Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน คู่มือโสดาบัน

พุทธวจน คู่มือโสดาบัน

Published by Noppadon Leuprasert, 2021-04-02 07:59:16

Description: ชื่อของโสดาบัน
ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว
ได้เห็นอยู่ซึ่งพระสัทธรรมนี้ ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ ผู้ประกอบแล้วด้วยวิชชาอันเป็นเสขะ ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว ผู้ประเสริฐ มีปัญญาเครื่องชําาแรกกิเลส
ยืนอยู่จรดประตูแห่งอมตะ.

Search

Read the Text Version

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 81 ๔๔ สมั มาทฏิ ฐโิ ลกตุ ตระ นานาแบบ (ตามคำ�พระสารีบตุ ร) ก. หมวดเน่ืองดว้ ยกุศล-อกุศล ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื ใดแลอรยิ สาวกมารชู้ ดั ซง่ึ อกศุ ลและอกศุ ลมลู ดว้ ย รชู้ ดั ซง่ึ กศุ ลและกศุ ลมลู ดว้ ย; แมด้ ว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ น้ี อรยิ สาวกนน้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส ไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! สิ่งที่เรียกว่า อกุศล นั้น เป็นอยา่ งไรเลา่ ? ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! การท�ำ สตั วม์ ชี วี ติ ใหต้ กลว่ ง เปน็ อกศุ ล; การถอื เอาสง่ิ ของทเ่ี จา้ ของมไิ ดใ้ ห้ เปน็ อกศุ ล; การประพฤตผิ ดิ ในกาม เปน็ อกศุ ล; การกลา่ วเทจ็ เปน็ อกศุ ล; วาจาส่อเสียด เป็นอกุศล; วาจาหยาบคาย เป็นอกุศล; การกล่าวคำ�เพ้อเจ้อ เป็นอกุศล; อภิชฌา เป็นอกุศล;

1​ 82 พุทธวจน พยาบาท เปน็ อกศุ ล; มิจฉาทฏิ ฐิ เปน็ อกุศล; ทา่ นผูม้ ีอายุ ท้ังหลาย ! เหลา่ น้ี ทา่ นกล่าววา่ เป็นอกศุ ล. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! สง่ิ ทเ่ี รยี กวา่ อกศุ ลมลู นน้ั เปน็ อย่างไรเล่า ? โลภะ เป็นอกุศลมูล; โทสะ เป็นอกุศลมูล; โมหะ เปน็ อกศุ ลมลู . ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! เหลา่ น้ี ทา่ นกลา่ ววา่ เป็นอกุศลมูล. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! สิ่งทเี่ รยี กวา่ กุศล น้นั เปน็ อย่างไรเลา่ ? ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! เจตนาเวน้ จากปาณาตบิ าต เปน็ กศุ ล; เจตนาเวน้ จากอทนิ นาทาน เปน็ กศุ ล; เจตนา เวน้ จากกาเมสมุ จิ ฉาจาร เปน็ กศุ ล; เจตนาเวน้ จากมสุ าวาท เปน็ กศุ ล; เจตนาเวน้ จากปสิ ณุ าวาท เปน็ กศุ ล; เจตนาเวน้ จากผรุสวาท เป็นกุศล; เจตนาเว้นจากสัมผปั ปลาปวาท เป็นกุศล; อนภิชฌา เปน็ กุศล; อัพย๎ าปาท เปน็ กุศล; สมั มาทิฏฐิ เปน็ กุศล. ท่านผู้มอี ายทุ งั้ หลาย ! เหล่านี้ ทา่ นกลา่ ววา่ เปน็ กศุ ล.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 83 ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! สง่ิ ทเ่ี รยี กวา่ กศุ ลมลู นน้ั เปน็ อยา่ งไรเล่า ? อโลภะ เป็นกุศลมูล; อโทสะ เป็นกุศลมูล; อโมหะ เปน็ กศุ ลมูล. ท่านผู้มอี ายุท้ังหลาย ! เหล่าน้ี ท่านกล่าววา่ เป็นกศุ ลมูล. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ในกาลใดแล อรยิ สาวกมา รชู้ ดั ซง่ึ อกศุ ลอยา่ งน,้ี รชู้ ดั ซง่ึ อกศุ ลมลู อยา่ งน,้ี รชู้ ดั ซง่ึ กศุ ล อยา่ งน้ี รชู้ ดั ซง่ึ กศุ ลมลู อยา่ งน้ี อรยิ สาวกนน้ั ละราคานสุ ยั บรรเทาปฏฆิ านสุ ยั ถอนอนสุ ยั แหง่ ทฏิ ฐแิ ละมานะวา่ เรามี เราเปน็ ไดโ้ ดยประการทง้ั ปวง ละอวชิ ชาแลว้ ท�ำ วชิ ชาให้ เกดิ ขน้ึ เธอกระท�ำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ ในทฏิ ฐธรรมน้ี นน่ั เทยี ว. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! แม้ด้วยเหตุมีประมาณ เท่านแ้ี ล อรยิ สาวกน้ัน ช่ือวา่ เปน็ ผมู้ สี ัมมาทิฏฐิ ทฏิ ฐิ ของเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส ไมห่ วัน่ ไหวในธรรม มาสู่พระสทั ธรรมน้.ี

1​ 84 พุทธวจน ข. หมวดเนื่องด้วยอาหารสี่ “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มอี ยู่ ท่านผู้มอี ายุทงั้ หลาย ! คือ ในกาลใดแล อรยิ สาวกมารชู้ ดั ซง่ึ อาหาร ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ อาหาร ซงึ่ ความดับไม่เหลือแหง่ อาหาร ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ ห้ถึงซง่ึ ความดับไม่เหลือแห่งอาหาร. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! ดว้ ยเหตุแมม้ ปี ระมาณเทา่ นี้ อรยิ สาวกนน้ั ชื่อวา่ เปน็ ผมู้ ี สมั มาทิฏฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! อาหาร เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ อาหาร เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อาหาร  เปน็ อยา่ งไรเลา่ ?  ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไม่เหลอื แหง่ อาหาร  เปน็ อย่างไรเล่า ? ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! อาหาร ๔ อย่างเหล่าน้ี ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความด�ำ รงอยขู่ องภตู สตั วท์ ง้ั หลาย หรอื วา่ เพ่อื อนุเคราะห์แกส่ ัมภเวสที ้ังหลาย.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 85 อาหาร ๔ อยา่ ง อย่างไรเลา่ ? ส่อี ย่าง คือ :- กพฬกี าราหาร (ทห่ี ยาบบา้ ง ละเอยี ดบา้ ง) เปน็ ทห่ี นง่ึ , ผัสสาหาร เป็นท่สี อง, มโนสญั เจตนาหาร เปน็ ท่สี าม, วิญญาณาหาร เป็นทสี่ ่.ี ความก่อขึ้นพร้อมแห่งอาหาร ย่อมมีเพราะ ความก่อขึ้นพร้อมแห่งตัณหา. ความดับไม่เหลือแห่งอาหาร ย่อมมีเพราะ ความดับไม่เหลือแห่งตัณหา. มรรคอนั ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงซ่ึงความดับไม่เหลือแห่งอาหาร; ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ ความเห็นชอบ ความดำ�ริชอบ การพูดจาชอบ การทำ�การงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพยี รชอบ ความระลกึ ชอบ ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ท่านผูม้ ีอายทุ ้ังหลาย ! เม่ือใดแล อรยิ สาวกมา รชู้ ดั ซง่ึ อาหารอยา่ งน,้ี รชู้ ดั ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ อาหาร อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งความดับไม่เหลือแห่งอาหาร อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งอาหาร

1​ 86 พุทธวจน อยา่ งน้ี. อรยิ สาวกนั้น ละราคานุสยั บรรเทาปฏฆิ านุสัย ถอนอนุสัยแห่งทิฏฐิและมานะว่า  เรามี  เราเป็น  ได้โดย ประการท้ังปวง  ละอวิชชาแล้ว  ทำ�วิชชาให้เกิดขึ้น เธอกระท�ำ ทีส่ ุดแหง่ ทุกขไ์ ด ้ ในทิฏฐธรรมน ้ี น่ันเทียว. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ดว้ ยเหตแุ มเ้ พยี งเทา่ นแ้ี ล อริยสาวกน้ัน  ช่ือว่าเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ  ทิฏฐิของเขา ดำ�เนินไปตรง  เขาประกอบแล้วด้วยความเล่ือมใส ไมห่ วน่ั ไหวในธรรม  มาสู่พระสัทธรรมน้.ี ค. หมวดเนื่องดว้ ยอรยิ สจั สี่ “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มอี ยู่ ท่านผู้มอี ายทุ ้งั หลาย ! คือ ในกาลใดแล อรยิ สาวกมารชู้ ดั ซง่ึ ทกุ ข์ ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกิดแหง่ ทุกข์ ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่ง ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข.์ ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ดว้ ยเหตุ

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 87 แมม้ ปี ระมาณเทา่ น้ี อรยิ สาวกนน้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส ไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ทกุ ข์ เปน็ อยา่ งไรเล่า ? แมค้ วามเกดิ กเ็ ปน็ ทกุ ข,์ แมค้ วามแก่ กเ็ ปน็ ทกุ ข,์ แมค้ วามตาย กเ็ ปน็ ทกุ ข,์ แมค้ วามโศก ความร�ำ่ ไรร�ำ พนั ความทกุ ขก์ าย ความทกุ ขใ์ จ ความคบั แคน้ ใจ กเ็ ปน็ ทกุ ข,์ การประสบกับสงิ่ ไม่เป็นทร่ี กั ท่ีพอใจ กเ็ ป็นทกุ ข์, ความ พลัดพรากจากสงิ่ เป็นทร่ี กั ทพ่ี อใจ ก็เปน็ ทกุ ข์, ปรารถนา สง่ิ ใดไม่ไดส้ ่ิงนัน้ ก็เปน็ ทุกข;์ กลา่ วโดยย่ออุปาทานขันธ์ ทั้งห้า เป็นทกุ ข.์ ทา่ นผมู้ ีอายทุ ง้ั หลาย ! นเ้ี รยี กวา่ ทุกข.์ ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ ทกุ ข์ เป็นอย่างไรเล่า ? ตัณหานี้ใด อันเป็นเครื่องทำ�ให้มีภพใหม่ อัน ประกอบอยู่ด้วยความกำ�หนัด ด้วยอำ�นาจความเพลิน เป็นเครื่องทำ�ให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ, ได้แก่

1​ 88 พุทธวจน กามตณั หา ภวตณั หา วภิ วตณั หา. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! นี้เรยี กว่า เหตุเป็นแดนเกดิ แห่งทกุ ข์. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข์ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความจางคลายดบั ไม่เหลือแหง่ ตัณหาน้ีนัน่ เอง เป็นความสละทิ้ง  เป็นความสลัดคืน  เป็นความปล่อย เป็นความทำ�ไม่ให้มีที่อาศัย  ซึ่งตัณหานั้น  อันใด;  ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย !  นเ้ี รยี กวา่   ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข.์ ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลือแหง่ ทกุ ข์ เปน็ อย่างไรเล่า ? มรรคอนั ประกอบด้วยองค์แปดอันประเสรฐิ น้ี นน่ั เอง ไดแ้ ก่ ความเหน็ ชอบ ความด�ำ รชิ อบ การพดู จาชอบ การท�ำ การงานชอบ การเลย้ี งชวี ติ ชอบ ความพากเพยี รชอบ ความระลกึ ชอบ ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! นีเ้ รยี กวา่ ข้อปฏบิ ัตใิ หถ้ ึงซ่งึ ความดับไม่เหลือแหง่ ทกุ ข.์

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 89 ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! เมื่อใดแล อริยสาวกมา รู้ชดั ซง่ึ ทุกข์ อย่างนี้, ร้ชู ัดซ่ึงเหตเุ ปน็ แดนเกิดแห่งทกุ ข์ อยา่ งนี,้ รู้ชัดซึง่ ความดบั ไม่เหลือแหง่ ทุกข์ อยา่ งนี้ ร้ชู ัด ซึ่งขอ้ ปฏิบัติใหถ้ งึ ซ่ึงความดับไมเ่ หลือแหง่ ทุกข์ อยา่ งน.้ี อริยสาวกนัน้ ละราคานุสยั บรรเทาปฏฆิ านุสัย ถอนอนสุ ยั แหง่ ทฏิ ฐแิ ละมานะวา่ เรามเี ราเปน็ ไดโ้ ดยประการ ทั้งปวง  ละอวิชชาแล้ว  ทำ�วิชชาให้เกิดข้ึน  เธอกระทำ� ทีส่ ุดแห่งทกุ ข์ได้  ในทิฏฐธรรมน้ี  นัน่ เทยี ว. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ดว้ ยเหตแุ มเ้ พยี งเทา่ นแ้ี ล อริยสาวกนั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ ทิฏฐิของเขา ดำ�เนินไปตรง  เขาประกอบแล้วด้วยความเลื่อมใส ไม่หวั่นไหวในธรรม มาสู่พระสัทธรรมน้.ี

1​ 90 พุทธวจน ง. หมวดเน่อื งด้วยปฏิจจสมปุ ปันนธรรม ตามหลกั แหง่ ปฏจิ จสมปุ บาท ง. ๑ เก่ียวกบั ชรามรณะ “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มีอยู่ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! คือ ในกาลใดแล อริยสาวกมารู้ชัดซึ่งชรามรณะ ซึ่งเหตุเป็นแดนเกิด แห่งชรามรณะ ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ ซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ดว้ ยเหตแุ มม้ ปี ระมาณเทา่ น้ี อรยิ สาวก นนั้ ช่อื วา่ เป็นผมู้ สี ัมมาทิฏฐิ ทิฏฐิของเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแล้วด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในธรรม มาส่พู ระสัทธรรมน.้ี ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ชรามรณะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ ชรามรณะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชรามรณะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชรามรณะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ?

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 91 (ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับชรามรณะโดยนัยแห่งอริยสัจสี่ พึงดูได้จากหนังสือเล่มนี้ ที่หน้า ๔๐–๔๑ ตั้งแต่คำ�ว่า ความแก่ ความคร่ำ�คร่า ความมีฟันหลุด...ถึงคำ�ว่า...ความระลึกชอบ ความ ตั้งใจมั่นชอบ). ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื ใดแล อรยิ สาวกมา รชู้ ัดซง่ึ ชรามรณะ อย่างนี้, รชู้ ดั ซ่งึ เหตุเปน็ แดนเกิดแหง่ ชรามรณะ อยา่ งน,้ี รชู้ ดั ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชรามรณะ อย่างนี้, รูช้ ดั ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ัตใิ หถ้ งึ ซ่งึ ความดบั ไม่เหลอื แห่ง ชรามรณะ อยา่ งน้.ี อริยสาวกนน้ั ละราคานสุ ยั บรรเทา ปฏิฆานุสัย ... (ขอ้ ความต่อไปนี้เหมอื นกับข้อความในตอนทา้ ย แหง่ หมวดก. จนกระท่งั คำ�ว่า) ... ไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสู่ พระสัทธรรมนี้. ง. ๒ เกี่ยวกับชาติ “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มีอยู่ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! คือ ในกาลใดแล อรยิ สาวกมารู้ชดั ซึง่ ชาติ ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ ชาติ

1​ 92 พุทธวจน ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งชาติ ซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่ง ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชาต.ิ ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ดว้ ยเหตุ แมม้ ปี ระมาณเทา่ น้ี อรยิ สาวกนน้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส ไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ชาติเป็นอย่างไรเล่า ? เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชาติ เป็นอย่างไรเล่า ? ความดับ ไมเ่ หลือแห่งชาติ  เป็นอย่างไรเลา่ ?  ข้อปฏิบตั ใิ ห้ถึงซึ่ง ความดบั ไม่เหลือแห่งชาต ิ เปน็ อย่างไรเล่า ? (ต่อไปนี้ เปน็ รายละเอียดเกย่ี วกับชาติ โดยนัยแห่งอริยสัจส่ี พงึ ดไู ด้ จากหนังสือเล่มน้ี ทหี่ น้า ๔๑ ตัง้ แตค่ �ำ ว่า การเกดิ การก�ำ เนิด การ กา้ วลง...ถงึ ค�ำ วา่ ...ความระลกึ ชอบ ความต้งั ใจมัน่ ชอบ). ท่านผมู้ ีอายทุ ้ังหลาย ! เมือ่ ใดแล อรยิ สาวกมา รู้ชัดซึ่งชาติ อยา่ งนี้, รชู้ ดั ซ่งึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แห่งชาติ อย่างน้,ี รู้ชัดซึง่ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชาติ อยา่ งน,้ี ร้ชู ดั ซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งชาติ อย่างนี้. อริยสาวกนั้น ละราคานุสัย บรรเทาปฏิฆานุสัย ... (ขอ้ ความตอ่ ไปเหมอื นกบั ขอ้ ความในตอนทา้ ยแหง่ หมวด ก. จนกระทง่ั ค�ำ วา่ ) ... ไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 93 ง. ๓ เก่ยี วกบั ภพ “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มีอยู่ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! คือ ในการใดแล อริยสาวกมารู้ชัดซึ่งภพ ซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแห่งภพ ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งภพ ซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่ง ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ภพ. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ดว้ ยเหตุ แมม้ ปี ระมาณเทา่ น,้ี อรยิ สาวกนน้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส ไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี ท่านผ้มู ีอายุทง้ั หลาย ! ภพเปน็ อย่างไรเล่า ? เหตุเปน็ แดนเกดิ แหง่ ภพ  เปน็ อย่างไรเล่า ?   ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ภพ  เปน็ อย่างไรเล่า ?   ข้อปฏิบตั ิให้ถงึ ซ่ึง ความดับไมเ่ หลือแห่งภพ  เป็นอย่างไรเล่า ? (ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับภพ โดยนัยแห่งอริยสัจสี่ พึงดูได้ จากหนงั สอื เลม่ นี้ ทห่ี นา้ ๔๒ ตัง้ แต่คำ�วา่ ภพท้งั หลาย ๓ อย่างเหลา่ น้ี คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ...ถึงคำ�ว่า...ความระลึกชอบ ความ ตั้งใจมั่นชอบ).

1​ 94 พุทธวจน ท่านผมู้ ีอายทุ ้ังหลาย ! เมอ่ื ใดแล อรยิ สาวกมา รู้ชัดซึ่งภพ อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแห่งภพ อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งความดับไม่เหลือแห่งภพ อย่างนี้, รู้ชัด ซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งภพ อย่างนี้. อรยิ สาวกน้นั ละราคานุสัย บรรเทาปฏฆิ านสุ ยั ...(ขอ้ ความ ตอ่ ไปนเ้ี หมอื นกบั ขอ้ ความในตอนทา้ ยแหง่ หมวด ก. จนกระทง่ั ถงึ ค�ำ วา่ ) ... ไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี ง. ๔ เกย่ี วกบั อปุ าทาน “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มอี ยู่ ทา่ นผู้มอี ายุทัง้ หลาย ! คอื ในกาลใดแล อริยสาวกมารชู้ ัดซึ่งอปุ าทาน ซ่งึ เหตุเป็นแดนเกดิ แห่ง อปุ าทาน ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อปุ าทาน ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั ิ ให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน. ท่านผู้มีอายุ ทง้ั หลาย ! ดว้ ยเหตแุ มม้ ปี ระมาณเทา่ น้ี อรยิ สาวกนน้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 95 ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! อปุ าทาน เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ อปุ าทาน เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อปุ าทาน เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อปุ าทาน เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? (ต่อไปน้ีเปน็ รายละเอยี ดเกี่ยวกบั อุปาทาน โดยนัยแหง่ อรยิ สัจสี่ พึงดู ได้จากหนงั สือเลม่ น้ี ที่หน้า ๔๒-๔๓ ตัง้ แต่ค�ำ วา่ อปุ าทานทั้งหลาย ๔ อย่างเหลา่ นี้ คือ ...ถงึ ค�ำ วา่ ...ความระลกึ ชอบ ความตั้งใจม่นั ชอบ). ทา่ นผู้มีอายทุ ง้ั หลาย ! เม่อื ใดแล อรยิ สาวกมา รชู้ ดั ซงึ่ อปุ าทาน อยา่ งน้,ี รชู้ ดั ซึง่ เหตเุ ปน็ แดนเกิดแห่ง อุปาทาน อยา่ งน,ี้ ร้ชู ดั ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลือแห่งอุปาทาน อย่างน้ี, รู้ชดั ซ่ึงข้อปฏิบตั ใิ หถ้ ึงซ่ึงความดับไมเ่ หลือแหง่ อุปาทาน อย่างน.ี้ อรยิ สาวกนั้น ละราคานสุ ัย บรรเทา ปฏฆิ านุสัย ...(ขอ้ ความตอ่ ไปนีเ้ หมอื นกบั ขอ้ ความในตอนท้ายแหง่ หมวด ก. จนกระทงั่ ถึงคำ�วา่ ) ... ไม่หว่นั ไหวในธรรม มาสู่ พระสทั ธรรมน้ี.

1​ 96 พุทธวจน ง. ๕ เก่ยี วกับตณั หา “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มอี ยู่ ท่านผู้มอี ายทุ ง้ั หลาย ! คือ ในกาลใดแล อรยิ สาวกมารชู้ ดั ซง่ึ ตณั หา ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ ตณั หา ซงึ่ ความดบั ไม่เหลือแห่งตัณหา ซึง่ ขอ้ ปฏิบตั ิให้ถงึ ซ่งึ ความดบั ไม่เหลอื แหง่ ตัณหา. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ้งั หลาย ! ด้วยเหตุแม้มปี ระมาณเท่าน้ี อริยสาวกนั้น ชื่อว่าเปน็ ผมู้ ี สมั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ย ความเลื่อมใสไม่หว่ันไหวในธรรม มาสู่พระสัทธรรมน้ี. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ตณั หา เป็นอยา่ งไรเล่า ? เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แห่งตัณหา เปน็ อย่างไรเล่า ? ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ตณั หา เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดับไม่เหลอื แห่งตัณหา เปน็ อย่างไรเลา่ ? (ตอ่ ไปน้ี เปน็ รายละเอียดเกี่ยวกบั ตณั หาโดยนัยแห่งอริยสจั ส่ี พงึ ดูได้ จากหนงั สือเลม่ นี้ ทห่ี น้า ๔๓ ต้ังแต่ค�ำ วา่ หมแู่ หง่ ตณั หาทง้ั หลาย ๖ หมู่ เหลา่ นี้ คือ ...ถงึ ค�ำ วา่ ...ความระลกึ ชอบ ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ).

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน ​197 ทา่ นผู้มีอายทุ ั้งหลาย ! เมือ่ ใดแล อรยิ สาวกมา รชู้ ดั ซง่ึ ตณั หา อยา่ งน,้ี รชู้ ดั ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ ตณั หา อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งความดับไม่เหลือแห่งตัณหา อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งตัณหา อยา่ งน.้ี อรยิ สาวกนน้ั ละราคานสุ ยั บรรเทาปฏฆิ านสุ ยั ... (ขอ้ ความตอ่ ไปนเ้ี หมอื นกบั ขอ้ ความในตอนทา้ ยแหง่ หมวด ก. จนกระทง่ั ถึงคำ�ว่า) ... ไมห่ ว่นั ไหวในธรรม มาสูพ่ ระสทั ธรรมน้.ี ง. ๖ เกยี่ วกบั เวทนา “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มอี ยู่ ทา่ นผมู้ อี ายุท้ังหลาย ! คือ ในกาลใดแล อรยิ สาวกมารชู้ ดั ซง่ึ เวทนา  ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ เวทนา ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งเวทนา ซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่ง ความดับไม่เหลือแห่งเวทนา. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! ด้วยเหตุแม้มปี ระมาณเทา่ นี้ อรยิ สาวกนั้น ช่อื ว่าเป็นผมู้ ี สมั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาดำ�เนนิ ไปตรง เขาประกอบแล้ว ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี

1​ 98 พุทธวจน ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! เวทนา เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ เวทนา เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความดบั ไม่เหลือแห่งเวทนา เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ข้อปฏบิ ัติให้ถงึ ซ่งึ ความดับไมเ่ หลือแห่งเวทนา เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? (ต่อไปน้ี เปน็ รายละเอยี ดเกี่ยวกบั เวทนา โดยนยั แห่งอรยิ สัจสี่ พงึ ดไู ด้ จากหนงั สือเล่มนี้ ท่ีหนา้ ๔๔ ตัง้ แตค่ ำ�วา่ หมู่แห่งเวทนาท้ังหลาย ๖ หมู่ เหลา่ นี้ คอื ... ถึงคำ�วา่ ...ความระลึกชอบ ความตัง้ ใจม่นั ชอบ). ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! เมือ่ ใดแล อริยสาวกมา รชู้ ดั ซง่ึ เวทนา อยา่ งน,้ี รชู้ ดั ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ เวทนา อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งความดับไม่เหลือแห่งเวทนา อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งเวทนา อยา่ งนี้. อริยสาวกน้นั ละราคานสุ ยั บรรเทาปฏิฆานุสัย ... (ขอ้ ความตอ่ ไปนเ้ี หมอื นกบั ขอ้ ความในตอนทา้ ยแหง่ หมวด ก. จน กระทง่ั ถงึ ค�ำ วา่ ) ... ไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 99 ง. ๗ เกี่ยวกบั ผัสสะ “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มอี ยู่ ทา่ นผมู้ อี ายทุ ั้งหลาย ! คือ ในกาลใดแล อรยิ สาวกมารชู้ ดั ซง่ึ ผสั สะ ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ ผสั สะ ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ ซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่ง ความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! ด้วยเหตแุ ม้มปี ระมาณเทา่ น้ี อริยสาวกน้ัน ช่ือวา่ เป็นผ้มู ี สมั มาทิฏฐิ ทิฏฐิของเขาด�ำ เนินไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี ท่านผู้มอี ายุทง้ั หลาย ! ผัสสะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ ผสั สะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความดบั ไม่เหลอื แหง่ ผัสสะ เปน็ อยา่ งไรเล่า ? ข้อปฏบิ ัตใิ ห้ถงึ ซงึ่ ความดบั ไม่เหลือแหง่ ผสั สะ เป็นอย่างไรเล่า ? (ตอ่ ไปน้ี เปน็ รายละเอียดเก่ียวกบั ผสั สะ โดยนยั แหง่ อรยิ สจั สี่ พงึ ดไู ด้ จากหนงั สอื เลม่ น้ี ทห่ี นา้ ๔๔-๔๕ ตง้ั แตค่ �ำ วา่ หมแู่ หง่ ผสั สะทง้ั หลาย ๖ หมู่ เหลา่ น้ี คอื ...ถึงคำ�วา่ ...ความระลึกชอบ ความตงั้ ใจมน่ั ชอบ).

