พุทธวจน ธรรมตามรอย
ภิกษุทงั้ หลาย ! สว่ นสุตตันตะเหล่าใด ทเ่ี ปน็ ค�าของตถาคต เปน็ ขอ้ ความลึก มีความหมายซ้ึง เปน็ ชน้ั โลกตุ ตระ ว่าเฉพาะด้วยเร่อื งสุญญตา เมอื่ มผี ูน้ �าสุตตันตะเหล่าน้นั มากลา่ วอยู่ เธอย่อมฟงั ดว้ ยดี ย่อมเงยี่ หูฟัง ยอ่ มตั้งจิตเพ่ือจะรู้ทั่วถงึ และย่อมส�าคญั ว่า เปน็ สงิ่ ทต่ี นควรศึกษาเล่าเรียน จงึ พากันเลา่ เรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอย่วู ่า ข้อน้เี ป็นอยา่ งไร มคี วามหมายกน่ี ยั ดังน้.ี ดว้ ยการทา� ดงั นี้ เธอย่อมเปิดธรรมท่ถี ูกปิดไว้ได้. ธรรมทยี่ งั ไมป่ รากฏ เธอกท็ �าให้ปรากฏได้ ความสงสยั ในธรรมหลายประการทีน่ ่าสงสยั เธอก็บรรเทาลงได้. -บาลี ทกุ . อ.ํ ๒๐/๙๑/๒๙๒.
พุทธวจน ตามสรุภทั อทะ! ยธรรม ในธรรมวนิ ัยน้ีแล มีอรยิ มรรคมอี งค์ ๘... พวกเธอแล มีชอาอถตกโ้าิตลบภ่ากวิกงกชษกจ็จนัทุ ะางั้ไกมมหเีนรว่ลือาา่ามนงยจตเเปหาา่ กน็งลกพผ่าันน้ไูรมะี้ มพห่อีโรงึวคหอังตยเนั กรูโ่ตตย่ีด์ท่าวยง้ังขชหกอ้อันลงบาดไมย้วซีส.ยรวกเ้ ารุลเอื ตสน่าฏแงฐกละนั้ว ! ใครก็ตอาามน“นเจทร์ักา! ทตเใง้ัอ้มนหอ่ืงกไลถมามูกาลเ่ ีตอเยบขานดัาสเนถป่งิเากี้ปอน็ม็ด่นื ็นวสีเใป่าปมนน็ “กณรสพาะรลสวทณลกาพว่ะปีทกวง่ายไกนปมปเเธแปตีุตอหน็ กตนง่ ใ็ปเิยคเรฏประาิญ ก”?็น”ด็ าดีสณดังังรนวนา่ณ.ี้ ้ี ะ มธี รรมเปน็ ประทีป มีธรรมเปน็ สรณะ ไมเ่ อาส่งิ อนื่ เป็นสรณะ. อานนท์ ! ภกิ ษุพวกใด เป็นผใู้ ครใ่ นสกิ ขา อนง่ึ ศรัทธาขภอิกงผษใู้ ุพดแวลกตน้ังมน้ั น่ั ในจตักถเาปคต็นผู้อยใู่ นสถานะอนั เลศิ ท่ีสดุ แล. ฝงั ลงรากแลว้ ดำ�รงอย่ไู ดม้ ่ันคง อันสมณะหรอื พราหม-ณบา์ ลเที มวหดา.าที.ม๑า๐ร/๑๗พ๕ร/ห๑๓ม๘ห. ,ร-อื บใาคลีรมๆหาใวนารโ.ลส.ํก๑ก๙็ต/๒า๑ม๗/๗๔๐. ไม่ชกั นำ�ไปทางอื่นได้ ผ้นู ั้นควรทจี่ ะกล่าวอย่างนีว้ ่า “เราเปน็ บตุ ร เปน็ โอรส เกดิ จากพระโอษฐข์ องพระผมู้ พี ระภาคเจา้ เกดิ โดยธรรม เนรมิตโดยธรรม เป็นทายาทโดยธรรม”ดงั น.ี้ -บาลี ปา. ที. ๑๑/๙๑/๕๕.
ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! พวกเธอเอน็ ดใู คร และใครถอื วา่ เธอเปน็ ผทู้ เ่ี ขาควรเชอ่ื ฟงั เขาจะเปน็ มติ รกต็ าม อำ� มาตยก์ ต็ าม ญาตหิ รอื สายโลหติ กต็ าม; ชนเหลา่ นนั้ อนั เธอพงึ ชกั ชวนใหเ้ ขา้ ไปตงั้ มน่ั ในความจรงิ อนั ประเสรฐิ สปี่ ระการ ดว้ ยปญั ญาอนั รเู้ ฉพาะตามทเี่ ปน็ จรงิ . ความจรงิ อนั ประเสรฐิ สป่ี ระการ อะไรเลา่ ? ส ป่ี ระการคอื ความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื ทกุ ข,์ ความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื เหตใุ หเ้ กดิ ขนึ้ แหง่ ทกุ ข,์ ความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข,์ ความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื ทางด�ำเนนิ ใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข.์ -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๔๔/๑๗๐๖.
พุทธวจน ฉบับ๑ ตามรอยธรรม พุทธวจนสถาบัน รว่ มกนั มงุ่ มน่ั ศกึ ษา ปฏบิ ตั ิ เผยแผค่ �ำ ของตถาคต
พุทธวจน ฉบบั ๑ ตามรอยธรรม ข้อมูลธรรมะนี้ จัดทำ�เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน เป็นธรรมทาน ลิขสิทธ์ใิ นตน้ ฉบบั น้ไี ดร้ บั การสงวนไว้ ไม่สงวนสทิ ธ์ิในการจัดทำ�จากตน้ ฉบบั เพ่ือเผยแผใ่ นทกุ กรณี ในการจัดทำ�หรอื เผยแผ่ โปรดใชค้ วามละเอยี ดรอบคอบ เพอ่ื รักษาความถกู ต้องของขอ้ มูล ขอค�ำ ปรึกษาด้านขอ้ มลู ในการจัดท�ำ เพ่อื ความสะดวกและประหยัด ตดิ ตอ่ ไดท้ ี่ มลู นิธพิ ทุ ธโฆษณ ์ โทรศพั ท์ ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๙๔ พทุ ธวจนสมาคม โทรศพั ท ์ ๐๘ ๑๖๔๗ ๖๐๓๖ มูลนธิ พิ ทุ ธวจน โทรศพั ท ์ ๐๘ ๑๔๕๗ ๒๓๕๒ คณุ ศรชา โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ คุณอารีวรรณ โทรศพั ท์ ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘ ปที ี่พิมพ์ ๒๕๕๗ ศลิ ปกรรม ปรญิ ญา ปฐวนิ ทรานนท,์ วชิ ชุ เสริมสวัสดศิ์ รี, ณรงคเ์ ดช เจรญิ ปาละ จัดท�ำ โดย มลู นิธพิ ทุ ธโฆษณ์ (เวบ็ ไซต์ www.buddhakos.org) ส�ำ หรบั ผตู้ อ้ งการปฏบิ ตั ธิ รรรม ตดิ ตอ่ ไดท้ ่ี ศนู ยป์ ฏบิ ตั พิ ทุ ธวจน (Buddhawajana Training Center) ซอยคลองสต่ี ะวนั ออก ๗๓ หมู่ ๑๕ คลองส่ี อ�ำ เภอคลองหลวง จงั หวดั ปทมุ ธานี โทรศพั ท์ ๐๙ ๒๙๑๒ ๓๖๕๗, ๐๙ ๒๙๑๒ ๓๗๒๑, ๐๙ ๒๙๑๒ ๓๔๗๑
มลู นธิ ิพทุ ธโฆษณ์ เลขท่ี ๒๙/๓ หมทู่ ่ี ๗ ต�ำ บลบงึ ทองหลาง อ�ำ เภอล�ำ ลกู กา จงั หวดั ปทมุ ธานี ๑๒๑๕๐ โทรศพั ท์ /โทรสาร ๐ ๒๕๔๙ ๒๑๗๕ เวบ็ ไซต์ : www.buddhakos.org
ค�ำ อนโุ มทนา ขออนุโมทนา กับคณะผู้จดั ท�ำ หนงั สือพุทธวจน ฉบับ “ตามรอยธรรม” ในเจตนาอนั เปน็ กศุ ล ทม่ี ีความ ตั้งใจเผยแผ่คำ�สอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่ีออกจาก พระโอษฐ์ของพระองค์เอง เพื่อให้ผู้สนใจได้ศึกษาและ นำ�มาปฏิบัติเพื่อให้ถึงความพ้นทุกข์ ด้วยการกระทำ� อันเป็นกุศลนี้ ขอให้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ผู้มีส่วนร่วม ในการท�ำ หนงั สอื เลม่ น้ี และผู้ท่ไี ดอ้ า่ น ไดศ้ กึ ษา พึงเกิด ปญั ญา ไดด้ วงตาเห็นธรรม พ้นทุกขใ์ นชาตินี้เทอญ ขออนโุ มทนา ภกิ ขคุ ึกฤทธิ์ โสตถฺ ิผโล
ค�ำ นำ� หนังสือ “พุทธวจน ฉบับ ตามรอยธรรม” ไดจ้ ดั ท�ำ ขน้ึ ดว้ ยปรารภเหตทุ ว่ี า่ หลายคนยงั เหน็ ค�ำ สอนของ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ วา่ เปน็ สง่ิ ทย่ี าก หรอื เปน็ สง่ิ ทไ่ี กลตวั เกนิ ไป ท�ำ ใหม้ นี อ้ ยคนนกั ทจ่ี ะหนั มาใสใ่ จศกึ ษาค�ำ สอนของ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ อยา่ งจรงิ จัง ทั้งๆ ทีพ่ ระองคไ์ ด้ตรัสไว้ แล้วว่า คำ�สอนที่พระองค์ตรัสสอนทั้งหมดนั้น บริสุทธิ์ บริบูรณแ์ ลว้ สน้ิ เชิง อกี ทง้ั ค�ำ สอนน้ัน ยงั เปน็ สง่ิ ทีเ่ รียกว่า “อกาลโิ ก” คอื ใชไ้ ดไ้ ปตลอด ไมม่ คี �ำ วา่ เกา่ หรอื ลา้ สมยั และ ใช้ได้กับบุคคลทุกคน อันจะเห็นได้จากในสมัยพุทธกาล ที่พุทธบริษัท ๔ ทง้ั หลายนั้น มคี นจากหลายชาตแิ ละวรรณะ นอกจากนพ้ี ระองคย์ งั ไดต้ รสั อกี วา่ บคุ คลทท่ี า่ นตรสั สอนนน้ั มตี ง้ั แต่ พรหม เทวดา ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อบุ าสกิ า ไปจน ถงึ ปถุ ชุ นคนธรรมดาทว่ั ไป และทกุ คนนน้ั เมอ่ื น�ำ ค�ำ สอนของ พระองคไ์ ปปฏบิ ตั แิ ลว้ กส็ ามารถแกท้ กุ ขห์ รอื ดบั ทกุ ขใ์ หก้ บั ตนเองไดท้ ง้ั สน้ิ คณะงานธมั มะ วดั นาปา่ พง มิถุนายน ๒๕๕๔
อักษรย่อ เพอ่ื ความสะดวกแกผ่ ทู้ ย่ี งั ไมเ่ ขา้ ใจเรอ่ื งอกั ษรยอ่ ทใ่ี ชห้ มายแทนชอ่ื คมั ภรี ์ ซง่ึ มอี ยโู่ ดยมาก มหาว.ิ วิ. มหาวภิ งั ค ์ วินัยปิฎก. ภกิ ขฺ ุน.ี วิ. ภิกขนุ วี ิภงั ค์ วินยั ปฎิ ก. มหา. วิ. มหาวรรค วินยั ปฎิ ก. จุลฺล. ว.ิ จุลวรรค วินยั ปฎิ ก. ปริวาร. ว.ิ ปรวิ ารวรรค วนิ ัยปิฎก. สี. ที. สีลขนั ธวรรค ทฆี นิกาย. มหา. ท.ี มหาวรรค ทฆี นกิ าย. ปา. ที. ปาฏิกวรรค ทฆี นกิ าย. มู. ม. มลู ปณั ณาสก์ มชั ฌิมนกิ าย. ม. ม. มชั ฌมิ ปณั ณาสก์ มชั ฌมิ นิกาย. อุปร.ิ ม. อปุ รปิ ณั ณาสก์ มชั ฌมิ นกิ าย. สคาถ. ส.ํ สคาถวรรค สังยุตตนิกาย. นิทาน. ส.ํ นิทานวรรค สงั ยุตตนิกาย. ขนธฺ . ส.ํ ขนั ธวารวรรค สงั ยตุ ตนกิ าย. สฬา. ส.ํ สฬายตนวรรค สงั ยตุ ตนกิ าย. มหาวาร. สํ. มหาวารวรรค สงั ยุตตนิกาย. เอก. อํ. เอกนิบาต อังคุตตรนกิ าย. ทุก. อ.ํ ทกุ นิบาต อังคตุ ตรนิกาย. ตกิ . อ.ํ ตกิ นบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย. จตกุ กฺ . อ.ํ จตกุ กนบิ าต อังคตุ ตรนิกาย.
