อนุสรณ์นิพพานสมยั พระครูสุนทรศีลขันธ์ (หลวงป่ สู ิงห์ทอง ปภากโร) อดตี ท่ปี รึกษาเจ้าคณะอาเภอเลิงนกทา – ไทยเจริญ (ธรรมยุต) อดีตเจ้าอาวาสวดั ป่ าสุนทราราม บ้านกุดแห่ ตาบลกุดแห่ อาเภอเลิงนกทา จงั หวัดยโสธร ๓ กันยายาน ๒๕๖๓
คาปรารภ พระ ผ้ปู ฏิบตั ดิ พี ร้อม ไตรทวาร ครู ผ้ใู ห้ธรรมทาน ผ่องแผ้ว สนุ ทร ธรรมฉ่ําหวาน เสนาะโสต ศีลขนั ธ์ มน่ั คงแล้ว สง่ ให้ สขุ เกษม โคลง สี่สุภาพข้ างต้ นนัน้ เป็ นบทประพันธ์ ของ พระมงคลวัฒนคุณ (หลวง พ่อเพ่ิมบารมี ) อดีตรองเจ้าคณะจงั หวดั นครราชสีมา อดีตเจ้าอาวาสป่ าสาละวนั พระมหาเถระผ้เู ป็ นนกั ปราชญ์แห่งเมืองโคราช ได้รจนาขึน้ สรรเสริญพระมหาเถระคุณ พระครูสุนทรศีลขันธ์ (หลวงป่ ูสิงห์ทอง ปภากโร)อดีตท่ีปรึกษา เจ้าคณะอําเภอเลิงนกทา - ไทยเจริญ(ธรรมยุต) อดีตเจ้าอาวาสวัดป่ าสุนทราราม บ้านกุดแห่ ตําบลกุดแห่ อําเภอเลิงนกทา จงั หวัดยโสธร ผู้เขียนจึงถอดคําเฉพาะ “สุนทรธรรม ฉ่าหวาน เสนาะโสต” ตงั้ เป็ นชื่อ หนังสือเล่มนี ้ และรวบรวมเรียบเรียงบทความเนือ้ หาสาระท่ีเก่ียวข้ องกับหลวงป่ ูสิงห์ทอง ปภากโ ร อนั ประกอบด้วย “ พระบูรพาจารย์ อตั ชีวประวตั ิ ปกิณกะธรรม ” ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมบุญกับองค์หลวงป่ ู และได้ศึกษาปฏิบัติกับองค์หลวงป่ ูในวาระต่างๆ แม้จะเป็ นระยะเวลาอันสัน้ ๆ แต่ถ้าสามารถศึกษา จดจํา และน้อมนําไปปฏิบตั ิได้ก็จะเป็ นมงคลสร้ างความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าให้กับชีวิตไม่มากก็น้อย ซึ่งหลักธรรม ทงั้ หมดขององค์หลวงป่ ูท่ีได้แสดงออกมานัน้ มากมายและย่ิงใหญ่ยิ่งประดุจเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทัง้ ส่ี ที่ผู้เขียนสามารถจดจําได้และนํามาบันทึกไว้ ณ ท่ีนีน้ ัน้ น้อยนิดประดุจฝ่ ุนเมล็ดทรายในกระถางธูปเท่านัน้ การรวบรวมเนือ้ หาในครัง้ นีเ้ ผยแพร่ในโปรแกรมอีบ๊คุ (E-Books) ตามสมยั นิยม มีข้อผิดพลาดอย่างไรขอโอกาส รับไว้แก้ไขในภายภาคหน้า ถ้าญาตธิ รรมทา่ นใดเห็นเป็ นประโยชน์จกั นําไปเผยแผ่ก็ขออนโุ มทนาบญุ ด้วยไมส่ งวน ลขิ สิทธ์ิอนั ใด ด้ วยบุญกุศลในการเผยแพ ร่ เร่ื อง ราวปกิ ณกะธรรมในครั้ง นี ้ ขอน้ อมถวายอาจริ ยบูชา หลวงป่ สู ิงห์ทอง ปภากโร พระมหาเถระผ้ขู ้ามพ้นฝ่ังแห่งภพ ขอองค์หลวงป่ เู สวยวิมุตติธรรมสมมรรคสมผล สมสัมมาปฏิบัติที่หลวงป่ ูได้บําเพ็ญมาโดยตลอดอายุขัย และขออุทิศส่วนกุศลอันเกิดจากการเผยแพร่ ปกิณกะธรรมนีถ้ งึ ยงั สรรพสตั ว์ทงั้ หลาย ขอสรรพสตั ว์ทงั้ หลายจงลถุ งึ ธรรมอนั เกษมด้วยเดชแหง่ บญุ ในครัง้ นี ้ นาวาอากาศตรี โชตชิ ่วง เนตรครุธ อนุศาสนาจารย์ กองบนิ ๒๑ จังหวัดอุบลราชธานี รวบรวมเรียบเรียง ก
“หลวงป่ ูเข้านิพพาน” หลอมดวงใจเป็นมาลยั กราบหลวงป่ ู แดพ่ ระครูสนุ ทรศลี ขนั ธ์ องค์หลวงป่ ผู ้มู ีคณุ อนนั ต์ ป่ สู ิงห์ทองคนรู้กนั ทว่ั ถิ่นไทย สามกนั ยาท่านลาละสงั ขาร อายนุ นั้ เก้าสิบห้าชีพตกั ษัย กบั หกเดือนสบิ แปดวนั ทา่ นจากไป เจ็ดสบิ พรรษาได้บรรจบมา สานศุ ษิ ย์บําเพญ็ กศุ ลให้ รับผ้าไตรนําไปกราบท่านตรงหน้า บชู าคณุ หลวงป่ ตู ามศรัทธา น้อมภาวนาสง่ ทา่ นสนู่ พิ พาน แม้ทา่ นลาละไปจากโลกแล้ว ดจุ ดวงแก้วสถิตทิพย์สถาน คือเพชรแท้คงอย่อู ย่างยืนนาน ตราบชวั่ กาลนิรันดร์ครองดวงใจสานศุ ษิ ย์ สญั ญาไมล่ ืมทา่ น คาํ สอนนนั้ ทกุ คนยงั จําได้ “อุ อา กะ สะ”ทอ่ งไว้ให้ขนึ ้ ใจ พร้อมนําไปปฏิบตั ภิ าวนา สี่กนั ยาปี สองห้าหกสาม ท้องฟ้ างามยามเช้าดแู จม่ ใส สานศุ ษิ ย์รอหลวงป่ อู ยา่ งตงั้ ใจ สรีระทา่ นได้สง่ ตามขบวน โรงพยาบาลศรีนครินทร์จากขอนแก่น ขบวนแลน่ รถมาอยา่ งเร่งดว่ น แปดโมงเช้าเวลาดีท่ีเหมาะควร รถขบวนจอดเทียบหน้าศาลา ศาลาไม้หลงั ใหญ่จดั เตรียมพร้อม ทงั้ เคร่ืองหอมดอกไม้ได้จดั หา บชู าคณุ หลวงป่ ดู ้วยศรัทธา ได้เวลาอญั เชญิ ร่างขนึ ้ ข้างบน สานศุ ษิ ย์เคารพด้วยความรัก ใจน้อมภคั ดชี อบด้วยเหตผุ ล กลนั้ ไมอ่ ยนู่ ํา้ ตาสาธุชน หลงั ลงบนใบหน้าด้วยอาลยั รําลกึ คณุ หลวงป่ ผู ้ปู ระเสริฐ สดุ ลํา้ เลศิ จริงแท้จะหาไหน หมดทา่ นแล้วไมม่ ีอีกตอ่ ไป คงเหลือไว้ความดที ่ียืนยง ประธานสงฆ์นําพาสานศุ ษิ ย์ ให้ตงั้ จิตเตรียมนํา้ มากราบสรง กราบขอบคณุ ตวั แทนพทุ ธองค์ น้อมจติ ต์สง่ อ้มุ หลวงป่ สู นู่ ิพพาน ทา่ นที่มาบชู าองคห์ ลวงป่ ู ให้อายยุ ืนอยเู่ ป็นแกน่ สาร รับคาถาประกาศติ ชวั่ กาล ทงั้ ลกู หลานครอบครัวแคล้วคาดภยั ผู้อานวยการ ทรงศักด์ิ มุกธะวัตร ข ประพันธ์ในนามคณะศิษย์ยานุศษิ ย์
สารบัญ เร่ือง หน้า คาํ ปารภ ก หลวงป่ เู ข้านพิ พาน ข สารบญั ค–จ พระบูรพาจารย์ ๑. หลวงป่ เู สาร์ กนั ตสีโล ๑ ๒. หลวงป่ มู นั่ ภรู ิทตั โต ๒ ๓. หลวงป่ ดู ี ฉันโน ๓ ๔. หลวงป่ กู งแก้ว ขนั ติโก ๔ ๕. หลวงป่ สู ิงห์ทอง ปภากโร ๕ ๖ อัตชีวประวัติ ๑. ช่ือ ๗ ๒. ชาตภิ มู ิ / สถานะเดมิ ๘ ๓. การบรรพชา(ครัง้ แรก) ๘ ๔. บรรพชาอปุ สมบท ๘ ๕. การศกึ ษาทางธรรม ๙ ๖. ตาํ แหนง่ คณะสงฆ์ ๙ ๗. หน้าท่ีพิเศษ ๙ ๘. การจําพรรษา ๑๐ ๙. การก่อสร้างเสนาสนะที่สําคญั ๑๐ ๑๐. การปฏิบตั ศิ าสนกิจตา่ งประเทศ ๑๑ ๑๑. การอาพาธและมรณภาพ ๑๑ ๑๑ ค
เร่ือง หน้า ปกิณกะธรรม ๑๒ ๑๓ “พระไตรสรณคมน์และการเจริญเมตตาพรหมวิหารส่ี” ๑๖ “บวชเป็นพระแล้วให้ปฏิบตั ิ” ๑๗ “ทําวตั รคารวะ” ๑๙ “รัตนสตู ร” ๒๕ “อานิสงส์การเจริญเมตตา” ๒๖ “อนศุ าสนียธรรม” ๒๗ “เจดีย์” ๒๘ “ฉนั ภตั ตาหารด้วยมืองดใช้ช้อน” ๒๙ “บนั ทกึ ภาพพระสงฆ์” ๒๙ “เป๊ ปซิน” ๓๐ “รอยยมิ ้ อยา่ งพระอริยะ” ๓๑ “ข้าราชการ สมณะ ชาวนา” ๓๑ “อยากเล่ือนยศเลื่อนตําแหนง่ ” ๓๒ “เสกดนิ สอสอบบรรจ”ุ ๓๓ “อยากอายยุ ืนเหมือนหลวงป่ ”ู ๓๔ “คาถากนั โรคภยั ไข้เจบ็ ” ๓๕ “อยากเกิดเป็นผ้ชู าย” ๓๕ “เคยี ้ วไม้สีฟัน” ๓๗ “สรงนํา้ เหมือนพระ อยา่ อาบนํา้ เหมือนโยม” ๓๘ “อนั ตรธาน” ๓๙ “วตั ถมุ งคล” ๔๐ “มนั เป็นบ้า” ๔๑ “พระสวิ ลี ” ๔๒ “บกั สนั่ กําพร้า” ง
เร่ือง หน้า “คาถากนั ผี” ๔๓ หวั ใจเศรษฐี อุ อา กะ สะ” ๔๔ “ครองผ้าบณิ ฑบาต” ๔๕ “พระราชศรัทธา” ๔๕ “ฉลองศรัทธา” ๔๗ “หลวงป่ ดู ี ฉนั โน” ๔๘ “ญาทา่ นลือบ้านนาทาม” ๕๐ “หลวงป่ กู งแก้วบ้านหนองสงู ” ๕๑ “หลวงป่ หู ล้าภจู ้อก้อ” ๕๒ “หลวงป่ สู มภาร” ๕๓ “หลวงป่ สู ิงห์ทองทําวตั รคารวะ” ๕๔ “เดนิ จงกรม” ๕๕ “อานสิ งส์การจําพรรษาและรับผ้ากฐิน” ๕๖ “รู้รัตตญั ญ”ู ๕๗ “ทา่ นนีห้ รือช่ือสงิ ห์ทอง” ๕๘ “นมิ นต์หลวงป่ จู ําวดั ” ๕๙ “เกิดและตายด้วยกนั หมดทงั้ นนั้ ” ๖๑ “นิพพาน” ๖๑ จ
พระบูรพาจารย์ ๑
หลวงป่ ูเสาร์ กันตสีโล ๒
หลวงป่ ูม่ัน ภรู ิทตั โต ๓
หลวงป่ ูดี ฉันโน ๔
หลวงป่ ูกงแก้ว ขันตโิ ก ๕
หลวงป่ ูสงิ ห์ทอง ปภากโร ๖
อัตชีวประวัติ ๗