2​ 00 พุทธวจน ท่านผู้มีอายุทัง้ หลาย ! เมอื่ ใดแล อรยิ สาวกมา รู้ชดั ซง่ึ ผสั สะ อยา่ งน,้ี รชู้ ดั ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ ผสั สะ อย่างน้ี, รู้ชัดซึง่ ความดบั ไม่เหลอื แห่งผสั สะ อยา่ งน้ี, ร้ชู ดั ซ่งึ ข้อปฏบิ ัติใหถ้ งึ ซงึ่ ความดบั ไมเ่ หลือแห่งผัสสะ อยา่ งน.ี้ อริยสาวกน้นั ละราคานุสัย บรรเทาปฏิฆานุสยั ...(ขอ้ ความ ตอ่ ไปนเ้ี หมอื นกบั ขอ้ ความในตอนทา้ ยแหง่ หมวด ก. จนกระทง่ั ถงึ ค�ำ วา่ ) ... ไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี ง. ๘ เกย่ี วกบั สฬายตนะ “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มีอยู่ ทา่ นผ้มู อี ายทุ ง้ั หลาย ! คอื ในกาลใดแล อริยสาวกมารู้ชัดซึ่งสฬายตนะ ซึ่งเหตุเป็นแดนเกิด แห่งสฬายตนะ ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ ซ่ึงข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! ด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 01 อรยิ สาวกนน้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแล้วด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหว ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมน.้ี ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! สฬายตนะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ สฬายตนะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สฬายตนะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สฬายตนะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? (ต่อไปนี้ เปน็ รายละเอยี ดเกยี่ วกับสฬายตนะโดยนยั แหง่ อริยสัจสี่ พึงดู ได้จากหนังสือเลม่ น้ี ท่หี น้า ๔๕ ตั้งแตค่ ำ�ว่า จักขว๎ ายตนะ โสตายตนะ ...ถงึ คำ�วา่ ...ความระลึกชอบ ความต้ังใจม่นั ชอบ). ท่านผมู้ ีอายทุ ัง้ หลาย ! เมอื่ ใดแล อรยิ สาวกมา รู้ชดั ซ่งึ สฬายตนะ อยา่ งนี้, รู้ชดั ซง่ึ เหตเุ ป็นแดนเกดิ แหง่ สฬายตนะ อยา่ งน,้ี รชู้ ดั ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สฬายตนะ อยา่ งน้,ี รู้ชดั ซึ่งขอ้ ปฏิบัตใิ หถ้ ึงซงึ่ ความดับไม่เหลอื แห่ง สฬายตนะ อย่างนี้. อริยสาวกนนั้ ละราคานุสยั บรรเทา ปฏิฆานุสัย ... (ขอ้ ความตอ่ ไปนเ้ี หมอื นกบั ขอ้ ความในตอนทา้ ย แหง่ หมวด ก. จนกระทง่ั ถงึ ค�ำ วา่ ) ... ไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสู่ พระสทั ธรรมน.้ี

2​ 02 พุทธวจน ง. ๙ เกี่ยวกับนามรปู “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มีอยู่ ท่านผูม้ ีอายทุ ั้งหลาย ! คือ ในกาลใดแล อริยสาวกมารู้ชัดซึ่งนามรูป ซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแห่ง นามรปู ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ นามรปู ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ นามรปู . ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ดว้ ยเหตแุ มม้ ปี ระมาณเทา่ นี้ อริยสาวกนนั้ ชอ่ื ว่าเปน็ ผูม้ ี สมั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ย ความเลอื่ มใสไม่หว่นั ไหวในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี.้ ทา่ นผ้มู อี ายุท้งั หลาย ! นามรปู เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ นามรปู เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ นามรปู เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดับไม่เหลอื แหง่ นามรปู เปน็ อย่างไรเล่า ? (ตอ่ ไปน้ี เปน็ รายละเอยี ดเกย่ี วกบั นามรปู โดยนยั แหง่ อรยิ สจั ส่ี พงึ ดไู ด้ จากหนงั สอื เลม่ น้ี ทห่ี นา้ ๔๖ ตง้ั แตค่ �ำ วา่ เวทนา สญั ญา เจตนาผสั สะ... ถงึ ค�ำ วา่ ...ความระลกึ ชอบ ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ).

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 03 ทา่ นผู้มอี ายุท้ังหลาย ! เมอื่ ใดแล อรยิ สาวกมา รชู้ ัดซงึ่ นามรูป อย่างนี้, รชู้ ัดซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแหง่ นามรูป อยา่ งนี,้ รู้ชดั ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งนามรปู อยา่ งน้,ี รชู้ ดั ซง่ึ ข้อปฏบิ ัติให้ถึงซึ่งความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ นามรปู อยา่ งนี้. อรยิ สาวกน้ัน ละราคานสุ ัย บรรเทา ปฏิฆานุสยั ...(ขอ้ ความต่อไปน้ีเหมอื นกบั ข้อความในตอนทา้ ยแหง่ หมวด ก. จนกระทง่ั ถงึ คำ�วา่ ) ... ไมห่ วนั่ ไหวในธรรม มาสู่ พระสัทธรรมน้.ี ง. ๑๐ เกย่ี วกบั วิญญาณ “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มีอยู่ ทา่ นผูม้ ีอายทุ งั้ หลาย ! คอื ในกาลใดแล อริยสาวกมารู้ชัดซึง่ วิญญาณ ซึ่งเหตเุ ป็นแดนเกิดแหง่ วญิ ญาณ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ วญิ ญาณ ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ ห้ ถงึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ วญิ ญาณ. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ดว้ ยเหตุแมม้ ปี ระมาณเท่านี้ อริยสาวกนนั้ ชอ่ื ว่าเปน็ ผู้มี

2​ 04 พุทธวจน สมั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! วญิ ญาณ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ วญิ ญาณ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ วญิ ญาณ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ วญิ ญาณ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? (ตอ่ ไปน้ี เปน็ รายละเอยี ดเกย่ี วกบั วญิ ญาณโดยนยั แหง่ อรยิ สจั ส่ี พงึ ดไู ด้ จากหนงั สอื เลม่ น้ี ทห่ี นา้ ๔๖-๔๗ ตง้ั แตค่ �ำ วา่ หมแู่ หง่ วญิ ญาณทง้ั หลาย ๖ หม่เู หล่านี้ คอื ...ถงึ คำ�วา่ ...ความระลกึ ชอบ ความตัง้ ใจมัน่ ชอบ). ท่านผ้มู อี ายุทง้ั หลาย ! เมือ่ ใดแล อริยสาวกมา รชู้ ดั ซงึ่ วญิ ญาณ อยา่ งน้ี, รู้ชัดซึ่งเหตุเป็นแดนเกดิ แห่ง วิญญาณอย่างนี้, รู้ชัดซึ่งความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ อย่างน,้ี รู้ชดั ซึ่งข้อปฏิบัติใหถ้ งึ ซ่ึงความดบั ไม่เหลอื แห่ง วญิ ญาณ อยา่ งน้ี. อริยสาวกนนั้ ละราคานุสยั บรรเทา ปฏิฆานสุ ยั ...(ขอ้ ความตอ่ ไปนเ้ี หมอื นกบั ขอ้ ความในตอนทา้ ยแหง่ หมวด ก. จนกระทง่ั ถงึ ค�ำ วา่ ) ... ไม่หว่นั ไหวในธรรม มาสู่ พระสัทธรรมนี้.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 05 ง. ๑๑ เกี่ยวกบั สังขาร “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มีอยู่ ทา่ นผมู้ อี ายุทงั้ หลาย ! คอื ในกาลใดแล อรยิ สาวกมารชู้ ดั ซง่ึ สงั ขาร ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ สงั ขาร ซ่ึงความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สังขาร ซึง่ ข้อปฏบิ ตั ใิ ห้ถึงซ่ึง ความดับไม่เหลือแห่งสังขาร. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! ดว้ ยเหตุแม้มปี ระมาณเทา่ น้ี อริยสาวกน้ัน ชือ่ วา่ เปน็ ผู้มี สมั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาดำ�เนินไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! สงั ขาร เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ สงั ขาร เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความดบั ไม่เหลือแห่งสังขาร เปน็ อย่างไรเล่า ? ข้อปฏิบตั ิใหถ้ งึ ซ่ึง ความดับไมเ่ หลอื แห่งสงั ขาร เป็นอย่างไรเล่า ? (ต่อไปนี้ เป็นรายละเอยี ดเกี่ยวกบั สงั ขารโดยนัยแห่งอริยสจั ส่ี พึงดูได้ จากหนงั สอื เลม่ นี้ ทีห่ นา้ ๔๗ ตง้ั แต่ค�ำ วา่ สังขารทง้ั หลาย ๓ หม่เู หล่านี้ คอื ...ถึงค�ำ ว่า...ความระลึกชอบ ความตงั้ ใจมนั่ ชอบ).