ปญฺจก. อํ. ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย. ฉกกฺ . อํ. ฉกั กนบิ าต องั คตุ ตรนิกาย. สตตฺ ก. อํ. สตั ตกนิบาต อังคุตตรนิกาย อฏฺ ก. อํ. อฏั ฐกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย. นวก. อ.ํ นวกนิบาต อังคุตตรนกิ าย. ทสก. อ.ํ ทสกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย. เอกาทสก. อ.ํ เอกาทสกนิบาต องั คตุ ตรนกิ าย. ข.ุ ขุ. ขุททกปาฐะ ขทุ ทกนกิ าย. ธ. ข.ุ ธรรมบท ขทุ ทกนกิ าย. อ.ุ ข.ุ อุทาน ขทุ ทกนิกาย. อิติวุ. ขุ. อติ ิวุตตกะ ขทุ ทกนิกาย. สุตฺต. ข.ุ สตุ ตนิบาต ขุททกนกิ าย. วมิ าน. ขุ. วิมานวตั ถุ ขทุ ทกนิกาย. เปต. ขุ. เปตวัตถุ ขทุ ทกนกิ าย. เถร. ข.ุ เถรคาถา ขุททกนิกาย. เถรี. ขุ. เถรคี าถา ขทุ ทกนกิ าย. ชา. ข.ุ ชาดก ขุททกนกิ าย. มหาน.ิ ข.ุ มหานทิ เทส ขุททกนิกาย. จูฬน.ิ ข.ุ จูฬนทิ เทส ขทุ ทกนกิ าย. ปฏสิ ม.ฺ ข.ุ ปฏสิ ัมภิทามรรค ขุททกนิกาย. อปท. ขุ. อปทาน ขทุ ทกนิกาย. พทุ ธฺ ว. ขุ. พทุ ธวงส์ ขุททกนิกาย. จริยา. ขุ. จรยิ าปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย. ตัวอยา่ ง : ๑๔/๑๗๑/๒๔๕ ให้อา่ นว่า ไตรปิฎกฉบบั สยามรัฐ เล่ม ๑๔ หนา้ ๑๗๑ ข้อที่ ๒๔๕
สารบญั ๑. เน้ือแท้ทีไ่ ม่อนั ตรธาน ๑ ๒. ผ้ชู ขี้ มุ ทรพั ย์ ! ๓ ๓. ทรงแสดงเรอื่ งทเ่ี ปน็ ไปไดย้ ากเกย่ี วกบั พระองคเ์ อง ๕ ๔. พระพุทธเจา้ ทงั้ ในอดตี , อนาคต และในปจั จบุ นั ๗ ล้วนแต่ตรสั ร้อู ริยสัจสี่ ๕. พระพทุ ธองค์ ทรงพระนามวา่ ๙ “อรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธะ” กเ็ พราะได้ตรสั รู้อรยิ สจั สี ่ ๖. จงสงเคราะห์ผอู้ น่ื ด้วยการใหร้ อู้ ริยสัจ ๑๑ ๗. อรยิ สจั สโ่ี ดยสงั เขป (ทรงแสดงดว้ ยความยดึ ในขนั ธห์ า้ ) ๑๓ ๘. การรอู้ รยิ สัจสี่ ท�ำให้มีตาสมบูรณ ์ ๑๖ ๙. การสนทนากบั พระอานนท์ เร่อื งกัลยาณมติ ร ๑๙ ๑๐. กลั ยาณมิตรของพระองคเ์ อง ๒๑ ๑๑. ขยายความแหง่ อริยมรรคมีองคแ์ ปด ๒๓ ๑๒. โลกจะไมว่ ่างจากพระอรหนั ต ์ ๒๙ ๑๓. ความเหมอื นและความแตกตา่ งระหวา่ ง ๓๐ สัมมาสมั พุทธะ กับ ภิกษผุ ปู้ ัญญาวมิ ตุ ติ
๑๔. ไม่ได้ทรงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อให้เขานบั ถือ ๓๒ ๑๕. ทรงสอนเฉพาะแตเ่ รอ่ื งทกุ ขก์ บั ความดบั สนทิ ของทกุ ข ์ ๓๓ ๑๖. ค�ำของพระองค์ ตรงเป็นอนั เดียวกันหมด ๓๕ ๑๗.หลักทีท่ รงใชใ้ นการตรัส (๖ อย่าง) ๓๖ ๑๘. สิง่ ทีต่ รสั รูแ้ ตไ่ ม่ทรงน�ำมาสอน ๓๙ มีมากกว่าทท่ี รงน�ำมาสอนมากนกั ๑๙. ถ้ามัวรอให้รเู้ ร่อื งที่ไมจ่ �ำเปน็ เสยี ก่อนก็ตายเปลา่ ๔๑ ๒๐. ค�ำสอนทท่ี รงสง่ั สอนบ่อยมาก ๔๓ ๒๑. ล�ำดบั การหลดุ พ้น เมื่อเห็นไตรลักษณ ์ ๔๕ ๒๒. ผู้ไมเ่ ขา้ ไปหา ยอ่ มหลุดพน้ ๔๗ ๒๓. มนษุ ยเ์ ปน็ อันมาก ไดย้ ดึ ถือเอาทพี่ ึ่งผดิ ๆ ๕๑ ๒๔. จงเจรญิ สมาธิ จักรู้อรยิ สัจตามเป็นจรงิ ๕๒ ๒๕. ทรงมีหลกั เกณฑก์ ารฝกึ ตามล�ำดับ (อยา่ งยอ่ ) ๕๓ ๒๖. ทรงเปน็ พ่เี ล้ยี งให้แกส่ าวกช่ัวระยะจ�ำเปน็ ๕๙ ๒๗ ทรงฆา่ ผู้ที่ไม่รบั การฝกึ ๖๑ ๒๘. ตถาคตเป็นเพยี งผบู้ อกทางเทา่ น้ัน ๖๕ ๒๙. ทอ่ นไมท้ ่ลี อยออกไปไดถ้ งึ ทะเล ๖๘ ๓๐. กระดองของบรรพชิต ๗๒
๓๑. ผูม้ ีหลกั เสาเขอ่ื น ๗๕ ๓๒. วหิ ารธรรมทีท่ รงอย่มู ากที่สดุ ก่อนตรัสรู้ ๗๙ ๓๓. วิหารธรรมทที่ รงอยูม่ ากตลอดพรรษา ๘๕ และทรงสรรเสรญิ มาก ๓๔. ผไู้ มป่ ระมาทในความตายแท้จริง ๘๗ ๓๕. ทางรอดส�ำหรับภกิ ษไุ ข้ ๘๙ ๓๖. เม่ือ “เธอ” ไมม่ ี ! ๙๑ ๓๗. ความดบั ทกุ ข์มี เพราะความดบั แห่งนันท ิ ๙๒ ๓๘. อาการดบั แหง่ ตณั หาในนามแห่งนันท ิ ๙๓ ๓๙. ผูแ้ บกของหนัก ๙๕ ๔๐. ดับตัณหา คือปลงภาระหนกั ลงได ้ ๙๗ ๔๑. ตอ้ งท่องเทย่ี วมาแลว้ เพราะไม่รู้อริยสัจส ่ี ๙๙ ๔๒. ทส่ี ดุ แห่งการท่องเท่ยี วของพระองค์ ๑๐๐ ๔๓. “สิง่ นั้น” หาพบในกายน ี้ ๑๐๒ ๔๔. ทรงมคี วามชราทางกายภาพเหมอื นคนทว่ั ไป ๑๐๓ ๔๕. ทรงประกาศธรรมเนอ่ื งด้วยการปลงอายสุ งั ขาร ๑๐๕ ๔๖. ผใู้ ดเห็นธรรม ผู้นน้ั เห็นเรา ๑๐๗ ๔๗. ถุงธรรม ๑๐๙
๔๘. การปรนิ พิ พานในปัจจบุ ัน ๑๑๑ ๔๙. ต้งั หนา้ ท�ำก็แล้วกัน ๑๑๓ ๕๐. ทรงเป็นผเู้ อน็ ดเู กอ้ื กูล แก่สรรพสัตว์ท้ังปวง ๑๑๕ ๕๑. อานสิ งสแ์ ห่งการฟังธรรมเนืองๆ ๑๑๙
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 1 ๑ เนอื้ แท้ทไ่ี มอ่ ันตรธาน ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! พวกภกิ ษบุ รษิ ทั ในกรณนี ,้ี สุตตันตะเหล่าใด ทก่ี วีแตง่ ขนึ้ ใหม่ เป็นค�ำ ร้อยกรองประเภทกาพยก์ ลอน มอี กั ษรสละสลวย มีพยัญชนะอนั วจิ ิตร เปน็ เร่ืองนอกแนว เป็นค�ำ กล่าวของสาวก, เมื่อมผี ้นู �ำ สตุ ตันตะเหล่านน้ั มากล่าวอยู;่ เธอจักไมฟ่ งั ดว้ ยดี ไมเ่ งีย่ หูฟัง ไม่ตงั้ จติ เพื่อจะรู้ทวั่ ถึง และจักไม่สำ�คัญว่าเปน็ ส่ิงทีต่ นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น. สว่ นสุตตันตะเหล่าใดทเ่ี ป็นคำ�ของตถาคต เป็นขอ้ ความลึก มคี วามหมายซงึ้ เปน็ ช้ันโลกตุ ตระวา่ เฉพาะเรอ่ื งสุญญตา, เมื่อมีผูน้ ำ�สตุ ตันตะเหลา่ น้นั มากล่าวอยู่; เธอยอ่ มฟงั ดว้ ยดี ยอ่ มเงย่ี หฟู งั ยอ่ มตง้ั จติ เพอ่ื จะรทู้ ว่ั ถงึ และยอ่ มส�ำ คญั วา่ เปน็ สง่ิ ทต่ี นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น.
