Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานวิจัยการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสำหรับนิสิตครู 2561

งานวิจัยการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสำหรับนิสิตครู 2561

Published by ์Nuttaporn Suddee, 2021-01-23 10:01:54

Description: งานวิจัยการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสำหรับนิสิตครู 2561

Keywords: งานวิจัย

Search

Read the Text Version

41 สา (2552) ไชยยศ เรอื งสวุ รรณ สรปุ (2553) น้ี ลกั ษณะสาคัญในการจดั การ ผู้วิจัยสรุปองค์ประกอบการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องฝึก เรียนการสอนเชงิ รุกดังน้ี เชิงรุกได้ดงั น้ี ป็น สามารถจับ 1. เป็นการจัดกิจกรรมการ องค์ประกอบที่ 1 ความรู้พื้นฐาน ของเร่ืองที่ ฟั งได้ เรียนการสอนท่ีพัฒนาการคิด ผู้เรียนต้องค้นคว้าหาข้อมูลความรู้ รความคิดเห็นของ การแก้ปัญหาและประยุกต์ใช้ และความหมายของเรื่องที่จะเรียน ความรู้ของผู้เรยี น เปดิ โอกาส ผู้เรียนจะจัดการกับข้อมูลของสิ่งที่ได้ ป็นทักษะสาคัญ ให้ ผู้ เรี ย น มี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ศึกษาค้นคว้ามาสรุปเป็นของตนเอง ว่าผู้เรียนสามารถ กิจกรรมและสร้างองค์ความรู้ แล้วน าเส น อค วาม คิ ด เห็ น แล ะ นได้ ด้วยตนเอง ผู้สอนต้องจัด อภิปรายร่วมกันในกลุ่มเพื่อนอย่าง งค์ประกอบน้ีจะ กิจก รรม ท่ี ให้ ผู้เรียน ได้ใช้ เป็นเหตุเปน็ ผล องมีความเข้าใจใน ทักษะทุกด้านท้ังการอ่าน องค์ประกอบที่ 2 บทบาทผู้สอน เขียนแสดงความ การฟัง การพูด การคิด และ และบทบาทนิสิตครู ผู้สอนจะมี เรียงความคิดของ การเขยี น หน้าที่ช่วยเหลอื ผเู้ รยี น ให้คาแนะนา ะผอู้ า่ นเขา้ ใจ 2. ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ในการ อธิบายเพ่ิมเติม และรับฟังความ วามคิดเห็น การ ทางานร่วมกัน แบ่งหน้าที่ คิดเห็นผู้เรียนจะมีบทบาทในการ งความคิดเห็นกัน การรับผิดชอบ ผู้สอนต้อง สร้างองค์ความรู้และจัดระบบการ จะทาให้ผู้เรียนมี เป็ น ผู้ ค อ ยส นั บ ส นุ น แล ะ เรียนรู้ด้วยตนเอง แบ่งหน้าท่ีและ นช่วยให้เชื่อมโยง อานวยความสะดวกในการ รับผดิ ชอบรว่ มกัน นและเรียนรู้ได้มาก จดั การเรียนรู้ อ งค์ ป ระ ก อ บ ที่ 3 วิ ธี ก ารจั ด กิจกรรม กิจกรรมการเรยี นรู้ทีจ่ ัดขึ้น

4 ตารางท่ี 2.2 การสังเคราะห์องค์ประกอบการเรยี นรู้เชงิ รกุ (ต่อ) Meyers and Jones (1993) Grabinger and Dunlap จรรยา ดาส (1998) 5. กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนา ความรู้ กระบวนการเรียนรู้จะ กระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิด ผู้สอนจะ เปลี่ยนบทบาทจากผู้ที่ถ่ายทอด ความรู้เป็นการชว่ ยใหค้ าแนะนา 6. การประเมินตามสภาพจริง ต้องมีการประเมนิ ในลกั ษณะท่ี หลากหลายและเห็นถึงความ แตกต่างของผูเ้ รียน

42 ไชยยศ เรอื งสวุ รรณ สรปุ (2553) สา (2552) เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทา กิจกรรมและการนาไปใช้ประโยชน์ ในชีวิตจริงของผู้เรียน โดยทางาน ร่วมกันเป็นกลุ่มส่งเสริมให้มีการใช้ ทักษะทั้งด้านการฟัง การพูด การ อา่ น การคิด และการเขยี น องค์ประกอบท่ี 4 สื่อประกอบ การ เรียนการสอน ผู้สอนต้องสร้างส่ือ ประกอบการเรียนการสอนเพ่ือให้ ผูเ้ รยี นเกิดกระบวนการเรยี นรู้ องคป์ ระกอบที่ 5 การประเมิน ผล ผู้สอนจะมีการให้ผลปอ้ นกลับกับ ผู้เรียน โดยใช้การประเมินตาม สภาพจรงิ โดยมีการใช้รปู แบบการ ประเมินท่ีหลากหลาย

43 ตอนท่ี 4 ความตระหนัก (Personal Awareness) 4.1 ความหมายของความตระหนัก ความตระหนัก หมายถึง สภาวการณมีผลใหเกิดความรูสึก การรับรูมุ่งสูสภาวะจิตแหงตน คือ ทัศนคติความคิด ความเชื่อ ความสนใจ (วีระชน ขาวผ่อง, 2551) ซ่ึงบุคคลเคยมีการรับรู้หรือเคยมีความรู้มาก่อน โดยเมื่อมีส่ิงเร้ามากระตุ้นจะทาให้เกิดความสานึกขึ้นหรือเกิดความตระหนักรู้ข้ึน จนเกิดการยอมรับและเห็น ความสาคัญต่อสิ่งเร้าน้ันซึ่งต้องอาศัยความรู้ในเรื่องนั้น หรือใช้ประสบการณ์เป็นองค์ประกอบในการก่อให้เกิด ความตระหนัก เป็นผลให้เกิดเป็นพฤติกรรมและเลือกปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติต่อสิ่งใดส่ิงหน่ึงออกมา (เรณู พุ่งพันธ์, 2553) ความตระหนักรู้จึงเป็นภาวะทางจิตใจที่เก่ียวข้องกับความรู้สึก ความคิดและความปรารถนาต่างๆ อันเกิด จากการรับรู้และความสานึกซึ่งเป็นภาวะท่บี ุคคลไดร้ ับรู้หรือได้รับประสบการณ์ต่างๆ มาแล้ว โดยมีการประเมนิ ค่า และตระหนักรูถ้ งึ ความสาคัญของตนเองท่ีมตี ่อสิง่ นั้นๆ ความตระหนักรูจ้ งึ เป็นการต่ืนตัวทางจิตใจต่อเหตุการณห์ รือ สถานการณ์น้ันๆ ซ่ึงหมายความว่าระยะเวลาหรือประสบการณ์และสภาพแวดล้อมจะทาให้เกิดการรับรู้ (Perceptions) ข้นึ และนาไปสู่การเกิดความคดิ รวบยอด การเรียนรู้และความตระหนักรูต้ ามลาดับ (กรนภา วัชระ ธารงกุล, 2552) ท้ังน้ีความตระหนักจะเกิดข้ึนได้นั้นต้องอาศัยองค์ประกอบจากส่ิงแวดล้อมรอบตัว การกระทาใน อดีต และส่ิงท่ีส่งผลกับอารมณ์และความรู้สึก เป็นต้น โดยท้ังหมดท่ีเป็นองค์ประกอบจะเป็นผลของการกระทาที่ เกดิ ขึ้น ซึ่งเรียกไดว้ า่ “ความตระหนกั ” (เอกลกั ษณ์ ธนเจริญพศิ าล และจาลอง โพธิ์บญุ , 2554) กล่าวโดยสรุปความตระหนัก หมายถึง ความสานึก การรับรู้ คิดได้ เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ในสิ่งท่ี ผู้เรียนมีความรู้เป็นพ้ืนฐานเดิมอยู่แล้ว และความรู้น้ันมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกผ่านพฤติกรรมของ ผเู้ รยี นโดยตรง 4.2 องคป์ ระกอบท่ีก่อให้เกิดความตระหนกั Breckler (1986) ได้กล่าวเอาไว้ว่า ความตระหนักเกิดจากทัศนคติที่มีต่อส่ิงเร้า การสัมผัส การรับรู้ ความคิดรวบยอด การเรียนรู้ความตระหนักพฤติกรรม ความรู้ (Knowledge) เจตคติ (Attitude) ความลุ่มลึก ชัดแจ้ง (Intelligibility) ความตระหนัก (Awareness) ได้แก่ บุคคล สถานการณ์กลุ่มสังคม การเรียนรู้ และ ประสบการณ์ต่างๆ ท่ีโน้มเอียง หรือที่จะตอบสนองในทางบวกหรือ ทางลบ เป็นปัจจัยที่มีผลต่อความตระหนัก โดย ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และพฤติกรรมเป็นองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดความตระหนัก การจะให้บุคคลมี พฤติกรรมในทิศทางท่ีพึงปรารถนาน้ันจาเป็นที่จะตอ้ งให้บุคคลเกิดความตระหนักต่อตนเองและสังคม ซึ่งบุคคลจะเกิด ความตระหนักได้กต็ ้องมกี ารรบั รู้ส่ิงน้ัน (วีระชน ขาวผ่อง, 2551) โดยองค์ประกอบสาคัญทก่ี ่อให้เกิดความตระหนักมี อยู่ด้วยกัน 3 ประการ ดังน้ี 1) ความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Component) จะเร่ิมต้นจากระดับง่ายและมีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น ตามลาดับ 2) อารมณ์ความรู้สึก (Affective Component) เป็นความรู้สึกด้านทัศนคติค่านิยม ความตระหนักชอบ หรือไมช่ อบ ดีหรอื ไม่ดเี ปน็ องค์ประกอบในการประเมนิ สิ่งเรา้ ตา่ ง ๆ

44 3) พฤติกรรม (Behavioral Component) เป็นการแสดงออกท้ังทางวาจา กิริยาท่าทางที่มีต่อสิ่งเร้า หรือแนวโนม้ ทีบ่ ุคคลจะกระทา กล่าวโดยสรุปถึงองค์ประกอบที่ทาให้เกิดความตระหนัก คือ การเรียนรู้จากตัวบุคคลหรื อจาก ประสบการณ์ท่ีเป็นปัจจัยที่จะส่งผลต่อความตระหนัก ยกตัวอย่างเช่น ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกท่ีจะ สง่ ผลตอ่ การแสดงออกทางพฤติกรรมของแต่ละบคุ คล 4.3 ปจั จยั ท่ีมีผลตอ่ ความตระหนกั บณั ฑติ จฬุ าศยั (2528) กล่าวถงึ ปจั จัยท่ีมอี ทิ ธิพลตอ่ การรบั รขู้ องแตล่ ะบุคคลไว้ 3 ประการ ได้แก่ 1. ประสบการณ์การรับรู้นั้นข้ึนอยู่กับประสบการณ์ทั้งในอดีตท่ี ผ่านมาและในชีวิตประจาวัน การรับรู้เร่ืองราวใด ๆ ข้ึนอยู่กับความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้น ประสบการณ์ท่ีได้พบเห็นจะมีผลกระทบโดยตรง ทาใหเ้ กดิ ความรับรู้ในระดบั ต่าง ๆ 2. ความใส่ใจและการให้คุณค่าในเร่ืองท่ีจะรับรู้ซึ่งแปรเปล่ียนได้หลายระดับตั้งแต่ความจาเป็น ความ ตอ้ งการ ความคาดหวัง ความสนใจ และอารมณ์ 3. ลักษณะรูปแบบของเร่ืองท่ีจะรับรู้นอกจากการรับรู้ของบุคคลจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ความเอาใจใส่ และการใหค้ ุณค่าในเรอ่ื งทจี่ ะรับรแู้ ละยงั ข้นึ อยูก่ ับรูปแบบของส่งิ หรือเร่ืองทจ่ี ะรับรู้ เนื่องจากความตระหนักของแต่ ละบุคคลขน้ึ อยูก่ บั การรบั รูข้ องบุคคลนนั้ ๆ ปัจจัยที่ส่งผลตอ่ ความตระหนักไวว้ ่าปจั จัยที่มีผลต่อความตระหนัก (ทนงศักด์ิ ประสบกิตติคณุ , 2534) คอื 1. ประสบการณท์ ี่มีต่อการรับรู้ 2. ความเคยชนิ ตอ่ สภาพแวดลอ้ ม จะมผี ลทาใหบ้ คุ คลตระหนกั หรอื ไม่ตระหนักต่อสงิ่ ที่เกดิ ขน้ึ 3. การเอาใจใส่และการใหค้ ุณคา่ ถ้ามนุษย์ใสใ่ จในเร่อื งใดมากกจ็ ะมคี วามตระหนักใน เรอื่ งนั้นมากขึ้น 4. ลักษณะและรูปแบบของส่ิงเร้า ถ้าสิ่งเร้าน้ันสามารถทาให้ผู้พบเห็นเกิดความสนใจย่อม ทาให้ ผพู้ บเหน็ เกิดการรบั รู้และการตระหนักมากขน้ึ 5. ระยะเวลาและความถ่ีในการรับรู้ถ้ามนุษย์ได้รับการรับรู้บ่อยคร้ังหรือนานเท่าไรจะทาให้มีโอกาสเกิด ความตระหนกั มากขึ้นเท่านั้น ประสาท อิศรปรีดา (2523) อธิบายว่า ความตระหนักเป็นพฤติกรรมทางด้านอารมณ์หรือความรู้สึก ซ่งึ เกือบคล้ายความรู้เป็นพฤติกรรมขั้นต่าสุดของความรคู้ วามคดิ ปจั จัยความรสู้ ึกหรืออารมณ์น้ันมีความสัมพันธ์กับ ปัจจัยด้านความรู้ความคิดเสมอ ความตระหนักเป็นเร่ืองของโอกาสการได้รับสัมผัสจากสิ่งเร้าหรือส่ิงแวดล้อม โดยไม่ได้ตั้งใจ การไตร่ตรองแล้วจึงเกิดสามัญสานึกต่อปรากฏการณ์นั้นๆ และในเร่ืองของความตระหนักน้ีจะไม่ เกี่ยวข้องกับการจาหรือการราลึกมากนัก เพียงแต่จะรู้สึกว่าส่ิงน้ันมีอยู่จาแนก และรับรู้ลักษณะของสิ่งน้ันๆ เป็นสิ่งเร้าออกมาตรงๆ ว่า มีลักษณะเป็นเช่นไร โดยไม่มีความรู้สึกในการประเมินเข้าร่วมด้วย และยังไม่สามารถ แบ่งออกมาได้วา่ คุณสมบัติใดของส่งิ เรา้ ทท่ี าใหเ้ กดิ ความตระหนักต่อส่ิงน้ันหรืออาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ความร้หู รือ การศกึ ษาเป็นปัจจยั สาคญั ที่มผี ลต่อความตระหนกั นั้นเอง

45 ทนงศกั ด์ิ ประสบกิตติคุณ (2534) ได้กลา่ วถึง ปจั จยั ท่ีมผี ลตอ่ การรบั รู้ของมนุษย์ไว้ 3 ประการดงั น้ี 1. ประสบการณ์ การรับรู้น้ันข้ึนอยู่กับประสบการณ์ท้ังในอดีตที่ผ่านมาและในชีวิตประจาวัน การรับรู้ เร่ืองราวใดๆ ข้ึนอยู่กับความเกี่ยวข้องในเหตุการณ์น้ันๆ ประสบการณ์ท่ีได้พบเห็นมีผลกระทบโดยตรง ทาให้เกิด การรับรู้ระดับต่างๆ ซึ่งการรับรู้สภาพท่ีเจอเป็นประจาทุกวันนั้น ทาให้เกิดความเคยชินและยอมรับใน สภาพแวดล้อมน้ันเอง 2. ความใส่ใจและการให้คุณคา่ ในเรือ่ งที่จะรับรู้ ความใส่ใจในเรอ่ื งท่ีจะรับร้แู ปรเปล่ียนไดห้ ลายระดับต้ังแต่ ความจาเป็น ความต้องการ ความคาดหวัง ความสนใจและอารมณ์ โดยการรับรู้ในเรื่องใดของแต่ละบุคคลนั้น ขนึ้ อยู่กบั ว่าบคุ คลน้นั จะใสใ่ จและให้คุณคา่ ในเร่ืองนั้นมากน้อยเพียงใด 3. ลกั ษณะและรูปแบบของเรื่องท่จี ะรบั รู้ นอกจากการรบั รู้ของบคุ คลจะขน้ึ อยู่กับประสบการณ์ความใสใ่ จ และการให้คุณค่าในเรื่องที่จะรับรู้แล้ว ยังข้ึนอยู่กับว่าสิ่งนั้นหรือเร่ืองท่ีจะรับรู้มีลักษณะรูปแบบเป็นอย่างไร เช่น เป็นกระแสนิยมของสังคมในขณะนั้น ดังนั้นการที่จะทาให้บุคคลเกิดการรับรู้เพื่อให้เกิดความตระหนักนั้นต้องใช้ ระยะเวลานานพอสมควร ตารางท่ี 2.3 การสังเคราะห์ปัจจยั ทีม่ ีผลต่อความตระหนัก ปจั จัยที่มีผลต่อความตระหนัก ับณ ิฑต จุฬาศัย (2528) ทนง ัศก ิด์ ประสบ ิกตติ ุคณ (2534) ประสาท อิศรปรีดา (2523) ทนง ัศก ์ิด ประสบกิตติ ุคณ (2534) 1. ประสบการณ์การรบั รู้ ✓✓✓✓ 2. ความใส่ใจและการให้คุณค่าในเรื่องทจ่ี ะรับรู้ ✓ ✓ ✓ 3. ลกั ษณะรปู แบบของเร่ืองที่จะรับรู้/ส่งิ เร้า ✓✓✓✓ 4. ความเคยชนิ ตอ่ สภาพแวดลอ้ ม ✓ 5. ระยะเวลาและความถ่ีในการรบั รู้ ✓ 6. ความร้คู วามคดิ ✓ 7. ความรู้สึกหรืออารมณ์ ✓ ความสมั พนั ธ์ระหว่างความตระหนกั และความรู ประสาท อิศรปรีดา (2523) ได้กล่าวถึง ความตระหนักว่า เปนพฤติกรรมดานอารมณหรือความรูสึก (Affective Domain) อันเป็นพฤติกรรมขั้นต่าสุดของความรูความคิด (Cognitive Domain) ปจจัยด้านความรูสึก หรืออารมณ์นั้นจะมีความสัมพันธ์กับปัจจัยด้านความรู้และความคิดเสมออาจกลาวได้วา่ ความรูเป็นเรือ่ งท่เี กิดจาก

46 ข้อเทจ็ จริงประสบการณการสัมผัสและการใช้จติ ไตรตรองคดิ หาเหตผุ ลในขณะที่ความตระหนักเป็นเร่อื งของโอกาส การได้สมั ผัสจากสิ่งเรา้ หรอื สง่ิ แวดล้อมโดยไม่ตงั้ ใจ กล่าวโดยสรุปไดวา ปัจจัยที่มีผลต่อความตระหนักมีด้วยกันหลายปัจจัย เพราะการตระหนักเป็น พฤติกรรมต่อเนื่องมาจากการมีความรู้ หมายถึง การที่คนเรานั้นจะเกิดความตระหนักได้ต้องเป็นบุคคลที่ต้อง มีความรู้มาก่อนเป็นพ้ืนฐาน นอกจากความรู้ก็ยังมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม หรือส่ิงเร้าต่างๆ ที่เข้ามาเป็น ตวั กระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความตระหนกั ขน้ึ ไดอ้ กี ด้วย ข้นั ตอนและกระบวนการเกิดความตระหนกั รัชนก ทุมชาติ (2551) ได้กล่าวว่า ความตระหนักเป็นความสานึก การรับรู้ คิดได้ เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง และส่ิงเหล่านั้นสามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ดังนั้นความตระหนักจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้ท่ีได้มาจาก การสัมผัสจากส่ิงเร้า เม่ือเกิดการรับรู้ (Perceptions) จะนาไปสู่การเกิดความคิดรวบยอด การเรียนรู้ และ ความตระหนัก ตามลาดับ การเรียนรู้และความตระหนักจะนาไปสู่ความพร้อมที่จะแสดงออกถึงการกระทาหรือ แสดงพฤตกิ รรมดงั ภาพท่ี 2.1 การสมั ผัส การรับรู้ ความคดิ การเรยี นรู้ ความตระหนัก รวบยอด ความรู้ พฤติกรรม ภาพที่ 2.1 ข้ันตอนและกระบวนการเกดิ ความตระหนัก (Good, 1973 อ้างถึงใน รัชนก ทุมชาติ, 2551) จากภาพท่ี 2.1 แสดงว่า ความตระหนักเป็นผลของกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Process) กล่าวคือ เมื่อบุคคลได้รับการกระตุ้นจากส่ิงเร้าหรือรับสัมผัสจากสิ่งเร้าแล้วจะเกิดการรับรู้ข้ึนแล้ว ต่อไปจึงจะ นาไปสู่การเกิดความเข้าใจในส่ิงเร้านนั้ ๆ หมายถงึ เกิดความคดิ รวบยอดเกี่ยวกับสิ่งเร้าน้นั และนาไปสกู่ ารเรียนร้ใู น ข้ันต่อไป คือ มีความรู้ในส่ิงน้ัน แล้วเม่ือบุคคลเกิดความรู้ ก็จะส่งผลไปสู่ความตระหนักในที่สุด อีกทั้งความรู้และ ความตระหนกั น้กี ็จะนาไปสูก่ ารกระทาหรือพฤตกิ รรมของบคุ คลที่มตี ่อสงิ่ เร้านน้ั ๆ (รัชนก ทุมชาติ, 2551) กล่าวโดยสรุปไดวา ข้ันตอนและกระบวนการเกิดความตระหนัก ต้องเริ่มต้นจากการให้บุคคลนั้นได้ สัมผัส รับรู้ และกระตุ้นถึงความรู้หรือส่ิงเร้าน้ันๆ ก่อน เพ่ือให้บุคคลได้เกิดการคิดและเรียนรู้ แล้วนาไปสู่การ เกิดองค์ความรู้ของตนเอง เมื่อบุคคลเกิดเรียนรู้และเข้าใจถึงส่ิงน้ันแล้ว จึงจะส่งผลไปสู่ความตระหนักและ นาไปสกู่ ารกระทาหรอื พฤติกรรมของบคุ คลท่มี ีตอ่ สงิ่ เรา้ นนั้ ๆ

47 ตอนท่ี 5 กีฬาพื้นเมืองไทย การละเล่นไทย หรือการละเล่นพ้ืนบ้านไทย (Thai Traditional Sports, Thai Traditional Games) 5.1 ความหมายของกีฬาพืน้ เมอื งไทย การละเล่นไทย หรือการละเลน่ พ้ืนบา้ นไทย กฬี าพื้นเมืองไทย หมายถึง การละเล่นพื้นบ้านเปน็ กจิ กรรมนันทนาการประเภทเกมที่สามารถส่งเสริมและ พัฒนาอารมณ์สุขสนุกสนาน การละเล่นพ้ืนบ้านของไทยเป็นกิจกรรมที่ยอมรับร่วมกันในสังคมว่าเป็นภูมิปัญญา ท้องถ่ิน มีการถ่ายทอดจากคนรุ่นหน่ึงไปยังคนอีกรุ่นหนึ่ง (กรมพลศึกษา, 2557) เป็นส่ิงหนึ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิต และความเป็นอยู่โดยท่ัวไปของมนุษย์ ซ่ึงจะมีความแตกต่างไปตามแต่ละท้องถิ่น ตามวัย วัฒนธรรม ประเพณี ความเช่ือ และภูมิปัญญาของคนในแต่ละสังคม การละเล่นน้ันสามารถเล่นไดท้ ้ังเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ชายและผู้หญิง นิยมเล่นเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย การละเล่นของเด็กไทยเป็นการเล่นท่ีสืบทอดกันมาจากปู่ย่า ตายายพ่อแม่สู่ ลกู หลาน การละเล่นจะไม่มีการเปล่ียนแปลงมากนกั การเล่นของเด็กแต่ละภาคจะแตกต่างกันท่ีวิธีเล่น อปุ กรณ์ และการเรียกช่ือตามท้องถ่ินน้ัน (สุวัฒน์ กล่ินเกสร, 2559) ซึ่งการเล่นประจาชาติหรือประจาท้องถ่ินจะมีลาดับ การเปล่ียนแปลง มีพัฒนาการตามความเจริญของวัฒนธรรมแต่ยุคสมัย แต่มีสิ่งหน่ึงที่จะไม่เปล่ียนแปลงคือ การแสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละชาติแต่ละท้องถิ่นว่ามีลักษณะอย่างไร และยังใช้เป็นเอกลักษณ์ให้คน รุ่นหลังได้เล่นและธารงไว้ให้คนรุ่นหลังได้สืบทอดต่อไป (เทพประสิทธ์ิ กุลธวัชวิชัย, 2556) โดยใช้ทักษะทางกาย ทกี่ ระตอื รือรน้ ใช้ความสามารถในการเคลอ่ื นไหวรา่ งกายตามแบบวัฒนธรรมไทย (ชชั ชัย โกมารทตั , 2549) ซง่ึ เป็น กิจกรรมการแข่งขันท่ีมีแบบแผนอย่างไทยด้ังเดิมของเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อความบันเทิงใจ ทั้งท่ีเป็นการเล่นท่ีมกี ติกา มีวิธีการเล่นที่เป็นระบบ ระเบียบ กฎ กติกาการแข่งขันง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อนสามารถยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับ สภาพการณ์และมีความเหมาะสมกับวีถีชีวติ วัฒนธรรมของท้องถนิ่ น้ันๆ หรือไม่มีกติกา ไมม่ ีบทรอ้ งประกอบ หรือ มีบทร้องประกอบให้จังหวะ บางทีก็มีท่าเต้น ท่าราประกอบ เพื่อให้งดงามและสนุกสนานยิ่งขึ้น ท้ังผู้เล่นและผู้ชม มีส่วนร่วมสนุกสนาน (ผะอบ โปษกฤษณะ และสุมน อมรวิวัฒน์, 2547) ไม่เน้นการแพ้ชนะจึงมีคุณค่าและ มีส่วนสาคัญในการหล่อหลอมพฤติกรรมโดยเฉพาะกับเด็กเล็ก ซึ่งเป็นที่รวมทั้งเป็นการเชื่อมโยงประสบการณ์ทาง สังคมให้กับเด็กทาให้เด็กไทยประสบความสาเร็จในการเล่นจนเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง เห็นคุณค่าของตนเอง กลา้ คดิ กล้าแสดงออก รู้จักการปรบั ตัวใหอ้ ยู่รว่ มกับผูอ้ ื่นได้อย่างมีความสุขอีกท้ังยังช่วยให้เด็กได้เรียนรดู้ ว้ ยการรอ คอยการช่วยเหลือการแบ่งปันและการเป็นผู้นาผู้ตามสิ่งเหล่าน้ีเป็นผลที่จะเกิดโดยตรงจากการละเล่นของเด็ก ที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตและพฤติกรรมทางสังคมของเด็กวัยนี้ท่ีต้องเสริมสร้างพัฒนาการให้พร้อมในการเจริญเติบโต และการเรียนรู้ในระดับสูงข้ึนต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ (กรมพลศึกษา, 2557) อีกท้ังยังเป็นการส่งเสริมให้เด็กใช้ เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และเป็นกิจกรรมที่แฝงไว้ด้วยสัญลักษณ์ หากศึกษาการเล่นของเด็กในสังคมเท่ากับได้ ศึกษาวัฒนธรรมของสังคมน้ันด้วย การละเล่นของเด็กไทยมีความหลากหลาย เช่น หมากเก็บ ว่าว โพงพาง รีรีข้าวสาร เป็นต้น (กาญจนา เหล่าโชคชัยกุล และคณะ, 2555) เม่ือเด็กได้เล่นคนเดียวหรือเป็นกลุ่มอย่าง สม่าเสมอ จะทาให้เด็กได้รับการเตรียมความพร้อมในพัฒนาการด้านต่าง ๆ ครบทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านจิตใจ ด้านสังคมและด้านสติปัญญาอีกทั้งมีส่วนช่วยพัฒนาให้เด็กเกิดความเช่ือมั่นในตนเองได้ อีกทางหน่ึงด้วย (ฟาลาตี หมาดเต๊ะ, 2557) จุดประสงค์ส่วนใหญ่ของกีฬาพื้นเมืองไทย คือ มุ่งเพ่ือให้เกิดความ สนุกสนาน เพ่ือออกกาลังกาย และการละเล่นเป็นการส่งเสริมให้เด็กรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ทาให้เด็กมี

