รายวชิ า วิทยาศาสตรพ์ ้นื ฐาน 3 (ว22101) อาหารกบั การดารงชวี ิต ครูเสกสรรค์ สวุ รรณสขุ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ โรงเรยี นแก่นนครวิทยาลัย
อาหารและสารอาหาร ผงั มโนทัศน์ (Concept Maps) การรบั ประทานอาหารใหถ้ ูก อาการกบั การดารงชีวิต สัดสว่ น อาหาร (food) และ สารอาหาร (nutrient) สารปนเปอ้ื นในอาหาร ความแตกตา่ งของเพศ สารอาหารทใ่ี หพ้ ลงั งาน สารพษิ ทเี่ กดิ ขนึ้ เอง ความแตกต่างของวยั 1. คาร์โบไฮเดรต ตามธรรมชาติ 2. โปรตนี ความแตกต่างของสภาพ 3. ไขมัน สารพิษเกิดจาการกระทา ร่างกาย ของมนุษย์ สารอาหารทีไ่ มใ่ ห้พลังงาน ความแตกตา่ งของกิจกรรมท่ที า 1. วิตามิน 2. แรธ่ าตุ 3. นา้
บทท่ี 1 อาหารกบั การดารงชีวิต Food and livelihood.
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ทดสอบแปง้ นา้ ตาล โปรตนี ไขมนั วติ ามินซไี ด้ อธิบายแนวทางการบริโภคอาหารใหไ้ ด้สารอาหารครบถว้ น ในสดั ส่วนท่ีเหมาะสม แกเ่ พศและวัย ไดป้ ริมาณพลังงานท่ี เพยี งพอตามความตอ้ งการของร่างกาย อธบิ ายวัตถเุ จอื ปนและสารปนเปื้อนในอาหารที่มกั พบใน ชีวติ ประจ้าวันได้ เลอื กบริโภคอาหารไดอ้ ยา่ งปลอดภยั เหมาะสมกบั เพศและวยั ใหไ้ ดส้ ารอาหารและปริมาณพลงั งานเพียงพอ
1. อาหาร (food) และ สารอาหาร (nutrient) อาหาร (food) สารอาหาร ปฏบิ ัติการที่ 1.1 งานท่ไี ดร้ ับ คอื ..... (nutrient) มอบหมายและ การตรวจสอบ คอื ..... อาหาร สอบย่อย สารอาหารทใี่ ห้ พลงั งาน สารอาหารท่ไี ม่ให้ พลังงาน
1. เพราะเหตุใดส่งิ มชี ีวติ จงึ ตอ้ งการอาหาร????
* เพราะเหตใุ ดสิง่ มีชีวิตจงึ ตอ้ งการอาหาร ? * ใช้ในการดารงชวี ิต พชื สรา้ งอาหารเองไดโ้ ดยกระบวนการสังเคราะหด์ ้วย แสง คนและสตั ว์สร้างอาหารเองไม่ได้ แต่ไดร้ บั อาหารจากการกนิ พืชและสัตว์
1.1 อาหารและสารอาหาร อาหาร (Food) คือ ส่ิงทรี่ ับประทานเข้าสรู่ ่างกายแลว้ ไมเ่ ป็นโทษ และมี ประโยชนต์ อ่ รา่ งกาย เชน่ ทาใหร้ า่ งกายมสี ขุ ภาพเป็นปกติ ให้พลังงานแก่ รา่ งกาย ทาใหร้ า่ งกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนทส่ี ึกหรอของ รา่ งกาย สารอาหาร (Nutrients) คอื สารเคมที ่ีเป็นส่วนประกอบในอาหาร ซึ่งสามารถแบง่ ได้เปน็ 2 ประเภท คือ 1. สารอาหารทใี่ ห้พลงั งาน ไดแ้ ก่ โปรตีน (protein) ไขมนั (lipid) และ คาร์โบโฮเดรต (carbohydrate) 2. สารอาหารท่ีไม่ใหพ้ ลังงาน ไดแ้ ก่ วติ ามิน (vitamin) แรธ่ าตุ (mineral) นา้ (water)
