Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สมองซีกขวา

สมองซีกขวา

Published by Prakan Vong, 2022-06-27 10:12:28

Description: สมองซีกขวา

Search

Read the Text Version

1 ความลับของสมอง มนุษย์เราทุกคนเกิดมาจะมีโครงสร้างสมอง   เหมือนกัน  ขนาดเท่า ๆ กัน  จำนวนเซลล์ประสาท  ไมแ่ ตกตา่ งกนั   แตส่ ง่ิ ทท่ี ำใหบ้ างคนฉลาดมาก  เรยี นเกง่   ประสบความสำเรจ็ ในชวี ติ   เปน็ เพราะพวกเขารคู้ วามลบั   ของการใช้สมองบางส่วนที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้  โดย  อาจจะเปน็ ผลมาจากพนั ธกุ รรม  การเลย้ี งดู  พรสวรรค์  การศึกษา  ฯลฯ  ในทางพุทธศาสนาบอกว่า  เกิดจาก  เจตสิก  อันเป็นพลังมาจากกรรมเก่า  รวมกลุ่มขึ้นเป็น  องค์ประกอบของดวงจิตมารับอารมณ์  (เวทนา  ตัณหา)  และอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้จะไปเหนี่ยวนำให้สมอง  ส่วนที่ต้องการใช้เริ่มทำงาน  เกิดเป็นฉันทะ  (ความชอบ  ความถนดั   ความพอใจ)  และมวี ถิ ชี วี ติ ไปตามนน้ั   ดงั นน้ั   ถ้ามีกรรมดีข้ามภพข้ามชาติมามาก  ก็เหมือนกับมี  ซอฟต์แวร์ชั้นเยี่ยม  ที่แม้จะถ่ายทอดเข้าสู่ตัวเครื่อง  ลกั ษณะเดยี วกนั กบั คนอน่ื  ๆ  แตส่ ามารถใชป้ ระสทิ ธภิ าพ  ของมนั สมองได้อยา่ งสงู สุด  ทนั ตแพทย์สม สจุ ีรา

สำหรับนักวิทยาศาสตร์  วงการแพทย์  และวงการจิตวิทยา  ที่ไม่เชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณ  จึงไม่มีงานวิจัยเกี่ยวกับการ  เหนี่ยวนำของจิตที่มีต่อสมอง  แต่จะไปเน้นหนักในการศึกษาวิจัย  เชิงกายภาพของสมอง  ทั้งระบบการส่งสัญญาณประสาทและ   การทำงานของสมองส่วนต่าง ๆ   สมองของมนษุ ยแ์ บง่ ออกเปน็ สองซกี   เหมอื นสม้ โอสองกลบี   ใหญ่ ๆ ที่นำมาประกบกัน  ถ้าดูจากรูปร่างทางกายภาพภายนอก  จะบอกได้ว่า  สมองทั้งสองซีกเหมือนกัน  ดูสมมาตร  กลมกลืน  และขนาดเท่ากนั     วงการแพทย์ทราบมานานแล้วว่า  สมองแต่ละซีกจะควบคุม  และรับสัมผัสร่างกายด้านตรงข้าม  คือ  สมองซีกซ้ายทำหน้าที่  ควบคุมและรับสัมผัสร่างกายด้านขวา  ทั้งตา  หู  จมูก  แขน  ขา  ฯลฯ  สว่ นสมองซกี ขวากจ็ ะสง่ เสน้ ประสาทไขวไ้ ปยงั รา่ งกายดา้ นซา้ ย  ดังนั้นถ้าเรามองด้วยตาซ้าย  สัญญาณภาพส่วนใหญ่จะถูกส่งไป  ที่สมองซีกขวา  ในทางตรงกันข้าม  ถ้าเราใช้หูขวาฟัง  สัญญาณ  เสียงจะส่งไปที่สมองซีกซ้าย   สมองซีกซ้ายเป็นสมองส่วนตรรกะ  เหตุผล  สัญลักษณ์  ภาษา  การคดิ แบบแยกยอ่ ย  หรอื ลงไปในรายละเอยี ด  สว่ นสมอง  ซกี ขวาจะเปน็ สมองสว่ นอารมณ ์ ความรสู้ กึ   จนิ ตนาการ  การหยง่ั ร้ ู และวิเคราะห์แบบองค์รวม  จะเห็นได้ว่าสมองทั้งสองซีกทำงาน  ตา่ งกนั คนละขว้ั   ราวกบั วา่ เปน็ คนสองคนในรา่ งเดยี วกนั   (หมายเหต ุ ประมาณ  5  เปอร์เซ็นตข์ องประชากรจะมีสมองกลบั ขา้ ง  คอื ซกี ขวา  คดิ แบบแยกยอ่ ย  สว่ นซีกซา้ ยคิดแบบองค์รวม) เดอะทอ็ ปซเี ครต็  2 ตอน ความลบั ส่คู วามสำเร็จ

  ปัจจุบัน  ทั้งในวงการแพทย์  วงการวิทยาศาสตร์  และ   การศึกษา  ได้ให้ความสำคัญกับการทำงานของสมองซีกซ้าย  มากกว่า  เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะคนเราเมื่อเติบโตขึ้นมีแนวโน้ม  ที่จะใช้สมองซีกซ้ายเป็นหลักในการทำงานมากกว่า  90  เปอร์เซ็นต์  จะมีประชากรเพียงประมาณ  10  เปอร์เซ็นต์ที่สมองซีกขวาทำงาน  เด่นกว่าซีกซ้าย  และบุคคลที่รู้จักใช้สมองซีกขวาเหล่านั้นก็คือ  ผู้ที่ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพต่าง ๆ นั่นเอง การทำงานของสมอง      สมองซีกขวามีแนวโน้มของศักยภาพในด้านที่เกี่ยวข้องกับ  กระบวนการเรียนรู้แบบก้าวกระโดด  ความสามารถเชิงภาพรวม  ภาษากายและท่าทาง  การมองแบบสามมิติ  ความคิดสร้างสรรค ์ และความรู้สึก  สมองส่วนนี้สามารถเชื่อมโยงประสบการณ์จาก  หลาย ๆ ประสบการณ์มาวิเคราะห์ร่วมกันเป็นองค์ความรู้ใหม่ได ้ สมองซีกนี้สามารถสร้างเครือข่ายใยประสาทเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล  ไปไดท้ ว่ั สมอง  เซลลป์ ระสาทเพยี งหนง่ึ เซลลใ์ นสมองซกี ขวาสามารถ  สร้างเส้นใยประสาทออกจากตัวเพื่อติดต่อเชื่อมไปยังเซลล์ประสาท  อ่ืน ๆ รอบข้างได้มากถงึ   20,000  เซลล์  และเซลล์ประสาททีถ่ กู เช่ือม  ใน  20,000  เซลล์นั้น  แต่ละเซลล์ก็ยังสามารถส่งแขนงของตัวเอง  ไปเชื่อมต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเซลล์อื่น ๆ ต่อเนื่องได้อีก  20,000  เซลล์เช่นกัน  ลองคิดดูว่า  ร่างแหใยประสาททั้งหมดจะยิ่งใหญ่  ขนาดไหน  ข้อมูลที่เข้ามาใช้ในการประมวลผลจึงมากมายมหาศาล  จนผลสรุปของมันหาเหตุผลไม่ได้  ในขณะที่เซลล์ประสาทของ  สมองซีกซ้ายจะไม่ค่อยยอมเชื่อมโยงกับเซลล์อื่นที่มีหลักทาง  ตรรกะต่างกัน  เซลล์ประสาทในสมองซีกซ้ายบางตัวเชื่อมโยงกับ  ทันตแพทย์สม สจุ รี า

เซลลส์ มองอ่นื  ๆ เพียง  1,000  เซลล์  ดังน้นั การคิดของสมองซกี ซา้ ย  จะอยใู่ นขอบเขตของตรรกะเหตผุ ล  ไมค่ อ่ ยคดิ นอกกรอบ  ความคดิ   สร้างสรรค์มักจะไม่เกิดขึ้นในสมองส่วนนี้  เพราะเซลล์สมองแต่ละ  เซลล์แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันน้อยเกินไป     จิตรกรชั้นนำมีข้อมูลบันทึกเรื่องแม่สีไว้ในสมองซีกซ้าย  เท่ากับคนอื่น ๆ  แต่แม้แม่สีเพียงสามสีที่รู้กันอยู่  ก็สามารถนำมา  สร้างสรรค์เป็นภาพวาดต่าง ๆ ที่งดงาม  เพลิดเพลินเจริญตา  จน  ภาพบางภาพมีมูลค่านับพันล้านบาท  ตัวโน้ตที่มีเพียง  8  ช่องเสียง  โด  เร  มี  ฟา  ซอล  ลา  ซี  โด  ทุกคนเคยได้ยินและบันทึกไว ้ ในสมองซีกซ้าย  แต่คนที่ฟังเป็นจะสามารถนำมาร้อยเรียงเป็น  บทเพลงไพเราะเพราะพริ้งมากมาย  คนทที่ ำกบั ขา้ วเก่ง ๆ  สามารถ  นำวัตถุดิบที่ราคาไม่ต้องแพงมากมาปรุงให้เป็นอาหารเลิศรสระดับ  เชลล์ชวนชิมได้  ซึ่งทั้งหมดนี้คือการทำงานของสมองซีกขวา  ปาฏิหาริย์จากสมองซีกขวา      มีกรณีศึกษาทางการแพทย์พบว่า  คนไข้ที่สมองซีกซ้าย  สว่ นหนา้ เสยี หายจากการเกดิ อบุ ตั เิ หตหุ รอื พยาธสิ ภาพ  แตป่ รากฏวา่   คนไข้คนนั้นกลับมีลักษณะของอัจฉริยะบางอย่างเกิดขึ้น  ทั้ง ๆ ที่  ก่อนหนา้ ไมเ่ คยมีแววทางดา้ นนเ้ี ลย  เชน่   บางคนสามารถวาดภาพ  ได้ราวกับเป็นมืออาชีพ  บางคนพูดภาษาต่างประเทศได้อย่าง  คล่องแคล่ว  หรือเล่นเปียโนได้ราวกับฝึกซ้อมมาแรมปี  จากการ  ค้นพบนี้สรุปได้ว่า  สมองซีกขวามีศักยภาพแฝงซ่อนอยู่ภายใน  เยอะมาก  และอัจฉริยบุคคลสาขาต่าง ๆ ของโลกไม่ได้เกิดขึ้น  เพราะมีเซลล์ประสาทมากกว่าคนอื่น  เพียงแต่เขารู้จักใช้สมอง  เดอะทอ็ ปซเี คร็ต 2 ตอน ความลับส่คู วามสำเรจ็

ส่วนที่คนอื่น ๆ ไม่ได้ใช้  ทุกคนสามารถเป็นอัจฉริยะได้  ถ้ารู้จักใช้   สมองสว่ นนี้   สมองซีกขวาจะทำงานได้เร็วกว่าสมองซีกซ้ายหลายเท่า  การตดั สนิ ใจทฉ่ี บั ไวจะมาจากสมองสว่ นน้ี  ยกตวั อยา่ งเชน่   ขณะท่ ี ขบั รถดว้ ยความเรว็   แลว้ มสี นุ ขั ตดั หนา้ กะทนั หนั   การคดิ เชงิ ตรรกะ  แบบสมองซีกซ้าย  ว่าจะทำอย่างไร  ถ้าชนแล้วบาปไหม  หักหลบ  ไปทางซ้ายหรือทางขวาดี  มีเสาไฟฟ้าข้างทางหรือไม่  รถที่สวนมา  อีกเลนอยู่ไกลแค่ไหน  การคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผลอย่างละเอียด  ใช้ไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้  ไหวพริบปฏิภาณเท่านั้นที่จะช่วยได ้ และการตัดสินใจต้องเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที  แน่นอนว่า  ถ้า  เคยมีประสบการณ์หรือเคยจินตนาการเกี่ยวกับการตัดสินใจแบบนี้  มาก่อน  จะทำให้สมองซีกขวาซึ่งทำหน้าที่จำเป็นภาพตัดสินใจได้  งา่ ยขึน้   คนทั่วไปส่วนใหญ่จะเรียกการทำงานของสมองซีกขวาว่า  ไหวพริบ  ปฏิภาณ  ความคิดสร้างสรรค์  การหยั่งรู้  ซึ่งสิ่งเหล่านี ้ ไม่เกี่ยวกับการนึกคิดตรึกตรองหาเหตุผลแบบสมองซีกซ้าย  แต ่ การทำงานของมันรวดเร็ว  ถูกต้อง  และแน่นอน  เพราะทำงาน  ในระดับที่ละเอียดและซับซ้อนมาก  และลงลึกไปถึงจิตใต้สำนึก  เลยทีเดยี ว    สมองทั้งสองซีกทำงานต่างกันมาก  เช่น  การดู  เกี่ยวข้อง  กับสมองซีกซ้าย  แต่การเห็น  เป็นเรื่องของสมองซีกขวา  เช่น  ทุกคนสามารถดูภาพศิลปะ  แต่บางคนเท่านั้นที่เห็น  การได้ยิน  เป็นเรื่องของสมองซีกซ้าย  แต่การฟังเป็นต้องใช้สมองซีกขวา  ทันตแพทย์สม สุจรี า

คนที่ใช้สมองส่วนนี้จะเข้าใจประเด็นที่คนอื่นต้องการสื่อสารได้ดี  เข้าอกเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น  และเป็นที่นิยมชมชอบของคน  ทว่ั ไป      ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลกล้วนใช้สมองซีกขวาเป็นหลัก  ถึงจะ  ครองใจประชาชนได้  หลายครั้งที่การตัดสินใจครั้งสำคัญ ๆ จะใช ้ ความรู้สึกนำมาก่อนความคิดและเหตุผล  บางครั้งข้อมูลดิบเชิง  ตรรกะก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก  มีคนที่เรียนหนังสือเก่ง  คำนวณเก่ง  มากมาย  ที่ล้มเหลวในการทำงาน  ยิ่งไปกว่านั้น  ผู้บริหารบริษัท  ระดับแสนล้านบาทของไทยหลายคนจบเพียงแค่ชั้น  ป. 4  แต่  สามารถมองธุรกิจแบบองค์รวมจนทะลุปรุโปร่ง  และมอบหมาย  งานแยกย่อยให้พนักงานแบ่งกันไปรับผิดชอบ  ในขณะที่ตัวเอง  คุมงานนโยบาย  ผู้บริหารที่เก่ง ๆ จะรู้จักวิเคราะห์  ทำให้การแบ่ง  ความรับผิดชอบของเขาถูกคน  ตรงกับความถนัดของลูกน้อง  และไว้วางใจได้  อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้บริหารเหล่านี้ต้องมีคือ  ความ  สามารถในการถ่ายทอดความรู้สึกจากสมองซีกขวาไปยังศูนย ์ ควบคุมภาษาที่สมองซีกซ้าย  เพื่ออธิบายสิ่งที่ตนเองรู้สึกออกมา  เป็นคำพูดให้ได้  มิฉะนั้นจะมอบหมายงานไม่ได้เลย   ผู้ที่ใช้สมองซีกขวาจะประสบความสำเร็จเหนือกว่าคนอื่น ๆ  นักเขียนชั้นนำไม่จำเป็นต้องจบอักษรศาสตร์  นักเล่นหุ้นที่เก่ง ๆ  ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งจบปรญิ ญาเอกทางดา้ นการเงนิ   การดรู าคาหนุ้   ตวั เลข  ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ  เพื่อวิเคราะห์ตามทฤษฎี  ตามกราฟ  เป็นเรื่อง  เชิงตรรกะ  ซึ่งถ้าใครเล่นหุ้นจะรู้ว่า  บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์  มกั จะสวนทางกบั ราคาทเ่ี ปน็ จรงิ อยบู่ อ่ ย ๆ  สว่ นคนทใ่ี ชส้ มองซกี ขวา  เล่น  เขาจะมองเห็นองค์รวม  รู้นิสัยของหุ้นตัวนั้น  รู้อารมณ์ของ  เดอะท็อปซเี คร็ต 2 ตอน ความลับส่คู วามสำเร็จ

