ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นร้เู พ่ิมเติม • พลงั งานกลเป็นผลรวมของพลังงานจลน์ และพลงั งานศกั ย์ตามสมการ E = Ek + EP • แรงที่ทำใหเ้ กดิ งานโดยงานของแรงนั้นไมข่ น้ึ กบั เสน้ ทางการเคลอื่ นที่ เชน่ แรงโน้มถ่วงและ แรงสปรงิ เรยี กว่า แรงอนรุ กั ษ ์ • งานและพลงั งานมีความสัมพันธก์ ัน โดยงานของ แรงลพั ธ์เท่ากบั พลังงานจลน์ของวัตถุท่ีเปลีย่ นไป ตามทฤษฎบี ทงาน-พลงั งานจลน์ เขียนแทนได้ ด้วยสมการ W = ∆Ek๑๒. อธบิ ายกฎการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานกล รวมทงั้ • ถา้ งานท่ีเกิดข้นึ กับวัตถเุ ป็นงานเนอ่ื งจากแรงวเิ คราะห์ และคำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง อนุรกั ษ์เท่านน้ั พลังงานกลของวัตถจุ ะคงตวั กับการเคล่อื นทีข่ องวตั ถุในสถานการณ์ต่าง ๆ ซง่ึ เปน็ ไปตามกฎการอนุรักษ์พลงั งานกล เขยี นโดยใชก้ ฎการอนรุ กั ษ์พลังงานกล แทนไดด้ ว้ ยสมการ Ek + Ep = ค่าคงตวั โดยที่พลงั งานศกั ย์อาจเปลยี่ นเป็นพลงั งานจลน์ • กฎการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานกลใชว้ เิ คราะหก์ ารเคลอ่ื นที่ ตา่ ง ๆ เชน่ การเคล่ือนท่ีของวัตถุทตี่ ิดสปรงิ การเคล่อื นทภ่ี ายใต้สนามโนม้ ถว่ งของโลก๑๓. อธบิ ายการทำงาน ประสิทธิภาพและการได้ • การทำงานของเครอื่ งกลอยา่ งงา่ ย ไดแ้ ก่ คาน รอก เปรยี บเชิงกลของเครอ่ื งกลอยา่ งงา่ ยบางชนดิ พนื้ เอยี ง ลม่ิ สกรู และ ลอ้ กบั เพลา ใชห้ ลกั ของงาน โดยใชค้ วามรเู้ รอ่ื งงานและสมดลุ กล รวมทัง้ และสมดุลกลประกอบการพิจารณาประสิทธิภาพ คำนวณประสทิ ธิภาพและการไดเ้ ปรียบเชิงกล และการไดเ้ ปรยี บเชงิ กลของเคร่อื งกลอย่างง่าย ประสิทธภิ าพคำนวณได้จากสมการ Eกาfรfไiดcเ้iปeรnียcบyเช=งิ กลคWWำoนinutว ณx ไ1ด0จ้0%ากสมการ M.A. = FFoiunt = Sin Sout๑๔. อธิบาย และคำนวณโมเมนตมั ของวัตถุ และ • วตั ถุที่เคล่ือนท่จี ะมีโมเมนตมั ซ่งึ เปน็ ปรมิ าณ การดลจากสมการและพ้ืนท่ีใต้กราฟ เวกเตอร์มีค่าเท่ากับผลคูณระหว่างมวลความสัมพันธร์ ะหว่างแรงลพั ธ์กับเวลา รวมทง้ั และความเรว็ ของวัตถุ ดังสมการ p = mvอธิบายความสมั พันธ์ระหวา่ งแรงดลกบั • เมื่อมีแรงลพั ธก์ ระทำต่อวตั ถุจะทำให้โมเมนตมัโมเมนตัม ของวัตถเุ ปลีย่ นไป โดยแรงลัพธเ์ ทา่ กบั อตั รา การเปลี่ยนโมเมนตัมของวตั ถุตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 195 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเตมิ • แรงลพั ธท์ ก่ี ระทำตอ่ วตั ถใุ นเวลาสนั้ ๆ เรยี กวา่ แรงดล ((โดยผลคณู ของแรงดลกับเวลา เรียกวา่ การดล n ตามสมการ I = i∑=1Fi ∆t ซึง่ การดลอาจหาไดจ้ ากพ้นื ท่ีใตก้ ราฟระหว่าง แรงดลกบั เวลา ๑๕. ทดลอง อธิบาย และคำนวณปรมิ าณต่าง ๆ • ในการชนกันของวตั ถแุ ละการดดี ตวั ออกจากกนั ที่เกี่ยวกบั การชนของวตั ถุในหนึง่ มิติ ท้งั แบบ ของวตั ถุในหนงึ่ มิติ เมอ่ื ไมม่ แี รงภายนอกมา ยดื หยุน่ ไมย่ ืดหยนุ่ และการดดี ตัวแยกจากกนั กระทำ โมเมนตัมของระบบมีคา่ คงตัวซงึ่ เป็นไป ในหนงึ่ มติ ซิ ง่ึ เปน็ ไปตามกฎการอนรุ กั ษ์ ตามกฎการอนรุ ักษโ์ มเมนตมั เขยี นแทนไดด้ ้วย โมเมนตมั สมการ pi = pf โดย pi เปน็ โมเมนตัมของระบบกอ่ นชน และ pf เปน็ โมเมนตมั ของระบบหลังชน • ในการชนกันของวตั ถุ พลังงานจลน์ของระบบ อาจคงตัวหรือไม่คงตัวกไ็ ด้ การชนทพี่ ลงั งานจลน์ ของระบบคงตวั เปน็ การชนแบบยดื หยนุ่ สว่ นการชน ทพี่ ลงั งานจลนข์ องระบบไม่คงตัวเป็นการชน แบบไมย่ ดื หยุ่น ๑๖. อธบิ าย วิเคราะห์ และคำนวณปรมิ าณต่าง ๆ • การเคลื่อนทแี่ นวโคง้ พาราโบลาภายใตส้ นาม ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับการเคลอื่ นทแี่ บบโพรเจกไทล์ โนม้ ถ่วง โดยไมค่ ิดแรงต้านของอากาศเปน็ การ และทดลองการเคล่อื นทแี่ บบโพรเจกไทล์ เคลือ่ นท่ีแบบโพรเจกไทล์ วัตถุมกี ารเปล่ียน ตำแหน่งในแนวดิ่งและแนวระดบั พร้อมกนั และเป็นอิสระต่อกัน สำหรบั การเคลอ่ื นท่ี ในแนวดิง่ เป็นการเคล่ือนทีท่ ่มี ีแรงโน้มถ่วงกระทำ จงึ มคี วามเรว็ ไมค่ งตวั ปรมิ าณตา่ ง ๆ มคี วามสมั พนั ธ์ ตามสมการ (( ∆∆vyyy===uuyyu+ty++2a y t12v ya ytt2 ส ่ว น ก าvร2y เ ค=ลuื่อy2น+ทใ่ี2นaแy∆นyวระดับไมม่ แี รงกระทำจึงมี ความเร็วคงตัว ตำแหนง่ ความเร็ว และเวลา มี ความสมั พนั ธต์ ามสมการ ∆x = uxt196 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่มิ เติม ๑๗. ทดลอง และอธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ ง • วัตถทุ ี่เคลอ่ื นท่เี ป็นวงกลมหรือส่วนของวงกลม แรงสู่ศนู ย์กลาง รศั มีของการเคลอ่ื นท่ี เรียกว่า วตั ถุนั้นมีการเคล่อื นท่ีแบบวงกลม ซง่ึ มี อัตราเร็วเชงิ เสน้ อตั ราเร็วเชิงมมุ และมวล แรงลพั ธท์ ่กี ระทำกับวัตถใุ นทิศเขา้ สู่ศูนยก์ ลาง ของวตั ถุ ในการเคลอื่ นที่แบบวงกลมในระนาบ เรยี กว่า แรงสศู่ นู ย์กลาง ทำให้เกิดความเรง่ ระดบั รวมทงั้ คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง ส่ศู ูนย์กลางท่ีมีขนาดสมั พันธก์ ับรศั มขี องการ และประยุกต์ใชค้ วามร้กู ารเคลือ่ นที่ เคล่ือนที่และอตั ราเรว็ เชิงเส้นของวตั ถุ แบบวงกลม ในการอธบิ ายการโคจรของดาวเทยี ม ซ่งึ แรงสู่ศนู ยก์ ลางคำนวณไดจ้ ากสมการ Fc = mv2 r • นอกจากน้ีการเคล่ือนทีแ่ บบวงกลมยังสามารถ อธบิ ายไดด้ ้วยอตั ราเรว็ เชิงมุม ซึง่ มคี วามสมั พันธ์ กบั อตั ราเรว็ เชิงเสน้ ตามสมการ v = ωr และ แรงสศู่ ูนย์กลางมีความสมั พันธ์กบั อัตราเร็วเชิงมุม ตามสมการ Fc = mω2r • ดาวเทยี มทโ่ี คจรในแนววงกลมรอบโลกมแี รงดงึ ดดู ทีโ่ ลกกระทำตอ่ ดาวเทียมเปน็ แรงสศู่ นู ยก์ ลาง ดาวเทียมที่มวี งโคจรค้างฟา้ ในระนาบของ เส้นศนู ยส์ ูตรมคี าบการโคจรเทา่ กับคาบการหมุน รอบตวั เองของโลก หรอื มอี ัตราเรว็ เชงิ มมุ เท่ากับ อัตราเรว็ เชิงมมุ ของตำแหน่งบนพนื้ โลก ดาวเทยี ม จงึ อยูต่ รงกบั ตำแหนง่ ท่กี ำหนดไว้บนพนื้ โลก ตลอดเวลา ม.๕ - - ม.๖ - - ตัวชีว้ ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 197 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระฟิสิกส์ ๒. เข้าใจการเคล่ือนที่แบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคล่ืน เสียงและ การได้ยิน ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั แสง รวมทั้งนำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พม่ิ เตมิ ม.๔ - -ม.๕ ๑. ทดลอง และอธบิ ายการเคลอื่ นทแ่ี บบฮารม์ อนกิ • การเคลอ่ื นที่แบบฮารม์ อนกิ อยา่ งง่ายเป็นการ อย่างง่ายของวัตถตุ ิดปลายสปริงและลกู ตมุ้ เคลื่อนท่ขี องวตั ถุทกี่ ลบั ไปกลบั มาซ้ำรอยเดมิ ผา่ น อยา่ งงา่ ย รวมทง้ั คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง ตำแหนง่ สมดลุ โดยมีคาบและแอมพลจิ ูดคงตวั และมีการกระจัดจากตำแหน่งสมดุลที่เวลาใด ๆ เปน็ ฟงั กช์ นั แบบไซน์ โดยปรมิ าณต่าง ๆ ที่ เกยี่ วข้อง มีความสมั พนั ธ์ตามสมการ x = Asin(ωt + Ø) v = Aωcos(ωt + Ø) v = ±ω√A2– x2 a = –Aω2sin(ωt + Ø) a = –ω2x • การส่นั ของวตั ถุติดปลายสปริง และการแกวง่ ของลกู ตมุ้ อยา่ งงา่ ยเปน็ การเคลอ่ื นทแี่ บบฮารม์ อนกิ อยา่ งง่ายทม่ี ขี นาดของความเรง่ แปรผนั ตรงกบั ขนาดของการกระจดั จากตำแหน่งสมดุล แตม่ ี ทศิ ทางตรงขา้ ม โดยมีคาบการส่นั ของวัตถุ ทต่ี ิดอยทู่ ี่ปลายสปริง และคาบการแกวง่ ของ ลูกตุ้มตามสมการ และ ตามลำดับ ๒. อธิบายความถธ่ี รรมชาติของวัตถแุ ละการเกดิ • เมอ่ื ดงึ วตั ถทุ ตี่ ดิ ปลายสปรงิ ออกจากตำแหนง่ สมดลุ การส่นั พ้อง แลว้ ปล่อยให้ส่นั วัตถุจะสั่นดว้ ยความถเี่ ฉพาะตวั การดึงลูกตุม้ ออกจากแนวด่ิงแล้วปลอ่ ยใหแ้ กวง่ ลกู ตมุ้ จะแกวง่ ดว้ ยความถเ่ี ฉพาะตวั เช่นกนั ความถี่ ท่มี คี ่าเฉพาะตวั นี้ เรียกว่า ความถธ่ี รรมชาติ เม่ือกระต้นุ ใหว้ ัตถสุ ่ันดว้ ยความถี่ที่มีค่าเท่ากับ ความถี่ธรรมชาตขิ องวัตถุ จะทำให้วัตถสุ ั่นด้วย แอมพลจิ ูดเพิ่มขนึ้ เรียกวา่ การส่นั พอ้ ง198 ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ ๓. อธบิ ายปรากฏการณ์คลื่น ชนิดของคลืน่ • คลื่นเปน็ ปรากฏการณ์การถ่ายโอนพลังงาน สว่ นประกอบของคลน่ื การแผข่ องหน้าคลนื่ จากท่ีหนง่ึ ไปอกี ทีห่ นึ่งดว้ ยหลักการของฮอยเกนส์ และการรวมกัน • คลื่นทถ่ี ่ายโอนพลังงานโดยตอ้ งอาศยั ตวั กลางของคลื่นตามหลกั การซ้อนทับ พร้อมท้ังคำนวณ เรียกว่า คล่ืนกล สว่ นคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าถา่ ยโอนอตั ราเร็ว ความถี่ และความยาวคล่ืน พลงั งานโดยไม่ตอ้ งอาศัยตัวกลาง นอกจากนี้ ยงั จำแนกชนิดของคล่นื ออกเป็นสองชนดิ ได้แก่ คลื่นตามขวาง และคล่นื ตามยาว • คล่นื ที่เกิดจากแหล่งกำเนดิ คลืน่ ท่ีส่งคลืน่ อย่าง ต่อเน่ืองและมีรูปแบบทีซ่ ้ำกันบรรยายได้ดว้ ย การกระจดั สนั คลน่ื ทอ้ งคลน่ื เฟส ความยาวคลนื่ ความถ่ี คาบ แอมพลจิ ดู และอตั ราเรว็ โดยอัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่น มคี วามสมั พันธต์ ามสมการ v = f • การแผข่ องหนา้ คลน่ื เปน็ ไปตามหลกั ของฮอยเกนส์ และถา้ มคี ลนื่ ต้งั แต่สองขบวนมาพบกันจะรวมกนั ตามหลักการซ้อนทับ๔. สงั เกต และอธบิ ายการสะทอ้ น การหกั เห • คล่ืนมีการสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และ การแทรกสอด และการเลยี้ วเบนของคล่นื ผิวนำ้ การเลี้ยวเบน รวมทง้ั คำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวขอ้ ง • คลื่นเกิดการสะทอ้ นเมอื่ คลืน่ เคลอื่ นท่ีไปถงึ ส่ิงกีดขวางหรือรอยต่อระหว่างตวั กลางท่ตี า่ งกัน แลว้ เปลย่ี นทศิ ทางเคลอื่ นทกี่ ลบั มาในตวั กลางเดมิ โดยเปน็ ไปตามกฎการสะทอ้ น เขยี นแทนได้ด้วย สมการ มุมสะท้อน = มมุ ตกกระทบ • คล่ืนเกดิ การหกั เหเมื่อคล่ืนเคลื่อนท่ีผา่ นรอยต่อ ระหว่างตวั กลางทต่ี า่ งกนั แล้วอตั ราเรว็ คลน่ื เปล่ียนไปซง่ึ เปน็ ไปตามกฎการหกั เห เขยี นแทน ได้ดว้ ยสมการ ตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 199 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพมิ่ เติม • คลนื่ เกิดการแทรกสอดเมอื่ คล่นื สองคลนื่ เคลื่อนท่ี มาพบกนั แล้วรวมกนั ตามหลักการซอ้ นทับ โดยกรณที ี่ S1 และ S2 เป็นแหล่งกำเนิดคล่ืนทม่ี ี ความถีเ่ ท่ากนั และเฟสตรงกัน ปริมาณต่าง ๆ ทีเ่ กย่ี วขอ้ งมคี วามสัมพนั ธต์ ามสมการ เม่ือ เม่ือ • คลน่ื นงิ่ เกดิ จากคลนื่ อาพนั ธส์ องขบวนแทรกสอดกนั แลว้ เกดิ ตำแหน่งทม่ี ีการแทรกสอดแบบเสริม ตลอดเวลา เรยี กวา่ ปฏิบัพ และตำแหนง่ ท่มี ี การแทรกสอดแบบหกั ลา้ งตลอดเวลา เรยี กวา่ บพั • คล่นื เกดิ การเลี้ยวเบนเม่อื คลนื่ เคล่ือนท่พี บ สิ่งกดี ขวางแลว้ มคี ลื่นแผจ่ ากขอบสงิ่ กดี ขวาง ไปดา้ นหลงั ได้ ๕. อธิบายการเกดิ เสียง การเคล่อื นทข่ี องเสยี ง • เสยี งเป็นคล่ืนกลและคลื่นตามยาว เกดิ จาก ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งคล่นื การกระจดั ของ การถ่ายโอนพลังงานจากการส่นั ของแหล่ง อนุภาคกบั คลนื่ ความดนั ความสมั พนั ธ์ระหว่าง กำเนดิ เสียงผา่ นอนภุ าคตัวกลางทำใหอ้ นุภาค อัตราเร็วของเสียงในอากาศท่ีข้นึ กบั อุณหภมู ิ ของตวั กลางสนั่ อตั ราเร็วเสยี งในอากาศข้นึ กับ ในหนว่ ยองศาเซลเซยี ส สมบตั ขิ องคลนื่ เสยี ง ไดแ้ ก่ อุณหภูมิของอากาศ คำนวณได้จากสมการ การสะท้อน การหกั เห การแทรกสอด • เvสยี =งม3สี 3ม1บ+ตั กิ 0า.6รสTะทCอ้ น การหกั เห การแทรกสอด การเล้ียวเบน รวมทัง้ คำนวณปริมาณต่าง ๆ และการเล้ียวเบน ท่ีเกีย่ วข้อง ๖. อธบิ ายความเข้มเสียง ระดบั เสียง องคป์ ระกอบ • กำลงั เสยี งเปน็ อัตราการถ่ายโอนพลังงานเสยี ง ของการได้ยนิ คุณภาพเสียง และมลพษิ ทาง จากแหลง่ กำเนดิ เสยี ง กำลงั เสยี งตอ่ หนง่ึ หนว่ ยพนื้ ที่ เสียง รวมท้ังคำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเี่ กีย่ วขอ้ ง ของหน้าคลืน่ ทรงกลมเรียกว่า ความเข้มเสียง คำนวณได้จากสมการ • ระดบั เสียงเปน็ ปรมิ าณทบี่ อกความดงั ของเสยี ง โดยหาไดจ้ ากลอการิทมึ ของอตั ราสว่ นระหวา่ ง ความเขม้ เสียงกับความเขม้ เสยี งอ้างองิ ทม่ี นษุ ย์ เริ่มไดย้ นิ ตามสมการ200 ตัวชว้ี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ • ระดบั สงู ตำ่ ของเสยี งขึ้นกบั ความถี่ของเสยี ง เสียงทีไ่ ด้ยนิ มลี กั ษณะเฉพาะตัวแตกตา่ งกนั เนอ่ื งจากมีคณุ ภาพเสยี งแตกต่างกนั • เสยี งท่ีมีระดบั เสียงสงู มากหรือเสยี งบางประเภท ทมี่ ีผลต่อสภาพจติ ใจของผูฟ้ ังจัดเป็นมลพิษ ทางเสียง๗. ทดลอง และอธิบายการเกดิ การส่ันพอ้ งของ • ถา้ อากาศในทอ่ ถกู กระตนุ้ ดว้ ยคลนื่ เสยี งทม่ี คี วามถ่ี อากาศในท่อปลายเปิดหนึง่ ด้าน รวมท้ังสงั เกต เท่ากบั ความถธ่ี รรมชาติของอากาศในท่อนัน้ และอธบิ ายการเกิดบตี คลื่นน่ิง ปรากฏการณ์ จะเกิดการสน่ั พอ้ งของเสียง โดยความถีใ่ นการ ดอปเพลอร์ คลืน่ กระแทกของเสียง คำนวณ เกิดการส่นั พ้องของทอ่ ปลายเปิดหนง่ึ ด้านคำนวณ ปริมาณต่าง ๆ ท่เี กยี่ วข้อง และนำความรู้ ไดจ้ ากสมการ เรอ่ื งเสยี งไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั เม่อื 1,3,5,... • ถ้าเสียงจากแหล่งกำเนิดเสยี งสองแหล่งที่มคี วามถี่ ตา่ งกนั ไม่มากมาพบกนั จะเกิดบีต ทำใหไ้ ด้ยนิ เสยี งดงั คอ่ ย เปน็ จงั หวะ • คล่นื เสยี งสองขบวนทม่ี คี วามถ่ีเท่ากนั มาแทรกสอดกนั จะทำใหเ้ กดิ คลนื่ น่งิ • เม่ือแหลง่ กำเนดิ เสียงเคลือ่ นทีโ่ ดยผฟู้ ังอยู่น่ิง ผูฟ้ งั เคลอ่ื นท่โี ดยแหลง่ กำเนิดเสยี งอยนู่ ง่ิ หรือทัง้ แหลง่ กำเนดิ และผฟู้ งั เคลอ่ื นทเี่ ขา้ หรอื ออกจากกนั ผู้ฟังจะได้ยนิ เสียงทีม่ คี วามถเี่ ปลีย่ นไป เรียกว่า ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ • ถา้ แหลง่ กำเนดิ เสียงเคล่อื นทด่ี ้วยอตั ราเรว็ มาก กว่าอตั ราเรว็ เสียงในตัวกลางเดยี วกนั จะเกิด คลน่ื กระแทก ทำใหเ้ สยี งตามแนวหนา้ คลนื่ กระแทก มพี ลังงานสงู มากมีผลทำใหผ้ ูส้ งั เกตในบริเวณใกล้ เคียงได้ยนิ เสยี งดังมาก • ความรเู้ รอื่ งเสียงนำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ การปรบั เทยี บเสยี งเครอื่ งดนตรี อธบิ ายหลกั การ ทำงานของเคร่อื งดนตรี การเปลง่ เสียงของมนุษย์ การประมง การแพทย์ ธรณีวิทยา อุตสาหกรรม เป็นตน้ ตัวชีว้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 201 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเตมิ ๘. ทดลอง และอธบิ ายการแทรกสอดของแสง • เม่อื แสงผ่านช่องเล็กยาวเดยี่ ว (สลิตเดย่ี ว) และ ช่องเล็กยาวคู่ (สลิตค)ู่ จะเกิดการเล้ียวเบน ผ่านสลติ คู่และเกรตตงิ การเลยี้ วเบน และการแทรกสอด ทำให้เกดิ แถบมดื และ และการแทรกสอดของแสงผ่านสลติ เด่ยี ว แถบสวา่ งบนฉาก โดยปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วข้อง รวมทงั้ คำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ยี วข้อง มคี วามสมั พนั ธต์ ามสมการ แถบมดื สำหรับสลติ เด่ยี ว เมอื่ แถบสวา่ ง สำหรับสลติ คู่ เม่ือ แถบมืด สำหรบั สลติ คู่ เม่อื • เกรตติง เปน็ อปุ กรณ์ทป่ี ระกอบดว้ ยช่องเล็กยาว ทมี่ ีจำนวนชอ่ งต่อหนึ่งหน่วยความยาวเปน็ จำนวนมาก และระยะหา่ งระหวา่ งชอ่ งมีคา่ น้อย โดยแตล่ ะชอ่ งห่างเท่า ๆ กนั ใชส้ ำหรบั หา ความยาวคลน่ื ของแสงและศกึ ษาสมบตั กิ ารเลยี้ วเบน และการแทรกสอดของแสง โดยปรมิ าณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมีความสมั พันธต์ ามสมการ เมอื่ n = 0,1,2,... ๙. ทดลอง และอธบิ ายการสะทอ้ นของแสงทผ่ี วิ วตั ถุ • เม่ือแสงตกกระทบผิววัตถุ จะเกดิ การสะท้อน ตามกฎการสะท้อน เขียนรังสขี องแสงและ ซ่งึ เปน็ ไปตามกฎการสะท้อน คำนวณตำแหนง่ และขนาดภาพของวตั ถุ เมอื่ แสง • วตั ถทุ ่อี ย่หู น้ากระจกเงาราบและกระจกเงา ตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม ทรงกลม จะเกดิ ภาพทสี่ ามารถหาตำแหน่ง ขนาด รวมท้งั อธิบายการนำความรู้เรื่องการสะทอ้ น และชนดิ ของภาพทีเ่ กิดขนึ้ ได้จากการเขียนภาพ ของแสงจากกระจกเงาราบ และกระจกเงา ของรงั สีแสงหรือการคำนวณจากสมการ ทรงกลมไปใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจำวนั กรณกี ระจกเงาราบ กรณกี ระจกเงาทรงกลม202 ตัวช้วี ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ ๑๐. ทดลอง และอธิบายความสัมพนั ธร์ ะหว่าง • เม่อื แสงเคลอ่ื นทีผ่ ่านผวิ รอยตอ่ ของตัวกลางสองดรรชนหี กั เห มมุ ตกกระทบ และมุมหักเห ตวั กลางจะเกดิ การหักเห โดยอตั ราสว่ นระหว่างรวมทงั้ อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความลกึ จรงิ ไซนข์ องมุมตกกระทบกบั ไซนข์ องมมุ หกั เหของและความลึกปรากฏ มุมวกิ ฤตและการ ตวั กลางคหู่ น่ึงมีคา่ คงตัว เรียกความสมั พันธ์นี้วา่สะทอ้ นกลบั หมดของแสง และคำนวณ กฎของสเนลล์ เขียนแทนไดด้ ว้ ยสมการปริมาณตา่ ง ๆ ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง • การหักเหของแสงทำใหม้ องเห็นภาพของวตั ถุท่อี ยู่ ในตวั กลางต่างชนิดกันมีตำแหนง่ เปลีย่ นไป จากเดมิ ซงึ่ คำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ท่เี ก่ยี วข้องได้ จากสมการ • มุมตกกระทบทท่ี ำใหม้ ุมหักเหมีคา่ ๙๐ องศา เรยี กวา่ มมุ วิกฤต ซึ่งเกิดขึน้ ในกรณีทีแ่ สงเดนิ ทาง จากตวั กลางที่มีดรรชนหี ักเหมากไปตวั กลางทมี่ ี ดรรชนหี กั เหนอ้ ย คำนวณไดจ้ ากสมการ • การสะทอ้ นกลบั หมดเกดิ ขึน้ เมือ่ มุมตกกระทบ มากกวา่ มมุ วกิ ฤต๑๑. ทดลอง และเขียนรงั สขี องแสงเพอ่ื แสดงภาพ • เมื่อวางวัตถุหน้าเลนสบ์ างจะเกดิ ภาพของวตั ถุที่เกดิ จากเลนสบ์ าง หาตำแหนง่ ขนาด ชนดิ โดยตำแหน่ง ขนาด และชนดิ ของภาพท่ีเกดิ ข้นึของภาพ และความสมั พันธร์ ะหวา่ งระยะวตั ถุ หาไดจ้ ากการเขยี นภาพของรังสแี สง หรอื คำนวณระยะภาพและความยาวโฟกัส รวมทั้งคำนวณ ได้จากสมการปรมิ าณต่าง ๆ ที่เกีย่ วขอ้ ง และอธบิ ายการนำ ความรเู้ รอื่ งการหักเหของแสงผ่านเลนสบ์ าง ไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจำวัน • ความรูเ้ ร่อื งเลนสน์ ำไปประยกุ ต์ใช้ในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น แวน่ ขยาย กล้องจลุ ทรรศน์ เป็นต้น ๑๒. อธบิ ายปรากฏการณธ์ รรมชาตทิ เ่ี ก่ียวกับแสง • กฎการสะท้อนและการหักเหของแสงใชอ้ ธิบายเช่น รงุ้ การทรงกลด มริ าจ และการเห็น ปรากฏการณท์ เี่ กยี่ วกับแสง เช่น รงุ้ การทรงกลดทอ้ งฟา้ เปน็ สีตา่ ง ๆ ในชว่ งเวลาตา่ งกนั และมริ าจตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 203 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพ่มิ เติม • เม่ือแสงตกกระทบอนุภาคหรอื โมเลกุลของอากาศ ๑๓. สังเกต และอธิบายการมองเห็นแสงสี สีของ แสงจะเกิดการกระเจงิ ใชอ้ ธบิ ายการเห็นทอ้ งฟา้ วตั ถุ การผสมสารสี และการผสมแสงส ี เป็นสีต่าง ๆ ในช่วงเวลาตา่ งกัน รวมท้ังอธิบายสาเหตุของการบอดสี • การมองเหน็ สจี ะข้ึนกบั แสงสีทีต่ กกระทบกบั วัตถุ และสารสบี นวตั ถุ โดยสารสีจะดูดกลืนบางแสงสี ม.๖ - และสะท้อนบางแสงส ี • การผสมสารสที ำใหไ้ ดส้ ารสที มี่ สี เี ปลย่ี นไปจากเดมิ ถา้ นำแสงสีปฐมภมู ิในสัดส่วนท่เี หมาะสม มาผสมกนั จะไดแ้ สงขาว • แผ่นกรองแสงสยี อมให้บางแสงสผี า่ นไปได้ และดดู กลืนบางแสงสี • การผสมแสงสีและการผสมสารสสี ามารถนำไปใช้ ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ดา้ นศลิ ปะ ดา้ นการแสดง • ความผิดปกตใิ นการมองเห็นสีหรอื การบอดสี เกิดจากความบกพร่องของเซลล์รูปกรวย ซึง่ เปน็ เซลลร์ บั แสงชนิดหนง่ึ บนจอตา -204 ตวั ชี้วัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
สาระฟิสิกส์ ๓. เข้าใจแรงไฟฟ้า และกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟา้ และกฎของโอหม์ วงจรไฟฟา้ กระแสตรง พลงั งานไฟฟา้ และกำลงั ไฟฟา้ การเปล่ียนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็ก ที่กระทำกับประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ ของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมท้ัง นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ชัน้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นร้เู พิ่มเติมม.๔ - -ม.๕ ๑. ทดลอง และอธบิ ายการทำวัตถุทเ่ี ปน็ กลางทาง • การนำวตั ถุท่ีเป็นกลางทางไฟฟ้ามาขัดสกี นั จะทำให้วัตถุไมเ่ ปน็ กลางทางไฟฟ้า เน่ืองจาก ไฟฟ้าให้มปี ระจไุ ฟฟ้าโดยการขัดสีกันและการ อเิ ลก็ ตรอนถกู ถา่ ยโอนจากวตั ถหุ นงึ่ ไปอกี วตั ถหุ นงึ่ เหน่ยี วนำไฟฟ้าสถติ โดยการถ่ายโอนประจเุ ป็นไปตาม กฎการอนรุ ักษ์ ประจุไฟฟา้ ๒. อธบิ าย และคำนวณแรงไฟฟา้ ตามกฎของ • เม่ือนำวตั ถุทม่ี ปี ระจุไฟฟา้ ไปใกล้ตวั นำไฟฟ้า คูลอมบ์ จะทำให้เกดิ ประจุชนิดตรงข้ามบนตวั นำทางด้าน ท่ีใกล้วตั ถุและประจชุ นดิ เดยี วกันด้านทไ่ี กลวตั ถุ เรยี กวิธีการนีว้ า่ การเหนยี่ วนำไฟฟ้าสถติ ซึง่ สามารถใชว้ ิธีการนี้ในการทำใหว้ ัตถมุ ปี ระจไุ ด้ • จดุ ประจุไฟฟ้ามีแรงกระทำซึ่งกนั และกัน โดยมี ทศิ อยู่ในแนวเสน้ ตรงระหวา่ งจุดประจทุ งั้ สอง และมขี นาดของแรงระหว่างจดุ ประจุแปรผนั ตรงกับผลคูณของขนาดของประจทุ ง้ั สอง และแปรผกผนั กบั กำลังสองของระยะห่าง ระหวา่ งจุดประจุ ซ่ึงเป็นไปตามกฎของคลู อมบ์ เขยี นแทนไดด้ ้วยสมการ เมือ่ 4πε0ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 205 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เตมิ ๓. อธิบาย และคำนวณสนามไฟฟา้ และแรงไฟฟ้า • รอบอนภุ าคทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ มสี นามไฟฟา้ ขนาด ที่กระทำกบั อนภุ าคทม่ี ปี ระจุไฟฟา้ ทอี่ ยูใ่ นสนาม ไฟฟ้า รวมท้งั หาสนามไฟฟา้ ลัพธเ์ นื่องจากระบบ ทำใหเ้ กิดแรงไฟฟ้ากระทำต่ออนุภาค จดุ ประจโุ ดยรวมกนั แบบเวกเตอร์ ทม่ี ปี ระจไุ ฟฟ้า • สนามไฟฟา้ ทต่ี ำแหนง่ ใด ๆ มคี วามสมั พนั ธก์ บั แรงไฟฟา้ ทกี่ ระทำตอ่ ประจุไฟฟา้ ตามสมการ • สนามไฟฟ้าลัพธเ์ น่ืองจากจดุ ประจหุ ลายจุดประจุ เทา่ กับผลรวมแบบเวกเตอรข์ องสนามไฟฟา้ เน่อื งจากจดุ ประจแุ ต่ละจดุ ประจุ • ตัวนำทรงกลมที่มปี ระจุไฟฟ้ามสี นามไฟฟา้ ภายใน ตวั นำเป็นศูนย์ และสนามไฟฟา้ บนตวั นำมีทศิ ทาง ตงั้ ฉากกบั ผิวตัวนำน้นั โดยสนามไฟฟา้ เน่อื งจาก ประจุบนตวั นำทรงกลมท่ตี ำแหนง่ ห่างจากผวิ ออกไปหาได้เช่นเดยี วกับสนามไฟฟ้า เนอ่ื งจาก จดุ ประจทุ ม่ี จี ำนวนประจเุ ทา่ กนั แตอ่ ยทู่ ศี่ นู ยก์ ลาง ของทรงกลม • สนามไฟฟ้าของแผ่นโลหะคขู่ นานเป็นสนามไฟฟา้ สมำ่ เสมอ ๔. อธบิ าย และคำนวณพลงั งานศกั ยไ์ ฟฟา้ ศกั ยไ์ ฟฟา้ • ประจุทอ่ี ยูใ่ นสนามไฟฟา้ มีพลังงานศกั ย์ไฟฟ้า และความตา่ งศกั ยร์ ะหวา่ งสองตำแหนง่ ใด ๆ คำนวณไดจ้ ากสมการ U = kq1rq2 • พลังงานศกั ย์ไฟฟา้ ท่ีตำแหน่งใด ๆ ตอ่ หนึง่ หน่วย ประจุ เรยี กว่า ศักย์ไฟฟ้าที่ตำแหนง่ นัน้ โดย ศกั ยไ์ ฟฟา้ ทตี่ ำแหนง่ ซง่ึ อยหู่ า่ งจากจดุ ประจแุ ปรผนั ตรงกบั ขนาดของประจุ และแปรผกผนั กบั ระยะทาง จากจุดประจุถึงตำแหนง่ นนั้ เขียนแทนไดด้ ้วย สมการ V = kQr • ศักยไ์ ฟฟา้ รวมเนื่องจากจุดประจุหลายจดุ ประจุ คือ ผลรวมของศกั ย์ไฟฟา้ เน่ืองจากจดุ ประจแุ ตล่ ะ จุดประจุ เขียนแทนไดด้ ้วยสมการ V = �ki=n1qrii206 ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนร้เู พ่ิมเติม • ความต่างศักยร์ ะหวา่ งสองตำแหน่งใด ๆ ใน บริเวณที่มสี นามไฟฟ้าคอื งานในการเคลอื่ นประจุ บวกหนึ่งหน่วยจากตำแหน่งหน่ึงไปอกี ตำแหน่งหน่งึ เขียนแทนไดด้ ว้ ยสมการ • ความตา่ งศักยร์ ะหว่างสองตำแหนง่ ใด ๆ ใน สนามไฟฟา้ สมำ่ เสมอขึ้นกับขนาดของสนามไฟฟา้ และระยะทางระหวา่ งสองตำแหน่งนั้น ในแนว ขนานกับสนามไฟฟ้า ตามสมการ vB – vA = Ed๕. อธบิ ายสว่ นประกอบของตัวเกบ็ ประจ ุ • ตัวเก็บประจุประกอบด้วยตวั นำไฟฟา้ สองชิ้นความสัมพันธ์ระหวา่ งประจไุ ฟฟ้า ความต่างศกั ย์ ทีค่ ั่นดว้ ยฉนวน โดยปริมาณประจทุ ่ีเกบ็ ได้และความจขุ องตัวเก็บประจุ และอธบิ าย ขึน้ อยกู่ ับความต่างศกั ย์ครอ่ มตวั เก็บประจุพลงั งานสะสมในตวั เกบ็ ประจุ และความจุสมมูล และความจุของตัวเก็บประจุ ตามสมการรวมทัง้ คำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง • ตวั เกบ็ ประจจุ ะมีพลงั งานสะสมซึ่งมคี า่ ข้ึนกับ ความตา่ งศกั ย์และปรมิ าณประจุ ตามสมการ • เมอื่ นำตัวเกบ็ ประจมุ าต่อแบบอนุกรม ความจุ สมมลู มีค่าลดลง ตามสมการ • เมอ่ื นำตวั เกบ็ ประจมุ าตอ่ แบบขนาน ความจุ สมมูลมีค่าเพม่ิ ข้ึน ตามสมการ๖. นำความรเู้ รอ่ื งไฟฟา้ สถติ ไปอธบิ ายหลกั การทำงาน • ความรูเ้ รอ่ื งไฟฟ้าสถิตสามารถนำไปอธบิ าย ของเคร่อื งใช้ไฟฟา้ บางชนดิ และปรากฏการณ์ การทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด เชน่ในชีวติ ประจำวนั เครื่องกำจดั ฝุ่นในอากาศ เครอื่ งพน่ สี เครือ่ งถ่าย ลายนิว้ มอื และเครือ่ งถา่ ยเอกสาร • ความร้เู รอ่ื งไฟฟา้ สถติ ยงั สามารถนำไปอธิบาย ปรากฏการณใ์ นชวี ิตประจำวนั ได้ เชน่ ฟ้าผา่ ประกายไฟจากการเสยี ดสีกันของวตั ถุ ซ่งึ ช่วยให้ สามารถป้องกนั อนั ตรายทอ่ี าจเกิดขึ้นตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 207 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเติม ๗. อธบิ ายการเคลอื่ นทีข่ องอิเล็กตรอนอิสระและ • เมอื่ ตอ่ ลวดตวั นำกบั แหลง่ กำเนิดไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำ ความสมั พนั ธ์ระหว่าง อิเลก็ ตรอนอิสระท่ีอยู่ในลวดตัวนำจะเคลื่อนทใ่ี น กระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำกบั ความเร็วลอยเล่ือน ทศิ ตรงข้ามกับสนามไฟฟา้ ทำใหเ้ กิดกระแสไฟฟา้ ของอิเลก็ ตรอนอิสระ ความหนาแน่นของ ซง่ึ ทิศของกระแสไฟฟ้ามที ิศทางเดยี วกบั สนาม อเิ ล็กตรอนในลวดตวั นำและพน้ื ทีห่ น้าตัด ไฟฟา้ หรอื มที ศิ ทางจากจดุ ท่มี ีศักยไ์ ฟฟ้าสูงไปยงั ของลวดตวั นำ และคำนวณปรมิ าณต่าง ๆ จุดทมี่ ีศักย์ไฟฟา้ ตำ่ กวา่ ที่เก่ียวขอ้ ง • กระแสไฟฟ้าในตวั นำไฟฟา้ มคี วามสมั พันธ์ กับความเร็วลอยเล่อื นของอิเล็กตรอนอิสระ ความหนาแน่นของอิเลก็ ตรอนอิสระในตวั นำ และพนื้ ท่หี น้าตดั ของตัวนำ ตามสมการ I = nevd A ๘. ทดลอง และอธบิ ายกฎของโอห์ม อธบิ าย • เมอื่ อุณหภูมคิ งตวั กระแสไฟฟา้ ในตวั นำโลหะ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความตา้ นทานกบั ความยาว ความต่างศกั ย์ทีป่ ลายทงั้ สองและความต้านทาน พน้ื ทหี่ นา้ ตดั และสภาพตา้ นทานของตวั นำโลหะ ของตวั นำนั้นมีความสมั พันธก์ นั ตามกฎของโอหม์ ที่อณุ หภมู ิคงตวั และคำนวณปริมาณต่าง ๆ ( )ท่ีเก่ยี วข้อง รวมท้งั อธบิ ายและคำนวณ เขยี นแทนได้ด้วยสมการ I = R 1 V ความตา้ นทานสมมลู เมือ่ นำตวั ตา้ นทาน • ความต้านทานของวตั ถุเมือ่ อณุ หภมู คิ งตัว มาตอ่ กันแบบอนุกรมและแบบขนาน ขนึ้ อยกู่ บั ชนิดและรูปร่างของวตั ถุ ตามสมการ R = ρ l A • คา่ ความตา้ นทานของตัวตา้ นทานอา่ นไดจ้ าก แถบสบี นตัวต้านทาน • เม่อื นำตัวต้านทานมาต่อแบบอนกุ รม ความต้านทานสมมลู มคี ่าเพมิ่ ขนึ้ ตามสมการ R = R1 + R2 + R3 +... • เมอ่ื นำตวั ตา้ นทานมาตอ่ แบบขนาน ความตา้ นทาน สมมลู มีค่าลดลง ตามสมการ 1 = + +1 1 R13+... R R1 R2 ๙. ทดลอง อธิบาย และคำนวณอีเอ็มเอฟของ • แหล่งกำเนดิ ไฟฟา้ กระแสตรง เชน่ แบตเตอร ่ี แหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้ากระแสตรง รวมทง้ั อธบิ าย เปน็ อุปกรณ์ทีใ่ ห้พลังงานไฟฟ้าแก่วงจร และคำนวณพลงั งานไฟฟา้ และกำลังไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้าที่ประจไุ ฟฟ้าได้รบั ต่อหน่ึงหนว่ ย ประจุไฟฟ้าเมอื่ เคลือ่ นทผ่ี า่ นแหล่งกำเนดิ ไฟฟ้า เรยี กวา่ อเี อม็ เอฟ คำนวณไดจ้ ากสมการ ε = ∆V + Ir208 ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พิ่มเตมิ • พลงั งานไฟฟา้ ท่ีถกู ใชไ้ ปในเคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ ใน หนงึ่ หนว่ ยเวลา เรยี กวา่ กำลังไฟฟ้า ซง่ึ มคี า่ ข้ึนกับความตา่ งศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟ้า คำนวณ ไดจ้ ากสมการ และ๑๐. ทดลอง และคำนวณอเี อ็มเอฟสมมลู จากการ • เมอ่ื นำแบตเตอร่ีมาต่อแบบอนกุ รม อีเอ็มเอฟ ตอ่ แบตเตอร่ีแบบอนกุ รมและแบบขนาน สมมลู และความตา้ นทานภายในสมมลู มคี ่า รวมทง้ั คำนวณปริมาณต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เพ่ิมขน้ึ ตามสมการ ในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงซ่งึ ประกอบด้วย ε = ε1 + ε2 + ... + εn และ แบตเตอรี่และตัวต้านทาน r = r1 + r2 + ... + rn ตามลำดับ • เมอ่ื นำแบตเตอรี่ที่เหมือนกันมาต่อแบบขนาน อีเอ็มเอฟสมมลู มคี า่ คงเดมิ และความตา้ นทาน ภายในสมมูลมคี ่าลดลง ตามสมการ ε = ε1 = ε2 = ... = εn และ r1 = 1r + r1 + . . . + r 1 ตามลำดับ 1 2 n • กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้ กระแสตรงท่ี คปำรนะกวณอบไดดต้ว้ ายมแสบมตกเตาอรรแี่ ละตัวεตา้ นทาน ๑๑. อธบิ ายการเปลีย่ นพลงั งานทดแทนเป็น • การนำพลงั งานทดแทนมาใชเ้ ป็นการแก้ปญั หา พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งสืบค้นและอภปิ ราย หรอื ตอบสนองความตอ้ งการด้านพลังงาน เช่น เกย่ี วกบั เทคโนโลยี ทีน่ ำมาแกป้ ญั หาหรือ การเปล่ยี นพลงั งานนวิ เคลียรเ์ ปน็ พลังงานไฟฟ้า ตอบสนองความต้องการทางดา้ นพลังงาน ในโรงไฟฟา้ นวิ เคลยี ร์ และการเปลย่ี นพลังงาน ไฟฟ้า โดยเน้นดา้ นประสทิ ธิภาพและ แสงอาทติ ยเ์ ป็นพลังงานไฟฟา้ โดยเซลล์สุริยะ ความคุม้ คา่ ดา้ นคา่ ใช้จา่ ย • เทคโนโลยีต่าง ๆ ทนี่ ำมาแก้ปัญหาหรอื ตอบสนอง ความต้องการทางด้านพลังงานเป็นการนำความรู้ม.๖ ๑. สงั เกต และอธิบายเส้นสนามแมเ่ หลก็ อธิบาย ทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาสรา้ ง และคำนวณฟลักซแ์ ม่เหล็กในบริเวณที่กำหนด อปุ กรณ์หรอื ผลติ ภณั ฑต์ ่าง ๆ ท่ีชว่ ยใหก้ ารใช้ รวมทงั้ สงั เกต และอธบิ ายสนามแมเ่ หล็กท่ี พลังงานมีประสทิ ธภิ าพยิง่ ขนึ้ เกดิ จากกระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำเส้นตรง • เส้นสนามแม่เหลก็ เปน็ เสน้ สมมติที่ใชแ้ สดงบรเิ วณ และโซเลนอยด์ ทม่ี สี นามแมเ่ หลก็ โดยบรเิ วณทมี่ เี สน้ สนามแมเ่ หลก็ หนาแนน่ มากแสดงว่าเป็นบรเิ วณทีส่ นามแมเ่ หลก็ มคี วามเขม้ มากตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 209 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เติม • ฟลกั ซ์แมเ่ หล็ก คือ จำนวนเสน้ สนามแม่เหล็ก ทผี่ า่ นพนื้ ทท่ี พ่ี จิ ารณา และอตั ราสว่ นระหวา่ ง ฟลกั ซแ์ มเ่ หลก็ ต่อพ้ืนทีต่ งั้ ฉากกับสนามแมเ่ หล็ก คอื ขนาดของสนามแมเ่ หล็ก เขียนแทนไดด้ ้วย สมการ • เมอ่ื มีกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนำเสน้ ตรงหรือ โซเลนอยด์จะเกิดสนามแม่เหล็กขึน้ ๒. อธบิ าย และคำนวณแรงแม่เหลก็ ทีก่ ระทำตอ่ • อนภุ าคทมี่ ีประจุไฟฟา้ เคลอื่ นท่เี ข้าไปใน อนภุ าคทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ เคล่อื นท่ใี นสนามแม่เหล็ก สนามแมเ่ หล็ก จะเกดิ แรงกระทำตอ่ อนภุ าคนนั้ แรงแมเ่ หลก็ ทกี่ ระทำตอ่ เสน้ ลวดทมี่ กี ระแสไฟฟา้ คำนวณได้จากสมการ ผ่านและวางในสนามแมเ่ หล็ก รัศมคี วามโคง้ ของ • กรณีที่ประจไุ ฟฟ้าเคล่อื นท่ีตัง้ ฉากเข้าไปใน การเคลือ่ นท่เี ม่อื ประจเุ คล่อื นท่ตี ั้งฉากกับ สนามแม่เหลก็ จะทำให้ประจเุ คลอื่ นทเี่ ปล่ยี นไป สนามแมเ่ หลก็ รวมทง้ั อธบิ ายแรงระหวา่ งเสน้ ลวด โดยรศั มีความโค้งของการเคลื่อนทคี่ ำนวณได้จาก ตวั นำคขู่ นานทีม่ ีกระแสไฟฟา้ ผา่ น สมการ ๓. อธบิ ายหลกั การทำงานของแกลแวนอมิเตอร์ • ลวดตัวนำท่ีมีกระแสไฟฟา้ ผา่ นและอยู่ใน และมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง รวมท้ังคำนวณ สนามแมเ่ หล็ก จะเกิดแรงกระทำตอ่ ลวดตวั นำนัน้ ปรมิ าณตา่ งๆ ที่เก่ยี วข้อง โดยทิศทางของแรงหาได้จากกฎมือขวา และ คำนวณขนาดของแรงไดจ้ ากสมการ • เมื่อวางเส้นลวดสองเสน้ ขนานกันและมีกระแส ไฟฟา้ ผ่านทั้งสองเส้น จะเกิดแรงกระทำระหวา่ ง ลวดตัวนำทงั้ สอง • เมอ่ื มีกระแสไฟฟา้ ผ่านขดลวดตัวนำท่อี ยู่ใน สนามแมเ่ หล็กจะมีโมเมนต์ของแรงคู่ควบกระทำ ต่อขดลวดทำใหข้ ดลวดหมนุ ซ่ึงนำไปใชอ้ ธบิ าย การทำงานของแกลแวนอมเิ ตอรแ์ ละมอเตอร์ ไฟฟา้ กระแสตรง โดยโมเมนตข์ องแรงคู่ควบ คำนวณได้จากสมการ ๔. สงั เกต และอธิบายการเกดิ อีเอ็มเอฟเหนีย่ วนำ • เมอ่ื มฟี ลกั ซ์แมเ่ หล็กเปล่ียนแปลงตัดขดลวดตัวนำ กฎการเหนีย่ วนำของฟาราเดย์ และคำนวณ จะเกิดอเี อ็มเอฟเหน่ยี วนำในขดลวดตัวนำน้ัน ปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกยี่ วขอ้ ง รวมท้ังนำความรู้ อธิบายไดโ้ ดยใชก้ ฎการเหนย่ี วนำของฟาราเดย์ เร่อื งอเี อ็มเอฟเหนี่ยวนำไปอธบิ ายการทำงาน ของเครอ่ื งใช้ไฟฟ้า เขยี นแทนได้ด้วยสมการε210 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พิม่ เติม • ทิศทางของกระแสไฟฟา้ เหน่ียวนำหาได้โดยใช้๕. อธบิ าย และคำนวณความตา่ งศกั ย์อารเ์ อม็ เอส กฎของเลนซ์ และกระแสไฟฟ้าอาร์เอ็มเอส • ความรู้เกี่ยวกบั อีเอ็มเอฟเหน่ียวนำไปใชอ้ ธบิ าย การทำงานของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และการ ทำงานของเครือ่ งใช้ไฟฟา้ ตา่ ง ๆ เชน่ แบลลสั ต์ แบบขดลวดของหลอดฟลูออเรสเซนต์ การเกิด อีเอม็ เอฟกลับในมอเตอร์ไฟฟา้ มอเตอรไ์ ฟฟา้ เหนีย่ วนำ และกีตาร์ไฟฟ้า • ไฟฟ้ากระแสสลบั ทสี่ ง่ ไปตามบ้านเรือน มีความ ต่างศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไปตาม เวลาในรปู ของฟงั ก์ชันแบบไซน์ • การวัดความตา่ งศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้าสลบั ใชค้ ่ายังผลหรือคา่ มิเตอร์ ซ่งึ เป็นค่าเฉลย่ี แบบ รากทสี่ องของกำลงั สองเฉลยี่ คำนวณไดจ้ ากสมการ๖. อธิบายหลกั การทำงานและประโยชน์ของ • เคร่อื งกำเนดิ ไฟฟา้ กระแสสลบั ๓ เฟส มีขดลวด เคร่อื งกำเนิดไฟฟา้ กระแสสลบั ๓ เฟส ตวั นำ ๓ ชุด แต่ละชุดวางทำมมุ ๑๒๐ องศา ซึ่ง การแปลงอีเอ็มเอฟของหม้อแปลง และคำนวณ กนั และกนั ไฟฟา้ กระแสสลบั จากขดลวดแตล่ ะชดุ ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง จะมีเฟสต่างกัน ๑๒๐ องศา ซึ่งช่วยให้มี ประสทิ ธิภาพในการผลิตและการสง่ พลงั งาน ไฟฟา้ • ไฟฟ้ากระแสสลับท่สี ่งไปตามบ้านเรือนเปน็ ไฟฟ้า กระแสสลับทีต่ ้องเพิม่ อีเอ็มเอฟจากโรงไฟฟา้ แลว้ ลดอเี อ็มเอฟให้มคี ่าท่ีตอ้ งการโดยใชห้ ม้อแปลงซงึ่ ประกอบด้วยขดลวดปฐมภมู แิ ละขดลวดทตุ ยิ ภูมิ • ไฟฟา้ กระแสสลบั ที่ผา่ นขดลวดปฐมภมู ิของ หม้อแปลงจะทำใหเ้ กิดอีเอม็ เอฟเหน่ียวนำใน ขดลวดทตุ ิยภูมขิ องหมอ้ แปลง โดยอีเอม็ เอฟใน ขดลวดทุตยิ ภูมขิ ้นึ กบั อเี อม็ เอฟในขดลวดปฐมภูมิ และจำนวนรอบของขดลวดท้ังสอง ตามสมการ ε2 ε1ตัวช้ีวดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 211 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นร้เู พม่ิ เติม ๗. อธบิ ายการเกดิ และลักษณะเฉพาะของ • การเหน่ยี วนำตอ่ เนอ่ื งระหวา่ งสนามแม่เหลก็ และ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ แสงไมโ่ พลาไรส ์ สนามไฟฟ้า ทำให้เกิดคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าแผอ่ อก แสงโพลาไรส์เชิงเส้น และแผน่ โพลารอยด ์ จากแหล่งกำเนิด รวมท้ังอธิบายการนำคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ • คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ประกอบดว้ ยสนามแม่เหลก็ ในช่วงความถ่ีตา่ ง ๆ ไปประยุกตใ์ ชแ้ ละหลัก และสนามไฟฟ้าทีเ่ ปล่ียนแปลงตลอดเวลาโดย การทำงานของอุปกรณ์ท่เี ก่ียวข้อง สนามทั้งสองมที ศิ ตั้งฉากกันและตั้งฉากกับ ทศิ ทางการเคล่ือนท่ีของคลืน่ ๘. สบื ค้น และอธิบายการสื่อสารโดยอาศัย • แสงเป็นคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าชนิดหน่ึง โดยแสงใน คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าในการสง่ ผ่านสารสนเทศ ชีวิตประจำวนั เปน็ แสงไมโ่ พลาไรส์ เมือ่ แสงน้นั และเปรยี บเทียบการสอื่ สารด้วยสญั ญาณ ผา่ นแผน่ โพลารอยด์ สนามไฟฟ้าจะมีทิศทางอยู่ แอนะลอ็ กกับสญั ญาณดิจิทัล ในระนาบเดียวเรยี กว่า แสงโพลาไรสเ์ ชงิ เสน้ สมบตั ขิ องแสงลกั ษณะน้เี รยี กวา่ โพลาไรเซชัน • คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ามีความถี่ต่าง ๆ มากมาย โดย ความถ่นี มี้ ีคา่ ตอ่ เนอ่ื งกันเป็นชว่ งกวา้ ง เรยี กวา่ สเปกตรัมคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ • ตัวอยา่ งอุปกรณท์ ที่ ำงานโดยอาศัย คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า เช่น เครื่องฉายรงั สีเอกซ์ เครื่องควบคมุ ระยะไกล เครอ่ื งระบตุ ำแหน่งบน พ้นื โลก เครอ่ื งถ่ายภาพเอกซเ์ รย์คอมพวิ เตอร์ และเครื่องถา่ ยภาพการส่ันพ้องแม่เหล็ก • การสือ่ สารเพ่อื สง่ ผา่ นสารสนเทศจากที่หนงึ่ ไปอกี ทหี่ น่ึง ทำได้โดยอาศัยคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ สารสนเทศจะถูกแปลงใหอ้ ยู่ในรปู สัญญาณ สำหรับส่งไปยังปลายทางซึง่ จะมีการแปลง สัญญาณกลบั มาเป็นสารสนเทศที่เหมอื นเดิม • สัญญาณมีสองชนดิ คอื แอนะลอ็ กและดจิ ิทัล โดยการส่งผ่านสารสนเทศด้วยสญั ญาณดิจทิ ัล มีความผดิ พลาดน้อยกว่าสญั ญาณแอนะล็อก212 ตวั ช้ีวัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระฟิสกิ ส์ ๔. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยดื หยนุ่ ของวสั ดแุ ละมอดลุ สั ของยงั ความดนั ในของไหล แรงพยงุ และหลกั ของอาร์คิมีดิส ความตึงผิวและแรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติ และ สมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคล่ืนและ อนุภาค กัมมันตภาพรังสี แรงนิวเคลียร์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ ฟิสิกส์อนภุ าค รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เติมม.๔ - -ม.๕ - -ม.๖ ๑. อธบิ าย และคำนวณความรอ้ นทท่ี ำใหส้ สาร • เมอ่ื สสารไดร้ ับหรอื คายความร้อน สสารอาจมี อุณหภูมเิ ปลย่ี นไป และสสารอาจเปล่ยี นสถานะ เปลย่ี นอณุ หภมู ิ ความร้อนทีท่ ำให้สสารเปลี่ยน โดยไม่เปล่ยี นอุณหภูมิ ซงึ่ ปริมาณความรอ้ น สถานะ และความรอ้ นทเี่ กดิ จากการถา่ ยโอน ทที่ ำใหส้ สารเปลย่ี นอณุ หภมู คิ ำนวณไดจ้ ากสมการ ตามกฎการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน Q = mc∆T สว่ นปริมาณของพลังงานความร้อนท่ที ำใหส้ สาร เปลยี่ นสถานะคำนวณไดจ้ ากสมการ Q = mL • วตั ถุท่มี อี ุณหภูมิสูงกวา่ จะถ่ายโอนความรอ้ น ไปสวู่ ตั ถุทีม่ ีอณุ หภมู ิตำ่ กวา่ เป็นไปตามกฎ การอนรุ ักษพ์ ลงั งาน โดยปรมิ าณความร้อนที่วตั ถุ หนึง่ ใหจ้ ะเทา่ กับปรมิ าณความรอ้ นท่ีวัตถุหน่ึงรบั • เเมข่อืยี วนตัแถทุมนอี ไณุดด้ ห้วภยูมสเิมทก่าากรันQจะลดไ=ม่มQกี เาพม่ิรถ่ายโอน ความรอ้ น เรยี กว่าวตั ถุอยู่ในสมดลุ ความรอ้ น๒. อธิบายสภาพยดื หย่นุ และลกั ษณะการยืด • สมบัติท่ีวัสดุเปลย่ี นรูปและกลบั ส่รู ูปเดมิ เมื่อหยุดและหดตัวของวัสดุทีเ่ ป็นแท่ง เม่อื ถูกกระทำ ออกแรงกระทำเรยี กว่า สภาพยืดหยุน่ ถ้ายงัดว้ ยแรงค่าต่าง ๆ รวมทัง้ ทดลอง อธบิ ายและ ออกแรงต่อไป วัสดจุ ะขาดหรอื เสียรูปอยา่ งถาวรคำนวณความเค้นตามยาว ความเครียดตามยาว • ในกรณีที่วตั ถมุ กี ารเปลี่ยนแปลงความยาว และมอดุลัสของยัง และนำความรูเ้ ร่อื ง ถ้าออกแรงกระทำตอ่ เสน้ ลวดไมเ่ กินขดี จำกัดสภาพยดื หยุ่นไปใชใ้ นชีวิตประจำวนั การแปรผันตรง ความยาวทเ่ี พิ่มข้นึ ของเส้นลวด แปรผันตรงกบั ขนาดของแรงดงึ ทำให้ ความเครยี ดตามยาวทีเ่ กดิ ขน้ึ แปรผนั ตรงกบั ตัวชี้วดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 213 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติม ความเค้นตามยาว โดยความเคน้ ตามยาว ๓. อธบิ าย และคำนวณความดันเกจ ความดนั คำนวณไดจ้ ากสมการ σ = AF ส่วนความเครียด สัมบูรณ์ และความดันบรรยากาศ รวมทั้ง • อตตัามรายสา่ววนคำคนววามณเไคด้นจ้ ตาากมสยมากวาตรอ่ εคว=าม∆LเคL0รียด อธิบายหลกั การทำงานของแมนอมเิ ตอร์ ตามยาว เรียกว่า มอดลุ ัสของยัง ซ่งึ มคี ่าขน้ึ กับ บารอมิเตอร์ และเครอื่ งอัดไฮดรอลกิ ชนดิ ของวสั ดุ คำนวณได้จากสมการ Y = εσ หรือ Y =∆FL//AL0 • ถา้ วสั ดมุ มี อดลุ ัสของยังสงู แสดงวา่ วสั ดนุ ้ัน เปล่ียนแปลงความยาวไดน้ อ้ ย ถา้ ออกแรงเพิ่มข้ึน เกินขีดจำกดั สภาพยืดหยนุ่ วัสดไุ มส่ ามารถ กลบั คืนสสู่ ภาพเดมิ ได้ สมบัตนิ น้ี ำไปใชพ้ จิ ารณา ในการเลือกวัสดทุ ่เี หมาะสมกับการใชง้ าน • ภาชนะทม่ี ีของเหลวบรรจุอยจู่ ะมีแรงเน่อื งจาก ของเหลวกระทำตอ่ พื้นผวิ ภาชนะ โดยขนาดของ แรงที่ของเหลวกระทำตง้ั ฉากต่อพ้ืนท่หี นึ่งหนว่ ย เป็นความดันในของเหลว • ความดันทเี่ คร่อื งมอื วัดได้ เรยี กว่า ความดันเกจ คำนวณได้จากสมการ ส่วนผลรวมของ ความดนั บรรยากาศและความดันเกจ เรียกวา่ ความดนั สมั บูรณ์ คำนวณไดจ้ ากสมการ • ค่าของความดนั อา่ นได้จากเครอื่ งวดั ความดนั เช่น แมนอมิเตอร์ บารอมิเตอร์ • เมือ่ เพ่ิมความดัน ณ ตำแหนง่ ใด ๆ ในของเหลว ทอ่ี ยนู่ ง่ิ ในภาชนะปิด ความดันท่เี พิ่มขึน้ จะส่งผา่ น ไปทุก ๆ จุดในของเหลวนั้น เรยี กวา่ กฎพาสคลั กฎน้นี ำไปใชอ้ ธบิ ายการทำงานของ เครื่องอดั ไฮดรอลกิ 214 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ ๔. ทดลอง อธิบาย และคำนวณขนาดแรงพยงุ • วัตถุทอี่ ยูใ่ นของไหลท้ังหมดหรอื เพียงบางสว่ น จากของไหล จะถกู แรงพยุงจากของไหลกระทำ โดยขนาด แรงพยุงเทา่ กบั ขนาดนำ้ หนักของของไหล ที่ถกู วตั ถแุ ทนท่ตี ามหลกั ของอารค์ มิ ีดสี ซ่ึงใชอ้ ธิบายการลอยการจมของวัตถุตา่ ง ๆ ในของไหล ขนาดแรงพยุงจากของไหลคำนวณได้ จากสมการ๕. ทดลอง อธบิ าย และคำนวณความตึงผวิ ของ • ความตึงผิวเป็นสมบตั ิของของเหลวทีย่ ึดผวิ ของเหลว รวมท้งั สังเกตและอธิบายแรงหนดื ของเหลวไว้ดว้ ยแรงดงึ ผิว ปรากฏการณ์ท่เี ป็นผล ของของเหลว จากความตงึ ผวิ เช่น การเดินบนผิวน้ำของแมลง บางชนดิ การซึมตามรูเลก็ หรอื การโคง้ ของผิว ของเหลว โดยความตงึ ผิวของของเหลวคำนวณได้ จากสมการ • ความหนืดเปน็ สมบตั ขิ องของไหล วัตถุท่เี คลือ่ นท่ี ในของไหลจะมีแรงเน่ืองจากความหนืดตา้ นการ เคลื่อนทขี่ องวัตถุ เรียกว่า แรงหนดื ๖. อธบิ ายสมบัตขิ องของไหลอุดมคติ สมการ • ของไหลอดุ มคตเิ ปน็ ของไหลที่มีการไหลอยา่ ง ความตอ่ เนือ่ ง และสมการแบรน์ ลู ลี รวมทัง้ สม่ำเสมอ ไมม่ ีความหนืด บบี อัดไมไ่ ด้ และไหล คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง และนำความรู้ โดยไม่หมนุ มอี ตั ราการไหลตามสมการ เกยี่ วกบั สมการความตอ่ เนอื่ งและสมการแบรน์ ลู ลี ความต่อเนือ่ ง Av = ค่าคงตวั ไปอธบิ ายหลักการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ • ตำแหน่งสองตำแหน่งบนสายกระแสเดียวกนั ของของไหลอดุ มคตทิ ี่ไหลอยา่ งสม่ำเสมอ จะมี ผลรวมของความดนั สัมบรู ณ์ พลงั งานจลน์ ต่อหนึ่งหน่วยปริมาตร และพลังงานศักยต์ อ่ หนึ่ง หนว่ ยปริมาตร เปน็ คา่ คงตวั ตามสมการแบร์นลู ลี ค่าคงตัว๗. อธิบายกฎของแกส๊ อุดมคติและคำนวณปรมิ าณ • แกส๊ อดุ มคตเิ ป็นแกส๊ ทโี่ มเลกุลมีขนาดเล็กมากต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง ไม่มีแรงยดึ เหนี่ยวระหว่างโมเลกลุ มีการเคล่อื นท่ี แบบสมุ่ และมกี ารชนแบบยดื หยนุ่ • ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความดัน ปรมิ าตร และ อุณหภมู ขิ องแกส๊ อุดมคติเป็นไปตามกฎของ แก๊สอดุ มคติ เขียนแทนได้ด้วยสมการ PV = nRT = NkBTตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 215 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เตมิ ๘. อธบิ ายแบบจำลองของแก๊สอดุ มคติ ทฤษฎีจลน์ • จากแบบจำลองของแกส๊ อดุ มคติ กฎการเคล่อื นที่ ของแก๊ส และอัตราเรว็ อาร์เอ็มเอสของโมเลกลุ ของนวิ ตนั และจากกฎของแกส๊ อดุ มคติ ทำให้ ของแกส๊ รวมทง้ั คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง สามารถศกึ ษาสมบตั ิทางกายภาพบางประการ ของแก๊สได้ ไดแ้ ก่ ความดัน พลงั งานจลนเ์ ฉลี่ย และอตั ราเร็วอาร์เอม็ เอส ของโมเลกุลของแกส๊ ได้ • จากทฤษฎจี ลนข์ องแกส๊ ความดนั และพลงั งานจลน์ เฉลยี่ ของโมเลกลุ ของแกส๊ มคี วามสมั พนั ธต์ ามสมการ โ ม เ ล ก ุล ข อ ง kแ สก่ว๊สนคอำนตั รวาณเรไ็วดอ้จาารก์เสอม็มกเอาสรของ ๙. อธบิ าย และคำนวณงานทที่ ำโดยแกส๊ ในภาชนะปดิ • ในภาชนะปดิ เมื่อมีการเปลยี่ นแปลงปริมาตรของ โดยความดนั คงตวั และอธบิ ายความสมั พันธ์ แกส๊ โดยความดนั คงตัว งานทเี่ กดิ ขึ้นคำนวณได้ ระหวา่ งความรอ้ น พลงั งานภายในระบบ และงาน จากสมการ W = P∆V รวมทัง้ คำนวณปริมาณต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง • โมเลกลุ ของแกส๊ อดุ มคติในภาชนะปิดจะมี และนำความรู้เร่ืองพลงั งานภายในระบบ พลงั งานจลน์ โดยพลังงานจลน์รวมของโมเลกุล ไปอธบิ ายหลักการทำงานของเคร่ืองใช้ในชวี ิต เรยี กว่า พลังงานภายในของแก๊สหรือพลงั งาน ประจำวัน ภายในระบบ ซง่ึ แปรผันตรงกับจำนวนโมเลกุล และอุณหภมู ิสัมบูรณ์ของแกส๊ • พลังงานภายในระบบมีความสมั พันธก์ ับความรอ้ น และงาน เชน่ เมอื่ มกี ารถา่ ยโอนความร้อนใน ระบบปิด ผลของการถ่ายโอนความร้อนน้ี จะเทา่ กับผลรวมของพลงั งานภายในระบบ ทีเ่ ปลยี่ นแปลงกบั งาน เปน็ ไปตามกฎการอนรุ กั ษ์ พลังงานเรยี กกฎขอ้ ทหี่ นง่ึ ของอณุ หพลศาสตร์ แสดงไดด้ ว้ ยสมการ Q = ∆U + W • ความรู้เร่อื งพลังงานภายในระบบสามารถนำไป ประยุกตใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ การทำงานของ เครื่องยนตค์ วามร้อน ตู้เยน็ เครื่องปรับอากาศ ๑๐. อธบิ ายสมมติฐานของพลงั ค์ ทฤษฎีอะตอม • พลงั ค์เสนอสมมติฐานเพอื่ อธิบายการแผ่รงั สี ของโบร์ และการเกิดเส้นสเปกตรมั ของ ของวตั ถดุ ำ ซงึ่ สรปุ ไดว้ า่ พลงั งานทว่ี ตั ถดุ ำดดู กลนื อะตอมไฮโดรเจน รวมทงั้ คำนวณปริมาณ หรือแผอ่ อกมามีค่าไดเ้ ฉพาะบางคา่ เทา่ นัน้ และ ตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วข้อง ค่านี้จะเปน็ จำนวนเท่าของ hf เรยี กว่า ควอนตัม พลังงาน โดยแสงความถี่ f จะมีพลงั งานตาม สมการ E = nhf216 ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พิม่ เติม • ทฤษฎีอะตอมของไฮโดรเจนที่เสนอโดยโบร์ อธบิ ายวา่ อิเล็กตรอนจะเคลอื่ นท่ีรอบนวิ เคลยี ส ในวงโคจรบางวงได้โดยไม่แผค่ ล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ถา้ อเิ ลก็ ตรอนมีการเปล่ียนวงโคจรจะมีการรบั หรือปลอ่ ยพลงั งานในรปู ของคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า ตามสมมตฐิ านของพลังค์ ซึง่ สามารถนำไป คำนวณรศั มวี งโคจรของอเิ ล็กตรอน และพลังงาน อะตอมของไฮโดรเจนได้ตามสมการ และ ตามลำดับ • ทฤษฎีอะตอมของโบร์สามารถนำไปคำนวณ ความยาวคลน่ื ของแสงในสเปกตรัมเสน้ สว่าง ของอะตอมไฮโดรเจนตามสมการ๑๑. อธบิ ายปรากฏการณโ์ ฟโตอิเลก็ ทรกิ และ f i คำนวณพลังงานโฟตอน พลังงานจลนข์ อง โฟโตอเิ ลก็ ตรอนและฟงั กช์ นั งานของโลหะ • ปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ล็กทรกิ เป็นปรากฏการณ์ ทอี่ ิเล็กตรอนหลุดจากผวิ โลหะเม่อื มีแสงที่มี ความถเ่ี หมาะสมมาตกกระทบ โดยจำนวน โฟโตอเิ ลก็ ตรอนทหี่ ลดุ จะเพม่ิ ขนึ้ ตามความเขม้ แสง และพลงั งานจลน์สงู สดุ ของโฟโตอิเล็กตรอน จะขึน้ กับความถีข่ องแสงนนั้ โดยพลงั งานของแสง หรอื โฟตอนตามสมมตฐิ านของพลงั ค ์ • ไอน์สไตน์อาศยั กฎการอนุรกั ษพ์ ลงั งานและ สมมตฐิ านของพลังค์ อธบิ ายปรากฏการณ์ • กโฟารโทตดอลิเลอก็ งทพรลกิ งั ตงาานมจสลมนกส์างูรสhดุ fขอ=งโWฟโต+อเิEลกk็ mตaรxอ น และฟงั กช์ ันงานของโลหะคำนวณไดจ้ ากสมการ และ ตามลำดบั ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 217 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เตมิ ๑๒. อธบิ ายทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค รวมทัง้ • การค้นพบการแทรกสอดและการเลีย้ วเบน อธบิ าย และคำนวณความยาวคลน่ื เดอบรอยล์ ของอเิ ลก็ ตรอนสนบั สนนุ ความคดิ ของเดอบรอยล์ ที่เสนอว่า อนภุ าคแสดงสมบัติของคลืน่ ได้ โดยเม่ืออนภุ าคประพฤติตวั เปน็ คลน่ื จะมี ความยาวคล่นื เรยี กวา่ ความยาวคลน่ื เดอบรอยล์ ซ่ึงมีค่าขน้ึ กบั โมเมนตัมของอนุภาค ตามสมการ • จากความคิดของไอน์สไตนแ์ ละเดอบรอยล์ ทำให้ สรปุ ไดว้ า่ คลืน่ แสดงสมบตั ิของอนุภาคไดแ้ ละ อนภุ าคแสดงสมบตั ิของคลื่นได้ สมบตั ดิ ังกลา่ ว เรยี กว่า ทวภิ าวะของคล่นื และอนภุ าค ๑๓. อธบิ ายกมั มนั ตภาพรงั สีและความแตกต่าง • กมั มนั ตภาพรังสเี ปน็ ปรากฏการณ์ทีธ่ าตุ ของรังสีแอลฟา บีตา และแกมมา กมั มันตรงั สแี ผร่ ังสไี ด้เองอย่างต่อเน่อื ง รังสี ท่ีออกมามี ๓ ชนดิ คือ แอลฟา บตี า และแกมมา • การแผร่ ังสเี กิดจากการเปลย่ี นแปลงนิวเคลยี ส ของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี ซง่ึ เขียนแทนได้ดว้ ยสมการ การสลายให้แอลฟา การสลายใหบ้ ตี าลบ การสลายให้บตี าบวก การสลายใหแ้ กมมา ๑๔. อธบิ าย และคำนวณกัมมันตภาพของ • ในการสลายของธาตุกัมมันตรงั สี อตั ราการแผ่รงั สี นิวเคลยี สกมั มนั ตรังสี รวมทัง้ ทดลอง อธิบาย ออกมาในขณะหน่งึ เรียกว่า กมั มนั ตภาพ และคำนวณจำนวนนวิ เคลียสกมั มนั ตภาพรังสี ปริมาณน้บี อกถึงอัตราการลดลงของจำนวน ท่ีเหลือจากการสลาย และครงึ่ ชวี ิต นวิ เคลียสของธาตุกัมมนั ตรังสี คำนวณได้จาก สมการ • ช่วงเวลาที่จำนวนนวิ เคลียสลดลงเหลอื ครงึ่ หนึง่ ของจำนวนเริ่มต้น เรียกวา่ คร่งึ ชีวติ โดยจำนวน นิวเคลยี สกัมมนั ตภาพรงั สีท่เี หลือจากการสลาย และครึง่ ชวี ติ คำนวณไดจ้ ากสมการ N และ T 21 = 1 nλ 2 ตามลำดับ = N0e–λt ๑๕. อธบิ ายแรงนวิ เคลยี ร์ เสถยี รภาพของนวิ เคลยี ส • ภายในนวิ เคลยี สมแี รงนวิ เคลยี รท์ ่ใี ชอ้ ธิบาย และพลังงานยดึ เหนยี่ ว รวมทง้ั คำนวณปรมิ าณ เสถยี รภาพของนวิ เคลียส ตา่ ง ๆ ทเี่ กีย่ วข้อง218 ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติม • การทำใหน้ ิวคลีออนในนิวเคลยี สแยกออกจากกนั ต้องใชพ้ ลังงานเทา่ กับพลังงานยดึ เหนี่ยว ซง่ึ คำนวณได้จากความสัมพนั ธร์ ะหว่างมวล และพลงั งาน ตามสมการ • นิวเคลยี สท่ีมีพลังงานยดึ เหนี่ยวตอ่ นวิ คลีออนสงู จะมเี สถียรภาพดกี วา่ นวิ เคลียสทม่ี พี ลงั งาน ยดึ เหนย่ี วตอ่ นวิ คลอี อนตำ่ โดยพลงั งานยดึ เหนยี่ ว ต่อนวิ คลอี อนคำนวณได้จากสมการ๑๖. อธบิ ายปฏิกิรยิ านิวเคลียร์ ฟชิ ชันและฟวิ ชนั • ปฏิกิริยาท่ที ำใหน้ วิ เคลยี สเกดิ การเปลี่ยนแปลง รวมทงั้ คำนวณพลงั งานนิวเคลยี ร์ องค์ประกอบหรือระดบั พลงั งาน เรยี กวา่ ปฏกิ ิริยานิวเคลยี ร์ ๑๗. อธบิ ายประโยชน์ของพลงั งานนิวเคลยี ร์ และ • ฟชิ ชนั เป็นปฏิกริ ยิ าที่นิวเคลียสท่มี มี วลมาก รังสี รวมทง้ั อันตรายและการป้องกันรงั สี แตกออกเป็นนิวเคลยี สทีม่ มี วลนอ้ ยกวา่ ในดา้ นต่าง ๆ สว่ นฟิวชันเป็นปฏกิ ริ ิยาท่นี ิวเคลยี สท่ีมมี วลนอ้ ย รวมตัวกนั เกดิ เป็นนิวเคลยี สทีม่ ีมวลมากขึ้น๑๘. อธบิ ายการค้นคว้าวิจัยด้านฟสิ กิ สอ์ นุภาค • พลังงานทปี่ ลดปล่อยออกมาจากฟชิ ชนั หรือฟิวชัน แบบจำลองมาตรฐาน และการใช้ประโยชน์ เรยี กว่า พลังงานนวิ เคลียร์ ซึ่งมคี ่าเป็นไปตาม จากการค้นควา้ วิจัยด้านฟสิ ิกส์อนภุ าค ความสัมพันธร์ ะหวา่ งมวลกับพลังงาน ในด้านตา่ ง ๆ ตามสมการ • พลังงานนิวเคลียร์และรงั สจี ากการสลายของธาตุ กมั มนั ตรงั สสี ามารถนำไปใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ ขณะเดียวกันตอ้ งมกี ารป้องกันอันตรายที่ อาจเกดิ ขึน้ ได้ • การศึกษาโปรตอนและนิวตรอนในนิวเคลียส ด้วยเคร่ืองเรง่ อนภุ าคพลังงานสงู พบว่า โปรตอน และนวิ ตรอนประกอบดว้ ยอนุภาคอน่ื ท่มี ี ขนาดเลก็ กวา่ เรียกวา่ ควารก์ ซงึ่ ยดึ เหนี่ยวกันไว้ ด้วยแรงเขม้ • นักฟสิ ิกส์ยงั ได้ค้นพบอนภุ าคท่ีเปน็ ส่ือของแรงเข้ม ซงึ่ ไดแ้ ก่ กลอู อน และอนภุ าคทเ่ี ปน็ สอื่ ของแรงออ่ น ซึ่งได้แก่ W - โบซอน และ Z - โบซอนตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 219 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่ิมเติม • อนภุ าคทไี่ ม่สามารถแยกเปน็ องค์ประกอบได ้ รวมทง้ั อนภุ าคทเ่ี ปน็ ส่ือของแรง จัดเปน็ อนภุ าค มลู ฐานในแบบจำลองมาตรฐาน • แบบจำลองมาตรฐานเป็นทฤษฎีท่ใี ชอ้ ธบิ าย พฤติกรรมและอันตรกริ ยิ าระหว่างอนภุ าคมูลฐาน • การคน้ คว้าวิจยั ดา้ นฟิสิกสอ์ นภุ าคนำไปสูก่ าร พัฒนาเทคโนโลยีที่นำมาใช้ประโยชน์ในดา้ น ตา่ ง ๆ เชน่ ดา้ นการแพทย์ มกี ารใชเ้ ครอื่ งเรง่ อนภุ าค ในการรักษาโรคมะเร็ง การใชเ้ ครอื่ งถ่ายภาพ รงั สรี ะนาบด้วยการปลอ่ ยโพซิตรอนในการ วนิ ิจฉัยโรคมะเรง็ ด้านการรักษาความปลอดภยั มกี ารใช้เครือ่ งเอกซเรยค์ อมพิวเตอรใ์ นการ ตรวจวัตถอุ นั ตรายในสนามบิน220 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ๑. เข้าใจกระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัย และผลต่อส่ิงมีชีวิต และส่ิงแวดล้อม รวมทั้งการศึกษาลำดับชั้นหิน ทรัพยากรธรณี แผนที่ การนำไปใช้ประโยชน์ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พิม่ เติมม.๔ ๑. อธิบายการแบง่ ชน้ั และสมบัติของโครงสร้างโลก • การศึกษาโครงสรา้ งโลกใชข้ อ้ มูลหลายด้าน เช่นพร้อมยกตัวอยา่ งข้อมลู ทส่ี นับสนนุ องค์ประกอบทางเคมีของหินและแร่ องคป์ ระกอบทางเคมขี องอกุ กาบาต ขอ้ มลู คลนื่ ไหว สะเทอื นท่ีเคลอ่ื นท่ผี ่านโลก จงึ สามารถแบง่ ชัน้ โครงสรา้ งโลกได้ ๒ แบบ คอื โครงสร้างโลก ตามองคป์ ระกอบทางเคมี แบง่ ได้เป็น ๓ ชนั้ ได้แก่ เปลือกโลก เนือ้ โลก และแก่นโลก และ โครงสรา้ งโลกตามสมบตั เิ ชงิ กล แบง่ ไดเ้ ปน็ ๕ ชนั้ ไดแ้ ก่ ธรณีภาค ฐานธรณภี าค มชั ฌิมภาค แก่นโลกช้นั นอก และแกน่ โลกชัน้ ใน นอกจากน้ี ยงั มีการค้นพบรอยต่อระหวา่ งช้นั โครงสรา้ งโลก เชน่ แนวแบง่ เขตโมโฮโรวซิ กิ แนวแบง่ เขตกเู ทนเบริ ก์ แนวแบ่งเขตเลห์แมน๒. อธบิ ายหลกั ฐานทางธรณวี ิทยาทีส่ นบั สนนุ • แผ่นธรณตี า่ ง ๆ เป็นส่วนประกอบของ ธรณภี าค การเคล่อื นท่ขี องแผ่นธรณี ซ่งึ เปน็ ช้นั นอกสุดของโครงสร้างโลก โดยมีการ เปล่ยี นแปลงขนาดและตำแหน่งต้ังแต่อดีต จนถงึ ปัจจุบนั การเคลอ่ื นทข่ี องแผ่นธรณีดังกลา่ ว อธิบายได้ตามทฤษฎีธรณีแปรสณั ฐาน ซ่ึงมี รากฐานมาจากทฤษฎีทวีปเลอื่ นและทฤษฎีการ แผข่ ยายพ้นื สมทุ ร โดยมหี ลักฐานทสี่ นบั สนุน ไดแ้ ก่ รปู รา่ งของขอบทวปี ทสี่ ามารถเชอ่ื มตอ่ กนั ได้ ความคล้ายคลึงกันของกลุ่มหินและแนวเทอื กเขา ซากดกึ ดำบรรพ์ รอ่ งรอย การเคลอื่ นที่ของ ตะกอนธารนำ้ แข็ง ภาวะแมเ่ หลก็ โลกบรรพกาล อายหุ ินของพ้นื มหาสมุทร รวมท้ัง การค้นพบ สันเขากลางสมุทร และร่องลึกกน้ สมทุ รตัวช้ีวัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 221 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พม่ิ เตมิ ๓. ระบุสาเหตุและอธิบายแนวรอยต่อของแผ่นธรณี • การพาความร้อนของแมกมาภายในโลก ทำให้ ท่สี ัมพนั ธก์ ับการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี เกดิ การเคลอ่ื นท่ีของแผน่ ธรณี ตามทฤษฎีธรณี พร้อมยกตวั อย่างหลักฐานทางธรณวี ทิ ยาทพ่ี บ แปรสณั ฐาน ซ่ึงนักวิทยาศาสตรไ์ ดส้ ำรวจพบ หลกั ฐานทางธรณวี ทิ ยา ไดแ้ ก่ ธรณสี ัณฐาน และธรณีโครงสรา้ งทีบ่ ริเวณแนวรอยต่อของ แผน่ ธรณี เชน่ รอ่ งลึกกน้ สมทุ ร หมเู่ กาะภเู ขาไฟ รูปโค้ง แนวภูเขาไฟ แนวเทือกเขา หบุ เขาทรุด และสันเขากลางสมทุ ร รอยเลอ่ื น นอกจากน้ี ยงั พบการเกิดธรณพี บิ ตั ภิ ัยทบี่ รเิ วณแนวรอยต่อ ของแผ่นธรณี เชน่ แผน่ ดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ ซึ่งหลกั ฐานดงั กล่าวสัมพนั ธ์กบั รปู แบบ การเคล่อื นทขี่ องแผน่ ธรณี นักวทิ ยาศาสตร์ จงึ สรปุ ไดว้ า่ แนวรอยตอ่ ของแผน่ ธรณมี ี ๓ รปู แบบ ได้แก่ แนวแผ่นธรณีแยกตัว แนวแผ่นธรณี เคลอื่ นท่ีเข้าหากนั แนวแผน่ ธรณเี คลือ่ นท่ีผา่ นกัน ในแนวราบ ๔. วเิ คราะหห์ ลกั ฐานทางธรณวี ทิ ยาทพ่ี บในปจั จบุ นั • การลำดบั ชัน้ หิน เป็นการศึกษาการวางตวั และอธบิ ายลำดบั เหตุการณ์ ทางธรณีวิทยา การแผก่ ระจาย ลำดบั อายุ ความสมั พนั ธข์ องชัน้ หิน ในอดีต รอยชน้ั ไมต่ ่อเนือ่ ง และหลกั ฐานทางธรณวี ิทยา อ่นื ๆ ท่ปี รากฏ ทำให้ทราบลำดบั เหตกุ ารณท์ าง ธรณวี ทิ ยา การเปลย่ี นแปลงสภาพแวดล้อม ววิ ัฒนาการของส่ิงมชี วี ิตที่เกิดขึ้นบนโลกตงั้ แต่ กำเนิดโลกจนถึงปจั จุบนั • หลักฐานทางธรณวี ิทยา ได้แก่ ซากดึกดำบรรพ์ หนิ และลักษณะโครงสร้างทางธรณี ซึ่งนำมา หาอายไุ ด้ ๒ แบบ ไดแ้ ก่ อายุเปรียบเทยี บ คอื อายุของ ซากดึกดำบรรพ์ หิน และ/หรือ เหตกุ ารณ์ทางธรณวี ิทยา เมอ่ื เทยี บกบั ซากดึกดำบรรพ์ หนิ และ/หรือเหตุการณท์ าง ธรณวี ทิ ยาอ่นื ๆ และอายสุ ัมบูรณ์ คอื อายทุ ่รี ะบุ เป็นตวั เลขของหนิ และ/หรือเหตุการณท์ าง ธรณวี ทิ ยาซงึ่ คำนวณไดจ้ ากไอโซโทปของธาตุ • ขอ้ มูลจากอายุเปรียบเทยี บและอายสุ มั บูรณ์ สามารถนำมาจดั ทำมาตราธรณกี าล คอื การลำดบั ช่วงเวลาของโลกตงั้ แต่เกิดจนถึงปจั จบุ ัน แบง่ ออกเปน็ บรมยคุ มหายคุ ยคุ และสมยั ซง่ึ แตล่ ะ ชว่ งเวลามสี ่งิ มชี วี ิต สภาพแวดลอ้ มและเหตกุ ารณ์ ท่ีเกิดขนึ้ แตกต่างกัน222 ตัวชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเตมิ ๕. อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกดิ ภูเขาไฟระเบิด • ภูเขาไฟระเบิด เกิดจากการแทรกดนั ของแมกมาและปัจจยั ที่ทำให้ความรุนแรงของการปะทุ ข้นึ มาตามสว่ นเปราะบาง หรอื รอยแตกและรูปรา่ งของภูเขาไฟแตกต่างกนั รวมท้ัง บนเปลือกโลก มกั พบหนาแนน่ บริเวณรอยต่อสบื คน้ ขอ้ มลู พน้ื ทเ่ี สยี่ งภยั ออกแบบและนำเสนอ ระหว่างแผน่ ธรณที ำให้บรเิ วณดังกลา่ วเปน็ พ้นื ท่ีแนวทางการเฝ้าระวงั และการปฏิบตั ิตน เส่ยี งภยั ความรนุ แรงของการปะทแุ ละรปู ร่างใหป้ ลอดภัย ของภูเขาไฟท่ีแตกต่างกนั ข้ึนอยกู่ ับองค์ประกอบ ของแมกมา ผลจากการระเบดิ ของภเู ขาไฟมีท้ัง ประโยชน์และโทษ จึงตอ้ งศึกษาแนวทางในการ เฝ้าระวงั และการปฏบิ ตั ติ นให้ปลอดภยั ๖. อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกิด ขนาดและ • แผน่ ดนิ ไหวเกดิ จากการปลดปลอ่ ยพลงั งานทส่ี ะสมความรุนแรง และผลจากแผน่ ดินไหว รวมทงั้ ไวข้ องเปลือกโลกในรปู ของคล่ืนไหวสะเทือนสบื คน้ ขอ้ มลู พน้ื ทเ่ี สยี่ งภยั ออกแบบและนำเสนอ แผ่นดนิ ไหวมีขนาดและความรนุ แรงแตกตา่ งกนัแนวทางการเฝ้าระวงั และการปฏบิ ัติตนให้ และทำลายทรัพย์สิน ศนู ยเ์ กิดแผ่นดินไหวมกั อยู่ปลอดภยั บริเวณรอยต่อของแผน่ ธรณี และพน้ื ทภ่ี ายใต้ อทิ ธิพลของการเคล่ือนของแผ่นธรณที ่รี ะดบั ความลกึ ตา่ งกนั ใหบ้ รเิ วณดงั กลา่ วเปน็ พนื้ ทเี่ สย่ี งภยั แผน่ ดินไหว ซงึ่ สง่ ผลใหส้ งิ่ ก่อสรา้ งเสยี หาย เกดิ อันตรายต่อชวี ติ และทรพั ย์สนิ จงึ ตอ้ งศกึ ษา แนวทางในการเฝา้ ระวัง และการปฏิบตั ติ น ใหป้ ลอดภยั ๗. อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกิด และผลจาก • สึนามิ คอื คล่ืนน้ำทเี่ กดิ จากการแทนทมี่ วลน้ำ สึนามริ วมทง้ั สืบค้นข้อมลู พื้นท่เี สย่ี งภยั ออกแบบ ในปริมาณมหาศาล ส่วนมากจะเกิดในทะเลและนำเสนอแนวทางการเฝา้ ระวังและการปฏิบัติ หรอื มหาสมทุ ร โดยคลน่ื มีลักษณะเฉพาะ คือตนใหป้ ลอดภัย ความยาวคล่นื มากและเคล่อื นทีด่ ้วยความเร็วสงู เมือ่ อย่กู ลางมหาสมุทรจะมีความสูงคลื่นน้อย และอาจเพ่มิ ความสูงขึ้นอยา่ งรวดเรว็ เมอ่ื คลื่น เคลอ่ื นท่ีผา่ นบริเวณน้ำต้นื ทำใหพ้ ้นื ที่บรเิ วณ ชายฝง่ั บางบริเวณเป็นพ้นื ทเี่ สีย่ งภยั สึนามิ ก่อให้เกดิ อนั ตรายแก่มนุษย์และส่งิ ก่อสรา้ ง ในบริเวณชายหาดนนั้ จึงต้องศกึ ษาแนวทาง ในการเฝ้าระวัง และการปฏิบัตติ นให้ปลอดภัยตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 223 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เติม ๘. ตรวจสอบ และระบชุ นิดแร่ รวมทง้ั วิเคราะห์ • แร่ คือ ธาตุหรอื สารประกอบอนนิ ทรยี ท์ ม่ี สี ถานะ สมบัติและนำเสนอการใช้ประโยชน์จาก เปน็ ของแขง็ เกดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาติ มโี ครงสรา้ ง ทรัพยากรแร่ท่ีเหมาะสม ภายในที่เปน็ ระเบยี บ และมีสูตรเคมีและสมบัติ อน่ื ๆ ที่แน่นอน หรอื อาจเปล่ยี นแปลงได้ภายใต้ วงจำกัด ทำใหแ้ ร่มีสมบัติทางกายภาพทีแ่ น่นอน สามารถนำมาใช้เพื่อตรวจสอบชนดิ ของแร่ ทางกายภาพ และการทำปฏิกิริยาเคมีกบั กรด • ทรพั ยากรแร่สามารถนำไปใช้เป็นวตั ถุดิบ ในอตุ สาหกรรมไดห้ ลายประเภท เชน่ อาหารและยา เครอ่ื งมอื แพทย์ อุปกรณอ์ ิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี ๙. ตรวจสอบ จำแนกประเภท และระบุช่อื หิน • หิน เปน็ มวลของแข็งท่ปี ระกอบด้วยแร่ ตง้ั แต่ รวมท้งั วเิ คราะห์สมบัตแิ ละนำเสนอการใช้ ๑ ชนดิ ขึน้ ไป หรอื ประกอบดว้ ยแก้วธรรมชาติ ประโยชนข์ องทรพั ยากรหินทเี่ หมาะสม หรอื สสารจากสิง่ มีชวี ิตท่เี กิดข้นึ เอง • หนิ สามารถจำแนกตามลกั ษณะการเกิดและ เนอื้ หิน ไดเ้ ป็น ๓ ประเภท ได้แก่ หินอคั นี หินตะกอน และหินแปร การระบชุ ือ่ ของหิน แต่ละประเภท จะใช้ลกั ษณะและองคป์ ระกอบ ทางแร่ของหินเป็นเกณฑ์ หนิ สามารถนำไปใช้ ประโยชน์ได้หลายด้าน เช่น วัสดกุ อ่ สร้าง เครอ่ื งประดบั วตั ถุดบิ ในอุตสาหกรรม ๑๐. อธบิ ายกระบวนการเกิด และการสำรวจ • ทรัพยากรปโิ ตรเลียมและถา่ นหินเปน็ ทรัพยากร แหลง่ ปโิ ตรเลียมและถ่านหิน โดยใชข้ อ้ มูล สิน้ เปลืองทม่ี อี ยอู่ ยา่ งจำกัด ใชแ้ ล้วหมดไป ทางธรณวี ิทยา ไม่สามารถเกิดขนึ้ ทดแทนได้ในเวลาอนั รวดเร็ว ๑๑. อธบิ ายสมบตั ขิ องผลติ ภณั ฑท์ ไี่ ดจ้ ากปโิ ตรเลยี ม ทรพั ยากรปโิ ตรเลียมและถา่ นหินถูกนำมาใช้ และถ่านหนิ พร้อมนำเสนอการใช้ประโยชน์ ในอตุ สาหกรรม ทส่ี ำคัญของประเทศ เช่น อย่างเหมาะสม การคมนาคม การผลิตไฟฟา้ เช้ือเพลิงใน อุตสาหกรรมต่าง ๆ • การศกึ ษากระบวนการเกิดและการสำรวจ แหล่งปิโตรเลยี มและถ่านหินต้องใชค้ วามรู้ พ้ืนฐานธรณวี ทิ ยาหลายด้าน เช่น ตะกอนวทิ ยา การลำดับชัน้ หนิ ธรณีโครงสรา้ ง รวมทั้งวธิ ีการ และเทคนิคต่าง ๆ ทเี่ หมาะสมเพ่อื ที่จะนำ ทรพั ยากรมาใชไ้ ด้อยา่ งคุ้มค่าและยงั่ ยืน224 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นร้เู พิ่มเตมิ ๑๒. อา่ นและแปลความหมายจากแผนท่ี ภมู ปิ ระเทศ • แผนทีภ่ มู ปิ ระเทศ เป็นแผนทท่ี ส่ี ร้างเพอ่ื จำลองและแผนที่ธรณีวิทยาของพื้นท่ี ที่กำหนด ลกั ษณะของผวิ โลกหรอื บางสว่ นของพน้ื ทบ่ี นผวิ โลกพรอ้ มทงั้ อธิบายและยกตวั อยา่ ง การนำไปใช้ โดยมที ศิ ทางทช่ี ดั เจน และมาตราสว่ นขนาดตา่ ง ๆประโยชน์ ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน แผนท่ี ภมู ปิ ระเทศมกั แสดงเสน้ ชน้ั ความสงู และคำอธบิ าย สญั ลกั ษณต์ า่ ง ๆ ทป่ี รากฏในแผนท่ี • แผนทธ่ี รณวี ิทยา เปน็ แผนท่ีแสดงการกระจายตัว ของหินกลมุ่ ต่างๆ ท่ีโผล่ใหเ้ หน็ บนพ้นื ผวิ ทำให้ ทราบถึงขอบเขตของหนิ ในพื้นที่ นอกจากนยี้ งั แสดงลกั ษณะการวางตวั ของชั้นหิน ซากดึกดำบรรพ์ และธรณีโครงสรา้ ง • ขอ้ มูลจากแผนทีภ่ ูมิประเทศและแผนที่ธรณวี ทิ ยา สามารถนำไปใชว้ างแผนการใชป้ ระโยชน์และ ประเมนิ ศกั ยภาพของพื้นทไี่ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม เชน่ ประเมนิ ศกั ยภาพแหลง่ ทรพั ยากรธรณตี ่าง ๆ การวางผังเมือง การสรา้ งเข่อื นม.๕ - -ม.๖ - -ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 225 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ๒. เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวียนของอากาศบนโลก การหมุนเวียน ของนำ้ ในมหาสมทุ ร การเกดิ เมฆ การเปลย่ี นแปลงภมู อิ ากาศโลก และผลตอ่ สง่ิ มชี วี ติ และสงิ่ แวดล้อม รวมท้ังการพยากรณอ์ ากาศ ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพมิ่ เตมิ ม.๔ - -ม.๕ ๑. อธิบายปจั จัยสำคญั ทม่ี ีผลต่อการรบั และ • บริเวณต่าง ๆ ของโลกได้รับพลังงานจาก คายพลงั งานจากดวงอาทิตยแ์ ตกต่างกัน ดวงอาทิตย์ในรปู ของคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า และผลทม่ี ตี อ่ อณุ หภมู อิ ากาศในแตล่ ะบรเิ วณของโลก ในปรมิ าณทแี่ ตกต่างกัน เน่ืองจากโลกมสี ณั ฐาน ๒. อธิบายกระบวนการทท่ี ำให้เกดิ สมดุลพลังงาน คล้ายทรงกลมและแกนหมนุ โลกเอยี งทำมมุ กับ ของโลก แนวต้ังฉากกบั ระนาบการโคจรของโลก รอบดวงอาทติ ย์ สง่ ผลตอ่ การตกกระทบของรงั สี ดวงอาทติ ย์ ซงึ่ สว่ นที่ผ่านเขา้ มาในชน้ั บรรยากาศ จนถึงพืน้ ผวิ โลก จะเกิดกระบวนการสะทอ้ น ดดู กลนื และถ่ายโอนพลังงาน แลว้ ปลดปลอ่ ย กลบั ส่อู วกาศแตกตา่ งกันเน่ืองจากปัจจัยตา่ ง ๆ เชน่ ลกั ษณะของพน้ื ผวิ ชนดิ และปรมิ าณของแกส๊ เรอื นกระจก ละอองลอย และเมฆ ทำใหพ้ นื้ ผวิ โลก แตล่ ะบรเิ วณมอี ุณหภมู ิอากาศแตกต่างกัน • พลังงานจากดวงอาทิตย์โดยเฉลย่ี ทโ่ี ลกไดร้ ับ เทา่ กบั พลงั งานเฉลยี่ ทโ่ี ลกปลดปลอ่ ยกลบั สอู่ วกาศ ทำใหเ้ กิดสมดุลพลงั งานของโลก สง่ ผลให้ อุณหภมู เิ ฉล่ยี ของพ้นื ผวิ โลกในแต่ละปีคอ่ นขา้ ง คงที่ ๓. อธบิ ายผลของแรงเนอ่ื งจากความแตกตา่ งของ • การหมุนเวยี นของอากาศเกดิ ขึ้นจาก ความกดอากาศ แรงคอริออลสิ แรงสู่ศูนย์กลาง ความกดอากาศทีแ่ ตกตา่ งกันระหวา่ งสองบริเวณ และแรงเสยี ดทานทม่ี ตี อ่ การหมนุ เวยี นของอากาศ โดยอากาศเคลอื่ นทจี่ ากบรเิ วณทมี่ คี วามกดอากาศสงู ไปยังบริเวณทมี่ ีความกดอากาศต่ำซงึ่ จะเหน็ ได้ ชัดเจนในการเคล่ือนทีข่ องอากาศในแนวราบ และเมอื่ พจิ ารณาในการเคลอ่ื นทขี่ องอากาศในแนวดงิ่ จะพบวา่ อากาศเหนอื บริเวณความกดอากาศต่ำ จะมีการยกตวั ขนึ้ ขณะทอี่ ากาศเหนอื บรเิ วณ ความกดอากาศสูงจะจมตวั ลง โดยการเคลอื่ นท่ี ของอากาศทงั้ ในแนวราบและแนวด่งิ นี้ ทำให้เกดิ เป็นการหมุนเวยี นของอากาศ226 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พิม่ เตมิ • การหมนุ รอบตัวเองของโลกจะทำใหเ้ กดิ แรงคอรอิ อลสิ ซง่ึ มผี ลให้ทิศทางการเคลอ่ื นที่ ของอากาศเบนไป โดยอากาศทเ่ี คลอื่ นทใี่ นบรเิ วณ ซกี โลกเหนอื จะเบนไปทางขวาจากทศิ ทางเดิม ส่วนบริเวณซีกโลกใต้จะเบนไปทางซา้ ยจาก ทศิ ทางเดมิ เช่น ลมค้า และมรสุม • แรงสู่ศูนยก์ ลางซึ่งทำให้เกดิ การหมุนของลม เช่น พายุหมนุ เขตรอ้ น ทอรน์ าโด พายงุ วงชา้ ง และ แรงต้านการเคลื่อนทีข่ องวัตถุ หรอื แรงเสยี ดทาน สง่ ผลตอ่ อตั ราเรว็ ลม เชน่ พายไุ ตฝ้ นุ่ เมอื่ เคลอ่ื นตวั เขา้ สูช่ ายฝัง่ จะลดระดบั ความรนุ แรงลงเปน็ พายุ โซนร้อนหรอื ดีเพรสชัน่ ๔. อธิบายการหมนุ เวยี นของอากาศตามเขตละตจิ ดู • แตล่ ะบรเิ วณของโลกมคี วามกดอากาศแตกตา่ งกนัและผลทีม่ ตี อ่ ภูมอิ ากาศ ประกอบกับอิทธพิ ลจากการหมนุ รอบตัวเอง ของโลกทำให้อากาศในแตล่ ะซีกโลกเกดิ การ หมนุ เวยี นของอากาศตามเขตละตจิ ดู แบง่ ออกเปน็ ๓ แถบ โดยแต่ละแถบมภี มู อิ ากาศแตกต่างกัน ไดแ้ ก่ การหมุนเวียนแถบข้ัวโลกมภี ูมิอากาศ แบบหนาวเยน็ การหมนุ เวียนแถบละติจูดกลาง มภี ูมอิ ากาศแบบอบอุ่น และการหมนุ เวียน แถบเขตร้อนมภี ูมิอากาศแบบรอ้ นชนื้ • บริเวณรอยต่อของการหมุนเวยี นอากาศแต่ละ แถบละตจิ ดู จะมลี กั ษณะลมฟา้ อากาศทแี่ ตกตา่ งกนั เช่น บรเิ วณใกล้ศูนยส์ ูตรมีปรมิ าณหยาดนำ้ ฟ้า เฉลี่ยสงู กวา่ บริเวณอืน่ บรเิ วณละตจิ ดู ๓๐ องศา มอี ากาศแห้งแล้ง ส่วนบรเิ วณละตจิ ดู ๖๐ องศา อากาศมีความแปรปรวนสูง๕. อธบิ ายปจั จัยทท่ี ำให้เกดิ การแบ่งชน้ั นำ้ • น้ำในมหาสมุทรมีอุณหภูมิและความเค็มของนำ้ ในมหาสมุทร แตกตา่ งกนั ในแต่ละบรเิ วณ และแต่ละระดับ ความลึก ซึ่งหากพจิ ารณามวลนำ้ ในแนวดง่ิ และใช้อณุ หภูมิเป็นเกณฑ์ จะสามารถแบ่งช้ันนำ้ ไดเ้ ปน็ ๓ ชัน้ คอื นำ้ ชั้นบน น้ำชัน้ เทอร์โมไคลน์ และน้ำชนั้ ลา่ งตวั ชว้ี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 227 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนร้เู พม่ิ เติม ๖. อธิบายปัจจยั ท่ที ำให้เกดิ การหมนุ เวียนของนำ้ ใน • การหมุนเวียนของกระแสน้ำผวิ หนา้ ในมหาสมทุ ร มหาสมทุ รและรูปแบบการหมุนเวยี นของนำ้ ใน ไดร้ บั อิทธิพลจากการหมนุ เวยี นของอากาศ มหาสมทุ ร ในแต่ละแถบละตจิ ดู เป็นปัจจยั หลกั ประกอบกบั แรงคอรอิ อลสิ ทำให้บริเวณซกี โลกเหนอื มีการ ไหลเวียนของกระแสนำ้ ผวิ หน้าในทิศทางตาม เขม็ นาฬิกา และทวนเข็มนาฬกิ าในซกี โลกใต ้ ซงึ่ กระแสนำ้ ผวิ หนา้ ในมหาสมทุ รมที ง้ั กระแสนำ้ อนุ่ และกระแสน้ำเยน็ สว่ นการหมุนเวยี นกระแส นำ้ ลึกเปน็ การหมนุ เวยี นของนำ้ ชัน้ ล่าง เกดิ จาก ความแตกตา่ งของอณุ หภูมิและความเคม็ ของนำ้ โดยกระแสนำ้ ผวิ หนา้ และกระแสนำ้ ลึกจะ หมุนเวยี นตอ่ เนอื่ งกนั ๗. อธบิ ายผลของการหมนุ เวยี นของนำ้ ในมหาสมทุ ร • การหมนุ เวยี นอากาศและนำ้ ในมหาสมทุ ร สง่ ผลตอ่ ที่มีตอ่ ลกั ษณะลมฟ้าอากาศ สิง่ มชี วี ิต และ ลักษณะอากาศ สง่ิ มีชีวติ และสิ่งแวดลอ้ ม สิ่งแวดล้อม แตกตา่ งกนั ไป เชน่ การเกดิ นำ้ ผดุ นำ้ จม จะสง่ ผลตอ่ ความอดุ มสมบูรณข์ องชายฝง่ั เช่น กระแส นำ้ อนุ่ กลั ฟส์ ตรมี ทที่ ำใหบ้ างประเทศในทวปี ยโุ รป ไม่หนาวเย็นจนเกินไปนักและเมือ่ การหมุนเวียน อากาศและนำ้ ในมหาสมุทรแปรปรวน ทำใหเ้ กิด ผลกระทบตอ่ สภาพลมฟา้ อากาศ เชน่ ปรากฏการณ์ เอลนโี ญและลานีญา ซึ่งเกิดจากความแปรปรวน ของลมค้าและสง่ ผลต่อสภาพลมฟา้ อากาศของ ประเทศทอี่ ยู่บริเวณมหาสมุทรแปซฟิ กิ รวมถึง บรเิ วณอนื่ ๆ บนโลก ๘. อธบิ ายความสัมพนั ธร์ ะหว่างเสถยี รภาพอากาศ • เสถยี รภาพอากาศ หมายถงึ สภาวะของบรรยากาศ และการเกิดเมฆ ที่ช่วยสง่ เสรมิ หรอื ยับยง้ั ให้กอ้ นอากาศเคล่ือนท่ี ขึ้นลงในแนวดิง่ ในกรณีท่กี ้อนอากาศมีอุณหภมู ิ ต่ำกวา่ อุณหภูมขิ องอากาศทีอ่ ยูโ่ ดยรอบ กอ้ นอากาศนนั้ จะไมส่ ามารถยกตวั สงู ขน้ึ ไดม้ ากนกั และจมตวั กลบั สทู่ เี่ ดมิ เรยี กวา่ อากาศมเี สถยี รภาพ จะพบสภาวะอากาศแจม่ ใส เมฆนอ้ ยหรอื ปราศจาก เมฆ สว่ นสภาวะอากาศไม่มีเสถียรภาพนั้น อุณหภูมกิ อ้ นอากาศจะสงู กว่าอุณหภมู ิของ อากาศโดยรอบทำให้ก้อนอากาศยกตัวขึน้ อยา่ งรวดเรว็ เกดิ เมฆในแนวตงั้ เชน่ เมฆควิ มโู ลนมิ บสั 228 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่ิมเติม ๙. อธบิ ายการเกดิ แนวปะทะอากาศแบบต่าง ๆ • แนวปะทะอากาศเกิดจากการเคล่อื นที่ปะทะกัน และลักษณะลมฟ้าอากาศท่เี กีย่ วข้อง ของกอ้ นอากาศที่สมบัตติ ่างกันตั้งแตส่ องก้อน ขน้ึ ไป แนวปะทะอากาศแบ่งออกได้ ๔ รปู แบบ คือ แนวปะทะอากาศอุ่น ซึง่ มกั พบเมฆแผ่น เชน่ เมฆซีร์รัส อัลโตสเตรตสั เกิดฝนกระจายเป็น บริเวณกว้าง แนวปะทะอากาศเย็น เกิดเมฆก้อน เช่น เมฆคิวมูโลนิมบัส ทำให้อากาศแปรปรวนเกดิ ฝนฟ้าคะนอง แนวปะทะอากาศรวม เกิดเมฆควิ มโู ลนมิ บัสที่ส่งผลตอ่ การเกิดพายุฝน แนวปะทะอากาศคงท่ี จะมีลกั ษณะอากาศแจม่ ใส จนถึงมเี มฆบางส่วน และอาจส่งผลให้เกิด แนวปะทะอากาศแบบอ่นื ต่อไปได้๑๐. อธบิ ายปจั จยั ตา่ ง ๆ ทม่ี ผี ลตอ่ การเปลย่ี นแปลง • โลกได้รับพลังงานจากดวงอาทติ ย์ โดยปริมาณภมู ิอากาศของโลก พร้อมยกตวั อย่างขอ้ มูล พลังงานเฉลย่ี ท่โี ลกได้รบั เทา่ กับพลงั งานเฉลีย่ ที่สนบั สนนุ โลกปลดปล่อยกลบั สอู่ วกาศ ทำใหเ้ กิดสมดลุ พลงั งานของโลก ส่งผลให้อณุ หภูมิเฉลย่ี ของโลก ในแตล่ ะปีค่อนข้างคงท่ีและมีลกั ษณะภูมอิ ากาศ ทไ่ี มเ่ ปล่ียนแปลง หากสมดลุ พลงั งานของโลกเกิด การเปล่ียนแปลงไป จะทำใหอ้ ณุ หภูมิเฉล่ยี ของ พ้นื ผวิ โลกและภูมอิ ากาศเกดิ การเปล่ยี นแปลงได้ โดยมีปจั จัยหลายประการ ท้งั ปัจจัยที่เกิดขึน้ ตาม ธรรมชาตแิ ละปจั จยั ท่ีเกดิ จากกิจกรรมของมนษุ ย์ เชน่ การเปล่ยี นแปลงความรขี องวงโคจรโลกรอบ ดวงอาทิตย์ การเปล่ยี นแปลงมมุ เอยี งของแกน หมนุ โลกและการหมนุ ควงของแกนหมนุ โลก รวมท้ังชนดิ และปรมิ าณของละอองลอย เมฆ และแก๊สเรอื นกระจก ซึ่งมขี อ้ มูลสนบั สนนุ การเปลยี่ นแปลงอณุ หภมู โิ ลกตง้ั แตอ่ ดตี ถงึ ปจั จบุ นั ทไ่ี ด้จากการวิเคราะหห์ ลักฐานตา่ ง ๆ เช่น แกนนำ้ แขง็ ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 229 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพมิ่ เตมิ ๑๑. วิเคราะห์ และอภปิ รายเหตกุ ารณท์ ี่เป็นผลจาก • การเปล่ยี นแปลงภูมอิ ากาศโลกอาจส่งผลกระทบ การเปล่ียนแปลงภมู อิ ากาศโลก และนำเสนอ ตอ่ สิง่ มีชีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม เชน่ การเพิ่มขน้ึ ของ แนวปฏบิ ตั ขิ องมนษุ ยท์ ม่ี สี ว่ นชว่ ยในการชะลอ อณุ หภมู เิ ฉลยี่ โลก การหลอมเหลวของนำ้ แขง็ ขวั้ โลก การเปลย่ี นแปลงภูมอิ ากาศโลก การเพมิ่ ขน้ึ ของระดบั นำ้ ทะเล การเปลยี่ นแปลงของ ระบบนเิ วศทัง้ ทางบกและทางทะเล • มนษุ ยอ์ าจมสี ว่ นชว่ ยในการชะลอการเปลย่ี นแปลง ภูมอิ ากาศโลกไดโ้ ดยการลดปจั จยั ท่ีทำใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลงสมดลุ พลังงานท่เี กิดจากกระทำ ของมนุษย์ ๑๒. แปลความหมายสญั ลักษณ์ลมฟา้ อากาศ • แบบแสดงขอ้ มลู ของสถานีตรวจอากาศผวิ พื้น บนแผนท่ีอากาศ เปน็ การแสดงขอ้ มูลตรวจอากาศทแ่ี สดงในรูป สญั ลกั ษณห์ รอื ตัวเลขทปี่ รากฏบนแผนทอ่ี ากาศ เช่น อณุ หภูมิ ความชื้น ความกดอากาศ ความเรว็ และทศิ ทางลม ปรมิ าณและชนดิ ของเมฆ ทำให้ ทราบลักษณะอากาศ ณ สถานีนั้น ๆ ในเวลาท่มี ี การตรวจวดั เม่อื นำขอ้ มูลของสถานตี รวจอากาศ ผวิ พนื้ มาแสดงในแผนทอ่ี ากาศทำให้สามารถ วเิ คราะหล์ กั ษณะอากาศในบรเิ วณกวา้ งได้ เชน่ บรเิ วณความกดอากาศสงู หยอ่ มความกดอากาศตำ่ พายุหมุนเขตร้อน รอ่ งความกดอากาศต่ำ ๑๓. วิเคราะห์ และคาดการณล์ ักษณะลมฟ้าอากาศ • การแปลความหมายสญั ลกั ษณท์ ี่ปรากฏบนแผนที่ เบอ้ื งตน้ จากแผนทอ่ี ากาศและขอ้ มลู สารสนเทศ อากาศ รว่ มกับข้อมลู สารสนเทศอน่ื ๆ เช่น อน่ื ๆ เพือ่ วางแผนในการประกอบอาชีพและ โปรแกรมประยกุ ตเ์ ก่ียวกับการพยากรณอ์ ากาศ การดำเนนิ ชีวิตให้สอดคลอ้ งกับสภาพลมฟ้า เรดาร์ตรวจอากาศ ภาพถา่ ยดาวเทียม และ อากาศ ค่าทางสถติ ิ สามารถนำมาวเิ คราะหร์ ปู แบบ คาดการณ์การเกดิ และการเปลีย่ นแปลง ปรากฏการณท์ างลมฟา้ อากาศในชว่ งเวลาต่าง ๆ ซ่ึงสามารถนำมาใช้วางแผนการดำเนนิ ชวี ิตให้ สอดคลอ้ งกับสภาพลมฟา้ อากาศ เช่น การเลือก ชว่ งเวลาในการเพาะปลกู ใหส้ อดคลอ้ งกบั ฤดกู าล การเตรยี มพรอ้ มรับมือสภาพอากาศแปรปรวน ม.๖ - -230 ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ๓. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย์ จากการศึกษาตำแหน่งดาวบนทรงกลมฟ้า และปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ รวมทั้งการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศในการดำรงชวี ิตชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่ิมเตมิ ม.๔ - -ม.๕ - -ม.๖ ๑. อธิบายการกำเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลงั งาน • ทฤษฎีกำเนิดเอกภพท่ียอมรบั ในปจั จบุ นั คอื สสาร ขนาดอุณหภูมขิ องเอกภพหลงั เกิดบกิ แบง ทฤษฎบี กิ แบง ระบุวา่ เอกภพเร่มิ ต้นจากบิกแบง ในชว่ งเวลาต่าง ๆ ตามววิ ฒั นาการของเอกภพ ทเ่ี อกภพมขี นาดเล็กมาก และมีอณุ หภมู สิ งู มาก ซ่งึ เป็นจดุ เรมิ่ ต้นของเวลาและววิ ัฒนาการของ เอกภพ โดยหลังเกดิ บกิ แบง เอกภพเกิดการ ขยายตวั อยา่ งรวดเร็ว มอี ณุ หภมู ิลดลง มสี สาร คงอยู่ในรปู อนภุ าคและปฏิยานภุ าคหลายชนดิ และมวี ิวัฒนาการต่อเนือ่ งจนถงึ ปจั จุบนั ซึง่ มี เนบิวลา กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุรยิ ะ เป็นสมาชิกบางสว่ นของเอกภพ ๒. อธบิ ายหลักฐานทีส่ นบั สนุนทฤษฎบี ิกแบง • หลกั ฐานสำคญั ท่ีสนบั สนนุ ทฤษฎีบิกแบง คือ จากความสมั พันธ์ระหว่างความเร็วกับระยะทาง การขยายตวั ของเอกภพ ซงึ่ อธบิ ายดว้ ยกฎฮบั เบลิของกาแล็กซี รวมท้ังข้อมูลการคน้ พบไมโครเวฟ โดยใชค้ วามสัมพนั ธ์ระหวา่ งความเรว็ แนวรศั มีพ้นื หลงั จากอวกาศ และระยะทางของกาแลก็ ซีที่เคลอ่ื นท่หี ่าง ออกจากโลกและหลักฐานอีกประการ คือ การคน้ พบไมโครเวฟพ้ืนหลงั ท่ีกระจายตวั อยา่ ง สมำ่ เสมอทุกทศิ ทาง และสอดคลอ้ งกบั อณุ หภมู ิ เฉลี่ยของอวกาศ มีค่าประมาณ ๒.๗๓ เคลวิน๓. อธิบายโครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของกาแล็กซี • กาแลก็ ซี ประกอบดว้ ย ดาวฤกษจ์ ำนวนทางช้างเผอื ก และระบตุ ำแหน่งของระบบสุริยะ หลายแสนล้านดวง ซ่ึงอยูก่ นั เปน็ ระบบของพร้อมอธบิ ายเชื่อมโยงกับ การสงั เกตเห็น ดาวฤกษ์ นอกจากน้ียงั ประกอบด้วยเทหฟ์ ้าอน่ืทางช้างเผอื กของคนบนโลก เช่น เนบิวลา และสสารระหว่างดาว โดย องค์ประกอบต่าง ๆ ภายในของกาแลก็ ซี อยรู่ วมกันด้วยแรงโน้มถ่วง ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 231 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเตมิ • กาแลก็ ซมี รี ปู รา่ งแตกตา่ งกนั โดยระบบสรุ ยิ ะอยใู่ น กาแล็กซที างชา้ งเผอื กซงึ่ เปน็ กาแล็กซีกังหนั แบบ มีคาน มโี ครงสรา้ ง คือ นวิ เคลียส จาน และฮาโล ดาวฤกษ์จำนวนมากอย่ใู นบริเวณนวิ เคลียสและ จาน โดยมีระบบสรุ ิยะอย่หู ่างจากจดุ ศูนยก์ ลาง ของกาแลก็ ซที างช้างเผอื ก ประมาณ ๓๐,๐๐๐ ปแี สง ซง่ึ ทางช้างเผอื กท่สี งั เกตเหน็ ในท้องฟ้าเปน็ บรเิ วณหน่ึงของกาแล็กซีทางช้างเผอื กในมมุ มอง ของคนบนโลก แถบฝ้าสีขาวจาง ๆ ของทางชา้ ง เผอื กคอื ดาวฤกษ์ ทีอ่ ยูอ่ ยา่ งหนาแน่นในกาแล็กซี ทางช้างเผอื ก ๔. อธิบายกระบวนการเกดิ ดาวฤกษ์ โดยแสดง • ดาวฤกษ์ส่วนใหญอ่ ยูร่ วมกันเปน็ ระบบดาวฤกษ์ การเปลย่ี นแปลงความดัน อณุ หภมู ิ ขนาด คอื ดาวฤกษ์ท่อี ยรู่ วมกัน ตั้งแต่ ๒ ดวงขึ้นไป จากดาวฤกษ์กอ่ นเกดิ จนเปน็ ดาวฤกษ์ ดาวฤกษเ์ ป็นก้อนแกส๊ ร้อนขนาดใหญ่ เกดิ จาก ๕. อธบิ ายกระบวนการสรา้ งพลังงานของดาวฤกษ์ การยุบตวั ของกลมุ่ สสารในเนบวิ ลาภายใต้ และผลท่เี กิดขึ้น โดยวิเคราะห์ปฏิกิรยิ าลูกโซ่ แรงโน้มถ่วง ทำให้บางสว่ นของเนบิวลามีขนาด โปรตอน-โปรตอน และวัฏจักรคารบ์ อน เล็กลง ความดนั และอณุ หภมู ิเพมิ่ ข้นึ เกิดเปน็ ไนโตรเจน ออกซเิ จน ดาวฤกษก์ ่อนเกดิ เม่อื อุณหภูมิท่ีแกน่ สูงขน้ึ จนเกิดปฏิกริ ยิ าเทอรม์ อนิวเคลยี ร์ ดาวฤกษ์ ก่อนเกิดจะกลายเป็นดาวฤกษ์ ดาวฤกษอ์ ยใู่ น สภาพสมดลุ ระหว่างแรงดันกบั แรงโนม้ ถ่วง ซงึ่ เรยี กวา่ สมดุลอุทกสถติ จงึ ทำใหด้ าวฤกษ์ มขี นาดคงทเ่ี ป็นเวลานานตลอดชว่ งชีวติ ของดาวฤกษ์ • ปฏกิ ริ ยิ าเทอรม์ อนวิ เคลียร์ เป็นปฏิกิรยิ าหลกั ของ กระบวนการสรา้ งพลังงานของดาวฤกษ์ ทำให้ เกดิ การหลอมนิวเคลียสของไฮโดรเจนเปน็ นิวเคลียสฮเี ลียมทีแ่ ก่นของดาวฤกษ์ ซ่งึ ม ี ๒ กระบวนการ คอื ปฏกิ ิรยิ าลูกโซโ่ ปรตอน- โปรตอน และวัฏจักรคาร์บอน ไนโตรเจน ออกซเิ จน232 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเตมิ ๖. ระบปุ จั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ ความสอ่ งสวา่ งของดาวฤกษ์ • ความสอ่ งสว่างของดาวฤกษเ์ ปน็ พลังงานจากและอธบิ ายความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งความส่องสว่าง ดาวฤกษ์ที่ปลดปลอ่ ยออกมาในเวลา ๑ วินาทตี อ่กับโชตมิ าตรของดาวฤกษ์ หน่วยพ้ืนท่ี ณ ตำแหนง่ ของผู้สังเกต แต่เน่อื งจาก ตาของมนุษยไ์ ม่ตอบสนองต่อการเปลีย่ นแปลง ความส่องสว่างทมี่ ีคา่ น้อย ๆ จงึ กำหนดค่า การเปรียบเทยี บความส่องสวา่ งของดาวฤกษ์ ดว้ ยค่าโชติมาตร ซงึ่ เป็นการแสดงระดับ ความสอ่ งสวา่ งของดาวฤกษ์ (หรอื เทหฟ์ า้ อ่ืน) ณ ตำแหนง่ ของผสู้ งั เกต๗. อธิบายความสมั พนั ธร์ ะหว่างสี อณุ หภมู ิผวิ • สีของดาวฤกษ์สมั พันธก์ บั อณุ หภูมผิ วิ และสเปกตรมั ของดาวฤกษ์ ซงึ่ นกั ดาราศาสตรใ์ ชด้ ชั นสี ใี นการแบง่ ชนดิ สเปกตรมั ของดาวฤกษ์ และใชส้ เปกตรัมในการจำแนกชนดิ ของดาวฤกษ์๘. อธบิ ายวิธีการหาระยะทางของดาวฤกษ์ • การหาระยะทางของดาวฤกษ์ทม่ี ีระยะทาง ด้วยหลกั การแพรลั แลกซ์ พร้อมคำนวณ หา่ งจากโลกไม่เกนิ ๑๐๐ พาร์เซก มวี ธิ ีการ หาระยะทางของดาวฤกษ์ ทส่ี ำคญั คอื วธิ แี พรลั แลกซ์ โดยวดั มมุ แพรลั แลกซ์ ของดาวฤกษ์ เมื่อโลกเปลี่ยนตำแหน่งไป ในวงโคจร ทำให้ตำแหนง่ ปรากฏของดาวฤกษ์ เปลีย่ นไปเมอ่ื เทียบกบั ดาวฤกษ์อ้างองิ ๙. อธิบายลำดับววิ ฒั นาการท่ีสมั พันธ์กับมวลต้ังตน้ • มวลของดาวฤกษข์ น้ึ อยู่กับมวลของดาวฤกษ์และวเิ คราะหก์ ารเปลย่ี นแปลงสมบตั บิ างประการ กอ่ นเกดิ ดาวฤกษท์ ่มี มี วลมากจะผลิตและใช้ของดาวฤกษ์ในลำดบั วิวฒั นาการ จากแผนภาพ พลงั งานมาก จงึ มอี ายสุ น้ั กวา่ ดาวฤกษท์ ม่ี มี วลนอ้ ยเฮริ ซ์ ปรุง-รสั เซลล์ • ดาวฤกษ์มกี ารวิวฒั นาการท่แี ตกตา่ งกนั การวิวัฒนาการและจดุ จบของดาวฤกษข์ ึ้นอยกู่ บั มวลต้งั ต้นของดาวฤกษ์ ส่วนใหญเ่ ทียบกับ จำนวนเท่าของมวลดวงอาทิตย์ • ดาวฤกษ์จะมกี ารเปลย่ี นแปลงสมบตั บิ างประการ ตามววิ ัฒนาการ โดยนักวทิ ยาศาสตรไ์ ด้แสดงการ เปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วดว้ ยแผนภาพเฮริ ซ์ ปรงุ -รสั เซลล์ ซ่งึ เป็นแผนภาพท่ีแสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง โชตมิ าตรสมั บรู ณแ์ ละดชั นสี ขี องดาวฤกษ์ โดยดาวฤกษ์ ส่วนใหญจ่ ะอย่ใู นแถบลำดบั หลกั ซึ่งเปน็ แถบ ที่แสดงว่าดาวฤกษจ์ ะมชี ่วงชีวิตสว่ นใหญอ่ ยู่ใน สภาวะสมดุลตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 233 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เติม ๑๐. อธบิ ายกระบวนการเกดิ ระบบสรุ ยิ ะ การแบง่ เขต • ระบบสรุ ยิ ะเกิดจากการรวมตวั กนั ของกลุ่มฝุน่ บริวารของดวงอาทิตยแ์ ละลกั ษณะของ และแกส๊ ที่เรยี กวา่ เนบวิ ลาสรุ ยิ ะ โดยฝนุ่ และแก๊ส ดาวเคราะหท์ ่เี อือ้ ต่อการดำรงชวี ติ ประมาณรอ้ ยละ ๙๙.๘ ของมวล ไดร้ วมตวั เป็น ๑๑. อธบิ ายการโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทติ ย์ ดวงอาทิตยซ์ ึ่งเปน็ กอ้ นแกส๊ รอ้ น หรอื พลาสมา ด้วยกฎเคพเลอร์ และกฎความโนม้ ถ่วงของ สสารส่วนทเี่ หลอื รวมตวั เปน็ ดาวเคราะห์และ นิวตนั พร้อมคำนวณคาบการโคจรของ บรวิ ารอืน่ ๆ ของดวงอาทิตย์ ดังนนั้ จึงแบง่ เขต ดาวเคราะห์ บรวิ ารของดวงอาทิตยต์ ามลักษณะการเกดิ และองคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ ดาวเคราะหช์ นั้ ใน ดาวเคราะหน์ อ้ ย ดาวเคราะหช์ นั้ นอก และดงดาวหาง • โลกเป็นดาวเคราะหใ์ นระบบสรุ ยิ ะทีม่ สี งิ่ มีชวี ิต เพราะโคจรรอบดวงอาทติ ยใ์ นระยะทางทเี่ หมาะสม จงึ เปน็ เขตที่เออ้ื ต่อการมีส่งิ มีชีวติ ทำให้โลก มีอณุ หภมู ิเหมาะสมและสามารถเกดิ น้ำทย่ี งั คง สถานะเปน็ ของเหลวได้ และปัจจุบันมีการคน้ พบ ดาวเคราะห์ท่อี ยู่นอกระบบสรุ ยิ ะจำนวนมาก โดยมดี าวเคราะห์บางดวงท่มี ลี ักษณะคลา้ ยโลก และอยู่ในเขตที่เอื้อตอ่ การมีสง่ิ มชี วี ติ • บรวิ ารของดวงอาทิตย์อยู่รวมกนั เป็นระบบภายใต้ แรงโนม้ ถ่วงระหว่างดาวเคราะหก์ บั ดวงอาทิตย์ ตามกฎแรงโน้มถว่ งของนิวตัน ส่วนการโคจร ของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์เปน็ ไปตาม กฎเคพเลอร์ ๑๒. อธบิ ายโครงสร้างของดวงอาทิตย์ การเกดิ • ดวงอาทิตย์มโี ครงสร้างภายในแบ่งเป็น ลมสุริยะ พายุสรุ ิยะ และวเิ คราะห์ นำเสนอ แก่น เขตการแผร่ งั สี และเขตการพาความร้อน ปรากฏการณ์หรือเหตุการณท์ ีเ่ กยี่ วขอ้ งกับ และมชี ัน้ บรรยากาศอยูเ่ หนือเขตพาความร้อน ผลของลมสรุ ยิ ะ และพายุสุรยิ ะทีม่ ีตอ่ โลก ซ่งึ แบง่ เปน็ ๓ ช้นั คือ ชน้ั โฟโตสเฟยี ร์ รวมทัง้ ประเทศไทย ช้ันโครโมสเฟียร์ และคอโรนา ในช้ันบรรยากาศ ของดวงอาทิตย์ มปี รากฏการณส์ ำคัญ เช่น จดุ มืด ดวงอาทติ ย์ การลกุ จา้ ทที่ ำใหเ้ กดิ ลมสุรยิ ะ และ พายสุ ุรยิ ะ ซึ่งสง่ ผลตอ่ โลก • ลมสุรยิ ะ เกดิ จากการแพร่กระจายของอนุภาค จากช้นั คอโรนาออกสอู่ วกาศตลอดเวลา อนุภาค ที่หลดุ ออกส่อู วกาศเป็นอนภุ าคที่มปี ระจุ ลมสรุ ยิ ะสง่ ผลทำใหเ้ กดิ หางของดาวหางทเี่ รอื งแสง และชไี้ ปทางทศิ ตรงกนั ข้ามกับดวงอาทิตย์ และเกดิ ปรากฏการณแ์ สงเหนือ แสงใต้234 ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่ิมเตมิ • พายสุ รุ ยิ ะ เกดิ จากการปลดปล่อยอนุภาคมีประจุ พลงั งานสงู จำนวนมหาศาล มกั เกดิ บอ่ ยครงั้ ในชว่ ง ทม่ี ีการลุกจา้ และในช่วงที่มีจดุ มดื ดวงอาทติ ย์ จำนวนมาก และในบางครัง้ มกี ารพ่นกอ้ นมวล คอโรนา พายสุ รุ ยิ ะอาจสง่ ผลตอ่ สนามแมเ่ หลก็ โลก จงึ อาจรบกวนระบบการส่งกระแสไฟฟา้ และ การสอ่ื สาร รวมทงั้ อาจสง่ ผลตอ่ วงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ของดาวเทยี ม นอกจากนั้นมกั ทำใหเ้ กดิ ปรากฏการณแ์ สงเหนอื แสงใตท้ สี่ งั เกตไดช้ ัดเจน๑๓. สรา้ งแบบจำลองทรงกลมฟา้ สงั เกต และเชอื่ มโยง • ทรงกลมฟา้ เปน็ ทรงกลมสมมติขนาดใหญท่ ่ีมี จดุ และเส้นสำคญั ของแบบจำลองทรงกลมฟ้า รศั มอี นนั ต์ มจี ดุ ศนู ยก์ ลางของโลกเปน็ จดุ ศนู ยก์ ลาง กับทอ้ งฟา้ จรงิ และอธบิ ายการระบุพกิ ดั ของทรงกลมฟ้า มีดวงดาวและเทห์ฟา้ ต่าง ๆ ของดาวในระบบขอบฟา้ และระบบศนู ย์สตู ร ปรากฏอยบู่ นผิวของทรงกลมฟา้ น้ี การระบุพิกัด ของดวงดาวและเทหฟ์ ้าต่าง ๆ บนทรงกลมฟา้ ตามระบบทสี่ ำคัญ ไดแ้ ก่ - ระบบขอบฟ้า เป็นระบบทีอ่ ้างองิ จากตำแหน่ง ผู้สงั เกตบนโลก โดยระบุพกิ ดั เป็นมมุ ทศิ และ มมุ เงย อา้ งอิงกบั ทศิ เหนือและเสน้ ขอบฟ้าของ ผู้สงั เกต - ระบบศนู ยส์ ตู ร เปน็ ระบบทอ่ี า้ งองิ กบั เสน้ ศนู ยส์ ตู ร ฟ้าและจุดวษิ ุวตั ระบพุ ิกัดเปน็ ไรต์แอสเซนชนั และเดคลเิ นชัน๑๔. สงั เกตทอ้ งฟ้า และอธิบายเส้นทางการขน้ึ • โลกหมุนรอบตัวเองจากทางทศิ ตะวันตกไปทาง การตกของดวงอาทิตยแ์ ละดาวฤกษ์ ทศิ ตะวนั ออก ทำให้เกิดปรากฏการณ์การขนึ้ การตกของดวงอาทิตย์และดวงดาวในรอบวัน ซง่ึ เสน้ ทางปรากฏของการขน้ึ การตกของดวงอาทติ ย์ จะเปลยี่ นแปลงตามวนั เวลาและตำแหน่งละตจิ ดู ของผ้สู ังเกต สว่ นเส้นทางปรากฏของการข้ึน การตกของดาวฤกษจ์ ะเปล่ียนแปลงตามละตจิ ดู ของผสู้ งั เกต๑๕. อธิบายเวลาสุรยิ คติปรากฏ โดยรวบรวมข้อมลู • การกำหนดเวลาสรุ ยิ คติจะเทยี บกบั ดวงอาทติ ย์และเปรียบเทียบเวลาขณะทีด่ วงอาทิตยผ์ ่าน โดยเวลาสุรยิ คติ มที ั้งเวลาสรุ ิยคตปิ รากฏ และเมริเดียนของผ้สู ังเกตในแตล่ ะวนั เวลาสรุ ยิ คตปิ านกลาง ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 235 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่ิมเติม • เวลาสุริยคติปรากฏ เปน็ เวลาท่ีได้จากการสังเกต ดวงอาทติ ย์จรงิ ทเ่ี คล่อื นท่อี ยูบ่ นทอ้ งฟา้ ของ ผู้สังเกต ชว่ งเวลาระหว่างการเห็นจุดศนู ย์กลาง ของดวงอาทิตยผ์ ่านเมริเดียนครง้ั แรกถงึ ครงั้ ถดั ไป เรยี กว่า ๑ วนั สรุ ยิ คตปิ รากฏ ๑๖. อธิบายเวลาสรุ ยิ คตปิ านกลาง และ • เวลาสรุ ยิ คตปิ านกลางกำหนดโดยใหม้ ดี วงอาทติ ย์ การเปรยี บเทยี บเวลาของแตล่ ะเขตเวลาบนโลก สมมติเคลือ่ นทบ่ี นเส้นศูนยส์ ตู รฟ้าดว้ ยอัตราเร็ว สม่ำเสมอ ช่วงเวลาระหวา่ งการเห็นจดุ ศนู ย์กลาง ของดวงอาทติ ยผ์ า่ นเมรเิ ดยี นคร้ังแรกถงึ ครั้งถัดไป เรยี กวา่ ๑ วนั สรุ ยิ คตปิ านกลาง ซงึ่ ยาว ๒๔ ชวั่ โมง ๐ นาที ๐ วินาที เวลาสุริยคติปานกลางกรีนซิ เปน็ เวลาสรุ ยิ คติปานกลางที่ใชเ้ มริเดยี นของ หอดดู าวกรีนซิ ในประเทศองั กฤษเป็นตวั กำหนด ซงึ่ นำมาใชใ้ นการกำหนดเขตเวลามาตรฐานสากล ของตำแหน่งอื่น ๆ บนโลก ๑๗. อธบิ ายมุมหา่ งท่ีสมั พันธก์ ับตำแหน่ง • โลกและดาวเคราะหท์ กุ ดวงหมนุ รอบตวั เองและ ในวงโคจร และอธบิ ายเช่ือมโยงกับตำแหนง่ โคจรรอบดวงอาทติ ยจ์ ากทศิ ตะวันตกไปทาง ปรากฏของดาวเคราะห์ที่สงั เกตไดจ้ ากโลก ทิศตะวนั ออก หรือในทิศทวนเข็มนาฬิกาจาก มมุ มองดา้ นบน คนบนโลกจะสงั เกตเหน็ ดาวเคราะห์ มตี ำแหนง่ ปรากฏแตกตา่ งกนั ในชว่ งวนั เวลาตา่ ง ๆ เพราะดาวเคราะห์มมี มุ ห่างท่ีแตกตา่ งกนั • มุมห่างของดาวเคราะห์ คอื มมุ ระหวา่ งเส้นตรง ท่ีเช่อื มระหวา่ งโลกกบั ดาวเคราะห์กบั เส้นตรงท่ี เช่ือมระหว่างโลกกบั ดวงอาทิตย์ เม่อื วัดบน เสน้ สุริยวถิ ี โดยดาวเคราะหอ์ าจอยหู่ ่างจาก ดวงอาทิตย์ไปทางทิศตะวันออก หรือทางทิศ ตะวันตก ซ่งึ มกี ารเรยี กช่ือตามตำแหนง่ ของ ดาวเคราะหใ์ นวงโคจร ขนาดของมมุ หา่ ง และทศิ ทางของมุมห่าง • ดาวเคราะหท์ ม่ี มี มุ หา่ งตา่ งกนั จะมตี ำแหนง่ ปรากฏ บนท้องฟ้าแตกต่างกัน โดยตำแหน่งปรากฏของ ดาวเคราะห์วงในจะอยใู่ กลข้ อบฟ้าในช่วงเวลา ใกลร้ งุ่ หรือเวลาหัวคำ่ สว่ นตำแหนง่ ปรากฏ ของดาวเคราะห์วงนอกจะสามารถเหน็ ได้ใน236 ตัวช้ีวดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เตมิ ช่วงเวลาอืน่ ๆ นอกจากนี้ มุมหา่ งยงั สามารถ นำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ เช่น ดาวเคียงเดอื น ดาวเคราะห์ชุมนมุ ดาวเคราะห์ ผ่านหนา้ ดวงอาทติ ย์๑๘. สืบคน้ ข้อมูล อธบิ ายการสำรวจอวกาศ โดยใช้ • มนษุ ย์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศในการศึกษา เพ่อื กลอ้ งโทรทรรศน์ในชว่ งความยาวคลน่ื ต่าง ๆ ขยายขอบเขตความรดู้ ้านวทิ ยาศาสตร์ และดาวเทยี ม ยานอวกาศ สถานอี วกาศ และนำเสนอ ในขณะเดียวกนั มนษุ ย์ได้นำเทคโนโลยอี วกาศแนวคดิ การนำความรทู้ างดา้ นเทคโนโลยอี วกาศ มาใช้ประโยชนใ์ นด้านตา่ ง ๆ เช่น วัสดุศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจำวันหรือในอนาคต อาหาร การแพทย์๑๙. สืบคน้ ขอ้ มลู ออกแบบ และนำเสนอกิจกรรม • นักวทิ ยาศาสตร์ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ เพ่ือการสังเกตดาวบนทอ้ งฟ้าด้วยตาเปลา่ และ/ ศกึ ษาแหล่งกำเนิดของรังสหี รอื อนุภาคในอวกาศหรอื กลอ้ งโทรทรรศน์ ในช่วงความยาวคลน่ื ต่าง ๆ ได้แก่ คลนื่ วิทยุ ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลต และรงั สีเอ็กซ์ • ยานอวกาศ คอื ยานพาหนะที่นำมนุษยห์ รอื อุปกรณท์ างดาราศาสตรข์ นึ้ ไปสู่อวกาศ เพือ่ สำรวจหรอื เดนิ ทางไปยงั ดาวดวงอืน่ ส่วนสถานี อวกาศ คอื หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารลอยฟา้ ทโี่ คจรรอบโลก ใช้ในการศกึ ษาวิจัยทางวทิ ยาศาสตร์ในสาขา ตา่ ง ๆ ในสภาพไร้น้ำหนัก • ดาวเทยี ม คืออุปกรณ์ท่ีใช้ในการสำรวจวตั ถุ ทอ้ งฟา้ และนำมาประยกุ ตใ์ ช้ในด้านต่าง ๆ เชน่ การสอ่ื สารโทรคมนาคม การระบตุ ำแหนง่ บนโลก การสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ อุตนุ ิยมวทิ ยา โดยดาวเทยี มมีหลายประเภทสามารถแบง่ ได้ ตามเกณฑ์วงโคจรและการใช้งานตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 237 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
อภิธานศัพท์ ศพั ทท์ เ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ตวั ชวี้ ดั กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ท่ี ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ความหมาย๑. กำหนดปญั หา define problem ระบุคำถาม ประเด็นหรือ๒. แกป้ ัญหา solve problem สถานการณ์ที่เป็นขอ้ สงสยั เพื่อนำไปสู่การแก้ปญั หาหรือ๓. เขยี นแผนผงั /วาดภาพ construct diagram/ อภิปรายร่วมกนั ๔. คาดคะเน illustrate หาคำตอบของปัญหาทยี่ ังไมร่ ู้๕. คำนวณ predict วธิ กี ารมาก่อน ทง้ั ปัญหาที่๖. จำแนก calculate เก่ียวขอ้ งกบั วิทยาศาสตร์๗. ตง้ั คำถาม classify โดยตรงและปญั หาในชวี ติ ask question ประจำวันโดยใช้เทคนคิ และ วิธกี ารต่าง ๆ นำเสนอข้อมลู หรือผลการสำรวจ ตรวจสอบดว้ ยแผนผัง กราฟ หรือภาพวาด คาดการณผ์ ลทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต โดยอาศัยข้อมูลทีส่ ังเกตได้ และประสบการณท์ มี่ ี หาผลลัพธ์จากข้อมูล โดยใช้ หลกั การ ทฤษฎี หรือวิธกี ารทาง คณติ ศาสตร์ จัดกลมุ่ ของสง่ิ ต่าง ๆ โดยอาศัย ลกั ษณะทเี่ หมอื นกนั เปน็ เกณฑ์ พดู หรอื เขียนประโยค หรอื วลี เพอื่ ให้ไดม้ าซงึ่ การคน้ หา คำตอบทตี่ อ้ งการ238 ตัวชี้วดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ที่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ความหมาย๘. ทดลอง conduct/experiment ปฏิบตั กิ ารเพื่อหาคำตอบ๙. นำเสนอ ของคำถาม หรอื ปัญหาในการ๑๐. บรรยาย ทดลอง โดยต้ังสมมตฐิ านเพอ่ื เปน็ แนวทางในการกำหนด๑๑. บอก ตวั แปรและวางแผนดำเนินการ๑๒. บนั ทกึ เพอ่ื ตรวจสอบสมมตฐิ าน๑๓. เปรยี บเทยี บ๑๔. แปลความหมาย present แสดงขอ้ มูล เรอื่ งราว หรอื ๑๕. ยกตวั อย่าง ความคิด เพ่อื ให้ผูอ้ ่นื รับรู้๑๖. ระบุ หรอื พจิ ารณา describe ให้รายละเอยี ดของเหตกุ ารณ์ หรอื ปรากฏการณ์ทเี่ กดิ ข้นึ ให้ ผอู้ ื่นได้รบั รดู้ ว้ ยการบอก หรอื เขียน tell ใหข้ ้อมลู ขอ้ เท็จจริง แก่ผอู้ ื่น ดว้ ยการพดู หรอื เขียน record เขียนขอ้ มลู ทีไ่ ด้จากการสังเกต เพอ่ื ชว่ ยจำ หรอื เพอ่ื เปน็ หลกั ฐาน compare บอกความเหมือน และ/หรอื ความแตกต่าง ของส่ิงที่ เทยี บเคยี งกัน interpret แสดงความหมายของขอ้ มูล จากหลกั ฐานทปี่ รากฏ เพอ่ื ลงข้อสรุป give examples ใหข้ อ้ มลู เหตกุ ารณ์ หรอื สถานการณ์ เพื่อแสดงความเข้าใจในส่ิงท่ีได้ เรียนรู้ identify ชบี้ อกสิ่งตา่ ง ๆ โดยใชข้ อ้ มูล ประกอบอย่างเพยี งพอตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 239 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ท่ี ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ความหมาย๑๗. เลือกใช้ select๑๘. วัด measure พจิ ารณา และตดั สนิ ใจนำวัสดุ๑๙. วเิ คราะห์ analyze สิ่งของ อุปกรณ์ หรอื วิธีการ๒๐. สรา้ งแบบจำลอง construct model มาใช้ได้อย่างเหมาะสม หาขนาด หรือปรมิ าณ ของ๒๑. สงั เกต observe สิ่งตา่ ง ๆ โดยใชเ้ คร่ืองมอื ท่เี หมาะสม๒๒. สำรวจ explore แยกแยะ จัดระบบ เปรียบเทียบ จัดลำดบั จดั จำแนก หรอื ๒๓. สบื ค้นขอ้ มลู search เช่อื มโยงข้อมลู นำเสนอแนวคดิ หรือเหตกุ ารณ์ ในรปู ของแผนภาพ ชิ้นงาน สมการ ข้อความ คำพดู และ/ หรือใชแ้ บบจำลองเพือ่ อธิบาย ความคดิ วตั ถุ หรือเหตุการณ์ ต่าง ๆ หาข้อมลู ด้วยการใชป้ ระสาท สัมผัสท้งั ห้า ท่ีเหมาะสมตาม ข้อเท็จจรงิ ทป่ี รากฏ โดยไมใ่ ช้ ประสบการณเ์ ดมิ ของผสู้ ังเกต หาขอ้ มูลเก่ยี วกบั ส่ิงตา่ ง ๆ โดยใช้วธี ีการและเทคนคิ ท่ี เหมาะสม เพ่ือนำขอ้ มลู มาใช้ ตามวตั ถปุ ระสงค์ทก่ี ำหนดไว้ หาขอ้ มลู หรอื ขอ้ สนเทศท่ีมี ผู้รวบรวมไว้แล้วจากแหลง่ ตา่ ง ๆ มาใช้ประโยชน์240 ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ท่ี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ความหมาย ๒๔. สอ่ื สาร communicate นำเสนอ และแลกเปล่ยี น ๒๕. อธบิ าย explain ความคดิ ข้อมลู หรอื ผลจากการ ๒๖. อภปิ ราย discuss สำรวจตรวจสอบ ดว้ ยวธิ ี ทเี่ หมาะสม ๒๗. ออกแบบการทดลอง design experiment กล่าวถึงเรอ่ื งราวต่าง ๆ อยา่ งมี เหตุผล และมีขอ้ มลู หรือ ประจักษพ์ ยานอา้ งองิ แสดงความคดิ เห็นตอ่ ประเดน็ หรอื คำถามอยา่ งมีเหตุผล โดยอาศยั ความรแู้ ละประสบการณ์ ของผู้อภิปรายและขอ้ มูล ประกอบ กำหนด และวางแผนวธิ กี าร ทดลองให้สอดคลอ้ งกบั สมมตฐิ านและตัวแปรต่าง ๆ รวมทงั้ การบันทึกข้อมลู ตวั ช้ีวัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 241 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ศพั ท์ท่เี ก่ียวข้องกับตัวชวี้ ัดสาระเทคโนโลยีท่ี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ความหมาย๑. การใชล้ ขิ สิทธ์ขิ องผอู้ ่ืน fair use การนำส่อื หรอื ขอ้ มูลท่ีเป็น โดยชอบธรรม ลขิ สิทธิ์ของผู้อืน่ ไปใชโ้ ดยชอบ ดว้ ยกฎหมาย ภายใต้เงอ่ื นไข๒. การตรวจและแก้ไข debugging บางประการ เชน่ ข้อผิดพลาด data processing ๑) นำไปใชใ้ นการศกึ ษา หรอื๓. การประมวลผลข้อมูล การคา้ ๒) งานนน้ั เป็นงานวิชาการ หรือ๔. การรวบรวมข้อมูล data collection บนั เทงิ ๕. ขอ้ มลู ปฐมภูมิ primary data ๓) คัดลอกเพียงส่วนนอ้ ย หรือ คดั ลอกจำนวนมาก ๔) ทำใหเ้ จา้ ของเสยี ผลประโยชน์ ทางการเงนิ มากนอ้ ยเพยี งใด กระบวนการในการคน้ หา ขอ้ ผดิ พลาดของโปรแกรม เพอ่ื แก้ไขใหท้ ำงานได้ถูกต้อง การดำเนินการตา่ ง ๆ กบั ข้อมูล เพ่อื ให้ได้ผลลัพธท์ ม่ี ีความหมาย และมีประโยชนต์ อ่ การนำ ไปใช้งานมากย่งิ ขน้ึ กระบวนการในการรวบรวม ขอ้ มูลทีเ่ กี่ยวขอ้ งจากแหล่ง ขอ้ มลู ต่าง ๆ ข้อมูลท่ีรวบรวมโดยตรง จากแหล่งขอ้ มูลขั้นตน้ โดยอาจ ใชว้ ิธกี ารสังเกต การทดลอง การสำรวจ การสัมภาษณ์242 ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ท่ี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ความหมาย๖. เทคโนโลยี technology ส่ิงที่มนษุ ย์สรา้ งหรอื พฒั นาข้นึ๗. แนวคดิ เชิงคำนวณ ซ่งึ อาจเป็นได้ทงั้ ชิน้ งาน หรอื วธิ ีการ เพ่ือใช้แกป้ ญั หาสนอง๘. แนวคดิ เชิงนามธรรม ความต้องการ หรือเพ่ิม๙. ระบบทางเทคโนโลยี ความสามารถในการทำงาน ของมนษุ ย์ computational กระบวนการในการแกป้ ัญหา thinking การคิดวเิ คราะห์อยา่ งมีเหตุผล เป็นขนั้ ตอน เพอ่ื หาวธิ กี าร แกป้ ญั หาในรูปแบบทีส่ ามารถ นำไปประมวลผลได้ abstraction การพจิ ารณารายละเอยี ดทสี่ ำคญั ของปญั หา แยกแยะสาระสำคัญ ออกจากส่วนท่ไี มส่ ำคญั technological system กลมุ่ ของสว่ นต่าง ๆ ตั้งแต่ สองสว่ นขึน้ ไป ประกอบเขา้ ด้วยกนั และทำงานร่วมกนั เพ่อื ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค ์ โดยในการทำงานของระบบ ทางเทคโนโลยจี ะประกอบไปดว้ ย ตวั ปอ้ น (input) กระบวนการ (process) และผลผลติ (output) ทส่ี มั พนั ธก์ ัน นอกจากน้ีระบบทางเทคโนโลยี อาจมขี อ้ มลู ยอ้ นกลับ (feedback) เพอื่ ใช้ปรบั ปรงุ การทำงานไดต้ ามวตั ถุประสงค์ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 243 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ท่ี ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ความหมาย๑๐. เหตุผลเชิงตรรกะ๑๑. เหตผุ ลวิบตั ิ logical reasoning การใชเ้ หตผุ ล กฎ กฎเกณฑ์ หรือเงอ่ื นไขทเี่ ก่ียวข้อง เพอ่ื ๑๒. อตั ลกั ษณ์ แกป้ ัญหาไดค้ รอบคลุมทกุ กรณี ๑๓. อลั กอรทิ มึ logical fallacy การใชเ้ หตผุ ลทผี่ ดิ พลาด ไมอ่ ยบู่ น พน้ื ฐานของความจรงิ ไมม่ นี ำ้ หนกั๑๔. แอปพลเิ คชัน สมเหตสุ มผลมาสนับสนุน หรือ ชน้ี ำขอ้ สรุปทผ่ี ดิ ให้ดูน่าเช่อื ถือ Identity ลกั ษณะเฉพาะหรือขอ้ มูลสำคญั ทีบ่ ง่ บอกถึงความเปน็ ตวั ตนของ บุคคลหรอื สิง่ ใดส่ิงหนงึ่ เชน่ ชือ่ บญั ชีผู้ใช้ ใบหนา้ ลายนว้ิ มือ algorithm ขั้นตอนในการแกป้ ญั หาหรอื การทำงาน โดยมลี ำดบั ของ คำส่ังหรือวธิ กี ารที่ชดั เจน ทีค่ อมพวิ เตอรส์ ามารถปฏบิ ตั ิ ตามได้ software application ซอฟตแ์ วรป์ ระยุกต์ ที่ทำงาน บนคอมพิวเตอร์ สมารต์ โฟน แทบ็ เลต็ หรืออุปกรณ์เทคโนโลยี อืน่ ๆ 244 ตัวชว้ี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273