อัตชีวประวัติ พระครูสุนทรศีลขันธ์ (หลวงป่ ูสิงห์ทอง ปภากโร) อดีตท่ปี รึกษาเจ้าคณะอาเภอเลงิ นกทา - ไทยเจริญ(ธรรมยตุ ) อดตี เจ้าอาวาสวัดป่ าสุนทราราม บ้านกุดแห่ ตาบลกุดแห่ อาเภอเลงิ นกทา จังหวัดยโสธ ********* ๑. ช่ือ พระครูสุนทรศีลขันธ์ (หลวงป่ ูสิงห์ทอง ปภากโร) อายุ ๙๕ ปี อายุพรรษากาล ๗๐ พรรษา วิทยฐานะนกั ธรรมเอก วดั ป่ าสนุ ทราราม บ้านกดุ แห่ ตาํ บลกดุ แห่ อําเภอเลิงนกทา จงั หวดั ยโสธร ๒. ชาตภิ มู ิ / สถานะเดมิ ชื่อสิงห์ทอง นามสกุลประมูลอรรถ เกิดเม่ือวันท่ี ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๘ ณ บ้านกลางใหญ่ อําเภอเข่ืองใน จังหวัดอุบลราชธานี บิดาช่ือคณุ พ่อบ่อง ประมูลอรรถ มารดาช่ือคุณแม่อูบ ประมูลอรรถ มีพี่น้องร่วมบดิ ามารดา ๓ ทา่ น ๑.หลวงป่ สู งิ ห์ทอง ปภากโร ๒.คณุ แมร่ ่ัว ประมลู อรรถ ๓.แมช่ ีทองดํา ประมลู อรรถ ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากครอบครัวให้ได้รับการศึกษาจนสําเร็จการศึกษาระดบั ประถมศึกษา ชนั้ ปี ท่ี ๔ จากโรงเรียนบ้านกดุ แห่ บ้านกดุ แห่ ตําบลกดุ แห่ อําเภอเลิงนกทา จงั หวดั ยโสธร เมื่อสําเร็จการศกึ ษา ได้ประกอบอาชีพทํานา อายุ ๒๐ ปี ได้สมรสกบั คณุ แมพ่ ิมพ์ วลั ลา ใช้ชีวิตครอบครัวไมน่ านก็หยา่ ร้าง ๓. การบรรพชา(ครัง้ แรก) พุทธศักราช ๒๔๘๗ อายุ ๑๙ ปี บรรพชาเป็ นสามเณร ณ วัดสําราญนิเวศน์ ตําบลบุ่ง จังหวัดอํานาจเจริ ญ พระมหาดุสิต เทวีโร เป็ นพระอุปั ชฌาย์ กลับมาจําพรรษาวัดป่ าสุนทราราม ๘
บ้านกุดแห่ อําเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ร่วมจําพรรษากับพระอาจารย์ดี ฉันโน บรรพชาได้ ๑ พรรษา ก็ลาสกิ ขาเพ่ือชว่ ยเหลือครอบครัวประกอบการทํานาเลีย้ งชีพ ๔. บรรพชาอุปสมบท พุทธศักราช ๒๔๙๔ อายุ ๒๖ ปี บรรพชาอุปสมบท วันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๔๙๔ ณ พัทธสีมา ศาลาการเปรียญหลังใหญ่ วัดป่ าสุนทราราม บ้านกุดแห่ ตําบลกุดแห่ อําเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร พระครูภัทรคุณาธาร เจ้าคณะอําเภอเลิงนกทา(ธรรมยุต) เจ้ าอาวาสวัดพรหมวิหาร อําเภอเลิงนกทา จงั หวดั ยโสธร เป็ นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ดี ฉันโน เจ้าอาวาสวดั ป่ าสนุ ทราราม บ้านกดุ แห่ ตําบลกุดแห่ อําเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เป็ นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์บุ จันทสิริ วัดสําราญนิเวศน์ จงั หวดั อํานาจเจริญ เป็นพระอนสุ าวนาจารย์ ๕. การศึกษาทางธรรม สําเร็จการศกึ ษาหลกั สตู รนกั ธรรมเอก สํานกั เรียนวดั พรหมวิหาร อําเภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร เมื่อปี พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๗ ๖. ตาแหน่งคณะสงฆ์ - พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๒ ดาํ รงตาํ แหนง่ รักษาการเจ้าอาวาสวดั ป่ าสนุ ทราราม บ้านกดุ แห่ ตําบลกดุ แห่ อําเภอเลิงนกทา จงั หวดั ยโสธร - พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๖ ดํารงตาํ แหนง่ เจ้าอาวาสวดั ป่ าสนุ ทราราม บ้านกดุ แห่ ตาํ บลกดุ แห่ อําเภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร - พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ เป็นพระครูสญั ญาบตั ร ในราชทินนาม”พระครูสนุ ทรศีลขนั ธ์”ดํารงตําแหนง่ เจ้าคณะตําบลสวาสด์ิ (ธรรมยตุ ) อําเภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร - พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๔ รับตราตงั้ เป็นพระอปุ ัชฌาย์ - พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๑ ดํารงตําแหนง่ เจ้าคณะตาํ บลกดุ แห่ (ธรรมยตุ ) อําเภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร - พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๒ ดํารงตําแหนง่ เจ้าคณะอําเภอเลิงนกทา-ไทยเจริญ (ธรรมยตุ ) - พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ ดํารงตาํ แหนง่ ท่ีปรึกษาเจ้าคณะอําเภอเลิงนกทา-ไทยเจริญ (ธรรมยตุ ) ๙
๗. หน้าท่ีพเิ ศษ - ครูสอนปริยตั ธิ รรมแผนกนกั ธรรม - กรรมตรวจธรรมสนามหลวง - พระธรรมทตู ๘. การจาพรรษา - พุทธศกั ราช ๒๔๙๔ ถึง พุทธศกั ราช ๒๕๐๑ จําพรรษาวัดป่ าสนุ ทราราม บ้านกุดแห่ ตําบลกุดแห่ อําเภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร - พุทธศักราช ๒๕๐๒ ถึง พุทธศักราช ๒๕๐๓ จําพรรษาวัดภูถํา้ พระ บ้านหินโหง่น ตําบลกุดแห่ อําเภอเลิงนกทา จงั หวดั ยโสธร - พุทธศักราช ๒๕๐๓ ถึง พุทธศกั ราช ๒๕๒๖ จําพรรษาวัดป่ าสุนทราราม บ้านกุดแห่ ตําบลกุดแห่ อําเภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร - พุทธศักราช ๒๕๒๗ ถึง พุทธศักราช ๒๕๒๙ จําพรรษาวัดเลิศรังษี บ้านน้อมเกล้า ตําบลบุ่งค้า อําเภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร - พุทธศักราช ๒๕๓๐ ถึง พุทธศักราช ๒๕๓๙ จําพรรษาวัดป่ าสุนทราราม บ้ านกุดแห่ ตาํ บลกดุ แห่ อําเภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร - พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ถงึ พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๗ จําพรรษาวดั ป่ านาโพธ์ิอา่ งสร้างหิน บ้านนาโพธิ์ ตําบลกดุ แห่ อําเภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร - พุทธศักราช ๒๕๔๘ ถึง พุทธศักราช ๒๕๖๒ จําพรรษาวัดป่ าสุนทราราม บ้านกุดแห่ ตําบลกุดแห่ อําเภอเลิงนกทา จงั หวดั ยโสธร - พุทธศักราช ๒๕๖๒ ถึง พุทธศักราช ๒๕๖๓ เข้ารับการรักษาอาการอาพาธจนกระทั่งมรณภาพ ณ หออภิบาลพระสงฆ์อาพาธหลวงป่ ูม่ัน ภูริ ทัตโต โรงพยาบาลศรี นครินทร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ จงั หวดั ขอนแก่น ๑๐
๙. การก่อสร้างเสนาสนะท่สี าคัญ - วดั ป่ าสนุ ทราราม บ้านกดุ แห่ ตาํ บลกดุ แห่ อําเภอเลิงนกทา จงั หวดั ยโสธร - วดั เลิศรังษี บ้านน้อมเกล้า ตาํ บลบงุ่ ค้า อําเภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร - วดั ป่ านาโพธ์ิอา่ งสร้างหนิ บ้านนาโพธ์ิ ตําบลกดุ แห่ อําเภอเลิงนกทา จงั หวดั ยโสธร - บริจาคปัจจยั อปุ ถมั ภ์ในการก่อสร้างเสนาสนะในอาวาสอารามตา่ ง ๆ พร้อมทงั้ บริจาคปัจจยั ก่อสร้าง สาธารณะประโยชน์สาธารณะกศุ ลแก่หนว่ ยงานราชการตา่ ง ๆ ๑๐. การปฏิบัตศิ าสนกจิ ต่างประเทศ - ประเทศอืนเดยี ๔ ครัง้ พ.ศ.๒๕๒๖ , พ.ศ.๒๕๒๘ , พ.ศ.๒๕๕๐ , พ.ศ.๒๕๕๑ - ประเทศออสเตรีย ๑ ครัง้ พ.ศ.๒๕๓๕ - ประเทศญี่ป่ นุ ๑ ครัง้ พ.ศ.๒๕๕๐ - ลาว ๑ ครัง้ พ.ศ.๒๕๖๐ ๑๑. การอาพาธและมรณภาพ - พุทธศักราช ๒๕๔๒ เข้ารับการผ่าตัดใส้เลื่อน ณ โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล กรุงเทพมหานคร - พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๕ อาพาธด้วยโรคกระดกู สนั หลงั ยบุ เข้ารับการรักษา ณ หออภิบาลสงฆ์อาพาธ หลวงป่ มู น่ั ภรู ิทตั โต โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ จงั หวดั ขอนแกน่ - พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตรวจพบอาการอาพาธโรคมะเร็งตับ เข้ารับการรักษาอยู่เป็ นระยะ ณ หออภิบาลสงฆ์อาพาธ ณ หลวงป่ ูมั่น ภูริ ทัตโต โรงพยาบาลศรี นคริ นทร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ จงั หวดั ขอนแกน่ พร้อมทงั้ รักษาด้วยธรรมโอสถโดยดารเจริญพระกรรมฐาน - ม ร ณภ า พ ด้ ว ยโ ร คม ะ เร็ ง ตับ ณ ห ออ ภิ บา ล ส ง ฆ์ อ าพ า ธห ล ว ง ป่ ูมั่น ภูริ ทัต โ ต โ ร ง พ ย า บ า ล ศ รี น ค ริ น ท ร์ ค ณ ะ แ พ ท ย์ ศ า ส ต ร์ ม ห า วิ ท ย า ลั ย ข อ น แ ก่ น จั ง ห วั ด ข อ น แ ก่ น เม่ือวนั ที่ ๓ กนั ยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๘๓๘ น. สิริอายุ ๙๕ ปี หกเดือน ๑๘ วนั อายกุ าลพรรษา ๗๐ พรรษา ๑๑