2 พุทธวจน จงึ พากนั เลา่ เรยี น ไตถ่ าม ทวนถามแกก่ นั และกนั อยวู่ ่า “ขอ้ น้เี ปน็ อย่างไร ? มีความหมายกน่ี ัย ?” ดงั น้.ี ดว้ ยการทำ�ดงั นี้ เธอยอ่ มเปดิ ธรรมทถี่ กู ปิดไว้ได้, ธรรมทย่ี ังไมป่ รากฏ เธอกจ็ ะทำ�ใหป้ รากฏได,้ ความสงสัยในธรรมหลายประการทน่ี ่าสงสยั เธอกบ็ รรเทาลงได.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภิกษบุ ริษทั เหลา่ น้ี เราเรียกว่า บริษทั ที่มกี ารลลุ ่วงไปได้ ดว้ ยการสอบถามแก่กนั และกนั เอาเอง, หาใชด่ ว้ ยการชีแ้ จงโดยกระจา่ ง ของบุคคลภายนอกเหลา่ อน่ื ไม่ (ปฏปิ จุ ฺฉาวนิ ีตา ปรสิ า โน อกุ กฺ าจติ วนิ ตี า); จดั เปน็ บริษัททเี่ ลศิ แล. ทุก. อ.ํ ๒๐/๙๒/๒๙๒.
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 3 ๒ ผู้ช้ีขมุ ทรพั ย์ ! อานนท์ ! เราไมพ่ ยายามท�ำ กะพวกเธอ อยา่ งทะนถุ นอม เหมือนพวกชา่ งหมอ้ ทำ�แกห่ ม้อ ท่ยี ังเปยี ก ยงั ดิบอยู่ อานนท์ ! เราจกั ขนาบแลว้ ขนาบอกี ไม่มหี ยดุ อานนท์ ! เราจกั ชีโ้ ทษแล้ว ชี้โทษอกี ไม่มีหยุด ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผนู้ นั้ จักทนอยไู่ ด.้ คนเรา ควรมองผมู้ ปี ญั ญาใดๆ ทค่ี อยชโ้ี ทษ คอยกลา่ ว ค�ำ ขนาบอยู่เสมอไป ว่าคนน้นั แหละ คอื ผู้ชขี้ ุมทรพั ย์ ควรคบบณั ฑติ ท่เี ป็นเชน่ น้นั เม่อื คบหากับบณั ฑติ ชนดิ นน้ั อยู่ ยอ่ มมีแต่ดที ่าเดยี ว ไมม่ เี ลวเลย. อุปร.ิ ม. ๑๔/๒๔๕/๓๕๖. ธ. ขุ. ๒๕/๒๕/๑๖.
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 5 ๓ ทรงแสดงเรอ่ื งท่เี ปน็ ไปได้ยาก เกี่ยวกับพระองคเ์ อง ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สมมติว่ามหาปฐพีอนั ใหญห่ ลวงน้ี มนี �ำ้ ทว่ มถงึ เปน็ อนั เดยี วกนั ทง้ั หมด; บรุ ษุ คนหนง่ึ ทง้ิ แอก (ไม้ไผ่ ?) ซ่ึงมรี เู จาะไดเ้ พียงรูเดยี ว ลงไปในนำ�้ น้ัน; ลมตะวนั ออกพดั ใหล้ อยไปทางทศิ ตะวนั ตก, ลมตะวนั ตก พดั ใหล้ อยไปทางทศิ ตะวนั ออก, ลมทศิ เหนอื พดั ใหล้ อยไป ทางทศิ ใต,้ ลมทศิ ใตพ้ ดั ใหล้ อยไปทางทศิ เหนอื อยดู่ งั น.้ี ในน�ำ้ นน้ั มเี ตา่ ตวั หนง่ึ ตาบอด ลว่ งไปรอ้ ยๆ ปี มนั จะผดุ ขน้ึ มาครง้ั หนง่ึ ๆ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เธอทง้ั หลาย จะส�ำ คญั ความขอ้ นว้ี า่ อยา่ งไร : จะเปน็ ไปไดไ้ หมทเ่ี ตา่ ตาบอด รอ้ ยปี จึงจะผดุ ข้นึ มาสกั คร้งั หนงึ่ จะพงึ ยน่ื คอ เข้าไปในรู ซง่ึ มี อยเู่ พยี งรเู ดียวในแอกนน้ั ? “ข้อนี้ยากที่จะเป็นไปได้ พระเจ้าข้า ! ที่เต่าตาบอดนั้น รอ้ ยปีผุดขน้ึ เพยี งคร้ังเดียว จะพึงยืน่ คอเขา้ ไปในรู ซึ่งมีอยเู่ พยี ง รูเดยี วในแอกนนั้ ”.
6 พุทธวจน ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ยากทีจ่ ะเปน็ ไปได้ฉันเดียวกนั ทีใ่ ครๆ จะพึงไดค้ วามเป็นมนษุ ย์; ยากทจ่ี ะเป็นไปได้ฉนั เดยี วกนั ทต่ี ถาคตผอู้ รหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ จะเกดิ ขน้ึ ในโลก; ยากทจ่ี ะเป็นไปได้ฉนั เดยี วกนั ทธ่ี รรมวนิ ยั อนั ตถาคตประกาศแลว้ จะรงุ่ เรอื งไปทว่ั โลก. ภกิ ษุท้งั หลาย ! แตว่ า่ บดั นค้ี วามเปน็ มนษุ ยก์ ไ็ ดแ้ ลว้ ; ตถาคตผอู้ รหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ กบ็ งั เกดิ ขน้ึ ในโลกแลว้ ; และ ธรรมวนิ ยั อนั ตถาคตประกาศแลว้ กร็ งุ่ เรอื งไปทว่ั โลกแลว้ . ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เพราะเหตุนนั้ ในกรณนี ี้ พวกเธอพงึ กระท�ำ โยคกรรมเพ่ือใหร้ วู้ า่ “น้ี ทกุ ข,์ นี้ เหตใุ ห้เกดิ ทุกข,์ น้ี ความดับแห่งทกุ ข,์ น้ี หนทางใหถ้ งึ ความดบั แหง่ ทกุ ข”์ ดงั นเ้ี ถดิ . มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๔.
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 7 ๔ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั ในอดตี , อนาคต และในปจั จบุ นั ลว้ นแตต่ รสั รอู้ รยิ สจั ส่ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! พระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ องคใ์ ดๆ ไดต้ รสั รตู้ ามเปน็ จรงิ ไปแลว้ ในกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอดตี , ท่านทัง้ หลายเหลา่ นนั้ ไดต้ รสั รู้ตามเปน็ จริง ซึง่ ความจริง อนั ประเสริฐสีอ่ ย่าง. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! พระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ องคใ์ ดๆ จกั ไดต้ รสั รตู้ ามเปน็ จรงิ ตอ่ ในกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต, ทา่ นทง้ั หลายเหลา่ นน้ั กจ็ กั ไดต้ รสั รตู้ ามเปน็ จรงิ ซง่ึ ความจรงิ อนั ประเสริฐส่อี ยา่ ง. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! แมพ้ ระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ ผตู้ รสั รู้ ตามเป็นจรงิ อยู่ ในกาลเปน็ ปจั จุบนั น้ี กไ็ ดต้ รสั รู้อยซู่ ่ึง ความจรงิ อนั ประเสรฐิ สอ่ี ยา่ ง.
8 พุทธวจน ความจริงอันประเสรฐิ ส่อี ยา่ งนนั้ เหล่าไหนเล่า ? สี่อย่างคือ :- ความจริงอนั ประเสรฐิ คือ ทุกข์, ความจรงิ อนั ประเสริฐคอื เหตุใหเ้ กดิ ทุกข,์ ความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื ความดบั ไมเ่ หลอื ของทกุ ข,์ และความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื ทางด�ำ เนนิ ใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื ของทกุ ข.์ ภิกษทุ งั้ หลาย ! เพราะเหตนุ ้นั ในกรณีนี้ พวกเธอพงึ ท�ำ ความเพยี ร เพอ่ื ใหร้ ตู้ ามเปน็ จรงิ วา่ “ น้ ี เปน็ ทกุ ข์, น ี้ เป็นเหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์, น ี้ เปน็ ความดบั ไม่เหลือของทุกข,์ น้ี เปน็ ทางด�ำ เนนิ ใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื ของทกุ ข”์ ดังนีเ้ ถิด. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๔๓/๑๗๐๔.
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 9 ๕ พระพทุ ธองค์ ทรงพระนามว่า “อรหันตสมั มาสัมพทุ ธะ” ก็เพราะไดต้ รสั รูอ้ ริยสจั ส่ี ภกิ ษุท้งั หลาย ! ความจรงิ อนั ประเสรฐิ สอ่ี ยา่ งเหลา่ น้ี ส่อี ย่างเหลา่ ไหนเลา่ ? สอี่ ยา่ งคือ :- ความจรงิ อนั ประเสริฐคือ ความทุกข,์ ความจริงอันประเสริฐคอื เหตใุ หเ้ กิดทกุ ข,์ ความจริงอันประเสรฐิ คือ ความดับไมเ่ หลอื แห่งทกุ ข์, และความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื ทางด�ำ เนนิ ใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื ของทุกข์ : นแ้ี ล ความจรงิ อันประเสรฐิ สี่อยา่ ง. ภิกษทุ ัง้ หลาย ! เพราะได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง ซึ่ง ความจริงอันประเสริฐสี่อย่างเหล่านี้ ตถาคต จึงมีนาม อันบัณฑิตกล่าวว่า “อรหันตสัมมาสัมพุทธะ”.
1 0 พุทธวจน ภกิ ษุทง้ั หลาย ! เพราะเหตนุ ั้นในกรณีน้ี พวกเธอพงึ ทำ�ความเพยี รเพือ่ ใหร้ ตู้ ามเปน็ จรงิ วา่ “นี้เปน็ ทกุ ข์, นเ้ี ปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์, นี้เปน็ ความดับไม่เหลอื ของทุกข,์ และน้ีเป็นทางดำ�เนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์” ดังนเี้ ถดิ . มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๓/๑๗๐๓.
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 1 1 ๖ จงสงเคราะหผ์ ู้อนื่ ด้วยการใหร้ ู้อริยสัจ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! พวกเธอเอน็ ดใู คร และใครถอื วา่ เธอ เปน็ ผทู้ เ่ี ขาควรเชอ่ื ฟงั เขาจะเปน็ มติ รกต็ าม อ�ำ มาตยก์ ต็ าม ญาตหิ รือสายโลหติ ก็ตาม; ชนเหลา่ นน้ั อันเธอพงึ ชกั ชวนให้เขา้ ไปตัง้ มน่ั ในความจริงอนั ประเสริฐสป่ี ระการ ด้วยปัญญาอนั รู้เฉพาะตามทีเ่ ป็นจริง. ความจริงอันประเสรฐิ ส่ีประการอะไรเล่า ? สป่ี ระการคือ :- ความจรงิ อนั ประเสริฐคอื ทกุ ข์, ความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื เหตใุ หเ้ กดิ แหง่ ทกุ ข,์ ความจริงอนั ประเสรฐิ คอื ความดับไม่เหลือแหง่ ทุกข,์ และความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื ทางดำ�เนินให้ถึงความดับ ไม่เหลือแหง่ ทกุ ข์.
1 2 พุทธวจน ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เพราะเหตุนั้นในเร่ืองน้ี เธอพงึ ประกอบโยคกรรมอนั เป็นเครอ่ื งกระท�ำ ให้ร้วู า่ “ ทกุ ข์ เป็นอย่างนี้, เหตุให้เกดิ ข้ึนแหง่ ทกุ ข์ เป็นอยา่ งน้,ี ความดบั ไมเ่ หลือแหง่ ทุกข์ เปน็ อยา่ งน,้ี ทางด�ำ เนนิ ใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข์ เปน็ อยา่ งน”้ี ดังน.้ี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๔๔/๑๗๐๖.
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 1 3 ๗ อริยสจั สโี่ ดยสังเขป (ทรงแสดงด้วยความยดึ ในขนั ธ์ห้า) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ความจรงิ อนั ประเสรฐิ มสี อ่ี ยา่ งเหลา่ น,้ี สอี่ ย่างเหล่าไหนเลา่ ? ส่ีอย่างคอื ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข์, ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์, ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์, และความจริงอันประเสริฐคือทางดำ�เนินให้ถึงความดับ ไมเ่ หลอื ของทกุ ข.์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์ เป็นอยา่ งไรเลา่ ? คอื :- ขนั ธอ์ ันเปน็ ท่ตี ั้งแห่งความยึดมนั่ ถอื ม่นั ห้าอย่าง. หา้ อย่างนน้ั อะไรเล่า ? คือ :- รปู เวทนา สัญญา สังขาร และวญิ ญาณ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อนั นเ้ี รากลา่ ววา่ ความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื ทกุ ข.์
1 4 พุทธวจน ภิกษุทง้ั หลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้ เกิดทุกข์ เปน็ อยา่ งไรเล่า ? คอื ตณั หาอนั ใดน้ี ทเ่ี ปน็ เครอ่ื งน�ำ ใหม้ กี ารเกดิ อกี อนั ประกอบดว้ ยความก�ำ หนดั เพราะอ�ำ นาจแหง่ ความเพลนิ มกั ท�ำ ใหเ้ พลนิ อยา่ งยง่ิ ในอารมณน์ น้ั ๆ ไดแ้ ก่ ตณั หาในกาม (กามตัณหา), ตัณหาในความมคี วามเป็น (ภวตัณหา), ตัณหาในความไม่มไี มเ่ ป็น (วิภวตณั หา). ภิกษุทัง้ หลาย ! อนั นเ้ี รากลา่ ววา่ ความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์. ภิกษุทัง้ หลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือความดับ ไมเ่ หลอื ของทกุ ข์ เป็นอย่างไรเลา่ ? คอื ความดับสนิท เพราะความจางคลายดบั ไปโดย ไม่เหลอื ของตณั หานน้ั ความสละลงเสยี ความสลดั ทิ้งไป ความปล่อยวาง ความไมอ่ าลยั ถึงซึ่งตณั หานนั้ เอง อันใด. ภิกษทุ ้งั หลาย ! อนั นเ้ี รากลา่ ววา่ ความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื ความดบั ไมเ่ หลอื ของทกุ ข.์
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 1 5 ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือทาง ด�ำ เนนิ ใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื ของทกุ ข์ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? คือหนทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปด น่ันเอง, ได้แก่สงิ่ เหล่านีค้ อื :- ความเหน็ ชอบ, ความดำ�รชิ อบ, การพูดจาชอบ, การงานชอบ, การเล้ียงชพี ชอบ, ความเพยี รชอบ, ความระลกึ ชอบ, ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อนั นเ้ี รากลา่ ววา่ ความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื ทางด�ำ เนนิ ใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื ของทกุ ข.์ ภกิ ษุท้งั หลาย ! เหลา่ นแ้ี ล คอื ความจรงิ อนั ประเสรฐิ สี่อย่าง. ภิกษุทงั้ หลาย ! เพราะเหตนุ ้นั ในกรณนี ี้ พวกเธอ พึงทำ�ความเพยี ร เพอ่ื ให้รูต้ ามเปน็ จริงว่า “นเ้ี ปน็ ทกุ ข,์ น้เี ป็นเหตุใหเ้ กดิ ทกุ ข,์ นีเ้ ปน็ ความดบั ไม่เหลือของทกุ ข์, นเ้ี ปน็ ทางด�ำ เนนิ ใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื ของทกุ ข”์ ดงั นเ้ี ถดิ . มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๔-๕/๑๖๗๘-๑๖๘๓.
1 6 พุทธวจน ๘ การรู้อริยสัจสี่ ท�ำ ให้มีตาสมบูรณ์ ภิกษทุ ัง้ หลาย ! บุคคล ๓ จำ�พวกนี้มีอยู่ หาไดอ้ ยู่ ในโลก. สามจ�ำ พวกอยา่ งไรเลา่ ? สามจ�ำ พวกคือ :- คนตาบอด (อนโฺ ธ), คนมีตาข้างเดียว (เอกจกขฺ )ุ , คนมีตาสองขา้ ง (ทฺวิจกฺขุ). ภิกษทุ ้ังหลาย ! คนตาบอดเป็นอย่างไรเล่า ? คอื คนบางคนในโลกนี้ ไม่มีตาที่เป็นเหตใุ หไ้ ดโ้ ภคทรพั ย์ท่ียงั ไม่ได้ หรือทำ�โภคทรพั ย์ท่ไี ด้แลว้ ใหท้ วมี ากข้นึ นอี้ ยา่ งหน่งึ ; และไม่มีตาที่เปน็ เหตใุ ห้รู้ธรรมท่ีเป็นกศุ ลและอกุศล - ธรรมมโี ทษและไม่มีโทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายด�ำ และธรรมฝ่ายขาว น้ีอกี อย่างหนึง่ . ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! นี้แล คนตาบอด (ทั้งสองข้าง).
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 1 7 ภกิ ษุท้ังหลาย ! คนมีตาข้างเดยี วเป็นอย่างไรเล่า ? คือคนบางคนในโลกนี้ มตี าทเ่ี ป็นเหตใุ ห้ได้โภคทรพั ย์ที่ยังไมไ่ ด้ หรอื ท�ำ โภคทรัพยท์ ไ่ี ด้แลว้ ให้ทวีมากข้นึ นอ้ี ยา่ งหนึง่ ; แตไ่ มม่ ีตาทเ่ี ป็นเหตใุ หร้ ูธ้ รรมที่เปน็ กศุ ลและอกศุ ล - ธรรมมโี ทษและไมม่ โี ทษ - ธรรมเลวและธรรมประณตี - ธรรมฝา่ ยด�ำ และธรรมฝา่ ยขาว นีอ้ ีกอย่างหนึ่ง. ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! นีแ้ ล คนมีตาขา้ งเดยี ว. ภกิ ษุท้งั หลาย ! คนมตี าสองข้างเป็นอย่างไรเลา่ ? คือคนบางคนในโลกนี้ มีตาท่เี ปน็ เหตใุ หไ้ ด้โภคทรัพย์ทีย่ งั ไม่ได้ หรือท�ำ โภคทรพั ยท์ ี่ได้แล้วให้ทวมี ากขน้ึ นอ้ี ยา่ งหนึง่ ; และมีตาทเ่ี ป็นเหตุให้รธู้ รรมทเ่ี ป็นกศุ ลและอกศุ ล - ธรรมมโี ทษและไม่มีโทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝา่ ยดำ�และธรรมฝ่ายขาว นอ้ี กี อย่างหนง่ึ . ภกิ ษุทง้ั หลาย ! นแ้ี ล คนมตี าสองขา้ ง.
1 8 พุทธวจน ...ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! ภิกษุมตี าสมบรู ณ์ (จกขฺ มุ า) เป็น อย่างไรเลา่ ? คือภิกษุในกรณีน้ี ยอ่ มรู้ชดั ตามความเปน็ จรงิ วา่ “นที้ กุ ข์, น้เี หตุให้เกดิ แหง่ ทกุ ข์, นี้ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข,์ นท้ี างด�ำ เนนิ ใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข”์ ดงั นี้. ภิกษทุ ัง้ หลาย ! นี้แล ภกิ ษุมตี าสมบูรณ.์ ติก. อ.ํ ๒๐/๑๖๒/๔๖๘. ตกิ . อ.ํ ๒๐/๑๔๗/๔๕๙.
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 1 9 ๙ การสนทนากับพระอานนท์ เรอ่ื งกลั ยาณมิตร มหาราชะ ! ครงั้ หน่งึ ตถาคตพกั อยู่ทน่ี คิ มแหง่ พวกศากยะ ช่อื วา่ นครกะ ในแควน้ สกั กะ. มหาราชะ ! ครง้ั นน้ั แล ภกิ ษอุ านนทไ์ ดเ้ ขา้ ไปหาตถาคตถงึ ทอ่ี ยู่ อภิวาท แลว้ นัง่ ลง ณ ที่ควร. มหาราชะ ! ภิกษอุ านนทไ์ ดก้ ลา่ ว ค�ำ นก้ี ะตถาคตวา่ “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! ความมมี ติ รดี ความมสี หายดี ความ มเี พอ่ื นผแู้ วดลอ้ มดี นเ้ี ปน็ กง่ึ หนง่ึ ของพรหมจรรยพ์ ระเจา้ ขา้ !” ดังน.ี้ มหาราชะ ! เม่ือภกิ ษุอานนทไ์ ดก้ ลา่ วอย่างนีแ้ ล้ว ตถาคตไดก้ ล่าวกะเธออยา่ งนวี้ า่ “อานนท์ ! เธออย่ากลา่ วอย่างน้นั เลย, อานนท์ ! ขอ้ นเ้ี ปน็ พรหมจรรยท์ ง้ั หมดทง้ั สน้ิ ทเี ดยี ว คอื ความมมี ติ รดี ความมสี หายดี ความมเี พอ่ื นผแู้ วดลอ้ มด.ี
2 0 พุทธวจน อานนท์ ! พรหมจรรย์ทั้งสิ้นนนั้ เปน็ สงิ่ ที่ภกิ ษุ ผมู้ มี ติ รดีพงึ หวังได้. เม่ือเป็นผมู้ มี ิตรดี มีสหายดี มีเพ่อื นผแู้ วดล้อมดี เธอน้ันจกั ทำ�อริยมรรคมีองคแ์ ปดให้เจริญได้ จักกระท�ำ ใหม้ ากซึ่งอริยมรรคมีองคแ์ ปดได้ ดังน.้ี สคา. สํ. ๑๕/๑๒๗/๓๘๒.
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 2 1 ๑๐ กลั ยาณมิตรของพระองค์เอง อานนท์ ! ภิกษผุ ู้ชือ่ ว่า มมี ติ รดี มสี หายดี มเี พ่อื นดี ยอ่ มเจรญิ ท�ำ ให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองคแ์ ปด โดยอาการอยา่ งไรเลา่ ? อานนท์ ! ภิกษนุ ี้ ย่อมเจริญ ท�ำ ให้มากซ่ึง สมั มาทิฏฐ,ิ สมั มาสังกัปปะ, สมั มาวาจา, สัมมากัมมนั ตะ, สมั มาอาชีวะ, สมั มาวายามะ, สัมมาสติ, สมั มาสมาธิ อนั อาศยั วเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศยั นโิ รธ อนั นอ้ มไป เพอ่ื การสลดั ลง. อานนท์ ! อย่างนี้แล ชือ่ ว่าภกิ ษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพอื่ นดี ยอ่ มเจรญิ ทำ�ใหม้ ากซง่ึ อรยิ มรรคประกอบด้วย องคแ์ ปด. อานนท์ ! ข้อนั้นเธอพงึ ทราบดว้ ยปรยิ ายอันนเ้ี ถดิ วา่ พรหมจรรยน์ ท้ี ง้ั หมดนน้ั เทยี ว ไดแ้ ก่ ความเปน็ ผมู้ มี ติ รดี มีสหายดี มเี พื่อนดี ดงั น้.ี
2 2 พุทธวจน อานนท์ ! จริงทีเดยี ว, สัตว์ท้ังหลายผู้มคี วามเกิด เป็นธรรมดา ไดอ้ าศัยกลั ยาณมติ รของเราแลว้ ยอ่ ม หลดุ พน้ จากการเกดิ ... ผู้มีความแก่ชรา, ความเจบ็ ปว่ ย, ความตาย, ความโศก, ความคร�่ำ ครวญ, ความทุกขก์ าย, ความทกุ ขใ์ จ และความคบั แคน้ ใจเปน็ ธรรมดา... ครน้ั ได้ อาศยั กลั ยาณมติ รของเราแลว้ ยอ่ มหลดุ พน้ จากความแกช่ รา, ความเจ็บป่วย, ความตาย, ความโศก, ความคร่ำ�ครวญ, ความทกุ ข์กาย, ความทกุ ข์ใจ และความคบั แค้นใจ. อานนท์ ! ข้อนัน้ เธอพงึ ทราบดว้ ยปรยิ ายอันน้เี ถิด คอื ว่าพรหมจรรยน์ ี้ท้งั หมดน้นั เทยี ว ได้แก่ ความเป็นผมู้ ี มิตรดี มสี หายดี มเี พ่อื นดี ดังน้.ี สคา. ส.ํ ๑๕/๑๒๗/๓๘๓.
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 2 3 ๑๑ ขยายความแหง่ อรยิ มรรคมีองค์แปด ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ก็อริยสัจคือหนทางเป็นเคร่ืองให้ ถงึ ความดบั ไมเ่ หลอื แห่งทกุ ขน์ ้นั เปน็ อย่างไรเล่า ? คอื หนทางอนั ประกอบด้วยองคแ์ ปดอันประเสริฐ นเี้ อง, องคแ์ ปดคือ :- ความเห็นชอบ, ความด�ำ รชิ อบ, การพดู จาชอบ, การงานชอบ, การเลย้ี งชีพชอบ, ความเพยี รชอบ, ความระลกึ ชอบ, ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ความเหน็ ชอบเป็นอยา่ งไร ? ภิกษุทัง้ หลาย ! ความรู้ในทุกข,์ ความรู้ในเหตุให้ เกดิ ทกุ ข,์ ความรใู้ นความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข,์ ความรใู้ น หนทางเปน็ เครอ่ื งใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข์ อนั ใด, น้เี ราเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ.
2 4 พุทธวจน ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ความดำ�รชิ อบเป็นอย่างไร ? ภิกษุท้ังหลาย ! ความดำ�ริในการออกจากกาม, ความด�ำ รใิ นการไมพ่ ยาบาท, ความด�ำ รใิ นการไมเ่ บยี ดเบยี น, นีเ้ ราเรยี กว่า สัมมาสังกัปปะ. ภกิ ษุท้งั หลาย ! การพดู จาชอบเป็นอยา่ งไรเล่า ? ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! การเว้นจากการพูดเท็จ, การเว้น จากการพูดยุให้แตกกัน, การเว้นจากการพูดหยาบ, การเวน้ จากการพูดเพอ้ เจอ้ , น้เี ราเรยี กวา่ สมั มาวาจา. ภกิ ษุท้ังหลาย ! การงานชอบเปน็ อย่างไร ? ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! การเว้นจากการฆ่าสัตว,์ การเว้น จากการถอื เอาสง่ิ ของทเ่ี จา้ ของไมไ่ ดใ้ ห,้ การเวน้ จากการ ประพฤตผิ ดิ ในกามทง้ั หลาย, นเ้ี ราเรยี กวา่ สมั มากมั มนั ตะ.
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 2 5 ภิกษุทั้งหลาย ! การเล้ยี งชพี ชอบเป็นอยา่ งไร ? ภิกษทุ ง้ั หลาย ! อรยิ สาวกน้ี ละมจิ ฉาชพี เสยี ส�ำ เรจ็ ความเปน็ อยดู่ ว้ ยสมั มาชพี , นเ้ี ราเรยี กวา่ สมั มาอาชวี ะ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ความเพยี รชอบเปน็ อยา่ งไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภกิ ษุน้ี ยอ่ มปลกู ความพอใจ ย่อม พยายาม ยอ่ มปรารภความเพยี ร ย่อมประคองจิต ยอ่ ม ตง้ั จติ ไว้ เพอ่ื ความไมบ่ งั เกดิ ขน้ึ แหง่ อกศุ ลธรรมทง้ั หลาย อนั เปน็ บาป ทย่ี งั ไมไ่ ดบ้ งั เกดิ ขน้ึ ; ยอ่ มปลกู ความพอใจ ยอ่ มพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ยอ่ มประคองจิต ยอ่ มต้ังจติ ไว้ เพ่อื การละเสียซึ่งอกุศลธรรมท้ังหลายอัน เปน็ บาป ท่บี งั เกิดขึ้นแล้ว; ย่อมปลกู ความพอใจ ย่อม พยายาม ย่อมปรารภความเพยี ร ย่อมประคองจติ ยอ่ ม ตง้ั จติ ไว้ เพอ่ื การบงั เกดิ ขน้ึ แหง่ กศุ ลธรรมทง้ั หลายทย่ี งั ไม่ได้บังเกดิ ; ย่อมปลกู ความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อม ปรารภความเพียร ยอ่ มประคองจติ ยอ่ มต้งั จติ ไว้ เพ่อื ความยั่งยืน ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น
2 6 พุทธวจน ความไพบลู ย์ ความเจรญิ ความเตม็ รอบแหง่ กศุ ลธรรม ทง้ั หลายทบ่ี งั เกดิ ขน้ึ แลว้ , นเ้ี ราเรยี กวา่ สมั มาวายามะ. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ความระลึกชอบเปน็ อยา่ งไร ? ภิกษุท้ังหลาย ! ภกิ ษุนี้ เปน็ ผูม้ ปี กตพิ ิจารณาเหน็ กายในกายอย,ู่ มคี วามเพยี รเปน็ เครอ่ื งเผากเิ ลส มคี วาม รสู้ กึ ตวั ทว่ั พรอ้ ม มสี ติ น�ำ ความพอใจและความไมพ่ อใจ ในโลกออกเสยี ได้; เป็นผมู้ ีปกติพจิ ารณาเหน็ เวทนาใน เวทนาทั้งหลายอยู่, มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส มคี วามรู้สึกตวั ทั่วพร้อม มีสติ น�ำ ความพอใจและความ ไมพ่ อใจในโลกออกเสยี ได;้ เปน็ ผมู้ ปี กตพิ จิ ารณาเหน็ จติ ในจติ อย,ู่ มคี วามเพยี รเปน็ เครอ่ื งเผากเิ ลส มคี วามรสู้ กึ ตวั ทว่ั พรอ้ ม มสี ติ น�ำ ความพอใจและความไมพ่ อใจใน โลกออกเสยี ได;้ เปน็ ผมู้ ปี กตพิ จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม ทง้ั หลายอย,ู่ มคี วามเพยี รเปน็ เครอ่ื งเผากเิ ลส มคี วาม รสู้ กึ ตวั ทว่ั พรอ้ ม มสี ติ น�ำ ความพอใจและความไมพ่ อใจ ในโลกออกเสยี ได,้ นเ้ี ราเรยี กวา่ สมั มาสต.ิ
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 2 7 ภิกษทุ ั้งหลาย ! ความต้งั ใจม่ันชอบเปน็ อยา่ งไร ? ภิกษทุ ้งั หลาย ! ภิกษุนี้ เพราะสงัดจากกามทง้ั หลาย เพราะสงดั จากอกศุ ลธรรมทง้ั หลาย ยอ่ มเขา้ ถงึ ฌานทห่ี นง่ึ อันมีวิตกวจิ าร มีปตี แิ ละสขุ อันเกิดแต่วเิ วก แลว้ แลอย;ู่ เพราะวิตกวิจารรำ�งับลง, เธอเข้าถึงฌานที่สอง อันเป็น เคร่ืองผอ่ งใสแหง่ ใจในภายใน ใหส้ มาธิเป็นธรรมอนั เอก ผดุ ขน้ึ ไมม่ วี ติ กไมม่ วี จิ าร มแี ตป่ ตี แิ ละสขุ อนั เกดิ แตส่ มาธิ แลว้ แลอย;ู่ เพราะปตี จิ างหายไป, เธอเปน็ ผเู้ พง่ เฉยอยไู่ ด้ มสี ติ มคี วามรสู้ กึ ตวั ทว่ั พรอ้ มและไดเ้ สวยสขุ ดว้ ยนามกาย ยอ่ มเขา้ ถงึ ฌานทส่ี าม อนั เปน็ ฌานทพ่ี ระอรยิ เจา้ ทง้ั หลาย กล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า “เป็นผู้เฉยอยู่ได้ มีสติ มี การอยูเ่ ป็นสุข” แล้วแลอยู่; เพราะละสุขและทกุ ขเ์ สยี ได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัส ในกาลกอ่ น, เธอยอ่ มเขา้ ถงึ ฌานทส่ี ่ี อนั ไมท่ กุ ขแ์ ละไมส่ ขุ มแี ตส่ ตอิ นั บรสิ ทุ ธ์ิ เพราะอเุ บกขา แลว้ แลอย,ู่ นเ้ี ราเรยี กวา่ สัมมาสมาธิ. ภกิ ษุท้งั หลาย ! นเี้ ราเรียกว่า อริยสัจ คือ หนทาง เป็นเครื่องให้ถงึ ความดับไม่เหลอื แห่งทกุ ข.์ มหา. ที. ๑๐/๓๔๘/๒๙๙.
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 2 9 ๑๒ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหนั ต์ สุภทั ทะ ! ในธรรมวนิ ยั ใด ไมม่ อี รยิ มรรคมอี งคแ์ ปด สมณะทหี่ น่ึง (พระโสดาบนั ) ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยน้ัน; แมส้ มณะทส่ี อง (พระสกทาคาม)ี กห็ าไมไ่ ด;้ แมส้ มณะทส่ี าม (พระอนาคาม)ี กห็ าไมไ่ ด;้ แม้สมณะท่ีสี่ (พระอรหนั ต์) กห็ าไมไ่ ดใ้ นธรรมวนิ ยั นน้ั . สภุ ัททะ ! ในธรรมวนิ ยั น้ีแล มอี รยิ มรรคมีองค์แปด สมณะที่หนงึ่ (พระโสดาบัน) กห็ าได้ในธรรมวนิ ยั นี;้ แมส้ มณะทส่ี อง (พระสกทาคาม)ี ก็หาได;้ แมส้ มณะที่สาม (พระอนาคามี) ก็หาได;้ แมส้ มณะท่ีส่ี (พระอรหันต์) กห็ าไดใ้ นธรรมวินัยนี้. สภุ ทั ทะ ! ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จะพึงอยู่โดยชอบไซร้ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย แล. มหา. ท.ี ๑๐/๑๗๕/๑๓๘.
3 0 พุทธวจน ๑๓ ความเหมอื นและความแตกตา่ งระหวา่ ง สมั มาสมั พทุ ธะ กบั ภกิ ษผุ ปู้ ญั ญาวมิ ตุ ติ ภิกษทุ งั้ หลาย ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ หลดุ พน้ แลว้ จากรปู เพราะความเบอ่ื หนา่ ย ความคลาย กำ�หนัด ความดับ และความไม่ยึดมั่น จึงได้นามว่า “สมั มาสัมพุทธะ”. ภกิ ษุท้งั หลาย ! แมภ้ กิ ษผุ ปู้ ญั ญาวมิ ตุ ติ กห็ ลดุ พน้ แลว้ จากรปู เพราะความเบอ่ื หนา่ ย ความคลายก�ำ หนดั ความดบั และความไมย่ ดึ มน่ั จงึ ไดน้ ามวา่ “ปญั ญาวมิ ตุ ต”ิ . (ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ได้ตรัสไว้ มขี อ้ ความแสดงหลกั เกณฑอ์ ยา่ งเดยี วกนั กบั ในกรณแี หง่ รปู ทก่ี ลา่ วแลว้ ). ภกิ ษุท้ังหลาย ! เมื่อเป็นผู้หลุดพ้นแล้วจากรูป, เวทนา, สญั ญา, สงั ขาร, วญิ ญาณ ดว้ ยกนั ทง้ั สองพวกแลว้ , อะไรเปน็ ความผดิ แผกแตกตา่ งกนั อะไรเปน็ ความมงุ่ หมาย ทแ่ี ตกตา่ งกนั อะไรเปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหวา่ ง ตถาคตผอู้ รหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ กบั ภกิ ษผุ ปู้ ญั ญาวมิ ตุ ติ ?
ฉบับ ๑ ตามรอยธรรม 3 1 ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ท�ำ มรรคทย่ี ังไมเ่ กดิ ให้เกดิ ขึ้น, ได้ท�ำ มรรคท่ยี งั ไมม่ ี ใครรู้ ใหม้ ีคนร้,ู ไดท้ �ำ มรรคทีย่ งั ไม่มีใครกลา่ ว ให้เปน็ มรรคที่กล่าวกันแล้ว, ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค), เปน็ มคั ควทิ ู (รแู้ จง้ มรรค), เปน็ มคั คโกวโิ ท (ฉลาดในมรรค); ภกิ ษุทงั้ หลาย ! สว่ นสาวกทง้ั หลายในกาลนี้ เป็น มคั คานุคา (ผู้เดินตามมรรค) เปน็ ผู้ตามมาในภายหลัง. ภกิ ษุทง้ั หลาย ! นแ้ี ล เปน็ ความผดิ แผกแตกตา่ งกนั เป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เป็นเครื่องกระทำ�ให้ แตกตา่ งกนั ระหวา่ งตถาคตผอู้ รหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ กบั ภกิ ษผุ ปู้ ญั ญาวมิ ตุ ต.ิ ขนฺธ. สํ. ๑๗/๘๑/๑๒๕.
3 2 พุทธวจน ๑๔ ไมไ่ ด้ทรงประพฤตพิ รหมจรรย์ เพ่อื ให้เขานบั ถอื ภิกษทุ ั้งหลาย ! พรหมจรรยน์ เ้ี ราประพฤติ มใิ ชเ่ พอ่ื หลอกลวงคนให้นับถือ มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะ และเสียงสรรเสริญ มใิ ชเ่ พอ่ื อานสิ งสจ์ ะไดเ้ ปน็ เจา้ ลทั ธิ หรอื เพอ่ื คา้ นลทั ธอิ น่ื ใด ใหล้ ้มลงไป และมิใชเ่ พอ่ื ให้มหาชนเขา้ ใจวา่ เราไดเ้ ป็น ผู้วิเศษอย่างนนั้ อย่างนี้ ก็หามิได้. ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ทีแ่ ท้ พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติ เพื่อสำ�รวม เพื่อละ เพื่อคลายกำ�หนัด เพื่อดับสนิท ซึ่งทุกข์ แล. จตกุ ฺก. อํ. ๒๑/๓๓/๒๕.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164