หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย เรื่องที่ 1 เวลาและยคุ สมัยและศักราชในประวตั ิศาสตร์ไทย
วตั ถปุ ระสงค์ของการเรียนรู้ 1. เพื่อเข้าใจความหมายและความสาคัญของประวัติศาสตร์ไทย 2. เพื่อเข้าใจความสาคญั ของเวลาและการแบ่งช่วงเวลาใน ประวัติศาสตร์ 3. เพื่อเข้าใจการนบั และการเทียบศกั ราชในประวตั ิศาสตร์ไทย
1. ความหมายและความสาคัญ ของประวัติศาสตรไ์ ทย
1.1 ความหมายของประวัติศาสตร์ ความหมายของประวัติศาสตร์ไทยในยุคปจั จุบัน อาจแบ่งได้เป็นสองเรื่อง คือ เรื่องภูมิหลงั ของคาว่าประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายของประวัติศาสตร์ 1.1.1 เรื่องภูมิหลังของคาว่าประวตั ศิ าสตร์ ▪ บิดาแหง่ ประวัติศาสตร์ เฮโรโดตสั ▪ ร.6 พระองค์ทรงบญั ญตั ิคาว่า (Herodotus) ประวตั ศิ าสตร์ ขึ้นจากศัพท์ ภาษาอังกฤษ ▪ นาหลักฐานทางประวัติศาสตร์มาศึกษา เพือ่ เขียนเป็นเรื่องราว ▪ พระองค์ทรงนาประวัติศาสตร์มาใช้ เพื่อใหค้ วามหมาย ตีความและวินิจฉยั เรือ่ งราวที่เกดิ ขึน้ ในอดตี 1.1.2 การให้ความหมายของประวัตศิ าสตร์ ประวัตศิ าสตร์เก่ยี วขอ้ งกบั มนษุ ย์ 2 ประการ ▪ ประการแรก ประวตั ิศาสตรเ์ ปน็ เหตุการณ์ เรื่องราวหรือสิ่งสาคัญที่เกดิ ขนึ้ ในอดีตทีเ่ กย่ี วข้องกบั พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ ซึ่งกอ่ ใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลงทางสังคม ▪ ประการทีส่ อง ประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง ทีศ่ ึกษาเรือ่ งราวที่เกี่ยวกับมนุษยใ์ นอดตี โดยผ่านการศึกษาค้นคว้าดว้ ยกระบวนการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ เพือ่ อธิบาย เหตุการณเ์ รือ่ งราว หรือสง่ิ สาคญั ที่เกิดขึ้นในอดตี
1.2 ความสาคญั ของประวัติศาสตร์ ▪ ประวตั ิศาสตร์เป็นการศึกษาเรื่องราวประสบการณข์ องมนษุ ยใ์ นอดีตจากหลกั ฐานตา่ ง ๆ ▪ ซึ่งเรือ่ งราวประสบการณ์ของมนษุ ย์น้ัน ได้ครอบคลมุ ทกุ เรื่องที่มนุษยไ์ ดท้ า ไดค้ ิด ได้สรา้ งสรรค์ ▪ การกระทาน้ันได้สง่ ผลตอ่ มนษุ ย์ทั้งในอดตี และปจั จบุ ัน ▪ การศึกษาประวตั ิศาสตรจ์ ึงมคี วามสาคญั โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์ไทย เพราะจะทาใหร้ ู้สึกถึง ความเป็นชาติ เขา้ ใจรากเหงา้ ของตน ▪ เพือ่ เข้าใจและเกดิ ความภาคภมู ใิ จในชาติ เห็นข้อบกพรอ่ ง ความผิดพลาด ความสาเรจ็ ความดีงาม และ ความเสียสละของบรรพบรุ ุษ ซึง่ เปน็ บทเรียนทมี่ คี ่าสามารถนามาเปน็ แนวทางปฏบิ ัตใิ นปัจจบุ นั เรียกว่า เปน็ การศกึ ษาอดีต เพ่อื เข้าใจปัจจุบัน และเป็นแนวทางในอนาคต
2. ความสาคญั ของเวลา และการแบ่งช่วงเวลา ในประวัติศาสตร์
2.1 ความสาคญั ของเวลา ▪ ประวตั ิศาสตร์ใหค้ วามสาคัญตอ่ เวลาที่แวดล้อมพฤติกรรมทางสงั คมของมนุษย์ ▪ ท้ังนีเ้ พราะช่วงเวลาในแต่ละยคุ สมยั แตกตา่ งกนั การใช้เวลาหรือสถานทใี่ นปัจจบุ ันกาหนดเป็นมาตรฐาน วิเคราะห์เรือ่ งราวในอดีต อาจทาให้ภาพประวตั ศิ าสตร์ผดิ เพยี้ นไป ▪ เหตกุ ารณป์ ระวตั ิศาสตรไ์ มไ่ ด้เกดิ ขนึ้ อย่างโดดเดยี่ วแต่สมั พนั ธ์กบั เวลา รวมทั้งสถานที่ด้วย ▪ การให้คาอธิบายทางประวัตศิ าสตร์ จึงไมไ่ ด้อธิบายเฉพาะว่ามใี ครทีเ่ กย่ี วข้องเท่านน้ั ▪ แต่ต้องบอกด้วยว่าเหตกุ ารณ์ เรือ่ งราว หรือสิง่ สาคัญตา่ ง ๆ เหล่าน้ัน เกดิ ขนึ้ เมือ่ ไร และทีไ่ หนด้วย ▪ จึงทาให้เวลาและสถานทีม่ คี วามสัมพนั ธ์ หรือเป็นองค์ประกอบสาคญั ของประวตั ศิ าสตร์
2.2 การแบ่งช่วงเวลาในประวตั ิศาสตร์ เนื่องจากประวตั ิศาสตร์มชี ่วงเวลาอันยาวนาน นกั ประวตั ิศาสตร์จึงกาหนดช่วงเวลาอีกแบบหนึ่ง โดยแบ่งออกเปน็ 10 ปี 100 ปี และ 1,000 ปี 1. ทศวรรษ ▪ ช่วงเวลา 10 ปี ▪ การนับทศวรรษมักใช้ปีคริสตศ์ กั ราชเปน็ หลกั ▪ เนือ่ งจากเปน็ วิธนี บั แบบตะวนั ตก ซึ่งถือว่าเป็นแบบสากล ▪ โดยนับปีที่ลงทา้ ยดว้ ยเลข 0 เปน็ ปีแรกของทศวรรษ ▪ แล้วนับจนกระทัง่ สิ้นสดุ ทีเ่ ลข 9 เป็นหนงึ่ ทศวรรษ ทศวรรษ 1990 นบั ต้ังแต่ปี 1990 ไปจนถึงปี 1999 ดังนั้น ทศวรรษ 1990 จึงเป็นช่วงเวลาตง้ั แตป่ ี 1990 ถงึ 1999
2. ศตวรรษ ▪ ช่วงเวลา 100 ปี การนบั ศตวรรษเร่ิมต้นดว้ ยเลข 1 ถึง 100 2.1 พุทธศตวรรษ นับจากปที ่ีพระพุทธเจ้าปรินิพพานผ่านไปแลว้ หน่ึงปี เป็นปที ี่ 1 ไปจนถงึ ปที ่ี 100 เป็นพุทธศตวรรษท่ี 1 ดงั ตวั อยา่ ง พทุ ธศตวรรษที่ 2 นับต้ังแต่ พ.ศ. 101 ถงึ พ.ศ. 200 พทุ ธศตวรรษที่ 26 นับต้ังแต่ พ.ศ. 2501 ถงึ พ.ศ. 2600 2.2 ครสิ ตศ์ ตวรรษ นบั จากปีทพี่ ระเยซปู ระสตู ิเปน็ ปที ่ี 1 ไปจนถงึ ปที ี่ 100 เป็นคริสตศ์ ตวรรษที่ 1 ดังตัวอยา่ ง คริสต์ศตวรรษที่ 2 นับต้ังแต่ ค.ศ. 101 ถงึ ค.ศ. 200 คริสต์ศตวรรษที่ 21 นบั ตั้งแต่ ค.ศ. 2001 ถงึ ค.ศ. 2100
3. สหสั วรรษ ▪ ช่วงเวลา 1000 ปี การนับปีสหัสวรรษนบั ปีทขี่ นึ้ ตน้ ด้วยเลข 1 เป็นปีแรกของสหสั วรรษ และนบั ไปจนสนิ้ สดุ ทเี่ ลข 1000 3.1 สหสั วรรษของพทุ ธศักราช นบั จากปีทีพ่ ระพทุ ธเจ้าปรินพิ พานผา่ นไปแลว้ หนงึ่ ปี เปน็ ปีที่ 1 ไปจนถงึ ปีที่ 1000 เปน็ สหัสวรรษ ที่ 1 ของพทุ ธศักราช ดังตวั อย่าง สหัสวรรษของพุทธศตวรรษที่ 2 นับต้ังแต่ พ.ศ. 1001 ถงึ พ.ศ. 2000 3.2 สหสั วรรษของครสิ ต์ศกั ราช นับจากปีทีพ่ ระเยชูประสตู ิเป็นปที ี่ 1 ไปจนถงึ ปีที่ 1000 เป็นสหสั วรรษที่ 1 ของคริสต์ศักราช ดงั ตัวอย่าง สหัสวรรษของครสิ ต์ศตวรรษที่ 2 นับตั้งแต่ ค.ศ. 1001 ถงึ ค.ศ. 2000
3. การนบั และการเทียบ ศักราชในประวตั ิศาสตรไ์ ทย
ศักราช ▪ ศักราช คือ เวลาที่กาหนดข้ึนอย่างเปน็ ทางการ โดยกาหนดจุดเริ่มต้นจาก เหตกุ ารณ์ที่คนในสงั คมเข้าใจตรงกันไดง้ ่ายทีส่ ดุ ▪ การกาหนดศกั ราช จึงเป็นการตงั้ เกณฑ์เพื่อทาความเข้าใจช่วงเวลาทตี่ รงกนั ของคนในแตล่ ะสงั คม ▪ ด้วยเหตนุ แี้ ตล่ ะสงั คมจึงมกี ารตงั้ ศักราช โดยกาหนดจุดอา้ งองิ พื้นฐานจาก เหตกุ ารณ์ทีแ่ ตกต่างกัน ▪ แต่ส่วนใหญ่มักจะใช้ศาสนศักราช ซึง่ มที ี่มาจากเหตุกาณ์ทเี่ กย่ี วข้องกับ ศาสดาของแตล่ ะศาสนา อาทิ พุทธศาสนา คริสต์ศาสนา และศาสนาอสิ ลาม เปน็ ต้น
3.1 การนับศักราช 1. พทุ ธศกั ราช (พ.ศ.) 2. มหาศักราช (ม.ศ.) 3. จลุ ศกั ราช (จ.ศ.) 4. รัตนโกสินทรศ์ ก (ร.ศ.) ▪ เป็ นศาสนศั กราชที่ ประเทศซึ่ ง ▪ เป็นศักราชเก่าแก่ที่พระเจ้า ▪ เป็นศักราชเก่าแก่ที่กษัตริย์พม่า ▪ เ ป็ น ศั ก ร า ช ที่ ตั้ ง ขึ้ น ใ น รั ช ก า ล ประชาชนส่ วนใหญ่ นั บถื อพุ ทธ กนิษกะแห่งอินเดียเป็นผู้ตั้งเมื่อ ศาสนาใชเ้ ป็นเกณฑก์ ารนับเวลา พ.ศ. 621 ต้ังขึ้น ภายหลังพุทธศักราช 1181 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ า ▪ โดยกาหนดจากปีที่พระพุทธเจ้า ▪ เริ่มแพร่หลายในอินเดียและ เรยี กวา่ ศกั ราชพกุ าม เจา้ อยูห่ ัว ปรินิพพาน แต่บางประเทศมีการนับ ประเทศต่าง ๆ เช่น เกาะชวา ต่างกนั เชน่ ประเทศศรีลังกา พม่า และ (ประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน) ▪ ต่อมาภายหลังจุลศักราชได้ ▪ โดยนับตามปีที่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็น กัมพูชา เริ่มนบั พุทธศกั ราชที่ 1 ตั้งแต่ปี พม่า กมั พชู า และไทย ที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน แพร่หลายเข้ามาอยู่ในอาณาจักร ร.ศ.1 (ปี 2324) ▪ พบข้อมลู จากจารึกสมัยสโุ ขทัย ▪ แต่ ประเทศไทยเริ่ มนั บจากปี ที่ สุ โขทั ยสื บเนื่ องจนถึ งสมั ย ▪ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้า พระพุทธเจ้าปรินพิพานผ่านไปแล้วครบ หนึง่ ปีเป็น พ.ศ. 1 อยุทธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ เจ้ าอยู่ หั ว ทรงโปรดให้ เลิ กการใช้ ▪ ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จ รัตนโกสนิ ทร์ศก โดยใชพ้ ทุ ธศักราชแทน มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ประกาศให้ใช้ พุทธศักราชอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึง ▪ ดังปรากฏในพระราชบัญญัติ เรื่องประกาศ 2455 เป็นต้นมา โปรดเกล้าฯ ให้เลิกใช้ และ วิธีนับ วัน เดือน ปี เมื่อวันที่ 21กุมภาพันธ์ เปลย่ี นไปใชร้ ตั นโกสนิ ทร์ศกแทน พ.ศ. 2455 (ร.ศ. 131)
3.2 การเทียบศักราชในประวัติศาสตร์ไทย ศกั ราช ความสาคญั วิธีการเทียบศกั ราช ปัจจบุ ันเป็น พ.ศ. 2564 พุทธศักราช (พ.ศ.) ศสาสนศกั ราชทางพทุ ธศาสนาในประเทศไทยเริม่ นบั พุทธศกั ราชจากปีที่พระพทุ ธเจ้าปรินิพพานผ่านไป พ.ศ. 2564 - 621 เปน็ ม.ศ. 1943 แล้ว 1 ปี พ.ศ. 2564 - 1181 เปน็ จ.ศ. 1383 มหาศกั ราช (ม.ศ.) ศกั ราชเก่าแก่ท่ใี ชอ้ ยใู่ นอาณาจกั รสุโขทัยและอยธุ ยา พ.ศ. 2564 - 2324 เปน็ ร.ศ. 240 จลุ ศักราช (จ.ศ.) ศักราชเก่าแก่ท่ใี ชใ้ นอาณาจกั รสุโขทัย ลา้ นนา และอยุธยา จนถึงสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ พ.ศ. 2564 - 543 เปน็ ค.ศ. 2021 พ.ศ. 2564 - 1122 เปน็ ฮ.ศ. 1442 เจ้าอยหู่ วั รตั นโกสินทร์ศก (ร.ศ.) ศักราชทีต่ ั้งขึน้ ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั โดยนับตามปีทีก่ ่อต้ังกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ คริสต์ศกั ราช (ค.ศ.) ศาสนศักราชทางคริสต์ศาสนาเริ่มนับจากปีทีพ่ ระเยชูประสตู ิ ฮจิ เราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) ศาสนศักราชทางศาสนาอสิ ลาม เริม่ นับจากปีทีศ่ าสดา มฮู ัมหมัดอพยพจากเมืองมักกะไปยังเมืองเมดนิ ะ สิ่งควรจา พ.ศ.ปัจจุบนั ม.ศ. จ.ศ. ร.ศ. ค.ศ. ฮ.ศ. 2564 621 1181 2324 543 1122
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 เรือ่ งที่ 2 การแบ่งยุคสมยั เวลาและยุคสมยั ทาง ทางประวตั ิศาสตร์ไทย ประวัติศาสตรไ์ ทย ทีม่ าของภาพ: https://www.bbc.com/thai/thailand-40957963
วตั ถุประสงค์ของการเรียนรู้ 1. เพือ่ เข้าใจสมัยก่อนประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทย 2. เพือ่ เข้าใจสมัยประวตั ิศาสตร์ของประเทศไทย
1. สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ใน ประเทศไทย
สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไมไ่ ด้มีการประดิษฐ์หรือคิดค้นตัวอักษรขึ้นใช้ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยแบ่งได้เป็น 4 ยคุ คือ ยคุ หินเกา่ ยคุ หินกลาง ยคุ หินใหม่ และยุคโลหะ โดยยคุ โลหะเป็นจุดเริม่ ต้นของการเปลีย่ นแปลงไปสู่ยุคประวตั ิศาสตร์
ยคุ หิน 2. ยุคหินกลาง 3. ยุคหินใหม่ 1. ยคุ หินเก่า ▪ ระหว่างประมาณ 10,000-5,000 ปี ▪ ยุคหินใหม่มีอายุระหว่าง 5,000-4,000 ปี ▪ มีอายุระหว่าง 500,000 ถึง 10,000 ปี ลว่ งมาแลว้ ลว่ งมาแลว้ ลว่ งมาแลว้ ▪ การดารงชีวิตมนุษย์ยุคน้ี ไม่แตกต่าง ▪ มนษุ ย์ยุคน้เี ริ่มตง้ั ถิ่นฐานอยู่กบั ท่มี ากข้นึ ▪ เริ่มมีการเพาะปลูกและเล้ียงสัตว์ ▪ มนุษย์ยุคน้ีดารงชีพด้วยการล่าสัตว์ จับ จากมนุษย์ยุหินเก่ามากนกั ▪ จากการขุดค้นทางโบราณคดี พบหลักฐาน สตั ว์น้า และเกบ็ ผัก ผลไม้ตามธรรมชาติ ▪ แต่เคร่ืองมือหินกะเทาะท่ีทาประณีต เคร่ืองมือหินขัดท่ีมีลักษณะด้านหน่ึงคม ▪ เมื่ออาหารหมดก็จะอพยพเร่ร่อนไปหาท่ี ข้นึ และมีขนาดเล็กลง อยู่ใหม่ตามแหลง่ อาหาร ▪ ยังคงล่าสัตว์ เก็บพืชพรรณตามป่า ดา้ นหนง่ึ มน และมีผิวเรียบ ▪ นอกจากน้ียังพบภาชนะดินเผาแบบต่าง ๆ ▪ ไม่พบโครงกระดูกมนุษย์ยุคน้ีในประเทศ และอพยพตามฝูงสตั ว์ ไทย พบเพียงแต่เคร่ืองมือประเภทหิน ▪ มีการฝังศพ ทงั้ แบบท่มี ีขาและไม่มีขาอกี ดว้ ย กะเทาะหนา้ เดยี ว
ยคุ โลหะ 2. ยุคเหลก็ 1. ยุคสาริด ▪ เริม่ เมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแลว้ ▪ ได้พบเครือ่ งมือทีท่ าด้วยเหล็ก มีความแข็งแรง ▪ มีอายุระหว่าง 4000-2500 ปีมาแลว้ ▪ มนษุ ยย์ คุ นีร้ จู้ ักนาโลหะสาริดที่มสี ่วนผสม ของทองแดง และใชป้ ระโยชน์ไดม้ ากว่าสาริด กับดบี กุ หรือตะกวั่ ▪ เครื่องมือ เครือ่ งใช้ เชน่ ขวาน มีด ใบหอก กลองสาริด เครือ่ งประดับประเภทกาไร แหวนสาริด ลูกปัด เป็นต้น ▪ โดยพบหลกั ฐานเครือ่ งมือเครื่องใช้สารดิ ในประเทศไทย
2. สมยั ประวัติศาสตร์ของ ประเทศไทย
สมยั ประวตั ิศาสตร์ของประเทศไทย จารึกบา้ นวังไผ่ จารึกเขาน้อย สมัยประวัติศาสตร์ หมายถึง ช่วงเวลาที่มนุษย์เร่ิมประดิษฐ์หรือ คิดค้นตัวอักษรข้ึนใช้ ทาให้การศึกษาประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ชัดเจน ยิ่งข้ึน ▪ ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ สันนิษฐานว่าประมาณ ตอนปลายพทุ ธศตวรรษที่ 12 ▪ โดยจารึกรุ่นแรกในประเทศไทย เป็นจารึกที่ได้รับอิทธิพล รูปอกั ษรจากประเทศอินเดีย ▪ ซึง่ จารึกที่พบเก่าแก่ที่สุดที่เป็นหลักฐานว่าได้มีการบันทึกเป็นลาย ลักษณ์อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต คือ จารึกบ้านวังไผ่ อาเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ สันนิษฐานว่า เกิดขึ้นเมื่อ ประมาณ พ.ศ. 1093 และจารึกเขาน้อย ที่จารึกด้วยอักษระปัล ลวะ ภาษาสันสกฤตและเขมร พบที่เขาน้อย อาเภอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว สร้างขึ้นใน พ.ศ.1180 ศิลาจารึกนี้ เป็นหลักฐาน เอกสารโบราณการใช้รูปอักษรในประเทศไทยครั้งแรก
1. แบ่งตามลกั ษณะลาดับอาณาจักรหรือราชธานี สมัย สมัยสโุ ขทยั สมัยอยุธยา สมัยธนบรุ ี สมัย อาณาจกั ร รตั นโกสินทร์ โบราณ
สมยั อาณาจักรโบราณ สมยั กอ่ นสโุ ขทัย เริ่มต้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 800 ผู้นาคนไทยไดส้ ร้างบ้านแบง่ เมืองตามลาน้า และที่ราบลมุ่ บริเวณแมน่ ้าเจ้าพระยา แมน่ ้าปิง วัง ยม น่าน แมน่ ้าโขง และสาขาของแมน่ ้าเหล่านี้ ตลอดจน ชายฝั่งทะเล เช่น บริเวณจนั ทบุรี สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราชในปจั จบุ ัน ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ พุทธศตวรรษที่ 11-13 พทุ ธศตวรรษที่ 8-12 พุทธศตวรรษที่ 8-12 ▪ อาณาจักรโยนกเชียง แสน ▪ อาณาจกั รศรีจนาศะ ▪ อาณาจักรทวารวดี ▪ อาณาจักรตามพรลิงค์ ▪ อาณาจักรศรีโคตรบรู ▪ อาณาจักรนครชยั ศรี ▪ ภายหลงั พัฒนาเป็น ▪ อาณาจักรเงนิ ยางเชยี ง แสน อาณาจักร นครศรีธรรมราช ▪ อาณาจักรหรภิ ญุ ชยั
สมัยสโุ ขทัย สมยั สุโขทยั (ประมาณ พ.ศ. 1761-2006) เริ่มจากปีที่พอ่ ขุนศรีนาวนาถมุ ขนึ้ ครองราช-สมบัติ เปน็ ปฐมกษตั รยิ ์แห่งราชวงศ์ศรีนาวนาถุม และสถาปนากรุงสโุ ขทัยเปน็ ราชธานี จนกระท่งั เมือ่ สุโขทัย ถูกรวมกบั อาณาจกั รอยธุ ยา เมื่อ พ.ศ. 2006 การเมืองการปกครองในสมยั สุโขทยั กษัตริย์ซง่ึ เปน็ ผู้ปกครองมฐี านะเป็น “พ่อขนุ ” ของบ้านเมือง เมื่อแรกกอ่ ต้ัง แว่นอาณาจกั ร แล้วค่อยวิวฒั น์ไปสู่ความเป็น “ธรรมราชา” ส่วนรปู แบบการปกครอง มโี ครงสร้างในลกั ษณะกระจายอานาจ และมวี ิธีการควบคมุ กาลงั คนที่ไมเ่ คร่งครัดไม่ กระชับรัดกุม
สมยั อยธุ ยา สมยั อยุธยา (พ.ศ. 1893-2310) เริม่ จากปีทีส่ มเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี่ 1 (อทู่ อง) ขนึ้ ครองราชย์ และสถาปนากรงุ ศรีอยุธยาเปน็ เมืองหลวง เมือ่ พ.ศ.1893 จนถงึ ปีสดุ ทา้ ยในรชั สมยั พระเจ้าอยู่หัวพระทนี่ ่ังสรุ ิยาศนอ์ มรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) เมื่อ พ.ศ. 2310 ซึ่งเป็นปีทกี่ รุงศรีอยุธยาลม่ สลาย การปกครอง อาณาจั กรอยุ ธ ยาปกครองด้ ว ย ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีสถาบัน พระมหากษัตริย์ เป็นหลักสาคัญในการปกครอง อาณาจักร และมีราชธานีเป็นศูนย์รวมของการ ปกครองและ การควบคุมกาลังคน อาณาจักร อยธุ ยาจะล่มสลายไปใน พ.ศ. 2310 แต่มรดกของ อยุธยาทั้ง ด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม ได้สืบทอดพัฒนาต่อมาในอาณาจักร ธนบรุ ีและรตั นโกสินทร์
สมัยธนบรุ ี สมยั ธนบุรี (พ.ศ. 2310-2325) เริม่ จากปีทีส่ มเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราชขนึ้ ครองราชย์และในเมืองหลวง เมือ่ พ.ศ. 2310 จนถึงปีสดุ ทา้ ยของ รัชกาล เมือ่ พ.ศ. 2325 สถาปนากรุงธนบรุ ีเป็นเมืองหลวง เมื่อ พ.ศ. 2310 จนถงึ ปีสุดท้าย ช่วงเวลา 15 ปี ในสมยั ธนบุรีพระเจ้าตากสินทรงสร้างความม่นั คง ให้ราชอาณาจักร ทรงมีแนวคิดการเป็นจักรพรรดิราช ทรงใช้การ ปกครองแบบจตุสดมภ์ และการควบคุมกาลังคนเหมือนในสมัย อยุธยา พระเจ้าตากสินโปรดให้สร้างสมุดภาพไตรภูมิโบราณ เพื่อสั่ง สอนประชาชน นอกจากนี้ ทรงจัดระเบียบสังฆมณฑลรวบรวม พระไตรปิฎกรื้อฟื้นประเพณีถือน้าพระพิพัฒน์สตั ยาและทรงอุปถัมภ์ กวีหลายคน
สมยั รัตนโกสินทร์ สมัยรตั นโกสินทร์ (พ.ศ. 2325-ปจั จุบนั ) เริ่มจากปีที่พระบาทสมเดจ็ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชข้ึนครองราชย์ และ สถาปนากรุงเทพฯ เปน็ เมืองหลวง เมือ่ พ.ศ. 2325 จนถงึ ปัจจุบนั พระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงจัด ระเบียบสังคมในราชธานีใหม่โดยการจัดระเบียบทางด้านศาสนา สังคายนาพระไตรปิฎก จัดทาประมวลกฎหมายตราสามดวง ตลอดจน สร้างและปฏสิ งั ขรณ์วัด ตลอดจนศิลปวฒั นธรรมด้านต่าง ๆ
สาระเพิม่ เติม ในแต่ละสมัยย่อยแบ่งให้ย่อยลงไปได้อีกตามความเหมาะสม เช่น สมัยรัตนโกสินทร์ ย่อยตามลักษณะการปกครองเปน็ 2 ยคุ คือ ▪ ยุคสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ พ.ศ. 2325 ถงึ พ.ศ. 2475 ▪ ยุคประชาธปิ ไตย พ.ศ. 2475 ถงึ ปจั จุบัน ถา้ แบ่งย่อยตามเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง อาจแบ่ง สมัยรัตนโกสินทร์ ออกเปน็ 3 ชว่ ง เชน่ ▪ สมยั รัตนโกสินทรต์ อนต้น รชั กาลท่ี 1 ถงึ รัชกาลท่ี 3 ▪ สมัยรตั นโกสินทรย์ ุคปรับปรงุ ประเทศ รชั กาลท่ี 4 ถงึ พ.ศ. 2475 ▪ สมยั รตั นโกสินทรย์ ุคหลงั เปลีย่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ถงึ ปจั จบุ ัน
2. แบ่งตามแนวประวตั ิศาสตร์สากล ช่วงเวลาสมัยประวตั ิศาสตร์ตามหลกั ประวตั ศิ าสตรส์ ากล นิยมแบ่งเปน็ สมัยยอ่ ย 4 สมยั ดงั นี้ สมยั โบราณ สมัยกลาง สมัยใหม่ สมยั ปัจจุบนั ประมาณ 2,500 ปีก่อน ประมาณ พ.ศ. 1019 ถึง ประมาณพุทธศตวรรษที่ พุทธศักราช พ.ศ. 1893 22 ถึงสงครามโลกคร้ังที่ 1 ▪ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ▪ คริสต์ศาสนามีบทบาท ▪ เกิดการปฏิวัติอตุ สาหกรรม ▪ หลังสงครามโลกครั้งท่ี 1 ▪ อารยธรรมอยี ปิ ต์ ▪ เกิดการแข่งขนั ของชาติ พ.ศ. 2461 มาถงึ ปจั จุบัน ▪ อารยธรรมกรกี โรมัน สาคัญ และมอี านาจสงู สุด ▪ เกิดสงครามครเู สด มหาอานาจที่เป็นจกั รวรรดิ นิยม วิหารพารเ์ ธนอน ในกรงุ เอเธนส์ สงครามครูเสด สงครามโลกครง้ั ที่ 1 โลกปจั จบุ ัน
หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 2 เรื่องที่ 1 หลกั ฐานทางประวัติศาสตรแ์ ละ หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ วิธีการทางประวตั ิศาสตร์
วตั ถปุ ระสงค์ของการเรียนรู้ 1. เพือ่ เข้าใจความสาคญั และประเภทของหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ 2. เพือ่ เข้าใจการเขียนและการใช้หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ในประเทศไทย 3. เพือ่ เข้าใจแหล่งข้อมลู ในการศึกษาประวตั ิศาสตร์ไทย
1. ความสาคัญและประเภทของ หลักฐานทางประวัติศาสตร์
ความสาคัญของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ดังน้ัน เหตุการณ์หรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จึง หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการค้นพบหลักฐานใหม่ และความน่าเช่อื ถือของหลักฐานทีค่ ้นพบ ด้วยเหตุนี้ถ้า ▪ สิ่งที่เป็นข้อมูลที่ให้ข้อเท็จจริงซึ่งได้เกิดข้ึนในอดีต และเหลือหลักฐานเป็น พบหลักฐานใหม่ เพิ่มขึ้นและน่าเชื่อถือ เน้ือหา ร่องรอยที่ทาให้นักประวัติศาสตร์นามาใช้เป็นข้อมลู ในการศึกษาความจริง ประวัติศาสตรใ์ นเรือ่ งน้ันกต็ ้องเปลี่ยนไป จากเหตุการณ์ เรื่องราวหรือสิง่ สาคญั ในอดีตเหล่าน้ัน ▪ หลักฐานประวัติศาสตร์ จึงมีความสาคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้นัก ประวตั ิศาสตร์สามารถสืบสวนเรอ่ื งราวในอดีตทีน่ าไปสู่การหาความจรงิ ▪ ข้อมลู ในหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์เปน็ เพียงข้อเท็จจริง (Fact) แต่ไมใ่ ช่ ความจริง (Truth) ทั้งนี้ เนือ่ งจากหลักฐานต่าง ๆ น้ัน เป็นข้อมลู เพียงส่วน เดียวของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เป็นข้อมูลทั้งหมด หรือข้อมูล บางส่วนอาจถูกทาลายสูญหาย หรือถกู ตัดต่อกล่ันกรองมาแล้ว ▪ ผู้เขียนประวัติศาสตร์ ยังอาจตีความหลักฐานตามความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก หรือความเข้าใจของตน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทาให้ หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์เป็นเพียงข้อเทจ็ จริง
ประเภทของหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตรส์ ามารถจาแนกได้ตาม ประเภทต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 หลักฐานทจี่ าแนกตาม 2.2 หลกั ฐานทจี่ าแนกตาม 2.3 หลกั ฐานทีจ่ าแนกตาม 2.4 หลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์ 2.5 หลกั ฐานประวัตศิ าสตร์ที่ ความสาคญั ของหลักฐาน ลักษณะอักษร จุดมุ่งหมายของการผลิต ทจ่ี าแนกตามยคุ สมัย จับต้องได้ และจบั ตอ้ งไม่ได้
2.1 หลกั ฐานทจ่ี าแนกตามความสาคญั ของหลักฐาน แบ่งได้ 2 ประเภท คือ 2.1.1 หลักฐานช้นั ตน้ (Primary Source) หมายถงึ บนั ทึกหรือคาบอกเล่าของผ้พู บเหน็ เหตกุ ารณ์ หรือผ้ทู ี่เกีย่ วขอ้ งกบั เหตุการณโ์ ดยตรง เช่น จารึก จดหมายเหตุ บนั ทึกการเดินทัพ เอกสารการปกครอง รวมท้ังหลกั ฐานทางโบราณคดี ได้แก่ โบราณสถาน โบราณวตั ถุ 2.1.2 หลกั ฐานชน้ั รอง (Secondary Sources) หมายถงึ ผลงานทางประวัตศิ าสตร์ ทีเ่ ขยี นข้ึนหรือเรยี บเรียงข้ึนภายหลงั จากการเกดิ เหตกุ ารณ์นนั้ แล้ว โดยอาศยั จากคาบอกเลา่ ของผอู้ ื่น หรือจากหลกั ฐานชัน้ ต้นต่าง ๆ อาทิ ตารา หนงั สือ สารนิพนธ์ และวิทยานิพนธ์ เปน็ ต้น
2.2 หลกั ฐานท่จี าแนกตามลักษณะอกั ษร แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 2.2.1 หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร (Written Sources) หมายถึง หลักฐานที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรบอกเล่าเร่ืองราวต่าง ๆ โดย การจารึกไว้บนแผ่นไม้ แผ่นศิลา แผ่นโลหะ ใบลาน และกระดาษ เป็นต้น หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรบางชนิด ยังจารึกไว้ที่โบราณวัตถุ หรือ โบราณสถาน เช่น ฐานพระพทุ ธรูป ฐานเจดีย์ ผนังโบสถ์ และแผนทีพ่ ร้อมคาอธิบาย เป็นต้น 2.2.2 หลักฐานทีไ่ ม่เป็นลายลกั ษณ์อักษร (Unwritten Sources) หลักฐานประเภทนี้ มีท้ังหลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยุคประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้ศกึ ษาประวตั ิศาสตร์ อาจนามาวิเคราะห์ได้ด้วยเอง หรืออาศัยการตีความจากนกั วิชาการอื่น ๆ เช่น นกั มานุษยวิทยา นกั โบราณคดี และนักภมู ิศาสตร์ เปน็ ต้น นกั มานุษยวิทยากบั คนอเมริกันพ้ืนเมือง
2.3 หลักฐานทจ่ี าแนกตามจดุ มุ่งหมายของการผลิต มี 2 ลักษณะ ดังนี้ 2.3.1 หลักฐานที่มนษุ ยต์ ้งั ใจสรา้ งขึน้ (Artifact) ซึ่งอาจมีทั้งหลกั ฐานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยุคประวตั ิศาสตร์ หลักฐานประเภทยุคก่อนประวตั ศิ าสตร์ ไดแ้ ก่ เครือ่ งมือ เครือ่ งใช้ และ สิง่ กอ่ สรา้ งต่าง ๆ ทีม่ นษุ ย์สรา้ งขึน้ เพื่อใชใ้ นการดารงชวี ติ หรือตามความคิดความเชือ่ ของตนอาทิ เพ่งิ ที่พัก หลมุ ฝงั ศพ ภาพเขียน เป็นต้น และหลักฐานยคุ ประวตั ศิ าสตร์ ไดแ้ ก่ หลักฐานที่เปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร อาทิ ศิลาจารึก จดหมายเหตุ บันทึกการเดนิ ทางและแผนทีป่ ระกอบคาอธบิ ายและจดหมายสว่ นตวั เปน็ ต้น หลักฐานทีม่ นษุ ยส์ ร้างขึ้นมีท้ังที่เปน็ หลักฐานก่อนยคุ ประวัติศาสตร์ และยคุ ประวัติศาสตร์ 2.3.2 หลกั ฐานทมี่ ิได้เปน็ ผลผลิตที่มนุษยส์ ร้างหรอื ตั้งใจสรา้ ง (Non-Artifact) มีทง้ั หลกั ฐานสมัยกอ่ นประวัติศาสตร์ และสมัยประวตั ิศาสตร์ ได้แก่ บรรดาซากสิ่งมีชีวิต เชน่ โครง กระดูกมนุษย์ กระดกู สตั ว์ เมล็ดพืช สถานทีซ่ ึ่งมนุษยเ์ คยอาศัยอยู่ ชนั้ ดนิ ทีแ่ สดงร่องรอยการอยอู่ าศยั ของมนุษย์ นอกจากนี้ ยงั มีเนินดนิ ตลอดจนสภาพแวดลอ้ มอื่น ๆ เชน่ ภเู ขา ที่ราบ แม่น้า คคู ลอง และชายฝ่ังทะเล ซึ่งอาจจะเปน็ หลกั ฐานทางประวัติศาสตร์ไดท้ ้ังสน้ิ
2.4 หลกั ฐานทางประวัติศาสตร์ทีจ่ าแนกตามยุคสมยั 2.4.1 หลักฐานยคุ ก่อนประวัติศาสตร์ คือ หลักฐานที่เกดิ ขนึ้ ในสมยั ที่ยังไมม่ กี ารบันทกึ เปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษร แต่ถือว่าเปน็ หลกั ฐานที่ให้รอ่ งรอย เก่ยี วกับมนุษย์ เช่น โครงกระดกู มนุษย์ ซากสิ่งมชี ีวติ ต่าง ๆ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องประดบั ร่องรอยการตั้งถ่นิ ฐานของชมุ ชน ตลอดจนการกระทาของ มนษุ ย์ยุคกอ่ นประวัติศาสตร์ใหค้ วามหมายหรือถา่ ยทอดประสบการณ์ของตน เช่น ภาพเขียนสีตามผนังถา้ หรือเรือ่ งราว ทีบ่ อกเล่าตอ่ กันมา ในลกั ษณะ นิทานหรือตานาน เปน็ ต้น 2.4.2 หลกั ฐานยคุ ประวัติศาสตร์ คือ หลักฐานสมัยทีม่ นษุ ย์สามารถประดษิ ฐต์ วั อักษรเพือ่ ใช้สือ่ สาร และบนั ทกึ ลงในวัสดตุ า่ ง ๆ เช่น ไม้ อฐิ หิน และกระดาษ ร่องรอยเกย่ี วกบั ความเปน็ สังคมเมือง เช่น บ้านเรือน กาแพงเมือง ถนนหนทาง และความรู้ทางเทคโนโลยี เช่น การรู้จกั ใช้เหลก็ และโลหะ อืน่ ๆ นามาทาเปน็ เครือ่ งมือ เครือ่ งใช้ที่ประณีต การกอ่ สร้างศาสนสถาน การสร้างประตมิ ากรรมรูปเคารพ เครือ่ งช่ังน้าหนกั ตลอดจนเงินตราชนดิ ตา่ ง ๆ
2.5 หลักฐานประวัติศาสตรท์ จ่ี บั ตอ้ งได้ และจับตอ้ งไม่ได้ 2.5.1 หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ที่จับตอ้ งได้ (Tangible Source) ได้แก่ เอกสาร ต่าง ๆ โบราณวตั ถุ โบราณสถาน รวมท้ังวัตถุและ สถานทีป่ ระวตั ิศาสตร์ ตลอดจนงานนพิ นธท์ างประวตั ศิ าสตร์ 2.5.2 หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรท์ ีจ่ บั ตอ้ งไมไ่ ด้ (Intangible Source) ได้แก่ ภาษา หรือคาทีใ่ ช้ในการสือ่ สารทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปตามยุคสมยั ความรู้และภมู ิปญั ญาของมนษุ ย์ในอดตี เช่น ความรู้ในการทาเครือ่ งมือ เครื่องใช้ และการแกป้ ัญหาในการดารงชีวติ ความรู้เกย่ี วกับจักรวาล ดินฟ้า อากาศ ความรู้สึก ความคิด การนบั ถือศาสนา และความเชื่อ การสวดมนต์ ตลอดจนการขบั รอ้ งและระบาราฟ้อน และพิธีกรรมต่าง ๆ
2. การเขียนและ การใช้หลักฐาน ทางประวตั ิศาสตร์ ในประเทศไทย
สมยั ตานาน ตานานเปน็ หลกั ฐานประวตั ศิ าสตร์ แบ่งได้ 3 ประเภท 1. ตานานวีรบุรษุ ซึ่งก็ คือ บรรพบรุ ุษของผู้คนใน 2. ตานานวงศต์ ระกูล เปน็ เรือ่ งราว กลา่ วถึงผู้นา 3. ตานานเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเรื่อง ท้องถ่นิ ต่าง ๆ เชน่ ตานานพระรว่ ง ตานานพระเจ้า ทีส่ รา้ งบ้านสรา้ งเมือง แล้วมีลกู หลานเป็นหัวหน้า ความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้นาชุมชน เรื่องราวของ อทู่ อง เปน็ ต้น ปกครองบ้านเมืองเหลา่ นี้สืบต่อมา เชน่ ตานานขุน บ้านเมืองกับพระพุทธศาสนา อาทิ ตานานอุรังค บรม และตานานท้าวฮงุ ขนุ เจือง ธาตุ และตานานพระพทุ ธสหิ งิ ค์ เปน็ ต้น หลกั ฐานประวัติศาสตร์ประเภทตานาน ยังขาดความน่าเชือ่ ถือ เนือ่ งจากเป็นเรื่องที่เล่าต่อกันมา แล้วไดร้ ับการบันทึกเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรในภายหลงั
สมัยพงศาวดาร ข้อจากัดของพงศาวดาร คือ บางตอนของพงศาวดารยังขาดความน่าเชื่อถือ เนือ่ งจากเปน็ เรือ่ งที่เขียนขึ้นในภายหลัง หรือ ไดร้ บั การแต่งเติมแก้ไขในเวลาต่อมา ชว่ งประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 ถงึ ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ 24 ตรงกบั สมัยอยุธยา และสมยั รัตนโกสนิ ทร์ตอนต้น ▪ พงศาวดาร คือ การบันทึกเก่ียวกับบุคคล เรื่องราว เหตุการณ์บ้านเมือง และสิ่งสาคัญ ใน อดีต รวมท้ังโลกทัศน์ที่มีความสัมพันธ์กับพุทธ- ศาสนา ▪ สมัยพงศาวดารได้แบ่งการเขียนประวัติศาสตร์ ออกเป็น 2 แบบคือ พงศาวดารแบบพุทธ- ศาสนาเป็นการเขียนถึงบุคคล เรื่องราว เหตกุ ารณ์บ้านเมือง โดยเชื่อมโยงกบั พระพุทธเจ้า และพระราชพงศาวดาร เป็นการเขียนเก่ียวกับ พระมหากษัตริย์
สมัยการปรบั ปรุงประเทศให้เป็นแบบใหม่ สมัยการปรับปรงุ ประเทศใหเ้ ป็นแบบสมยั ใหม่ ชว่ งประมาณพทุ ธศตวรรษที่ 24 ถึงประมาณ กลาง พทุ ธศตวรรษที่ 26 ตรงกบั สมยั รัตนโกสินทรต์ อนกลาง ถงึ สมยั เปลีย่ นแปลงการปกครองเปน็ แบบ ประชาธิปไตย การเขียนประวัติศาสตร์โดยนาอุดมการณ์ชาตินิยมแบบตะวันตกมาใช้ เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพ และยืนยันถึงเรื่องราวความเป็นมาของชน ชาติไทย ด้วยการใช้หลกั ฐานที่หลากหลาย ได้แก่ ตานาน พงศาวดารไทย และพงศาวดารชาติอื่น จดหมายเหตุ การเขียนและการใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ สมัยการปรับปรุงประเทศให้เป็นแบบสมัยใหม่ จึงเป็นการขยายพรมแดนแห่งความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ และเป็นพื้นฐานการเรียนและใช้ หลกั ฐานในสมยั ต่อมา
สมยั ปัจจบุ นั ชว่ งประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 26 ถึงประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 26 ใน ชว่ งเวลานี้ เปน็ เวลาภายหลังการเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475เป็นต้นมา จนถึง ภายหลังเหตุการณ์ 14ตุลาคม พ.ศ. 2516สังคมไทยในช่วงเวลานี้ มีการปกครองแบบ ประชาธิปไตย ซึ่งพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ถูกลดทอนลงให้อยู่ภายใต้ รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด แต่ขณะเดียวกันสภาพการเมืองไทยขาดความม่ันคง เนือ่ งจากการแยง่ อานาจระหว่างข้าราชการพลเรือนกับทหาร พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยู่หวั ทรงลงพระปรมาภิไธยในรฐั ธรรมนญู ถาวรฉบบั แรกของสยาม 10 ธนั วาคม พ.ศ. 2475 ไดท้ รงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบบั ถาวรณ พระทน่ี ั่งอนันตสมาคม 14 ตุลาคม 2516
3. แหลง่ ข้อมลู ใน การศึกษา ประวัติศาสตร์ไทย
หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ พิพธิ ภัณฑ์ สื่อโสตทัศนอปุ กรณ์ หอสมดุ วชิรญาณ ห้องสมดุ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ผู้รู้
จบเรื่องที่ 1 หลกั ฐานทางประวัติศาสตร์
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 เรื่องที่ 2 หลกั ฐานทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ และวิธีการทางประวตั ิศาสตร์
วัตถปุ ระสงค์ของการเรียนรู้ 1. เพื่อเข้าใจความสาคญั ของวธิ ีทางประวตั ศิ าสตร์ 2. สามารถวิเคราะห์ขนั้ ตอนศกึ ษาวธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125