44 บทท่ี 2 การดแู ลรถยนตป์ ระจำ�วนั 2.14 ตรวจสอบสภาพของสายพาน ผลการตรวจสอบ ปกติ แตกรา้ ว/ฉกี ขาด บนั ทกึ ...................................................................... .................................................................................. 2.15 ตรวจสอบความตึงของสายพาน ผลการตรวจสอบ ปกติ ตึง/หยอ่ น บันทึก ...................................................................... .................................................................................. 2.16 ตรวจสอบระบบไฟแสงสวา่ ง เชน่ ไฟหน้า ไฟหรี่ ผลการตรวจสอบ ปกติ ชำ� รดุ บันทึก ...................................................................... .................................................................................. 2.17 ตรวจสอบระดับสัญญาณ เชน่ ไฟเลีย้ ว ไฟเบรก แตร ผลการตรวจสอบ ปกติ ชำ� รุด บนั ทกึ ...................................................................... ..................................................................................
งานบำ�รงุ รักษารถยนต์ 45 2.18 ตรวจสอบระดับนำ�้ มนั พวงมาลัยเพาเวอร์ ผลการตรวจสอบ อยูใ่ นเกณฑ์ ตำ่� กว่า/สงู กวา่ เกณฑ์ บันทึก ...................................................................... .................................................................................. 2.19 ตรวจสอบระดบั นำ�้ มันเกยี รอ์ ัตโนมัติ ผลการตรวจสอบ อยใู่ นเกณฑ์ ตำ�่ กวา่ /สงู กวา่ เกณฑ์ บันทึก ...................................................................... .................................................................................. 2.20 ตรวจสอบการร่วั บรเิ วณใต้ท้องรถ ผลการตรวจสอบ ไม่มีรอยหยด มีรอยหยดของของเหลว บนั ทกึ ...................................................................... .................................................................................. 2.21 ตรวจสอบสภาพภายในหอ้ งเครือ่ งยนต์ ผลการตรวจสอบ ปกติ ผิดปกติ บนั ทึก ...................................................................... ..................................................................................
46 บทท่ี 2 การดแู ลรถยนต์ประจำ�วนั 3. จัดเกบ็ เคร่อื งมือ วสั ดุ และอปุ กรณ์ต่าง ๆ 4. ท�ำความสะอาดบริเวณปฏบิ ตั ิงานให้เรียบร้อย บนั ทกึ ผลการปฏบิ ตั ิ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................
บทท่ี การดแู ลรถยนต์ 3 ประจ�ำ สัปดาห์ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม (Behavioral Objectives) หลงั จากจบบทเรยี นนี้แล้ว นักศึกษาจะมคี วามสามารถดงั น้ี 1. อธบิ ายและปฏบิ ัติการบ�ำรุงรักษาระบบรองรบั นำ�้ หนัก 2. ปฏบิ ตั กิ ารบ�ำรงุ รักษาแบตเตอร่ี 3. ตรวจการท�ำงานของชุดปัดนำ�้ ฝน 4. ตรวจการท�ำงานของมอเตอรป์ ๊ัมนำ�้ ฉดี ล้างกระจก
บทที่ การดูแลรถยนต์ 3 ประจ�ำ สัปดาห์ การใชร้ ถในรอบสปั ดาหน์ นั้ แมจ้ ะไดม้ ีการดแู ลประจ�ำวนั แลว้ กต็ าม ในทุก ๆ สปั ดาห์ควรจะต้อง ตรวจรถในรายละเอียดเพิ่มเติมจากการดูแลรถประจ�ำวัน เพราะอุปกรณ์ในหลายระบบของรถยนต์ ไม่จ�ำเป็นจะต้องดูแลทุกวัน แต่ควรจะตรวจดูทุกสัปดาห์ เพราะถ้าหากตรวจพบข้อขัดข้องในเบ้ืองต้น จะสามารถแกไ้ ขไดท้ นั ทว่ งที ไมเ่ กดิ การบานปลาย ซง่ึ มผี ลตอ่ การเสยี หายหนกั ของรถยนต์ ทำ� ใหเ้ สยี คา่ ซอ่ ม บรกิ าร และเสียเวลา การบ�ำรงุ รักษาประจำ� สปั ดาห์ แบ่งออกเป็น 3 สว่ นหลัก ๆ ไดด้ งั น้ี 1. การบ�ำรงุ รกั ษาระบบรองรบั นำ้� หนกั 2. การบ�ำรุงรกั ษาระบบไฟฟา้ ในรถยนต์ 3. การบ�ำรุงรักษาเครื่องยนต์ ดงั จะได้กลา่ วในรายละเอียดตอ่ ไป การบำ�รุงรกั ษาระบบรองรับนำ้ �หนกั การสกึ หรอของดอกยาง สภาพการใช้งานของรถในสัปดาห์มีผลต่อการสึกหรอของยาง อันเนื่องมาจากความผิดปกติ ในหลายประการ ดงั รปู ที่ 3.1 กล่าวคอื 1. การเตมิ แรงดนั ลมยางไมถ่ กู ตอ้ ง - การเติมลมยางแข็งเกินไปจะท�ำให้ดอกยางทางส่วนกลางสึกมากกว่าทางด้านข้าง และ การเตมิ ลมยางมากเกินไปยังมผี ลทำ� ให้ยางเต้นและการยึดเกาะถนนไม่ดดี ้วย - การเติมลมยางน้อยเกินไปมีผลต่อการสึกของดอกยางทางด้านข้าง และถ้าลมยางของ ยางแตล่ ะเสน้ นอ้ ย คอื ลมยางออ่ นในบางเสน้ จะทำ� ใหร้ ถวง่ิ กนิ ทางไปดา้ นยางเสน้ ทลี่ มยางออ่ น นอกจากนี้ ท�ำให้พวงมาลัยรถหนัก และท�ำให้สน้ิ เปลืองนำ�้ มันเชือ้ เพลิง
งานบำ�รุงรกั ษารถยนต์ 49 ในสัปดาห์หน่งึ ควรตรวจดูลักษณะการสกึ ของดอกยางวา่ ผิดปกตหิ รือไม่ ต้องเตมิ แรงดันลม ใหถ้ ูกต้องตามข้อมูลประจ�ำรถอยู่สมำ่� เสมอเพือ่ รักษาดอกยาง ซ่ึงชว่ ยใหป้ ระหยัดและปลอดภยั สกึ บรเิ วณกลางหนา้ ยาง มมุ แคมเบอร์ลบ (-) มมุ แคมเบอรบ์ วก (+) เกดิ จากการเตมิ ลมยางทม่ี ากเกนิ ไป สกึ บรเิ วณไหลย่ าง มมุ โทอนิ มุมโทเอาต์ เกดิ จากการเตมิ ลมยางทน่ี อ้ ยเกนิ ไป มมุ คาสเตอร์ลบ (-) มมุ คาสเตอรบ์ วก (+) รูปที่ 3.1 แสดงลกั ษณะการสกึ หรอของยางท่ผี ิดปกตจิ ากสาเหตุตา่ ง ๆ 2. ยางสึกจากมุมลอ้ หนา้ ไม่ถูกตอ้ ง (ดูรปู ท่ี 3.1) - การสึกของดอกยางจากมมุ โท (Toe) ไมถ่ กู ต้อง จะท�ำใหด้ อกยางสกึ ในลกั ษณะเกลด็ ปลา และผลจากมุมโทน้จี ะท�ำใหอ้ ายุของดอกยางส้นั ลงอยา่ งรวดเร็ว - การสกึ หรอของดอกยางจากมมุ แคมเบอร์ (Camber) ไมถ่ กู ต้อง จะมผี ลจากการสึกตรง ขอบนอกด้านใดด้านหน่ึง คือ มุมแคมเบอร์บวก (+) มากเกินไป ดอกยางจะสึกตรงขอบด้านนอก และถ้ามมุ แคมเบอรล์ บ (-) มากเกนิ ไปดอกยางจะสึกตรงขอบด้านใน 3. การสกึ ของยางจากการทยี่ างไมส่ มดลุ (ดูรูปที่ 3.1) การทนี่ ำ้� หนกั ของยางในเสน้ เดยี วกนั ไมเ่ ทา่ กนั เมอ่ื รถวง่ิ ทค่ี วามเรว็ สงู ๆ จะทำ� ใหย้ างสว่ นทหี่ นกั กระแทกกับถนนรุนแรงกว่าส่วนอ่ืน จะท�ำให้จุดที่หนักนี้สึกหรอเป็นจุด ๆ ดังน้ัน ถ้าตรวจพบสภาพ การสึกหรอดงั กลา่ ว เกิดจากการที่ยางไมไ่ ด้รับการถ่วงหรือถ่วงไม่ถูกตอ้ ง
50 บทที่ 3 การดแู ลรถยนต์ประจำ�สปั ดาห์ 4. การสึกหรอของยางจากโช้คอัพ (Shock Absorber) การสึกของดอกยางจากสาเหตุน้ี จะทำ� ใหย้ างสกึ เปน็ จำ�้ ๆ คลา้ ยกบั ยางไมส่ มดลุ เพราะการทโ่ี ชค้ อพั เสยี จะทำ� ใหย้ างเกดิ ความเตน้ เปน็ ชว่ ง ๆ แรงกดยางทส่ี ัมผัสกบั ถนนไมเ่ ทา่ กัน จึงท�ำใหย้ างสกึ ในลกั ษณะดงั กล่าว ในการบำ� รงุ รกั ษารถประจำ� สปั ดาห์ ถา้ ตรวจพบการสกึ หรอของยางดงั กลา่ วแลว้ จะตอ้ งนำ� รถไป ตรวจศนู ยล์ ้อและปรับตั้งใหถ้ กู ตอ้ ง รวมทั้งตอ้ งตรวจโช้คอัพดว้ ย การตรวจการท�ำงานของโช้คอัพ โดยทั่ว ๆ ไป มีอยู่ 2 วิธี คือ 1. ตรวจดว้ ยตา ดงั รปู ท่ี 3.2 วธิ กี ารตรวจ ใหท้ ำ� การตรวจโชค้ อพั ขณะทต่ี ดิ ตง้ั ณ ตำ� แหนง่ ของมนั ขณะท�ำงานโดยตรวจการช�ำรุดจากการบุบเน่ืองจากการกระแทก ตรวจการคดงอของแกนโช้คอัพ ตรวจรอยรัว่ ซึมหยดของน�้ำมันจากเรอื นโชค้ อพั ถ้ามีอาการดังกล่าว แสดงว่าโช้คอัพอาจจะเสยี หาย มองเขา้ ไปในรอ่ งน้ี ภาพทเ่ี หน็ รปู ที่ 3.2 วธิ กี ารตรวจโช้คอัพด้วยสายตา 2. ตรวจด้วยการทดสอบการท�ำงาน วธิ ีนตี้ รวจได้โดยกดตรงมุมกนั ชนหรอื มมุ ขอบบังโคลนสดุ ทั้งหน้าและหลัง ทำ� การตรวจทลี ะขา้ ง ดงั รปู ท่ี 3.3 โดยการกดขยม่ หลาย ๆ คร้ัง แล้วปล่อย รถที่โชค้ อัพ ท�ำงานปกติ หลังจากปล่อยมือจากการกดขย่มแล้วสภาพอาการสั่นของรถจะต้องคืนกลับในสภาพปกติ เรว็ ทส่ี ดุ คอื สนั่ นอ้ ย แสดงวา่ โชค้ อพั ไมเ่ สยี แตถ่ า้ สนั่ หลาย ๆ ครง้ั กวา่ จะกลบั เขา้ สสู่ ภาพปกติ แสดงวา่ เสยี
งานบำ�รงุ รักษารถยนต์ 51 รูปท่ี 3.3 แสดงการตรวจสภาพการท�ำ งานของโชค้ อัพโดยการกด การเปลย่ี นโช้คอัพ ถา้ กระท�ำไดใ้ ห้เปลย่ี นทัง้ หมด 4 กระบอก เพราะอายุการใช้งานใกลเ้ คียงกนั หรือจะเปลยี่ นเป็นคู่ ๆ ก็ได้ คือ คู่หนา้ หรือคู่หลงั ไมค่ วรเปลย่ี นทีละกระบอก เพราะจะมผี ลตอ่ การทรงตัว ของรถยนต์มาก การบำ�รงุ รักษาระบบไฟฟา้ รถยนต์ การบ�ำรุงรกั ษาแบตเตอรี่ แบตเตอร่ี เปน็ อปุ กรณในระบบไฟฟา้ ในรถยนตท์ มี่ คี วามสำ� คญั อยา่ งมาก เชน่ ชว่ ยใหก้ ารตดิ เครอ่ื ง กระท�ำได้อย่างง่าย สะดวก เพราะระบบสตาร์ตนั้นใช้ก�ำลังไฟฟ้าในแบตเตอรี่มาขับมอเตอร์สตาร์ต เพ่ือติดเครอื่ งยนต์ ดงั รูปท่ี 3.4 ลอ้ ช่วยแรง สวิตช์จุดระเบดิ เพลาข้อเหวี่ยง มอเตอร์สตาร์ต โซลนิ อยด์ แบตเตอรี่ ลงดิน รูปท่ี 3.4 ระบบตดิ เครือ่ งยนต์
