Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือทักษะและเทคนิคการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวสำหรับเด็กเล็ก

หนังสือทักษะและเทคนิคการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวสำหรับเด็กเล็ก

Published by ์Nuttaporn Suddee, 2021-01-24 11:34:34

Description: ใช้สำหรับการเรียนการสอนและใช้สำหรับอ่านทั่วไป

Keywords: หนังสือ

Search

Read the Text Version

การสง่ เสรมิ พฒั นาการดา้ นสตปิ ญั ญาทเ่ี หมาะสมจากการเลย้ี งดขู องพอ่ แม่ และการจดั การเรยี น การสอนของครู จะชว่ ยใหเ้ ดก็ มวี ธิ คี ดิ มวี ธิ กี ารเรยี นรทู้ เี่ หมาะสม เกดิ ทางเลอื กและวธิ แี กป้ ญั หาทถ่ี กู ตอ้ ง ซึง่ จะส่งเสรมิ พัฒนาการในวัยต่อไปให้ดยี ่งิ ข้นึ จากการศกึ ษาของผู้เขยี น พอจะสรปุ ได้ดงั น้ี 6 เด็กวัยน้ีมีความสนใจกิจกรรมและงานของตนเองนานข้ึน มีความ กระตอื รอื รน้ สนใจของแปลกใหม่ แตห่ ากมสี งิ่ ทนี่ า่ สนใจกวา่ อาจหนั ไป ปี (Years) สนใจของอกี อยา่ งไดท้ นั ที นอกจากนส้ี ามารถวาดรปู สเี่ หลยี่ ม ขนมเปยี กปนู วาดรูปคน เขียนตัวอักษรง่าย ๆ ได้ รู้ซ้ายขวา นับ 1-30 ได้ สามารถ 7 อธิบายความหมายของค�ำ และบอกความแตกต่างของ 2 สิ่งได้ เมอ่ื เดก็ มคี วามสนใจสง่ิ ใดแลว้ จะพยายามทำ� ใหส้ ำ� เรจ็ มคี วามอยากรู้ ปี (Years) อยากเหน็ เขา้ ใจเรอ่ื งเหตแุ ละผลมากขน้ึ สามารถจดจำ� ระยะเวลา อดตี และปจั จบุ นั ได้ มคี วามสนใจทย่ี าวนานขนึ้ แตย่ งั ไมส่ ามารถทำ� อะไรหลาย อยา่ งไดพ้ รอ้ มกนั เดก็ วยั นส้ี ามารถวาดรปู คนมรี ายละเอยี ดมากขน้ึ เขยี น ตัวหนงั สอื ได้ครบตามแบบ บอกวนั ในสปั ดาห์ เปรยี บเทยี บขนาดใหญ่ เลก็ เทา่ กนั แกป้ ญั หาได้ บวก ลบเลขงา่ ย ๆ และบอกเวลากอ่ น-หลงั ได้ 8 วยั แห่งการเรียนรู้ เด็กวัยประถมจะสนใจและจดจ่อกับงานท่ีได้รับ มอบหมายและหมกมนุ่ จนกวา่ งานนนั้ จะสำ� เรจ็ เขา้ ใจคำ� สงั่ และตงั้ ใจทำ� งาน ปี (Years) ให้ดีกว่าเดมิ เดก็ วัยน้วี าดรปู ส่งิ ทีพ่ บเหน็ เปน็ สดั ส่วนและมรี ายละเอยี ด เขยี นตวั หนงั สอื ถกู ตอ้ ง เปน็ ระเบยี บ บอกเดอื นของปไี ด้ สะกดคำ� งา่ ย ๆ ไดฟ้ งั เรอ่ื งราวแลว้ เขา้ ใจเนอ้ื หาและขน้ั ตอนได้ เปรยี บเทยี บสงิ่ ทเ่ี หมอื นกนั และสามารถเข้าใจปรมิ าตร 9 ซึมซับความรู้ วิธีการพูดของเด็กจะเปลี่ยนแปลงไป มีการใช้ภาษาท่ี ซับซ้อนขึ้น รู้จักถาม-ตอบอย่างมีเหตุผล เต็มไปด้วยความรู้รอบตัว ปี (Years) สามารถหาคำ� ตอบเองไดจ้ ากการสงั เกต เดก็ จะตอ้ งการความเปน็ สว่ นตวั มากขน้ึ มขี องสะสม และเลยี นแบบการกระทำ� ของคนทโี่ ตกวา่ เดก็ วยั น้ี สามารถวาดรปู ทรงกระบอกมคี วามลกึ ได้ บอกเดอื นถอยหลงั ได้ เขยี นเปน็ ประโยค เรมิ่ อา่ นในใจ เรมิ่ คดิ เลขในใจ บวกลบหลายชน้ั และคณู ชนั้ เดยี ว พัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็กประถมศึกษาตอนต้นถือได้ว่าเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ โดยช่วงแรกเด็กจะเร่ิมสนใจในกิจกรรมและงานของตนเองนานขึ้น มีความกระตือรือร้น สนใจสิ่ง แปลกใหม่ และในระยะต่อมามีความสามารถในการจดจ�ำและคิดค�ำนวณตัวเลขที่ซับซ้อนมากข้ึน นอกจากน้ี เดก็ ในวัยน้ยี ังสามารถเลียนแบบท่าทางและพฤตกิ รรมของคนทโ่ี ตกว่าได้อกี ด้วย 42

กจิ กรรมสง่ เสรมิ พัฒนาการ องคก์ ารสหประชาชาตกิ ลา่ วไวว้ า่ สทิ ธใิ นการเลน่ ถอื เปน็ พน้ื ฐานหลกั สากลในชวี ติ เดก็ การเลน่ ถอื เปน็ สง่ิ สำ� คญั ทเี่ ปน็ หนทางใหเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรแู้ ละพฒั นาตนเอง และกอ่ นทจี่ ะเลอื กกจิ กรรมทจ่ี ะชว่ ยให้ เดก็ ได้เรียนรู้ผ่านการเล่นควรท�ำความเข้าใจก่อนว่าการเล่นต้องมลี ักษณะอย่างไร Pasek, Golinkoff and Eyer (2004) ได้ระบุหลักการเล่นไว้ว่า ต้องสนุกและมีความสุข ต้องไม่วางเป้าหมาย ต้องเป็นความสมัครใจ ต้องมีความคล่องแคล่ว และต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ยกตวั อย่างกจิ กรรมส่งเสริมพัฒนาการ มดี ังน้ี ช่ือกจิ กรรม กระโดดแตะของ จุดประสงค์ทว่ั ไป 1 เพ่อื พัฒนากล้ามเน้อื ใหญ่ 2 เพือ่ ฝึกความสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเน้อื มอื และตา 3 เพื่อฝึกสายตาในการกะระยะ จุดประสงค์เฉพาะ เพอ่ื ให้เด็กกระโดดแตะของทช่ี อบได้ ส่ือ 1 ภาพสิ่งของต่าง ๆ 2 เส้นเชือกส�ำหรับแขวน วธิ ีการจดั กจิ กรรม 1 ครูแขวนของจะเป็นภาพผลไม้ ภาพเรขาคณิต ฯลฯ หรือของ เช่น กระป๋อง ขวด ห่อของขวัญ ฯลฯ โดยให้สงู จากพ้ืนเหนือศีรษะเด็ก ประมาณ 30–40 เซนตเิ มตร แต่ละช้นิ แขวนสงู ต�ำ่ ไม่เท่ากนั 2 ให้เด็กเข้าแถวกระโดดแตะของทกุ ชน้ิ ท่ีแขวนไว้ ถ้าแตะถูกกไ็ ด้ 1 คะแนน ถ้าใครแตะได้มากชน้ิ เปน็ ผู้ชนะ การประเมินผล ตรวจสอบจ�ำนวนของท่เี ด็กกระโดดแตะได้ ขอ้ เสนอแนะ 1 ภาพท่แี ขวน แขวนสูงบ้างต�่ำบ้าง ถ้ามภี าพน้อย อาจให้เดก็ คนหน่งึ กระโดดแตะ 2-3 ครง้ั ถ้าแตะถกู ก็นบั ให้ 1 คะแนน 2 กระโดดแตะเปน็ รายบคุ คล จนเดก็ ทำ� ไดก้ ค็ อ่ ย ๆ เลอ่ื นภาพใหส้ งู ขน้ึ 3 กจิ กรรมนช้ี ว่ ยเหลอื เดก็ ทมี่ ปี ญั หาดา้ นพฒั นากลา้ มเนอ้ื และการกะ ระยะความสงู ชว่ ยกระตนุ้ พฒั นาการดา้ นสายตาและกลา้ มเนอ้ื ใหญ ่ ในเด็กทวั่ ไป 4 กจิ กรรมนนี้ ำ� ไปใชใ้ นชว่ งกจิ กรรมกลางแจง้ หรอื กจิ กรรมเสรี ซงึ่ จะ เล่นเปน็ กลุ่มย่อย แข่งขนั กนั หรอื เป็นรายบคุ คล หรอื กลุ่มใหญ่ก็ได้ ประโยชน์ท่เี ดก็ จะไดร้ ับ 1 ได้รับการพฒั นากล้ามเนอ้ื ขา แขน 2 รู้จักระยะความสงู 3 ฝกึ เดก็ ใหม้ คี วามพยายาม อดทน (ถา้ แตะไมไ่ ดก้ จ็ ะพยายามกระโดดแตะ) 43

ชื่อกจิ กรรม ตัวอะไรเหมอื นกนั จดุ ประสงคท์ ่วั ไป 1 เพอ่ื ให้เด็กมคี วามคดิ รวบยอดเกย่ี วกบั เรอ่ื งจำ� นวน 2 เพ่อื ให้เดก็ มพี น้ื ฐานทดี่ ีในการเขยี นสญั ลักษณ์ตวั เลขแทนจ�ำนวน 3 เพื่อฝึกการประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อขาและสายตา จุดประสงค์เฉพาะ เพือ่ ให้เด็กรู้จกั ค่าจ�ำนวนนบั สญั ลักษณ์ตัวเลข และสามารถนับ เลข 1-10 ได้ ส่ือ แผน่ ตวั เลข โดยเขยี นเลข 1-10 จำ� นวน 3 ชดุ สลบั กนั ในแตล่ ะชว่ ง มพี ื้นท่กี ว้างพอท่จี ะให้เด็กยืนได้ วธิ กี ารจัดกิจกรรม 1 ครวู างแผน่ ตวั เลขลงบนพน้ื หรอื เขยี นตารางตวั เลขลงบนพน้ื ซเี มนต์ 2 ครอู ธบิ ายวธิ กี ารเลน่ เมอื่ ครเู ขยี นตวั เลขบนกระดานเลขใด ใหเ้ ดก็ มองว่าเหมือนตัวเลขใดบนตารางตัวเลข ให้กระโดดเข้าไปยืนใน ตัวเลขนั้น (ขณะครูเขียนเลขต้องพูดให้เด็กฟังว่า “น่ีคือเลข 8” และให้เด็กพดู ตาม) การประเมนิ ผล ตรวจดูความถกู ต้องของเดก็ เวลากระโดดตัวเลข ขอ้ เสนอแนะ 1 ครอู าจเปลยี่ นเปน็ กจิ กรรมจบั คเู่ หมอื น โดยทำ� แผน่ บตั รเลข 2 ชดุ อกี ชดุ ครวู างบนกระดานใหเ้ ดก็ ชว่ ยนบั ตวั เลขทเ่ี หมอื นในกองไปวางค ู่ ฯลฯ หรือปรับวธิ ีกระโดดหลาย ๆ แบบ เช่น กระโดดขาเดยี ว 2 การสอนกจิ กรรมนอ้ี าจตอ้ งใชเ้ วลาหลายสปั ดาห์ สำ� หรบั ตวั เลขเดยี ว 3 กิจกรรมน้ีใช้กระตุ้นเด็กที่มีปัญหาเร่ืองกล้ามเนื้อขา การได้ยิน และการใชส้ ายตา และเดก็ ทมี่ ปี ญั หาเรอื่ งความคดิ รวบยอดเกยี่ วกบั สญั ลกั ษณแ์ ทนจำ� นวน นอกจากน้ี กจิ กรรมนช้ี ว่ ยสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ ปกต ิ ท่ัวไปมคี วามพร้อมในการเขยี นสัญลกั ษณ์แทนจำ� นวน 4 กิจกรรมน้ีใช้ช่วงกิจกรรมวงกลม กิจกรรมกลางแจ้ง หรือ กจิ กรรมเสรกี ไ็ ด้ ประโยชน์ท่ีเด็กจะไดร้ ับ 1 เด็กมีความรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกับสัญลกั ษณ์แทนจำ� นวน 2 เดก็ มีกล้ามเนอื้ แขง็ แรงขึ้น 3 เดก็ ได้พัฒนาภาษา ด้านการฟังดขี น้ึ 44

ชื่อกิจกรรม สิบตาเห็นไม่เทา่ มอื คลำ� จดุ ประสงค์ทัว่ ไป 1 เพือ่ ฝึกการรบั รู้จากการสัมผสั ด้วยมอื 2 เพ่ือฝกึ ความจำ� การจำ� แนก และการเปรยี บเทยี บวตั ถสุ ง่ิ ของตา่ ง ๆ 3 เพื่อพัฒนาด้านความคดิ รวบยอด จุดประสงคเ์ ฉพาะ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ มกี ารรบั รู้ และเปรยี บเทยี บวสั ดสุ งิ่ ของตา่ ง ๆ โดยการใช้ มือสัมผัส สือ่ 1 ถุง (ผ้า กระดาษ) 2 ใบ 2 เศษผ้าสำ� ลี 2 ช้ิน 3 เศษผ้าแพร 2 ช้นิ 4 เศษกระดาษ 2 ชน้ิ 5 กระดาษทรายแผ่นเล็ก ๆ 2 แผ่น 6 ส่ิงอื่น ๆ ท่ีครูต้องการให้เด็กรู้จักคุณลักษณะและเปรียบเทียบ วิธีการจดั กิจกรรม 1 แยกวสั ดุแต่ละชนดิ ใส่ถงุ ถงุ ละ 1 ช้นิ จนครบทง้ั 2 ถงุ 2 ใหเ้ ดก็ ลว้ งมอื ลงไปคลำ� ในถงุ มอื ซา้ ยลว้ งถงุ หนง่ึ มอื ขวาลว้ งอกี ถงุ หนง่ึ โดยไม่มองในถงุ 3 ให้เด็กใช้มือสมั ผัสเลอื กหยบิ วัสดทุ เ่ี หมอื นกนั ออกมาทีละคู่ 4 ตรวจสอบดวู ่าถกู ต้องหรอื ไม่ การประเมนิ ผล สังเกตการณ์รบั รู้ และความสามารถในการเลอื กวสั ดุทเ่ี หมอื นกัน ออกมาจากถงุ ทงั้ สองได้ถูกต้อง ข้อเสนอแนะ 1 เมอื่ เดก็ เปรยี บเทยี บไดค้ ลอ่ งแคลว่ แลว้ ครอู าจเปลย่ี นใชว้ ตั ถอุ น่ื ๆ เพมิ่ ข้นึ เช่น มะกรูด มะนาว ส้ม น้อยหน่า 2 กิจกรรมนี้นอกจากจะใช้ช่วยเหลือเด็กท่ีมีปัญหาด้านกายสัมผัส และมีความบกพร่องด้านความคิดรวบยอดแล้ว ยังช่วยส่งเสริม พฒั นาการด้านสตปิ ัญญาของเดก็ ปกตทิ ่ัวไปได้ดีข้นึ 3 นำ� ไปใชใ้ นชว่ งกจิ กรรมวงกลม หรอื กจิ กรรมเสรี ซง่ึ ใชเ้ ปน็ กลมุ่ ใหญ่ กลุ่มย่อย และเปน็ รายบุคคลก็ได้ ประโยชนท์ เี่ ดก็ จะไดร้ บั 1 มที กั ษะในการเปรยี บเทยี บวสั ดทุ ม่ี ผี วิ สมั ผสั ทเ่ี หมอื นกนั และตา่ งกนั ได้ มากขนึ้ 2 ได้รบั การพฒั นาด้านความคดิ รวบยอดเพม่ิ ขน้ึ 3 ได้เรียนรู้ค�ำ และรู้จักคุณลักษณะของสิ่งของเพ่ิมข้ึน เช่น หยาบ ละเอียด นม่ิ แ4ข5็ง

ช่อื กจิ กรรม การโยนหว่ ง จดุ ประสงค์ท่วั ไป 1 เพ่ือฝึกการประสานสัมพันธ์ระหว่างมอื กบั ตา 2 เพ่ือพัฒนากล้ามเน้อื เลก็ และกล้ามเน้ือใหญ่ จดุ ประสงค์เฉพาะ เพ่ือให้เดก็ สามารถรับห่วงยางได้ ส่ือ ห่วงยาง หรอื ใช้เชอื กมัดท�ำแบบห่วงยาง วธิ ีการจดั กจิ กรรม 1 แบ่งเดก็ ออกเป็น 2 ฝ่ายเท่า ๆ กนั โดยยนื เข้าแถวเป็นตอนลกึ 2 เลือกเด็ก 1 คนมายนื อยู่ข้างหน้าของแถว โดยทำ� หน้าท่โี ยนห่วงยาง ให้เพอื่ น และรบั ห่วงยางจากเพ่อื น โดยยนื ห่างกันประมาณ 3 เมตร 3 เดก็ คนอน่ื ๆ ทอี่ ยใู่ นแถว ใหร้ บั หว่ งจากและโยนใหเ้ พอ่ื นทอี่ ยหู่ นา้ แถว ทำ� เสรจ็ แลว้ ใหว้ ง่ิ ไปตอ่ ทา้ ยแถว 4 ฝ่ายใดทำ� ครบทุกคนก่อนจะเปน็ ฝ่ายชนะ การประเมนิ ผล สังเกตจากความแม่นย�ำในการรับส่งห่วงยาง ขอ้ เสนอแนะ 1 ถ้าเดก็ คนใดรบั ไม่ได้บ่อยครงั้ ให้ครูช่วยเหลอื โดยย่นระยะความห่าง ระหวา่ งผโู้ ยนกบั ผรู้ บั เหลอื ประมาณ 2 เมตร หรอื 1.5 เมตร จนเดก็ รับได้คล่อง จงึ ค่อยขยายช่วงความห่างออกไป 2 การเลน่ ทกุ ครงั้ ครตู อ้ งคอยสงั เกตและแนะนำ� วธิ กี ารโยน อยา่ ใหเ้ กดิ อันตราย 3 กจิ กรรมนชี้ ว่ ยสง่ เสรมิ พฒั นาการดา้ นกลา้ มเนอ้ื มอื กลา้ มเนอื้ แขนขา ในเด็กที่มีปัญหาความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหว หรือใช้กระตุ้น พัฒนาการด้านร่างกายส�ำหรบั เด็กทวั่ ไป ประโยชนท์ ่ีเดก็ จะได้รบั 1 เดก็ มพี ฒั นาการทางด้านกล้ามเน้อื ใหญ่ดขี ึ้น 2 เด็กมีทกั ษะในการกะระยะ 46

เรอ่ื ง กFuาnรdเคaลmือ่ eนnไtaหlวMขน้ั oพve้นื mฐeานnt Skill กิจกรรมการพักผ่อนของเด็กที่นิยมในปัจจุบันน้ีเป็น กจิ กรรมทอี่ ยกู่ บั ที่ เชน่ การนงั่ หนา้ คอมพวิ เตอรห์ รอื โทรทศั น์ วซ่าึ่งเสด่ง็กผล1ตใ่อนสุข5ภมาพีน้�ำจหานกกั สมถาิตกิขขอน้ึงกแรละะทอรว้ วนงสาซธ่งึ าในรณควสาุขมเพปบ็น จรงิ เดก็ จำ� เปน็ ตอ้ งทำ� กจิ กรรมทางรา่ งกายอยา่ งนอ้ ย 60 นาที ต่อวนั ปัญหาท่ีเกิดข้ึนนี้สอดคล้องกับการวิจัยในประเทศ ออสเตรเลียที่พบว่า เด็กมีทักษะการเคลื่อนไหวท่ีต�่ำลงซ่ึง ทักษะนี้เป็นทักษะท่ีส�ำคัญในการเล่นกีฬา เช่นเดียวกับ ประเทศแคนาดาทพ่ี บวา่ เดก็ จำ� นวนมากมที กั ษะการเลน่ กฬี า ต่ำ� ลง เพราะพวกเขาไม่สามารถนำ� ทักษะต่าง ๆ มาใช้ในการ เล่นกีฬาให้ประสบความส�ำเร็จ กิจกรรมทางกายและ ประสบการณ์การเล่นถือเป็นพ้ืนฐานส�ำหรับความสามารถ ทางร่างกายและพฤติกรรมทางสงั คม เด็กทมี่ ีความมนั่ ใจกับ ทักษะการเคลอ่ื นไหวขน้ั พื้นฐานจะได้รบั ประโยชน์มากท่สี ดุ โดยองคก์ ารอนามยั โลกไดก้ ำ� หนดถงึ กจิ กรรมทางกาย ว่าเป็นการเคล่ือนไหวร่างกายโดยใช้กล้ามเนื้อท่ีท�ำงานร่วม กับกระดูกและข้อซ่ึงต้องอาศัยพลังงานอย่างต่อเน่ือง เร่ิม ตง้ั แต่ทย่ี งั ไม่ได้ทำ� กจิ กรรมไปจนถงึ การทำ� กจิ กรรมทหี่ นกั ขน้ึ ซ่ึงทักษะการเคลื่อนไหวข้ันพื้นฐานจะเป็นหลักท่ีจะน�ำไปสู่ ความคล่องแคล่วในการท�ำกิจกรรมทางกายไปจนถึงความ สามารถในการเล่นกฬี า

หน้า เน้อื หา 49 ความหมายและความส�ำคญั ของการเคลอ่ื นไหวขน้ั พ้ืนฐาน 51 ประเภทของการเคลอ่ื นไหวขั้นพ้นื ฐาน 52 การเคลื่อนไหวแบบอยู่กับท่ี (Non-Locomotor Movement) 60 การเคลื่อนไหวแบบเคลอ่ื นที่ (Locomotor Movement) 64 การเคลอ่ื นไหวประกอบอุปกรณ์ (Manipulative Movement) 48

MควeาanมiหngมaาnยdแImละpoคrวtaาnมceส�ำofคFัญunขdอamงกeาntรaเlคMลo่อื vนemไหenวtขSัน้ kiพll,น้ื FฐMาSน) ความหมายของการเคล่อื นไหวขน้ั พ้นื ฐาน ทักษะการเคลื่อนไหวข้ันพ้ืนฐาน (FMS) เป็นทักษะการเคล่ือนไหวที่หลากหลาย เช่น การว่ิง การทรงตัว การเตะ และอ่ืน ๆ ซึ่งทักษะเหล่าน้ีเป็นพื้นฐานในการท�ำกิจกรรมทางกายไม่ว่าจะเป็น การเล่นกีฬา การเต้น ยิมนาสติก และกิจกรรมทางกายต่าง ๆ ถ้าเด็ก ๆ สามารถพัฒนาทักษะ เหล่านี้ได้พวกเขาจะทำ� กจิ กรรมทางกายอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั คณะศกึ ษาศาสตรข์ องออสเตรเลยี ตะวันตก ได้ให้ความหมายถึงทักษะการเคล่ือนไหวข้ันพื้นฐานว่า ทักษะการเคลื่อนไหวขั้นพ้ืนฐานเป็น รปู แบบการเคล่อื นไหวท่ใี ช้ส่วนประกอบของร่างกายส่วนต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น ขา แขน ล�ำตวั และศรี ษะ รวมเข้ากบั ทกั ษะต่าง ๆ เช่น การวงิ่ การกระโดด การจับ การขว้าง การตี และการทรงตัว สิ่งเหล่านี้ คือพื้นฐานของการเคลื่อนไหวหรือน�ำไปสู่การใช้รูปแบบท่ีเฉพาะโดยใช้ทักษะที่ซับซ้อนมากย่ิงขึ้น เช่น การเล่นเกมกฬี า การเต้น ยิมนาสตกิ กจิ กรรมนอกห้องเรียน และกิจกรรมนนั ทนาการทางร่างกาย นอกจากนไ้ี ดใ้ หค้ วามหมายเพมิ่ เตมิ วา่ ทกั ษะการเคลอ่ื นไหวขนั้ พน้ื ฐานเปน็ รปู แบบกจิ กรรมการเคลอ่ื นไหว เบ้อื งต้นทจ่ี ะน�ำไปสู่การเล่นกีฬาและกิจกรรมการเคล่ือนไหวท่ีสูงข้ึน เช่น การขว้างในกีฬาซอฟท์บอล หรือคริกเก็ต การเสิร์ฟเทนนิส การส่งลูกบอลระดับไหล่ในเน็ตบอล ซึ่งการเคลื่อนไหวเหล่าน้ีล้วนแล้ว แต่ใช้รูปแบบการขว้างในระดับสูง Kalaja (2012) ได้ให้ความหมายเพิ่มเติมว่า ทักษะการเคล่ือนไหว ข้ันพื้นฐานประกอบไปด้วยการเคล่ือนไหว การเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ และทักษะการทรงตัว การเคล่ือนไหวอาจหมายถึงการเคลื่อนท่ีของร่างกายจากจุดหน่ึงไปยังอีกจุดหน่ึงทั้งในแนวตั้งและ แนวนอน เช่น การเดนิ การวง่ิ การกระโดด การกา้ วกระโดด การกา้ วเขยง่ การควบมา้ การสไลด์ การ กระโจน และการปีน ส�ำหรับการเคล่ือนท่ีประกอบอุปกรณ์รวมไปถึงการเคล่ือนท่ีโดยใช้กล้ามเน้ือ มดั ใหญ่ท�ำให้เกดิ พลงั ในการท�ำให้วัตถเุ คล่อื นทห่ี รอื รบั แรงจากวตั ถุ เช่น การขว้าง การรับ การเตะ การ ตีลูกบอล การกระดอน และการหมนุ ส่วนการเคลื่อนไหวโดยใช้กลามเน้อื มดั เล็กเป็นกิจกรรมท่เี น้นการ ควบคุมการเคลื่อนที่ และความมั่นคงในการเคล่ือนท่ี การทรงตัวเป็นหนึ่งในการท�ำร่างกายให้อยู่ กับท่ีในที่ใดที่หน่ึงแต่มีการเคล่ือนไหวรอบ ๆ ท้ังในแนวตั้งและแนวนอน ส�ำหรับในประเทศไทย ได้มีผู้ให้ความหมายของการเคลื่อนไหวขั้นพนื้ ฐานไวว้ า่ เปน็ การนำ� ทกั ษะการเคลอื่ นไหวตามธรรมชาติ ของมนุษย์มาประกอบกับจังหวะหรือเสียงของดนตร ี ซ่ึงเป็นการวางรากฐานการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง เสริมสร้างความแข็งแรง ความคล่องตัว และความสัมพันธ์ระหว่างระบบประสาทและกล้ามเน้ือในการ เคลื่อนไหวให้มปี ระสทิ ธิภาพ (สาวิตรี แก้วรัก, 2557) สอดคล้องกบั สรุ เชษฐ์ วิศวธรี านนท์ (2560) ได้ให้ ความหมายทักษะการเคล่ือนไหวขั้นพื้นฐานไว้ว่า เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจ�ำวัน เช่น ยืน เดิน นง่ั ก้มตวั ยกของ ปีนป่าย กระโดด จากการศึกษาและวิเคราะห์ความหมายของการเคล่ือนไหวขั้นพื้นฐานจาก นักวิชาการหลายท่านสามารถสรุปได้ว่า ทักษะการเคลื่อนไหวข้ันพื้นฐาน หมายถึง รปู แบบการเคลอ่ื นไหวทใ่ี ช้ส่วนประกอบของร่างกายส่วนต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น ขา แขน ล�ำตัว และศีรษะ รวมเข้ากบั ทกั ษะต่าง ๆ เช่น การวิ่ง การกระโดด การจบั การขว้าง การตี และการทรงตัว น�ำไปสู่การใช้ทักษะท่ีซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เช่น การเล่นกีฬา การเล่นเกม การท�ำกจิ กรรมทางกาย ฯลฯ 49

ความสำ� คัญของการเคลอ่ื นไหวขนั้ พ้นื ฐาน ข้อ การรอ้ ง เลน่ เตน้ รำ� เปน็ กจิ กรรมหนง่ึ เพราะเปน็ กจิ กรรมทตี่ อบสนองตอ่ ธรรมชาตขิ องเดก็ 1 ทเี่ ด็ก ๆ ชอบ ทไี่ มอ่ ยนู่ ง่ิ และชอบเคลอื่ นไหวรา่ งกายอยตู่ ลอดเวลา 2 ช่วยให้เด็กได้เรยี นรู้การเคล่อื นไหว เพ่ือท่ีจะสามารถพัฒนาทักษะในการเคล่ือนไหว สว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย เชน่ เดนิ วงิ่ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ กระโดด ชูมอื หมุนตัว ส่ายเอว ย่ิงขึน้ 3 ชว่ ยใหส้ ขุ ภาพรา่ งกายของเดก็ แขง็ แรง เพราะการท่เี ด็กได้เคล่อื นไหวร่างกาย = เด็กได้ และพฒั นาอวยั วะทกุ สว่ นของเดก็ ให ้ ออกกำ� ลังกายโดยตรง มีความสัมพันธ์กันอย่างดีในการ เคลื่อนไหว 4 ชว่ ยพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคข์ องเดก็ เพราะการที่เด็กได้คิดค้นท่าทางการเคล่ือนไหว รา่ งกายอยา่ งอสิ ระผา่ นเสยี งเพลงเชน่ การเคลอื่ นไหว เลน่ บทบาทสมมตุ ติ ามเพลง หรอื การเคลอ่ื นไหว รา่ งกายรว่ มกบั อปุ กรณต์ า่ ง ๆ ซง่ึ เปน็ การฝกึ ทกั ษะ การคดิ สร้างสรรค์และจนิ ตนาการให้แก่เดก็ ได้ดี 5 ชว่ ยใหเ้ ดก็ เกดิ ความมน่ั ใจในตนเอง เพราะกจิ กรรมเคลอ่ื นไหวและจงั หวะนน้ั เปน็ กจิ กรรม ท่ีไม่ปิดกั้นในการท่ีเด็กได้แสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และความเป็นตัวของตัวเองได้ อย่างอิสระ ซ่ึงส่งผลในการพัฒนาความเป็น เอกลกั ษณแ์ ละความมน่ั ใจในตนเองแกเ่ ดก็ ตอ่ ไป 6 ชว่ ยใหเ้ ดก็ ไดท้ ำ� กจิ กรรมรว่ มกบั ผอู้ นื่ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วกจิ กรรมการเคลอ่ื นไหว และจงั หวะจะเปน็ กจิ กรรมทเ่ี ดก็ ไดท้ ำ� รว่ มกบั ผอู้ น่ื เชน่ เตน้ รำ� ในจงั หวะตา่ ง ๆ เชน่ จงั หวะวอลตซ์ จงั หวะชะชะชา่ รว่ มกบั เพอื่ น ซง่ึ การทเ่ี ดก็ ไดเ้ ตน้ รำ� เคล่ือนไหวร่างกายร่วมกับผู้อ่ืนน้ัน เป็นการ พัฒนาทักษะทางสังคมให้กับเด็กได้เป็นอย่างดี 7 การทเี่ ดก็ ไดเ้ คลอื่ นไหวรา่ งกายตาม เป็นผลที่ท�ำให้เด็กเป็นคนมีอารมณ์ดี ยิ้มแย้ม จงั หวะเพลงและเสยี งดนตรนี นั้ ชว่ ย แจ่มใส ใหเ้ ดก็ สนกุ สนาน เบกิ บาน ผอ่ นคลาย ความเครยี ด 50

ข้อ เชน่ ในดา้ นภาษา เดก็ ไดเ้ รยี นรดู้ า้ นภาษาผา่ นทาง 8 การร้อง เต้น เล่นสนุกช่วยพัฒนา เนื้อเพลง ได้เรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์ผ่านทาง สติปัญญาและการเรียนรู้ของเด็ก จังหวะของดนตรี 9 ช่วยให้เด็กได้เรยี นรู้วัฒนธรรมและ เชน่ การรำ� การเตน้ ระบำ� ฮาวาย การเตน้ แบบจนี เอกลกั ษณป์ ระจำ� ชาตขิ องประเทศตา่ งๆ การเต้นแบบแขก 10 ชว่ ยใหเ้ ดก็ มคี วามสามคั คแี ละปฏบิ ตั ิ เชน่ การออกกำ� ลงั กายตามเพลงพรอ้ มกบั เพอื่ น ๆ ตามข้อตกลงของกลุ่ม นอกจากน้ี กจิ กรรมการเคล่อื นไหวและจงั หวะยงั ช่วยฝึกการเป็นผู้นำ� ผู้ตามให้แก่เด็กอีกด้วย เช่น ให้เด็กท�ำท่าทางเคล่ือนไหวร่างกายเป็นผู้น�ำแล้ว ใหเ้ พอื่ นปฏบิ ตั ติ าม โดยมกี ารสลบั เปลยี่ นหมนุ เวยี น กนั ไป ประเภทของการเคล่อื นไหวข้นั พน้ื ฐาน การเคล่อื นไหว เป็นกิจกรรมหลกั ของกจิ กรรมทางกายท่สี ่งเสริม พฒั นาการทกุ ดา้ น มตี ง้ั แตก่ ารใชท้ กั ษะกลไก การพฒั นาความรสู้ กึ นกึ คดิ การจนิ ตนาการ การพฒั นาอารมณแ์ ละสงั คม พฒั นาการดงั กลา่ วเกดิ ขนึ้ อย่างอิสระขณะเคล่ือนไหวตามลักษณะและวิธีการของการเคล่ือนไหว จำ� แนกได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดงั น้ี (กลุ ยา ตนั ตผิ ลาชวี ะ, 2551) การเคลื่อนไหวแบบอย่กู ับท่ี Non-Locomotor Movement การเคลอื่ นไหวแบบเคล่อื นที่ Locomotor Movement การเคลอื่ นไหวประกอบอุปกรณ์ Manipulative Movement 51

การเคลือ่ นไหวแบบอยู่กับท่ี Non-Locomotor Movement เปน็ การเคลอ่ื นไหวทสี่ ว่ นขาอยกู่ บั ที่ ไมเ่ คลอ่ื นทจ่ี ากทหี่ นงึ่ ไปยงั อกี ทห่ี นง่ึ แตจ่ ะเปน็ การเคลอ่ื นไหวร่างกายช่วงบนทกุ ส่วน แบ่งเปน็ 3 ลกั ษณะ ได้แก่ 1. การเคลอ่ื นไหวขัน้ พ้นื ฐาน 2. การเคลอ่ื นไหวแบบสมั พนั ธก์ นั 3. การเคลอื่ นไหวประกอบอปุ กรณ์ การเคลอื่ นไหวโดยใชส้ ว่ น เปน็ ลกั ษณะการเคลอ่ื นไหว เป็นการใช้อุปกรณ์มา ใดส่วนหน่งึ ของร่างกาย เช่น ส่วนของร่างกายให้สัมพันธ์กัน ประกอบในการเคลอื่ นไหวโดยไม่ >>> การยดื เหยยี ด (Stretch) เช่น แขนกับขา เท้ากับล�ำตัว เคลอ่ื นที่ เชน่ ใชบ้ อลเปน็ อปุ กรณ์ >>> การโยกตัว (Sway) หรือแขนกับล�ำตัว ท้ังนี้บางท่า โดยรบั และสง่ บอลมอื เดยี ว ซา้ ย >>> การก้มตัว (Bend) ต้องอาศัยความแข็งแรง และ ขวาหรือส่งทั้ง 2 มือ โยนบอล >>> การงอหรอื พบั ตัว (Curl) สมรรถภาพทางกายของบคุ คล ข้นึ บนอากาศแล้วรับเปน็ จังหวะ >>> การผลกั (Push) เปน็ องคป์ ระกอบดว้ ย การเคลอ่ื น เล้ียงบอลกับพื้นตามจังหวะช้า >>> การดงึ (Pull) ไหวแบบนี้จะต้องเคลื่อนไหว หรอื เรว็ เลยี้ งบอลบนพน้ื สลบั กบั >>> การบดิ ตวั (Twist) ให้ติดต่อกันให้ต่อเนื่อง เช่น โยนบอลขน้ึ บนอากาศ สง่ บอลไป >>> การแกวง่ หรอื เหวย่ี ง (Swing) การโยกตวั ไปมา การแกวง่ หรอื รอบตัวหรอื รอบเอว >>> การหมนุ (Turn) หมุนเหวี่ยง การดันหรือผลัก >>> การทรงตัว (Balance) บดิ ตวั ไปมา 52

1. การเคลื่อนไหว ยดื เหยยี ด โยกตัว ก้มตวั ข้นั พนื้ ฐาน (Stretch) (Sway) (Bend) งอหรอื พบั ตวั ผลัก (Curl) (Push) ดงึ บดิ ตัว แกว่ง (Pull) (Twist) (Swing) หมนุ ทรงตัว (Turn) 53 (Balance)

2. การเคล่อื นไหว โยกตวั แกว่งหรือเหวย่ี ง แบบสัมพันธ์ (Sway) (Swing) ดันหรอื ผลัก บิดตวั ไปมา (Push) (Twist) 3. การเคลอื่ นไหว การโยนรับบอลด้วยตนเองสองมอื การโยนรบั บอลด้วยตนเองมอื เดยี ว ประกอบอปุ กรณ์ (Two-handed Toss (One-handed Toss and Catch the Ball) and Catch the Ball) หมุนบอลรอบ ร่างกายของตวั การใช้เท้าสมั ผัส (Ball Wraps) (Ball Control) 54

1. การเคลื่อนไหวข้นั พ้นื ฐาน ยดื เหยยี ด (Stretch) คอื การเคลอ่ื นไหว ในทศิ ทางตรงขา้ มกบั การกม้ เปน็ การยดื ความ ยาวของกล้ามเน้อื ให้ตึง โดยจะต้องพยายาม ยดื เหยยี ดกลา้ มเนอื้ ใหม้ ากทสี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะทำ� ได้ โยกตัว (Sway) คือ การถ่ายน�้ำหนกั ตวั จากด้านไปยังอกี ด้านหน่ึง โดยเท้าทงั้ สองข้างสัมผัสพ้นื สลับกัน ก้มตวั (Bend) คอื การยนื แล้วงอพบั ร่างกายช่วงเอว ให้ส่วนบนลงมาใกล้กับ ร่างกายส่วนล่าง งอหรอื พบั ตวั (Curl) คล้ายกบั การก้มตัว แต่เป็นการทำ� ในท่าน่งั กับพ้นื 55

1. การเคลื่อนไหวข้ันพ้นื ฐาน ผลกั (Push) คือ การพยายามทำ� วัตถุให้ห่างออกจากร่างกาย เช่น การผลกั โต๊ะ ดึง (Pull) คอื การพยายามทำ� ให้ วัตถุเข้ามาหาร่างกายของตัวเอง โดยการใช้มอื บดิ ตวั (Twist) คอื การทำ� สว่ นตา่ ง ๆ ของ ร่างกายบิดไปจากแกน เช่น การบิดล�ำตัว 56

1. การเคล่ือนไหวขั้นพ้นื ฐาน แกว่ง (Swing) คอื การเคลื่อนไหวสิ่งใด สิง่ หนง่ึ โดยหมุนรอบแกนกลางให้เปน็ เสน้ โคง้ ครึง่ วงกลมหรอื มากกว่า เช่น การเหวย่ี งแขน หคือมกุนาร(กTรuะrทnำ� )ท่มี ากกว่าการแกว่ง โดยกระท�ำรอบ ๆ แกนกลาง เช่น การหมนุ หัวไหล่ ทคอื รงกาตรวั กร(ะBทaำ� lเaพnอ่ื cรักeษ) าสมดุลของร่างกาย เช่น การยืนขาเดียว เดินบนเส้นตรง หรือ คานทรงตวั 57

2. การเคลอื่ นไหวแบบสมั พนั ธก์ นั โยกตวั (Sway) คือ การถ่ายน�้ำหนักตัวจาก ด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหน่ึง ทำ� ต่อเนอ่ื งไปมา แกว่ง (Swing) คือ การเคลอ่ื นไหว สง่ิ ใดสง่ิ หน่งึ โดยหมุนรอบแกนกลางให้ เป็นเส้นโค้งคร่ึงวงกลมหรือมากกว่า ท�ำให้ต่อเน่ืองหลาย ๆ ครั้ง เช่น การเหวย่ี งแขน ผลัก (Push) คือ การพยายาม ท�ำวัตถุให้ห่างออกจากร่างกาย อย่างต่อเน่อื ง บิดตัว (Twist) คือ การท�ำส่วนต่าง ๆ ของร่างกายบดิ ไปจากแกน โดยท�ำต่อเนอื่ ง หลาย ๆ ครง้ั เช่น การบดิ ลำ� ตัว 58

SCAN ME วดิ ีโอทักษะการสร้างความคุ้นเคยกับบอล (Ball Control or Ball Handling) 3. การเคลอ่ื นไหวประกอบอปุ กรณ์ การโยนรับบอลดว้ ยตนเองสองมือ (Two-handed Toss and Catch the Ball) เป็นการฝึกความสัมพนั ธ์ของการท�ำงานระหว่าง ตากบั มอื ผู้เรียนจะถือบอลสองมือไว้ด้านหน้าล�ำตวั ผลกั ลูกบอลข้ึนโดยใช้แรงจากมอื และแขนทง้ั 2 ข้าง เมอื่ ลกู บอลตกลงมาให้ใช้สองมอื รับบอลไว้ การโยนรับบอลด้วยตนเองมอื เดียว (One-handed Toss and Catch the Ball) เปน็ การฝึกความสมั พนั ธ์ของการท�ำงานระหว่าง ตากบั มอื ผู้เรียนจะถือบอลไว้ด้วยมอื ข้างใด ข้างหนงึ่ ในลักษณะแบมอื ผลกั บอลข้ึนโดยใช้แรงจาก มือและแขน เมื่อบอลตกลงมาให้ใช้มอื อีกข้างหนึ่งรบั บอลไว้ หมุนบอลรอบรา่ งกายของตัวเอง (Ball Wraps) เปน็ การฝึกความสมั พันธ์ของการทำ� งาน กล้ามเน้ือมดั ใหญ่ คือ มอื แขนและลำ� ตัว ฝึกให้ ผู้เรยี นมคี วามคุ้นเคยกับนำ�้ หนัก ขนาดของบอล โดยการจับหรอื สัมผัสบอล โดยผู้เรียนถือบอล สองมอื และหมุนบอลรอบ ๆ ร่างกายของตัวเอง เช่น ศรี ษะ เอว ขา และข้อเท้า การใช้เทา้ สมั ผัสกบั บอล (Ball Control) เป็นการฝึกความสมั พันธ์ของการท�ำงานกล้ามเนื้อใหญ่ คือ เท้า ขา และยังฝึกการทรงตวั อีกด้วย ผู้เรียนจะยก เท้าข้างใดข้างหนง่ึ มาสัมผัสกบั บอล สามารถใช้ได้ทัง้ ฝ่าเท้า ข้างเท้าด้านใน หรอื หลังเท้า สลบั เท้าซ้ายขวา เริม่ จากช้าไป เร็ว และกางแขนเล็กน้อยเพื่อช่วยในการทรงตัวท่ดี ีขึ้น 59

การเคล่อื นไหวแบบเคลอ่ื นที่ Locomotor Movement หมายถึง การเคล่ือนร่างกายจากที่หน่ึงไปอีกท่ีหนึ่ง เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายแบบ ง่าย ๆ และสลบั ซบั ซอ้ นขน้ึ เปน็ การเคลอื่ นนำ้� หนกั จากเทา้ หนง่ึ ไปยงั อกี เทา้ หนง่ึ และไดร้ ะยะทาง ไปด้วย ซ่งึ แบ่งออกเปน็ 2 แบบดังน้ี 1. การเคลื่อนไหวปกติ 2. การเคลอ่ื นไหวแบบพเิ ศษ การเคล่ือนไหวที่เป็นแบบ การเคลื่อนไหวพิเศษ อย่างของอิริยาบถง่าย ๆ เป็นลกั ษณะของการเคล่อื น ทว่ั ไป เช่น การเดิน การว่ิง ไหวท่ใี ช้พื้นฐานจากการเดนิ การกระโดด การสไลด์ การวง่ิ และการกระโดด โดย การเพ่ิมก้าวและจังหวะ ลักษณะการก้าวจะผสมกนั เชน่ การควบมา้ การกระโดด ขาเดียว การเดินซาติ การหมุน 60

1. การเคลื่อนไหวปกติ การเดนิ การวง่ิ การกระโดด (Walk) (Run) (Jump) 2. การเคลอื่ นไหวแบบพเิ ศษ กระโดดขาเดยี ว (Hop) การก้าว-เขย่ง (Skip) การควบม้า (Gallop) การกระโจน (Leap) 61

1. การเคลอ่ื นไหวปกติ การเดนิ (Walk) เปน็ การเคลือ่ นไหวแบบเคล่อื นที่ ขัน้ พืน้ ฐาน มวี ิธกี ารคือ ขณะท่เี ดนิ ล�ำตวั ตง้ั ตรง มองตรงไปข้างหน้า ยดื อกข้นึ ก้าวเท้าไม่ยาวไม่สนั้ จนเกินไป แกว่งแขนให้สัมพนั ธ์กับขาทก่ี ้าว การว่งิ (Run) เป็นการเคล่อื นไหวแบบเคลอ่ื นที่ ข้ันพืน้ ฐาน มวี ธิ กี ารคือ ขณะท่วี ่งิ ศรี ษะตัง้ ตรง มองตรงไปข้างหน้า โน้มตวั มาด้านหน้าเล็กน้อย ข้อศอกงอ แกว่งแขนเฉยี ดข้างล�ำตวั ปล่อยหัวไหล่ ตามสบายไม่ต้องเกรง็ เท้าลงพน้ื ด้านหน้าล�ำตวั แบบเต็มเท้า เข่างอเลก็ น้อย การกระโดด (Jump) เป็นการเคลื่อนไหวแบบ เคล่ือนที่ข้ันพ้ืนฐาน มีวิธีการคือ ยืนแแยกเท้าออก จากกันประมาณช่วงหัวไหล่ ย่อเข่า และเหวี่ยงแขน ทั้ง 2 ข้างไปด้านหลัง ตามองไปที่เป้าหมาย เม่ือจะ กระโดดให้เหว่ียงแขน มาด้านหน้า และถีบขาทั้ง 2 ข้างออกไป 62

SCAN ME วดิ โี อทักษะการกระโดดด้วยขาข้างเดยี ว (Hop & Skip Skills) 2. การเคลอ่ื นไหวแบบพเิ ศษ การกระโดดขาเดยี ว (Hop) เป็นการกระโดดโดยใช้ ขาข้างท่ถี นัดข้างเดยี ว ส่งแรงกระโดดจากฝ่าเท้า ส่วนขาอีกข้างให้พบั งอไว้ด้านหลงั การก้าว-เขย่ง (Skip) เป็นการกระโดดด้วยขาข้างเดียว คล้ายกบั Hop แต่ท�ำสลับขาซ้ายขวา และทำ� ให้ต่อเนื่อง การควบม้า (Gallop) คือ การใช้เท้าใดเท้าหนึ่งอยู่ด้านหน้า ใช้การสบื เท้าก้าวไปด้านหน้า และลง พ้ืนด้วยขาทีอ่ ยู่ด้านหลัง เมื่อเท้าหลงั ลงพ้นื แล้วให้พร้อมก้าวขาท่ีอยู่ด้านหน้าออกไปทนั ที การกระโจน (Leap) เป็นทักษะท่ีมีการผสมผสาน ระหว่างการว่ิงและการกระโดด มีวิธีการดังน้ี ผู้เรียน ก้าวเท้าน�ำโดยมีเท้าหลังถีบส่งตัวไปข้างหน้า แกว่งแขน เพ่ือให้ส่งตวั ไปข้างหน้า ทักษะนี้ฝึกเพ่อื น�ำไป ใช้ในการกระโดดข้ามคูคลอง ข้ามสิ่งกีดขวางทเ่ี ปน็ อุปสรรค เปน็ ต้น 63

การเคลอื่ นไหวประกอบอุปกรณ์ Manipulative Movement หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายที่ผู้ปฏิบัติใช้ร่างกายควบคุมวัตถุประกอบ การเคลอ่ื นไหว ซงึ่ เกย่ี วขอ้ งกบั มอื และเทา้ ประกอบการเคลอ่ื นไหว เชน่ การเลยี้ งบอล (ขา) การเลี้ยงบอล (มอื ) การเลย้ี งบอลโดยใช้ขา (Dribble) ใช้หลังหรือข้างเท้าด้านในสัมผัสลูกบอล โน้มตัว ไปด้านหน้าเล็กน้อย ใช้วธิ ีการสะกิดลกู ไปด้านหน้า ลกู บอลต้องห่างจากตัวไม่เกนิ 1 ก้าว และควรใช้ ข้างเท้าด้านในทงั้ 2 ข้างสัมผัสสลับกันไปในขณะท่ี เลยี้ งลกู บอล ลำ� ตวั และแขนต้องไม่เกรง็ การเลี้ยงบอลโดยใชม้ อื (Dribble) โน้มตัวไปข้างหน้า ตามองที่เป้าหมายด้านหน้า กดข้อมือลง โดยใช้น้ิวมือควบคุมทิศทางลูกบอล ไม่ใช้ฝ่ามือ เมื่อลูกบอลกระดอนข้ึนมากระทบมือ ให้กดข้อมือลงไปใหม่ ข้อศอกยืดหยุ่น ไม่เกร็ง ให้กด ข้อมือด้านหลังลูกหากต้องการพาบอลไปด้านหน้า พยายามให้ลูกกระดอนไม่เกนิ ระดบั หน้าอก ก้าวเท้าตามให้ทันลกู บอล การโยนหรอื ขวา้ งมอื เดยี วเหนอื ไหล่ (Throw) ถือบอลไว้มือเดียวเหนือศีรษะ กางน้ิวทั้งหมดออก ข้อศอกช้ีไปด้านหลังเล็กน้อย บิดล�ำตัวตามแขนที่ อยู่ด้านหลัง ถ้าส่งด้วยมือขวา ให้ยืนโดยใช้เท้าซ้าย อยู่ด้านหน้า ใช้พลังจากการก้าวเท้า เกร็งท้อง ส่งมายังข้อศอก ข้อมือ และนิ้วมือ ส่งบอลออกไป การโยนสองมอื หรอื มอื เดยี วด้านล่าง (Toss) ถอื ลกู บอลยนื ในท่าทรงตวั ปลายนว้ิ ทัง้ 10 ชห้ี าพ้ืน ข้อศอกไม่กาง ลูกบอลอยู่ด้านหน้าขา ก้าวเท้าข้าง ท่ถี นัดมาด้านหน้า พร้อมใช้มอื ทั้ง 2 ข้างผลักบอล ออกจากตวั และกระดกขอ้ มอื ขน้ึ สง่ แขนไปทเ่ี ปา้ หมาย อยู่ท่หี น้าอกของผู้รบั บอล 64

การตี (Strike) ส�ำหรับคนถนัดขวาให้ยืนหันไหล่ซ้ายไปยัง เป้าหมาย จับไม้ให้มือชิดกันโดยมือข้างที่ ถนัดจะอยู่ด้านบน ตามองท่ีลูกบอล เหว่ียงไม้ มาปะทะลูกบอลโดยใช้แรงจากการบิดตัว การเตะ (Kick) กา้ วเขา้ หาลกู บอล โดยวางเทา้ หลกั (เทา้ ทไี่ มไ่ ดใ้ ชเ้ ตะ) ไว้ด้านข้างลูกบอล ให้ปลายเท้าชไ้ี ปด้านหน้าและ อยู่ระดับเดียวกับลูกบอล เหว่ียงเท้าที่ใช้เตะไป ด้านหลัง ใชแ้ รงสง่ จากสะโพกเหวยี่ งเทา้ กลบั มาใช้ ข้างเท้า หรือหลังเท้าสัมผัสบริเวณกลางบอล แขนท้ัง 2 ข้างยกขึ้นเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย การรับ (Catch) ยน่ื แขนไปด้านหน้าระดับอก ฝ่ามือท้ัง 2 ข้างหัน ไปหาลกู บอล ปลายนว้ิ ชขี้ นึ้ เมอ่ื บอลมาสมั ผสั กบั ฝา่ มอื ใหก้ า้ วเทา้ ไปดา้ นหลงั พรอ้ มกบั ผอ่ นแขนทงั้ 2 ข้างเข้าหาตัว การหมนุ (Twirl) โดยใชห้ ว่ งขนาดใหญ่ (ฮลู าฮปู ) สวมไวท้ เ่ี อว และใช้การหมุนเอว ช่วยให้ห่วงเคล่ือนที่ 65

การใชข้ าเตะลูกในอากาศ (Punt) คล้ายการเตะลูกบอลจากพ้นื แต่จะใช้การถอื บอลแล้วโยนหรอื ปล่อยบอลลง และใช้ขาเตะบอลก่อนท่บี อลจะตกพนื้ การใช้มือหรือแขนเล่นลกู ในอากาศ (Volley) เปน็ การใชส้ ว่ นของแขนในการเลน่ ลกู ขณะทล่ี อยอยใู่ นอากาศ โดยการเหวย่ี งแขนเดยี ว หรอื สองแขนไปตลี กู ประเภทของการเคลอื่ นไหวขนั้ พนื้ ฐานสามารถแบง่ ไดอ้ อกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ การเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ การเคล่ือนไหวแบบเคลื่อนท่ี และการ เคลอ่ื นไหวประกอบอปุ กรณ์ ซงึ่ ทงั้ 3 ประเภทนม้ี ลี กั ษณะของการเคลอ่ื นไหว ท่ีแตกต่างกันตามลักษณะโดยรวม แต่ในทุกประเภทจะส่งผลให้เกิดการ เคล่ือนไหวที่เช่ือมโยงกันระหว่างระบบกล้ามเน้ือและระบบประสาท 66

เรือ่ ง กMาoรvเeคmลือ่enนtไหAวctสivำ� iหtiรeบัsเfดoก็r เEลa็กrly Childhood ทกั ษะการเคลอื่ นไหวสำ� หรบั เดก็ เลก็ โดยธรรมชาตขิ องเดก็ เลก็ อายุ 3-5 ปี เปน็ ชว่ ง อายทุ ่ีก�ำลังอยากรู้อยากเห็น และมีพลังในตัวอย่าง มากมาย ชอบว่ิง และปีนป่าย ดังนั้นกิจกรรมการ เคลื่อนไหวส�ำหรับเด็กในช่วงอายุนี้มีความจ�ำเป็น อย่างมาก การให้เด็กน่ังนิ่ง ๆ อยู่กับท่ีอาจเป็น กิจกรรมไม่เหมาะสมมากนกั เด็กบางคนจะสามารถ เรียนรู้ได้ดีข้ึนถ้ามีการเคล่ือนไหว บางโรงเรียนได้ เปลย่ี นเก้าอแ้ี บบนง่ั ธรรมดาทว่ั ไปของเดก็ เลก็ ให้เปน็ ลูกบอลยางใบใหญ่ ๆ ให้เด็กนั่ง และสามารถขย่ม หรอื โยกตวั กบั ลูกบอลได้ระหว่างเรยี น การสอนทกั ษะการเคลอื่ นไหวใหก้ บั เดก็ ในวยั นจ้ี งึ มคี วามสำ� คญั เปน็ อยา่ งมาก เพราะทกั ษะพน้ื ฐาน จะตดิ ตวั เดก็ ไปจนโต ตลอดจนถา้ ครสู ามารถปลกู ฝงั ให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อกีฬาหรือการออกก�ำลังกาย จ ะ ท� ำ ใ ห ้ เ ด็ ก เ ติ บ โ ต ข้ึ น เ ป ็ น ผู ้ ใ ห ญ ่ ที่ รั ก ก า ร ออกก�ำลงั กายหรือการเล่นกีฬาต่อไปได้

หนา้ เน้ือหา 69 ความหมายและความสำ� คญั ของการเคลอ่ื นไหวสำ� หรบั เดก็ เลก็ ประเภทของการเคลอ่ื นไหว 70 การเคลอ่ื นไหวแบบอยู่กบั ท่ี (Non-Locomotor Movement) 71 การเคลอ่ื นไหวแบบเคล่อื นท่ี (Locomotor Movement) 72 การเคลอ่ื นไหวประกอบอุปกรณ์ (Manipulative Movement) 76 องค์ประกอบของกจิ กรรมการเคลอ่ื นไหว 77 หลักการจดั กจิ กรรมการเคลอ่ื นไหว 68

ความหมายและความส�ำคญั ของการเคล่อื นไหวส�ำหรบั เดก็ เลก็ Meaning and Importance of Movement Activities for Early Childhood กิจกรรมการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งจ�ำเป็นส�ำหรับเด็ก เป็นพ้ืนฐานในการพัฒนา ด้านร่างกาย เพ่อื พัฒนาทกั ษะการเคลอ่ื นไหว โดยควรฝึกฝนการใช้กล้ามเนอ้ื ในแต่ละ ส่วนอย่างถกู วธิ ี เปน็ ล�ำดับข้นึ จากง่ายไปหายาก (วรรณวภิ า เท่ยี งธรรม, 2556) ประเภทของการเคล่อื นไหวส�ำหรับเด็กเล็ก การทรงตวั การเคล่ือนไหวแบบอยกู่ ับท่ี การยดื เหยยี ด (Balance) (Stretch) Non-Locomotor Movement การงอหรอื พบั ตวั การกระโจน (Curl) (Leap) การเคลอื่ นไหวแบบเคลอ่ื นท่ี การเดนิ การกา้ ว-เขยง่ Locomotor Movement (Walk) (Skip) การวิง่ การเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ (Running) การสไลด์ การกระโดด (Sliding) Manipulative Movement ขาเดยี ว การทรงตวั (Hop) (Balance) 69 การกระโดด การขว้าง (Jump) (Throw) การเตะ (Kick) การรับ การตี (Catch) (Strike)

การเคลอ่ื นไหวแบบอยู่กบั ท่ี Non-Locomotor Movement ก(าBรaทlaรnงcตe ัว) หมายถึง ความสมดุลของร่างกายในขณะทอ่ี ยู่กับทแี่ ละเคลอ่ื นท่ี เด็กท่ี สามารถรักษาทรวดทรงได้ดีกจ็ ะสามารถทรงตวั ในการเคลอ่ื นไหวได้ดี การทรงตัวขึ้นอยู่กับการพัฒนาของกล้ามเน้ือ การท�ำงานของสายตา และช่องหูด้านใน เด็กอายุ 2 ปี สามารถเดินบนไม้กระดานท่ีสูงประมาณ 4 นิ้ว กว้าง 3 น้ิวครึ่ง ได้ไกลถึง 8 น้ิว โดยการเดินด้วยการก้าวเท้าข้างหนึ่งอยู่ข้างหน้า เดก็ อายุ 3 ปี ประมาณรอ้ ยละ 50 สามารถเดนิ บนเสน้ ตรงกวา้ ง 1 นวิ้ ไดร้ ะยะหา่ ง 10 ฟตุ และสามารถทรงตวั บนขาข้างเดียวได้ 3-4 วินาที เดก็ อายุ 4 ปี สามารถทรงตวั บนขาขา้ งเดยี วได้ถึง 10 วินาที และเดินบนเส้นรอบ วงกลมได้ พอเด็กอายุ 4 ปีครงึ่ สามารถเดนิ ทรงตัวบนม้าทรงตัวที่กว้าง 2 น้ิวคร่ึง ดว้ ยการ เดนิ สลบั เทา้ ได้ หลังจากท่ีเด็กมีความพร้อมในการทรงตัวอยู่กับที่ และเคลื่อนท่ีได้แล้ว ครูควร จัดให้เด็กได้ฝึกหัดทักษะท่ียากข้ึน เช่น การกลิ้งตัว การถีบจักรยานสามล้อ การม้วนตัว (พราวพรรณ เหลอื งสวุ รรณ, 2536) 70

การเคลอ่ื นไหวแบบเคล่อื นที่ Locomotor Movement กจิ กรรมการเคล่อื นไหวแบบเคลือ่ นท่ี เปน็ การเคลื่อนท่ยี ้ายต�ำแหน่งร่างกาย จากจดุ หน่งึ ไปจุดหนง่ึ (กลุ ยา ตันตผิ ลาชวี ะ, 2551) การเดิน เดนิ บนเส้นตรง เดนิ บนเส้นรอบวงกลม เดนิ และหยดุ ตามสัญญาณ การว่ิง ว่ิงอยู่กบั ท่ี ว่งิ ตรงไปข้างหน้า กระโดดท�ำท่าเลยี นแบบสัตว์ กระโดดหมุนตัว การกระโดดขาเดยี ว กระโดดขาเดยี วอยกู่ บั ท่ี กระโดดขาเดยี วไปขา้ งหนา้ กระโดด ขาเดยี วบนเสน้ ตรง กระโดดขาเดยี วประกอบการเลน่ เกม SCAN ME วิดีโอทักษะการเดนิ วิง่ และเดนิ บนคานทรงตวั (Walk Run and Walk on a Balance beam) 71

การเคล่ือนไหวประกอบอุปกรณ์ Manipulative Movement เด็กในวัยก่อนเรียนเป็นช่วงท่ีต้องเสริมสร้างทักษะพ้ืนฐานในการเล่น โดยเฉพาะ อย่างย่ิงการควบคุมวัตถุให้เคลื่อนที่ไปกลางอากาศ ทักษะที่ต้องฝึกหัดมี 4 อย่าง คือ การขว้าง การรับ การเตะ และการตี ทักษะเหล่านี้จะช่วยให้เด็กเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมให้เด็กมีทักษะในด้านกีฬาต่อไป ส่ิงที่ช่วยพัฒนาทักษะ ได้แก่ ความสามารถ ในการท�ำงานของกล้ามเนื้อใหญ่ รูปร่าง การเคล่ือนไหว การทรงตัว การท�ำงานของ กล้ามเน้ือเล็ก ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างมือกับสายตา เท้ากับสายตา (พราวพรรณ เหลืองสุวรรณ, 2536) การขวา้ ง (Throw) นักวิชาการบางคนกล่าวว่า การขวา้ งเรม่ิ พฒั นาจากวยั ทารกใน ลักษณะท่ีท�ำให้ส่ิงของกล้ิงไปโดย ตงั้ ใจ แตม่ หี ลายคนทเี่ ขยี นไวว้ า่ เรมิ่ จากเด็กสามารถนั่งแล้วเด็กจึงจะ สามารถโยนหรือปาสิ่งของท่ีไม่ ต้องการหรอื ไม่ชอบออกไป อายปุ ระมาณ 1 ขวบ การทำ� งานของรา่ งกายเกยี่ วกบั สายตาและมอื ดขี นึ้ เดก็ จงึ เรม่ิ ขวา้ งไดแ้ มน่ ยำ� ใน บางครง้ั ในระยะแรกเดก็ ใชว้ ธิ ขี วา้ งดว้ ยการยกแขนเหนอื ไหลเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว การเคลอ่ื นไหวเปน็ แบบสะบดั มือ อายุ 3-5 ปี เดก็ เรม่ิ หมนุ รา่ งกายได้ สามารถฝกึ หดั ขวา้ งดว้ ยการยกแขนตำ่� ลงในระดบั เดยี วกับไหล่ ได้ แต่ยงั ยนื อยู่กับท่ี อายุ 5-6 ปี เด็กเริ่มเรียนรู้การขว้างแบบการก้าวเท้าไปข้างหน้า การก้าวเท้ามักก้าวเท้าเดียวกับ มอื ทขี่ ว้าง เด็กจะมคี วามพร้อมในการขว้าง อายุ 6 ปีคร่งึ สามารถฝึกขว้างด้วยการก้าวเท้าตรงข้ามกบั มอื ได้ ตวั อย่างกจิ กรรม ข้ันแรก ให้ฝึกขว้างลูกบอลยาง ขน้ั ทส่ี อง เมอ่ื เดก็ มที กั ษะเพม่ิ มากขน้ึ ให้ ขน้ั ทส่ี าม อาจเพม่ิ ใหข้ วา้ งโดยให้ หรือวัตถุท่ีมีขนาดเหมาะสมและ ลดขนาดของลูกบอลหรือวัตถุใหเ้ ลก็ ตรงเป้าหมายเพม่ิ ข้นึ น้�ำหนักเบาด้วยตัวเอง โดยไม่ต้อง ลง เช่น ลูกเทนนิส หรือถุงถ่ัว และ เน้นทศิ ทางให้ตรงเป้าหมาย เน้นท่าทางให้ถูกต้องด้วย 72

การรบั (Catch) การรับส่ิงของท่ีเคลื่อนท่ีใน อากาศนั้นมีบางคนกล่าวว่าต้องให้ เด็กมีความสามารถในการมองเห็น ดีเสียก่อนคือ เดก็ ต้องมคี วามสามารถมอง เหน็ ความแตกต่างของขนาดวัตถุ ระยะห่างของวตั ถุทเ่ี คล่ือนไหว ลกั ษณะการเคลอ่ื นไหว ทศิ ทางการเคลอื่ นไหว และความเรว็ ท่ลี อยมา ได้ดแี ล้วจงึ จะเริ่มฝึกหดั การรบั ตามความเป็นจริงแล้วความสามารถในการมองเห็นน้ันไม่ได้ข้ึนอยู่กับวุฒิภาวะเพียงอย่างเดียว แต่ยังขนึ้ อยู่กบั โอกาสทเ่ี ดก็ ได้มปี ระสบการณ์ในการมองการเคล่ือนท่ีของวตั ถใุ นหลาย ๆ ลกั ษณะ ในการรับน้ันการรับลูกบอลลูกใหญ่จะมีประสิทธิภาพดีกว่าการรับลูกบอลลูกเล็ก เด็กเร่ิมเรียนรู้ การรับจากการกล้ิงลูกบอลด้วยการกล้ิงระหว่างขาท่ียืนแยกขา การรับลูกบอลกลางอากาศจะท�ำได้เม่ือ เด ก็ สามเาดรก็ถอโยานยวปุ ตั รถะขุมน้ึ าใณนล3ักปษี ณเรมิ่ะทตจ่ี่างะเรๆยี นรกู้ ารรบั ลกู บอลขนาดใหญห่ รอื ถงุ ถวั่ ทโ่ี ยนมาใหอ้ ยา่ งเบาและตรง ด้วยการกางแขนออกไปข้างหน้า ลักษณะแขนแข็งและเหยียดตรง ต่อมาเด็กจะรู้จักการรับแบบ ใ ช้แขนในเเดดลก็ก็ กั ออษาาณยยะุุป4ผร่อปะนี มเดแารก็ ณงเรมมิ่ 4ารกปจู้ ขกัีคน้ึ ใรชมง่ึ ม้ กี-อื า5แรปลงอะี เแขดข้อ็กนศสรอาบั กมลามกู รบอื ถหอรล่าบั งแลกทูกันนบมกอาาลกรหขรรบั้ึนอืลวกู ัตบถอทุ ล่มี ดาว้ จยากกาทรใศิ ชทร้ าา่ งงตก่าางยปๆะไทดะ้ วตั ถุ ตวั อย่างกจิ กรรม ข้ันแรก ให้ฝึกโยนและรับลูกบอล ข้ันท่ีสอง ฝึกโยนและรับด้วย ขั้นที่สาม อาจเพิ่มให้ท�ำทักษะ ยาง หรือวัตถุท่ีมีขนาดเหมาะสม ตัวเอง โดยใช้ลูกบอลน�้ำหนักเบา กอ่ นจะรบั บอล เชน่ ตบมอื หมนุ ตวั และน้ำ� หนกั เบาด้วยตัวเอง เช่น บอลยางหรือลูกโป่ง และลด หรอื ย่อตัวใช้มอื แตะพน้ื ขนาดของลูกบอลหรือวัตถุให้ เลก็ ลง เช่น ลูกเทนนิส หรอื ถุงถัว่ เมื่อเด็กพัฒนาทกั ษะได้ดขี ้ึน 73

ACTIVITY TIPS เAคcลtiด็viลtyับใTนipกsารจัดกจิ กรรม ความรู้สึกกลัวในการรับวัตถุของเด็ก สังเกตได้จากเด็กหลับตา และเบนศีรษะ หลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ท่ีเคยถูกวัตถุโดนหน้า ครูจะต้องช่วยเหลือให้เด็กมี ความมั่นใจทันที ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะท�ำให้เด็กมีนิสัยกลัวการรับ เด็กท่ีกลัว การรับสามารถแก้ไขด้วยการใชอ้ ปุ กรณท์ นี่ ำ้� หนกั เบา และสามารถรบั ไดง้ า่ ยเชน่ ลกู บอลยาง ลกู โปง่ เชอื ก หรอื ถงุ ถว่ั การเตะ (Kick) เดก็ สามารถเตะลกู บอลทอ่ี ยกู่ บั ที่ ใหก้ ลงิ้ ไปบนพนื้ ได้ ตง้ั แตเ่ ดก็ สามารถวงิ่ และทรงตัวบนเท้าข้างเดยี วได้ เริ่มแรกเด็กจะเตะด้วยวิธีดัน ลกู บอลไปขา้ งหนา้ ดว้ ยขาหรอื เทา้ ตอ่ มา ก็รู้จักเหวย่ี งขาไปหาลูกบอล เด็กท�ำได้ดี เม่อื เดก็ สามารถทรงตวั ด้วยขาข้างเดยี วได้เป็นเวลานานพอสมควร แต่ขายงั อยู่ในลกั ษณะเกร็ง เดก็ อายุ 4 ปี เดก็ ทมี่ โี อกาสฝกึ หดั การเตะ เดก็ จะรจู้ กั เหวย่ี งขาไปขา้ งหลงั โน้มตัวไปข้างหน้า เล็กน้อยและมีการส่งแรงตาม บางคร้ังเดก็ รู้จักการงอเข่าเพอ่ื ให้การเตะมปี ระสิทธิภาพมากข้นึ เด็กอายุ 5-6 ปี สามารถเตะได้ไกลและแม่นย�ำ บางคนสามารถโยนลูกบอลแล้วเตะได้ ทกั ษะการโยนลกู บอลขนึ้ แลว้ เตะเปน็ ทกั ษะทยี่ าก เดก็ สามารถฝกึ หดั ไดเ้ มอ่ื มกี ารทรงตวั บนขาขา้ งเดยี ว และโน้มตัวไปข้างหน้าในขณะท่ีโยนลูกบอลแล้วเตะก่อนท่ีลูกบอลกระทบพื้น การที่จะฝึกหัดเตะ ด้วยการโยนลูกบอลนน้ั ควรเรม่ิ ฝึกหัดหลังจากท่เี ด็กฝึกหัดเตะลูกบอลอยู่กบั ท่ไี ด้ดีแล้ว ตัวอย่างกจิ กรรม ขัน้ แรก อาจวางลกู บอลขนาด ข้ันที่สอง ต่อจากน้ันให้เด็กเตะ ขนั้ ทส่ี าม อาจเพมิ่ ทกั ษะใหถ้ อื บอล เล็กไว้ แล้วให้เด็กฝึกการวาง บอลออกไป โดยใช้บรเิ วณหลงั เท้า แล้วปล่อยบอลลงพื้น รอบอล เท้าหลักข้าง ๆ ลูกบอล พร้อม (บริเวณเชือกรองเท้า) ในการเตะ กระดอนพนื้ 1 ครง้ั แลว้ ใชห้ ลงั เทา้ กับเหว่ียงขาท่ีใช้เตะไปด้าน และงมุ้ ปลายเทา้ ลงพน้ื ตลอดเวลา เตะบอลขนึ้ ไปอกี ครงั้ แลว้ ใชม้ อื รบั ไว้ หลงั และทรงตวั ไว้ 74