2​ 06 พุทธวจน ทา่ นผมู้ ีอายทุ ้งั หลาย  ! เม่ือใดแล อริยสาวกมา รชู้ ดั ซง่ึ สงั ขาร อยา่ งน,้ี รชู้ ดั ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ สงั ขาร อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งความดับไม่เหลือแห่งสังขาร อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งสังขาร อยา่ งน.้ี อรยิ สาวกนน้ั ละราคานสุ ยั บรรเทาปฏฆิ านสุ ยั ... (ขอ้ ความตอ่ ไปนเ้ี หมอื นกบั ขอ้ ความในตอนทา้ ยแหง่ หมวด ก. จนกระทง่ั ถงึ ค�ำ วา่ ) ... ไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี ง. ๑๒ เก่ียวกับ อวชิ ชา “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มีอยู่ ท่านผูม้ อี ายุทัง้ หลาย  ! คอื ในกาลใดแล อรยิ สาวกมารู้ชดั ซึง่ อวชิ ชา ซ่งึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แห่ง อวชิ ชา ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อวชิ ชา ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อวชิ ชา. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ดว้ ยเหตุแม้มปี ระมาณเท่าน้ี อรยิ สาวกน้ัน ชอื่ วา่ เป็นผ้มู ี สมั มาทิฏฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาดำ�เนนิ ไปตรง เขาประกอบแล้ว ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 07 ท่านผมู้ อี ายุทัง้ หลาย  ! อวชิ ชา เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ อวชิ ชา เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความดบั ไม่เหลือแหง่ อวชิ ชา เปน็ อยา่ งไรเล่า ? ข้อปฏิบตั ใิ หถ้ งึ ซ่ึง ความดับไม่เหลอื แห่งอวชิ ชา เปน็ อยา่ งไรเล่า ? ทา่ นผมู้ ีอายทุ ้ังหลาย  ! อวิชชา คือ ความไมร่ ู้ ในทกุ ข์ ความไมร่ ใู้ นเหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ ทกุ ข์ ความไมร่ ู้ ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ความไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึง ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! นีเ้ รียกว่า อวชิ ชา. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งอวิชชา ย่อมมีเพราะ ความก่อขึ้นพร้อมแห่งอาสวะ. ความดับไม่เหลือแห่งอวิชชา ย่อมมีเพราะ ความดับไม่เหลือแห่งอาสวะ. มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนี้ นั่นเอง เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่ง อวชิ ชา; ไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ น้ี คอื ความเหน็ ชอบ ความด�ำ รชิ อบ การพูดจาชอบ การทำ�การงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพยี รชอบ ความระลกึ ชอบ ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ.

2​ 08 พุทธวจน ท่านผู้มอี ายุทั้งหลาย  ! เมื่อใดแล อริยสาวกมา รู้ชัดซึ่งอวิชชา อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแห่ง อวิชชา อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งความดับไม่เหลือแห่งอวิชชา อย่างนี้, รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่ง อวิชชา อย่างนี้. อริยสาวกนั้น ละราคานุสัย บรรเทา ปฏิฆานุสัย ...(ขอ้ ความตอ่ ไปนีเ้ หมอื นกบั ข้อความในตอนทา้ ยแห่ง หมวด ก. จนกระทงั่ ถึงคำ�ว่า) ... ไมห่ วัน่ ไหวในธรรม มาสู่ พระสทั ธรรมน.้ี ง. ๑๓ เก่ยี วกบั อาสวะ “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! กป็ รยิ ายแมอ้ ยา่ งอน่ื ยงั มหี รอื ทจ่ี ะท�ำ ให้ อรยิ สาวกเปน็ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องทา่ นด�ำ เนนิ ไปตรง ทา่ นประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน้ี ?” มอี ยู่ ท่านผู้มีอายทุ ง้ั หลาย  ! คอื ในกาลใดแล อริยสาวกมารชู้ ดั ซ่งึ อาสวะ ซึ่งเหตุเปน็ แดนเกดิ แหง่ อาสวะ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อาสวะ ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อาสวะ. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ด้วยเหตุแมม้ ีประมาณเท่านี้ อรยิ สาวกน้นั ชือ่ ว่าเป็นผมู้ ี สมั มาทิฏฐิ ทฏิ ฐิของเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหวในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 09 ทา่ นผูม้ ีอายทุ ั้งหลาย ! อาสวะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ อาสวะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อาสวะ เป็นอย่างไรเลา่ ? ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อาสวะ เปน็ อย่างไรเลา่ ? ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! อาสวะ ๓ อยา่ งน้ี มอี ยู่ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งอาสวะ ย่อมมีเพราะ ความก่อขึ้นพร้อมแห่งอวิชชา. ความดับไม่เหลือแห่งอาสวะ ย่อมมีเพราะ ความดับไม่เหลือแห่งอวิชชา. มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนี้ นั่นเอง เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่ง อาสวะ; ไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ น้ี คอื ความเหน็ ชอบ ความด�ำ รชิ อบ การพูดจาชอบ การทำ�การงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพยี รชอบ ความระลกึ ชอบ ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ทา่ นผ้มู ีอายทุ ั้งหลาย ! เมอ่ื ใดแล อรยิ สาวกมา รชู้ ดั ซง่ึ อาสวะ อยา่ งน,้ี รชู้ ดั ซง่ึ เหตเุ ปน็ แดนเกดิ แหง่ อาสวะ อยา่ งน,้ี รชู้ ดั ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อาสวะ อยา่ งน,้ี รชู้ ดั ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อาสวะ อยา่ งน.้ี

2​ 10 พุทธวจน อรยิ สาวกนนั้ ละราคานุสยั บรรเทาปฏิฆานสุ ัย ถอนอนสุ ยั แหง่ ทฏิ ฐแิ ละมานะวา่ เรามเี ราเปน็ ไดโ้ ดยประการทง้ั ปวง ละอวิชชาแล้ว ทำ�วิชชาให้เกิดขึ้น เธอกระทำ�ที่สุดแห่ง ทกุ ข์ได้ ในทิฏฐธิ รรมน้ี นน่ั เทียว. ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ! ดว้ ยเหตแุ มเ้ พยี งเทา่ นแ้ี ล อรยิ สาวกนน้ั ชอ่ื วา่ ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ทฏิ ฐขิ องเขาด�ำ เนนิ ไปตรง เขาประกอบแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใสไมห่ วน่ั ไหว ในธรรม มาสพู่ ระสทั ธรรมน.้ี มู. ม. ๑๒/๘๕-๑๐๒/๑๑๐-๑๓๐.





ภาคผนวก พระสูตรที่ค้นคว้าเพิ่มเติม

2​ 14 พุทธวจน ๔๕ คณุ สมบตั พิ ระโสดาบนั (นยั ท่ี ๑) ครั้งน้ัน พระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผ้มู ีพระภาค ถงึ ทป่ี ระทบั ถวายบงั คมพระผมู้ พี ระภาคแลว้ นง่ั ณ ทค่ี วร ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่าน พระสารบี ตุ รว่า : สารบี ตุ ร ! ที่เรยี กวา่ โสตาปตั ติยังคะ โสตาปัตตยิ ังคะ ดังน้ี. โสตาปตั ติยงั คะ เปน็ อย่างไรเล่า ? ขา้ แต่พระองค์ผ้เู จรญิ ! โสตาปตั ติยังคะ คือ :- (๑) การคบสัตบรุ ุษ (สปฺปรสิ สํ เสว) (๒) การฟังพระสัทธรรม (สทฺธมมฺ สฺสวน) (๓) การทำ�ไวใ้ นใจโดยแยบคาย (โยนโิ สมนสิการ) (๔) การปฏบิ ตั ิธรรมสมควรแกธ่ รรม (ธมมฺ านธุ มมฺ ปฏปิ ตตฺ )ิ ถูกแล้ว ถกู แล้ว สารบี ุตร ! โสตาปตั ตยิ งั คะ คอื การคบสัตบุรุษ  การฟังพระสัทธรรม  การทำ�ไว้ในใจ โดยแยบคาย  การปฏบิ ัติธรรมสมควรแก่ธรรม. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๓๔/๑๔๒๗.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 15 ๔๖ คณุ สมบตั พิ ระโสดาบนั (นยั ท่ี ๒) ชา่ งไมท้ งั้ หลาย ! อรยิ สาวกผู้ประกอบดว้ ยธรรม ๔  ประการ  ย่อมเป็นพระโสดาบัน  มีความไม่ตกต่ำ� เปน็ ธรรมดา  เป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า. ธรรม ๔ ประการน้นั เป็นอย่างไรเลา่ ? ๔ ประการ คอื :- อรยิ สาวกในธรรมวนิ ยั น้ี (๑) ประกอบดว้ ยความเลือ่ มใสอันไม่หวนั่ ไหว ในพระพุทธเจ้า (๒) ประกอบดว้ ยความเลอ่ื มใสอนั ไมห่ วน่ั ไหวในพระธรรม (๓) ประกอบดว้ ยความเลอ่ื มใสอนั ไมห่ วน่ั ไหวในพระสงฆ์ (๔) มีใจปราศจากความตระหน่ีอันเป็นมลทิน  มีจาคะ อันปล่อยแล้ว  มีฝ่ามืออันชุ่ม  ยินดีในการสละ  ควรแกก่ ารขอ ยนิ ดใี นการจ�ำ แนกทาน อยคู่ รองเรอื น. ช่างไม้ทัง้ หลาย ! อรยิ สาวกผู้ประกอบดว้ ยธรรม ๔ ประการเหลา่ น้ี แล ยอ่ มเปน็ พระโสดาบนั มคี วามไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา  เป็นผ้เู ที่ยงแทท้ ่จี ะตรสั ร้ใู นเบ้ืองหนา้ . มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๔๐/๑๔๕๑.