ตลาด  รคู้ วามเปน็ ไปของสถานการณแ์ วดลอ้ ม  รแู้ นวโนม้ ในอนาคต   ฯลฯ  คนที่เล่นหุ้นแบบนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า  คน  ที่ใช้สมองซีกซ้ายมักจะยึดติดกับข้อมูลในอดีต  ไม่สนใจการ  คาดการณอ์ นาคต  จะตัดสินใจแบบปลอดภยั ไว้กอ่ น  ไม่กลา้ เส่ียง  และชอบลังเล  เพราะข้อมูลที่มีอยู่มากเกินไป  ซึ่งตรงกันข้ามกับ  คนที่ใช้สมองซีกขวา  จะสนใจอนาคตมากกว่าอดีต  ตัดสินใจ  จากภาพรวมมากกว่ารายละเอียด  กล้าได้กล้าเสีย  และแม้จะ  ผิดพลาดล้มเหลว  ก็จะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรมาก  เพราะคนที่ใช้  สมองซีกนี้จะเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ  สนใจในศาสนา  และปรัชญา  และถ้าหันมาสนใจปฏิบัติธรรม  ก็มีโอกาสที่จะบรรล ุ ภาวนาปญั ญาญาณได้มากกว่า  จากการตรวจวดั สมองดว้ ยคลน่ื สนามแมเ่ หลก็   (Functional  MRI)  พบวา่   ผทู้ ใ่ี ชส้ มองซกี ซา้ ยมากเกนิ ไป  เมอ่ื ผดิ พลาดลม้ เหลว  ในชีวิต  จะเกิดอาการของโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำเชิงเปรียบเทียบ  มองภาพตัวเองในแง่ร้าย  ตำหนิความบกพร่องของตนเองอยู ่ ตลอดเวลา  และมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตายสูงมาก  ซึ่งอาการนี้  จะไม่เกิดขึ้นกับคนที่สมองซีกขวาเด่นกว่า  เพราะสมองซีกนี้  ไม่ชอบการเปรียบเทียบเชิงตรรกะ เนื่องจากการประมวลผลของสมองซีกขวาอยู่เหนือขอบเขต  ของตรรกะเหตุผล  ดังนั้น  บางครั้งมันจะแสดงผลออกมาในรูป  ของสญั ชาตญาณ  การหยง่ั รหู้ รอื ความรสู้ กึ สงั หรณ์  ซง่ึ ไมม่ เี หตผุ ล  แต่ถ้าตัดสินใจไปตามนั้นแล้วถูกต้อง  กระบวนการนี้ไม่สามารถ  อธิบายได้ด้วยชีววิทยา  คืออยู่นอกเหนือความสามารถของวิทยา-  ศาสตร์ที่จะอธิบาย  ทนั ตแพทย์สม สจุ ีรา

การวิเคราะห์แบบองค์รวม   สมองซกี ซา้ ยจะทำงานโดยเรยี นรจู้ ากสว่ นยอ่ ยไปหาสว่ นใหญ ่ แต่สมองซีกขวาจะกลับกัน  มันจะมององค์รวม  คือส่วนใหญ่ก่อน  10 แล้วค่อยไปหาส่วนย่อย  การพบหลักใหญ่เป็นเรื่องสำคัญกว่า  เพราะจะมองเห็นองค์ประกอบทั้งหมดได้  เห็นจุดสำคัญทุกจุด  ซึ่งถ้าอยากลงไปหารายละเอียดที่จุดไหนก็ไม่ใช่เรื่องยาก  และ  มนั จะเลือกวเิ คราะหเ์ ฉพาะจดุ ยอ่ ยท่สี ำคัญสำหรบั หลักใหญ่  ย่ิงไป  กว่านั้น  การเข้าใจในหลักใหญ่จะช่วยให้สามารถเข้าใจสถานการณ์  หรอื ปญั หาอน่ื  ๆ ทค่ี ลา้ ยคลงึ กนั ไปดว้ ย  เพราะการเปรยี บเทยี บจาก  หลกั ใหญจ่ ะเหน็ ความคลา้ ยมากกวา่ การเอาสว่ นยอ่ ยมาเปรยี บเทยี บ  กัน    การมองแบบองค์รวมจะทำให้มีการตัดสินใจที่ถูกต้องกว่า  แพทย์ที่วิเคราะห์ผู้ป่วยแบบแยกย่อย  มีโอกาสจะวินิจฉัยโรค  ผิดพลาดมากกว่า  ทนายความที่มองคดีแบบแยกย่อย  จะพลาด  การหาหลกั ฐานในจดุ สำคญั บางจดุ ไป  ผวู้ า่ ราชการกรงุ เทพมหานคร  ที่คิดจะแก้ไขปัญหาการจราจร  ถ้าวิเคราะห์แบบองค์รวมทั้งระบบ  ไม่ว่าทางถนน  ทางน้ำ  ทางราง  ทางด่วน  จะเห็นภาพแห่งความ  สำเร็จชัดกว่าการมองแบบแยกย่อยตามจุดสี่แยก    อัจฉริยะของโลกล้วนคิดย้อนกลับจากองค์รวมก่อน  แล้วค่อยมาแยกย่อย  ทั้งไอน์สไตน์  นิวตัน  ปีกัสโซ  เบโทเฟน  นโปเลียน  ฯลฯ  ครั้งหนึ่งเคยมีคนถามมีเกลันเจโล  อัจฉริยะ  ทางดา้ นศลิ ปะ  วา่ ทำไมถงึ แกะสลกั รปู ปน้ั เดวดิ ไดง้ ดงามมหศั จรรย์  ปานนั้น  เขาตอบว่า  ตอนที่หินอ่อนก้อนใหญ่มาอยู่ตรงหน้า  เขา  เดอะท็อปซีเครต็  2 ตอน ความลบั สู่ความสำเรจ็

เห็นรูปเดวิดอยู่ในหินก้อนนั้นแล้ว  สิ่งที่ต้องทำคือสกัดส่วนที่ไม่ใช ่ 11 เดวิดออกไป  จะเห็นได้ว่ามีเกลันเจโลใช้สมองซีกขวาจินตนาการ  ถึงองค์รวมก่อน  แล้วจึงค่อยส่งสัญญาณไปที่สมองซีกซ้าย  ให้หาเครื่องมือ  หาวิธีสกัดไปตามจินตนาการนั้น  บิล  เกตส์  กเ็ ชน่ กนั   เขาจนิ ตนาการถงึ ภาพของรปู ตา่ ง ๆ ทป่ี รากฏขน้ึ บนหนา้ จอ  แบบระบบปฏิบัติการวินโดว์สก่อน  แล้วจึงค่อยศึกษารายละเอียด  ของการคลิกย้อนกลับ  เพื่อไปดึงข้อมูลแยกย่อย  คอมพิวเตอร ์ ในยุคสมัยก่อนไม่มีเมาส ์ เวลาจะหาข้อมูลต้องป้อนคำสั่งแยกย่อย  เข้าไปทางแป้นพิมพ์ซึ่งเสียเวลาและยุ่งยากมาก  เป็นเรื่องธรรมดา  ที่นักออกแบบคอมพิวเตอร์ซึ่งในสมองมีแต่ตัวเลขจะคิดแบบ  ใช้สมองซีกซ้ายเป็นใหญ ่ พอบิล  เกตส์  มาคิดโดยใช้สมองซีกขวา  เป็นหลัก  ทำให้เขากลายเป็นอัจฉริยะทางด้านนี้ทันที  อัจฉริยะ  เหล่านี้ไม่ได้มีเซลล์สมองมากกว่าคนทั่วไป  เพียงแต่เขาสามารถ  ใช้สมองบางส่วนที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้ใช้    หลักสูตร  MBA  ของมหาวิทยาลัยชั้นนำ  จะเริ่มต้นศึกษา  จากผลไปหาเหตุ  เช่น  ยกกรณีตัวอย่างของบริษัทที่ล้มเหลวทาง  ธุรกิจ  (ผล)  แล้วให้นักศึกษาวิเคราะห์หาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด  เหตุการณ์เช่นนั้น  หลักอริยสัจ  4  ของพระพุทธเจ้าก็เช่นกัน  พระองค์ทรงเรียงลำดับทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค  โดยทรงยก  นิโรธ  (ความดับทุกข์)  ขึ้นมาก่อนมรรค  (หนทางของการดับทุกข์)  กค็ อื การยกผลขน้ึ มาพจิ ารณากอ่ นนน่ั เอง  การสอนของพระพทุ ธเจา้   เริ่มต้นจากองค์รวมก่อน  แล้วค่อยแยกย่อย  เพราะการแยกย่อย  จะทำให้เข้าใจความจริงต่าง ๆ ผิดไป   ทันตแพทย์สม สุจีรา

  โดยธรรมชาตขิ องสมอง  ถา้ เหน็ ผล  มนั จะพยายามวเิ คราะห์  ไปหาเหตุโดยอัตโนมัติ  และเมื่อพบสาเหตุ  ก็จะถูกบันทึกไว้ใน  สมองสว่ นลกึ ทนั ท ี แตท่ ง้ั นต้ี อ้ งเปน็ การวเิ คราะหด์ ว้ ยปญั ญา  เพราะ  ถ้าวิเคราะห์ด้วยอวิชชาจะยิ่งเข้าใจผิดไป  เช่น  เห็นรถประสบ  12 อบุ ตั เิ หตบุ นโคง้ แหง่ หนง่ึ บอ่ ย ๆ  การวเิ คราะหว์ า่ เหตมุ าจากเจา้ ทแ่ี รง  และสมองบันทึกไว้ในระดับลึก  การจะไปเปลี่ยนความรู้สึกของ  ความเชื่อแบบนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก สมองซีกขวากับการวางแผน   การวางแผนหรือวางลำดับงานก็เป็นเรื่องสำคัญ  การที่จะ  สามารถวางแผนได้อย่างแยบยล  มีกลยุทธ์  หรือจัดลำดับงาน  ได้อย่างซับซ้อน  ต้องเข้าใจองค์ประกอบโดยรวมเสียก่อน  ยิ่ง  ถา้ เปน็ การแขง่ ขนั ทร่ี นุ แรง  สสู  ี คแู่ ขง่ นา่ กลวั   หรอื ในการแขง่ กฬี า  การทำสงคราม  ผู้นำระดับอัจฉริยะที่วางแผนต้องมองเห็น  องค์รวมทั้งหมดอย่างทะลุปรุโปร่ง  แม่ทัพที่ใช้สมองซีกขวาจะมี  ไหวพริบสูงมาก  และสามารถเข้าใจไปถึงความรู้สึกของคู่ต่อสู้ด้วย  ไหวพริบ  เป็นการแก้ไขปัญหาที่นอกกรอบจนคู่ต่อสู้คาดไม่ถึง  ดังเช่นตามประวัติศาสตร์ไทย  สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรง  ใช้ไหวพริบในการทำศึกอยู่ตลอดเวลา  นับแต่สงครามครั้งแรก  ที่ศึกเมืองคัง  การรบของพระองค์ก็ไม่อยู่ในกรอบ  คือเลือกบุก  เขา้ ทางดา้ นหลงั   ซง่ึ แนน่ อนวา่ การจะคดิ เชน่ นน้ั ไดต้ อ้ งมองเหน็ ภาพ  องคร์ วมเสยี กอ่ น  และครง้ั สำคญั ทส่ี ดุ ในศกึ ยทุ ธหตั ถ ี การทา้ ดวล  ยุทธหัตถี  ต้องหยั่งรู้ความรู้สึกเสียก่อนว่า  การท้าทายเช่นไรจึง  จะไปกระตุ้นความรู้สึกของพระมหาอุปราชาได้  ถ้า  ณ  เวลานั้น  พระมหาอุปราชาใช้สมองซีกซ้ายคิดเชิงตรรกะเหตุผล  จะไม่มีทาง  เดอะท็อปซีเคร็ต 2 ตอน ความลบั สูค่ วามสำเร็จ

ออกมาทำศึกยุทธหัตถีแน่นอน  เพราะจะคิดแบบปลอดภัยไว้ก่อน  13 สมองซีกนี้ไม่กล้าเสี่ยง  และเน้นผลในการปฏิบัต ิ เพียงแค่ยกมือ  ส่ังใหท้ หารกว่าสองแสนนายทีล่ อ้ มอยู่ระดมยงิ   ชัยชนะก็จะตกเป็น  ของพระมหาอุปราชาอย่างง่ายดาย  แต่การตรัสท้าทายของสมเด็จ  พระนเรศวรมหาราชสามารถไปกระตุ้นสมองส่วนอารมณ์ความ  รู้สึกของพระมหาอุปราชาได้  ซึ่งสมองส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับการ  แสดงความกลา้ หาญด้วย ทันตแพทย์สม สจุ รี า

  การมองแบบองค์รวมจะเห็นการเชื่อมโยง  เห็นเหตุและ  ปัจจัย  เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็น  ทำให ้ สามารถคิดและตัดสินใจได้ไม่เหมือนคนอื่น  หรือก่อนคนอื่น  เมอ่ื เหน็ เปน็ องคร์ วม  จะทำใหม้ คี วามอดทน  รจู้ กั รอคอย  มคี วาม  14 ฉลาดทางอารมณ์  (EQ)  สูง  นอกจากนั้นสมองซีกนี้ยังช่วยหลั่ง  ฮอรโ์ มนแหง่ ความสขุ ออกมาอกี ดว้ ย  บางครง้ั เพยี งการมองออกไป  ทท่ี อ้ งฟา้ ยามพระอาทติ ยต์ ก  กร็ สู้ กึ งดงามเหนอื จะบรรยาย  ในขณะ  ที่คนใช้สมองซีกซ้ายจะไม่รู้สึกอะไร  เพราะคิดในเชิงเหตุผลว่า  พระอาทิตย์ตกมันก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว  ไม่เห็นแปลก  ความไม่รู้สึก  บวก  ขาดจินตนาการ  จะทำให้ความอดทนต่ำ  คนที่ใช้สมอง  ซีกซ้ายเพียงอย่างเดียวจะมองทุกสิ่งเป็นแบบแยกย่อย  และมอง  เฉพาะข้อเท็จจริง  หรือตัวเลขเชิงตรรกะ  เห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏ  ตรงหน้า  ขาดจินตนาการ  ขาดการคาดหมายอนาคต  แม้จะแม่น  ข้อมูล  แต่ก็ไม่สามารถนำข้อมูลนั้นมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน ์ ได้  ส่วนคนที่ใช้สมองซีกขวาจะมองเห็นโอกาส  ความเป็นไปได ้ มีแรงบันดาลใจ  แรงจูงใจสูง  และสามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่ให้เป็น  ประโยชน์อย่างสูงสุด  แม้ว่าเขาจะไม่แม่นข้อมูล  แต่จะพยายาม  เสาะหาข้อมูลเพิ่มเติมตรงส่วนที่สนใจอยู่ตลอดเวลา  เป็นการเจาะ  ข้อมูลเฉพาะจุดที่จะนำมาประยุกต์เข้ากับจินตนาการ   การรู้รอบก่อนรู้ลึกเป็นเรื่องสำคัญ  คนคิดการณ์ใหญ่ต้อง  คิดใหญ่  และบางครั้งต้องรู้จักสละผลประโยชน์ส่วนย่อยเพื่อ  เป้าหมายที่ใหญ่กว่า  ถ้าคิดเล็กคิดน้อยจะพลาดเป้าหมายที่สำคัญ  ไป  ทักษะในการตัดสินใจที่แท้จริงต้องมองเห็นภาพรวม  เห็น  เหตปุ จั จยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งทง้ั หมดแลว้ เทา่ นน้ั   การตดั สนิ ใจใด ๆ ทม่ี าจาก  ข้อมูลที่แยกย่อยจะมีโอกาสผิดพลาดสูงมาก เดอะทอ็ ปซเี คร็ต 2 ตอน ความลับสูค่ วามสำเร็จ

มองกว้าง  มองไกล  ไปให้ถึง 15 สิ่งหนึ่งที่ทำให้นกอินทรีและเหยี่ยวเหนือกว่านกทั่วไป  คือ  สายตาของมนั สามารถมองไดก้ วา้ งไกลกวา่   และเมอ่ื ตอ้ งการเจาะลกึ   ไปที่รายละเอียดส่วนใด  มันพร้อมที่จะโฉบลงมาบริเวณนั้นอย่าง  รวดเร็ว  การมองแบบองค์รวมในตอนแรก  ทำให้สามารถเห็นใน  สิ่งที่นกตัวอื่นไม่เห็น    สาเหตทุ โ่ี ออชิ สิ ามารถแทรกตลาดนำ้ ดม่ื ขน้ึ มาไดอ้ ยา่ งยง่ิ ใหญ่  ก็คือ  เป๊ปซี่หรือโค้กซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่มองว่า  ตัวเองอยู่ในอุตสาห-  กรรมน้ำอัดลม  ไม่ใช่อุตสาหกรรมน้ำชาเขียว  จึงทำให้เกิดช่องว่าง  ทางการตลาด  ในทางตรงกันข้าม  เบียร์ช้างไม่คิดว่าตัวเองอยู่ใน  อุตสาหกรรมเบียร์  แต่คิดว่าอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม  การ  มองกว้างแบบบริษัทเบียร์ช้าง  จึงเปิดตลาดครอบคลุมเครื่องดื่ม  ทุกรูปแบบ  รวมไปถึงการซื้อบริษัทโออิชิเข้ามาไว้ในเครือ  การ  มองกว้างสำคัญมากในการทำธุรกิจ  ซึ่งบริษัทขนาดใหญ่อย่างซีพ ี ปูนซิเมนต์ไทย  ปตท.  ฯลฯ  ล้วนแล้วใช้หลักการมองกว้างเข้ามา  วางแผนให้เป็นธุรกิจแบบครบวงจร  การมองแบบเหยี่ยวจะเห็น  โอกาสมากกว่า  แต่อย่างไรก็ตาม  โอกาสนั้นจะต้องอยู่ในขอบเขต  ของความเชี่ยวชาญด้วย    ครง้ั หนง่ึ   ฮอนดา้ เคยคดิ วา่ ตนเองอยใู่ นธรุ กจิ รถจกั รยานยนต์  แต่เมื่อเปิดมุมมองใหม่ว่า  ความจริงแล้วฮอนด้าอยู่ในธุรกิจ  ยานยนต์  บริษัทฮอนด้าก็เติบโตอย่างก้าวกระโดดทันที  แม้จะ  มีโตโยต้าครองอันดับหนึ่งอยู่  ฮอนด้าก็ยังสามารถหาช่องว่าง  แทรกตัวขึ้นมาทำการตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลได้  ทนั ตแพทยส์ ม สุจีรา

  การหาช่องว่างทางการตลาดเป็นเรื่องสำคัญ  โดยเฉพาะ  อย่างยิ่งกับการเริ่มต้นใหม่ที่มีเจ้าตลาดอยู่แล้ว  คุณหนูแหม่ม -  สุริวิภา  กุลตังวัฒนา  ต้องการทำธุรกิจเสื้อผ้าแบรนด์เนม  แต ่ การที่จะไปแข่งกับแบรนด์ยี่ห้อดัง ๆ ที่มีอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  16 ช่องว่างทางการตลาดที่คุณสุริวิภาเห็นก็คือ  เสื้อผ้าขนาด  XXL  ยังไม่มีใครทำการตลาด  ทั้ง ๆ ที่กลุ่มผู้บริโภคมีจำนวนไม่น้อย  และมีกำลังซื้อสูง  แต่หาซื้อเสื้อผ้าที่ดูสวยและเหมาะกับรูปร่าง  ของตัวเองไม่ได้  แบรนด์  SURI  จึงถือกำเนิดขึ้นมา  ช่องว่างทาง  การตลาดนี้ไม่ใช่แค่ระดับประเทศ  แต่จะเป็นโอกาสในระดับโลก  เลยทีเดียว  แม้แต่เจ้าแห่งวงการแฟชั่นอย่างฝรั่งเศสยังมองข้าม  ตรงจุดนไ้ี ป    การมองกว้างจะทำให้เกิดการถ่อมตัว  เพราะไม่คิดว่าตัวเอง  เปน็ ทห่ี นง่ึ   ความลบั อยา่ งหนง่ึ ของผนู้ ำธรุ กจิ อนั ดบั หนง่ึ   และยงั คง  รักษาอันดับไว้ได้อย่างยาวนานคือ  อย่าคิดว่าตัวเองเป็นที่หนึ่ง  เมื่อใดที่คิดเช่นนั้น  จะเกิดการลำพองใจ  ทำให้ขาดความมุ่งมั่น  ขาดแรงขบั   แตเ่ มอ่ื ใดทค่ี ดิ วา่ ตวั เองยงั ตอ้ งปรบั ปรงุ อกี มาก  เมอ่ื นน้ั   การพัฒนาจะเกิดขึ้น  บิล  เกตส์  ไม่เคยยอมรับว่าบริษัทไมโคร-  ซอฟต์ของเขาเป็นอันดับหนึ่ง  เขากล่าวอย่างถ่อมตัวเสมอว่า  เรา  ชำนาญในเรอ่ื งซอฟตแ์ วรก์ จ็ รงิ   แตเ่ รอ่ื งระบบฐานขอ้ มลู   การคน้ หา  ขอ้ มูล  หรอื การจดั เก็บขอ้ มูล  เรายังตามบริษัทอ่นื อยู่เลย สมองในวัยเด็ก   เด็กวัย  1 - 8  ขวบจะใช้สมองซีกขวาถึง  80 - 95  เปอร์เซ็นต์  และค่อย ๆ ลดลงเหลือเพียง  5 - 10  เปอร์เซ็นต์ในวัยผู้ใหญ ่ ทำให ้ เดอะท็อปซเี ครต็  2 ตอน ความลับสู่ความสำเรจ็

คนเราเมื่อเติบโตขึ้นจะจำเรื่องราวต่าง ๆ ในช่วง  1 - 8  ขวบไม่ค่อย  17 ได้  ความจริงแล้วความทรงจำเหล่านั้นไม่ได้หายไปไหน  มันยังคง  ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก   ผู้ที่ใช้สมองซีกขวา  ซึ่งเป็นสมองที่ทำงานเด่นในวัยเด็ก  จะทำให้พวกเขามีความรู้สึกเป็นเด็กและอยากรู้อยากเห็นสูง  กลับ  เปน็ ผลด ี เพราะจนิ ตนาการไมถ่ กู จำกดั   ประกอบกบั สมองแบบเดก็   จะไม่ค่อยมีกิเลสตัณหาที่เร่าร้อน  ผู้ประสบความสำเร็จในสาขา  อาชีพต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ค้นพบความลับของสมองซีกขวา  แม้ว่า  พวกเขาจะไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็ตาม  อาทิเช่น  บิล  เกตส์,  ไทเกอร ์ วดู้ ส,์   สตเี วน  สปลี เบริ ก์ ,  ทอม  แฮงคส์ ,  เจ.  เค.  โรวล์ ง่ิ ,  เซอร์ไอแซก  นิวตัน,  ทอมัส  แอลวา  เอดิสัน  ฯลฯ  รวมไปถึง  ปาโบล  ปีกัสโซ  จิตรกรระดับโลก  เคยบอกว่า  ที่เขาสร้างผลงาน  ได้ขนาดนั้นเพราะยังเหลือความเป็นเด็กอยู่มาก  ความมีศิลปะ  ฝังอยู่ในใจเด็กทุกคน  แต่ปัญหาก็คือ  เมื่อเติบโตขึ้น  พวกเขา  ไม่สามารถรักษาความเป็นเด็กนั้นไว้ได้    โดยธรรมชาติแล้ว  เพศชายเมื่อเติบโตขึ้นจะยังคงเหลือ  ความเป็นเด็กติดตัวอยู่มากกว่าเพศหญิง  และส่วนนี้ถือว่าเป็นจุด  ได้เปรียบของเพศชาย  คนที่มีความเป็นเด็กอยู่จะมีจินตนาการสูง  มีอารมณ์ขัน  และขี้เล่น    ทอมัส  แอลวา  เอดิสัน  บอกว่า  ที่เขาประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ  ได้มากมายขนาดนี้เพราะยังมีความเป็นเด็กเหลืออยู่  แอลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  ก็เช่นเดียวกัน  เคยเขียนไว้มีความหมายว่า...  “คนเรา  เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่  จะไม่มีใครคิดถึงเรื่องเวลายืดหดได้อีกเลย  ทันตแพทยส์ ม สจุ รี า

มันเป็นความคิดของเด็กเท่านั้น  แต่โชคดีที่หัวผมช้า  ผมจึง  เพิ่งมาสงสัยเรื่องเวลายืดหดเอาเมื่อตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”  (เรอ่ื ง “เวลายดื หด” ไดอ้ ธบิ ายไวอ้ ยา่ งละเอยี ดในหนงั สอื  “ไอนส์ ไตน ์ พบ  พระพทุ ธเจ้าเห็น”) 18   ชาร์ลส์  ดาร์วิน,  แอลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  และเซอร์ไอแซก  นิวตัน  สามอภิมหาอัจฉริยะอันดับ  1 – 3  ของโลก  เริ่มต้นชีวิต  ในวัยเด็กด้วยความผิดปกติ  ทั้งดาร์วิน  ไอน์สไตน์  และนิวตัน  ถูกครูปรามาสว่าเป็นเด็กหัวทึบ  ครูบางคนถึงขนาดบอกว่า  ปัญญาด้อยกว่าเด็กทั่วไป  เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะช่วงนั้นพวกเขา  ไม่ใช้สมองซีกซ้ายเลย  จึงมีปัญหาเรื่องการเรียนรู้และสื่อ  ความหมาย  เช่น  การอ่าน  การพูด  การคำนวณ  ฯลฯ  ขนาด  อายุหกขวบ  ไอน์สไตน์ยังอ่านหนังสือไม่ค่อยออก  พูดไม่เก่ง  คำนวณคณิตศาสตร์ง่าย ๆ ไม่ได้  แต่ขณะนั้นสมองซีกขวาของเขา  กำลังทำงานอย่างหนัก  โดยที่คนภายนอกไม่เข้าใจ การพัฒนาสมองซีกขวา   คลื่นสมองทั้งสองซีกของมนุษย์จะมีความถี่เป็นอิสระต่อกัน  แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่า  การนั่งสมาธิจะทำให้เกิดการปรับของ  ความถี่คลื่นสมองซีกซ้ายและซีกขวาให้ขึ้นลงในจังหวะเดียวกัน  ทเ่ี รยี กวา่ เกดิ การซงิ โครไนซ ์ (Synchronization)  สภาวะนจ้ี ะทำให ้ สามารถใช้ประสิทธิภาพของสมองได้สูงสุด  การปฏิบัติธรรม  ฝึก  เจริญสติตามหลักสติปัฏฐาน  4  เป็นการพัฒนาสมองซีกขวาที่ด ี ที่สุด  ซึ่งรายละเอียดจะอยู่ในบทต่อไป  เดอะทอ็ ปซเี ครต็  2 ตอน ความลบั สู่ความสำเร็จ

  สำหรบั ทางจติ วทิ ยา  การรอ้ งเพลงทช่ี อบ  เลน่ ดนตร ี ทำงาน  19 ศลิ ปะ  เลน่ กฬี า  การทำงานอดเิ รกทโ่ี ปรดปราน  ปลกู ตน้ ไม ้ เลย้ี ง  สัตว์  ตกแต่งบ้าน  ท่องเที่ยว  ชมธรรมชาติ  ก็เป็นการเปิดสมอง  ซกี น ้ี เลอื กเครอ่ื งดนตรที ช่ี อบ  หรอื กฬี าทถ่ี นดั สกั ชนดิ   กฬี างา่ ย ๆ  อยา่ งการวง่ิ   หรอื เทเบล้ิ เทนนสิ   กม็ ปี ระโยชน ์ เปน็ การฝกึ ใชส้ มอง  ทั้งสองซีกไปพร้อม ๆ กัน  เพราะการเคลื่อนไหวของร่างกายขณะ  เล่นกีฬาต้องอาศัยความสมดุลของร่างกายทั้งซ้ายและขวา  การ  เคลื่อนไหวของร่างกายสามารถบ่งบอกถึงสภาวะของการมีสติ  สมาธิ  ยิ่งมีสมาธิกับการเคลื่อนไหวมากเท่าใด  สติจะเกิดขึ้นมาก  เท่านั้น  และสติที่เกิดจากการเคลื่อนไหวร่างกายจะตั้งอยู่ได้นาน   การออกกำลังกายช่วยพัฒนาสมอง  กล้ามเนื้อของร่างกาย  มเี สน้ ประสาทจากสมองเขา้ มาหลอ่ เลย้ี งจำนวนมาก  การออกกำลงั -  กายก็คือการบริหารสมองนั่นเอง  เพราะกล้ามเนื้อจะส่งสัญญาณ  ไปทส่ี มองอยตู่ ลอดเวลา  และหลงั จากออกกำลงั กาย  เมอ่ื กลา้ มเนอ้ื   ออ่ นลา้   ขณะนน้ั จะเกดิ ความรสู้ กึ ผอ่ นคลายอยา่ งเตม็ ท ่ี กลา้ มเนอ้ื   ทพ่ี กั ตวั จะสง่ สญั ญาณไปใหส้ มองไดพ้ กั ดว้ ย  เราจงึ รสู้ กึ วา่ หลงั จาก  ออกกำลังกาย  จะรู้สึกคลายจากความเครียด  สมองโล่งขึ้น  โดย  ปกติกล้ามเนื้อจะไม่มีการผ่อนคลายอย่างเต็มที่  ถ้าไม่ผ่านการ  ออกกำลังมาก่อน  ดังนั้นวิธีที่ช่วยให้สมองผ่อนคลายอย่างเต็มที่  คอื การออกกำลงั กาย  เราไมส่ ามารถไปสง่ั ใหส้ มองพกั ได ้ แตเ่ มอ่ื ใด  ที่กล้ามเนื้อเกิดการพัก  เมื่อนั้นสมองก็จะพักไปด้วยโดยอัตโนมัติ   สมองซีกขวาไม่ชอบความซ้ำซาก  จำเจ  ดังนั้นการเปลี่ยน  วิถีการดำรงชีวิตประจำวันก็มีส่วนช่วยพัฒนาสมองซีกนี้  เช่น  เปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งทำงาน  เข้าร่วมกิจกรรมแปลก ๆ ใหม่ ๆ  ทันตแพทย์สม สจุ ีรา

การเรียนต่อ  หรือเรื่องธรรมดาอย่างการจัดบ้าน  จัดห้องนอน  ย้ายเฟอร์นิเจอร์  ทำอาหารที่เมนูไม่ซ้ำเดิม  ฯลฯ   นอกจากนั้น  การเล่นกับเด็ก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็น  20 ลูกหลานของตัวเอง  ก็จะช่วยกระตุ้นสมองส่วนนี้  และไม่ต้อง  นึกขำกับคำถามของเด็ก  เช่น  ทำไมพระจันทร์ถึงไม่เป็นสี่เหลี่ยม  ทำไมช้างถึงมีงาแล้วสุนัขทำไมไม่มี  ทำไมใบไม้จึงเป็นสีเขียว  แต่  ดอกไม้สีแดง  ทำไมคนเราถึงมีสิบนิ้ว  ฯลฯ  เพราะนั่นแสดงถึง  ความสามารถในการจินตนาการของเด็ก   เดก็ ชา่ งสงสยั คอื เดก็ ฉลาด  เดก็ ทส่ี งสยั วา่   ทำไมปลามนั ถงึ   หายใจได้ในน้ำ  โตขึ้นเขาจะเก่งชีววิทยา  เด็กที่สงสัยว่า  ทำไม  ลูกโป่งถึงลอยได้  โตขึ้นเขาจะเก่งฟิสิกส์  เด็กที่สงสัยว่า  ทำไม  เกลอื ถงึ เคม็   โตขน้ึ เขาจะเกง่ เคม ี ฯลฯ  และถา้ เขาไมถ่ ามเปลา่  ๆ  ยงั ยำ้ คดิ ยำ้ ทำ  พยายามหาคำตอบอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง  โตขน้ึ เขาจะเปน็   อจั ฉริยะ    ความสงสัยจะสามารถกระตุ้นการทำงานของสมองซีกขวา  ได้เป็นอย่างดี  ดังนั้น จงพยายามเป็นคนช่างคิด  ช่างสงสัย  อย่า  เชอ่ื อะไรงา่ ย ๆ  และตง้ั คำถามอยเู่ สมอ  ทง้ั นต้ี อ้ งสงสยั ในสง่ิ ทเ่ี ปน็   สาระสำคัญ  คนเราเมื่อเติบโตขึ้นมักกลัวที่จะตั้งคำถาม  เช่น  ถ้าผู้ใหญ่คนไหนไปถามว่า  ทำไมน้ำตาลมันถึงหวาน  จะถูกมองว่า  เป็นคำถามปัญญาอ่อนทันที  ทำให้ไม่กล้าคิดที่จะถาม  สมองจึง  ไม่พัฒนา  ความสงสัยจะทำให้สมองซีกขวาเกิดจินตนาการที่จะ  นำมาใช้ในการหาคำตอบ เดอะทอ็ ปซีเคร็ต 2 ตอน ความลับสูค่ วามสำเรจ็

  เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่  คำว่า “ทำไม” ที่มักถามบ่อย ๆ ใน  21 วัยเด็กจะสูญหายไป  อัจฉริยบุคคลคือคนที่ไม่ลืมจะถามคำว่า  ทำไม  เมื่อเติบใหญ่ขึ้น  อะเล็กซานเดอร์  เฟลมิง  ถามตัวเองว่า  ทำไมเวลาเชื้อรามันตกลงมาในจานเพาะเชื้อแล้วแบคทีเรียถึงตาย  คำถามเพียงเท่านี้คือจุดเริ่มต้นของการค้นพบเพนิซิลลิน  ซึ่ง  ถือว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติครั้งหนึ่ง  นิวตัน  เพียรถามว่า  ทำไมลูกแอ๊ปเปิ้ลจึงไม่ลอยขึ้นฟ้า  เฮนรี  ฟอร์ด  ถามว่า  ทำไมไม่เอารถมาวิ่งแทนม้า  ผู้คิดระบบค้าปลีกแบบ  ซูเปอร์มาร์เก็ตตั้งคำถามว่า  ทำไมในร้านขายของชำต้องให้คนขาย  หยิบสินค้าให้  ทำไมไม่ให้ลูกค้าเดินเข้าไปหยิบเอง     สมองซีกขวาเป็นสมองส่วนที่คิดนอกกรอบและมองแบบ  องค์รวม  ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ขึ้น  และบางครั้ง  ก็เป็นเพียงการประกอบสิ่งที่มีอยู่แล้วให้เป็นสิ่งใหม่  เช่น  นำ  นาฬิกากับกระดิ่งมารวมกัน  กลายเป็นนาฬิกาปลุก  หรือการนำ  เครื่องบันทึกเสียงมารวมกับหูฟัง  กลายเป็นซาวนด์อะเบ๊าท ์ แผ่นพลาสติกบวกกับกาว  กลายเป็นสก็อตช์เทป  รถเก๋งรวมกับ  รถกระบะ  กลายเป็นรถสเปซแค็บ    ผู้ที่ค้นพบการทำต้มยำกุ้งหรือส้มตำ  ก็ไม่ได้รู้จักวัตถุดิบ  มากไปกว่าคนอื่น  สิ่งที่นำมาปรุงล้วนเป็นวัตถุดิบง่าย ๆ ที่มีอยู่แล้ว  ทุกคนก็รู้จัก  เพียงแต่ก่อนหน้านั้นไม่มีใครคิดว่า  ถ้านำมารวมกัน  แลว้ จะเกิดอะไรข้นึ   ทนั ตแพทย์สม สุจรี า

สมองกับจิตวิญญาณ   เนื่องจากสมองซีกขวาเป็นสมองที่คิดแบบองค์รวม  ทำให้  สามารถเห็นเหตุปัจจัยในการเกิดสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดกว่าสมองซีกซ้าย  22 ในเพศหญิง  จะมีสะพานเส้นประสาทที่เชื่อมสมองทั้งสองซีก  มากกวา่ เพศชายถงึ สเ่ี ทา่   ดงั นน้ั การประเมนิ ผลของสมองจะสามารถ  ทำได้เร็วกว่าเพศชาย  และในบางครั้ง  เพศหญิงจะเกิดญาณหยั่งร ู้ หรือลางสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้  ซึ่งไม่ใช่เรื่องเหนือ  ธรรมชาติ  แต่เป็นการวิเคราะห์รายละเอียดจากข้อมูลที่มีอยู ่ จน  หยง่ั รผู้ ลลพั ธท์ จ่ี ะเกดิ ขน้ึ ลว่ งหนา้   แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม  ความสามารถ  ในการใช้สมองซีกขวาที่สูงกว่าเพศชายทำให้เพศหญิงมีระดับของ  อารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ  เช่น  หงุดหงิด  อิจฉา  น้อยใจ  เสียใจ  ฯลฯ  หลากหลายกว่าเพศชาย  และบางครั้งก็เกิดขึ้นอย่างไม่มี  เหตผุ ล     นักจิตวิทยาเชื่อว่า  จิตใต้สำนึกถูกบรรจุไว้ที่สมองซีกขวา  ซึ่งเก็บความรู้สึกต่าง ๆ ในวัยเด็กไว้และค่อย ๆ ปล่อยพลังออกมา  เรอ่ื ย ๆ ตลอดชวี ติ   แตใ่ นทางพทุ ธศาสนาบอกวา่   จติ สว่ นลกึ จรงิ  ๆ  ทเ่ี รยี กวา่ จติ ไรส้ ำนกึ   หรอื ภวงั คจติ   มคี วามรสู้ กึ ทถ่ี กู เกบ็ ไวข้ า้ มภพ  ข้ามชาติมานับร้อยนับพันภพชาติ  และค่อย ๆ ปล่อยพลังออกมา  เช่นกัน  แต่ไม่ว่าจะในทางจิตวิทยาหรือทางพุทธศาสนา  สมอง  ซกี ขวากค็ ือทางผ่านของการใชพ้ ลงั จิตใต้สำนึกหรือจิตไรส้ ำนึก    การกำหนดจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานเฝ้าดูความรู้สึก  เช่น  โกรธหนอ ๆ ๆ  โลภหนอ ๆ ๆ  อิจฉาหนอ ๆ ๆ  เมื่อถึงจุดที่บรรลุ  ญาณ  จะพบว่าความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้มาจากวัยเด็กทั้งหมด  เดอะท็อปซีเคร็ต 2 ตอน ความลบั สคู่ วามสำเรจ็

มีส่วนที่ฝังอยู่ในจิตส่วนลึกซึ่งข้ามภพชาติมาจริง ๆ  ถ้าใครปฏิบัติ  23 ถึงขั้นนี้จะเลิกสงสัยว่า  คนเราตายแล้วเกิดหรือไม่  เพราะสามารถ  ย้อนอดีตกลับไปได้เป็นหลาย ๆ ชาติ    ความรู้สึกรัก  โลภ  โกรธ  หลง  ไม่ขึ้นกับโลกสี่มิติ  เมื่อ  เสยี ชวี ติ ไป  สง่ิ ทย่ี งั อยคู่ อื ความรสู้ กึ เทา่ นน้ั   เพราะหลงั จากเสยี ชวี ติ   ทวาร  6  ปิด  มิติทั้งสี่ก็จะปิดไปด้วย  ความคิด  สมอง  สิ่งของ  ทั้งหลายไม่มีอยู่จริง  แต่ความรู้สึก  (เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ)  เท่านั้น  ที่จะข้ามภพไปเกิดใหม่พร้อมกับปฏิสนธิจิต  คนเราเกดิ มามคี วามรสู้ กึ เกา่  ๆ ทฝ่ี งั อยใู่ นจติ มากมายเหลอื เกนิ   และ  สามารถเรยี กยอ้ นขน้ึ มาไดร้ าวกบั วา่ เพง่ิ เกดิ มาไมน่ านเชน่ กนั   เพยี ง  แตจ่ ำไมไ่ ดว้ ่าสาเหตุมาจากอะไร  เพราะสมองใหมไ่ มไ่ ด้บนั ทึกไว้ เนอ่ื งจากความรสู้ กึ เปน็ สง่ิ ทอ่ี ยเู่ หนอื กวา่ สถานทแ่ี ละกาลเวลา  (Space–Time)  การกำหนดสตเิ ฝา้ ดคู วามรสู้ กึ ตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน  4  เมื่อเกิดปัญญาญาณจะหยั่งรู้ว่า  ความรู้สึกบางอย่างถูกฝังมาจาก  หลายชาติภพ  เพียงเมื่อระลึกได้  มันจะผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  ในภพปัจจุบัน  โดยมิได้จางหายไปตามกาลเวลา  ความรู้สึกเมื่อ  ร้อยปีก่อน  หรือพันปีก่อน  ความเข้มข้นเท่ากัน  ความลับนี้  พระพุทธองค์ทรงค้นพบ  คำสอนทางพระพุทธศาสนาจึงเน้นย้ำ  ไปที่การทำความเข้าใจเรื่องความรู้สึก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผัสสะ  (การรับสัมผัส)  เวทนา  (ความรสู้ ึกชอบ)  ตัณหา  (ความรสู้ กึ อยาก)  อุปาทาน  (ตัวกู  ของกู)  เมื่อกำหนดสติได้ไวพอที่จะจับความรู้สึก  จะพบว่าความรู้สึกต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาในใจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ  มีเหตุ  และปัจจัยทำให้เกิด  เพียงแต่ลืมไปหมดแล้วว่าเพราะอะไร  ทันตแพทยส์ ม สจุ ีรา

บางคนอาจเกิดคำถามว่า  ถ้าเช่นนั้นแล้วสมองซีกขวากับ  จิตวิญญาณคือส่วนเดียวกันใช่หรือไม่  สำหรับในทางการแพทย์  ที่ไม่เชื่อเรื่องของการเกิดใหม่อาจจะบอกเช่นนั้น  แต่ความจริงแล้ว  สมองซีกขวาคือประตูที่จะเปิดเข้าสู่จิตไร้สำนึก  (Unconscious  24 Mind)  เปรียบได้กบั ภวังคจติ ในทางพุทธศาสนานน่ั เอง  จิตส่วนน้ี  มีฐานข้อมูลร่วมกับจิตจักรวาล  ดังนั้น  แม้จะตาย  สมองเสีย  ไปแล้ว  ความรู้สึกส่วนนี้จะยังคงอยู่  และเมื่อไปเกิดใหม่ก็จะ  แสดงผลอีกครั้ง จุดอ่อนของสมองซีกขวา   ข้อที่พึงระวังในการใช้สมองซีกขวาก็คือ  พยายามกำจัด  อารมณ์เชิงลบทุกชนิดออกไปจากสมองเสียก่อนที่จะตัดสินใจ  เพราะถ้าปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ  ไม่ว่าโกรธ  กลัว  หงุดหงิด  อคต ิ อจิ ฉารษิ ยา  ตระหน ่ี คบั ขอ้ งใจ  ฯลฯ  เกดิ ขน้ึ   การตดั สนิ ใจ  ด้วยสมองซีกขวาจะอันตรายกว่าการตัดสินใจด้วยสมองซีกซ้าย  มาก  อารมณ์จะเป็นตัวเหนี่ยวนำทำให้เกิดการตัดสินใจผิดไปแบบ  ชนิดที่เรียกว่าคนละขั้วเลยทีเดียว    การปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผลเป็นเรื่อง  อันตราย  สมองส่วนนี้เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับราคะ  โทสะ  โมหะ  รัก  โลภ  อิจฉาริษยา  ฯลฯ  ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ให้ความรู้สึกเชิงลบ  เข้าครอบงำสมองซีกขวา  แล้วส่งคำสั่งมายังสมองซีกซ้าย  เมื่อนั้น  จะเกิดการคิดวิเคราะห์เพื่อหาวิธีที่จะสนองตอบกิเลสตัณหานั้น  ทันที เดอะทอ็ ปซีเครต็  2 ตอน ความลับส่คู วามสำเรจ็

แม้เราจะรู้ว่า  ความเชื่อมั่น  แรงบันดาลใจ  แรงจูงใจ  25 ใฝ่สัมฤทธิ์มาจากสมองซีกขวา  แต่ความรู้สึกเชิงลบทั้งหลาย  เช่น  ความกลัว  ความเหงา  อาการซึมเศร้า  ก็มาจากสมองซีกนี้เช่นกัน  ต้องพยายามกำหนดสติ  อย่าเผลอปล่อยให้อารมณ์มีอำนาจ  เหนือกว่า  จะเป็นเรื่องที่อันตรายมาก อารมณ ์ ความรสู้ กึ แบบผดิ  ๆ ในสมองซกี ขวา  จะสง่ สญั ญาณ  ไปให้สมองซีกซ้ายคิดหาเหตุผลแบบผิด ๆ ไปด้วย  เช่น  คนที่เชื่อ  เรื่องโชคลาง  ก็จะหาเหตุผลต่าง ๆ นานามาสนับสนุนความเชื่อนั้น  คนที่อิจฉาริษยาก็จะหาเหตุผลมาสนับสนุนสาเหตุที่ทำให้ตนเอง  รู้สึกเช่นนั้น  ดังนั้นการปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกเข้าครอบงำ  จะส่งผลให้การตัดสินใจทางตรรกะผิดไปหมด    เนื่องจากสมองซีกขวาเป็นสมองส่วนที่อยู่เหนือเหตุผล  ทำให้บางครั้งจินตนาการที่ไม่มีพื้นฐานของความจริงรองรับ  กลับกลายเป็นเรื่องอันตราย  เช่น  เด็ก ๆ ที่คิดว่าตัวเองเหาะได ้ แบบซูเปอร์แมน  หรือบางคนเห็นอะไรนิดอะไรหน่อยก็เหมารวม  ว่าเป็นผีไปหมด  จนเมื่อมีการวิเคราะห์ด้วยเหตุผลจากสมอง  ซีกซ้ายจึงค่อยเข้าใจว่าความจริงเป็นเช่นไร    ผกู้ ำกบั ภาพยนตรห์ รอื นกั เขยี นบททใ่ี ชส้ มองสว่ นจนิ ตนาการ  สูงเกินไป  ละครหรือภาพยนตร์ของเขาจะมีเนื้อเรื่องที่เกินจริง  ไม่สมเหตุสมผล  ซึ่งอาจจะเป็นจุดอ่อนให้ถูกวิจารณ์ได้    นอกจากนั้นสมองซีกขวายังทำงานไม่ขึ้นกับเวลาและสถานที่  หลายคนคงเคยฝนั วา่ ทำขอ้ สอบไมไ่ ด ้ ราวกบั วา่ เพง่ิ สอบไป  ทง้ั  ๆ ท่ ี ทันตแพทย์สม สุจรี า

เรียนจบมาตั้งสิบปีแล้ว  จนเมื่อตื่นขึ้นมาสมองซีกซ้ายเริ่มทำงาน  จึงเพิ่งเข้าใจ  เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะศูนย์การรับรู้เวลาในสมอง  ซกี ขวาจะรับรเู้ วลาตามความรู้สกึ   โดยไม่เรยี งลำดับเหตุการณ์ 26   ตามปกติสมองซีกซ้ายส่วนหน้า  ซึ่งเป็นส่วนตรรกะเหตุผล  ยอมรับในกฎระเบียบ  กฎหมาย  จารีตประเพณี  ดังนั้นสมอง  ส่วนนี้จะทำหน้าที่คอยควบคุมสมองซีกขวาให้แสดงอารมณ์หรือ  ความรสู้ กึ ทถ่ี กู ตอ้ งตามกฎเกณฑข์ องสงั คม  ในทางการแพทยพ์ บวา่   ผู้ป่วยที่สูญเสียสมองซีกซ้ายด้านหน้า  ไม่ว่าจากอุบัติเหตุหรือ  เนื้องอก  จะกลายเป็นคนที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได ้ อารมณ ์ จะรุนแรง  แปรปรวน  ก้าวร้าว  ไม่รู้สึกผิด  และไม่เคารพกฎ  ระเบียบ    เนื่องจากสมองซีกขวาไม่ชอบตัวเลขหรือตรรกะ  มันชำนาญ  ด้านการสร้างความรู้สึก  ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับความรู้สึก  จะไม่สามารถอ้างอิงเป็นตัวเลขได้  เช่น  คุณรู้สึกเศร้า  แต่ไม่  สามารถบอกกับเพื่อนได้ว่าคุณเศร้าแค่ไหน  ต่างจากการบอก  ว่าคุณมีน้ำหนักเท่าไร  นอกจากนั้น  คนที่ใช้สมองส่วนนี้  เวลา  รักใครหรือสงสารใคร  มักจะช่วยเหลือโดยไม่คำนึงถึงจำนวนเงิน  คือให้เพราะความรู้สึก  แต่ถ้าการให้นั้นไม่ได้ผลอย่างที่คิด  เช่น  ถูกโกง  ถูกหลอก  ก็จะรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าและนานกว่า    สมองซีกขวาจะขาดความละเอียด  ทำให้บางครั้งอาจ  ผดิ พลาดได ้ นอกจากนน้ั   จะจำชอ่ื คน  สญั ลกั ษณ ์ หรอื ชอ่ื เฉพาะ  ต่าง ๆ ไม่ค่อยได้  การทำงานที่ต้องการความละเอียดมาก ๆ จึงควร  ต้องมีผู้ช่วยที่ถนัดใช้สมองซีกซ้าย  เพื่อความสมดุล  ผู้บริหาร  เดอะทอ็ ปซเี คร็ต 2 ตอน ความลับสคู่ วามสำเร็จ

บางคนจะไม่จำเวลานัด  แต่จะให้เลขาฯคอยช่วยเตือน  การทำงาน  27 ประสานกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของผู้บริหารได้อย่างมาก    โดยปกติ  เพศหญิงจะสามารถเชื่อมโยงสัญญาณประสาท  ระหว่างสมองทั้งสองซีกได้ดีกว่าเพศชายหลายเท่า  ดังที่เราทราบ  มาแลว้ วา่   สมองซกี ขวาทำงานดา้ นอารมณ์  ความรสู้ กึ   โดยเฉพาะ  อย่างยิ่งความรู้สึกเชิงลบ  และสมองซีกซ้ายควบคุมด้านการพูด  ภาษา  ดังนั้นเมื่อเพศหญิงเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้น  เช่น  โกรธ  คบั ขอ้ งใจ  เธอจะสามารถสง่ สญั ญาณจากสมองซกี ขวามากระตนุ้ ให้  สมองซกี ซา้ ยสรรหาคำศัพท์และระบายออกมาเป็นคำพดู ได้ง่ายกว่า  เพศชาย  ในทางจิตวิทยาพบว่า  ถ้าเพศหญิงเครียดแล้วไม่ได้พูด  จะรู้สึกอึดอัดมากกว่าเพศชาย  เพราะศูนย์การพูดในสมองซีกซ้าย  ของเธอถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาที่เกิดความรู้สึกเชิงลบขึ้น  ในขณะที่เพศชายจะตรงกันข้าม  คือ  เวลาโกรธหรือเกิด  อารมณเ์ ชงิ ลบ  จะพดู ไมอ่ อก  เพราะความรสู้ กึ เหลา่ นน้ั ถกู อดั อยใู่ น  สมองซีกขวา  โดยที่ส่งสัญญาณข้ามมาทางสมองซีกซ้ายน้อยมาก  ดังนั้น  เพศชายเวลาโกรธหรือโมโหจะไม่ค่อยมีเหตุผลและพูด  ไม่รู้เรื่อง  เพราะสมองส่วนตรรกะและภาษาถูกสกัดการทำงาน  เช่นเดียวกับคำพูดติดริมฝีปาก  แต่นึกไม่ออก  หรือพูด  ติดอ่าง  เกิดจากสมองซีกขวารู้สึกอยากจะพูด  แต่สมองซีกซ้าย  ไม่ทำงาน  เพศหญิงจะพูดติดอ่างน้อยมากจนเรียกได้ว่าไม่มีเลย  เด็กที่พูดติดอ่างเกือบทั้งหมดเป็นเพศชาย  จะยกเว้นก็แต่เพศ  ที่สาม  ซึ่งมีการตรวจสมองพบว่า  สะพานประสาทเชื่อมสมองทั้ง  สองซีกของเพศที่สามจะค่อนข้างคล้ายไปทางเพศหญิงมากกว่า  ทันตแพทย์สม สจุ ีรา

หรือที่เรียกกันว่า  สมองหญิงในร่างชาย  ดังนั้นเพศที่สามจึงใช้  สมองซีกขวามากกว่าปกติ  ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์สูง  แต ่ ก็จะมีความหวั่นไหวทางอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าผู้ชายทั่วไป  28   อาจมคี ำถามว่า  ในเมอื่ เพศทส่ี ามมีสมองแบบทูอนิ วนั   แล้ว  ทำไมบางคนไม่ประสบความสำเร็จ  คำตอบก็คือ  แม้จะได้เปรียบ  เรื่องสมอง  แต่เสียเปรียบเรื่องจิต  เพศที่สามจะมีจิตกับผัสสะ  ทางทวาร  6  ไมส่ มดลุ   ทำใหเ้ กดิ ความแปรปรวนทางเวทนามากกวา่   ปกติ  (อ่านเรื่อง  “ความแตกต่างของผัสสะระหว่างเพศ” ได้จาก  หนังสือ “ทวาร  6  :  ศาสตร์แห่งการรู้ทันตนเอง”) เดอะท็อปซีเครต็  2 ตอน ความลับสคู่ วามสำเร็จ



กล่องความลับ “ความลับของสมอง” 1 สมองและสติคือความลับสู่ความสำเร็จ 2  ไอคิวเกี่ยวข้องกับสมองซีกซ้าย  ไอเดียเป็น  เรื่องของสมองซีกขวา  ชีวิตที่จะประสบความสำเร็จได้ต้อง  มีทั้งไอคิวและไอเดีย  3  ผู้ที่สมองซีกขวาเด่น  จะมี อีคิว หรือความฉลาด  ทางอารมณ์สูง 4. สติ  คือตัวควบคุมการทำงานของสมองทั้งสอง  ซีก 5  ปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยการทำงานของสมอง  ซีกซ้ายมากมาย  เช่น  เครื่องคิดเลข  คอมพิวเตอร์  ฐาน  ข้อมูลในอินเทอร์เน็ต  ระบบอัตโนมัติต่าง ๆ  ดังนั้น  ในอนาคตมนุษย์จะชนะกันด้วยสมองซีกขวา 

6  โครงสร้างสมองของคนเราเหมือนกัน  แต่กำลัง  สติแตกตา่ งกนั 7  จินตนาการจากความรู้ที่ตกผลึกแล้วจะมีประ-  สิทธิภาพสูงสุด 8  ความรู้สึกที่ถูกต้องและชัดเจนต้องมาจากข้อมูล  ทม่ี ากพอในสมองซีกซา้ ย 9  การเปรียบเทียบเกิดจากสมองซีกซ้าย  เช่น   มือถือรุ่นใหม่  รถรุ่นใหม่  รวยกว่า  สูงกว่า  ซึ่งล้วนทำให ้ เกิดกิเลส  ตัณหา



2 กำลังของสติ สมองของมนุษย์ทั้งสองซีกสามารถควบคุมและ  33 เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ด้วย “กำลังสติ”  สัตว ์ เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดมีสมองสองซีกเหมือนกับ  มนุษย์ แต่สิ่งที่ทำให้สัตว์เหล่านั้นไม่สามารถใช้สมอง  ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด  ก็เพราะว่าพวกมันขาด  “สติสัมปชัญญะ”   สติ  คือความระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำ  คำที่พูด  และเรื่องที่คิด  ทง้ั ทเ่ี คยทำมาแลว้ และจะทำในอนาคต  สว่ น สมั ปชญั ญะ  หมายถงึ   ความรู้ตัว  ถึงสิ่งที่เป็นไปในปัจจุบันขณะ  รู้ว่ากำลังทำ  กำลังพูด  หรือกำลังคิดอะไร  เช่น  ถ้ากำลังเดินอยู่  ก็รู้ตัวว่ากำลังก้าว  โดย  สรุป  สติคือการระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำในอดีตหรือจะทำในอนาคต  ส่วนสัมปชัญญะเป็นเรื่องของปัจจุบัน สติทำให้ฉุกคิดขึ้นได้  รับรู้อารมณ์  เกิดการยับยั้งชั่งใจ  ไม่เผลอ  เช่น  ขณะเกิดวิกฤติ  สติจะทำให้สามารถแก้ไข  สถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที  เพราะรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น  อันเป็นผลตามมาจากเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นก่อนหน้า  นอกจากนั้น  ทันตแพทยส์ ม สจุ รี า

สติยังสามารถดึงข้อมูลความจำเก่า ๆ ที่เก็บไว้ในสมองซีกซ้าย  ออกมาวิเคราะห์แบบองค์รวมได้อย่างฉับพลันภายในเสี้ยววินาท ี และมนุษย์เท่านั้นที่สามารถฝึกสติจนถึงระดับที่รู้เท่าทันความคิด  ความรู้สึกของตนเอง  เมื่อมีสติ  ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมหรือ  34 ที่เรียกว่าสัมปชัญญะก็จะเกิดขึ้น   เคยมีการทดลองให้ช้างส่องกระจก  โดยพ่นสีขาวเป็น  กากบาทขนาดใหญท่ ห่ี นา้ ผากชา้ ง  ปรากฏวา่ ชา้ งเชอื กนน้ั คดิ วา่ มชี า้ ง  อีกเชือกอยู่ในกระจก  มันไม่ได้รู้สึกถึงความผิดสังเกตที่ใบหน้า  มันเลย  ซึ่งถ้าเป็นมนุษย์จะต้องรีบเอามือจับหน้าผากตัวเอง  การ  ทดลองนไ้ี ด้ผลเช่นเดียวกับสัตว์ชนดิ อ่ืน ๆ อยา่ งอุรงั อตุ ัง  ชมิ แปนซ ี และโลมา  แสดงวา่ สตั ว์เหล่านข้ี าดสัมปชัญญะ    สัมปชัญญะเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองซีกขวา  เช่น  แพทย์ที่ศึกษาอวัยวะ  เส้นเลือดต่าง ๆ ในร่างกาย  จนเข้าใจอย่าง  แจ่มแจ้งแล้ว  ขณะใดที่นึกถึงอวัยวะภายในนั้น  ก็จะเห็นความ  สมั พนั ธท์ ง้ั หมดทเ่ี ชอ่ื มโยงตดิ ตอ่ กนั ทำงานอยา่ งเปน็ ระบบ  เหน็ หมด  พร้อมกันในขณะเดียว  แพทย์ที่เกิดปัญญาเห็นแบบนี้จะเก่งกว่า  แพทยท์ ม่ี องระบบแบบแยกยอ่ ย  ไมเ่ ฉพาะวชิ าชพี แพทย์  ทกุ อาชพี   ถ้าฝึกสติสัมปชัญญะ  ก็จะทำให้เกิดปัญญาเห็นเหตุและปัจจัย  ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในงานของตนเหนือกว่าปกติ  ในปัจจุบันนิยมใช้คำว่าสติในความหมายของการรับรู้อาการ  ทั้งหมดของจิต  ซึ่งครอบคลุมไปถึงปัญญาเจตสิก  ที่เรียกว่า  สัมปชัญญะด้วย  ดังนั้น  ทุกครั้งที่กล่าวถึงคำสั้น ๆ ว่า “สติ”  จะหมายความรวมไปถึง “สัมปชัญญะ” โดยอัตโนมัติ เดอะทอ็ ปซีเคร็ต 2 ตอน ความลบั สคู่ วามสำเร็จ

  จิตและสมองไม่ใช่ส่วนเดียวกัน  แต่จิตเป็นส่วนที่ควบคุม  35 สมองอีกที  เปรียบเสมือนซอฟต์แวร์ที่มาควบคุมการทำงานของ  สมอง  โดยสติเป็นเจตสิก  (องค์ประกอบ)  ของจิตตัวหนึ่งที่มีอยู ่ เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น  เจตสิกทั้งหมดมี  52  ชนิด  ผสมกันตาม  อัตราส่วนต่าง ๆ  ทำให้เกิดลักษณะของดวงจิตได ้ 121  แบบ  ทำให ้ คนเรามีลักษณะจริตต่าง ๆ กัน  เจตสิกทั้งหมดไม่ได้เกิดจากการ  ทำงานของสมอง  ซ่งึ ทกุ วนั นนี้ กั วทิ ยาศาสตรก์ ย็ ังไมเ่ ขา้ ใจวา่ เจตสกิ   ทง้ั หลาย  เชน่   โลภะ  โทสะ  โมหะ  ทฐิ  ิ มานะ  ปตี  ิ ฉนั ทะ  วริ ยิ ะ  วิตก  กรุณา  มุทิตา  ฯลฯ  เกิดจากการทำงานส่วนใดของสมอง  สง่ิ เหลา่ นค้ี อื องคป์ ระกอบของจติ ทม่ี าควบคมุ สมองอกี ท ี นกั วทิ ยา-  ศาสตร์หรือวงการแพทย์จะไม่มีทางเข้าใจได้เลย  ตราบใดที่ยังไม่  ลงมาศึกษาเรื่องเจตสิก  โดยหลงไปยึดติดว่าสมองกับจิตคือส่วน  เดียวกัน  เมื่อใดก็ตามที่วิทยาศาสตร์ศึกษาจนเข้าใจเรื่องเจตสิก  จะรู้ว่าการตายแล้วเกิดเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้  (อ่านรายละเอียดเรื่อง  “เจตสิก” เพิ่มเติมได้จากหนังสือ “เกิดเพราะกรรมหรือความซวย”)   สติเป็นเจตสิกที่มีคุณสมบัติพิเศษ  คือมันสามารถควบคุม  ทศิ ทางของจติ ได้  มผี เู้ ปรยี บเทยี บวา่   จติ เปน็ เรอื   สตกิ ค็ อื หางเสอื   ที่ติดไปกับเรือ  ดังนั้นแม้เรือนั้นจะมีกำลังมากเพียงใด  แต่ถ้าขาด  หางเสอื กไ็ มม่ ปี ระโยชน์อันใด    ชาวตะวันตกได้ให้ความสำคัญกับความคิดมาก  เพราะเน้น  ศึกษาเรื่องสมอง  แต่การที่จะให้ความคิดมีพลังถึงขนาดไปเปลี่ยน  ความรู้สึกได้  ต้องเกี่ยวข้องกับการฝึกจิต  เจริญสติ  นี่คือสาเหต ุ หนึ่งที่หนังสือ  How  To  ที่แปลจากต่างประเทศไม่ได้ผลในเชิง  ปฏิบัติ  เพราะขาดการวิเคราะห์ในเรื่องของสติสัมปชัญญะ  ดังที่  ทนั ตแพทยส์ ม สุจีรา

กล่าวในคำนำแล้วว่า  การอ่านหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง  จะไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด  ถ้าความเข้าใจนั้นไม่ลงลึกไปถึง  ความรู้สึก  การอ่านในระดับความคิดของสมองซีกซ้าย  สามารถ  นำมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงตนเองได้เพียงเล็กน้อย 36   เปน็ เรอ่ื งนา่ เสยี ดายทม่ี นษุ ยใ์ ชก้ ำลงั สตไิ ปเพยี ง  1  เปอรเ์ ซน็ ต ์ ของสติที่ธรรมชาติมอบให้มา  บุคคลชั้นนำในสาขาอาชีพต่าง ๆ  อาจใชเ้ พม่ิ ขน้ึ เปน็   5  เปอรเ์ ซน็ ต ์ ใครทส่ี ามารถพฒั นากำลงั สตไิ ดถ้ งึ   10  เปอรเ์ ซน็ ต ์ เขาจะเปน็ อจั ฉรยิ ะ  และถา้ สงู ขน้ึ ไปถงึ   15  เปอรเ์ ซน็ ต์  จะเป็นอภิมหาอัจฉริยะ  25  เปอร์เซ็นต์  จะบรรลุโสดาบัน  100  เปอร์เซ็นต์  บรรลุอรหันต ์   สำหรบั การอธบิ ายในบทน ้ี มจี ดุ ประสงคเ์ พอ่ื การนำกำลงั สต ิ มาใช้สร้างความสำเร็จในทางโลก  ดังนั้น  สำหรับผู้ที่ต้องการมุ่งสู่  ความสำเรจ็ ในระดบั โลกตุ ระ  ควรอา่ นอยา่ งพนิ จิ พจิ ารณาตามหลกั   กาลามสูตร  และเนื่องจากหลักการฝึกสติเป็นเรื่องสำคัญ  มีความ  ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง  จึงจะมีการอธิบายอย่างเต็ม  รูปแบบไว้ในหนังสืออีกเล่มหนึ่งซึ่งจะพูดเรื่องสติปัฏฐาน  4 รูปกับอาการ   สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เหนือกว่าสัตว์ร่วมโลกทั้งหลาย  คือ  ความสามารถในการเห็นนามธรรม  เพราะรูปธรรมเป็นสิ่งที่เห็นได้  ง่าย  และสัตว์บางชนิดมีความสามารถในการเห็น  ได้ยิน  ได้กลิ่น  หรือรับสัมผัสดีกว่ามนุษย์หลายเท่า  แต่มันก็จะรับรู้เพียงรูป  รส  กลิ่น  เสียง  สัมผัส  โดยไม่สามารถวิเคราะห์ไปถึงส่วนของ  เดอะท็อปซเี ครต็  2 ตอน ความลบั สู่ความสำเร็จ

นามธรรมที่ซ่อนอยู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนามภายในจิต  ที่เรียกกัน  37 ว่า “ความรู้สึก”    การทำงานของสมองก็ล้วนวนเวียนอยู่ในเรื่องของความรู้สึก  ทั้งความรู้สึกพื้นฐานอย่างการเคลื่อนไหวของร่างกาย  (กายา)  การ  รับรู้ทางประสาทสัมผัส  (เวทนา)  การคิดภายในใจ  ความรู้สึก  ที่ซับซ้อนขึ้นอย่างเรื่องของอารมณ์  ความรู้สึก  (จิตตา)  และลึกล้ำ  สุด ๆ อย่างความรู้สึกเข้าใจในเหตุและปัจจัยทางนามธรรมทั้งหลาย  (ธรรมา)  พระพุทธองค์ทรงพบว่า  ความรู้สึกของมนุษย์ล้วน  วนเวียนอย่ภู ายในสีเ่ รื่องน้ี  คือ  กาย  เวทนา  จิต  และธรรม การจะกำหนดสติจนเกิดปัญญาเข้าใจในความจริงแท้ของ  ธรรมชาติ  (ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน)  ต้องฝึกใช้สติจับที่อาการ  ไมใ่ ชร่ ปู   เชน่   เมอ่ื มแี สงกระทบตา  ใหก้ ำหนดอาการทแ่ี สงกระทบ  ตา  ไม่ใช่สีแดง  สีเขียว  สีเหลืองกระทบตา  ถ้ามีรสกระทบลิ้น  ให้กำหนดเพียงแค่อาการขณะกระทบ  โดยไม่แยกว่าเป็นรสหวาน  เปรย้ี ว  เคม็   หรอื ไดย้ นิ เสยี ง  ใหก้ ำหนดสตไิ ปทอ่ี าการขณะกระทบ  โดยไมแ่ ยกวา่ เปน็ เสยี งทมุ้   เสยี งแหลม  ไพเราะ  ไมไ่ พเราะ  เพราะ  ไม่ว่าสีแดง  สีเขียว  หวาน  เปรี้ยว  ทุ้ม  แหลม  ฯลฯ  ล้วนเป็น  สมมติบัญญัติที่เป็นผลของการทำงานโดยเปรียบเทียบจากข้อมูล  เก่า ๆ ในสมองซีกซ้าย  การปฏิบัติธรรมคือการกำหนดสติไปที ่ สมองซีกขวา  ซึ่งจะไม่สนใจสมมติบัญญัติ  แต่ต้องการทำความ  เข้าใจสภาวะแห่งเหตุปัจจัยและความสัมพันธ์ทั้งปวง  สมมต ิ บัญญัติเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง  ถ้าไม่มีมนุษย์เกิดมาบนโลกนี้  แสง  สี  เสยี ง  กไ็ มม่ อี ยจู่ รงิ   จะสแี ดง  สฟี า้   สเี ขยี ว  เสยี งลม  เสยี งดนตร ี เสียงกีตาร์  ล้วนแล้วเป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเรียกเมื่อรับร ู้ ทนั ตแพทย์สม สจุ รี า

ผา่ นผสั สะทางทวาร  6  หากปราศจากทวาร  6  รปู   รส  กลน่ิ   เสยี ง  สัมผัสเหล่านี้ก็ไม่มีอยู่จริง  ดังนั้นถ้าต้องการจะเข้าถึงความจริงแท้  ต้องพยายามตัดสิ่งสมมติที่ฝังอยู่ในสมองออกให้หมด 38   เคล็ดลับในการพัฒนาประสิทธิภาพของสมองซีกขวา  ก็คือ  การฝึกสติจับที่อาการ  เพราะสมองซีกนี้จะทำหน้าที่รับรู ้ เกี่ยวกับการสัมผัส  การเคลื่อนไหว  อาการ  ลีลา  ท่าทาง  และ  ส่ิงที่เป็นนามธรรม  ในทางการแพทย์  การกำหนดสตไิ ปทอ่ี าการ  จะทำใหส้ มอง  หลั่งสารชนิดหนึ่งออกมาจำนวนมาก  สารนั้นก็คือ  โดพามีน  ซึ่ง  เป็นสารสื่อประสาทที่ทำให้เกิดสติปัญญา  ไหวพริบ  ปฏิภาณ  และความเฉลยี วฉลาด  นอกจากนน้ั โดพามนี ยงั เกย่ี วขอ้ งกบั อาการ  เคลื่อนไหวด้วย  ถ้าขาดสารชนิดนี้ในสมองจะมีความผิดปกติของ  การเคลื่อนไหว  ที่เรียกกันว่าโรคพาร์กินสัน  ในทางตรงกันข้าม  ผู้ที่กำหนดสมาธิไปที่รูปจนสมาธิแนบแน่น  เช่น  เพ่งกสิณ  เพ่ง  ดวงแก้ว  ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน  ทำให้เคลิบเคลิ้ม  ม ี ความสุข  แต่ขาดปัญญา  การเจริญสติกับนั่งสมาธิต่างกันถึงใน  ระดับการผลิตฮอร์โมนของสมองเลยทีเดียว  และผู้ฝึกสติทุกคน  จะรู้ดีว่า  ความจำจะดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์หลังการปฏิบัติวิปัสสนา  กรรมฐาน  ถ้าจะตอบในเชิงการแพทย์ก็คือ  สารเคมีในสมอง  เปลี่ยนไป  เมื่อมีสติจะมีความจำดีโดยอัตโนมัติ สำหรบั ทางจติ วทิ ยา  พบวา่   สารสอ่ื ประสาทโดพามนี มคี วาม  สำคัญเป็นอย่างมากในการสร้างความเชื่อมั่นและแรงบันดาลใจ  สมองจะตื่นตัว  มีพลัง  กระฉับกระเฉง  มีสมาธิมากขึ้น  ไวต่อสิ่ง  เดอะทอ็ ปซีเครต็  2 ตอน ความลบั สู่ความสำเร็จ

กระตนุ้ ตา่ ง ๆ รอบตวั   แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม  ตอ้ งเกดิ ขน้ึ พรอ้ มกบั ภาวะ  39 ของการมีสติสัมปชัญญะ  มิฉะนั้นการเพิ่มขึ้นของสารเคมีเหล่านี้  จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย  ซึ่งพบว่าในผู้ป่วยที่เสพยาบ้า  หรือ  คนไข้ทางจิตเภท  ในสมองจะมีสารโดพามีนสูงมาก  ผู้ที่นั่งสมาธ ิ วปิ สั สนาจนถงึ ระดบั ทส่ี ารเคมใี นสมองเปลย่ี นแปลงแลว้ เกดิ ขาดสติ  เพราะภาพนมิ ติ กถ็ อื วา่ เปน็ เรอ่ื งอนั ตราย  ดงั นน้ั จงึ ควรมพี ระอาจารย ์ คอยสอบอารมณ์เสมอ ในมมุ มองของทางพทุ ธวเิ คราะหว์ า่   ความรสู้ กึ เปน็ ตน้ กำเนดิ   ของปฏิกิริยาในสมอง  ต้องมีความรู้สึกเกิดขึ้นก่อนจึงจะเหนี่ยวนำ  ให้สมองหลั่งสารต่าง ๆ ไปตามความรู้สึกนั้น  และความรู้สึกเหล่านี้  ก็เกิดจากเจตสิกรวมกลุ่มกันเป็นส่วนของดวงจิตขึ้นมารับอารมณ์  ซึ่งปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับแล้วว่า  ความรู้สึกต้องมาก่อน  ฮอร์โมนจึงจะเปลี่ยน  เช่น  ต้องรู้สึกตกใจก่อน  อะดรีนาลิน  จึงจะหลั่ง  ดังนั้นกุญแจดอกสำคัญที่จะไขไปสู่ความสำเร็จคือ  การรู้ความลับในการสร้าง “ความรู้สึก”  แม้เสี้ยววินาทีสุดท้าย  ของชีวิต  ถ้ารู้จักสร้างภาพแห่งความรู้สึกดี ๆ  จุติจิตจะมีแรงส่ง  เปลี่ยนไปเป็นปฏิสนธิจิตในภพภูมิที่สูงขึ้นทันที  ที่สำคัญคือ  ต้อง  “รู้สึก”  ไม่ใช่แค่ “คิด”  นักกีฬาที่รู้ความลับนี้จะใส่ความรู้สึกเข้าไปในภาพแห่ง  จินตนาการจนสมองซีกขวาเข้ามารับรู้  เช่น  ไทเกอร์  วู้ดส์  เคย  กล่าวว่า  เขาสร้างความรู้สึกเห็นภาพในใจว่าลูกกอล์ฟลงหลุมไป  ก่อนที่จะตีแล้ว  และที่เขาเล่นได้อย่างมหัศจรรย์ก็เพราะเทคนิคนี้  วิเคราะห์ได้ว่า  เนื่องจากสมองซีกขวาเป็นสมองส่วนของอาการ  และความรู้สึก  ถ้าผู้ตีรู้สึกว่าลง  มันจะจัดอาการ  การเคลื่อนไหว  ทนั ตแพทยส์ ม สุจีรา

จงั หวะ  ทว่ งทา่   ลลี า  และกะระยะในการตใี หล้ งหลมุ ไดโ้ ดยอตั โนมตั ิ  เพียงแต่ขอให้สร้างภาพแห่งความรู้สึกให้ชัดที่สุด  สมองส่วนนี ้ ไม่เกี่ยวข้องกับการคำนวณ  มันไม่รู้ว่าต้องตีด้วยแรงกี่นิวตัน  กี่องศาจึงจะลง  แต่มันสามารถจัดให้เกิดขึ้นได้ตามที่จินตนาการ  40 ราวปาฏิหาริย์  ซึ่งอธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผลทางตรรกะ  ความลับ  ที่สำคัญก็คือ  ขณะจินตนาการต้องเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว  เห็น  อาการ  ไม่ใช่เห็นรูป  เช่น  เมื่อกำลังจะชู้ตลูกบาส  ให้หลับตา  จินตนาการถึงอาการขณะเคลื่อนไหวมือและอาการขณะลูกบาส  ลอยละล่องจนลงห่วงไป  การตั้งสติจับที่อาการเป็นเรื่องสำคัญมาก   นักวิทยาศาสตร์ที่จับอาการของคลื่นได้พบความจริงว่า  แสงสีต่าง ๆ ที่ตาของมนุษย์รับสัมผัสได้  ก็คือความยาวคลื่นที่  แตกต่างกันเท่านั้นเอง  ความจริงนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถ  นำคลื่นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย  แม้ว่าบางความยาวคลื่น  ตาจะมองไม่เห็นก็ตาม    ผู้ใหญ่ที่เพ่งพินิจพิจารณาเลือกคู่ให้บุตรหลานของตนก็จะ  มองที่อาการ  เช่น  ความอ่อนหวาน  อ่อนโยน  มารยาท  จังหวะ  การพูดจา  ลักษณะจิตใจ  ฯลฯ  มากกว่าจะไปมองที่รูปธรรม  ภายนอก  เป็นการมองโดยไม่ใช้ตา  แต่ใช้ใจ  ซึ่งก็คือการใช้สมอง  ซีกขวาดูนั่นเอง  ทำให้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่    ถ้าเซอร์ไอแซก  นิวตัน  มองเป็นสมมติบัญญัติ  คือเห็น  ลูกแอ๊ปเปิ้ลตก  ไม่ใช่เห็นอาการของลูกแอ๊ปเปิ้ลตก  ทุกวันนี้โลก  ก็จะไม่มีกฎของความโน้มถ่วง  แต่เพราะเขาเปิดสมองซีกขวาใน  ขณะที่นั่งอยู่ใต้ต้นแอ๊ปเปิ้ล  และดูเฉพาะอาการความไม่เที่ยง  เดอะท็อปซเี คร็ต 2 ตอน ความลับส่คู วามสำเร็จ

ขณะเคลื่อนที่ของมัน  ซึ่งไม่ว่าจะเป็นลูกแอ๊ปเปิ้ล  ลูกมะพร้าว  41 ลูกขนุนตก  แม้ว่ารูปจะต่างกัน  แต่อาการกับนามธรรม  คือความ  เร็ว  ความเร่งในการตกที่เกิดขึ้นก็เหมือนกัน    ความจริงแล้ว  กฎของความโน้มถ่วงเกือบถูกค้นพบโดย  สามเณรรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล  ขณะที่กำลังออกบิณฑบาตกับ  พระสารีบุตร  เห็นคนงานไขน้ำเข้านา  ด้วยความสงสัยที่อาการ  ของมัน  จึงถามพระสารีบุตรว่า  “น้ำเป็นสิ่งไม่มีชีวิตจิตใจ  ทำไม  มันถึงไหลออกจากนาโน้นมานานั้น  แล้วเข้านานี้ได้”    ขณะที่อาร์คิมีดีสหย่อนเท้าลงไปในอ่างอาบน้ำ  เขาก็พบว่า  มีน้ำล้นออกมา  มนุษย์ก่อนยุคอาร์คิมีดีสนับพันล้านคน  เคยเห็น  นำ้ ลน้ ขณะลงอา่ งกนั มาทกุ คน  แตเ่ นอ่ื งจากมองไปทร่ี ปู   คอื รา่ งกาย  กับน้ำ  แต่ไม่ได้มองไปที่อาการและความสัมพันธ์  คืออาการขณะ  หย่อนตัวลงกับปริมาตรและอาการของน้ำขณะไหลล้นออกจากอ่าง  แล้วเขาก็ค้นพบความสัมพันธ์นี้  อุทานขึ้นมาอย่างดีใจสุดขีดว่า  “ยูเรก้า”  กระโดดขึ้นจากอ่างอาบน้ำวิ่งออกมาบอกผู้คนที่ถนน  ท้ัง ๆ ท่ียงั ไมไ่ ดใ้ ส่เส้อื ผา้   กฎของอาร์คมิ ดี ีสทีบ่ อกว่า  ปรมิ าตรของ  วัตถุที่จมน้ำกับปริมาตรของน้ำที่ล้นออกมาเท่ากันก็เกิดขึ้นใน  วนั นน้ั เอง  เพราะการสงั เกต “อาการ”  และกฎของเขาสามารถนำไป  ประยุกต์ใช้ได้กับของเหลวทุกชนิดบนโลกนี้  ไม่ใช่เฉพาะน้ำ    แอลเบริ ต์   ไอนส์ ไตน ์ คน้ พบวา่   แสงสามารถแสดงคณุ สมบตั  ิ เปน็ เมด็ อนภุ าค  กเ็ พราะเขาสงั เกตอาการของมนั ทว่ี ง่ิ ไปชนอเิ ลก็ ตรอน  ใหก้ ระเดน็ หลดุ ออกมาจากผวิ โลหะได ้ นกั วทิ ยาศาสตรก์ อ่ นหนา้ นน้ั   ฟันธงว่าแสงเป็นคลื่น  เพราะไปดูที่รูป  การค้นพบของไอน์สไตน ์ ทันตแพทย์สม สุจรี า

ทำใหน้ กั วทิ ยาศาสตรส์ ามารถสรา้ งสง่ิ ประดษิ ฐเ์ ทคโนโลยชี น้ั สงู ตา่ ง ๆ  ขึ้นมาได้อย่างมากมาย    การหยั่งรู้จะเกิดขึ้นที่สมองซีกขวาเท่านั้น  และสิ่งที่จะ  42 กระตุ้นการทำงานของสมองซีกนี้ได้ก็คือการใช้สติกำหนดไปที่  อาการความไม่เที่ยงทั้งหลาย  นักธุรกิจที่จับอาการของผู้บริโภคได ้ นักเล่นหุ้นที่จับอาการของตลาดได้  นักดนตรีที่จับอาการของ  เครื่องเล่นชนิดต่าง ๆ ได้  นักกีฬาที่จับอาการการเคลื่อนไหวได ้ แพทย์ที่จับอาการของคนไข้ได้  ฯลฯ  ทั้งหลายเหล่านี้  จะทำให้  พวกเขาประสบความสำเร็จในอาชีพเหนือกว่าคนอื่น ๆ  อาการ  ที่กล่าวถึงก็คือส่วนหนึ่งของ “นามธรรม” นั่นเอง   ลดุ วกิ   ฟาน  เบโทเฟน  มหาอจั ฉรยิ ะทางดา้ นดนตรี  แมว้ า่   เขาจะเริ่มหูหนวกตั้งแต่อายุ  31  ปี  แต่ก็สามารถแต่งเพลงและ  เล่นดนตรีได้อย่างอัศจรรย์  ซึ่งซิมโฟนีหมายเลข  2 - 9  แต่งขึ้น  ในช่วงที่เขาหูหนวก  ก็เพราะจับอาการความเปลี่ยนแปลงของ  เสยี งดนตรไี ด ้ เมอ่ื อาย ุ 54  ป ี เขาออกมากำกบั วงเองในการบรรเลง  ซิมโฟนีหมายเลข  9  ทั้ง ๆ ที่หูของเขาไม่ได้ยินเสียงดนตรีและ  เสียงปรบมืออย่างชื่นชมของผู้ฟัง  จะเห็นได้ว่าอาการสำคัญกว่ารูป  ถ้าเบโทเฟนไปยึดติดกับรูปของเสียงที่มากระทบหู  ความสามารถ  ทั้งหมดจะหายไปในทันทีที่หูของเขาสูญเสียการได้ยิน    นักศึกษาแพทย์จะได้รับการสอนเน้นย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า  ต้องซักถามอาการของคนไข้ให้กระจ่าง  ไม่ใช่ดูที่รูปภายนอก  เช่น  ปวดนานแค่ไหน  ปวดแปล๊บ ๆ  ปวดหน่วง ๆ  หรือปวดลึก  ปวด  ต่อเนื่องหรือเป็นช่วง ๆ  ระหว่างนั่งกับนอนต่างกันไหม  กด  เดอะทอ็ ปซเี คร็ต 2 ตอน ความลับส่คู วามสำเร็จ

เจ็บไหม  ก่อนปวดมีอาการอะไรนำมาก่อนหรือไม่  ฯลฯ  ระหว่าง  43 ที่ซักถาม  แผนผังที่เป็นภาพในใจ  (Mind  Mapping)  ของโรค  ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปวดจะปรากฏขึ้นในสมองซีกขวาของ  แพทย์  ซึ่งเป็นสมองส่วนจินตนาการ  และพร้อมที่จะวิเคราะห ์ เชื่อมโยงอาการต่าง ๆ ที่รับรู้เข้ากันกับความรู้สึกที่สมองส่วนนี ้ เก็บไว้  นอกจากนั้นหากคนไข้มีสติในการจับอาการที่เกิดขึ้นอย่าง  ละเอียด  จะทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้ง่ายขึ้น  แพทย ์ ผู้เชี่ยวชาญจะให้ความสำคัญกับอาการมากกว่า  นักศึกษาแพทย์  ที่ดูเพียงแต่รูป  แล้วนำรูปที่เห็นมาเปรียบกับฐานข้อมูลในสมองว่า  ลกั ษณะแบบนค้ี วรเปน็ โรคอะไร  มโี อกาสทจ่ี ะวนิ จิ ฉยั โรคผดิ พลาด  เพราะเป็นการวิเคราะห์โดยใช้สมองซีกซ้ายเพียงอย่างเดียว  สมองส่วนนี้ชอบเก็บสิ่งที่เป็นสมมติบัญญัติ  เช่น  สถิติ  รูป  สัญลักษณ์  ภาษา  ฯลฯ   จิตรกรวาดภาพเหมือนที่เก่ง ๆ จะมองเห็นอาการของแสง  ทต่ี ดั กนั   ไมใ่ ชเ่ หน็ รปู   เชน่   ถา้ เราชมู อื ขน้ึ   แลว้ ขอใหจ้ ิตรกรผนู้ น้ั   วาดรูปมือที่เห็น  การที่เขาสามารถวาดออกมาได้เหมือน  เพราะ  การมองอาการของแสงที่ตัดกันทำให้เห็นมุม  เหลี่ยมเนิน  เงา  ไม่ใช่รูปมือ  เพราะเพียงพลิกมือไปเล็กน้อย  เงาของแสงก็ผิดไป  คนทุกคนสามารถเห็นรูปมือได้  แต่น้อยคนนักที่จะเห็นอาการ  ที่แสงตัดกันจนเป็นรูปมือ  การเห็นแบบนี้  ในทางพุทธศาสนา  เรียกว่า “รูปปรมัตถ์”  คือการให้ความสนใจในรูปทรง  สีสัน  ของภาพที่ปรากฏเพียงอย่างเดียว  โดยไม่สนใจสมมติบัญญัต ิ ไมม่ คี วามรู้สึกวา่ สวย  ชอบ  หลงใหล  เฉกเช่นศิลปนิ หรือช่างภาพ  ที่กำลังวาดรูป  ถ่ายรูปสาวงามเปลือยกายจากต้นแบบจริง  ก็จะ  ไมม่ อี ารมณค์ วามรสู้ กึ ในทางเสนห่ าใด ๆ  ซง่ึ คนทจ่ี ะเหน็ รปู ปรมตั ถ์  ทนั ตแพทย์สม สุจรี า

ได้  ต้องผ่านการฝึกสติวิปัสสนามาก่อน  สำหรับจิตรกรผู้ไม่เคย  ปฏิบัติธรรม  แต่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้  แสดงว่าต้องเคยสั่งสม  ผลบญุ มาหลายภพชาติ  ผปู้ ระสบความสำเรจ็ อยา่ งสงู ในสาขาอาชพี   ต่าง ๆ ล้วนสามารถมองแบบปรมัตถ์ในงานของตน  นักแต่งเพลง  44 ที่เก่ง ๆ จะเห็นอาการที่เสียงตัดกัน  แทรกสอดกัน  เห็นความ  ไม่เที่ยง  ความพลิ้วไหว  ไม่ใช่เน้นไปที่โน้ตดนตรีซึ่งเป็นสิ่งที่  สมมติกันขึ้นมา  การมองแบบปรมัตถ์จะทำให้เห็นในสิ่งที่คนอื่น  ไม่เห็น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถกำหนดสติจับอาการ  ความ  เปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ ทั้งรูปและนามได ้   ศัลยแพทย์ไม่ว่าฝีมือดีแค่ไหนก็จะไม่ผ่าตัดบิดา  มารดา  ของตัวเอง  เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะขณะผ่าตัดจะไม่สามารถมอง  แบบรูปปรมัตถ์ได้  เช่น  ขณะกำลังผ่าตัดหัวใจ  ก็จะมองเป็น  สมมติบัญญัติว่า  นี่หัวใจพ่อเรา  หัวใจแม่เรา  เป็นการใช้สมอง  ซีกซ้ายอยู่ตลอดเวลา  จนขาดไหวพริบปฏิภาณและการหยั่งรู้ถึง  สภาวะต่าง ๆ  สติจะระลึกรู้รูป  จะเห็นรูปที่เคลื่อนไหวไปมา  หากจะสามารถเห็นอาการที่แท้จริงได้ต้องมองด้วยจิตว่าง  ไม่ใช ่ บคุ คลตวั ตนเราเขาแตอ่ ยา่ งใด  ความรสู้ กึ ตวั กขู องกจู ะทำใหข้ าดสติ  ไม่เห็นเหตุปัจจัยตามความเป็นจริง  เมื่อใดที่ยึดติด  สติจะหลุด  รูปกับนาม   สำหรับผู้ที่ปฏิบัติเจริญสติวิปัสสนาอย่างสม่ำเสมอจะ  สามารถแยกรูป - นามได้  ซึ่งรูป – นามในทางวิทยาศาสตร์กับ  พุทธศาสนาไม่เหมือนกัน  เช่น  วิทยาศาสตร์ถือว่าความหวาน  เป็นนาม  แต่พุทธศาสนาถือว่าความหวานเป็นรูป  แต่จิตที่เข้าไป  เดอะท็อปซีเครต็  2 ตอน ความลบั สู่ความสำเร็จ

รับรู้ว่าหวานต่างหากที่เป็นนาม  วิทยาศาสตร์ถือว่าเวลาเป็นนาม  45 แต่พุทธศาสนาบอกว่าเวลาเป็นรูป  แต่จิตที่เข้าไปรับรู้ว่าเวลานั้น  มันยาวนานแค่ไหนเป็นนาม  โดยสรุปก็คือ  วิทยาศาสตร์ศึกษา  นามธรรมภายนอกร่างกายมนุษย์  ส่วนพระพุทธองค์ทรงมุ่งศึกษา  นามธรรมภายในร่างกาย   พระพทุ ธองคไ์ มท่ รงเนน้ ใหใ้ ชจ้ ติ ทฝ่ี กึ แลว้ แบบวปิ สั สนาไปจบั   การเกิดดับทางกายภาพภายนอกร่างกาย  แม้ว่าจะสามารถนำไปสู่  การคน้ พบอนั ยง่ิ ใหญแ่ บบทด่ี ารว์ นิ ,  นวิ ตนั ,  ไฮเซนแบรก์ ,  พลงั ค,์   แมกซ์เวลล์  หรือไอน์สไตน์ค้นพบก็ตาม  เพราะถึงมนุษย์  จะเกิดปัญญาในการวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ รอบตัว  แต่ไม่เคยวิเคราะห์  สภาพจิตภายในของตัวเอง  การค้นพบทางกายภาพเหล่านั้น  ก็ไม่มีทางที่จะลดกิเลส  ตัณหา  ราคะ  โลภะ  โทสะ  โมหะ  ของมนุษย์ได้  ดังนั้นจึงไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง   ความแตกต่างระหว่างพระพุทธเจ้ากับนักวิทยาศาสตร์ก็คือ  พระองค์ทรงเน้นทำความเข้าใจในส่วนของ “นามธรรมภายใน  รา่ งกาย”  ซง่ึ กค็ อื การกำหนดไปทจ่ี ติ   จติ เหน็   จติ ไดย้ นิ   จติ รกู้ ลน่ิ   จิตรู้รส  จิตรู้สัมผัส  จิตนึกคิด  มีสติรู้เท่าทันจิต  และกำหนดรู้  ถึงสภาวธรรมในจิตที่ปรุงแต่งใจ  สติช่วยให้เห็นความจริงอันเป็น  ธรรมชาติของสภาวธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  และดับไป  เป็นกฎธรรมชาติที่เรียกว่า “ไตรลักษณ์”   แอลเบริ ต์   ไอนส์ ไตน ์ เปน็ นกั วทิ ยาศาสตรอ์ จั ฉรยิ ะทส่ี ามารถ  แยกรปู  - นามตามหลักพระพุทธศาสนาได้  ท้ังที่ไม่เคยปฏิบตั ิธรรม  และการแยกรูป  (เวลา)  ออกจากนาม  (จิต)  ได้  ทำให้เขาค้นพบ  ทันตแพทยส์ ม สจุ รี า

ทฤษฎีอันยิ่งใหญ่ของโลก  คือทฤษฎีสัมพัทธภาพ  ซึ่งในช่วงแรก  เขาไมร่ จู้ ะอธบิ ายทฤษฎนี อ้ี ยา่ งไร  จงึ ไดอ้ ธบิ ายในเชงิ เปรยี บเทยี บวา่   “หนึ่งชั่วโมงที่นั่งกับสาวงามผ่านไปไวราวกับหนึ่งนาที  แต่หนึ่งนาที  ที่นั่งบนเตาร้อนผ่านไปราวกับหนึ่งชั่วโมง  นี่คือสัมพัทธภาพ” 46   ผู้ที่มีกำลังสติสูงขึ้น  สามารถแยกความแตกต่างของ  ธรรมชาติสองอย่างออกจากกันได้  คือ  เห็นรูป  ก็เป็นลักษณะ  ธรรมชาติอย่างหนึ่ง  และเห็นนาม  ก็เป็นธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง  เช่น  เห็นว่า “เวลา” ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถจะรับรู้  อะไรได้  ตัวมันเองไม่สามารถจะรับรู้อารมณ์ได้  เป็นเพียงแต ่ ธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ผ่านไป  จัดว่าเป็นรูปธรรม  ส่วนตัว  ที่เข้าไปรู้เป็นธรรมชาติที่สามารถจะรับรู้อะไรได ้ จัดเป็นนามธรรม  เห็นความต่างกันของธรรมชาติ  2  อย่าง  คือเห็นรูปก็อย่างหนึ่ง  เห็นนามก็อย่างหนึ่ง  (อย่าสับสนกับคำว่า “นามธรรม” ในเชิง  วิทยาศาสตร์  เพราะถ้าเช่นนั้น  เวลา  ความหอม  ความเค็ม  จะถือว่าเป็นนาม  แต่ในทางพุทธถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นรูป  แต่จิต  ที่เข้าไปรับรู้ว่ามันหอมมันเค็มต่างหากที่เป็นนาม)   ยิ่งแยกรูป - นามออกจากกันได้ชัดเพียงไร  จะยิ่งเห็นความ  จริงแท้ของธรรมชาติชัดขึ้นเพียงนั้น  ทั้งความจริงแท้ทางกายภาพ  และความจริงแท้ทางจิต  เช่น  ลมหายใจที่เข้ากระทบจมูกด้วย  จังหวะ  ความดัน  เย็น  ร้อน  ขนาดไหน  สติที่ไวจะสามารถ  แยกได้ทันทีว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงรูปที่เข้ามากระทบ  รูปเหล่านี้  ไม่มีตัวรู ้ ไม่สามารถรับรู้อะไรได ้ ถ้าไม่มีส่วนของนามวิ่งเข้ามารับ  ก็คือจิตใจที่เป็นตัวเข้าไปรู้  ถ้าปราศจากจิต  เช่น  ถ้าไม่มีมนุษย์  ความดัน  ความเย็น  ความร้อน  ก็ไม่มีอยู่จริง  เดอะทอ็ ปซีเครต็  2 ตอน ความลบั สู่ความสำเร็จ

  ในทางวทิ ยาศาสตร ์ จะใชส้ ตเิ ฝา้ ดรู ปู กบั รปู วง่ิ มาชนกนั   เชน่   47 เมื่อเชื้อโรควิ่งเข้าไปในแผล  ก็จะมีเม็ดเลือดขาวซึ่งอยู่ในร่างกาย  วิ่งเข้ามาจับทันที  แต่ในทางพุทธศาสตร์  จะใช้สติเฝ้าดูรูปกับนาม  วิ่งมาชนกัน  กล่าวคือ  รูป  รส  กลิ่น  เสียง  สัมผัส  ที่วิ่งเข้าไป  ทางทวาร  6  มาชนกับจิตรู้  ทำให้เกิดเวทนา  ตัณหา  เช่นเดียวกัน  เมื่อรูป  รส  กระทบกาย  จิตก็วิ่งมาจับทันที  จะต่างกันก็ตรงที่  เม็ดเลือดขาววิ่งมาจับเพื่อทำลายเชื้อโรค  แต่จิตที่วิ่งเข้ามาจับ  กลับช่วยเพิ่มพลังให้ผัสสะที่เข้ามาก่อให้เกิดเป็นเวทนา  ตัณหา  สำหรับผู้ที่ไม่สามารถแยกสติออกมาเฝ้าดูได้  จะไม่เห็น  ปรากฏการณ์นี้  สติที่ไวจะทำให้เข้าใจทันทีว่า  เกิดผัสสะจากรูป  ก่อน  และนาม  (จิต)  จึงจะวิ่งเข้าไปจับ  เช่นเดียวกับเชื้อโรคต้อง  เข้าแผลก่อน  เม็ดเลือดขาวถึงจะวิ่งออกมา  แต่กระบวนการของ  จิตที่เข้ามารับผัสสะ    เวทนา    ตัณหา  ไวกว่าความเร็วของ  เม็ดเลือดขาวเป็นแสนเป็นล้านเท่า  การจะกำหนดแยกรูป - นามออกจากกันจนเห็นรอยต่อ  ขณะจิตเข้ามารับอารมณ์ไม่ใช่เรื่องง่าย  และถ้าเห็นถึงจุดนี้  ก็คือ  การบรรลุวิปัสสนาญาณระดับที่  1  นั่นเอง  ทำให้เข้าใจว่า  ชีวิตนี ้ ไม่มีอะไร  เนื้อแท้จริง ๆ แล้วมีแต่รูปกับนามเกิดขึ้นเท่านั้น  ความ  รู้สึกเกิดขึ้นเพราะจิตเข้ามารับรูปที่ผ่านเข้ามาทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  แล้วก่อให้เกิดเวทนา  ตัณหา  อุปาทาน  (ตัวกู  ของกู)  เมื่อเสียชีวิตไป  รูปพวกนี้ก็ไม่มีอยู่จริง  ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่อง  สมมต ิ ไม่วา่ จะเป็นยศถาบรรดาศกั ด ์ิ ชอ่ื เสยี ง  ทรัพยส์ ินเงินทอง  ลำดับเครือญาติ  หรือในเรื่องนามธรรมอย่างความสวย  ความ  หอม  ความน่ารัก  ฯลฯ  เสี้ยววินาทีแรกทีเ่ สียชีวติ   สิ่งเหล่านีก้ ็จะ  ทนั ตแพทยส์ ม สจุ ีรา

สูญหายไปในทันที  แต่สำหรับผู้ที่ฝึกเจริญสติจนเกิดปัญญาญาณ  จะสามารถหยั่งรู้ถึงความเป็นมายาของโลกได้  แม้ในขณะที่ยังมี  ชีวติ อยู่ 48   นักวิทยาศาสตร์ระดับชั้นนำของโลก  จะเกิดปัญญาแบบ  วิปัสสนาญาณที่  1  (นามรูปปริจเฉทญาณ)  ได้โดยธรรมชาติ  ถึงจะ  ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธก็บรรลุได้  และปัญญาเพียงระดับญาณ  1  ก็สามารถทำให้พวกเขาอยู่ในสถานะที่เรียกว่าอัจฉริยะเหนือมนุษย ์ แม้การค้นพบทางการแพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า  ญาณ  1  (รูปกระทบนาม)  เพราะการวิจัยทางการแพทย์จะศึกษา  ในระดบั ของรปู กระทบรปู   เชน่   ใหย้ าตวั นเ้ี ขา้ เสน้ เลอื ด  จะกระทบ  เซลล์แล้วเกิดปฏิกิริยาอย่างไร  ทำให้สามารถพัฒนายารักษาโรค  มาไดห้ ลายชนดิ   เชน่   โรคทางลำไสท้ กุ ชนดิ มยี ารกั ษาไดค้ รอบคลมุ   หมด  แต่ทุกวันนี้แพทย์ก็ยังรักษาอาการ “หมั่นไส้” ไม่ได้  เพราะ  ไม่เคยศึกษาเรื่องนามธรรมภายในร่างกาย   สำหรับผู้ที่หมั่นฝึกเจริญสติอย่างต่อเนื่อง  ไม่ขาดตอน  จะทำใหส้ ามารถรเู้ หตปุ จั จยั ของรปู  - นาม  เทยี บกบั ทางวทิ ยาศาสตร์  ที่ครั้งหนึ่งไม่เคยวิเคราะห์นามธรรมทางกายภาพ  เช่น  เห็นนกบิน  ได้  แต่ไม่รู้เหตุปัจจัยที่ทำให้นกบินได้  ก็เอานกมาผ่า  เอาปีกมา  ฉกี ทง้ึ ด ู แลว้ ไปทำปกี ตดิ ทแ่ี ขนกระโดดลงมาจากหนา้ ผา  เสยี ชวี ติ   กันเป็นจำนวนมาก  จนเมื่อนักวิทยาศาสตร์มาศึกษาที่นามธรรม  คอื ความดนั อากาศ  และอาการการบนิ ของนก  ทำใหร้ ถู้ งึ เหตปุ จั จยั   ระหวา่ งรปู  - นาม  กส็ ามารถประดษิ ฐเ์ ครอ่ื งบนิ ขน้ึ มาได ้ โดยรปู รา่ ง  ของเครื่องบินต้องเป็นไปตามธรรมชาติของนาม  คือความดัน  อากาศ  (หมายเหต ุ ความดนั อากาศในทางพทุ ธศาสนาถอื วา่ เปน็ รปู   เดอะทอ็ ปซเี คร็ต 2 ตอน ความลบั สู่ความสำเร็จ

แต่จิตที่ไปรับรู้เป็นนาม  ในทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเน้นศึกษาเรื่อง  49 กายภาพจะถือว่าความดันอากาศเป็นนาม  เพราะจับต้องไม่ได้)   เมอ่ื พบเหตปุ จั จยั แหง่ รปู  - นาม  วงการวทิ ยาศาสตรก์ พ็ ฒั นา  อย่างก้าวกระโดด  มีการศึกษาเรื่องทางนามธรรมต่าง ๆ ตามมาอีก  มากมาย  เชน่   ความเรว็   ความเร่ง  ความหนืด  ความดนั   ความ  ร้อน  ความเข้ม  ความดัง  พลังงาน  โมเมนตัม  คลื่น  สนาม  แม่เหลก็ ไฟฟ้า  ฯลฯ  และเมอื่ รูเ้ หตปุ จั จัยแห่งรูป - นาม  ก็สามารถ  สรา้ งรูปจากนาม  หรอื สรา้ งนามจากรปู ได้  เช่น  สร้างพลังงานจาก  อะตอม  (สร้างนามจากรูป)  สร้างโทรสารจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  (สรา้ งรูปจากนาม)  นบั จากยุคสมัยบางระจนั มาจนถึงปัจจบุ ัน  เปน็   ช่วงเวลาเพียงแค่สองร้อยกว่าปี  แต่มีสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์ต่าง ๆ  เกิดขึ้นอย่างมากมาย  ก็เพราะการค้นพบความลับของนามธรรม  แม้จะเป็นนามทางกายภาพซึ่งมีความละเอียดน้อยกว่านามในทาง  พุทธศาสนา  แต่ก็ยังสามารถพลิกโลกได้ขนาดที่สร้างสิ่งอำนวย  ความสะดวกต่าง ๆ ได้มากมาย    เมื่อใดก็ตามที่แพทย์หรือนักวิทยาศาสตร์หันมาศึกษา  นามธรรมภายในร่างกาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของจิตและ  เจตสิก  เมื่อนั้นโลกจะเกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดอีกครั้งหนึ่ง  เปน็ การปฏวิ ตั เิ ขา้ สคู่ ลน่ื ลกู ทส่ี อ่ี ยา่ งรวดเรว็   การทะลมุ ติ  ิ เหาะเหนิ   เดินอากาศ  ยืดหดเวลาหรือข้ามเวลา  การหยั่งรู้ใจคน  ฯลฯ  จะ  กลายเป็นเรื่องธรรมดา  เฉกเช่นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่เริ่ม  ศึกษานามธรรมทางกายภาพ  จนปฏิวัติโลกเข้าสู่คลื่นลูกที่สอง  (อตุ สาหกรรม)  และสาม  (เทคโนโลยี)  ภายในเวลาไมก่ ร่ี อ้ ยป ี ผู้คน  ในสมัยกรงุ ศรีอยุธยาคงไม่มีใครเชอ่ื ว่า  อนาคตหลังจากนั้นไม่นาน  ทันตแพทย์สม สุจีรา

จะมีเรือบินที่บินฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศ  หรือสามารถส่งเสียง  คุยกับเพื่อนที่อยู่คนละซีกโลกได้อย่างง่ายดายราวกับปาฏิหาริย์  เชน่ เดยี วกบั ทเ่ี ราในยคุ นค้ี งไมเ่ ชอ่ื วา่   ในอนาคตมนษุ ยจ์ ะหายตวั ได้  เหาะได้ 50   สำคัญที่สุดคือ  ในยุคนั้นจะสามารถพิสูจน์เรื่องการตาย  แล้วเกิดได้อย่างชัดเจน  กฎแห่งกรรมจะได้รับการยอมรับว่า  ถูกต้องยิ่งกว่ากฎของนิวตัน  มนุษย์โลกทั้งหมดจะเกรงกลัว  การทำบาป  ผู้คนจะหมั่นถือศีล  สะสมความดี  โลกจะเริ่มต้น  เข้าสู่ยุคพระศรีอารย์  แต่ก่อนอื่นพุทธศาสนาต้องเผยแผ่ไปยัง  ตะวันตกเสียก่อน  จนมีนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะคนไหนสะกิดใจ  แล้วหันมาปฏิบัติศึกษานามธรรมทางพุทธอย่างจริงจัง  ความจริง  แล้วแอลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  ก็พยายามทำอยู่  เพียงแต่เขามาพบ  พระพุทธศาสนาในบั้นปลายของชีวิต  และประกาศยกย่องให้เป็น  ศาสนาแหง่ จกั รวาล  แตศ่ กึ ษาคน้ ควา้ ไดไ้ มน่ านกเ็ สยี ชวี ติ ไปเสยี กอ่ น  ที่จะพบความจริงอะไรที่ช็อกโลกยิ่งกว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพ    ในทางพุทธศาสนา  จะศึกษาถึงเหตุและปัจจัยระหว่างรูป  ภายนอกรา่ งกายกบั นามภายในรา่ งกาย  ระหวา่ งสง่ิ เรา้   (รปู )  ผสั สะ  และจิตที่เข้ามารับอารมณ์  (นาม)  จนเห็นว่ารูป - นามนี้เป็นเหต ุ เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน  มีความเกี่ยวข้องเป็นปัจจัยกัน  เช่น  ขณะทจ่ี ะนง่ั   จะนอน  จะเดนิ   การเคลอ่ื นไหวตา่ ง ๆ เปน็ ไปเพราะวา่   มีธรรมชาติอย่างหนึ่งเป็นตัวเหตุปัจจัย  ก็คือจิตที่อยากจะนั่ง  จะนอน  จะเดินนั่นเอง  จิตปรารถนาจะให้กายเคลื่อนไหว  กาย  กเ็ คลอ่ื นไหวไป  จติ ปรารถนาจะยนื   กายกย็ นื   จติ ปรารถนาจะเดนิ   กายก็เดิน  จิตปรารถนาจะนั่ง  กายก็นั่ง  จิตปรารถนาจะนอน  เดอะท็อปซีเคร็ต 2 ตอน ความลบั สู่ความสำเรจ็


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook