยใู่ นระดบั สงู จนเปน็ กอ้ นนำ้ แขง็ ขนาดใหญข่ ึน้ แล้วตกลงมา ป.๖ ๑. เปรยี บเทียบกระบวนการเกิดหนิ อัคนี • หินเป็นวัสดแุ ขง็ เกดิ ข้นึ เองตามธรรมชาติ หนิ ตะกอน และหนิ แปร และอธบิ ายวัฏจกั รหิน ประกอบดว้ ย แรต่ งั้ แต่หนึง่ ชนิดขน้ึ ไป สามารถ จากแบบจำลอง จำแนกหนิ ตามกระบวนการเกดิ ไดเ้ ปน็ ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ หนิ อคั นี หนิ ตะกอน และหนิ แปร • หินอัคนีเกดิ จากการเยน็ ตัวของแมกมา เนื้อหนิ มีลกั ษณะเปน็ ผลกึ ทัง้ ผลกึ ขนาดใหญ่และ ขนาดเลก็ บางชนิดอาจเปน็ เน้ือแก้วหรือมรี ูพรนุ • หนิ ตะกอน เกดิ จากการทับถมของตะกอนเมื่อถูก แรงกดทบั และมีสารเช่ือมประสานจงึ เกดิ เป็นหนิ เนอื้ หินกลุ่มนีส้ ่วนใหญม่ ลี ักษณะเปน็ เมด็ ตะกอน มที งั้ เนอ้ื หยาบและเนื้อละเอยี ด บางชนิดเปน็ เนอ้ื ผลกึ ทีย่ ดึ เกาะกันเกิดจากการตกผลึกหรอื ตกตะกอนจากน้ำโดยเฉพาะนำ้ ทะเล บางชนดิ มี ลกั ษณะเป็นชน้ั ๆ จึงเรียกอกี ช่อื ว่า หนิ ช้นั • หนิ แปร เกิดจากการแปรสภาพของหนิ เดมิ ซ่ึง อาจเป็นหินอัคนี หินตะกอน หรอื หนิ แปร โดยการกระทำของความรอ้ น ความดัน และ ปฏกิ ิรยิ าเคมี เนื้อหนิ ของหินแปรบางชนดิ ผลึก ของแร่เรียงตัวขนานกันเป็นแถบ บางชนดิ แซะออกเป็นแผน่ ได้ บางชนิดเป็นเนือ้ ผลึกทมี่ ี ความแขง็ มาก • หนิ ในธรรมชาตทิ ง้ั ๓ ประเภท มกี ารเปลยี่ นแปลง จากประเภทหนงึ่ ไปเป็นอีกประเภทหนง่ึ หรือ ประเภทเดมิ ได้ โดยมีแบบรปู การเปล่ียนแปลง คงท่แี ละต่อเนื่องเปน็ วฏั จักร90 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๒. บรรยายและยกตัวอยา่ งการใชป้ ระโยชนข์ องหนิ • หนิ และแรแ่ ต่ละชนิดมลี ักษณะและสมบัติ และแรใ่ นชวี ติ ประจำวันจากข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ แตกตา่ งกัน มนษุ ยใ์ ช้ประโยชน์จากแรใ่ นชีวิต ประจำวันในลักษณะตา่ ง ๆ เช่น นำแร่มาทำ เคร่ืองสำอาง ยาสีฟัน เครื่องประดบั อปุ กรณ์ ทางการแพทย์ และนำหินมาใช้ในงานกอ่ สร้าง ตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ๓. สรา้ งแบบจำลองทอี่ ธบิ ายการเกดิ ซากดกึ ดำบรรพ์ • ซากดกึ ดำบรรพเ์ กดิ จากการทับถมหรือการและคาดคะเนสภาพแวดล้อมในอดีตของ ประทบั รอยของสง่ิ มชี วี ิตในอดตี จนเกดิ เป็นซากดกึ ดำบรรพ์ โครงสรา้ งของซากหรอื ร่องรอยของสง่ิ มีชีวติ ทีป่ รากฏอย่ใู นหนิ ในประเทศไทยพบ ซากดกึ ดำบรรพท์ ห่ี ลากหลาย เช่น พืช ปะการงั หอย ปลา เต่า ไดโนเสาร์ และรอยตีนสตั ว์ • ซากดกึ ดำบรรพส์ ามารถใช้เป็นหลกั ฐานหนึ่ง ท่ชี ่วยอธบิ ายสภาพแวดล้อมของพืน้ ทใี่ นอดีต ขณะเกดิ สงิ่ มชี วี ติ นน้ั เชน่ หากพบซากดกึ ดำบรรพ์ ของหอยน้ำจดื สภาพแวดล้อมบรเิ วณนนั้ อาจเคย เป็นแหลง่ น้ำจดื มากอ่ น และหากพบ ซากดกึ ดำบรรพข์ องพชื สภาพแวดลอ้ มบรเิ วณนนั้ อาจเคยเปน็ ปา่ มากอ่ น นอกจากนซ้ี ากดกึ ดำบรรพ์ ยังสามารถใช้ระบุอายุของหิน และเป็นขอ้ มลู ในการศึกษาวิวัฒนาการของสง่ิ มีชวี ติ ๔. เปรยี บเทยี บการเกิดลมบก ลมทะเล และมรสมุ • ลมบก ลมทะเล และมรสมุ เกดิ จากพน้ื ดนิ รวมทงั้ อธิบายผลท่มี ตี อ่ ส่งิ มีชีวติ และสิง่ แวดลอ้ ม และพืน้ น้ำ รอ้ นและเย็นไม่เทา่ กนั ทำใหอ้ ุณหภมู ิจากแบบจำลอง อากาศเหนอื พ้นื ดนิ และพืน้ นำ้ แตกตา่ งกนั จึงเกดิ การเคลอ่ื นทขี่ องอากาศจากบรเิ วณทมี่ อี ณุ หภมู ติ ำ่ ไปยังบริเวณทม่ี ีอณุ หภมู สิ งู • ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจำถ่นิ ที่พบบรเิ วณ ชายฝั่ง โดยลมบกเกิดในเวลากลางคืน ทำให้มี ลมพดั จากชายฝั่งไปสู่ทะเล สว่ นลมทะเลเกิดใน เวลากลางวนั ทำให้มลี มพดั จากทะเลเขา้ สู่ชายฝ่ังตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 91 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๕. อธบิ ายผลของมรสมุ ตอ่ การเกดิ ฤดขู องประเทศไทย • มรสมุ เป็นลมประจำฤดูเกดิ บริเวณเขตรอ้ น จากขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้ ของโลก ซึ่งเปน็ บริเวณกวา้ งระดับภมู ิภาค ประเทศไทยไดร้ บั ผลจากมรสมุ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ในชว่ งประมาณกลางเดอื นตลุ าคมจนถงึ เดอื น กุมภาพนั ธท์ ำให้เกดิ ฤดูหนาว และได้รบั ผลจาก มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงประมาณกลางเดอื น พฤษภาคมจนถงึ กลางเดอื นตลุ าคมทำใหเ้ กิด ฤดฝู น ส่วนช่วงประมาณกลางเดอื นกมุ ภาพันธ์ จนถงึ กลางเดือนพฤษภาคมเป็นชว่ งเปลยี่ นมรสมุ และประเทศไทยอย่ใู กลเ้ ส้นศูนยส์ ูตร แสงอาทิตย์ เกือบตั้งตรงและตั้งตรงประเทศไทยในเวลา เทยี่ งวนั ทำให้ไดร้ บั ความร้อนจากดวงอาทติ ย์ อยา่ งเตม็ ที่ อากาศจงึ รอ้ นอบอา้ วทำใหเ้ กดิ ฤดรู อ้ น ๖. บรรยายลักษณะและผลกระทบของนำ้ ท่วม • น้ำท่วม การกดั เซาะชายฝง่ั ดนิ ถล่ม แผ่นดินไหว การกดั เซาะชายฝ่ัง ดินถล่ม แผน่ ดนิ ไหว สึนามิ และสนึ ามิ มีผลกระทบต่อชวี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม ๗. ตระหนกั ถึงผลกระทบของภยั ธรรมชาติและ แตกตา่ งกนั ธรณพี ิบตั ภิ ยั โดยนำเสนอแนวทางในการ • มนุษย์ควรเรยี นรวู้ ธิ ีปฏบิ ตั ติ นให้ปลอดภัย เช่น เฝา้ ระวงั และปฏบิ ตั ติ นใหป้ ลอดภยั จากภยั ธรรมชาติ ตดิ ตามขา่ วสารอยา่ งสม่ำเสมอ เตรียมถุงยังชพี และธรณพี บิ ตั ิภัยทอ่ี าจเกดิ ในทอ้ งถิน่ ใหพ้ ร้อมใช้ตลอดเวลา และปฏิบัติตามคำสั่งของ ผู้ปกครองและเจา้ หนา้ ทีอ่ ยา่ งเคร่งครดั เมอื่ เกดิ ภยั ธรรมชาตแิ ละธรณีพบิ ตั ิภัย ๘. สร้างแบบจำลองท่ีอธิบายการเกิดปรากฏการณ์ • ปรากฏการณเ์ รอื นกระจกเกดิ จากแกส๊ เรอื นกระจก เรอื นกระจก และผลของปรากฏการณเ์ รอื นกระจก ในชั้นบรรยากาศของโลกกกั เก็บความรอ้ นแลว้ ต่อสง่ิ มชี วี ิต คายความร้อนบางส่วนกลับสู่ผวิ โลก ทำใหอ้ ากาศ ๙. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบของปรากฏการณ์เรือน บนโลกมอี ณุ หภมู เิ หมาะสมตอ่ การดำรงชวี ิต กระจก โดยนำเสนอแนวทางการปฏิบตั ติ นเพอื่ • หากปรากฏการณเ์ รือนกระจกรนุ แรงมากขึน้ ลดกิจกรรมทกี่ อ่ ให้เกิดแก๊สเรือนกระจก จะมผี ลตอ่ การเปล่ียนแปลงภมู อิ ากาศโลก มนษุ ยจ์ ึงควรรว่ มกันลดกิจกรรมท่ีกอ่ ให้เกิด แกส๊ เรือนกระจก ม.๑ ๑. สรา้ งแบบจำลองทอ่ี ธบิ ายการแบง่ ชน้ั บรรยากาศ • โลกมบี รรยากาศหอ่ ห้มุ นกั วทิ ยาศาสตร์ใช้สมบัติ และเปรียบเทียบประโยชนข์ องบรรยากาศแตล่ ะ และองคป์ ระกอบของบรรยากาศในการแบง่ บรรยากาศ ชนั้ ของโลกออกเปน็ ชัน้ ซึง่ แบ่งไดห้ ลายรปู แบบ ตามเกณฑท์ แ่ี ตกตา่ งกนั โดยทว่ั ไปนกั วทิ ยาศาสตร์ ใช้เกณฑ์การเปลีย่ นแปลงอณุ หภูมิตามความสูง แบง่ บรรยากาศไดเ้ ปน็ ๕ ชน้ั ไดแ้ ก่ ชนั้ โทรโพสเฟยี ร์ ช้ันสตราโตสเฟยี ร์ ชน้ั มีโซสเฟยี ร ์ ชน้ั เทอรโ์ มสเฟยี ร์ และชน้ั เอกโซสเฟยี ร์92 ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ช้ัน ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง • บรรยากาศแตล่ ะชน้ั มปี ระโยชน์ต่อสิง่ มีชีวิต แตกต่างกนั โดยชน้ั โทรโพสเฟียร์มปี รากฏการณ์ ลมฟา้ อากาศทส่ี ำคญั ตอ่ การดำรงชวี ติ ของสงิ่ มชี วี ติ ช้ันสตราโตสเฟียรช์ ่วยดดู กลืนรังสีอลั ตราไวโอเลต จากดวงอาทิตยไ์ มใ่ หม้ ายังโลกมากเกินไป ชั้นมโี ซสเฟยี ร์ชว่ ยชะลอวัตถุนอกโลกท่ผี า่ นเขา้ มา ให้เกิดการเผาไหมก้ ลายเปน็ วัตถขุ นาดเลก็ ลดโอกาสทจี่ ะทำความเสยี หายแกส่ งิ่ มชี วี ติ บนโลก ช้ันเทอรโ์ มสเฟียรส์ ามารถสะทอ้ นคล่ืนวทิ ยุ และ ชั้นเอกโซสเฟยี ร์เหมาะสำหรบั การโคจรของ ดาวเทียมรอบโลกในระดับตำ่ ๒. อธบิ ายปจั จัยท่มี ผี ลตอ่ การเปล่ยี นแปลง • ลมฟา้ อากาศ เปน็ สภาวะของอากาศในเวลาหนง่ึ องค์ประกอบของลมฟา้ อากาศ จากขอ้ มูล ของพื้นทห่ี น่งึ ทีม่ ีการเปลยี่ นแปลงตลอดเวลา ทร่ี วบรวมได้ ขน้ึ อยกู่ ับองค์ประกอบลมฟา้ อากาศ ได้แก่ อณุ หภูมอิ ากาศ ความกดอากาศ ลม ความช้นื เมฆ และหยาดน้ำฟา้ โดยหยาดนำ้ ฟ้าท่พี บบ่อย ในประเทศไทยได้แก่ ฝน องคป์ ระกอบ ลมฟา้ อากาศเปลย่ี นแปลงตลอดเวลาขน้ึ อยกู่ บั ปจั จยั ต่าง ๆ เช่น ปรมิ าณรงั สีจากดวงอาทติ ย์และ ลกั ษณะพ้นื ผวิ โลกสง่ ผลต่ออณุ หภูมอิ ากาศ อุณหภมู ิอากาศและปริมาณไอน้ำส่งผลตอ่ ความช้นื ความกดอากาศสง่ ผลตอ่ ลม ความชนื้ และลมสง่ ผลตอ่ เมฆ๓. เปรียบเทยี บกระบวนการเกิดพายุ ฝนฟา้ คะนอง • พายุฝนฟา้ คะนอง เกดิ จากการท่อี ากาศทม่ี ีและพายหุ มุนเขตร้อน และผลที่มีตอ่ สิ่งมีชวี ติ อุณหภมู ิและความช้ืนสงู เคล่ือนท่ีขน้ึ สรู่ ะดับและสิง่ แวดล้อม รวมทงั้ นำเสนอแนวทางการ ความสงู ที่มีอุณหภมู ติ ำ่ ลง จนกระทงั่ ไอนำ้ ปฏบิ ัติตนใหเ้ หมาะสมและปลอดภยั ในอากาศเกดิ การควบแน่นเป็นละอองนำ้ และ เกิดตอ่ เนอ่ื งเปน็ เมฆขนาดใหญ่ พายุฝนฟ้าคะนอง ทำให้เกดิ ฝนตกหนัก ลมกรรโชกแรง ฟา้ แลบ ฟา้ ผา่ ซงึ่ อาจก่อใหเ้ กดิ อนั ตรายต่อชวี ติ และทรัพยส์ นิ ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 93 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง • พายุหมนุ เขตร้อนเกิดเหนอื มหาสมทุ รหรือทะเล ที่นำ้ มอี ณุ หภูมสิ งู ต้งั แต่ ๒๖-๒๗ องศาเซลเซียส ขึน้ ไป ทำใหอ้ ากาศทีม่ อี ุณหภูมแิ ละความชื้นสงู บรเิ วณน้ันเคล่ือนทส่ี ูงข้นึ อย่างรวดเร็วเป็น บรเิ วณกว้าง อากาศจากบริเวณอนื่ เคลื่อนเขา้ มา แทนท่แี ละพดั เวียนเขา้ หาศูนยก์ ลางของพายุ ยง่ิ ใกล้ศูนย์กลาง อากาศจะเคลือ่ นท่พี ัดเวียน เกือบเปน็ วงกลมและมีอัตราเรว็ สูงท่ีสดุ พายหุ มนุ เขตรอ้ นทำให้เกิดคล่นื พายซุ ัดฝ่งั ฝนตกหนัก ซึ่งอาจก่อใหเ้ กิดอนั ตรายต่อชวี ติ และทรัพยส์ นิ จงึ ควรปฏติ นให้ปลอดภยั โดยตดิ ตามข่าวสาร การพยากรณอ์ ากาศ และไม่เข้าไปอยูใ่ นพน้ื ที่ ท่เี สีย่ งภัย ๔. อธิบายการพยากรณ์อากาศ และพยากรณ์ • การพยากรณอ์ ากาศเปน็ การคาดการณล์ มฟา้ อากาศ อากาศอยา่ งงา่ ยจากข้อมูลท่รี วบรวมได้ ท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีการตรวจวดั องคป์ ระกอบลมฟา้ อากาศ การสอื่ สารแลกเปลย่ี น ข้อมลู องค์ประกอบลมฟา้ อากาศระหวา่ งพน้ื ที่ การวเิ คราะหข์ ้อมลู และสรา้ งคำพยากรณ์อากาศ ๕. ตระหนกั ถงึ คุณคา่ ของการพยากรณอ์ ากาศ • การพยากรณอ์ ากาศสามารถนำมาใช้ประโยชน์ โดยนำเสนอแนวทางการปฏบิ ัตติ นและการใช้ ดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ การใชช้ วี ติ ประจำวนั การคมนาคม ประโยชนจ์ ากคำพยากรณ์อากาศ การเกษตร การปอ้ งกนั และเฝา้ ระวังภัยพบิ ตั ิ ทางธรรมชาติ ๖. อธบิ ายสถานการณแ์ ละผลกระทบการเปลย่ี นแปลง • ภูมอิ ากาศโลกเกดิ การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ภูมิอากาศโลกจากขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้ โดยปจั จยั ทางธรรมชาติ แตป่ จั จบุ นั การเปลยี่ นแปลง ภูมอิ ากาศเกดิ ขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ เนือ่ งจากกจิ กรรม ของมนษุ ย์ในการปลดปล่อยแกส๊ เรอื นกระจกสู่ บรรยากาศ แก๊สเรอื นกระจกทีถ่ กู ปลดปล่อย มากที่สุด ได้แก่ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ซงึ่ หมนุ เวยี นอยใู่ นวฏั จักรคารบ์ อน 94 ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