2​ 16 พุทธวจน ๔๗ คณุ สมบตั พิ ระโสดาบนั (นยั ท่ี ๓) พราหมณ์และคฤหบดีทง้ั หลาย ! เราจักแสดง ธรรมปริยายอันควรน้อมเข้ามาในตนแก่ท่านท้ังหลาย ทา่ นทง้ั หลายจงฟงั ธรรมปรยิ ายนน้ั จงใสใ่ จใหด้ ี เราจกั กลา่ ว พราหมณแ์ ละคฤหบดที ง้ั หลาย ! ธรรมปรยิ าย ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาในตน เป็นอย่างไรเลา่ ? (๑) อรยิ สาวกในธรรมวนิ ยั น้ี ยอ่ มพจิ ารณาเหน็ ดงั นว้ี า่ เราอยากเปน็ อยู่ ไมอ่ ยากตาย รกั สขุ เกลยี ดทกุ ข์ ผใู้ ด จะปลงเราผอู้ ยากเปน็ อยู่ ไมอ่ ยากตาย รกั สขุ เกลยี ดทกุ ข์ เสยี จากชวี ติ ขอ้ นน้ั ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจของเรา อนง่ึ เราพงึ ปลงผอู้ น่ื ผอู้ ยากเปน็ อยู่ ไมอ่ ยากตาย รกั สขุ เกลยี ดทกุ ข์ เสยี จากชวี ติ ขอ้ น้ันก็ไมเ่ ปน็ ท่รี ักท่ีชอบใจแม้ของผู้อืน่ ธรรมขอ้ ใด ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจของเรา ธรรมขอ้ นน้ั กไ็ มเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจแมข้ องผอู้ น่ื ธรรมขอ้ ใด ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจ ของเรา เราจะพงึ ประกอบผอู้ น่ื ไวด้ ว้ ยธรรมขอ้ นน้ั ไดอ้ ยา่ งไร อรยิ สาวกนน้ั พจิ ารณาเหน็ ดงั นน้ั แลว้ ตนเองยอ่ มงดเวน้ จาก

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 17 ปาณาตบิ าตดว้ ย ชกั ชวนผอู้ น่ื เพอ่ื งดเวน้ จากปาณาตบิ าต ดว้ ย กลา่ วสรรเสรญิ คณุ แหง่ การงดเวน้ ปาณาตบิ าตดว้ ย กายสมาจารของอริยสาวกนั้น ย่อมบริสุทธิ์โดยส่วนสาม อย่างนี้. (๒) พราหมณแ์ ละคฤหบดที ง้ั หลาย! อกี ประการหนง่ึ อรยิ สาวกย่อมพจิ ารณาเหน็ ดงั นี้ว่า ผ้ใู ดพึงถือเอาสิ่งของ ที่เรามไิ ด้ให้ดว้ ยอาการขโมย ขอ้ นัน้ ไม่เปน็ ทร่ี ักทช่ี อบ ของเรา อนึ่ง เราพึงถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นมิได้ให้ด้วย อาการขโมย ขอ้ นน้ั ก็ไมเ่ ปน็ ท่รี กั ที่ชอบใจแมข้ องผอู้ ื่น ธรรมขอ้ ใด ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทร่ี กั ทช่ี อบใจของเรา ธรรมขอ้ นน้ั กไ็ มเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจแมข้ องผอู้ น่ื ธรรมขอ้ ใด ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจของเรา เราจะพงึ ประกอบผอู้ น่ื ไวด้ ว้ ยธรรมขอ้ นน้ั ได้อย่างไร อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ตนเอง ย่อมงดเว้นจากอทินนาทานด้วย ชักชวนผู้อื่นเพื่อให้ งดเวน้ จากอทนิ นาทานดว้ ย กลา่ วสรรเสรญิ คณุ แหง่ การ งดเวน้ จากอทนิ นาทานดว้ ย กายสมาจารของอรยิ สาวกนน้ั ย่อมบริสุทธโ์ิ ดยสว่ นสามอยา่ งน้.ี

2​ 18 พุทธวจน (๓) พราหมณแ์ ละคฤหบดที ง้ั หลาย ! อกี ประการหนง่ึ อรยิ สาวกยอ่ มพจิ ารณาเหน็ ดงั นว้ี า่ ผูใ้ ดพงึ ถงึ ความประพฤติ (ผดิ ) ในภรยิ าของเรา ขอ้ นน้ั ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจของเรา อนึ่ง เราพึงถึงความประพฤติ (ผิด) ในภริยาของผู้อื่น ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของผู้อื่น ธรรมข้อใด ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ธรรมข้อนั้น ก็ไม่เป็นที่รัก ที่ชอบใจแม้ของผู้อื่น ธรรมข้อใด ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ ของเรา เราจะพงึ ประกอบผอู้ น่ื ไวด้ ว้ ยธรรมขอ้ นน้ั ไดอ้ ยา่ งไร อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ตนเองย่อมงดเว้น จากกาเมสมุ จิ ฉาจารดว้ ย ชกั ชวนผอู้ น่ื เพอ่ื ใหง้ ดเวน้ จาก กาเมสมุ จิ ฉาจารดว้ ย กลา่ วสรรเสรญิ คณุ แหง่ การงดเวน้ จากกาเมสุมิจฉาจารดว้ ย กายสมาจารของอรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มบริสทุ ธโิ์ ดยสว่ นสามอย่างนี.้ (๔) พราหมณแ์ ละคฤหบดที ง้ั หลาย ! อกี ประการหนง่ึ อรยิ สาวกยอ่ มพจิ ารณาเหน็ ดงั นว้ี า่ ผใู้ ดพงึ ท�ำ ลายประโยชน์ ของเราด้วยการกล่าวเท็จ  ข้อนั้นไม่เป็นท่ีรักที่ชอบใจ ของเรา อนงึ่ เราพึงทำ�ลายประโยชนข์ องผ้อู ่นื ดว้ ยการ กล่าวเท็จ ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของผู้อื่น ธรรมขอ้ ใด ไม่เปน็ ที่รักทช่ี อบใจของเรา ธรรมข้อนั้น ก็

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 19 ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของผู้อื่น ธรรมข้อใด ไม่เป็น ที่รกั ท่ีชอบใจของเรา เราจะพึงประกอบผู้อน่ื ไวด้ ว้ ยธรรม ขอ้ นน้ั ไดอ้ ยา่ งไร อรยิ สาวกนน้ั พจิ ารณาเหน็ ดงั นแ้ี ลว้ ตนเอง ยอ่ มงดเวน้ จากมสุ าวาทดว้ ย ชกั ชวนผอู้ น่ื เพอ่ื ใหง้ ดเวน้ จากมสุ าวาทดว้ ย กลา่ วสรรเสรญิ คณุ แหง่ การงดเวน้ จาก มสุ าวาทด้วย วจสี มาจารของอริยสาวกนั้น ย่อมบรสิ ุทธ์ิ โดยสว่ นสามอยา่ งน้.ี (๕) พราหมณแ์ ละคฤหบดที ง้ั หลาย ! อกี ประการหนง่ึ อรยิ สาวกยอ่ มพจิ ารณาเหน็ ดงั นว้ี า่ ผใู้ ดพงึ ยยุ งใหเ้ ราแตก จากมติ รดว้ ยค�ำ สอ่ เสยี ด ขอ้ นน้ั ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจของเรา อนึ่ง เราพึงยุยงผู้อื่นให้แตกจากมิตรด้วยคำ�ส่อเสียด ขอ้ นน้ั กไ็ มเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจแมข้ องผอู้ น่ื ธรรมขอ้ ใด ไมเ่ ปน็ ท่ีรกั ทช่ี อบใจของเรา ธรรมข้อนนั้ กไ็ ม่เป็นทร่ี ักท่ีชอบใจ แมข้ องผู้อื่น ธรรมขอ้ ใด ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจของเรา เราจะ พงึ ประกอบผอู้ น่ื ไวด้ ว้ ยธรรมขอ้ นน้ั ไดอ้ ยา่ งไร อรยิ สาวกนน้ั พจิ ารณาเหน็ ดงั นแ้ี ลว้ ตนเองยอ่ มงดเวน้ จากปสิ ณุ าวาจาดว้ ย ชกั ชวนผอู้ น่ื เพอ่ื ใหเ้ วน้ จากปสิ ณุ าวาจาดว้ ย กลา่ วสรรเสรญิ คุณแห่งการงดเวน้ จากปสิ ุณาวาจาด้วย วจีสมาจารของ อริยสาวกน้นั   ย่อมบรสิ ุทธิ์โดยส่วนสามอย่างน้ี.