การตี (Strike) ทักษะการตีวัตถุไปในอากาศ จะเร่ิม จากท่าตีเหนือไหล่เหมือนการขว้าง แต่การ พัฒนาทักษะมีล�ำดับไม่แน่นอน การตีเด็กจะ หันหน้าเข้าหาวัตถุและใช้เพียงเคล่ือนไหว แขนและมือ มักต้ังท่าตีด้วยมืออยู่ด้านข้าง หรือด้านล่าง เวลาตีก็ยกมือข้ึนในระดับ ความสูงของวัตถุ เด็กอายุ 3 ปี เร่มิ ตดี ้วยมือข้างเดยี วได้ การตดี ้วยสองมอื เช่น การตกี อล์ฟ อายุประมาณ 4 ปีคร่ึง–5 ปี เด็กสามารถตีได้ โดยท่ัวไปการพัฒนาการตีจะค่อย ๆ กับล�ำดับ การขว้าง และช่วงความสามารถอาจอยู่ในวัยเดียวกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสของเด็กแต่ละคน รวมท้ัง ขนาดและน้�ำหนักของไม้ตี Aเคcลti็ดviลtyบั ใTนipกsารจดั กจิ กรรม ก่อนการปฏิบัติกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องใช้อุปกรณ์ เช่น ลูกบอล หรือไม้ตี ควรให้เด็ก ๆ ได้สร้างความคุ้นเคยกับอุปกรณ์น้ัน ๆ ก่อนเร่ิมเรียน เพ่ือให้ คนุ้ เคยกบั ขนาด นำ�้ หนกั และการกระดอน ถา้ เดก็ มคี วามคนุ้ เคยกบั อปุ กรณ์ ได้เรว็ กจ็ ะช่วยให้การปฏบิ ัติทกั ษะต่าง ๆ ดขี น้ึ ตามไปด้วย ตัวอย่างกจิ กรรม ขน้ั แรก ฝึกใช้แขนเดียวตีลูกโป่ง ขน้ั ทส่ี อง ใหเ้ ดก็ จบั แทง่ โฟม หรอื ขั้นท่ีสาม ลดขนาดลูกบอลให้ ใหล้ อยขนึ้ ทำ� หลายๆ ครงั้ ตอ่ เนอ่ื ง ไม้ตีแบบโฟมสองมือ และยืนใน เล็กลง เช่น ลูกบอลขนาดเล็ก ท่าพร้อมตี วางลูกบอลยางไว้บน หรือลูกเทนนิส หลักขนาดใหญ่ระดับเอวของเด็ก แลว้ ใหเ้ ดก็ เหวยี่ งไมม้ าตลี กู ออกไป 75

องค์ประกอบของกจิ กรรมการเคลอ่ื นไหว กจิ กรรมการเคลอื่ นไหวทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพตอ้ งเปน็ กจิ กรรมทท่ี ำ� ใหเ้ ดก็ ทราบวา่ (กลุ ยา ตนั ตผิ ลาชวี ะ, 2551) ร่างกายของเขาสามารถท�ำอะไรได้ ? มีทศิ ทางอยา่ งไร ? เกย่ี วข้องกับคนอ่นื และสงิ่ แวดล้อมอย่างไร ? องค์ประกอบส�ำคัญท่เี กย่ี วข้องกบั การเคล่อื นไหว ผู้เขยี นพอจะสรปุ ไดด้ งั น้ี บริเวณพ้ืนท่ี ระดับของการเคล่อื นไหว ท่าทางการเคลอ่ื นไหว หมายถงึ บรเิ วณทเ่ี ดก็ เคลอื่ นไหว เปน็ ปรมิ าณและจำ� นวนของความ หมายถึง ล�ำดับข้ันและทิศทาง ซึ่งจะเก่ียวข้องกับร่างกายเด็ก แข็งแรงในการเคลื่อนไหว เดิน การเคลื่อนไหวที่ต้องเปลี่ยนจาก บุคคลรอบตัวเด็ก อุปกรณ์หรือ เบา หนัก อ่อนตัว หรือดึงตัว ข้ันหนึ่งไปสู่อีกข้ันหน่ึง หรือจาก วตั ถอุ นื่ ๆ ทชี่ ว่ ยใหเ้ ดก็ เคลอื่ นไหว ในการเคล่ือนไหวและจังหวะ สภาพการณห์ นงึ่ ไปสอู่ กี สภาพการณ์ ได้รอบ ๆ อย่างปลอดภัย ในท่ีน้ี ระดับของการเคล่ือนไหว จะ หนึ่ง นั่นคือการเปล่ียนจังหวะ หมายรวมถงึ ทศิ ทางการเคลอื่ นไหว ท�ำให้เด็กได้เรียนรู้และสุนทรียะ การใช้เสียงและการใช้อุปกรณ์ ระดับสูงต�่ำของการเคลื่อนไหว กับท่าทางและจังหวะ อีกท้ังลด เพื่อประสานการเคล่ือนไหวของ และขนาดบริเวณพ้ืนท่ีด้วย พ้ืนที่ ความจำ� เจในท่าทาง ร่างกายกับจังหวะ ช่วยให้เด็กเรียนรู้บริเวณรอบตัว การใช้ประโยชน์และเข้าใจความ บรรยากาศในการเคลอ่ื นไหว หมายของพ้นื ทร่ี อบตวั สง่ิ แวดลอ้ ม อากาศเปน็ บรรยากาศ เวลาทีใ่ ช้ในการเคล่อื นท่ี ที่ส�ำคัญที่จะกระตุ้นให้เด็กเกิด ความรู้สึกและความต้องการ การเคล่ือนไหวที่มีประสิทธิภาพ หมายถึง ความเร็วช้าของการ ซ่ึงระยะหลังจะมีการน�ำดนตรี เคลอื่ นท่ี หรือเพลงมาประกอบกิจกรรม การเคล่ือนไห7ว6

หลักการจดั กจิ กรรมการเคล่ือนไหว กิจกรรมการเคล่ือนไหวเป็นกิจกรรมเสริมสมรรถนะทางกายและการเรียนรู้ การเรยี นรเู้ ปน็ กระบวนการทางสตปิ ญั ญาทพ่ี ฒั นาสบื เนอ่ื งตลอดชวี ติ สามารถเกดิ ขน้ึ ไดท้ กุ เวลา ทุกสถานท่ี ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของกิจกรรมที่เด็กได้รับ กระบวนการเรียนท่ีเหมาะสม สามารถท�ำให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ (ส�ำนักเลขาธิการสภาการศึกษา, 2556) ลักษณะของกจิ กรรมเคลื่อนไหวส�ำหรบั เด็กปฐมวัยจงึ ควรมลี กั ษณะดงั นี้ กิจกรรมทค่ี รูให้เดก็ กระท�ำต้องมลี กั ษณะ สร้างสรรค์มากที่สุด แม้จะเป็นกิจกรรมการ เคลอ่ื นไหวอยู่กับท่ี เช่น ครูต้องการให้เด็กท�ำ สะพานโค้งและยืนตรง ครูจะต้องไม่เป็นผู้ สาธิตหรือบอกให้เด็กทำ� ตามวธิ กี ารแตใ่ หค้ รคู วร กระตนุ้ เดก็ ใชป้ ระสบการณน์ �ำสู่แนวคิดและการ ปฏิบัติของเด็กโดยครูเล่าเป็นเรื่อง เช่น “เช้า วันหน่ึงเราไปพบต้นไม้เอนโค้งไปกับพื้น เมื่อ แสงแดดส่องต้นไม้นั้น ต้นไม้ก็เร่ิมเป็นอย่างไร (ขยายความ)” ใหเ้ ดก็ คดิ ภาพแลว้ คดิ ตอ่ ทจี่ ะทำ� ตนเป็นต้นไม้ของเด็กไม่ใช่ต้นไม้อย่างท่ีครูบอก กิจกรรมควรเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหว ร่างกายโดยส่วนรวมก่อน แล้วจึงไปส่วนแขน ขา ในขณะเดียวกันครูต้องสังเกตและสร้าง ความเชื่อมั่นให้กับเด็กเรียนรรู้ ่างกายและการ เคลื่อนไหวของตนด้วย 77

ทา่ ทางของการเคลอ่ื นไหวตอ้ งไมส่ รา้ งความยุ่ง ยากให้กับเด็ก เพ่ือน�ำไปสู่การสร้างความมั่นใจให้กบั เด็ก แต่ต้องมีความหมายส�ำหรับเด็ก ในการเรียนรู้ โดยเฉพาะการพัฒนาการรับรู้และการสรา้ งสรรค์ ตวั อยา่ งเชน่ พฒั นาการรบั รแู้ ละอารมณ์ ควรจัดกิจกรรม เดินตามเส้นตรง เส้นเฉียง หรือเดนิ ตามเส้นซกิ แซก็ บ้าง เปน็ ต้น พฒั นาการสรา้ งสรรคโ์ ดยใชก้ จิ กรรมหลาย ๆ อย่างมารวมกัน เช่น การเคล่ือนไหวประกอบ ดนตรี ประกอบอุปกรณ์ มบี รเิ วณและพน้ื ทสี่ ำ� หรบั เดก็ เพอื่ ใหม้ คี วาม คล่องตัวในการเคล่ือนท่ีร่างกายทั้งอยู่กับที่และ เคล่ือนท่ี เพ่ือเด็กจะได้เรียนรู้พื้นที่รอบ ๆ ตัว รู้จัก บรเิ วณรอบตวั เองและบรเิ วณรอบขา้ ง การเคลอ่ื นไหว สอนให้เด็กเรียนรู้พ้ืนที่ (space) ส่ิงที่ครูสอนไม่ใช่การ ส่ังให้เด็กยืน ณ ต�ำแหน่งท่ีครูก�ำหนด แต่การเรียนรู้ พ้ืนที่คือส่ิงท่ีครูบอกเด็กว่า “ให้หาพ้ืนที่ท่ีเด็ก ๆ กาง แขน แกว่ง แล้วไม่ชนเพื่อน” การบอกเด็กเช่นน้ี เป็นการสร้างให้เด็กเรียนรู้ “ตน” กับ “พื้นท่ี” ที่ สัมพันธ์กับเพ่ือนคือรู้จักค�ำว่า “space” ให้อิสระเด็กในการเคลื่อนไหวตามลักษณะ ของกิจกรรมการเคล่ือนไหว ซ่ึงอิสระนี้หมายถึง การให้เด็กท�ำตามเสียงดนตรีมากกว่าการท�ำท่า ตามเน้ือเพลงหรือท�ำตามค�ำส่ัง แต่ให้เด็กรู้จักการ สังเกตว่าเม่ือไรควรเคล่ือนไหว และเม่ือไรควร หยดุ ด้วยตัวของเดก็ เอง 78

เรื่อง กกWิาจriรtกinเรขgรียLมeนsกแsาoผnรนเPคlกaลnาsอ่ื รfนจorดัไMหกวoาขvรeัน้ เmรพยีe้นืnนtฐรAาู้สctนi�ำvหitieรsับ แผนการจัดการเรยี นรู้ หรือแผนการสอน เปน็ เครื่องมอื ที่ส�ำคญั ของครูทใ่ี ช้ในการวางแผน เนอ้ื หาวชิ าทจ่ี ะสอนรวมท้ังสอ่ื การสอน และอุปกรณท์ ่จี ะใช้อีกด้วย แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ครูลงมือท�ำด้วยตัวเองจะท�ำให้ครูมีความม่ันใจในการสอน อกี ทง้ั ยงั ชว่ ยให้ครสู อนไดต้ รงกบั หลกั สตู รอกี ดว้ ย

หนา้ เนอื้ หา 81 ความสำ� คัญของแผนการจดั การเรยี นรู้ 82 องค์ประกอบของแผนการจดั การเรยี นรู้ 84 แผนการจัดการเรยี นรู้ส�ำหรบั กจิ กรรมการเคลอ่ื นไหวขนั้ พ้นื ฐาน ลกั ษณะพัฒนาการ ความต้องการ และกจิ กรรมพลศกึ ษา 88 รปู แบบการเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้วิชาพลศึกษา 89 การเขียนรายละเอยี ดในองค์ประกอบของแผนการจัดการเรยี นรู้ 90 การเขียนส่วนหัวเร่อื ง (Heading) การเขยี นสาระส�ำคัญ (Concept) 91 การเขยี นจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ (Objective) 93 การเขียนเน้อื หา (Content) การเขียนกจิ กรรมการเรยี นรู้ (Activities) 94 การเขียนสือ่ การเรยี นรู้ (Material & Media) การเขียนวธิ วี ดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (Assessment) 80

ความส�ำคัญ ของแผนการจดั การเรยี นรู้ ศศิธร เวียงวะลัย (2556) แผนการจัดการเรียนรู้เปรียบได้กับ พิมพ์เขียวของวิศวกรหรือสถาปนิกที่ใช้เป็นหลักในการควบคุมงานก่อสร้าง วิศวกรหรือ สถาปนิกจะขาดพิมพ์เขียวไม่ได้ฉันใด ผู้เป็นครูก็ขาดพิมพ์เขียวไม่ได้ฉันน้ัน ยิ่งผู้จัด การเรียนรู้ได้ทำ� แผนการจัดการเรยี นรู้ด้วยตนเองก็จะย่งิ ให้ประโยชน์ต่อการสอนของตน มากย่ิงข้ึน สงบ ลกั ษณะ (2533) ได้อธิบายถึงผลดีของการจัดท�ำ แผนการเรยี นรู้ไว้ดังน้ี 1. ท�ำให้เกดิ การวางแผนวิธจี ดั การเรียนรู้วธิ เี รยี นทม่ี คี วามหมายมากยง่ิ ข้ึน เพราะเปน็ การจดั ท�ำอย่างมหี ลักการทีถ่ ูกต้อง 2. ช่วยให้ครูมสี อ่ื การจัดการเรยี นรู้ที่ทำ� ด้วยตนเอง ท�ำให้เกดิ ความสะดวก ในการจัดการเรยี นรู้ ท�ำให้การจดั การเรยี นรู้ได้ครบถ้วนตรงตามหลักสูตร 3. เป็นผลงานทางวชิ าการท่สี ามารถเผยแพร่เปน็ ตัวอย่างได้ ก4.ารชเ่วรยียนอร�ำู้ไนมว่สยาคมวาารมถจสดัะกดาวรกเแรยีกน่ครรู้เูผอูง้จไัดดก้ า ร เ รียนรู้แทน ในกรณีท่ีผู้จัด จากการศึกษาและวิเคราะห์ความส�ำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้จากนักวิชาการ หลายท่าน สามารถสรปุ ได้ว่า แผนการจดั การเรยี นร้มู คี วามสำ� คญั อย่างมากต่อครผู ้สู อน ช่วยให้ ครูมั่นใจในการสอน สามารถควบคุมเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่าง เหมาะสม การท่ีครูได้ท�ำแผนการจัดการเรียนรู้ท�ำให้สามารถปรับปรุงการสอนได้ทันที หลังจากท่ีสอนเสร็จ และที่ส�ำคัญคือ ช่วยให้ครูท่ีมาสอนแทนในกรณีจ�ำเป็นเข้าใจหลักการ แนวทางการจัดการเรียนการสอนของวิชาน้ีได้ง่ายข้ึน และมีความต่อเนื่องของการจัด การเรียนการสอน 81

องคป์ ระกอบ ของแผนการจดั การเรยี นรู้ เอกรินทร์ สม่ี หาศาล และคณะ (2552) ได้อธบิ ายองค์ประกอบของแผนการจดั การ เรยี นรู้ไว้ดงั น้ี สาระสำ� คัญ เป็นการเขียนในลักษณะเป็นความคิด รวบยอดหรือ Concept จุดประสงค์การเรยี นรู้ เขียนในลักษณะจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ซงึ่ เม่ือผู้เรยี นได้ลงมือปฏิบตั ทิ ุกพฤตกิ รรม ในแต่ละแผนการเรียนรู้ของหน่วยการ เรยี นรแู้ ลว้ จะบรรลตุ ามตวั ชวี้ ดั และมาตรฐาน การเรยี นรู้ทก่ี ำ� หนดไว้ในแต่ละหน่วย สาระการเรยี นร ู้ เป็นการเขียนเนื้อหาสาระในลักษณะเป็น ประเด็นส�ำคัญสั้น ๆ สอดคล้องกับเน้ือหา สาระท่ีก�ำหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ กจิ กรรมการเรยี นร ู้ ระบวุ ธิ สี อน กระบวนการจดั การเรยี นรู้ เทคนคิ การสอนที่หลากหลาย เมื่อจัดกิจกรรม การเรยี นรดู้ งั กลา่ วครบถว้ นแล้ว ผ้เู รยี นจะ บรรลจุ ดุ ประสงคใ์ นการเรยี นรู้ และเมอ่ื เรยี น จบครบทุกแผน ผู้เรียนจะได้ความรู้ ทักษะ กระบวนการและคุณลักษณะท่พี งึ ประสงค์ ครบถว้ นตามเปา้ หมายการเรยี นรขู้ องตวั ชวี้ ดั และมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีก�ำหนดไว้ โดย ออกแบบการจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ผี่ เู้ รยี น ต้องปฏบิ ตั ิในแต่ละรายชั่วโมงอย่างชัดเจน ส่ือการสอน แหล่งการเรียนรู้ในแต่ละแผนการจัดการ เรยี นรจู้ ะกำ� หนดสอ่ื การเรยี นรทู้ ใี่ ชป้ ระกอบ การเรยี นการสอนไวอ้ ยา่ งชดั เจน มใี บความร ู้ ใบงาน แบบฝึกทักษะการเรียนรู้ เอกสาร เพ่ิมเติมส�ำหรับผู้สอนตามความเหมาะสม และบอกแหล่งเรียนรู้ที่ส�ำคัญที่จะช่วยให้ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู้ ปน็ ไปตามเปา้ หมาย ทก่ี �ำหนด 82

การวัดและประเมนิ ผล ทกุ แผนการจดั การเรยี นรจู้ ะระบรุ ายละเอยี ด เก่ียวกับเร่ืองการวัดและประเมินผลคือ หลักฐานการเรียนรู้ ร่องรอยการเรียนรู้ วิธีการวัดและประเมนิ ผล เครอ่ื งมอื ในการวดั และประเมนิ ผลบนั ทกึ ผล การจัดการเรยี นรู้ หวั ข้อนส้ี ำ� หรบั ผู้สอนได้ บนั ทกึ ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรใู้ นแตล่ ะ แผนการจัดการเรียนรู้เพ่ือน�ำไปปรับปรุง และพฒั นาวธิ กี ารจดั การเรยี นรใู้ หบ้ รรลผุ ล ตามเป้าหมายต่อไป เช่นเดียวกับ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2553) ได้ก�ำหนดให้แผนการจัดการเรียนรู้มี องค์ประกอบดังน้ี 1. กลุ่มสาระการเรยี นรู้ หน่วยท่จี ัดการเรียนรู้ และสาระส�ำคัญของเร่อื ง 2. จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 3. สาระการเรยี นรู้ 4. กจิ กรรมการเรยี น การจัดการเรยี นรู้ 5. สื่อการเรยี น การจดั การเรยี นรู้ 6. วัดผลประเมนิ ผล จากการศึกษาและวิเคราะห์ความส�ำคัญขององค์ประกอบของผแผนการจัดการเรียนรู้จาก นักวิชาการหลายท่าน สามารถสสรุปได้ว่า องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีสิ่งท่ีส�ำคัญคือ การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อตอบค�ำถามให้ได้ว่า จัดการเรียนรู้อะไร เพื่อจุดประสงค์อะไร ตวั สาระอะไร ใชว้ ธิ กี ารใด ใชเ้ ครอื่ งมอื อะไร และทราบไดอ้ ยา่ งไรวา่ ประสบความสำ� เรจ็ หรอื ไม่ ซง่ึ สงิ่ เหล่า น้ีล้วนเป็นวัตถุระสงค์ของการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ท�ำให้เกิดองค์ประกอบของแผนการจัดการ เรยี นรู้ทงั้ 6 อย่างข้างต้น และนำ� ไปสู่การจดั การเรยี นการสอนทท่ี �ำให้ผู้เรยี นเกดิ ประสทิ ธิภาพมากท่สี ุด ในการจัดการเรยี นรู้ 83

แผนการจัดการเรยี นรู้ สำ� หรับกจิ กรรมการเคล่อื นไหวข้นั พ้นื ฐาน แผนการจัดการเรียนรู้มีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้สอน หรือสถานศึกษาจะเลือกใช้ ให้เหมาะสมและสะดวกต่อการนำ� ไปใช้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ (ศศธิ ร เวยี งวะลัย, 2556) กจิ กรรมการเคลอ่ื นไหวพน้ื ฐาน เป็นกจิ กรรมหนงึ่ ที่มคี วามหลากหลาย ทง้ั ประเภทของกจิ กรรม และอปุ กรณ์ส่อื การสอน ดงั นน้ั ผู้สอนจงึ จำ� เป็นจะต้องเข้าใจถงึ ทักษะพ้นื ฐาน และการพฒั นาของผู้เรยี น บางคร้ังอาจจะต้องปรับกิจกรรมหรืออุปกรณ์สื่อการสอนเพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละกลุ่มด้วย ซึ่งสามารถสรปุ ลักษณะพัฒนาการ ความต้องการ และกิจกรรมพลศกึ ษาได้ดงั นี้ (จริ กรณ์ ศริ ปิ ระเสริ ฐ, 2543) ลกั ษณะพฒั นาการ ความต้องการ กิจกรรมพลศกึ ษา น�้ำหนักและส่วนสูงเพ่มิ ข้ึนอย่าง พฒั นาทกั ษะกลไกการเคลอื่ นไหว จดั กจิ กรรมทเี่ หมอื นกนั ทง้ั สองเพศ สมำ่� เสมอในระดับปานกลาง เพอ่ื สรา้ งความคนุ้ เคยกบั พฒั นาการ เช่น ว่ิง กระโดด หรือปืนป่าย เพื่อ ทางด้านร่างกาย รักษาไว้ซ่ึงพัฒนาการด้านกิจกรรม ทางกลไกต่อจากวัยเดก็ เลก็ มวลสารกล้ามเน้ือและกระดูก การเล่นท่ีต้องใช้ก�ำลังเพ่ือการ เกมการเล่นที่ต้องใช้ก�ำลังอย่าง เจรญิ อย่างรวดเร็ว พัฒนาการใช้กล้ามเน้อื มัดใหญ่ หนกั ตลอดชว่ งอนบุ าลถงึ ชน้ั ประถม เนอ้ื เยอ่ื ไขมนั ลดลง ศกึ ษาปีท่ี 2 โดยมุ่งไปท่กี ารพฒั นา ความแข็งแรงและความอดทน เชน่ วิ่งไล่จับ เกมที่ต้องหนีทุกชนิด การห้อยโหน และการปีนป่าย หวั ใจและปอดยงั ไมพ่ ฒั นาเตม็ ที่ การฝึกและการพักสลับกันไป กิจกรรมหนกั โดยเฉพาะการวง่ิ อตั ราชพี จรและอตั ราการหายใจ เป็นช่วง ๆ วา่ ยนำ�้ การปนี ปา่ ยและหอ้ ยโหน แต่ ลดลงอย่างสมำ�่ เสมอ ต้องฝึกในช่วงเวลาสนั้ เปน็ ช่วง ๆ ไป เหน่อื ยง่ายแต่ฟืน้ ตัวเรว็ เพอื่ ให้เดก็ ได้มโี อกาสพัก ทักษะการเคลื่อนไหวทง้ั หมดจะ การแสดงออกของทักษะการ กจิ กรรมการทดสอบตนเองทกุ ชนดิ ถกู พัฒนามากขน้ึ เคล่ือนไหวในรปู แบบต่าง ๆ การเต้นตามจังหวะ โอกาสทจ่ี ะฝึกฝนทกั ษะ การร้องเพลงประกอบท่าทาง กจิ กรรมเก่ียวกับการเคล่ือนไหว 84 เบ้อื งต้น

ลกั ษณะพัฒนาการ ความต้องการ กจิ กรรมพลศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ โอกาสทจ่ี ะจบั ถอื วัตถตุ ่าง ๆ กจิ กรรมเกยี่ วกบั การสง่ การรบั มือและตายังไม่ดีข้ึน แต่พัฒนา ทม่ี ขี นาดใหญ่และขนาดกลาง การขวา้ งการเตะฯลฯดว้ ยลกู บอล ไปเร่ือย ๆ ตัวอย่างเช่น เด็กจะ ขนาดแตกตา่ งกนั โดยฝกึ จากความ หยุดลูกบอลด้วยร่างกายและ เรว็ นอ้ ยไปหาความเรว็ มากฝกึ จาก แขนมากกว่าหยดุ ด้วยมอื ระยะใกลไ้ ปหาระยะไกล ฝกึ การใชห้ ว่ งรอบเอว (Hoops) การใช้คทาหรอื ไม้ยาว ๆ เช่น การตลี ูกล้อ ปฏิกริ ยิ าตอบสนองช้า แต่จะ การฝึกท่ีเกี่ยวกับการเปล่ียน เกมและการเล่นโลดโผนที่ ค่อย ๆ เพม่ิ ข้ึนตามอายุ ความเร็วอย่างรวดเร็วและการ ต้องใช้ความเร็ว การหลบหลีก เปลี่ยนทศิ ทาง และการเปล่ียนทศิ ทาง (จ�ำเปน็ ต้องจัดส�ำหรับเด็กในช่วงระดับ น้ีตลอด) อยากรอู้ ยากเหน็ มจี นิ ตนาการ โอกาสในการแสดงออกซ่ึง การเต้นร�ำที่ใช้จินตนาการ ต่าง ๆ ความคิดเหน็ และการใช้ร่างกาย ละคร หรือบทบาทสมมุติ ชอบการเลยี นแบบ การเล่นโลดโผน การต่อตัว ลลี าศกึ ษาทใี่ ชอ้ ปุ กรณท์ มี่ ขี นาด เลก็ การแสดงออกทางทกั ษะพนื้ ฐาน ค ว า ม ก ร ะ ตื น รื อ ร ้ น สู ง โอกาสอย่างมากในการร่วม จัดการศกึ ษาการเคล่อื นไหว มีพลังงานมาก เล่นกิจกรรมหนัก โดยเฉพาะ ไว้ทุกช่ัวโมงพลศึกษา อย่างยิ่งกิจกรรมหนักท่ีจัดไว้ใน การว่งิ ชั่วโมงพลศกึ ษา เกมต่าง ๆ การเล่นโลดโผน 85 การเล่นท่ใี ช้อุปกรณ์ การเต้นรำ� ทใ่ี ช้จินตนาการ การเล่นท่ีใช้ก�ำลังมีบทบาท เฉพาะ

ลักษณะพัฒนาการ ความต้องการ กจิ กรรมพลศกึ ษา ระยะเวลาความสนใจสนั้ กิจกรรมท่ีใช้ค�ำอธิบายสั้น เกมทมี่ จี ดุ ประสงค์ กฎกตกิ า กะทัดรัด และง่ายต่อการเข้าใจ และวิธกี ารเล่นทง่ี ่าย ๆ สามารถทำ� ไดส้ ำ� เรจ็ อยา่ งรวดเรว็ กจิ กรรมชนดิ ต่าง ๆ ภายใต้ เปลี่ยนกิจกรรมหรืองานท่ีให้ การแนะน�ำของครู ท�ำบ่อย ๆ มกี ารจดั ระเบยี บในชนั้ เรยี น มกี ารพกั บอ่ ย ๆ เวลาทำ� กจิ กรรม ซึ่งจะท�ำให้การเปล่ียนแปลง กิจกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว อนญุ าตใหพ้ ดู คยุ ขณะทำ� กจิ กรรม มีความต้องการอย่างแรงกล้าท่ี การเล่น การฝึกซำ้� ๆ ใหเ้ ลน่ เกมหรอื ฝกึ ทกั ษะซำ�้ ๆ จะฝึกกิจกรรมท่ีตนเองรู้จักและ สนใจกิจกรรมใดกจิ กรรมหนง่ึ แต่ลดเวลาให้สน้ั ลง เล่นได้ดีซ้�ำ ๆ โดยเฉพาะ กิจกรรมท้าทายและ กจิ กรรมเข้าจงั หวะ น่าสนใจ ยมิ นาสติก เกมท่มี ีการแข่งขัน สนุกสนานกับเสียงเพลงและ การแสดงออกดา้ นจนิ ตนาการ การเต้นร�ำชนิดต่าง ๆ เช่น จังหวะ และการเคลอื่ นไหวของร่างกาย การเตน้ รำ� นานาชาติ การเตน้ รำ� พนื้ เมอื ง กจิ กรรมเข้าจงั หวะ สนใจในเพลงและดนตรี เกมทม่ี กี ารรอ้ งเพลง ยมิ นาสตกิ ที่ใช้เพลงประกอบ ยดึ ตนเองเป็นศูนย์กลาง ตอ้ งการประสบการณ์ในการ การเต้นร�ำชนิดต่าง ๆ เช่น เล่นกับผู้อ่ืน เพ่ือให้รู้จักสนใจใน กิจกรรมท่ีเล่นคนเดียวเป็น คนอื่น ๆ และรู้จักการให้การ ส่วนใหญ่ กิจกรรมกลุ่มเล็ก แบง่ ปนั การเขา้ ใจผอู้ นื่ แตจ่ ะเปน็ (2-4 คน) กลุ่มเล็ก สมาชิกจะเปลี่ยนหน้า กจิ กรรมการทดสอบตนเอง กันเร่ือยไป เพราะเด็กส่วนมาก กจิ กรรมการแสดงออกของ จะเอาแต่ใจตนเองและต้องการ การเคลอื่ นไหว เปน็ ผชู้ นะ จะเปน็ การเลน่ ทต่ี า่ งคน จดั กจิ กรรมการเลน่ แบบผลดั ต่างเล่น เพยี งแต่มาร่วมกลุ่มกนั เสรมิ เข้าไปด้วย 86

ลักษณะพฒั นาการ ความต้องการ กจิ กรรมพลศึกษา ยนิ ดที ่ีจะรบั การลงโทษส�ำหรบั การยอมรับในกฎเกณฑ์และ เกมท่ีมีกฎกติกาแน่นอน ตนเองและกลุ่ม การเล่นท่ยี ุตธิ รรม ตายตวั กจิ กรรมการเล่นแบบผลัดท่ี เปน็ กลุ่ม ไมม่ คี วามรสู้ กึ ของการแบง่ แยก โอกาสในการท�ำงานและร่วม การเต้นรำ� ต่าง ๆ ทางดา้ นสผี วิ เชอ้ื ชาติ และศาสนา เล่นกับผู้อ่ืน กจิ กรรมเข้าจงั หวะ เกมและกิจกรรมกลางแจ้ง ยิมนาสติก โดยเปิดโอกาส ให้เด็กได้เลือกกิจกรรมด้วย ตนเอง จากการศึกษาและวิเคราะห์แผนการจัดการเรียนรู้ส�ำหรับกิจกรรมและการเคลื่อนไหว ขน้ั พนื้ ฐานจากนกั วชิ าการหลายทา่ น สามารถสรปุ ลกั ษณะพฒั นาการ ความตอ้ งการ และกจิ กรรม พลศึกษาของเด็กระดับปฐมวัยถึงระดับช้ันประถมศึกษาตอนต้นได้ ผู้เขียนสามารถน�ำข้อมูลมา ประกอบการเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้วชิ าพลศึกษาได้งา่ ยขนึ้ ท้งั เรอ่ื งการรบั รูค้ วามสามารถ ของผู้เรียนและการเลอื กกจิ กรรมท่เี หมาะสม 87

รูปแบบการเขียน แผนการจดั การเรยี นรู้วิชาพลศกึ ษา การเขยี นแผนการจดั การเรยี นรใู้ นแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นการสอนอยา่ งละเอยี ด ประกอบดว้ ย องคป์ ระกอบสำ� คญั ดงั น้ี (จริ กรณ์ ศริ ปิ ระเสริ ฐ, 2543) เริ่มจากการพิจารณาก�ำหนดสาระส�ำคัญและจุดประสงค์ของการเรียน การสอนใหส้ อดคลอ้ งกบั จดุ มงุ่ หมายของหลกั สตู ร ระดบั ความสามารถ และความสนใจของนกั เรยี น โดยแบ่งออกเปน็ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้และ จดุ ประสงค์ระดับหน่วยการสอน วางแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนใหเ้ หมาะสมกบั เนอ้ื หา จดุ ประสงค์ สถานที่ อุปกรณ์ และสิ่งอ�ำนวยความสะดวกที่มีอยู่ ตลอดจนลักษณะ ของนักเรียน โดยท่ัวไปแล้วการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนระดับ หน่วยจะประกอบด้วย 5 ขนั้ คือ 2.1 เตรยี มความพร้อม และอบอุ่นร่างกาย 2.2 ขนั้ อธบิ ายและสาธิต 2.3 ขนั้ ฝึกทักษะกจิ กรรม 2.4 ข้นั น�ำไปใช้ 2.5 ขนั้ สรุปและสุขปฏบิ ตั ิ วางแผนก�ำหนดสอ่ื การเรียนการสอน เพอ่ื ช่วยให้กจิ กรรมการเรยี น การสอนดำ� เนนิ ไปอย่างมปี ระสิทธภิ าพ หาวิธีการในการวัดผลและประเมนิ ผล เพ่ือให้สอดคล้องกับวตั ถุประสงค์ ร วมถ ึงปรจะาสกบกกาารรศณึกษ์ขาอแงลผะู้เขวียิเคนรสาะาหม์ราูปรถแบสบรุปกไาดร้วเข่าียรนูปแแผบนบกกาารรจเัดขกียานรแเผรียนนกราู้วริชจาัดพกลาศรึกเรษียานจราู้วกิชนาักพวลิชศาึกกษารา มจี ดุ เริ่มต้นท่ีส�ำคัญคือ ควรศึกษาพัฒนาการของผู้เรียนก่อน เพ่ือให้ผู้สอนรู้ว่าผู้เรียนสามารถท�ำอะไรได้ บ้าง มีความต้องการด้านใดบ้าง และที่ส�ำคัญจะท�ำให้ผู้สอนสามารถเลือกกิจกรรมท่ีเหมาะสมกับผู้เรียน ท้ังนี้ในรูปแบบการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาจะประกอบไปด้วย 5 ขั้นท่ีส�ำคัญดังน้ี ข้ันท่ี 1 เตรียมความพร้อมและอบอุ่นร่างกาย ขั้นท่ี 2 อธิบายและสาธิต ข้ันที่ 3 ขั้นฝึกทักษะกิจกรรม ข้ันที่ 4 ขั้นน�ำไปใช้ และขั้นท่ี 5 ขั้นสรุปและสุขปฏิบัติ โดยท่ี 5 ขั้นดังกล่าวจะเป็นส่วนที่ส�ำคัญและถือได้ว่าเป็น แนวทางที่ให้ผู้สอนสามารถจัดการเรยี นการสอนได้ตามวตั ถปุ ระสงค์ 88

การเขยี นรายละเอยี ด ในองคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรยี นรู้ การจัดท�ำแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพนั้น นอกจากตั้งอาศัยความเข้าใจเก่ียวกับ รปู แบบและองคป์ ระกอบของแผนจดั การเรยี นรดู้ งั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ ยงั ตอ้ งมคี วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั วธิ กี ารเขยี นราย ละเอยี ดภายในองคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรยี นรดู้ ว้ ยประการหนง่ึ แผนการจดั การเรยี นรทู้ เี่ ขยี นขนึ้ จงึ เปน็ แผนจดั การเรยี นรทู้ ส่ี มบรู ณแ์ ละมปี ระสทิ ธภิ าพในการนำ� ไปใชด้ งั ทจ่ี ะเสนอตอ่ ไปนี้ (ณฐั วฒุ ิ กจิ รงุ่ เรอื ง, วชั รนิ ทร์ เสถยี รยานนท์ และวชั นยี ์ เชาวด์ ำ� รง, 2545) (Aปกsรsาวะeรดั เวsเแมรsิธลmนิยี ี ะนผeรลnู้t) (Hหeัวaเdรือ่inงg) ส(าCรoะnสceำ� คptญั ) (MMสเaรือ่ etยี eกdนrาiiaรaร)ู้ & (จกOุดาbปรjeเรรcะยีtสiนvงeรค)ู้ ์ (กAกาcจิ รtiกเvรรiียtรiนeมsร)ู้ (Cเoนnื้อtหenาt) 89

(Hหeัวaเdรiื่อnงg) การเขียนสว่ นหวั เร่อื ง Heading ส่วนหวั เร่อื ง เป็นส่วนแรกของแผนการจัดการเรยี นรู้ เปน็ ส่วนท่บี อกรายละเอยี ด เบ้อื งต้นของแผนการจดั การเรยี นรู้ มแี นวทางการเขยี นดังต่อไปน้ี 1. ระบลุ ำ� ดบั ท่ขี องแผนการจดั การเรยี นรู้ 4. ระบุระดบั ชน้ั ทสี่ อน 2. ระบกุ ลุ่มสาระการเรยี นรู้ 5. ระบเุ วลา (นาท)ี ท่ใี ช้จดั การเรยี นรู้ 3. ระบหุ ัวข้อเร่อื ง 6. ระบุวันท่ี เดอื น ปี และช่วงเวลาการจัดการเรยี นรู้ ส(าCรoะnสceำ� pคtัญ) การเขCียoนnสcาeรpะtส�ำคัญ สาระสำ� คญั คอื ข้อความทเ่ี ขยี นเพอ่ื ระบใุ ห้เหน็ แกน่ หรอื เหน็ ข้อสรปุ ทตี่ อ้ งการให้เกดิ ขนึ้ กบั ผเู้ รยี นหลงั จากการเรยี นรเู้ รอ่ื งใดเรอ่ื งหนงึ่ ทงั้ ดา้ นเนอ้ื หา ความรู้ ด้านทกั ษะ หรอื ด้านเจตคติ ซงึ่ ขึน้ อยู่กับลักษณะเหมาะของเร่อื งท่นี ำ� เสนอ สาระส�ำคัญเป็นค�ำท่ีใช้ในความหมายเดียวกับความคิดรวบยอด มโนทัศน์ และมโนมติ ขนึ้ อยู่กับหน่วยงานหรอื ความนยิ มใช้ มีแนวการเขยี นดงั ต่อไปน้ี 1. เขยี นในลักษณะของการสรปุ เน้อื หา 2. เขียนในลักษณะความเรยี งและเขยี นเป็น ความรู้ ทกั ษะ หรอื เจตคตทิ ่เี ป็นเป้าหมายด้วยภาษา ข้อในกรณที ก่ี ารจดั การเรยี นรู้ครง้ั นน้ั มี มากกว่า 1 สาระส�ำคญั ทรี่ ดั กมุ และชดั เจน 3. การจดั การเรยี นรู้ในระดับชน้ั ต้น ๆ ควรมสี าระส�ำคัญเดยี วใน การจดั การเรยี นรู้ครัง้ หน่ึง 90

(จกOุดาbปรjeเรรcะยีtสiนvงeรค)ู้ ์ การเขียนจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ Objective จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ คอื สง่ิ ทร่ี ะบคุ ณุ ลกั ษณะของการเรยี นรใู้ นกระบวนการเรยี นการสอน ที่ผู้สอนต้องการให้เกิดขึ้น หลังจากที่นักเรียนได้ท�ำกิจกรรมตลอดช่ัวโมงน้ัน โดยต้องประกอบด้วย ด้านความรู้ ทกั ษะ สมรรถภาพ คณุ ธรรมจรยิ ธรรม และเจตคติ จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม (Behavioral Objective) คอื จุดประสงค์ท่ีบ่งช้ีถึงพฤติกรรม ทผี่ เู้ รยี นสามารถแสดงออกหลงั จากทไ่ี ด้เรียนรู้ตามแผนจัดการเรียนรู้ที่ครูก�ำหนดไว้ พฤติกรรม ดงั กล่าวต้องเป็นพฤติกรรมท่ีสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่สมบูรณ์ ควรประกอบไปด้วยส่วนส�ำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ มักใช้คำ� ว่า : สถานการณ์หรอื เงื่อนไขทคี่ รตู งั้ ขน้ึ (Condition) หลังจากท่ี......., เมอ่ื ก�ำหนด............., เม่อื นำ� ............., เมอ่ื .................ฯลฯ พฤติกรรมของผ้เู รยี นทีค่ าดหวังใหแ้ สดงออก (Terminal Behavior) มักใช้คำ� ว่า : อธบิ าย, บรรยาย, บอก, เขยี น, วาด, ชี้, ค�ำนวณ, ตอบ, ท่อง, เปรยี บเทียบ. สร้าง, ทดลอง, วเิ คราะห์, ยกตัวอย่าง, สาธติ ฯลฯ ค�ำที่ไม่ควรน�ำมาใช้ : รู้, เข้าใจ, ซาบซง้ึ , ตระหนกั , จนิ ตนาการ ฯลฯ เกณฑ์บง่ ช้คี วามสามารถของนกั เรยี นท่จี ะแสดงพฤตกิ รรม (Criteria) มกั ใช้ค�ำว่า : ได้ถกู ต้อง, ได้ทุกข้อ, ได้ 8 ข้อ ใน 10 ข้อ, อย่างน้อย 5 ช่อื , ภายใน 10 นาที ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ในการเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมหากเกิดข้อจ�ำกัดท�ำให้ไม่สามารถ เขียนได้ครบทงั้ 6 ส่วน ให้ยดึ พฤติกรรมของผู้เรยี นท่ีคาดหวงั ให้แสดงออก 91