ปกิณกะธรรม ๑๒
“พระไตรสรณคมน์และการเจริญเมตตาพรหมวิหารส่ี” พทุ ธศาสนกิ ชนผ้มู ีบญุ ทกุ ท่าน เม่ือมีโอกาสเข้ากราบนมสั การหลวงป่ สู ิงห์ทอง ปภากโร วดั ป่ าสนุ ทราราม บ้านกดุ แห่ ตําบลกดุ แห่ อําเภอเลิงนกทาจงั หวดั ยโสธร พระมหาเถระมากด้วยเมตตา กรุณาสอนการเข้าถึงพระ ไตรสรณคมน์แก่พทุ ธศาสนิกชนที่เข้ากราบนมสั การองค์ทา่ นจากอดีตถึงปัจจบุ นั ซึ่งการเข้าถึงพระไตรสรณคมน์ นนั้ พระศาสดาได้ทรงแสดงแก่พทุ ธบริษัทตงั้ แตส่ มยั พทุ ธกาลเป็ นต้นมา เพ่ือความเข้าใจง่ายและเป็ นระเบียบแบบ แผน พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และพระมหาปิ่ น ปญฺญาพโล วดั ป่ าสาลวนั อ.เมือง จ.นครราชสีมา ได้เรียบ เรียงแบบถึงพระไตรสรณคมน์ พระไตรสรณคมน์ โดยคณะสงฆ์ในร่มบารมีหลวงป่ เู สาร์ กนั ตสีโล หลวงป่ มู น่ั ภรู ิทตั โต ได้สง่ั สอนคณะศษิ ย์สยานศุ ิษย์ สวดมนต์ไหว้พระเจริญจิตตภาวนาตามแบบพระไตรสรณคมน์นี ้ในวดั ป่ าสนุ ท ราราม บ้านกดุ แห่ ตําบลกดุ แห่ อําเภอเลิงนกทา จงั หวดั ยโสธรก็เช่นเดียวกนั ได้รับการสืบทอดแบบพระไตรสรณ คมน์ จากหลวงป่ ดู ี ฉนั โน หลวงป่ กู งแก้ว ขนั ตโิ ก และในปัจจบุ นั หลวงป่ สู ิงห์ทอง ปภากโร ก็สง่ั สอนพทุ ธบริษัทตาม แบบพระไตรสรณคมน์นี ้โดยช่วงท้ายของแบบพระไตรสรณคมดงั้ เดิมที่ทางวดั ป่ าสาละวนั จงั หวดั นครราชสีมาได้ รวบรวมเรียบเรียงหลวงป่ สู ิงห์ทอง ปภากโร ได้นําพาพทุ ธศาสนิกชนเจริญเมตตาพรหมวิหารส่ี และได้กรุณารจนา คําอทุ ิศกศุ ลผลบญุ ภาษาไทยเพิ่มเตมิ เพ่ือให้คณะศิษย์สยานศุ ษิ ย์เข้าใจได้ง่าย ประกอบด้วยบทอทุ ิศกศุ ลผลบญุ แก่ตนเอง อทุ ิศกศุ ลผลบญุ โดยเฉพาะเจาะจง(โอธิสสผรณา) และอทุ ิศกุศลผลบญุ ไม่เฉพาะเจาะจงหาประมาณ มไิ ด้(อโนธิสสผรณา) ซง่ึ บทพระไตรสรณคมน์ดงั ที่กลา่ วมาข้างต้นนนั้ นบั เป็ นมรดกธรรมลํา้ คา่ จากหลวงป่ สู ิงห์ทอง ปภากโร ให้คณะศิษย์สยานุศิษย์ลูกหลาน พุทธศาสนิกชนรําลึกนึกถึงในพระมหาเถระคุณของพระคุณท่าน ตราบจิรัฐตกิ าล บทบชู าพระรัตนตรัย อมิ นิ า สกั กาเรนะ / ตงั พทุ ธงั อภิปชู ะยามะ อมิ นิ า สกั กาเรนะ / ตงั ธมั มงั อภิปชู ะยามะ อมิ ินา สกั กาเรนะ / ตงั สงั ฆงั อภิปชู ะยามะ บทกราบพระรัตนตรัย อะระหงั สมั มาสมั พทุ โธ ภะคะวา พทุ ธงั ภะคะวนั ตงั อภิวาเทมิ (กราบ) สะวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม ธมั มงั นะมสั สามิ (กราบ) สปุ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สงั ฆงั นะมามิ (กราบ) ๑๓
บทนมสั การ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ พระไตรสรณคมน์ พทุ ธงั สระณงั คจั ฉามิ ธงั มงั สระณงั คจั ฉามิ สงั ฆงั สระณงั คจั ฉามิ ทตุ ยิ มั ปิ พทุ ธงั สระณงั คจั ฉามิ ทตุ ยิ มั ปิ ธงั มงั สระณงั คจั ฉามิ ทตุ ิยมั ปิ สงั ฆงั สระณงั คจั ฉามิ ตะตยิ มั ปิ พทุ ธงั สระณงั คจั ฉามิ ตะติยมั ปิ ธงั มงั สระณงั คจั ฉามิ ตะตยิ มั ปิ สงั ฆงั สระณงั คจั ฉามิ สรรเสริญและขอขมาพระรัตนตรัย อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะระหงั สมั มาสมั พทุ โธ, วิชชาจะระณะสมั ปันโน สคุ ะโต โลกะวิทู, อะนตุ ตะโร ปรุ ิสะทมั มะสาระถิ สตั ถาเทวะมะนสุ สานงั พทุ โธ ภะคะวาติ ฯ (กราบหมอบลงว่า)กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา พทุ เธ กกุ มั มงั ปะกะตงั มะยา ยงั พทุ โธ ปะฏิคคณั หะตุ อจั จะ ยนั ตงั กาลนั ตะเร สงั วะริตงุ วะ พุทธา ฯ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, สนั ทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก, โอปะนะยิโก ปัจจตั ตงั เวทิตพั โพ วญิ ญหู ีติ ฯ (กราบหมอบลงว่า)กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา ธมั เม กกุ มั มงั ปะกะตงั มะยา ยงั ธมั เม ปะฏิคคณั หะตุ อจั จะ ยนั ตงั กาลนั ตะเร สงั วะริตงุ วะ ธมั เม ฯ สปุ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, อชุ ปุ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,ญายะปะฏิปันโน ภะคะ วะโต สาวะกะสงั โฆ,สามีจปิ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,สปุ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, อชุ ปุ ะฏิ ปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,สามีจปิ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะ กะสงั โฆ, อาหเุ นยโน ปาหเุ นยโย ทกั ขเิ ณยโย อญั ชะลีกะระณีโย, อะนตุ ตะรัง ปญุ ญกั เขตตงั โลกสั สาติ ฯ (กราบหมอบลงว่า)กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา สงั เฆ กกุ มั มงั ปะกะตงั มะยา ยงั สงั โฆ ปะฏิคคณั หะตุ อจั จะ ยงั ตงั กาลนั ตะเร สงั วะริตงุ วะ สงั เฆ ฯ ๑๔
บทเจริญเมตตาพรหมวหิ ารสี่ อะหงั สขุ โิ ต โหมิ / นิททกุ โข โหมิ / อะเวโร โหมิ / อพั ฺยาปัชโฌ โหมิ / อะนีโฆ โหมิ / สขุ ี อตั ตานงั ปะริหะรา มิ / สพั เพ สตั ตา สขุ ิตา โหนตุ / สพั เพ สตั ตา อะเวรา โหนตุ / สพั เพ สตั ตา อพั ฺยาปัชฌา โหนตุ / สพั เพ สตั ตา อะนี ฆา โหนตุ / สพั เพ สตั ตา สขุ ี อตั ตานงั ปะริหะรันตุ / สพั เพ สตั ตา สพั พะทกุ ขา ปะมญุ จนั ตุ / สพั เพ สตั ตา ลทั ธะ สมั ปัตตโิ ต มา วคิ จั ฉนั ตุ / สพั เพ สตั ตา กมั มสั สะกา กมั มะทายาทา กมั มะโยนิ กมั มะพนั ธุ กมั มะปะฏิ-สะระณา / ยงั กมั มงั กะรัสสนั ติ / กลั ฺยาณงั วา ปาปะกงั วา/ ตสั สะ ทายาทา ภาวสิ สนั ติ คาํ อทุ ิศกศุ ลผลบญุ สาธุ สาธุ สาธุ / ข้าพเจ้าขอระลกึ ถึงคณุ พระพทุ ธเจ้า / คณุ พระธรรมมเจ้า / คณุ พระสงฆะเจ้า /คณุ บิดา มารดา / คณุ ครูอปุ ัชฌายอาจารย์ / ขอจงมาอภิบาลค้มุ ครองป้ องกนั / ซง่ึ อปุ ัทวะอนั ตรายทงั้ หลายทงั้ ปวง / ให้ ปราศจากกายใจของข้าพเจ้า / ขอจงประสบแตค่ วามสขุ ความเจริญ / ด้วยอายวุ รรณะสขุ ะพละ / ทกุ ทพิ าราตรีกาล ก็ข้าเทอญ อนงึ่ ข้าพเจ้าขออทุ ิศสว่ นกศุ ลผลบญุ / ที่ได้บําเพญ็ ไว้แล้ว / ตงั้ แตเ่ ลก็ จนถงึ ปัจจบุ นั นี ้/ ข้าพเจ้าขออทุ ิศไป ถึง / คณุ บดิ ามารดา / คณุ ครูอปุ ัชฌายะอาจารย์ / ตลอดญาตมิ ิตร / และสรรพสตั ว์ทงั้ หลาย / ทว่ั จกั รวาลโลก / เบอื ้ งบนถงึ อกนิษฐพรหม / เบอื ้ งลา่ งถึงมหานรกและโลกนั ตนรก/ เบือ้ งกลางถงึ มนษุ ย์โลกจกั รวาล / ตลอดเทพเจ้า เหลา่ เทวาทงั้ ปวง / มีภมุ เทวดา / รุกขเทวดา / อากาศเทวดา / เจ้าที่เจ้าทาง / ท่ีรักษา / อยใู่ นวดั วาอารามเขตที่น่ีก็ ดี(วดั )อยใู่ นเคหะสถานบ้านเรือนแหง่ นีก้ ็ด(ี บ้าน) / ตลอดโดยรอบขอบจกั รวาล / อนนั ต์จกั รวาล / พร้อมทงั้ ผ้มู ี อปุ การะคณุ / แก่ข้าพเจ้าทงั้ หลาย / ทกุ ถ้วนหน้า / และเจ้ากรรมนายเวร / ซงึ่ มีแก่ข้าพเจ้า / ทงั้ ในอดีตอนาคต ปัจจบุ นั / ขอจงมารับอนโุ มทนาสาธุการ / เอาซงึ่ สว่ นกศุ ลผลบญุ / ท่ีข้าพเจ้าได้อทุ ิศไปให้แล้วนี ้/ ขอจงประสบแต่ ความสขุ ความเจริญ / ด้วยอายวุ รรณะสขุ ะพละ / ทกุ ทิพาราตรีกาลเทอญ ---------- สพั เพสตั ตา สะทา โหนตุ / อะเวรา สขุ ะชีวโิ น ขอให้สตั ว์ทงั้ หลาย / อย่าได้มีเวรแก่กนั และกนั เลย/ จงเป็ นผ้ดู ํารงชีพอยเู่ ป็นสขุ ทกุ เมื่อเถิด กะตงั ปญุ ญงั พะลงั มยั หงั / สพั เพ ภาคี ภะวนั ตเุ ต ขอให้สตั ว์ทงั้ หลาย / จงได้เสวยผลบญุ / ที่ข้าพเจ้าได้บําเพ็ญมาด้วยกายวาจาใจมาแล้วนนั้ เทอญ --------- ๑๕
บทกราบพระรัตนตรัย อะระหงั สมั มาสมั พทุ โธ ภะคะวา พทุ ธงั ภะคะวนั ตงั อภิวาเทมิ (กราบ) สะวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม ธมั มงั นะมสั สามิ (กราบ) สปุ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สงั ฆงั นะมามิ (กราบ) --------- กราบ ๕ ครัง้ เพื่อระลกึ ถงึ คณุ พระพทุ ธเจ้า / คณุ พระธรรมมเจ้า / คณุ พระสงฆะเจ้า /คณุ บดิ ามารดา / คณุ ครูอปุ ัชฌายอาจารย์ จบพระไตรสรณคมน์และการเจริญเมตตาพรหมวิหารส่ี ----- “บวชเป็ นพระแล้วให้ปฏิบัติ” พระสงฆ์กับฆราวาสการปฏิบตั ิแตกต่างกัน ฆราวาสก็ดําเนินชีวิตไปตามแบบอย่างท่ีทางโลกกําหนด ทํามาหากินประกอบอาชีพเลีย้ งดูครอบครัว ส่วนพระสงฆ์นัน้ ศีล ๒๒๗ ธุดงควัตร ๑๓ ขันธวัตร๑๔ สมถะกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ปฏิบตั แิ บบนีจ้ ึงเป็ นเนือ้ นาบญุ ในวนั บวชพ่อแมญ่ าติพ่ีน้องญาติโยมมาร่วม อนโุ มทนาเพราะเขาอยากได้บญุ กบั เรา เป็ นพระสงฆ์ของกินของทานเสนาสนะญาติโยมดแู ลไมไ่ ด้ขาดจบใสเ่ ศียร เวียนใส่เกล้าก่อนนํามาให้เพราะเขาอยากได้บญุ กับเรา เราจะต้องปฏิบตั ิให้เขาได้บุญ หน้าที่ของพระสงฆ์ท่ี จะต้องปฏิบตั ใิ นชีวติ สมณะก็ยงั มีอีก ได้แก่ ๑. ลงอโุ บสถ ๒. บณิ ฑบาตเลีย้ งชีพ ๑๖
๓. สวดมนตไ์ หว้พระ ๔. กวาดอาวาสวหิ ารลานพระเจดีย์ ๕. รักษาผ้าครอง ๖. อยปู่ ริวาสกรรม ๗. โกนผม ปลงหนวด ตดั เล็บ ๘. ศกึ ษาสิกขาบทและปรนนิบตั พิ ระอปุ ัชฌาย์พระอาจารย์ ๙. เทศนาบตั ิ ปลงอาบตั ิ ๑๐. พิจารณาปัจจเวก “ทาวัตรคารวะ” คารวะ แปลกนั วา่ ความเคารพ หมายถงึ ความเอือ้ เฟื อ้ มกั จะพดู ตดิ ตอ่ กนั ว่า ความเคารพเอือ้ เฟื อ้ และมกั จะใช้คกู่ บั คําว่า \"นบั ถือบชู า\" โดยความหมาย ก็คือ การปฏิบตั ิดีปฏิบตั ิชอบยกย่องเชิดชู ไมล่ บหลู่ ดหู มิ่น ในบคุ คลนนั้ ๆ และในธรรมนนั้ ๆ ตลอดถึงในวตั ถนุ ัน้ ๆ อนั เป็ นที่ตงั้ แห่งความเคารพ ซ่งึ ในท่ีนีม้ ี ๖ อยา่ ง คือ ๑. เคารพในพระพทุ ธเจ้า คือเคารพเอือ้ เฟื อ้ นบั ถือบชู าด้วยอามิสบชู าด้วยการปฏิบตั ดิ ีปฏิบตั ิชอบ ทางกายวาจาใจ อนั ประกอบด้วยความเช่ือความเล่ือมใสในพระพทุ ธเจ้า แม้ดบั ขนั ธปรินิพพานนานแล้ว ก็ไม่ลบหลู่ดูหม่ิน แม้ทําท่าเล่นพูดเล่นเพื่อสรวลเสเฮฮา ก็ไม่ควรต้องเคารพสํารวมกิริยามารยาท ในสมั มาสมั พทุ ธเจดยี ์ทงั้ ๔ ประเภท คือ ๑๗
- พระบรมธาตเุ จดยี ์ๆ บรรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ - บริโภคเจดยี ์ๆ บรรจบุ ริขารของพระพทุ ธเจ้า และสงั เวชนียสถาน ๔ ตําบล - ธรรมเจดยี ์ๆ บรรจพุ ระธรรม จารึกพระพทุ ธวจนะ - อทุ เทสิกเจดยี ์ อนั ได้แก่พระพทุ ธรูป ๒. เคารพในพระธรรม คอื เคารพเอือ้ เฟื อ้ ฯลฯ เล่ือมใสในพระธรรม คือคําสง่ั สอนของพระพทุ ธเจ้า ทงั้ หมด แม้วตั ถทุ ี่จารึกพระธรรมก็ต้องให้ความเคารพ ไมเ่ หยียบย่ําข้ามกราย ๓. เคารพในพระสงฆ์ คือเคารพเอือ้ เฟื อ้ ฯลฯ เลื่อมใสในพระสงฆ์ คือภิกษุ (สามเณร) ทงั้ ที่เป็ น อริยสงฆ์ ทัง้ ที่เป็ นสมมติสงฆ์ แม้กาสาวพัสตร์ คือผ้าย้อมนํา้ ฝาดท่ีพระสงฆ์นุ่งห่มอันเป็ นดุจธงชัยใน พระพทุ ธศาสนา ก็ต้องให้ความเคารพ ไม่แสดงกิริยาอาการล้อเลน่ ดถู กู ดหู มิ่นพระสงฆ์ ซ่งึ เป็ นผ้สู อนพระ ธรรมรักษาพระธรรมนําพระศาสนาสืบต่อมาไม่ขาดสาย ตงั้ ใจกราบไหว้ และปฏิบตั ิตามคําสอนของ พระสงฆ์ ซง่ึ เป็นผ้แู ทนพระพทุ ธเจ้า ๔. เคารพในความศกึ ษา คือเคารพเอือ้ เฟื อ้ ในความศกึ ษาตงั้ ใจศกึ ษาหาความรู้ความเข้าใจความ ชํานาญ ในสิ่งที่ควรรู้ ทงั้ คดีโลกทงั้ คดีธรรมสิ่งที่ควรศึกษาหาความรู้ในทางโลก ได้แก่ศิลปะวิชาสาขา ตา่ งๆ ซง่ึ เป็นทางให้ดํารงชีพอยโู่ ดยผาสกุ ในโลก ส่ิงท่ีควรศกึ ษาหาความรู้ในทางธรรม ได้แก่ไตรสิกขา คือ ศีลสมาธิ และปัญญา ซง่ึ เป็นส่งิ ท่ีชว่ ยสนบั สนนุ ให้ดํารงชีวติ อยโู่ ดยความสงบร่มเย็น ไมม่ ีความเดือดร้อน ฉะนนั้ ควรเคารพเอือ้ เฟื อ้ ในความศกึ ษาทงั้ ๒ ฝ่ าย ไม่เบื่อหน่าย ไม่ดหู ม่ิน ควรปลกู ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมงั สา ลงในความศกึ ษา ทําความศกึ ษาให้บริบรู ณ์ยิ่งๆ ขนึ ้ ๕. เคารพในความไมป่ ระมาท คือเคารพเอือ้ เฟื อ้ ในความไมป่ ระมาทในที่ ๔ สถาน โดยใจความก็ คอื มีสตคิ วบคมุ กายวาจาจติ ในกาลทําพดู คดิ อยา่ ให้ผดิ สม่ําเสมอไมพ่ ลงั้ เผลอในท่ีทกุ สถานในกาลทกุ เม่ือ ๖. เคารพในปฏิสนั ถารคอื ต้อนรับปราศรัย คอื ความเคารพเอือ้ เฟื อ้ ในปฏิสนั ถาร ๒ อยา่ ง คอื - อามิสปฏิสนั ถาร ต้อนรับแขกด้วยวตั ถสุ ่งิ ของ เชน่ ท่ีนง่ั ที่พกั ข้าว นํา้ เป็นต้น - ธรรมปฏิสนั ถาร ต้อนรับแขก ด้วยการกลา่ วเชือ้ เชญิ สนทนาปราศรัยด้วยไมตรีจติ และ จดั แจงอามสิ ให้พอสมควรแกฐ่ านะของแขก ตามสมควรแกฐ่ านะของตน ๑๘
“รัตนสูตร” เป็ นพระปริตรท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคณะสงฆ์สาธยายเสริมกําลงั ใจให้พุทธศาสนิกชน ป้ องกนั โรคระบาด และขจดั ทกุ ข์เข็น มีตํานานอย่วู ่าในสมยั พทุ ธกาลเมืองไพศาลีเกิดอหิวาตกโรคมีผ้คู น ล้มตายเกิดทกุ ข์เขน็ ข้าวยากหมากแพง พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้ามีพทุ ธบญั ชาให้พระอานนท์เถระนําบาตรตกั นํา้ สะอาดอธิษฐานพระปริตรด้วยบทรัตนสตู รนีป้ ระพรมทวั่ เมืองไพศาลี ด้วยอานภุ าพแห่งพระรัตนไตร เกิดพายุฝนตกหนกั โดยตลอดทงั้ เจ็ดวนั ท่วมเมืองไพศาลี พดั ซากศพเชือ้ โรคสิ่งปฏิกูล ชําระล้างหน้าดิน สะอาดสิน้ ด้วยอานภุ าพแหง่ พระรัตนตรัย ทกุ ข์เขญ็ เมืองไพศาลีได้ดบั ลงในกาลบดั นนั้ เป็ นธรรมเนียมของ คณะสงฆ์อธิษฐานพระปริตรประสิทธิ์นํา้ พระพทุ ธมนตส์ งเคราะห์พทุ ธศาสนกิ ชนจวบจนปัจจบุ นั บทขดั ระตะนะสตุ ตงั - ราชะโต วา โจระโต วา มะนสุ สะโต วา อะมะนสุ สะโต วา อคั คิโต วา อทุ ะกะโต วา ปิ สาจะโต วา ขาณกุ ะโต วา กณั ฏะกะโต วา นกั ขตั ตะโต วา ชะนะปะทะโรคะโต วา อะสทั ธมั มะโต วา อะสนั ทิฏฐิโต วา อะสปั ปรุ ิสะโต วา จณั ฑะหตั ถิอสั สะมคิ ะโคณะกกุ กรุ ะอะหิวิจฉิกะมะนสิ ปั ปะทีปิ อจั ฉะตะ รัจฉะสกุ ะระ มะหสิ ะ ยกั ขะรักขะสาทีหิ นานาภะยะโต วา นานาโรคะโต วา นานาอปุ ัททะวะโต วา อารักขงั คณั หนั ตุ ฯ - ขอเหลา่ เทพดาจงค้มุ ครองให้พ้นจากราชภยั โจรภยั มนสุ สภยั อมนสุ สภยั อคั คภี ยั อทุ กภยั ภยั จากปี ศาจ ภยั จากเคราะห์ร้ายยามร้าย จากโรคภยั ไข้เจ็บ จากอสทั ธรรม จากมิจฉา ทิฏฐิ คือความเห็นผิด ๑๙