สารอาหารให้พลังงาน 1. สารอาหารทีใ่ ห้พลงั งาน (energy nutrients) คาร์โบไฮเดรต ไขมนั โปรตนี
สารอาหารให้พลงั งาน อาหารตอ่ ไปนมี้ ีสารอาหารประเภทใดบ้าง ? โปรตนี และไขมันอิ่มตวั คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี วติ ามนิ ไขมัน
สารอาหารให้พลงั งาน คาร์โบไฮเดรต โปรตนี วติ ามิน ไขมนั
สารอาหารใหพ้ ลงั งาน
สารอาหารใหพ้ ลงั งาน เตรยี มความพร้อมสาหรับทาการทดลอง กจิ กรรม 1.1 การตรวจสอบอาหาร โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน (หน้า 3-4 หนงั สอื เรียน วทิ ยาศาสตร์ ม.2) สานักพมิ พแ์ ม็ค
สารอาหารให้พลงั งาน ทาการทดลองกิจกรรม 1.1 (ใชเ้ วลาในการทากิจกรรมและบนั ทกึ ผล 30 นาท)ี การทดสอบสารอาหาร (nutrient testing)
ผลการทดลองกิจกรรมที่ 1.1 การเปล่ียนแปลงท่สี งั เกตได้ อาหาร สารละลาย สารละลายคอปเปอร์ (II) ไอไอดี สารละลายเบเน ถกู ระดาษ ซลั เฟต ดิกส์ และโซเดียมไฮดรอกไซด์ แป้งมนั สีนา้ เงินปนมว่ ง ไม่เปล่ียนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลย่ี นแปลง น้าตาลกลโู คส ไมเ่ ปล่ยี นแปลง ไม่เปลย่ี นแปลง เกิดตะกอนสสี ้ม ไมเ่ ปล่ยี นแปลง ไข่ขาว ไมเ่ ปลย่ี นแปลง เปลี่ยนเปน็ สมี ว่ ง ไมเ่ ปล่ียนแปลง ไม่เปลยี่ นแปลง นา้ มันพืช ไม่เปล่ยี นแปลง ไมเ่ ปลี่ยนแปลง ไมเ่ ปลยี่ นแปลง โปรง่ แสง นา้ นม ไมเ่ ปล่ียนแปลง เปลี่ยนเปน็ สมี ว่ ง ไม่เปลย่ี นแปลง ไม่เปลยี่ นแปลง
สารอาหารใหพ้ ลงั งาน อภปิ รายและสรุปผลการทดลอง (ใช้เวลา 20 นาท)ี ตอบคาถามท้ายกจิ กรรรม (ใช้เวลา 15 นาท)ี
สารอาหารใหพ้ ลงั งาน สรปุ ผลการทดลอง กจิ กรรมท่ี 1.1 การทดสอบแป้ง :ใชส้ ารละลายไอโอดนี ซ่ึงจะเปลีย่ นเป็นสนี ้าเงนิ การทดสอบน้าตาล :ใชส้ ารละลายเบเนดกิ ต์ ซ่ึงเมอ่ื ให้ความรอ้ นจะเกดิ ตะกอนสีแดงอิฐ การทดสอบโปรตีน :ใช้สารละลายคอปเปอร์ (II) ซันเฟสและสารละลาย โซเดียมไฮดรอกไซด์ ซ่ึงจะเปล่ยี นเปน็ สมี ่วง การทดสอบไขมัน :ใชก้ ารหยดบนกระดาษจะเปล่ียนแปลงโดยมลี กั ษณะ โปร่างแสง
สารอาหารใหพ้ ลังงาน คาถามทา้ ยกิจกรรม 1. อาหารทเ่ี กิดการเปลี่ยนแปลง ไดแ้ ก่ ตอบ แปง้ เปลย่ี นเป็นตะกอนสีน้าเงนิ 2. อาหารท่ีเกิดการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ตอบ ไขข่ าวและน้านมเปล่ยี นเปน็ สมี ่วง 3. ในทดสอบน้าตาลด้วยสารละลายเบเนดิกตจ์ ะตอ้ ง ตอบ น้าไปให้ความรอ้ นดว้ ยการต้ม จงึ จะเกดิ การเปลี่ยนแปลงเปน็ ตะกอนสีอิฐ 4. นา้ ตาลท่ีนา้ มาทดสอบด้วยสารละลายเบเนดกิ ต์ คอื ตอบ น้าตาลประเภทมอนอแซ็กคาไรด์ (monosaccharide)