52 บทที่ 3 การดแู ลรถยนต์ประจำ�สัปดาห์ นอกจากนี้ แบตเตอรยี่ ังทำ� หนา้ ทจี่ ่ายไฟ (ถูกประจุเกบ็ ไว้ ขณะเดนิ เครือ่ งยนต)์ ออกมาใช้กบั อุปกรณ์ไฟฟา้ ต่าง ๆ ขณะดบั เครอื่ งยนต์ เช่น ไฟฉุกเฉิน วิทยุ พัดลม ฯลฯ แบตเตอรจ่ี ะไดร้ บั การประจไุ ฟจากระบบประจไุ ฟของเครอื่ งยนต์ เพอื่ นำ� ไปใชง้ านดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วมา แต่กระบวนการประจุไฟเข้าแบตเตอรี่จะท�ำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ท�ำให้น�้ำยาในแบตเตอรี่ร้อน เดือด และระเหยแห้ง ถ้าแห้งมากแผ่นธาตุซ่ึงเป็นอุปกรณ์ในแบตเตอร่ีจะเสียหาย ท�ำให้อายุการใช้งานของ แบตเตอรส่ี น้ั ลง ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ จำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งตรวจและบำ� รงุ รกั ษาแบตเตอรใี่ นทกุ ๆ สปั ดาห์ เพอ่ื ใหแ้ บตเตอรี่ อยใู่ นสภาพที่ใช้งานไดด้ ตี ามอายกุ ารใชง้ าน ซึง่ มกี ารปฏิบตั ดิ ังน้ี 1. ตรวจน้�ำยาในแบตเตอร่ี นำ้� ยาในแบตเตอรจี่ ะตอ้ งอยใู่ นระดบั ทถี่ กู ตอ้ ง วธิ ตี รวจสำ� หรบั แบตเตอรที่ เี่ ปลอื กหมอ้ ใสมองเหน็ ระดับน�้ำยาภายใน ให้ตรวจระดับของน�้ำยาในแบตเตอร่ีโดยใช้สายตาตรวจดูระดับน�้ำยากับขีดระดับ ทกี่ �ำหนดขา้ ง ๆ แบตเตอร่ี น้ำ� ยาจะตอ้ งอยใู่ นระดบั ที่ก�ำหนดดังรปู ท่ี 3.5 (ก) ถา้ พรอ่ งตำ�่ จะเตมิ นำ้� กลนั่ ลงในชอ่ งของแบตเตอรใี่ หไ้ ดร้ ะดบั ทถี่ กู ตอ้ งทกุ ชอ่ ง สำ� หรบั แบตเตอร่ี ทเ่ี ปลอื กหมอ้ ทบึ มองไมเ่ หน็ นำ�้ ยาภายใน ปกตนิ ำ้� ยาจะตอ้ งทว่ มสงู เหนอื แผน่ ธาตุ ประมาณ 5 - 10 มลิ ลิเมตร และถ้าแผน่ ธาตโุ ผล่เหนอื นำ�้ ยาแสดงวา่ นำ�้ ยาขาด จะตอ้ งเตมิ น้�ำกล่นั ให้ได้ระดบั ทถี่ ูกตอ้ ง อาจจะใช้วิธีส่องช่องเติมน้�ำยาดูระดับน้�ำยาท่ีพอดี เมื่อส่องดูแล้วจะเห็นแนวแผ่นธาตุ เป็นลักษณะโค้ง ดงั รูปที่ 3.5 (ข) เสน้ ระดับบน ต่�ำ ปกติ เส้นระดบั ลา่ ง (ก) ดรู ะดบั น�ำ้ ยาด้านข้าง (ข) ดูระดับน้ำ� ยาทีช่ อ่ งเดิม รปู ท่ี 3.5 การตรวจสอบระดบั นำ�้ ยา ปจั จบุ นั ไดม้ แี บตเตอรท่ี อ่ี อกแบบมาเปน็ พเิ ศษทก่ี นั รวั่ ไวจ้ นไอของนำ้� ยาระเหยออกไปจากแบตเตอร่ี ได้น้อยมากหรือไม่ออกไปเลย ซ่ึงด้านบนก็จะมีช่องตรวจดูสภาพความจุของแบตเตอร่ี เป็นลักษณะ กระจกใส (เรียกว่า ตาแมว) เม่ือแบตเตอร่ีอยู่ในสภาพไฟเต็มช่องตรวจดูน้ี ตรงกลางจะมีลูกลอย ลอยขนึ้ มาใหเ้ หน็ เปน็ สเี ขยี ว และเมอื่ แบตเตอรอ่ี ยใู่ นสภาพไฟปานกลาง ตรงกลางของชอ่ งตรวจจะมดื หมด
งานบำ�รุงรกั ษารถยนต์ 53 และเมื่อแบตเตอร่ีไม่มีความจุ ไฟน้อยมาก หรือขาดน้�ำยา ตรงกลางจะเป็นสีเหลืองอ่อนหรือว่างเปล่า (แบตเตอร่ีบางแบบจะใช้ลกู ลอยสฟี า้ และสีแดง เม่ือเหน็ สฟี ้าตรงกลางชอ่ งตรวจแสดงว่าไฟเตม็ และเม่อื เห็นสีแดงรอบข้างไม่มีสีฟ้าตรงกลางแสดงว่าไฟปานกลาง และเมื่อไม่เห็นทั้งสองสีแสดงว่าไฟหมดหรือ ระดับนำ้� ยาต�ำ่ เกนิ ไปดงั รปู ท่ี 3.6 ประจเุ ดิม มีไฟปานกลาง ไมม่ ีไฟ มืดทึบและมสี ีเขยี ว มืดทบึ สเี หลอื งออ่ น ตรงจดุ ก่ึงกลาง หรอื ว่างเปล่า รูปที่ 3.6 สภาพประจุไฟเม่อื สอ่ งกระจกตาแมว 2. ตรวจขว้ั แบตเตอรี่ เนอื่ งจากขว้ั แบตเตอรที่ ำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ จดุ ตอ่ สายไฟซงึ่ เรยี กวา่ สายแบตเตอรี่ เพอื่ ประจกุ ระแสไฟเขา้ แบตเตอรี่ หรอื จา่ ยกระแสไฟออกมาใชง้ าน เมอื่ เครอ่ื งยนตท์ ำ� งานจะมกี ารประจไุ ฟ และเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าทางเคมขี น้ึ ทำ� ใหเ้ กดิ ขเ้ี กลอื (Sulfate) ดงั รปู ที่ 3.7 ซงึ่ จะเปน็ ฉนวนกนั้ ระหวา่ งขว้ั แบตเตอรี่ กับปลายขวั้ สาย อาจจะทำ� ให้กระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นไมไ่ ด้หรอื ผา่ นไดน้ ้อย ท�ำให้สตาร์ตเคร่ืองไมต่ ิดเพราะ มอเตอร์สตารต์ ไม่หมุน หรอื หมุนแต่รอบต�่ำ หรอื สตารต์ แลว้ เงยี บไปเลย หรอื มีเสียงแชะ ๆ แต่เคร่อื งยนต์ ไม่หมุน ปัญหานใี้ หแ้ กไ้ ขโดยการท�ำความสะอาดดังวธิ ตี ่อไปนี้ รปู ท่ี 3.7 ขั้วแบตเตอรท่ี เี่ ปน็ ข้เี กลอื
54 บทท่ี 3 การดูแลรถยนต์ประจำ�สัปดาห์ 2.1 การท�ำความสะอาดข้ัวแบตเตอรี่ โดยใช้น้ำ� ร้อนลา้ ง ใชน้ ำ้� รอ้ นราดขวั้ จนสะอาด นำ�้ รอ้ น จะล้างข้ีเกลือและคราบฉนวนออก ท�ำให้กระแสไฟ ไหลผ่านไดส้ ะดวก ดังรปู ท่ี 3.8 รปู ท่ี 3.8 การล้างขีเ้ กลือด้วยนำ�้ รอ้ น 2.2 การท�ำความสะอาดขั้วแบตเตอรโี่ ดยการถอดขว้ั ปลายสาย มขี นั้ ตอนและวธิ ีการบรกิ าร ดงั ต่อไปนี้ - ถอดข้ัวลบ (-) ออก โดยการคลายแป้นเกลียวแล้วยกข้ัวสายข้ึน ดังรูปท่ี 3.9 ถา้ ขว้ั สายแนน่ หา้ มถอดโดยการงดั จะทำ� ใหข้ วั้ สกึ เสยี หาย ใหถ้ อดโดยใชไ้ ขควงแยกปลายขว้ั สายใหถ้ า่ งออก หรือใช้เครื่องดูดขวั้ ปลายสาย ดังรูปที่ 3.10 รปู ที่ 3.9 การถอดข้วั แบตเตอรี่ ใชไ้ ขควงปากแบนถา่ งขว้ั ออก ใชเ้ ครอ่ื งดดู ออก รูปท่ี 3.10 การถอดข้วั แบตเตอรโี่ ดยใชไ้ ขควงแยกปลายขว้ั สาย หรอื ใช้เครื่องดูดข้วั ปลายสาย
งานบำ�รงุ รักษารถยนต์ 55 - ถอดขวั้ บวก (+) ออก ทำ� ความสะอาดขว้ั แบตเตอรโ่ี ดยใชแ้ ปรงเหลก็ หรอื แปรงทองเหลอื ง ขดั ขว้ั ให้สะอาด ดังรปู ท่ี 3.11 ถ้าไมใ่ ชแ้ ปรงใหใ้ ช้กระดาษทรายขัดท�ำความสะอาดไดเ้ ชน่ กนั รูปท่ี 3.11 การทำ�ความสะอาดข้ัวแบตเตอรด่ี ว้ ยแปรงลวดหรอื แปรงทองเหลอื ง การทำ� ความสะอาดขวั้ ปลายสายแบตเตอร่ี อาจจะใชก้ ระดาษทรายหรอื เครอื่ งมอื พเิ ศษจนสะอาด ดังรูปท่ี 3.12 แล้วใหป้ ระกอบข้วั แบตเตอร่ี โดยประกอบข้วั บวก (+) ก่อน จึงประกอบขั้วลบ (-) หมายเหตุ ในการประกอบขว้ั ระวงั อยา่ ให้ประแจไปโดนอีกข้ัวหน่งึ จะท�ำใหเ้ กดิ การลัดวงจรได้ ทำ�ความสะอาดขว้ั สายไฟ ทำ�ความสะอาดขว้ั แบตเตอร่ี รปู ที่ 3.12 แสดงการใช้เครื่องมอื พเิ ศษท�ำ ความสะอาดข้ัว
56 บทที่ 3 การดแู ลรถยนต์ประจำ�สัปดาห์ 3. ตรวจรอยแตกร้าวของแบตเตอร่ี รอยแตกรา้ ว และความม่ันคง ใหต้ รวจรอบ ๆ เปลอื กหมอ้ แบตเตอร่ี ด้วยสายตาเพ่ือหารอยแตกร้าว ดังรูปท่ี 3.13 ว่ามีน้ำ� ยารวั่ ไหลหรือไม่ถ้าพบจะต้องเปล่ียนใหม่ รปู ที่ 3.13 แสดงการตรวจรอยแตกรา้ ว รอบ ๆ เปลือกหมอ้ แบตเตอรี่ ตรวจทย่ี ดึ แบตเตอรวี่ า่ มน่ั คงหรอื ไมโ่ ดยการขยบั ถา้ พบวา่ เคลอื่ นตวั ขยบั ไดจ้ ะตอ้ งยดึ ใหม้ นั่ คง ดังรปู ท่ี 3.14 มฉิ ะน้ัน อาจจะทำ� ให้แบตเตอร่ีขยับตวั ขวั้ บวก (+) ไปถกู กับตวั ถังเกดิ การลดั วงจร ซง่ึ เป็น ท่มี าของการเกดิ ไฟไหมร้ ถได้ ดงั น้ันจะต้องเขา้ รบั การตรวจและบริการยึดแบตเตอรใี่ ห้ม่นั คง การยดึ แปน้ ลอ็ กแบตเตอร่ี รปู ที่ 3.14 การยดึ แบตเตอรีใ่ ห้ม่นั คง ตรวจการท�ำงานของเครอ่ื งปดั น�้ำฝน ชุดปัดน้�ำฝน ไม่ใช่ว่าจะใช้งานเม่ือฝนตกเท่าน้ัน แม้ในหน้าร้อนที่ฝุ่นมาก และในหน้าหนาว ทห่ี มอกลงจดั อากาศมคี วามชนื้ สงู เกดิ ฝา้ หรอื หมิ ะตก ทป่ี ดั นำ้� ฝนกต็ อ้ งทำ� งาน โดยทำ� งานรว่ มกบั มอเตอร์ ปั๊มฉีดน�้ำฝน คือ ให้ฉีดน�้ำล้างกระจกก่อนแล้วเปิดที่ปัดน้�ำฝนและยังคงเปิดน้�ำฉีดล้างกระจกจนสะอาด ดังรูปที่ 3.15 เพ่ือล้างฝุ่นออกจากกระจกจนใสสะอาด หรือในหน้าหนาวที่หมอกลงอาจจะเกิดละอองน้�ำ เกาะกระจกเปน็ ฝา้ มองถนนหนา้ รถไมช่ ดั เจน กรณนี ก้ี จ็ ะตอ้ งใชเ้ ครอื่ งปดั นำ�้ ฝนปดั ละอองนำ�้ ออกจากกระจก จนใสสะอาดด้วยเช่นกัน จากปัญหาดังกล่าวข้างต้นจึงจ�ำเป็นต้องมีการตรวจสภาพการใช้งานของชุด ปัดน้�ำฝนสปั ดาหล์ ะคร้งั
งานบำ�รุงรกั ษารถยนต์ 57 รปู ที่ 3.15 แสดงการฉีดน�ำ้ ล้างกระจกก่อนท่ีจะลา้ งฝ่นุ ออกโดยเคร่ืองปดั นำ�้ ฝน วิธีการตรวจ - ใหย้ กใบปดั นำ�้ ฝนจากกระจก - เปดิ เครื่องปดั นำ้� ฝนเพ่อื ตรวจสภาพการท�ำงาน ถ้าไม่ท�ำงานจะต้องแก้ไขด่วน ไม่ควรปล่อยท้ิงไว้เพราะจะเป็นท่ีมาของการเกิดอุบัติเหตุได้ ส�ำหรับรถท่ีใบปัดน้�ำฝนไม่สามารถยกค้างแยกจากกระจกได้ เวลาตรวจการท�ำงานจะต้องเปิดที่มอเตอร์ ฉีดน�้ำลา้ งกระจกดว้ ย ทัง้ น้ีเพอ่ื ไม่ให้กระจกเกดิ การเสียหาย ตรวจการท�ำงานของมอเตอรป์ ๊มั นำ�้ ฉดี ลา้ งกระจก อุปกรณ์ช้ินนี้มีความจ�ำเป็นมาก เนื่องจากจะช่วยฉีดล้างน้�ำโคลนบนถนนท่ีฝนพร�ำหรือหลังฝน ทเ่ี ปน็ ละอองมาเกาะ ทำ� ใหเ้ กดิ คราบฝา้ มองถนนไมเ่ หน็ หรอื ปดั เอานำ�้ โคลนทเี่ กดิ จากลอ้ รถทวี่ งิ่ สวนทางมา สาดมาโดน โดยท�ำงานร่วมกบั เคร่ืองปัดนำ�้ ฝน มีสิง่ ท่ีต้องตรวจ ดังตอ่ ไปนี้ 1. ตรวจเติมน�้ำยาฉีดล้างกระจก โดยการเปิดฝาขวดเก็บน�้ำยาล้างกระจกออกดูปริมาณ ถ้าพร่องต�่ำใหเ้ ตมิ น�้ำยาล้างกระจกใหเ้ ต็ม แตถ่ า้ ไม่มนี ้�ำยาให้ใชน้ ำ�้ ธรรมดาแทนก็ได้ ดงั รูปท่ี 3.16 รูปที่ 3.16 แสดงการตรวจเติมน�ำ้ ยาล้างกระจก
58 บทท่ี 3 การดูแลรถยนตป์ ระจำ�สปั ดาห์ 2. ตรวจการทำ� งานของมอเตอรป์ ม๊ั นำ้� ฉดี กระจก โดยตอ้ งเปดิ สวติ ชห์ รอื ดงึ คนั บงั คบั ทป่ี ดั นำ้� ฝน ท่ีคอพวงมาลัย เพื่อทำ� การฉีดนำ้� ถ้ามปี ัญหาตอ้ งแกไ้ ข และถา้ มมุ ฉดี น�้ำยาลา้ งกระจกไมเ่ หมาะสม เชน่ ฉีดเลยข้ึนหลังคา จะตอ้ งปรับมุมฉดี ใหถ้ กู ต้องด้วย ถ้าฉีดน้�ำไมอ่ อก แต่ไดย้ นิ เสียงปม๊ั น้ำ� ฉีดกระจกท�ำงาน รฉู ดี อาจจะตนั ใหใ้ ชเ้ ขม็ แทงเขา้ ไปเบา ๆ ดังรปู ท่ี 3.17 รปู ที่ 3.17 แสดงการแทงรูหวั ฉดี น้ำ� ลา้ งกระจกด้วยเขม็
งานบำ�รุงรกั ษารถยนต์ 59 แบบทดสอบและกจิ กรรมการฝกึ ทกั ษะ 3บทที่ ตอนท่ี 1 จงเลือกคำ�ตอบท่ถี กู ตอ้ งทีส่ ุดเพยี งขอ้ เดยี ว 1. หวั ข้อการบำ� รุงรกั ษารถยนตป์ ระจ�ำสัปดาห์มอี ะไรบ้าง ก. การบ�ำรุงรักษารองรับนำ้� หนัก ข. การบ�ำรงุ รักษาระบบไฟฟ้ารถยนต์ ค. การบ�ำรุงรกั ษาเครอ่ื งยนต ์ ง. ถูกทกุ ขอ้ 2. ข้อใดไม่ใช่สาเหตอุ นั เนือ่ งมาจากการสกึ หรอของยาง ก. การเติมแรงดนั ลมยางไม่ถกู ต้อง ข. ยางสึกจากมุมลอ้ หน้าไม่ถกู ตอ้ ง ค. สกึ หรอจากการขบั รถชา้ ง. สกึ หรอจากโชค้ อัพเสีย 3. ลกั ษณะการสึกหรอของยางเฉพาะขอบนอกทงั้ 2 ขา้ ง เกดิ จากสาเหตุใด ก. เน่ืองจากมมุ โทไม่ถูกต้อง ข. เนอื่ งจากมมุ แคมเบอรไ์ มถ่ กู ตอ้ ง ค. แรงดันลมยางแขง็ เกินไป ง. แรงดนั ลมยางอ่อน 4. ลักษณะการสึกหรอของยางเฉพาะขอบนอกด้านใดดา้ นหนง่ึ เกดิ จากสาเหตใุ ด ก. เนอ่ื งจากมุมโทไม่ถูกต้อง ข. เนอ่ื งจากมมุ แคมเบอร์ไม่ถูกต้อง ค. แรงดนั ลมยางแข็งเกนิ ไป ง. แรงดันลมยางอ่อน 5. ข้อใดไมใ่ ชก่ ารตรวจโชค้ อพั ก. ตรวจด้วยตา ข. ตรวจด้วยการฟงั เสยี ง ค. ตรวจดว้ ยการกดทดสอบ ง. ถอดออกมาตรวจสอบ 6. การเปล่ียนโช้คอพั ให้เปลย่ี นแบบใด ก. เปลี่ยนเฉพาะที่เสยี ข. เปลย่ี นท้ังหมด 4 กระบอก ค. เปลยี่ นเป็นคทู่ ี่เสยี ง. เปล่ยี นไขว้ 7. ขอ้ ใดไมใ่ ชก่ ารบ�ำรงุ รักษาระบบไฟฟ้าในรถยนต์ ก. การท�ำงานไฟแรงสูง ข. แบตเตอร่ี ค. การท�ำงานของมอเตอรป์ ดั นำ�้ ฝน ง. การท�ำงานของระบบไฟแสงสวา่ ง
60 บทที่ 3 การดแู ลรถยนต์ประจำ�สัปดาห์ 8. การตรวจแบตเตอรีเ่ พ่อื ใหอ้ ยใู่ นสภาพท่ีใชง้ านได้ดี มีกีว่ ิธี ก. 2 วธิ ี ข. 3 วิธี ค. 4 วธิ ี ง. 5 วธิ ี 9. การตรวจนำ�้ ยาในแบตเตอรี่ ถา้ น�้ำยาขาดจะตอ้ งเติมอะไร ก. น้�ำเปล่า ข. นำ�้ กรดเจือจาง ค. น�้ำกลัน่ ง. นำ้� หล่อเย็น 10. ข้ีเกลอื ที่ข้วั แบตเตอรี่เกดิ จากอะไร ก. ขั้วแบตเตอรีห่ ลวม ข. ปฏิกริ ิยาเคมี ค. ความรอ้ น ง. นำ้� กรดหกไปโดน 11. การทำ� ความสะอาดขว้ั แบตเตอร่ี โดยใช้น�้ำร้อนลา้ งเพ่ืออะไร ก. ลา้ งคราบจาระบ ี ข. ล้างส่งิ สกปรก ค. ล้างขีเ้ กลอื ง. ลา้ งเขมา่ จากเครอ่ื งยนต์ 12. ขอ้ ใดไมใ่ ช่การตรวจแบตเตอรี่ ก. การท�ำความสะอาดขว้ั แบตเตอรี่โดยใช้นำ้� ร้อนลา้ ง ข. ตรวจรอยแตกรา้ วของแบตเตอร่ี ค. การท�ำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่โดยการถอดข้ัวปลายสาย ง. ตรวจกระแสไฟ 13. ใบปดั น�้ำฝนเมอ่ื อยใู่ นต�ำแหน่งไม่ใชง้ าน ควรห่างจากขอบกระจกดา้ นล่างเทา่ ใด ก. 1 นิว้ ข. 1 ½ นิว้ ค. 2 น้วิ ง. 2 ½ นิ้ว 14. การตรวจใบปดั นำ�้ ฝนมีก่ีขนั้ ตอน ก. 2 ขน้ั ตอน ข. 3 ขนั้ ตอน ค. 4 ข้นั ตอน ง. 5 ขนั้ ตอน 15. มอเตอรป์ ๊ัมนำ้� ฉดี ล้างกระจกจะใช้เมื่อใด ก. ฉดี ลา้ งน�้ำโคลน ข. ฉีดไล่ละอองทมี่ าเกาะกระจก ค. ฉีดล้างคราบฝา้ ง. ถกู ทกุ ข้อ
งานบำ�รุงรกั ษารถยนต์ 61 ตอนที่ 2 จงตอบคำ�ถามต่อไปนี้ 1. การบ�ำรงุ รกั ษาประจ�ำสัปดาห์ แบง่ ออกเป็นส่วนหลกั ๆ ได้กส่ี ่วน อะไรบา้ ง 2. จงอธบิ ายวิธกี ารตรวจสอบการทำ� งานของโชค้ อพั 3. จงอธิบายการท�ำความสะอาดขั้วแบตเตอรโี่ ดยการถอดขัว้ ปลายสาย 4. อธิบายลักษณะการสกึ หรอของยางทม่ี ผี ลมาจากโชค้ อพั เสีย 5. จงอธิบายตรวจการท�ำงานของมอเตอรป์ มั๊ นำ�้ ฉีดล้างกระจก
62 บทที่ 3 การดแู ลรถยนต์ประจำ�สัปดาห์ ใบ3งา.1นท่ี การตรวจสอบระบบจดุ ระเบดิ ปฏบิ ตั งิ านวนั ท่ี ................. เดอื น ................................ พ.ศ. ................................. จดุ ประสงคก์ ารปฏบิ ตั ิ ตรวจสอบและบริการระบบจดุ ระเบิดได้ เครอ่ื งมอื และอปุ กรณ์ 1. รถยนต์ 2. เคร่อื งมือประจำ� ตวั ช่างยนต์ 3. ผา้ เชด็ มือ ความรเู้ บอ้ื งตน้ ระบบจดุ ระเบดิ ประกอบดว้ ย สวติ ซจ์ ดุ ระเบดิ คอยลจ์ ดุ ระเบดิ สายไฟแรงตำ�่ สายไฟแรงสงู จานจา่ ยไฟ และหัวเทียน ส่วนต่าง ๆ เหล่าน้ีประกอบข้ึนเป็นกลไกส�ำหรับท�ำให้เกิดประกายไฟท่ีจังหวะอันเหมาะสม และจดุ ระเบดิ สว่ นผสม (ไอด)ี ระบบจดุ ระเบดิ ไมท่ ำ� งานมกั พบเสมอในเมอ่ื เครอ่ื งยนตข์ ดั ขอ้ ง ถา้ เครื่องยนต์ ไมต่ ดิ เมอื่ มอเตอรส์ ตารต์ หมุนและมีนำ�้ มันเพียงพอ จงตรวจสอบดูระบบจุดระเบดิ ของเครือ่ งยนต์ สวติ ชจ์ ดุ ระเบดิ สายไฟแรงตำ่� สายไฟแรงสงู จานจา่ ยไฟ คอยลจ์ ดุ ระเบดิ หวั เทยี น ระบบจดุ ระเบดิ แบตเตอร่ี
งานบำ�รงุ รกั ษารถยนต์ 63 ก) การตรวจดูหวั เทียนว่ามีประกายไฟหรือไม่ 1. ถอดสายไฟแรงสงู ออกจากหัวเทียน 2. จับสายไฟแรงสูงแลว้ จ่อให้ปลายอยู่ห่างจากเคร่อื งยนต์ ประมาณ 6 - 7 มม. 3. สตาร์ตเคร่ืองยนต์ ถ้ามีประกายไฟกระโดดจากปลายสายไฟไปยังเคร่ืองยนต์แสดงว่า ระบบไฟจุดระเบิดไปยังหัวเทียนเรียบร้อยดี ในกรณีที่เคร่ืองยนต์ไม่ติดเน่ืองมาจากหัวเทียนเอง หรือต้ังจังหวะจดุ ระเบดิ ไมถ่ กู ต้อง วธิ ที ดลองดสู ภาพของประกายไฟแรงสงู ข) การตรวจดูประกายไฟท่ขี ั้วกลางของฝาจานจ่าย จดุ ปลายสายหา่ งจากตวั เครอื่ ง จานจา่ ยไฟ ประมาณ 5 - 6 มม. ตวั เครอื่ ง (ลงดนิ ) สวติ ชไ์ ฟ จดุ ระเบดิ ถอดตรงน้ี คอยลจ์ ดุ ระเบดิ ตอ่ ลงดแนิ บตเตอร่ี 1. ดึงสายไฟแรงสูงท่ีตอ่ จากคอยลม์ ายงั ข้ัวกลางของจานจ่ายไฟใหอ้ อกจากฝาจานจา่ ย 2. จ่อปลายท่ีดึงออกมาใหห้ ่างจากตวั เครอื่ งประมาณ 6 - 7 มม. 3. สตาร์ตเคร่ืองยนต์หรือเปิดฝาจานจ่ายออกและเปิดสวิตช์ไฟเคร่ืองยนต์แล้วใช้มือเข่ีย หน้าทองขาวให้เปดิ - ปดิ
64 บทที่ 3 การดูแลรถยนตป์ ระจำ�สัปดาห์ 4. ถ้ามีประกายไฟโดดข้าม แสดงว่าระบบจุดระเบิดจากส่วนแรกจนกระท่ังถึงข้ัวต่อสายไฟ แรงสงู ทตี่ รงกลางของจานจา่ ยทำ� งานเรยี บรอ้ ยดี ฉะนนั้ ปญั หาอยทู่ ฝ่ี าจานจา่ ยหรอื โรเตอรจ์ านจา่ ยไฟเสยี ถา้ ไม่มีประกายไฟแสดงว่า ข้อบกพรอ่ งอยทู่ ่วี งจรไฟต่ำ� ค) การตรวจฝาจานจา่ ยไฟ รสู ำ� หรบั ใสส่ ายแรงสงู ฝาจานจา่ ยไฟ หวั ขว้ั หวั ขว้ั รบั สายไฟแรงสงู ของฝาครอบจานจา่ ยไฟ 1. ถอดฝาจานจา่ ยไฟออก ตรวจหารอยรา้ วในฝาจานจา่ ยไฟ ถา้ มรี อยรา้ วไฟแรงสงู จะเดนิ ทาง รอยร้าวและไมม่ ไี ฟไปยงั หัวเทียน 2. ถ้ารูส�ำหรบั ใส่สายไฟแรงสูงทฝี่ าจานจ่ายไฟเปน็ สนิมหรือเปน็ รอยไหม้ ให้ใชก้ ระดาษทราย ขัดท�ำความสะอาด 3. ตรวจดูผิวหน้าหัวข้ัวแต่ละช่องของฝาจานจ่าย ถ้าขรุขระและไม่เสมอกันโดยมีเขม่ามาจับ ให้ใช้ไขควงขดู ออก ง) การตรวจโรเตอร์ โรเตอร์ หน้าทองขาว ก ข คอยล์จุดระเบิด จานจ่าย การทดสอบโรเตอร์ รอยแตก ก - ข โลหะสะพานไฟของโรเตอร์
งานบำ�รงุ รักษารถยนต์ 65 1. ดึงสายไฟแรงสูงที่มาจากคอยล์จุดระเบิดออกจากรูกลางของฝาจานจ่าย จ่อปลายสายไฟ แรงสงู หา่ งจากสว่ นท่เี ป็นโลหะของโรเตอรป์ ระมาณ 3 มม. 2. สตารต์ เครอื่ งยนตห์ รอื เปดิ สวติ ชไ์ ฟเครอ่ื งยนต์ แลว้ เปดิ - ปดิ หนา้ ทองขาวซำ้� กนั สองสามครงั้ ถ้ามีประกายไฟระหว่างโรเตอรก์ ับปลายสายไฟแสดงวา่ ฉนวนโรเตอรไ์ ม่ดี ให้เปล่ยี นโรเตอรใ์ หม่ จ) การตรวจไฟแรงตำ�่ ไปยังจานจา่ ยไฟ ข้ัวตอ่ สายไฟแรงตำ�่ เปดิ สวติ ชไ์ ฟ ปดิ สวิตช์ไฟ เคร่ืองยนต์ เคร่อื งยนต์ ถอดที่นี่ ตอ่ สายไฟแรงตำ�่ ทถี่ อดไว้ลงดนิ ถ้าการตรวจประกายไฟที่ขั้วกลางของฝาจานจ่ายไม่มีประกายไฟ แสดงว่า ส่วนหนึ่งส่วนใด ในวงจรไฟต่�ำจากแบตเตอรีไ่ ปลงดินผา่ นสวิตซ์ไฟเครอ่ื งยนต์ คอยลจ์ ดุ ระเบดิ และจานจา่ ย 1. ปิดสวิตชไ์ ฟเครอ่ื งยนต์ ถอดสายไฟแรงตำ่� ทางด้านจานจา่ ยไฟออก 2. เปดิ สวติ ชไ์ ฟเครอื่ งยนตแ์ ละตอ่ สายไฟแรงตำ่� ลงดนิ ถา้ มปี ระกายไฟกระโดดจากปลายสายไฟ ไปยงั ตวั เคร่อื งยนต์ แสดงวา่ วงจรไฟต�่ำ (แบตเตอรี่, สวติ ซไ์ ฟเครอ่ื งยนต,์ คอยล์จดุ ระเบดิ , ข้ัวไฟตำ่� ของ จานจา่ ยไฟ) เรยี บรอ้ ย 3. ถา้ ไมม่ ปี ระกายไฟหมายความวา่ จดุ ใดจดุ หนงึ่ ในวงจรไฟตำ�่ จากแบตเตอรไี่ ปยงั จานจา่ ยไฟ บกพรอ่ ง
66 บทท่ี 3 การดแู ลรถยนตป์ ระจำ�สัปดาห์ ฉ) การตรวจไฟแรงตำ่� ไปยงั คอยล์จดุ ระเบิด ปิดสวิตชไ์ ฟ ถอดสาย เปิดสวติ ช์ไฟ เคร่อื งยนต์ ตรงนี้ เคร่ืองยนต์ ต่อสายไฟแรงต่�ำ ท่ีถอดออกมาลงดนิ 1. ปิดสวิตช์ไฟเครื่องยนต์ ปลดสายไฟแรงต่�ำที่ต่อระหว่างสวิตช์ไฟเครื่องยนต์กับคอยล์ จุดระเบดิ ทางปลายด้านคอยล์ 2. เปิดสวิตช์ไฟเครื่องยนต์และต่อปลายสายที่ปลดไว้ลงดิน ถ้ามีประกายไฟออกมาแสดงว่า สว่ นของวงจรไฟแรงตำ�่ คอื แบตเตอร่ี สวติ ชไ์ ฟเครอื่ งยนต์ ขว้ั ไฟแรงตำ�่ เขา้ คอยลจ์ ดุ ระเบดิ ไมม่ อี ะไรเสยี หาย ดังน้นั จดุ บกพรอ่ งอยทู่ ี่คอยล์จดุ ระเบิด หรอื สายไฟแรงต่�ำจากคอยล์ไปยังจานจ่ายไฟขาด หรือข้ัวไฟตอ่ ไวไ้ ม่แนน่ ช) การตรวจไฟแรงตำ�่ ไปยังสวิตช์ เปิดสวิตชไ์ ฟ ปดิ สวติ ชไ์ ฟ ถอด เคร่อื งยนต์ เครื่องยนต์ ต่อสายไฟแรงต่ำ� ของคอยล์ ลงดนิ โดยใชไ้ ขควง ต่อตรงกบั แบตเตอรี่ 1. เปดิ สวิตช์ไฟเคร่อื งยนต์ 2. ตอ่ สายไฟแรงตำ�่ ของคอยลจ์ ดุ ระเบดิ ไปยงั จานจา่ ยไฟ ใชไ้ ขควงแตะขวั้ ลบของคอยลล์ งแทน่ เคร่ืองยนต์ ถ้ามีประกายไฟคอยล์จุดระเบิดอยู่ในสภาพดีถ้าไม่มีแสดงว่า คอยล์เสียหรือจุดใดจุดหน่ึง จากแบตเตอรี่ สวิตซ์ไฟเครือ่ งยนตไ์ ปยงั ข้วั บวกของคอยล์บกพรอ่ ง
งานบำ�รุงรกั ษารถยนต์ ใช้ได้ 67 ซ) การตรวจหนา้ ทองขาว ตะไบสำ� หรับ แตง่ หน้าทองขาว อยา่ งน้ใี ช้ไมไ่ ด้ การขัดหน้าทองขาว สภาพของหน้าทองขาว ใชไ้ ด้ ใชไ้ มไ่ ด้ ลกั ษณะการสัมผสั ของหน้าทองขาว สภาพของการสัมผสั กนั ของหนา้ ทองขาว 1. เปิดฝาจานจ่ายไฟและดึงโรเตอร์ออกมา ถ้าหน้าทองขาวเปิดท�ำให้มันปิดโดยการหมุน เครือ่ งยนต์ 2. เปดิ สวติ ชไ์ ฟเครอ่ื งยนตแ์ ละใชม้ อื ขยบั หนา้ ทองขาวใหเ้ ปดิ - ปดิ ตรวจดปู ระกายไฟทก่ี ระโดด จากปลายสายไฟแรงสงู ทตี่ ่อมาจากคอยล์ไปยังตวั เคร่ืองยนต์ ถา้ ไม่มีประกายไฟหรอื มเี พยี งออ่ น ๆ และ ใหต้ รวจดปู ระกายไฟทหี่ น้าทองขาว ถ้าไมม่ ปี ระกายไฟแสดงว่า หน้าทองขาวไมด่ ี 3. ตรวจดูผิวหน้าสัมผัสกันของหน้าทองขาว ถ้าหน้าสัมผัสกันไม่เรียบ ปิดสวิตช์เคร่ืองยนต์ และใชต้ ะไบขัดหน้าทองขาว หรือใช้กระดาษทรายขัดให้เรียบ ฌ) การตัง้ หนา้ ทองขาว เดอื ยของกา้ น หนา้ ทองขาว การต้ังหน้าทองขาว ระยะหน้าทองขาว สว่ นยอดของลกู เบ้ียว ก้านหน้า ทองขาว แผน่ วัดระยะหา่ ง ดา้ นท่ีตรึง C BA อยู่กับท่ี สกรูต้งั ระยะ สกรูยึด การต้งั ระยะหนา้ ทองขาว สกรูส�ำหรับ ร่องบาก ปรบั ระยะ
68 บทท่ี 3 การดูแลรถยนต์ประจำ�สปั ดาห์ 1. ถอดฝาจานจ่ายไฟและโรเตอร์เมื่อปิดสวิตช์ไฟเคร่ืองยนต์แล้ว ใช้ประแจหมุนเครื่องยนต์ จนกระทัง่ เดอื ยของก้านหน้าทองขาวขน้ึ ไปอยบู่ นยอดลกู เบ้ยี วของแกนจานจา่ ย 2. ใช้ฟลิ เลอรเ์ กจวดั ระยะห่างหนา้ ทองขาว ถา้ ไมถ่ กู ตอ้ งให้คลายสกรูซึง่ ยดึ กา้ นหน้าทองขาว และปรับหน้าทองขาวใหไ้ ด้ระยะถูกต้อง บนั ทกึ ผลการปฏบิ ตั ิ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................
งานบำ�รุงรกั ษารถยนต์ 69 ใบ3งา.2นท่ี ในสภกกาาวารระลรตอา้ รงบวหเจดมสนิอ้ภเนาบพ�ำ้ าเแแคบรลอ่ืตะรงเอตยบอนรทต่ี �ำ์ งาน ปฏบิ ตั งิ านวนั ท่ี ................. เดอื น ................................ พ.ศ. ................................. จดุ ประสงคก์ ารปฏบิ ตั ิ ให้ทราบและปฏิบัติตามขั้นตอนการตรวจสมรรถภาพแบตเตอรี่และระบบไฟรถยนต์ โดยใช้ มัลติมเิ ตอรไ์ ด้ เครอ่ื งมอื และอปุ กรณ์ 1. มัลตมิ ิเตอร์แบบดิจิทลั ที่มีการ “ปรบั เทียบโวลต์” มาอย่างถกู ตอ้ ง 2. รถยนต์ทดสอบ ความรเู้ บอ้ื งตน้ โดยทั่วไป ระบบไฟรถยนต์ในสภาพสมบูรณ์นั้น จะควบคุมและรักษาระดับของกระแสไฟฟ้า และโวลต์ท�ำงานให้สมดุลและคงท่ีไปตลอด ในขณะที่ใช้ไฟฟ้าในรถยนต์ แบตเตอรี่จะท�ำหน้าท่ี จา่ ยกระแสไฟฟา้ ใหก้ บั ระบบ โดยมอี ลั เทอรเ์ นเตอรอ์ ดั ประจกุ ลบั เขา้ ไปเกบ็ ไวใ้ นแบตเตอร่ี การเสอื่ มสภาพ ของอปุ กรณท์ ง้ั สองจะสง่ ผลตอ่ ระบบไฟฟา้ ในรถยนต์ จงึ ตอ้ งมกี ารตรวจสภาพการทำ� งานใหพ้ รอ้ มอยตู่ ลอดเวลา ขน้ั ตอนการปฏบิ ตั งิ าน 1. เครอ่ื งยนตอ์ ยใู่ นอณุ หภมู ปิ กติ ใชม้ ลั ตมิ เิ ตอรต์ งั้ ยา่ นไฟ DC จบั วดั ทขี่ ว้ั แบตเตอรบ่ี วก/ลบ ดงั รปู ตรวจสอบแรงดนั และอ่านผล
70 บทที่ 3 การดแู ลรถยนตป์ ระจำ�สปั ดาห์ 1.1 ถา้ แรงดันไฟทีไ่ ด้สูงกวา่ 12.5 V ขึ้นไป แสดงว่า แบตเตอรี่มีระดับไฟเต็มความจุ 1.2 ถ้าแรงดันไฟที่ได้มีค่าอยู่ระหว่าง 12.40 ถึง 12.10 V แสดงว่า แบตเตอร่ีค่อนข้างอ่อน ไฟชารจ์ จากไดชารจ์ ท่ีเหมาะสม 1.3 ถา้ แรงดนั ไฟทไี่ ดต้ ำ�่ กวา่ 12.05 V แสดงวา่ แบตเตอรน่ี นั้ เรม่ิ เสอ่ื ม อาจจะไดร้ บั การชารจ์ ไฟ ทไี่ มเ่ หมาะสม 1.4 ถ้าแรงดันไฟท่ีวัดไฟได้ต่�ำกว่า 10.0 V แสดงว่า แบตเตอรี่ลูกน้ันเส่ือมสภาพ ไม่มีโอกาส ชาร์จไฟได้ ท้ังจากไดชาร์จของรถเอง หรือจะท�ำการชาร์จภายนอก ยกเว้น ได้รับการซ่อมบ�ำรุง อาทิ ถ่ายน้�ำกล่ันออก ท�ำความสะอาด ท้ิงไว้ให้แห้งสนิท จากน้ันเติมน�้ำกลั่นใหม่เพ่ือลองชาร์จประจุอีกครั้ง แนะน�ำใหเ้ ปลยี่ นแบตเตอรี่ลกู ใหม่ 2. วดั การทำ� งานของไดชาร์จ โดยท�ำการสตารต์ เครอ่ื งยนต์ ปลอ่ ยให้ทำ� งานในรอบเดนิ เบาปกติ แล้ววัดแรงดนั ไฟทีข่ ั้วแบตเตอรี่ เพื่อสังเกตความสัมพนั ธ์ของไดชารจ์ กบั แบตเตอรี่ ดงั น้ี 2.1 ถา้ วัดไฟไดใ้ นแรงดนั มาตรฐาน 13.80 V ถงึ 14.20 V แสดงวา่ ไดชารจ์ ทำ� งานปกติ 2.2 ถา้ แรงดนั ไฟวดั ไดส้ งู กวา่ 14.40 V แสดงวา่ ไดชารจ์ มคี วามผดิ ปกตจิ ากเรกเู ลเตอรบ์ กพรอ่ ง ไฟชาร์จเกิน ซ่ึงจะทำ� ใหแ้ บตเตอรเ่ี กิดการ “Overcharge” ซ่ึงจะมคี วามเสยี หายในภายหนา้ 2.3 หากแรงดันไฟท่ีวัดได้ต�่ำกว่า 13.60 V แสดงว่า ไดชาร์จมีความผิดปกติจากเรกูเลเตอร์ ส่งผลให้แบตเตอร่ีเกิดการ “Undercharge” ทจี่ ะมคี วามเสยี หายในภายหน้าไดเ้ ชน่ กัน 3. การตรวจสอบทรี่ ะดบั เครื่องยนต์มีสภาพเหมอื นการขบั เคล่อื น โดยเร่งรอบเครื่องใหข้ ้ึนไปอยทู่ ี่ 2,000 ถงึ 2,500 รอบ แล้ววดั ไฟทีข่ วั้ แบตเตอร่ี พร้อมบันทกึ ผล 3.1 ถ้าระบบไฟรถปกติ แรงดนั ไฟจะอยู่ที่ 13.80 V ถงึ 14.20 V 3.2 หากแรงดนั ไฟท่ีวัดได้ มีคา่ สูงกว่า 14.40 V แสดงวา่ ไดชารจ์ ผดิ ปกติ ท�ำให้แบตเตอรถ่ี ูก Overcharge 3.3 ถ้าแรงดันไฟท่ีวัดได้ มีค่าต�่ำกว่า 13.60 V ไดชาร์จมีความผิดปกติ ท�ำให้แบตเตอร่ีถูก Undercharge 4. ตรวจสอบสภาพระบบไฟรถ เมื่อมีการใช้ไฟปกติของระบบไฟรถเอง โดยเร่งรอบเครื่องยนต์ ให้อยู่ท่ี 2,500 รอบ หรือมากกว่า จากนั้นเปิดเคร่ืองปรับอากาศภายใน เปิดไฟหน้าใหญ่ แล้ววัดไฟ ท่ีขั้วแบตเตอร่ี 4.1 กรณีระบบไฟรถปกติ จะมีแรงดันไฟมาตรฐานที่ 13.80 V ถึง 14.20 V 4.2 หากวดั ไฟไดส้ งู กวา่ 14.40 V หรอื วดั ไฟไดต้ ำ�่ กวา่ 13.50 V แสดงวา่ ไดชารจ์ มคี วามผดิ ปกติ ในบางกรณีทว่ี ัดไฟในขัน้ ตอนที่ 3 ไดป้ กติ แต่ในขน้ั ตอนท่ี 4 วัดไฟไดต้ ่�ำกวา่ 13.50 V แสดงว่า ไดชาร์จมีความเสื่อมอยา่ งรนุ แรง หากปลอ่ ยไว้นานวันแบตเตอรีจ่ ะถูกดูดไฟมาใชง้ านจนหมด (แบตเตอรี่ หมดแม้ว่าจะยังขบั รถไดอ้ ยู่)
งานบำ�รงุ รกั ษารถยนต์ 71 5. สตารต์ เครอื่ งยนต์ เรง่ รอบเครอ่ื งไปที่ 2,500 รอบ หรอื มากกวา่ จากนน้ั เปดิ อปุ กรณไ์ ฟฟา้ ในรถ ทกุ อย่าง เชน่ เครือ่ งปรับอากาศในรถ เปดิ ไฟหนา้ ใหญ่ เปิดระบบเสียง จากนน้ั วัดไฟทขี่ ้ัวแบตเตอร่ี และ บันทึกผล 5.1 หากแรงดันไฟที่วัดได้ มีค่าต่�ำกว่า 13.50 V แสดงว่า ระบบอ�ำนวยความสะดวกนั้น กินกำ� ลังไฟของระบบไฟรถมากเกินปกติ หากเปดิ ทุกอย่างไปนาน ๆ แมว้ า่ จะสตารต์ เครือ่ งยนตไ์ วก้ ต็ าม ยงั มโี อกาสท่แี บตเตอร่รี ถจะหมดไฟ หรือคายประจจุ นหมดได้ บนั ทกึ ผลการปฏบิ ตั ิ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................
บทที่ การดูแลรักษา 4 ตามระยะที่ก�ำ หนด จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม (Behavioral Objectives) หลงั จากจบบทเรยี นนแี้ ลว้ นกั ศึกษาจะมีความสามารถดังน้ี 1. อธิบายระบบตา่ ง ๆ ที่ต้องท�ำ การตรวจบริการตามระยะที่กำ�หนด 2. อธบิ ายการบำ�รงุ รักษารถยนต์ในสว่ นต่าง ๆ 3. ปฏิบตั ิการตรวจสภาพและบำ�รงุ รักษารถยนตใ์ นสว่ นต่าง ๆ
บทที่ การดูแลรักษา 4 ตามระยะที่กำ�หนด รถยนต์ เปน็ ยานพาหนะทใ่ี ชข้ นถา่ ยสินคา้ ผลิตภณั ฑ์ และวัตถดุ บิ ต่าง ๆ และเนอื่ งจากรถยนต์ ท�ำงานท่ีความเรว็ สูงและมีภาระทต่ี อ้ งแบกน�ำ้ หนักบรรทุกมาก ดงั นัน้ ถ้ารถยนตไ์ มอ่ ยูใ่ นสภาพพร้อมที่จะ ใชง้ านแลว้ ยอ่ มจะเปน็ ทมี่ าของการเกดิ อบุ ตั เิ หตจุ ากการใชร้ ถใชถ้ นน นนั่ หมายถงึ สถติ ขิ องการสญู เสยี ชวี ติ และทรัพย์สินกจ็ ะสูงขึ้นตามไปด้วย ระบบตา่ ง ๆ ทที่ ำ�การตรวจบริการตามระยะท่ีกำ�หนด รถยนตห์ นงึ่ คนั มอี งคป์ ระกอบของอปุ กรณท์ รี่ วมกนั หลายระบบ ซง่ึ แตล่ ะระบบมคี วามสมั พนั ธก์ นั ในการท�ำงานเพ่ือขับเคลื่อนรถ หยุดรถ และให้รถใช้งานตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น ขนส่งผู้โดยสาร ขนถ่ายผลติ ภัณฑแ์ ละวสั ดุ หรอื วตั ถดุ บิ ต่าง ๆ ดังที่ไดก้ ล่าวมา ระบบต่าง ๆ ท่สี ำ� คญั มดี ังน้ี 1. ตวั ถัง (Body) ตวั ถงั ดงั รปู ท่ี 4.1 เปน็ อปุ กรณท์ ใ่ี หญท่ สี่ ดุ ท�ำหนา้ ทหี่ ลกั ในการตดิ ตงั้ อปุ กรณข์ องระบบตา่ ง ๆ นอกจากน้ี ยังมีห้องโดยสารท�ำหน้าท่ีป้องกันความร้อน ลม ฝน และอุบัติเหตุจากการชนให้บรรเทา ความรุนแรงลงได้ ตัวถงั จึงถูกสร้างข้ึนจากเหล็กประเภทต่าง ๆ ซึ่งมคี วามหนาอยใู่ นเกณฑม์ าตรฐานของ ความปลอดภัย 2. เครอ่ื งยนต์ (Engine) เคร่ืองยนต์ ดังรูปที่ 4.2 ท�ำหน้าที่เป็นตัวผลิตเช้ือตัวต้นก�ำเนิดพลังงานในลักษณะหมุน เพอ่ื สง่ ถา่ ยพลงั งานทไ่ี ปจากการเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลงิ ไปขบั เคลอ่ื นรถ เครอ่ื งยนตร์ ถยนตใ์ นปจั จบุ นั มี 2 ประเภท คอื เครอ่ื งยนต์แกส๊ โซลีน และเครอ่ื งยนตด์ ีเซล รถยนตท์ ุกประเภทเคลือ่ นทไ่ี ม่ไดห้ ากขาดต้นก�ำลงั คือ เคร่ืองยนตช์ �ำรุด ด้วยเหตุน้ี จงึ ต้องมกี ารบ�ำรงุ รกั ษารถยนตใ์ หอ้ ย่ใู นสภาพพรอ้ มท่จี ะใช้งานเสมอ
74 บทท่ี 4 การดูแลรักษาตามระยะที่ก�ำ หนด รปู ท่ี 4.1 สว่ นประกอบของตัวถงั รถยนต์ รูปท่ี 4.2 เคร่อื งยนต์ 3. ระบบสง่ กำ� ลงั (Power Train Systems) ระบบสง่ ก�ำลงั ดงั รปู ที่ 4.3 ท�ำหน้าท่รี ับก�ำลงั และติดก�ำลงั ขับจากเครือ่ งยนตท์ ีส่ ง่ ถ่ายก�ำลงั มาขบั เคลอ่ื นรถยนต์ นอกจากน้ี ระบบสง่ ก�ำลงั ยงั ท�ำหนา้ ทท่ี ดก�ำลงั เพอ่ื ใหไ้ ดเ้ ปรยี บเชงิ กลในการขบั เคล่ือน ของแตล่ ะสภาพความเร็ว ท้งั น้ี เพ่อื การบรรทุกนำ้� หนกั ต่าง ๆ และยงั ท�ำหน้าท่ีเปล่ยี นทศิ ทางการเคล่อื นที่ ของรถยนตค์ อื การเดินหน้าและถอยหลัง
งานบำ�รงุ รกั ษารถยนต์ 75 รูปท่ี 4.3 แสดงอุปกรณ์ในระบบสง่ ก�ำ ลงั 4. ระบบรองรับนำ�้ หนกั (Suspension Systems) ระบบรองรับน้�ำหนัก ดังรูปท่ี 4.4 มีส่วนประกอบของอุปกรณ์ที่ส�ำคัญหลายส่วนร่วมกัน ท�ำงานเพอื่ รองรบั นำ้� หนัก รับแรงกระท�ำในลกั ษณะต่าง ๆ ของรถในสภาพใชง้ าน ชะลอความเร็วหรอื หยุดรถ บังคับทิศทางรถ ลดอาการสั่นสะเทือน และรักษาการทรงตัวของรถเพ่ือให้เกิดความปลอดภัย ในสภาพใชง้ านสงู ท่มี า : www.bmw.avtobazar.ua รูปท่ี 4.4 แสดงอุปกรณข์ องระบบรองรบั น�ำ้ หนกั รถยนต์
76 บทที่ 4 การดูแลรักษาตามระยะท่กี �ำ หนด 5. ระบบไฟฟา้ (Electric Systems) ระบบไฟฟา้ ในรถยนตท์ �ำหน้าทผี่ ลิตกระแสไฟฟา้ กกั เกบ็ พลงั งานไฟฟา้ ส่งจา่ ยกระแสไฟฟา้ ให้อุปกรณ์ของระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ให้เครื่องยนต์เร่ิมติด และท�ำงานได้อย่างต่อเน่ือง ให้แสงสว่าง ส่องทางแกร่ ถยนตใ์ หเ้ หน็ ได้ท้ังในเวลากลางวนั และกลางคนื นอกจากนีย้ ังเปน็ พลังงานทใี่ ช้ควบคมุ ระบบ ไฟสญั ญาณ และอปุ กรณอ์ �ำนวยความสะดวกสบายทเี่ ปน็ อปุ กรณไ์ ฟฟา้ ภายในรถยนตใ์ หแ้ กผ่ ขู้ บั และผโู้ ดยสาร เพ่อื ให้รถยนตใ์ ช้งานไดใ้ นทกุ สภาพของธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ มอยา่ งปลอดภยั แบตเตอร่ี ไฟหนา้ ไดชารจ์ สวติ ชจ์ ดุ ระเบดิ มอเตอรส์ ตารต์ รูปที่ 4.5 แสดงอุปกรณใ์ นระบบไฟฟ้ารถยนต์ ระบบต่าง ๆ ในรถยนต์ทั้ง 5 ระบบดังกล่าวมา เมื่อใช้งานไปนาน ๆ อุปกรณ์ของระบบ ยอ่ มจะมกี ารสกึ หรอ ช�ำรดุ หมดสภาพการใชง้ าน ดว้ ยเหตนุ ี้ จงึ ตอ้ งมกี ารบรกิ ารบ�ำรงุ รกั ษาในระยะตา่ ง ๆ การบำ�รงุ รักษารถยนต์ในส่วนตา่ ง ๆ การบ�ำรุงรกั ษารถยนต์ โดยท่ัวไปใชห้ น่วยก�ำหนดการใช้งาน 2 หนว่ ย คอื 1. หนว่ ยของเวลาการใช้งาน โดยก�ำหนดเปน็ จ�ำนวนเดือน 2. หน่วยของระยะทางการใชง้ าน โดยก�ำหนดเปน็ 2 หน่วยระยะทาง คือ 2.1 หนว่ ยกโิ ลเมตร 2.2 หน่วยไมล์ การบ�ำรุงรกั ษารถยนต์ตามระยะต่าง ๆ มีรายละเอยี ดตามตารางการบ�ำรุงรกั ษา ดังต่อไปนี้
งานบำ�รงุ รกั ษารถยนต์ 77 การตรวจสอบฝาสบู และท่อรว่ ม การตรวจสอบฝาสบู และทอ่ รว่ ม เดอื น 16 20 40 60 X 1,000 กม. 0.6 12 24 36 X 1,000 ไมล์ 1. การตรวจสอบฝาสูบ ฝาสบู ของเครอ่ื งยนตท์ กุ ชนดิ เมอ่ื มกี ารใชง้ านไปนาน ๆ สลกั เกลยี ว (Nut) ฝาสบู อาจเกดิ การ คลายตวั ได้ จงึ ตอ้ งมกี ารบรกิ ารกวดสลกั เกลยี วฝาสบู ใหม่ ซง่ึ ตามปกตแิ ลว้ ถา้ เปน็ รถใหมห่ รอื รถยนตท์ ใ่ี ช้ เคร่ืองยนตแ์ กส๊ โซลีนจะท�ำการกวดสลักเกลียวฝาสูบที่ 1,000 กโิ ลเมตรแรกเทา่ น้นั หลังจากนัน้ ไม่ต้อง ท�ำการกวดสลักเกลยี วอีก ฝาสบู เครอ่ื งยนตด์ เี ซล โดยปกตเิ มอื่ ใชง้ านไปไดต้ ามระยะทางทก่ี �ำหนดจะตอ้ งมกี ารตรวจสอบ สลักเกลียวฝาสูบ ซ่ึงฝาสูบของเคร่ืองยนต์ดีเซลจะท�ำการกวดสลักเกลียวฝาสูบคร้ังแรกท่ีระยะทาง 1,000 กิโลเมตร และครงั้ ต่อ ๆ ไปจะท�ำกวดสลกั เกลยี วทกุ ๆ 20,000 กิโลเมตร ในการกวดสลักเกลียวฝาสบู ท้ังฝาสูบเครือ่ งยนตแ์ กส๊ โซลนี และฝาสูบเคร่ืองยนต์ดเี ซล จะตอ้ ง ปฏิบัตติ ามขั้นตอนอย่างระมัดระวงั ถา้ ไมป่ ฏิบตั ิตามข้นั ตอนแล้ว อาจจะท�ำให้เกิดความเสียหายแกฝ่ าสบู เครอ่ื งยนตไ์ ด้ เปน็ ตน้ วา่ ฝาสบู โกง่ ฝาสบู บดิ เบย้ี ว ฉะนน้ั ในการกวดสลกั เกลยี วฝาสบู นน้ั จะตอ้ งท�ำการกวด สลักเกลยี ว โดยการเริม่ กวดจากตรงกลางฝาสูบ โดยคอ่ ย ๆ กวดสลกั เกลียวไล่ออกไปทงั้ ทางดา้ นซ้าย และดา้ นขวาของฝาสบู ลกั ษณะแบบฟนั ปลาหรอื แบบกน้ หอยกไ็ ด้ โดยใชป้ ระแจวดั แรงบดิ ในการใชป้ ระแจ วัดแรงบิด (Torque Wrench) เวลาขันนั้นให้ถือประแจเข้าหาตัวของผู้ปฏิบัติงานเป็นมุม 90 องศา ดังรูปที่ 4.7 ขันด้วยแรงบดิ ตามขนาดท่ีระบุในค่มู ือประจ�ำรถ 35 9 71 10 6 2 3 7 9 5 14 8 10 8 4 26 รูปท่ี 4.6 แสดงการกวดฝาสบู โดยกวดสลิงเป็นฟันปลาหรอื กน้ หอย
78 บทท่ี 4 การดูแลรกั ษาตามระยะทก่ี �ำ หนด 90° รูปท่ี 4.7 แสดงการกวดสลักเกลยี วยดึ ฝาสูบ 2. การตรวจสอบท่อร่วม การตรวจสอบทอ่ รว่ ม เดอื น 1 20 40 60 X 1,000 กม. 0.6 12 24 36 X 1,000 ไมล์ การตรวจสอบท่อร่วมไอดีและท่อรว่ มไอเสยี ทง้ั เครื่องยนตด์ เี ซลและแกส๊ โซลนี ท่อร่วมไอดี นับว่ามีความส�ำคัญมากส�ำหรับเคร่ืองยนต์ และจะส่งผลถึงประสิทธิภาพการท�ำงานของเครื่องยนต์ด้วย โดยเฉพาะถ้าหากท่อร่วมไอดีมีการร่ัว อากาศภายนอกจะเข้ามาในเคร่ืองยนต์ได้มาก ท�ำให้เครื่องยนต์ เดินไม่เรียบและเกิดการสะดดุ ถา้ ทอ่ รว่ มไอเสยี รว่ั เนอ่ื งจากสลกั เกลยี วไมแ่ นน่ จะท�ำใหเ้ กดิ เสยี งดงั นา่ ร�ำคาญ ดงั นน้ั จงึ จ�ำเปน็ ต้องมีการกวดสลักเกลียวท้ังท่อร่วมไอดีและไอเสีย ดูต�ำแหน่งท่ีท�ำการกวดสลักเกลียวดังรูปที่ 4.8 โดยเครื่องยนต์แก๊สโซลีนจะท�ำการกวดสลักเกลียวท่ี 1,000 กิโลเมตรแรกเท่านั้น ส่วนเคร่ืองยนต์ดีเซล จะกวดสลกั เกลยี วท่อรว่ มท่ี 1,000 กิโลเมตรแรก และทุก ๆ 20,000 กโิ ลเมตร รปู ท่ี 4.8 ต�ำ แหนง่ การกวดสลกั เกลียวยดึ ทอ่ รว่ ม
งานบำ�รุงรกั ษารถยนต์ 79 การตรวจสอบระยะหา่ งลนิ้ การตรวจสอบระยะหา่ งลน้ิ เดอื น 1 20 40 60 80 X 1,000 กม. 0.6 12 24 36 48 X 1,000 ไมล์ เพลาตดิ ต้งั กระเด่อื งกดลิน้ กระเดื่องกดลิ้น ฟลิ เลอร์ เกจ รูปท่ี 4.9 แสดงการตง้ั ล้นิ เครอ่ื งยนตเ์ มอื่ มกี ารใชง้ านไปนาน ๆ การสกึ หรอและคา่ ความคลาดเคลอื่ นกจ็ ะเกดิ ขนึ้ กบั ชน้ิ สว่ น ฉะนนั้ จงึ จ�ำเปน็ ตอ้ งมกี ารปรบั แตง่ แกไ้ ขเพอ่ื ใหม้ คี วามคลาดเคลอ่ื นนอ้ ยทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะท�ำได้ ลน้ิ ของเครื่องยนต์ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีการใช้งานไประยะห่างของช่องว่างของล้ินก็จะเพ่ิมมากข้ึน ถ้าไม่มีการแก้ไข กจ็ ะท�ำใหเ้ กดิ เสยี งดงั ท�ำใหเ้ กดิ ความร�ำคาญแกผ่ ขู้ บั ขี่ และนอกจากนย้ี งั ท�ำใหป้ ระสทิ ธภิ าพในการประจไุ อดี และคายไอเสียของเคร่ืองยนต์ลดลง ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งมกี ารปรบั แตง่ ระยะห่างของช่องวา่ งของลิน้ เพอื่ ใหอ้ ยู่ ในสภาพทใี่ ชง้ านได้ดี ดังรูปท่ี 4.9 โดยใชป้ ระแจแหวนกับฟลิ เลอรเ์ กจ ซึ่งจะท�ำการตรวจสอบระยะห่าง ของล้นิ ครั้งแรกท่ี 1,000 กิโลเมตร และท�ำการตรวจคร้งั ตอ่ ไปทกุ ๆ 20,000 กโิ ลเมตร ระยะห่างช่องว่างของลิ้น ให้ดูจากคู่มือการซ่อมแซมของเคร่ืองยนต์แต่ละรุ่น โดยที่ล้ินไอเสีย จะมชี ่องว่างมากกว่าลิน้ ไอดี หรืออาจจะเทา่ กนั ท้ังลิ้นไอดแี ละลนิ้ ไอเสยี
80 บทท่ี 4 การดูแลรกั ษาตามระยะท่กี �ำ หนด สายพาน สายพาน เดอื น 1 20 40 60 X 1,000 กม. 0.6 12 24 36 X 1,000 ไมล์ รอกหมนุ อลั เทอรเ์ นเตอร์ รอกหมนุ พวงมาลยั เพาเวอร์ รอกหมนุ พดั ลมปม๊ั นำ้� รอกหมนุ คอมเพรสเซอร์ รอกหมนุ พดั ลมปม๊ั นำ้� รอกหมนุ อลั เทอรเ์ นเตอร์ รอกหมนุ เพลาขอ้ เหวย่ี ง สายพาน รอกหมนุ เพลาขอ้ เหวย่ี ง รูปที่ 4.10 แสดงสายพานสง่ กำ�ลังขบั ส�ำ หรับเครื่องยนต์ ในรถยนต์ท่วั ๆ ไป จะมีระบบตา่ ง ๆ ทชี่ ว่ ยให้รถยนตท์ �ำงานไดม้ ปี ระสิทธิภาพ คอื ระบบระบาย ความรอ้ น ระบบไฟชารจ์ และระบบปรบั อากาศ ซง่ึ ระบบตา่ ง ๆ เหลา่ นจ้ี ะใชส้ ายพานเปน็ ตวั รบั ก�ำลงั จาก เครอ่ื งยนต์ เพอ่ื มาหมนุ ปม๊ั นำ้� ในระบบระบายความรอ้ น หมนุ ไดชารจ์ (Alternator) เพอื่ ใหผ้ ลติ กระแสไฟฟา้ ในระบบไฟชารจ์ และหมนุ คอมเพรสเซอรใ์ นระบบปรบั อากาศในรถยนต์ ดงั รปู ที่ 4.10 ฉะนน้ั จงึ จ�ำเปน็ ตอ้ ง ดแู ลและตรวจสอบสภาพของสายพานอยู่เสมอ โดยปกตจิ ะมกี ารตรวจสอบที่ 1,000 กโิ ลเมตรแรก และ คร้งั ต่อไปท่ี 20,000 กโิ ลเมตร ถา้ พบวา่ สายพานแตกหรือฉีกขาดใหท้ �ำการเปลย่ี นใหมใ่ หอ้ ยู่ในสภาพดี ใชง้ านได้ หรือถา้ พบวา่ สายพานหยอ่ นใหท้ �ำการปรบั ตั้งให้มีค่าความตงึ ไดต้ ามก�ำหนด โดยปกติสายพาน ทว่ั ๆ ไปทกุ ชนดิ ในรถยนต์ จะมคี า่ ก�ำหนดไว้ เมอื่ ตง้ั สายพานเสรจ็ แลว้ ใหก้ ดสายพานเพอ่ื ตรวจสอบความตงึ ดังรปู ที่ 4.11 โดยท่ัวไป ใหส้ ายพานหย่อนได้ไม่เกินความหนาของสายพาน หรอื ตามคู่มอื ของเครอ่ื งยนต์ แตล่ ะรุ่น สามารถใช้เครื่องมือในการทดสอบความตงึ ของสายพานได้
งานบำ�รุงรักษารถยนต์ 81 เกจวดั ความตงึ รปู ที่ 4.11 การวดั ความตงึ ของสายพาน สายพานไทม์ม่ิง เดอื น 1 20 40 60 X 1,000 กม. 0.6 12 24 36 สายพานไทมม์ ง่ิ X 1,000 ไมล์ ในรถยนตร์ ่นุ ใหม่ ๆ เคร่ืองยนต์จะใชร้ ะบบเพลาลูกเบยี้ ววางอยู่บนฝาสูบ อาจจะเปน็ แบบเพลา ลกู เบย้ี วเดยี่ ว (SOHC) หรอื เพลาลกู เบย้ี วคู่ (DOHC หรอื Twin Camshaft) กต็ าม ลกู เบย้ี วจะรบั ก�ำลงั มาจาก เพลาข้อเหวี่ยง เพื่อใช้ในการเปิดลิ้นโดยใช้สายพาน เคร่ืองยนต์บางชนิดเลือกท่ีจะใช้สายพานราวล้ิน แทนโซ่ราวล้ินเพราะจะมีเสียงเงียบกว่า ซ่ึงเคร่ืองยนต์ที่ใช้สายพานราวล้ินจะต้องมีการดูแลและเปลี่ยน ตามระยะเวลาท่ีก�ำหนด (เครื่องยนตท์ ี่ใชโ้ ซร่ าวลนิ้ จะตัง้ ระยะเองอตั โนมตั ิ โดยจะเปลย่ี นโซ่เมอ่ื ถึงอายุที่ ก�ำหนด) หากไมม่ กี ารบ�ำรงุ รักษาและเปลย่ี นตามก�ำหนดแลว้ ถา้ สายพานขาดหรอื สายพานลน่ื จะท�ำให้ เกิดความเสียหายแก่เครื่องยนต์ โดยจะท�ำให้หัวลูกสูบทะลุและล้ินคดงอได้ เนื่องจากว่า ล้ินและลูกสูบ กระแทกกันเพราะจังหวะการเปิดและปิดของลนิ้ ผิดไป ดังนั้น จึงควรจะท�ำการเปลี่ยนสายพานราวลิ้นทุก ๆ 100,000 กิโลเมตร ท้ังน้ีเพ่ือป้องกัน การเสียหายที่จะเกิดขึ้น ในการถอดเปล่ียนสายพานนั้น มีข้อควรระวังท่ีควรทราบ คือ ก่อนถอด ให้หมุนเพลาข้อเหว่ียง ให้สูบหนึ่งอยู่ในต�ำแหน่งอัดสุด โดยให้สังเกตต�ำแหน่งเครื่องหมาย (Mark) ท่ีเฟืองและพูลเลอร์ใน ต�ำแหนง่ ทีต่ รงกันก่อนถอด ดังรูปท่ี 4.12 และจดจ�ำหรือเขียนต�ำแหน่งจุดเคร่อื งหมายทบี่ รษิ ทั ก�ำหนดไว้ ในสมุด ท้ังนีเ้ พ่ือให้สะดวกแกก่ ารประกอบ
82 บทท่ี 4 การดแู ลรักษาตามระยะทก่ี �ำ หนด คสลรอกั บเกสลายี ยวพยาดึ นฝา เครอ่ื งหมายอา้ งองิ ทศิ ทางการหมนุ เกค�ำ รหอ่ื นงดหเมวาลยา อเคา้ รงอ่ืองงิ หมาย จดุ FRFR ทเคศิ รหอ่ื นงหา้ เมคารยอ่ื บงอก อเคา้ รงอ่ืองงิ หมาย รูปที่ 4.12 แสดงการหมนุ ข้อเหวยี่ งใหต้ �ำ แหนง่ เคร่อื งหมายตรงกนั ส�ำหรบั การบ�ำรงุ รกั ษาสายพานไทมม์ งิ่ น้ี ไมต่ อ้ งลา้ งท�ำความสะอาดไมว่ า่ ดว้ ยนำ้� หรอื นำ้� มนั เพราะ จะท�ำให้อายุการใช้งานส้ัน นอกจากน้ี ไม่ควรตรวจสภาพการใช้งานโดยโก่งงอ หรือหงายสายพาน เป็นเดด็ ขาด เพราะอาจท�ำให้สายพานเสยี หาย การตรวจเปลี่ยนน้�ำมันเครื่อง 3 6 12 15 18 5 10 15 20 25 เดอื น 3 6 9 12 15 การตรวจเปลย่ี นนำ้� มนั เครอ่ื ง X 1,000 กม. X 1,000 ไมล์ น้�ำมันเครื่องนับว่ามีความส�ำคัญต่อการท�ำงานของเคร่ืองยนต์อย่างมาก เพราะเป็นตัวช่วยลด การสึกหรอ ลดเสียง ท�ำความสะอาด ระบายความรอ้ น และเปน็ ตวั กนั รวั่ เปน็ ตน้ จากหน้าทสี่ �ำคญั ของ น�้ำมันเครือ่ งดงั ท่ไี ด้กล่าวนนั้ จงึ ต้องมกี ารตรวจดูปริมาณนำ�้ มันเคร่อื ง โดยเครอ่ื งยนตท์ กุ เครอ่ื งจะมีเหล็ก ชกั ระดับน�ำ้ มัน ซงึ่ ควรตรวจวัด ถา้ พรอ่ งตำ่� กค็ วรเตมิ ใหไ้ ดร้ ะดบั ทถี่ กู ต้อง ดังทไ่ี ดก้ ลา่ วไปแลว้ ในบทที่ 2 นอกจากน้ี จะต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้�ำมันเคร่ืองทุก ๆ 5,000 กิโลเมตร (เป็นค่าก�ำหนดของ การเปล่ียนถ่ายน�ำ้ มันเครอื่ งของประเทศที่เปน็ เมอื งหนาว) แต่ส�ำหรบั บ้านเรานน้ั เป็นเมืองร้อนฝุ่นมาก และความชน้ื สงู ฉะน้ัน อายกุ ารเปลยี่ นถา่ ยน้ำ� มนั เคร่ืองควรอยู่ท่ปี ระมาณ 4,000 กิโลเมตร แต่ปัจจุบนั เทคโนโลยีของน�้ำมันเคร่อื งได้พัฒนาให้มีอายกุ ารใช้งานต้งั แต่ 7,000 - 10,000 กโิ ลเมตรทีเดียว
งานบำ�รงุ รักษารถยนต์ 83 1. การเปล่ียนน้�ำมนั เคร่อื ง มขี ้นั ตอนดงั ตอ่ ไปนี้ 1.1 ติดเครอ่ื ง อนุ่ เครอ่ื งให้ถงึ อุณหภูมทิ �ำงาน 1.2 ถา่ ยนำ�้ มนั เกา่ ออก ดงั รปู ที่ 4.13 โดยถอดจกุ เกลยี วนำ้� มนั เครอ่ื งออก ปลอ่ ยใหน้ ำ้� มนั เครอ่ื งเกา่ ไหลลงภาชนะรองรับจนหมด ใสจ่ กุ เกลยี วกลับไปที่เดิม 1.3 เตมิ น้ำ� มนั เคร่อื งใหม่ให้ไดร้ ะดับ F ที่ก้านเหล็กวดั น�้ำมันเคร่อื ง ทมี่ า : www.4x4.in.th รูปท่ี 4.13 แสดงการถา่ ยนำ้� มนั เคร่อื ง หมายเหตุ ปริมาณน้�ำมันเครื่องที่ใช้เติมในเคร่ืองยนต์ของแต่ละสูบจะไม่เท่ากัน โดยต้องดูจาก ค่าก�ำหนดของบรษิ ัท 2. การเปล่ียนกรองนำ�้ มันเครอื่ ง เดอื น 6 12 18 24 การตรวจเปลย่ี นกรองนำ้� มนั เครอื่ ง X 1,000 กม. 10 20 30 40 X 1,000 ไมล์ 6 12 18 24 ควรเปล่ียนกรองน�้ำมันเคร่ืองทุกคร้ังท่ีท�ำการเปลี่ยนน้�ำมันเคร่ือง อนุโลมให้เปลี่ยนกรอง น้ำ� มนั เครอื่ ง 1 ครงั้ ทุก ๆ การเปล่ียนนำ้� มันเคร่อื ง 2 ครง้ั วิธีการเปล่ียนกรองน�้ำมันเคร่ือง ให้ใช้เคร่ืองมือถอดกรองน�้ำมันเครื่องออก ดังรูปท่ี 4.14 แต่ถ้าไมม่ เี ครื่องมอื ให้ใช้ไขควงหรอื สกัดตอกสง่ แล้วหมนุ เอากรองออกดงั รูปท่ี 4.15 ในการประกอบ กรองนำ้� มนั เคร่อื งช้ินใหม่ ให้ใช้น�้ำมนั เคร่อื งหรือจาระบีทาที่วงแหวนยางกนั ร่วั กอ่ น ดงั รูปท่ี 4.16
84 บทที่ 4 การดูแลรักษาตามระยะท่กี �ำ หนด หมอ้ กรอง ประแจถอดกรอง หมอ้ กรอง หมอ้ กรอง ดา้ มขนั ปรบั ทางหมนุ สปรงิ หมอ้ กรอง หมอ้ กรอง ดา้ มจบั ประแจปากตาย คมี โซ่ รูปที่ 4.14 แสดงการใชเ้ ครอ่ื งมือถอดกรองนำ�้ มนั เครอ่ื งออก การถอดกรองโดยการตอกออก การประกอบกรองนำ�้ มนั เครอื่ งใหม่ หมอ้ กรอง คอ้ น สกดั หมอ้ กรอง หนา้ แปลนยดึ ของเครอ่ื งยนต์ สลกั เกลยี วยดึ ไขควง รูปท่ี 4.15 การถอดกรองนำ้� มนั เครอ่ื งดว้ ยไขควงหรือสกัด
งานบำ�รงุ รกั ษารถยนต์ 85 ใช้มือประกอบกรองเข้าที่ให้กรองแน่นด้วยมือเปล่าให้แน่นท่ีสุด จากน้ันสตาร์ตเครื่องทิ้งไว้ ประมาณ 5 นาที แลว้ ตรวจดรู อยรั่วหยดของนำ้� มนั เคร่ืองที่กรอง ถ้ารัว่ ให้กวดอดั กรองเขา้ ไปอกี จนไมร่ ั่ว รปู ที่ 4.16 แสดงการท�ำความสะอาดแป้นยึดกรอง และการทาน้�ำมนั เครอ่ื งท่ีวงแหวนยางกันรั่ว การตรวจท่อยางและขอ้ ต่อทอ่ น�้ำระบายความร้อน เดอื น 6 12 18 24 30 การตรวจทอ่ ยางและขอ้ ตอ่ ทอ่ นำ้� ระบายความรอ้ น X 1,000 กม. 10 20 30 40 50 6 12 18 24 30 X 1,000 ไมล์ ระบบหล่อเย็นเป็นระบบที่ส�ำคัญระบบหน่ึงของเคร่ืองยนต์รถยนต์ เนื่องจากมีอุปกรณ์ในระบบ หลายอยา่ ง แต่มีส่วนหนึง่ ท่ีเปน็ จุดออ่ นทีส่ ดุ ทีจ่ ะต้องการตรวจทุก ๆ 20,000 กิโลเมตร อปุ กรณส์ ิง่ น้นั คือ ทอ่ ระบายความร้อน โดยตอ้ งมีการตรวจดังตอ่ ไปน้ี 1. ตรวจรอยบวม 2. ตรวจรอยแตกร้าวและรั่ว 3. ตรวจความน่มิ หมดสภาพจนลีบแบน ถ้าตรวจพบรอยเสียหายดงั กล่าวจะต้องเปล่ียนท่อยางเสน้ ใหม่ ดังรูปที่ 4.17
86 บทท่ี 4 การดูแลรกั ษาตามระยะทก่ี �ำ หนด รอยปรแิ ตกบนทอ่ นำ้� การถอดประกอบทอ่ นำ้� รปู ท่ี 4.17 ความเสยี หายและการถอดประกอบท่อน�้ำ การตรวจทอ่ สญุ ญากาศ การตรวจทอ่ สญุ ญากาศ เดอื น 6 12 18 24 30 X 1,000 กม. 10 20 30 40 50 X 1,000 ไมล์ 6 12 18 24 30 ทอ่ สญุ ญากาศนบั วา่ มคี วามส�ำคญั กบั เครอื่ งยนตข์ องรถยนตใ์ นปจั จบุ นั นอ้ี ยา่ งมาก เพราะหลายระบบ ในรถยนต์น�ำสุญญากาศมาช่วยในการท�ำงาน เช่น เครื่องเร่งองศาไฟจุดระเบิด (Vacuum Advance) ดังรูปท่ี 4.18 (ก) ระบบเบรก กลไกควบคุมรอบเครื่องเมื่อเปิดเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ด้วยเหตุน้ี จงึ จ�ำเปน็ ต้องตรวจสภาพทอ่ ยางสญุ ญากาศวา่ บวม แตก รา้ ว หรือหลุดจากรูเสยี บต่าง ๆ หรือไม่ ถา้ พบ จะต้องแกไ้ ขโดยการเสยี บเข้าทเ่ี ดมิ หรอื เปลย่ี นใหม่ถา้ เสียสภาพ ควบคุมสุญญากาศ ท่อยางไปยงั เกจ จานจ่าย คาร์บูเรเตอร์ ท่อยาง สุญญากาศ ยาว 8 ฟตุ สว่ นสวมตอ่ ตัดปลายท่อ ทอ่ ควบคมุ สญุ ญากาศ ตัดดว้ ยกรรไกร ท่อสญุ ญากาศ ยาว 3 นว้ิ ระบบควบคุมสญุ ญากาศ (ข) ท่อสุญญากาศ (ก) รูปที่ 4.18 แสดงท่อสุญญากาศเขา้ เคร่อื งเรง่ องศาจดุ ระเบิดและการตดั รอยเสยี หายทางด้านปลายท่อออก
งานบำ�รุงรกั ษารถยนต์ 87 ส�ำหรับรอยแตกรา้ วหรอื หลวมน้นั ถา้ พบรอยร่ัวทด่ี า้ นปลาย ให้ตดั ปลายท่อทีม่ ีรอยเสยี หายออก แล้วประกอบท่อเข้าท่ีเดิมให้กระชับ ดังรูปที่ 4.18 (ข) ส�ำหรับท่อสุญญากาศของหม้อลมเบรกตัดวงจร กเ็ ชน่ กนั ถา้ พบวา่ บวมควรจะตอ้ งเปลยี่ นใหมท่ นั ที เพราะจะเปน็ สาเหตขุ องการเกดิ อบุ ตั เิ หตบุ นทอ้ งถนนได้ ระบบไอเสยี 12 24 36 48 20 40 60 80 เดอื น 12 24 36 48 ทอ่ ไอเสยี และหยู ดึ ทอ่ ไอเสยี X 1,000 กม. X 1,000 ไมล์ ระบบไอเสียมีอุปกรณ์ในระบบหลายชิ้น ได้แก่ ท่อร่วมไอเสีย ท่อไอเสีย ท่อพัก ไอเสีย ปลายท่อไอเสีย และอปุ กรณ์จับยดึ ท่อไอเสีย ดงั รปู ท่ี 4.19 ปลายท่อไอเสยี ท่อร่วมไอเสยี ท่อหนา้ : ทอ่ ส่งไอเสีย หม้อพัก : กระบอกลดเสียง หมอ้ ปรงุ : กระบอกปรบั ความถีเ่ สยี ง หมอ้ กรอง : เครือ่ งฟอกไอเสีย รปู ที่ 4.19 แสดงอปุ กรณ์ในระบบไอเสยี ระบบไอเสียถ้าเกิดช�ำรุด เช่น บุบ ผุ แตก ดังรูปที่ 4.20 จะมีผลต่อเคร่ืองยนต์และท�ำให้ เกดิ เสยี งรบกวน ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งมกี ารตรวจสภาพการท�ำงานของอปุ กรณใ์ นระบบทกุ ๆ 80,000 กโิ ลเมตร ดังน้ี
88 บทท่ี 4 การดูแลรกั ษาตามระยะท่กี �ำ หนด ท่อผุ แตกหกั ยางหอ้ ยท่อเส่ือมสภาพ รูปที่ 4.20 ลักษณะท่อไอเสียท่เี สียหาย 1. ตรวจรอยแบนและยบุ ของทอ่ ไอเสยี เพราะจะท�ำใหไ้ อเสยี ถา่ ยเทไมส่ ะดวก ดงั นัน้ ถ้าพบว่า ถูกกระแทกจนยบุ แบนจะตอ้ งน�ำรถยนต์เข้ารบั บรกิ ารทอ่ ใหม่ 2. ตรวจดูยางห้อยท่อไอเสียว่าฉีกขาดหรือไม่ ถ้าพบว่าฉีกขาดจะต้องเปล่ียนใหม่ มิฉะน้ัน จะท�ำให้ท่อไอเสียสั่นมากและแกวง่ ไปเคาะกับตวั ถังท�ำใหเ้ กดิ ความร�ำคาญได้ 3. ตรวจทอ่ และทอ่ พกั วา่ เปน็ สนมิ หรอื ไม่ โดยใชป้ ระแจเคาะทบี่ รเิ วณดงั กลา่ ว ถา้ พบวา่ เสยี งเคาะ ผิดปกติ ไม่แน่น แสดงว่าเป็นสนิมภายในจะทะลุ หรือพอเคาะเหล็กท่อยุบทะลุแสดงว่า ท่อหมดสภาพ ควรเปล่ียนใหม่ 4. ตรวจสภาพการแกวง่ ของทอ่ ไอเสยี โดยการจบั หมอ้ พกั เสยี งขยบั และผลกั ใหส้ นั่ เพอ่ื ตรวจดวู า่ ขยบั ตัวไดม้ ากหรอื ไม่ ถา้ พบวา่ ขยบั ไดม้ ากจะท�ำใหท้ ่อไอเสียแกวง่ กระทบกบั ตวั ถัง ใหแ้ ก้ไขโดยการตรวจ ตวั ยดึ ว่าแนน่ หนาหรือไม่ การตรวจแบตเตอรี่ เดอื น 3 6 9 12 การตรวจแบตเตอร่ี X 1,000 กม. 5 10 18 20 X 1,000 ไมล์ 3 6 9 12 เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์ช้ินหนึ่งท่ีท�ำหน้าท่ีเก็บกระแสไฟฟ้าไว้ในตัวของมันในลักษณะ พลงั งานเคมี และท�ำปฏกิ ริ ยิ าเปลย่ี นออกมาเปน็ กระแสไฟฟา้ เมอื่ วงจรไฟฟา้ วงจรหนงึ่ วงจรใดตอ้ งการใชง้ าน ในขณะท่ีเครือ่ งยนตไ์ มท่ �ำงานขณะสตาร์ต
งานบำ�รุงรกั ษารถยนต์ 89 แบตเตอร่ีน้ันปกติต้องมีการดูแลรักษาท่ัว ๆ ไปสัปดาห์ละครั้ง แต่เม่ือเราใช้งานครบทุก 5,000 กโิ ลเมตร จะต้องมกี ารตรวจสภาพการใช้งานดังนี้ 1. ตรวจความถว่ งจำ� เพาะของนำ�้ ยาแบตเตอรี่ ซง่ึ ปกตจิ ะมคี วามถว่ งจ�ำเพาะตงั้ แต่ 1,250 ขน้ึ ไป ดังรปู ที่ 4.21 ไฮโดรมเิ ตอร์ ตาแมว สีเขียวไฟเต็ม สีเหลืองเปลีย่ นใหม่ ไฮโดรมเิ ตอร์ ลกู บอลสเี ขยี เวขียวเข้มนำ�ไปชารจ์ แบบตดิ ตั้งสำ�เรจ็ ทอ่ พลาสติก รปู ที่ 4.21 แสดงการใชไ้ ฮโดรมเิ ตอรข์ ีดความถว่ งจ�ำเพาะของน�ำ้ ยา 2. ตรวจแรงเคลื่อน (โวลต์) ไฟฟ้าในหม้อแบตเตอรี่ว่ามีก่ีโวลต์และทดลองสตาร์ตรถ โดยแรงเคลอื่ นไฟฟา้ จะต้องไมต่ ่�ำกว่า 9.6 โวลต์ ดงั รูปที่ 4.22 (ก) 3. ตรวจกระแสไฟทีป่ ระจุเขา้ แบตเตอรี่ ดงั รูปที่ 4.22 (ข) ว่ามีประจุกโ่ี วลต์ ปกตไิ มค่ วรต่�ำกว่า 13 โวลต์ และสูงกว่า 15 โวลต์ เพราะการที่มีประจุมากหรือน้อยเกนิ ไปจะมผี ลเสยี ตอ่ อายุการใชง้ านของ แบตเตอร่ี โวลต์มเิ ตอร์ โวลตม์ ิเตอร์ (ก) การทดสอบประจุของแบตเตอร่ี (ข) ตรวจการกินกระแสขณะสตารต์ รปู ท่ี 4.22 แสดงการตรวจแรงเคลื่อนแบตเตอรเ่ี ม่อื สตาร์ตและการตรวจไฟท่ปี ระจุเขา้ แบตเตอร่ี
90 บทที่ 4 การดแู ลรักษาตามระยะที่ก�ำ หนด 4. ตรวจเหล็กยดึ แบตเตอรี่ว่าแนน่ หรือไม่ ดงั รปู ที่ 4.23 เหลก็ ยึดด้านล่าง เหลก็ ยดึ ดา้ นบน เหล็กยึด ขว้ั แบตเตอรี่ รปู ท่ี 4.23 แสดงเหลก็ ยึดแบตเตอรี่ 5. การทำ� ความสะอาดขวั้ ถา้ พบวา่ ขว้ั แบตเตอรเ่ี กดิ ขเี้ กลอื เกาะตอ้ งท�ำความสะอาด โดยราดนำ�้ รอ้ น และขัดดว้ ยเคร่อื งมือหรือกระดาษทรายดังรปู ท่ี 4.24 รูปท่ี 4.24 แสดงการทำ�ความสะอาดขว้ั แบตเตอร่ี การตรวจระบบไฟแสงสว่างและไฟสัญญาณประจำ� สปั ดาห์ ในการขับขี่รถยนต์ ไมว่ า่ จะเป็นในเวลากลางวันหรอื กลางคนื ระบบไฟแสงสว่างและไฟสญั ญาณ เปน็ สิง่ จ�ำเป็นอยา่ งมาก ซ่ึงสว่ นใหญจ่ ะปรากฏให้ทราบบนแผงหนา้ ปดั รถยนต์ ดังรปู ที่ 4.25 เพราะระบบ ดงั กลา่ วจะชว่ ยลดอุบัตเิ หตุทีอ่ าจเกดิ ขน้ึ ได้จากการมองทศั นวสิ ยั ขา้ งหน้าในระหวา่ งขบั ข่ไี มช่ ัดเจน หรอื ถกู รถคนั ทวี่ งิ่ ตามมาชน เพราะไมม่ ไี ฟสญั ญาณบอกใหผ้ ขู้ บั ขรี่ ถคนั ทตี่ ามมาทราบวา่ รถคนั หนา้ จะเลย้ี ว เบรก หรือจอดอยู่
งานบำ�รงุ รักษารถยนต์ 91 รูปท่ี 4.25 แสดงระบบไฟสญั ญาณ การท่ีระบบแสงสวา่ งและไฟสัญญาณใช้งานไม่ไดต้ ามปกติ อาจมสี าเหตมุ าจากอปุ กรณ์ในระบบ ขั้วหลอดไฟหรือไสห้ ลอดขาด สาเหตทุ ีท่ �ำใหไ้ สห้ ลอดไฟขาดน้นั มดี งั น้ี คอื 1. ไสห้ ลอดหมดอายุ 2. ไดร้ บั แรงกระแทกหรือการสน่ั สะเทอื นอยา่ งแรง 3. ใชห้ ลอดไม่เหมาะสมกับแรงเคล่อื นไฟฟ้าหรอื แรงเคล่อื นไฟฟา้ เกิน ท้งั นเี้ กิดจากการผิดปกติ ของระบบอัดประจุ ดงั นนั้ เพอื่ ความปลอดภยั ในการขบั ขร่ี ถจงึ ควรตรวจระบบไฟแสงสวา่ งและไฟสญั ญาณเปน็ ประจ�ำ ทกุ ๆ สปั ดาห์ ดงั น้ี 1. ระบบไฟสอ่ งสว่าง ตรวจดูไฟต�่ำและไฟสูงของไฟใหญ่ว่าหลอดไฟติดครบหรือไม่ ถ้าไม่ครบให้ท�ำการตรวจซ่อม ถ้าหลอดไฟขาดใหเ้ ปลยี่ นหลอดใหม่ ตรวจดูล�ำแสงของไฟใหญท่ ส่ี ่องออกไปว่าสงู ต่�ำ ออกซา้ ย หรือขวา หรอื ไม่ ถ้าไม่พอดใี หป้ รับตง้ั ใหม่ และตรวจดูไฟขอทางใหอ้ ยู่ในสภาพทที่ �ำงานได้เปน็ ปกติเสมอ 2. ระบบไฟสัญญาณ 2.1 ไฟหร่ีและไฟจอด ไฟหรี่และไฟจอดจะอยู่บริเวณด้านหน้าและท้ายของรถ มีลักษณะ เปน็ ไฟทไี่ มส่ วา่ งมากนกั เปน็ สญั ญาณเตอื นใหร้ ถทว่ี ง่ิ ตามหลงั หรอื สวนมาในเวลากลางคนื ทราบวา่ มรี ถวง่ิ อยขู่ า้ งหนา้ หรอื จอดอยู่ การตรวจใหก้ ดสวติ ชไ์ ฟหรี่ แลว้ ตรวจดวู า่ หลอดไฟดา้ นหนา้ และหลงั ตดิ ครบหรอื ไม่ ถ้าไม่ครบให้ท�ำการตรวจซ่อม หรือถา้ พบวา่ หลอดขาดตอ้ งเปล่ยี นใหม่ 2.2 ไฟเบรก ไฟเบรกเปน็ ไฟสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขีร่ ถตามมาดา้ นหลังทราบวา่ รถคนั หนา้ ก�ำลังชะลอความเร็วหรือจะหยดุ จอด ไฟสญั ญาณเป็นไฟสแี ดงสว่างจ้าบริเวณทา้ ยรถทั้งสองข้าง เมอ่ื เปิด
92 บทที่ 4 การดูแลรกั ษาตามระยะท่กี �ำ หนด ไฟหรแ่ี ลว้ เหยยี บเบรก แสงของไฟเบรกจะสวา่ งมากกวา่ แสงของไฟหรี่ การตรวจใหแ้ ตะเบรกเบา ๆ แลว้ ดวู า่ ไฟติดหรือไม่ ถ้าไม่ติดต้องตรวจซ่อมแก้ไข หรือถ้าหลอดขาดจะต้องเปล่ียนใหม่ (ส่วนมากหลอดไฟหร่ี และหลอดไฟเบรกจะเป็นหลอดเดยี วกันโดยไส้หลอดจะแบ่งออกเป็นสองไส้) 2.3 ไฟเลีย้ ว เป็นสญั ญาณไฟกะพริบสีเหลืองหรือแดง อยู่บรเิ วณดา้ นหนา้ และทา้ ยของรถ เพื่อต้องการให้รถที่ว่ิงสวนทาง หรือรถที่ว่ิงตามมาด้านหลังเห็นได้ชัดเจน ไฟเลี้ยวจะใช้เม่ือต้องการ จะเปลี่ยนช่องทางเดินรถ เลย้ี วซา้ ยหรอื เลีย้ วขวา ตามกฎหมายจะก�ำหนดใหเ้ ปดิ สญั ญาณไฟเล้ยี วกอ่ นถงึ ทางทีจ่ ะเลีย้ วเปน็ ระยะทางไม่ต่�ำกว่า 30 เมตร ถ้าไม่ใหส้ ัญญาณไฟเล้ียวหรอื ไฟเลย้ี วช�ำรุด ก็อาจะเกิด อุบตั ิเหตขุ ึ้นได้ ดังนั้น จงึ ควรตรวจสอบสัญญาณไฟเลย้ี วดูว่ายังใช้งานไดด้ ตี ามปกตหิ รือไม่ ถ้าพบวา่ บกพร่อง ตอ้ งท�ำการแกไ้ ข ถ้าหลอดขาดต้องเปลย่ี นใหม่ ถา้ ใช้ก�ำลงั สอ่ งสว่างของหลอดไฟเล้ยี วนอ้ ยกวา่ ปกติ หรือ หลอดไฟเลยี้ วขาดดา้ นใดดา้ นหนงึ่ จงั หวะการกะพรบิ ของไฟเลยี้ วจะผดิ ปกตไิ ป คอื อาจชา้ หรอื เรว็ กวา่ เดมิ หรอื จังหวะการกะพรบิ ดา้ นซ้ายและขวาจะไมเ่ ทา่ กัน 2.4 ไฟฉกุ เฉิน เปน็ สญั ญาณไฟสีเหลอื งหรือแดง กะพริบพรอ้ มกนั ทงั้ ด้านหน้า - หลัง และ ซ้าย - ขวา ปกติแล้วจะเปิดชุดเดียวกันกับไฟเล้ียวแต่จะมีสวิตช์แยกต่างหาก โดยท่ีสวิตช์จะมีสัญลักษณ์ เปน็ รปู สามเหล่ียมหรือเขียนดว้ ยภาษาองั กฤษว่า Hazard หวั เทียน การตรวจบรกิ ารหวั เทยี น เดอื น 6 12 18 24 X 1,000 กม. 10 20 30 40 X 1,000 ไมล์ 6 12 18 24 หัวเทียนจะท�ำงานอยู่ภายใต้สภาวะที่ต้องรับภาระหนักอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เคร่ืองยนต์ ท�ำงาน 2 ประการ คอื ก�ำลงั ดนั จากกา๊ ซทขี่ ยายตวั จากการเผาไหมป้ ระมาณ 600 ตารางนวิ้ และความรอ้ น จากการเผาไหม้ถึง 420 องศาเซลเซียส ดว้ ยเหตนุ ี้ จงึ ต้องมีการตรวจบรกิ ารหัวเทยี นทกุ 10,000 กิโลเมตร และเปลีย่ นเมอ่ื ใชง้ านครบ 20,000 กโิ ลเมตร ดังวิธตี ่อไปนี้ 1. ถอดหวั เทยี นออกมาลา้ งทำ� ความสะอาด ขดั เขมา่ ดว้ ยนำ�้ ยา แปรงหรอื ใชเ้ ครอื่ งลา้ งหวั เทยี น ดงั รปู ท่ี 4.26
งานบำ�รุงรกั ษารถยนต์ 93 รปู ที่ 4.26 แสดงการลา้ งหัวเทยี นด้วยน�ำ้ ยา 2. ใชต้ ะไบ ๆ แกนและเขย้ี วหัวเทียนให้สะอาด ดงั รปู ที่ 4.27 ขวั้ ไฟฟา้ ดา้ นหลัง ขว้ั ไฟฟา้ กลาง รูปที่ 4.27 แสดงการล้างหวั เทียนด้วยเครื่อง 3. ใชฟ้ ลิ เลอรเ์ กจตรวจระยะหา่ งเขยี้ วหวั เทยี น ดงั รปู ที่ 4.28 ใหไ้ ดต้ ามคา่ ก�ำหนดจ�ำกดั ของบรษิ ทั รูปที่ 4.28 แสดงการใชฟ้ ิลเลอร์เกจวดั ระยะหา่ งเขี้ยวหัวเทียน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190