จากคนชวั่ จากภยั ตา่ งๆ อนั เกิดแตส่ ตั ว์ร้ายนานาชนิด และจากอมนษุ ย์ มียกั ษ์และนางผีเสือ้ นํา้ เป็ นต้น จากโรคตา่ งๆ จากอปุ ัททวะตา่ งๆ - ปะณิธานะโต ปัฏฐายะ ตะถาคะตสั สะ ทะสะ ปาระมโิ ย ทะสะ อปุ ะปาระมิโย ทะสะ ปะระมตั ถะปาระมโิ ย ปัญจะ มะหาปะริจจาเค ตสิ โส จะริยา ปัจฉิมพั ภะเว คพั ภาวกั กนั ตงิ ชาตงิ อะภินกิ ขะมะนงั ปะธานะจะริยงั โพธิปัลลงั เก มาระวิชะยงั สพั พญั ญตุ ะญาณปั ปะฏิเวธงั นะวะ โลกตุ ตะระธมั เมติ สพั เพปิ เม พทุ ธะคเุ ณ อาวชั ชติ วา เวสาลิยา ตสี ุ ปาการันตะเรสุ ติยามะรัตตงิ ปะริตตงั กะโรนโต อายสั มา อานนั ทตั เถโร วิยะ การุญญะจิตตงั อปุ ัฏฐะเปตวา ฯ - เราทงั้ หลาย จงตงั้ จิตอนั ประกอบไปด้วยความกรุณาในสตั ว์ทงั้ หลาย ดงั พระอานนทเถระผ้มู ี อายุ นกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ ทงั้ หลายแม้ทงั้ ปวงของพระตถาคตเจ้า จําเดมิ แตป่ รารถนาพทุ ธภมู มิ า คอื บารมี ๑๐ อปุ บารมี ๑๐ ปรมตั ถบารมี ๑๐ มหาบริจาค ๕ จริยา ๓ เสดจ็ ลงสคู่ พั โภทร ในภพมีในท่ีสดุ ประสตู ิ เสดจ็ ออกอภิเนษกรมณ์ บาํ เพญ็ ทกุ ขกิริยาชนะมาร ตรัสรู้พระสพั พญั ญตุ ญาณ ณ โพธิบลั ลงั ก์นว โลกตุ รธรรม ๙ ดงั นี ้แล้วกระทําพระปริตรตลอดราตรีทงั้ ๓ ยาม ในภายในกําแพง ๓ ชนั้ ในเมืองเวสาลี - โกฏิสะตะสะหสั เสสุ จกั กะวาเฬสุ เทวะตา ยสั สาณมั ปะฏิคคณั หนั ติ ยญั จะ เวสาลิยมั ปเุ ร โรคามะนสุ สะทพุ ภิกขะสมั ภตู นั ติวิธมั ภะยงั ขปิ ปะมนั ตะระธาเปสิ ปะริตตนั ตมั ภะณามะ เห ฯ - เทวดาทงั้ หลายในแสนโกฏิจกั รวาล ยอ่ มรับเอาแม้ซง่ึ อาชญาแหง่ พระปริตรอนั ใด อนึ่ง พระ ปริตรอนั ใด ยงั ภยั ๓ ประการอนั เกิดจากโรค อมนษุ ย์ และข้าวแพงในเมืองเวสาลี ให้อนั ตรธานไปโดยเร็ว พลนั เราทงั้ หลาย จงสวดพระปริตรอนั นนั้ เทอญ. บทระตะนะสตุ ตงั - ยานีธะ ภตู านิ สะมาคะตานิ ภมุ มานิ วา ยานิวะ อนั ตะลิกเข สพั เพ วะ ภตู า สมุ ะนา ภะวนั ตุ อะโถปิ สกั กจั จะ สณุ นั ตุ ภาสิตงั ตสั มา หิ ภตู า นิสาเมถะ สพั เพ เมตตงั กะโรถะ มานสุ ิยา ปะชายะ ทิวา จะ รัตโต จะ หะรันติ เย พะลงิ ตสั มา หิ เน รักขะถะ อปั ปะมตั ตา ฯ - หมภู่ ตู ประจําถ่ินเหลา่ ใด ประชมุ กนั แล้วในนครนีก้ ็ดี เหล่าใดประชมุ กนั แล้วในอากาศก็ดี ขอหมู่ ภูตทงั้ ปวงจงเป็ นผู้ดีใจและจงฟังภาษิตโดยเคารพ เพราะเหตนุ นั้ แล ท่านภูตทงั้ ปวงจงตงั้ ใจฟัง กระทํา ไมตรีจิต ในหมู่มนุษยชาติ ประชมุ ชนมนุษย์เหล่าใด ย่อมสงั เวยทงั้ กลางวนั กลางคืน เพราะเหตนุ นั้ แล ทา่ นทงั้ หลาย จงเป็นผ้ไู มป่ ระมาท รักษาหมมู่ นษุ ย์เหลา่ นนั้ ๒๐
- ยงั กิญจิ วติ ตงั อธิ ะ วา หรุ ัง วา สคั เคสุ วา ยงั ระตะนงั ปะณีตงั นะ โน สะมงั อตั ถิ ตะถาคะเตนะ อิทมั ปิ พทุ เธ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - ทรัพย์เครื่องปลืม้ ใจ อนั ใดอนั หนึ่ง ในโลกนีห้ รือโลกอื่น หรือรัตนะอนั ใด อนั ประณีตในสวรรค์ รัตนะอนั นนั้ เสมอด้วยพระตถาคตเจ้าไมม่ ีเลย แม้อนั นี ้เป็ นรัตนะ อนั ประณีตในพระพทุ ธเจ้า ด้วยคําสตั ย์ นี ้ขอความสวสั ดีจงมี - ขะยงั วิราคงั อะมะตงั ปะณีตงั ยะทชั ฌะคา สกั ยะมนุ ี สะมาหโิ ต นะ เตนะ ธมั เมนะ สะมตั ถิ กิญจิ อทิ มั ปิ ธมั เม ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - พระศากยมนุ ีเจ้า มีพระหฤทยั ดํารงมนั่ ได้บรรลธุ รรมอนั ใดเป็ นที่สิน้ กิเลส เป็ นท่ีสิน้ ราคะ เป็ น อมฤตธรรมอนั ประณีต ส่ิงไรๆ เสมอด้วยพระธรรมนนั้ ย่อมไม่มี แม้อนั นีเ้ป็ นรัตนะอนั ประณีตในพระธรรม ด้วยคาํ สตั ย์นี ้ขอความสวสั ดจี งมี - ยมั พทุ ธะเสฏโฐ ปะริวณั ณะยี สจุ งิ สะมาธิมานนั ตะริกญั ญะมาหุ สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ อิทมั ปิ ธมั เม ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - พระพุทธเจ้าผ้ปู ระเสริฐสุด ทรงสรรเสริญแล้วซึ่งสมาธิอนั ใด ว่าเป็ นธรรมอนั สะอาด บณั ฑิต ทงั้ หลายกลา่ วซง่ึ สมาธิอนั ใด วา่ ให้ผลโดยลําดบั สมาธิอ่ืนเสมอด้วยสมาธินนั้ ยอ่ มไมม่ ี แม้อนั นี ้เป็ นรัตนะ อนั ประณีตในพระธรรม ด้วยคาํ สตั ย์นี ้ขอความสวสั ดีจงมี - เย ปคุ คะลา อฏั ฐะ สะตงั ปะสฏั ฐา จตั ตาริ เอตานิ ยคุ านิ โหนติ เต ทกั ขเิ ณยยา สคุ ะตสั สะ สาวะกา เอเตสุ ทินนานิ มะหปั ผะลานิ อทิ มั ปิ สงั เฆ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - บคุ คลเหล่าใด ๘ จําพวก ๔ คู่ อนั สตั บรุ ุษทงั้ หลายสรรเสริญแล้ว บคุ คลเหล่านนั้ เป็ นสาวกของ พระสคุ ต ควรแก่ทกั ษิณาทาน ทานทงั้ หลาย อนั บคุ คลถวายในทา่ นเหล่านนั้ ย่อมมีผลมาก แม้อนั นี ้เป็ น รัตนะอนั ประณีตในพระสงฆ์ ด้วยคําสตั ย์นี ้ขอความสวสั ดีจงมี ๒๑
- เย สปุ ปะยตุ ตา มะนะสา ทฬั เหนะ นิกกามโิ น โคตะมะสาสะนมั หิ เต ปัตตปิ ัตตา อะมะตงั วคิ ยั หะ ลทั ธา มธุ า นิพพตุ งิ ภญุ ชะมานา อิทมั ปิ สงั เฆ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - พระอริยบคุ คลทงั้ หลายเหลา่ ใด ในศาสนาพระโคดมเจ้า ประกอบดีแล้ว มีใจมน่ั คง มีความใคร่ ออกไปแล้ว พระอริยบคุ คลทงั้ หลายเหล่านนั้ ถึงพระอรหตั ผลท่ีควรถึงหยง่ั เข้าส่พู ระนิพพาน ได้ซ่ึงความ ดบั กิเลส โดยเปล่าๆ แล้วเสวยผลอยู่ แม้อนั นี ้เป็ นรัตนะอันประณีตในพระสงฆ์ ด้วยคําสตั ย์นี ้ขอความ สวสั ดีจงมี - ยะถินทะขีโล ปะฐะวิง สิโต สิยา จะตพุ ภิ วาเตภิ อะสมั ปะกมั ปิโย ตะถปู ะมงั สปั ปรุ ิสงั วะทามิ โย อะริยะสจั จานิ อะเวจจะ ปัสสะติ อทิ มั ปิ สงั เฆ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - เสาเขื่อนท่ีลงดินแล้ว ไมห่ วนั่ ไหวด้วยพายุ ๘ ทิศ ฉันใด ผ้ใู ด เล็งเห็นอริยสจั ทงั้ หลาย เราเรียกผู้ นนั้ วา่ เป็ นสตั บรุ ุษผ้ไู ม่หวน่ั ไหวด้วยโลกธรรม อปุ มาฉนั นนั้ แม้อนั นีเ้ป็ นรัตนะอนั ประณีตในพระสงฆ์ ด้วย คําสตั ย์นี ้ขอความสวสั ดีจงมี - เย อะริยะสจั จานิ วภิ าวะยนั ติ คมั ภีระปัญเญนะ สเุ ทสิตานิ กิญจาปิ เต โหนติ ภสุ ปั ปะมตั ตา นะ เต ภะวงั อฏั ฐะมะมาทยิ นั ติ อิทมั ปิ สงั เฆ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - พระโสดาบนั จําพวกใด กระทําให้แจ้งอยู่ ซ่ึงอริยสจั ทงั้ หลายอนั พระศาสดาผ้มู ีปัญญาอนั ลกึ ซงึ ้ แสดงดีแล้ว พระโสดาบนั จําพวกนนั้ ยงั เป็นผ้ปู ระมาทก็ดี ถงึ กระนนั้ ทา่ นยอ่ มไมถ่ ือเอาภพที่ ๘ (คือเกิดอีก อยา่ งมาก ๗ ชาต)ิ แม้อนั นี ้เป็นรัตนะอนั ประณีตในพระสงฆ์ ด้วยคําสตั ย์นี ้ขอความสวสั ดีจงมี - สะหาวสั สะ ทสั สะนะสมั ปะทายะ ตะยสั สุ ธมั มา ชะหิตา ภะวนั ติ สกั กายะทฏิ ฐิ วิจิกิจฉิตญั จะ สีลพั พะตงั วาปิ ยะทตั ถิ กิญจิ จะตหู ะปาเยหิ จะ วิปปะมตุ โต ฉะ จาภิฐานานิ อะภพั โพ กาตงุ อิทมั ปิ สงั เฆ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - สกั กายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพั พตปรามาส อนั ใดอนั หนงึ่ ยงั มีอยู่ ธรรมเหลา่ นนั้ อนั พระโสดาบนั ละ ได้แล้ว พร้อมด้วยทสั สนะสมบตั ิ (คือโสดาปัตติมรรค) ทีเดียว อนึ่งพระโสดาบนั เป็ นผ้พู ้นแล้ว จากอบาย ๒๒
ทงั้ ๔ ไม่อาจเพ่ือจะกระทําอภิฐานทงั้ ๖ (คืออนันตริยกรรม ๕ และการเข้ารีต) แม้อันนี ้ เป็ นรัตนะอัน ประณีตในพระสงฆ์ ด้วยคําสตั ย์นี ้ขอความสวสั ดีจงมี - กิญจาปิ โส กมั มงั กะโรติ ปาปะกงั กาเยนะ วาจายทุ ะ เจตะสา วา อะภพั โพ โส ตสั สะ ปะฏิจฉะทายะ อะภพั พะตา ทิฏฐะปะทสั สะ วตุ ตา อทิ มั ปิ สงั เฆ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - พระโสดาบนั นนั้ ยงั กระทําบาปกรรม ด้วยกายหรือวาจาหรือใจได้บ้าง (เพราะความพลงั้ พลาด) ถึงกระนนั้ ท่านไม่ควรเพื่อจะปกปิ ดบาปกรรมอนั นนั้ ความเป็ นผู้มีทางพระนิพพาน อนั เห็นแล้ว ไม่ควร ปกปิ ดบาปกรรมนนั้ อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว แม้อนั นี ้เป็ นรัตนะอนั ประณีตในพระสงฆ์ ด้วยคํา สตั ย์นี ้ขอความสวสั ดจี งมี - วะนปั ปะคมุ เพ ยะถา ผสุ สิตคั เค คมิ หานะมาเส ปะฐะมสั มิง คมิ เห ตะถปู ะมงั ธมั มะวะรัง อะเทสะยิ นิพพานะคามิง ปะระมงั หิตายะ อทิ มั ปิ พทุ เธ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - พ่มุ ไม้ในป่ า มียอดอนั บานแล้ว ในเดือนต้นคมิ หะแห่งคิมหฤดฉู ันใด พระผ้มู ีพระภาคเจ้าได้ทรง แสดงพระธรรมให้ถึงพระนิพพาน เพ่ือประโยชน์แก่สตั ว์ทงั้ หลาย มีอุปมาฉันนนั้ แม้อันนี ้ เป็ นรัตนะอนั ประณีตในพระพทุ ธเจ้า ด้วยคาํ สตั ย์นี ้ขอความสวสั ดจี งมี - วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโร อะนตุ ตะโร ธมั มะวะรัง อะเทสะยิ อิทมั ปิ พทุ เธ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - พระพทุ ธเจ้าผ้ปู ระเสริฐทรงทราบธรรมอนั ประเสริฐ ทรงประทานธรรมอนั ประเสริฐ ทรงนํามาซง่ึ ธรรมอนั ประเสริฐ ไมม่ ีผ้ยู ง่ิ ไปกวา่ ได้ทรงแสดงธรรมอนั ประเสริฐ พทุ ธรัตนะแม้นีเ้ ป็ นรัตนะอนั ประณีต ด้วยสจั จวาจานี ้ขอความสวสั ดีจงมี แกส่ ตั ว์เหลา่ นี ้ - ขีณงั ปรุ าณงั นะวงั นตั ถิ สมั ภะวงั วริ ัตตะจติ ตายะตเิ ก ภะวสั มิง เต ขีณะพีชา อะวริ ุฬหฉิ นั ทา นพิ พนั ติ ธีรา ยะถายมั ปะทีโป อิทมั ปิ สงั เฆ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ ๒๓
- กรรมเก่าของพระอริยบคุ คลเหลา่ ใดสิน้ แล้ว กรรมสมภพใหม่ยอ่ มไม่มี พระอริยบคุ คลเหล่าใด มี จิตอนั หน่ายแล้วในภพตอ่ ไป พระอริยบคุ คลเหลา่ นนั้ มีพืชสิน้ ไปแล้ว มีความพอใจงอกไมไ่ ด้แล้ว เป็ นผ้มู ี ปัญญา ยอ่ มปรินิพพานเหมือนประทีปอนั ดบั ไป ฉะนนั้ แม้อนั นี ้เป็ นรัตนะอนั ประณีตในพระสงฆ์ ด้วยคํา สตั ย์นี ้ขอความสวสั ดจี งมี - ยานีธะ ภตู านิ สะมาคะตานิ ภมุ มานิ วา ยานวิ ะ อนั ตะลกิ เข ตะถาคะตงั เทวะมะนสุ สะปชู ติ งั พทุ ธงั นะมสั สามะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - ภูตประจําถ่ินเหลา่ ใด ประชุมกนั แล้วในพระนครก็ดี เหล่าใดประชมุ กนั แล้วในอากาศก็ดี เรา ทงั้ หลาย จงนมสั การพระพทุ ธเจ้าผ้มู าแล้วอยา่ งนนั้ ผ้อู นั เทพดาและมนษุ ย์บชู าแล้ว ขอความสวสั ดีจงมี - ยานีธะ ภตู านิ สะมาคะตานิ ภมุ มานิ วา ยานวิ ะ อนั ตะลกิ เข ตะถาคะตงั เทวะมะนสุ สะปชู ติ งั ธมั มงั นะมสั สามะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - ภูตประจําถิ่นเหล่าใด ประชมุ กนั แล้วในพระนครนีก้ ็ดี เหล่าใดประชมุ กนั แล้วในอากาศก็ดี เรา ทงั้ หลาย จงนมสั การพระธรรมอนั มาแล้วอยา่ งนนั้ อนั เทพดาและมนษุ ย์บชู าแล้ว ขอความสวสั ดจี งมี - ยานีธะ ภตู านิ สะมาคะตานิ ภมุ มานิ วา ยานิวะ อนั ตะลกิ เข ตะถาคะตงั เทวะมะนสุ สะปชู ิตงั สงั ฆงั นะมสั สามะ สวุ ตั ถิ โหตุ ฯ - ภูตประจําถิ่นเหล่าใด ประชมุ กนั แล้วในพระนครนีก้ ็ดี เหล่าใดประชมุ กนั แล้วในอากาศก็ดี เรา ทงั้ หลาย จงนมสั การพระสงฆ์ผ้มู าแล้วอยา่ งนนั้ ผ้อู นั เทพดาและมนษุ ย์บชู าแล้ว ขอความสวสั ดีจงมี. ๒๔
“อานิสงส์การเจริญเมตตา” หลวงป่ สู ิงห์ทอง ปภากโร วดั ป่ าสนุ ทราราม อําเภอเลิงนกทา จงั หวดั ยโสธร ได้กลา่ วถึงอานิสงส์ การเจริญเมตตา ๑. นอนหลบั เป็นสขุ ๒. ตื่นขนึ ้ ก็เป็นสขุ ๓. ไมฝ่ ันร้าย ๔. เป็นที่รักของมนษุ ย์ ๕. เป็นท่ีรักของอมนษุ ย์ ๖. เทวดารักษา ๗. ไฟ ยาพิษ ศตั ราวธุ ยอ่ มไมถ่ กู ต้องได้ ๘. มีจิตเป็นสมาธิเร็ว ๙. ผิวหน้าเปลง่ ปลง่ั ผิวพรรณผอ่ งใส ๑๐. เวลาตายก็มีสติ (ไมห่ ลงตาย) ๑๑. เมื่อยงั ไมไ่ ด้บรรลธุ รรมท่ียิ่ง ยอ่ มไปเกิดในพรหมโลก ๒๕
“อนุศาสนียธรรม” ธรรมที่หลวงป่ ูสิงห์ทอง ปภากโร วดั ป่ าสุนทราราม ตําบลกุดแห่ อําเภอเลิงนกทา จงั หวดั ยโสธร แสดงบอ่ ย ๆ ส่งิ ท่ีควรกระทํา ๑.ตืน่ แตเ่ ช้า ๒.ก้าวไปข้างหน้า ๓.พฒั นาตนเอง ๔.ทานกอ่ นกิน(ทําทาน) ๕.ถือศลี กอ่ นไป(รักษาศลี ) ๖.ทําใจก่อนนอน(เจริญจิตตภาวนา) ๗.อิทธิบาท ๔ - ฉนั ทะ มีความรักในงานท่ีกระทํา - วิริยะ มีความขยนั ในงานท่ีจะทํา - จิตตะ มีความเอาใจใสใ่ นงานที่จะทํา - วิมงั สา พจิ ารณาใคร่ครวญในงานท่ีกระทํา สงิ่ ที่ไมค่ วรกระทํา ๓ ประการ ๑). อบายมขุ ๔ ได้แก่ ๑.นกั เลงหญิง ๒.นกั เลงสรุ า ๓.นกั เลงการพนนั ๔.คบคนชวั่ เป็นมติ ร ๒). อบายมขุ ๖ ได้แก่ ๑.ดม่ื นํา้ เมา ๒.เท่ียวกลางคืน ๓.เท่ียวดกู ารเลน่ ๔.เลน่ การพนนั ๕.คบคนชว่ั เป็นมติ ร ๖.เกียจคร้านการทํางาน ๓). เหตแุ หง่ ความฉิบหาย ๖ ได้แก่ ๑.เกียจคร้ าน ๒.นอนต่นื สาย ๓.ขีเ้ซา ๔.เดนิ ทางคนเดียว ๕.เลน่ ชู้ ๖.เป็นคนใจอํามหติ โหดร้ายทารุณ ๒๖
“เจดยี ์” ลกู ศษิ ย์ : เจดีย์หลวงป่ ยู อดฉตั รเป็นทองคํา ข้างในบดุ ้วยไม้ ข้างนอกก่ออิฐถือปนู ช่างก่อสร้างทํา ได้ละเอียดปราณีตงามหลายครับผม หลวงป่ ู : เราสร้ างเจดีย์ใว้สององค์ อยู่วัดบ้านนาโพธ์ิหน่ึงองค์ อยู่วัดบ้านกุดแห่หน่ึงองค์ พระบ้านกลางใหญ่มาขอสร้างอีกหน่ึงองค์ รวมเป็ นสามองค์ “ถปู ารหบคุ คล” คือบคุ คลผ้คู วรแก่สถปู หรือ เจดีย์ บคุ คลผ้สู มควรท่ีจะสร้างสถปู หรือเจดยี ์บรรจอุ ฐั ิไว้เพื่อเป็ นที่ระลึกและกราบไหว้บชู า”ถปู ารหบคุ คล” สําคญั ที่ทา่ นได้กําหนดไว้ ๔ คอื ๑.พระพทุ ธเจ้า ๒.พระปัจเจกพทุ ธเจ้า ๓.พระอรหนั ต์ ๔.พระเจ้าจกั รพรรดิ ๒๗
“ฉันภตั ตาหารด้วยมืองดใช้ช้อน” พระครูแพงศรี : ขอโอกาสพ่อแม่ครูบาอาจารย์กระผม กระผมขอโอกาสใช้ช้อนฉันภัตตาหาร แทนใช้มือเปลา่ ฉนั ภตั ตาหาร กระผมแพ้มือลอกแสบไปหมดแล้ว หลวงป่ ู : กระผมเองไม่เคยเข้าไปกราบหลวงตามหาบวั วัดป่ าบ้านตาด แต่เคยไปงาน พระราชทานเพลิงศพของท่าน ในงานนนั้ มีโอกาสได้ไป จําวดั อย่ทู ี่วดั ของท่าน ตกกลางคืน ได้ฝันไปว่า มีเทวดานิมิตกายเป็ นองค์หลวงตามหาบัวและได้กล่าวถึงว่าพระวัดเราขณะฉันภัตตาหารใช้ช้อนฉัน ภตั ตาหาร เพ่ือให้ชดั เจนตามพระธรรมวินยั มากขนึ ้ เป็ นการถนอมบาตรของเราเอง จงึ ขอให้วดั เรางดใช้ ช้อนฉันภตั ตาหารโดยให้ใช้มือเปลา่ ฉันภัตตาหารตงั้ แตน่ นั้ มากระผม ก็ให้พระสงฆ์วดั เราปฏิบตั ิตามนนั้ ถ้าพระครูทําได้ก็ขอให้รักษาไว้นะเข้าใจนะ ๒๘
“บันทกึ ภาพพระสงฆ์” องค์หลวงป่ สู ่งั สอนญาติโยมท่ีประสงค์จะบนั ทึกภาพพระสงฆ์งดบนั ทึกภาพพระสงฆ์ในขณะ ฉนั ภตั ตาหารและครองผ้า เมื่อจะบนั ทกึ ภาพพระสงฆ์ควรขอโอกาสกอ่ นเสมอ เม่ือฆราวาสจะบนั ทกึ ภาพ ร่วมกบั พระสงฆ์ควรประนมมือเป็นการแสดงออกถึงความเคารพตอ่ พระสงฆ์ “เป๊ ปซนิ ” เป๊ ปซิน เป็นยกั ษ์อารักษ์ขเทวดาคบู่ ารมีหลวงป่ ู มีหน้าท่ีรักษาอรามเขตวดั ป่ าสนุ ทราราม บ้านกดุ แห่ อาศยั อย่บู ริเวณสระนํา้ ด้านทิศตะวนั ออกของวดั เป๊ ปซินมีลกั ษณะตวั ดําใหญ่กว่าถงั นํา้ มนั นิสยั ดรุ ้าย ๒๙
หลวงป่ ปู ฏิบตั ิธรรมอทุ ิศสว่ นบญุ สว่ นกศุ ลให้เสมอ เม่ือมีขโมยมาขโมยปลาขโมยหน่อไม้ขโมยเก็บเห็ดใน บริเวณวดั เป๊ ปซินจะปรากฏกายให้เห็นสร้างความหวาดกลวั จนหวั ขโมยต้องมากราบสารภาพกบั หลวงป่ ู ชาวบ้านกดุ แห่สง่ั สอนลกู หลานให้เกรงกลวั ตอ่ บาปละอายตอ่ บาป เคารพตอ่ หลวงป่ แู ละคณะสงฆ์โดยมี กศุ โลบายเรื่อง”ยกั ษ์เป๊ ปซนิ ”จะทําร้ายบคุ คลที่ทําชว่ั ทําบาปทําไมด่ ีตอ่ พระพทุ ธศาสนา “รอยยมิ้ อย่างพระอริยะ” หสิตปุ บาท คือ จิตท่ีทําให้เกิดการยิม้ แย้ม ของพระอรหนั ต์ หมายถึง อเหตกุ กิริยาจิตท่ีเป็ นมโน วิญญาณธาตทุ ํากิจชวนะ ซง่ึ เป็นจติ ท่ีทําให้พระอรหนั ตเ์ กิดอาการแย้มยมิ ้ การยมิ ้ แย้มหวั เราะ มี ๖ ประเภท คอื ๑. สิตะ เป็นการยมิ ้ หรือแย้มไมเ่ หน็ ไรฟันของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ๒. หสิตะ เป็ นการยิม้ พอเห็นไรฟันของพระอรหนั ตสาวก พระอนาคามี พระสหทาคามี พระโสดาบนั และปถุ ชุ น ๓. วิหสิตะ เป็นการหวั เราะมีเสียงเบาๆ เกิดกบั พระอริยบคุ คลปถุ ชุ น ๔. อตหิ สติ ะ เป็นการหวั เราะมีเสียงดงั เกิดกบั พระสกทาคามี พระโสดาบนั และปถุ ชุ น ๕. อปุ หสิตะ เป็นการหวั เราะจนกายไหว เกิดกบั ปถุ ชุ นเทา่ นนั้ ๖. อวหสิตะ เป็นการหวั จนนํา้ ตาไหล เกิดกบั ปถุ ชุ นเทา่ นนั้ ๓๐
“ข้าราชการ สมณะ ชาวนา” พระมหากษตั ริย์มีหน้าท่ีปกครองแผน่ ดิน เสนาอํามาตย์มีหน้าท่ีช่วยบริหารราชกิจจ์ตา่ งพระเนตร พระกรรณ ชาวนามีหน้ าท่ีทําหน้ า สมณสงฆ์องค์เณรมีหน้ าที่ปฏิบัติตามสิกขาบทสืบสานอ ายุ พระพทุ ธศาสนา พระลกู พระหลานบวชแขง่ หลวงป่ นู ะ หลวงป่ สู กึ เมื่อไหร่พวกเจ้าคอ่ ยสกึ “อยากเล่ือนยศเล่ือนตาแหน่ง” ลูกศิษย์:หลวงป่ ูครับปี นีผ้ มครบกําหนดเลื่อนยศครับ ขอบารมีหลวงป่ ูช่วยเกือ้ หนุนให้ สมปรารถนาด้วยครับ ๓๑
หลวงป่ ู : ถวายฉัตร เส่ือ สาด อาสนะ ไว้ ในพระพุทธศาสนา มีอานิสงส์เกิดในตระกูลสูง สร้างสะพานสร้างถนนคนเทียว ปฏิบตั ิ วตั รบท ๗ ประการ ๑. เราพงึ เลีย้ งมารดาบดิ าจนตลอดชีวิต ๒. เราพงึ ประพฤตอิ อ่ นน้อมตอ่ ผ้ใู หญ่ในตระกลู จนตลอดชีวิต ๓. เราพงึ พดู วาจาออ่ นหวานตลอดชีวิต ๔. เราไมพ่ งึ พดู วาจาสอ่ เสียดตลอดชีวิต ๕. เราพงึ มีใจปราศจากความตระหนี่ อนั เป็ นมลทินอยคู่ รองเรือน มีการบริจาคอนั ปล่อย แล้วมีฝ่ ามืออนั ชมุ่ ยนิ ดใี นการสละ ควรแก่การขอ ยินดใี นการแจกจา่ ยทานตลอดชีวิต ๖. เราพงึ พดู คาํ สตั ย์ตลอดชีวติ ๗. เราไม่พึงโกรธตลอดชีวิต ถ้าแม้ความโกรธพงึ เกิดขึน้ แก่เรา เราพึงกําจดั มนั เสียโดย ฉบั พลนั ทีเดยี ว ให้ปฏิบตั ิวตั รบท ๗ ประการ ที่หลวงป่ เู ล่าให้ฟังนี ้อย่าวา่ แตเ่ ล่ือนยศเล่ือนตําแหนง่ เลยตายไปได้ เกิดเป็นพระอนิ ทร์ หวั หน้าเทวบตุ รเทวดาอยบู่ นสวรรค์ชนั้ ดาวดงึ ส์นนุ่ “เสกดนิ สอสอบบรรจุ” ลกู ศิษย์ : หลวงป่ ูครับลูกหลานจะไปสอบบรรจเุ ข้าทํางานครับ ขอเมตตาหลวงป่ เู สกดินสอให้ไป สอบบรรจหุ นอ่ ยครับ ๓๒
หลวงป่ ู : ปัญญาเกิดได้สามทาง ๑. สุตมยปัญญา เป็ นปัญญาท่ีเกิดจากการได้ฟังได้อ่าน ๒. จินตมยปัญญา เป็ นปัญญาเกิดจากการคิด ๓.ภาวนามยปัญญา เป็ นปัญญาท่ีเกิดจาการปฏิบตั จิ นรู้ แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง เมื่อศกึ ษาเลา่ เรียนให้มีความเคารพในการศกึ ษา เคารพในคณุ ครูบาอาจารย์ผ้สู งั่ สอน เคารพในตํารับตําราหนังสือหนังหาท่ีเราเล่าเรียน ท่องคาถานะหลวงป่ ูจะให้คาถาจําเอานะ “สหสั สเนตโต เทวินโท ทิพพะจกั ขงุ วิโสทายิ” “อยากอายุยนื เหมือนหลวงป่ ู” ลกู ศษิ ย์ : หลวงป่ เู จ้าขาหลวงป่ อู ายเุ ทา่ ไหร่เจ้าคะ่ หลวงป่ ู : อายุ ๙๐ กวา่ ปี แล้วบวชมา ๖๐ กวา่ ปี แล้ว ลกู ศษิ ย์ : หลวงป่ ยู งั ดไู มแ่ ก่เลยเจ้าคะ่ หลวงป่ ู : ถ้าดไู มแ่ ก่ทําไมไมเ่ รียกหลวงพี่ ลกู ศษิ ย์ : ว๊าย หลวงป่ กู ็ แล้วทําอยา่ งไรถงึ จะอายยุ ืนเหมือนหลวงป่ คู ะ่ หลวงป่ ู : หลวงป่ จู ามวดั ห้วยทรายบอกว่าเราจะอายุ ๘๐ ปี เรากลวั ตายเราจึงไม่ฆ่าสตั ว์ไม่ เบียดเบียน ไถ่ชีวิตสตั ว์อยเู่ สมอ แล้วก็ทอ่ งคาถาอายยุ ืนที่หลวงป่ ดู ี ฉันโน อาจารย์ของเราให้ใว้ จําเอานะ จะท่องให้ฟัง”พทุ ธะ พทุ ธา พุทเธ พุทโธ พทุ ธงั อรหงั พทุ โธ อิตปิ ิ โส ภควา นะโมพทุ ธายะ” เราทําแบบนี ้ แหละ ตอนอายุ ๘๐ ก็ไมต่ ายอยมู่ าจน ๙๐ กวา่ แล้ว ๓๓
“คาถากันโรคภัยไข้เจ็บ” ลกู ศษิ ย์ : หลวงป่ คู รับ ขา่ วประชาสมั พนั ธ์อยา่ งแพร่หลายว่ามีโรคภยั ไข้เจ็บใหมช่ ื่อวา่ ”ไข้หวดั นก” ตดิ นกตดิ ไก่ตายเหมือนไกต่ ายพาก ป้ องกนั ได้ยากมากครับ สามารถตดิ คนได้เหมือนกนั กลวั มนั ติดมากบั นกเป็ดนํา้ ที่อยฝู่ ายครูบาหลงั วดั เราครับ ตดิ โยมวดั เราลําบากแย่ คงได้ตายกนั หลายคน หลวงป่ ู : สมยั ก่อนบ้านกุดแห่เราเป็ นไข้ฝี ดาษกันหลายคน ใครเป็ นเขาให้ไปอยู่ร่วมกันที่หัวไร่ ปลายนา ตายแล้วก็ฝังก็เผากนั ไปเลยไม่ให้เอาเข้ามาในละแวกบ้าน ใครติดแล้วโชคดีหายก็เป็ นผ้ดู แู ลคน ป่ วยท่ีอยหู่ น้าตอ่ ไป คนโบราณฉลาด โรคฝี ดาษใครเป็ นแล้วจะไม่เป็ นอีก ให้เป็ นหมอดแู ลคนป่ วย หลวงป่ ู ดี ฉันโน ก็ให้คาถาทอ่ งจําเป็ นกําลงั ใจให้ญาตโิ ยมไป ฟังนะจะทอ่ งให้ฟัง “ นะมิโตเยวะ พรัมเมหิ นะระ เทเวหิ สพั พะทา นะทนั โต สีหะทานงั โย นะทนั ตงั ตงั นะมามิหงั ” ๓๔
“อยากเกิดเป็ นผู้ชาย” ลกู ศษิ ย์ : หลวงป่ เู จ้าขา ชาตหิ น้าลกู อยากเกิดเป็นผ้ชู ายเจ้าคะ่ จะได้บวชเหมือนหลวงป่ เู จ้าคะ่ หลวงป่ ู : อยา่ ดา่ สามี อยา่ เถียงสามี วนั พระแตง่ ขนั ห้าพาลกู หลานไหว้สามี และปฏิบตั ติ อ่ สามีดงั นี ้ ๑.ต้องตื่นก่อน นอนทีหลงั สามี คอยรับใช้ ประพฤติเป็ นท่ีพอใจของสามี พดู คําเป็ นที่รัก ตอ่ สามี ๒.ทําการสักการะ เคารพ นบั ถือ บูชา บุคคลอันเป็ นที่เคารพของสามี คือ มารดาบิดา และสมณะชีพราหมณ์ ๓.เป็นผ้ขู ยนั ไม่เกียจคร้าน ประกอบด้วยปัญญาเครื่องพิจารณาอนั เป็ นอบุ ายในการงาน ภายในบ้านของสามี ๔.รู้การงานท่ีทาส คนใช้ หรือกรรมกรภายในบ้านของสามี วา่ ทําแล้ว หรือยงั ไม่ได้ทํา รู้วา่ คนป่ วยไข้มีหรือไมม่ ีกําลงั และแบง่ ของเคยี ้ วของบริโภคให้ตามเหตทุ ี่ควร ๕.รักษา ค้มุ ครอง ทรัพย์ ข้าวเปลือก เงิน หรือทองท่ีสามีหามาได้ให้คงอยู่ ไมเ่ ป็ นนกั เลง การพนนั ขโมยหรือนกั ด่มื ไมผ่ ลาญทรัพย์ให้พินาศ ลกู ศษิ ย์ : ตงั้ หลายข้อหนทู ําไมไ่ ด้หรอกเจ้าคะ่ หลวงป่ ู : ถ้าทําไมไ่ ด้ก็ต้องเกิดเป็นผ้หู ญิง ๓๕
“เคีย้ วไม้สีฟัน” พระเณรเราฉันภตั ตาหาร ฉนั นํา้ ปานะ ทกุ ครัง้ ให้แปลงฟันขดู ลิน้ เคีย้ วไม้สีฟันให้เรียบร้อย “ปาก ฟัน” เราดแู ลความสะอาดมนั มนั ก็อยกู่ บั เรานาน กระผมอายุ ๙๐ กวา่ แล้ว ฟันยงั เหลือเต็มปาก ถ้าไมด่ แู ล มนั ให้ดีก็คงไมเ่ หลือ ไมข่ ดู ลิน้ ไมเ่ คีย้ วไม้สีฟันมีโทษ ๕ ประการ คือ ๑.ตาฟาง ๒.ปากเหม็น ๓.ประสาทท่ีนํารสอาหาร ไมห่ มดจด ๔.มีเสมหะ ๕.ภตั ตาหารไมม่ ีรส ขูดลิน้ เคีย้ วไม้สีฟันมีอานิสงส์ ๕ ประการ คือ ๑.ตาสว่าง ๒.ปากไม่เหม็น ๓.ประสาทที่นํารส หมดจด ๔.ไมม่ ีเสมหะ ๕.ภตั ตาหารมีรสดี ๓๖
“สรงนา้ เหมือนพระ อย่าอาบนา้ เหมือนโยม” ญาตโิ ยมอากาศร้อนอาบนํา้ วนั ละสามหนห้าหน อากาศหนาวก็พาลไมอ่ าบ หลวงป่ บู วชเป็ นพระ อย่กู ับหลวงป่ ดู ี ฉันโน ท่านสอนให้สรงนํา้ เป็ นข้อวตั ร สรงนํา้ วันละสองครัง้ ช่วงเช้าก่อนออกบิณฑบาต ชว่ งเย็นหลงั กวาดลานวดั สรงนํา้ เป็นกิจวตั รเป็นข้อวตั ร ไมว่ า่ ร้อนวา่ หนาวสรงวนั ละสองครัง้ เทา่ นนั้ หมายเหตุ : ในช่วงหลวงป่ สู ขุ ภาพแข็งแรงก็ปฏิบตั ิอย่างเคร่งครัด เมื่ออายมุ ากขึน้ ธาตขุ นั ธ์ อ่อน แรงจงึ ได้อนโุ ลมข้อวตั รนีบ้ ้างเพ่ือเอือ้ เฟื อ้ ตอ่ ธาตขุ นั ธ์หลวงป่ ทู ่ีชราภาพ (จากภาพคณะสงฆ์สรงนํา้ ถวาย หลวงป่ ู ขอโอกาสหลวงป่ บู นั ทกึ ภาพเพื่อให้คณะศษิ ย์ได้ศกึ ษาข้อวตั รในภายภาคหน้าสืบไป) ๓๗
“อันตรธาน” องค์หลวงป่ ูได้กล่าวถึง “อันตรธาน” คือความเส่ือมไปของพระพุทธศาสนา อันตรธานใน พระพทุ ธศาสนา อนั ตรธานมี ๕ อยา่ งคอื ๑.อธิคมอนั ตรธาน ความเส่ือมไปของการบรรลุธรรม วดั กดุ แห่เราคณะสงฆ์ยงั สมมรรค สมผลสมสมั มาปฏิบตั ขิ องแตล่ ะองคแ์ ตล่ ะทา่ นยงั มีให้เห็น ข้อนีย้ งั ไมส่ ญู หาย ๒.ปฏิปัตติอนั ตรธาน อันตรธานแห่งการปฏิบตั ิ วัดกุดแห่เรา พระสงฆ์ยังยึดมั่นในศีล ๒๒๗ ธุดงควตั ร ๑๓ ขนั ธวตั ร ๑๔ สมถะกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ศรัทธาญาติโยมยงั ยึดมนั่ ในศีล ๕ และถืออโุ บสถศีลในวนั อโุ บสถ สวดมนต์ไหว้พระปฏิบตั กิ รรมฐานตามกําลงั ข้อนีย้ งั ไม่ สญู หาย ๓.ปริยตั ตอิ นั ตรธาน อนั ตรธานแห่งปริยตั ิ วดั กุดแหเ่ ราหลวงป่ สู นบั สนุนการศกึ ษาคณะ สงฆ์ สนบั สนนุ ปัจจยั ให้คณะสงฆ์ฝ่ ายปกครองดแู ลด้านการศกึ ษา การศกึ ษาพระสงฆ์ภายในวดั พระสงฆ์แต่ละรูปศึกษาตํารับตําราด้วยองค์เอง มีส่ิงใดสงสยั สามารถสอบถามองค์หลวงป่ แู ละ พระเถระทรงภูมิความรู้ได้ ร่วมสอบธรรมสนามหลวงกับวดั บ้านด่านเป็ นประจําทกุ ปี มีพระครู ทองรวย(พระครูสถิตธรรมคณุ )ดแู ล ข้อนีย้ งั ไมส่ ญู หาย ๔.ลิงคอันตรธาน อันตรธานแห่งเพศ พระสงฆ์วัดบ้านกุดแห่ยงั รักษาผ้าครอง ข้อวัตร ปฏิบตั ิในการน่งุ ห่มผ้าไตรจีวรเป็ นระเบียบเรียบร้อยตามพระธรรมวินยั โดยมีองค์หลวงป่ คู อยให้ คําชีแ้ นะและปฏิบตั เิ ป็นแบบอยา่ ง ข้อนีย้ งั ไมส่ ญู หาย ๓๘
๕.ธาตุอันตรธาน อันตรธานแห่งธาตุ วัดบ้านกุดแห่มี”เจดีย์ศรีสุนทรบวรมงคลกุศล ไพบลู ย์เพ่ิมพูนบารมี”สร้างขึน้ เพื่อประดิษฐานพระบรมมาสารีริกธาตจุ ํานวนมาก โดยพระบรม สารีริกธาตปุ ระดษิ ฐานด้านบนขององค์เจดีย์ เจดีย์องค์นีส้ ร้างขนึ ้ โดยดําริขององค์หลวงป่ ู ข้อนีจ้ งึ ยงั ไมส่ ญู หาย ด้วยอนั ตรธานทงั้ ๕ ประการยงั ไมป่ รากฏในวดั ป่ าสนุ ทราราม บ้านกดุ แห่ แม้เพียงข้อเดียว จึงกล่าวได้วา่ อารามนีเ้ป็นสถานที่ท่ีพระพทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในปัจจบุ นั สมยั “วัตถุมงคล” วตั ถมุ งคลขององคห์ ลวงป่ มู ีหลากหลายรูปแบบ ตงั้ แตข่ องอนั เน่ืองจากองค์หลวงป่ ู เช่น เกศา เล็บ หนงั จีวร ข้าวก้นบาตร เป็ นต้น รวมทงั้ วตั ถมุ งคลอื่นๆหลายรูปแบบ ทงั้ พระพทุ ธรูป พระบชู า พระเหรียญ พระผงท่ีเป็นพระพทุ ธ รูปองค์หลวงป่ ู รูปหล่อบชู าขนาดหน้าตกั ตา่ งๆ เหรียญผงหลวงป่ ู ล็อกเก็ท รูปถ่าย คณะกรรมการวดั จดั สร้างขนึ ้ บ้าง ญาตธิ รรมจดั สร้างขนึ ้ บ้าง วดั อ่ืนๆจดั สร้างขนึ ้ บ้าง หลวงป่ เู มตตาอธิฐาน จิต มีทงั้ ให้เช่าบูชาหารายได้สร้างเสนาสนะในพระพุทธศาสนา หรือทําออกมาแจกเป็ นท่ีระลึกในโอกาส ตา่ งๆ หลวงป่ เู มตตาให้แงค่ ดิ เร่ืองวตั ถมุ งคลขององค์ทา่ นวา่ ”วตั ถมุ งคลมีไวใ้ ห้ราลึกนึกถึงครูบาอาจารย์สิ่ง ทีส่ าคญั กว่าวตั ถมุ งคลคือคาสอนของครูบาอาจารย์ญาติโยมทง้ั หลายจะปลอดภยั เจริญรุ่งเรืองก็ต่อเมื่อ เชื่อมน่ั ยึดถือในคาสงั่ สอนครูบาอาจารย์ไม่ใช่ยึดถือในวตั ถมุ งคล” ๓๙
“มันเป็ นบ้า” ลกู ศษิ ย์ : ขอโอกาสหลวงป่ กู ระผม ญาตโิ ยมลกู ศษิ ย์ลกู หาขององค์หลวงป่ ู ตา่ งร่ําลือโจษขานกนั วา่ เกศาหลวงป่ ทู ่ีปลงออกมา เล็บหลวงป่ ทู ี่ตดั ออกมา หนงั หลวงป่ ทู ่ีลอกออกมา รวมทงั้ คําหมากหลวง ป่ ู และอื่นๆท่ีออกมาจากองคห์ ลวงป่ กู ลายเป็นพระธาตุ เขาถา่ ยรูปออกมาให้กนั ดเู อามาแจกจา่ ยกนั หลวงป่ ู : มนั เป็นบ้า อจินไตย ๔ อยา่ งนี ้ คนคดิ ก็บ้าคดิ คนฟังก็บ้าฟัง ใครคิดใครฟังมีสว่ นแหง่ ความเป็ นบ้า เปล่าประโยชน์ เสียเวลาทํามาหากิน ย่งุ อย่กู บั ของพวกนีไ้ ม่ได้เรื่อง อจินไตย ๔ อย่างมี ดงั นี ้ ๑.พุทธวิสยั เป็ นการคิดหาโดยไม่ทราบเหตุท่ีมา แท้จริงของการเป็ นพระพุทธเจ้า หรือ อานภุ าพ พทุ ธคณุ มี สพั พญั ญตุ ญาณ เป็นต้น ๒.ฌานวิสัย เป็ นการคิดหาโดยไม่ทราบเหตทุ ่ีมาแท้จริงของฌาน ในวิสัยของผู้อบรม ความสงบจิต จนถึง รูปฌาน อรูปฌาน อภิญญาจิต แสดงอิทธิฤทธ์ิได้ หรือมีจิตระดบั สงู กว่าขนั้ กาม ที่ไมร่ ู้กามารมณ์ คือ รูป รส กลิน่ เสียง โผฏฐัพพะ เป็นต้น ๓.กรรมวิบาก คอื ความคดิ เร่ืองของวิบากของกรรม มีกรรมท่ีจะให้ผลในปัจจบุ นั เป็ นต้น เชน่ การคดิ เร่ืองคนนนั้ ที่ได้รับผลกรรมนนั้ เพราะทําอยา่ งนนั้ ด้วยวิสยั ตน ๔.โลกจินตา คือ ความคิดเร่ืองโลก ได้แก่ โลกเกิดได้ยงั ไงใครเป็ นคนสร้าง ใครเป็ นคน สร้างดวงจนั ทร์ ดวงอาทติ ย์ แผน่ ดนิ เป็นต้น เพราะ แม้คดิ ด้วยวิสยั ตนก็ไมไ่ ด้คําตอบ ๔๐
“พระสวิ ลี ” เป็ นพระมหาเถระที่พระพุทธเจ้ายกย่องว่าเป็ น เลิศด้วยลาภสกั การะ ในอดีตชาติ ท่านบําทาน บารมีเอือ้ เฟื อ้ เผื่อแผ่ก่อนรับประทานอาหารเสมอ ในชาตทิ ่ีเกิดเป็ นพระสิวลี จงึ เกิดเป็ นลกู เศรษฐีอยสู่ ุข สบายมีกินมีใช้มีข้าทาสบริวารเป็นจํานวนมาก ทา่ นศรัทธาในพระพทุ ธเจ้าจึงออกบวชในพระพทุ ธศาสนา เมื่อพระพทุ ธเจ้าพร้ อมคณะสงฆ์จะไปยังถ่ินทุรกันดารจะต้องนําพระสิวลีไปด้วยเสมอ เม่ือพระสิวลีไป ด้วยข้าทาสบริวารลกู ศษิ ย์ของทา่ นก็มาทําบญุ กบั คณะสงฆ์ ให้อดุ มสมบรู ณ์ด้วยปัจจยั สี่อยา่ งเพียบพร้อม น่ีคืออนสิ งค์ของการบาํ เพ็ญทานบารมี หลวงป่ เู องกอ่ นจากฉนั ภตั ตาหารก็บําเพ็ญทานบารมี ตกั บาตรให้ พระสงฆ์เอือ้ เฟื อ้ เผื่อแผ่เต็มสติกําลงั ลกู หลานญาติโยมเราทราบดงั นีแ้ ล้ว ก่อนจะรับประทานอาหารให้ ระลกึ อยเู่ สมอวา่ ให้บาํ เพญ็ ทานบารมี ถ้ายงั ไมบ่ ําเพญ็ ทานบารมีอย่าพงึ่ รับประทานอาหาร ถ้าไม่บําเพ็ญ ทานบารมีก็ไม่ต้องกิน ทําให้เป็ นนิสยั อานิสงส์นนั้ มีมาก ไม่อดไม่อยาก ค้าขายร่ํารวย เจริญรุ่งเรือง มากด้วยทรัพย์สินศฤงคาร มากด้วยบริษทั บริวาร จํากนั ไว้นะ ๔๑
“บักส่ ันกาพร้ า” มีนทิ านโบราณอีสานเลา่ สืบมาแตป่ ่ ยู า่ ตายายเร่ือง”บกั สน่ั กําพร้า ” ครอบครัวบกั สนั้ พระสงฆ์ยงั ไมม่ าบณิ ฑบาตหิวข้าวก่อนพาลกู พาเมีย กินข้าวก่อนพระ นิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพทุ ธมนต์ท่ีบ้านฉัน เช้า ประกอบพิธีกรรมล่าช้าหิวข้าวพาลกู พาเมีย กินข้าวก่อนพระ เป็ นบาปเป็ นกรรม เกิดภพใหม่ชาติ ใหม่ ไม่สามารถกินข้าวได้ กินข้ าวเข้าไปอาเจียนออกหมด กินได้แต่”ผลบกั สนั้ ”ผลไม้ทางอีสานเรา รสชาตกิ ็ไมอ่ ร่อยฟาดปากขมปากไปหมด แตเ่ ขากินข้าวไมไ่ ด้ กินได้แตผ่ ลบกั สนั้ นิทานธรรมวรรณกรรม อีสาน เร่ืองนีจ้ งึ ชื่อวา่ ”บกั สนั้ กําพร้า” ญาตโิ ยมลกู หลานเรา ให้พากนั บําเพญ็ ทานบารมี ใสบ่ าตรหยาดพก ถวายจังหัน ก่อนกินข้าวนะ ไปไหนไม่อดอยาก ทํามาหากินเจริญรุ่งเรือง ค้าขายร่ํารวย ประสบ ความสําเร็จ “ไปทิศใตม้ ีคนส่งเกลือ ไปทิศเหนือมีคนส่งขา้ ว” จําเอาไว้นะ ๔๒
“คาถากันผี” ลกู ศิษย์ : กราบเรียนหลวงป่ คู รับ โยมท่ีเป็ นผีปอบจากบ้านอ่ืนมาอย่กู บั หลวงป่ ทู ี่วดั ชาวบ้านเรา กลวั ครับ ชาวบ้านหลายคนเล่าลือกันว่าตกกลางคืนผีปอบแปลงกายเป็ นหมาใหญ่ตวั สีดําดวงตาแดงกํ่า ตอนดกึ ๆ เดนิ อยกู่ ลางถนนในหมบู่ ้านครับ ชาวบ้านหวาดกลวั กนั มากครับ หลวงป่ ู : มนั แคเ่ สียงร่ําลือไมร่ ู้จริงไมร่ ู้เท็จเช่นไรก็ไม่รู้ ให้ชาวบ้านทงั้ หลายยดึ มนั่ ในพระรัตนตรัย ที่พงึ่ อื่นไมม่ ี พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็ นที่พ่งึ อนั เกษมสงู สดุ ด้วยสจั กิริยานีข้ อความสวสั ดีจงมี ใน อดีตหลวงป่ ดู ี ฉนั โน อาจารย์ของหลวงป่ ใู ห้คาถากนั ผี จําเอานะจะท่องให้ฟังพากันจดจําเอา “ นะกนั ตงั พทุ ธงั กนั จะ พทุ ธะกนั ตงั พทุ ธะปาปัง วินาเสติ “ ๔๓
Search