Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่องเล่าแห่งความหวังและพลังใจ

เรื่องเล่าแห่งความหวังและพลังใจ

Description: wish_eruuengelaaephuuekhwaamhwangaelaphlangaic

Search

Read the Text Version

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  ก็พระราชทานแจกันด้วย  ตอนแรกหมอก็ไม่ สนใจหรอก  พอผมไดร้ ับพระราชทานแจกนั   หมอเตม็ ห้องเลย ก็ได้รับ การดูแลเป็นพิเศษ” ถ้าถามหลักในการท�ำงานเพื่อสังคม  อาจารย์ตอบอย่างม่ันใจ วา่ ใช้หลกั กฎหมายเปน็ หลัก “ผมยดึ หลกั กฎหมาย ยดึ หลกั ยตุ ิธรรม  ใครทำ� งานอะไรมา ยดึ ตามแบบฝร่งั ท�ำงานส�ำเรจ็ ในสว่ นนี้ มีผลงานสว่ นน้ี มีผลประโยชน์ ส่วนน้ี  ก็จบ  แล้วมีการพูดจากันมีการคุยกัน  ไม่ใช่ท�ำงานตัวคนเดียว แตผ่ มเปน็ คนดนุ ะ เวลาราชการผมเป็นคนดุ พวกลูกนอ้ งบางคนไม่ คอ่ ยชอบถ้าไมร่ ูจ้ กั ผมดุ เพราะวา่ หากลูกน้องผมท�ำงานผดิ พลาด ความเสียหายเกิดข้ึน  มีคนตายไปสักคน  จะเป็นความผิดมหาศาล เพราะคนทต่ี ายไป คุณอยา่ ไปคดิ ว่าเขาตายไปคนเดยี วนะ ลกู หลาน ภรรยาเขาล�ำบาก ถา้ คุณพยากรณอ์ อกมาแล้วคุณไมผ่ ดิ คุณไมพ่ ลาด คุณก็รักษาชีวิตไว้ได้อีกเยอะแยะ  เพราะฉะนั้นเวลาท�ำงานต้อง ละเอียดถ่ีถ้วน  ไม่ใช่คร่าวๆ  คิดว่าจะบอกอะไร   คิดว่าจะท�ำอะไรแล้ว ไม่มผี ลกระทบต่อประชาชนน่ไี ม่ได้ ผมถือหลักน้นั ถา้ คณุ พยากรณ์ ผิดแลว้ มนั ไม่เกิดขนึ้ ผมจะไม่ว่าคณุ เลย คนตำ� หนผิ มยอมรบั ค�ำต�ำหนิ แทนคุณ คุณไม่ตอ้ งรับ เป็นความผดิ ของผมเอง แต่ถา้ เผื่อคุณท�ำนาย ผิดแล้วคนตายนี่คณุ ผดิ เพราะฉะนน้ั เมอ่ื ก่อน ทกุ เวลาห้าโมงเช้าผม จะเรียกประชมุ เรยี กผูอ้ ำ� นวยการแตล่ ะกองทีเ่ กีย่ วขอ้ ง แล้วเอาขอ้ มูล ข้ึนกระดานเลย  อธิบายในข้อมูลของเขา  แล้วผมจะเป็นคนวิจารณ์ที่ เขาอธิบาย  ถูกหรือผิด  แล้วก็จะให้คนอ่ืนวิจารณ์ด้วย  แต่บางครั้งผม กผ็ ิดนะ ผมเคยผดิ พลาดหลายครง้ั เหมอื นกนั ผอ.ที่เชยี งใหม่ เขามา กรุงเทพ มาเข้าประชุม ผมถามว่าอากาศเชียงใหม่เปน็ อยา่ งไร ผอ.ก็ 151

มาอธบิ าย ผมบอกไม่เหน็ ด้วย  ตามหลักวิทยาศาสตร์มันไมเ่ ป็นอย่าง น้ี แตท่ จี่ ริงผมผดิ ผมสเู้ ขาไมไ่ ด้เพราะอะไร หลักวิทยาศาสตรอ์ ย่าง เดียวสู้ไมไ่ ด้ เพราะเขาอยู่กบั พืน้ ท ี่  เขารูห้ ลังภเู ขาอยู่ตรงไหน หนาว รอ้ นเขารู้ ถ้าลมมาอยา่ งน้ียอดเขาจะเปน็ อย่างไร เขารดู้ กี วา่ เรา มีองค์ ความรูห้ ลายอยา่ ง ความรู้ความชำ� นาญพน้ื ทีเ่ ขาดกี ว่าเรา ผมผิด  ผม กไ็ ปขอโทษเขา เพราะฉะน้ันเวลาผมไปทอ้ งถ่นิ ผมต้องไปถามหวั หนา้ สถานตี รวจอากาศท้องถิน่ วา่ เป็นอยา่ งไร” แรงใจในการท�ำงาน  พลงั ใจ  ทใ่ี ชเ้ ป็นแรงขับเคลื่อนการท�ำงาน คือส่ิงส�ำคัญ  อาจารย์สมิทธก็มีแรงใจจากพระมหากรุณาธิคุณจาก องคพ์ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวฯ พระมหากรณุ าธคิ ุณของ พระองคท์ ่านเป็นแรงใจสำ� คัญ ส�ำหรบั ชีวติ ผม 152

ศ.ดร.สุนทร บญุ ญาธิการ สถาปนิกแห่งธรรมชาติ “การเรียนรู้ท่ีดีที่สุดของ มนุษย์  คือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับ ธรรมชาต”ิ              ศ.ดร.สุนทร  บุญญาธิการ สถาปนกิ แถวหน้าของโลก บอก ไว้เม่ือเราถามถึงองค์ความรู้ ส�ำคัญที่เรียนรู้มาตลอดชีวิตเกี่ยว กับงานดา้ นสถาปัตยกรรม “ผมได้ความรู้แค่บาง ส่วนจากในห้องเรียน  แต่ความ รู้ส่วนใหญ่มาจากการสังเกต ธรรมชาติ ตอนสมัยผมเดก็ ๆ ผม ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร�่ำรวย อะไร  ดังน้ันเวลาไปเรียนก็ต้อง เดินไปเรียน  ตลอดระยะทางสาม กิโลเมตรที่เดินไปโรงเรียน  ผม สังเกตทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็น กระแสลมทีพ่ ัด มดเดิน ท่ีสุนัข นอน  รอยเท้าสัตว์  จอมปลวก บางปที ี่ฝนตกหนกั ๆ เราก็สงั เกต การไหลของน�้ำ  ตอนเด็กๆ  ผม 153

เรียนโรงเรียนทจ่ี นมาก ขนาดไม่มีหอ้ งเรยี น กต็ ้องมาเรยี นตามสนาม บา้ ง ท่งุ บา้ ง แตผ่ มวา่ มนั ก็มขี ้อดีตรงท่มี ันท�ำใหเ้ ราเข้าใจความเป็นไป รอบตัวของธรรมชาติ  และเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ส�ำคัญท่ีบ่มเพาะให้ เราท�ำงานด้านสถาปัตย์โดยผสมผสานประโยชน์ใช้สอยและการอยู่ ร่วมกับธรรมชาติ” 154

แต่กว่าท่ี  ดร.สุนทรจะเข้าใจเร่ืองน้ีอย่างชัดเจน  เขาก็ต้อง เสียเวลาศึกษาในระบบการศึกษาท้ังจากเมืองไทยและต่างประเทศ อยู่นับสิบปี   ส่ิงท่ีได้จากการเรียนในระบบไม่มีอะไรมากมายกว่าใบ ปริญญา “ตอนผมเรียนปริญญาตรีท่ีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ผมเป็นเดก็ ตั้งใจเรยี นคนหนึง่ แต่ถึงผมจะ ต้ังใจเรียนมากแค่ไหน  ผมก็รู้สึกว่าองค์ความรู้ในการเรียนสถาปัตย์ มันไมไ่ ดเ้ พิ่มขน้ึ เลย มนั ไม่มสี ่งิ ใหม่ๆ เกิดขน้ึ ผมกย็ งั คงออกแบบบ้าน ออกแบบตกึ อยา่ งท่คี นรุ่นกอ่ นๆ ทำ� เวลาท�ำงานส่งอาจารย์กจ็ ะเน้น สวยและตอบโจทย์ลูกค้าอย่างเดียว  เราไม่ได้นึกถึงองค์ประกอบ อ่ืนเลย   พอเรียนจบออกมาผมก็เป็นแค่สถาปนิกท่ีออกแบบบ้าน ได้ตามใจลูกค้าเท่านั้น  เราไม่สามารถสร้างบ้านสร้างตึกที่มีความ กลมกลืนกับธรรมชาติ  และมีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การเปล่ียนแปลง ของสังคมไดเ้ ลย จนผมไปศึกษาต่อปริญญาโทท่ีสถาบันแพรตต์ บรูก- ลิน  นิวยอร์ก  ตอนน้ันเราก็หวังว่าท่ีนี่จะมีค�ำตอบให้เราในด้านการ ออกแบบ ทต่ี อบโจทยอ์ ย่างท่ีเราตงั้ ใจ แตส่ ดุ ท้ายมนั ก็ไมเ่ ป็นแบบน้ัน เพราะการเรียนท่ีนั่นก็ยังเน้นการสอนแบบเดิมๆ  อยู่  จนจบปริญญา โท ผมก็ยงั ไม่เข้าใจเร่ืองงานสถาปตั ยกรรมอยา่ งถอ่ งแทเ้ ลย เรียกวา่ ยงั ไมถ่ ึงแกน่ ตอนนั้นก็กลบั มาเมืองไทยหลังจากไม่ได้กลบั มาเกอื บ เกือบย่ีสิบปี  แต่พบว่ารูปแบบของบ้านเราก็ยังท�ำกันแบบเดิมท้ังท่ี ภูมอิ ากาศ สงิ่ แวดลอ้ มเปลี่ยนไป ทีผ่ มมกั จะตง้ั คำ� ถามเสมอก็คอื ทุก คนยอมรบั ว่ากลางวนั รอ้ นกว่ากลางคนื แตท่ ำ� ไมกลางคนื เรายงั ต้อง 155

นอนเปิดแอร์อยู่ เพราะปจั จบุ ันบรรยากาศในเมืองรอ้ นมาก สมยั ก่อน เมอื งเย็น พอกลางคืนอากาศเยน็ กไ็ หลเข้าไปแทนทอี่ ากาศรอ้ น เกดิ กระแสลม แต่เดย๋ี วน้เี มอื งมนั รอ้ นมาก จนตีสามแล้วเมืองยังไม่เยน็ อากาศก็เลยน่ิงตลอด  เรานอนไม่สบายแล้วนะครับถ้าไม่เปิดแอร์ สมัยก่อนวสั ดุสำ� หรบั ผนังและโครงสรา้ งของบา้ นเปน็ ไม้ ก็เย็นเร็ว แต่สมัยนี้เปน็ ก่ออิฐฉาบปูนหนาตั้งสี่ห้านว้ิ การทีก่ ลางคืนเรายังต้อง นอนเปิดแอร์ทั้งท่ีอากาศภายนอกเย็นกว่า  ก็แสดงว่ามันต้องมีอะไร ทีผ่ ิดปกติแน่ๆ จนวนั หนึง่ ผมไปศกึ ษาต่อปริญญาเอกท่มี หาวทิ ยาลยั มิชิแกน  และได้ไปพบศาสตราจารย์ท่านหน่ึง  ท่านได้เปิดโลกการ ออกแบบของผมใหก้ วา้ งขน้ึ เหมือนกบที่อยนู่ อกกะลา และท�ำใหผ้ ม เข้าใจวา่ ความเขา้ ใจเกย่ี วกับสถาปัตยกรรมของเราต้องขยายขอบเขต 156

ออกไปอีก นอกจากเรือ่ งความสวย ความงาม และประโยชน์ใชส้ อย แล้ว  เราต้องผสมผสานความเข้าใจและความรู้พ้ืนฐานในเรื่องของ วิศวกรรม  ฟิสิกส์  วิทยาศาสตร์  รวมถึงต้องเข้าใจถึงธรรมชาติอย่าง ลึกซึ้ง  ทุกวันน้ีสถาปัตยกรรมของเรายึดติดอยู่กับค�ำว่า คอนเส็ปต์ สไตล์ และแฟช่นั หรือบางทกี ง็ บประมาณของเจ้าของกจิ การมาก เกนิ ไป แตส่ ิง่ ท่ผี มได้เรียนรู้คอื งานสถาปัตยกรรมเมื่อพฒั นาไปถึงขัน้ สดุ ยอดกลบั ไม่มีสไตล์ แตจ่ ะเกดิ รปู ฟอร์มทล่ี งตวั ผมยกตัวอยา่ ง ถ้า เราดูต้นมะม่วง  จะเห็นว่ามันมีพัฒนาการมาเป็นเวลายาวนานมาก เร่มิ ตงั้ แต่เม็ดมะมว่ ง พฒั นาจนมีใบเลี้ยง แล้วกเ็ อาใบเลี้ยงดดู น้�ำจน หย่ังรากลึกลงไป  มันพัฒนารูปทรงจนอยู่ได้ด้วยตัวเองในภูมิอากาศ แบบร้อนช้ืนอย่างลงตัว  และได้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมที่มัน อยมู่ ากท่ีสุด โดยยงั คงเอกลักษณใ์ นตัวของตัวเอง และให้ผลทเี่ ป็น ประโยชนแ์ ก่คนทว่ั ไป สถาปัตยกรรมกเ็ ชน่ เดยี วกัน ไม่ใช่เป็นเพียง แฟช่ัน แตเ่ ปน็ รูปธรรมที่จะสนองตอบตอ่ สภาพดินฟา้ อากาศหรือเป็น ผลลัพธ์ทีธ่ รรมชาติใหม้ า อาคารทีด่ คี วรตอบสนองตอ่ สภาพแวดลอ้ ม และสามารถดึงสภาพแวดล้อมมาใช้อย่างสมบูรณ์แบบ  สามารถให้ ประโยชน์แกค่ นทัว่ ไป ผลทไ่ี ดก้ จ็ ะดเี หมอื นต้นมะม่วงน่ันเอง” ดร.สุนทรกล่าวว่า  ในครั้งน้ันนอกจากจะได้เรียนรู้เรื่องของ การออกแบบที่เข้าถึงแก่นแล้ว  ยังได้ปลดปล่อยอัตตาในจิตใจของ เขาให้หลุดออกไปดว้ ย “เม่ือเราเข้าถึงแก่นของความรู้ได้อย่างชัดเจน  ความรู้นี้ก็ สอนสจั ธรรมให้กบั ชวี ิตเรา อย่างที่บอกว่าฟอร์มท่ีลงตวั ทสี่ ุดของงาน สถาปัตย์คือไมม่ ฟี อร์ม ชีวติ ก็เชน่ กัน ในท่ีสุดเราก็ไรซ้ ่ึงการมีอย่เู พื่อ ตัวเอง ถ้าเราไมม่ องประโยชนเ์ พอื่ ตวั เองเพยี งฝ่ายเดยี ว เรากส็ ามารถ 157

เป็นศูนย์กลางในการสร้างประโยชน์เพ่ือผู้อ่ืนได้  ทุกวันนี้ผมเลือกที่ จะยอ่ ยความร้ทู งั้ หมดทม่ี ี แล้วน�ำมาถ่ายทอดกบั คนทกุ ระดับ ทัง้ ชาว บ้านธรรมดาๆ จนถึงลูกศษิ ย์ในมหาวิทยาลยั ผมจะเน้นเรอื่ งของการ เขา้ ใจธรรมชาติ รจู้ ักตวั เอง เข้าใจความตอ้ งการของสิ่งแวดลอ้ มรอบ ขา้ ง และนำ� สงิ่ เหล่านี้มาปรับใช้กบั เทคนคิ ทางการออกแบบ ทส่ี �ำคญั ตอ้ งไม่เบียดเบียนธรรมชาติจนเสยี สมดุล และสามารถใชท้ ุกสงิ่ อย่าง คมุ้ ค่ามากทส่ี ุด เวลาผมสรา้ งหรอื ออกแบบโครงการสกั โครงการ คน ท�ำงานรอบตวั ผมก็ได้เรยี นรู้ในสิ่งเหล่านไี้ ปดว้ ย” 158

“สิ่งท่ีผมอยากเห็นก่อนที่ผมจะลาโลกน้ีไป  คือระบบการ ศึกษาของประเทศไทยควรมีการปรับเปลี่ยนให้มีการเรียนรู้ในเชิง สร้างสรรค์  เพราะระบบการเรียนการศึกษาของเราในขณะน้ีไม่ช่วย ให้คนมีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์  ไม่มีนวัตกรรม  มีแต่ สอนใหท้ �ำตามๆ กัน ผดิ แล้วผิดเลา่ ซ้�ำแลว้ ซำ�้ เล่า ผมอยากเห็นงาน วิจัยมาเป็นส่วนหน่ึงของการพัฒนาประเทศชาติ  เป็นงานที่เกิดด้วย ภูมปิ ญั ญาไทยโดยคนไทยและเปน็ ที่ยอมรับในตา่ งประเทศ นอกจาก นี้ผมยังมีโครงการจะไปสร้างโรงเรียนท่ีเปล่ียนมิติทางการเรียนใหม่ ให้เด็กได้เรียนรู้และศึกษาอย่างมีเหตุมีผลมากกว่าท่ีจะท่องปาวๆ  ส่ิง ที่ผมฝันไว้ก็คือ  อยากไปสร้างโรงเรียนให้เด็กทางภาคอีสาน  ผมเคย ไมม่ ีทเี่ รียนกเ็ ลยอยากไปสร้างโรงเรยี นใหเ้ ด็กอยู่สบาย อบอุ่นในหน้า หนาว พอถงึ หนา้ ร้อนก็เยน็ สบาย หน้าฝนไม่เปียกฝน ผมเชื่อวา่ เม่อื คุณภาพชีวิตดี  เขาก็เรียนได้เต็มที่  และเราก็สามารถมีบุคลากรท่ีดีใน การพฒั นาประเทศ” 159

ผลงานของ  ศ.ดร.สุนทร  บุญญาธิการ  ท่ีได้รับการยอมรับ จากทว่ั โลก  เช่น  บา้ นชวี าทิตย์ คอื บ้านในภมู ิภาคร้อนชื้น ทไี่ มพ่ ง่ึ พา ปัจจัยภายนอก การไฟฟา้ อาศยั พลงั งานแสงอาทติ ยส์ ามารถลดการ ใช้พลังงานได้ถึง 15 เทา่ น้�ำและก๊าซชวี ภาพเปน็ ระบบการหมนุ เวยี น จากทรพั ยากรธรรมชาติ เกบ็ น�้ำธรรมชาตทิ ง้ั น้ำ� ฝนและน�้ำค้างมาใช้ ส่วนน�้ำท่ีใช้แล้วน�ำมารีไซเคิลใช้ได้จริง  บ้านประหยัดพลังงานนี้ราคา ใกล้เคียงกับบ้านที่มีการใช้สอยปกติ  นอกจากน้ียังมีศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ  ซ่ึงเป็นศูนย์ราชการขนาดใหญ่ที่เป็นระบบประหยัด พลงั งานแบบครบวงจร และสามารถปอ้ งกนั แผ่นดินไหวได้ถงึ 8 รกิ - เตอรส์ เกล สิง่ ท่ผี มอยากเห็น  ก่อนทผ่ี มจะลาโลกน้ไี ป คอื ระบบการศึกษาของประเทศไทยควรมีการปรบั เปล่ยี นให้มกี ารเรยี นรูใ้ นเชิงสรา้ งสรรค์ ผมอยากเห็น งานวจิ ยั มาเป็นสว่ นหนงึ่ ของการพฒั นาประเทศชาติ   เป็นงานทเ่ี กิดดว้ ยภมู ปิ ัญญาไทยโดยคนไทยและ เป็นทยี่ อมรบั ในตา่ งประเทศ 160

อาจารยณ์ รงค์ เพ็ชรประเสริฐ อยู่อย่างเป็นสขุ กบั ระบบทนุ นยิ ม “ ส่ิ ง ท่ี มั น เ กิ ด ข้ึ น เ ป็ น ธรรมชาติของประวัติศาสตร์  มัน เหมือนกับเป็นธรรมชาติของโลก คุณไม่สามารถห้ามให้ฝนตกหรือ แดดออก  แต่สามารถเรียนรู้ได้ว่า ถ้าฝนตกจะท�ำอย่างไร  ถ้าแดด ออกจะท�ำอย่างไร ถา้ น้ำ� ท่วมจะท�ำ อย่างไร อยา่ งน้นั มากกวา่ ” เพราะปัจจุบันเราอยู่สังคมแห่งทุน  ดังนั้นเราจึงไม่สามารถ หนีค�ำว่าทุนนิยมได้พ้นแต่เราสามารถอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข อาจารยณ์ รงค ์  เพ็ชรประเสริฐ คอื นักวิชาการคนสำ� คัญของไทยทีม่ อง และเรียนรู้ที่จะอยู่กับระบบทุนนิยมด้วยความเข้าใจโดยใช้หลักธรรม และมองทุกอย่างด้วยความจริง  ส่ิงหน่ึงที่อาจารย์อยากบอกคนใน สังคมคือเราสามารถอยู่กับระบบนี้ได้อย่างมีความสุข  โดยไม่ต้องเป็น คนมเี งินทองมากมาย แค่เพียงเรารเู้ ท่าทันเท่าน้ัน 161

“ในระบบทุนนิยมนั้นเชื่อกันว่าจริยธรรมของทุน  จะเกิดขึ้น ต่อเมื่อมีแรงถ่วง  ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง  ดังนั้นถ้าเราอยาก ให้ทุนน้ันเป็นธรรม  ก็ต้องมีแรงถ่วงท่ีเป็นธรรม  เปรียบเทียบว่าทุน เป็นแมวท่ีชอบกินปลาย่าง  เราไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยแมวไม่ให้ชอบ กินปลาย่างได้ มนั เปน็ แมวมันต้องกินปลายา่ ง แตถ่ ้าเราไม่ตอ้ งการ ใหแ้ มวกนิ ปลายา่ งก็มีสองวธิ ีคอื หยิบปลาย่างไปไวไ้ กลๆ เสีย หรือ เอาไมเ้ คาะหัวแมวไม่ให้กิน ธรรมชาตขิ องทนุ น้นั อยกู่ บั ก�ำไร ถา้ ไม่ อยากใหท้ นุ มกี ำ� ไรมากเกนิ ควร ก็ตอ้ งมแี รงปะทะกบั มัน ซ่งึ มไี ด้หลาย รูปแบบ เช่น กฎเกณฑก์ ติกา กฎหมาย มีคนมาประท้วง ตอ่ ต้าน นกั วชิ าการเรียกสง่ิ เหล่าน้วี ่า Countervailing Power มนั เกดิ การถว่ งดลุ ขนึ้ มา ให้ทุนนน้ั กา้ วหนา้ และพฒั นาขน้ึ โชคร้ายที่ทุนนิยมสามานย์มันโตไวกว่า  ผมคิดของผมว่า ถ้าเราเลือกไปในทางของทุนนิยม  เราก็ต้องสร้างทุนก้าวหน้าให้เกิด ความขัดแยง้ เฉพาะหน้าจะลงเอยอย่างไรผมไมส่ นใจ ผมสนใจแต่ว่า เราตอ้ งการเหน็ ทนุ ก้าวหน้า และในทางประวัติศาสตร์ท่ผี า่ นมา ทนุ ก้าวหน้าจะเกิดเพราะมีพลังถ่วง  ถ้าไม่มีผมจะช่วยสร้างมันขึ้นมา” 162

ในสังคมปัจจุบันที่อ�ำนาจทุนนิยมน�ำมาซึ่งความขัดแย้ง อาจารย์ณรงค์มองว่าเราไม่สามารถโทษระบบและเงินเพียงอย่าง เดียว แตเ่ ราควรมองว่าจริยธรรมของคนในสังคมเปน็ อย่างไร “ปราชญ์ของระบบทุนกล่าวไว้ว่า  ธรรมชาติของทุนน้ันขับ เคล่ือนไปด้วยผลประโยชน์ส่วนตนเสมอ  และถ้ามีโอกาส  จะไม่มี ทุนใดที่ไม่ต้องการแสวงหาประโยชน์สูงสุดให้กับตัวเอง  มนุษย์ทุก คน  ไม่ว่าจะเป็นทุนหรือไม่  มีธรรมชาติว่าปรารถนาผลประโยชน์ สูงสุดให้กับตัวเองเสมอ  ดังนั้นระบบทุนนิยมเขาไม่เชื่อว่าทุนจะ ท�ำเพื่อส่วนร่วม  เขาเช่ือว่าทุกคนท�ำเพ่ือตัวเอง  เพียงแต่ว่าการ ท�ำเพื่อตัวเองน้ันมีผลพลอยได้ต่อสังคมด้วยหรือเปล่าเท่าน้ันเอง “การกระท�ำเพื่อตัวเองน้ันมชี ่องทางหลายๆ อยา่ งท่ใี ช้แสวงหา ผลประโยชน์  แต่บางช่องทางนั้นเกิดไปท�ำลายผลประโยชน์และ สิทธิของผู้อ่ืนหรือส่วนรวม  โดยท่ัวไปคนท่ีจะมองเห็นพฤติกรรม เหล่านี้มักเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจ  ติดตามสถานการณ์  ซึ่ง มกั อยู่ในคนชั้นกลาง ถามวา่ คนรวยไมร่ เู้ หรอ คนรวยรู้ แตค่ นรวยก็ มักมีผลประโยชน์หลายอย่างสอดคล้องกับทุนสามานย์  เลยไม่พูด” อาจารย์มองวา่ ทุกอยา่ งเป็นธรรมชาตขิ องความเปลีย่ นแปลง โลก  ถ้าเรามองอย่างเข้าใจเราจะไม่เป็นทุกข์กับมันมากมายนัก “สิ่งที่มันเกิดข้ึนเป็นธรรมชาติของประวัติศาสตร์  มันเหมือน กบั เปน็ ธรรมชาตขิ องโลก คณุ ไมส่ ามารถห้ามใหฝ้ นตกหรอื แดดออก แต่สามารถเรียนรู้ได้ว่าถ้าฝนตกจะท�ำอย่างไร  ถ้าแดดออกจะท�ำ อยา่ งไร ถา้ น้�ำท่วมจะท�ำอยา่ งไร อยา่ งนนั้ มากกว่า” 163

ค�ำว่าทนุ สามานยท์ ี่ใครๆ พูดกัน อาจารยม์ องว่าเราสามารถ แกไ้ ขใหด้ ีข้ึนไดด้ ว้ ยพลงั ของมวลชนโดยเรม่ิ จากตวั เราเอง “ค�ำว่า  ‘ทุนสามานย์’  ในความหมายของผมคือ  ระบบ ทุนนิยมหรือกลุ่มทุนที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  ไม่มีฉันทา- มตอิ ยา่ งอิสระจากความรูส้ กึ ของคน เป็นทนุ ท่ีอยู่กับความไม่โปร่งใส เปน็ ทนุ ที่ไมส่ มดุล มีอำ� นาจมากเกินไป เป็นทุนทีแ่ ข่งขนั อยา่ งไมเ่ ป็น ธรรม มอี ภิสทิ ธ์ิ ค�ำว่าทุนสามานย์จริงๆ  แล้วมาจากสังคมตะวันตก  ใน ช่วงที่กลุ่มทุนแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ  มีการใช้ เงินเพ่ือซ้ือนายอ�ำเภอ  ซื้อผู้ว่า  ซ้ือตัวแทน  ใช้เงินไปต้ังแก๊งฆ่า คู่แข่ง  ท�ำลายสหภาพอะไรสารพัด  ฝรั่งเรียกพวกน้ีว่า Robber Baron หรอื ขุนนางโจร  ผมมาเรยี กในเมืองไทยวา่   ‘ทุนสามานย’์ 164

จริงๆ  แล้วในระบบทุนนิยมก็มีทั้งทุนที่ดีและไม่ดี  ทุน ที่เล็ก  ทุนที่ใหญ่  ทุนก้าวหน้าและทุนสามานย์  แล้วแต่ว่าทุน ก ลุ ่ ม ไ ห น มี อ� ำ น า จ ม า ก ก ว ่ า ใ ค ร   เ ผ อิ ญ ว ่ า ช ่ ว ง ท่ี ผ ่ า น ม า   ทุ น สามานย์มันครองอ�ำนาจ  มันก้าวหน้า  มันพัฒนาเร็วไปหน่อย” ในข้อสรุปของอาจารย์ณรงค์  ส�ำหรับวิธีการใช้ชีวิตในระบบ ของทุนนิยมของอนาคตอย่างมีความสุข  ต้องส่งเสริมความสามัคคี ของชมุ ชนเป็นส�ำคญั และมันจะเปน็ พลังขับเคลอื่ นใหส้ ังคมก้าวไปได้ อย่างแข็งแรงและมีความสุข “ผมวิเคราะห์ว่าระบบทุนนิยมท่ัวโลกท่ีเห็นกันอยู่น้ี  มันมี ทุนสามานย์และทุนก้าวหน้า  ในขณะเดียวกันจะมีการกระจุกตัว ของทุน ยง่ิ ทนุ ใหญ่มาก มีอำ� นาจมาก มกี ารผูกขาด มันจะยงิ่ กระจุก ตัว  ซึ่งการกระจุกตัวหรือการครอบง�ำของทุนน�ำไปสู่ความแตกต่าง ทางรายได้  ความแตกต่างทางชนช้ัน  ดังนั้นถ้าเราไม่ต้องการเห็น ความแตกต่างน้ันมากเกินไป  ก็สร้างพลังถ่วงข้ึนมา  ถ้าต้องการ สร้างพลังถ่วงของทุน  ก็ต้องพยายามสร้าง  ‘ทุนมวลชน’  ขึ้นมาเพ่ือ ไปถ่วงมันไว้ ถ้าเราตอ้ งการถ่วงพฤตกิ รรมของนายทุน เราตอ้ งสรา้ ง พลังถ่วงจากประชาชนหรือลูกจ้างขึ้นมายันเอาไว้  ทั้งการสร้าง ทุนมวลชนและพลังลูกจ้าง  หรือพลังผู้บริโภค  เป็นกระบวนการ สร้าง Countervailing Power หรือการสร้างพลงั ถว่ งในระบบทนุ ” 165

อาจารย์วรศกั ดิ์ มหทั ธโนบล ภมู ปิ ัญญาจีนในใจของคนไทย “ความขยนั กบั ความมวี ินัย เรื่อง น้ีผมว่าลูกหลานจีนทุกคนถูกอบรม ส่ังสอนคอ่ นขา้ งทจ่ี ะเข้มขน้ ” ถ้าจะนึกถึงผู้รู้ด้านจีนศึกษาในประเทศไทย  อาจารย์วรศักดิ์ มหัทธโนบล  คอื คนแรกที่เราตอ้ งนกึ ถงึ อาจารย์บอกว่าคนไทยกบั คน จีนน้ันมีวัฒนธรรมผสมผสานกันมาอย่างยาวนาน  และถ้าย้อนไปใน อดตี กาลนับพันปี เร่อื งของศาสนาและวถิ ขี องความเปน็ ตะวนั ออกน้นั เรามีความสัมพันธ์กันแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกันจนแยกไม่ออก  ส่ิง หน่ึงที่คนไทยและคนจีนมีเหมือนกันคือความกตัญญู  ที่ค�ำสอนนั้นฝัง อยู่ในจิตส�ำนึกของคนไทยและคนจีน  ในวัยเด็กของอาจารย์วรศักด์ิ แม้จะสัมผัสความเป็นไทยน้อยมาก  แต่เม่ือเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เขาก็พบว่าวิถีความเป็นจีนกับความเป็นไทยน้ันอยู่กันได้อย่างลงตัว อย่างเป็นธรรมชาติ  และน่ันคือแรงบันดาลใจท่ีท�ำให้อาจารย์สนใจ เรือ่ งจีน 166

“ผมอยใู่ นสภาพแวดล้อมแบบจนี เป็นส่วนใหญข่ องชวี ิต เรียกได้ ว่าผมสัมผัสกับความเป็นไทยน้อยมาก   ซ่ึงผมได้มาสัมผัสกับความ เป็นไทยก็เม่ือมาเรียนหนังสือท่ีกรุงเทพแล้ว  จนกระท่ังเพ่ือนคนไทย หลายคนแปลกใจวา่ ทำ� ไมส่ิงนัน้ ผมกไ็ มร่ ู้จกั สิง่ นผี้ มกไ็ ม่รจู้ ัก อยา่ ง เช่น ผมจำ� ได้วา่ อายยุ ่สี บิ หา้ ผมเพิง่ รู้จกั สะเดาน้�ำปลาหวาน เพ่อื นก็ แปลกใจท�ำไมไม่เคยกิน  โดยสรุปคือชีวิตส่วนใหญ่เป็นแบบน้ัน  น่ีก็ เป็นจังหวะชวี ิตช่วงแรก   ตอนที่สองผมคิดว่ามันมีความส�ำคัญโดยบังเอิญ  ก็คือเป็นช่วง หลังเหตุการณ์  14 ตุลา 2516  แล้วผมก็อยู่ในขบวนการนักศึกษา  ซ่ึง แนวคิดสังคมนยิ มกำ� ลังได้รับความนยิ มอย่ใู นเวลานัน้ แลว้ ผมก็เปน็ คนหนึ่งทีส่ นใจลัทธสิ ังคมนิยมมาก ทนี ี้สิง่ ทเี่ ราไดร้ บั มันกอ็ าจจะเป็น เพราะเราได้รับกระแสสังคมนิยมซึ่งในเมืองไทยตอนนั้นจะมีลักษณะ ไปทางซ้ายแบบจีนค่อนข้างสูง  ดังน้ัน  หนังสือหนังหาเกี่ยวกับฝ่าย ซ้ายท่ผี มไดอ้ า่ นในเวลาน้นั ส่วนใหญ่กจ็ ะผลติ มาจากจีน โดยเฉพาะ งานนิพนธ์ของเหมาเจอ๋ ตงุ ขณะทศี่ กึ ษาเรากต็ ้องศึกษาไปยังบางช่วง บางตอนของประวัติศาสตร์จนี ซ่งึ เปน็ ช่วงท่ีประเทศจีนเข้าส่ยู คุ สมยั ใหม่  เขาก็จะมีเชิงอรรถอธิบายต่อไปอีกว่าเหตุการณ์นั้นๆ  มีความ เป็นมาอย่างไร  ตรงน้ีมันท�ำให้เราได้รับรู้ถึงประวัติศาสตร์การเมือง จนี ไปโดยปรยิ าย  ถา้ จะมองก็คือถา้ ผมเป็นซ้าย ผมกเ็ ป็นซ้ายแบบ จนี อะไรท่มี ันเป็นรัสเซยี หรือยโุ รปตะวนั ออกกจ็ ะรจู้ กั น้อยมากหรือ แทบไมร่ ูจ้ กั เลย อนั น้ีกเ็ ปน็ ช่วงตอนท่สี อง ซ่ึงผมกไ็ มร่ ูน้ ะว่ามนั จะมี หรอื ไมม่ ีอิทธพิ ล จนกระทัง่ เม่อื ราวๆ ปี 2530 ผมได้เขา้ มาท�ำงานที่ สถาบันเอเชียศึกษา ท�ำไปได้ระยะหนง่ึ ทางผบู้ ริหารก็ถามว่าถา้ จะให้ มีประเดน็ วิจยั สักประเดน็ หนง่ึ อยากท�ำอะไร ผมกต็ อบไปวา่ อยากท�ำ วิจัยเก่ยี วกับประเทศจีน เพราะว่าผมเองตงั้ แต่เล็กๆ ผมก็เรียนภาษา 167

จีนมา แลว้ ก็มคี วามรู้เรือ่ งจีนบา้ งนิดๆ หน่อยๆ แลว้ กต็ อนที่เปน็ ซ้าย กม็ ีตน้ ทุนมานิดๆ หน่อยๆ ฉะนั้นตงั้ แต่นั้นมา มันเปน็ งานเปน็ การ ถ้า คิดถึงตอนนี้มันก็ต้ังย่ีสิบกว่าปีมาแล้วที่ผมท�ำเร่ืองจีน  พอรู้บ้างหรือ มีต้นทุนอยู่บ้าง  ปรากฏว่าความรู้ของผมมันน้อยมาก  ไม่สามารถ ท่ีจะเอามา กลา่ วอา้ งวา่ เป็นผเู้ ชย่ี วชาญเรอ่ื งจนี ไดเ้ ลย  แต่จนถงึ ปัจจบุ นั ผมก็ไดเ้ รยี นรภู้ ายใตง้ านวิจยั ตา่ งๆ เกีย่ วกบั เร่ืองจีนท่ีทำ� ออก มา  มันก็ท�ำให้รู้ว่ามันมีประเด็นปัญหาและส่ิงท่ีควรรู้อีกมากมาย   เพราะฉะน้ัน  ถ้าถามผมว่าสิ่งท่ีผมตั้งใจจะท�ำต่อไปเก่ียวกับเร่ืองจีน   นีเ่ ปน็ ปญั หาที่ผมกำ� ลังครุน่ คดิ อยตู่ ลอดเวลา” ภูมิปัญญาเรือ่ งจีนที่มใี นเมอื งไทยอยู่ในตัวเราแบบไม่รู้ตัว “ผมคิดว่าจริงๆ  แล้วสังคมไทยได้หยิบยืมเอาภูมิปัญญาของจีน ไปหลายๆ เรอ่ื ง โดยอาจจะรตู้ ัวบา้ ง ไมร่ ู้ตัวบา้ ง ผมอยากจะเริ่มจาก เรื่องที่สามารถสัมผัสได้ง่าย  เห็นเป็นรูปธรรมและอยู่ในชีวิตประจ�ำ วนั ยกตวั อยา่ งเชน่ เรอ่ื งอาหารการกิน เมือ่ เราไปศึกษาประวตั ิศาสตร์ ของสังคมไทย  เราจะพบว่าที่จริงแล้วสังคมไทยแต่เดิมจะไม่ได้รับ ประทานสัตว์จตั ุบาทและทวบิ าท ผมหมายถงึ สัตวส์ องเทา้ และสเ่ี ทา้ สว่ นใหญ่แล้วจะรับประทานปลาและของปา่ บางอยา่ ง มันเปน็ คำ� หนงึ่ ทคี่ นไทยค้นุ หู คือ กินข้าวกินปลา แตเ่ ขา้ ใจวา่ อทิ ธิพลของคนจนี ทเ่ี ข้ามา ซึง่ คนจีนเป็นคนที่ช่างกิน ท้งั สตั ว์ทวบิ าทและจัตบุ าท เราจะ เห็นว่ามันเปน็ วฒั นธรรมท่ไี ทยเรารบั เข้ามา หลังจากนัน้ ต่อมาแลว้ เรา ก็ยังเหน็ ตั้งแต่วธิ คี ิดและการใช้ชีวิตประจ�ำวัน ในเรอ่ื งของหลกั ธรรม 168

คำ� สอนในแบบจนี ผมคิดวา่ คนไทยกร็ ับมาโดยไมร่ ตู้ ัว สงิ่ ทีส่ ัมผสั ได้ งา่ ยอีกอย่างหน่งึ รองจากเรื่องอาหาร ผมคดิ วา่ มนั เปน็ เร่ืองของการ รับรู้เร่ืองจีนผ่านงานวรรณกรรม   สังคมไทยเป็นสังคมที่ค่อนข้างโชค ดีที่มีการแปลวรรณกรรมและต�ำราประวัติศาสตร์ของจีนเอาไว้ค่อน ขา้ งเยอะ เวลาจนี เขาบนั ทึกหรือแตง่ ขึ้นมา เขาจะแทรกหลกั ค�ำสอนที่ สะท้อนให้เห็นภาพชวี ิตของมนุษยท์ มี่ ที ั้งด้านมดื และด้านสว่าง และที่ สำ� คญั คนไทยนยิ มอ่าน เอาเฉพาะสามก๊กเรื่องเดียว เราก็เห็นแลว้ ว่า มันมีการตีพิมพต์ งั้ หลายครงั้ และในชวี ิตประจำ� วนั ของคนไทยจำ� นวน หนึง่ ก็มกั จะหยิบยกเอาวลี หรือสภุ าษิต หรอื ส�ำนวนโวหารในงาน วรรณกรรมเหลา่ นม้ี าใชอ้ ย่เู รือ่ ย เรามกั จะได้ยิน เช่น ‘ศึกครัง้ นี้ใหญ่ หลวงนัก’ หรือเราคิดถงึ เพอื่ นคนหน่ึง แลว้ เขาโผล่มาพอดี เหมอื นกับ วลที ีว่ า่ ‘คิดถงึ โจโฉ โจโฉก็มา’ อะไรอย่างนี้ นอกนั้นก็เปน็ หลักค�ำสอน ท่วั ๆ ไป ในเร่ืองของความกตัญญู หรือความขยนั หมัน่ เพยี ร อนั นีผ้ ม คิดว่าเป็นเรอ่ื งที่สองท่เี ราสามารถสมั ผัสได้ง่าย” 169

ปรัชญาขงจอื๊ กบั พทุ ธศาสนานน้ั ต่างทมี่ าแตค่ ล้ายคลงึ กัน “หลกั ค�ำสอนของขงจอ๊ื นัน้ ท่ไี ดร้ ับการยอมรบั มาก เหตุผลส่วน หน่งึ กเ็ พราะมันเปน็ หลกั คำ� สอนท่ี Realistic มันสอดคล้องกับความ เปน็ จรงิ ของสังคมสมยั หนึ่งๆ คณุ จะไมร่ สู้ กึ ตะขิดตะขวงใจที่จะรับมนั มันไมไ่ ดส้ ดุ โต่ง มนั กลางๆ เหมือนกับหลกั ค�ำสอนของพระพุทธเจา้ ถ้าเราลองไปศึกษาหลักค�ำสอนของพระพุทธเจ้าสมัยท่ีท่านยังมี ชวี ติ อยู่และเปรียบเทยี บกับคำ� สอนของนิกายอ่นื ๆ ในอนิ เดยี ในชว่ ง พุทธกาล  เราจะพบเลยว่าของส�ำนักอ่ืนๆ  มันจะไปข้างใดข้างหน่ึง ชัดเจนเลย แตว่ า่ ของศาสนาพทุ ธไมใ่ ช่ คือมีอุเบกขา ไมต่ ึงเกินไป ไม่ หยอ่ นเกนิ ไป ดังนน้ั เรอื่ งความสอดคลอ้ งของสงั คม กท็ �ำให้คนจนี รบั ได้ มนั ฝงั รากลึกมาเปน็ เวลานับพนั ๆ ปี จนถงึ เด๋ยี วนคี้ นจนี โดยทั่วๆ ไปก็มีวิถีปฏิบัติแบบน้ี  ชีวิตเขาก็ใช้แนวคิดของขงจื๊อโดยที่เขาไม่รู้ ตัว ผมยกตวั อยา่ งเรอ่ื งความกตัญญู ซง่ึ จริงๆ เมอ่ื กอ่ นความกตญั ญู กถ็ ูกยกมาเท่าๆ กบั หลักข้ออืน่ ๆ แตว่ ่าพอมาสมัยราชวงศ์ชงิ กม็ กี าร ชูเร่ืองความกตัญญูมาอย่างสงู เด่น เราก็เลยสงสยั วา่ ท�ำไมคนจีนเขา ถงึ เน้นเรือ่ งความกตญั ญูจังเลย ผมวา่ อนั น้ีเป็นภูมิปัญญาทมี่ ันมนี ัย- ส�ำคัญแฝงอยู่ แล้วผมคดิ ว่าคนจนี คนไทย คนไทยเชอ้ื สายจนี พอมี ปฏิสัมพันธ์ระหวา่ งกนั แลว้ ก็ซึมซับกนั อยา่ งไมร่ ตู้ ัว อาจารยผ์ ู้ใหญท่ ี่ ผมเคารพนบั ถือท่านพูดอยู่ประโยคหนงึ่ ผมชอบมากเลย คุณไปชใ้ี คร สกั คนสิ ว่ามใี ครบา้ งที่เป็นคนไทยแทๆ้ มันยากมากเลย อย่างนอ้ ยก็ คงมสี ่วนผสมของจนี บ้าง” 170

ห ลั ก ค� ำ ส อ น ที่ ดี จ า ก ครอบครัวคนจีน  ท่ีช่วยพัฒนา ชีวติ “ ค ว า ม ข ยั น   กั บ ค ว า ม มี วินัย  เร่ืองน้ีผมว่าลูกหลานจีน ทุกคนถูกอบรมสั่งสอนค่อนข้าง ที่จะเข้มข้น  เอาเป็นว่าพอเลิก เรียนปุ๊บ  ผมเห็นเด็กวิ่งเล่น  ก็ อยากจะไปบ้าง แต่กไ็ มไ่ ด้ มนั ตอ้ งมาช่วยพอ่ แม่ และพอ่ แม่จะ บังคับให้ท�ำการบ้าน  แต่พอไป โรงเรียน เพื่อนทม่ี นั วิง่ เล่นมนั ไม่ ส่งการบ้าน แตเ่ รามีส่ง มันเป็น อย่างนี้ ถามวา่ เรามีความสขุ ไหม เราก็อยากเล่นมากกว่า  แต่สิ่ง ท่ีเราได้มาโดยไม่รู้ตวั มารู้ตัวตอนโตแลว้ กค็ ือ เราขยันโดยธรรมชาติ มันกลายเป็นว่าถ้าวันไหนเราไม่ได้ท�ำอะไรมันจะหงุดหงิด  แล้วผม สงั เกตนะว่าคนอืน่ ท่ีเปน็ ลกู จนี คล้ายๆ ผม ไม่วา่ จะอาชพี อะไรกเ็ ป็น เหมอื นกนั เอาเฉพาะตัวผมน่ีแคป่ ีที่แลว้ จนถึงปีนี้ ผมมีหนงั สือเล่ม โตๆ ออกมาแล้วสามเล่ม ผมก็ไมไ่ ดร้ สู้ ึกว่าผมเหน่ือย หรอื ขยนั นะ ก็ ร้สู กึ ธรรมดา บางทผี มเหน็ คนอน่ื มเี วลาวา่ งก็คดิ นะ วา่ ท�ำไมเขาไม่ทำ� อะไร แต่ในหลกั ศาสนาพทุ ธ ความขยันก็เป็นจรยิ ธรรมข้อหนึ่งนะ” 171

มีค�ำจีน ปรชั ญาจนี ประจำ� ใจ “มันมีความประทบั ใจตั้งแต่เดก็ นะ แล้วกบ็ งั เอญิ บางคร้ังในชว่ ง ชวี ติ กเ็ จออย่างน้ัน ภาษาจนี เรียกว่า ‘ว่อ ซนี ฉ่าง กา’ มันคล้ายๆ เป็น ค�ำพงั เพยหรอื สภุ าษติ ท่ีเป็นเร่ืองจริงในประวตั ศิ าสตรจ์ ีน ทกี่ ษตั ริย์ ของรัฐหน่ึงถูกกดขี่จากการเป็นเมืองขึ้น  เขาจึงเอาดีหมูมาแขวนไว้ แลว้ ให้คนจดั ที่นอนบนฟาง ปเู ส่ือทับ ในหอ้ งอบั ๆ สว่ นดหี มูกค็ อื ให้ กษัตริย์ล้ิมรสความขมของดีหมู  คือ  ความขมข่ืนของความพ่ายแพ้ ซ่ึงเป็นความหมายของประโยคน้ี  ในท�ำนองที่ว่า  จงอย่าลืมอดีตที่ เคยขมขื่น หรอื ความพา่ ยแพท้ เี่ คยเกิดขึน้ แลว้ หลงั จากน้นั ตอ่ มาใน ที่สุดกษัตริย์พระองค์น้ันก็เอาชนะรัฐท่ีมาตีได้ส�ำเร็จ  ซ่ึงผมคงพูดค�ำ แปลแบบเปะ๊ ๆ ไมไ่ ด้ แตม่ นั ใช้เตอื นตัวผมเสมอว่า เราไม่ได้แนจ่ รงิ ๆ หรอก ผมวา่ ผมทำ� งานชิ้นหนง่ึ ขึน้ มา ผมทำ� มันเตม็ ที่ ละเอยี ด แต่ ประสบการณ์หลายสบิ ปีทผี่ ่านมา มันทำ� ให้ผมรวู้ า่ ไม่ว่าเราจะทำ� ดแี ค่ ไหน เดีย๋ วมนั กม็ ขี ้อมูลใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอยู่เป็นประจ�ำ” 172

เราก็พยายามเตือนตัวเองอยู่ เสมอ วา่ ชวี ติ นมี้ ันมีความขมอยู่ จะ ได้ไมห่ ลงระเรงิ 173

นพ.ยงยทุ ธ วงศภ์ ริ มย์ศานติ์ “หัวใจส�ำคัญของพุทธเน้นว่า เราสามารถพัฒนาจิตของเราให้สูง ขึ้นได้  จิตที่สูงขึ้นได้คือจิตที่มีความ สามารถในการเผชิญความเครยี ดได้ มากเป็นพิเศษ  เป็นจิตที่ผ่านการท�ำ สมาธ”ิ สุขภาพกายกับสุขภาพใจน้ันสัมพันธ์กันเป็นอย่างมาก  ใคร ท่ีสุขภาพใจดีก็จะเป็นส่วนน�ำส�ำคัญให้สุขภาพกายนั้นดีตามไปด้วย  คุณหมอยงยุทธ  วงศ์ภิรมย์ศานติ์  ผู้ทรงคุณวุฒิกรมสุขภาพจิต  คือ จิตแพทย์ท่ีดูแลสุขภาพจิตผู้คนมาอย่างยาวนาน  จากคนท่ีสนใจ กิจกรรมด้านสังคมในยุคเรียกร้องประชาธิปไตย  มาเป็นหมอที่คอย ดูแลจิตใจคนในภาวะสังคมท่ีมีความกดดันมากมายทางสังคมและ เศรษฐกิจ  อะไรคือส่ิงส�ำคัญท่ีจะท�ำให้จิตใจผ่องใสและเป็นสุขได้ ประสบการณ์หลายสิบปขี องคณุ หมอยงยุทธมคี �ำตอบ 174

เพราะสนใจลึกลงไปในจิตใจคน  การเรียนด้านจิตเวชคือทาง เลอื กทด่ี ที ี่สดุ “ที่ผมเลือกเรียนทางจิตเวชเพราะมันคือวิชาที่มันสอดคล้อง กับความสนใจของตัวเองท่ีสุดแลว้ ผมสนใจเรือ่ งของสงั คม เรือ่ งของ จิตใจมนุษย์  การแพทย์โดยพ้ืนฐานจะเป็นเรื่องทางกาย  แต่ว่าเรื่อง ทางด้านจิตเวชเป็นเร่ืองของการศึกษา  ต้ังแต่ด้านพัฒนาการของ มนุษย์ทำ� ไมมนษุ ยเ์ ราถงึ เจ็บปว่ ย ความเจบ็ ปว่ ยแตล่ ะประเภทเปน็ ยงั ไงแล้วเรามีวิธีการยังไงท่ีจะช่วยให้คนหายจากการเจ็บป่วยทางจิตใจ ได้ เราก็เรียนรู้ศาสตร์ท่ีอธิบายเรื่องของการเปล่ียนแปลงของ สมองกับจิตใจแล้วจึงเอามาประกอบกัน  คือไม่ได้ไปยึดในสิ่งเหล่า น้ันมากก็เน้นเร่ืองของอิทธิพลทุกด้าน  โดยเน้นอิทธิพลจากการเรียนรู้ จากเร่ืองของครอบครัว  จากเร่ืองของชีวิตโดยให้ความส�ำคัญกับเร่ือง น้ีค่อนข้างมาก  การให้ความส�ำคัญกับเรื่องนี้มากมันก็มีข้อดีอยู่สอง ประการ  ข้อดีประการแรก  คือมันใช้ได้กับคนส่วนใหญ่ท่ีไม่ได้เจ็บ ป่วย  เพราะแน่นอนการเจ็บป่วยมันจะมีปัจจัยทางชีวภาพเพ่ิมเติม  แต่ว่าส�ำหรับคนท่ัวไปแล้วปัจจัยทางด้านเรื่องของการเล้ียงดู  เรื่อง ของชีวติ ในวยั เดก็ เรอ่ื งของประสบการณ์ชีวิตมันมีผลมาก ประโยชน์อันที่สองคือท�ำให้เราดูแลคนท่ีป่วยรวมทั้ง ครอบครัวของเขา  โดยไม่มุ่งเน้นการใช้ยาอย่างเดียว  ผมก็จะเป็น จิตแพทย์อยู่ในกลุ่มที่ให้ยาเท่าที่จ�ำเป็น  แล้วก็มุ่งเน้นเรื่องของการ เข้าหาสาเหตุ  แล้วก็ให้เกิดการปรับตัวทางด้านจิตใจและเร่ืองของ ครอบครัวมากกว่า  อันนี้ก็เป็นจุดดีท่ีท�ำให้เราสามารถท่ีจะใช้มุมมอง ด้านนี้เขา้ มาได้ 175

“ที่จริงตอนท่ีผมมา เรียนจิตแพทย์ผมมีความใฝ่ฝัน ว่าอยากเป็นคนท�ำจิตบ�ำบัด มี ความร้สู กึ วา่ ถ้าคนเรามันไมไ่ ด้ ถึงขนาดเป็นโรคจิต  แต่ว่ามีปม มีความทุกข์ มคี วามวิตกกงั วล   มีอารมณ์เศร้า  สิ้นหวัง  ถ้ามี กระบวนการที่ดีที่ท�ำให้เขาได้ กลับมาทบทวนตวั เอง แลว้ ก็มี วิธีการรักษาทด่ี ี น่าจะทำ� ใหเ้ ขา กลบั มาได้ นีเ่ ปน็ ความใฝฝ่ ัน” ความเมตตารกั ษาโรคทางใจได้ “ผมยกตัวอย่างความประทับใจที่ผมเคยเห็น  อย่างตอนที่ ผมฝึกเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลบ้านสมเด็จเจ้าพระยา  จะมีอาจารย์ ท่านหนึ่งซ่ึงท่านจะเมตตาผู้ป่วยโรคจิตมาก  สมัยนั้นเรียกว่าเป็นผู้ ป่วยเร้ือรัง  อยู่ในสภาวะที่กลับบ้านไม่ได้แล้ว  แต่ว่าท่านจะดูแลด้วย ความเมตตา  แล้วเราเห็นทันทีเลยว่าปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ป่วย เวลาเจอท่านมันต่างกับจิตแพทย์คนอ่ืน  ขนาดคนไข้ท่ีเรารู้สึกว่าหมด สภาพแลว้   แต่เขากลบั มปี ฏิกริ ิยาตอบสนองกบั อาจารย์ทา่ นน้นั 176

หรือกรณีที่สอง  ผมมีอาจารย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งซ่ึงเวลาผู้ป่วย ของท่านมาลากลับบ้านท่านจะนัดญาติท้ังหมดมาด้วย  แล้วท่านจะ ให้ความส�ำคัญมากเลยกับการดูแลญาติผู้ป่วย  อธิบายว่าญาติเขา เป็นทกุ ข์ยังไงกับผปู้ ่วย ญาติปรบั ตวั ไมไ่ ด้ยงั ไงกับผู้ปว่ ย ผู้ป่วยปรับ ตัวไมไ่ ด้ยังไงกบั ญาติ แลว้ เห็นไดช้ ดั เลยว่าผลการรักษาของอาจารย์ ท่านน้ี ทา่ นท�ำให้ผู้ป่วยได้กลบั บ้านได้มากกวา่ หมอคนอื่น  ท�ำใหผ้ ู้ ป่วยปรับตัวดีข้ึน ญาตปิ รบั ตวั ดีขึน้ ซึ่งเขากก็ นิ ยาเท่ากนั อันนก้ี ็ไม่นบั ถงึ งานวจิ ยั ระยะหลงั ทม่ี าสนับสนุนเรื่องน้มี ากมาย” เพราะสงั คมเปลยี่ นไป ท�ำใหเ้ ราทกุ คนปว่ ยทางจิตได้ “โดยหลักทางระบาดวิทยา  คนไข้ทางจิตเวชแบ่งเป็นสอง กลุ่ม  มีกลุ่มหนึ่งที่จะค่อนข้างคงที่เพราะมีปัจจัยพื้นฐาน  เช่นด้าน พันธุกรรม  ซ่ึงไปมีผลต่อการท�ำงานทางด้านสมองที่เกี่ยวข้องกับ จติ ใจ  เชน่ โรคจิต โรคซึมเศรา้ โรคอารมณ์สองขว้ั   หรอื แมก้ ระทงั่ โรค สมองเสอ่ื มอุบตั กิ ารณพ์ วกนนี้ คี่ อ่ นขา้ งจะคงที่ แต่มันก็จะมีโรคกลุ่มหนึ่งท่ีแปรเปล่ียนไปตามสถานการณ์ เช่น  ถ้าเกิดว่าเรามีภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างนี้  ก็อาจจะมี คนท่ีมีปัญหาทางด้านการปรับตัว  มีอารมณ์เศร้ามากขึ้นเวลาเกิด ปรากฏการณ์ท่ีเป็นภัยพิบัติท่ีท้ังเกิดจากคนท�ำ  เช่น  กรณีเผาเมือง กรณีภาคใต้  หรือภัยพิบัติจากธรรมชาติ  เช่น  สึนามิหรือน�้ำท่วม  จะมี คนที่ได้รับผลกระทบ คนทตี่ อ้ งสูญเสียทีไ่ ดร้ ับผลกระทบอยา่ งรนุ แรง ก็อาจจะเกิดบาดแผลทางใจ พวกนี้จะแปรปรวนไปตามสถานการณ ์   เพราะฉะน้ันอย่างในกลุ่มหลังก็จะมีแนวโน้มท่ีจะเพิ่มมากข้ึนตาม สถานการณ์” 177

ศาสนาและปรัชญาการใช้ชีวิตนั้นมีส่วนช่วยให้คนได้พ้น ทกุ ข์ “การศึกษาเก่ียวกับเร่ืองความสขุ ของคนท่วั โลกกจ็ ะมีคลา้ ยๆ กันคือว่าคนท่ีมีส่ิงยึดเหน่ียวทางศาสนา  จะสามารถปรับตัวและมี ความสุขในสังคมได้มากกว่า  เพราะว่าทุกศาสนาก็จะสอนคนคล้ายๆ กันคือ  ไม่ท�ำความช่ัว  ท�ำความดี  มีความเมตตา  มีความพอใจกับ สิง่ ทีเ่ ปน็ อยใู่ นชวี ิต ซ่ึงเปน็ ความเชอ่ื อยแู่ ล้ว ในทางดา้ นความคิดทาง จิตวิทยามันเป็นภูมิคุ้มกันส�ำคัญ  การที่คนเราต้องเจอแรงบีบค้ัน ทางเศรษฐกิจ  แรงบีบค้ันจากชีวิตหรือวิกฤตการณ์ต่างๆ  ถ้าคนที่มี หลักยึดทางศาสนาเขาก็จะท�ำใจได้ดีกว่าและให้อภัยคนได้มากกว่า  เพราะฉะน้ันคุณสมบัติพวกนี้จะท�ำให้คนเหล่านี้มีความสุขมากกว่า คนทวั่ ไปอยู่แล้ว ส�ำหรับผมเอง  ผมเป็นชาวพุทธและเป็นคนที่สนใจใน พุทธธรรมและขณะนี้แม้กระทั่งทั่วโลกหรือในสายจิตวิทยาก็สนใจ จิตวิทยาในพุทธ  ก็คือเราไม่ได้ปิดในเรื่องความเป็นศาสนา  แต่เราน�ำ เอาหลักคิดหลักการหลักปฏิบัติทางพุทธมาใช้ในทางด้านสุขภาพจิต   เราก็พบว่ามันมีประโยชน์มาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักของพุทธ ธรรม  เราจะเหน็ ว่ามันมีสองสาย  คือเถรวาทกบั มหายาน  ซ่ึงท่ีจรงิ ทั้ง สองสายถา้ น�ำมาเชือ่ มโยงกันจะเปน็ ประโยชนม์ ากเลย เราจะเห็นว่าคนจ�ำนวนมากท่ีอยู่ในนิกายเถรวาทหรือ มหายานก็เป็นท้ังสองแบบ  พระท่านก็สอนเรื่องการช่วยเหลือคนท่ี ทุกข์ยากด้วยเช่นเดียวกัน  ของดาไลลามะหรือปรมาจารย์ท่านอื่นๆ  ผู้ปฏิบัติธรรมก็จะเน้นถึงความช่วยเหลือคนยากคนจน  แต่ท่ีส�ำคัญ 178

คือการพัฒนาจิต  ซึ่งตัวนี้เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งมากให้ กับตัวเราเองในด้านความแปรปรวนของชีวิต  ซ่ึงสังคมปัจจุบันมันมี ความแปรปรวน  มีส่ิงที่ย่ัวยุ  มีส่ิงที่เข้ามารบกวนจิตใจเราเยอะมาก เพราะฉะน้ันหัวใจส�ำคัญของพุทธก็คือเน้นว่าเราสามารถพัฒนาจิต ของเราให้สูงขึ้นได้  จิตท่ีสูงขึ้นได้คือจิตท่ีมีความสามารถในการเผชิญ ความเครยี ดได้มากเปน็ พเิ ศษ  เปน็ จิตทผ่ี า่ นการท�ำสมาธิ หลักของสมาธิง่ายๆ  ก็คือ  การท�ำให้ความคิดหยุดอยู่กับส่ิง ใดสิ่งหน่ึง  พอความคิดมันหยุด  จิตมันก็จะสงบ  พอจิตมันสงบว่าง จากความคิดทั้งปวง  ก็จะท�ำให้เกิดความผ่อนคลายทางด้านร่างกาย และจิตใจ  ที่จริงหลักการนี้ในทางจิตวิทยาเราถือว่ามันเป็นหลักการ ท่ีท�ำให้มนุษย์สามารถพัฒนาจิตให้เผชิญกับความเครียดและแรง กดดันต่างๆ  ได้ดีมาก  อันนี้ถือเป็นการพัฒนาจิตท่ีส�ำคัญของสัมมา- สมาธิ” นอกจากมสี ัมมาสมาธิแลว้ ตอ้ งมีสมั มาสติ “อีกอันหน่ึงท่ีส�ำคัญคือสัมมาสติ  คือการที่เราอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสิ่งหนึ่งส่ิงใด  โดยที่จิตใจไม่วอกแวก  ไม่ต้องสอดแทรกด้วย อารมณ์หรือส่ิงรบกวนใดๆ  พวกนี้ก็จะมีเทคนิคในการฝึกสติให้อยู่กับ สิ่งท่ีเราท�ำ  พอเราฝึกสติให้ดีข้ึนเราก็จะท�ำงานได้  โดยท่ีไม่วอกแวก   มีปัญหาด้านจิตใจน้อยลง  เพราะว่ามันไม่ถูกรบกวนด้วยสิ่งรบกวน ทางด้านจิตใจใดๆ  สติมันยกระดับเราให้รู้ทันปรากฏการณ์ภายใน จิตใจ  เช่นเวลาเราโกรธเราก็สังเกตว่าความโกรธของตนเองเกิด ข้ึนระดับไหน  มันก็จะเกิดการพัฒนาปัญญาข้ึนมา  มันเป็นความ สามารถในการปล่อยวาง  ซึ่งพวกน้ีมีกระบวนการและวิธีการฝึก  โดย 179

เฉพาะอย่างยิ่งทางสายจิตวิทยาเขาเอาไปใช้กลายเป็นวิธีการบ�ำบัด เปน็ วธิ ีการฝกึ จติ มากมาย  อย่างเช่นการฝึกสงั เกต สมมตุ เิ ราโกรธเรา กส็ ังเกตสง่ิ ทเี่ กดิ ขึน้ บนรา่ งกายของเรา  เชน่ หนา้ มนั รอ้ น ใจมนั เตน้ แรงอะไรอยา่ งนี ้  แล้วก็ดูการเกดิ ข้นึ การเปลี่ยนแปลงไปของมัน เราก็ จะเห็นเองวา่ มนั จะค่อยๆ  หมดไป” 180

เราจะเห็นเอง  ว่าเราสามารถ ปล่อยวางได้ด้วยการท่ีรู้ถึงการ เปล่ยี นแปลง เกดิ ขน้ึ ดับไป เปน็ ปรากฏการณ์ทางจิตของเรา  เช่น อารมณ์โกรธ  แล้วเราก็สามารถ พัฒนาจิตของเราให้ข้ึนไปเร่ือยๆ คนที่โกรธบ่อยขึ้นก็โกรธน้อยลง   จากโกรธงา่ ยกจ็ ะโกรธยากข้นึ 181

วรัตดา ภัทโรดม มีสุขไดเ้ ม่อื ไม่โกรธ “เช้ือของความโกรธมัน ถูกทับถมอยู่ในจิตเป็นล้านๆ  ชาติ คนที่มาท�ำให้เราโกรธไม่ใช่ต้นเหตุ ของความโกรธ  แต่มันแค่พาหะที่ ท�ำให้เราโกรธเท่าน้ัน  พอพาหะมา สะกิดมันก็เกิดเปรี้ยงขึ้นทันที  มัน กท็ ะเลาะกนั แตถ่ า้ เรารู้ธรรมชาติ ของทุกอย่างแล้วมันไม่ใช่  และการไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมัน เป็นการล้างจิต  เมื่อเชื้อของความโมโหมันน้อยลง  เหตุที่จะมีท�ำให้เรา โมโหมันจึงมผี ลนอ้ ยมาก” “ท�ำไมประสบความส�ำเร็จทางหน้าที่การงาน  มีเงินใช้มากมาย แลว้ ทำ� ไมยงั ไมม่ คี วามสขุ ?”  นค่ี ือคำ� ถามทค่ี ณุ เหมยี ว วรัตดา ภทั โรดม ถามตัวเองในขณะที่ชีวิตประสบความส�ำเร็จที่สุด  มีเงินมากที่สุด  แต่ใน ใจกลับสะสมอารมณ์ขุ่นมัวมากมายโดยไม่รู้ตัว  และอารมณ์เหล่าน้ัน ท�ำให้เธอค้นพบความจริงว่าความสุขที่เธอได้รับภายนอกนั้น  หาใช่ความ สุขท่ีแทจ้ รงิ แต่มนั คือความสุขจอมปลอมทกี่ อ่ ให้เกิดทกุ ข์ทั้งสิ้น 182

ค�ำถามยอดฮิต มีความสำ� เร็จ มเี งนิ ต้องมสี ุขไมใ่ ชห่ รือ? “เป็นค�ำถามท่ีคนถามเยอะมากโดยเฉพาะคนท่ีท�ำงาน  ส่วน ใหญ่จะถามว่าประสบความส�ำเร็จในหน้าที่การงานแล้วท�ำไมถึงไม่มี ความสขุ ซึง่ มนั ควรมคี วามสุขนะ เงนิ เดือนเปน็ แสน เงินเดอื นสาม แสนของเราเม่ือประมาณย่ีสิบปีก่อนมันเยอะมากเลยนะ  ไปปัจฉิม- นเิ ทศนกั ศกึ ษาจบใหม่ เลา่ เรอ่ื งนี้ ทุกคนกค็ ิดวา่ เราน่าจะมีความสุข มาก แต่ตวั เองไมม่ คี วามสขุ นะ ไมม่ คี วามสุขโดยทไ่ี ม่รู้ตวั ทั้งทเี่ รามี คณุ ภาพชีวิตทางกายทดี่ ี มเี สื้อผ้าดๆี มีรถดีๆ ได้กนิ อาหารดีๆ มีอยา่ ง ทท่ี กุ คนไขวค่ ว้ากนั เพราะทกุ คนทไี่ ม่มกี พ็ ยายามให้มแี บบท่ีเรามี ทัง้ โลกเป็นเหมือนกันหมด  ทุกคนคิดว่าได้ส่ิงเหล่าน้ีมาแล้วจะมีความสุข เราโชคดีทีไ่ ดส้ ่ิงเหลา่ นมี้ าตั้งแตอ่ ายุนอ้ ย เคยลองคิดเล่นๆ วา่ ถ้าตัว เองประสบความสำ� เรจ็ ตอนอายุหา้ สบิ กวา่ มเี งินตอนแก่ เราคงเหลอื เวลาในการกลับตัวน้อยมากเลย  เราโชคดีมากที่เราประสบความ ส�ำเร็จต้ังแต่อายุยี่สิบเก้า  เริ่มเป็นบ้าต้ังแต่ตอนน้ัน  เพราะชีวิตมัน ประสบความส�ำเรจ็ แบบกา้ วกระโดด มันไม่ใช่แบบคอ่ ยเปน็ ค่อยไป ดังนั้นมันท�ำให้เรากลับตัวและมองตัวเองเห็นถึงความทุกข์ ที่เข้ามาโดยไม่รู้ตัวได้เร็ว  และการที่ระบบทุนนิยมบอกว่าทุกคนต้อง ประสบความส�ำเรจ็ ในหน้าทก่ี ารงาน ต้องรวย แลว้ เราไปเชื่อเขา แต่ ในสงั คมและสงิ่ ที่พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ฯ บอกพอเพยี ง ทา่ น มองทะลุขา้ มชอ็ ตไปแล้ว และทา่ นทรงเห็นวา่ ถา้ เดินตามทางทุนนิยม แบบสดุ โตง่ อยา่ งท่สี ังคมเข้าใจน้นั มันไม่มคี วามสขุ หรอก ซ่งึ เราจะ เห็นว่า สมยั เราเด็กๆ คนไทยไม่มหี นี้ เพ่อื นๆ รอบตัวไมม่ ีหนี้ คนทเี่ ป็น หนค้ี ือคนท่ีท�ำการค้า ทเี่ ขาไปกแู้ บงก์มาแล้วเปน็ หนี้ แต่ประชาชน ท่ัวไปไมเ่ ปน็ หน้ี แลว้ เม่ือสักสิบห้าปีที่แล้วในยุควิกฤตเศรษฐกจิ ตืน่ 183

เชา้ ขนึ้ มาทุกคนเปน็ หน้หี มดเลย มแี ต่ขา่ วคนเปน็ หน้ฆี า่ ตวั ตาย มแี ต่ ข่าวชาวนามาประท้วงให้ปลดหนี้  คือทุกคนมีหน้ีหมดเลย  ทุกคนมี บัตรเครดิตทผี่ อ่ นได้ เมอ่ื ก่อนเราจะมแี ตเ่ งนิ สด ใช้เท่าที่มี ไม่มกี ็ไม่ ใช้ แตพ่ อมบี ตั รเครดติ แลว้ เราใช้เงินไมเ่ ป็น กจ็ ะกูห้ นย้ี มื สนิ คนที่เรมิ่ ท�ำงานมีเงินเดือนห้าพันเจ็ดพันมีหนี้หมดเลย  สาวโรงงานมีหนี้หมด เลย แตต่ อนน้นั เรากไ็ ม่มหี นี้ แตก่ ใ็ ช่วา่ จะมคี วามสขุ ความทุกข์ ของเราในช่วงน้ันสาเหตมุ ันเกิดมาจากการที่เราเปน็ คนขีโ้ มโห แตค่ น สมยั น้ี นอกจากจะขี้โมโห ความอดทนน้อย ผสมเร่ืองหน้เี ขา้ ไป เป็น ความกดดนั ทางเศรษฐกิจ สังคมไทยเรม่ิ ไม่มนั่ คง ทกุ อยา่ งบีบรัด ขนาดเราเองไม่ได้เป็นหนี้ก็ยังเป็นบ้าได้เลย  เงินมันไม่ได้ท�ำให้เรา มีความสขุ เราเถยี งฝรัง่ ไดเ้ ลยวา่ เงนิ ไมใ่ ชท่ างออกทกุ อยา่ ง การฆา่ ตัวตายในสังคมทุนนิยม  ติดยา  เป็นโรคซึมเศร้าในต่างประเทศ  มี เยอะกว่าบ้านเราหลายเท่า  แต่เมืองไทยตอนนี้ก�ำลังตามเขาไปติดๆ   เพราะฉะนั้นมันไม่ได้ดี เงนิ ทำ� ให้สบายแต่เงินมนั ไมไ่ ด้ทำ� ใหม้ ีความ สุข มนั เป็นสงิ่ ทเ่ี ราพบเจอกบั ตัวเอง” 184

อารมณ์โกรธทส่ี ะสมน�ำมาซ่ึงความทกุ ข์ “ตอนน้ันเหมือนจะเป็นบ้า  เครียด  มันจึงไม่มีค�ำตอบให้กับ ตัวเองว่าท�ำไมเราถึงไม่มีความสุข  แต่รู้ว่าส่ิงท่ีท�ำให้เราเป็นคนข้ีโมโห เหมอื นคนบา้ คอื เงิน ความส�ำเรจ็ และชื่อเสยี ง เมอ่ื ก่อนมีเงินมาก เท่าไรกใ็ ช้หมด เพราะเปน็ ผู้หญิง หงดุ หงิดอะไรนดิ กซ็ ื้อของบำ� บดั ตวั เอง ชอ้ ปป้ิงเป็นบ้า ตรงน้นั มันเป็นตวั บง่ ช้อี ยา่ งหนึ่ง แตเ่ ราไม่รูต้ ัว เรามีอาการครบเลยนะ ตอ้ งเมาทกุ วันศกุ ร์ ใช้เงนิ เป็นบา้ ไม่มเี งนิ เกบ็ ขีโ้ มโห ความอดทนน้อย มีเร่อื งกับคนไดง้ ่าย แมก้ ระท่ังบนถนน มคี รบ เลย แตไ่ มร่ ตู้ วั เอง เพราะถา้ คนทีร่ ูต้ ัวเอง หรือมีความสขุ อยแู่ ล้ว มนั จะ ไมใ่ ช่คนท่โี มโหง่าย เม่ือก่อนเราชอบด่ืมเหล้า  ถามว่าท�ำไมตัวเราเองชอบด่ืม เหล้า เพราะเราไม่มคี วามสุข  วนั จนั ทรถ์ งึ ศุกร์  เราจะซ้ือความสขุ ด้วย การชอ้ ปปิง้ หรือดม่ื ไวนเ์ ข้าไป เพราะเมาแลว้ มคี วามสขุ ไง เพราะ อยากได้ความสุขเรากต็ ้องดืม่ ตอ้ งซอื้ เพราะฉะนน้ั ถ้าแบ่งปัญหา แล้วมองอยา่ งละเอยี ด ตอนน้ันเราก็พบวา่ เราไม่มีความสขุ เราถึง ช้อปปง้ิ เปน็ บ้าเปน็ หลัง เราถึงด่มื หนกั ใชก้ ารซือ้ และการด่ืมในการ หาความสุข” ฟางเสน้ สดุ ท้ายเผาความโกรธจากใจ “ฟางเส้นสุดท้ายเกิดข้ึนตอนไปซื้อของในห้าง  แล้วเราไป ต่อว่าคนขายนาฬิกา  เพราะเขาเอาแต่คุยกันไม่ฟังเรา  ตอนน้ันบอก เขาว่าขอดูนาฬกิ าสีฟา้ หน่อยค่ะ แต่เขาไม่ตอบเรากน็ ึกว่าเขาไมไ่ ดย้ ิน เรากพ็ ูดเสียงดังข้นึ อีก แล้วเขาก็หันมามองเราแลว้ คยุ ต่อ จะถามวา่ เขาผิดไหม ตาม job description กถ็ ือว่าผดิ นะเพราะพนักงานขาย 185

ต้องดูแลลูกค้า ในเม่ืออยากคยุ กันต่อ เราก็โวยเลย ‘ถา้ อยากคยุ กัน อยา่ งนีท้ ำ� ไมไม่อยบู่ ้าน ตาบอดหรอื ไง บอกให้หยบิ สฟี า้ ท�ำไมหยิบสี เขียว’ กพ็ ดู ว่าเขาด้วยความโมโห นน่ั คอื ฟางเสน้ สดุ ท้าย และเป็นวันท่ี กระโดดจากหลงั เสอื วา่ ไม่เอาแลว้ เปน็ คนแบบเดิม เพราะเรากเ็ สยี ใจ ที่ไปว่าเขา แลว้ กร็ ตู้ วั ขนึ้ มาว่า ท�ำไมเร่ืองแค่นต้ี อ้ งโกรธมากขนาดนี้ ด้วย ถึงเขาจะผดิ แตท่ ำ� ไมเราต้องโกรธขนาดนี้ เสียงดังมากขนาดน้ี ต้องวา่ เขาขนาดน้ี เรากข็ อโทษเขา เขากข็ อโทษเรา แต่จริงๆ แล้ววันน้ันเราหลุดอารมณ์หลายเร่ือง  เหมือนมัน ประดังเข้ามาหลายเร่ือง  พอโมโหก็ไปขับรถจนมีปัญหากับรถตู้  คน ขับรถตู้ก็โมโหลงมาจะชกเรา  เราก็ลงไปสู้กับเขาเหมือนจะฆ่ากันตาย กลางถนน  เหตุที่เกิดวันน้ันท�ำให้เราย้อนกลับมาคิดว่าท�ำไมเราต้อง โมโหแรงขนาดน้ันด้วย แตเ่ ราก็ยงั ไม่ร้วู ธิ แี ก้ ทัง้ ๆ ทเ่ี รากเ็ รยี นหนังสือ มาเยอะ  เรียนวิชาการมาเยอะ  แต่เรื่องน้ีเราไม่เคยเรียนมาเลยว่าจะ จัดการความร้สู ึกตวั เองอย่างไร ไมม่ โี รงเรยี นไหนที่เคยเรียนมาในชวี ิต สอนเราเลย มนั ไม่ม ี  How to ท่สี อนเรื่องนี้ ซึ่งเราคดิ วา่ เพราะเหตุนี้ มนั ทำ� ให้เราไปไมเ่ ปน็ เมื่อเกิดอารมณโ์ มโห เกดิ ความทกุ ข์ แลว้ การที่ เราดม่ื หนัก ต้องออกไปปารต์ ้ี เมอ่ื กอ่ นเรากเ็ จอคนแบบเราไปเที่ยวทกุ ศกุ ร์ เราก็คดิ ว่ามันปกติ แต่จริงๆ มนั ไม่ปกตินะ มนั เป็นคา่ นยิ มที่คิด วา่ เปน็ เรื่องปกติ แต่มนั ไม่เป็นเรื่องปกติของคนทีจ่ ะมีความสขุ นะ” เมอ่ื ร้เู หตุกเ็ ร่ิมหาทางออก “ส่ิงท่ีเราท�ำได้ตอนนั้นเพื่อดับทุกข์ทางอารมณ์ก็คือ  ไม่ พยายามออกส่ือ งดงานสงั คม ขีบ้ ่นใหน้ ้อยลง ท�ำงานอย่างมีสตมิ าก ขึน้   เตือนตัวเองบอ่ ยๆ ใหโ้ มโหนอ้ ยลง ไม่ไปเท่ียว ซึง่ มันกท็ �ำใหม้ สี ุข ข้ึนมาได้นดิ หน่อย แตไ่ อน้ สิ ยั ข้โี มโหท่ีมมี นั ก็ยังฝงั อยู่ มนั ไม่มีใครมา 186

ชท้ี างออกว่าควรทำ� อยา่ งไร แม้ว่าจะฟังธรรมะ อ่านหนงั สือธรรมะ ก็ ชว่ ยไดใ้ นระดับออ่ นๆ แตถ่ า้ เกดิ โมโหหนักๆ ก็ชว่ ยไม่ไดอ้ ีกเหมอื นกัน หลุดบอ่ ย แต่น้อยลง” การตอ่ สู้ของตัวดีตวั รา้ ยภายในใจ “มีเพ่ือนที่ด�ำน้�ำและไปเท่ียวด้วยกันบ่อยๆ  แนะน�ำให้ไป ปฏบิ ัติธรรม เพ่ือขจดั ตัวอตั ตาซ่ึงเป็นตัวร้ายทสี่ ุด เป็นการปฏบิ ตั ธิ รรม ท่เี ข้มมาก หนักมาก ยากทส่ี ุดในชวี ิตท่ที �ำมา แต่คน้ พบวา่ ตัวเรานั้น เปน็ ตน้ เหตุของปัญหาท้ังหมด แต่ดว้ ยความทไี่ มร่ ้ตู ัว เราพบธรรมะ ตอนอายสุ ามสบิ สีป่ ี และเราก็พบว่า สามสบิ กว่าปที ี่ไปใหข้ า้ วเพอื่ ให้ สมองกิน คอื ไปโรงเรยี น อา่ นหนังสือ ทำ� งาน สมองได้รับการฝกึ ฝน มาก แต่จิตใจเราไมเ่ คยไดก้ นิ ขา้ วเลย สามสิบกว่าปี เหมือนในตัวเรา มีตัวดีกบั ตวั ช่ัว ตัวดไี มไ่ ดก้ ินข้าวสามสบิ กว่าปี ไมไ่ ด้ออกก�ำลังเลย ตวั ชั่วกนิ ขา้ วทกุ วัน ออกกำ� ลงั ทกุ วัน เพราะฉะนัน้ ตวั ช่วั มันก็มีอำ� นาจ มัน อยู่ในตวั เรา มพี ลงั เยอะกว่า พอเราไปปฏบิ ัติธรรมใหข้ า้ วตัวดกี นิ เรา กเ็ ร่มิ รู้วา่ ไอ้ตัวอัตตาน่ีเองคือตัวปญั หา ตอนไม่ไดฝ้ กึ เวลาจอดรถไป ประชมุ เรากจ็ ะมที ีท่ ่ีจอดประจำ� เพราะเราจะจำ� ไดว้ ่าจอดตรงไหน เรา ก็จะจอดทเ่ี ดมิ แลว้ รปภ. เขารู้ก็จดั ทจี่ อดไวใ้ ห้ แต่เม่อื วันหน่ึงมีคนมา จอดทข่ี องเรา ไอต้ ัวชั่วของเราเอาเลยนะ ทันทีเลย ใครวะมาจอดรถที่ เรา  ผ่านไปสิบห้านาทีตัวดีมาบอกถึงคิดได้ว่าท่ีจอดรถมันไม่ใช่ของ เรานะเหมียว “ดังนั้นสองปีของการปฏิบัติธรรมของเรา  ช่วงนั้นจึงเหมือน คนบ้าที่ตัวดีกับตัวชั่วจะทะเลาะกันโดยตลอด  เราก็ถามครูบา อาจารยว์ า่ เราเป็นอะไร ทา่ นกบ็ อกว่าปกติ เวลาเกิดอะไรมากระทบ ใจให้เราเฝ้าสังเกตว่าดูสิใครมันทะเลาะกัน  ก็คือไอ้ตัวดีกับตัวชั่วใน 187

ใจเรานเี่ อง แลว้ ไอ้ตัวชวั่ มนั ก็แขง็ แรงกวา่ เพราะมันได้ข้าวกนิ มานาน   ตัวดเี พง่ิ ได้ขา้ วกนิ มนั ถึงชา้ กว่าตวั ช่วั ตอนแรกเราก็ตามดไู ม่ค่อย ทัน แตห่ ลังจากสองปี ตัวชั่วไมไ่ ด้คดิ อะไรเลย เพราะเราไมใ่ หข้ ้าวกิน   ไมใ่ ห้มันออกก�ำลงั แต่เรากร็ บี เอาข้าว เอาวติ ามนิ ออกกำ� ลงั ใหต้ วั ดี ภายในใจ จนสุดท้ายมันท�ำให้เราตอนนตี้ ัวดีคดิ ก่อนเสมอ คิดดไี ป แล้ว คิดบวกไปก่อน แลว้ มนั กจ็ ะมคี วามคดิ แวบๆ เขา้ มาบ้างวา่ นถ่ี า้ เป็นเมอื่ ก่อนเราคงคดิ อกี แบบหนง่ึ แตเ่ ดยี๋ วนไ้ี ม่คิด กถ็ ือว่าชนะ  ท่เี คย ด่มื ไวน์เพราะเครียดไม่มคี วามสุข พอวันจนั ทรถ์ ึงศกุ ร์ไม่เครยี ด มัน กไ็ ม่มีเหตุผลใหไ้ ปเทีย่ ว เราไม่ได้ถือศลี แตเ่ ราก็ร้วู า่ จะจัดการตวั เอง อย่างไร โดยไมต่ อ้ งบงั คบั ตวั เอง” รจู้ กั ความโกรธ จัดการความโกรธ มปี ระโยชนต์ ่อใจ “ความโกรธมันก็เหมือนเราจุดไฟในใจ  สมมุติว่าเราเป็นคนขี้ โมโห แลว้ คนเหน็ เราโมโหกโ็ มโหไปด้วย  มันเหมือนสาดน�้ำมนั เบนซิน ใส่กนั คนทะเลาะกันถ้าใครคนหน่ึงข้นึ เสียงใสอ่ กี คน อกี คนก็ต้อง ตอบโต้โดยอัตโนมัติ สองคนจะสาดไฟ สาดเบนซนิ ใสก่ นั น่ีคอื สังคม เราท่ีมันจะต้องพบเจอกับเร่ืองเหล่านี้อยู่บ่อยๆ  ถ้าจะดับต้องดับท่ีตัว คน สือ่ ก็เป็นสง่ิ กระตุ้น  เวลาเราดทู วี ีหรอื อา่ นหนงั สอื พิมพ์เราจะเศรา้ มาก เพราะคดิ วา่ คนในสังคมชอบอ่านแบบนี้หรอื เราก็เขา้ ใจนะว่า ทกุ อย่างมนั คอื ธุรกจิ ข่าวไหนที่คนไม่อา่ นก็ไม่ลง ข่าวฆ่ากันตายน่ี ชอบกนั จงั เลย ละครนี่น�ำ้ เน่ามานานแค่ไหนก็ยังเนา่ อยแู่ คน่ ั้น ไม่ว่า จะผ่านไปกปี่ ีก็ยังเหมือนเดิม น่ีคือสงั คมทกี่ �ำลงั ลกุ เป็นไฟแลว้ ถ้าเรา ไมห่ ยดุ มนั ก็ไปตอ่ ไมไ่ ด้ ดงั นนั้ ถ้าทกุ คนดับไฟในใจตวั เอง ไม่มีอะไร ไหมแ้ น่นอน อย่างตอนน้ีถา้ มคี นมาชวนทะเลาะเรื่องการเมือง เราก็ ไมท่ ะเลาะกับเขานะ ถงึ แม้เราจะมีความคิดท่ตี ่างจากเขา แต่เราเหน็ 188

เขาพูด เราก็ฟังเฉยๆ ได้ โดยทเี่ ราไม่โมโห เพราะเราไดฝ้ ึกจติ ดแี ลว้ ตัว สติกับอเุ บกขาเหมือนปกี ของนก ครูบาอาจารยบ์ อกว่า มันตอ้ งเทา่ กนั ท้งั ขนาดและพลงั ถา้ ปกี นกไม่เท่ากัน แรงของปีกไมเ่ ทา่ กัน  นกบนิ ไม่ ได้ แตถ่ า้ เราฝกึ แล้วเราทำ� ได้ พระพุทธเจา้ ท่านเกง่ มาก ท่านค้นพบ วา่ เชื้อของความโกรธมนั ถกู ทับถมอยูใ่ นจิตเปน็ ล้านๆ ชาติ คนที่มา ท�ำให้เราโกรธไมใ่ ช่ตน้ เหตุของความโกรธ แต่มันแค่พาหะทที่ ำ� ใหเ้ รา โกรธเทา่ นน้ั พอพาหะมาสะกิดมันกเ็ กดิ เปรย้ี งข้นึ ทนั ที มันกท็ ะเลาะ กนั แตถ่ ้าเรารู้ธรรมชาตขิ องทกุ อยา่ งแลว้ มันไม่ใช่ และการไปปฏิบตั ิ วปิ สั สนากรรมฐานมนั เป็นการล้างจิต เม่อื เช้ือของความโมโหมันน้อย ลง  เหตุท่ีจะมาท�ำให้เราโมโหมันจึงมีผลน้อยมาก  เหมือนห้องท่ีมี ความมืด ความมืดก็เหมือนความโกรธ ถ้าเราไปเปดิ สวิตช์ไฟ ความ สว่างก็เขา้ มา ความโกรธก็จะหายไป มันกแ็ คน่ ีเ้ อง แตเ่ ราต้องค่อยๆ ฝกึ และรูจ้ ักวธิ ีท่ีถูกต้องวา่ ควรจะทำ� อย่างไร” คนท่มี าทำ� ให้เราโกรธไม่ใชต่ น้ เหตขุ อง ความโกรธ  แต่มันแค่พาหะที่ท�ำให้เราโกรธ เท่านัน้ พอพาหะมาสะกดิ มันก็เกิดเปรีย้ งขนึ้ ทนั ที มนั ก็ทะเลาะกัน แต่ถา้ เรารธู้ รรมชาติ ของทกุ อยา่ งแลว้ มันไมใ่ ช่ 189

หมอเขียว ใจเพชร กลา้ จน        “หมอใจชาวบ้าน” ใจเพชร  กล้าจน  คือ ชื่อของชายคนหนึ่งที่น�ำเสนอ ทางเลือกในการดูแลและรักษา สุขภาพตนเองตามแนวทางวิถี พุทธ  อีกช่ือหนึ่งท่ีคนต่างรู้จักกัน ดีคือ  ‘หมอเขียว’  จากการเป็น ข้าราชการสายวิชาการทางด้าน สาธารณสุขแบบวิทยาศาสตร์สู่ การค้นพบทางเลือกใหม่ในการ ดูแลรักษาสุขภาพแบบพ่ึงพิง ธรรมชาติ และกว่าจะมาถงึ วนั น้ี เขาได้ผ่านการลองผิดลองถูกมา มากมาย ส่งิ สำ� คัญอยา่ งหนึ่งท่ี เป็นหัวใจในการค้นพบของหมอ เขียวคือ  ร่างกายจะดีได้น้ัน  ใจ คือเครือ่ งมอื ส�ำคัญ 190

เพราะวิธีรักษาแบบเดิมๆ  ไม่ตอบโจทย์กับการรักษาเท่าท่ี ควร   หมอเขียวเลยทดลองวิธรี ักษาใหม่ๆ ด้วยตนเอง “วิธีการรักษาระบบวิทยาศาสตร์แบบเดิมมันลดปัญหาได้ น้อย  มันรักษาได้อยู่ส่วนหนึ่ง  ไม่ใช่ว่าลดปัญหา  ไม่ว่าจะเป็นแผน ปัจจบุ ัน แผนไทย แผนทางเลอื ก แผนพ้ืนบ้านกล็ ดไดส้ ่วนหน่งึ เอา ทุกแผนมารวมกนั แล้วกย็ งั ลดปญั หาได้เพียงเล็กนอ้ ยเท่านั้นเอง ไม่ ถึงคร่ึง เมือ่ ก่อนคนไข้หายแคส่ ี่สบิ เปอร์เซน็ ต์ พอท�ำไดแ้ บบนัน้ มนั ก็ เครียด ขนาดเราไปเรยี นทกุ แผนแลว้ พยายามเอาการแพทยท์ กุ แผน มาใช้ ดูแลสุขภาพคนไข้  แต่มันก็ยังท�ำให้หลายสิ่งหลายอย่างดีขึ้น เพยี งนดิ เดียว แล้วสว่ นใหญห่ ลายอนั ก็ท�ำให้แย่ลงด้วยซ้ำ� ตอนนัน้ มัน กเ็ ลยเครียด พอเครียดก็เลยไปปฏิบัติธรรม  ต้องการแค่ว่าคลายใจได้ เท่านั้นเอง   ไม่อยากจะทุกข์  ให้มันปล่อยวางได้  ไม่ได้คิดว่าจะพบ ทางออก  แต่พอเรามาศึกษาค�ำตรัสในพระไตรปิฎก  เราได้ทดลอง ปฏิบัติตาม   แล้วมีครูบาอาจารย์คอยสอน  ปรากฏว่าสภาวะที่เกิด ขนึ้ กับองค์ความรูท้ พี่ ระพุทธเจา้ ทา่ นตรัสไวน้ นั้ ทำ� ให้เราเข้าใจ เพราะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องการดแู ลสขุ ภาพไวค้ รบหมดเลย แตค่ นไม่ ใสใ่ จเทา่ นั้นเอง คนยงั ทำ� ความเข้าใจไดไ้ มถ่ ึง ไม่ถ่องแท้  เม่อื เขา้ ใจไม่ ถ่องแท้ก็เลยใช้ค�ำตรัสของพระพุทธเจ้านั้นได้ไม่มากพอท่ีจะถึงขีดลด ทุกขไ์ ด้ หรือดบั ทุกขไ์ ด้” 191

“แต่พอผมเอามาปฏิบัติอย่างจริงจัง  ปรากฏว่าเราก็เป็นสุข ขน้ึ เราลดทกุ ขไ์ ด้เรากเ็ ป็นสุขข้นึ ในขณะท่เี ราไปช่วยเหลือประชาชน โรคภัยไข้เจ็บก็ลดน้อยลงอย่างท่ีเราคาดไม่ถึง  มันลดได้เฉล่ียที่เจ็ด สบิ ถึงเกา้ สบิ เปอร์เซน็ ต ์ มนั ดไี ด้ขนาดนน้ั แต่วา่ มนั ต้องท�ำเอาเอง มัน มขี ้อจ�ำกัดอยตู่ รงท่ีว่า ตอ้ งท�ำเอาเองนะ ต้องแก้ปญั หาทต่ี ้นเหตุ ใช้สง่ิ ที่ประหยัดเรียบง่าย   แก่นของแพทย์วิถีธรรมหรือแพทย์วิถีพุทธเป็น แบบนี”้ คุณหมอพบว่าแผนวิทยาศาสตร์มันน�ำพาไปสู่ความสุขกาย ไดแ้ ค่ช่วั ขณะเท่านั้น “แผนวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ยังเป็นวิทยาศาสตร์ชั้นต้น  ไม่ใช่ ว่าไม่มีประโยชน์  แต่มีประโยชน์แค่ชั้นต้น  ยังไปไม่ถึงวิทยาศาสตร์ ช้ันสูงสุด  เพราะปัญญายังไม่ถึงวิทยาศาสตร์ช้ันสูงระดับพุทธศาสตร์  พุทธศาสตร์คือวิทยาศาสตร์ชั้นสูงท่ีรู้ความจริงทุกอย่างในมหาจักร- วาล พระพทุ ธเจ้าเปน็ ผู้รโู้ ลกอย่างแจ่มแจง้ ในขณะทน่ี ักวิทยาศาสตร์ รู้เพียงบางเร่ืองเท่าน้ันเอง  แล้วหลายเร่ืองยังต้องวิจัยไปอีกเรื่อยๆ  น่ันหมายความวา่ เขายงั ไม่รู้ ยังไม่รู้อกี หลายเร่ือง ยงั ตอ้ งวจิ ัย ถ้าเขา รู้เขายังต้องวิจัยต่อท�ำไม  เพราะเขายังไม่รู้หมดเขาถึงต้องวิจัยต่อ พระพุทธเจ้าบอกท่านรู้โลกอย่างแจ่มแจ้งแล้ว  ท่านเลิกแล้ว  เพราะ งั้นศาสตร์ต่างกัน   วิทยาศาสตร์นั้นรู้ความจริงเฉพาะเร่ืองบางเร่ือง เท่านั้น   วิทยาศาสตร์ท่ีเขารู้กันอยู่ทั่วไปเป็นศาสตร์ที่รู้ความจริงบาง เร่อื งเทา่ น้ัน  ในขณะทพี่ ทุ ธศาสตร์เปน็ ศาสตรท์ ีร่ โู้ ลกอย่างแจ่มแจ้ง รู้ ครบทกุ เร่อื งแลว้   ไปสจู่ ุดสูงสดุ ทรี่ ทู้ ุกเรอ่ื งแล้ว” หลังจากที่ไปปฏิบัติธรรมกลับมาแล้วคิดได้ว่า  วิทยาศาสตร์ แผนปัจจุบันใชไ้ ดเ้ พียง 40-50 เปอร์เซน็ ต ์  น่ันท�ำใหค้ ณุ หมอมัน่ ใจวา่ นี่แหละคือทางออก 192

“โดยส่วนตัวแล้วผมมั่นใจนะ  เมื่อได้ทดลองปฏิบัติกับตัวเอง เราม่ันใจว่าอันนี้น่าจะใช่  อันนี้แหละคือค�ำตอบ  แต่เพ่ือให้ชัดเจนย่ิง ข้ึน  เราก็เอาวิชาท่ีเราเชื่อว่าใช่นี่แหละเก้ือกูลช่วยเหลือผู้อ่ืน  ผู้อื่นที่ ปฏิบัติก็ใช่มาเรื่อยๆ  ใช่มาเร่ือยๆ  พอคนที่เขาปฏิบัติได้  เขาก็บอกว่า ทกุ ข์มนั ลดลงจริงๆ สุขมากขนึ้ และมันก็ยงั่ ยนื ขึ้น พอมันจริง  หลายคน จริงๆ  ก็จะมีสภาพสภาวะจิตแบบเดียวกัน  คือเป็นสุขเหมือนกัน  พอ เป็นสุขเหมอื นกนั เรากย็ งิ่ เช่ือ ความเชือ่ ม่ันมันยิ่งมากขน้ึ ๆ ความจรงิ มนั ใหญ่ข้ึน  มันไมใ่ ชไ่ ดแ้ คเ่ ราคนเดียว คนอื่นกไ็ ดด้ ว้ ย” ในฐานะที่อยู่กับคนไข้มาเยอะ  หมอเขียวเริ่มมองเห็นสาเหตุ ของการเกิดโรค  สาเหตุของการเกิดทุกข์  ว่ามันมาจากหลายส่วนใน สงั คมประกอบกนั 193

“เกิดจากความไม่รู้จริง  แม้แต่วงการแพทย์ก็ยังรู้ต้นเหตุ ของโรคไม่ลึกซ้ึง  เพราะวงการแพทย์ก็ออกมายอมรับเองในการ วินิจฉัยทุกโรค  ถ้าเราไปอ่านคุณหมอก็จะบอกว่าต้นเหตุจากนั้น จากนี้ สุดทา้ ยก็จะบอกว่าไม่ทราบสาเหตุ ผมยังไมเ่ ห็นโรคไหนเลย ที่คุณหมอบอกว่าทราบสาเหตุอย่างแจ่มแจ้ง  มันจะมีปิดท้ายทุก โรคเลยวา่ ไม่ทราบสาเหตุ นัน่ หมายความว่าวงการแพทย์เองทวี่ ่า เป็นวิทยาศาสตร์ท่ีทันสมัยท่ีสุดยังรู้เร่ืองโรคไม่แจ่มแจ้ง  เพราะถ้ารู้ โรคอย่างแจ่มแจ้งท�ำไมโรคมากข้ึนล่ะ  ที่โรคมากขึ้นเพราะว่ายังรู้วิธี จัดการกับโรคไม่แจม่ แจ้งนั่นแหละ ถา้ รแู้ จ่มแจง้ ตอ้ งไมม่ ากขนาดน้ี น่ีลดไดบ้ างส่วนเทา่ นั้นเอง   ลดได้ส่วนนอ้ ยดว้ ย สว่ นเยอะที่ลดไมไ่ ด้ ความจริงในวิทยาศาสตร์แผนปัจจุบันอย่างเดียวลดได้ แค่ย่ีสิบเปอร์เซ็นต์  เท่าท่ีผมทดลองปฏิบัติมาแล้วก็ได้จากแผน ไทย  แผนทางเลือก  แผนพ้ืนบ้านอีก  เพราะแต่ละแผนลงมือท�ำก็ได้ ประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์  แต่ถ้ารวมทุกแผนเข้ามาเน่ีย  ทีแรกผมยัง คิดว่าได้ประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์นะ  แต่พอท�ำเข้าจริงๆ  ได้ส่ีสิบ เปอร์เซน็ ต์ ทไี่ ดส้ ี่สบิ เปอร์เซน็ ต์เพราะว่า มอี งค์ความรบู้ างอยา่ งซ้อน ทับกันอยู่  องค์ความรู้บางอันมันเป็นอันเดียวกัน  อันเดียวกันมันก็ได้ ประสทิ ธภิ าพเทา่ เดิม ไมไ่ ด้ต่างกนั มันกล็ ดเปอร์เซ็นตใ์ นการรกั ษา และมีบางอยา่ งที่มนั เตมิ เตม็ กนั และกันอยู่ ขนาดเตมิ เตม็ เรียบร้อยก็ ยงั ได้ไมถ่ งึ คร่งึ   ไดแ้ คส่ ่ีสบิ เปอรเ์ ซน็ ต์” แต่พอเราเอาธรรมะและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง บูรณาการ   ปรากฏว่าไม่มีโรคใดที่ลดไม่ได้  ลดได้ทุกโรค  อยู่ที่จะ ได้มากได้น้อย    แล้วแต่จะปฏิบัติได้   จากการวิจัยของเราในสาขา พัฒนบูรณาการศาสตร์นี่พบว่า  คนท่ีปฏิบัติแนวนี้อย่างถูกต้อง 194

สามารถลดโรคลงได้เจ็ดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ท่ีใช้วิธีการน้ี ภายในเจด็ วนั ในทกุ โรค   นคี่ อื เป็นสิง่ มหัศจรรย์ของโลกเลยนะ ผมว่า สามารถทำ� ทกุ ขใ์ หล้ ดลงไดภ้ ายในเจด็ วัน” หมอเขียวบอกว่าเขาไม่ได้พยายามชักชวนให้ใครมาเชื่อตาม เขาแค่เสนอแนวทางความเปน็ ไปไดเ้ ทา่ น้ัน “ผมไม่ได้คิดว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ  แต่ผมคิดว่าผมขอ พ้นทุกข์ ยังไงๆ  ผมคิดวา่ ผมเอาตวั เองให้รอดก่อนดีกวา่ เพราะเราก็ เครียดมากกับเร่ืองการงาน  เราไปศึกษาการแพทย์ทุกแผนแล้วเราก็ เครียดเรากท็ กุ ข์ พอเราทุกขเ์ รากเ็ จ็บหวั ใจ ปวดกระเพาะ ปวดตาม ข้อ กินยาที่ดีทสี่ ดุ ของโรงพยาบาลก็ยงั ไม่หาย ทำ� ยงั ไงกไ็ ม่หาย นี่มนั เอาตัวเองไม่รอดแลว้ นะ มนั เรยี นมากความรูท้ ่วมหัว แต่ความทุกข์ก็ ท่วมหวั เหมือนกัน นน่ั หมายความว่ามันไมใ่ ชค่ วามรทู้ แ่ี กป้ ัญหาจริง ของชวี ิตเราได้ ผมคดิ วา่ อยา่ งน้อยต้องเอาตัวเองรอดก่อน อันดบั แรก คอื ท�ำยังไงใหใ้ จไมท่ กุ ข์ก่อน  พอมนั รู้สึกทุกข์มาก็ไปปฏิบตั ิธรรม พอ ปฏิบตั ิธรรมมาใจกเ็ ปน็ สขุ กร็ จู้ กั ปลอ่ ยวางได้  พอปล่อยวางได้ก็ทำ� ดี มสี ุขเป็น” หมอเขียวบอกว่า  ส�ำหรับหลักการดูแลตัวเองน้ัน  มีข้ันตอน ไมย่ งุ่ ยาก ทุกคนสามารถเปน็ หมอไดด้ ว้ ยตวั เอง “ด้วยวิธีการน้ี  ต้องเรียนก่อนว่ามันไม่ได้รักษาโรคได้ทุก คน  จริงๆ  แล้วทุกคนสามารถจะดีข้ึนได้โดยวิธีการนี้  แต่จะปฏิบัติได้ มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง  ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็ประมาณสิบถึงสามสิบ เปอรเ์ ซน็ ต์ทปี่ ฏิบตั ไิ ม่ได้น่ีมนั ก็จะไมด่ ีขนึ้ คนทไี่ มด่ ีข้นึ มอี ย่สู ่ีกลุ่ม หน่ึงไมไ่ ดท้ ำ� สองทำ� ไมไ่ ด้ สามหนักเกินไป มันก็ไมไ่ ดเ้ หมือนกนั   มัน 195

ไม่มีใครช่วยได้  มันแย่แล้วเส่ือมโทรมมากแล้วก็ช่วยไม่ได้  แต่เราก็ช่วย ส่งวญิ ญาณไดอ้ ยนู่ ะ เราก็ชว่ ยสง่ วิญญาณใหว้ างขนั ธ์ แต่เราก็ไม่อยาก ท�ำแบบน้ันหรอก   ดีขึ้นมันก็ดีกว่าใช่ไหม  และข้อสุดท้ายคือวิบากกรรม แรง   ถ้ามีวิบากกรรมท่ีไม่ดีรุนแรงมันจะมีเร่ืองขัดขวางไม่ให้ปฏิบัติธรรม สำ� เร็จ แต่อยา่ งนอ้ ยเจ็ดสิบถึงเก้าสิบเราก็พอใจท่คี นมีความทกุ ขท์ รมาน ในชวี ิตลดน้อยลง   เทา่ น้เี รากพ็ อใจแล้ว มาถึงประเด็นที่ว่า   คนจะต้องเรียนรู้อะไร  คนที่จะมาปฏิบัติ ต้องเรียนรู้ต้นเหตุที่แท้จริง  ต้องเรียนรู้กลไกการเกิดการหายของโรคว่า มนั มีอะไรบ้าง หรอื ปัจจัยที่เก่ียวขอ้ ง ตอ้ งเรียนรู้ทั้งวตั ถแุ ละกท็ างด้านจติ สองด้านคู่กัน  ด้านของวัตถุก็ต้องเรียนรู้ว่า  อะไรที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ด้านวัตถุนี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ในพระไตรปิฎกสังฆีตรีสูตร  ว่า สมดุลรอ้ นเยน็ จะทำ� ให้มโี รคนอ้ ยมีทกุ ขน์ อ้ ย” “ใจไม่ทุกข์ร่างกายมันก็แข็งแรงกว่า  ร่างกายมันก็ไม่ทุกข์  ไม่ ทุกข์เท่าตอนท่ีเรารักษาแบบปกติทั่วไป  คือร่างกายก็แข็งแรงขึ้น  ทุกข์ นอ้ ย แล้วรา่ งกายเราดูแลสมดุลดมี นั ก็ทุกข์นอ้ ย ทีนี้เราก็จะมแี ต่ทุกข์ น้อยกับไม่ทุกข์เลย  นานๆ จะทุกข์หนักทีหนึ่ง  ถ้ามันมีวิบากซัดมาก็จะ ทุกข์หนัก  ส่วนใหญ่ถ้าเราคิดว่าเบาสบาย  ยิ่งจิตใจเป็นสุขก็สุขตลอด เวลา” 196

อันดับแรกคือท�ำยังไงให้ใจมัน ไม่ทุกข์ก่อน  พอมันรู้สึกทุกข์มาก็ ไปปฏิบัติธรรม  พอปฏิบัติธรรมมา ใจก็เปน็ สุข กร็ ูจ้ กั ปล่อยวางได้  พอ ปลอ่ ยวางไดก้ ็ท�ำดมี สี ุขเป็น 197

ดร.สมเกยี รติ ออ่ นวิมล “ชีวิตจะเป็นสุขอย่าง สุนทรีย์ในการเสพส่ือได้  คือ รับส่ืออย่างมีสมดุลในด้าน เน้ือหา  ไม่ควรรับด้านใดเพียง ดา้ นเดยี ว” ในปัจจุบันส่ือมีบทบาทต่อสังคมมากมายนัก  โดยเฉพาะในแง่ การให้ข้อมูลข่าวสาร  แต่บางคร้ังการท่ีเรารับสื่อแบบขาดสติมันก็น�ำมาซ่ึง พิษภัยอย่างที่เราคาดไม่ถึง  ถ้าจะตั้งค�ำถามว่าเราจะเสพส่ืออย่างไรให้มี ความสุข  คนท่ีจะสามารถตอบค�ำถามน้ีได้ดี  คงต้องเป็นกูรูที่ท�ำงานด้าน ส่ือสารมวลชนมายาวนานอย่าง  ดร.สมเกียรติ  อ่อนวิมล  ผู้สร้างสรรค์คน ข่าวคุณภาพเข้าส่วู งการส่ือสารมวลชนไทยมากมายในนาม บริษทั แปซิฟิค อินเตอร์คอมมิวนเิ คชัน่ จำ� กดั วนั นใ้ี นวัย 64 ปี แมจ้ ะไมไ่ ด้ทำ� งานในวงการ ส่ือโดยตรง  แต่ความรู้ท่ีส่ังสมจากการท�ำงานมายาวนานก็สามารถให้ค�ำ ตอบเราได้ว่า  เราควรจะรับส่ืออย่างไรให้มีความสุขท่ามกลางความขัดแย้ง ของสงั คม 198

“ถ้าถามว่าเราจะรับข้อมูลข่าวสารอย่างไรให้มีความสุข  โดย ไม่ต้องว่ิงตามจนมีความทุกข์  ต้ังแต่ยุคปี 2555  ขึ้นไปน่ีล�ำบาก  เพราะ ว ่ า เ ป ็ น ยุ ค ท่ี นั ก วิ ช า ก า ร สื่ อ บ อ ก ว ่ า เ ร า ต ้ อ ง ส อ น ตั ว เ อ ง ใ ห ้ รู ้ เ ท ่ า ทั น ส่ื อ  ห รื อ มี ค ว า ม รู ้ เ ร่ื อ ง สื่ อ  ซึ่ ง ต ร ง กั บ ศั พ ท ์ วิ ช า ก า ร ท่ี เ รี ย ก ว ่ า  M e d i a Literacy  แค่น้ีเราก็เหน่ือยแล้ว  เราต้องรู้เท่าทันสื่อ หมายความว่าส่ือเขาจะ ต้องหลอกล่อหลบหลีกไม่ตรงไปตรงมากับเราเสมอ  เราอยู่ในยุคที่ส่ือต่างๆ เอียงไปข้างใดข้างหน่ึง หรือเอียงไปทางเดมิ โดยไมไ่ ด้บอกผูร้ บั ส่ือก่อน ถา้ เรา จะรู้เท่าทันเขา เรากจ็ ะตอ้ งตรวจสอบทีม่ าของสอ่ื ตา่ งๆ วา่ เขาถูกครอบงำ� ดว้ ย กลุ่ม หา้ งร้านใด หรอื ใครเปน็ บรษิ ทั ทซ่ี ื้อโฆษณาใหญข่ องบรษิ ทั นอ้ี ยู่ แถม เรายังตอ้ งตรวจสอบบุคคลทท่ี �ำสอ่ื นั้น เช่นนักเขียน นกั ขา่ ว ผู้ผลิตรายการ ผู้ ด�ำเนินรายการโทรทศั น์ เราต้องตรวจสอบด้วยว่าตวั เขาเองเป็นพวกใด  เรา ต้องรู้เท่าทันเจ้าของบทความ  เจ้าของเน้ือหานั้นๆ  ส่ิงเหล่านี้ท�ำให้คนท่ีคิด ตรวจสอบไดค้ วามจริง พดู งา่ ยๆ คือคนรับข้อมูลข่าวสารตอ้ งเหนอื่ ยมาก ขึน้ เพราะว่าโดยภาพรวมสอ่ื กระแสหลัก  เราไม่สามารถเชื่อถือวา่ เขาอยตู่ รง กลางไดห้ มด เราไม่สามารถแน่ใจได้ พวกนี้ส่วนใหญเ่ ขาไมบ่ อก และเขาก็จะ นำ� เสนอความจริงของเขาเพยี งดา้ นเดียวแก่ผรู้ ับสื่อ แต่ละฝ่ายกจ็ ะนำ� เสนอ ขา่ วสารเป็นลบของกนั และกนั ส่วนส่อื กลางๆ อาจจะมแี ตเ่ ราต้องตรวจสอบ” อาจารย์ให้ค�ำแนะน�ำว่าสิ่งท่ีผู้รับสื่อต้องท�ำส�ำหรับยุคแห่งข้อมูล ขา่ วสาร คอื การใช้สติและคดิ วิเคราะหใ์ นการเลอื กรบั ส่ือ “ยุคนี้เป็นยุคที่วิกฤตมาก  มากกว่าในยุคท่ีผมเติบโตเป็นหนุ่มสาว เพราะว่าในยุคเดิมย้อนหลังไปห้าสิบปี  ตอนน้ันมันเหมือนเราสามารถเช่ือ ถอื สื่อโดยอตั โนมัติ ซ่งึ ส่วนใหญเ่ ชื่อได้ว่าเขาท�ำหนา้ ทีน่ ำ� เสนอทุกอย่างตาม หน้าที่ ตามกรอบจริยธรรมสื่อสารมวลชนโดยแทก้ ็คือวา่ เสนอขา่ วสารรอบ 199

ด้านและวิจารณ์โดยบอกว่าวิจารณ์ไปทางไหนแล้วให้เราตัดสินใจ ส่ือที่เราเห็นว่ามีจริยธรรมทางวิชาชีพในอดีตมีมาก  และสื่อเหล่านั้น ก็ยังอยู่ในสังคมปัจจุบันเพียงแต่ผันแปรไปด้วยเหตุผลของตัวเองโดย ไม่บอกเรา ดงั นั้นวิธีทีจ่ ะทำ� ใหม้ คี วามสขุ ในการรบั สื่อ กจ็ ะตอ้ งมีส่ี อย่างที่เราต้องจำ� ไวค้ อื ดูว่าสอ่ื ไหนสามารถเสนอขา่ วไดร้ อบด้าน โดยไมต่ อ้ งทกุ ขใ์ จ ว่าเขาเอยี งหรือไม่เอียงไปทางไหน ถ้ารวู้ ่าเขาเอยี งก็อยา่ ไปติดตามสอ่ื นั้น พยายามคน้ หาส่อื ท่มี รี อบดา้ นในการน�ำเสนอข้อมลู ข่าวสาร และ เป็นสื่อที่มีเวทีสาธารณะ  ส่ือท่ีดีต้องให้ความจริงครบถ้วนรอบด้าน ตอ้ งเรยี กวา่ ใหค้ รบ 360 องศา ต้องใหค้ วามรู้ในการนำ� เสนอข่าว ไมใ่ ช่ความคิดเห็น ให้การศึกษา  ให้การคิดวิเคราะห์ให้วิธีถกเถียงฐานข้อมูล และเอามาประมวล  ให้ทฤษฎีและหลักการให้บทเรียนและทางออก ไปสชู่ วี ติ ทมี่ ีสันตแิ ละสงบมากข้ึน สือ่ ตอ้ งเปน็ เวทีใหก้ ับเราด้วย สอื่ น้นั ต้องไม่พดู ข้างเดียว ต้อง ใหค้ นอนื่ ท่พี ดู พาดพิงมานง่ั คยุ ด้วย หรือถ้าเปน็ รายการโทรทศั นก์ ็ควร ให้ฝ่ายท่ีถูกพาดพิงหรือคนที่ไม่เห็นด้วยไปร่วมรายการด้วย  เพราะ- ฉะน้นั ต้องมกี ารนำ� เสนออยา่ งหลากหลาย และผู้ดำ� เนินรายการต้อง ไม่แสดงความเหน็ ของตัวเองมากเกนิ ไป ตอ้ งเป็นเวทที ่ีสามารถหาค�ำ ตอบจากคำ� ถามได้ ข้อน้ีเปน็ ไปตามหลักประชาธิปไตย 200