สารอาหารใหพ้ ลงั งาน การทดสอบนา้ ตาล สารละลายเบเนดิกต์มีสฟี ้า ทดสอบน้าตาล ถา้ นาไปทดสอบสารใดใดแล้วเปล่ยี นจากสฟี ้าเป็นสี สม้ สี แดงอิฐ แสดงวา่ สารนัน้ มีนา้ ตาล
การทดสอบคารโ์ บไฮเดรต สารอาหารให้พลังงาน สารละลายไอโอดนี มี สีนา้ ตาลเหลอื ง ทดสอบแปง้ ถ้านาไปทดสอบ สารใดใดแล้วเปลีย่ นจากสีนา้ ตาลเหลือง เปน็ สีน้าเงินเข้ม แสดงวา่ มีแปง้
สารอาหารใหพ้ ลังงาน หลกั การตรวจสอบแป้งและน้าตาล หลักการทดสอบแปง้ : เมอื่ หยดสารละลายไอโอดีนลงในสารละลายแปง้ สกุ จะเกดิ สารประกอบเชงิ ซอ้ น ระหวา่ งแป้งและ ไอโอไดดไ์ อออน ซ่ึงมสี นี า้ เงินม่วง หลักการทดสอบนา้ ตาล : ในสารละลายเบเนดิกต์ (สีฟ้า) มีคอปเปอร์ (II) ซลั เฟต (CuSO4) เปน็ สว่ นประกอบ น้าตาลท่ี มสี มบัตเิ ปน็ สารรีดวิ ซ์ เช่น กลโู คส ฟรกั โตส จะทาให้ คอปเปอร์ (II) ไอออน (Cu2+) ในสารละลายเบเนดกิ ต์ เปล่ยี นเปน็ สารประกอบออกไซดข์ องคอปเปอร์ (I) ไอออน (Cu+) สารน้ีมี สีแดงและไม่ละลายน้า ถ้ามนี ้าตาลมากใหส้ สี ้มแดง มีนา้ ตาลน้อยใหส้ ีเหลือง
สารอาหารใหพ้ ลังงาน การทดสอบโปรตีน สารละลายใบยเู รต็ ประกอบด้วย สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) และ สารละลายคอเปอร(์ II)ซนั เฟส (CuSo4) ทดสอบโปรตนี มีสฟี า้ ออ่ นถา้ นาไปทดสอบสารใดใดแลว้ เปล่ียนจาก สีฟ้าอ่อนเปน็ สี มว่ ง แสดงว่าสารนน้ั มโี ปรตีนอยู่
หลกั การตรวจสอบโปรตีน หลักการทดสอบโปรตีน : ในสารละลายเบส อะตอมของธาตไุ นโตรเจน ซึ่งเปน็ ส่วนประกอบของพนั ธะเพปไทด์ในโปรตีน จะรวมกบั คอปเปอร์ (II) ไอออน (Cu2+) ใน CuSO4 เปน็ สารประกอบเชงิ ซอ้ นท่ีมสี ีม่วง การทดสอบน้ี เรยี กว่า “ปฏกิ ิรยิ าไบยูเร็ต” (biuret reaction)
สารอาหารให้พลงั งาน การทดสอบไขมนั
สารอาหารใหพ้ ลงั งาน หลักการตรวจสอบไขมัน หลกั การทดสอบไขมนั : ไขมนั มผี ลต่อแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งสาย โซ่ของกลูโคส ซง่ึ เป็นสว่ นประกอบของเยอ่ื กระดาษ ทาให้ เปล่ยี นแปลงโครงสร้าง จงึ มผี ลต่อสมบัติ การยอมใหแ้ สงผ่านกระดาษ
อาหารหลัก 5 หมู่ สารอาหารให้พลงั งาน
สารอาหารให้พลงั งาน สารอาหาร (nutrient) สารอาหารแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1. สารอาหารท่ใี ห้พลงั งานแกร่ า่ งกาย (energy nutrients) 2. สารอาหารทไ่ี มใ่ ห้พลงั งานแกร่ ่างกาย (non-energy nutrients)
สารอาหารให้พลังงาน กิจกรรม ทดสอบความเขา้ ใจเกี่ยวกับสารอาหารทใ่ี หพ้ ลงั งาน สารอาหารทใี่ หพ้ ลังงาน คารโ์ บไฮเดรต ไปรตีน ไขมนั 4 กิโลแคลอร/ี กรมั 4 กิโลแคลอร/ี กรมั 9 กิโลแคลอร/ี กรัม แหล่งท่ีใหส้ ารอาหาร แหลง่ ที่ให้สารอาหาร ข้าว เผือก แป้ง น้าตาล แหลง่ ทใ่ี หส้ ารอาหาร นา้ อ้อย มนั น้ามะพรา้ ว น้ามันและไขมัน จากพืช เนื้อสตั ว์ ไข่ นม และถ่ัวตา่ งๆ และสตั ว์
สารอาหารที่ใหพ้ ลังงานแกร่ ่างกาย ไดแ้ ก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตนี และไขมนั สารอาหารประเภทนีจ้ ะใหพ้ ลงั งาน เพราะมี ธาตุคาร์บอน (C) และ ไฮโดรเจน (H) เป็นองค์ประกอบสาคญั และยงั มี ธาตุออกซิเจน (O) สาหรบั ในโปรตีนมี ธาตุไนโตรเจน (N) เพม่ิ มาอกี ธาตหุ น่ึง อาหารทงั้ หมดในกลุ่มนี้จัดเปน็ สารอาหารหลักท่ี จาเป็นตอ่ ร่างกาย และจะขาดไมไ่ ด้
1. คาร์โบไฮเดรต สารอาหารใหพ้ ลงั งาน ได้จาก อาหารจาพวก แป้ง และ นา้ ตาล (โดยแปง้ พบไดใ้ นธัญพืชต่างๆ เชน่ ขา้ ว ถัว่ เหลือง และมนั สาปะหลัง / นา้ ตาลพบได้ในผลไม้ พชื บาง ชนดิ เปน็ ต้น) ประกอบดว้ ยธาตุ คารบ์ อน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) โดยมไี ฮโดรเจนและออกซิเจนอยู่ในอตั ราส่วน 2:1 หนว่ ยยอ่ ยของคาร์โบไฮเดรต คอื นา้ ตาล คาร์โบไฮเดรต 1 กรมั ใหพ้ ลังงาน 4 กโิ ลแคลอรี หนา้ ที่ ใหพ้ ลงั งานแก่ร่างกาย ช่วยทาใหไ้ ขมันเผาผลาญไดส้ มบรู ณ์ เกบ็ สะสมไวใ้ นรา่ งกาย เพอ่ื นาไปใช้เวลาขาดแคลน
สารอาหารให้พลงั งาน (ต่อ) คาร์โบไฮเดรตสามารถแบ่งออกเปน็ 3 กลุ่ม คือ 1. น้าตาลโมเลกุลเด่ยี ว (Monosaccharide) : มีสตู รท่วั ไป คอื (CH2O)n เมอ่ื n = 3 หรอื มากกว่า เปน็ กลุ่มคารโ์ บไฮเดรตทมี่ โี มเลกลุ เลก็ ทีส่ ดุ รา่ งกายสามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ดท้ นั ที โดยไม่ต้องผ่าน ขบวนการย่อยสลายอกี นา้ ตาลโมเลกลุ เดีย่ วอย่างตา่ ต้องมี คาร์บอนอยูใ่ นโมเลกุล 3 ตัว ผลึกสขี าว ละลายน้าไดง้ า่ ย และมรี สหวาน
สารอาหารใหพ้ ลงั งาน (ต่อ) นา้ ตาลโมเลกุลเดยี่ วท่ีควรรู้จัก ดงั น้ี - นา้ ตาลเพนโตส (Pentose) เปน็ น้าตาลทมี่ คี าร์บอนอยู่ 5 อะตอม มี สูตร C5H10O5 เช่น น้าตาลไรโบส น้าตาลดอี อกซีไรโบส - น้าตาลเฮกโซส (Hexose) เปน็ น้าตาลท่ีมคี ารบ์ อนอยู่ 6 อะตอม มีสูตร C6H12O6 เช่น น้าตาลกลโู คส น้าตาลฟรคุ โตส กาแลคโตส ความรู้เพิ่มเติม นา้ ตาลกลูโคส : เป็นนา้ ตาลท่ีไดจ้ ากการสังเคราะห์แสงของพืช พบในธรรมชาติ มากที่สดุ น้าตาลฟรคุ โตส : เปน็ นา้ ตาลทพี่ บไดใ้ นผลไม้ เช่น มะม่วง สม้ กล้วย น้าผึ้ง เปน็ ต้น นา้ ตาลกาแลคโตส : เป็นน้าตาลโมเลกลุ เดี่ยวท่ีได้จากการยอ่ ยน้านม