2​ 20 พุทธวจน (๖) พราหมณแ์ ละคฤหบดที ง้ั หลาย ! อกี ประการหนง่ึ อรยิ สาวกยอ่ มพจิ ารณาเหน็ ดงั นว้ี า่ ผใู้ ดพงึ พดู กะเราดว้ ย ค�ำ หยาบ ขอ้ นน้ั ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจของเรา อนง่ึ เราพงึ พูดกะผู้อื่นด้วยคำ�หยาบ ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ แม้ของผู้อื่น ธรรมข้อใด ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ธรรมขอ้ นน้ั กไ็ มเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจแมข้ องผอู้ น่ื ธรรมขอ้ ใด ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจของเรา เราจะพงึ ประกอบผอู้ น่ื ไวด้ ว้ ย ธรรมขอ้ นน้ั ไดอ้ ยา่ งไร อรยิ สาวกนน้ั พจิ ารณาเหน็ ดงั นแ้ี ลว้ ตนเองยอ่ มงดเวน้ จากผรสุ วาจาดว้ ย ชกั ชวนผอู้ น่ื เพอ่ื ให้ งดเว้นจากผรุสวาจาด้วย  กล่าวสรรเสริญคุณแห่งการ งดเว้นจากผรุสวาจาด้วย  วจีสมาจารของอริยสาวกนั้น ย่อมบรสิ ทุ ธิ์โดยส่วนสามอย่างนี้. (๗) พราหมณแ์ ละคฤหบดที ง้ั หลาย ! อกี ประการหนง่ึ อรยิ สาวกยอ่ มพจิ ารณาเหน็ ดงั นว้ี า่ ผใู้ ดพงึ พดู กะเราดว้ ย ถอ้ ยค�ำ เพอ้ เจอ้ ขอ้ นน้ั ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจของเรา อนง่ึ เราพึงพูดกะผ้อู น่ื ด้วยถอ้ ยค�ำ เพ้อเจ้อ ข้อนั้นก็ไม่เปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจแมข้ องผอู้ น่ื ธรรมขอ้ ใด ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจ ของเรา ธรรมข้อนั้น ก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของผู้อื่น

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 21 ธรรมขอ้ ใด ไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจของเรา เราจะพงึ ประกอบ ผอู้ น่ื ไวด้ ว้ ยธรรมขอ้ นน้ั ไดอ้ ยา่ งไร อรยิ สาวกนน้ั พจิ ารณา เห็นดงั นแ้ี ลว้ ตนเองยอ่ มงดเวน้ จากสัมผัปปลาปะดว้ ย ชกั ชวนผู้อืน่ เพ่อื ใหง้ ดเวน้ จากสัมผปั ปลาปะด้วย กลา่ ว สรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจากสัมผัปปลาปะด้วย วจสี มาจารของอรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มบรสิ ทุ ธโ์ิ ดยสว่ นสามอยา่ งน.้ี อริยสาวกนั้นประกอบด้วยความเลื่อมใสอัน ไมห่ วน่ั ไหวในพระพทุ ธเจา้ ... ในพระธรรม... ในพระสงฆ.์ .. ประกอบดว้ ยศลี ที่พระอรยิ เจ้ารักใครแ่ ล้ว... เปน็ ไปเพอ่ื สมาธ.ิ พราหมณแ์ ละคฤหบดที ง้ั หลาย ! เมอ่ื ใด อรยิ สาวก ประกอบดว้ ยสทั ธธรรม ๗ ประการน้ี เมอ่ื นน้ั อรยิ สาวกนน้ั หวงั อยู่ ด้วยฐานะเป็นทต่ี ัง้ แหง่ ความหวัง ๔ ประการนี้ พงึ พยากรณต์ นดว้ ยตนเองไดว้ า่ เรามนี รก ก�ำ เนดิ ดริ จั ฉาน วิสัยแห่งเปรต  อบาย  ทุคติ  วินิบาตส้ินแล้ว  เราเป็น พระโสดาบนั   มคี วามไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา  เปน็ ผเู้ ทย่ี งแท้ ทจี่ ะตรัสรู้ในเบอ้ื งหนา้ . มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๔๓/๑๔๕๙.

2​ 22 พุทธวจน ๔๘ คณุ สมบตั พิ ระโสดาบนั (นยั ท่ี ๔) (โสตาปัตติยังคะ ๔ จ�ำ แนกดว้ ยอาการ ๑๐) กส็ มัยน้นั ทา่ นอนาถบณิ ฑกิ คฤหบดปี ว่ ย ไดร้ บั ทุกข์ เป็นไขห้ นกั คร้ังน้นั ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดเี รียกบุรุษ คนหนงึ่ มาสงั่ ว่า บรุ ุษผู้เจรญิ ! ท่านจงไปเถดิ จงเข้าไปหา ท่านพระสารบี ุตร คร้นั แลว้ จงไหว้เท้าทง้ั สองของทา่ นพระ สารบี ตุ รดว้ ยเศยี รเกลา้ ตามค�ำ ของเราวา่   ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย  ได้รับทุกข์  เป็นไข้หนัก  เขา ขอกราบเท้าทั้งสองของท่านพระสารีบุตรด้วยเศียรเกล้า และท่านจงเรยี นอย่างนีว้ ่า ขา้ แตท่ า่ นผู้เจรญิ ได้โปรดเถดิ ขอท่านพระสารีบุตรจงอาศัยความอนุเคราะห์เข้าไปยัง นิเวศน์ ของทา่ นอนาถบณิ ฑกิ คฤหบดเี ถดิ

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 23 บุรุษน้ันรับคำ�ของท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีแล้ว เขา้ ไปหาทา่ นพระสารบี ตุ รถงึ ทอ่ี ยู่ อภวิ าทแลว้ นง่ั ณ ทค่ี วร ส่วนข้างหน่ึง  ครั้นแล้วได้เรียนว่า  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  ! ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย  ได้รับทุกข์  เป็นไข้หนัก ทา่ นขอกราบเทา้ ทง้ั สองของทา่ นพระสารบี ตุ รดว้ ยเศยี รเกลา้ และท่านสงั่ มาอยา่ งน้วี ่า ขา้ แตท่ ่านผเู้ จริญ ! ได้โปรดเถิด ขอท่านพระสารีบุตรจงอาศัยความอนุเคราะห์เข้าไปยัง นเิ วศนข์ องทา่ นอนาถบณิ ฑกิ คฤหบดเี ถดิ . ทา่ นพระสารบี ตุ ร รบั นิมนต์ด้วยดุษณภี าพ. ครัง้ นัน้ เวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถอื บาตรและจวี ร มที า่ นพระอานนทเ์ ปน็ ปจั ฉาสมณะ เขา้ ไป ยงั นเิ วศนข์ องทา่ นอนาถบณิ ฑกิ คฤหบดี แลว้ นง่ั บนอาสนะ ทเ่ี ขาปลู าดไว้ ครน้ั แลว้ ไดถ้ ามทา่ นอนาถบณิ ฑกิ คฤหบดวี า่ คฤหบดี ! ทา่ นพออดทนไดห้ รอื พอยงั อตั ตภาพใหเ้ ปน็ ไป ไดห้ รอื ทกุ ขเวทนาคลายลง ไมก่ �ำ เรบิ ขน้ึ แลหรอื ความทเุ ลา ยอ่ มปรากฏ ความก�ำ เรบิ ไมป่ รากฏแลหรือ ?

2​ 24 พุทธวจน ขา้ แตท่ า่ นผเู้ จรญิ ! กระผมอดทนไมไ่ ด้ ยงั อตั ตภาพ ใหเ้ ปน็ ไปไมไ่ ด้ ทกุ ขเวทนาของกระผมก�ำ เรบิ หนกั ไมท่ เุ ลา ลงเลย ความกำ�เริบยอ่ มปรากฏ ความทุเลาไมป่ รากฏ. คฤหบดี ! ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั ประกอบดว้ ยความ ไมเ่ ลอ่ื มใสในพระพทุ ธเจา้ เหน็ ปานใด เมอ่ื แตกกายตายไป ย่อมเขา้ ถงึ อบาย ทุคติ วินบิ าต นรก ความไมเ่ ลื่อมใส ในพระพุทธเจ้าเหน็ ปานนนั้ ยอ่ มไม่มแี กท่ า่ น ส่วนทา่ น มีความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า แม้ เพราะเหตุนๆ้ี พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ... เป็นผู้ จำ�แนกธรรม ก็เมื่อทา่ นเหน็ ความเลอ่ื มใสอันไม่หว่นั ไหว ในพระพทุ ธเจา้ นน้ั อยใู่ นตน เวทนาจะพงึ สงบระงบั โดยพลนั . คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ประกอบด้วย ความไมเ่ ลอ่ื มใสในพระธรรมเหน็ ปานใด เมอ่ื แตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทคุ ติ วินบิ าต นรก ความไม่เลอ่ื มใสใน พระธรรมเหน็ ปานนน้ั ยอ่ มไมม่ แี กท่ า่ น สว่ นทา่ นมีความ เลือ่ มใสอันไมห่ วน่ั ไหวในพระธรรม วา่ ธรรมอนั พระผมู้ ี พระภาคตรสั ดแี ลว้ ... อนั วญิ ญูชนพึงรู้เฉพาะตน  ก็เม่ือ

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 25 ท่านเห็นความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมนั้นอยู่ ในตน  เวทนาจะพงึ สงบระงับโดยพลนั . คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ประกอบด้วย ความไมเ่ ลอ่ื มใสในพระสงฆเ์ หน็ ปานใด เมอ่ื แตกกายตายไป ย่อมเข้าถงึ อบาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก ความไมเ่ ลอ่ื มใสใน พระสงฆ์เห็นปานน้ัน ย่อมไมม่ ีแก่ทา่ น สว่ นท่านมคี วาม เลอ่ื มใสในพระสงฆว์ า่ พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาค เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ดิ แี ลว้ ... เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อ่นื ย่ิงกว่า  ก็เม่ือท่านเห็นความเลื่อมใสอันไม่หว่ันไหวใน พระสงฆน์ น้ั อยใู่ นตน เวทนาจะพงึ สงบระงบั โดยพลนั . คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ประกอบด้วย ความเปน็ ผทู้ ศุ ลี เหน็ ปานใด เมอ่ื แตกกายตายไป ยอ่ มเขา้ ถงึ อบาย  ทคุ ต ิ วนิ บิ าต  นรก  ความเปน็ ผทู้ ศุ ลี เหน็ ปานนน้ั   ย่อมไม่มีแก่ท่าน  ส่วนทา่ นมีศีลท่ีพระอริยเจ้าใคร่แล้ว  ไมข่ าด ... เปน็ ไปเพอ่ื สมาธกิ เ็ มอ่ื ทา่ นเหน็ ศลี ทพ่ี ระอรยิ เจา้ ใคร่แล้วอยู่ในตน  เวทนาจะพึงสงบระงับโดยพลัน.

2​ 26 พุทธวจน คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ประกอบด้วย มิจฉาทิฏฐิเห็นปานใด  เมื่อแตกกายตายไป  ย่อมเข้าถึง อบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  มิจฉาทิฏฐิเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ท่าน  ส่วนท่านมีสัมมาทิฏฐิ  ก็เม่ือท่านเห็น สมั มาทิฏฐนิ ัน้ อยู่ในตน  เวทนาจะพงึ สงบระงบั โดยพลัน. คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ประกอบด้วย มจิ ฉาสงั กปั ปะเหน็ ปานใด เมอ่ื แตกกายตายไป ยอ่ มเขา้ ถงึ อบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  มิจฉาสังกัปปะเห็นปานน้ัน ยอ่ มไมม่ แี กท่ า่ น สว่ นทา่ นมสี มั มาสงั กปั ปะ กเ็ มอ่ื ทา่ นเหน็ สมั มาสงั กปั ปะนน้ั อยใู่ นตน เวทนาจะพงึ สงบระงบั โดยพลนั . คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ประกอบด้วย มิจฉาวาจาเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึง อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก มจิ ฉาวาจาเหน็ ปานนน้ั ยอ่ มไมม่ ี แกท่ า่ น สว่ นทา่ นมสี มั มาวาจา กเ็ มอ่ื ทา่ นเหน็ สมั มาวาจานน้ั อยู่ในตน  เวทนาจะพงึ สงบระงบั โดยพลนั .

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 27 คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ประกอบด้วย มจิ ฉากมั มนั ตะเหน็ ปานใด เมอ่ื แตกกายตายไป ยอ่ มเขา้ ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก มจิ ฉากมั มนั ตะเหน็ ปานนน้ั ยอ่ มไมม่ แี กท่ า่ น สว่ นทา่ นมสี มั มากมั มนั ตะ กเ็ มอ่ื ทา่ นเหน็ สมั มากมั มนั ตะนน้ั อยใู่ นตน เวทนาจะพงึ สงบระงบั โดยพลนั . คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ประกอบด้วย มิจฉาอาชวี ะเหน็ ปานใด เมือ่ แตกกายตายไป ยอ่ มเขา้ ถงึ อบาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก มจิ ฉาอาชีวะเหน็ ปานนัน้ ยอ่ มไมม่ แี กท่ า่ น สว่ นทา่ นมสี มั มาอาชวี ะ กเ็ มอ่ื ทา่ นเหน็ สมั มาอาชวี ะนน้ั อยใู่ นตน เวทนาจะพงึ สงบระงบั โดยพลนั . คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ประกอบด้วย มจิ ฉาวายามะเหน็ ปานใด เมอ่ื แตกกายตายไป ยอ่ มเขา้ ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก มจิ ฉาวายามะเห็นปานนนั้ ยอ่ มไมม่ แี กท่ า่ น สว่ นทา่ นมสี มั มาวายามะ กเ็ มอ่ื ทา่ นเหน็ สมั มาวายามะนน้ั อยใู่ นตน เวทนาจะพงึ สงบระงบั โดยพลนั .

2​ 28 พุทธวจน คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ประกอบด้วย มจิ ฉาสตเิ หน็ ปานใด เมอ่ื แตกกายตายไป ยอ่ มเขา้ ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก มจิ ฉาสตเิ หน็ ปานนน้ั ยอ่ มไมม่ แี กท่ า่ น สว่ นทา่ นมสี มั มาสติ กเ็ มอ่ื ทา่ นเหน็ สมั มาสตนิ น้ั อยใู่ นตน เวทนาจะพงึ สงบระงับโดยพลัน. คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ประกอบด้วย มจิ ฉาสมาธเิ หน็ ปานใด เมอ่ื แตกกายตายไป ยอ่ มเขา้ ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก มจิ ฉาสมาธเิ หน็ ปานนน้ั ยอ่ มไมม่ แี กท่ า่ น สว่ นทา่ นมสี มั มาสมาธิ กเ็ มอ่ื ทา่ นเหน็ สมั มาสมาธนิ น้ั อยใู่ นตน เวทนาจะพึงสงบระงับโดยพลัน. คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ประกอบด้วย มจิ ฉาญาณะเหน็ ปานใด เมอ่ื แตกกายตายไป ยอ่ มเขา้ ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก มจิ ฉาญาณะเหน็ ปานนน้ั ยอ่ มไมม่ แี กท่ า่ น ส่วนท่านมีสมั มาญาณะ ก็เม่ือทา่ นเห็นสัมมาญาณะนน้ั อยู่ในตน เวทนาจะพงึ สงบระงบั โดยพลัน.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 29 คฤหบดี ! ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วย มิจฉาวมิ ตุ ติเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ยอ่ มเข้าถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก มจิ ฉาวมิ ตุ ตเิ หน็ ปานนน้ั ยอ่ มไมม่ ี แกท่ า่ น สว่ นทา่ นมสี มั มาวมิ ตุ ติ กเ็ มอ่ื ทา่ นเหน็ สมั มาวมิ ตุ ติ น้ันอยูใ่ นตน เวทนาจะพงึ สงบระงบั โดยพลัน. ครง้ั นัน้ เวทนาของท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี สงบระงบั แล้วโดยพลนั ทา่ นอนาถบณิ ฑกิ คฤหบดีอังคาส ทา่ นพระสารีบุตรและทา่ นพระอานนท์ ดว้ ยอาหารทีเ่ ขา จดั มาเฉพาะตน คร้งั นนั้ ทา่ นอนาถบิณฑิกคฤหบดี เมื่อ ท่านพระสารีบตุ รฉันเสร็จนำ�มือออกจากบาตรแลว้ จึงถือ เอาอาสนะต่�ำ อันหนง่ึ นง่ั ณ ทค่ี วรส่วนขา้ งหนงึ่ แลว้ ทา่ น พระสารีบุตรอนุโมทนาด้วยคาถาเหล่าน้ี ผู้ใดมศี รัทธา ตัง้ มนั่ ไม่หว่ันไหว ในพระตถาคต มีศีลอันงามทพี่ ระอรยิ เจา้ ใครแ่ ลว้ สรรเสริญแล้ว มีความ เลอ่ื มใสในพระสงฆ์ และมคี วามเหน็ อนั ตรง บณั ฑติ ทง้ั หลาย

2​ 30 พุทธวจน เรยี กผนู้ ัน้ วา่ เปน็ คนไม่ขดั สน ชีวติ ของผนู้ ้นั ไม่เปลา่ ประโยชน์ เพราะฉะนั้นบุคคลผู้มีปัญญา เมื่อระลึกถึง คำ�สอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงประกอบตามซึ่ง ศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และความเห็นธรรม. คร้งั นนั้ ทา่ นพระสารบี ตุ ร คร้นั อนโุ มทนาดว้ ย คาถาเหลา่ นแี้ ล้ว จงึ ลุกจากอาสนะหลีกไป. ล�ำ ดบั นน้ั ทา่ นพระอานนทเ์ ขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาค ถงึ ทป่ี ระทบั ถวายบงั คมพระผมู้ พี ระภาคแลว้ นง่ั ณ ทค่ี วร ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่าน พระอานนท์ว่า อานนท์ ! เธอมาจากไหนแต่ยังวนั . ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ท่านพระสารีบุตรกล่าวสอน อนาถบณิ ฑกิ คฤหบดดี ้วยโอวาทขอ้ นี้ๆ.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook