Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่องเล่าแห่งความหวังและพลังใจ

เรื่องเล่าแห่งความหวังและพลังใจ

Description: wish_eruuengelaaephuuekhwaamhwangaelaphlangaic

Search

Read the Text Version

positive thinking สว่ นหนึง่ คงจะเปน็ การใชเ้ คร่อื งหมายบวก เมื่อใช้ เครอ่ื งหมายบวกได้ เครื่องหมายตรงขา้ มก็คือเคร่อื งหมายลบ แต่เรา ยังไม่มีค�ำว่าคิดทวีคูณ   แต่ว่าดิฉันมองว่า  อย่าไปมองว่าการคิดลบ มันตรงขา้ มกับคิดบวก เพราะมันอาจเปน็ อะไรทีม่ ปี ระโยชน์ เพราะว่า เรอื่ งความจำ� ทรี่ า้ ยๆ ที่มันท�ำรา้ ยจิตใจเรา บางครง้ั เรากต็ ้องคิดที่จะ ลบสิง่ เหลา่ นัน้ ให้ออกไปจากความจำ� แตถ่ ้าเกิดเรายงั คดิ เรือ่ งทม่ี ัน ร้ายๆ  อยแู่ ล้วเราไมพ่ ยายามลบ ใครเจง๊ คะ เราเจง๊ เพราะวา่ เราก็จะ ตกอยู่ในหว้ งภวงั ค์ของความทกุ ข์ ตกอย่ใู นห้วงภวงั ค์ของความเศร้า ก็ต้องลบเหมือนกับท่ีเราใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์  ไฟล์มันยังมีวัน เต็ม  แล้วคิดว่าใจเราจะไม่มีวันเต็มบ้างหรือ  ในเรื่องของใจที่เต็มไป ดว้ ยความทกุ ข์ เรากต็ ้องมรี ะบบในการชำ� ระลา้ งมนั ไป” เราสามารถลบเร่ืองร้ายๆ  ท่ีบั่นทอนจิตใจได้ด้วยการสะสม ความสขุ และความดเี ป็นทนุ “เร่ืองร้ายบางทีเป็นเร่ืองท่ีมันใกล้ตัวเรามาก  บางทีมันใกล้ คนทเ่ี ราผูกพันมาก บางครั้งโอกาสที่จะลืมก็ยาก เพราะฉะนัน้ ถา้ ถาม วา่ ท�ำยงั ไงกค็ งจะเหมือนกับทเ่ี ขาบอก เอาน้�ำดีมาไล่นำ�้ เสยี เพราะ ง้นั กต็ ้องพยายามทจ่ี ะมองชีวิตอกี มมุ เก็บเรื่องราวทดี่ ๆี   ท�ำกิจกรรม ท่ดี ีๆ  ใหม่ ให้ตรงนั้นมันเพิ่มพนู   แล้วทา้ ยที่สดุ สิง่ ทม่ี นั ลบๆ  กจ็ ะหาย ไป หลายเร่อื งอาจลบได้ง่ายเหมอื นกับไฟลท์ อี่ ย่ใู นคอมพิวเตอร์ แต่ หลายเรื่องอาจลบไม่ได้งา่ ย งน้ั พอมนั ลบไมไ่ ดง้ ่ายเรากต็ อ้ งใชว้ ิธกี าร สะสมเร่ืองดีๆ  เพมิ่ ข้ึน แม้เราไมส่ ามารถเปลีย่ นไดท้ นั ท่วงที ใชว้ ิธีการ ทีท่ �ำให้นำ้� เสยี เจอื จางไป เม่ือเวลาผ่านไป เร่ืองดีๆ ก็จะเพ่มิ ข้ึนเร่ือยๆ” 101

ธรรมชาติกเ็ ปน็ สงิ่ หน่ึงทสี่ ามารถบำ� บัดเราได้ “ธรรมชาติและเร่ืองราวจากธรรมชาติมันช่วยเราได้  เพียง แต่เราตั้งค�ำถามหรือเปล่า  แล้วก็หูเราเปิดใจฟังเร่ืองราวที่คนอื่นเขา เล่าไหม  เอาตัวอย่างง่ายๆ  ค่ะ  ช่วงเวลาที่คิดว่าสวยที่สุดในแต่ละ วันคือตอนไหน คือตอนเชา้ อาบน�ำ้ เสร็จ เพราะอะไรคะ เพราะเรา รสู้ ึกถงึ การเปลี่ยน จากงวั เงยี แล้วเจอน้�ำ ท�ำใหเ้ รารู้สึกถึงส่งิ ใหม่ที่ กระปรี้กระเปร่า  ถ้าเราไม่อาบน�้ำเราก็อาจมีความรู้สึกอีกแบบหน่ึง อันนีค้ ือจุดต่างระหว่างความสวยงามกับความทุกข์ ดังนนั้ ถา้ เกิดตัว เองไปต่างจังหวัดกจ็ ะพยายามต่ืนเชา้ ๆ  มาดพู ระอาทติ ย์ขนึ้ เพอื่ เติม กำ� ลงั ใจใหช้ วี ติ เพราะวา่ จุดทสี่ วยมากๆ คอื ฟ้ามนั เปล่ียนสี ความมืด ทมี่ ันดูน่ากลัว เมื่อมนั สว่างขนึ้ แลว้ มันดูสดใส หรอื ถา้ ไม่ชอบต่นื เช้า รอชว่ งเยน็ สิคะ ช่วงเย็นท่ีพระอาทติ ยก์ �ำลงั จะตก เรากจ็ ะเห็นว่าฟ้า เปลี่ยนสี แลว้ พอมืด เรากจ็ ะรู้สกึ วา่ มันมคี วามสดใสอีกแบบหน่ึง  มัน 102

ไมไ่ ดน้ ่ากลวั อยา่ งที่คิด ถา้ น่ากลวั เด๋ียวสว่างก็มา หรอื แมก้ ระทงั่ ฝน ตก คุณอยู่ทต่ี า่ งกันคุณกจ็ ะรสู้ กึ ต่างกนั ถ้าฝนตกแลว้ คุณอย่ใู นเมือง แล้วคุณไม่มรี ่ม คุณกต็ ้องรอรถ แล้วคุณจะต้องเดินทางไปไหน ใคร ทกุ ข์ เราทุกขส์ ุดๆ  เลย แตถ่ ้าฝนตกในที่ทเี่ รากำ� ลงั พัก เราก�ำลงั ชืน่ ชม ธรรมชาติ  การที่ได้ยินเสยี งของนำ�้ ฝนที่ไหลกระทบกับใบไม้ หรอื การ ที่ได้ออกไปเดินกับธรรมชาติตอนหลังฝนตกแล้วได้กล่ินไอดินขึ้นมา นน่ั คืออะไร นั่นคอื ความสุข ทง้ั ท่กี ็ธรรมชาตเิ หมือนกนั ฝนเหมอื นกัน แล้วกต็ วั เราเหมือนกัน สภาวะแวดลอ้ มและใจเราหรอื เปลา่ ทท่ี ำ� ให้ ปรงุ แต่งแล้วมองขา้ มกันไป” เม่ือมีรักก็ต้องมีทุกข์  เราสามารถแก้ปมทุกข์จากความรักได้ ด้วยความรกั จากคนรอบตวั “ใครล่ะที่รักเราต้ังแต่เร่ิมต้น  ณ  ชีวิตของเราที่เกิดมา คุณ- พอ่ คุณแม่ไม่ใชห่ รอื ใครละ่ ที่หวังในอนาคตของเรา แลว้ เราจะหยุด เขา  หยุดตัวเราเพียงเพ่ือแค่คนข้างหน้าที่เขาตัดสินใจท่ีจะเลือกอีก ทางหนง่ึ หรอ ทำ� ไมเราไมม่ ่ันใจในตวั เอง เปน็ ตวั ของตัวเอง แล้วกา้ ว เดนิ ออกไปให้รวู้ ่าฉันดกี วา่ ที่คุณคิด ใหเ้ ขารวู้ า่ พอ่ แมฉ่ นั ภมู ิใจฉนั ย่ิง กว่า  ในขณะทีค่ ณุ อาจไมไ่ ด้มีค่าก็ได้” ความรกั ทำ� ใหค้ นมีความสขุ แตม่ ันกท็ ำ� ให้เราทกุ ข์ “พอมีความสุขแล้วคุณก็อยากได้ด่ังใจ  แต่คุณลืมคิดไปว่า คนท่เี รารกั เขาก็มคี วามรกั อยากไดค้ วามสุข อยากไดด้ ่งั ใจเหมือนกนั แต่เราไม่สามารถหาจุดกึ่งกลางหาจุดสมดุลได้  นั่นคือท�ำให้ชีวิตเรามี ปัญหา  แต่ถ้าเราหันหน้าเข้าหากัน   หาจุดก่ึงกลางสมดุลได้  หรือเรา เข้าใจกันว่าเรามีส่ิงที่ไม่เหมือนกันได้  และเราอาจตัดสินใจว่าเราอาจ 103

ไม่ต้องเดินทางสายเดยี วกนั แต่เรากย็ ังคบกัน  เป็นเพอื่ นกันได้ ยังอยู่ บนโลกใบน้ไี ด ้  อย่ใู นสังคมนีไ้ ด้” ความเก่งและความดีมันอยู่ท่ีคนอื่นตัดสิน  เราควรมองที่ จติ ใจเรา  วา่ ปจั จบุ ันเรามีความสุขไหม “ทา้ ยทีส่ ดุ มนั กลบั มาทีต่ ัวเรา กลบั มาทีใ่ จเรา วา่ เราต้องการ อะไรแนใ่ นชวี ิต สำ� หรบั ดิฉนั ดฉิ นั คอ่ นข้างชดั เจน ว่าสิง่ ที่ส�ำคญั คอื ความสขุ บนพน้ื ฐานของการทเี่ รียกวา่ ไม่ว่าเราจะเปน็ คนเก่งหรือเรา จะเปน็ คนดี แตข่ อใหเ้ รามีความสุข แลว้ ความสขุ ของเรามันไมไ่ ดไ้ ป กา้ วขา้ มหรอื ไปละเมิดความสุขของคนอ่นื แล้วความสุขของเราไมใ่ ช่ วา่ เรามีความสขุ แล้วเราเห็นแก่ความสุขของเราคนเดยี ว เราสามารถ แบ่งปันความสุขให้คนอื่นๆ  ให้คนท่ีรอบข้างและคนท่ีอยู่ไกลมีความ สุขด้วย   เพราะสุขมันอยู่ท่ีใจเรารับรู้  แต่เก่งมันอยู่ท่ีคนอื่นประเมิน เรา และท้ังเกณฑ์และกติกาท่เี ราไปตัง้ เอาไว้ ดีก็เหมอื นกัน  คนอื่น และตัวเราเปน็ คนไปตัง้ เอาไว้วา่ ดีหรอื ยัง ดกี ว่าแล้วหรอื ยงั ทัง้ สอง อย่างมนั เป็นสิ่งที่ ดา้ นหนง่ึ ก็เปน็ ความทะเยอทะยาน ด้านหนึ่งก็เป็น ความท้าทาย  หันมาสู่ตัว  หันมาสู่จิตเรา  ให้เราสามารถท�ำทุกย่าง ก้าวไปแล้วเรามีความสุข  บนพื้นฐานของการที่เรียกว่าไม่ไปก้าวก่าย เบียดเบียนความสุขของคนอ่ืน  ในขณะเดียวกันเผ่ือแผ่ความสุขของ เราให้คนอ่ืนด้วยแค่น้ีโลกก็มีความสุขแล้วค่ะ  ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ก็ตาม” 104

สิ่งท่ีส�ำคัญคือความสุข  บนพ้ืนฐานของ การที่เรียกว่าไม่ว่าเราจะเป็นคนเก่งหรือเราจะ เปน็ คนดี แต่ขอใหเ้ รามีความสขุ แลว้ ความสขุ ของเรามันไม่ได้ไปก้าวข้ามหรือไปละเมิดความ สุขของคนอ่ืน  แล้วความสุขของเราไม่ใช่ว่าเรา มีความสุขแล้วเราเห็นแก่ความสุขของเราคน เดียว เราสามารถแบง่ ปนั ความสุขใหค้ นอ่ืนๆ 105

ดร.อาจอง ชมุ สาย ณ อยุธยา วิทยาศาสตร์แห่งความสขุ ของโลก “ที่ผ่านมาเราได้สร้าง ยานอวกาศเดินทางไปไกลหลาย ลา้ นไมล์ ไปลงบนดาวองั คารได้ สำ� เรจ็ ถามว่าผมภมู ิใจไหม ไม่ ภูมใิ จเลย เพราะมนุษยเ์ รายงั ไม่ สามารถเดินทางเข้าไปในจิตใจ ตวั เองได้เลยสักมิลลเิ มตร” หลายคนรู้จัก ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา  ในฐานะอดีต นักวิทยาศาสตร์ประจ�ำองค์การนาซ่า  ผู้เคยคิดค้นระบบลงจอดบน ดาวอังคาร ความสามารถทางดา้ นวิศวกรรมซ่ึงสรา้ งนวัตกรรมใหมๆ่ เหลา่ น้ี นอกจากจะมาจากความรู้จากการศึกษาดา้ นวิศวกรรมทมี่ หา- วทิ ยาลัยเคมบรดิ จ์ ประเทศอังกฤษแล้ว สง่ิ ส�ำคญั เหนอื สิ่งอ่ืนใดที่ อาจารยไ์ ดเ้ รียนรูม้ าต้งั แต่อายุ  15 ปี คือการท�ำสมาธิ การรู้จกั ตัวเอง และความคิดทางบวกทีจ่ ะเปลีย่ นตัวเองใหเ้ ปน็ คนดี ซงึ่ เป็นสง่ิ ส�ำคญั มากกว่าความเก่ง 106

สมาธคิ ือความเปล่ียนแปลงครัง้ ส�ำคญั ในชวี ติ “ผมโตมาในบรรยากาศของการต่อสู้และการรบ  มันท�ำให้ ตัวเองก้าวร้าว  อยากจะสู้อยากจะรบกับคนอ่ืนเขาด้วย  แต่ว่าเผอิญ คุณพ่อผมช่วยมากทีเดยี ว คุณพอ่ เป็นตัวอย่างมาโดยตลอด คณุ พ่อ อยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ  มีการทิ้งระเบิดคุณพ่อก็ไปท�ำงาน  ไม่ หนีงาน  ตอนนั้นคุณพ่อไม่มีรถยนต์ขับก็ขี่จักรยานไปท�ำงานทุกวัน เพราะฉะน้ันก็อยู่อย่างเรียบง่ายและประหยัด  ตอนเด็กๆ  คุณพ่อจะ เลา่ นิทานใหเ้ ราฟงั ตลอดเวลา เปน็ นทิ านธรรมะ สอนเร่ืองคณุ ธรรม ปลูกฝงั สิง่ ดงี ามให้ต้ังแตเ่ ดก็ ๆ ตอนเก้าขวบครอบครัวกย็ า้ ยไปปารสี เพราะคุณพ่อถูกย้ายให้ไปช่วยงานท่ีองค์การสหประชาชาติ  ในส่วน ของยเู นสโก ครอบครวั กต็ ้องย้ายไปกนั ทัง้ หมด ต้องอยู่ตอ้ งเรยี นกับ เดก็ ๆ ฝรั่งเขากช็ อบแกลง้ เราเพราะเราเป็นเด็กต่างชาติ เรากส็ ู้ ก็เลย มีเรื่องทะเลาะวิวาทบ่อยๆ  เสร็จแล้วพอคุณพ่อโดนเรียกตัวกลับไปที่ เมืองไทย ผมกับพก่ี ็โดนย้ายไปเรียนทปี่ ระเทศองั กฤษ ตอนนน้ั ก็ยงั ติด นสิ ยั เกเรจากฝร่งั เศส ไปมเี ร่อื งกับเด็กที่น่ันบอ่ ยครง้ั สรุปแลว้ กเ็ กเรไป เรื่อยๆ จนอายสุ ิบห้าปี มาเกดิ เหตกุ ารณส์ �ำคัญทม่ี หัศจรรยม์ าก คือ ผมนอนอยใู่ นโรงเรียนกนิ นอน แลว้ ก็มีแสงสว่างจา้ มาปลกุ ผม มเี สยี ง เรยี กชือ่ ผมเบาๆ สามครั้งวา่ “อาจอง...ๆ...ๆ ท�ำไมถงึ ทำ� อย่างน้ี” ผมก็ ไม่ได้สนใจ จนมนั เกดิ ข้ึนสามคนื ตดิ ผมก็เลยนงั่ คดิ วา่ มนั เกิดอะไรกับ ผม สุดทา้ ยผมกค็ ดิ ว่าน่ีอาจจะเพราะผมเปน็ เดก็ เกเร มนั ถึงเปน็ อย่าง น้ี ผมเลยตง้ั ใจทีจ่ ะเปลีย่ นตวั เอง แต่ไมร่ ูจ้ ะเปลย่ี นอย่างไร กเ็ ลยไป ลองปรกึ ษาบาทหลวง  ท่านกเ็ ลยพาผมไปสวดมนตใ์ นโบสถ์ แตม่ ัน ก็เกิดปัญหาข้ึนมาว่า   ผมเกิดข้อสงสัยว่าท�ำไมทุกคนต้องสวดมนต์ เสยี งดงั กเ็ ลยไปถามบาทหลวง ท่านกไ็ ลผ่ มออกมาจากโบสถ์ ผม 107

เสยี ใจมาก น�้ำตาไหลเลย กเ็ ลยไปหาอาจารย์ใหญ่ ทา่ นกบ็ อกให้ผม ไปสงบสตอิ ารมณใ์ นหอ้ งสมุด และทีน่ ่ีเองผมกเ็ ลยลองหาหนังสอื ที่ เก่ียวกับศาสนาพุทธเพราะคิดว่านี่คือศาสนาของเรา  และต�ำราที่ผม อ่านก็คอื วธิ ฝี ึกสมาธิ ผมอา่ นและทดลองทำ� ทำ� ได้เดอื นหนงึ่ ผมกร็ ูส้ ึก ว่าชีวติ ได้พบความสงบ รูส้ กึ สบายใจ มคี วามสุข แลว้ มันก็เลยเลิก ทะเลาะหรอื ต่อยกับคนอ่นื ใครจะดา่ ว่าเรา เรากไ็ มร่ ูส้ กึ อะไร  กย็ ้ิมให้ เขา เพราะวา่ จิตใจเราสงบมีสมาธิ ฝึกได้หน่ึงปี จากทีเ่ คยสอบได้ท่ี โหล่ กส็ อบไดท้ หี นึ่ง เพราะเรามีสมาธิ น่ีเปน็ บทเรยี นในชีวติ ของผมว่า เราสามารถเปล่ยี นตวั เองได้ และไมม่ ีอะไรทีม่ นุษยเ์ ราท�ำไม่ได้ ถา้ เรา รู้จกั จดุ ประกายในตวั เราด้วยความคิดทางบวก” ค ว า ม ทุ ก ข ์ คื อ กุ ญ แ จ ส� ำ คั ญ ท่ี ท� ำ ใ ห ้ ทุ ก ค น ส า ม า ร ถ เปลยี่ นแปลงตัวเองได้ และสามารถทำ� ใหค้ นทง้ั เกง่ และดีได้ “ผมเช่ือว่าจะมีเหตุการณ์หลายอย่างท่ีจะท�ำให้ทุกอย่างต้อง เปล่ียน มนุษยเ์ ราพอมีความทุกข์มากๆ จะรบี แกไ้ ข รีบเปล่ยี น รีบหนี ความทุกข์ ฉะนน้ั มันจะมเี หตุการณ์ที่สรา้ งปัญหาขึน้ มาให้กบั เรา และ ปัญหาเหล่านั้นกค็ อื บทเรยี นทีเ่ ราจะได้เรยี นรู้ และปรบั ปรงุ ตัวเราเอง แกไ้ ขสถานการณใ์ หด้ ขี นึ้ “แต่ประเด็นส�ำคัญคือเราต้องรู้จักตัวเองให้มากข้ึน แล้วเรา จะรู้ว่ามีส่ิงท่ีดีมากมายในตัวเราที่ยังไม่เคยใช้  เราใช้สมองไม่ถึงสิบ เปอร์เซ็นต์  เราต้องรู้จักใช้สมองของเราอย่างเต็มท่ี แต่เมื่อเราไม่รู้จัก ตวั เอง  เราไม่รู้จักคนอ่ืน เราจงึ เข้ากบั คนอ่นื ไมค่ ่อยเปน็ เพราะฉะน้ัน ทุกอย่างจึงต้องเร่ิมจากตัวเรา  การฝึกสมาธิจะช่วยให้รู้จักตัวเอง เพราะเปน็ การเข้าไปสใู่ จของตวั เอง ชว่ ยใหค้ วามจ�ำดีขนึ้ การเรียน การศึกษาดขี ึ้น” 108

ความสำ� เรจ็ ในอดีตของอาจารย์ถอื วา่ เป็นงานหน่งึ เทา่ น้ัน สิง่ ทส่ี �ำคัญในปจั จุบนั คือการสรา้ งคนรุน่ ใหม่ท่ีเปน็ คนดีใหก้ ับโลก “ที่ผ่านมาเราได้สร้างยานอวกาศเดินทางไปไกลหลายล้าน ไมล์ ไปลงบนดาวอังคารไดส้ �ำเรจ็ ถามวา่ ผมภมู ิใจไหม ไม่ภมู ใิ จเลย เพราะมนุษย์เรายังไม่สามารถเดินทางเข้าไปในจิตใจตัวเองได้เลยสัก มลิ ลิเมตร แล้วเราไปท�ำไมตงั้ ไกลแสนไกล  เพ่อื อะไร มันได้ประโยชน์ กับมนษุ ย์ไหม มนษุ ยเ์ รามคี วามสงบสุขข้นึ บ้างไหม เมือ่ ตัง้ ค�ำถาม อย่างน้ีแล้วเห็นว่ามันไม่ได้อะไรเลย  เรามีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมากข้ึน  มีเทคโนโลยีใหม่ๆ  แต่มันไม่ช่วยให้จิตใจเรา ก้าวหนา้ เลย เราก็ยงั มสี งคราม มคี วามยากลำ� บาก มีความทุกข์อยู่ ดังน้ันผมคิดว่าดีที่สุดคือเราต้องสอนให้คนหันเข้าไปในส่วนลึกของ จติ ใจของตนเองให้ได้ เพราะถ้าเราเขา้ ไปในจิตใจแลว้ เรากจ็ ะค้นพบ ความจริง คณุ ธรรม และความสงบสุขตา่ งๆ ดีกวา่ ท่เี ราจะหันไปข้าง นอกแล้วเจอแตว่ ัตถุส่งิ ของ แลว้ หลงใหล เกดิ กเิ ลสและเกดิ ปัญหาใน ตนเอง เพราะฉะนนั้ เราต้องสอนคนใหร้ ู้จกั หันเข้าไปดจู ติ ใจของตนเอง ลดละกิเลส และรู้จักพอ เรากจ็ ะมคี วามสขุ กนั มากขึ้นกวา่ ท่เี ปน็ อยู่ สงิ่ เหล่าน้เี ราตอ้ งสอนและเร่ิมตน้ จากเด็กจะเป็นสง่ิ ท่ดี ีทสี่ ดุ              “การมุ่งไปเอาแค่ความรู้อย่างเดียว  แต่ขาดคุณธรรม  มัน อันตราย เพราะจะทำ� ใหเ้ หน็ แกต่ ัว ท�ำอะไรเพอ่ื ตัวเอง ตอ้ งรวย มีงาน ดี  ประสบความส�ำเร็จ แต่ส่งิ ท่คี นเราปรารถนานัน้ แท้จริงคือความสุข การมคี ุณธรรมสูงจะนำ� ไปสู่ความสุข พอใจ ไมโ่ ลภ ความเห็นแก่ตวั การถอื ตนหายไป และจะกลายเป็นผ้ทู มี่ ีประโยชน์ต่อโลก 109

“เป้าหมายของผมคือต้องการสร้างคนดี  เพราะโลกเรามีคน เก่งเยอะอยู่แล้ว  และคนเก่งท่ีมีอยู่มากมายก็สร้างปัญหาให้กับโลก ของเรามากทีเดียว  ปัญหาของคนเก่งคือเขาไม่ชอบให้ใครเก่งเท่าเขา แล้วเขาจะแขง่ ขนั กันต่อสู้กัน จนถึงขัน้ รบราฆา่ ฟนั กันเพื่อเก่งกว่าคน อืน่ แตโ่ รงเรียนนสี้ ร้างคนดกี ่อน เมื่อดแี ล้วเขาก็ชว่ ยเหลอื ให้คนอ่นื เปน็ คนดีและคนเก่งดว้ ย” ปัญหาบนโลกใบน้ีไมส่ ามารถแกไ้ ด้ดว้ ยวทิ ยาศาสตร์ ธรรมะ เท่าน้นั ที่อาจารยอ์ าจองใหค้ วามส�ำคัญ “เม่ือเรามีสมาธิ  เราพบว่าความจ�ำดีขึ้น  เมื่อความจ�ำดีข้ึน การเรยี นกด็ ีข้ึน และการฝกึ สมาธิทำ� ใหจ้ ติ ใจสงบ และชว่ ยยกระดบั จิตใจให้ดีข้ึน สภาวะจติ ใจทสี่ งบน่งิ ทางพุทธเรากเ็ รียกวา่ ศลี สมาธิ ปญั ญา เมอ่ื เรามศี ลี มสี มาธิเกิดข้นึ จติ ใจมนั สงบ ปญั ญามันกเ็ กดิ และทเี่ หลือคอื ความรกั ความเมตตา คนเราถ้ามีความรัก ความ 110

เมตตา ทกุ อย่างกแ็ กไ้ ดห้ มด เราให้อภยั ซ่งึ กันและกัน เราไม่มองใน แงร่ า้ ย มอี ะไรเราช่วยเหลือเขา เมือ่ มกี ารช่วยเหลือซ่ึงกันและกนั เรามี อาหารเหลือเฟือ เรามีอะไรทกุ อยา่ งเหลือเฟือในโลกน้ี เราไม่ตอ้ งแยง่ กันหรอก แตจ่ ะใช้ระบบเศรษฐกจิ แบบปัจจุบันไมไ่ ด้ ระบบเศรษฐกิจ ต้องเปล่ียน  จะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบนายทุนไม่ได้แล้ว  แต่เป็น เศรษฐกิจของความเอือ้ เฟอื้ เผือ่ แผ่ เศรษฐกิจของในหลวง ส่ิงเหล่าน้ี มันจะตอ้ งเกิดขึ้นโดยอตั โนมตั ”ิ การมุ่งไปเอาแค่ความรู้อย่างเดียว แต่ขาดคณุ ธรรม มนั อันตราย เพราะจะ ท�ำใหเ้ หน็ แก่ตวั ท�ำอะไรเพือ่ ตวั เอง ต้อง รวย  มีงานดี  ประสบความส�ำเร็จ ส่ิงที่ คนเราปรารถนาจริงคือความสุข  การมี คุณธรรมสูงจะน�ำไปสู่ความสุข  พอใจ ไม่โลภ ความเหน็ แกต่ วั การถือตนหาย ไป  และจะกลายเป็นผู้ท่ีมีประโยชน์ต่อ โลก 111

ประมวล เพ็งจนั ทร์ “เดินสู่อิสรภาพ เดินส่คู วามดีงามในตวั คณุ ” ประมวล เพง็ จนั ทร์ คอื ชายท่ีเดินเทา้ กว่า 1,500 กิโลเมตร จากเชียงใหมถ่ ึงเกาะสมุยซึ่งเป็นบ้านเกดิ มีค�ำถามวา่ เขาท�ำสิ่งนี้เพื่อ อะไร และได้อะไรจากการเดนิ ทางไกล ค�ำตอบทไี่ ดอ้ าจจะนำ� มาซ่งึ เส้นทางแห่งความเช่อื ใหมๆ่ ทก่ี �ำลังจะบอกเราใหร้ ู้วา่ มนุษย์นน้ั โดย พื้นฐานเป็นคนดี  และเราสามารถอยู่ร่วมกับคนบนโลกนี้อย่างมีความ สขุ ไดโ้ ดยปราศจากอคติ ถา้ ย้อนเวลากลับไปในอดตี เด็กชายประมวลตอนเดก็ ๆ ไม่ ได้แตกตา่ งจากเดก็ คนอื่น จนเมือ่ วันทเี่ ขาพบความกลวั ท่ีเป็นเหมอื น ความทุกขเ์ กาะกุมหัวใจเขา 112

“ผมไม่มีอะไรพิเศษกว่าคนอ่ืน  ก็เหมือนเด็กทั่วๆ  ไป  แต่ต้อง เข้าใจนิดหน่ึงว่าผมเกิดท่ีเกาะสมุยในสมัยห้าสิบปีท่ีแล้ว  เกาะสมุย เป็นดินแดนที่บริสุทธิ์มาก  ก็คือไม่มีคนต่างถิ่น  แล้วก็ไม่มีส่ิงอ�ำนวย ความสะดวกใดๆ  เลย เพราะฉะนัน้ ภาพทผ่ี มจ�ำได้กค็ ือ  บรรยากาศที่ งดงามของเกาะสมุย ทอ้ งทะเลสวยงาม  ป่ามะพร้าว  เราอยู่กนั เฉพาะ ในวงศาคณาญาติ  เพราะฉะน้ันความรู้สึกของผมที่จ�ำได้ก็คือ  เรามี จินตนาการท่ีงดงามกับชีวิตในวัยเด็ก  ไม่ว่าอะไรดูจะเป็นสิ่งสวยงาม ไปหมด  จ�ำไดว้ ่าเมอ่ื มีคนขึน้ ไปบนเกาะเพอื่ ขายยา  เราจะรู้สึกกลวั ไม่ แน่ใจว่าคนเหล่าน้ันจะมีอันตรายต่อเราหรือเปล่า  นี่คือส่ิงที่เป็นความ ทรงจำ� สมัยท่เี ปน็ เดก็ นะครบั แต่ความทรงจ�ำท่ีดีงามอย่างหน่ึงก็คือความทรงจ�ำในวัย เรยี น  นึกถงึ ภาพนะครบั ว่าโรงเรยี นของผมอย่ใู นวัด แตว่ ัดอยรู่ ิมทะเล เพราะง้นั สนามเลน่ ของเด็กก็คอื สนามวัด ก็คือชายหาดท่อี ยู่ริมทะเล นึกถึงภาพว่าตอนที่เราเป็นเด็ก  เราไม่จ�ำเป็นต้องมีสตางค์เพ่ือไปซื้อ ขนมกนิ ในตอนเท่ยี ง ถา้ พระมีอะไรเหลือใหเ้ รากิน  เรากก็ นิ หรอื ถา้ เรา ซน  วันนนั้ น�้ำทะเลแหง้ เรากว็ ่งิ ไปเก็บสาหร่าย ไข่ปลามากินกนั อย่าง สนกุ สนาน  ตอนนน้ั เรารู้สกึ เหมือนวา่ เราไมม่ อี ะไรจะกนิ กนั แต่เรามา ร้ทู หี ลังนะครับวา่ น่นั คืออาหารทป่ี ระเสรฐิ ที่สุดส�ำหรับเด็ก เพราะมนั เปน็ อาหารที่มคี ณุ ค่าทางอาหารสูงมาก ท่ีเล่าตรงน้ีเพียงเพ่ือจะบอกว่า  ผมเติบโตข้ึนมาท่ามกลาง ธรรมชาติที่บริสุทธ์ิและงดงาม  เพราะในใจของผมถ้าเราจะกลับไป สู่ความหมายในตอนน้ันก็คือ  มีความบริสุทธ์ิและงดงาม  ในความ ร้สู กึ ของผมตอนท่อี ยากจะกลับไปหาวัยเด็กกค็ อื กลับไปหาสภาพที่ สะอาดมีความบรสิ ทุ ธแิ์ ละงดงาม คือสะอาดบริสทุ ธ์ิทงั้ โลกภายนอก แล้วก็งดงามปรากฏอย่ใู นใจของผม น่เี ปน็ ความรูส้ กึ ของวยั เดก็ ครบั ” 113

แต่ความกลัวคือสิ่งที่มาเปล่ียนชีวิตและการมองโลกวัยเด็ก ของอาจารย์ประมวลโดยสิน้ เชงิ “ผมรสู้ ึกว่าคนท่ีถกู ฆ่าตายนา่ กลวั มาก เป็นความน่ากลวั ที่ยงั ฝังใจผมอยู่เลย  ผมยังจ�ำภาพได้ดี  เป็นทางเดินจากบ้านผมท่ีจะเดิน ไปโรงเรียน  เม่ือเราเดินไปได้สักคร่ึงทางก็มีคนจ�ำนวนมากยืนมุงอยู่ หนา้ บา้ นหลงั หนง่ึ เราเป็นเดก็ เราก็ไมร่ ู้วา่ อะไร เรากเ็ ดินไปมุงดว้ ย ใน วนั น้ันผมเหน็ ภาพท่สี ะอิดสะเอียน มีผู้ชายคนหนึ่งก็คือหนึง่ ในสมาชิก ในชมุ ชนเราขึ้นไปหาผู้หญิงแล้วไมท่ ราบเปน็ เพราะเหตุอะไร จึงมกี าร ทบุ ตีกนั จนตาย เราไม่รูว้ า่ คืออะไร   แตม่ าร้ภู ายหลงั ว่าเปน็ การรอเพื่อ ชนั สตู รพลิกศพ พอผมเหน็ ภาพผชู้ ายทถี่ ูกตี มีเลอื ดมีอะไรทีแ่ หง้ แลว้ ผมสะดุ้งกลัวความรุนแรง   การตายท่ีเกิดจากการประทุษร้ายฝังใจ ต้ังแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมยอมเดินเพ่ิมข้ึนอีกหลายกิโลเพื่อที่จะไม่ ตอ้ งผ่านบา้ นหลงั นน้ั เพราะมีความรู้สกึ ว่าทนั ทีที่ผ่านบ้านหลงั น้ันผม จะรู้สึกกลัว   มีความทรงจ�ำว่าบ้านหลังน้ีเคยมีคนตาย   แล้วภาพคน ตายนัน้ น่ากลัวมาก” และความกลัวตรงน้ีก็ยังมาคอยหลอกหลอนเขาในช่วงชีวิต วยั หนุ่ม 114

“ความกลัวน้ีมาปรากฏอีกครั้งตอนผมโตเป็นหนุ่ม  แล้วผม ประกอบอาชีพอยใู่ นสถานการณ์ทรี่ นุ แรง เพือ่ นทีร่ ่วมอาชีพกับผมถูก ฆ่าตายอย่างน่าสะอิดสะเอียน  ผมกลัวมาก   กลัวจนกระทั่งว่าผมไม่ สามารถจะทนอยู่ในสภาพเดิมได้ นัน่ คอื เหตุการณท์ ีผ่ มเผชญิ เมอ่ื ผม อายุสิบเจ็ดย่างสิบแปดปี  แล้วผมก็เลยต้องหาวิธีที่จะหลีกหนีความ กลัวน้ี  ตอนนั้นมีความรู้แล้ว   ผมคิดที่จะเป็นนักบวชในพระพุทธ- ศาสนา” การบวชท�ำให้อาจารย์ประมวลต้องต่อสู้กับตัวเองหลาย อยา่ ง สงิ่ สำ� คัญอยา่ งหน่งึ ที่เขาต้องการเปน็ ทสี่ ดุ คอื การเอาชนะความ กลัว “พอบวชแล้วนี่เป็นส่ิงที่ผมต้องเผชิญกับความยุ่งยากเป็น ท่สี ดุ เพราะในวัดมันเป็นสิง่ ท่ไี ม่สามารถหลกี หนีส่ิงเหลา่ นไี้ ด้ แตต่ อน นนั้ ผมเรยี นรทู้ ีจ่ ะปรับเปลยี่ นตัวเอง เพราะฉะน้ันเราจงึ เรยี นรทู้ ่ีจะไม่ ตามกระแสของความกลวั แตพ่ ยายามฟน้ื ใจใหห้ ลกี พน้ หรือข้ามพ้น ความรู้สึกนี้ให้ได้  ผมเร่ิมข้ามพ้นความกลัวมาได้ตามล�ำดับ  จากท่ี เคยกลัวคนที่เป็นศพตายไปแล้ว   กลัวส่ิงท่ีมันเกี่ยวเน่ืองกับคนตาย ผมก็ข้ามพ้นไปได้  แต่ลึกๆ  แล้วความกลัวมันก็ยังนอนเนื่องอยู่ในใจ ผม  และจึงเป็นเหตุส�ำคัญท่ีท�ำให้ผมตัดสินใจเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ผมอายุห้าสิบเอ็ดปี  อย่างท่ีรู้กันอยู่แล้ว  เพราะผมเข้าใจว่าชีวิตผมไม่ ควรจะจบลงด้วยความกลัวที่ยังฝังแน่นอยู่ในใจ  แต่ความกลัวท่ีเราโต ขึ้นแล้วมันจะมีรายละเอียดที่ลึกอยู่ในใจเรามาเรื่อยๆ  จนกระท่ังเรา ไมส่ ามารถบอกได้ว่าเรากลัวอะไรเป็นการเฉพาะ” และการเดินทางค้นหาความหมายของชีวิตกว่า  1,500 กิโลเมตร อาจารยป์ ระมวลตอ้ งเจอเร่ืองราวมากมาย ความกลวั เป็น ส่ิงหน่ึงท่ีอาจารย์เจอ  แต่เหนือสิ่งอ่ืนใด  ยังมีความสุขบางส่วนอยู่และ ปรากฏตลอดเสน้ ทางเดิน 115

“ส่ิงที่ผมรู้อยู่ในใจ  ตอนที่ผมก�ำหนดก่อนออกจากบ้านคือ  ก้าวออกจากความกลัว  เพราะผมมีความรู้เชิงทฤษฎีอยู่ว่าความกลัว อยู่ในใจผม  ไม่ได้อยู่ในโลกข้างนอก  ถ้าใจผมมีความกลัว  โลกข้าง นอกจึงน่ากลัว   น่ีจึงเป็นที่มาให้ผมตัดสินใจท่ีจะออกจากบ้านโดยที่ ไม่มสี ง่ิ คำ้� ประกนั อะไรใดๆ  ในชีวิตผมเลย ผมไม่มีสตางค์ ไม่มีคนรูจ้ กั และก็ไม่รู้ว่าก้าวต่อไปน้ีผมจะเจอกับอะไร  ซึ่งปกติเมื่อก่อนพอเรารู้ ว่าอะไรไม่ม่ันคง  อะไรไม่แน่นอนเราก็จะหลีกหนีส่ิงนั้น  แล้วก็สร้าง ความม่ันคง  สร้างความแน่นอนขึ้นมาทดแทนเสีย  แต่ปัจจุบันที่ผม ผ่านมาได้ก็คือผมคิดว่าผมต้องก้าวออกมาจากความกลัวเสีย  นั่นจึง เปน็ ทมี่ าในการก้าวออกเดนิ ทางในการเดินทางพนั กวา่ กิโลฯ ของผม เพราะฉะน้ันส่ิงใดที่เป็นสิ่งท่ีผมเคยกลัวผมก็จะก้าวไปหาส่ิงนั้น   ผม จะมีความรู้สึกที่ดีมาก  ถ้าไปที่วัดแล้วก็มีเมรุเผาศพแบบโบราณย่ิงดี ใหญ่ เพ่ือทจ่ี ะไดก้ ราบเรยี นพระทว่ี ดั น้ันวา่ ผมขออนญุ าตทจ่ี ะนอน หลังเมรุเผาศพก็ได้ คือผมมีความรู้ทางทฤษฎีอยู่ก่อน  ผมศึกษาทางพระพุทธ- ศาสนา  นั่นคือความกลัว  คือส่ิงปรุงแต่งที่เกิดข้ึนจากใจ  และความ หมายของการปรุงแต่งน้ันคือความหมายที่เก็บสะสมมาต้ังแต่เด็กๆ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะสลายความกลัวให้ได้  เราต้องสลายมูลหรือ อกุศลมูลท่ีอยู่ในใจให้ได้  ทีน้ีอกุศลมูลนี้เราไม่สามารถสะสางด้วย ความคิด   เช่นใครสักคนกลัวผี  ถ้าเขาไปศึกษาทางวิทยาศาสตร์  เขา ก็จะรู้ว่าผีไม่มีจริง  และเชื่อว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ถูกต้องด้วยใน ขณะเดียวกันก็ยังมีความกลัว   เพราะความกลัวเป็นความรู้สึกท่ีอยู่ ภายใน  เราไม่สามารถช�ำระความกลัวนั้นด้วยความคิดได้  ผมเองมี ความรู้เชิงความคิดที่ละเอียดถี่ถ้วน  รู้ว่าความกลัวนี้มีความหมาย อยา่ งไร เพราะฉะน้ันส่ิงท่ีผมต้องท�ำคือออกมาจากความคิดเพื่อจะ มาอยู่กับความหมายซึ่งมันเป็นปัจจุบัน  ถ้ารู้เท่าทันอารมณ์ที่เป็น 116

ปจั จุบนั โดยเฉพาะจติ ของเรา ทำ� ใหอ้ กศุ ลมูลคือตัวความโลภ โกรธ หลง เปน็ ส่งิ ท่เี ปน็ ปัจจัยปรงุ แต่งใหเ้ กดิ ความกลวั ถ้าเรากำ� จัดมนั ออก ไปเราก็สามารถออกจากความกลัวได้   ตอนท่ีผมเดินผมจึงถือหลัก ธรรมทางศาสนาว่าจะก้าวเดินไปทีละก้าวด้วยจิตใจท่ีผ่องใสเบิก- บาน คือปลอ่ ยให้จติ อยู่กบั ปจั จบุ ันท่เี ปน็ ธรรมชาต ิ  การเดนิ แตล่ ะก้าว ของผม คอื การสำ� รวจว่าเม่ือใดที่ผมปลอ่ ยให้จิตไปคดิ เกดิ ความกลวั เกดิ ความกงั วล กจ็ ะทบทวนให้เกิดภาวะตรงกันข้าม การเดนิ แต่ละ ก้าวของผมคือการเรียนรู้ว่าสภาวะอกุศลนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร  และ ท�ำอย่างไรที่จะให้เราละสิ่งน้ันได้  ผมถือหลักพุทธศาสนาว่าสิ่งใด เป็นอกุศลให้ละเสีย  สิ่งใดเป็นกุศลให้เพิ่มพูน  ผมก็ท�ำหน้าที่ภาวนา เพิม่ พูนฝา่ ยกศุ ลใหม้ ากขึน้ ในใจ” จากการเดินทาง  อาจารย์ประมวลพบว่าในทุกเส้นทางที่ไป มเี รือ่ งนา่ เรยี นรมู้ ากมาย โดยเฉพาะจติ ใจมนษุ ย์ ที่ในทสี่ ดุ แลว้ มนษุ ย์ ทกุ คนมคี วามดีงามอยใู่ นใจ และพรอ้ มจะเปน็ มิตรกับทกุ คน อยทู่ ่ีว่า เราจะสามารถทลายก�ำแพงแห่งความไม่เชอื่ ใจลงไดไ้ หม “ก่อนเดินทางผมเชื่ออยู่ในใจว่า  มนุษย์เราไม่ได้เกิดมาเพ่ือ เบยี ดเบยี นใครเลย  เจตจำ� นงเราไมเ่ คยคดิ จะประหัตประหารใคร แต่ เนื่องจากสภาวะที่เราสั่งสมปลูกสร้างในใจเรา  ท�ำให้เรารักตัวกลัว ตาย ความรักตวั กลัวตายทำ� ให้เราเหน็ ผ้อู ่ืนเปน็ อันตรายต่อเรา เรา จงึ ปกป้อง ท่ีเรามคี วามรูส้ กึ รงั เกียจ ท่ีผมบอกผมกลัวงู เพราะในใจ ของผมท�ำให้รู้สึกว่างูนี้เป็นอันตรายกับผม  งูสามารถกัดผม  และผม สามารถจบชีวิตลงได้เพราะงูกัด   ในขณะท่ีมดและแมลงชนิดอ่ืนกัด ผม ผมไม่ตาย แตง่ กู ดั ผมตาย ความรู้สึกว่างกู ัดตายน้ีมนั ถูกส่ังสม มาตงั้ แตเ่ ป็นเด็กและทำ� ให้ผมกลวั งู และทนั ทที ี่เรากลัวงเู ราสามารถ ประทุษร้ายงูได้โดยท่ีงูยังไม่ท�ำอันตรายเราเลย  และผมเข้าใจว่าใน กรณีของเพื่อนมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน  เราถูกท�ำให้เกิดความรู้สึกว่า เพื่อนมนุษย์กลุ่มหน่ึงเป็นอันตรายกับเรา  และความรู้สึกเป็นอันตราย กับเราท�ำให้เรารู้สึกได้ถึงความหมายบางสิ่งบางอย่างซ่ึงเป็นไปในเชิง เบยี ดเบียนกัน” 117