สารอาหารให้พลังงาน (ต่อ) โครงสร้างน้าตาลโมเลกลุ เดี่ยว (Monosaccharide)
2. น้าตาลโมเลกลุ คู่ (Disaccharide) : สารอาหารให้พลังงาน คอื น้าตาลที่มีนา้ ตาลโมเลกุลเด่ยี ว 2 โมเลกุลรวมกัน (ต่อ) ตวั อยา่ งนา้ ตาลโมเลกลุ คดู่ งั นี้ 1. นา้ ตาลมอลโทส Moltose สตู รทางเคมี คือ C12H22O11 เกิดจากนา้ ตาลกลโู คส 2 โมเลกุล มารวมกนั พบในขา้ วชนดิ ตา่ งๆ เช่น ขา้ วมอลต์ ข้าวเจ้า ขา้ วเหนยี ว กลโู คส (glucose) + กลโู คส (glucose) -----> มอลโทส (maltose)
2. น้าตาลแลคโตส Lactose เกิดจากสน้าาตราอลากหลูโาครสใกหับ้พนล้าตังางลากนาแลคโตส(ต่อ) มารวมกนั พบในน้านม น้าตาลชนิดนี้จะมคี วามหวานนอ้ ย สตู รทางเคมี คือ C12H22O11 กลูโคส (glucose) + กาแลก็ โทส (galactose) -----> แลก็ โทส (lactose) 3. นา้ ตาลซูโครส Sucrose เกดิ จากน้าตาลกลโู คสกับฟรคุ โตสมารวมกัน พบในผลไมต้ ่างๆ เช่น ออ้ ย เป็นสารท่มี คี วามหวานมากทีส่ ุด สูตรทางเคมี คอื C12H22O11 กลโู คส (glucose) + ฟรักโทส (fructose) -----> ซูโคส (sucrose)
สารอาหารใหพ้ ลังงาน (ต่อ) 3. นา้ ตาลหลายโมเลกุล (Polysaccharide) : คือ น้าตาลท่ปี ระกอบด้วยนา้ ตาลโมเลกุลเด่ยี วจานวนมากมา รวมกนั เป็นสายยาว มีสูตรท่วั ไป คอื (C6H10O5)n ตัวอย่างนา้ ตาลโมเลกุลใหญ่ ดงั นี้ แปง้ (Starch) พบสะสมอยู่ในเมล็ด ราก หัว ลาต้น และใบของพชื เชน่ ขา้ ว มัน เผือก กลอย เปน็ ต้น โมเลกุลของแป้งเกิดจากน้าตาล กลโู คสตอ่ กนั เปน็ จานวนมากในรปู ท่เี ปน็ เสน้ ตรง
สารอาหารใหพ้ ลังงาน แปง้ (Starch) พบสะสมอย่ใู นเมล็ด ราก หัว ลาต้น และใบของพชื (ต่อ) เช่น ข้าว มัน เผอื ก กลอย เปน็ ต้น โมเลกลุ ของแปง้ เกิดจากน้าตาล กลูโคสต่อกนั เป็นจานวนมากในรปู ทเี่ ป็นเส้นตรง
สารอาหารให้พลงั งาน เซลลูโลส (Cellulose) ประกอบดว้ ยโมเลกุลทตี่ อ่ กนั เป็นโซ่ยาวของ (ต่อ) กลโู คส พบมากในพชื ชว่ ยเสริมโครงสร้างของลาต้นและก่ิงกา้ น ของพืชให้แข็งแรง รา่ งกายคนเราจะไมส่ ามารถย่อยสลายเซลลโู ลส ได้ แต่จะมกี ารขบั ถ่ายออกมาในลักษณะกาก เรียกวา่ เสน้ ใยอาหาร ช่วยกระต้นุ ใหล้ าไสใ้ หญ่ทางานอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพย่ิงขึน้ ทาให้ ขบั ถา่ ยสะดวก
สารอาหารให้พลงั งาน ไกลโคเจน (Glycogen) จะถูกสะสมอยใู่ นเซลลร์ า่ งกายคน และสตั ว์ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในตบั รองลงมาในกล้ามเนอ้ื ไกลโคเจน ประกอบไปด้วยกลูโคสที่ต่อกนั เป็นสายยาวและแตกแขนงมาก
สารอาหารให้พลังงาน มาฝึกคดิ กนั เถอะ ????? แปง้ และน้าตาลในพืชมาจากไหน โครงสรา้ งของแป้งและน้าตาล เหมือนและแตกตา่ งกันอย่างไร เหตุใดเราจึงควรบริโภคใยอาหาร ท้งั ท่ีร่างกายดดู ซมึ ใยอาหารไม่ได้
สารอาหารใหพ้ ลังงาน 2. โปรตีน (Protein) ได้จาก อาหารจาพวก เนือ้ สตั ว์ ไข่ นม ถั่ว ผกั และผลไม้บางชนิด เปน็ ต้น ประกอบด้วยธาตุ ธาตุ คารบ์ อน (C) , ไฮโดรเจน (H) ออกซเิ จน (O) และ ไนโตรเจน (N) เปน็ องคป์ ระกอบ บางชนดิ มี กามะถนั (s) และ ฟอสฟอรัส(P) หนว่ ยย่อยของโปรตนี คอื กรดอะมโิ น ซ่ึงมี 20 ชนดิ โปรตีน 1 กรัม ให้พลงั งาน 4 กโิ ลแคลอรี่ ทาหนา้ ท่ี ช่วยสร้างและซ่อมแซมสว่ นตา่ งๆของร่างกาย ชว่ ยกระตุ้น กระบวนการต่างๆ ช่วยสร้างภมู ิต้านทานโรค เปน็ องค์ประกอบของ สาระสาคัญตา่ งๆ ในการสร้างเอนไซม์ และฮอร์โมน
สารอาหารใหพ้ ลงั งาน โครงสรา้ งกรดอะมโิ น (amino acid)
สารอาหารใหพ้ ลงั งาน โครงสรา้ งกรดอะมโิ น
สารอาหารให้พลังงาน กรดอะมโิ น ซึง่ มี 20 ชนิด แบ่งเป็น 2 ประเภท 1. กรดอะมโิ น ทจี่ าเป็นตอ่ รา่ งกาย (essential amino acid) มี 8 ชนดิ : เป็นกรดอะมโิ นท่รี า่ งกายไมส่ ามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ และจาเป็นตอ้ ง ไดร้ ับจากแหล่งอื่น : ได้แก่ เวลนี (Valine) ไลซนี (Lysine) ทรโี อนนี (Threonine) ลิวซีน (Leucine) ไอโซลิวซีน (Isoleucine) ทรปิ โตเฟน (Tryptophan) เฟนิลอะลานนี (Phenylalanine) เมไทโอนีน (Methionine) : ในเดก็ มีเพ่มิ อีก 2 ชนิด คือ อาร์จินีน (Arginine) และฮีสตดิ นี (Histidine)
กรดอะมิโน ซงึ่ มี 20 ชนดิ 2. กรดอะมิโนท่ไี ม่จาเป็นตอ่ ร่างกาย (non-essential amino acid) : เปน็ กรดอะมิโนที่ รา่ งกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ จากอาหารที่สะสมใน ร่างกาย แตก่ จ็ าเปน็ ตอ้ งไดร้ บั จากอาหารด้วย : ได้แก่ ไกลซีน (Glycine) อะลานนี (Alanine) แอสปาราจนี (Asparagine) ไทโรซนี (Tyrosine) แอสปาร์เตต (Aspartate) กลตู ามนี (Glutamine) โพ รลนี (Proline) เซรนี (Serine) อาร์จินนี (Arginine) ซีสเตอีน (Cysteine) ฮีสตดิ ีน (Histidine) และออร์นิทนี (Ornithine)
สารอาหารใหพ้ ลังงาน มาฝกึ คดิ กันดกี วา่ ???? ระหว่างเดก็ ในวยั เจริญเติบโตกบั ผใู้ หญ่ วัยใดต้องการโปรตีน มากกวา่ กันเพราะเหตุใด ผู้ท่รี บั ประทานอาหารมงั สวริ ัติจะงดรับประทานเนอ้ื สัตว์ ได้รับโปรตีนจากอาหารอย่างไร
สารอาหารใหพ้ ลงั งาน 3. ไขมัน (Lipid) ได้จาก อาหารจาพวก ไขมันจากพืช มันสัตว์ นม เนย ถ่ัว ประกอบดว้ ยธาตุ คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน โครงสรา้ งของไขมนั ประกอบด้วย 2 ส่วน คอื กลีเซอรอล (Glycerol) และ กรดไขมัน (Fatty acid) ไขมัน 1 กรมั ใหพ้ ลงั งาน 9 กโิ ลแคลอร่ี(ใหพ้ ลงั งานสงู กวา่ คาร์โบไฮเดรตและ โปรตนี กว่าเทา่ ตวั ) หน้าท่ี เป็นแหล่งพลงั งานป้องกันการสญู เสียความร้อน ปกป้องอวยั วะ ภายในจากการกระทบกระเทือน เปน็ สว่ นประกอบสาคัญของเยื่อห้มุ เซลล์ และ เย่ือหุ้มออร์แกเนลล์ต่าง ๆ ภายในเซลล์ และชว่ ยดดู ซึม วิตามนิ เอ ดี อี และ เค
สารอาหารใหพ้ ลงั งาน โครงสร้างไขมนั (Lipid) โครงสรา้ งของไขมนั เป็นสารไตรกลเี ซอไรด์ คอื ประกอบด้วย กลเี ซอรอล 1 โมเลกุล และกรดไขมัน 3 โมเลกลุ
สารอาหารใหพ้ ลงั งาน กรดไขมัน แบ่งเป็น 2 ประเภท ดงั นี้ 1. กรดไขมนั ทีจ่ าเปน็ ต่อรา่ งกาย คือ กรดไขมันทร่ี ่างกายไม่สามารถสงั เคราะหข์ น้ึ เองได้ เช่น กรดไขมนั กล่มุ โอเมกา 3, 6 : มีบทบาท ในการควบคุมระดับไขมันในเลอื ด ลดความเสีย่ งของภาวะ ความดนั โลหิตสูง โรคหัวใจ โรคซึมเศรา้ และช่วยเพ่มิ ภูมิคมุ้ กนั : ในเด็กกรดไขมันมีบทบาทสาคัญตอ่ โครงสร้างและการทางานของ สมอง ตับ และระบบประสาททีเ่ ก่ียวกบั พัฒนาการ การเรยี นรู้ การมองเห็น 2. กรดไขมันที่ไม่จาเป็นตอ่ ร่างกาย : คอื กรดไขมนั ท่รี ่างกายสามารถสังเคราะหข์ น้ึ เองได้ อยู่ในอาหารทว่ั ๆไป
สารอาหารให้พลงั งาน ถา้ แบง่ ตามโครงสร้างหรือระดบั ความอ่ิมตวั กรดไขมนั แบ่งไดเ้ ปน็ 2 ประเภทดังน้ี (1) กรดไขมันชนิดอิ่มตวั คอื กรดไขมนั ท่คี าร์บอนในโมเลกุลมี ไฮโดรเจนเกาะอยเู่ ตม็ ที่ ไม่สามารถรับไฮโดรเจนเข้าไปในโมเลกุลได้อีก สว่ น ใหญ่เปน็ นา้ มนั ทไ่ี ด้จากเน้ือสัตว์ มันสัตว์ หนังสัตว์ เครอื่ งใน ไขแ่ ดง กงุ้ ปู นม และผลิตภัณฑจ์ ากนม (2) กรดไขมันชนิดไมอ่ ม่ิ ตวั คอื กรดไขมันท่ีสามารถจะรับไฮโดรเจนเขา้ ไปในโมเลกุลได้อีก มจี ุดหลอมเหลวตา่ ละลายไดง้ า่ ย สว่ นใหญ่เป็นน้ามนั ท่ีได้ จากพชื เช่นน้ามนั มะกอก นา้ มันมะพร้าว นา้ มันดอกคาฝอย และนา้ มันรา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140