Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานวิจัย (ศูนย์แกนนำ)

งานวิจัย (ศูนย์แกนนำ)

Published by Wilaiporn Mettajit, 2021-11-25 02:04:12

Description: งานวิจัย (ศูนย์แกนนำ)

Search

Read the Text Version

รายงานการวจิ ัย เรื่อง การศึกษาความต้องการของผปู้ กครองต่อการจัดการเรียนรูใ้ นสถานการณ์ COVID-19 สำหรบั เดก็ ทม่ี ีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง ศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษประจำจังหวดั ระนอง สำนกั บริหารงานการศกึ ษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

รายงานการวจิ ยั เร่อื ง การศึกษาความต้องการของผูป้ กครองต่อการจัดการเรียนรใู้ นสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กทมี่ คี วามต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศกึ ษาพิเศษประจำจงั หวัดระนอง คณะผู้วิจยั นายบญั ชา เกตแุ ก้ว นางสาววิไลพร เมตตาจิตร นางสาวนฐั ฐากร ตาสแี ดง ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจำจงั หวดั ระนอง สำนักบรหิ ารงานการศึกษาพเิ ศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

ชือ่ งานวจิ ยั การศกึ ษาความตอ้ งการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ผ้วู จิ ัย ประจำจังหวดั ระนอง ปี นายบญั ชา เกตุแกว้ , นางสาวววไิ ลพร เมตตาจิตร, นางสาวนฐั ฐากร ตาสีแดง 2564 บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษา และเปรียบเทียบความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID -19 สำหรับเด็กที่มีความตอ้ งการจำเปน็ พิเศษ ของศูนย์ การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง โดยจำแนกตามระดับการศึกษา อาชีพของผู้ปกครองและ ประเภทความพิการของบุตรหลาน กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองของนักเรียนศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดระนอง รับบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและเตรียมความพร้อม รับบริการแบบ ไป-กลับ ในศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนองและหน่วยบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 174 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ ความแปรปรวนทางเดยี ว ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้ปกครองนักเรียนศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง มีความต้องการต่อการ จดั การเรยี นร้ใู นสถานการณ์ COVID-19 สำหรบั เด็กท่มี คี วามต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษา พิเศษประจำจังหวัดระนอง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (µ = 3.89) และเมื่อพิจารณารายด้าน พบวา่ อยู่ในระดบั มากทกุ ด้าน โดยดา้ นการออกแบบการจดั การเรียนรู้ มคี ่าเฉลี่ยมากทีส่ ุด (µ = 4.00) รองลงมา ได้แก่ ด้านแนวทางการจัดการเรียนรู้ (µ = 3.97) ด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ เทคโนโลยี และ ด้านการประสานความร่วมมือ (µ = 3.95) ตามลำดับ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านความรู้ ความเข้าใจ (µ = 3.60) 2. ผู้ปกครองนักเรียนศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง ที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีความต้องการต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็น พิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 ผู้ปกครองนักเรียนที่มีอาชีพ และประเภทความพิการของบุตรหลานต่างกัน มีความต้องการต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็น พเิ ศษ ของศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษประจำจงั หวดั ระนองไม่แตกต่างกัน

กติ ติกรรมประกาศ วิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ด้วยความกรุณาอย่างยิ่งจาก ผู้บริหารสถานศึกษาและ ศึกษานิเทศก์ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหาร และการศึกษาพิเศษ ดร.สมพร หวานเสร็จ ผู้อำนวยการศูนย์การการศึกษาพิเศษส่วนกลาง ดร.สุรัญจิต วรรณนวล ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษา พิเศษประจำจังหวัดลำปาง ดร.ปนัดดา วงค์จันตา ผู้อำนวยการโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ดร.ชัยพร พันธุ์น้อย ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 6 จังหวัด ลพบุรี นายปรีชาพล ทองพลอย ศึกษานิเทศก์ ที่ได้สละเวลาอันมีค่าแก่คณะผู้วิจัยเพื่อให้คำปรึกษา และแนะนำ ตลอดจนตรวจทานแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง จนงานวิจัย ฉบบั นสี้ ำเร็จสมบูรณ์ลุล่วงไดด้ ้วย ดีคณะผู้วิจยั ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ทน่ี ี้จากใจจรงิ ขอขอบคุณผู้ปกครองนักเรียนศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง ที่ให้ความร่วมมือ เป็นอยา่ งยิ่ง ในการตอบแบบสอบถาม และครูศนู ย์การศึกษาพเิ ศษประจำจังหวัดระนองที่คอยติดตาม เกบ็ รวบรวมข้อมูลในการทำงานวิจัย คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากงานวิจัย ผู้วิจัยขอมอบเป็นกตัญญูบูชาแต่บิดา มารดา ครู อาจารย์ ตลอดจนผูม้ พี ระคุณทุกท่าน นายบญั ชา เกตุแก้ว นางสาววิไลพร เมตตาจติ ร นางสาวนัฐฐากร ตาสแี ดง

5 สารบัญ หน้า บทคัดย่อ…………………………………………………………………………………………………………. กิตติกรรมประกาศ……………………………………………………………………………………………. สารบัญ…………………………………………………………………………………………………………….. สารบัญตาราง…………………………………………………………………………………………………… บทท่ี บทที่ 1 บทนำ……………………………………………………………………………………………... 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา…………………………………….…………... 1 คำถามการวิจัย……………………………………………………………………………………… 4 วัตถุประสงค์ของการวิจัย……………………………………………………………………….. 4 สมมติฐานการวิจัย………………………………………………………………………………… 4 ขอบเขตของการวิจัย……………………………………………………………………………… 5 นิยามศัพท์เฉพาะ………………………………………………………………………………….. 6 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ…………………………………………………………………….. 7 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง………………………………………………………..… 8 2.1 แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับความต้องการ…………………………………………..……. 9 2.1.1 ความหมายความต้องการ…………………………………………..…………… 9 2.1.2 แนวคิด ทฤษฎีความต้องการ…………………………………………..………. 9 2.2 แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้…………………………………………… 13 2.2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้…………………………………………..… 13 2.2.2 หลักการในการจัดการเรียนรู้…………………………………………..………. 14 2.2.3 ความสำคัญในการจัดการเรียนรู้…………………………………………..….. 15 2.2.4 องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้…………………………………………. 17 2.2.5 หลักพื้นฐานในการจัดการเรียนรู้…………………………………………..…. 19 2.3แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19…………………. 20 2.3.1 นโยบายและแนวทางการจัดการเรียนรูใ้ นสถานการณ์ COVID-19 ในต่างประเทศ……………..…………………………………………………………………………………… 20

6 สารบัญ (ต่อ) หน้า 2.3.1 นโยบายและแนวทางการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทย……………..…………………………………………………………………………………… 29 2.4 การจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษในสถานการณ์ COVID-19……………..………………………………………………………………………………………… 32 2.5 งานวิจัยที่เก่ียวข้อง……………..………………………………………………………….. 35 2.6 กรอบแนวคิดการวิจัย………..……………………………………………………………. 39 บทที่ 3 วธิ ีดำเนินงานวิจัย………..……………………………………………………………………. 40 กลุ่มเป้าหมาย………..……………………………………………….………….………………… 40 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย………..…………………………………………….………………… 41 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ………..……………..….………………………… 42 การเก็บรวบรวมข้อมูล………..………………………………….……..……………………… 43 การวิเคราะห์ข้อมูล………..………………………………………….…………….…………… 44 สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล………..……………………………………………………… 45 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล………..……………………………………………………………. 47 สัญลักษณ์ท่ีใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………… 47 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………… 48 ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม 47 ตอนที่ 2 ผลการศึกษาความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็น พิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง................... 49 ตอนท่ี 3 ผลการเปรียบเทียบความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการ เรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการ จำเป็นพเิ ศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง จำแนกตามระดับการศึกษา อาชีพและประเภทความพิการ ของบุตรหลาน............................................................................. 57 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย........................................................................................ 66 สรุปผลการวิจัย.............................................................................................. 69

7 สารบัญ (ต่อ) หน้า อภิปรายผลการวิจัย.................................................................................................... 73 ข้อเสนอแนะ............................................................................................................... 78 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้....................................................................... 78 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป............................................................................ 78 บรรณานุกรม............................................................................................................... 79 ภาคผนวก................................................................................................................... 81 ภาคผนวก ก แบบสอบถามเพื่อการวิจัย...................................................................... 82 ภาคผนวก ข รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย............................... 89 ภาคผนวก ค ผลการพิจารณาความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหาของแบบสอบถามโดย ผู้เชี่ยวชาญ.................................................................................................................. 91 ภาคผนวก ง ผลการหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม............................................ 95 ภาคผนวก จ หนังสือขอความอนุเคราะห์..................................................................... 97

8 สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 จำนวนกลุ่มเป้าหมายจำแนกตามประเภทความพิการของบุตรหลาน……….. 40 2 จำนวนและร้อยละของข้อมูลพื้นฐานผู้ตอบแบบสอบถาม……….……….…….. 48 3 ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรบั เด็กที่มีความ ต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษา พิเศษประจำจังหวัดระนอง โดยภาพรวมและรายด้าน……….……….………..………..………..………..……….... 49 4 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการ จัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการ จำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง ด้านความรู้ ความเข้าใจ………..………..………..………..………..………..………..………..……..….. 50 5 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการ จัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการ จำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษา พิเศษประจำจังหวัดระนอง ด้านแนวทาง การจัดการเรียนรู้………..………..………..………..………..………..………..………….. 52 6 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการ จัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กท่ีมีความต้องการ จำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง ด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้………..………..………..………..………..…… 53 7 ค่าเฉล่ียและส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรบั เด็กที่มีความ ต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง ด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ เทคโนโลยี………..………..………..………..………..……… 55 8 ค่าเฉล่ียและส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความ ต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง ด้านการประสานความร่วมมือ………..………..………..………..………..………..… 56

9 สารบัญตาราง (ต่อ) ตาราง หน้า 9 คะแนนเฉลี่ย ความเบ่ียงเบนมาตรฐาน ระดับและอันดับความต้องการของ ผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กท่ีมี ความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง จำแนกตามระดับการศึกษา………..………..………..………..………..………..……… 58 10 ผลการเปรียบเทียบความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง จำแนกตามระดับการศึกษา. 59 11 คะแนนเฉล่ีย ความเบ่ียงเบนมาตรฐาน ระดับและอันดับความต้องการ ของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็ก ท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด ระนอง จำแนกตามอาชีพ………..………..………..………..………..………..…………. 60 12 ผลการเปรียบเทียบความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำ จังหวัดระนอง จำแนกตามอาชีพ………….. 62 13 คะแนนเฉลี่ย ความเบ่ียงเบนมาตรฐาน ระดับและอันดับความต้องการ ของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็ก ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด ระนอง จำแนกตามประเภทความพิการของบุตรหลาน………..………..……….. 63 14 ผลการเปรียบเทียบความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ใน สถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง จำแนกตามประเภท ความพิการของบุตรหลาน………..………..………..………..………..………..……….. 65

10 บทท่ี 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แพร่ระบาด อย่างรุนแรงทั่วโลกตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2562 ผู้คนเจ็บป่วยและล้มตายจำนวนมาก จนกลายเป็น ความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงอีกครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ซึ่งประเทศไทยเริ่มได้รับผลกระทบตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา โดยมีการระบาดอย่างหนักในช่วงเดือนเมษายน พ.ศ.2564 มีการ ติดเชื้อลุกลามอย่างรวดเร็ว ผู้ติดเชื้อครอบคลุมทุกเพศทุกวัย สูงขึ้นทวีคูณ ผลที่ตามมาจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 ดังกล่าว ทำให้การใช้ชีวิตของประชาชน ในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2564) ทั้งต่อ วิถีชีวิต เศรษฐกิจ และการจัดการศึกษา ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันและหยุดการแพร่ระบาดของ โรค COVID–19 ประเทศไทยได้มีมาตรการปิดประเทศ (Lockdown) โดยให้ประชาชนหยุดกิจกรรม ต่าง ๆ หยุดการเดินทางและอยู่ในที่ตั้งหรือที่พักตามระยะเวลาที่กำหนด และงดกิจกรรมทางสังคม อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการรณรงค์มาตรการด้านสาธารณสุขและเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) การทำงานจากที่บ้าน (work from home) การเรียนรู้ที่บ้าน (learn from home) ในสถานการณ์เช่นนี้จึงมีแนวคิดความปกติใหม่ (new normal) เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน ของทุกคน การจัดการศึกษาของทุกประเทศได้รับผลกระทบจากจากสถานการณ์ COVID-19 โดยมีการ หยุดการเรียนการสอน ซึ่งประเทศต่าง ๆ ได้มีการปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนเพื่อแก้ไข ปัญหาการจัดการศึกษาจากผลกระทบของโรคระบาดดังกล่าว เช่น สหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญ ต่อการตอบสนองของผู้เรียนแต่ละคนแตกต่างกัน จัดทำฐานข้อมูลของสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ท่ีครูและ นักเรียนสามารถเข้าถึงได้อย่างอิสระโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังเปิดช่องให้หน่วยงานอื่น ๆ และแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่ เช่น พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุดชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุน การเรียนรู้ของเด็ก ในขณะท่ีนิวซีแลนด์เตรียมชุดการเรียนรู้พ้ืนฐานให้นักเรียน ซ่ึงประกอบด้วยคู่มือ ออนไลน์ และชุดการเรียนรู้ (สื่อแห้ง) เพื่อให้นักเรียนทุกคนท้ังที่สามารถเข้าถึงและไม่สามารถเข้าถึง ระบบเรียนออนไลน์สามารถใช้เรียนรู้ได้ (ภูษิมา ภิญโญสินวัฒน์, 2020) สำหรับการจัดการศึกษาในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างมาก ซึ่งการแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อ COVID-19 ยังมีความรุนแรงและขยายตัวในวงกว้างอย่างรวดเร็วมากกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างย่ิงมีแนวโน้มท่ีจะระบาดในสถานศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศ

8 ให้สถานศึกษาในสังกัดและในกำกับเลื่อนการเปิดภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 จากวันที่ 1 มิ.ย. 2564 ออกไปเป็นวันท่ี 14 มิ.ย.2564 เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของนักเรียน ครู ผู้ปกครอง ลดความ เสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยให้สถานศึกษาจัดให้มีการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินสืบเนื่องจากการระบาดของโรค COVID-19 และเมื่อ วันที่ 19 พฤษภาคม 2564 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศนโยบายการจัดการเรียนการสอน ช่วง COVID-19 โดยการกำหนดแนวทางการจัดการเรียนการสอนภายใต้สถานการณ์วิกฤต COVID-19 ในทุกระดับช้ันและทุกประเภท สรุปดังน้ี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2564) 1. โรงเรียนหรือสถานศึกษา ท่ีต้ังอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม)ให้จัดการ เรียนการสอนได้เฉพาะรูปแบบการจัดการศึกษาทางไกล คือ On Air, Online, On Demand, On Hand (ผ่านทางไปรษณีย์) เท่าน้ัน 2. โรงเรียนหรือสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) หรือ พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) สามารถจัดการเรียนการสอนได้ทั้ง 5 รูปแบบ คือ On Site, On Air, Online, On Hand, On Demand โดยผสมผสานรูปแบบได้ตามความเหมาะสม 3. โรงเรียนหรือสถานศึกษาในพื้นที่สีแดง และสีส้มที่ประสงค์สอนในรูปแบบ On Site ต้องผ่านเกณฑ์การประเมินความพร้อมของระบบ Thai Stop COVID + (TSC+) ของกระทรวง สาธารณสุข 4. โรงเรียนหรือสถานศึกษาในพื้นที่สีแดงเข้มไม่อนุญาตให้จัดการเรียนการสอน ในรูปแบบ การเรียนการสอนแบบ On Site ตามมติของ ศบค. ที่ห้ามใช้อาคารสถานท่ี จากการมีนโยบายให้ปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติ และมีการมอบแนวทางในการจัดการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้กำหนดแนวนโยบายจัดการเรียนการสถานการณ์วิกฤติ COVID-19 ด้วยแนวคิด “การเรียนรู้ นำการศึกษา โรงเรียนอาจหยุดได้ แต่การเรียนรู้หยุดไม่ได้” ทำให้สถานศึกษาจำเป็นต้องปรับ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา และสถานการณ์ความปลอดภัย ของพื้นที่ ใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลายผ่านระบบการเรียนการสอนทางไกล การสอน ออนไลน์ และรูปแบบผสมผสาน ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเกิดการเรียนรู้ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในสถานการณ์ COVID-19 เพราะการเรียนรู้ยังต้องดำเนินอยู่แต่นักเรียนไม่สามารถไปโรงเรียน ตามปกติ การเรียนรู้ที่บ้านจึงมีความจำเป็น โดยการมีส่วนร่วมของพ่อ แม่ ผู้ปกครอง เปลี่ยน บทบาทเป็นพ่อครู แม่ครู ในการส่งเสริมการเรียนรู้ในขณะท่ีนักเรียนอยู่ท่ีบ้าน อย่างไรก็ตามในช่วงที่ครูในโรงเรียนปกติทั่วไปกำลังเตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนรู้ ออนไลน์ ยังมีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ค่อยได้พูดถึงกันในสถานการณ์นี้ คือกลุ่มเด็กที่มีความต้องการ พิเศษ (Special Needs) ในช่วงสถานการณ์ปกติเด็กกลุ่มนี้คือเด็กที่ครูควรให้ความสนใจและ ตอบสนองต่อความต้องการพิเศษที่เฉพาะของเขาอยู่แล้ว ยิ่งในสถานการณ์ COVID-19 โรงเรียน

9 ทุกโรงเรียนปิด เด็กพิการอยู่ที่บ้านการจัดการเรียนการสอนไม่สามารถทำได้เหมือนปกติ ยิ่งต้อง ให้ความใส่ใจและให้ความช่วยเหลือมากขึ้น หัวใจสำคัญคือ ครูจะต้องทำงานร่วมกับ “พ่อแม่” และ “นักบำบัด” ในการจัดการเรียนรู้และช่วยพัฒนาทักษะต่าง ๆ ท่ีจำเป็น (ภรณี ลัคนาภิเศรษฐ์, 2564) เมื่อการศึกษาไม่ได้ถูกจำกัดเพียงแค่ในห้องเรียนหรือในโรงเรียนอีกต่อไป พ่อแม่จึงมีความจำเป็น ที่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องทำให้เด็ก ๆ มีโอกาสทางการศึกษา ซึ่งโอกาสเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องอยู่บนออนไลน์อย่างเดียว ซึ่งการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ สำหรับเด็กทั่วไป อาจไม่เหมาะกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ อีกประการที่มีความสำคัญ คือ ความ พร้อมและความสามารถของครอบครัวเด็กพิการในการเข้าถึงบทเรียนออนไลน์ เนื่องจากขาดแคลน อุปกรณ์ที่เหมาะสมและการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต ซึ่งการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ นับว่าเป็นงานที่ท้าทายสำหรับครู พ่อแม่และ นักสหวิชาชีพ แต่หัวใจสำคัญของการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กทุกคนก็ยังคงอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน คือ ความเข้าใจธรรมชาติที่แตกต่างกัน เข้าใจเด็ก ๆ อย่างแท้จริงย่อมมองเห็นโอกาสในการจัดการ เรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนมากย่ิงข้ึน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้การเรียนรู้สำหรับเด็กที่มีความ ต้องการจำเป็นพิเศษมีข้อจำกัด และส่งผลกระทบโดยตรงต่อการให้บริการพัฒนาศักยภาพ ผู้เรียน ไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะต่าง ๆ จากครูการศึกษาพิเศษหรือนักสหวิชาชีพ เนื่องจากมีการแพร่ระบาด ในพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมืองระนอง และขยายวงกว้างไปทั่วจังหวัดระนองอย่างรวดเร็ว ซึ่งยังไม่สามารถควบคุมให้น่ิงได้ มีการระบาดในกลุ่มชาวไทยและชาวเมียนมา ทั้งในส่วนของโรงงาน อุตสาหกรรม ร้านสะดวกซ้ือและตลาดสดต่าง ๆ มีผู้ติดเชื้อรายวันกว่า 100 ราย และมียอดผู้ติดเชื้อ สะสม 4,305 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2564) ทำให้สถานศึกษาในจังหวัดต้องปิด ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนให้แก่เด็กทุกคนได้ รวมทั้งผู้ปกครองยังมีความกังวล เรื่องความปลอดภัยของบุตรหลานของตนเอง แต่ในขณะเดียวกันผู้ปกครองยังมีความมุ่งหวังให้บุตร หลานได้รับการพัฒนา แม้จะมีการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ On-line On-demand และ On-hand แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพและไม่ตอบสนองต่อความต้องการและความคาดหวัง ของผู้ปกครอง หรือผู้เรียนเท่ากับการเรียนในห้องเรียน ทั้งนี้เพื่อให้เด็กกลุ่มนี้ได้รับการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องปรับเปลี่ยนวิธีการ แนวทางในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน โดยพิจารณาจากความพร้อมของผู้ปกครองและครอบครัว รวมทั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นในการจัดการ เรียนรู้ ซึ่งสถานศึกษาต้องหารือและวางแนวทางร่วมกับผู้ปกครอง เพื่อเลือกและหาวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อให้นักเรียนได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยมีพ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นผู้มีบาทหลักในการจัดการ เรียนรู้ในรูปแบบที่เหมาะสมให้กับผู้เรียนในขณะอยู่ที่บ้าน แต่เนื่องจากพ่อแม่ผู้ปกครอง แต่ละครอบครัวมีพื้นฐานที่แตกต่างกันทั้งด้านความรู้ ความเข้าใจ ทักษะในการจัดการเรียนรู้ ความไม่พร้อมของผู้ปกครอง รวมทั้งฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว บางครอบครัวไม่มีอุปกรณ์

10 ด้านเทคโนโลยีบ้างไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ และสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่บ้านไม่เอื้อ ต่อการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน ซ่ึงสถานศึกษา ต้องมีการศึกษา วิเคราะห์ความพร้อม ความต้องการของผู้ปกครองในการจัดการเรียนรู้ที่บ้าน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันระหว่างครูผู้สอน กับผู้ปกครอง ในการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ให้ประสบความสำเร็จ ผู้เรียนไม่พลาดโอกาสในการเรียนรู้ และได้รับการศึกษาท่ีมีประสิทธิภาพ จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาความต้องการของ ผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และเป็นไปตามความต้องการของผู้ปกครองอันจะส่งผลต่อการจัดการ เรียนรู้ของเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษให้ได้รับการพัฒนาอย่างมีคุณภาพ ผู้เรียนเข้าถึงโอกาส ทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันและได้รับการศึกษาที่มีประสิทธิภาพให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ คำถามการวิจัย 1. ผู้ปกครองมีความต้องการต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็ก ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง อยู่ในระดับใด 2. ความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็ก ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง จำแนกตามระดับ การศึกษา อาชีพของผู้ปกครอง และประเภทความพิการของบุตรหลานแตกต่างกันหรือไม่ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID -19 สำหรับเด็กท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง 2. เพื่อเปรียบเทียบความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง จำแนกตามระดับการศึกษา อาชีพของผู้ปกครอง และประเภทความพิการของบุตรหลาน สมมติฐานการวิจัย ความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็ก ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง จำแนกตามระดับ การศึกษา อาชีพของผู้ปกครอง และประเภทความพิการของบุตรหลานแตกต่างกัน

11 ขอบเขตของการวิจัย 1. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองของนักเรียนศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด ระนอง รับบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและเตรียมความพร้อม รับบริการแบบไป-กลับ ในศูนย์ การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนองและหน่วยบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 174 คน โดยกำหนดให้นักเรียน 1 คนต่อผู้ปกครอง 1 คน 2. ตัวแปรท่ีศึกษา 2.1 ตัวแปรตน้ ได้แก่ สถานภาพผู้ตอบแบบสอบถามซึ่ง ประกอบด้วยคือ 2.1.1 ระดับการศึกษาของผู้ปกครอง จำแนกเป็น 2.1.1.1 ต่ำกว่าปริญญาตรี 2.1.1.2 ปริญญาตรี 2.1.1.3 สูงกว่าปริญญาตรี 2.1.2 อาชีพของผู้ปกครอง จำแนกเป็น 2.1.2.1 รับราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ 2.1.2.2 ธุรกิจส่วนตวั /ค้าขาย/อาชีพอิสระ 2.1.2.3 เกษตรกร 2.1.2.4 อื่น ๆ 2.1.3 ประเภทความพิการของบุตรหลาน จำแนกเป็น 2.1.3.1 บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการเห็น 2.1.3.2 บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 2.1.3.3 บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางสติปัญญา 2. 1. 3.4 บุคคลท่มี คี วามบกพร่องทางร่างกายหรอื การเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ 2.1.3.5 บุคคลออทิสติก 2.1.3.6 บุคคลพิการซ้อน 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดระนอง 5 ด้าน ได้แก่ 2.1 การสร้างความรู้ ความเข้าใจ 2.2 แนวทางการจัดการเรียนรู้ 2.3 การออกแบบการจัดการเรียนรู้ 2.4 เครื่องมือ อุปกรณ์ เทคโนโลยี 2.5 การประสานความร่วมมือ

12 3. ขอบเขตด้านเน้ือหาท่ีใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดระนอง 5 ด้าน ได้แก่ การสร้างความรู้ ความเข้าใจ แนวทางในการจัดการเรียนรู้ การออกแบบการจัดการเรียนรู้ เคร่ืองมือ อุปกรณ์ เทคโนโลยี และการประสานความร่วมมือ นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID - 19 หมายถึง การจัดบริการทางการศึกษา ให้กับผู้เรียนที่มีลักษณะแตกต่างไปจากเดิม มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ แนวทางการเรียนรู้ให้ เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของผู้ปกครอง โดยมีพ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นผู้มีบาทหลัก ในการจัดการเรียนรู้ที่บ้านด้วยวิธีการท่ีเหมาะสมให้กับผู้เรียนในขณะอยู่ที่บ้าน 2. ความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 หมายถึง ความมุ่งหวัง ความปรารถนาของผู้ปกครอง ที่มีต่อจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ที่ผิดแปลกไปจากเดิม ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ปกครองที่ไม่สามารถสนับสนุนการเรียนรู้ให้กับบุตรหลานในขณะอยู่ที่บ้านให้ เกิดประสิทธิภาพ โดยผู้ปกครองมีความมุ่งหวัง และความชัดเจน แบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 2.1 การสร้างความรู้ ความเข้าใจ หมายถึง การพัฒนาให้พ่อ แม่ผู้ปกครอง มีพื้นฐานในการฟื้นฟูสมรรถภาพแนวทางในการช่วยเหลือบุตรหลาน การวางแผนพัฒนา การออกแบบและการจัดการเรียนรู้ เทคนิควิธีการฝึกพัฒนาการ การเลือกใช้สื่อในการจัดกิจกรรม รวมไปถึงแหล่งข้อมูลในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม สำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาบุ ตร หลานให้เกิดประสิทธิภาพ 2.2 แนวทางในการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การให้บริการสนับสนุนการจัดการ เรียนรู้ของผู้เรียนที่บ้านด้วยการให้บริการคำแนะนำ ปรึกษา การจัดตารางนัดหมายให้บริการ เยี่ยมบ้าน การมอบหมายใบงาน แบบฝึกสำหรับการเรียนรู้ที่บ้าน รวมถึงวิธีการเรียนรู้ผ่าน Application หรือการเรียนออนไลน์ท่ีเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้ปกครอง 2.3 การออกแบบการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การดูแล สนับสนนุให้ผู้ปกครอง จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้บุตรหลานที่ตอบสนองต่อความต้องการจำเป็นพิเศษแต่ละบุคคล สำหรับ ผู้ปกครองนำไปใช้ในการพัฒนาบุตรหลานที่บ้าน ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่คำนึงถึงความ พร้อมและสอดคล้องกับพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา เน้นพัฒนาทักษะ ต่าง ๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน การฝึกอาชีพให้กับผู้เรียน เน้นการป้องกันและดูแล สุขอนามัยส่วนบุคคล 2.4 เครื่องมือ อุปกรณ์ เทคโนโลยี หมายถึง การสนับสนุนให้การช่วยเหลือ ส่ือการเรียนการสอน วัสดุ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สัญญาณอินเตอร์เน็ตสำหรับใช้ในการจัดการเรียนรู้

13 รวมถึงเอกสารคู่มือ แนวทางการจัดการเรียนรู้ สำหรับผู้ปกครองนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้กับ ผู้เรียนท่ีอยู่ที่บ้าน 2.5 การประสานความร่วมมือ หมายถึง การมีส่วนร่วมระหว่างผู้ปกครองและ ครูผู้สอนในการวางแผน ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การกำกับติดตามการเรียนรู้ของผู้เรียน การนัดหมายติดตามความก้าวหน้าพัฒนาการผู้เรียน รวมถึงการกำหนดช่องทางในการติดต่อส่ือสาร ประชาสัมพันธ์แนวทางการจัดการเรียนรู้ผ่านช่องทาง Social Media 3. ผู้ปกครอง หมายถึง พ่อ แม่ ผู้ปกครองที่ทำหน้าที่เล้ียงดู อุปการะผู้เรียน ให้ได้รับบริการ ช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและเตรียมความพร้อม ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง โดยมีบุตรหลานที่มีความบกพร่องทางการเห็น บกพร่องทางการได้ยิน บกพร่องทางสติปัญญา บกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ ออทิสติกและพิการซ้อน 4. เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ หมายถึง ผู้เรียนที่รับบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม และเตรียมความพร้อม ที่รับบริการแบบไป-กลับ ในศูนย์การศึกษาพิเศษฯ ระนองและหน่วยบริการ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ 1. ผลการศึกษาสามารถนำไปใช้ในการวางแผนเพื่อกำหนดนโยบายการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในสถานศึกษาให้มี ประสิทธิภาพสอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครอง และสภาพสังคมที่เป็นจริง 2. สถานศึกษานำไปใช้เป็นข้อมูลในการส่งเสริม ปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาการจัดการ เรียนรู้ สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ เพื่อให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ เรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์ และผลดีต่อการพัฒนาเด็กท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษ ต่อไป

14 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ยี วข้อง การวิจัย เรื่อง การศึกษาความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง มีผลการศึกษาเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องนำเสนอตามลำดับ ดังน้ี 1. แนวคิด ทฤษฎีเก่ียวกับความต้องการ 1.1 ความหมายความต้องการ 1.2 แนวคิด ทฤษฎีความต้องการ 2. แนวคิด ทฤษฎีเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้ 2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้ 2.2 หลักการในการจัดการเรยี นรู้ 2.3 ความสำคัญในการจัดการเรียนรู้ 2.4 องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ 2.5 หลักพื้นฐานในการจัดการเรียนรู้ 3. แนวคิดเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 3.1 นโยบายและแนวทางการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 ในต่างประเทศ 3.2 นโยบายและแนวทางการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทย 4. การจัดการเรียนรสู้ ำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษในสถานการณ์ COVID-19 5. งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง 6. กรอบแนวคิดการวิจัย

15 1. แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกบั ความต้องการ 1.1 ความหมายความต้องการ นักวิชาการได้ให้ความหมาย “ความต้องการ” ไว้ดังน้ี พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (2546, หน้า 231) มีท่ีมาจากคำว่า \"ความ\" (ความ] น. เรื่อง เช่น เนื้อความ เกิดความ อาการ ใช้นำหน้ากริยาหรือวิเศษณ์เพื่อแสดงสภาพ เช่น ความต้องการ อยากได้ ใคร่ได้ ประสงค์ \"ความต้องการ\" เกิดความอาการอยากได้ ใคร่ได้หรือ ประสงค์ รังสิมา มั่นใจอารย์ (2550, หน้า 38) ได้ให้ความหมายของความต้องการไว้ว่า หมายถึง ความปรารถนา ความอยากได้ แรงขับ แรงจูงใจ แรงกระตุ้น ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออินทรีย์ขาดสมดุลซึ่งจะ เกิดแรงผลักตันให้บุคคลกระทำพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อกลับสู่ความสมดุลหรือสภาวะปกติ อารี พันธ์มณี (2550, หน้า 201) ได้ให้ความหมายของความต้องการไว้ว่า หมายถึง สภาพ ที่บุคคลขาคสมดุล เกิดแรงผลักตันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อสร้างสมดุลให้ตัวเอง เช่น คนที่รู้สึก เหนื่อยล้ำโดยการนอน หรือเปลี่ยนอิริยาบถคนที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว เกิดความต้องการความรัก ความสนใจจากผู้อื่น เป็นแรงผลักตันให้คนคนนั้นกระทำการบางอย่างเพื่อให้ใด้รับความรักความ สนใจ ความต้องการ์มีอิทธิพลมากต่อพฤติกรรมเพราะสิ่งที่กระตุ้นให้บุคคลแสลง พฤติกรรมเพื่อ บรรลุสิ่งที่ต้องการนั้น เกิดมาจากความต้องการของบุคคล นักจิตวิทยาแต่ละท่านจะอธิบายเรื่อง ความต้องการในรูปแบบท่ีแตกต่างกัน บุษบงค์ ลาแก้ว (2550, หน้า 32) กล่าวว่า ตามธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีความต้องการ มากมายหลายอย่างจนไม่จำกัด ซึ่งท้ังความต้องการท่ีเกิดจากความคิดคำนึง หรือความต้องการด้าน จิตใจ หรือความต้องการทางกาย ซึ่งเป็นความต้องการที่ขาดมีได้ และในบรรดาความต้องการต่าง ๆ ของมนุษย์นั้นยากที่จะได้รับการตอบสนองเป็นที่พอใจ เพราะเป็นเรื่องของความแตกต่างระหว่าง บุคคล จากความหมายความต้องการที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ความต้องการ หมายถึง แรงผลักดันให้บุคคลแสวงหาสิ่งที่ตนต้องการด้วยวิธีการต่าง ๆ มนุษย์มีความต้องการมากมาย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ สาเหตุที่มนุษย์กระทำสิ่งต่าง ๆ ก็เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการ ของตน ซึ่งอาจเป็นในทางท่ีดีหรือไม่ดีก็ได้และความต้องการของมนุษย์นั้นไม่มีท่ีสิ้นสุด 1.2 แนวคิด ทฤษฎีความต้องการ ความต้องการเป็นรากฐานสำคัญของการจูงใจภายใน เน่ืองงจากความต้องการของมนุษย์อยู่ ภายในตัวเอง แรงจูงใจให้กระทำของคนได้มาจากพลังที่อยู่ในตัว ความต้องการทางค้านร่างกาย ความต้องการทางชีวภาพ เป็นความต้องการเบื้องต้น ต้องการตอบสนองเพื่อความอยู่รอดของชีวิต ความต้องการทางสังคม และความต้องการทางด้านจิตใจจะแตกต่างกันระหว่างบุคคล ความต้องการ ด้านสังคมจะปรากฎขึ้นมาภายหลังจากความต้องการทางด้านชีวภาพ ได้รับการตอบสนองแล้ว

16 ความต้องการเหล่านี้ ได้แก่ ความต้องการรับผิดชอบ การยอมรับทางสังคม การยกย่อง ความสำเร็จ อำนาจและความสมหวังของชีวิต ความต้องการเป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ถูกกระตุ้นให้ เกิดความปรารถนาที่จะตอบสนองต่อความด้องการของตน ทฤษฎีเกี่ยวกับความต้องการที่เป็น ท่ีแพร่หลายมีอยู่ 4 ทฤษฎี คือ 1) ทฤษฎีความต้องการเป็นลำดับชั้น (Hierarchy of need theory) ซึ่งรู้จักกันในชื่อว่า ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ เพราะอับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) ได้พัฒนาขึ้นมา มีหลักการที่สำคัญ 2 ประการ คือหลักความขาคแคลน (Deficit principle) ซึ่งหมายความว่า เมื่อคนขาดแคลนสิ่งใดก็ต้องการ สิ่งนั้นและตราบใดท่ีคนยังขาดสิ่งนั้นอยู่ ก็ยังไม่สามารถงใจให้เกิด พฤติกรรมที่ต้องการได้ จนกว่าการขาดแคลนน้ันได้รับการบำบัด หรือได้รับการตอบสนองแล้ว คนที่ ขาคแคลนก็จะกระทำทุกอย่างเพ่ือตัดความต้องการนั้นให้หมดไป หลักความก้าวหน้า (Progression principle) หมายความว่า เมื่อความต้องการระดับหนึ่งได้รับการตอบสนองความต้องการอื่น ในข้ันสูงก็จะเกิดข้ึน กล่าวอีกอย่างหน่ึงว่า ความต้องการในขั้นที่สามไม่สามารถกระตุ้นพฤติกรรมได้ ถ้าความต้องการขั้นที่สองยังไม่ใด้รับการตอบสนอง ความต้องการของคนจะก้าวหน้าขึ้นไปทีละขั้น จนกว่าจะก้าวขึ้นไปถึงขั้นสูงสุด ยิ่งความต้องการได้รับการตอบสนองมากขึ้นเท่าไรความต้องการ ที่เกิดขึ้นก็จะก้าวหน้าไปมากเท่านั้น ตามทฤษฎีนี้ระบุว่า ความต้องการของคนจะก้าวหน้าไปจนถึง ขั้นสูงสุด ตราบใดท่ีต้องการในข้ันต้นได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการลำดับต้น (Lower-Order-Need) เริ่มตั้งแต่ความต้องการทางร่างกาย ความต้องการความปลอดภัย และความต้องการทางสังคม จะสังเกตเห็นว่าความต้องการลำดับต้น เป็นการให้รางวัลภายนอก (Extrinsic reward) สาระสำคัญในทฤษฎีความต้องการพื้นฐานของ มาสโลว์ มีดังนี้ (Maslow, 1954, pp. 80-91) (1) ความต้องการของร่างกาย ได้แก่ ความต้องการอาหาร น้ำ อากาศ ที่อยู่อาศัย ยารักษา โรค รวมทั้งสิ่งอ่ืน ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต (2) ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย ได้แก่ ความต้องการที่จะรู้สึกว่าตนอยู่ในสภาพ มั่นดง ปลอดภัยในทรัพย์สิน มีความมั่นคงในการทำงาน และมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงในสังคม ถ้าขาด อาจรู้สึกหวาดกลัว (3) ความต้องการทางสังคม ได้แก่ ความต้องการความรัก ต้องการเป็นส่วนหน่ึงของสังคม (4) ความต้องการมีเกียรติชื่อเสียง ได้แก่ ความภาคภูมิใจ การได้รับความยกย่องจากบุคคล อื่น (5) ความต้องการความสำเร็จแห่งตน เป็นความด้องการระดับสูง เป็นความต้องการท่ีอยาก ให้เกิดความสำเร็จทุกอย่างตามความคิดของตน

17 2) ทฤษฎี 2 องค์ประกอบของเฮิซเบอร์ก (Herzberg's Two Factor Theory) Hanson (1985, p.233) ใด้กล่าวถึงทฤษฎี 2 องค์ประกอบของ เฮิซเบอร์กไว้ว่า ความ ต้องการของมนุษย์ตามหลักทฤษฎีของเฮิซเบอร์ก พบว่า เมื่อมนุษย์พูดถึงความรู้สึกท่ีดีหรือความพึง พอใจ ย่อมหมายถึงลักษณะโดยตรงของงาน เฮิซเบอร์ก เรียกองค์ประกอบน้ีว่า \"ตัวจูงใจ\" ซึ่งรวมถึง ความรู้สึกสัมฤทธิผล การยอมรับในความสำเร็จจากลักษณะของงาน ความรู้สึก ความรับผิดชอบ ความเจริญก้าวหน้าและการพัฒนาเม่ือผู้ใต้บังดับบัญชาพูดถึงดวามไม่น่าพึงพอใจในการทำงานย่อม หมายถึงองค์ประกอบทางด้านอนามัย ซึ่งรวมถึงนโยบายของหน่วยงาน และการบริหารระหว่างกัน ภายในกลุ่มพนักงานกับผู้นิเทศ สภาวะในการทำงาน เงินเดือน ความสัมพันธ์ระหว่างกันภายในกลุ่ม พนักงานของฝ่ายบุคคล ความสัมพันธ์กับผู้ใด้บังดับบัญชา ตำแหน่งและความปลอดภัย 3) ทฤษฎีอีอาร์จีของอัลดอเฟอร์ (Alderfer's ELS Theory) Mondy (1993, pp.305-307) ได้กล่าวถึงทฤษฎี ERG ของอัลเดอเฟอร์ ซึ่งเสนอแนวคิด จากการปรับทฤษฎีของมาสโลว์เสียใหม่เป็นความต้องการ 3 ระดับ คือ (1) ความต้องการเพื่อความอยู่รอดของชีวิต (Eristence need) เป็นความรู้สึกที่ทาง ร่างกายใกล้เคียงกับความต้องการทางด้านร่างกายและความต้องการเกี่ยวกับความปลอดภัยของ มาสโลว์ (2) ความต้องการความสัมพันธ์ (Relatedness needs) เกี่ยวข้องกับความต้องการเป็น เจ้าของของมาสโลว์ (3) ความต้องการความก้าวหน้า (Growth needs) เป็นความต้องการร่วมกันที่จะได้รับ ความนิยมยกช่องและความต้องการที่จะรู้ถึงความสามารถที่แท้จริง ซึ่งเป็นความต้องการในขั้นสูง ของมาสโลว์ อัลเคอร์เฟอร์เห็นว่าความต้องการของแต่ละคนย่อมจะเป็นไปตามสำดับขั้น แต่ในกรณีที่ พยายามแล้วเกิดความล้มเหลวในความต้องการด้านอื่น ก็อาจจะหันกลับไปสู่ความต้องการ ใน ระดับต่ำขึ้นมาอีก เช่นพนักงานที่ส้มเหลวในความก้าวหน้าอาจจะทำให้เกิดแรงจูงใจที่ต้องการค้าน ความสัมพันธ์ข้ึนมาอีก เป็นต้น 4) ทฤษฎีความต้องการของแมคเคลแลนด์ (Macclelland's Need Theory) ทฤษฎีความต้องการของแมคเคลแลนด์เป็นเรื่องส่วนประกอบของสิ่งแวดล้อมรวมกันกับ ความต้องการของแต่ละบุคคลอย่างไร จึงทำให้กลายเป็นแรงขั้นพื้นฐานของมนุษย์ 3 ประการ (ศุภลักษณ์ ตรีสุวรรณ, 2548, หน้า 25) (1) ความต้องการเพื่อประสบความสำเร็จ (Achievement needs) ผู้ที่มีความต้องการใน ด้านนี้สูงจะเป็นผู้ที่มีความสามารถในการแก้ปัญหา มีพลังงานสูงและพอใจท่ีจะทำงานหนักและเห็น คุณค่าของความสำเร็จจากการได้ทำงานที่ท้าทายความสามารถ

18 (2) ความต้องการมีพลังความสามารถ (Needs for power) เป็นความต้องการ ที่จะมี อำนาจหรืออิทธิพลเหนือผู้อื่น ผู้ท่ีมีความต้องการค้านนี้สูงจะเป็นคนที่ชอบการแข่งขันการเผชิญหน้า ถ้าเป็นการใช้ความสามารถในทางบวก จะทำให้บุคคลนั้นเกิดความพยายามที่จะปฏิบัติงานจนเป็น ผลสำเร็จแต่ถ้าใช้ความสามารถในค้านลบก็จะหาวิธีปฏิบัติที่เกิดประโยชน์ต่อตนเองแต่เป็นผล เสียหายต่อองค์กร (3) ความต้องการที่จะผูกพันกับผู้อื่น (Needs for affiliation) จะเป็นที่พยายามสร้างและ รักษาความสัมพันธ์ไว้ อยากให้ผู้อ่ืนชอบ ชอบงานสังสรรค์และกิจกรรมทางสังคม แต่ละความต้องการของแมคเคลแลนด์ แสดงให้เห็นถึงความแดกต่างของความ พึงพอใจแต่ละแบบ การปฏิบัติงานให้ได้รับการตอบสนองความต้องการขั้นต้นของมนุษย์ คือ ความต้องการทางซีวภาพ เช่น ความต้องการทางร่างกาย ความต้องการความปลอดภัย เป็นต้น จากนั้นความต้องการทาง สังคมจึงจะเกิดขึ้นตามมา เช่น ความต้องการเกียรติยศช่ือเสียง เจนจิรา แซเฮง (2555, หน้า 14) ได้กล่าวไว้ว่า แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความ ต้องการเชื่อมโยงกับแนวคิดของมาสโลว์ กับความต้องการทั้ง 5 ระดับของมนุษย์ คือ ความต้องการ ระดับแรกสุด คือ ความต้องการทางด้านร่างกายเป็นความต้องการพื้นฐาน ที่ผู้ปกครองต้องการให้ โรงเรียนจัดอาหารที่มีประโยชน์และน้ำดื่มที่สะอาดเพียงพอกับความต้องการของนักเรียน ต่อมา ความต้องการด้านความปลอดภัยและความมั่งคง ผู้ปกครองต้องการให้นักเรียนมีความปลอดภัย เมื่ออยู่ในโรงเรียนตลอดจนการเดินทางไปกลับระหว่างบ้านกับโรงเรียน และในส่วนความต้องการที่ ได้รับการยกย่องในสังคม ซึ่งเป็นความต้องการที่ผู้ปกครองเป็นบุคคลที่มีความสำคัญ ต่อ ความสำเร็จของนักเรียนโดยร่วมมือกับโรงเรียน ถ้านักเรียนประสบผลสำเร็จก็จะส่งผลให้ตัว ผู้ปกครอง ได้รับการยอมรับ และ ยกย่องจากผู้อื่น และระดับสุดท้าย คือ ความต้องการที่ได้รับ ความสำเร็จดังที่คาดหวังเป็นความต้องการของผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรหลานของตนใช้ ความสามารถที่มีอยู่ทำประโยชน์ให้แก่สังคม และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข หาก ทางโรงเรียนนำไปปรับปรุง แก้ไขปฏิบัติในการ จัดการเรียนการสอน แสดงว่าโรงเรียนได้สนองความ ต้องการ ของผู้ปกครองทำให้ผู้ปกครองมีความสุขเพราะความต้องการ ของผู้ปกครองได้รับการ ตอบสนองตามที่คาดหวัง จากแนวคิดทฤษฎีความต้องการ อาจสรุปได้ว่า ความต้องการของมนุษย์เป็นความต้องการ ที่เกิดขึ้น โดยธรรมชาติของร่างกายและเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ทางสังคม เช่น ความรัก ความ มั่นคงปลอดภัย การยอมรับ การต้องการอิสรภาพและความสำเร็จในชีวิต เป็นเหตุให้มนุษย์แสดง พฤติกรรมเพ่ือไปสู่จุดหมายปลายทาง เพ่ือให้ได้มาซ่ึงความต้องการดังกล่าว

19 2. แนวคิด ทฤษฎีเก่ียวกบั การจดั การเรียนรู้ 2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้ นักวิชาการในด้านการศึกษา ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้ ไว้ดังน้ี วิชัย ประสิทธ์วุฒิเวชช์ (2542, น.255) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่มี ระบบระเบียบครอบคลุมการดำเนินการ ตั้งแต่การวางแผน การจัดการเรียนรู้จนถึงการประเมินผล สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้ (2543 : 21) ได้ให้ความหมายของการจัดการ เรียนรู้ว่า การจัดการเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการ วิธีการ การจัดกิจกรรมและประสบการณ์การ เรียนรู้ โดยมีการจัดบรรยากาศ เนื้อหาสาระ กระบวนการ การประเมินผลการเรียนรู้ การมีส่วนร่วม ของชุมชน แหล่งการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาคนและชีวิตให้เกิดประสบการณ์การเรียนรู้เต็มตาม ความสามารถ สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ และความต้องการของผู้เรียน สุวิทย์ มูลคำ (2549, น.16) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้ คือสภาพการเรียนรู้ ที่ กำหนดขึ้น เพื่อนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมายหรือจุดประสงค์การเรียนการสอนที่กำหนด ซึ่งหมายความ รวมถึงรูปแบบ การสอน วิธีสอนและเทคนิคการสอน กระทรวงศึกษาธิการ (2551, น.25) สรุปไว้ว่า การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญใน การนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ หรือหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลักสูตรท่ีมีมาตรฐาน การเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนา เด็กและเยาวชน ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติตามเป้าหมายหลักสูตร ผู้สอนพยายามคัดสรร กระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านสาระที่กำหนดไว้ในหลักสูตร 8 กลุ่ม สาระการเรียนรู้รวมทั้งปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พัฒนาทักษะต่าง ๆ อันเป็น สมรรถนะสำคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามเป้าหมาย สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน (2557, น.8) ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้ ว่า การจัดการเรียนรู้คือ กระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน เพื่อที่จะทำให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์ของผู้สอน กุลิสรา จิตรชญาวณิช (2562, น.2) ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า การจัดการ เรียนรู้ หมายถึง กระบวนการต่าง ๆ ในการดำเนินงานของผู้สอนต้ังแต่การวางแผนการจัดการเรียนรู้ จนสิ้นสุด การประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรมจริยธรรมและ เกิดทักษะหรือ สมรรถนะต่าง ๆ ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ จากความหมายในข้างต้นสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ คือ กระบวนการที่ผู้สอนจัด สถานการณ์ สภาพการณ์ หรือกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปสู่เป้าหมายหรือจุดประสงค์ การเรียนการสอนที่กำหนดไว้ มีการวางแผนการจัดการเรียนรู้จนถึงการประเมินผล โดยผ่านการ มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ซ่ึงความสัมพันธ์และการมีปฏิสัมพันธ์ก่อให้เกิดการเรียนรู้และ ประสบการณ์ใหม่ที่ผู้เรียนสามารถนำประสบการณ์ใหม่นั้นไปใช้ได้

20 2.2 หลักการในการจัดการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ (2551, น.25) ได้ให้หลักการในการจัดการเรียนรู้ว่าต้องให้ผู้เรียน มีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยยึดหลักว่า ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด เชื่อว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมอง เน้นให้ความสำคัญทั้งความรู้ และ คุณธรรม จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ได้ให้หลักการที่สำคัญ ในการจัดการเรียนรู้ไว้ ดังน้ี 1) การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ยึดหลักการว่าผู้เรียน ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้โดยการจัดวิธีการเรียนรู้ให้เหมาะสม กับความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน ให้สามารถพัฒนาตนเองได้ การจัดการเรียนรู้ควรเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน ให้ผู้เรียน มีความสุขในการเรียนรู้ ได้ลงมือศึกษาค้นคว้า คิดแก้ปัญหาและปฏิบัติงานเพื่อสร้างความรู้ได้ด้วย ตนเอง โดยมีครูผู้สอนเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุนจัดสถานการณ์ให้เอ้ือต่อการเรียนรู้ 2) การจัดการเรียนรู้ที่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เป็นการให้ความสำคัญของ ความแตกต่างระหว่างผู้เรียนเพื่อวางรากฐานชีวิตให้เจริญงอกงามอย่างสมบูรณ์ มีพัฒนาการสมวัย อย่างสมดุล ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา การจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ ผู้เรียนได้ค้นพบและแสดงออกถึงศักยภาพของตนเอง ครูผู้สอนจึงควรมีข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล สำหรับใช้ในการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และนำไปพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับความ แตกต่างของผู้เรียน 3) การจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการทางสมอง เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาได้อย่างเหมาะสมกับการทำงานของสมอง การเชื่อมโยงวงจรสมอง พัฒนาการทางอารมณ์ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนมีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ทำงาน และอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นอย่างมีความสุข โดยใช้ประสบการณ์ตรงด้านร่างกายที่เป็นรูปธรรม ข้อเท็จจริงและทักษะด้าน ต่าง ๆ ที่ปรากฏในชีวิตจริงตามธรรมชาติเป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับ พัฒนาการทางสมอง 4) การจัดการเรียนรู้ที่เน้นด้านคุณธรรม จริยธรรม เป็นการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการ คุณธรรมจริยธรรม ได้รับรู้ เกิดการยอมรับ เห็นคุณค่าและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นลักษณะนิสัย ที่ดี สรุปหลักการในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการ เรียนรู้ สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการ

21 ศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 โดยยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด และเชื่อว่าทุกคน สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ โดยยึดประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ในกระบวนการจัดการ เรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ คำนึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมองเน้นให้ความสำคัญทั้งความรู้และคุณธรรมจริยธรรม 2.3 ความสำคัญในการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ เป็นกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ ทำให้ผู้เรียน มีพัฒนาการที่เจริญงอกงามทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์สังคม และสติปัญญา โดยภาพรวม การจัดการเรียนรู้มีความสำคัญหลายประการดังนี้ (กุลิสรา จิตรชญาวณิช, 2562 น.11) 1) การจัดการเรียนรู้ช่วยให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดีงาม ในการจัดการ เรียนรู้แต่ละครั้ง โดยทั่วไปผู้สอนจะกำหนดจุดประสงค์ในการเรียนรู้เอาไว้ เพื่อเป็นแนวทางในการ จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ที่ดีขึ้น หรือต้องการให้ผู้เรียนเกิด การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่พึงประสงค์ท้ังด้านร่างกาย อารมณ์สังคม และสติปัญญา 2) การจัดการเรียนรู้ช่วยทำให้จุดมุ่งหมายการจัดการศึกษาบรรลุผลตามเป้าหมาย ทั้งนี้การ กำหนดจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาไว้ในหลักสูตรแต่ละระดับการศึกษาของสังคมไทยอาจจะมี ทั้งความเหมือนกันและต่างกัน แต่ไม่ว่าจุดมุ่งหมายของการศึกษาในแต่ละระดับจะกำหนดไว้อย่างไร ส่ิงที่สำคัญท่ีจะท าให้จุดมุ่งหมายของการศึกษาบรรลุผลก็คือ การจัดการเรียนรู้ ซึ่งการจัดการเรียนรู้ ที่ดีมีประสิทธิภาพจะส่งผลทำให้การศึกษามีคุณภาพ 3) การจัดการเรียนรู้ช่วยเสริมสร้างทักษะต่าง ๆ ให้ผู้เรียนสามารถที่จะนำไปใช้ในการ ดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งทักษะที่สำคัญและจำเป็นสำหรับผู้เรียนที่สถานศึกษาควรจัดให้กับ ผู้เรียนมีหลายทักษะด้วยกัน เช่น ทักษะกระบวนการคิด ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะทางสังคม ทักษะการสื่อสาร ทักษะทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการใช้เทคโนโลยี เป็นต้น 4) การจัดการเรียนรู้ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม ทำให้ผู้เรียนเป็น คนที่สามารถแยกดีชั่วถูกผิดออกอย่างมีเหตุผล มีหลักยึดปฏิบัติในการใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของ ความถูกต้องดีงาม และทำให้ผู้เรียนเปล่ียนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่พึงประสงค์ 5) การจัดการเรียนรู้ทำให้ผู้เรียนรู้จักเอาตัวรอด เนื่องจากการเรียนรู้เป็นปัจจัยที่สำคัญ ในการสร้างองค์ความรู้พัฒนาให้ผู้เรียนมีสติปัญญาท่ีชาญฉลาด รวมทั้งพัฒนาทักษะต่าง ๆ ท่ีจำเป็น สำหรับผู้เรียน และยังสามารถช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลายให้ผู้เรียนน ำไป ประยุกต์ใช้ได้จริงในการดำรงชีวิตให้มีความสุขในสังคม ดังนั้น เมื่อผู้เรียนได้รับทั้งความรู้ ประสบการณ์และทักษะต่าง ๆ จากการศึกษาและการจัดการเรียนรู้จะทำให้ผู้เรียนสามารถนำสิ่ง ดังกล่าวมาใช้ให้เป็นประโยชน์และรู้จักท่ีจะเอาตัวรอดอยู่ในสังคมได้อย่างรู้เท่าทัน 6) การจัดการเรียนรู้ช่วยสร้างเสริมประสบการณ์ต่าง ๆ ให้กับผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในการ ดำรงชีวิตประจำวัน