48 สุขภาพดี มีน้าใจนักกีฬา นอกจากน้ีการเล่นบางอย่างทาให้เด็กได้ฝึกสมอง ความว่องไว ตลอดจนเสริมสร้าง สมรรถภาพทางกายและทางอารมณใ์ ห้มั่งคงยิ่งขนึ้ (ปนิษฐา เรืองปัญญาวุฒิ, 2556) สรุปได้ว่า กีฬาพื้นเมืองไทย การละเลน่ ไทย หรอื การละเล่นพืน้ บา้ นไทย หรือ เป็นการเลน่ ดงั้ เดิมของ ท้องถ่ินของคนไทย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่คนรุ่นก่อนได้สร้างและถ่ายทอดไว้ ซ่ึงจะมีความแตกต่างไป ตามแต่ละท้องถ่ิน ตามวัย วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ และภูมิปัญญาของคนในแต่ละสังคม สามารถ เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ชายและผู้หญิง ใช้การเคลื่อนไหวร่างกายตามแบบวัฒนธรรมไทย เป็นกิจกรรม การเล่นหรอื แข่งขันที่มีแบบแผนอย่างไทย มีวิธีการเลน่ ที่เป็นระบบ ระเบียบ กฎ กติกาอย่างไทย ตามรปู แบบ วิถีการดาเนนิ ชวี ิตดง้ั เดมิ แบบไทย 5.2 ประวตั ิความเป็นมาของกีฬาพื้นเมืองไทย การละเล่นไทย และการละเลน่ พน้ื บา้ นไทย แต่ดั้งเดิมคนไทยอยู่แบบครอบครัวใหญ่ มีความใกล้ชิดกบั ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อคร้ังเป็นเด็กน้อย จะนอนดูพวงปลาตะเพยี นท่ีสานด้วยใบของต้นมะพร้าวหรือใบลานท่ีย้อมด้วยสี เม่ือแสงแดดสอ่ งเข้ามาเกล็ดปลาก็ จะเปน็ ประกายสวยงาม ปลาตะเพยี นตัวน้อยแกวง่ ไกวตามแรงลม เด็กก็จะยืน่ มอื ไขว่ควา้ อย่างเพลิดเพลิน เมือ่ เด็ก เติบโตข้ึนผู้ใหญ่มักจะให้นั่งเล่นอยู่บนบ้านไม่ให้ออกไปไหนกลัวจะเป็นอันตราย เด็กจะอยู่บ้านเล่นกับพี่น้องวัย เดยี วกันส่วนใหญ่ บางครั้งเลน่ ตบแปะแบบเดก็ ๆ ได้ฝึกความคิดไดเ้ ปล่ียนทา่ ทางต่างๆ ไดฝ้ ึกการเคลื่อนไหวของมือ แขนขาและสายตาประกอบกับเสียงเพลงและจังหวะท่ีเร้าใจ ใครท่ีพลาดหรือตามไม่ทันก็จะแพ้ ถ้ามีอุปกรณ์การ เล่นเป็นเชือกเส้นเล็กๆ ขนาดยาวพอควรนามาผูกเป็นวงแล้วใช้น้ิวคล้องไขว้เป็นรูปต่างๆ การไขว้เชือกจะช่วยให้ เด็กได้ฝึกการคิด และพัฒนากล้ามเน้ือน้ิวมือ การเล่นที่ใช้พื้นที่ เช่น เล่นมอญซ่อนผ้า ตี่จับ โพงพาง รีรีข้าวสาร ชวี ิตของเด็กไทยในสมัยก่อน จึงมีความสุขสนุกสนาน และอบอุ่น เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการเล่นกันในครอบครัว กับญาติพี่น้อง หรือเพ่ือนบ้านใกล้เคียงเป็นต้น (อุษณีย์ ส่ือมโนธรรม, 2555) ประวัติความเป็นมาของการละเล่น พน้ื บ้านของไทยว่า มมี าตั้งแตใ่ นสมยั โบราณทไ่ี ม่มที ราบชัดเจนว่าเม่อื ไหร่ แต่การสนั นิษฐานกันตามประวัติศาสตร์ และหลักฐานที่ปรากฏตามท่ีมีการจารึกกันไว้เท่าน้ัน ซึ่งปรากฏหลักฐานว่ามีมาแต่เริ่มมีชาติไทยสมัยกรุงสุโขทัย จากข้อความในหลักศิลาจารึกของพ่อขนุ รามคาแหงและหลกั ฐานที่ปรากฏในหนงั สือ วรรณคดี และภาพจิตรกรรม ฝาผนัง ซ่ึงมีการสืบทอดวิธีเล่นกันมาอย่างต่อเนื่อง และปรับให้เข้ากับแต่ละยุคสมัยโดยการเล่นของไทยได้ สอดแทรกไปกับประเพณีและวัฒนธรรมไทยในสมัยก่อน เพื่อให้เกิดความสนุกสนานบันเทิงควบคู่กันไปกับการ ทางาน ท้ังในชีวิตประจาวัน และเทศกาลงานบุญตามระยะเวลาแห่งฤดูกาล การละเล่นของเด็กไทยในปัจจุบัน เด็กผู้หญิงเล่นตุ๊กตากระดาษ ชุดขายของพลาสติกเลียนแบบของจริง วิดีโอเกม เด็กผู้ชายเล่นปืน จรวด เกมกด และเครื่องเล่นต่าง ๆ ซึ่งมีขายมากมายและมีการละเล่นหลายชนิดท่ีนิยมเล่น ท้ังในเด็กชายและเด็กหญิง นอกจากนั้นยังเล่นตามฐานะและเศรษฐกิจ ของครอบครัว ดังน้ันการละเล่นของเด็กไทยสมัยก่อนจึงค่อยๆ เลือน หาย ไปทีละน้อยๆ เช่น กาฟกั ไข่ เขย่งเกง็ กอย ข่ีม้าสง่ เมืองขต้ี ่กู ลางนา เตย งกู ินหาง ชว่ งชัย ชักเยอ่ ซ่อนหา มอญ ซ่อนผ้า ไอ้โม่ง ตี่จับ รีรีข้าวสาร ตั้งเต ฯลฯ (กรมพลศึกษา, 2557) โดยปัจจุบันได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมพ้ืนบ้าน และประเพณีการละเล่นบางอย่างได้สูญหายไปและมีการรื้อฟ้ืนข้ึนใหม่โดยมีการจัดแสดงหรือสาธิตให้ดูในการจัด งานการแสดงในโอกาสสาคัญต่างๆ การละเล่นพนื้ บ้านควรได้รับการส่งเสริมใหเ้ ด็กไทยไดเ้ ลน่ และรู้จักมากข้ึนเพื่อ เป็นเอกลักษณ์ของประเทศ (ฟาลาตี หมาดเต๊ะ, 2557) สาหรับการเล่นจะมีการเปลี่ยนแปลงตามจุดมุ่งหมายของ

49 การเล่นกีฬาพื้นเมืองไทยในแต่ละยุคสมัยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์(ปัจจุบัน) ดังนี้ (ชัชชัย โกมารทัต, 2549) สมัยสุโขทัย เป็นสมัยท่ีมีการสู้รบ มีศึกสงครามอยู่เร่ือย ๆ ทาให้ประชาชนในสมัยน้ันต้องฝึกฝนให้ ร่างกายและจิตใจมีความแข็งแรงอยู่เสมอ ลักษณะการเล่นจึงออกมาในลักษณะของการเล่นเพ่ือความแข็งแรง ของร่างกาย มีการเล่นต่อสู้ด้วยมือเปล่ เช่น มวยไทย มวยปล้า การต่อสู้ด้วยอาวุธ เช่น กระบี่กระบอง เป็นต้น ในช่วงที่บ้านเมืองสงบกจ็ ะมีการเลน่ ตามประเพณีต่างๆ เชน่ โคชน โคเกวียน คลีม้า คลชี ้าง การละเล่นของเดก็ ไทย สมัยน้ันยังมีการนาดินมาปั้นเป็นภาชนะสิ่งของเครื่องใช้ เพราะได้เห็นผู้ใหญ่ทาก็จะเลียนแบบบ้าง จะเห็นได้ว่า จุดมุ่งหมายของการเล่นในสมัยนี้จะเป็นการเล่นเพ่ือการฝึกฝนตนเองให้มีร้างกายแข็งแรงกับเล่นเพื่อความ สนุกสนาน ผอ่ นคลาย เป็นตน้ สมัยกรุงศรีอยุธยา ยังเป็นช่วงแห่งการทาสงครามและมีช่วงว่างเว้นจากการทาสงคราม การเล่นในสมยั น้ี ยงั คงเป็นการฝึกด้วยท่าทางของการปอ้ งกันตัวดว้ ยมือเปล่า เช่น มวยไทย มวยปล้า การฝกึ ดว้ ยการใช้อาวธุ โบราณ เช่น กระบ่ีกระบอง การฝึกขับข่ีช้าง ขับข่ีม้า เน่ืองจากเร่ิมมีการติดต่อทางเส้นทางคมนาคมทางน้ามากขึ้น จึงจะ พบว่ามีการฝึกพายเรือ เพื่อเตรียมพร้อมในการเดินทางหรือการสู้รบอีกด้วย ส่วนในช่วงท่ีว่างเว้นจากการทา สงคราม คนส่วนหนึ่งก็จะเล่นว่าว เล่นลิงชิงเสา หรือการเล่นปลาลงอวน ซึ่งเป็นการเล่นในบทละคร เร่ืง”มโนราห์ จงึ สรุปไดว้ ่าจดุ มุ่งหมายของการเล่นในสมัยนจี้ ะมีการเลน่ ที่คล้ายคลึงกับสมยั สุโขทยั กล่าวคือ มีทง้ั เล่นและเป็นการ ฝึกซ้อม เตรียมพร้อมต่อการทาสงคราม การเล่นเพ่ือเฉลิมฉลองในงานราชพิธีต่างๆ รวมถึงการเล่นเพื่อบันเทิงใจ และผ่อนคลาย เป็นต้น สมัยกรุงธนบุรี ด้วยบ้านเมืองยังมีการสู้รบและทาสงครามกันอยู่ การเล่นกีฬาพ้ืนเมืองจึงจะเหมือนกับ สมัยกรุงศรีอยุธยาท่ีมีทั้งเล่นเพ่ือฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงและเตรียมพร้อมในการสู้รบ เมื่อว่างเว้นจากการทา สงคราม การเล่นก็จะเป็นลักษณะเพื่อความสนุกสนาน เพื่อความเพลิดเพลิน และสุดท้ายเป็น การเล่นเพ่ือ การเฉลิมฉลองราชพธิ ีตา่ งๆ เล่นในงานรนื่ เรงิ เช่น มวยไทย มวยปล้า กระบี่กระบอง ตคี ลี ชนช้าง ชนม้า ชน โค วงิ่ ววั ว่งิ ควาย เล่นวา่ ว เป็นตน้ สมยั กรงุ รตั นโกสินทร์ เป็นสมยั ที่บ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลง ท้ังด้านการทหาร การปกครอง การเมอื ง การเศรษฐกิจ การศึกษา การเล่นกีฬาพื้นเมืองไทย ในช่วงแรกจะเป็นการเล่นเพื่อสืบทอดต่อจากสมัยกรุงธนบุรี เช่น ขมี่ า้ ขี่ช้าง พายเรือ แข่งเรือ ตคี ลี เลน่ วา่ ว สะบ้า ชนโค ชนแกะ ว่ิงม้า วง่ิ ววั วิ่งควาย หมากรุก ลูก ช่วง (ช่วงชัย) เล่นกับอาวุธเพื่อฝึกการป้องกันตัว เช่น กระบ่ีกระบอง การเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน รน่ื เริงใจ และเพื่อเฉลิมฉลองราชพิธีต่างๆ เช่น การราดาบ มวยไทย รัชกาลที่ 1 ทรงสนพระทยั มีความชานาญ ต่อสู้ป้องกันตัวแบบไทย ๆ ทรงฝึกฝนวิชามวยไทยต้ังแต่เยาวว์ ัย รวมถึงการทอดพระเนตรการแข่งขันชกมวยเสมอ การเล่นกีฬาพื้นเมืองในช่วงที่สองเป็นการเล่นเพ่ือการฟ้ืนฟูและพัฒนา ด้วยในช่วงรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยได้รับอารยธรรมตะวันตก ประกอบกับมีมิชชันนารีอเมริกันเข้ามาเผยแพร่ศาสนา การศึกษา

50 ขนบธรรมเนียม ประเพณี ซึ่งในช่วงนี้จะมีการละเล่นของชาติตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ด้วย การส่งเสริมและ พัฒนาการเล่นกีฬาพื้นเมืองไทยในช่วงน้ีถือวา่ รุ่งเรืองมาก รัชกาลท่ี 3 ทรงฝึกหัดมวยไทย รัชกาลท่ี 4 ทรงฝึกหัด กระบี่กระบองอย่างไทยเดิม รวมถึงทรงสนพระทัยในการข่ีม้า การเล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองไทยได้รับการฟื้นฟู และส่งเสริมอย่างมากในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงส่งเสริมให้มีการเล่นว่าวอย่างเป็นทางการข้ึน เรียกว่า “ว่าว พนัน” ในขณะน้ันกระทรวงธรรมการได้เริ่มจัดการแข่งขันกรีฑานักเรียนขึ้นเป็นครั้งแรก และจัดให้มีการแข่งขัน เกมและกีฬาฬ้ืนเมืองไทยหลายประเภทเข้ารว่ มด้วยกัน แข่งช่วงสุดท้ายการเล่นกีฬาพ้ืนเมืองไทยเริ่มมีการซบเซา หลังการเปลี่ยนการปกครองในปี 2475 จนถงึ ปัจจุบัน หลังจากมีการเปล่ียนแปลงการปกครองในประเทศไทย คน ไทยหันมาสนใจในการเล่นและแข่งขันกีฬาสากลมากขึ้น อีกท้ังการส่งนักเรียนเข้าร่วมการเล่นเกมและกีฬาใน โรงเรียนเริ่มทาได้ยากข้ึน เจ้าภาพจดั การแขง่ ขนั กีฬาหนั ไปจัดแขง่ ขันรายการกีฬาสากลแทนการจัดเกมการละเล่น หรือกฬี าพื้นเมอื งไทย กล่าวโดยสรุป ประวัติความเป็นมาของกีฬาพื้นเมอื งไทย การละเล่นไทย หรือการละเล่นพ้ืนบา้ นไทย น้ันมีมาต้ังแต่สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินท์ โดยแต่ละยุคสมัยมีการเปลี่ยนแปลงตาม สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรมความเป็นอยู่ โดยแบ่งการเล่นออกเป็นการเล่นเพื่อการออกกาลังกาย เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง อดทน การนาทักษะการป้องกันตัวไปใช้ในการเล่น เช่น การเล่นมวยปล้า มวย ไทย กระบี่กระบอง อาวุธ ดาบ หอก แหลน หลาว ทวน ง้าว ธนู โล่ ด้ัง การเล่นเพ่ือความเพลิดเพลิน สนุกสนาน รื่นเริงใจ เช่น มอญซ่อนผ้า ขี่ช้าง ข่ีม้า เล่นว่าว ลิงชิงหลัก เป็นต้น และการเล่นเพ่ืองานร่ืนเริงใน โอกาสท่ีว่างจากงานประจา ส่วนใหญจ่ ะรวมตวั กันเล่นเพื่อเฉลมิ ฉลองในงานราชพธิ ี งานพิธกี าร งานประจาปี เช่น แขง่ เรือพาย ราดาบ ตะกร้อ ว่งิ วัว ว่งิ ควาย โคชน โคเกวยี น คลีชา้ ง คลมี า้ คลีคน เป็นต้น 5.3 ประเภทของกีฬาพ้นื เมอื งไทย ชัชชัย โกมารทัต (2549) ได้แบ่งประเภทของกีฬาพื้นไทย ตามลักษณะของวัฒนธรรม ท้องถิ่น แหล่งกาเนดิ โดยแบง่ ออกเป็นดงั น้ี 1. กีฬาพ้ืนเมอื งไทยภาคกลาง ส่วนใหญ่อุปกรณท์ ่ีใช้ในการเล่นจะเป็นอุปกรณ์ทีม่ ีอยใู่ นครัวเรอื น เน้นวิถี ชีวิตของชาวบ้านท่ัวไป เช่น กีฬาแข่งกระทะ ของคนสิงห์บุรีและอ่างทอง ที่มีการเล่นมาจากการที่ชาวบ้านมักจะ เอากระทะใหญ่มาล้างทาความสะอาดที่ริมแม่น้า หรือการเล่น “แย้ลงรู” ซ่ึงแย้จะเป็นสัตว์ที่มีมากในภาคกลาง เป็นต้น กีฬาภาคกลางจะมีเป็นจานวนมากกว่ากีฬาภาคอ่ืน ๆ เพราะคนจากภาคต่าง ๆ จะย้ายมาพานักท่ีภาค กลางและนาเอาการเล่นกีฬาภาคต่างๆ เข้ามาเล่นในภาคกลาง จึงเป็นการได้เปรียบ เพราเป็นแหล่งรับการ ถา่ ยทอดวฒั นธรรม เกม และกฬี าพื้นเมอื งไทยมากกว่าภาคอน่ื ๆ อยู่ตลอดเวลา 2. กีฬาพื้นเมอื งไทยภาคเหนอื การเลน่ จะมีลักษณะเปน็ ความรู้ในด้านความเชอ่ื ประเพณีและวัฒนธรรม ทอ้ งถิน่ ของชาวเหนือ ภาษาท่ีใชใ้ นการต้ังชื่อจะมลี ักษณะเฉพาะ เช่น “มะกอนไซ” ท่เี ป็นกีฬาพื้นเมืองเก่าแก่ของ จังหวัดลาปาง “ซกั ”เป็นกฬี าพ้ืนเมืองของจังงหวัดแพร่และอุตรดติ ถ์ เป็นต้น 3. กฬี าพื้นเมอื งไทยภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ เป็นการเลน่ ทีแ่ สดงใหเ้ ห็นวัฒนธรรมทางดา้ นภาษา การ ใช้ชีวติ ที่ตอ้ งมีความอดทน ยากลาบาก มปี ระเพณี ความเชื่อท่ีหลากหลายรูปแบบ มพี ิธกี รรม การเลน่ ท่ีมีความ เกยี่ วพันกับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ กีฬาพื้นเมืองไทยบางชนิดอาจจะถอื ไดว้ ่าเป็นกีฬานาของกฬี าใหญห่ ลาย

51 ประเภท เช่น ตีคลี ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน มีการเล่นมาต้ังแต่สมัยสุโขทัย เป็นกีฬานาของกีฬา ฮอกกี้ ที่มีการแข่งขันในกีฬาซีเกมส์ เอเชยี่ นเกมส์ และโอลิมปคิ สว่ นภาษาจะมีสาเนียงผิดเพี้ยนไปจากภาษากลาง อยบู่ ้าง เช่น ข่มี ้าหลังโปก เป็นภาษาอีสานเรียกว่า รอยถลอก กีฬาพน้ื เมืองหลายชนิดจะสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิต ทยี่ ากลาบากของคนในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ เช่น กีฬาแขง่ เกวยี น โคเกวียน เปน็ ต้น 4, กีฬาพื้นเมอื งไทยภาคใต้ การเลน่ จะมลี ักษณะวิธเี ลน่ ทีเ่ ลยี นแบบธรรมชาติ สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติท่ี มีอยู่ในท้องถิ่นภาคใต้ เช่น กีฬา “ขว้างลิง” เป็นการเลียนแบบลักษณะท่าทางการขว้างลิงซึ่งมีจานวนมากทาง ภาคใต้ กีฬา“มวยทะเล” เล่นกันบริเวณชายทะเลเหตุเพราะภาคใต้มีทะเลขนาบสองด้าน หรือ การเล่น “แย่ง มะพร้าวทาน้ามัน” เพราะภาคใต้เป็นภาคท่ีมีการปลูกมะพร้าวมากท่ีสุด เป็นต้น ซึ่งเม่ือศึกษากันอย่างลึกซึ้ง จะ พบคาท่ีมีความหมายเดียวกันแต่เขียนและสาเนียงแตกต่างกัน เช่น คาว่า “เกม” ภาคใต้ใช้คาว่า “เก้” คาว่า “ขวา้ ง” ภาคใตใ้ ช้คาวา่ “ซดั ” สรปุ ประเภทของกีฬาพ้ืนเมืองไทยจะแบง่ ตามภาคต่างๆ ของประเทศไทย และเรียกชือ่ เหมือนภาคนั้น กล่าวคอื แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ 1) กฬี าพ้ืนเมอื งไทยภาคกลาง 2) กีฬาพื้นเมืองไทยภาคเหนือ 3) กีฬาพ้ืน เมืองไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 4) กีฬาพื้นเมืองไทยภาคใต้ โดยช่ือกีฬาพ้ืนเมือง วิธีและข้ันตอนการ เลน่ ใหเ้ ป็นไปตามวัฒนธรรม ความเปน็ อยู่ การดารงชีวติ ความเช่อื และพธิ กี รรมต่างๆ ของแตล่ ะภาค 5.4 ประเภทของการละเล่นพ้นื บ้านไทย ผะอบ โปษะกฤษณะ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ ศิวะพร สุคนธพ์ งเผ่า (2522) ได้แบ่งการละเลน่ พนื้ บ้านไทย ของภาคกลางออกเปน็ 6 ประเภท 1 การละเล่นกลางแจ้งประเภทท่ีมีบทร้องประกอบและไม่มีบทร้องประกอบการละเล่นกลางแจ้งท่ีมีบท ร้องประกอบ ได้แก่ โพงพาง เสือไล่หมู่ อ้ายเข้อ้ายโขง ซ่อนหาหรือโป้งแปะ เอาเถิด มอญซ่อนผ้า รีรีข้าวสาร การเล่นทีม่ ีคาโตต้ อบ เชน่ งกู นั หาง แม่นาคพระโขนง มะล็อกก๊อกแก็ก เขยง่ เกง็ กอย การละเลน่ กลางแจ้งที่ไม่มี บทร้องประกอบ ได้แก่ ล้อต๊อก บ้อหุ้น ลูกด่ิง ลูกข่าง เตยหรือตาล่อง ข้าวหลามตัด วัวกระทิง ลูกช่วง เสือ ข้ามห้วยเค่ียว เสือข้ามห้วยหมู่ ตี่จับ ตาเขย่ง ยิงหนังสะต๊ิก ปลาหมอ ตกกะทะ ตีลูกล้อ การเล่นว่าว กระโดดเชือกเดี่ยว กระโดดเชือกคู่ กระโดดเชือกหมู่ หลุมเมือง หรือทอดกะทะ ข่ีม้าส่งเมือง กาฟักไข่ ตีโป่ง ชกั คะเย่อ สะบา้ เสอื กันวัว ขี่มา้ กา้ นกลว้ ย กระดานกระดก วง่ิ สามขา วิง่ สวมกระสอบ ยิงเปน็ ก้านกลว้ ย 2. การละเล่นในร่มประเภทที่มีบทร้องประกอบและไม่มีบทร้องประกอบการละเล่นในร่มท่ีมีบทร้อง ประกอบ ได้แก่ ขี้ตู่กลางนา ซักส้าว โยกเยก แมงมุม จับปูดาขยาปูนา จีจ่อเจ๊ียบ เด็กเอ๋ยพาย จ้าจ้ี การละเล่นใน ร่มที่ไม่มีบทร้องประกอบ ได้แก่ ดีดเม็ดมะขามลงหลุม อีขีดอีเขียน อีตัก เสือตกถัง เสือกันวัว หมากกินอ่ิม สีซอ หมากเกบ็ หมากตะเกยี บ ป่ันแปะ หวั กอ้ ย กาทาย ทายใบสน ตีไก่ เปา่ กบ ตีตบแผละ กัดปลา นาฬกิ าทางมะพร้าว กงจักร ต่อบ้าน พบั กระดาษ ฝนรูป จูงนางเจ้าหอ้ ง 3. การละเลน่ เลียนแบบผูใ้ หญ่ ผะอบ โปษะกฤษณะ และ สุมน อมรวิวัฒน์ (2547). กล่าวไว้ว่า การละเล่นของผู้ใหญ่ในชีวิตประจาวัน มักจะเกี่ยวกับการประกอบอาชีพซ่ึงส่วนมากเป็นอาชพี เกษตรกร โดยเฉพาะในภาคกลางจะเก่ียวข้องกับการทานา เป็นส่วนใหญ่ ในขณะท่ีทางานเครง่ เครียดก็มีการเล่นไปด้วย เพื่อผ่อนคลายอารมณ์และเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้

52 หยอกลอ้ สนิทสนม ฉะน้ันการเล่นในชีวติ ประจาวันจึงจะใช้เพลงพื้นเมืองเข้ามามีส่วน ซ่ึงมีลักษณะการโตต้ อบกัน เป็นเพลงใช้ปฏิภาณในทางภาษา เน้ือหาจะเกี่ยวกับสภาพของงานน้ันๆ แม้ผู้ใหญ่ท่ีมีอายุเกินวัยหนุ่มสาวก็เล่น สนุกสนานไปด้วย การละเล่นประเภทน้ีจะนาเสนอเฉพาะภาคกลาง รูปแบบของการประพันธ์เป็นรูปกลอนหัว เดียว คือ ลงสัมผัสท้ายคากลอนเป็นเสียงเดียวและมีการร้องซ้าคา เพื่อเผ่ือให้มีเวลาคิดโต้ตอบ และเพ่ือให้ผู้อื่น ร่วมสนุกร้องเป็นลูกคู่ด้วย ทุกคนมีส่วนร่วมในการเล่น ผู้ที่มีความสามารถในการละเล่นแบบน้ี ถ้าเป็นชาย เรียกว่า พ่อเพลง ถ้าเป็นหญิงเรียกว่า แม่เพลง แต่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันน้ี วิถีการดาเนินชีวิตเปล่ียนไป การละเล่นเหล่านี้จึง หมดไป แต่ถ้าจะอนุรักษ์ และส่งเสริมให้ถูกทางโดยสร้างความเข้าใจในคุณค่าอันเป็น เอกลักษณ์ของการละเล่นบางอย่าง เลือกสรรนาไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสังคมนั้นๆ ก็จะเป็นประโยชน์ในการ สรา้ งความเป็นไทยให้อยู่ในจิตใจของคนไทยตลอดไป 4. การละเล่นบทล้อเลียน เป็นการเล่นสะท้อนสังคม เกิดจากการท่ีเด็กสังเกตสภาพแวดล้อม แล้วทา เลียนแบบ โดยสมมตติ นเองให้เป็นเช่นนน้ั การละเล่นบทล้อเลียน นอกจากบทเล่นแลว้ ยงั มบี ทรอ้ งท่ีแสดงถึงการ ลอ้ เลยี นอีกด้วย 5. กระละเล่นประเภทเบ็ดเตล็ดการเล่นเบ็ดเตล็ด เป็นการเล่นแบบง่าย แต่ทาให้ร่างกายแข็งแรง ทาให้ เกิดความสนุกสนาน มีระเบยี บวนิ ยั และทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้ 6. การละเล่นปริศนาคาทายเป็นการละเล่นฝึกสมอง เป็นส่ิงจูงใจอยากให้คนคิดได้ แก้ปัญหาได้ และ จุดมุ่งหมายสาคัญเป็นการเล่นเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจในยามท่ีว่างเว้นจากงานประจา ส่วนใหญ่เป็นการเล่นของ เด็กและวัยรุ่น การเล่นชนิดนี้เป็นท่ีนิยมมากมีเล่นกันทุกภาค เพราะให้ทั้งความสนุกสนาน และความรู้เกี่ยวกับ สิ่งตา่ งๆ ในชีวิตประจาวนั ฝึกใหเ้ ดก็ รู้จักสังเกตและร้จู กั ใชค้ วามคดิ ในด้านภาษาจะเหน็ ไดว้ ่า ปริศนาคาทายเหลา่ น้ี มกั จะมกี ารเล่นคาและสัมผสั ใช้คาง่ายๆ สน้ั ๆ และคล้องจองกันทัง้ ยังสะท้อนความเป็นอยู่ ความเช่ือและวัฒนธรรม ของคนในสงั คมนน้ั ซงึ่ จะแตกต่างกนั ตามสภาพของท้องถ่ินอีกด้วย สรุปประเภทของการละเล่นพื้นบ้านไทย จะแบ่งออกเป็น 6 ประเภท คือ 1) การละเล่นกลางแจ้ง 2) การละเล่นในร่ม 3) การละเล่นเลียนแบบผู้ใหญ่ 4) การละเล่นบทล้อเลียน และ 5) การละเล่นประเภท เบ็ดเตล็ด และการละเล่นปริศนาคาทาย โดยการละเล่นน้ันอาจจะมีบทร้องประกอบ หรือไม่มีบทร้อง ประกอบก็ได้ จะเป็นการเล่นแบบง่ายๆ เพ่ือความสนุกสนาน คลายเครียด หรือเพื่อสร้างความสามัคคี ความสมั พันธ์ระหว่างหม่คู ณะ โดยมีรูปแบบการเล่นท่ีเก่ียวโยงกับวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ การดารงชวี ิตของ ชุมชนในพื้นท่ีทอ้ งถ่นิ น้นั ๆ 5.5 ประโยชน์และคุณค่าของกฬี าพ้ืนเมืองไทย การละเลน่ ไทยหรือการละเล่นพ้ืนบา้ นไทย 1. ช่วยทานุบารุงศิลปวัฒนธรรมทางด้านกีฬาไทย โดยผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมด้วยการเล่น กีฬาไทย ตัวอย่างเช่น การเลน่ ววั ต่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทใ่ี ช้ผู้เล่น 3 คน คนหนึ่งเป็นวัวคลาน 2 มือ 2 เข่า อีก 2 คนนั่งห้อยอยู่บนหลังคนเปน็ วัว ไขวข้ า มือจับเท้าซึ่งกันและกนั มสี ัมภาระบนหลังวัว ลักษณะคล้าย กับใส่ของบนหลังวัว เป็นการสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นิยมนาสัมภาระส่ิงข องใส่ ตะกรา้ สองใบวางพาดบนหลงั ววั ขนของเดนิ ทาง (ชชั ชัย โกมารทตั , 2549)

53 2. กีฬาพ้ืนเมืองไทยมีคุณค่าทางพลศึกษาไม่น้อยกว่ากีฬาสากล ได้แก่ คุณค่าทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา ตัวอย่างเช่น การเล่นแนดข้ามส้าวของภาคเหนือ เป็นการว่ิงไล่จับกันรอบ ๆ ลาไม้ไผ่ ใช้การว่ิงเร็ว หลบหลีก เปล่ียนทิศทางตลอด หากเล่นต่อเนื่องกันประมาณ 30 นาที ข้ึนไป คุณค่าที่ได้ท้ังทาง รา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญามิได้แตกต่างจากการเล่นวิ่งแข่ง เล่นบาสเกตบอลหรอื ฟุตบอลแตอ่ ย่าง ใด (ชัชชยั โกมารทัต, 2549) 3. กีฬาพ้ืนเมืองไทยช่วยส่งเสริมและสร้างคุณลักษณะสนุกสนาน สามัคคีและเข้าใจต่อกันได้ดีอย่าง แท้จริง เพราะการเล่นไม่ได้มุ่งหวังความเป็นเลิศ แม้บางประเภทจะเป็นการแข่งขัน แต่รูปแบบและลักษณะ จะแฝงด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี ค่านิยม วิถีชีวิตความเป็นไทย สิ่งแวดล้อมที่อยู่ในท้องถ่ิน ประกอบกับ การเลน่ กฬี าพ้ืนเมืองในสมัยก่อนจะเลน่ ในงานทาบุญ งานร่ืนเริง งานนักขัตฤกษ์ ลักษณะงานจะเป็นการทาเรอ่ื งดี หรอื ความดี จึงจะเป็นการแข่งขันเชงิ สนุกสนาน สร้างความสัมพันธ์อันดตี ่อกนั มุ่งเน้นความสามคั คี ความเข้าใจ (ชัชชัย โกมารทัต, 2549) 4. กีฬาพื้นเมอื งสามารถเข้ารว่ มได้ทุกเพศทกุ วยั และเข้าร่วมได้จานวนมาก เพราะกฬี าพน้ื เมืองมีลักษณะ การเล่นที่ง่าย ไม่มกี ฎ กตกิ าย่งุ ยากซบั ซ้อน เล่นได้ทุกเพศ ทุกวัย สามารถเลน่ ได้เลยโดยไมต่ ้องทาการฝึกซ้อมมา ก่อน (ชชั ชัย โกมารทัต, 2549) 5. กีฬาพ้ืนเมืองไทย จัดว่าเป็นกีฬานันทนาการท่ีดี เพราะเล่นแล้วสนุกสนาน คลายเครียด แม้จะเต็มที่ หรอื จรงิ จงั กบั การเลน่ ก็ไม่ทาใหผ้ ้เู ลน่ เกิดความเครยี ด (ชชั ชยั โกมารทตั , 2549) 6. กีฬาพื้นเมืองไทย เป็นกีฬาท่ีประหยัดค่าใช้จ่าย สอดคล้องกับพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี 9 ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพราะใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ง่าย เก็บหรือดัดแปลงจาก สง่ิ แวดล้อมท่ีมีอยู่ในท้องถิ่น เช่น ลูกช่วง ใช้เม็ดถ่ัว หรือเม็ดนุ่น เดินกะลา ใช้กะลา กาฟักไข่ ใช้ก้อนหิน (ชัชชัย โกมารทัต, 2549) 7. กีฬาพื้นเมืองไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ช่วยส่งเสริมการใช้สินค้าไทยเพราะไม่มีกีฬา พื้นเมืองประเภทใดที่ใชอ้ ุปกรณ์จากตา่ งประเทศเลย ส่วนใหญ่อุปกรณจ์ ะกาเอง จดั ทาเอง ซ้ือหาได้ในท้องถนิ่ ไม่มี ค่าใชจ้ า่ ย (ชชั ชัย โกมารทตั , 2549) 8. กฬี าพน้ื เมืองไทย แสดงถึงความเจริญงอกงาม ความมรี ะเบียบเรียบรอ้ ย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของ ชาติ และศีลธรรมอนั ดีของประชาชน ฝึกให้ผู้เล่นมีความสังเกต มีไหวพริบและเชาว์ปัญญา ฝกึ ความรบั ผิดชอบ มีความซื่อสัตยต์ ่อกฎระเบียบ ให้คุณค่าทางด้านสงั คม แสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่ อาชีพของชาวบ้าน ความเชื่อ ตลอดจนคุณค่าทางด้านภาษา เป็นลักษณะท่ีแสดงให้เห็นความเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาติไทย รวมถึงให้ คุณคา่ ดา้ นการศึกษาคน้ คว้าและงานวจิ ัยทเี่ ป็นประโยชน์ (เทพประสิทธิ์ กลุ ธวัชวชิ ยั , 2556) 9. กีฬาพื้นเมืองไทย มีประโยชน์ทางกาย และจิตใจ ผู้เล่นจะได้ออกกาลังกายให้กล้ามเน้ือได้มี การพัฒนา อีกท้ังยังได้ในเรื่องของความว่องไว ความสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเน้ือและระบบประสาท เช่น การเล่นกาฟักไข่ การเลน่ แนดบกทางเหนือ ผู้เล่นจะได้ความคล่องเคล่ว ว่องไว การเล่นที่ฝึกความอดทน คือ การ เล่นเสือข้ามห้วย การเล่นที่ฝึกความสามัคคี คือ การเล่นตี่จับ หรือเตย การเล่นที่ฝึกความซ่ือสัตย์ คือ การเล่นซ่อนหา การเล่นที่ฝึกความรับผิดชอบnคือ การเล่นหมุนนาฬิกา เป็นต้น ทั้งน้ีการเล่นของไทยยังสะท้อน ความเป็นไทย มีบทร้องเนื้อเพลงไทยประกอบการเล่น ตลอดจนสิ่งต่าง ๆ ท่ีเด็กๆ ใช้เป็นของเล่น (สุวัฒน์ กลิ่น เกสร, 2559)

54 10. กีฬาพื้นเมืองไทย สะท้อนให้เห็นภาพความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ค่านิยมและความเช่ือ ของคนไทยในสมัยก่อนไอย่างชัดเจน การะละเล่นของไทยยังมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ บทร้องประกอบการเล่นของ เด็กไทย ส่วนใหญ่จะมีคาคล้องจอง มีสัมผัสนอกสัมผัสใน ซ่ึงแต่ละภาคก็จะสอดแทรกภาษาท้องถ่ินของแต่ละ ทอ้ งถ่ินเข้าไปด้วย นอกจากนั้นยังมีการเลียนเสียงต่างๆ หรือออกเสียงแปลกๆ ทาให้ผู้เล่นได้ฝึกร้องไปด้วยกันด้วย (สุวัฒน์ กลนิ่ เกสร, 2559) 11. กีฬาพ้ืนเมืองไทย มีคุณค่าในการใช้ภาษาสื่อสาร กล่าวคือ ทาให้เด็กได้คุ้นเคยกับคาท่ีเรียกใช้ หรือ ใชบ้ อกกรยิ าอาการตา่ ง ๆ ชว่ ยให้เดก็ ได้มีพฒั นาการทางภาษาโดยไม่รู้ตัว เชน่ แมง่ เู อ๋ย (สวุ ัฒน์ กลิ่นเกสร, 2559) สรปุ ประโยชน์และคุณค่าของกีฬาพ้ืนเมืองไทย การละเล่นไทยหรือการละเล่นพื้นบ้านไทย มีประโยชน์ ทางรา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา กล่าวคือผเู้ ล่นจะมีพัฒนาการทุกด้านซ่ึงจะมีมากนอ้ ยขึ้นอยู่ กับวิธีการเล่นและลักษณะของการเล่นของเกมนั้น ๆ คุณค่าท่ีผู้เล่นได้รับจะได้มาจากความเป็นมาแ ละ วฒั นธรรมของกีฬาพื้นเมอื งไทย การละเลน่ ไทยหรอื การละเลน่ พนื้ บา้ นไทยที่มีมาแต่โบราณ ตอนที่ 6 งานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวข้อง 6.1 งานวิจยั ที่เกีย่ วข้องกับวีดิทัศน์ตน้ แบบ Mason, Rispoli, Ganz, Boles, and Orr (2012) ได้สร้างแบบจาลองวิดีโอการแทรกแซงสาหรับเด็ก และวัยรุ่นท่ีมีความผิดปกติของออทิสติกสเปกตรมั อาจมีประสิทธิภาพในการตอบสนองความต้องการของบุคคลท่ี มีความผิดปกติในระดับอุดมศึกษา โดยการสร้างแบบจาลองวิดีโอโดยไม่มีองค์ประกอบในการรักษาเพ่ิมเติม เพื่อ พัฒนาทักษะทางสังคมโดยเฉพาะการสัมผัสทางตาและการแสดงออกทางสีหน้า ผลปรากฏว่า การใช้แบบจาลอง วิดโี อโดยไม่ต้องมีการแทรกแซงเพ่มิ เตมิ ชว่ ยเพ่ิมทกั ษะทางสงั คมของนักเรยี นระดับชั้นมัธยมศกึ ษาทีม่ ีความผิดปกติ ของออทสิ ตกิ ได้ และมีโอกาสส่งผลต่อยอดในวจิ ยั ในอนาคตได้ Prater, Carter, Hitchcock, and Dowrick (2012) ได้ศึกษาข้อมูลโดยการทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง กับการสร้างโมเดลด้วยตนเองแบบวิดีโอเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมและทักษะของบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทาการ ทดลองกับสถานศึกษา 8 แห่งโดยการวิเคราะห์จากผลการเรียนของนักเรียน โดยจากการสรุปผลน้ันปรากฏว่า ประสิทธภิ าพของการสร้างโมเดลด้วยตนเองแบบวดิ ีโอมผี ลดตี อ่ ทักษะทางวชิ าการตา่ งๆยิง่ ข้ึน Besler (2017) ได้ทาการทดลองโดยการให้มารดาของเด็กออทิสติกสามารถเรียนรู้เพื่อเตรียมการบันทึก วิดีโอและใช้การสร้างแบบจาลองวิดีโอว่ามีประสิทธิภาพในการสอนทักษะการเล่นให้กับเด็กหรือไม่ ผลการศึกษา พบว่า มารดาสามารถสามารถใช้การสร้างแบบจาลองวิดีโอที่มีความสมบูรณ์ในการรักษาสูง เด็กทุกคนที่เข้าร่วม การศึกษาสามารถที่จะเรยี นรทู้ ักษะในการกาหนดเป้าหมายการเรียนรู้และการเรียนรู้ในสภาพทไ่ี ม่ใช่การสอน และ มีความถกู ต้องทางสังคมที่ยอมรับได้

55 ไชยเดช แก้วสง่า (2554) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการขึ้นรูปหล่อภาชนะเครื่องเคลือบดินเผา (เซรามิค) มี วตั ถุประสงคเ์ พอื่ สร้างส่ือมัลติมีเดียประกอบการสอนแบบเรียนร้ดู ้วยตนเองเพื่อหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นจากการ เรียนรู้ด้วยสื่อมัลติมีเดียประกอบการสอนการเรียนรู้ด้วยตนเองและเพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อสื่อ มัลติมีเดีย ผลปรากฏว่า หลังจากเรียนจากสื่อมัลติมีเดียแล้วผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในระดับดีมากขึ้น แสดงว่าสื่อ มัลตมิ ีเดยี ท่สี ร้างข้นึ สามารถช่วยให้ผ้เู รียนเกดิ การเรียนรู้จริง สามารถนาไปใชเ้ ป็นสื่อประกอบการสอนได้จรงิ สมฤทัย บุญชูดวง (2555) ได้ทาการวิจัยเรื่อง การใช้สื่อวีดิทัศน์ เร่ืองการฝึกหายใจแบบมีประสิทธิภาพ เพ่ือเตรียมตัวก่อนได้รับยาระงับความรสู้ ึกแบบทงั้ ตัว เพ่ือฝึกการหายใจอย่างมีประสิทธิภาพในการเตรียมตัวผู้ป่วย ก่อนได้รับยาระงบั ความรู้สกึ แบบท้ังตวั เนื่องจากปอดมกี ารแลกเปล่ียนกา๊ ซทีด่ ีข้นึ ทาให้ปอดขยายตัว ป้องกันปอด แฟบหลังการผ่าตัดได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อคุณภาพของส่ือวิดีทัศน์ เร่ืองการฝึก หายใจอย่างมีประสิทธิภาพ และศึกษาเปรียบเทียบคะแนนการปฏิบัติของผู้ป่วยหลังการสอนระหว่างกลุ่มที่ได้รับ การสอนฝึกหายใจด้วยสื่อวิดีทัศน์และกลุ่มท่ีได้รับการสอนแบบอธิบายปกติ ผลปรากฏว่า คะแนนประเมินด้าน ความพึงพอใจของสอ่ื วีดิทัศน์ในด้านคณุ ภาพเสียง ความชัดของภาพ ความเข้าใจของเนื้อหาและระยะเวลาของเน้ือ เรื่องอยู่ในระดับสูงถึงสูงมาก ส่ือวิดีทัศน์เร่ืองการฝึกหายใจแบบมีประสิทธิภาพเพ่ือเตรียมตัวก่อนได้รับยาระงับ ความรู้สกึ แบบทงั้ ตัวมีประโยชนต์ ่อผปู้ ่วย ปริวรรต สมนึก (2558) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ส่ือวิดีทัศน์เพื่อ เพิ่มผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ือง “ผลิตภัณฑ์การท่องเท่ียว” เพื่อวิเคราะห์รายละเอียดของวิธีการสอนเรื่อง “ผลิตภัณฑ์การท่องเท่ียว” ด้วยวิธีการสอนแบบปกติกับวิธีการสอนโดยใช้สื่อวีดิทัศน์เป็นหลัก เพื่อนาไป เปรียบเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนักศึกษา ผลปรากฏว่า การสอนแบบใชว้ ีดิทัศน์เป็นหลัก ช่วยให้คุณภาพ ของผู้เรียนดีข้ึน ช่วยให้จาเนื้อหาได้มากและนานยิ่งข้ึน เสมือนได้เรียนรู้ในปริมาณที่มากขึ้นแต่เวลาเท่าเดิม ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนักศกึ ษาทใ่ี ชส้ ่อื วดี ิทัศนส์ งู กว่านกั ศกึ ษานกั เรียนที่เรียนโดยวิธีปกติ โดยสรุปจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวีดิทัศน์ต้นแบบ คือส่ือที่อยู่ในรูปแบบวีดิทัศน์ท่ีแสดง ทั้งภาพและเสียงที่ประกอบกับการกาหนดเน้ือหาท่ีชัดเจน นาไปใช้กับการเรียนการสอนนับว่าจะส่งผลดีต่อ การสอนอย่างมาก เป็นการเรียนที่ประหยัดเวลา มีรายละเอียดของเนื้อหาที่ชัดเจน ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิด ความเข้าใจมากขึ้น ช่วยครูผู้สอนและเพิ่มประสิทธิภาพท้ังการเรียนของผู้เรียนและการสอนของผู้สอน จึงเหมาะกบั การนาวีดทิ ศั น์มาใชใ้ นการเรียนการสอนและฝึกอบรมไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 6.2 งานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั การเรียนรเู้ ชงิ รกุ Prince (2004) ได้ทาการศึกษา ทบทวนงานวิจยั ถงึ การจัดการเรยี นรู้เชิงรุกไดผ้ ลดหี รอื ไม่ โดยการศึกษา นี้จะตรวจสอบหลักฐานที่เห็นถึงการมีประสิทธิผลของการใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก โดยกาหนดรูปแบบการ เรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ท่ีใช้งานร่วมกันได้มากที่สุดและตรวจสอบแกนหลัก ผลการวิจัยพบว่า แม้ว่าผลการวิจัยจะแตกต่างกันไป แต่ผลการวิจัยน้ีได้รับการสนับสนุน จากการตรวจสอบรูปแบบการจัดการ เรียนรู้เชิงรุกแบบต่างๆ พบว่าผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วม ผลการวิจัยอ่ืนๆ ท้าทายสมมติฐาน ด้ังเดิมเก่ยี วกับการศึกษาด้านวศิ วกรรมและ ซ่ึงเป็นสิ่งที่นา่ สนใจมากทส่ี ุด เชน่ ผเู้ รียนจะจาเน้อื หาได้มากขึน้ หาก

56 กจิ กรรมส้ันๆ ถูกนาไปบรรยาย เป็นต้น การทางานและการแข่งขันแต่ละคร้ังสง่ เสริมความสาเรจ็ เป็นหลักฐานที่ดี ท่สี ุด ท่ีแสดงให้เห็นว่าผสู้ อนควรมีโครงสร้างหลักสูตรของพวกเขาเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการทางานร่วมกัน สภาพแวดล้อม หลักสูตรทั้งหมดไม่จาเป็นต้องเป็นทีมตามท่ีเห็นได้ แต่เน้นความรับผิดชอบของแต่ละคนในทีม การเรียนรู้จากปัญหาถือเป็นวิธีที่ยากที่สุด เพราะมีความหลากหลายของการปฏิบัติและขาดความโดดเด่นของ องค์ประกอบหลัก การศึกษานี้ยังชี้ให้เห็นว่าผู้เรียนจะยังคงรักษาข้อมูลเพ่ิมเติมและอาจพัฒนาความคิดที่สาคัญ เพมิ่ ขนึ้ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ถ้าการเรียนรจู้ ากปัญหาเปน็ คูก่ ับอย่างชดั เจนกบั การสอนทักษะเหล่าน้ี Killian and Bastas (2015) ได้ศึกษาผลของการใช้การเรียนรู้เชิงรุกแบบเป็นทีมกับเจตคติของนักเรียน และการแสดงของนักศึกษาในชั้นเรียนสังคมวิทยาเบื้องต้น การออกแบบการวิจัยเป็นการเปรียบเทียบคะแนนใน การสอบคร้ังสุดท้ายและการสารวจทัศนคติระหว่างสองกลุ่มคือ กลุ่มที่เรียนรู้แบบเป็นทีมกับกลุ่มท่ีเรียนแบบ บรรยายท่ีมหาวทิ ยาลัยสาขาของมหาวทิ ยาลยั ขนาดใหญก่ ลางตะวนั ตก วเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยใช้ t-test ผลการวจิ ัย พบว่า กลุ่มผู้เรียนท่ีเรียนแบบเป็นทีมมีทัศนคติเชิงบวกมากขึ้นต่อวินัย นอกจากน้ีนักเรียนที่เรียนเป็นทีมยังมี คะแนนสอบปลายภาคเพ่ิมขึ้นร้อยละ 3 แตกต่างจากกลุ่มท่ีเรียนแบบบรรยาย แต่ไม่ได้แตกต่างอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติ ผลน้ีเกิดจากความแปรปรวนของคะแนนสอบปลายภาค ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของการสอบคะแนนใน ช้ันเรยี นแบบบรรยายมีคา่ มากกว่าค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนสอบในช้ันเรียนแบบทมี ซ่ึงชี้ให้เห็นว่ามีความ แปรปรวนมากเกินไประหว่างคะแนนสอบของ 2 กลุ่มนี้ นอกจากน้ีผลการวิจัยยังพบว่า นักเรียนในชั้นเรียนที่ เรียนแบบทีมชอบวธิ กี ารสอนที่ใช้ในช้ันเรยี นมากกว่านกั เรียนในช้ันเรียนของการบรรยาย แสดงใหเ้ ห็นถึงทัศนคติที่ ดีตอ่ การเรยี นแบบทมี กระบวนการ ทศั นคติเหล่านไี้ ดร้ บั การสนบั สนุนจากการตอบสนองของนักเรยี นใน การสารวจทัศนคติ นักเรียนทีเ่ รียนเปน็ ทมี มปี ระสบการณ์เชิงบวกในการทางานเปน้ ทีมร้อยละ 100 Niemia and Nevgib (2014) ได้ทาการศึกษาการวิจัยและการจัดการเรียนรู้เชิงรุกท่ีส่ง เสริม ความสามารถระดับมืออาชีพในการศึกษาครูของฟนิ แลนด์ โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพอ่ื ศึกษาวิธีท่ีนิสิตครูได้รับ ประโยชน์จากประสบการณ์ของผู้วิจัยที่แท้จริงท่ีเป็นส่วนหน่ึงในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู เก็บข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถามอเิ ล็กทรอนกิ ส์ในมหาวิทยาลัยของฟินแลนด์ 2 แห่ง โปรแกรมการศึกษาวิชาชีพครูจะนาทางให้นิสิต ครูใช้และทาการวิจัยในการเรียนการสอน ผลการวิจัยพบว่านิสิตครูมีประสบการณ์การในการทาวิจัย ส่งเสริม ความสามารถระดับมืออาชีพและสนับสนุนการเติบโตของนักเรียนในการปฏิบัติตามทักษะในศตวรรษที่ 21 ประสบการณ์จากการเรียนรู้เชงิ รุกชว่ ยเสรมิ ให้เกิดผลดี Daouk, Bahous, and Bacha (2016) ได้ศึกษาการรับรู้ถึงประสิทธิผลของกลยุทธ์การเรียนรู้เชิงรุกที่ใช้ งาน ซ่ึงวตั ถปุ ระสงค์ของงานวจิ ัย การศกึ ษาความเขา้ ใจของนักเรยี นและอาจารย์ผู้สอนเกี่ยวกบั ประสทิ ธิภาพของ การใช้กลยุทธ์การเรียนรู้เชิงรุกในหลักสูตรอุดมศึกษาที่สถาบันอุดมศึกษาในประเทศเลบานอน กลุ่มตัวอย่างที่ ศึกษาเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการตอบแบบสอบถาม การสัมภาษณ์อาจารย์ผู้สอน และมีการสังเกตการสอน ผลการวิจัยพบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่และอาจารย์ผู้สอนนิยมใช้การเรียนรู้เชิงรุกและเป็น ผู้สนับสนุนท่ีแข็งแกร่งในการวางแนวทางนี้ในทุกหลักสูตร ผลการวิจัยเหล่านี้แสดงถึงการรับรู้ในเชิงบวกต่อกลยุทธ์ การเรยี นร้ทู ใ่ี ชง้ านและผลกระทบท่เี ป็นไปได้ท่ีการรบั รู้เหลา่ นม้ี ตี ่อผลการปฏิบตั ิงานและการเรียนรู้ของนักเรียน

57 เนาวนิตย์ สงคราม (2555) ได้ทาการศึกษาถึงการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานด้วย การเรียนรู้เชงิ รกุ เพ่ือการสร้างองค์ความรู้และความสามารถในการแกป้ ัญหาเชิงสร้างสรรค์สาหรบั นสิ ติ นกั ศึกษา ครุศาสตรบัณฑิตในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนิสิต จานวน 40 คน ระดับ ปริญญาบัณฑิต คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการเรียนการสอนแบบ ผสมผสานด้วยการเรยี นรูเ้ ชิงรุก เพ่ือการสร้างองค์ความรู้และความสามารถในการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์สาหรับ นสิ ิต นักศึกษาครุศาสตรบณั ฑิตในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบคือ (1) การเชือ่ มโยง ประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ (2) การมีส่วนร่วมของผู้เรียน (3) วิธีการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย (4) ทรัพยากรในการเรียนการสอน (5) กิจกรรมสะท้อนการเรียนรู้ของผู้เรียน (6) การประเมินผล และมี 8 ขั้นตอนคือ (1) การบ่งช้ีปัญหา (2) การระบุประเด็นปัญหา (3) การระบุสาเหตุของปัญหา (4) การค้นหา วิธีแก้ไขที่หลากหลายและสร้างสรรค์ (5) การระบุแนวทางการแก้ปัญหา (6) การค้นหาคาตอบ (7) การ คัดเลือกวิธแี ก้ปัญหา (8) การระบุถงึ การแก้ปัญหาที่ดีท่ีสุดแก่ผู้อื่น ซง่ึ กิจกรรมการเรยี นรู้เชิงรกุ มี 6 กจิ กรรมดงั น้ี (1) Debate in selected topic (2) Pass the chalk (3) Beyond search engine (4) Modified Delphi Technique (5) Group share และ (6) Writing Journal together สาธิดา สกุลรัตนกุลชัย (2560) ได้ศึกษาอิทธิพลของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกท่ีมีต่อสมรรถนะในการ เรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษา การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม โดยตัวอย่างคัดเลือกจากอาจารย์ผู้สอนใน รายวิชาที่มีการเรียนรู้เชิงรุกจาก 3 กลุ่มคณะ จานวน 9 คน และตัวอย่างนักศึกษาในชั้นเรียนของตัวอย่าง อาจารย์ผู้สอน 300 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยมี 2 ประเภทคือ แบบสัมภาษณ์อาจารย์ผู้สอนเพ่ือรวบรวม ข้อมูลสภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในชั้นเรียน และแบบประเมินสมรรถนะในการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษา ผลการวิจัยพบวา่ รปู แบบการจัดการเรียนร้เู ชงิ รุกเม่อื สังเคราะหแ์ ลว้ ได้ 4 รปู แบบ คือ รปู แบบท่ี 1 การจดั การเรียนรู้เชิงรุกแบบบูรณาการที่อิงมาตรฐาน มีจุดเด่นที่มีการบูรณาการการสอนท่ี หลากหลาย เพ่ือให้เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้เรียนที่มีพ้ืนฐานและความถนัดแตกต่างกันได้มีการ แลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างกัน ซ่ึงจุดด้อยของรูปแบบนี้คือ มีการกาหนดกรอบการประเมิน ทาให้ผู้เรียนขาด อิสระในการเรียนรู้ รูปแบบที่ 2 การจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบเน้นการคิดวิเคราะห์และการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ผู้สอน และผเู้ รยี นมีบทบาทใกล้เคยี งกัน จากการศึกษางานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้เชิงรุกพบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเน้นให้ ผู้เรยี นทีม่ ีพน้ื ฐานและความถนดั แตกตา่ งกันได้มีปฏสิ มั พันธ์ในการแลกเปลย่ี นเรียนร้รู ะหว่างกัน สามารถสรา้ ง องค์ความรู้ด้วยตนเองโดยการเชื่อมโยงความรู้เดิมและความรู้ใหม่เข้าด้วยกัน ผู้สอนจะเปลี่ยนบทบาทจากมี หนา้ ทใี่ นการบรรยายเปน็ ผูท้ คี่ อยแนะนาใหค้ วามชว่ ยเหลือ

58 6.3 งานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ งกับความตระหนกั Costa, Marques, and Kempa (2010) ได้ศึกษาการประเมินความตระหนักของครูวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับผลการวิจัยที่ได้จากการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การวิจัยเพื่อการศึกษาสาขาอื่นๆ การศึกษาได้ดาเนินการใน กลุ่มครูวิทยาศาสตร์ท่ีมีประสบการณ์ในประเทศโปรตุเกสซ่ึงกาลังศึกษาหลักสูตรการฝึกอบรมวิชาชีพขั้นสูงและ นาไปสู่การศึกษาระดับปริญญาโททางวิทยาศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่าความรู้ความเข้าใจของครูผู้สอนด้าน วทิ ยาศาสตร์เกี่ยวกับผลการวิจัยด้านการศึกษาโดยทั่วไปมีข้อ จากัดมาก สิ่งที่ครูถือว่าเป็นความรู้ด้านการสอนที่ดี มักได้มาจากประสบการณ์ส่วนตัวและสามัญสานึก ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงการมีช่องว่างระหว่างการวิจัยกับ การศกึ ษาวทิ ยาศาสตร์อย่างจริงจัง Bozoglu, Bilgic, Topuz, and Ardali (2016) ศึกษาความตระหนักเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทัศนคติและ ระดับพฤติกรรมและปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อความตระหนักทัศนคติและพฤติกรรมของสิ่งแวดล้อม ของนักศึกษาใน มหาวิทยาลัยONDOKUZ MAYIS ประเทศตุรกี ใช้แบบสอบถามแบบเห็นหน้ากับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาใน มหาวิทยาลัย Ondokuz Mayis จานวน 621 คนเพ่ือรวบรวมข้อมูล การรับรู้ทัศนคติและพฤติกรรมด้าน ส่ิงแวดล้อมถูกกาหนดโดยการประเมินของนักเรียนประเมินโดยใช้แบบสอบถามแบบ Likert Scale 5 ระดับ ข้ันตอนการสอบภาคปฏิบัติใช้ในการหาปัจจัยที่มีผลต่อความตระหนักในทัศนคติและพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ของนักเรียน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการรับรู้ทัศนคติและพฤติกรรมด้านส่ิงแวดล้อมของนักศึกษาปริญญาโท อยู่ในระดบั สงู การวิเคราะห์ขอ้ มลู ตามแบบโพรบิตแสดงใหเ้ หน็ ว่า ทัศนคติและพฤติกรรมด้านส่งิ แวดล้อมท้ังสอง ด้านได้รับอิทธิพลจากปัจจัยด้านการศึกษาด้านส่ิงแวดล้อมและปัจจัยด้านข้อมูลในข ณะท่ีปัจจัยทางสังคมและ ประชากรมีส่วนสาคัญต่อความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมของนักเรียนตามท่ีคาดไว้ ตัวแปรด้านเพศมีอิทธิพลต่อ ความตระหนักด้านส่ิงแวดล้อมของนักเรียนมากที่สุดท้ังความตระหนักและความอยากรู้เร่ืองสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพล ต่อทัศนคติและพฤติกรรมด้านส่ิงแวดล้อมของนักเรียนมากที่สุด เพื่อเพิ่มระดับความรู้ความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม ของนกั เรยี นหน่วยงานตา่ งๆควรจัดหลักสูตรดา้ นสิง่ แวดลอ้ มภาคบังคับอย่างเพียงพอในหลักสูตรของตนและควรให้ ความสาคญั กับการให้ทศั นคติและพฤติกรรมด้านสง่ิ แวดล้อมแก่ผ้สู าเร็จการศึกษา รัชนก ทุมชาติ (2551) ได้ทาการวิจัยเรื่องการศึกษาความตระหนักถึงผลกระทบของวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีที่มีต่อปัญหาส่ิงแวดล้อมของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ในจังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้ แบบจาลองความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้น : การวิเคราะห์กลุ่มพหุ. การวิจัยคร้ังนี้จุดมุ่งหมายเพ่ือแสดงหลักฐาน ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างและทดสอบความไม่แปรเปล่ียนของโมเดลการวัดความตระหนักถึงผลกระทบของ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีต่อปัญหาส่ิงแวดล้อม โดยใช้แบบจาลองความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้น : การ วิเคราะห์กลุ่มพหุ ระหว่างกลุ่มนักเรียนท่ีศึกษาในโรงเรียนต่างสังกัดกัน และกลุ่มนักเรียนท่ีมีเพศต่างกัน กลุ่ม ตัวอย่างเป็นนักเรียนชายหญิงที่กาลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2550 ในจังหวัดสมุทรสาคร เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบวัดความรู้เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม แบบวัดความใส่ใจและเห็น คุณค่าต่อสิ่งแวดล้อม แบบวัดลักษณะและรูปแบบของสิ่งเร้า และแบบวัดเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวกับ สง่ิ แวดล้อม ผลการวิจยั การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยนื ยันอันดับท่ีหนึ่ง พบวา่ โมเดลการวัดความตระหนักถึง ผลกระทบของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีต่อปัญหาส่ิงแวดล้อมที่มีตัวแปรแฝงส่ีตัว(สี่องค์ประกอบ) มีความ

59 เหมาะพอดีกับขอ้ มูลเชงิ ประจกั ษ์ในระดับดี การทดสอบความไม่แปรเปล่ยี นของโมเดลการวัดระหว่างกลุ่มท่ีศึกษา ในโรงเรียนต่างสังกัดกันและกลุ่มนักเรียนท่ีมีเพศต่างกันนั้น ปรากฏว่า มีความไม่แปรเปล่ียนในด้านรูปแบบของ โมเดลแตม่ คี วามแปรเปลี่ยนในด้านค่าพารามเิ ตอร์ อัครา วัฒนโยธนิ (2553) ไดท้ าการวจิ ัยเร่ืองความตระหนักของพนักงานต่อการป้องกันรักษาทรัพย์สนิ ทางดา้ น สารสนเทศ กรณศี กึ ษา : การไฟฟ้าสว่ นภูมภิ าค สานักงานกลาง การวิจยั คร้งั น้ีมคี วามมุ่งหมายทจ่ี ะศึกษาความตระหนกั ต่อการป้องกันรักษาทรพั ย์สนิ ทางด้านสารสนเทศของพนกั งานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ภายในสานกั งานกลาง และศึกษา ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความตระหนักต่อการป้องกันรักษาทรัพย์สินทางด้านสารสนเทศของพนักงานการไฟฟ้าส่วน ภมู ิภาค สานักงานกลาง ตลอดจนศึกษาแนวทางในการเสริมสรา้ งความตระหนักต่อการป้องกันรักษาทรัพย์สนิ ทางด้าน สารสนเทศใหแ้ ก่พนักงานการไฟฟา้ สว่ นภมู ิภาค สานกั งานกลางเพ่มิ เตมิ ซ่ึงไดม้ ีการนาแนวคดิ ต่างๆ เชน่ ความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัต,ิ องค์ประกอบของทัศนคติ และกระบวนการเกดิ ความตระหนกั มาใชเ้ ป็นแนวทาง การศึกษาโดยทาการสุ่มตัวอย่างจากพนักงานทั้งส้ิน 346 ตัวอย่าง ใช้แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวม ข้อมูล จากผลการวิจัยพบว่ากลุ่มของพนักงานท่ีมีระดับความตระหนักและพฤติกรรมในการป้องกันรักษาทรัพย์สิน สารสนเทศที่น้อย คือ พนักงานท่ีมีอายุระหว่าง 26-30 ปี. มีการศึกษาระดับปริญญาตรี, มีระดับตาแหน่ง 4-5 และมี ระยะเวลาในการทางาน 3-4 ปี ซง่ึ เป็นกลมุ่ ของพนักงานใหมแ่ ละพนักงานทเี่ ข้ามาทางานไดร้ ะยะหนึ่งแล้ว อาจทาใหเ้ กดิ ความเส่ียงตอ่ ความปลอดภัยของทรัพย์สนิ สารสนเทศขององคก์ รได้ องค์กรควรให้ความสาคัญในเรื่องความตระหนกั ของ พนักงานกลุ่มน้ีโดยอาจจัดการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับนโยบายขององค์กร ตลอดจนแนวทางปฏิบัติท่ีถูกต้อง มีการ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายมาตรฐานการรักษาความม่ันคงปลอดภัยขององค์กรให้เข้าถึงตัวพนักงาน เพื่อ เสรมิ สรา้ งใหเ้ กิดความตระหนกั แก่พนักงานอย่างแท้จริง จากการศึกษางานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับความตระหนักพบว่า บุคคลจะเกิดความตระหนักได้ต้องมี ประสบการณ์ในการรับรู้น้ันข้ึนอยู่กับความเก่ียวข้องในเหตุการณ์น้ันๆ ประสบการณ์ที่ได้พบเห็นมีผลกระทบ โดยตรงและเจอเป็นประจาทุกวันน้ัน จะทาให้เกิดความเคยชินและยอมรับในสภาพแวดล้อมน้ันเอง รวมท้ัความ ใส่ใจและการให้คุณค่าในเร่ืองที่จะรับรู้โดยการรับรู้ในเรื่องใดของแต่ละบุคคลน้ัน ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลน้ันจะใส่ใจ และใหค้ ุณคา่ ในเรื่องน้ันมากน้อยเพียงใด นอกจากน้ียังขึ้นอยกู่ ับว่าสิง่ นัน้ หรอื เรื่องท่ีจะรับรู้มลี ักษณะรูปแบบเป็น อย่างไร ดงั น้นั การทจี่ ะทาให้บุคคลเกิดการรับร้เู พื่อให้เกิดความตระหนักนนั้ ต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร ตอนที่ 7 กรอบแนวคดิ ในการทาวจิ ัย การวจิ ัยครัง้ น้ีผู้วิจัยทาการศึกษาผลของการใช้รูปแบบการสอนแบบการเรยี นรเู้ ชิงรุกและวีดิทัศน์ต้นแบบท่ี มีต่อทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยของนิสิตครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซงึ่ จากการศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยทเ่ี ก่ียวข้องกระบวนการเรียนรู้ที่ใหน้ สิ ิตครูไดเ้ รยี นรู้อย่างมคี วามหมาย ผวู้ จิ ยั ได้ พฒั นาแนวคดิ การนารูปแบบการสอนแบบการเรียนรูเ้ ชิงรุกร่วมกับวีดทิ ัศน์ต้นแบบมาใช้ในการวิจัย โดยตัวแปรทใ่ี ช้ ในการศึกษาประกอบดว้ ยรายละเอียดดงั นี้ ตัวแปรอสิ ระ คอื วธิ ีการจดั การเรียนการสอนพลศึกษา ตามแนวคิดการเรียนรู้เชงิ รุกรว่ มกับวีดิทัศน์ต้นแบบ ตวั แปรตาม คือ ทกั ษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพน้ื เมืองไทย

60 วิธีการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรยี นรูเ้ ชงิ รกุ ร่วมกบั วดี ิทศั น์ การเรียนรู้เชิงรกุ (Active Learning) วีดทิ ัศนต์ น้ แบบ (Video Modelling) เป็นการเรียนรทู้ ี่ค่อยๆเรียนรู้จากข้อมูลขนาดใหญ่ โดยเริ่มต้น เป็นวิธกี ารสอนภาพที่เกิดขน้ึ โดยการเฝ้าดูวดิ ีโอของ เรียนรู้จากกลุ่มตัวแทนข้อมูลท่ีถูกเลือก แล้วเรียนรู้เพิ่มเติมจากข้อมูลท่ี คนที่สร้างแบบจาลองพฤตกิ รรมหรอื ทกั ษะและเลียนแบบ จาแนกผิดพลาดในอดีตโดยแบบจาลอง จึงท าให้สามารถแก้ไขปัญหาการ พฤติกรรม/ทักษะท่ีได้รับชมสาหรับผูใ้ ชก้ ารสรา้ งแบบจาลองวิดีโอ จาแนกข้อมูลขนาดใหญ่ได้ นอกจากน้ันข้อมูลแบบหลายฉลากมักมีปัญหา เปน็ เครอ่ื งมือการสอนทีเ่ รยี บงา่ ยและมปี ระสทิ ธภิ าพซ่ึงจะกระตุ้น เรอ่ื งความไม่สมดลุ ของข้อมูล ให้เดก็ ๆ ไดเ้ รียนรูผ้ า่ นสือ่ ภาพท่สี นุกสนานและดึงดดู ใจ ทกั ษะการสอนกฬี าพ้ืนเมืองไทย ความตระหนกั ในการสอนกีฬาพ้นื เมอื งไทย ความเชีย่ วชาญชานาญในดา้ นการสอนในเรื่องเก่ยี วกับกฬี า พ้ืนเมอื งไทย อันเป็นเกมที่มเี อกลักษณแ์ ละวัฒนธรรมสืบทอดต่อกันมา การรับรู้ รู้สึก และให้ความสนใจต่อเรื่องกีฬาพ้ืนเมืองไทยหรือ ตงั้ แต่อดตี จนถึงปัจจบุ ัน ก่อให้เกิดความสนกุ สนานมีกติกาการเล่นหรือ การละเลน่ พื้นบ้านของไทยท่ีเข้ามากระตุ้นต่อจิตใจ ทาให้เกิดความสานึกขึ้น การแข่งขนั ง่ายๆ ไมส่ ลับซับซ้อน มุ่งเพื่อให้เกดิ ความสนุกสนาน ไดอ้ อก หรือเกิดความตระหนักรู้ขึ้น โดยความคิดและความปรารถนาต่าง ๆ อันเกิด กาลังกาย โดย ผสู้ อนตอ้ งสามารถพูด ถา่ ยทอด หรือวธิ กี ารพดู โนม้ น้าว จากการรับรู้และความสานึกซ่ึงเป็นภาวะท่ีบุคคลได้รับรู้หรือได้ รับ เนื้อหาให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจและสนใจได้อย่างไร มีการเลือกใช้ ประสบการณ์ต่าง ๆ ซ่ึงกีฬาพ้ืนเมืองไทยหรือการละเล่นพื้นบ้านของไทย เทคนิคกลวิธีรูปแบบการสอนท่ีมีความหลากหลาย สามารถจัดการ หมายถึง กีฬาและการละเล่นท่ีเน้นการเคลื่อนไหวในกิริยาต่างๆ ความ เรียนการสอนที่เหมาะสมเข้ากับผู้เรียน รวมทั้งการแสดงออกใน สนุกสนานเพลิดเพลิน โดยมีการถ่ายทอดของคนไทยท่ีสืบต่อกันมาจากรุ่น พฤติกรรมการสอนทีม่ คี วามคล่องแคล่วได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ หน่ึงไปสู่อีกรุ่นหน่ึง มีกฎกติกาที่ไม่ซับซ้อนสามารถยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับ สภาพการณแ์ ละมีความเหมาะสมกบั วถี ชี วี ิตวฒั นธรรมของท้องถ่ินนน้ั ๆ ภาพท่ี 2.2 กรอบแนวคิดการวจิ ัย

บทที่ 3 วธิ ดี ำเนินกำรวิจัย การวจิ ัยครั้งนเ้ี ป็นการศกึ ษาผลของการใช้รูปแบบการจัดการเรยี นการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้ เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยสาหรับ นสิ ิตครูโดยมีวัตถปุ ระสงค์การวิจัย 2 ประการ ประการแรกคือ เพอื่ ศกึ ษาองค์ประกอบและสรา้ งรปู แบบการจัดการ เรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความ ตระหนกั ในการสอนกฬี าพืน้ เมืองไทย และประการที่สองคือ เพ่ือศึกษาผลและนาเสนอการใชร้ ูปแบบการเรยี นการ สอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อสง่ เสริมทักษะการสอนและความตระหนักใน การสอนกฬี าพ้ืนเมอื งไทยสาหรบั นสิ ติ ครู ประชำกรและกลมุ่ ตัวอยำ่ ง ประชากรทีใ่ ช้ในการวิจัย ไดแ้ ก่ นสิ ิตคณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ตัวอย่าง ได้แก่ นิสิตคณะครุศาสตร์ท่ีลงเรียนรายวิชา 2723319 ชอื่ วิชากิจกรรมการเคล่ือนไหวสาหรับ เด็กเล็กของสาขาสุขศึกษาและพลศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จานวน 60 คน ซ่ึงผู้วิจัยใช้การ เลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กาหนดไว้ คือ 1) เป็นนิสิตนักศึกษาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ท่ีมีความรู้ พื้นฐานและประสบการณ์ในการจัดกิจกรรมให้กับเด็กปฐมวัยและประถมศึกษา และ 2) มีความสามารถในการใช้ แอปพลเิ คชนั ในสมาร์ทโฟน สาหรับใช้ในการดาเนินกิจกรรมได้ จากนั้นทาการสุ่มแบบจบั สลากเพอื่ เข้ากลมุ่ ทดลอง และกลมุ่ ควบคุมกลุ่มละ 30 คน เครือ่ งมือท่ีเก็บรวบรวมข้อมลู 1) วีดิทศั น์ต้นแบบ ผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างวีดิทัศน์ต้นแบบโดยใช้หลักการออกแบบวีดิทัศน์เพื่อใช้ในการเรียนการสอน จากน้ันนาไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบจานวน 5 คน โดยพิจารณาแล้วตัดสินว่าประเด็นต่างๆท่ีพิจารณาว่ามีความ เหมาะสม ไม่แน่ใจ หรอื ไม่เหมาะสม และใช้สูตรการคานวณดัชนีความสอดคลอ้ ง (Index of Consistency) มีค่า ความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) อยู่ท่ี 0.96 โดยมีค่า IOC ≥ 0.50 จึงยอบรับว่าวีดิทัศน์ต้นแบบที่ได้จัดทาข้ึนมีความ เหมาะสม 2) แบบตรวจแผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ ผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้หลักการแนวคิดการเรียนการสอนเชิงรุกและนา แผนนี้ไปให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบจานวน 5 คน โดยพิจารณาแล้วตัดสินว่าประเด็นต่างๆ ท่ีพิจารณาว่า มีความเหมาะสม ไม่แน่ใจ หรือ ไม่เหมาะสม และใช้สูตรการคานวณดัชนีความสอดคล้อง (Index of Consistency) มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) อยู่ท่ี 0.92 โดยมีค่า IOC ≥ 0.50 จึงยอบรับว่าแผนการจัดการ เรยี นรู้ทีไ่ ด้จดั ทาข้นึ มคี วามเหมาะสม

62 3) แบบประเมนิ ทกั ษะกำรสอน ผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างแบบประเมินทักษะการสอน โดยใช้แบบประเมินทักษะการสอนนา แบบประเมินการสอนน้ีไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ โดยคุณสมบัตขิ องผู้เช่ียวชาญ คือ เปน็ ผูเ้ ช่ียวชาญด้านการสอน จานวน 5 ท่าน มปี ระสบการณเ์ ก่ียวกบั เร่อื งนี้มาแล้วไม่ตา่ กวา่ 2 ปี เพ่ือตรวจสอบความตรงตามเน้ือหา (Content Validity) ตลอดจนความครบถ้วนสมบูรณ์และความครอบคลุมของเกณฑ์วิธีการให้คะแนนทักษะการสอน และ นาข้อเสน อแนะที่ได้มาปรับปรุงแก้ไขภาษาท่ีใช้และเกณ ฑ์วิธีการให้คะแน นของ แบบประเมินทักษะการสอน ซึ่งแบบประเมินทักษะการสอนมีค่าความตรงเชิงเน้ือหา (IOC) อยู่ที่ 0.96 โดยมีค่า IOC ≥ 0.50 หมายความว่า แบบประเมินทักษะการสอนนี้มีความสอดคล้องกับเนื้อหาตรงกับวัตถุประสงค์ และสามารถนาไปศึกษากับ กลุ่มตวั อยา่ งจริงได้ สาหรับแบบประเมินทกั ษะการสอน โดยผู้วจิ ยั ได้กาหนดแนวทางการให้คะแนนอยา่ งเป็นปรนัย โดยใช้มาตรวัดระดับความสาเร็จของงานที่เรียกว่า รบู ริคส์ ซึง่ มกี ารกาหนดรายละเอียดการให้คะแนนอย่างชัดเจน การประเมินประกอบด้วย 1) ทักษะการนาเข้าสู่บทเรียน (Set Induction) 2) ทักษะการอธิบาย (Presentation) 3) ทักษะการใช้คาถาม (Question) 4) ทักษะการเสริมกาลังใจ (Reinforcement) 5) ทักษะการสรุปบทเรียน (Set Closure) 6) ทักษะการเร้าความสนใจ (Stimulation) 7) ทักษะการใช้กระดานชอล์ก (Chalk board writing skill) 8) ทักษะการกระตุ้นให้คิด (Active Thinking) และ 9) ทักษะการใช้ส่ือการสอน (Media Presentation) น า ม า วิ เ ค ร า ะ ห์ ด้ ว ย ค่ า เ ฉ ลี่ ย ส่ ว น เ บ่ี ย ง เ บ น ม า ต ร ฐ า น แ ล ะ คา่ t-test Dependent และ Independent เกณฑก์ ารแปลผลข้อมูลกาหนดดงั ตารางที่ 3.1 ดงั นี้ ตำรำงที่ 3.1 เกณฑ์การประเมนิ ทักษะการสอน ระดบั คุณภำพ เกณฑก์ ำรตัดสิน ดีเยย่ี ม ไดค้ ะแนนรวมระหวา่ ง 40-45 คะแนน และไมม่ ผี ลการประเมนิ ข้อใดข้อหนง่ึ ต่ากว่า 2 คะแนน ดีมาก ไดค้ ะแนนรวมระหวา่ ง 35-39 คะแนน และไมม่ ีผลการประเมนิ ขอ้ ใดข้อหน่ึงได้ 0 คะแนน ดี ไดค้ ะแนนรวมระหว่าง 30-34 คะแนน และไม่มีผลการประเมินข้อใดขอ้ หนึ่งได้ 0 คะแนน พอใช้ ได้คะแนนรวมระหวา่ ง 25-30 คะแนน และไม่มผี ลการประเมินขอ้ ใดขอ้ หนึ่งได้ 0 คะแนน ไมผ่ า่ น ไดค้ ะแนนรวมระหว่าง 0 – 24 คะแนน 4) แบบวดั ควำมตระหนัก ผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างแบบวัดความตระหนัก โดยผู้วิจัยได้กาหนดแนวทางการให้คะแนนอย่างเป็น ปรนัย โดยใช้มาตรวดั ระดับความสาเร็จของงานที่เรียกว่า Rating scale 5 ระดับ นามาวิเคราะห์ด้วยด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t-test Dependent และ Independent จากนน้ั นาแบบวดั ความตระหนักนี้ไปให้ ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบ โดยคุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญ คือ เป็นผู้เช่ียวชาญด้านการสอน จานวน 5 ท่าน มีประสบการณ์เก่ียวกับเรื่องนี้มาแล้วไม่ต่ากว่า 2 ปี เพ่ือตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) ตลอดจนความครบถ้วนสมบูรณ์และความครอบคลุมของเกณฑ์วิธีกา รให้คะแนนความตระหนักและ นาข้อเสนอแนะท่ีได้มาปรบั ปรงุ แก้ไขภาษาท่ีใช้และเกณฑ์วิธีการให้คะแนนของแบบวดั ความตระหนัก โดยแบบวัด ความตระหนักมีค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) อยู่ที่ 0.89 โดยมีค่า IOC ≥ 0.50 หมายความว่า แบบวัด ความตระหนักนี้มีความสอดคล้องกับเน้ือหา ตรงกับวัตถุประสงค์ และสามารถนาไปศึกษากับกลุ่มตัวอย่างจริงได้

63 จากนั้นนาแบบวัดไปหาค่าความเท่ียงสัมประสิทธิ์ (Cronbach's alpha) ได้ค่าความเที่ยงอยู่ท่ี .913 ซ่ึงแบบวัด ความตระหนักนี้มีความเท่ียงอยู่ในระดับดีมาก หมายความว่า แบบวัดความตระหนักน้ีมีความน่าเช่ือถือและ สามารถนาไปศึกษากับกลุ่มตัวอย่างจริงได้ สาหรับแบบวัดความตระหนักเป็นแบบประเมินค่า 5 ระดับโดยเกณฑ์ การแปลผลขอ้ มลู กาหนดดังตารางท่ี 3.2 ดงั น้ี ตำรำงที่ 3.2 เกณฑ์การวัดความตระหนกั ระดับคณุ ภำพ เกณฑก์ ำรตดั สนิ ดีเยี่ยม ไดค้ ะแนนรวมระหวา่ ง 61-75 คะแนน และไม่มผี ลการประเมนิ ข้อใดข้อหน่ึงต่ากว่า 2 คะแนน ดีมาก ไดค้ ะแนนรวมระหวา่ ง 46-60 คะแนน และไม่มผี ลการประเมินข้อใดข้อหนงึ่ ได้ 0 คะแนน ดี ไดค้ ะแนนรวมระหว่าง 31-45 คะแนน และไม่มีผลการประเมินขอ้ ใดข้อหนงึ่ ได้ 0 คะแนน พอใช้ ได้คะแนนรวมระหว่าง 16-30 คะแนน และไมม่ ีผลการประเมินข้อใดขอ้ หน่ึงได้ 0คะแนน ไมผ่ า่ น ไดค้ ะแนนรวมระหว่าง 0 - 15 คะแนน 5) แบบสงั เกตพฤตกิ รรมนิสติ ครู ผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างแบบสังเกตพฤติกรรมนิสิตครู โดยเป็นแบบสังเกตการณ์ปฏิบัติของนิสิตครูใน แต่ละขั้นตอนตามแผนกากับกิจกรรม ผู้วิจัยนาแบบสังเกตพฤติกรรมน้ีไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบจานวน 5 ท่าน โดยคุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญคือ เป็นผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านนี้มาแล้วไม่ต่ากว่า 5 ปี ตรวจสอบความ ตรงของเน้ือหา (Content Validity) ได้มากกว่า 0.5 ทุกข้อ ตลอดจนความครบถ้วนสมบูรณ์และความครอบคลุม ของคาถามและนาข้อเสนอแนะท่ีได้มาปรับปรุงแก้ไข ข้อคาถามให้มีความถกู ต้องและชัดเจนขนึ้ ตามคาแนะนาของ ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนนาไปใช้ในการเก็บข้อมูลจรงิ ซึ่งแบบสังเกตพฤติกรรมนิสิตครูมีค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) อยู่ ที่ 1.00 โดยมีค่า IOC ≥ 0.50 หมายความว่า แบบสังเกตพฤติกรรมนิสิตครูนี้มีความสอดคล้องกับเน้ือหาตรงกับ วัตถุประสงค์ และสามารถนาไปศึกษากบั กลุ่มตัวอย่างจรงิ ได้ สาหรับแบบสังเกตพฤติกรรมนิสิตครู เปน็ แบบประเมิน คา่ 5ระดับ โดยเกณฑก์ ารแปลผลข้อมูลกาหนดดงั ตารางท่ี 3.3 ดงั นี้ ตำรำงที่ 3.3 เกณฑก์ ารประเมินพฤติกรรมนิสิตครู ระดับคุณภำพ เกณฑก์ ำรตดั สิน ดเี ย่ียม ไดค้ ะแนนรวมระหว่าง 74 - 93 คะแนน และไม่มีผลการประเมนิ ขอ้ ใดข้อหนึ่งต่ากวา่ 2 คะแนน ดี ไดค้ ะแนนรวมระหวา่ ง 54 - 73 คะแนน และไม่มผี ลการประเมนิ ข้อใดข้อหนึ่งได้ 0 คะแนน พอใช้ ได้คะแนนรวมระหว่าง 34 - 53 คะแนน และไม่มผี ลการประเมินข้อใดข้อหน่งึ ได้ 0 คะแนน ไม่ผ่าน ไดค้ ะแนนรวมระหวา่ ง 0 - 33 คะแนน

64 6) แบบสอบถำมควำมคดิ เห็นตอ่ กำรเรยี นดว้ ยรูปแบบกำรจัดกำรเรียนกำรสอน ผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นนิสิตครูน้ีไปให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบจานวน 5 ทา่ น โดยคณุ สมบัติของผเู้ ช่ียวชาญ คอื เป็นผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นการใชง้ านแบบสอบถามความคิดเห็นนิสติ ครูทม่ี ตี อ่ รูปแบบ การจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและ ความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับนิสิตครู ซึ่งมีประสบก ารณ์ ด้านน้ีมาแล้วไม่ต่ากว่า 5 ปี เพื่อตรวจสอบความตรงของเน้ือหา (Content Validity) ตลอดจนความครบถ้วนสมบูรณ์และความครอบคลุมของ คาถามและนาข้อเสนอแนะท่ีไดม้ าปรับปรุงแก้ไขข้อคาถามให้มีความถูกต้องและชัดเจนขน้ึ ตามคาแนะนาของผู้เชีย่ วชาญ กอ่ นนาไปใช้ในการเกบ็ ข้อมูลจรงิ ซงึ่ แบบสอบถามความคดิ เห็นฯ มีค่าความตรงเชงิ เนื้อหา (IOC) อยู่ที่ 0.91 โดยมคี ่า IOC ≥ 0.50 หมายความวา่ แบบสอบถามความคิดเห็นฯ นี้มีความสอดคลอ้ งกับเน้ือหาตรงกับวตั ถปุ ระสงค์ และสามารถนาไป ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างจริงได้ และตรวจสอบความถูกต้องตามท่ีผู้ทรงคุณวุฒิรับรองแบบสอบถามความคิดเห็นนิสิตครู สาหรับแบบสอบถามความคิดเห็น มีลักษณะเป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ (Likert scale) ซึ่งแต่ละระดับ ความคิดเหน็ มีความหมายดงั นี้ 5 = เห็นด้วยอยา่ งยง่ิ หมายถึง มีความคิดเห็นตอ่ ข้อความร้อยละ 81 – 100 มีความคิดเหน็ ต่อขอ้ ความร้อยละ 61 – 80 4 = เหน็ ด้วย หมายถงึ มีความคิดเห็นตอ่ ขอ้ ความรอ้ ยละ 41 – 60 มีความคิดเหน็ ตอ่ ข้อความร้อยละ 21 – 40 3 = ปานกลาง หมายถึง มคี วามคิดเห็นต่อข้อความร้อยละ 0 - 20 2 = ไมเ่ ห็นดว้ ย หมายถงึ 1 = ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งย่ิง หมายถึง โดยผู้วิจยั แบ่งเกณฑเ์ พ่ือประเมินความคิดเห็นจากค่าเฉลย่ี ของระดับความคิดเหน็ ดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 4.50 – 5.00 หมายถึง เหน็ ด้วยระดับมากท่ีสดุ คะแนนเฉลย่ี 3.50 – 4.49 หมายถึง เห็นด้วยระดบั มาก คะแนนเฉลี่ย 2.50 – 3.49 หมายถงึ เห็นดว้ ยระดบั ปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.50 – 2.49 หมายถึง เห็นด้วยระดับน้อย คะแนนเฉลย่ี 1.00 – 1.49 หมายถงึ เหน็ ดว้ ยระดบั นอ้ ยท่ีสดุ 7) แบบรับรองรูปแบบกำรจัดกำรเรียนกำรสอนพลศึกษำตำมแนวคิดกำรเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ ตน้ แบบเพือ่ สง่ เสริมทักษะกำรสอนและควำมตระหนักในกำรสอนกีฬำพนื้ เมืองไทยสำหรบั นิสิตครู ผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างแบบรับรองขึ้นแล้วนาแบบรับรองนี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบจานวน 5 ท่าน โดยคุณสมบัติของผู้เช่ียวชาญคือ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้ เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้ นเมืองไทยสาหรับ นิสิตครู ซ่ึงมีประประสบการณ์ด้านน้ีมาแล้วไม่ต่ากว่า 5 ปี เพ่ือตรวจสอบความตรงของเน้ือหา (Content Validity) ตลอดจนความครบถ้วนสมบูรณ์และความครอบคลุมของคาถามและนาข้อเสนอแนะที่ได้มาปรับปรุง แกไ้ ขขอ้ คาถามใหม้ คี วามถูกต้องและชัดเจนขึ้นตามคาแนะนาของผเู้ ชย่ี วชาญ ก่อนนาไปใช้ในการเก็บข้อมูลจรงิ

65 โดยแบบรับรองรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยสาหรับนิสิตครู มีลักษณะเป็น แบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ (Likert scale) โดยผู้วิจยั แบ่งเกณฑเ์ พ่ือประเมนิ รปู แบบการจัดการเรยี นการสอน พลศกึ ษาตามแนวคิดการเรยี นรูเ้ ชงิ รุกร่วมกบั วีดทิ ัศน์ตน้ แบบ ดงั นี้ คะแนนเฉล่ยี 4.50 – 5.00 หมายถงึ ขนั้ ตอนมีความเหมาะสมมากทีส่ ดุ คะแนนเฉลี่ย 3.50 – 4.49 หมายถึง ขัน้ ตอนมีความเหมาะสมดี คะแนนเฉลย่ี 2.50 – 3.49 หมายถึง ขนั้ ตอนมคี วามเหมาะสมปานกลาง คะแนนเฉลีย่ 1.50 – 2.49 หมายถงึ ขน้ั ตอนมีความเหมาะสมนอ้ ย คะแนนเฉล่ยี 1.00 – 1.49 หมายถึง ขั้นตอนมคี วามเหมาะสมน้อยทสี่ ดุ กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจัยดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยมีวิธีการคือ (1) การประเมินพฤติกรรมนิสิตครูและทักษะการสอน ผู้วิจัยจะประเมินนิสิตครูในช่ัวโมงเรียน (2) แบบรบั รองรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการ เรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนั กในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทย สาหรับนิสิตครู ผู้วจิ ัยได้ทาหนังสอื ขอความอนุเคราะห์ผทู้ รงคณุ วฒุ ิจากสาขาสุขศึกษาและพลศกึ ษาจานวน 5 คน ในการตรวจสอบและรับรองรปู แบบการจดั การเรียนการสอน (3) แบบสอบถามความคิดเหน็ นสิ ิตครู ผู้วิจัยให้นสิ ิต ครตู อบแบบสอบถามในชวั่ โมงเรียน กำรวิเครำะห์ขอ้ มลู (1) วิเคราะห์ทักษะการสอนและความตระหนักของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้สถิติพ้ืนฐานคือ คา่ เฉลี่ยและสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (2) วิเคราะห์เปรียบเทียบผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก รว่ มกับวีดิทศั น์ต้นแบบ โดยใชส้ ถติ ิ Independent-Samples t-test ข้ันตอนในกำรจดั เก็บขอ้ มลู และกำรทดลอง 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและข้ันตอนการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับ วีดทิ ศั น์ต้นแบบเพ่อื สง่ เสรมิ ทกั ษะการสอนและความตระหนกั ในการสอนกีฬาพ้นื เมืองไทยสาหรบั นสิ ติ ครู 2) เพื่อสร้างรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ เพือ่ สง่ เสรมิ ทกั ษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพน้ื เมอื งไทยสาหรับนิสติ ครู 3) เพ่อื ศึกษาผลการใชร้ ูปแบบการเรยี นการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรเู้ ชิงรกุ รว่ มกบั วดี ิทัศน์ต้นแบบ เพอื่ ส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพนื้ เมืองไทยสาหรับนสิ ติ ครู โดยศึกษาจาก 3.1) ผลของการเรียนรูเ้ ชงิ รกุ รว่ มกับวีดทิ ัศนต์ ้นแบบของนสิ ิตครู 3.2) ผลของคะแนนทักษะการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยของนิสติ ครู 3.3) ผลของความตระหนักในการสอนวชิ าพลศึกษาของนิสติ ครู

66 4) เพ่ือนาเสนอรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ เพือ่ ส่งเสรมิ ทกั ษะการสอนและความตระหนกั ในการสอนกีฬาพื้นเมอื งไทยสาหรับนสิ ติ ครู โดยมรี ายละเอียดดังน้ี ขั้นตอนที่ 1 กำรศกึ ษำองคป์ ระกอบและข้นั ตอนกำรเรยี นกำรสอนพลศกึ ษำตำมแนวคดิ กำรเรยี นร้เู ชงิ รกุ รว่ มกับวีดิ ทัศนต์ ้นแบบเพ่ือสง่ เสริมทกั ษะกำรสอนและควำมตระหนักในกำรสอนกฬี ำพนื้ เมืองไทยสำหรบั นิสติ ครู ผู้วิจัยได้ทาการศึกษาหลักการ แนวคิด และทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนพล ศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักใน การสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยสาหรับนิสิตครู เพื่อนาข้อมูลที่ได้ศึกษามาสังเคราะห์เป็นองค์ประกอบและขั้นตอน การเรยี นการสอนพลศกึ ษาตามแนวคดิ ของรูปแบบฯ ซ่งึ มีหัวขอ้ เร่อื งและข้ันตอนการศึกษา ดงั น้ี 1) ศึกษาเอกสาร ข้อมลู และวรรณคดีท่เี กี่ยวข้องเก่ยี วกับการเรียนร้เู ชงิ รกุ 2) ศึกษาเอกสาร ขอ้ มูล และวรรณคดีทีเ่ กี่ยวข้องเกีย่ วกับทักษะการสอนพลศึกษา 3) ศึกษาเอกสาร ข้อมูล และวรรณคดีท่เี กยี่ วขอ้ งเก่ยี วการใช้วดี ทิ ศั น์ต้นแบบ 4) ศึกษาเอกสาร ขอ้ มลู และวรรณคดีที่เก่ยี วขอ้ งเกีย่ วกบั กระบวนการส่งเสริมความตระหนักในการสอน 5) กาหนดกรอบแนวคิดของการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ เพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและ ความตระหนักในการสอนกฬี าพื้นเมืองไทย 6) สรุปองค์ประกอบและขั้นตอนการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ ต้นแบบเพอื่ ส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนกั ในการสอนกีฬาพืน้ เมืองไทยสาหรับนสิ ิตครู ข้ันตอนท่ี 2 กำรพัฒนำรูปแบบกำรเรียนกำรสอนพลศกึ ษำตำมแนวคดิ กำรเรียนรู้เชงิ รุกร่วมกับวดี ิทศั น์ต้นแบบ เพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะกำรสอนและควำมตระหนักในกำรสอนกีฬำพ้นื เมอื งไทยสำหรบั นิสิตครู นาองค์ประกอบและข้ันตอนการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ เพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยสาหรับนิสิตครู และแผนการจัดการ เรยี นร้ไู ปใหผ้ ู้เช่ียวชาญตรวจสอบจานวน 5 ท่าน โดยเป็นผู้เช่ียวชาญด้านเทคโนโลยีและสอ่ื สารการศึกษาดา้ นวิจัย และประเมินผลการศึกษา และด้านการจัดการเรียนการสอนพลศึกษา ซึ่งทุกท่านมีคุณสมบัติคือ 1) เป็นผู้ที่มี ประสบการณ์ด้านการทางานหรือการสอนท่ีเก่ียวข้อง และหรือ 2) เป็นผู้ที่มีผลงานทางวิชาการเก่ียวข้องมาเป็น ระยะเวลาไม่นอ้ ยกว่า 5 ปี โดยแบบสอบถามปลายเปิดแบบมีโครงสรา้ ง เก่ียวกับความเหมาะสมขององค์ประกอบ และข้ันตอนการจัดการเรียนของรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับนิสิตครู แล้วนามา วเิ คราะหข์ ้อมลู แบบเชงิ คณุ ภาพ โดยใช้สถติ ิเชงิ พรรณนาและการรายงานผลแบบความเรียง

67 ข้นั ตอนที่ 3 กำรศึกษำผลกำรใช้รูปแบบกำรจดั กำรเรียนกำรสอนพลศกึ ษำตำมแนวคดิ กำรเรยี นรู้เชิงรกุ รว่ มกับ วดี ทิ ัศนต์ ้นแบบเพื่อส่งเสรมิ ทักษะกำรสอนและควำมตระหนกั ในกำรสอนกีฬำพน้ื เมืองไทยสำหรับนิสิตครู ไดด้ าเนนิ การทดลองตามกระบวนการวิจัยแบบก่งึ ทดลอง Pretest - Posttest Control Group Design คือ R O1 X O2 R O1 C O2 ซ่ึงกลุ่มที่ดาเนินการทดลองจะให้นิสิตดาเนินการจัดการเรียนการสอนนักเรียนโดยใช้วีดิทัศน์ต้นแบบ ประกอบการสอน เป็นนิสิตคณะครุศาสตร์ที่ลงเรียนรายวชิ า 2723319 ชื่อ วิชากจิ กรรมการเคล่ือนไหวสาหรับเด็ก เล็กของสาขาสุขศึกษาและพลศึกษา คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย จานวน 60 คน ซง่ึ ผูว้ ิจัยใชก้ ารเลอื ก แบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กาหนดไว้ คือ 1) เป็นนิสิตนักศึกษาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ที่มีความรู้พ้ืนฐาน และประสบการณ์ในการจัดกิจกรรมให้กับเด็กปฐมวัยและประถมศึกษา และ 2) มีความสามารถในการใช้ แอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน สาหรับใช้ในการดาเนินกิจกรรม ส่วนกลุ่มควบคุมจะให้นิสิตดาเนินการสอนนักเรียน แบบวิธีปกติ จากนั้นดาเนินการทดลองตามแผนการจัดการเรียนรู้ดังน้ี ตำรำงที่ 3.4 ข้นั ตอนดาเนินการทดลอง ขั้นตอนดำเนินกำร กำรดำเนินกจิ กรรม สัปดำหท์ ี่ เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ใน ทดลอง 1-2 กำรวจิ ัย 1. นิสิตครูเขียนความหมายและความสาคัญของ ขัน้ ตอนท่ี 1 การ กจิ กรรมเคลือ่ นไหวสาหรับเด็กเล็ก 3-4 1 . แ บ บ สั งเก ต เตรียมความพร้อม 2. นิสิตครูจับกลุ่มสรุปความหมายและความสาคัญจากข้อ พฤติกรรม 1 แล้วนาเสนอหนา้ ชนั้ เรียน 2. แบบวัดความ ขั้นตอนท่ี 2 3. นิสิตครแู ละผูส้ อนรว่ มกันสรุปเนื้อหาที่ได้เรยี นในวนั นี้ ตระหนกั (pre- กระบวนการสอน นิสติ ครูแบ่งกลุ่มศึกษา ค้นคว้าใน 3 หัวข้อ ดาเนินการตาม test) แบบสืบเสาะหา กระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ไดแ้ ก่ ความรู้ (inquiry 1. ขนั้ สังเกต 1.แบบสงั เกต process) พฤติกรรม นิสิตครูตง้ั ข้อสงั เกตทฤษฎี แนวคิดหลักการเกยี่ วกับ 3 หัวขอ้ ตอ่ ไปนี้ 1) การพฒั นาการของเดก็ เล็ก 2) การเคลอื่ นไหวสาหรบั เด็กเลก็ 3) การเคลือ่ นไหวข้นั พืน้ ฐาน 2. ข้ันเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล นิสิตครูเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการศึกษาค้นคว้าใน 3 หวั ข้อ ดังตอ่ ไปน้ี

68 ขน้ั ตอนดำเนินกำร กำรดำเนินกจิ กรรม สัปดำหท์ ี่ เครือ่ งมอื ทใี่ ช้ใน ทดลอง 5-9 กำรวจิ ัย 1) การพัฒนาการทางดา้ นร่างกายของเด็กเลก็ ขั้นตอนท่ี 3 2) การพัฒนาการทางการเคลือ่ นไหวสาหรับเดก็ เลก็ 10-11 1.แ บ บ สั ง เก ต กจิ กรรมการเคลอื่ น 3) การเคล่ือนไหวพ้นื ฐานสาหรบั เด็กเล็ก พฤติกรรม ไหวเชิงรุก 3. ขั้นตรวจสอบ นสิ ติ ครูนาประเดน็ จากท้ัง 3 หัวขอ้ จากการคน้ คว้า 1.แ บ บ สั ง เก ต ขน้ั ตอนท่ี 4 มาแลกเปล่ยี นขอ้ มลู รว่ มกนั ในชั้นเรยี น พฤติกรรม การสอนแบบจุลภาค 4 ข้นั สรปุ ควำมร้ทู ไี่ ด้ นสิ ติ ครูและผู้สอนร่วมกนั สรปุ ความรู้จากการศึกษาค้นคว้า 1. ผสู้ อนแบง่ กลมุ่ นสิ ติ ครูออกเปน็ 6กลมุ่ 2. นิสิตครูภายในกลุ่มใช้เทคนิคระดมสมองโดยมี เนื้อหาเก่ยี วกบั กิจกรรมการเคลื่อนไหว ประกอบ ด้วย 2.1 การเคล่ือนไหวอยูก่ บั ท่ี 2.2 การเคลื่อนไหวเคลอ่ื นที่ 2..3. การเคล่อื นไหวประกอบอปุ กรณ์ 3. นสิ ติ ครูยกตวั อยา่ งกิจกรรมทั้ง 3 ประเภท 4. นิสิตครูอภิปรายแบบโต๊ะกลม(Round Table) เพื่อ เสนอกิจกรรมการเคล่ือนไหวและเกมการเคล่ือนไหว ทัง้ 3 ประเภท 5. นิสิตครแู ตล่ ะกล่มุ จดั กจิ กรรมการเคลอื่ นไหวที่ได้คิดขึ้น 6. นสิ ติ ครูสะท้อนคดิ ในกจิ กรรมท่ีดาเนนิ การ 7.นิสิตครูและผู้สอนร่วมกนั สรุปเน้อื หาที่ได้จัดกจิ กรรมไป ในแตล่ ะสัปดาห์ 1.นิสิตครูศึกษาเน้ือหาเก่ียวกับทักษะการสอนการเขียน แผนและวธิ ีการสอนแบบต่างๆ 2. นิสิตครูเขียนแผนการสอนการจัดกิจกรรมการ เคลอ่ื นไหว 3. นิสิตครูนาแผนการสอนมาปรับปรุงตามคาแนะนา ของผสู้ อน 4. นิสิตครทู ดลองสอนจรงิ และบันทกึ เทปวีดทิ ัศน์ 5. นิสิตครูร่วมกันช้ีแนะปรับปรุงการสอนของเพ่ือนใน ชนั้ เรยี น 6. ผู้สอนแนะนานิสติ ครูในประเด็นทคี่ วรให้ความสนใจ ในการสอน

69 ขั้นตอนดำเนินกำร กำรดำเนินกิจกรรม สัปดำห์ที่ เครือ่ งมอื ท่ีใชใ้ น ทดลอง 12-14 กำรวจิ ยั 7. ผู้สอนแนะนากิจกรรมการเรียนรู้ และการใช้ส่ือสังคม ขนั้ ตอนที่ 5 การ ออนไลน์ (Facebook Group) หลงั จากฝกึ บันทกึ เทปวดี ิทศั น์ 1.แ บ บ สั ง เก ต ชมวีดิทศั น์ต้นแบบ 1. นสิ ติ ครแู ตล่ ะกลมุ่ เลือกชนิดกฬี าพน้ื เมืองไทยและดู พฤติกรรม วดี ทิ ัศนต์ ้นแบบในส่ือสงั คมออนไลน์ 2.แบ บ ป ระเมิ น 2. นิสิตครูร่วมกันอภิปรายถึงวีดิทัศน์ต้นแบบท่ีได้ชม ทั กษ ะการสอน และนามาเขยี นแผนการจดั กจิ กรรมกีฬาพนื้ เมืองไทย (Rubrics Score) 3. นิสิตครูในกลุ่มร่วมกันปรับปรุงแก้ไขแผนการจัด กิจกรรมโดยผู้สอนเป็นผูช้ แ้ี นะ 4. นิสิตครูจัดกิจกรรมกีฬาพ้ืนเมืองไทยในโรงเรียนระดับ ประถมศึกษา 5.นสิ ติ ครสู ังเกตผลของการจัดกิจกรรมกีฬาพ้ืนเมืองไทย กับผู้เรียนในระดับประถมศึกษา 6. นิสิตครูนาผลท่ีได้จากการจัดกิจกรรมกีฬาพื้น เมอื งไทยและนามาปรบั ปรุงใหไ้ ด้วิธีการสอนท่สี มบรู ณ์ ขน้ั ตอนที่ 6 1. นิสิตครูนาเสนอหน้าช้ันเกี่ยวกับ ผลการจัดกิจกรรมการ 15 1.แบบสังเกต การแลกเปลี่ยน เคลอื่ นไหว และกีฬาพืน้ เมืองไทยในประเด็น ดงั ต่อไปนี้ พฤติกรรม เรยี นรรู้ ะหว่าง 1.1 การประเมินพัฒนาการเด็กในแตล่ ะวยั ผู้เรียน 1.2 การประเมินการเคลอื่ นไหวขัน้ พ้นื ฐาน 1.3 การประเมนิ การเคลอ่ื นไหวสาหรับเด็กเล็ก ข้ันตอนท่ี 7 นิสิตครูร่วมกันออกแบบและลงมือปฏิบัติการสรุป 16 1.แ บ บ สั ง เก ต การเผยแพร่ เนื้อหา กระบวนการเรียน นาไปจัดป้ายนิเทศเพ่ือ พฤตกิ รรม กระบวนการสู่ สะท้อนการตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยและ 2.แบ บ วั ด ความ สาธารณะ กจิ กรรมการเคล่ือนไหว ตระหนกั (Post-test) จากน้ันนาผลท่ีได้จากการทดลองใช้รูปแบบมาวิเคราะห์และสรุปผลโดยใช้แบบประเมินและแบบวัดตามท่ีได้ พัฒนาข้นึ ในข้นั ตอนท่ี 2 และรายงานผล ข้ันตอนท่ี 4 กำรนำเสนอรปู แบบกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนพลศึกษำตำมแนวคดิ กำรเรียนรู้เชงิ รกุ ร่วมกับวีดิทัศน์ ต้นแบบเพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะกำรสอนและควำมตระหนักในกำรสอนกฬี ำพน้ื เมืองไทยสำหรับนสิ ิตครู 1. ผู้วิจัยปรับปรุง แก้ไขและสรุปรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก รว่ มกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือสง่ เสรมิ ทกั ษะการสอนและความตระหนกั ในการสอนกฬี าพ้ืนเมืองไทยสาหรับนสิ ิตครู

70 2. นารูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ เพ่อื ส่งเสริมทกั ษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับนิสติ ครูให้ผู้ทรงคณุ วฒุ ิตรวจสอบ จานวน 5 ท่าน เพือ่ รบั รองรปู แบบ 3. นารูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ เพื่อส่งเสรมิ ทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยสาหรับนิสิตครูนาเสนอให้ผู้อืน่ รับทราบ โดยผา่ นระบบเครอื ขา่ ย

บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู การวิจัยเร่ือง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก ร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับ นิสิตครู มวี ตั ถปุ ระสงค์ ไดแ้ ก่ 1. เพ่ือศึกษาองค์ประกอบและสร้างรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้ เชงิ รกุ รว่ มกบั วดี ิทัศน์ต้นแบบเพ่อื สง่ เสริมทกั ษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพ้นื เมืองไทย 2. เพ่ือศึกษาผลและนาเสนอการใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้ เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทย สาหรบั นิสติ ครู ผ้วู ิจัยนาเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู แบง่ เปน็ 3 ตอน ดงั นี้ ตอนที่ 1 ผลการศึกษาองค์ประกอบและสร้างรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิด การเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬา พื้นเมอื งไทย ตอนท่ี 2 ผลการศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิง รุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมื องไทยสาหรับ นิสิตครู ตอนท่ี 3 ผลการนาเสนอการใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศกึ ษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก ร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับ นสิ ติ ครู ตอนท่ี 1 ผลการศึกษาองค์ประกอบและสรา้ งรปู แบบการจัดการเรยี นการสอนพลศกึ ษาตามแนวคิดการ เรยี นรูเ้ ชงิ รุกรว่ มกับวดี ิทัศน์ตน้ แบบเพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะการสอนและความตระหนกั ในการสอนกีฬาพ้ืน เมืองไทย รูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ เพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยสาหรับนิสิตครู มีองค์ประกอบและ ข้ันตอนการจดั การเรียนการสอน โดยมรี ายละเอียดจากการสังเคราะห์เอกสารและงานวจิ ัยดังต่อไปน้ี องค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับ วีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับนิสิตครู มี ทง้ั หมด 5 องค์ประกอบ ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 ความรู้พ้ืนฐาน นิสิตครตู ้องค้นคว้าหาข้อมูลความรู้และความหมายของเร่อื งท่ีจะ เรียน นสิ ิตครูจะจัดกระทากับขอ้ มลู ของสิ่งท่ีได้ศกึ ษาค้นคว้ามาสรปุ เป็นของตนเอง แล้วนาเสนอความคดิ เห็น และอภิปรายร่วมกันในกลุ่มเพื่อนอย่างเป็นเหตุเป็นผล จากน้ันนาส่ิงท่ีได้อภิปรายมาสรุปโดยใช้กระบวนการ คิดและสรา้ งเป็นความคดิ รวบยอด

72 องค์ประกอบที่ 2 บทบาทผู้สอนและบทบาทนิสิตครู ผู้สอนจะเปลี่ยนบทบาทจากเดิมท่ีเป็น ผถู้ ่ายทอดความรู้ เป็นการช่วยเหลือนิสิตครู ให้คาแนะนา อธิบายเพิ่มเติม และรบั ฟังความคิดเห็นของนิสิต ครู ผู้สอนต้องวางแผนการสอนให้ชัดเจนโดยเน้นท่ีการจัดกิจกรรมมากกว่าการบรรยาย ส่วนนิสิตครูจะมี บทบาทในการสร้างองค์ความรู้และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง แบ่งหน้าท่ีและรับผิดชอบร่วมกัน นิสิตครู จะจดั ระบบการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง องค์ประกอบท่ี 3 วิธีการจัดกิจกรรมเชิงรุก กิจกรรมการเรยี นรทู้ ่ีจัดข้ึนเน้นให้นิสิตครูมีส่วนร่วมใน การทากิจกรรมและการนาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงของนิสิตครู โดยทางานร่วมกันเป็นกลุ่มส่งเสริมให้มีการ ใช้ทักษะทั้งด้านการฟัง การพูด การอ่าน การคิด และการเขียน รวมท้ังแสดงความคิดเห็นและแลกเปล่ียน ความรู้ซึ่งกนั และกนั อยา่ งเปน็ เหตเุ ป็นผล นอกจากน้ใี ห้นิสิตครูได้นาความรไู้ ปใชใ้ นการปฏิบตั ิจรงิ องค์ประกอบที่ 4 วีดิทัศน์ต้นแบบ ผู้สอนสร้างวีดิทัศน์เก่ียวกับวิธีการจัดกิจกรรมกีฬาพ้ืนเมืองไทย หรอื เลอื กจากสื่อสังคมออนไลน์ให้นสิ ิตครูไดศ้ กึ ษาถงึ กระบวนการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน เพื่อให้นสิ ติ ครู เกิดกระบวนการเรียนรู้ จนทาใหเ้ กิดการเลียนแบบพฤตกิ รรมผ่านจากการดวู ีดิทัศน์ องค์ประกอบท่ี 5 การประเมินผล ผู้สอนจะมีการให้ผลป้อนกลบั กบั นิสิตครู โดยใช้การประเมินตาม สภาพจรงิ โดยมใี ชร้ ปู แบบการประเมินทหี่ ลากหลายไดแ้ ก่ การสังเกตพฤติกรรม การประเมนิ จากผลงาน ขัน้ ตอนการเรยี นการสอนของรปู แบบการเรยี นการสอนพลศึกษาตามแนวคดิ การเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับ วีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยสาหรับนิสิตครู มีท้ังหมด 7 ข้นั ตอน ดงั น้ี ขนั้ ตอนที่ 1 การเตรยี มความพร้อม คือ เริ่มแรกผูส้ อนจะมอบหมายให้นสิ ิตครศู กึ ษาค้นคว้าและเขยี น ข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อท่ีได้รับมา จากน้ันให้กลุ่มเพื่อสรุปภาพรวมความหมายและความสาคัญจากส่ิงที่ได้ศึกษา มา แล้วนาเสนอหน้าชนั้ เรยี น โดยนสิ ติ ครแู ละผู้สอนจาทาการสรุปเน้ือหาท่ไี ดเ้ รยี นรว่ มกัน ขน้ั ตอนที่ 2 กระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เร่ิมด้วยการให้นิสิตครูแบ่งกลุ่มศึกษา ค้นคว้า ในหัวข้อที่ได้รับมอบหมายจากผู้สอน โดยดาเนินการตามกระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ได้แก่ 1) ขั้นสังเกต นิสิตครูตง้ั ข้อสังเกตทฤษฎี แนวคิด หลักการท่ีเก่ียวข้องกบั หัวข้อท่ีได้รับ 2) ขน้ั เกบ็ รวบรวมข้อมูล นิสิตครูทาการศึกษาค้นคว้าเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับหัวข้อที่ได้รับ 3) ข้ันตรวจสอบ นิสิตครูนา ประเด็นท่ีได้จากการค้นคว้ามาแลกเปล่ียนข้อมูลร่วมกันในชั้นเรียน และ 4) ขั้นสรุปความรู้ได้ นิสิตครูและ ผสู้ อนรว่ มกันสรปุ ความรจู้ ากการศกึ ษาค้นคว้า ขั้นตอนที่ 3 กิจกรรมการจัดการเรียนแบบเชิงรุก ผู้สอนจะแบ่งนิสิตครูออกเป็นกลุ่ม โดยให้นิสิตครู ภายในกลุ่มใช้เทคนิคระดมสมองในการเรียนรู้เน้ือหา โดยให้มีการค้นหาและยกตัวอยา่ งด้วย เมื่อได้ข้อมูลและ ตัวอย่างที่ผ่านการระดมสมองภายในกลุ่มแล้ว นิสิตครูจะนาเสนอข้อมูลโดยใช้เทคนิคการอภิปรายแบบโต๊ะ กลม (Round Table) รวมถึงการจัดกิจกรรมที่แต่ละกลุ่มได้คิดข้ึนมา จากนั้นให้นิสิตครสู ะท้อนคิดในกิจกรรม ท่ดี าเนนิ การ ทา้ ยสุดนสิ ติ ครแู ละผ้สู อนตอ้ งรว่ มกันสรุปเนอ้ื หาทีไ่ ดจ้ ัดกิจกรรมไปในแตล่ ะสัปดาห์ ข้ันตอนที่ 4 การสอนแบบจุลภาค ข้ันตอนน้ีนิสิตครูจะต้องเรียนรู้เก่ียวกับทักษะการสอนการเขียน แผน และวิธีการสอนแบบต่างๆ เริ่มด้วยนิสิตครูต้องทาการศึกษาข้อมูลทีเ่ ก่ียวข้องก่อน จากนนั้ นิสิตครตู ้องทา การเขียนแผนการสอน แล้วนาไปให้ผสู้ อนตรวจ เพ่ือนาแผนการสอนมาแก้ไขปรับปรุง เมอ่ื ได้แผนการสอนท่ีมี ความถูกต้องและเหมาะสมแล้ว นิสิตครูต้องทดลองสอนจรงิ และบันทึกเทปวดี ิทัศน์ แลว้ นามาเสนอในชั้นเรียน เพื่อให้เห็นถึงลักษณะการสอนของนิสิตครูแต่ละคน โดยนิสิตครูจะร่วมกันชี้แนะปรับปรุงการสอนของเพื่อนใน

73 ชนั้ เรยี น พร้อมท้ังผู้สอนจะแนะนานิสิตครูในประเดน็ ท่ีควรให้ความสนใจในการสอน หลังจากนั้นผู้สอนแนะนา กจิ กรรมการเรยี นรู้ และการใชส้ ือ่ สงั คมออนไลน์ (Facebook Group) หลังจากฝกึ บนั ทึกเทปวดี ิ ข้ันตอนที่ 5 การชมวีดิทัศน์ต้นแบบ นิสิตครูแต่ละกลุ่มจะต้องเลือกจดั กิจกรรมและดูวีดทิ ัศน์ต้นแบบ ในส่ือสังคมออนไลน์ จากนั้นภายในกลุ่มจะร่วมกันอภิปรายถึงวีดิทัศน์ต้นแบบท่ีได้ชม เพ่ือนาความรู้ท่ีได้มา เขียนแผนการจัดกิจกรรม แลว้ รว่ มกันปรบั ปรงุ แก้ไขแผนการจดั กจิ กรรม โดยผู้สอนเป็นผชู้ แ้ี นะ เม่ือได้แผนการ จัดกิจกรรมที่ถูกต้องและเหมาะสมแล้ว นิสิตครูจะทาการดาเนินการจัดกิจกรรม ซึ่งนิสิตครูต้องสังเกตผลของ การจดั กจิ กรรมด้วย เม่อื กิจกรรมเสรจ็ ส้ิน นิสิตครูจะนาผลที่ได้จากการจัดกิจกรรมมาปรับปรุงให้ได้วิธกี ารสอน มคี วามสมบรู ณ์มากยง่ิ ขึ้น ข้ันตอนที่ 6 การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียน เมื่อนิสิตครูได้ผลการจัดกิจกรรมมาแล้ว ใหน้ าเสนอหน้าช้นั เรยี นในประเด็นท่เี ก่ยี วข้อง ขั้นตอนที่ 7 การเผยแพร่กระบวนการสู่สาธารณะ นิสิตครูร่วมกันออกแบบและลงมือปฏิบัติการสรุป เน้อื หา กระบวนการเรยี น นาไปจดั ปา้ ยนเิ ทศ เพ่อื เปน็ การเผยแพรข่ ้อมลู และความรูท้ ่ีไดร้ ับให้แกผ่ อู้ ืน่ ตอนที่ 2 ผลการศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก ร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาห รับ นิสิตครู ผวู้ ิจัยได้นาข้อมูลทีเ่ กบ็ รวบรวมได้จากการทดลองใช้รูปแบบการจดั การเรียนการสอนพลศกึ ษาตามแนวคิด การเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬา พื้นเมืองไทยมาวิเคราะห์ดว้ ยสถติ ิ ผลการวิเคราะหข์ ้อมูลสามารถแบง่ ได้ออกเปน็ 6 ข้อ ดังตอ่ ไปน้ี 1. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนทกั ษะการสอนก่อนเรยี นกลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคุม ผู้วิจัยได้มีการเก็บคะแนนก่อนเรียนด้านทักษะการสอนของกลุ่มทดลองและก ลุ่มควบคุม โดยใช้แบบประเมินทักษะการสอนเป็นเคร่ืองมือในการวัดและประเมินผลและการตอบสมมติฐานข้อที่ 1 ได้แก่ นิสิตครูท่ีเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ มที ักษะการสอนก่อนเรยี นของกลมุ่ ทดลองและกลุม่ ควบคมุ ไม่แตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติท่รี ะดับ.05 โดยผลคะแนนทักษะการสอนก่อนเรียนของทัง้ สองกลุ่มมรี ายละเอียดดังตารางท่ี 4.1, 4.2 และ 4.3 ตารางท่ี 4.1 ค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของคะแนนทักษะการสอนก่อนเรียนของกลุ่มทดลองและ กลุ่มควบคมุ ทกั ษะการสอน กลุ่มทดลอง กล่มุ ควบคุม Sig. (n=30) (n=30) 1. ทักษะการนาเข้าส่บู ทเรยี น 0.41 2. ทกั ษะการอธิบาย x S.D x S.D 0.54 3. ทักษะการใช้คาถาม 0.32 4. ทกั ษะการเสริมกาลังใจ 1.90 0.40 1.97 0.18 0.57 5. ทักษะการสรปุ บทเรียน 2.03 0.56 1.97 0.18 0.57 2.70 0.47 2.57 0.57 1.90 0.61 1.97 0.18 1.90 0.61 1.97 0.18

74 กลมุ่ ทดลอง กลมุ่ ควบคุม (n=30) ทักษะการสอน (n=30) x S.D Sig. 2.57 0.57 x S.D 1.90 0.55 0.32 0.13 6. ทักษะการเร้าความสนใจ 2.70 0.47 1.97 0.18 2.30 0.92 0.77 7. ทักษะการใช้กระดานดาหรือกระดาน 1.70 0.47 2.13 0.29 0.68 0.92 ชอล์ก 8. ทกั ษะการกระต้นุ ใหค้ ิด 2.00 0.59 9. ทักษะการใชส้ ่อื การสอน 2.40 0.93 รวม 2.14 0.28 * p < .05 จากตารางท่ี 4.1 ภาพรวมของคะแนนทักษะการสอนก่อนเรียนของทั้งสองกลุ่ม พบว่า คะแนนเฉล่ียของ ทั ก ษ ะ ก า ร ส อ น ก่ อ น เรี ย น ข อ งก ลุ่ ม ท ด ล อ ง แ ล ะ ก ลุ่ ม ค ว บ คุ ม ไม่ แตกต่ างกั น อย่ างมี นั ยส าคั ญ ท างสถิ ติ ที่ระดับ .05 และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อของทักษะการสอนก่อนเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่าง กนั อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ทุกข้อ 2. ผลการวิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบคะแนนทักษะการสอนหลงั เรียนกลุม่ ทดลองและกลุ่มควบคุม ผู้ วิ จั ย ได้ มี ก า ร เก็ บ ค ะ แ น น ห ลั ง เรี ย น ด้ า น ทั ก ษ ะ ก า ร ส อ น ข อ ง ก ลุ่ ม ท ด ล อ ง แ ล ะ ก ลุ่ ม ค ว บ คุ ม โดยใช้แบบประเมินทักษะการสอนเป็นเครอื่ งมอื ในการวัดและประเมินผลและการตอบสมมติฐานข้อที่ 2 ได้แก่ นิสิตครูที่เรียนด้วยการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นมี คะแนนทักษะ การสอนหลงั เรียนของกลุม่ ทดลองสูงกว่าหลังเรียนของกลมุ่ ควบคุมอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 ตารางท่ี 4.2 ค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนทักษะการสอนหลังเรียนของกลุ่มทดลองและ กลุ่มควบคุม กล่มุ ทดลอง กลมุ่ ควบคมุ (n=30) ทกั ษะการสอน (n=30) x S.D Sig. 3.77 0.57 x S.D 2.77 0.43 0.64 3.03 0.72 0.00* 1. ทกั ษะการนาเข้าส่บู ทเรยี น 3.83 0.53 2.77 0.43 0.00* 4.47 1.14 0.00* 2. ทักษะการอธิบาย 3.20 0.48 3.10 0.66 0.14 2.27 0.45 0.00* 3. ทักษะการใช้คาถาม 4.00 0.00 0.00* 2.77 0.43 4. ทักษะการเสรมิ กาลังใจ 3.20 0.48 2.53 0.90 0.01* 3.05 0.53 0.00* 5. ทักษะการสรุปบทเรยี น 4.80 0.41 0.00* 6. ทกั ษะการเรา้ ความสนใจ 4.00 0.00 7. ทักษะการใช้กระดานดาหรือกระดาน 3.20 0.41 ชอล์ก 8. ทกั ษะการกระตุ้นให้คิด 3.13 0.57 9. ทักษะการใชส้ ่ือการสอน 4.00 0.00 รวม 3.71 0.13 * p < .05

75 จากตารางท่ี 4.2 ภาพรวมของคะแนนทักษะการสอนหลังเรียน พบว่า คะแนนเฉลี่ยของทักษะ การสอนหลังเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และเม่ือ พิ จารณ าเป็ น รายข้อ พ บ ว่า คะแน น เฉล่ียของ ทั กษ ะการสอน จาน วน 7 ทั กษ ะ แตกต่างกั น อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิที่ระดบั .05 ยกเว้นทกั ษะการนาเขา้ สู่บทเรียนและทักษะการสรปุ บทเรียน 3. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทยี บคะแนนทกั ษะการสอนก่อนและหลังเรยี นกลุ่มทดลอง นสิ ิตครูกลุ่มทดลองทเ่ี รียนด้วยการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรเู้ ชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ ตน้ มคี ะแนนทักษะการสอนหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ .05 ตารางที่ 4.3 ค่าเฉลี่ย สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และการทดสอบนัยสาคญั ของคะแนนทักษะการสอนก่อนและ หลงั การทดลองของกลุ่มทดลอง ทกั ษะการสอน ก่อนการทดลอง หลงั การทดลอง Sig. x S.D. (n=60) x S.D. 3.88 0.41 0.00* 2.90 0.30 0.00* 1. ทักษะการนาเขา้ สู่บทเรียน 1.92 0.28 3.55 0.67 0.00* 2.90 0.30 0.00* 2. ทักษะการอธิบาย 1.92 0.28 4.78 0.75 0.00* 3.58 0.61 0.00* 3. ทกั ษะการใชค้ าถาม 2.53 0.65 2.97 2.39 0.00* 4. ทักษะการเสรมิ กาลังใจ 1.92 0.28 2.90 0.30 0.00* 3.30 0.95 0.00* 5. ทักษะการสรุปบทเรียน 1.92 0.28 3.42 0.66 0.00* 6. ทกั ษะการเร้าความสนใจ 2.53 0.65 7. ทักษะการใช้กระดานดาหรือ 1.67 0.47 กระดานชอลก์ 8. ทกั ษะการกระตนุ้ ให้คดิ 1.92 0.28 9. ทกั ษะการใชส้ ่ือการสอน 2.28 0.94 รวม 2.07 0.24 * p < .05 จากตารางที่ 4.3 ผลการเปรียบเทียบคะแนนทักษะการสอนของนิสิตครูในการประเมินท้ังสองครั้ง พ บว่า คะแน นเฉล่ียของทักษ ะการสอน หลังเรียน สูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสาคัญ ท างสถิติ ที่ระดับ .05 และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า คะแนนเฉล่ียของทุกทักษะการสอนหลังการทดลอง สงู กว่าก่อนการเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติทีร่ ะดบั .05 ทกุ ข้อ ทาใหส้ ามารถสรปุ ได้ว่า นสิ ิตครทู ่ีไดเ้ รียนด้วย รูป แ บ บ ก ารเรีย น ก ารส อ น พ ล ศึ ก ษ า ต าม แ น ว คิ ด ก ารเรี ย น รู้เชิ งรุก ร่ ว ม กั บ วีดิ ทั ศ น์ ต้ น แ บ บ เพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยสาหรับนิสิตครู มีคะแนนทักษะ การสอนหลังการทดลองสงู กวา่ ก่อนการทดลอง อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั .05 จากตารางข้างต้นทั้งหมด สามารถสรุปผลการวิจัยได้ว่า การประเมินทักษะการสอนของนิสิตครูก่อน การทดลอง ภาพรวมของทักษะการสอนของนิสิตครูทั้งกลุ่มทดลองและควบคุมมีทักษะการสอนก่อนเรียน

76 ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ โดยนิสิตครูท้ังสองกลุ่มมีทักษะการใช้คาถาม และ ทกั ษะการเร้าความ สนใจ ที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่าทักษะอ่ืน ๆ เม่ือนาผลคะแนนทักษะการสอนก่อนเรียนมาเปรียบเทียบกับ คะแนนหลังเรียนพบว่า หลังเรียนที่นิสิตครูได้เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิด การเรียนรู้เชิงรุกฯ ทักษะการสอนของนิสิตครูในภาพรวมสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างชัดเจน โดยภาพรวมของ ทักษะการสอนของนิสิตครูหลังเรียนเพ่ิมข้ึนและเมื่อพิจารณารายทักษะจะเห็นได้ว่า เกือบทุกทักษะ การสอนมีคะแนนเพ่ิมขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด สามารถสรุปได้ว่า นิสิตครูเกิดการเรียนรู้และพัฒนาในด้าน ทักษะการสอน หลังได้เรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับ วดี ิทัศน์ตน้ แบบเพ่ือสง่ เสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมอื งไทยสาหรบั นสิ ิตครู 4. ผลการวิเคราะห์และเปรียบเทียบคะแนนความตระหนักก่อนเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุม ผู้วจิ ัยได้ให้นสิ ติ ครูทดสอบกอ่ นเรียนด้านความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมอื งไทยของนสิ ิตครูโดยใช้ แบบวัดความตระหนักเป็นเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพ่ือตอบสมมตฐิ านข้อที่ 3 ได้แก่ นิสิตครูทีเ่ รียน ด้ ว ย รูป แ บ บ ก ารเรีย น ก ารส อ น พ ล ศึ ก ษ าต าม แนวคิ ดการเรียนรู้เชิ งรุกร่วมกั บวีดิ ทั ศ น์ ต้ น แ บ บ มีคะแนนความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยก่อนเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 โดยมีรายละเอยี ดดงั ตารางที่ 4.4 ตารางท่ี 4.4 ค่าเฉลยี่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และการทดสอบนัยสาคัญของคะแนนความตระหนักก่อนเรียน ของกลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคมุ กลุม่ ทดลอง กลมุ่ ควบคมุ (n=30) ความตระหนัก (n=30) x S.D Sig. x S.D 3.60 0.77 0.09 0.40 1. ด้านความรู้ความเขา้ ใจ 3.43 0.94 0.66 0.21 1.1 ท่านมีความรู้และความเข้าใจในการสอนกีฬา 3.23 0.90 3.73 0.83 0.35 0.21 พ้ืนเมืองไทย 3.27 0.52 0.87 0.07 1.2 ท่านได้แสวงหาความรู้เพิ่มเติมก่อนและหลังจาก 3.20 1.19 3.90 0.66 การสอนกีฬาพื้นเมอื งไทย 3.59 0.56 1.3 กิจกรรมท่ีนามาสอนกีฬาพื้นเมืองไทย สามารถให้ 3.63 0.93 4.07 0.78 3.83 0.65 ประสบการณโ์ ดยตรงกบั ผู้เรียน 1.4 ท่านมีการประเมินความรู้ ความเข้าใจของผู้เรียน 3.03 0.85 เป็นระยะ 1.5 การจัดกิจกรรมของท่านสามารถท่ีจะทาให้ผู้เรียน 3.70 0.95 จดจาสิ่งน้ัน รวม 3.36 0.80 2. ด้านอารมณค์ วามรู้สกึ 2.1 ทา่ นชอบท่จี ะจัดกจิ กรรมการสอนกีฬาพื้นเมืองไทย 4.10 0.84 2.2 ท่านมีความต้องการท่จี ะทราบถงึ ความแตกต่างของผู้เรียน 3.47 0.86

77 กลมุ่ ทดลอง กล่มุ ควบคมุ (n=30) ความตระหนกั (n=30) x S.D Sig. x S.D 4.00 0.74 0.23 3.97 0.72 0.73 เป็นรายบคุ คลเพอ่ื จะใช้ในการจัดกิจกรรมกีฬาพืน้ เมืองไทย 3.77 0.73 0.08 3.93 0.55 0.79 2.3 ท่านมีทศั นคตทิ ่ีดใี นการสอนกีฬาพื้นเมืองไทย 3.73 0.94 3.87 0.73 0.17 2.4 ท่านมคี วามสนใจตอ่ กฬี าพ้ืนเมืองไทย 4.03 0.76 4.07 0.87 0.22 2.5 ทา่ นมีความใส่ใจ ต่อการเตรยี มการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทย 4.10 0.71 3.97 0.81 0.20 รวม 3.89 0.61 3.70 0.60 0.51 3. ด้านพฤตกิ รรม 3.90 0.66 0.72 3.1 ทา่ นเป็นแบบอยา่ งในการเล่นกฬี าพ้ืนเมอื งไทย 4.10 0.55 3.90 0.53 0.56 3.80 0.47 0.66 3.2 ท่านสามารถจัดเตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับชนิดกีฬา 3.80 0.81 พืน้ เมอื งไทย 3.3 ท่านสามารถจัดเตรียมสถานที่ให้พร้อมต่อการจัด 4.23 0.77 กีฬาพ้ืนเมอื งไทย 3.4 ท่านมีความชานาญในการจัดกิจกรรมกีฬาพ้ืน 3.83 0.91 เมืองไทยได้เหมาะสมกับนักเรยี นในแตล่ ะวัย 3.5 ท่านสามารถสืบค้นข้อมูลกีฬาพ้ืนเมืองไทยได้ 3.97 0.76 อย่างรวดเรว็ รวม 3.99 0.60 รวม(ท้งั หมด) 3.74 0.58 * p < .05 จากตารางที่ 4.4 ภาพรวมของคะแนนความตระหนักก่อนเรียนท้ังสองกลุ่ม พบว่า คะแนนเฉล่ียของ คะแนนความตระหนักก่อนเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า คะแนนเฉล่ียของคะแนนความตระหนักก่อนการทดลองของกลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในทุกข้อ และเม่ือพิจารณาแต่ละ ด้าน พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยของคะแนนความตระหนักทั้ง 3 ด้าน ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมี นยั สาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05 5. ผลการวิเคราะห์และเปรียบเทียบคะแนนความตระหนักหลังเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคมุ ผู้วิจัยได้ให้นสิ ิตครูทดสอบหลังเรยี นด้านความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมอื งไทยของนิสิตครูโดยใช้ แบบวัดความตระหนกั เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อตอบสมมติฐานข้อท่ี 3 ได้แก่ นิสิตครูทีเ่ รียน ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบมีคะแนนความ ตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยหลังเรียนของกลุ่มทดลองสูงกว่าหลังเรียนของกลุ่มควบคุมอย่างมี นัยสาคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .05 โดยมีรายละเอยี ดแสดงดังตารางที่ 4.5

78 ตารางที่ 4.5 ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานและการทดสอบนัยสาคัญของคะแนนความตระหนัก หลงั เรียนของกลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคุม กลมุ่ ทดลอง กลมุ่ ควบคมุ (n=30) ความตระหนกั (n=30) x S.D Sig. x S.D 3.87 0.90 0.01* 3.90 0.92 0.01* 1. ดา้ นความรู้ความเขา้ ใจ 0.00* 3.93 0.87 0.68 1.1 ทา่ นมคี วามรแู้ ละความเข้าใจในการสอนกฬี าพนื้ เมืองไทย 4.43 0.57 0.05 4.20 0.71 0.01* 1.2 ท่านได้แสวงหาความรู้เพิ่มเติมก่อนและหลังจาก 4.47 0.57 0.08 4.13 0.68 0.33 การสอนกีฬาพ้ืนเมอื งไทย 4.01 0.73 0.47 1.3 กิจกรรมท่ีนามาสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทย สามารถให้ 4.60 0.56 0.19 4.23 0.82 0.01* ประสบการณ์โดยตรงกบั ผู้เรยี น 0.06 4.13 0.90 0.01* 1.4 ท่านมีการประเมินความรู้ ความเข้าใจของผู้เรียน 4.13 0.51 0.02* 4.13 0.78 0.01* เป็นระยะ 4.23 0.73 0.02* 3.97 0.81 0.19 1.5 การจัดกิจกรรมของท่านสามารถท่ีจะทาให้ผู้เรียน 4.47 0.63 0.00* 4.14 0.64 จดจาสิ่งนนั้ 4.07 0.83 รวม 4.42 0.41 4.13 0.90 2. ดา้ นอารมณค์ วามร้สู ึก 4.00 0.69 2.1 ท่านชอบท่ีจะจัดกิจกรรมการสอนกีฬาพื้น 4.57 0.63 4.00 0.79 เมืองไทย 4.13 0.78 2.2 ท่านมีความต้องการที่จะทราบถึงความแตกต่าง 4.33 0.66 4.07 0.64 ของผู้เรียนเป็นรายบุคคลเพื่อจะใช้ในการจัดกิจกรรม กีฬาพ้นื เมอื งไทย 2.3 ทา่ นมที ัศนคติที่ดใี นการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทย 4.27 0.64 2.4 ทา่ นมคี วามสนใจต่อกีฬาพ้ืนเมอื งไทย 4.47 0.63 2.5 ท่านมีความใส่ใจ ต่อการเตรียมการสอนกีฬา 4.43 0.50 พน้ื เมืองไทย รวม 4.41 0.46 3. ดา้ นพฤตกิ รรม 3.1 ทา่ นเป็นแบบอย่างในการเล่นกีฬาพน้ื เมืองไทย 4.53 0.51 3.2 ท่านสามารถจัดเตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับ 4.60 0.50 ชนิดกฬี าพื้นเมืองไทย 3.3 ท่านสามารถจัดเตรียมสถานที่ให้พร้อมต่อการจัด 4.47 0.57 กฬี าพื้นเมอื งไทย 3.4 ท่านมีความชานาญในการจัดกิจกรรมกีฬาพ้ืน 4.43 0.57 เมอื งไทยได้เหมาะสมกับนกั เรยี นในแต่ละวยั 3.5 ท่านสามารถสบื คน้ ข้อมูลกฬี าพ้ืนเมอื งไทยได้อยา่ ง 4.37 0.56 รวดเรว็ รวม 4.48 0.40

79 ความตระหนัก กลุ่มทดลอง กล่มุ ควบคุม Sig. (n=30) (n=30) 0.01* รวม(ท้งั หมด) * p < .05 x S.D x S.D 4.44 0.35 4.07 0.62 จากตารางท่ี 4.5 ภาพรวมของคะแนนความตระหนักหลงั เรียนของกลุม่ ทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่า คะแนน เฉ ลี่ ย ข อ ง ค ว า ม ต ร ะ ห นั ก ห ลั ง เรี ย น ข อ ง ก ลุ่ ม ท ด ล อ ง แ ต ก ต่ า ง จ า ก ก ลุ่ ม ค ว บ คุ ม อ ย่ า ง มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า คะแนนเฉลี่ยของความตระหนักจานวน 8 ข้อ มี ความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ได้แก่ ข้อ 1.1, 1.2, 1.3, 2.5, 3.1, 3.2, 3.3 และ 3.4 และเมื่อพิจารณาแต่ละด้าน พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยของคะแนนความตระหนักด้านความรู้ความเข้าใจ และดา้ นพฤติกรรมแตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 6. ผลการวิเคราะห์และเปรยี บเทยี บคะแนนความตระหนกั ก่อนและหลังเรียนของกลุ่มทดลอง ผู้วิจัยได้ให้นิสิตครูทดสอบก่อนและหลังเรยี นด้านความตระหนักในการสอนกฬี าพืน้ เมืองไทยของนิสิต ครูโดยใช้แบบวัดความตระหนักเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพ่ือตอบสมมติฐานข้อที่ 4 ได้แก่ นิสิต ครูทเี่ รยี นดว้ ยรปู แบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชงิ รุกร่วมกับวีดิทัศน์ตน้ แบบมีคะแนน ความตระหนักในการสอนกีฬาพ้นื เมืองไทยหลังเรียนของกลุ่มทดลองสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ที่ระดบั .05 โดยมรี ายละเอยี ดแสดงดังตารางที่ 4.6 ตารางท่ี 4.6 ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และการทดสอบนัยสาคัญของคะแนนความตระหนักก่อนและ หลงั เรียนของกล่มุ ทดลอง ความตระหนัก ก่อนทดลอง หลังทดลอง Sig. x S.D (n=30) x S.D 4.43 0.56 0.00* 4.47 0.57 0.00* 1. ด้านความรู้ความเขา้ ใจ 4.60 0.56 0.00* 4.13 0.50 0.00* 1.1 ท่านมีความรู้และความเข้าใจในการสอนกีฬาพื้น 3.23 0.89 4.47 0.62 0.00* 4.42 0.41 0.00* เมืองไทย 1.2 ท่านได้แสวงหาความรู้เพ่ิมเติมก่อนและหลังจากการ 3.20 1.18 สอนกฬี าพน้ื เมอื งไทย 1.3 กิจกรรมที่นามาสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทย สามารถให้ 3.63 0.92 ประสบการณ์โดยตรงกับผเู้ รียน 1.4 ท่านมีการประเมินความรู้ ความเข้าใจของผู้เรียนเป็น 3.03 0.85 ระยะ 1.5 การจัดกิจกรรมของท่านสามารถท่ีจะทาให้ผู้เรียน 3.70 0.95 จดจาสิ่งนั้น รวมด้านความรู้ความเขา้ ใจ 3.36 0.80

80 ความตระหนกั ก่อนทดลอง หลงั ทดลอง Sig. (n=30) x S.D x S.D 2. ด้านอารมณ์ความรสู้ กึ 2.1 ท่านชอบทจี่ ะจัดกจิ กรรมการสอนกีฬาพื้นเมอื งไทย 4.10 0.84 4.57 0.62 0.02* 2.2 ท่านมีความต้องการที่จะทราบถึงความแตกต่างของ 3.47 0.86 4.33 0.66 0.00* ผู้เรียนเป็นรายบุคคลเพื่อจะใช้ในการจัดกิจกรรมกีฬาพ้ืน เมืองไทย 2.3 ท่านมีทัศนคตทิ ่ีดีในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทย 3.73 0.94 4.27 0.64 0.03* 2.4 ท่านมคี วามสนใจต่อกีฬาพ้นื เมอื งไทย 4.03 0.76 4.47 0.62 0.04* 2.5 ท่านมีความใส่ใจ ต่อการเตรียมการสอนกีฬาพ้ืน 4.10 0.71 4.43 0.50 0.04* เมืองไทย รวมดา้ นอารมณค์ วามรูส้ กึ 3.89 0.61 4.41 0.46 0.00* 3. ดา้ นพฤติกรรม 3.1 ท่านเปน็ แบบอย่างในการเลน่ กฬี าพ้ืนเมอื งไทย 4.10 0.54 4.53 0.50 0.00* 3.2 ท่านสามารถจัดเตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับชนิด 3.80 0.80 4.60 0.49 0.00* กีฬาพื้นเมืองไทย 3.3 ท่านสามารถจัดเตรียมสถานที่ให้พร้อมต่อการจัดกีฬา 4.23 0.77 4.47 0.57 0.18 พ้ืนเมืองไทย 3.4 ท่านมีความชานาญในการจัดกิจกรรมกีฬาพ้ืน 3.83 0.91 4.43 0.56 0.00* เมอื งไทยไดเ้ หมาะสมกบั นักเรยี นในแตล่ ะวัย 3.5 ท่านสามารถสืบค้นข้อมูลกีฬาพื้นเมืองไทยได้อย่าง 3.97 0.76 4.37 0.55 0.02* รวดเรว็ รวมดา้ นพฤตกิ รรม 3.99 0.60 4.48 0.40 0.00* รวม(ทัง้ หมดทกุ ดา้ น) 3.74 0.57 4.43 0.35 0.00* * p < .05 จากตารางท่ี 4.6 พบว่า ภาพรวมของคะแนนความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยของนิสิตครู มคี ะแนนเฉล่ียของความตระหนกั หลังเรยี นสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .05 เมื่อพิจารณา รายข้อ พบว่า คะแนนเฉล่ียของความตระหนักจานวน 1 ข้อ มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 คือ สามารถจัดเตรียมสถานท่ีให้พร้อมต่อการจัดกีฬาพ้ืนเมืองไทย และเมื่อพิจารณาแต่ละด้าน พบว่า ค่าเฉล่ียของคะแนนความตระหนักทั้ง 3 ด้าน หลังการทดลองแตกต่างจากก่อนการทดลองอย่างมี นัยสาคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั .05 7. พฤติกรรมนสิ ิตครูท่ีมตี ่อรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรยี นรู้เชิงรุก ร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยสาหรับ นสิ ิตครู ผวู้ ิจัยได้เก็บข้อมูลเก่ียวกบั พฤติกรรมการเรียนรู้ของนิสติ ครู โดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมในการวัดและ ประเมินผลเพื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมการเรียนรู้ท่ีแสดงออกมาในขณะเรียนของนิสิตครู ซ่ึงสามารถวิเคราะห์ผล รายละเอยี ดดงั ตารางท่ี 4.7

81 ตารางท่ี 4.7 ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของคะแนนพฤตกิ รรมนสิ ิตครู พฤตกิ รรมนสิ ติ ครู (n=60) x S.D ระดบั ขนั้ ตอนท่ี 1 การนาเขา้ สู่บทเรยี น 1.1 นิสิตครูเขียนความหมายและความสาคัญของกิจกรรมเคลื่อนไหว 3.00 0.00 ดเี ย่ียม สาหรบั เดก็ เลก็ 1.2 นิ สิ ต ค รู จั บ ก ลุ่ ม ส รุ ป ค ว า ม ห ม า ย แ ล ะ ค ว า ม ส า คั ญ 3.00 0.00 ดเี ยี่ยม จากขอ้ 1.1 นาเสนอหนา้ ชน้ั เรยี น 1.3 นสิ ิตครรู ่วมกันสรุปเนอื้ หาท่ไี ดเ้ รียน 3.00 0.00 ดเี ย่ียม รวมขน้ั ตอนที่ 1 3.00 0.00 ดีเยีย่ ม ข้ันตอนท่ี 2 กระบวน การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 2.1 นิสติ ครตู ้ังข้อสงั เกตทฤษฎี แนวคิด หลกั การเก่ยี วกบั การพฒั นาการ 2.15 0.94 ดี ทางดา้ นร่างกายของเด็กเลก็ 2.2 นิสติ ครตู ัง้ ข้อสงั เกตทฤษฎี แนวคิด หลกั การเกยี่ วกบั การพฒั นาการ 2.15 0.94 ดี ทางการเคลื่อนไหวสาหรับเดก็ เล็ก 2.3 นสิ ติ ครตู ั้งข้อสงั เกตทฤษฎี แนวคิด หลักการเกย่ี วกบั การเคล่ือนไหว 2.15 0.94 ดี พ้ืนฐานสาหรบั เด็กเล็ก 2.4 นิสิตครศู กึ ษาคน้ คว้าในหวั ขอ้ การพฒั นาการทางด้านรา่ งกายของเดก็ เล็ก 2.83 0.38 ดีเยี่ยม 2.5 นิสิตครูศึกษาค้นคว้าในหัวข้อการพัฒนาการทางการเคลื่อนไหว 3.00 0.00 ดีเยี่ยม สาหรับเดก็ เลก็ 2.6 นสิ ติ ครูศึกษาคน้ คว้าในหวั ข้อการเคล่อื นไหวพืน้ ฐานสาหรับเด็กเล็ก 3.00 0.00 ดีเยย่ี ม 2.7 นิ สิ ต ค รู น า ค ว า ม รู้ ท่ี ได้ ม าแ ล ก เป ล่ี ย น ข้ อ มู ล ร่ ว ม กั น ใ น 3.00 0.00 ดีเยย่ี ม ชนั้ เรยี น 3.00 0.00 ดีเยย่ี ม 2.8 นิสิตครรู ว่ มกนั สรุปความร้จู ากการศึกษาค้นคว้า รวมขัน้ ตอนท่ี 2 2.66 0.71 ดีเยีย่ ม ขั้นตอนท่ี 3 กจิ กรรมการเคลือ่ นไหวเชิงรุก 3.1 นสิ ิตครชู ่วยระดมสมองในเนื้อหาเกย่ี วกบั กจิ กรรมการเคลื่อนไหว 3.00 0.00 ดีเย่ยี ม 3.2 นสิ ิตครูยกตวั อยา่ งกิจกรรมการเคล่ือนไหวอยูก่ บั ที่การเคล่อื นไหว 3.00 0.00 ดเี ยีย่ ม เคล่ือนทแ่ี ละการเคล่อื นไหวประกอบอุปกรณ์ได้ 3.3 นิสิตครสู ามารถอภิปรายแบบโต๊ะกลม (Round Table) เพื่อเสนอ 3.00 0.00 ดเี ยีย่ ม กจิ กรรมการเคลื่อนไหวและเกมการเคลื่อนไหวท้ัง 3 ประเภท 3.4 นิสติ ครจู ัดกิจกรรมการเคล่อื นไหวทไ่ี ด้คดิ ขนึ้ 3.00 0.00 ดเี ยีย่ ม 3.5 นิสติ ครูเกิดการสะทอ้ นคิดในกจิ กรรมที่ดาเนนิ การ 3.00 0.00 ดีเยี่ยม 3.6 นิสติ ครรู ว่ มกันสรุปความร้จู ากการศกึ ษาค้นควา้ 3.00 0.00 ดเี ย่ียม รวมขั้นตอนท่ี 3 3.00 0.00 ดีเย่ียม

82 พฤติกรรมนิสติ ครู (n=60) x S.D ระดบั ขัน้ ตอนท่ี 4 การสอนแบบจุลภาค 4.1 นิสิตครูศึกษาเนื้อหาเก่ียวกับทักษะการสอนการเขียนแผนและ 2.63 0.52 ดีเย่ียม วิธีการสอนแบบตา่ งๆ 4.2 นสิ ิตครเู ขียนแผนการสอนการจดั กิจกรรมการเคล่อื นไหว 2.63 0.52 ดเี ย่ยี ม 4.3 นสิ ิตครูนาแผนการสอนมาปรบั ปรุงตามคาแนะนาของผสู้ อน 2.63 0.52 ดีเยย่ี ม 4.4 นิสติ ครทู ดลองสอนจริงและบนั ทึกเทปวดี ทิ ัศน์ 3.00 0.00 ดเี ยย่ี ม 4.5 นิสิตครรู ว่ มกนั ชแ้ี นะปรับปรุงการสอนของเพ่ือนในชนั้ เรียน 3.00 0.00 ดีเย่ียม 4.6 นิสติ ครรู ่วมกันสรปุ ความรจู้ ากการศกึ ษาค้นคว้า 3.00 0.00 ดเี ยี่ยม รวมข้ันตอนท่ี 4 2.82 0.41 ดีเยย่ี ม ข้นั ตอนท่ี 5 การชมวีดิทศั น์ต้นแบบ 5.1 นิสิตครูอภิปรายถึงวีดิทัศน์ต้นแบบท่ีได้ชมและนามาเขียนแผนการ 3.00 0.00 ดเี ยี่ยม จัดกิจกรรมกีฬาพนื้ เมืองไทย 5.2 นิสิตครปู รบั ปรงุ แผนการจดั กิจกรรมตามท่ีผู้สอนแนะนา 2.83 0.38 ดีเยี่ยม 5.3 นิสติ ครูจดั กจิ กรรมกีฬาพนื้ เมอื งไทยในโรงเรียนระดับประถมศึกษา 3.00 0.00 ดีเยยี่ ม 5.4 นิสิตครูสังเกตผลและปรับปรุงผลของการจัดกิจกรรมกีฬาพ้ืน 3.00 0.00 ดีเยย่ี ม เมอื งไทยกับผู้เรียนในระดบั ประถมศึกษา รวมข้นั ตอนท่ี 5 2.96 0.20 ดเี ยี่ยม ขน้ั ตอนที่ 6 การแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ระหว่างผู้เรียน 6.1 นิสิตครูนาเสนอเก่ียวกับผลการจัดกิจกรรมกีฬาพื้นเมืองไทยใน 2.83 0.38 ดเี ยย่ี ม ประเดน็ การประเมนิ พัฒนาการทางการเคลื่อนไหวของนักเรยี น 6.2 นิสิตครูนาเสนอเกี่ยวกับผลการจัดกิจกรรมกีฬาพื้นเมืองไทยใน 2.83 0.38 ดเี ย่ยี ม ประเดน็ การประเมนิ ดา้ นการใช้กล้ามเน้อื มัดใหญ่ของนักเรียน 6.3 นิสิตครูนาเสนอเกี่ยวกับผลการจัดกิจกรรมกีฬาพ้ืนเมืองไทยใน 3.00 0.00 ดเี ยย่ี ม ประเด็นการพฒั นาการด้านร่างกาย 5 ด้าน รวมขนั้ ตอนท่ี 6 2.89 0.32 ดเี ยีย่ ม ขน้ั ตอนท่ี 7 การเผยแพรก่ ระบวนการสู่สาธารณะ 7.1 นสิ ิตครอู อกแบบและลงมือปฏิบตั กิ ารสรปุ เนอื้ หา กระบวนการเรียน 3.00 0.00 ดเี ย่ยี ม เพื่อสะท้อนการตระหนักถึงวิธีการสอนกิจกรรมการเคล่อื นไหวและกีฬา พนื้ เมอื งไทย รวมทงั้ หมด 2.86 0.44 ดีเยยี่ ม จากตารางที่ 4.7 พบว่า ภาพรวมของพฤติกรรมนิสิตครูท่ีมีต่อรูปแบบการจัดการเรียนการสอน พลศึกษาตามแนวคิดการเรียนร้เู ชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักใน การสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับนิสิตครู อยู่ในระดับดีเย่ียม ( x = 2.86) และเม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า คะแนนพฤติกรรมนสิ ิตครูสูงสุด 3 ข้นั ตอนแรก คือ ข้ันตอนที่ 1 การนาเข้าสบู่ ทเรียน ข้นั ตอนที่ 3 กิจกรรมการ เคลื่อนไหวเชงิ รกุ และขนั้ ตอนที่ 7 การเผยแพรก่ ระบวนการสู่สาธารณะ โดยทง้ั สามขน้ั ตอนนั้นมคี า่ x = 3.00

83 8. ความคิดเห็นนิสิตครูท่ีมีต่อรูปแบบการจดั การเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิง รุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทย สาหรับนิสิตครู หลังจากเสร็จส้นิ การเรียนการสอน ผู้วิจัยได้สอบถามความคิดเหน็ ของนิสิตครูที่มีต่อการเรียนการสอน ดว้ ยรปู แบบการจัดการเรยี นการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทศั น์ต้นแบบเพื่อส่งเสริม ทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับนิสิตครู เพ่ือสารวจและศึกษา ความคิดเหน็ ของนสิ ิตครู โดยสามารถวเิ คราะห์ผลรายละเอยี ดดังตารางท่ี 4.8 ตารางที่ 4.8 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนความคิดเห็นของนิสิตครูท่ีได้เรียนด้วยรูปแบบ การจดั การเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรูเ้ ชิงรุกร่วมกบั วดี ิทัศน์ตน้ แบบ ความคดิ เห็นนสิ ติ ครู (n=30) x S.D ระดับ ขั้นตอนท่ี 1 การนาเขา้ สบู่ ทเรยี น 1.1 ท่านชอบการให้เขียนความหมายและความสาคัญของกิจกรรม 4.43 0.63 เห็นด้วยมากที่สดุ เคลือ่ นไหวสาหรับเด็กเลก็ 1.2 ท่านชอบการจบั กลุ่มสรุปความหมายและความสาคญั จากข้อ 1.1 4.50 0.57 เห็นดว้ ยมากทสี่ ดุ และนาเสนอหนา้ ชั้นเรยี น 1.3 ท่านชอบการรว่ มกนั สรุปเนื้อหาทไ่ี ดเ้ รียน 4.60 0.56 เหน็ ด้วยมากที่สุด รวมข้นั ตอนท่ี 1 4.51 0.59 เห็นด้วยมากที่สุด ขน้ั ตอนที่ 2 กระบวน การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 2.1 ทา่ นชอบการให้ต้งั ข้อสังเกตทฤษฎี แนวคิด หลักการเกี่ยวกับการ 4.33 0.61 เหน็ ด้วยมาก พฒั นาการทางดา้ นรา่ งกายของเด็กเล็ก 2.2 ท่านชอบการให้ตัง้ ข้อสังเกตทฤษฎี แนวคดิ หลกั การเก่ียวกับการ 4.33 0.55 เห็นด้วยมาก พฒั นาการทางการเคลอ่ื นไหวสาหรบั เด็กเล็ก 2.3 ท่านชอบตั้งข้อสังเกตทฤษฎี แนวคิด หลักการเก่ียวกับการ 4.40 0.62 เหน็ ดว้ ยมาก เคล่ือนไหวพ้นื ฐานสาหรับเด็กเลก็ 2.4 ทา่ นชอบการให้ศกึ ษาคน้ คว้าในหัวข้อการพัฒนาการทางด้าน 4.50 0.57 เห็นดว้ ยมากทส่ี ุด ร่างกายของเด็กเล็ก 2.5 ท่านชอบการใหศ้ ึกษาค้นควา้ ในหวั ข้อการพัฒนาการทางการ 4.47 0.57 เห็นด้วยมาก เคลือ่ นไหวสาหรับเด็กเล็ก 2.6 ท่านชอบการให้ศกึ ษาคน้ คว้าในหัวข้อการเคล่ือนไหวพ้ืนฐาน 4.53 0.57 เหน็ ด้วยมากทีส่ ุด สาหรบั เด็กเลก็ 2.7 ท่านชอบการที่ได้นาความรู้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน 4.87 0.35 เห็นดว้ ยมากที่สุด ในชัน้ เรยี น 2.8 ทา่ นชอบการรว่ มกันสรปุ ความรู้จากการศึกษาค้นคว้า 4.83 0.38 เหน็ ด้วยมากทส่ี ุด รวมขนั้ ตอนที่ 2 4.53 0.56 เห็นด้วยมากทส่ี ุด ขน้ั ตอนที่ 3 กจิ กรรมการเคล่ือนไหวเชิงรกุ 3.1 ท่านชอบการได้ช่วยกันระดมสมองในเนื้อหาเกี่ยวกับกิจกรรม 4.87 0.35 เหน็ ด้วยมากท่ีสุด

84 ความคดิ เห็นนิสิตครู (n=30) x S.D ระดับ การเคลือ่ นไหว 3.2 ท่านชอบการได้ยกตัวอย่างกิจกรรมการเคลื่อนไหวอยู่กับที่ 4.70 0.47 เห็นด้วยมากท่สี ดุ การเคลอื่ นไหวเคล่ือนที่และการเคล่อื นไหวประกอบอุปกรณ์ได้ 3.3 ท่านสามารถอภิปรายแบบโต๊ะกลม (Round Table) เพื่อเสนอ 4.47 0.57 เหน็ ดว้ ยมาก กิจกรรมการเคล่อื นไหวและเกมการเคลื่อนไหวทัง้ 3 ประเภท 3.4 ทา่ นชอบการจดั กจิ กรรมการเคลือ่ นไหวท่ีไดค้ ดิ ข้ึน 4.83 0.53 เหน็ ด้วยมากที่สดุ 3.5 ท่านสามารถสะท้อนคดิ ในกิจกรรมท่ีดาเนนิ การ 4.43 0.63 เห็นด้วยมาก 3.6 ท่านชอบการร่วมกันสรปุ ความร้จู ากการศึกษาค้นคว้า 4.47 0.57 เหน็ ด้วยมาก รวมขน้ั ตอนท่ี 3 4.63 0.55 เหน็ ด้วยมากทส่ี ดุ ขั้นตอนท่ี 4 การสอนแบบจุลภาค 4.1 ท่านสามารถศึกษาเนอื้ หาเกี่ยวกบั ทักษะการสอนการเขียนแผน 4.50 0.51 เห็นด้วยมากท่ีสุด และวธิ กี ารสอนแบบต่างๆ 4.2 ทา่ นสามารถเขยี นแผนการสอนการจดั กจิ กรรมการเคลื่อนไหว 4.50 0.57 เห็นดว้ ยมากทส่ี ดุ 4.3 ท่านสามารถนาแผนการสอนมาปรบั ปรุงตามคาแนะนาของผู้สอน 4.63 0.61 เหน็ ดว้ ยมากที่สุด 4.4 ทา่ นสามารถทดลองสอนจริงและบันทกึ เทปวดี ทิ ัศน์ 4.43 0.57 เห็นด้วยมาก 4.5 ท่านสามารถรว่ มกันชแ้ี นะปรับปรุงการสอนของเพื่อนในชั้นเรยี น 4.43 0.63 เห็นด้วยมาก 4.6 ท่านสามารถรว่ มกนั สรุปความรูจ้ ากการศึกษาคน้ คว้า 4.63 0.61 เหน็ ด้วยมากที่สุด รวมขั้นตอนท่ี 4 4.52 0.58 เหน็ ดว้ ยมากท่สี ดุ ขั้นตอนท่ี 5 การชมวดี ทิ ศั นต์ ้นแบบ 5.1 ทา่ นสามารถอภิปรายถงึ วีดทิ ศั น์ต้นแบบที่ไดช้ มและนามาเขยี น 4.63 0.56 เหน็ ด้วยมากที่สุด แผนการจัดกิจกรรมกีฬาพ้นื เมืองไทย 5.2 ทา่ นสามารถปรบั ปรุงแผนการจัดกจิ กรรมตามทผ่ี ู้สอนแนะนา 4.70 0.60 เห็นดว้ ยมากทส่ี ุด 5.3 ท่านสามารถจัดกิจกรรมกีฬาพ้ืนเมืองไทยในโรงเรียนระดับ 4.67 0.48 เหน็ ด้วยมากทีส่ ุด ประถมศึกษา 5.4 ท่านสามารถสังเกตผลและปรับปรุงผลของการจัดกิจกรรมกีฬา 4.73 0.45 เห็นดว้ ยมากที่สดุ พืน้ เมอื งไทยกบั ผู้เรียนในระดบั ประถมศกึ ษา รวมขน้ั ตอนที่ 5 4.68 0.52 เห็นดว้ ยมากท่ีสดุ ข้ันตอนท่ี 6 การแลกเปล่ียนเรยี นรรู้ ะหว่างผู้เรยี น 6.1 ท่านสามารถนาเสนอเก่ียวกบั ผลการจัดกจิ กรรมกีฬาพื้นเมืองไทย 4.73 0.45 เหน็ ด้วยมากที่สดุ ในประเด็นการประเมนิ พัฒนาการทางการเคลื่อนไหวของนักเรยี น 6.2 ท่านสามารถนาเสนอเก่ียวกับผลการจัดกิจกรรมกฬี าพ้ืนเมอื งไทย 4.73 0.45 เห็นด้วยมากทสี่ ดุ ในประเด็นการประเมนิ ด้านการใช้กล้ามเนื้อมดั ใหญข่ องนกั เรยี น 6.3 ท่านสามารถนาเสนอเก่ียวกับผลการจัดกิจกรรมกฬี าพ้ืนเมืองไทย 4.87 0.35 เหน็ ด้วยมากท่สี ุด ในประเดน็ การพฒั นาการดา้ นรา่ งกาย 5 ดา้ น รวมขน้ั ตอนท่ี 6 4.78 0.42 เหน็ ด้วยมากที่สดุ ขน้ั ตอนท่ี 7 การเผยแพรก่ ระบวนการส่สู าธารณะ 7.1 ท่านสามารถออกแบบและลงมือปฏิ บัติการสรุปเนื้อหา 4.80 0.41 เหน็ ดว้ ยมากที่สุด

85 ความคิดเห็นนิสติ ครู (n=30) x S.D ระดบั กระบวนการเรียน เพ่อื สะทอ้ นการตระหนักถึงวิธีการสอนกิจกรรมการ เคล่ือนไหวและกีฬาพืน้ เมืองไทย รวมทงั้ หมด 4.60 0.55 เหน็ ด้วยมากทสี่ ุด จากตารางที่ 4.8 พบว่า ในภาพรวมความคิดเห็นนิสิตครูกลุ่มทดลองอยู่ในระดับ เห็นด้วยมากท่ีสุด ( x = 4.60) และเม่ือพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า คะแนนความคิดเห็นนิสิตครูสูงสุด 3 ขั้นตอนแรก คือ ขั้นตอนท่ี 7 การเผยแพร่กระบวนการสู่สาธารณะ ( x = 4.80) ข้ันตอนที่ 6 การแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่าง ผ้เู รียน ( x = 4.77) และขน้ั ตอนท่ี 5 การชมวีดิทศั น์ต้นแบบ ( x = 4.68) ตอนท่ี 3 ผลการนาเสนอการใช้รูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับ วีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับ นิสติ ครู หลังเสร็จสิ้นการทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาฯ ผู้วิจัยได้นารูปแบบการจัดการเรียน การ ส อ น พ ล ศึ กษ าต ามแ น ว คิ ด ก าร เรี ย น รู้ เชิ งรุ กร่ วม กับ วี ดิ ทั ศน์ ต้ น แ บ บ เพื่ อส่ งเส ริ มทั ก ษ ะการส อน แล ะ ความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับนิสิตครู ไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบ เพ่ือรับรองและ ปรับปรุงรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาฯ ให้มีความสมบรูณ์มากย่ิงข้ึน โดยสามารถวิเคราะห์ผล รายละเอยี ดดังตารางที่ 4.9 โดยมีการเกณฑก์ ารแปลผลคะแนน ดังนี้ 4.50 - 5.00 หมายถึง ขนั้ ตอนมีความเหมาะสมมากทส่ี ุด 3.50 - 4.49 หมายถงึ ขนั้ ตอนมคี วามเหมาะสมมาก 2.50 - 3.49 หมายถงึ ข้นั ตอนมีความเหมาะสมปานกลาง 1.50 - 2.49 หมายถงึ ข้นั ตอนมคี วามเหมาะสมนอ้ ย 1.00 - 1.49 หมายถึง ขน้ั ตอนมคี วามเหมาะสมน้อยทีส่ ดุ ตารางท่ี 4.9 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของผลคะแนนรับรองต่อรูปแบบการจัดการเรียน การสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะ การสอนและ ความตระหนักในการสอนกีฬาพน้ื เมืองไทยสาหรบั นสิ ิตครู รายการ x S.D. แปลผล องค์ประกอบ 4.40 0.55 มาก 1.ความรู้พน้ื ฐาน 4.60 0.55 มากที่สดุ 2.บทบาทผ้สู อนและบทบาทนสิ ิตครู 4.60 0.55 มากทสี่ ุด 3.วธิ กี ารจัดกิจกรรมเชิงรุก 4.80 0.45 มากทส่ี ุด 4.วดี ิทัศนต์ ้นแบบ 4.80 0.45 มากท่ีสุด 5.การประเมนิ ผล

86 รายการ x S.D. แปลผล ข้ันตอนการจดั การเรยี นการสอน ขั้นตอนที่ 1 ขัน้ เตรียมความพร้อม 1.1 ปฐมนิเทศและวางแผนการเรียนการสอน แนะนาวิชา เรียน อธิบายรายละเอียดของวิชา รูปแบบการจัดการเรียน 4.40 0.55 มาก การสอน การวัดและประเมินผลและข้อตกลงในการเรียน 1.2 นิสิตครูวิพากย์ และวิเคราะห์หัวข้อเรื่องกิจกรรมการเคลื่อนไหว 4.60 0.55 มากที่สดุ สาหรบั เดก็ เลก็ และการเคลื่อนไหวทนี่ าไปสูก่ ารเลน่ กีฬาพื้นเมืองไทย 1.3 นิสิตครูจบั กลุ่มสรุปความหมายและความสาคัญ 4.60 0.55 มากทส่ี ดุ 1.4 นิสติ ครูและผู้สอนรว่ มกันสรุปเนือ้ หาท่ีได้เรยี นในวันน้ี 4.60 0.55 มากทสี่ ุด รวมขน้ั ตอนที่ 1 4.55 0.51 มากทส่ี ุด ขน้ั ตอนท่ี 2 กระบวน การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ นิสิตครูแบ่งกลุ่มศึกษา ค้นคว้า ดาเนินการตามกระบวน การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ ไดแ้ ก่ 2.1 ขัน้ สงั เกต นสิ ิตครูตงั้ ขอ้ สังเกตทฤษฎี แนวคดิ หลักการเกย่ี วกบั เดก็ เล็กเช่น 2.1.1 พัฒนาการของเด็กเลก็ 4.60 0.55 มากที่สุด 2.1.2 การเคลือ่ นไหวที่สาคัญสาหรบั เดก็ เลก็ 4.80 0.45 มากทสี่ ุด 2.1.3 การเคลอ่ื นไหวข้นั พื้นฐาน 4.80 0.45 มากทสี่ ุด 2.2 ขนั้ เก็บรวบรวมข้อมูล นิ สิตครูเก็บ รวบ รวม ข้อ มู ลโดยการศึกษ าค้น คว้า จ าก สื่ อ อ อ น ไล น์ ห นั งสื อ งาน วิ จั ย บ ท ค ว าม ฯลฯ ในหวั ขอ้ 2.2.1 พฒั นาการของเดก็ เลก็ 4.80 0.45 มากทสี่ ดุ 2.2.2 การเคลอ่ื นไหวทส่ี าคัญสาหรบั เดก็ เล็ก 4.80 0.45 มากทส่ี ดุ 2.2.3 การเคล่อื นไหวขัน้ พื้นฐาน 4.60 0.55 มากที่สดุ 2.3 ขน้ั ตรวจสอบ นิสิตครูนาประเด็น จากการศึกษาค้นคว้ามาแลกเปล่ียน 4.60 0.55 มากที่สดุ ความรู้รว่ มกนั ในชน้ั เรียน 2.4 ขั้นสรปุ ความรู้ได้ นิสิตครูและครูผู้สอนร่วมกันสรุปความรู้จากการศึกษา 4.60 0.55 มากที่สดุ คน้ ควา้ รวมขัน้ ตอนที่ 2 4.70 0.46 มากทส่ี ุด

87 รายการ x S.D. แปลผล ขน้ั ตอนที่ 3 กจิ กรรมการเรยี นรู้เชงิ รกุ 3.1 นสิ ติ ครจู ดั กลมุ่ ทางานกลุ่ม กลมุ่ ละไม่เกิน 6 คน 4.60 0.55 มากที่สดุ 3.2 นิสิตครูภายในกลุ่มใช้เทคนิคระดมสมองโดยใช้ทฤษฎี แนวคิด หลักการเกี่ยวกับกิจกรรมการเคล่ือนไหวสาหรับเด็กเล็ก และกิจกรรม การเคล่ือนไหวสาหรับเด็กเล็กที่นาไปสู่การเลน่ กีฬาพื้นเมืองไทย 3.2.1 การเคลอ่ื นไหวอยกู่ บั ท่ี 4.80 0.45 มากทส่ี ดุ 3.2.2 การเคลอ่ื นไหวเคล่ือนที่ 4.60 0.55 มากทส่ี ดุ 3.2.3 การเคล่ือนไหวประกอบอปุ กรณ์ 4.60 0.55 มากทส่ี ดุ 3.2.4 การเคลอ่ื นไหวสาหรบั เด็กเล็ก 4.80 0.45 มากทสี่ ดุ 3.3 นสิ ิตครูยกตัวอยา่ งกจิ กรรมทั้ง 3 ประเภท 3.3.1 การเคล่ือนไหวอยกู่ ับที่ 4.60 0.55 มากที่สุด 3.3.2 การเคลอ่ื นไหวเคล่อื นที่ 4.60 0.55 มากที่สดุ 3.3.3 การเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ 4.60 0.55 มากท่สี ุด 3.3.4 การเคลอ่ื นไหวสาหรบั เดก็ เลก็ 4.80 0.45 มากท่สี ุด 3.4 นสิ ติ ครยู กตัวอย่างกิจกรรม จากนั้นร่วมกันอภปิ รายแบบ โต๊ะกลม (Round Table) เลอื กกิจกรรม เพื่อนาเสนอ เกยี่ วกับ กจิ กรรมการเคล่ือนไหวสาหรับเด็กเลก็ และกจิ กรรมการ เคล่ือนไหวสาหรบั เด็กเล็กทน่ี าไปสู่การเล่นกฬี าพ้นื เมืองไทย 3.4.1 การเคลอ่ื นไหวอยกู่ ับที่ 4.80 0.45 มากที่สุด 3.4.2 การเคลื่อนไหวเคล่อื นท่ี 4.80 0.45 มากทสี่ ดุ 3.4.3 การเคลือ่ นไหวประกอบอุปกรณ์ 4.80 0.45 มากที่สุด 3.4.4 การเคลือ่ นไหวสาหรบั เด็กเลก็ 4.80 0.45 มากที่สุด 3.5 นิสิตครูแต่ละกลุ่มนาเสนอกิจกรรมการเคล่ือนไหวสาหรับ เด็กเล็ก และกิจกรรมการเคล่ือนไหวสาหรับเด็กเล็กที่นาไปสู่ การเลน่ กีฬาพนื้ เมอื งไทย 4.60 0.55 มากที่สุด 3.6นสิ ิตครสู ะทอ้ นความคิดเชงิ สรา้ งสรรคใ์ นกจิ กรรมทไ่ี ด้ดาเนนิ การ 4.60 0.55 มากท่ีสดุ 3.7 นิสติ ครแู ละครผู ู้สอนร่วมกันสรปุ เนื้อหาทไี่ ดจ้ ัดกจิ กรรมไป 4.60 0.55 มากทส่ี ดุ ในแตล่ ะสปั ดาห์ รวมขน้ั ตอนท่ี 3 4.69 0.47 มากท่สี ุด ขนั้ ตอนท่ี 4 การสอนแบบจุลภาค 4.1 นสิ ติ ครูจดั กลุ่มทางานกลุ่ม กลมุ่ ละไม่เกนิ 6 คน 4.40 0.55 มาก 4.2 นิสิตครูศึกษาเน้ือหาเกี่ยวกับทักษะการสอน การเขียน แผนการจัดการเรียนรู้ และวิธีการสอนแบบต่างๆ โดยมี ครผู สู้ อนให้คาแนะนา 4.80 0.45 มากที่สุด 4.3 นิสิตครูแต่ละกลุ่มเลือกประเภทกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่ เหมาะสาหรับเดก็ เลก็ โดยมคี รูผู้สอนให้คาแนะนา 4.80 0.45 มากที่สุด

88 รายการ x S.D. แปลผล 4.4 นิสิตครูเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ การจัดกิจกรรม การเคล่ือนไหวขั้นพ้ืนฐาน และกีฬาพ้ืนเมืองไทยสาหรับเด็ก เล็ก โดยมคี รูผ้สู อนใหค้ าแนะนา 4.80 0.45 มากทส่ี ดุ 4.5 นิสิตครูนาแผนการจัดการเรียนรู้ มาปรับปรุงตาม คาแนะนาของครูผู้สอน 4.80 0.45 มากทส่ี ดุ 4.6 นิสิตครูทดลองสอนจริงและบันทึกเทปวีดิทัศน์การสอน ของตนเอง ด้วยตนเองหรอื ให้เพอื่ นบนั ทกึ ให้ 4.80 0.45 มากที่สดุ 4.7 นิสิตครูร่วมกันแสดงความคิดเห็น ช้ีแนะเพื่อปรับปรุง การสอนของเพ่ือนในชั้นเรยี น 4.80 0.45 มากที่สุด 4.8 ครผู ู้สอนแนะนาผู้เรยี นในประเด็นต่าง ๆ ท่ีควรให้ความใส่ ใจในการจัดกจิ กรรม เช่น เรือ่ งความปลอดภัย 4.80 0.45 มากทสี่ ุด 4.9 ครูผู้สอนแนะนากิจกรรมการเรียนรู้ และการใช้ส่ือ 4.60 0.55 มากทีส่ ุด ออนไลน์ (Social Media) รวมขั้นตอนท่ี 4 4.73 0.45 มากที่สุด ขนั้ ตอนท่ี 5 การชมวีดิทัศน์ตน้ แบบ 5.1 นิสิตครูจัดกลุ่มทางานกลมุ่ กลมุ่ ละไม่เกนิ 6 คน 4.40 0.55 มาก 5.2 นิสิตครูแต่ละกลุ่มเลือกประเภทกีฬาพื้นเมืองไทยที่เหมาะ 4.60 0.55 มากทส่ี ุด สาหรับเดก็ เลก็ 5.3 นิสิตครูแต่ละกลุ่มเลือกชมวีดิทัศน์ต้นแบบในส่ือออนไลน์ โดยสมุ่ เลือกจากวีดีทัศน์ทค่ี รผู สู้ อนคัดเลอื กแล้ว 4.60 0.55 มากท่ีสุด 5.4 นสิ ติ ครูร่วมกันอภิปรายถึงวีดทิ ัศน์ตน้ แบบทไี่ ดช้ ม 4.80 0.45 มากทสี่ ุด 5.5 นิสิตครูนาสิ่งท่ีได้รับจากการชมวีดิทัศน์มาเป็นแนวทาง ในการเขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้กีฬาพ้นื เมอื งไทยสาหรับเด็กเลก็ 4.80 0.45 มากท่สี ดุ 5.6 นิสิตครูในกลุ่มร่วมกันปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดกิจกรรม โดยมคี รผู ู้สอนให้คาแนะนา 4.80 0.45 มากที่สดุ 5.7 นสิ ิตครูแตล่ ะกลุ่มจดั กิจกรรมกฬี าพืน้ เมืองไทยสาหรบั เด็ก เล็กในระดับอนบุ าลและระดบั ประถมศึกษาตอนต้น 4.80 0.45 มากทส่ี ดุ 5.8 นิสิตครูสังเกตผลของการจัดกิจกรรมกีฬาพนื้ เมอื งไทยกับผู้เรียน ในระดบั อนุบาลและระดบั ประถมศึกษาตอนตน้ 4.80 0.45 มากทส่ี ดุ 5.9 นิสิตครูนาผลท่ีได้จากการจัดกิจกรรมกีฬาพ้ืนเมืองไทย 4.80 0.45 มากที่สดุ และนามาปรับปรงุ ใหไ้ ด้วิธีการสอนทสี่ มบรู ณ์ รวมขนั้ ตอนท่ี 5 4.71 0.46 มากทส่ี ดุ ขน้ั ตอนที่ 6 การแลกเปล่ยี นเรยี นรรู้ ะหว่างผ้เู รียน 6.1 นสิ ติ ครนู าเสนอหนา้ ชน้ั เรียนเก่ยี วกบั ผลการจัดกจิ กรรมการ เคล่ือนไหวขั้นพน้ื ฐานและกฬี าพน้ื เมอื งไทยสาหรบั เด็กเล็กโดยมคี รู ผู้สอนรว่ มแลกเปลย่ี นเรียนรปู้ ระสบการณก์ บั นิสติ ครู ในประเดน็ ดงั นี้ 4.80 0.45 มากที่สุด

89 รายการ x S.D. แปลผล 6.1.1 ประเมินพัฒนาการของเด็กเล็กท่ีมีต่อการเข้าร่วม กจิ กรรมการเคลือ่ นไหว 6.1.2 ประเมินกจิ กรรมการเคลื่อนไหวสาหรบั เดก็ เลก็ 4.60 0.55 มากทสี่ ุด 6.1.3 ประเมินกจิ กรรมกฬี าพน้ื เมืองไทยสาหรบั เดก็ เล็ก 4.80 0.45 มากทสี่ ดุ รวมขั้นตอนที่ 6 4.73 0.46 มากที่สุด ข้นั ตอนที่ 7 การเผยแพรก่ ระบวนการส่สู าธารณะ 7.1 นิสิตครูร่วมกันออกแบบการนาเสนอข้อมูล การสรุป ความรู้ที่ได้จากการเรียนและจัดกิจกรรม เพ่ือสะท้อนแนวคิด ท่ีไดเ้ รียนมาตลอด 1 เทอม 4.80 0.45 มากทสี่ ุด 7.2 นสิ ติ ครรู ว่ มกันจัดปา้ ยนิเทศ หรือเผยแพร่ทางส่ือออนไลน์ 4.80 0.45 มากทสี่ ุด รวมขน้ั ตอนที่ 7 4.80 0.42 มากท่ีสุด รวมทัง้ หมด 4.70 0.46 มากที่สดุ จากตารางที่ 4.9 คะแนนผลรับรองรูปแบบฯ จากผู้ทรงคณุ วฒุ ิ พบว่า ภาพรวมขององค์ประกอบอยูใ่ น ระดับมากที่สุด ( x = 4.64) สูงสุดได้แก่ วีดิทัศน์ต้นแบบ และ การประเมินผล ต่าสุดได้แก่ ความรู้พื้นฐาน ภาพรวมของ ข้ันตอนของรูปแบบมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x = 4.70) เม่ือพิจารณาในแต่ละ ขน้ั ตอนพบว่า ทุกข้ันตอนมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยขั้นตอนที่ 7.0 การเผยแพรก่ ระบวนการสู่ สาธารณะ เป็นขั้นตอนท่ีมีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด โดยมี x อยู่ที่ 4.80 ส่วนข้ันตอนที่ 1.0 ข้ันเตรียมความพร้อม เปน็ ข้นั ตอนท่มี ีคะแนนเฉล่ียนอ้ ยท่ีสดุ โดยมี x อยทู่ ่ี 4.55