“ตอนท่ีผมออกจากบ้านไป  มีคนหวั่นกลัวว่าผมจะออกไป เผชิญกับความยุ่งยากล�ำบาก   เขาบอกว่าก�ำลังเดินไปเผชิญกับ อันตราย  และท่ีส�ำคัญคือเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรข้ึน  ผมจึงตั้งหลักของ ผมว่าผมจะไม่เดินไปหาคนรู้จัก  ถ้าจะเดินไปหาคนรู้จักคือเพ่ือนมิตร เขาก็ปกป้องผมใช่ไหมครับ  แต่ผมจะเดินไปหาคนแปลกหน้าเพราะ ส่งิ ทผ่ี มกำ� ลงั จะเผชิญกค็ ือ เผชญิ กับคนที่ผมเคยกลัว แตส่ ่ิงที่ผมพบ กค็ อื   จรงิ ๆ เราตา่ งคนต่างกลัวซ่งึ กนั และกนั ผมยงั จำ� ภาพไดน้ ะครบั วันหนงึ่ เมอ่ื ผมเดนิ ไปหม่บู ้านท่ีชนบทแห่งหน่งึ และในหมบู่ า้ นชนบท น้ันเมื่อรู้ว่าผมเป็นคนแปลกหน้ามา  เขาก็ให้ผมอยู่ที่วัด  และเขาก็ ไปเรียกประชุมชาวบ้าน   ไปเรียกผู้ใหญ่บ้านมา   ไปเชิญชาวบ้านมา  และทสี่ �ำคัญก็คือพอเวลาประมาณสองท่มุ กว่าแลว้ ชาวบา้ นยงั มากัน ไมพ่ รอ้ ม ผใู้ หญ่บ้านยังไมพ่ รอ้ มทีจ่ ะมาประชมุ   ทวี่ ดั ชาวบ้านมาน่งั อยใู่ นวัดเต็ม เพื่อจะรอประชุมวา่ จะจัดการกบั คนแปลกหนา้   คอื ผมน้ี อยา่ งไร ขณะท่ีผมนง่ั รอว่าเมื่อไหรเ่ ขาจะได้ประชุมกันเพ่ือจะไดเ้ อายัง ไงก็เอากนั ” 118

“ผมรู้สึกสะเทือนใจเป็นท่ีสุดเลย  ความสะเทือนใจของผมก็ คือประชาชนเหล่านี้ล้วนแต่เต็มไปด้วยความกลัว  กลัวคนคนหนึ่งคือ ผม  ผมเดินมาเพ่ือจะออกจากความกลัว  แต่ผมกลับท�ำให้เกิดความ กลัวขึ้นในใจเขา  เพราะประชาชนในชนบทเล็กๆ นี้  ประมาณย่ีสิบถึง สามสิบคนในทา่ มกลางความสบั สนนี้  ผมไมร่ ู้เทา่ ไหร่นะครบั แต่เมอ่ื มานั่งประชุมกันแล้ว  คนก็มาก   ผมจ�ำได้เพียงแค่ว่า   เมื่อประมาณ สักสามทุ่ม เมื่อผู้ใหญ่บ้านมาถึง  ก็เลยเริ่มต้นที่จะประชุม  ผมไม่ต้อง ให้ผู้ใหญ่บ้านพูดอะไรมากเลย  ผมยกมือไหว้คนรอบทิศ  เหมือนนัก มวยเลยนะครับ  และก็กล่าวขอโทษทกุ ๆ   ท่าน ทุกคนที่ผมท�ำใหเ้ กิด เหตุการณน์ ข้ี ึ้น ผมไม่มีเจตนาทจี่ ะทำ� ให้เกิดความหว่ันกลัวในใจของ ใครเลย  ผมเดินออกจากบ้านผมก็หวังว่าจะออกจากความกลัวในใจ ผม  แต่ผมรู้สึกได้ว่าผมผิดท่ีเอาความกลัวที่มีอยู่ในใจผมไปยัดใส่ใน ใจของท่านแทน  ขอให้โปรดรับรู้ความรู้ส�ำนึกผิดของผม  ผมขอโทษ ทุกท่าน  ปัจจุบันตอนนี้สามทุ่มแล้ว  ท่านควรจะได้นอนหลับพักผ่อน   หรือไม่ก็นอนดูทีวีอยู่ท่ีบ้าน  แต่วันนี้ท่านต้องมาอยู่ที่วัดเพียงเพื่อจะ ต้องมาประชุมเพื่อตัดสินเร่ืองของผม  ผมขอรับผิดทุกประการ  จะ ลงโทษผมอย่างไรก็ได้  ผมเข้าใจว่าค�ำพูดน้ีออกมาจากใจผม  และคง เป็นค�ำพูดท่ีออกมาจากใจนี้กระมังครับ  ชาวบ้านก็รู้สึกว่ามีท่าทีท่ีดี กับผม  และโดยเฉพาะเมื่อเขามารู้ว่าผมเป็นอดีตอาจารย์ประจ�ำอยู่ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  หลายคนรู้สึกเลยว่าท่ีมหาวิทยาลัยแห่งน้ี  ลูกเขาหรือญาติเขาคนใดคนหน่ึงเคยไปเรียนหนังสือท่ีนั่น  ท่าทีที่เป็น ความหว่ันกลัวก็เป็นทา่ ทีทด่ี ีขนึ้   บางคนขยบั มาถามใกล้ๆ  ว่า ลกู เขา เรยี นอยู่คณะน้ัน คณะน้ี ผมสอนอยู่คณะไหน” 119

“ผมจะบอกว่าจริงๆ แล้วในใจของมนุษย์แต่ละคนน้ีถูกท�ำให้ มีความหมายของความกลัวอยู่ภายใน  เม่ือเห็นอะไรท่ีเป็นสิ่งที่ไม่ ปกติเป็นส่ิงท่ีรู้สึกแปลก  ไม่สามารถหาความหมายท่ีชัดเจนได้  ก็จะ เกิดความกลัว  ด้วยความรู้สึกเช่นน้ีนะครับ  จึงท�ำให้ผมพยายามท่ีจะ เรียนรู้  และการเรียนรู้ที่ว่านี้ไม่ได้เรียนรู้เฉพาะความกลัวในใจผมนะ ครบั ผมเรยี นรู้แมก้ ระทั่งวา่ ถา้ ผมเจอเด็ก ผมควรจะมที ่าทอี ย่างไร ถา้ ผมเจอผู้หญิงผมควรจะมีท่าทีอย่างไร  ถ้าผมเจอผู้ชายผมจะมีท่าที อย่างไร   เช่นถ้าเดินไปเจอเด็ก  เดินตรงเข้าไป  เราควรจะหยุดแล้ว ก็ดูกิริยาอาการของเด็ก   ถ้าเจอผู้หญิง  ถ้าผู้หญิงเพียงหน่ึงคน  ควร เดินหลีกไปเลย  แต่ถ้าเป็นผู้หญิงสองสามคนขึ้นไป  เดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วทักถามทนั ทีเมื่ออยู่ในระยะใกล้ แตถ่ ้าเจอผู้ชายสองคนขึน้ ไปไม่ ตอ้ งกลวั   เขา้ ไปหาได้เลย เพราะผชู้ ายสองคนเขาจะไมก่ ลัวผ้ชู ายคน เดยี ว ผู้หญงิ สามคนก็จะไมก่ ลัวผูช้ ายคนเดียว แตเ่ ดก็ ไมว่ ่าก่ีคน  ถา้ เขาเจอคนแปลกหน้าเขาจะวงิ่ หนี น้คี ือกริ ยิ าอาการทผี่ มเรยี นรูว้ า่ เรา จะปฏิบตั ิต่อเด็กยงั ไง ต่อผ้หู ญิงอย่างไร ต่อผู้ชายอย่างไร ซ่ึงสิง่ เหล่า นี้นะครับ เป็นสงิ่ ทีผ่ มเรยี นรวู้ า่ ความกลวั มีอย่ใู นใจ และท่ีสำ� คัญนะ ครบั ทีม่ หัศจรรยม์ ากๆ  แมก้ ระทงั่ เด็กท่ีกลัวเราและพอเจอผมนะครบั ไมร่ วู้ า่ เป็นเพราะอ�ำนาจหรอื อะไรนะครับ เพราะทุกครงั้ ที่ผมเจอเด็ก ผมจะยืนน่ิงๆ ที่ยนื น่งิ ๆ น้ี ผมกจ็ ะตง้ั จติ กำ� หนดความหมายบอกว่า   120

ผมก�ำลังจะพยายามข้ามให้พ้นความกลัวท่ีกัดกินผมมาตั้งแต่วัยเด็ก   ขอให้เยาวชนที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าผมนี้อย่าได้หว่ันกลัวผมเลย  ผมมี ความรักความเมตตาเขาเป็นที่สุด  ผมปรารถนาที่จะให้เกิดความรู้สึก ท่ีดีขนึ้ ในใจเขา ด้วยความรู้สกึ ประมาณนี้นะครบั จงึ ทำ� ใหผ้ มสามารถ ทจี่ ะคุยกับเด็ก และผมเกิดความรู้สึกทีด่ ีมาก” อาจารย์บอกว่าส่ิงท่ีเราสามารถจะน�ำไปใช้ได้จากบทเรียน การเดนิ ทางของอาจารย์ในครงั้ น้ีคอื   ใหค้ ิดวา่ ทกุ คนคือเพื่อนกันหมด “ความหมายที่ผมอยากจะบอกก็คือ  จริงๆ  แล้วในความเป็น จริงเรามีความยึดโยงเกี่ยวเน่ืองกับเพ่ือนมนุษย์อย่างไม่จ�ำกัด  นับ จากพอ่ แม่ผ้ใู หก้ �ำเนิดเรา  ต่อมากพ็ ๆ่ี ตอ่ มาเรามีนอ้ ง ตอ่ มาเรามเี พื่อน ต่อมาเรามคี นมากมาย และที่ส�ำคัญทส่ี ดุ นะครับ มนษุ ย์ท่ีมชี ีวิตอยใู่ น ปัจจุบนั ในสงั คมนี้  ยิง่ ถา้ เราทำ� ตัวให้โดดเดีย่ วมากเท่าไร เราก็จะยง่ิ มคี วามกลวั ทีม่ ากขน้ึ เท่าน้ัน แตท่ ันทีทีเ่ ราเกยี่ วเนือ่ งสัมพันธก์ บั ผู้อื่น มากเทา่ ใด เราก็จะคลายความหวัน่ กลัวมากเท่าน้นั เพราะส่งิ ท่ีผมพอ จะพูดได้ในปัจจุบันน้ีนะครับ   ก็คือความเป็นปัจเจกบุคคลที่เราสร้าง ขน้ึ มาในตัวเราเอง  มันจงึ ทำ� ให้เรารู้สกึ โดดเดีย่ ว วา้ เหว่” 121

“ปัจจุบันเราเต็มไปด้วยสภาวะที่มีคนอ่ืนอยู่รอบตัวเรา  คนที่ อยู่รอบๆ  ตัวเราเป็นคนอ่ืนท้ังหมดเลย  ไม่ต่างอะไรกับท่ีเราขึ้นรถเมล์ แล้วมีคนอ่ืนทุกๆ  คนอยู่บนรถเมล์คันน้ัน  เราไม่รู้ว่าถ้าเกิดอะไรข้ึนแล้ว คนอ่ืนๆ  บนรถเมล์นั้นจะปฏิบัติต่อเราเช่นไร   แต่ผมนึกภาพตรงกัน ข้ามเลยครับ  แม้เราจะมีความน่ากลัว  แต่ถ้าเรามีเพื่อนสักคน  ความ น่ากลัวจะลดลง  ความน่ากลัวท่ีมันลดลง  เพื่อนคือใครครับ   เพ่ือนคือ ไม่ใช่คนอื่น  มีความหมายอะไรบางอย่างยึดโยงกับเรา  เพราะฉะนั้น สิ่งที่พูดได้ในสังคมปัจจุบัน  เราต้องพยายามสร้างสังคมท่ีมีมิตรภาพ และสังคมที่มีมิตรภาพก็จะเกิดข้ึนได้ก็ต่อเม่ือเรามีสภาวะจิตของเราที่ มีเมตตาต่อกันและกัน  และตรงน้ีนะครับคือส่ิงท่ีผมเรียนรู้  ท่ีอยากจะ ส่ือสารว่าในสังคมถ้าเมื่อใดท่ีเราท�ำให้เกิดภาวะท่ีมีความเป็นคนอ่ืน และคนอ่ืนเป็นปรปักษห์ รือเปน็ อริ สังคมน้ีจะนา่ กลวั ท�ำอย่างไรกไ็ ด้ ครับทีท่ �ำให้ความเปน็ คนอืน่ ลดนอ้ ยลง ความเปน็ ปรปักษห์ มดไป  และ เราจะมีความรู้สึกที่ดี  เพราะในสังคมท่ีเราอยู่รอดจะไม่ใช่ญาติไม่ใช่ มิตรก็ได้นะครับ  อย่างเช่นในชนบทสังคมท่ีชนบทจริงๆ  นะครับ  เข้าไป แล้วเราจะไม่มีความเป็นคนอื่น  เขาจะเห็นเราเป็นคนแปลกหน้าในช่วง สั้นๆ  แต่เมื่อเราคุยเพียงไม่กี่ค�ำ  เราก็จะเปล่ียนคนแปลกหน้ามาเป็น คนคุน้ เคยกันได”้ 122

ทส่ี ดุ แลว้ มนุษย์ทกุ คนมีความดงี าม อยใู่ นใจ และพรอ้ มจะเปน็ มติ รกับทกุ คน อยทู่ ี่ว่าเราจะสามารถทลายก�ำแพงแหง่ ความไม่เช่ือใจลงไดไ้ หม 123

วิจักขณ พานชิ ค้นหาจติ วญิ ญาณภายในตน “ผมมองภาพอนาคต ในฝันไว้แบบน้ี  สังคมไทยจะ เห็นต่างได้  รับฟังได้  จะท�ำให้ เราแยกแยะได้ และเรากจ็ ะอยู่ ร่วมกนั ได้ เพราะเมอ่ื เขา้ ใจตัว เองแล้วก็ควรท่ีจะเร่ิมเข้าใจคน อื่นด้วย” ความส�ำเร็จ  ชื่อเสียง  และความก้าวหน้าในชีวิตเป็นส่ิงท่ี ใครๆ ก็ต้องการ แตจ่ ะมสี กั ก่คี นทค่ี ดิ จะท้ิงสงิ่ เหล่าน้กี ลางคนั เพ่อื ไป ค้นหาความหมายของชีวิตท่ีแท้จริง  การไปถึงสิ่งเหล่านั้นอาจไม่ใช่ เส้นทางที่หวือหวาโดดเด่นทางสังคมหรือช่ือเสียงและมีความส�ำเร็จ ทางโลก แต่สิ่งที่ได้กลบั เปน็ ความสงบและสัจธรรมบางอย่างท่ีทำ� ให้ จติ ใจเปี่ยมสขุ ไดท้ ุกวนั คณุ วจิ ักขณ พานิช คอื คนทที่ ิ้งความส�ำเรจ็ ทางโลก  ยอมละทิ้งการเป็นคนสมบูรณ์แบบเพ่ือมาค้นหาสิ่งท่ีเขา เรียกวา่ การเรยี นรทู้ ีแ่ ทจ้ ริง 124

“ผมเคยเรียนอยใู่ นคณะวิศวกรรมศาสตร จฬุ าลงกรณมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเข้ามหาวิทยาลัยโดยท่ียังไม่รู้เลยว่าอยากเป็นอะไร  แต่ตามกระแส สังคมไปว่าคนเรียนเก่งจะต้องเรียนแพทย์หรือเรียนวิศวะ  ตอนน้ันผม ทะเลาะกับคุณพ่อหนัก  ท�ำให้มีอคติกับคนที่เป็นแพทย์  เมื่อเอ็นทรานซ์จึง เลือกสอบเข้าเพียงคณะเดียวคือวิศวะ  จุฬาฯ  เพราะผมก็เป็นคนเรียนเก่งคน หนึ่ง สามารถเลือกเขา้ คณะอะไรกไ็ ด้ ตอนเราเรียนวศิ วะ เรารสู้ กึ วา่ หลายๆ คนท่ีมาเรียนเพราะท่ีนี่เป็นแหล่งชุมนุมคนเก่ง  จนผมมาค้นพบว่าเม่ือเรา หยุดว่ิงตามคนอ่ืนแล้วเราจะเข้าใจตัวเองมากข้ึน  เมื่อผมอยู่กับตัวเองมาก ขึ้นผมค้นพบว่าชอบด้านสังคมศาสตร์  โชคดีมีเพื่อนคนหนึ่งชวนผมไปน่ัง สมาธิทีย่ ุวพุทธิกสมาคมแหง่ ประเทศไทยในพระบรมราชปู ถัมภ์ 7 วัน และ ในช่วงเวลาน้ันผมก็พยายามทดสอบดูว่าสมาธิมันจะช่วยอะไรในชีวิตเราได้ เพราะผมไม่ใช่คนทีเ่ ชื่ออะไรง่ายๆ แต่พอได้ปฏบิ ัติไปจนวนั ทสี่ ี่ ผมเริม่ เข้าถงึ ในสิง่ ท่ีเป็นสมาธจิ รงิ ๆ จติ ใจสงบ และช่วงน้นั ผมก็เร่มิ คดิ ทบทวนความโกรธ ท่ีเรามีต่อพ่อ  และรู้ได้ทันทีว่าต้องไปกราบขอโทษ  และหลังจากนั้น  มันก็ เปลีย่ นชีวติ ผมไปเลย” ออกเดินทางสเู่ สน้ ทางใหม่ของชวี ิต “ความเปล่ียนแปลงในใจคร้ังน้ันเป็นเหตุให้หลังจากเรียนจบผม ไปบวชท่ีสวนโมกข์หนึ่งปี  และชีวิตการบวชที่สวนโมกข์เป็นจุดเปล่ียน ชีวิตคร้ังส�ำคัญของผม  เพราะผมได้เรียนรู้หลายอย่างที่นั่น  ท้ังความรู้ด้าน ศาสนารวมถึงด้านจิตใจ  หลังจากนั้นผมก็ไปเรียนต่อปริญญาโทในดาน มานุษยวิทยา  จิตวิทยา  ปรัชญา  และศาสนาท่ีเมืองโบลเดอร  รัฐโคโรลา- โด  สหรัฐอเมริกา  เรียนท่ีมหาวิทยาลัยนาโรปะนานสามป  ควบคูกับการ 125

ฝกปฏิบัติภาวนาอีกสามปี หลังจากเรียนจบผมก็กลับมาเมืองไทย และเริ่มที่อยากจะลองจัดคอร์สสมาธิส้ันๆ  เป็นกระบวนกรจัดคอร์ส ภาวนาแลกเปลยี่ นประสบการณ์ชีวิตกบั คนไทยดูบ้าง “การที่ผมมาจัดคอร์ส  เป้าหมายคืออยากหาเพ่ือนปฏิบัติ อยากแบ่งปันสิ่งท่ีเรียนรู้มา  อยากเห็นว่าคนในสังคมไทยมีความ สนใจทางดา้ นจติ วิญญาณ มีความตอ้ งการอะไรกนั แน่ แล้วเรามา ค้นหา เรยี นรู้รว่ มกัน มาเป็นเพ่ือนกนั สงิ่ ท่ผี มนำ� เสนอคอื ประสบการณ์ ของผม “ผมคิดว่าถ้าเราไมมองดู  ไมใสใจโลกดานใน  ผมวามัน ไปไมรอด  เพราะฉะนั้นผมรูสึกวาเรื่องความคาดหวังไมไดเปนเร่ือง สําคัญ  สําหรับผม  แตรูสึกวาเราจะสามารถแบงปนประสบการณดีๆ ที่จะมีความหมายและมีคุณคากับชีวิตของทุกคนถาไดสัมผัส  แมเปน เพียงชวงสั้นๆ  ที่เขามาฝกวันสองวัน  และไดเห็นพ้ืนท่ีดานในของตัว เอง  วาความจริงแลวพ้ืนที่ของชีวิตสามารถขยายใหญได  เราสามารถ พบศักยภาพตางๆ  ในตวั เราท่ีเราไมเคยเหน็ มากอน  เหมือนเปนชีวิตท่ี ใหญก วาความคดิ ใหญกวาความคาดหวงั หรอื แผนในอนาคต ซ่ึงพอ เราหันมามีสติกับตัวเองเราจะรูวาความจริงแลวชีวิตเรามีความหมาย กวา นนั้ มาก” เม่ือเรยี นรูเ้ รอ่ื งสมาธิมนั จะได้มากกวา่ สมาธิ “สมาธิหรือภาวนาคือการผ่อนคลาย  สร้างสมดุลให้ชีวิต เป็นการท�ำให้ตัวเรารู้จักตัวเราเองได้ดีข้ึน  ซ่ึงมันก็จะลดอาการทุกข์ ทางร่างกาย และมนั ก็จะท�ำใหเ้ ราสามารถเผชญิ ปัญหาได้อย่างผอ่ น คลายและมีสติ เกดิ ความกล้าหาญท่จี ะจัดการสงิ่ ที่เปน็ ห่วงหรอื กรรม 126

ภายในใจตนเอง เมื่อรา่ งกายผ่อนคลาย จติ ใจผ่อนคลายเราก็จะเกดิ ความสขุ ได้งา่ ยขึ้น” เรียนรู้ทจี่ ะท�ำสมาธิง่ายๆ ในชีวิต “เร่มิ ตน ดว ยการน่ังขัดสมาธิ เลือกทานงั่ ทที่ ําใหคุณรูสึกผอน คลายมากท่สี ุด  ทา นง่ั ท่ีถกู ตองจะแตกตา งกันไปในแตล ะบุคคล เม่อื เราไดฝ ก ไปสกั ระยะ รา งกายจะเร่ิมปรบั ตวั เขา กับรปู แบบการฝก ทา นั่งก็จะเปล่ียนตามไปดวย  เราจึงควรเริ่มตนดวยการสํารวจทานั่งท่ี เหมาะสมกอนการฝกทุกๆ  คร้ัง  หัวใจของทาน่ังอยูท่ีความรูสึกผอน คลาย ความยดื หยุน และความม่ันคง   เม่ือไดท านั่งท่ีเหมาะสมกบั ตนเองแลว  เราจึงเร่ิมตามความรูสึกของลมหายใจที่เล่ือนไหลคอยๆ  ตามลมหายใจเขาออก  ดวยความมีสติอยูในทุกปจจุบันขณะ จาก  การฝกสติท่ีปลายจมูก  คอยๆ  สังเกตถึงพลังแหงการตื่นรูภายในที่ ไหลเวียนอยใู นทกุ สวนของรา งกาย หากสังเกตใหดี เราจะรวู าพลงั แหงการตื่นรูที่วายังรวมถึงพื้นท่ีวางภายนอกรอบตัวเราอีกดวย  การ คนพบน้ีจะนําเราไปสูคําถามที่วา  รางกายท่ีแทจริงคืออะไรกันแน? ยิ่งเราสามารถผอนคลายรางกายทุกสวนไดมากเทาไร  การตามลม หายใจที่ปลายจมูกก็ดูจะสงผลตอการสรางสัมพันธกับพลังแหงการ ตื่นรใู นกายไดม ากขึน้ เทาน้ัน และทน่ี า แปลกกค็ ือ ยง่ิ เรามสี ติอยทู ี่ ลมหายใจมากเทาไร  เราก็ย่ิงคนพบจุดที่แข็งเกร็งตามสวนตางๆ ที่รองเรียกใหเราไดปลอยวางและผอนคลาย  น่ันคือความหมาย ของบมเพาะการมีสติอยูกับเนื้อกับตัว  ขั้นตอนง่ายๆ  คือการฝกอา นา-ปานัสสติบนฐานกาย  ท่ีท�ำให้เกิดกระบวนการการปรับสรีระ ของรางกายสูความสมดุลเดิมตามธรรมชาติ  พลังงานท่ีวาจะคอยๆ   ปรากฏใหเราสัมผัสไดก็ตอ เมื่อความตึงเครียดคอยๆ  ถูกปลดปลอยอ อกไปทีละนอยโดยการฝกอานาปานัสสติเชนน้ีจะนําผูฝกไปสูความ 127

ผอนคลายท่ีลึกขึ้นจนคุณรูสึกราวกับวาขอบเขตขอจํากัดทางกายภาพ ของรางกายคอยๆอันตรธานไป  จนเหลือเพียงพลังแหงการต่ืนรูท่ีไหลวน ตามการเขา ออกของลมหายใจเพียงเทานั้น” วิธีการส�ำคัญที่เขาเคยเขียนไว้ส�ำหรับคนต้องการฝึกตนและ เปล่ยี นแปลงชีวติ คือกลา้ ทจ่ี ะเจ็บ “ลองมาสรา งความสัมพนั ธ เรียนรูกบั ความทกุ ข แบบไมกลวั เจบ็ กนั ขอแรก ความทกุ ขจะถูกสัมผสั ไดกด็ ว ยการดําเนนิ ชวี ิตอยา ง เปลา เปลอื ย ดว ยหัวใจทีเ่ ปราะบาง เปด รบั ใหโลกเขามาสะกดิ ใจเรา อยา งไมเ ขินอาย ขอสอง ตน ตอแหง ทกุ ข ขมวดเปน ปมข้ึนจากเกราะ คุมกันทางความคิดและแรงตานอันเกิดมาจากความขยาดกลัวในการ ไมก ลา เขา ไปเผชิญความเจ็บน้ันอยา งตรงไปตรงมา  ขอสาม ความดับ ทุกข เขาถึงไดดว ยการดําเนนิ ชีวติ ตามอยา งนกั รบผูก ลา ผทู เี่ ชื่อในความ เปน จรงิ แหง จักรวาล รวมทุกขรวมสุขกบั ผคู นอยางหาญกลา เปน ชวี ติ ธรรมดาๆท่ีเต็มเปยมไปดวยการเผชิญหนากับความเจ็บปวดแหงชีวิต ตรงไปตรงมาอยางไมต ดั สิน ขอ ส่ี หนทางแหงการดบั ทุกข ก็คอื กลา ทจี่ ะ เจบ็ กา วเดินบนเสนทางแหงการสรา งความสมั พันธและทําความเขา ใจ 128

ความทกุ ขใ นทกุ แงมมุ เรยี นรูท่ีจะสมั ผสั โลกท่ีกวางใหญจากหัวใจ ที่แตกสลายรวมกับผูคนรอบขาง  การภาวนาบนพ้ืนฐานแหงความ จรงิ สปี่ ระการขางตนนี้เปน สง่ิ ทมี่ ีพลงั มากครับ ดเู หมือนการนั่งนง่ิ ๆ   ไมท าํ อะไร จะไมไ ดมีเปา หมายของการเปนกอ นหนิ ไมรสู ึกรสู ากับส่ิง รอบตัวอกี ตอ ไป  หวั ใจท่บี อบบางของเราดจู ะเตนเปนจังหวะ เลอื ด สูบฉดี หลอ เล้ยี งพลงั แหง การตนื่ รูในกาย ลมหายใจเขา ออกซึมซบั เขาไปปลุกสัญชาตญาณทุกอณูรูขุมขน  พ้ืนท่ีวางภายในขยายกวาง   คล่ีคลายปมกรรมภายใน  สูศักยภาพและความม่ันใจท่ีเต็มเปยม แหง การรูจกั ตนเอง” และส่ิงส�ำคัญในการเรียนรู้มาตลอดหลายปีของชายท่ีชื่อ วจิ ักขณ พานชิ ทนี่ อกจากจะเน้นการรู้จักตนเองแล้ว การมองคนอ่ืน อย่างเท่าเทียมก็คอื สง่ิ ส�ำคญั ท่จี ะสร้างสรรคโ์ ลกนใี้ หม้ ีความสขุ ความจริงแลวพื้นท่ีของชีวิตสามารถ ขยายใหญไ ด เราสามารถพบศกั ยภาพตา งๆ   ในตัวเราท่ีเราไมเคยเห็นมากอน  เหมือนเปน ชวี ติ ทใี่ หญกวา ความคิด ใหญกวาความคาด หวังหรอื แผนในอนาคต ซ่ึงพอเราหนั มามีสติ กับตัวเองเราจะรูวาความจริงแลวชีวิตเรามี ความหมาย กวา น้นั มาก 129

พญ.คณุ หญงิ พรทพิ ย์ โรจนสนุ นั ท์ สรา้ งพลงั ใจดว้ ยปญั ญา “เป้าหมายจริงๆ  ในชีวิต มนุษย์คืออะไร  เราต้องเข้าใจการ มีชีวิตเป็นมนุษย์ มันคือโอกาสแห่ง การสร้างกรรมดี  ส่วนหนึ่งไม่ใช่ โอกาสแต่มันเป็นผลจากท่ีเราท�ำใน อดีต  มันก็อยู่ที่เราตีโจทย์นี้ออกไหม ถ้าเราตีโจทย์ออกโอกาสมันมีแล้ว เราไมค่ วา้ เราก็จะเสียโอกาส” ความส�ำเร็จในชีวิต  คือส่ิงท่ีทุกคนบนโลกใบนี้ต้องการก้าว ไปใหถ้ ึง ความสำ� เร็จของแต่ละคนย่อมมีความแตกตา่ งกนั บางคน เลือกความร่�ำรวย บางคนมองหาเกียรตยิ ศช่ือเสยี ง แตส่ �ำหรับแพทย-์ หญงิ คณุ หญิงพรทพิ ย์ โรจนสุนนั ท์ ความสำ� เรจ็ ต่างๆ เหลา่ นนั้ ไม่ได้ มีความส�ำคัญมากไปกว่าความสุขจากการท�ำประโยชน์ให้กับสังคม งานท่ีหนักและเครียดในแต่ละวันท่ีคุณหมอต้องเจอ  ผ่านพ้นไปได้ ดว้ ยพลงั ใจ การทำ� งานเปน็ ระบบ และความคิดเชงิ บวก 130

“หลายคนมองว่าความรู้วิทยาศาสตร์มีความส�ำคัญมากกับ งานท่ีหมอท�ำ  แตจ่ รงิ ๆ แลว้ หมอวา่ ไม่สำ� คัญเท่ากับแกน่ ที่ถกู เล้ยี งดู คอื การคดิ เปน็ ระบบ การคดิ เป็นระบบเหมือนกบั เป็นหวั ใจสำ� คญั ของ การใช้ชวี ิตของมนุษย์ซงึ่ มันจะมอี ยสู่ ามอันเท่านั้นเอง “อย่างแรกคือคิดบวก  ในบางช่วงมนุษย์อาจไม่ต้องคิดบวก มากเทา่ ไรเพราะว่ามนั ไมม่ ภี าวะกดดันเยอะ แตใ่ นภาวะกดดนั เยอะ คดิ บวกมันช่วยได้ คิดลบไมม่ ปี ระโยชนเ์ ลย  ตรงนส้ี อนเราได้หลาย อย่าง  แต่ท่ีดีที่สุดก็คือในท่ามกลางส่ิงท่ีเลวร้ายเราสามารถมองเห็น สิ่งดี “อย่างที่สอง  ที่เป็นส่วนของการคิดเป็นระบบ  ก็คือการ คิดทางขวาง การคิดทางขวางเป็นส่งิ ทวี่ ยั รุ่นมองด้านเดยี ว มองวา่ เป็นตวั ของตัวเอง ความจริงแลว้ มนั มมี ากกว่านัน้ การคิดทางขวาง หมายความวา่ ไม่ปล่อยใหต้ ัวเราไหลไปตามกระแสสงั คม เราควรจะ หยดุ คิด หยุดดูก่อนวา่ เราจะตัดสนิ ใจทำ� อะไร มันสมควรไหม ไม่ใช่ ขวางทางคิดนะคะ คือคดิ ทางขวาง ไมไ่ ดแ้ ปลว่าเราตอ้ งคิดเหมือน กบั คนอ่นื บา้ นเมอื งสังคมไมเ่ ปล่ยี นแปลงแนถ่ ้าเกดิ ว่าเราคดิ เหมอื นๆ  กันหมด “อันสุดท้ายท่ีคิดว่าส�ำคัญท่ีสุด  คือการมององค์รวม  ค�ำว่า มององค์รวมแปลได้ว่า  การมองทุกมุมทุกมิติ  จะท�ำให้เกิดความ รอบคอบเก็บรายละเอียดประเดน็ แล้วไม่ทำ� ให้เกิดความซำ้� ซาก คือ หมอเป็นคนชอบอะไรที่กระชับ  มีประสิทธิภาพไม่เยิ่นเย้อ  การมอง องค์รวมให้การท�ำงานมปี ระสิทธิภาพ” 131

ด้วยภาระงานทห่ี นักและต้องเกี่ยวข้องกบั ความขัดแย้ง พลัง ใจคือสิ่งส�ำคัญในการท�ำงาน  แต่ท่ีส�ำคัญมากกว่าคือการท่ีรู้ว่าเป้า หมายในการท�ำงานคืออะไร “ในการท�ำงานของเรา  คนท่ัวไปมองและเห็นสองค�ำคือ   หนักกบั เครยี ด เอาค�ำวา่ หนักกอ่ น ถา้ คนเราทำ� อะไรแลว้ มีความสขุ มี ความสนกุ อะไรท่ีว่ายาก มนั ก็ไมเ่ หลอื บ่ากวา่ แรง มันเปน็ อะไรทีอ่ ยทู่ ี่ ใจเรา แตถ่ ้าเราตอ้ งท�ำอะไรที่เราไม่ชอบ ไม่สนุก อะไรมันกด็ หู นักไป หมด เพราะงน้ั ไอ้คำ� ว่าหนกั มันเป็นเร่อื งที่เปรยี บเทยี บ ในส่วนตัวเรา ไม่เคยร้สู ึกวา่ มันหนกั ถา้ ตราบใดที่มีความรสู้ ึกสนกุ ทไี่ ดท้ �ำ มาถึงค�ำที่สอง  คือความเครียด  ความเครียดของมนุษย์ ส่วนใหญ่มันก็เป็นน้องๆ  ของความทุกข์  แล้วความทุกข์มันก็เหมือน เดิม  มันคือสิ่งที่เราเอาตัวเราไปเก่ียวกับคนอ่ืน  เกี่ยวกับส่ิงของอ่ืน หมายความว่าถา้ เราทำ� เราก็อยากใหค้ นรกั เรา ถ้าเราทำ� เรากอ็ ยาก ให้เจ้านายให้สองข้ัน  พอเราเอาไปเก่ียวมันก็จะเกิดการถูลู่ถูกังมัน ก็จะเกิดความเครียด  น่ันคือความทุกข์  พอเราเข้าใจสัจธรรมตรงนี้ มันก็จะท�ำให้เราน่ิง  เราจะไม่เอาตัวเองไปเก่ียวกับใคร  เราต้องปลด พนั ธนาการอันน้ีโดยเร็ว ยกตัวอย่างเชน่ เหมือนทะเลาะกบั ตำ� รวจ เหมือนตอ้ งตอ่ สู้ กับนักการเมือง  เหมือนต้องต่อสู้กับคนโกงคนชั่ว  แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเรา มีหน้าท่ี  ท�ำตัวเราไม่ให้ตกต�่ำแบบเขา  เรามีหน้าที่ท�ำให้สังคมที่เราอยู่ น่าอยู่ข้ึน  คือใครท�ำชั่วเป็นเรื่องของเขา  การที่เราเหมือนเป็นตัวเองก็ เลยเหมอื นไปขดั กับเขา  แตเ่ ราไมเ่ คยเกลยี ดเขา ความเครยี ดมันกไ็ ม่ มา เพราะฉะน้นั มันอยทู่ ่ีวิธีคิด” 132

“ประเด็นส�ำคัญท่ีสุดก็คือ ว่าเรารู้เป้าหมาย  เป้าหมายของ งานกค็ อื อะไร  และเปา้ หมายจรงิ ๆ  ในชีวิตมนุษย์คืออะไร  เราต้อง เข้าใจการมชี ีวติ เป็นมนุษย์ มนั คอื โอกาสแห่งการสร้างกรรมดี  ส่วน หน่ึงไม่ใช่โอกาสแต่มันเป็นผลจาก ท่ีเราท�ำในอดีต  มันก็อยู่ท่ีเราตี โจทย์น้อี อกไหม ถ้าเราตโี จทยอ์ อก โอกาสมันมีแล้วเราไม่คว้าเราก็จะ เสียโอกาส ถา้ เราเข้าใจว่าโอกาส ในการท�ำความดี ยิง่ มี ยิ่งมาก ยิง่ ดี มนั กไ็ ม่รสู้ ึกเหน่ือย” หลักธรรมประจ�ำใจคือสิ่งส�ำคัญส�ำหรับชีวิต  แต่หลักธรรม ของคณุ หมอไม่ไดเ้ ปน็ บทเรยี นท่องจำ� ในหนงั สอื ธรรมะ แต่มนั มาจาก การเรียนรู้ในชีวิต “หลักธรรมต้องบอกว่ามันไม่เป็นบท  แต่ว่ามันเป็นเหมือน ปฐมบทของพระพุทธเจ้าทัง้ หมดเลยวา่ มนุษยเ์ กดิ มาเพอ่ื ชดใช้กรรม และเป้าหมายที่สงู สุดของชีวิตก็คือควรจะหลุดพ้น ควรจะดับสูญ คอื นพิ พาน ดังนน้ั การจะไปส่ทู างนัน้ ให้เร็วทีส่ ดุ กค็ อื ทุกลมหายใจท่ีเรา เกิดมาเราก็ต้องสร้างบุญบารมีให้เราไปสู่นิพพาน  ซึ่งแปลว่าเราต้อง สรา้ งความดใี หม้ ากๆ ซึง่ มนั คงไมง่ ่ายนะคะ” 133

“เพราะฉะนั้นเวลาเราเข้าใจในเรอ่ื งนี้ เวลาเราท�ำงาน เรา ไม่ต้องคิดถึงหลักธรรมข้อใด  สิ่งน้ีมันจะท�ำให้เราเข้าใจได้ว่าตัวเรา เกิดมาเพ่ืออะไร  เวลาเราท�ำงานเราก็จะมุ่งเป้าไปให้มันประสบความ ส�ำเรจ็ ตามกฎแห่งธรรม ไมใ่ ชเ่ พ่ือตัวเราเอง” นอกจากชีวิตการท�ำงานแล้ว  การจะท�ำให้ชีวิตสมบูรณ์ได้ ก็ต้องให้ความส�ำคัญกับครอบครัว  วิธีของคุณหมอคือการท�ำความ เขา้ ใจซงึ่ กันและกนั และมีเวลาใหก้ ันทุกครัง้ ทีม่ ีโอกาส “งานที่ท�ำมันไม่ได้ยุ่งตลอด  ในบางจังหวะเราก็ให้ความสุข ในครอบครัวได้เต็มท่ี  แต่ในบางจังหวะเราก็อาศัยพูดความจริงว่ามัน อยู่ในช่วงหนักนะ  เช่นช่วงท่ีโดนกล่ันแกล้ง  ซึ่งช่วงท่ีโดนกล่ันแกล้ง น่โี ชคดี คือลกู ยังเล็กลกู อยู่โรงเรียน ส่วนตวั สามเี ขาอาจรับไม่ได้ เรา ก็ต้องจัดการกับตัวเราเอง  ท่ีไม่เอาเร่ืองราวเหล่าน้ีไปให้เขาแบกรับ อยา่ งภาระงานภาคใต้ เราก็รวู้ า่ เขาเครียด  เรากต็ ้องอธิบายความจรงิ ว่าไม่ว่าอยูต่ รงไหน อันตรายมนั ก็เกิดไดท้ ้ังนั้น เพราะอย่างน้ันในครอบครัวเรื่องแรกคือความเข้าใจ  เร่ือง ที่สองคือพยายามลดความต้องการของตัวเราเอง  หมายความว่า เม่ือเรามีเวลาให้น้อยตามหน้าท่ีเรา  เราก็ต้องลดเวลาของเราเองถ้า เป็นไปได้คือจะไม่พยายามเรียกร้องหาเวลาท่ีเป็นของตัวเรา  เพราะ ว่าเราใช้เวลาไปกับงานหมดแล้ว  เราต้องจัดแบ่ง  เรารู้ว่าเราจะต้อง ทะนถุ นอมอะไร เราก็จะตอ้ งรักษาอนั น้ันไว้ให้ได”้ ค�ำว่าหญิงแกร่งที่คุณหมอได้รับจากสังคมนั้น  ส่วนหน่ึงมา จากแบบอยา่ งดีๆ ในครอบครวั ของคณุ หมอ 134

“ความเขม้ แข็งในการทำ� งาน ตน้ แบบคนแรกนา่ จะเป็นคุณ- แม่ อนั น้ีเขาเรยี กว่าความเขม้ แข็งทางความทุกข์ คือคณุ แมจ่ ะเป็น คนท่ีดูดเอาความกดดันจากการที่คุณพ่อเป็นคนร้อน  บีบบังคับลูก มาก คณุ แมเ่ ป็นคนเขม้ แขง็ มากคือไม่เคยแสดงความทุกข ์  แต่เอาตวั มาเปน็ เกราะ เราเห็นตัวอย่างคุณแม่ อีกตัวอยา่ งของความเขม้ แขง็ ก็คือคุณแม่ป่วยกายเป็นมะเร็ง  ตราบจนท่านหมดลมหายใจท่านไม่ เคยเปน็ ภาระกบั ใครเลย เราก็เหน็ ตน้ แบบความเขม้ แข็ง  แต่ว่าความ เข้มแข็งต่อมามันมาเกิดช่วงหลังจากที่คุณแม่เสียไปแล้ว  ก็คือเรา ต้องเรยี นร้จู ากชีวิตจรงิ โอกาสทเี่ ปลยี่ น เปล่ยี นมากๆ คอื หลงั จากทไี่ ป อินเดีย กค็ อื เดมิ ทกี ศ็ ึกษาศาสนาแตว่ ่าไม่ไดเ้ ต็มที่มาก ปี 2548 เป็น ปีที่ได้ไปอินเดีย  แล้วพอเราตามรอยพระพุทธเจ้า  เราจะรู้วิธีจัดการ กบั ความเครยี ด  จดั การกับศกึ หนัก จัดการกับอะไรตอ่ อะไร ท�ำให้เรา มีความมน่ั คงในการปฏบิ ัตธิ รรม ท�ำงานโดยมีลักษณะเป็นการปฏิบัติ ธรรม จะไมเ่ หน่ือยมาก ทัง้ ๆ ทีค่ นอื่นมองว่าเรานา่ จะเหน่ือยกว่าน้ี” ท�ำงานเพ่ือสังคมมาอย่างยาวนาน  และเห็นความขัดแย้งใน สังคมมามากมาย  สิ่งหน่ึงท่ีคุณหมอมองว่าปัจจัยท่ีต้องแก้ไขเพ่ือให้ สังคมลดความขัดแย้งน้นั อยู่ทต่ี ัวบคุ คลเปน็ สำ� คญั “ถ้าเรามองเรื่องปัญหาความขัดแย้งในสังคมตอนน้ี  ปัจจัย มันคงอยู่ท่ีคนเป็นหลัก  ทีนี้บังเอิญว่าความขัดแย้งของเราที่เกิด ในสังคมตอนนี้มันซ้อนกันเยอะไปหมด  มีท้ังพวกที่มุ่งหวังผล ประโยชน์  มีทั้งพวกที่ไม่ชอบการใช้อ�ำนาจปฏิวัติ  มีท้ังพวกท่ีเกลียด พรรคการเมืองพรรคหนึ่งและเป็นพวกที่รักอีกพรรคหนึ่งคือทุก อย่างมันผสมรวมกันหมดเลย  ถ้าเราจะแก้ความขัดแย้งแบบขณะ 135

นี้  บอกได้เลยว่ายากมาก  เพราะมันเป็นความขัดแย้งที่บูรณาการ   หมายความวา่ มนั แขง็ แรงมากในการขัดแยง้ เช่นกัน “เพราะฉะนั้นพอกลับมาถึงตรงนี้  ปัญหาในสังคมตอนน้ีบอก ได้เลยว่าถ้าไม่มีธรรมะในใจของทุกๆ  การแก้ปัญหาความขัดแย้ง เปน็ ไปไดย้ าก ถา้ ไมม่ ธี รรมะสตไิ ม่มา สตไิ มม่ าปญั ญาก็ไม่มา พอไมม่ ี สติปัญญาก็จะเป็นอย่างนี้  ก็คือเอาอารมณ์เป็นที่ต้ัง  อารมณ์ไม่เคย แก้ปัญหาได้  เลยยังไม่มีค�ำตอบว่าปัญหาความขัดแย้งในสังคมจะ เป็นอยา่ งไร รูแ้ ต่วา่ เราต้องไมเ่ ป็นเช่นนั้น แล้วกถ็ ้าเรามโี อกาสปบุ๊ เรา ก็จะพยายามสรา้ งความตระหนกั โดยไม่ได้จบั เขาแบง่ สี สร้างความ ตระหนักว่าอย่าเอาตัวไปอยู่ในความขัดแย้ง  แต่ว่าให้เอาตัวออกมา แล้วมองเพอ่ื จะดวู ่าคนเหลา่ น้ีจะผนึกก�ำลังกนั ได้มากแคไ่ หน เพราะ ว่าเมือ่ เรามีก�ำลังที่ดีขึน้ ...ปัญหาเหล่าน้อี าจมีทางออก” 136

มนุษย์เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม และเป้าหมายที่สูงสุดของชีวิตก็คือ ควรจะหลุดพ้น ควรจะดบั สูญ คอื นิพพาน  ดังน้ันการจะไปสู่ทางนั้น ให้เร็วท่ีสุดก็คือ  ทุกลมหายใจท่ีเรา เกิดมาเราก็ต้องสร้างบุญบารมีให้ เราไปสู่นิพพานซึ่งแปลว่าเราต้อง สร้างความดใี ห้มากๆ 137

ปราโมทย์ ไม้กลดั ข้าราชการมืออาชีพ “จงอย่าลืมว่า ข้าราชการยุคเก่า  เขา ได้สร้างบ้านสร้าง เ มื อ ง ม า อ ย ่ า ง ย า ก ล�ำบาก คนรุ่นใหม่จึง มีหน้าที่พัฒนาและ ดู แ ล ป ร ะ เ ท ศ น้ี ใ ห ้ เจริญรุ่งเรือง  และสุข สงบร่มเยน็ ” อาจารย์ปราโมทย์  ไม้กลัด  อดีตอธิบดีกรมชลประทาน  ได้ พูดประโยคนี้ไว้ระหว่างการสัมภาษณ์  ส่ิงที่ข้าราชการมืออาชีพคนนี้ ทำ� ไว้ใหก้ ับประเทศน้มี ีมากมายเหลือเกิน หลายคนคุ้นหน้าคนุ้ ตาจาก ภาพข่าวยามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  ท่านเสด็จฯ ออกพื้นที่ ทรงงานตามถน่ิ ทุรกันดารตา่ งๆ ตลอด 40 ปีใ 138

ในการท�ำงานฐานะข้าราชการ  อาจารย์มีหลักคิดอยู่สอง อย่างคือ หนึ่ง  ท�ำงานอย่างซ่ือสัตย์สมกับเป็นข้าราชการท่ีรับเงิน ภาษีจากประชาชน  สอง  ท�ำงานให้กับองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวฯ  เพ่ือตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณท่ีทรงให้ทุนไปศึกษาต่อ ทั้งๆ ทีเ่ ขาก็เป็นแคข่ ้าราชการเลก็ ๆ  ท�ำงานอยู่ในพนื้ ท่ที ไ่ี มม่ ใี ครมอง เหน็ แต่พระองค์ทรงเหน็ ท�ำใหจ้ ากเดก็ ลกู ชาวสวนยากจนคนหนงึ่ มี โอกาสทำ� งานย่ิงใหญ่เพ่ือคนไทยทัง้ ชาติ มองยอ้ นกลับไป สมัยวยั เด็ก ไม่เคยคิดวา่ วันหนึง่ จะได้มา ทำ� งานเพื่อคนอนื่ เพราะลำ� พังตัวเองก็ยากจนขน้ แคน้ มากแล้ว พ่อ แม่เป็นชาวสวนธรรมดา   แต่พวกท่านสองคนอยากให้เราเรียนสูงๆ ไม่ตอ้ งมาทำ� สวนให้ล�ำบาก อีกอย่างกอ็ ยากให้เรามีโอกาสเติบโตไป เป็นคนทีส่ ามารถทำ� งานเพ่อื คนอ่ืนไดบ้ ้าง ดังนนั้ ไมว่ ่าจะจนแค่ไหน พ่อแม่กส็ นบั สนนุ เรอ่ื งการศึกษา แตม่ ันกไ็ มง่ า่ ย เพราะเราจน บา้ นก็ ไกล การจะไปโรงเรยี นก็ตอ้ งใช้ความพยายามสงู มาก เดินไปโรงเรยี น หลายกิโลเมตรตอ่ วัน เพือ่ นคนอนื่ เขาอาจจะมพี อ่ แม่ไปสง่ หรือมีรถ คอยรับส่ง บางคนกม็ เี งนิ น่งั รถเมล์ แตเ่ ราต้องเดนิ เพราะทางบ้านไม่ ค่อยมีตงั ค์ แตต่ อนนนั้ ไม่เคยรสู้ กึ ว่ามีความทุกข์หรอื ล�ำบาก เพราะ เราท�ำจนชนิ ต่นื เช้าหน่อย เดนิ กเ็ ดนิ ไปเร่อื ยๆ ท่องหนงั สือไป ดูโน่น น่ไี ป และเป็นคนทตี่ ัง้ ใจเรยี นมาก เพราะรู้ว่าครอบครัวจน เราจึงตอ้ ง ท�ำหนา้ ทท่ี ำ� ตามความต้งั ใจของพอ่ แม่ใหด้ ีทสี่ ดุ ” 139

หลังจากเรียนจบประถมศึกษาท่ีโรงเรียนโรจนนิมิต  ซึ่ง อยู่ในเขตราษฎร์บูรณะใกล้บ้าน   อาจารย์ก็ย้ายไปเรียนในระดับ มัธยมศึกษาท่ีโรงเรียนอ�ำนวยวิทย์  อ�ำเภอพระประแดง  จังหวัด สมุทรปราการเป็นเวลาสองปี  แล้วจึงไปเข้าเรียนท่ีโรงเรียน อ�ำนวยศลิ ปธ์ นบุรี และโรงเรียนอ�ำนวยศิลป์ที่เขตพญาไท ตามลำ� ดบั เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่  8  แล้ว  อาจารย์ปราโมทย์ได้เลือกเข้าเรียน ทค่ี ณะวิศวกรรมชลประทาน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ด้วยเหตุผล ที่ว่า เมืองไทยมแี มน่ ำ้� เยอะ และคนทีม่ ีความร้เู รือ่ งน้�ำมีน้อย ถา้ เลอื ก เรยี นด้านนีจ้ ะเปน็ ประโยชนม์ ากต่อประเทศไทย “ต้องบอกคนรุ่นนี้ให้เข้าใจก่อนว่า  ในยุคนั้นเป็นยุคที่คนมี ความรู้มีโอกาสเรียนหนังสือมีส�ำนึกในการสร้างชาติกันมาก  เวลา เลือกเรียนจึงเลือกเรียนในสาขาท่ีจะสามารถออกมาพัฒนาชาติได้ เงินไม่ใช่สิ่งแรกท่ีคนรุ่นก่อนนึกถึง  เกียรติและความภาคภูมิใจต่าง หากคือสิ่งสำ� คัญ เลอื กเรียนดา้ นชลประทานก็เพราะเหตนุ ี้ อกี อย่าง หนึ่งคือว่าที่บ้านเป็นชาวสวน  เห็นความล�ำบากของพ่อแม่เร่ืองน้�ำ มาพอสมควร  ดังนั้นถ้าเราเรียนด้านน้ีก็จะมีโอกาสช่วยชาวสวนอีก หลายๆ ครอบครัวให้มนี �ำ้ ในการท�ำการเกษตรได้อยา่ งเป็นระบบมาก ข้ึน” หลังจากเรียนจบที่คณะวิศวกรรมชลประทาน  มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์  อาจารย์ปราโมทย์ถูกเรียกตัวให้ไปท�ำงานสร้างเขื่อน ในพ้ืนท่ีทุรกันดารท่ีสุดในตอนน้ัน  อย่างอ�ำเภอแก่งกระจาน  จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์  และเป็นคนรุ่นแรกของประเทศไทยท่ีบุกเบิกการ สรา้ งเขอื่ น 140

“เขื่อนในสมัยก่อนเป็นเข่ือนดิน  สร้างยาก  เคร่ืองจักรเรา ยงั มีไม่มาก คนทีม่ คี วามรเู้ รอื่ งนก้ี ม็ ีไม่มาก ดังนนั้ การสร้างเข่ือนจงึ เปน็ งานทีเ่ หนื่อยและยากเย็นแสนสาหสั เราตอ้ งเข้าไปหาพน้ื ที่ เริ่ม วางแผน จนถึงลงมือขุดลงมือทำ� กันเองท้งั หมด เขือ่ นแก่งกระจาน เปน็ ท่ีแรกทเ่ี ราเข้าไปสร้าง เงินเดอื นก็ไมไ่ ดเ้ ยอะนะครบั ตอนน้นั เป็น ข้าราชการสมัยกอ่ นมแี ค่สวสั ดิการรกั ษาพยาบาล ไมไ่ ด้มเี งนิ อุดหนุน มากมาย บางคนท�ำงานสร้างเข่อื นกับเราถอดใจไปท�ำงานเอกชนท่ี เงินเดือนดีกว่าก็เยอะ แต่เรากไ็ มไ่ ดร้ ู้สกึ อยากได้เงินทองอะไร วันๆ ก็ น่งั ท�ำงาน อยกู่ บั ป่าอยกู่ บั คนงาน กลางคืนก็ทำ� สรุปรายงานสง่ สว่ น กลาง ทำ� อยา่ งนีท้ กุ วนั สมยั นี้คนอาจจะไมเ่ ขา้ ใจว่าสรา้ งเขือ่ นจะ ยากอะไร แตส่ �ำหรับคนท่เี คยสร้างเคยท�ำมาแล้วมันยากมาก เหนอ่ื ย 141

มาก  แต่มันจะมีความสุขเม่ือเราสร้างเสร็จ  เพราะเราจะเห็นความ เปล่ยี นแปลงทันที จากน้ำ� ที่เคยท่วมกไ็ ม่ทว่ ม ชาวนาชาวสวนมนี �้ำใช้ ทั้งปี  เป็นการสรา้ งความม่ันคงใหเ้ กดิ ขึน้ กับชุมชนและประเทศ ซ่ึง เปน็ หน้าที่สำ� คัญท่ขี ้าราชการอย่างเราจ�ำเป็นตอ้ งทำ� ให้ดที ี่สุด” หลังจากสร้างเข่ือนได้หนึ่งปี  ก็มีข่าวดีเกิดขึ้นในชีวิต ข้าราชการ  เพราะอาจารย์ปราโมทย์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ทุน มลู นธิ อิ านนั ทมหดิ ล ไปศกึ ษาตอ่ ท่ี University of California at Davis สหรฐั อเมริกา ด้านชลประทานเป็นคนท่สี องของประเทศ และเป็น นักเรียนทนุ มลู นิธิอานนั ทมหดิ ลคนทีแ่ ปดของประเทศ ตอนนัน้ ส่ิงแรก ทอ่ี าจารย์จ�ำไดไ้ มเ่ คยลมื   คอื พระราชดำ� รัสท่ีทรงมีระหว่างที่เข้าเฝ้า “ในหลวงท่านตรัสว่า ‘ทุนน้ีให้เปล่า  ไม่ต้องใช้คืน  แต่อยาก ให้น�ำความรู้ท่ีได้กลับมาพัฒนาชาติ’  ประโยคน้ียังดังก้องอยู่ใน ความรู้สึก  ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางไปเรียนจนวันท่ีตัวเองเกษียณอายุ ราชการ เพราะในหลวงท่านไม่ได้คาดหวังว่าเราตอ้ งท�ำอะไรเพ่ือทา่ น แต่อยากให้เราทำ� อะไรเพ่ือแผ่นดนิ มากกว่า หลงั จากเรยี นจบมากเ็ ลย กลับมาท�ำงานด้านชลประทานในเมืองไทยอย่างเต็มความสามารถ ท่ีสุด  จนมีโอกาสได้ตามเสด็จในหลวงไปท�ำงานตามพื้นท่ีต่างๆ  ท่ี ทรงมีโครงการพระราชด�ำริ หรอื ทรงไปสำ� รวจพ้ืนที่เพอ่ื พฒั นาระบบ แหล่งน�้ำ การท�ำงานกับในหลวงเปน็ การท�ำงานท่ีหนกั เพราะพระองค์ ท่านทำ� งานหนักเชน่ กัน ทรงเขา้ ไปในทกุ พนื้ ที่ พอจบการส�ำรวจพืน้ ที่ ต่างๆ ในแตล่ ะวนั เราก็ต้องกลบั มาทำ� รายงาน ท�ำแผนการปฏิบัติ งานถวายพระองค์ท่านในวันร่งุ ขน้ึ เลย เพราะเวลาทกุ วนั มีความหมาย ต่อประชาชนในพน้ื ท่ี ยงิ่ โครงการส�ำเรจ็ ไดร้ วดเรว็ น่นั หมายถงึ ว่าชาว 142

บ้านกจ็ ะมีชวี ติ ที่ดมี ากข้ึน ดงั นั้นการท�ำงานกับในหลวงจงึ เปน็ งานท่ี หนกั   เหนอ่ื ย แตเ่ ปน็ งานท่ภี าคภมู ิใจ เป็นบญุ วาสนาท่ีลูกชาวสวนคน หนง่ึ จะมโี อกาสทำ� งานรับใชพ้ ระเจา้ แผน่ ดิน มีอยู่เร่ืองหน่ึงที่จ�ำได้ไม่เคยลืม  คือระหว่างเข้าเฝ้าถวาย รายงานซง่ึ ในที่นนั้ มีผมและอาจารย์สมิทธ ธรรมสโรช กอ่ นจะเริม่ คุย งาน พระองคท์ า่ นก็ทรงหยิบพระสมเดจ็ จิตรลดาออกมาสององค์ แล้ว ทรงตรสั วา่ กอ่ นท�ำงานจะให้พระก่อน มีอยสู่ ององคพ์ อดี ตอนน้นั รสู้ ึก ดีใจมากท่พี ระองคย์ ังทรงนกึ ถึงเรา เปน็ ภาพความทรงจ�ำท่ไี มเ่ คยลมื ” ทำ� งานเป็นขา้ ราชการมาหลายสบิ ปี สง่ิ ที่อาจารย์ปราโมทย์ เห็นในชีวิตราชการมีมากมายทั้งเรื่องดีและไม่ดี  แต่ส่ิงส�ำคัญท่ีคน ท�ำงานราชการต้องพึงระลึกไว้เสมอ  คือการท�ำงานอย่างเต็มความ สามารถ และนกึ ถึงคนอื่นกอ่ นจะนกึ ถึงตนเอง เพราะเงนิ ทุกบาททเี่ รา ไดเ้ ปน็ คา่ ตอบแทนเป็นเงนิ ทมี่ าจากประชาชน “หลายสิบปีที่ผ่านมา  มองเห็นหลายเรื่องของคนท�ำงาน ราชการ  ถ้าจะย้อนกลับไปสมัยก่อน  คนท�ำงานราชการไม่ได้หวัง เงนิ ทองมากเหมือนปัจจบุ ัน เกยี รติคือสิ่งทีส่ �ำคัญสูงสุด คนทำ� งาน ราชการจะมีเกียรติได้ก็ต่อเม่ือท�ำงานได้ดี  เป็นท่ียอมรับของคน ทั่วไป  งานที่ท�ำเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนรวม   นั่นจะน�ำเกียรติมาให้ คนท�ำงาน สมัยกอ่ นมีคนถามผมวา่ ทำ� งานราชการเงนิ เดอื นนอ้ ยจะ พอกินหรือ สำ� หรับผมแลว้ ผมพอกิน สงิ่ ส�ำคญั คอื เราต้องรจู้ ักตนเอง และวางแผนชวี ิตใหช้ ดั เจน เชน่ เรามีเงินเดือนหนึ่งหมน่ื บาท เราจะใช้ อะไรให้เหมาะสมกบั เงินทมี่ นี ี้ และเหลือเก็บไว้ใช้ในยามฉกุ เฉนิ บ้าง เงินไมเ่ คยไม่พอ อยูท่ ่ใี จเราจะพอหรือไม่ มีเงนิ เดอื นน้อย แตอ่ ยากใช้ 143

ของหรูหราฟุ่มเฟือยกต็ อ้ งเปน็ หนี้ เมื่อเป็นหนี้ก็ตอ้ งหาเงินใช้หนี้ และ ก็น�ำมาซึ่งการคอร์รปั ชนั่ อย่างในปจั จุบัน ข้าราชการบางคนอยากจะ เตบิ โต เป็นใหญเ่ ปน็ โตอยา่ งรวดเร็ว เรยี กวา่ อยากมีเกียรติเร็วๆ แต่ เขาลืมไปว่าเกียรตินั้นมาจากผลของการท�ำงาน  ถ้าคุณอยากเติบโต แตม่ าสายแล้วกลบั เร็ว ท�ำงานเชา้ ชามเย็นชาม พอถงึ ฤดูกาลโยกย้าย ก็วง่ิ หาคนโนน้ ทีคนนที้ ี ใชเ้ ส้นสาย ถา้ อย่างน้ีเรยี กวา่ ไมม่ ีเกียรติ และ ถ้าคณุ อยากรวยด้วย แต่ไมร่ ู้จักตนเอง ทำ� งานใหต้ ายกไ็ ม่รวย ทัง้ ๆ ท่ี ขา้ ราชการนน้ั มสี วัสดิการขน้ั พืน้ ฐานใหก้ บั ชวี ิตพอสมควร ส�ำคัญทสี่ ดุ คือต้องรจู้ ักท�ำงานและรู้จกั ตนเอง เราก็จะมที ั้งเกียรติและความมนั่ คง ทางอาชพี ” คตปิ ระจำ� ใจของ อาจารย์ปราโมทย์ ไม้กลัด ท่ีใชด้ ำ� เนนิ ชวี ติ กค็ ือ ท�ำงานอยา่ งมืออาชพี ไมว่ ่าจะเป็น คนทำ� งานข้างหน้าหรือข้างหลงั ใชช้ วี ติ อยา่ งมอื อาชีพ รจู้ กั ตนเองและบรหิ าร ชีวติ ให้เป็น การทำ� งานคอื การปฏบิ ตั ิ ธรรม ท�ำงานอย่างมีสมาธิ สติ แม้คณุ จะ ไมม่ ีเวลาเขา้ วัด แตก่ ารท�ำงานก็ท�ำให้ คณุ มสี มาธิไดร้ ะดับหนึง่ เช่นกนั 144

ศ.ดร.สมิทธ ธรรมสโรช “ ค ว า ม สุ ข ข อ ง ผ ม คื อ ก า ร ใ ห ้ อ ง ค ์ ค ว า ม รู ้ แ ก ่ ประชาชน” ถ้านึกถึงนักอุตุนิยมวิทยาสักคน  ที่ท�ำงานให้ประเทศชาติ มาอย่างยาวนาน  และยังท�ำงานรับใช้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวฯ คงนึกถึงใครไปไมไ่ ด้นอกจาก ศ.ดร. สมิทธ ธรรมสโรช นัก อุตุนิยมวิทยาผู้เคยด�ำรงต�ำแหน่งอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา  และ  ผู้ อ�ำนวยการศูนย์ภัยพิบัติแห่งชาติ  รวมท้ังเป็นผู้วางระบบการเตือน ภัยพิบัติในเมืองไทยและภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  อาจารย์ สมทิ ธเล่าวา่ การทำ� งานทีผ่ ่านมาตอ้ งฝา่ ฟนั มามากมาย แต่ถือวา่ ค้มุ ค่า เพราะมันไดท้ ำ� ประโยชน์ใหค้ นในชาติ ท่ีส�ำคัญคอื การเตอื นภยั ก่อนทจี่ ะมคี นบาดเจบ็ หรอื ตาย ถอื ว่าเปน็ การสรา้ งบญุ อยา่ งหนึง่ ใน ชีวติ เขา 145

“ชีวิตผมเหมือนโชคชะตาลิขิตให้มาท�ำงานรับใช้แผ่นดิน เพราะพอผมเรียนจบมัธยมและมหาวิทยาลัยท่ีอเมริกา  ก็ต้ังใจจะ อยู่ทำ� งานและใช้ชีวิตท่ีนน่ั เลย แตม่ ีอยู่ปหี นง่ึ พอดีคณุ แมป่ ว่ ย ผมก็ กลบั มาเยี่ยมท่าน ก็เลยโดนหมายเกณฑท์ หาร บังเอญิ ผมมญี าติเปน็ ทหารเรอื   ทำ� งานอยูก่ รมอตุ ุนยิ มวทิ ยา เขาบอกอย่าไปเกณฑ์เลย ผม อายุยี่สิบกว่าแล้ว  ตอนนั้นแก่แล้ว  ไปเกณฑ์ก็ต้องไปฝึกต้องไปอะไร ก็เลยให้มาสมัครเป็นข้าราชการทหาร  เขาก็เอาผมไปฝึกท่ีระยอง  ก็ เลยมาเปน็ ข้าราชการ รบั ราชการก�ำลังจะติดยศ กโ็ ดนโอนจากกรม อุตนุ ิยมวทิ ยาไปท�ำงานทส่ี �ำนักนายกแทน ตอนนนั้ จอมพลสฤษดเ์ิ ป็น นายกฯ เปน็ ช่วงที่มีพายเุ ขา้ ที่แหลมตะลมุ พุก มคี นเสยี ชวี ติ เยอะ ทาง จอมพลสฤษด์ิก็บอกว่าควรจะย้ายกรมอุตุไปอยู่ส�ำนักนายกฯ  เพราะ มนั ใกล้ นายกฯ จะได้ส่งั งานสะดวกข้นึ ถา้ ให้บอกตรงๆ ผมไมไ่ ด้สนใจด้านนตี้ ัง้ แต่แรกหรอก พอดี มาท่ีกรมอุตุวิทยาแล้วข้าราชการท่ีพอรู้ภาษาอังกฤษมันน้อย  เขาก็ส่ง ผมไปเรียนต่อ ผมกไ็ ดท้ ุน สง่ ไปฝึกงานท่ีญ่ปี นุ่ บา้ ง ทจี่ ีนบา้ ง ทฮ่ี าวาย บ้าง  ผมก็ไปศึกษาแล้วก็อยู่กับเขาสองปี  เพราะเรามีความรู้เรื่อง อตุ ุนิยมวิทยา  มันเปน็ ฟสิ ิกส์อยู่แลว้ กลับมาก็ไดป้ ระชมุ พอมปี ระชุม ทางหนว่ ยกห็ าคนพดู ภาษาองั กฤษได ้  เขาก็เรยี กเราให้ไปประชมุ พอ ประชมุ แล้วกร็ ู้จกั นักวิทยาศาสตร์ ท่จี ีน ทีญ่ ี่ป่นุ ทอ่ี เมริกา กไ็ ดเ้ ป็น คณะกรรมการวางแผนโทรคมนาคมกรมอุตุนิยมวิทยา  ท�ำๆ  ไปก็เริ่ม สนุกกับงาน” นอกจากสนุกแล้ว  อาจารย์สมิทธยังเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า วชิ าดา้ นนีม้ ปี ระโยชน์ต่อคนท้ังชาติ เปน็ งานท่สี ามารถชว่ ยคนไดม้ าก ทเี ดยี ว 146

“การท�ำงานที่กรมอุตุนิยมวิทยาส่วนใหญ่  เขาจะมีการ ประชมุ กันกอ่ นทจ่ี ะออกพยากรณ์ ทกุ เช้าอธิบดกี จ็ ะเรยี กประชุม ทุก คนก็เสนอความเห็นวา่ ลกั ษณะอากาศพรุ่งนจ้ี ะเป็นยังไง จะมฝี นฟ้า คะนอง มีฝนตก มีหนาวมรี ้อนยงั ไง  ทุกคนก็จะออกความเห็น ผม ก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง  เพิ่งศึกษาจากประสบการณ์ที่ไปต่างประเทศมา  ก็ เอาหนังสือมาอา่ น กพ็ ยากรณอ์ อกไป ท�ำให้เรามีความรเู้ พ่มิ ขึน้ ได้ ไปเรียนไปอยู่ญ่ีปุ่นบ้าง  ไปฝึกงานได้ความรู้เพิ่มขึ้น  ก็เอากลับมาใช้ วทิ ยาศาสตรต์ ำ� ราตา่ งๆ  เอามาศึกษาคน้ ควา้ ก็มคี วามรสู้ กึ วา่ งานท่ี เราทำ� มนั ได้ช่วยเหลือชวี ติ คน เริ่มสนใจ เร่ิมสนุก คิดว่าจะท�ำงานน้ตี อ่ ไป 147

“ผมท�ำงานอยู่หลายปีจนรู้จุดอ่อนว่าการพยากรณ์อากาศ มนั แมน่ ทไ่ี มแ่ ม่นเพราะเราขาดขอ้ มลู เราใชป้ ระสบการณ์เดาเอา เฉยๆ บางคร้งั มนั ก็ผดิ พลาด เวลามพี ายใุ หญ่ๆ  เขา้ มาหรอื มีอากาศ ที่แปรปรวน กรมอุตนุ ิยมวิทยาสมัยน้ันเขาจะไมป่ ระกาศเหมอื นเด๋ยี ว นี้ ผมเปน็ คนแรกที่ไปบอกอธบิ ดกี รมอตุ นุ ยิ มวทิ ยาตอนนนั้ ว่า อันนี้ ท่านบอกไดเ้ ลย อนั นฝี้ นจะตกนะ พายุจะเขา้ น�้ำจะท่วมภาคอีสานนะ ท่านก็วา่ ผม ดา่ ผมเลยละ ‘เฮย้   ลอื้ ทำ� แบบน้เี ดี๋ยวอว๊ั ะก็โดนดา่ ’ เพราะ เขาไมแ่ นใ่ จวา่ มันจะเกิดขึน้ จรงิ ๆ ผมก็นึกในใจนะ ถา้ วันนงึ ผมได้เป็น ใหญผ่ มจะต้องบอก มันจะมผี ลกระทบต่อประชาชน ผดิ หรอื ถูกเขา จะไดแ้ ก้ไข ความเสียหายมนั จะไดน้ ้อยลง ผมกไ็ ม่อยากให้มคี นตาย แบบตะลุมพุก ตอนหลงั ๆ  ผมได้เปน็ อธบิ ดีกรมอุตุนิยมวทิ ยา  มีพายุ เข้าใหญๆ่ อย่างพายุเกยผ์ มก็บอกล่วงหนา้ เลย ขนาดผมไปอยู่ตา่ ง จังหวดั ผมรวู้ ่าพายุจะเขา้ ผมเดินทางเข้ากรุงเทพ แล้วประกาศออก วทิ ยุเลย บอกเรือที่ขุดน�้ำมันอยใู่ นอ่าวไทยว่าคณุ ตอ้ งเข้าฝ่งั นะ กปั ตัน ต้องพาเรือเข้าฝัง่ เพราะพายมุ นั แรงร้อยยส่ี ิบกิโลเมตรตอ่ ช่วั โมง แลว้ เป็นไตฝ้ ่นุ ขนาดใหญ่ ตอ้ งเข้าฝ่ัง เขาก็ไมย่ อมไม่เช่อื เรือเขากจ็ มจรงิ ๆ คนตายในเรือเป็นร้อยคน แล้วบริษทั กโ็ ดนฟอ้ ง โดนญาติพน่ี ้องของ คนตายที่เป็นอเมริกนั ฟอ้ งกลับ” ปัญหาในการท�ำงานส่วนใหญ่ของอาจารย์สมิทธ  เกิดจาก ความเช่อื เดมิ ๆ ของระบบราชการไทย และความไม่เปน็ มืออาชีพของ หน่วยงาน ทำ� ใหอ้ าจารยค์ ดิ จะลาออกจากราชการถงึ สองครงั้ 148

“ผมเคยยื่นใบลาออกกับอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาสอง ครั้ง  เพราะท่านไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมท�ำ  ผมซื้อเครื่องมือ  ซื้อเครื่อง คอมพิวเตอรม์ าซึง่ จะต้องอยใู่ นแอร์ อธิบดเี ห็นก็ต่อวา่ ว่าท�ำไมหอ้ งน้ี มีแอร ์  แทนที่จะเอาไปใหผ้ ู้อำ� นวยการคนอ่ืนนั่งเยน็ ๆ ผมก็เลยลาออก เลย เพราะทา่ นไมเ่ ขา้ ใจในสิ่งทีผ่ มคดิ แต่ตอนหลังทา่ นกเ็ รียกกลบั มา ท�ำงาน ซ่งึ บางทบี างครงั้ เราก็ขดั กัน  บางทีเรามนี โยบายแบบน้แี ลว้ ผู้ใหญท่ �ำแบบนีโ้ ดยไม่ถกู ตอ้ ง ผมไมแ่ คร์เลยนะ อย่างมากทส่ี ุดก็ลา ออกเลย” เพราะเป็นนักวิทยาศาสตร์และมีโอกาสศึกษาในต่าง ประเทศ ทำ� ใหอ้ าจารย์มองเห็นว่าระบบราชการและการศึกษาไทยยงั มจี ุดอ่อนที่ต้องปรบั ปรุงอกี มาก “สังคมไทย  ผู้บริหารของสังคมยังไม่ยุติธรรมเท่าไร  ในต่าง ประเทศเด็กเขาเรียนรู้เขาไม่ได้สอนให้นักเรียนจ�ำนะ  เขาสอนให้ นกั เรยี นเปดิ ต�ำราถ้ามีปัญหา เพราะคนเราไมส่ ามารถจะจำ� ทุกๆ  เรอ่ื ง ได้ ถา้ มีปัญหาขอใหเ้ ปดิ ตำ� ราใหถ้ กู หนา้ ถูกเล่มเท่านัน้ เอง ตอนผม เรียนที่ต่างประเทศ เวลาไปเรยี นไปมปี ญั หาอะไรกเ็ ปิดตำ� รา เวลา สอบเขาก็สอบไปเรื่อยๆ ไม่ใชเ่ รียนไปทั้งปแี ลว้ ค่อยสอบ ตกกจ็ บเลย ทั้งๆ  ท่มี คี วามรู้ 149

“อีกเร่ืองหนึ่งคือ เดก็ นักเรยี นเมอื งไทยเวลาไปเรียนนีห่ อบ หนังสือหนักกว่าตัว  มันไม่มีความหมายเลย  เราควรสอนให้เด็กเรียน ผ่านหัวไปแล้วรู้จักเปิดต�ำราเมื่อติดขัด  อย่างอเมริกาเวลาสอบเขาให้ เอาเครอ่ื งคดิ เลข ให้เอาต�ำราเขา้ ไป ขอให้เราเปิดถกู หน้าตรงหนา้ ตรง บทเท่าน้ันแหละเราก็ตอบได้  ของเราต้องท่องเก่งต้องจ�ำเก่งแต่เราไม่ ได้ใช้บ่อย  พอถึงเวลาก็ลืม  เพราะอย่างน้ันการศึกษาของเขาถึงเจริญ มาก  ส่วนใหญ่คนจีนเวลาไปเรียนอเมริกา  เรียนจบปริญญาเอกกัน เป็นแถว แล้วกแ็ ตง่ ต�ำราเยอะแยะ แตว่ า่ คนไทยเราไมม่ ีโอกาสอยูต่ รง นนั้ ” ท�ำงานมาอย่างยาวนาน  ผ่านเรื่องราวทั้งดีร้าย  และต่อสู้ เพื่อรักษาชีวติ คนมามาก อาจารย์สมิทธบอกวา่ ท้งั หมดคอื สง่ิ ทส่ี ร้าง ความสุขให้สามารถมีแรงท�ำงานต่อไปได้  แม้ปัจจุบันจะเกษียณอายุ ราชการแล้วก็ตาม “ความสุขของผมคอื การให้องค์ความรแู้ ก่ประชาชน ผมถอื วา่ ผม เกิดมาอาจจะเป็นหนี้ประชาชน  หรือเป็นบาปท่ีผมสร้างไว้ตั้งแต่เมื่อ ชาติก่อนก็ไม่รู้  เวลาผมไปบรรยาย  สามส่ีช่ัวโมง  บางทีสุขภาพผมไม่ ดี  ยืนๆ  อยู่ล้มไปเลย  เป็นลมไปกะทันหันสามครั้งแล้ว  ถ้าบรรยาย เสร็จผมก็มีความสุข  ผมเคยไปบรรยายท่ีภูเก็ตคร้ังหน่ึง  น่ังรถกลับมา กับคนขบั   ผมเห็นเขาขบั รถกลับคนเดียวผมกน็ ่งั มาเป็นเพ่อื น รถเกดิ คว�ำ่   ผมเกือบตายไปทีหนง่ึ แล้ว หัวสมองกระทบกระเทอื น  เลือดออก ในสมอง  พอโชคดีเป็นบารมีเป็นบุญ  มีคนที่เข้าไปช่วยเอาช่ือผมออก รายการวิทยทุ ้องถิน่   เอาไปออกทวี ี องคมนตรที ่านหน่ึงกม็ องเหน็ ไป กราบบังคมทูลพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ทา่ นกบ็ ัญชา ให้เอาเฮลิคอปเตอร์ไปรับจากชุมพรมาท่ีศิริราช  พอหายดี  พระบาท 150