22 7) การจัดการเรียนรู้สามารถนำไปสู่การสร้างเสริมอาชีพหรือรายได้ให้กับผู้เรียน 8) การจัดการเรียนรู้สามารถพัฒนาผู้เรียนให้นำองค์ความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ไปใช้ พัฒนาตนเอง สังคม และประเทศชาติให้มีความก้าวหน้าได้ ยุพิน ศิริพละ (2537, อ้างถึงใน ประกาศิต อานุภาพแสนยากร, 2555, น.2-3) ได้ระบุถึง ความสำคัญในการจัดการเรียนรู้ว่าเป็นกระบวนการพัฒนาผู้เรียนที่สอดคล้องกับความสนใจของ ผู้เรียน เพื่อพัฒนาผู้เรียนทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์และสังคม การจัดการเรียนรู้และการเรียนรู้ มีความสัมพันธ์กัน การจัดการเรียนรู้มีความสำคัญ ดังนี้ 1) การจัดการเรียนรู้ช่วยให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้เร็วขึ้น จุดมุ่งหมายของการ จัดการเรียนรู้มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในตัวผู้เรียน 3 ประการ คือ ความรู้ ทักษะ และเจตคติ ดังนั้น ในการสอนของผู้สอนที่มีการวางแผนไว้อย่างมีเป้าหมาย ย่อมจะช่วยให้ผู้เรียน เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 2) การจัดการเรียนรู้ช่วยให้จุดมุ่งหมายการจัดการศึกษาบรรลุผล จุดมุ่งหมายของการจัด การศึกษาต้องการให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง คนดีและมีความสุข ดังนั้น ในการสอนจึงต้องใช้วิธีการสอน หลายรูปแบบผสมผสานกัน ใช้เทคนิคการสอน และใช้จิตวิทยาเพื่อช่วยให้การเรียนการสอนบรรลุ จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษา 3) การจัดการเรียนรู้ช่วยพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนรู้เป็นขั้นตอนสำคัญขั้นหนึ่ง ของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร คือ ในขั้นการนำไปใช้ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร และการ จัดการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงตัวผู้สอนจากเป็นผู้สอนมาเป็นผู้ชี้นำผู้เรียนให้เป็น คนดี เข้าถึงองค์ความรู้ มีความสามารถในการคิด นำความรู้มาแก้ปัญหา เม่ือพฤติกรรมการสอนของ ผู้สอนและพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียนเปลี่ยนก็นับได้ว่าการเรียนการสอนได้ช่วยพัฒนาหลักสูตร 4) การจัดการเรียนรู้เป็นการสร้างแบบอย่างให้กับผู้เรียนในการคิดการทำ ผู้สอนมีอิทธิพล ต่อพฤติกรรมของผู้เรียนเป็นอย่างมากทั้งด้านวาจา ความคิด บุคลิกภาพและความประพฤติ การกระทำของผู้สอนจะอยู่ในสายตาผู้เรียนตลอดเวลา ผู้เรียนจะเลียนแบบผู้สอนโดยไม่รู้สึกตัว ดังนั้น ผู้สอนจึงต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอเพื่อให้ลูกศิษย์ซึมซับสิ่งที่ดีจากตัวผู้สอน เช่น การตรง ต่อเวลา การพูดจาชัดเจน การแสดงความคิดเห็นท่ีตรงไปตรงมา สุภาพเรียบร้อย เป็นต้น 5) การจัดการเรียนรู้เป็นการเสริมสร้างความรู้ ผู้สอนเป็นผู้ช้ีนำหรือแนะแนวทางให้ผู้เรียน ได้ค้นคว้าหาความรู้โดยการสังเกต สำรวจ ทดลอง วิเคราะห์จนพบคำตอบ ซึ่งเป็นวิธีการให้ผู้เรียน สร้างความรู้ด้วยตนเอง 6) การจัดการเรียนรู้พัฒนาความเป็นมนุษย์ทุกด้าน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้เน้นให้การจัดการเรียนรู้ต้องพัฒนาคุณภาพมนุษย์ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา คุณธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม ค่านิยม การประพฤติปฏิบัติ ฯลฯ เพ่ือพัฒนาบุคคล ให้เป็น “มนุษย์ที่สมบูรณ์” โดยคาดหวังว่า คนที่มีคุณภาพนี้จะทำให้สังคมมีความมั่นคง สงบสุข

23 มีความเท่าเทียมกัน เจริญก้าวหน้าทันโลก แข่งขันกับสังคมอื่นในเวทีระหว่างประเทศได้ คนในสังคม มีความสุขมีงานทำรวมถึงสามารถประกอบอาชีพการงานอย่างมีประสิทธิภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ (2557) ได้ให้ระบุความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ว่า เปรียบเสมือนเครื่องมือท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนรักการเรียน ตั้งใจเรียน และ เกิดการเรียนรู้ขึ้น การเรียน ของผู้เรียนจะไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ ความสำเร็จในชีวิตหรือไม่ เพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการ จัดการเรียนรู้ที่ดีของผู้สอน หรือผู้สอนด้วยเช่นกัน หากผู้สอนรู้จัก เลือกใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ที่ดี และเหมาะสมแล้วย่อมจะมีผลดีต่อการเรียนของผู้เรียนดังนี้คือ 1) มีความรู้และความเข้าใจในเนื้อหาวิชา หรือกิจกรรมท่ีเรียนรู้ 2) เกิดทักษะหรือมีความชำนาญในเนื้อหาวิชา หรือกิจกรรมท่ีเรียนรู้ 3) เกิดทัศนคติท่ีดีต่อสิ่งที่เรียน 4) สามารถนำความรู้ท่ีได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ 5) สามารถนำความรู้ไปศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติมต่อไปอีกได้ อนึ่ง การที่ผู้สอนจะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเจริญงอกงามในทุก ๆ ด้าน ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญานั้น การส่งเสริมที่ดีที่สุด ก็คือ การให้การศึกษา ซึ่งจากที่กล่าวมาจะ เห็นได้ว่า การจัดการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญในการให้การศึกษาแก่ผู้เรียนเป็นอย่างมาก จากที่กล่าวมาในข้างต้นสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้เปรียบเสมือนเคร่ืองมือท่ีช่วยส่งเสริมให้ ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองในทุก ๆ ด้านไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ทั้งน้ีผู้เรียนจะประสบ ความสำเร็จหรือไม่เพียงใดขึ้นอยู่กับกระบวนการจัดการเรียนรู้ของผู้สอนเป็นสำคัญ หากผู้สอน เลือกใช้วิธีการการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับผู้เรียน ย่อมส่งผลให้ผู้เรียน สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้ไปปรับใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน 2.4 องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาจากข้อมูลหลายประการเพื่อนำมาช่วยเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้ ของตนและการเรียนรู้ของผู้เรียน การจัดการเรียนรู้ไม่ว่าระดับใดก็ตามขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3 ประการ คือ (สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน, 2557 น. 9-10) 1) ผู้เรียน 2) บรรยากาศทางจิตวิทยาที่เอ้ืออำนวยต่อการเรียนรู้ 3) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับบรรยากาศทางจิตวิทยาในชั้นเรียน ถ้าองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ทั้ง 3 ประการนี้ดำเนินไปได้ด้วยดีจะทำให้ผู้เรียน ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ได้อย่างมาก องค์ประกอบดังกล่าวมีรายละเอียดดังน้ี (1) ผู้เรียน ธรรมชาติของผู้เรียนเป็นสิ่งที่ผู้สอนจะต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก เกี่ยวกับ ความสามารถทางสมอง ความถนัด ความสนใจ พัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์และจิตใจ ความ ต้องการพ้ืนฐานเป็นส่ิงที่ผู้สอนจะต้องคำนึง และจะละเลยไม่ได้

24 (2) บรรยากาศทางจิตวิทยาที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ผู้สอนเป็นส่วนสำคัญ และส่วนหน่งึ ที่จะกำหนดบรรยากาศในชั้นเรียนให้เป็นไปในรูปแบบที่ต้องการ ความเป็นประชาธิปไตย ความเคร่งเครียด ความชื่นบานของผู้เรียน สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้โดยผู้สอนเป็นผู้กำหนด แต่ถึง กระนั้นก็ตามบรรยากาศในช้ันเรียนยังมีองค์ประกอบอ่ืน ๆ อีกนอกเหนือไปจากตัวผู้สอน คือ ผู้เรียน ที่เข้าชั้นเรียนโดยไม่ได้รับประทานอาหารเช้า หรืออาหารกลางวัน ผู้เรียนเริ่มเรียนชั่วโมงแรกด้วย ความรู้สึกหิว หรือบางครั้งผู้เรียนได้รับสิ่งกระทบกระเทือนใจติดตามมาเน่ืองจากความไม่ปรองดอง ในครอบครัว เป็นต้น ส่วนทางด้านตัวผู้สอนนั้นอาจจะมีความกดดันจากฝ่ายบริหารหรือจาก ครอบครัว เศรษฐกิจ สิ่งที่นำมาก่อนเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่ผู้สอนและผู้เรียนจะมาพบกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ จะบ่งได้ว่าบรรยากาศทางจิตวิทยาในช้ันเรียนท่ีเอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้จะปรากฏออกมาในรปู แบบใด (3) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับบรรยากาศทางจิตวิทยาในชั้นเรียน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ผู้สอนและผู้เรียน จะเป็นเคร่ืองบ่งชี้ถึงเง่ือนไขหรือสถานการณ์ว่าผู้เรียนจะประสบความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลวต่อการเรียนรู้ ผู้สอนควรคิดถึงผู้เรียนในฐานะเป็นบุคคลหนึ่ง ผู้เรียนมีสิทธิที่ จะได้รับ ความต้องการพื้นฐาน และผู้สอนควรจะฝึกให้มีความไวต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้เรียน เพื่อ ความสำเร็จแห่งการเรียนรู้และการเจริญเติบโตเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ต่อไป กุลิสรา จิตรชญาวณิช (2562 น. 6-7) ได้อธิบายถึงองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ไว้ คือ การจัดการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างด้วยกัน จึงจะสามารถทำ ให้การจัดการเรียนรู้ประสบผลสำเร็จหรือมีประสิทธิภาพ บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ สำหรับ องค์ประกอบของการ จัดการเรียนรู้ที่สำคัญซ่ึงสามารถสรุปได้ดังน้ี 1) หลักสูตร คือ มวลประสบการณ์ต่าง ๆ ที่จัดไว้อย่างเป็นระบบเพื่อนำไปใช้พัฒนาผู้เรียน ดังนั้น ในการจัดการเรียนรู้ผู้สอนจำเป็นจะต้องศึกษารายละเอียดทั้งหมดในหลักสูตรเพื่อทำความ เข้าใจ และสามารถนำสิ่งต่าง ๆ ที่บรรจุไว้ในหลักสูตรไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ และบรรลุจุดมุ่งหมายตามที่หลักสูตรกำหนด ที่สำคัญถ้าผู้สอนไม่ได้มีการศึกษาเรียนรู้รายละเอียด ต่าง ๆ ในหลักสูตรก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าจะสอนเนื้อหาอะไร เพื่ออะไร และวัดผลประเมินผล อย่างไร 2) จุดประสงค์ การจัดการเรียนรู้เริ่มต้นจะต้องมีการกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ทุกครั้ง เพราะจะทำให้เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีเป้าหมาย สามารถทราบว่าผู้เรียนจะเกิดพฤติกรรมใดบ้าง รวมทั้งสามารถวางแผนเตรียมเนื้อหา วิธีการจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลให้ สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ทำให้การจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ 3) การจัดการเรียนรู้ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญเช่นเดียวกัน เพราะจะทำให้ผู้สอนทราบว่า จะจัดการเรียนรู้อย่างไร ใช้วิธีการใดบ้าง โดยการจัดการเรียนรู้จะต้องเลือกวิธีการท่ีน่าสนใจมีความ เหมาะสม กับเน้ือหาและสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้

25 4) สื่อการเรียนรู้ การนำสื่อการเรียนรู้มาใช้ในการจัดการเรียนรู้จะช่วยให้ผู้สอนทราบว่า จะจัดการเรียนรู้อย่างไร ใช้วิธีการใดบ้าง โดยการจัดการเรียนรู้จะต้องเลือกวิธีการท่ีน่าสนใจมีความ เหมาะสมกับเนื้อหาสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 5) การวัดผลและประเมินผล จะทำให้ทราบว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุผลตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้หรือไม่ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยทำให้ผู้สอนนำข้อมูลที่ได้จาก การวัดผลและประเมินผลไปใช้ในการปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ในครั้งต่อไปให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้ง สามารถนำปัญหาที่ค้นพบมาใช้ในการทำวิจัยในชั้นเรียนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ 6) ผู้สอน หรือครูเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้การจัดการเรียนรู้เกิดขึ้นและเป็นผู้นำ หลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในการพัฒนาผู้เรียน ดังนั้น ผู้สอนจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ในการท่ีจะถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ไปสู่ผู้เรียน 7) ผู้เรียน หรือนักเรียน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญเท่ากับผู้สอน เพราะถ้าไม่มีผู้เรียนหรือ ผู้รับความรู้ และประสบการณ์ การจัดการเรียนรู้ก็ไม่สามารถท่ีจะเกิดข้ึนได้เพราะไม่มีผู้รับ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ที่กล่าวมาในข้างต้นมีหลายอย่างด้วยกัน เริ่ม ตั้งแต่ หลักสูตร จุดประสงค์ การจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล ผู้สอน ผู้เรียน รวมท้ังองค์ประกอบทางจิตวิทยา คือ บรรยากาศทางจิตวิทยา และปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน กับบรรยากาศทางจิตวิทยาในชั้นเรียน ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญต่อการจัดการเรียนรู้ เป็นอย่างยิ่ง หากขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไป ก็จะส่งผลให้การจัดการเรียนรู้ไม่มี ประสิทธิภาพ ผู้สอนไม่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ได้อย่างสมบูรณ์ตามจุดประสงค์ของหลักสูตร ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ไม่เต็มศักยภาพและไม่บรรลุตามเป้าหมายของหลักสูตร 2.5 หลักพื้นฐานในการจัดการเรียนรู้ ในการจัดการเรียนรู้ผู้สอนจะต้องมีความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับหลักการในการจัดการเรียนรู้ เพื่อ จะได้ใช้เป็นหลักยึดหรือเป็นแนวทางปฏิบัติ ในการวางแผนและเตรียมการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ให้มีประสิทธิภาพและบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร ซึ่ง สำนักงานคณะอนุกรรมการปฏิรูป การเรียนรู้ (2543 : 21) ได้กำหนดหลักสำคัญในการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงสามารถสรุปได้ดังนี้ 1. มุ่งประโยชน์สูงสุดผู้เรียน 2. ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ 3. ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย 4. ผู้เรียนสามารถนำวิธีการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตจริง 5. ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนและควรคำนึงถึงประเด็นสำคัญต่อการ จัดกระบวนการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้

26 1) สมองของมนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้สูงสุด ผู้สอนจะต้องสนใจและให้ผู้เรียนได้ พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสมอง (Head) จิตใจ (Heart) มือ (Hand) และสุขภาพองค์รวม (Health) 2) ความหลากหลายของสติปัญญา การจัดกระบวนการเรียนรู้ ควรจัดกิจกรรมที่ หลากหลายเพ่ือส่งเสริมศักยภาพ ความเก่ง ความสามารถของผู้เรียนเป็นรายบุคคล 3) การเรียนรู้เกิดจากประสบการณ์ตรง กระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง ครูทำหน้าที่เตรียมการจดสิ่งเร้า ให้คำปรึกษา วางแนวกิจกรรม และประเมินผล ชัยยงค์ พรหมวงค์ (อ้างถึงใน อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2553 น.10) ได้อธิบายถึงหลักการพื้นฐาน ในการจัดการเรียนรู้ สามารถสรุปได้ 4 ประการคือ 1) หลักการเตรียมความพร้อมพื้นฐาน ได้แก่ การเตรียมตัวผู้สอนด้านความรู้ ด้านทักษะ การจัดการเรียนรู้และด้านการแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ 2) หลักการวางแผนและเตรียมการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ การเตรียมเขียนแผนการจัดการ เรียนรู้ การผลิตส่ือ เตรียมแบบทดสอบและซ้อมสอน 3) หลักจิตวิทยาการเรียนรู้ เช่น หลักความแตกต่างระหว่างบุคคล หลักการเร้าความสนใจ หลักการเสริมแรง เป็นต้น 4) หลักการประเมินผลและรายงานผล ซึ่งเกี่ยวกับการกำหนดวัตถุประสงค์การจัดการ เรียนรู้ การสร้างและการใช้เครื่องมือการประเมิน การตีความหมายและการรายงานผลการประเมิน 3. แนวคิดเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 3.1 นโยบายและแนวทางการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 ในต่างประเทศ ในหลายประเทศที่ประกาศมาตรการปิดโรงเรียน รัฐบาลมักจะออกมาตรการด้านการ เรียนรู้มารองรับ ด้วยการเรียนทางไกลแบบต่าง ๆ โดยพิจารณาจากเงื่อนไขความพร้อมด้านอุปกรณ์ ความพร้อมของพ่อแม่ และความพร้อมตามช่วงวัยของเด็ก 3.1.1 นโยบายและแนวทางการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศ แคนาดา ประเทศแคนาดา ได้มีการวางระบบโดยใช้การศึกษาทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่า จะเป็น การอบรมสัมมนาผ่านเว็บ การจัดทำวิดีโอการสอน การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบออนไลน์ โดยการสอนสด (live) รวมทั้งการสนับสนุนทรัพยากรการศึกษาแบบให้เปล่ากับครู ผู้ปกครองและ นักเรียน ในขณะเดียวกัน นักการศึกษาชั้นนำจากทั่วโลกได้มีการแชร์บล๊อคและการเผยแพร่ บทความในประเด็นที่น่าสนใจทั้งในส่ือสังคมออนไลน์ เช่น Twitter, Facebook หรือส่ือสังคมอ่ืน ๆ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้งแลกเปลี่ยนความสำเร็จผ่านการเรียนรู้ ในรูปแบบ ทางไกลอย่างหลากหลายวิธี (Osmond-Johnson, Campbell & Pollock, 2020 ระบบการศึกษา

27 ของแคนาดาที่ตอบสนองการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และความคาดหวัง ในการ จัดการเรียนรู้ ดังนี้ มลรัฐ Alberta กระชับหลักสูตร โดยเน้นเนื้อหาจำเป็นตามมาตรฐานของแต่ละช่วงวัย เพื่อให้ ครูสามารถนำไปวางแผนการสอนและใช้เวลาว่างได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งออกคู่มือหลักสูตรฉบับ ย่อสำหรับผู้ปกครองเพื่อสื่อสารให้เข้าใจถึงหลักสูตรที่เปลี่ยนแปลงไป มีแนวทางสนับสนุนให้ครู จัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (blended learning) โดยแนะนำการกำหนดจำนวนชั่วโมงการเรียนรู้ แบบต่าง ๆ ได้แก่ ช่ัวโมงผ่านจอสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย โดยคำนึงถึงพัฒนาการด้านร่างกาย (ปัญหา ด้านสายตา) และพัฒนาการด้านสังคม (ปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน) ช่ัวโมงการเรียนรู้ด้วยตนเองที่บ้านจาก การทำใบงาน ช้ินงาน ค้นคว้าด้วยตัวเอง และช่ัวโมงที่ครูและนักเรียนทำกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกัน มลรัฐ British Columbia ครูดำเนินการจัดการเรียนรู้ และการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองหรือ ผู้ดูแลเด็กจะขึ้นอยู่กับอายุและความสามารถของเด็กและเวลาที่ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็ กจะสามารถ เข้ามามีส่วนร่วมกับโรงเรียน มลรัฐ Saskatchewan การจัดการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับการ ตัดสินใจของโรงเรียน รวมทั้งการ ติดต่อสื่อสารกับผู้ปกครอง กระทรวงศึกษาธิการร่วมทำงานกับโรงเรียนและครูในการจัดโครงการ ตามหลักสูตรการสอนเสริม (supplemental curriculum program) สู่การปฏิบัติ โดยผ่าน วิธีการเรียนทางไกลเพื่อทำให้มั่นใจว่า นักเรียนที่จะเรียนรู้ในรูปแบบการสอน ทางไกลจะมี ทรัพยากรที่จำเป็นเพียงพอ มลรัฐ Manitoba ครูและนักเรียนอาจจะพบปะกันได้ในลักษณะกลุ่มเล็ก ๆ หรือพบ ใน ลักษณะตัวต่อตัวเพื่อการ ประเมินผลการเรียนของนักเรียน รวมทั้งโรงเรียน ได้สนับสนุนการจัด คลีนิคให้คำปรึกษา การจัดทำแผนการเรียนรู้เพื่อการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้ง การจัดให้มีการบริการทางด้านจิตบำบัด มลรัฐ Quebec การกลับมาเข้าเรียนของนักเรียน ระดับประถมศึกษาจะเป็นทางเลือกให้กับ ผู้ปกครอง ในการตัดสินใจว่าจะให้นักเรียนเรียนที่บ้านหรือจะส่งนักเรียนมาที่โรงเรียนตลอด ที่ โรงเรียนสั่งปิดทำการ การใช้เครื่องมือในการเรียนแบบทางไกลจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ผู้ปกครองและนักเรียนไม่ได้เป็นการบังคับ มีการใช้ Tele-Quebec ซ่ึงเปิดทำการจัดการเรียนรู้แบบ ออนไลน์ทางโทรทัศน์ โดยมีเนื้อหาการสอนทั้งในระดับปฐมวัยระดับประถมศึกษาและระดับ มัธยมศึกษา รวมท้ังเน้ือหาสำหรับ ผู้ปกครองด้วยเช่นกัน มลรัฐ Yukon แต่ละโรงเรียนจะมีแผนการจัดการเรียนรู้ที่บ้าน (at-home learning plans) โดยพิจารณาจากบริบทที่เป็น เอกลักษณ์ของแต่ละชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ การจัดการเรียนรู้ที่บ้าน (at-home learning) มีวิธีการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เช่น การเรียนรู้แบบดิจิทัล และ ออนไลน์ (digital and online learning) การเรียนรู้โดยใช้กระดาษ เป็นหลักหรือโทรศัพท์ เป็น หลัก (phone or paper-based learning) หรือทางเลือกอื่น ๆ

28 มลรัฐ Northwest Territories สำหรับครอบครัวนักเรียนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต สามารถ ทำงาน ผ่านใบงานและการสนับสนุนอ่ืน ๆ ตามท่ีสามารถทำได้ มลรัฐ Nunavut ครูจะพัฒนาการเรียนรู้แบบสำเร็จรูป ให้นักเรียนสามารถเรียนที่บ้านได้ (learning at home packages) ซึ่งการเรียนรู้แบบสำเร็จรูปอาจแตกต่างกันสำหรับนักเรียน แต่ ละคนซ่ึงอาจเป็นใบงาน ใบกิจกรรมท่ีเป็นชิ้นงาน หรือใบงานที่ผ่านอิเล็กทรอนิกส์ จะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนรู้ตามระบบการศึกษาของประเทศแคนาดาระหว่างเกิดการ แพร่ ระบาดของ COVID-19 จะมีนโยบายและวิธีจัดการศึกษา และความคาดหวังในการจัดการเรียนรู้ ของ แต่ละมลรัฐที่อาจเหมือนกันหรือแตกต่างกันในบางประเด็นทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ ละมลรัฐ แม้ว่านโยบายและวิธีจัดการศึกษาจะแตกต่างกัน แต่สิ่งหน่ึงที่เหมือนกัน คือ เจตนารมณ์ที่ จะให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติที่เกิดข้ึนท้ังสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นใน โรงเรียน และสถานการณ์ที่ โรงเรียนจะมีโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ปกครองในกรณี ที่เกิด ปัญหาการดำรงชีพในบางมลรัฐ 3.1.1 นโยบายและแนวทางการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศ ฟินแลนด์ ในระหว่างการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมากสำหรับ รัฐบาลประเทศฟินแลนด์ ท่ีจะต้องมุ่งเน้นที่การป้องกันการติดเช้ือและการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส Finnish National Agency for Education (2020) ได้กล่าวว่ารัฐบาลฟินแลนด์ ได้ ตัดสินใจที่จะ ดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ด้านการศึกษาจากการประเมินของหน่วยงานด้าน สุขภาพ ซึ่งการ ตัดสินใจได้ถูกยกระดับในการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน โดยเริ่ม ดำเนินการในระดับปฐมวัย และในระดับประถมศึกษาต่อมาเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม จึงยกระดับการ แก้ไขปัญหาในระดับมัธยมศึกษา ตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย สถานศึกษาระดับอาชีวศึกษา สถาบันอุดมศึกษา และการศึกษาแบบเสรี ส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา คือรัฐบาลประเทศ ฟินแลนด์ได้ให้คำแนะนำแก่โรงเรียนในการจัดการศึกษาทางไกลจนกว่าจะสิ้นสุดภาคการศึกษา รวมทั้งคำแนะนำสำหรับโรงเรียนเก่ียวกับวิธีการทางานโดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ แม้ว่า ในขณะนั้นยังมีโรงเรียนบางแห่งที่ยังคงเปิดสอนอยู่และจากการแถลงข่าวของรัฐบาลที่ระบุว่า ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในระดับนานาชาติและระดับประเทศ แสดงให้เห็นว่าการเผยแพร่การ ติดเชื้อ coronavirus ในหมู่เด็กด้วยกันจะไม่รุนแรงเท่าระดับผู้ใหญ่และเด็กไม่ใช่แหล่งที่มาของการ ติดเชื้อจากข้อมูลดังกล่าว โรงเรียนยังคงเปิดเรียนโดยยึดความปลอดภัยสำหรับเด็กและบุคลากร ของโรงเรียนเป็นสำคัญ และไม่มีเหตุผลที่จะบังคับใช้พระราชบัญญัติการใช้อำนาจฉุกเฉิน ดังนั้นการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยรวมถึงระดับประถมศึกษาและ มัธยมศึกษาตอนต้น ยังคงมี การจัดการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่องในลักษณะท่ีควบคุมและค่อยเป็นค่อยไป รัฐบาลแนะนำว่าใน ระดับมหาวิทยาลัย โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย สถาบันฝึกอบรม วิชาชีพ การศึกษาผู้ใหญ่และ

29 สถาบันการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ใหญ่ ยังคงเปิดสอนต่อไปได้จนกว่า จะสิ้นสุดภาค การศึกษา และโรงเรียนสามารถตัดสินใจด้วยตนเอง ในการจัดการเรียนการสอนตามความจำเป็น การจัดการเรียนการสอนและแนวทางในการสนับสนุนการจัดการศึกษาของโรงเรียน กระทรวง การศึกษาและวัฒนธรรม และสถาบันเพ่ือสุขภาพและสวัสดิการของประเทศฟินแลนด์ ได้ทำความ เข้าใจและให้คำแนะนำสำหรับผู้ให้บริการการศึกษา โดยระบุว่านักเรียนในทุกระดับ รวมถึงบุคลากร ในโรงเรียนไม่ควรจะไปโรงเรียนหากมีอาการที่แสดงถึงความเป็นไปได้ที่จะเจ็บป่วย รวมทั้ง คำแนะนำเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางกายที่ไม่จำเป็น การจัดสถานที่สอนให้ กว้างขวางกว่าปกติ เวลาหยุดพักของนักเรียนและม้ืออาหารของโรงเรียนจะต้องจัดให้ภายในบริเวณ ห้องเรียนหรือกลุ่มของนักเรียนเองบุคลากรจะถูกจัดให้สอนเฉพาะกลุ่มไม่มีการสอน ข้ามกลุ่ม รวมทั้งจะต้องมีข้อปฏิบัติและแนวทางด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด ซึ่งโรงเรียนแต่ละแห่งสามารถ ตัดสินใจในการจัดการท่ีเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือจากนี้ด้วยตนเอง นอกจากนี้หน่วยงานเพื่อการศึกษาแห่งชาติของฟินแลนด์ (EDUFI) ได้ออกแนวทาง ปฏิบัติ สำหรับการเรียนไปจนถึงสิ้นสุดภาคเรียนและสำหรับในภาคเรียนถัดไปหากสถานการณ์ยังคงอยู่ซึ่ง แนวทางปฏิบัติของ EDUFI จะเป็นส่วนที่เก่ียวข้องกับการประเมินนักเรียนการสนับสนุน การ เรียนรู้ และบริการสวัสดิการนักเรียนรวมทั้งมีการให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีจัดการกับสถานการณ์ที่ นักเรียนขาดเรียน ยังมีแนวปฏิบัติเพ่ิมเติมสำหรับการมาเรียนของนักเรียน ดังน้ี 1) การหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางร่างกาย โรงเรียนได้กำหนดให้มีการหลีกเลี่ยงการสัมผัสทาง กาย ซึ่งหมายความว่าไม่ควรจัดกิจกรรมใหญ่ที่มีคนร่วมกิจกรรมจำนวนมากและนอกเหนือจากเด็ก และบุคลากรครูแล้ว ห้ามมิให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้สถานที่ภายในโรงเรียนและศูนย์การศึกษา ปฐมวัยและพ้ืนท่ีโดยรอบ ซึ่งแต่ละโรงเรียนจะกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของ ตนเองและมีการให้คำแนะนำแก่ ผู้ปกครอง โดยบุคลากรในโรงเรียนต้องหลีกเลี่ยงการอยู่รวมกันใน ระยะใกล้ ซึ่งหมายความว่าครูควรจัดการประชุมทางไกลเป็นหลัก 2) การปฏิบัติกิจกรรมในพ้ืนที่ที่มีบริเวณกว้างขวาง ครูและบุคลากรควรจัดพ้ืนที่ ในการทำ กิจกรรมกับนักเรียนระดับปฐมวัย และระดับประถมศึกษาโดยให้จัดพื้นที่ที่มีบริเวณระยะห่าง เพียงพอและกว้างขวางเพ่ือป้องกันการสัมผัสและการติดเช้ือได้โดยง่าย และไม่ควรมีการเปล่ียนกลุ่ม ในการจัดการเรียนการสอน ควรทำงานกับกลุ่มเดิมตามกฎเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของการติด เชื้อในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและในวิชาเลือก หากมีความจำเป็นที่จะต้องจัดการเรียนการสอน เป็นกลุ่ม ครูจะต้องจัดระยะห่างให้มากพอและต้องจัดในบริเวณที่มีความกว้างขวางมากพอเท่าที่จะ เป็นไปได้ 3) กรณีที่เด็กป่วยจะถูกห้ามไม่ให้ไปโรงเรียนและได้รับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง สิ่งสำคัญที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือในกรณีที่มีนักเรียนหรือบุคลากรของโรงเรียน เจ็บป่วยจะต้องถือเป็นมาตรการที่จะต้องแยกนักเรียนหรือบุคลากรออกจากพื้นที่ของโรงเรียน

30 หากนักเรียนเจ็บป่วย ระหว่างวันจะต้องติดต่อผู้ปกครองมารับกลับบ้าน รวมทั้งจะต้องหลีกเลี่ยงการ สัมผัสใกล้ชิดกับนักเรียนที่ป่วยโดยรักษาระยะห่างทางกายภาพให้เพียงพอ ผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 จะต้องอยู่ห่างจากโรงเรียนและได้รับการดูแลอย่างน้อยเจ็ดวันนับจากเริ่มมีอาการแล ะดูแลอย่าง ต่อเนื่องจนกว่าจะไม่มีการแสดงอาการ อย่างน้อยสองวันก่อนกลับเข้ามาเรียนตามปกติ นอกจากนี้ แพทย์ที่รับผิดชอบโรคติดเชื้อในเขตเทศบาล หรือโรงพยาบาลจะมีหน้าที่คอยดูแลและตรวจสอบ วงจรของการมีโอกาสในการติดเช้ือ หากพบว่ามีนักเรียนหรือบุคลากรในโรงเรียนได้รับการวินิจฉัยว่า เป็น COVID-19 จะมีการตรวจสอบว่าจะมีผู้อื่น ได้รับการสัมผัสจากผู้ป่วยหรือไม่และจะต้องถูก ติดตามและกักกันเป็นเวลา 14 วัน นับจากการปรากฏของอาการป่วย อาจกล่าวได้ว่า การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ด้านการศึกษาในระหว่างการแพร่ระบาด ของเช้ือไวรัส COVID-19 ของรัฐบาลประเทศฟินแลนด์ในช่วงต้น ๆ จะเป็นการ ให้คำปรึกษา แนะนำในการจัดการศึกษาทางไกล รวมท้ังแนวปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยจากการติดเชื้อทั้งนักเรียน และบุคลากรในโรงเรียน แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีโรงเรียนที่เปิดสอนในระหว่างสถานการณ์ด้วย ความระมัดระวัง จึงทำให้รัฐบาลจึงต้องสร้างแนวปฏิบัติที่รัดกุมให้กับโรงเรียน เช่น การหลีกเลี่ยง การสัมผัสทางร่างกาย การปฏิบัติกิจกรรมในพื้นที่ที่มีบริเวณกว้างขวาง กรณีหากมีเด็กเจ็บป่วยจะ ถูกห้ามไม่ให้ไปโรงเรียนและได้รับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ท่ีเกี่ยวข้อง รวมทั้งกำหนดคำแนะนำ สำหรับการศึกษาการจัดการศึกษาในระดับต่าง ๆ ทั้งการดูแลเด็กปฐมวัยและการศึกษาระดับก่อน ประถมศึกษา การศึกษาระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้น การศึกษาระดับมัธยมศึกษา ตอนปลายทั่วไป ระดับอาชีวศึกษา ระดับมหาวิทยาลัย และการศึกษาแบบเสรีและ การอำนวย ความสะดวกเกี่ยวกับการศึกษาด้านอื่น ๆ 3.1.3 นโยบายและแนวทางการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศจีน สำหรับการจัดการเรียนรู้ของสาธารณรัฐประชาชนจีนในสถานการณ์โควิด ได้มี การ ดำเนินการเป็นระดับ ประกอบด้วยการดำเนินการระดับรัฐบาล การดำเนินการระดับมณฑล แนวนโยบายและแนวการปฏิบัติของภาคสังคมและองค์กรภาคเอกชนและการจัดท ำแผนปฏิบัติการ และแนวปฏิบัติสำหรับการศึกษาระดับปฐมวัยในระดับโรงเรียน ดังนี้ ( United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization, 2020) 1. การดำเนินการของรัฐบาลต่อการจัดการกับสถานการณ์โควิด-19 1.1 รัฐบาลได้มีการจัดตั้งสำนักงานผู้นำแห่งชาติกระทรวงศึกษาธิการทันที เพื่อตอบสนองต่อการระบาดของ COVID-19 โดย Dengfeng Wang ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาสุขภาพ และศิลปะการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาคลินิก สำนักงานผู้นำ แห่งชาติกระทรวงศึกษาธิการได้รับมอบหมายภารกิจที่เกี่ยวกับการดูแลเรื่องการป้องกันไวรัส โดยรวมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทั้งหมด รวมถึงการออกแบบและกำหนดแนวทางการจัดการด้าน สุขภาพ การจัดระเบียบสำหรับภาคการศึกษาใหม่และเสริมสร้างให้มีการตรวจสอบและกำกับดูแล

31 ด้านสุขศึกษาและการป้องกันโรคในขณะเดียวกัน รัฐบาลในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นมีการ จัดต้ังหน่วยงานที่เก่ียวข้องเพื่อการประสานงานกับสำนักงานผู้นำแห่งชาตกระทรวงศึกษาธิการ 1.2 การสร้างกรอบนโยบายเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายของ COVID-19 โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ประกาศและกำหนด นโยบาย ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการเฉพาะเกี่ยวกับกระบวนการกำกับดูแลและกลไกการทำงาน โดยมี เอกสารท้ังส้ิน 15 ฉบับ ซึ่งมีเอกสาร 2 ฉบับเกี่ยวข้องโดยตรงกับการป้องกันและควบคุม COVID-19 สำหรับผู้ต้ังครรภ์และเด็ก 1.3 การเผยแพร่แนวทางการป้องกันและควบคุม COVID-19 ในโรงเรียนอนุบาล โดยสำนักงานการศึกษาแห่งชาติกระทรวงศึกษาธิการเพื่อตอบสนองต่อ COVID-19 ซึ่งมหาวิทยาลัย ปักก่ิงได้จัดผู้เช่ียวชาญ 29 คน ผู้เช่ียวชาญด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ของการศึกษาระดับอนุบาล (ซ่ึงให้บริการเด็กอายุ 3-6 ปี) และผู้เช่ียวชาญจากสถาบันควบคุมและป้องกันโรคทุกระดับการศึกษา รวมท้ังผู้เช่ียวชาญระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยได้ร่วมกันกำหนดแนวทางการป้องกันและควบคุม COVID-19 ในโรงเรียนอนุบาล เนื้อหาในเอกสารดังกล่าวสามารถดาวน์โหลดเนื้อหาบน WeChat ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเครือข่ายโซเชียลที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อให้ผู้คนที่เกี่ยวข้อง สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา สำหรับเนื้อหาในเอกสารประกอบด้วย 1) หลักการสำหรับการ ควบคุมและป้องกันโรค 2) เป้าหมายและการนำไปใช้ 3) ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับโรค 4) การเตรียม ความพร้อมสำหรับโรงเรียน ประกอบด้วย ความรับผิดชอบของครูและบุคลากรและการจัดการ ชั้นเรียน 5) การกำหนดการเปิดเรียนใหม่ ประกอบด้วยความรับผิดชอบของครูและบุคลากรการ จัดการชั้นเรียนและประเด็นสำคัญท่ีเก่ียวข้องกับผู้ปกครอง 1.4 การเผยแพร่คู่มือการป้องกันและควบคุม COVID-19 ในภาษาต่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกในการสื่อสารกับผู้ป่วยที่พูดเฉพาะภาษามณฑลหูเป่ย กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับคณะกรรมการกิจการภาษาแห่งรัฐและมหาวิทยาลัยหลายแห่งได้ร่วมมือกันในการพัฒนา คู่มือการป้องกันและควบคุม COVID-19 เป็นภาษามณฑลหูเป่ยและกระทรวงศึกษาธิการได้พัฒนา คู่มือดังกล่าวเป็น ภาษาต่างประเทศโดยแปลเป็นภาษาต่างประเทศถึง 8 ภาษา ได้แก่ ภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฟาร์ซี ภาษาอิตาเลียน ภาษาอารบิค ภาษาสเปน ภาษาโปรตุเกสและภาษาอังกฤษ และยังมีประโยคอีก 50 ประโยคที่เป็นภาษาที่ใช้กันโดยทั่วไปในชีวิตประจำวันที่ศุลกากรสำหรับ ผู้เดินทางระหว่างประเทศและท่ีใช้ในโรงพยาบาลสำหรับผู้มีปัญหาด้านสุขภาพ 2. การดำเนินการระดับมณฑลต่อการจัดการกับสถานการณ์โควิด-19 (กรณีตัวอย่างมณฑล เซี่ยงไฮ้) 2.1 การจัดตั้งกลุ่มผู้นำท่ีสอดคล้องกับสำนักงานผู้นำแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ในการ ตอบสนองต่อ COVID-19 มณฑลเซี่ยงไฮ้ได้จัดตั้งสำนักงานผู้นำเพื่อตอบสนองต่อ COVID-19 ซึ่ง เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องในระดับมณฑลโดยมีภารกิจรับผิดชอบการจัดการศึกษาโดยรวมของมณฑล

32 2.2 การเผยแพร่กฎระเบียบในการป้องกันและควบคุม COVID-19 คณะกรรมการการศึกษา เซี่ยงไฮ้ได้ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุม COVID-19 และได้เผยแพร่กฎระเบียบ ดังกล่าวทั้งทางเว็บไซต์และแพลตฟอร์ม WeChat ซึ่งกฎระเบียบที่กำหนดไว้จะเป็น หลักการ โดยทั่วไปรวมถึงมาตรการท่ีเป็นรูปธรรม เช่น การเผยแพร่ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างการ ป้องกันและการควบคุมการดำเนินงานในโรงเรียนระดับปฐมวัยการสื่อสารระหว่างโรงเรียนกับ ผู้ปกครองในการให้คำแนะนำและแนวทางการจัดการเรียนการสอนการใช้ประโยชน์จากแหล่งข้อมูล 31 ทางการศึกษาและการจัดฝึกอบรมออนไลน์เก่ียวกับการป้องกันและจัดการกับ COVID-19 และที่ สำคัญการจัดการเรียนการสอนสดแบบออนไลน์ห้ามมิให้ใช้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ขวบ เนื่องจากอาจเกิดปัญหาในด้านสุขภาพ 2.3 การสนับสนุนให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้โดยการผนวกการ เล่นกับการ ให้ความรู้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่บ้าน 2.3.1 การส่งมอบ “ชุดกิจกรรมที่มีคุณค่าสำหรับการเล่นและการเรียนรู้ ที่บ้าน” โดยคณะกรรมการการศึกษาปฐมวัยของสมาคมการศึกษาเซี่ยงไฮ้ได้น ำเสนอชุดของกิจกรรมและ วัสดุที่เรียกว่า \"ชุดกิจกรรมที่มีคุณค่าสำหรับการเล่นและการเรียนรู้ที่บ้าน\" ชุดของกิจกรรมนี้ ประกอบด้วย สุขภาพ กีฬา กิจกรรมการเล่นและกิจกรรมการศึกษาเพื่อการศึกษาต่อ และเตรียม ความพร้อมสำหรับการเปิดโรงเรียนใหม่ พร้อมกับคำแนะนำจากผู้เช่ียวชาญการจัดกิจกรรมเคล็ดลับ ในแต่ละคอลัมน์ในรูปแบบของภาพ วิดีโอ และคำแนะนำง่าย ๆ ที่เหมาะสำหรับเด็กและสำหรับ ผู้ปกครองในการจัดการเรียนรู้ให้กับบุตรหลานที่บ้าน 2.3.2 การให้ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่เน้นประเด็นพิเศษโดยผู้เชี่ยวชาญด้าน การจัดการเรียนรู้จะแสดงความคิดเห็นทางวิชาชีพในหัวข้อพิเศษ เช่น “จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ วิกฤติอย่างไรกับบุตรหลานของคุณ” ทั้งนี้เพื่อจะได้นำความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์สื่อสารกับ ผู้ปกครองในการจัดการเรียนรู้ให้กับบุตรหลานท่ีบ้าน 2.3.3 การรวบรวมแนวความคิดและกรณีตัวอย่างจากผู้ปกครองได้มีการ รวบรวม แนวความคิดและกรณีตัวอย่างที่ดีและกิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นแนวปฏิบัติที่ดีของการเล่นและการท ำ กิจกรรมระหว่างผู้ปกครองกับนักเรียน ซึ่งจากกรณีดังกล่าวสามารถรวบรวมแนวคิดได้มากกว่า 3,500 แนวคิด ภายใน 4 วัน และได้มีการคัดเลือกแนวคิดที่สามารถก่อให้เกิดการเรียนรู้แก่เด็กได้ เป็นอย่างดี นำมาจัดพิมพ์โดยแบ่งออกเป็น 8 หัวข้อสำคัญ ประกอบด้วย ด้านกีฬา การละเล่น การ ทดลองทางวิทยาศาสตร์ การใช้ชีวิตประจำวัน ศิลปะ การสร้างสรรค์ การอ่าน และกิจกรรมการ เรียนรู้ที่มีลักษณะเฉพาะ 3.1.4 นโยบายและแนวทางการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศสิงคโปร์ สำหรับการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์โควิด-19 ของประเทศสิงคโปร์ จะมีการ ปรับเปล่ียนเพ่ือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ดังนี้ (Ministry of Education, Singapore, 2020)

33 1) โรงเรียนและสถาบันการเรียนรู้ระดับสูงปรับเปลี่ยนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้การ เรียนรู้ที่บ้านเป็นหลักแบบเต็มรูปแบบ (HBL) ในขณะที่โรงเรียนอนุบาลและศูนย์ดูแลเด็กได้ ปิดทำการ 1.1) กระทรวงศึกษาธิการ (MOE) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ครอบครัว (MSF) ได้ ดำเนินมาตรการป้องกันที่จำเป็นเพื่อดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของนักเรียนและบุคลากรทุกคนของ โรงเรียน รวมทั้งได้มีความพยายามในการบูรณาการของหลายกระทรวงในการที่จะเพิ่มมาตรการ ด้านความปลอดภัยในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน สถาบันการเรียนรู้ระดับสูง (IHL) และ โรงเรียน อนุบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการสอนทางไกล 1.2) การจัดการเรียนรู้โดยการใช้การเรียนรู้ท่ีบ้านเป็นหลักแบบเต็มรูปแบบ (HBL) นักเรียน ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา การเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยและสถาบันการเรียนรู้ระดับสูง (IHL) รวมถึงนักเรียนจากโรงเรียนการศึกษาพิเศษ (SPED) จะเปลี่ยนไปใช้การเรียนรู้ที่บ้านเป็นหลักเต็ม รูปแบบ (HBL) โรงเรียนอนุบาลทั้งหมดและศูนย์ดูแลเด็กรวมถึงศูนย์ดูแลนักเรียนพิเศษจะระงับการ ให้บริการทั่วไป ในช่วงเวลานี้สถาบันการศึกษาเอกชนได้รับคำแนะนำให้จัดการเรียนรู้ที่บ้านเป็น หลักแบบเต็มรูปแบบ (HBL) 2) โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สถาบันการศึกษา พิเศษ และสถาบันการเรียนรู้ท่ีสูงขึ้น 2.1) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่บ้านเป็นหลักแบบเต็มรูปแบบ (HBL) โรงเรียนได้มี การจัดเตรียมนักเรียน ผู้ปกครอง และครูสำหรับการทำงานแบบ HBL โดยโรงเรียนจะให้คำแนะนำ และการสนับสนุนสำหรับนักเรียน โดยการจัดหาวัสดุอุปกรณ์เพื่อประกอบการเรียนรู้ท่ีบ้านท้ังการใช้ ออนไลน์และวัสดุที่เป็นชิ้นงานเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง โรงเรียนจะช่วยเหลือนักเรียนที่ อาจต้องการใช้อุปกรณ์ดิจิตอลหรือการใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ต ซึ่งหน่วยงานที่ช่ือว่าแพลตฟอร์มการ เรียนรู้ ของนักเรียนสิงคโปร์ (SLS) จะเปิดให้นักเรียนเข้าชมได้อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาวิกฤตินี้ ตลอดระยะเวลาของการเรียน HBL แบบเต็มรูปนี้ นักเรียนจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากครู และบุคลากรในโรงเรียน บุคลากรของโรงเรียนสามารถที่จะติดต่อกับนักเรียนและผู้ปกครองได้อย่าง ต่อเน่ืองและสม่ำเสมอ รวมถึงครูจากโรงเรียนการศึกษาพิเศษ (SPED) ก็สามารถจัดการเรียนรู้ให้กับ นักเรียนพิเศษ โดยติดต่อกับผู้ปกครองที่บ้านในการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรที่ตอบสนองต่อความ ต้องการของนักเรียนแต่ละคน โดยครูสามารถดูแลนักเรียนพิเศษได้ตามปกติ 2.2) ด้วยการปรับเปลี่ยนเป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่บ้านเป็นหลักแบบเต็ม รูปแบบ (HBL) ส่งผลให้การทดสอบและประเมินผลถูกปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น การสอบกลาง ภาคของทุกโรงเรียนได้ถูกเลื่อนออกไป การทดสอบระดับชาติรวมถึงการทดสอบ GCE O 2.3) การเรียนรู้แบบผสมผสานระหว่างการเรียนแบบเผชิญหน้าและการเรียนโดยใช้ e-Learning เป็นส่วนสำคัญของหลักสูตรของสถาบันการศึกษาชั้นสูง (IHLs) สถาบันการศึกษาชั้นสูง

34 (IHLs) ได้ทำการปรับปรุงโมดูลออนไลน์ที่อิงกับรายวิชาเรียนเกือบท้ังหมด และได้เพิ่มมาตรการด้าน ความปลอดภัยในการใช้หลักสูตรออนไลน์ รวมทั้งยังได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอบและการ ประเมิน ซึ่งสถาบันการศึกษาชั้นสูง (IHLs) ได้มีการติดต่อกับนักศึกษาในการสนับสนุนการจัดการ เรียนรู้และความก้าวหน้าในการเรียนของนักศึกษาเป็นอย่างดี รวมทั้งช่วยให้นักศึกษาสามารถจบ การศึกษาได้ภายในเวลาที่กำหนด 3) โรงเรียนปฐมวัยและศูนย์ดูแลนักเรียน 3.1) โรงเรียนระดับปฐมวัยทุกโรงได้ปิดทำการชั่วคราวสำหรับนักเรียนทั่วไป ยังคงเปิด ให้บริการอย่างจำกัดสำหรับผู้ปกครองที่ไม่สามารถหาวิธีการจัดการเพื่อดูแลบุตรหลานได้ เช่น ผู้ปกครองท่ีทำงานเกี่ยวกับการให้บริการในศูนย์ดูแลสุขภาพ รวมถึง ECDA จะยกเลิกข้อกำหนดการ เข้าเรียนขั้นต่ำสำหรับเงินอุดหนุนก่อนวัยเรียนและ MSF จะยกเลิกข้อกำหนดการเข้าเรียนขั้นต่ำ สำหรับเงินช่วยเหลือค่าดูแลนักเรียน (SCFA) 3.2) สื่อการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับการจัดเรียนรู้ที่บ้านเป็นหลักแบบเต็ม รูปแบบ (HBL) ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยโรงเรียนต่าง ๆ และได้มีการแบ่งปันให้กับโรงเรียนในเครือข่ายผู้ปกครอง อย่างต่อเนื่อง และถือเป็นหน้าที่ที่โรงเรียนจะต้องติดต่อสื่อสารกับนักเรียนในช่วงเวลานี้ เพื่อ ตรวจสอบความเป็นอยู่และความก้าวหน้าโดยทั่วไป 3.3) รัฐบาลได้สื่อสารกับบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์และทำความ เข้าใจถึง ความกังวลของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปิดทำการของโรงเรียนชั่วคราว รวมถึงการหยุดให้บริการใน ศูนย์ดูแลนักเรียน สถานที่ทำงานทุกแห่งจะต้องปรับเปลี่ยนการสื่อสารโทรคมนาคมที่ จำเป็น ผู้ปกครองจะได้รับการสนับสนุนอย่างดี การจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์โควิด-19 ของ ประเทศสิงคโปร์จะเน้นที่การปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดย กระทรวงศึกษาธิการได้ ดำเนินมาตรการป้องกันที่จำเป็นเพื่อดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของนักเรียนและ บุคลากรทุกคนของโรงเรียน รวมท้ังได้มีความพยายามในการบูรณาการของหลายกระทรวง ใน การที่จะเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัย ในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งการจัดการสอนทางไกล และการจัดการเรียนรู้ โดยการใช้การเรียนรู้ที่บ้านเป็นหลักแบบเต็ม รูปแบบ (HBL) โดยโรงเรียนจะให้คำแนะนำและการสนับสนุนสำหรับนักเรียน จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เพื่อประกอบการเรียนรู้ที่บ้านทั้งการใช้ออนไลน์และวัสดุที่เป็นชิ้นงาน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่าง ต่อเนื่อง ให้ความช่วยเหลือในการใช้อุปกรณ์ดิจิตอลหรือการใช้สัญญาณ อินเทอร์เน็ต บุคลากรของ โรงเรียนสามารถที่จะติดต่อกับนักเรียนและผู้ปกครองได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ มีการ ปรับเปลี่ยนการทดสอบและประเมินผลตามความจำเป็นสำหรับสถาบันการศึกษา ชั้นสูง (IHLs) จะใช้การเรียนรู้แบบผสมผสาน ระหว่างการเรียนแบบเผชิญหน้าและการเรียนโดยใช้ e-Learning เพ่ือสนับสนุนการจัดการเรียนรู้และความก้าวหน้าในการเรียน

35 3.2 นโยบายและแนวทางการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทย 3.2.1 นโยบาย แนวคิด หลักการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 จากการที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติรับทราบการเล่ือนเปิดเทอมจากวันที่ 16 พฤษภาคม เป็น วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 จึงจำเป็นต้องวางแนวทางการจัดการเรียนการสอนภายใต้สถานการณ์ วิกฤติโควิด-19 ในทุกระดับชั้นและทุกประเภท โดยกระทรวงศึกษาธิการได้มีการกำหนด แนวนโยบายเพื่อให้การจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์โควิด-19 ให้สามารถเกิดขึ้นได้อย่าง มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่สภาพแวดล้อมจะอำนวยให้บนพื้นฐาน 6 ข้อ ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2563) 1) จัดการเรียนการสอน โดยคึงนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของทุกคนที่เกี่ยวข้อง “การเปิด เทอม” หมายถึง การเรียนที่โรงเรียนหรือการเรียนที่บ้าน ทั้งนี้การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับผลการ ประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 2) อำนวยการให้นักเรียนทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนการสอนได้แม้จะไม่สามารถไป โรงเรียนได้ 3) ใช้ส่ิงท่ีมีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การเสนอขอช่องดิจิทัล TV จาก กสทช. ทั้งหมด 17 ช่อง เพื่อให้นักเรียนทุกระดับชั้น สามารถเรียนผ่าน DLTV ได้ ทั้งนี้ ไม่มีการ ลงทุนเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ใด ๆ เพิ่มเติมโดยไม่จำเป็นซึ่ง กสทช.อนุมัติแล้วให้เริ่มออกอากาศ 16 พฤษภาคมนี้ เป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน หรือถ้าสามารถกลับมาดำเนินการสอนได้ตามปกติก็ให้หยุด ทดลองออกอากาศ แบ่งเป็นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาพ้ืนฐาน (สพฐ.) จำนวน 15 ช่อง เป็นของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จำนวน 1 ช่อง และเป็นของสำนักงาน ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จำนวน 1 ช่อง โดยให้ออกอากาศ แบบความคมชัดปกติ (SD) 4) ตัดสินใจนโยบายต่าง ๆ บนพื้นฐานของการสำรวจความต้องการ ทั้งจากนักเรียน ครู และโรงเรียนโดยให้การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นที่ตั้งและกระทรวง จะ สนับสนุนเคร่ืองมือและอุปกรณ์ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ 5) ปรับปฏิทินการศึกษาของไทยให้เอื้อต่อการ “เรียนเพื่อรู้” ของเด็กมากขึ้น รวมทั้งมีการ ปรับตารางเรียนตามความเหมาะสม โดยเวลาที่ชดเชยจะคำนึงถึงภาระของทุกคนและการได้รับ ความรู้ครบตามช่วงวัยของเด็ก 6) บุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน จะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและทำให้ท่านได้รับ ผลกระทบเชิงลบจากการเปล่ียนแปลงน้อยท่ีสุด 3.2.2 แนวทาง วิธีการและรูปแบบการจดั การเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 กระทรวงศึกษาธิการ (2563) ได้ออกแบบการเรียนการสอนในช่วง COVID-19 โดยมี รายละเอียดในภาพรวม ดังนี้

36 1) รูปแบบการเรียนการสอนออกแบบให้สอดคล้องกับความปลอดภัยของพื้นที่โดย มีการเรียนรู้แบบ onsite ในพื้นที่ที่มีความปลอดภัยสามารถไปโรงเรียนได้ ขณะที่พื้นที่ไม่ปลอดภัย จะมีการเรียนรู้หลักผ่านทางการ on-air ของมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรม ราชูปถัมภ์ และมีการเรียนรู้เสริมผ่านระบบ online โดยกำหนดการจัดการเรียนรู้ 3 รูปแบบ ดังน้ี 1.1) การเรียนท่ีโรงเรียน (ON-SITE) - การเรียนผ่านทีวี (ON-AIR) ใน 4 ระบบ ได้แก่ ระบบ ดาวเทียม (Satellite) ทั้ง KU-Band (จานทึบ) ช่อง 186 – 200 และ C-Band (จานโปร่ง) ช่อง 337 – 351 ระบบดิจิทัลทีวี (Digital TV) ช่อง 37 – 51 ระบบเคเบ้ิลทีวี (Cable TV) และระบบ IPTV - การเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชัน (ONLINE) ใน 4 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ www.deep.go.th (DEEP : Digital Education Excellence Platform) เ ว ็ บ ไ ซ ต ์ DLTV www.dltv.ac.th เว็บไซต์ Youtube www.youtube.com DLTV1 Channel DLTV15 Channel และแอปพลิเคชัน DLTV บน Smartphone/Tablet 2) นโยบายหลักท่ีนำมาใช้ คือ เพิ่มเวลาพัก ลดการประเมินและงดกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีไม่จำเป็นโดยเน้นเรียนเฉพาะวิชากลุ่มสาระหลัก เพื่อให้นักเรียนผ่อนคลายลง ซ่ึงนักเรียนมีเวลาพัก ในภาคเรียนที่ 1/2563 จำนวน 17 วัน และในภาคเรียนที่ 2/2563 จำนวน 37 วัน รวมทั้งสิ้น 54 วัน ฉะนั้น ภาคเรียนที่ 1/2563 เรียนตั้งแต่ 1 กรกฎาคม -13 พฤศจิกายน 2563 เป็นเวลา 93 วัน ปิดภาคเรียน 17 วัน ส่วนภาคเรียนที่ 2/2563 เรียนตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2563 - 9 เมษายน 2564 เป็นเวลา 88 วัน แล้วปิดภาคเรียน 37 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2564 ซึ่งจะมีเวลาเรียนรวม ทั้งสิ้น 181 วัน ส่วนเวลา ที่ขาดหายไป 19 วัน จาก 200 วัน ให้แต่ละโรงเรียนสอนชดเชย ดังนั้น การเปิดเทอมปีการศึกษาหน้าจะกลับมาปกติในวันจันทร์ท่ี 17 พฤษภาคม 2564 3) การเตรียมพร้อมในด้านระบบการเรียนรู้ทางไกลและระบบออนไลน์จะเริ่มทดสอบ ตั้งแต่ วันที่ 18 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป เพื่อเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด ในกรณีที่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ไม่สามารถเปิดเทอมที่โรงเรียนได้ 4) กระทรวงศึกษาธิการจะเป็นผู้สนับสนุนการเรียนการสอนทางไกล ในสัดส่วน 80% เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนขั้นพื้นฐานได้ อีกร้อยละ 20 หรือมากกว่าให้ทางโรงเรียนและ คุณครูในแต่ละพื้นที่พิจารณาออกแบบตามความเหมาะสม 5) การเรียนผ่านการสอนทางไกลจะใช้ทีวิดิจิทัลและ DLTV เป็นหลักซ่ึงได้รับ การ อนุเคราะห์สื่อจากมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมีดิจิทัล แพลตฟอร์มของกระทรวงศึกษาธิการ หรือ DEEP และการเรียนการสอนแบบโต้ตอบออนไลน์ เป็นสื่อเสริม ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการได้มีการกำหนดแนวทางการจัดการเรียนการสอนระบบ ทางไกล โดยแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การเตรียมความพร้อม (7 เมษายน – 17 พฤษภาคม 2563) สำรวจความพร้อมใน ด้านอุปกรณ์การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และระบบการบริหารจัดการการ

37 เรียนการสอนรวมถึงขออนุมัติใช้ช่องรายการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล จากสำนักงานคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพ่ือจัดการเรียนการ สอนตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พร้อมขออนุมัติเผยแพร่การเรียนการสอน จากห้องเรียนต้นทาง ในระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้นของสถานีวิทยุโทรทัศน์การศึกษา ทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) จากมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดทำสื่อวีดิทัศน์การสอนโดยครูต้นแบบ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และรวบรวมสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ใน OBEC Content Center ชุดโปรแกรมและ แพลตฟอร์ม การเรียนรู้ครบวงจรของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น Tutor ติวฟรี.com, e-Book เป็นต้น รวมถึง เตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบเครือข่าย เพื่อรองรับการให้บริการ แพลตฟอร์มการเรียนรู้ ให้ เชื่อมโยงกับระบบ Digital e-Learning ของกระทรวงศึกษาธิการ ระยะที่ 2 การทดลองจัดการเรียนการสอนทางไกล จะทดลองจัดการเรียนการสอนทางไกล ใน ระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้นผ่านช่องรายการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล โดยการเผยแพร่ สัญญาณจากมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์ (DLTV) ในระดับปฐมวัย เน้นกิจกรรมเตรียมความพร้อมเด็ก และระดับประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย ผ่านช่องรายการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล และระบบออนไลน์โดยครูต้นแบบ ด้วยเครื่องมือการเรียนรู้ตามความเหมาะสมและบริบทของ สถานศึกษา รวมทั้งเปิดศูนย์รับฟังความคิดเห็นการเรียน การสอนทางไกล จากผู้ปกครอง ประชาชน และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางการปรับปรุงและพัฒนาและประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ความ เข้าใจ แนะนำช่องทางการเรียนทางไกลให้กับผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง ระยะที่ 3 การจัดการเรียนการสอน (1 กรกฎาคม 2563 – 30 เมษายน 2564) ได้วางแผนไว้ สำหรับ 2 สถานการณ์ นั่นคือ สถานการณ์ที่ 1 กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) ยังไม่คลี่คลายจะจัดการเรียนการสอนระดับปฐมวัย ถึงระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น ด้วยระบบทางไกลผ่าน DLTV และระดับมัธยมศึกษาตอนปลายด้วยวีดิทัศน์ การ สอนโดยครูต้นแบบและระบบออนไลน์ด้วยเครื่องมือการเรียนรู้ตามความเหมาะสมและบริบท ของ สถานศึกษาและสถานการณ์ท่ี 2 กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid–19) คลี่คลายจะจัดการเรียนการสอนปกติในโรงเรียนโดยให้เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และมีแผนเตรียมการเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ โดยจะต้องได้รับ การอนุมัติจาก คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ระยะที่ 4 การทดสอบและการศึกษาต่อ (1 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2564) ประสานงานกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบและคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ คือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวกับระบบคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา (TCAS GAT

38 PAT) และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติเกี่ยวกับการทดสอบ O-net ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 และช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 สำหรับการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการและผู้ด้อยโอกาส ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ (คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) ดูแลรับผิดชอบจัดทำแพลตฟอร์มของ กระทรวงศึกษาธิการเพื่อเป็นเวทีเชื่อม 176 หน่วยงาน และโยงคนพิการทั้งประเทศให้สามารถ เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาการพัฒนาตนเองได้มากขึ้น ตามแนวทาง“ปรับบ้านเป็นห้องเรียน เปลี่ยนพ่อแม่ เป็นครู” โดยแพลตฟอร์มนี้จะสามารถทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองเรียนรู้วิธีการดูแล พัฒนาผู้เรียนที่พิการตามแบบต่าง ๆ ต่อไปได้ ทั้งยังสามารถบรรจุสื่อการเรียนการสอนออนไลน์ การให้คำปรึกษาแนะนำและเรื่องอื่น ๆ ไปยังหน่วยงานสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้แพลตฟอร์มของโรงเรียนท่ีจัดการศึกษาพิเศษ คือเมื่อค้นหาเข้าไปก็จะทราบข้อมูล ว่าจังหวัดนี้ มีคนพิการประเภทใดบ้าง มีกี่คน บ้านอยู่ที่ไหน เป็นต้น โดยดำเนินการได้แล้ว 3 จังหวัด และจะ ขยายผลให้ครบทุกจังหวัด 4. การจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษในสถานการณ์ COVID-19 ในสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ควรเปลี่ยนให้ทุก ๆ ที่กลายเป็นโรงเรียน เพราะการเรียนรู้ ยังต้องดำเนินอยู่แม้นักเรียนไม่สามารถไปโรงเรียนตามปกติ ในหลายประเทศที่ประกาศมาตรการ ปิดโรงเรียน รัฐบาลมักจะออกมาตรการด้านการเรียนรู้มารองรับด้วยการเรียนทางไกลรูปแบบต่าง ๆ โดยพิจารณาจากเงื่อนไขความพร้อมด้านอุปกรณ์ ความพร้อมของพ่อแม่ และความพร้อมตามช่วง วัยของเด็ก ภรณี ลัคนาภิเศรษฐ์ กล่าวว่า กลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษ (Special Needs) ในช่วง สถานการณ์ปกติ เด็กกลุ่มนี้คือเด็กที่ครูควรให้ความสนใจ และตอบสนองต่อความต้องการพิเศษ ที่เฉพาะของเขาอยู่แล้ว ยิ่งในสถานการณ์ COVID-19 ที่การจัดการเรียนการสอนไม่สามารถทำได้ เหมือนปกติครูยิ่งต้องเพิ่มความใส่ใจ และให้ความช่วยเหลือพวกเขามากขึ้น หัวใจสำคัญคือ ครู จะต้องทำงานร่วมกับ “พ่อแม่” และ “นักบำบัด” ในการจัดการเรียนรู้ และช่วยพัฒนาทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับพวกเขา เด็กเหล่านี้ล้วนต้องการครูการศึกษาพิเศษ รวมถึงครูประจำชั้นท่ีมีเข้าใจถึง ธรรมชาติที่แตกต่างกันของพวกเขา New Normal ในช่วงเปิดเทอมของเด็กกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อการศึกษาไม่ได้ถูกจำกัดเพียงแค่ในห้องเรียนหรือในโรงเรียนอีกต่อไป แม้ในบ้านเราส่วนใหญ่เรา จะเห็นการเตรียมความพร้อมสำหรับเด็กทั่วไป แต่สำหรับในต่างประเทศ ครูที่นั่นมีการเตรียมตัว หรือปรับรูปแบบการจัดการเรียนรู้อย่างไรบ้างสำหรับเด็กกลุ่มนี้ ในสหรัฐอเมริกา แต่ละเขตพื้นที่การศึกษาจะมีอำนาจในการจัดการศึกษาเอง ในรัฐโคโลลาโดให้ ทางเลือกในการจัดการเรียนรู้แบบทางไกลสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษไว้ 3 แบบคือ 1. ครูสอนโดยใช้หลักสูตรที่ได้จากจากเขตพื้นที่การศึกษา 2. ให้ครูที่มีประสบการณ์มาแล้วออกแบบการเรียนรู้แบบออนไลน์เองได้เลย

39 3. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนแบบง่ายๆ โดยใช้เพียงอุปกรณ์พ้ืนฐาน เช่น กระดาษ ดินสอ อุปกรณ์ท่ีมีอยู่ที่บ้าน สำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องมาก ไม่สามารถเรียนออนไลน์ได้เป็นระยะเวลานาน ๆ ครูควร โทรศัพท์ให้คำแนะนำพ่อแม่ในการช่วยเหลือเด็ก ๆแม้ว่าครูอเมริกันหลายคนจะมีประสบการณ์ การสอนมาแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกกังวลไม่ต่างจากครูไทยเม่ือต้องจัดการเรียนรู้ทางไกลให้เด็กที่มีความ ต้องการพิเศษ เพราะพระราชบัญญัติว่าด้วยการศึกษาของผู้ด้อยความสามารถ (Individuals with Disabilities Education Act-IDEA) ที่ทำให้ครูไม่เพียงต้องจัดการศึกษาในแง่วิชาการให้เด็กเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของการบำบัด เพื่อเพิ่มเติมทักษะที่เด็กต้องได้รับการพัฒนา ซึ่งทางโรงเรียนต้อง จัดเตรียมให้กับเด็ก ๆ ด้วย เช่น กิจกรรมบำบัด กายภาพบำบัด และอรรถบำบัด Kristin Martinez ผู้อำนวยการด้านการทดลองจาก Presence Learning มีหลักสูตรการศึกษา พิเศษแบบออนไลน์ โดยจะคอยจัดหานักอรรถบำบัดที่ได้รับใบอนุญาต นักกิจกรรมบำบัดและผู้ดูแล ด้านพฤติกรรมและสุขภาพจิตต่าง ๆ ให้กับโรงเรียนหลายร้อยแห่งทั่วสหรัฐอเมริกา ใน 10 กว่าปีที่ ผ่านมา บริษัทน้ีให้การบำบัดทางไกลมามากกว่า 2.5 ล้านครั้งแล้ว ช่วงก่อนที่จะเกิดโรคระบาด โรงเรียนต่าง ๆ ทำสัญญาร่วมกับ Presence Learning ให้จัดหาบริการที่เกี่ยวกับการศึกษาพิเศษต่าง ๆ อยู่แล้ว เด็กจะได้รับการฝึกฝนทักษะต่าง ๆ จาก นักอรรถบำบัดและนักกิจกรรมบำบัดผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งการช่วยเหลือเด็กแต่ละคนก็จะ แตกต่างกันไปตามความต้องการ แม้ว่าการบำบัดผ่านข่องทางออนไลน์อาจไม่ได้มีคุณภาพเท่ากับ การบำบัดแบบตัวต่อตัว แต่สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ก็ถือว่าวิธีนี้ยังคงช่วยรักษาความต่อเนื่องของ การฝึกฝนทักษะในเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้อยู่ เพราะหากเราปล่อยให้เด็กสูญเสียทักษะสำคัญ เหล่าน้ีไปแล้ว พวกเขาจะต้องเร่ิมต้นเรียนรู้กันใหม่ท้ังหมดอีกครั้ง ซ่ึงน่ีไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กกลุ่ม นี้เลย องค์กรด้านการศึกษา Springs Charter Schools ก็ได้เริ่มจัดการเรียนการสอนแบบวิดีโอ กับเด็กกลุ่มนี้ โดยใช้แบบฝึกหัดและกิจกรรมที่เด็ก ๆ ทำเป็นปกติเวลาที่ได้เจอหน้ากัน นักกิจกรรมบำบัดจะช่วยเหลือเด็ก ๆ ในการฝึกทักษะที่ต้องใช้กล้ามเนื้อ และทักษะชีวิตอื่น ๆ เช่น การผูกเชือกรองเท้า บางครั้งก็เตรียมวิดีโอไว้ให้ผู้ปกครองใช้ฝึกทักษะเด็ก ๆ ที่บ้าน ซึ่งหาก ผู้ปกครองคนไหนไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ นักกิจกรรมบำบัดก็จะให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ แทน ซึ่งแน่นอนว่าการฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ให้เด็กจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีผู้ปกครองเป็นตัวกลาง ในการเชื่อมต่อและให้ความช่วยเหลือเด็ก ๆ ท่ีบ้าน PaulFosterผู้อำนวยการบริหาร ExceptionalStudentServicesท่ี CoroladoDepartmentofEducation เห็นว่าการจัดการศึกษาให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษควรใช้แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ได้รับความร่วมมือจากพ่อแม่ ครู บุคลากรในโรงเรียน รวมถึงตัวเด็กเอง เขามองว่าความบกพร่องของเด็กแต่ละคนก็มีผลต่อ

40 ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ด้วยเช่นกัน สำหรับหน่วยงานของเขาเอง สามารถให้ คำแนะนำได้เพียงกว้างๆ ถึงวิธีการจัดการเรียนการสอนทางไกลสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เช่น ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่พ่อแม่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องทำ ให้เด็ก ๆ มีโอกาสทางการศึกษา ซ่ึงโอกาสเหล่าน้ีไม่จำเป็นต้องอยู่บนออนไลน์อย่างเดียว สำหรับในบ้านเราเอง การจัดการเรียนรู้ทางไกลในช่วงโควิดระบาดสำหรับเด็กกลุ่มนี้นับว่า เป็นงานท่ีท้าทายอีกขั้นสำหรับครู พ่อแม่และนักบำบัด แต่หัวใจสำคัญของการจัดการเรียนรู้สำหรับ เด็กทุกคนก็ยังคงอยู่บนพื้นฐานเดียวกันคือ ความเข้าใจธรรมชาติที่แตกต่างกันของพวกเขา เมื่อไรที่ ครูเข้าใจเด็ก ๆ อย่างแท้จริง ครูย่อมมองเห็นโอกาสในการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน มากย่ิงขึ้น สาวิตรี รุญเจริญ, ศักดาเดช สิงคิบุตร (ออนไลน์) กล่าวว่า พอแม่ ผู้ปกครองตองตระหนัก ถึงบทบาทของตนเอง ในการช่วยเหลือบุตร การเริ่มต้นลงมือช่วยเหลือบุตรขั้นตอนแรก ๆ คงหนี ไม่พ้นที่จะตองศึกษาหาความรูเกี่ยวกับบุตรในทุกด้านเพราะจะทำให้เข้าใจสภาพความต้องการ ของบุตรได้เขาใจกระบวนการ วิธีการและกิจกรรมในการพัฒนาบุตรให้มีความก้าวหนามากขึ้น ความรู้ ที่ควรศึกษาได้แกความรู้เกี่ยวกับลักษณะอาการของลูก เชน ออทิสติกอย่างไร ปัญญาอ่อน เป็นอย่างไร เป็นตน ความรูเกี่ยวกับวิธีการสอน วิธีการปรับพฤติกรรม วิธีการกายภาพบำบัด วิธีการ กระตุ้นพัฒนาการทางภาษา การสอนทักษะการเรียนรู้ การสอนทักษะการช่วยเหลือตนเอง การสอน ทักษะทางสังคม การสังเกตพัฒนาการ การประเมินพัฒนาการ เป็นต้น พ่อแม่ คือ ครูคนแรกของเด็กก่อนที่จะเข้าสู่โรงเรียน เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการ ต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของข้อมูล และการฝึกทักษะความสามารถที่ซับซ้อนแก่เด็ก ซึ่งการดูแลเอาใจใส่ ของผู้ปกครองจะสามารถเปลี่ยนแปลงเด็กจากที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้ เน่ืองจากสภาพความพิการ หรือพัฒนาการช้า เป็นเด็กที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ นอกจากน้ีพ่อแม่ยังด้องการบริการเพิ่มเดิม รวมถึงการเข้าร่วมในโครงการศูนย์เด็กทั่วไปของชุมชน เพราะผู้ปกครองจำเป็นต้องดูแลลูก ของตนเองเหมือนครอบครัวอื่น ๆ แต่พบว่า การเข้าเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนครอบครัว ของเด็กที่มีความด้องการพิเศษกลับรู้สึกอึดอัด และไม่สบายใจในการเข้าร่วมโครงการศูนย์เด็กเล็ก ของชุมชนที่บริการให้การศึกษาและนันทนาการแก่เด็กทั่วไป พ่อแม่ต้องเอาใจใส่ดูแลสร้าง ความอบอุ่น สังเกตพัฒนาการของลูกเพ่ือเป็นข้อมูลในการรักษา บำบัด พฤติกรรมที่เป็นปัญหาและ พัฒนาให้เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสม ต้องมีความอดทนสูง ยอมรับสภาพความจริงที่เกิดขึ้น ปรับสถานการณ์ภายในบ้านให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเล้ียงดูบุตร สำหรับครอบครัวที่มีบุตรเป็นเด็ก พิเศษนั้น ในระยะแรกครอบครัวจะเกิดความรู้สึกต่าง ๆมากมายทั้งความปวดร้าว ความวิตกกังวล ความเครียด ความสับสน ความเศร้าโศก ความเสียใจ ความท้อแท้ ความกลัว ความหมดหวัง มากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวของบุคคลในครอบครัว โดยเฉพาะผู้นำของ

41 ครอบครัว ซึ่งก็คือ บิดามารดา นั่นเองปฏิกิริยาของครอบครัว การปรับตัวของครอบครัวจะเป็นไป อย่างรวดเร็วหรือเชื่องช้า ข้ึนกับปฏิกิริยาของครอบครัวต่อความบกพร่องของบุตร 5. งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ผลงานการวิจัยที่เกี่ยวข้องซึ่งจะนำมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัยที่พอจะสรุป รายละเอียดได้ดังน้ี เก็จกนก เอื้อวงศ์ และคณะ (2563) ศึกษารูปแบบการจัดการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด–19 ในส่วนของการศึกษาความ ต้องการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์วิกฤติของผู้ปกครอง พบว่า 1) สถานศึกษาควรร่วมมือกัน ระหว่างครู และผู้ปกครองในการเสริมสร้างนิสัยใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน และร่วมมือในการ จัดการเรียนรู้ของครูและสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง 2) สถานศึกษาควรสร้างเครือข่ายความร่วมมือ กับชุมชนหรือหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อขอรับสนับสนุนการจัดการเรียนรู้และการปฏิบัติงานของ สถานศึกษาท้ังด้านงบประมาณ สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ รวมทั้งการกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ต สมปอง โพธิตะนิมิต (2558) ศึกษาความต้องการของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาระดับ ปฐมวัย โรงเรียนบ้านคลองเจริญ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 ผลการวิจัย พบว่า 1. ความต้องการของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยโรงเรียนบ้านคลองเจริญ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับ มาก เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการจัดสภาพแวดล้อม ด้านบริการนักเรียน ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครอง และด้านการจัดประสบการณ์และกิจกรรมการ เรียนการสอน ตามลำดับ 2. ความต้องการของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยโรงเรียนบ้านคลองเจริญ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 จำแนกตามเพศ โดยรวมและราย ด้าน พบว่า แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 3. ความต้องการของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยโรงเรียนบ้านคลองเจริญ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 จำแนกตามอาชีพ โดยรวมและราย ด้าน พบวา่ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 4. ความต้องการของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยโรงเรียนบ้านคลองเจริญ สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 จำแนกตามระดับการศึกษาโดยรวม และรายด้าน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นในด้านความสัมพันธ์ ระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เจนจิรา แซ่เฮง (2555) ได้ศึกษาเกี่ยวกับความต้องการของผู้ปกครองในการจัดการศึกษา ปฐมวัย ของโรงเรียนอนุบาลเมืองใหม่ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี เขต 2 มีจุดมุ่งหมาย

42 การวิจัยเพื่อศึกษาความต้องการของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาปฐมวัยของโรงเรียนอนุบาล เมืองใหม่ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรีเขต 2 ผลการวิจัย พบว่า 1)ความต้องการของ ผู้ปกครอง ในการจัดการศึกษาปฐมวัยของโรงเรียนอนุบาลเมืองใหม่ สังกัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดชลบุรีโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความ ต้องการด้านการจัดประสบการณ์และกิจกรรมการเรียนการสอนมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านการ จัดสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครองและด้านการ จัดบริการนักเรียน ตามลำดับ 2) ความต้องการของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาปฐมวัยของ โรงเรียนอนุบาลเมืองใหม่ชลบุรี จำแนกตามสถานภาพของผู้ปกครองด้านระดับการศึกษา โดยรวม และรายด้านมีความต้องการแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 3) ความต้องการของผู้ปกครอง ในการจัดการศึกษาปฐมวัยของโรงเรียนอนุบาลเมืองใหม่ชลบุรี จำแนกตามสถานภาพของผู้ปกครอง ด้านอาชีพ โดยรวมและรายด้านมีความต้องการแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ปิยนุช พงษ์พิกุล (2555) ได้ศึกษาความพึงพอใจ และความต้องการของผู้ปกครองนักเรียน เกี่ยวกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนพงษ์พิกุลเชียงใหม่ พบว่า ความพึงพอใจของผู้ปกครอง นักเรียนเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนทุกด้านโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจาก มากไปหาน้อย คือ ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อ และแหล่งเรียนรู้และการวัดประเมินผล ด้านอาคารสถานที่ ด้านกิจกรรมนักเรียน ดานความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน ผู้ปกครองและชุมชน ด้านธุรการและดานบุคลากร (ครู) ความตองการ และขอเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการศึกษา ดานบุคลากร (ครู) ตองการใหมีการเพิ่มจำนวนครู บุคลากร ใหเพียงพอกับจำนวนนักเรียน และให ครูควรใหความรักความเอาใจ ใสตอนักเรียน ด้านธุรการตองการใหมีการปรับระบบการทำงาน ใหสะดวกรวดเร็วมากขึ้น และใหมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้านอาคารสถานที่ตองการใหมีการ จัดบริเวณใหสมดุลกับจำนวนนักเรียน และขยายพื้นที่ของโรงอาหารเพิ่มจำนวนแม่ค้าร้านอาหาร ใหเพียงพอกับจำนวนนักเรียนพรอมมีการพัฒนาอาคารสถานที่อยู่เสมอ ดานความสัมพันธระหว่าง โรงเรียน ผู้ปกครองและชุมชน ตองการใหโรงเรียนมีวิทยากรจากชุมชนเขามาจัดกิจกรรมภายใน โรงเรียนพรอมใหนักเรียนมีสวนร่วมในการทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนมากข้ึน และเปิดโอกาสใหชุมชน เขามาใชสถานที่ของโรงเรียน เพื่อเป็นประโยชนต่อชุมชน และใหโรงเรียนนำขอเสนอแนะ จากกิจกรรมเย่ียมบ้านนักเรียนมา ปรับปรุงและพัฒนาโรงเรียนในด้านต่าง ๆ ด้านกิจกรรมนักเรียน ตองการใหจัดกิจกรรมใหนักเรียนได้รับการพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ มากขึ้น เนนกิจกรรมด้าน คุณธรรมเพื่อปลูกฝงให นักเรียนเป็นคนดีของสังคม และใหมีการสร้างแรงจูงใจใหนักเรียนเขาร่วม กิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนอยู่เสมอ ด้านการเรียนการสอน สื่อและแหล่งเรียนรูและการวัดผล ประเมินผลตองการใหมีการจัดหาแหล่งเรียนรูใหกับนักเรียนท่ีหลากหลาย และเป็นปจจุบันเพิ่มมาก ข้ึน

43 นางสาวชิดดาว แสวงศิริพล (2550) ได้ศึกษาความต้องการของผู้ปกครองเกี่ยวกับการ จัดการศึกษาพิเศษในโรงเรียนที่มีโครงการเรียนร่วม อำเภอเชียงใหม่ พบว่าในการจัดการศึกษา พิเศษ ผู้ปกครองมีความตองการทุกดานอยูในระดับมาก เรียงลำดับได้ดังนี้ คือ ดานบุคลากร ด้านกิจการนักเรียน ด้านสัมพันธ์ชุมชน ด้านอาคารสถานที่และด้านวิชาการ ตามลำดับ สำหรับ ความตองการของผู้ปกครองท่ีอยู่ในระดับมากท่ีสุด ในแต่ละด้าน คือ ด้านวิชาการผู้ปกครองตองการ ใหโรงเรียนมีการเตรียมทักษะที่จำเป็นตอการดำรงชีวิตใหกับเด็กพิเศษ ด้านกิจการนักเรียน ผู้ปกครองตองการใหโรงเรียนจัดให้เด็กพิเศษทุกคนรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ ดานบุคลากรผู้ปกครองตองการใหโรงเรียนจัดใหมีครูผู้สอน และครูพ่ีเลี้ยงใหความรูจัดประสบการณ แกเด็กพิเศษ ด้านอาคารสถานที่ ผู้ปกครองตองการใหโรงเรียนจัดห้องเรียนใหสะอาด สวยงาม มีแสงสวางเพียงพอและอากาศถ่ายเทได้สะดวก ด้านสัมพันธ์ชุมชน ผู้ปกครองตองการใหโรงเรียน มีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข องในการแลกเปลี่ยนความรู เกี่ยวกับการ จัดการศึกษาพิเศษ เชน ศูนย์การศึกษาพิเศษ ณัฐฑรีสินธุนาวา (2546) ได้ศึกษาความตองการของผู้ปกครองที่มีตอการจัดกิจกรรม ประจำวันสำหรับเด็กระดับก่อนประถมศึกษาโรงเรียนอนุบาลพะเยา พบวา 1. ด้านกิจกรรมหลักทั้ง 6 ผู้ปกครองมีความตองการโดยรวมในระดับ มากที่สุด โดยเฉพาะ ด้านประเภทและรูปแบบของกิจกรรม ผู้ปกครอตองการใหจัดประเภทและรูปแบบ ของกิจกรรม ท่ีหลากหลาย เปิดโอกาสใหเด็กแสดงความคิดเห็นเป็นกิจกรรมที่มีเน้ือหาสอดคลองกับประสบการณ ท่ีเด็กตองการเรียนรูไม่บังคับเด็กเขาร่วมกิจกรรมใหเด็กเข้าร่วมกิจกรรมด้วยความสมัครใจ และเน้น กิจกรรมที่ทำให้เด็กได้รับความสนุกสนาน และได้รับความรูในเวลาเดียวกัน ดานสื่อ อุปกรณ์ ผู้ครองตองการใหโรงเรียนสนใจเร่ืองคุณภาพ ความสะอาด ความปลอดภัยของส่ือและอุปกรณ์ท่ใี ช ในแต่ละกิจกรรมด้านการดูแลของครูประจำชั้น ผู้ปกครองตองการใหครูทำหนาที่ดูแล กระตุน ส่งเสริมใหเด็กทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างท่ัวถึง 2. ด้านการจัดบริการอาหารสำหรับเด็กผู้ปกครองมีความต องการโดยรวมในระดับ มากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องความตองการใหทางโรงเรียนจัดอาหารที่มีประโยชน มีความหลากหลาย มีปริมาณพอเพียงสำหรับเด็กโดยคำนึงถึงคุณคาตามหลักโภชนาการ และเน้นในเรื่องของความ สะอาด และความปลอดภัยของอาหาร 3. ด้านการดูแลรักษาความปลอดภัยสำหรบเด็ก ผู้ปกครองมีความตองการโดยรวม ในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องความตองการใหโรงเรียนมีการจัดสภาพแวดลอมของหองเรียน อาคารที่ถูกสุขลักษณะ ตองการใหมีการจัดเตรียมน้ำดื่มที่สะอาดและต้องการใหโรงเรียนมีการ เตรียมพรอมอยู่ตลอดเวลาในการปองกันอุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ 4. ด้านการติดตอสื่อสารระหว่างครูกับผู้ปกครอง ผู้ปกครองมีความตองการโดยรวม ในระดับมาก โดยเฉพาะเรื่องความตองการใหเรื่องที่ติดตอสื่อสาร มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับกิจกรรม

44 ประจำวัน พฤติกรรมของเด็กการดแลเด็กที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยใชวิธีการติดต่อสื่อสาร ที่หลากหลายแบบ และโรงเรียนควรทำจุลสารรายเดือน เพื่อเพิ่มพูนความรูใหกับผู้ปกครองด้วย นอกจากนี้ตองการใหนำขอเสนอแนะต่าง ๆ ที่ได้รับจากผู้ปกครองไปพัฒนาและปรับปรุงใชจริง 5. ดนการประเมินผลตามสภาพจริงผู้ปกครองมีความตองการโดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องความต้องการให้มีการวัดและประเมินผลครบทุกด้าน มีการนำข้อมูลที่ได้รับจากการ ประเมินผลไปใช้เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนใหเหมาะสมกับเด็กโรงเรียนตองการระบบการ ติดตามผลและประเมินผลพัฒนาการของเด็กอย่างสม่ำเสมอและต่อเน่ือง จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า ผู้ปกครองนั้น มีบทบาทความสำคัญในการพัฒนาผู้เรียน การจัดการศึกษาให้เกิดผลดี มีประสิทธิภาพ ต้องตรงกับ ตามความต้องการของผู้ปกครอง ทั้งน้ีเพราะเมื่อผู้ปกครองควรมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาย่อมจะ ช่วยขับเคลื่อนให้การบริหารจัดการศึกษาดำเนินไปตามความต้องการของผู้ปกครอง ช่วยให้ สถานศึกษาได้รับการยอมรับ ผู้ปกครองร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กับสถานศึกษ ด้วยความเต็มใจ ส่งผล ต่อการพัฒนาการเด็กอย่างเต็มศักยภาพ

45 6. กรอบแนวคิดการวิจัย กรอบแนวคิดในการวิจัย มีดังน้ี นโยบายและแนวทางในการจัดการเรยี นรู้ ในสถานการณ์ COVID -19 การจัดการเรยี นรสู้ ำหรับเด็กท่มี ีความต้องการ พิเศษในสถานการณ์ COVID -19 ตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม 1. ระดับการศึกษา ความต้องการของผูป้ กครอง ต่อการจัดการเรยี นรู้ 1.1 ตำ่ กวา่ ปริญญาตรี ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กท่มี ีความ 1.2 ปริญญาตรี ต้องการจำเปน็ พเิ ศษ ของศนู ย์การศึกษาพิเศษ 1.3 สงู กว่าปริญญาตรี ประจำจงั หวดั ระนอง 5 ดา้ น 2. อาชพี 1. ด้านความรคู้ วามเขา้ ใจ 2.1 รบั ราชการ/รัฐวสิ าหกจิ 2. ดา้ นแนวทางการจัดการเรียนรู้ 2.2 ธรุ กจิ ส่วนตวั /คา้ ขาย/อาชพี อิสระ 3. ดา้ นการออกแบบการจดั การเรียนรู้ 2.3 เกษตรกร 4. ด้านเคร่ืองมือ อุปกรณ์ เทคโนโลยี 2.4 อ่นื ๆ ด้านการประสานความรว่ มมือ 3. ประเภทความพิการของบุตรหลาน 3.1 บคุ คลท่มี ีความบกพร่องทางการเหน็ 3.2 บุคคลทม่ี ีความบกพร่องทางการไดย้ นิ 3.3 บคุ คลทมี่ ีความบกพร่องทางสติปัญญา 3.4 บุคคลทีม่ คี วามบกพร่องทางร่างกายฯ 3.5 บุคคลออทิสติก 3.6 บุคคลพกิ ารซ้อน

46 บทท่ี 3 วิธีดำเนินงานวจิ ัย การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง ซ่ึงผู้วิจัยได้ดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังน้ี 1. กลุ่มเป้าหมาย 2. เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6 สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองของนักเรียนศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง รับบริการ ชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่มและเตรียมความพร้อม รับบรกิ ารแบบไป-กลับ ในศูนยก์ ารศึกษาพิเศษประจำ จังหวัดระนองและหน่วยบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 177 คน โดยกำหนดใหน้ กั เรียน 1 คนต่อผปู้ กครอง 1 คน ตาราง 1 จำนวนกลมุ่ เปา้ หมายจำแนกตามประเภทความพกิ ารของบุตรหลาน ประเภทความพิการ ผูป้ กครองนักเรียน กลมุ่ เปา้ หมาย บุคคลทม่ี ีความบกพร่องทางการเหน็ 2 บคุ คลที่มีความบกพร่องทางการไดย้ ิน 8 บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 57 บุคคลท่มี ีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ 50 บคุ คลออทิสติก 49 บุคคลพิการซ้อน 11 177 รวม

47 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับ ความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความ ต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง ทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านการสร้าง ความรู้ ความเข้าใจ ด้านแนวทางการจัดการเรียนรู้ ด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ ด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ เทคโนโลยี และด้านการประสานความร่วมมือ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 1 ฉบับ โดยแบบสอบถามแบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลพื้นฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบสำรวจรายการ (Check List) ได้แก่ ระดับการศึกษา อาชีพ และประเภทความพิการของบุตรหลาน ตอนที่ 2 ความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดระนอง มีลักษณะ เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scales) แบ่งออกเป็น 5 ด้าน แต่ละด้านเขียนข้อคำถามครอบคลุมตามนิยามศัพท์เฉพาะที่กำหนดไว้ โดยมีจำนวนข้อคำถาม ทั้งหมด 45 ข้อ ได้แก่ 1. ดา้ นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ จำนวน 10 ข้อ 2. ด้านแนวทางการจัดการเรยี นรู้ จำนวน 9 ขอ้ 3. ดา้ นการออกแบบการจดั การเรยี นรู้ จำนวน 10 ขอ้ 4. ดา้ นเคร่ืองมือ อปุ กรณ์ เทคโนโลยี จำนวน 8 ข้อ 5. ดา้ นการประสานความรว่ มมือ จำนวน 8 ขอ้ โดยแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ สร้างขึ้นตามแบบของ Likert (1967) โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังต่อไปน้ี 5 คะแนน หมายถึง ความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 อยู่ในระดับมากที่สุด 4 คะแนน หมายถึง ความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 อยู่ในระดับมาก 3 คะแนน หมายถึง ความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 อยู่ในระดับปานกลาง 2 คะแนน หมายถึง ความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 อยู่ในระดับน้อย 1 คะแนน หมายถึง ความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการเรียนรู้ ในสถานการณ์ COVID-19 อยู่ในระดับน้อยที่สุด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook