สำหรับงำนคอมพิ วเตอร์ Art Elements for Computer Works
คำอธบิ ำยรำยวชิ ำ 20204-2006 องค์ประกอบศิลปส์ ำหรับงำนคอมพิวเตอร์ 1-2-2 จดุ ประสงคร์ ายวิชา เพอ่ื ให้ 1. เข้ำใจเกยี่ วกบั หลักกำรขององคป์ ระกอบศลิ ป์สำหรับงำนคอมพิวเตอร์ 2. เขำ้ ใจเกี่ยวกับกำรวเิ ครำะห์ จำแนก ธำตทุ ำงทัศนศลิ ป์ หลกั กำร และกฎเกณฑ์ของ องค์ประกอบศลิ ป์ 3. เข้ำใจในกำรจดั พ้ืนท่ี จดุ สนใจของวตั ถุ กำรเนน้ กำรจัดวำงตำแหนง่ วัตถุและจัดวำงวตั ถุ ชนิดตำ่ ง ๆ 4. สำมำรถออกแบบ สร้ำง แกไ้ ข และตกแตง่ ช้นั งำนโดยใช้โปรแกรมสำเรจ็ รปู 5. มเี จตคติและกจิ นสิ ยั ที่ดใี นกำรปฏิบัตงิ ำนคอมพวิ เตอร์ดว้ ยควำมละเอียดรอบคอบ และ ถกู ต้อง สมรรถนะรายวชิ า 1. แสดงควำมรูเ้ กีย่ วกบั กำรวิเครำะห์ จำแนก ธำตุทำงทัศนศิลป์ หลักกำร และกฎเกณฑ์ ขององค์ประกอบศลิ ป์ 2. แสดงควำมรู้กำรจัดพ้นื ที่ จุดสนใจของวตั ถุ กำรเนน้ กำรจัดวำงตำแหนง่ วตั ถุและจัดวำง วัตถชุ นดิ ตำ่ ง ๆ 3. ออกแบบสอ่ื ดิจทิ ลั ตำมหลกั กำรของกำรจดั องค์ประกอบศลิ ป์ 4. ปฏิบตั ิกำรออกแบบ สรำ้ ง แก้ไข และตกแต่งชน้ั งำนโดยใชโ้ ปรแกรมสำเรจ็ รูป คาอธิบายรายวชิ า ศกึ ษำและปฏบิ ัตเิ ก่ยี วกับหลักกำรขององค์ประกอบศลิ ป์ กำรจำแนก ธำตทุ ำงทัศนศลิ ป์ หลักกำรและกฎเกณฑ์ขององค์ประกอบศลิ ป์ กำรจดั พื้นท่ี จดุ สนใจของวตั ถุ กำรเนน้ กำรจัดวำง ตำแหนง่ วัตถแุ ละจัดวำงวัตถชุ นิดตำ่ ง ๆ กำรออกแบบ สรำ้ ง แก้ไข และตกแต่งชิน้ งำนโดยใช้ โปรแกรมสำเรจ็ รูป
ตารางวเิ คราะหส์ มรรถนะ รายวิชา 20204-2006 องคป์ ระกอบศลิ ป์ สาหรับงานคอมพวิ เตอร์ สมรรถนะรายวิชา แสดงความ ูร้เ ่ีกยวกับการ ิวเคราะห์ จาแนก ธาตุทางทัศนศิล ์ป หน่วยท่ี หลักการ และกฎเกณฑ์ขององค์ประกอบศิล ีป แสดงความ ูร้การจัด ืพ้น ่ีท จุดสนใจของวัตถุ การเน้นการจัดวาง ตาแหน่งวัตถุและจัดวางวัตถุช ินดต่าง ๆ ออกแบบ ่ืสอดิจิทัลตามหลักการของการจัดองค์ประกอบศิล ์ป 1 หลกั การองคป์ ระกอบศิลป์ ������ 2 การจาแนกธาตทุ างทศั นศิลป์ ������ 3 หลกั การและกฎเกณฑข์ ององคป์ ระกอบศลิ ป์ ������ 4 ศิลปะกบั คอมพวิ เตอร์ ������ 5 การจดั วางตาแหน่งของวตั ถุ ������ 6 การออกแบบและแกไ้ ขชนิ้ งานดว้ ยโปรแกรม ������ Adobe illustrator
คานา หนังสือเรียนวชิ ำ \"องคป์ ระกอบศลิ ปส์ ำหรับงำนคอมพิวเตอร์ (Art Elements for Computer Works)\" รหสั วิชำ 20204 - 2006 เรยี บเรยี งข้นึ ตำมหลกั สตู รประกำศนยี บตั ร วิชำชีพ (ปวช.) พุทธศกั รำช 2562 ของสำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ หนงั สอื เล่มนีป้ ระกอบดว้ ยเนื้อหำจำนวน 6 หนว่ ย ประกอบดว้ ยเนอ้ื หำดงั น้ี คือ หลักกำร องค์ประกอบศิลป์ กำรจำแนกธำตุทำงทศั นศลิ ป์ หลกั กำรและกฎเกณฑข์ ององคป์ ระกอบศิลป์ ศลิ ปะกบั คอมพิวเตอร์ กำรจดั วำงตำแหน่งของวตั ถุ และกำรออกแบบและแกไ้ ขริน้ งำน ดว้ ยโปรแกรม Adobe illustrator ผู้เรยี บเรยี งหวังเป็นอยำ่ งยงิ่ วำ่ หนงั สอื เรยี นวชิ ำ \"องค์ประกอบศลิ ปส์ ำหรับงำน คอมพวิ เตอร์ (Art Elements for Computer Works)\" เลม่ นี้จะเอ้ืออำนวยประโยชนแ์ ก่ นักเรยี น ครู อำจำรย์ ตลอดจนผู้ทีส่ นใจวิชำนเี้ ปน็ อยำ่ งดี สดุ ท้ำยนี้ผเู้ รยี บเรียงขอกรำบขอบพระคุณ เจ้ำของผลงำนทุกทำ่ นที่ผูเ้ รียบเรียงได้นำมำอำ้ งองิ และยกตวั อย่ำงประกอบไว้ในหนงั สอื เลม่ นี้ ขอขอบพระคุณทุกท่ำนไว้ ณ โอกำสนี้
สารบญั หนว่ ยท่ี 1 หลกั การองคป์ ระกอบศิลป์ .......................................................... 1 สำระสำคญั เรอื่ งทจี่ ะศึกษำ จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม แบบทดสอบก่อนเรียน หนว่ ยท่ี 1 ควำมหมำยขององคป์ ระกอบศิลป์ ควำมสำคญั ขององค์ประกอบศลิ ป์ องค์ประกอบพ้นื ฐำนตำ้ นนำมธรรมของศลิ ปะ ส่วนประกอบขององค์ประกอบของศิลป์ กำรจดั องค์ประกอบของศลิ ปะ หลกั องคป์ ระกอบทำงศลิ ปะ สรปุ เนอื้ หำสำคัญ (แผนผงั มโนทัศน์) ใบงำนหน่วยท่ี 1 แบบฝึกหดั หน่วยท่ี 1 แบบทดสอบหลงั เรียน หนว่ ยท่ี 1 หนว่ ยที่ 2 การจาแนกธาตุทางทศั นศิลป์ ......................................................... สำระสำคัญ เรอ่ื งท่ีจะศึกษำ จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม แบบทดสอบกอ่ นเรียน หนว่ ยท่ี 2 ควำมเป็นมำของทศั นศลิ ป์ ควำมสำคัญของทศั นศลิ ป์ ควำมหมำยของทศั นศิลป์ ประเภทของทศั นศิลป์ ลกั ษณะรูปแบบของทัศนศลิ ป์ (Visual Art Style) โครงสรำ้ งทำงทัศนศลิ ป์ ควำมหมำยของทศั นธำตุ สรปุ เนื้อหำสำคญั (แผนผังมโนทศั น์)
สารบัญ ใบงำนหน่วยท่ี 2 แบบฝึกหัด หน่วยท่ี 2 แบบทดสอบหลงั เรียน หนว่ ยท่ี 2 หนว่ ยที่ 3 หลักการและกฎเกณฑข์ ององค์ประกอบศิลป์ สำระสำคญั เรือ่ งท่จี ะศกึ ษำ จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หนว่ ยท่ี 3 หลกั องคป์ ระกอบทำงศิลป์ กฎเกณฑ์ในกำรสร้ำงงำนศลิ ป์ กำรจดั พื้นที่ พน้ื ผวิ กับงำนทศั นศิลป์ แบบทดสอบหลงั เรยี น หน่วยที่ 3 หนว่ ยท่ี 4 ศิลปะกับคอมพิวเตอร์ สำระสำคญั เร่อื งที่จะศกึ ษำ จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม แบบทดสอบก่อนเรียน หนว่ ยท่ี 4 ศลิ ปะกบั คอมพิวเตอร์ ภำพศลิ ปะจำกคอมพิวเตอร์ กำรออกแบบกรำฟกิ ระบบคอมพิวเตอร์กับกำรออกแบบงำนกรำฟกิ องค์ประกอบในกำรออกแบบงำนกรำฟกิ และสอื่ งำนกรำฟิกกบั คอมพวิ เตอร์ ประเภทของงำนออกแบบกรำฟิกและส่ือ สรปุ เนื้อหำสำคญั (แผนผังมโนทัศน์) ใบงำนหนว่ ยท่ี 4 แบบฝกึ หดั หนว่ ยที่ 4 แบบทดสอบหลงั เรยี น หนว่ ยท่ี 4
สารบญั หนว่ ยท่ี 5 การจดั วางตาแหน่งของวัตถุ สำระสำคัญ เรื่องทจ่ี ะศึกษำ จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หนว่ ยที่ 5 ควำมหมำยของกำรจัดภำพ องค์ประกอบศลิ ปใ์ นกำรจดั ภำพ เทคนิคกำรจัดองคป์ ระกอบภำพ องค์ประกอบกำรออกแบบ (Elements) ผลงำนทศั นศลิ ป์ของศิลปินไทยและต่ำงประเทศ สรปุ เน้อื หำสำคญั (แผนผงั มโนทศั น์) ใบงำนหนว่ ยท่ี 5 แบบฝึกหดั หนว่ ยท่ี 5 แบบทดสอบหลังเรียน หนว่ ยที่ 5 หนว่ ยที่ 6 การออกแบบและแกไ้ ขช้ินงานดว้ ยโปรแกรม Adobe Illustrator สำระสำคญั เรือ่ งท่จี ะศกึ ษำ จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม แบบทดสอบกอ่ นเรียน หน่วยที่ 6 ควำมหมำยกำรออกแบบ ประเภทของงำนออกแบบ ควำมสำคัญของกำรออกแบบผลติ ภณั ฑ์ หลักกำรพน้ื ฐำนในกำรออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ส่วนประกอบของโปรแกรม Adobe Illustrator CS6 กำรสร้ำงไฟลง์ ำนในโปรแกรม Adobe Illustrator CS6 กำรวำดภำพดว้ ยเครื่องมือตำ่ ง ๆ ในโปรแกรม Adobe Illustrator CS6 กำรเลือกใชง้ ำนวัตถุในโปรแกรม Adobe Illustrator CS6 กำรจดั วำงและกำรปรบั ปรงุ รูปทรงในโปรแกรม Adobe Illustrator CS6 กำรทำงำนกับสีและกำรระบำยสีในโปรแกรม Adobe Illustrator CS6
สารบัญ สรปุ ทำ้ ยบท สรุปเนอื้ หำสำคัญ (แผนผงั มโนทัศน์) ใบงำนหนว่ ยท่ี 6 แบบฝึกหัด หน่วยที่ 6 แบบทดสอบหลังเรียน หน่วยที่ 6 บรรณานกุ รม
หนว่ ยท่ี 1 หลักการองคป์ ระกอบศลิ ป์ สาระสาคัญ องคป์ ระกอบของศิลปะหรือ (Composition) น้นั มำจำกภำษำละติน โดยคำว่ำ Post น้ัน หมำยถึง กำรจัดวำง และคำว่ำ Comp หมำยถึง เข้ำด้วยกัน ซึ่งเม่ือนำมำรวมกันแล้วในทำง ศิลปะ Composition จึงหมำยควำมถึง องค์ประกอบของศิลปะ กำรจะเกิดองค์ประกอบศิลป์ ไดน้ ัน้ ตอ้ งเกิดจำกกำรเอำส่วนประกอบของศิลปะ (Element of Art) มำสร้ำงสรรค์งำนศิลปะ เข้ำดว้ ยหลกั กำรจดั องคป์ ระกอบศลิ ป์ (Principle of Art) จึงจะเป็นผลงำนองคป์ ระกอบศิลป์ เรอื่ งที่จะศกึ ษา 1. ควำมหมำยขององคป์ ระกอบศลิ ป์ 2. ควำมสำคญั ขององคป์ ระกอบศิลป์ 3. องค์ประกอบศิลปพ์ นื้ ฐำนต้ำนนำมธรรมของศลิ ปะ 4. สว่ นประกอบขององคป์ ระกอบศิลป์ 5. กำรจดั องคป์ ระกอบศลิ ป์ 6. หลกั องค์ประกอบศลิ ป์ สมรรถนะประจาหน่วย 1. แสดงควำมร้เู กีย่ วกับกำรจดั วำงตำมหลกั กำรจดั องค์ประกอบศลิ ป์ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. เขยี นควำมหมำยขององค์ประกอบศิลปไ์ ด้ 2. อธิบำยควำมสำคญั ขององคป์ ระกอบศลิ ปไ์ ด้ 3. แยกแยะองคป์ ระกอบศิลป์พ้ืนฐำนด้ำนนำมธรรมของศลิ ปะได้ 4. วิเครำะหส์ ่วนประกอบขององคป์ ระกอบศิลปไ์ ด้ 5. จำแนกกำรจดั องคป์ ระกอบศลิ ป์ได้ 6. จดั ภำพตำมหลักองคป์ ระกอบศลิ ป์ได้
แบบทดสอบกอ่ นเรียน หน่วยท่ี 1 2
ความหมายขององคป์ ระกอบศลิ ป์ องค์ประกอบของศลิ ป์ หรอื (Composition) นนั้ มำจำกภำษำละตนิ โดยคำวำ่ Post นนั้ หมำยถงึ กำรจัดวำง และคำวำ่ Comp หมำยถึง เข้ำดว้ ยกัน ซ่ึงเมอื่ นำมำรวมกนั แล้วในทำง ศิลปะ Composition จงึ หมำยควำมถงึ องคป์ ระกอบของศิลปะ กำรจะเกิดองคป์ ระกอบศลิ ป์ ไดน้ นั้ ต้องเกิดจำกกำรเอำสว่ นประกอบของศิลปะ (Element of Art) มำสร้ำงสรรคง์ ำนศิลปะ เข้ำด้วย หลักกำรจัดองคป์ ระกอบศิลป์ (Principle of Art) จงึ จะเปน็ ผลงำนองคป์ ระกอบศิลป์ ควำมหมำยขององค์ประกอบศิลป์น้นั ได้มีนกั วชิ ำกำรหลำยท่ำนไดใ้ ห้ควำมหมำยเอำไว้ องค์ประกอบศิลป์เป็นวิชำหรือทฤษฎีที่เกี่ยวกับกำรสร้ำงรูปทรงในงำน กำรจัด องคป์ ระกอบศิลป์เป็นกำรนำเอำทัศนธำตุ ได้แก่ จุด เส้น รูปรำ่ ง รูปทรง นำ้ หนกั อ่อน-แก่ พ้นื ที่วำ่ ง พ้ืนผวิ และสี มำจัดวำงสรำ้ งรปู แบบตำ่ ง ๆ อย่ำงลงตัว เหมำะสมกลมกลืน งดงำม มชี วี ิตชีวำ ถกู ตอ้ งตำมหลักเกณฑ์ของกำรจัดองคป์ ระกอบศลิ ป์ การจัดองคป์ ระกอบศิลป์น้นั ถอื ว่ำเป็นทฤษฎีเบ้ืองตันของกำรสร้ำงสรรค์งำนศิลปะ เพรำะ เป็นแนวทำงที่ศิลปินใช้เป็นหลักในกำรสร้ำงสรรค์งำนและพิจำรณำคุณค่ำของงำนศิลปะ หลักใน กำรจัดองคป์ ระกอบศิลป์ จะต้องคำนึงถึงหลกั เกณฑเ์ บ้อื งตน้ ในกำรจัดวำง ดงั นี้ ความสาคัญขององคป์ ระกอบศลิ ป์ ในกำรสร้ำงสรรค์ผลงำนศิลปะในสำขำต่ำง ๆ ไม่ว่ำจะเป็นสำขำวิจิตรศิลป์ หรือ ประยุกต์ ศิลป์ ผู้สร้ำงสรรค์นั้นต้องมีควำมรู้เบื้องต้นต้ำนศิลปะมำก่อน และศึกษำถึงหลักกำร องค์ประกอบ พื้นฐำน องค์ประกอบท่ีสำคัญ กำรจัดวำงองค์ประกอบเหล่ำน้ัน รวมถึงกำรกำหนดสี ในลักษณะ ต่ำง 'ๆ เพ่ิมเติมให้เกิดควำมเข้ำใจ เพื่อเวลำที่สร้ำงผลงำนศิลปะ จะได้ผลงำนท่ีมี คุณค่ำ ควำมหมำยและควำมงำมเป็นที่น่ำสนใจแก่ผู้พบเห็น หำกสร้ำงสรรค์ผลงำนโดยขำด องค์ประกอบ ศิลป์ ผลงำนน้ันอำจดูต้อยค่ำ หมดควำมหมำยหรือไม่น่ำสนใจไปเลย ดังน้ัน จะเห็นได้ว่ำ องค์ประกอบศิลป์นั้นมีควำมสำคัญอย่ำงมำกในกำรสร้ำงงำนศิลปะ มีนักกำรศึกษำ ด้ำนศิลปะ หลำยท่ำนได้ให้ทรรศนะในด้ำนควำมสำคัญขององค์ประกอบศิลปีที่มีต่อกำรสร้ำง งำนศิลปะไว้ พอจะสรุปได้ ดังนี้ 3
เด็กควรรู้ ทศั นศลิ ป์ คือ กำรรับรู้ทำงจกั ษปุ ระสำท โดยกำรมองเห็น สสำร วัตถุ และ สรรพสิง่ ต่ำง ๆ ท่เี ข้ำมำกระทบ รวมถงึ มนุษย์ และสตั ว์ จะดว้ ยกำรหยดุ นง่ิ หรอื เคลอื่ นไหว ก็ตำม หรือจะดว้ ยกำรปรงุ แตง่ หรือไมป่ รงุ แต่งก็ตำม กอ่ ใหเ้ กดิ ปัจจัยสมมติตอ่ จติ ใจ และ อำรมณข์ องมนษุ ย์ กำรสร้ำงสรรค์งำนศิลปะให้ได้ดีนั้น ผู้สร้ำงสรรค์จะต้องทำควำมเข้ำใจกับองค์ ประกอบ ศิลปเ์ ป็นพื้นฐำนเสียก่อน ไมเ่ ชน่ น้นั แล้วผลงำนท่อี อกมำมักไม่สมบูรณ์เท่ำไรนักซ่ึง องค์ประกอบ หลักของศลิ ปะกค็ ือรูปทรงกับเนื้อหำ รูปที่ 1.1 สรำ้ งสรรค์ศิลปะ ทม่ี ำ https://sites.google.com องค์ประกอบศิลป์เป็นเสมือนหัวใจดวงหน่ึงของกำรทำงำนศิลปะ เพรำะในงำน องค์ประกอบศิลป์หนึ่งข้ึน จะประกอบไปด้วย กำรร่ำงภำพ (วำดเส้น) กำรจัดวำงให้เกิด ควำม งำม (จัดภำพ) และกำรใช้สี (ทฤษฎีสี) ซ่ึงแต่ละอย่ำงจะต้องเรียนรู้สู่รำยละเอียดลึกลงไปอีก องค์ประกอบศิลป์จึงเป็นพ้ืนฐำนสำคัญที่รวบรวมควำมรู้หลำย ๆ อย่ำงไว้ด้วยกัน จึงต้องเรียนรู้ ก่อนทจี่ ะศึกษำในเร่อื งอืน่ ๆ องคป์ ระกอบของศลิ ป์ การจดั องคป์ ระกอบและการใชส้ ี เป็นหลกั การท่ีสาคัญใน การ สรา้ งสรรค์ให้งานศิลปะเกิดความงาม ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม วาดเขียน ประติมากรรม สถาปัตยกรรมและการพมิ พภ์ าพ หากปราศจากความรู้ ความเขา้ ใจเสียแลว้ ผลงานนนั้ ๆ ก็จะ ไมม่ ีคา่ หรอื ความหมายใด ๆ เลย 4
องคป์ ระกอบของศิลปจ์ ัดเปน็ วชิ ำทมี่ คี วำมสำคญั สำหรับผู้ศกึ ษำงำนศิลปะ หำกว่ำ ขำดควำมร้คู วำมเขำ้ ใจในวชิ ำน้ีแลว้ ผลงำนท่สี ร้ำงขึน้ มำกย็ ำกทีจ่ ะประสบควำมสำเรจ็ โดยเฉพำะอยำ่ งยิ่งงำนศลิ ปะสมยั ใหมท่ ม่ี ีกำรแสดงเฉพำะ เสน้ สี แสง เงำ น้ำหนกั พ้ืนผิว จังหวะ และบริเวณที่วำ่ ง จงึ มีควำมจำเปน็ อยำ่ งย่งิ ต้องนำหลักกำรองค์ประกอบศิลปม์ ำใช้ การจดั องค์ประกอบศลิ ปม์ คี วำมสำคญั และเก่ยี วขอ้ งกับงำนทศั นศลิ ปโ์ ดยตรง ทง้ั วจิ ติ รศลิ ปแ์ ละประยกุ ต์ศลิ ป์ กำรจดั ภำพหรือออกแบบสรำ้ งสรรคผ์ ลงำนทัศนศิลปใ์ ห้เกิด คณุ ค่ำควำมงำมน้ัน กำรจัดองค์ประกอบศลิ ป์จะมบี ทบำทสำคัญมำกท่ีสุด จำกทรรศนะตำ่ ง ๆ สรุปไดว้ ่ำ องคป์ ระกอบศิลป์เปน็ หวั ใจสำคัญของงำนศิลปะทุกสำขำ เพรำะงำนศิลปะใดหำกขำดกำรนำองคป์ ระกอบศลิ ป์ไปใช้กจ็ ะทำให้งำนนั้นดไู มม่ ีคุณค่ำ ทั้งดำ้ นทำงกำยและทำงจติ ใจของผู้ดูหรือพบเหน็ ขณะเตยี วกนั กจ็ ะบง่ บอกถงึ ภมู ิควำมรู้ ควำมสำมำรถของผู้สร้ำงสรรคผ์ ลงำนน้ันดว้ ย กำรทีจ่ ะเขำ้ ถึงศิลปะ (Appreciation) นน้ั จะต้องผำ่ นกำรฝึกฝนและหำทำงดูเพ่ือให้ เกดิ ควำมเข้ำใจ ท้งั จะต้องมีรสนยิ มท่ีดพี อสมควร กำรฝึกฝน กำรทำซ้ำ ๆ อย่ำงสนใจ เมอ่ื นำนเชำ้ กจ็ ะเกิดควำมเขำ้ ใจ ทำดว้ ยควำมค้นุ เคยกบั ส่งิ เหล่ำนน้ั จงึ จะเข้ำใจ รู้เหน็ ในคณุ คำ่ ของศลิ ปะ นน้ั ๆ ไดด้ ี รูปท่ี 1.2 องค์ประกอบศิลป์ ท่ีมำ https://1.bp.blogspot.com 5
องคป์ ระกอบพนื้ ฐานด้านนามธรรมของศิลปะ องคป์ ระกอบพื้นฐำนด้ำนนำมธรรมของศลิ ปะ เป็นแนวคดิ หรอื จุดกำเนิดแรกท่ศี ิลปิน ใชเ้ ป็นสิ่งกำหนดทิศทำงในกำรสร้ำงสรรค์ ก่อนทีจ่ ะมีกำรสรำ้ งผลงำนศิลปะ ประกอบด้วย เนอื้ หำกับเรื่องรำว 1. เน้ือหาในทางศลิ ปะ คอื ควำมคิดทเ่ี ปน็ นำมธรรมที่แสดงให้เหน็ ได้โดยผำ่ น กระบวนกำรทำงศลิ ปะ เช่น ศลิ ปินตอ้ งกำรเขียนภำพทม่ี เี นื้อหำเก่ยี วกับชนบท ก็จะแสดงออก โดยกำรเขียนภำพทิวทัศนข์ องชนบท หรอื ภำพวิถีชีวิตของคนในชนบท เปน็ ต้น 2. เร่ืองราวในทางศิลปะ คือ ส่วนที่แสดงควำมคิดท้ังหมดของศิลปินออกมำเป็น รูปธรรม ด้วยกระบวนกำรทำงศิลปะ เช่น ศิลปินเขียนภำพชื่อชำวเขำ ก็มักแสดงรูปเกี่ยวกับ วีถีชีวิต หรือ กจิ กรรมสว่ นหนึง่ ของชำวเขำ นน่ั คือเรื่องรำวทีป่ รำกฏออกมำให้เห็น ประเภทของควำมสัมพันธ์ของเน้อื หำกบั เร่ืองรำวในงำนทัศนศิลป์นั้น เน้ือหำกับ เร่ืองรำวจะมี ควำมสัมพันธ์กัน น้อยหรือมำก หรืออำจไม่สัมพันธ์กันเลย หรืออำจไม่มีเรื่องเลย ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น โดยข้ึนกับลกั ษณะของงำน และเจตนำในกำรแสดงออกของศลิ ปนิ ซง่ึ เรำ สำมำรถแยกได้ ดังตอ่ ไปนี้ (1) กำรเน้นเนอื้ หำด้วยเรือ่ ง (2) เน้อื หำที่เปน็ ผลจำกกำรผสมผสำนกนั ของศลิ ปินกบั เรอ่ื ง (3) เนอื้ หำทเ่ี ปน็ อสิ ระจำกเร่ือง (4) เน้ือหำไม่มีเรื่อง 1. การเน้นเน้ือหาด้วยเร่ือง ได้แก่ กำรใช้เร่ืองที่ตรงกับเน้ือหำ และเป็นตัวแสดง เน้ือหำของ งำนโดยตรง ตัวอย่ำงเช่น เม่ือศิลปินต้องกำรให้ควำมงำมทำงด้ำนดอกไม้เป็นเนื้อหำ ขำก็จะหำ ดอกไม้ทสี่ วยงำมมำเป็นเรอื่ ง สสี ันและควำมออ่ นช้อยของกลีบด ใหเ้ กดิ ควำมงำมขน้ึ ในภำพ 2.เนื้อหาที่เป็นผลจากการผสมผสานระหว่างศิลปินกับเร่ือง ในส่วนน้ีศิลปิน จะเสนอ ควำมเห็นส่วนตัว หรือผสมควำมรู้สึกส่วนตัวเข้ำไปในเรื่อง เป็นกำรผสมกันระหว่ำง รูปลักษณ์ของ เรื่องกับจินตนำกำรของศิลปิน เช่น เรื่องควำมงำมของดอกไม้ โดยศิลปิน ผสมควำมรู้สึกนึกคิดของ ตนเองลงไปในเร่อื งดว้ ย เขำจะดดั แปลง เพ่ิมเติมรูปร่ำงของดอกไม้ ให้งำมไปตำมทัศนะของเขำและ ใช้องคป์ ระกอบทำงศลิ ปะเป็นองค์ประกอบทำงรูปทรงให้ สอดคล้องกับควำมงำมของเรือ่ ง 6
3.เนอ้ื หาท่เี ป็นอสิ ระจากเรือ่ ง เมือ่ ศลิ ปินผสมจนิ ตนำกำรของตนเองเขำ้ ไปในงำน มำกข้ึน ควำมสำคญั ช่องเรือ่ งจะลดลง ดอกไมท้ ี่สวยทเ่ี ปน็ แบบอำจถกู ศิลปนิ ตัดทอนขดั เกลำ หรอื เปลยี่ นแปลงมำกที่สุด จนเร่ืองดอกไม้นั้นหมดควำมสำคญั ไปอย่ำงสิ้นเชิง เหลอื แต่เนือ้ หำ ท่เี ปน็ อิสระ กำรทำงำนแบบนศี้ ิลปนิ อำศยั เพียงเรื่องเปน็ จุดเร่มิ ตน้ แล้วเดินทำงห่ำงออกจำก เร่อื งจนหำยลบั ไป เหลือแต่รปู ทรงและตวั ศิลปินเองท่ีเปน็ เนือ้ หำของงำน กรณนี ้เี น้อื หำภำยใน ซึง่ หมำยถึงเน้อื หำทเ่ี กดิ ขนึ้ จำกกำรประสำนกันของรูปทรงจะมบี ทบำทมำกกว่ำเนอ้ื หำภำยนอก หรือบำงคร้ังจะไม่แสดงเนอ้ื หำภำยนอกออกมำเลย 4.เนอ้ื หาไมม่ ีเรือ่ ง ศลิ ปนิ บำงประเภทไม่มคี วำมจำเป็นตอ้ งใช้เร่ืองเปน็ จดุ เร่ิมตัน งำนของเขำไม่มเี รือ่ ง มแี ตร่ ูปทรง กบั เนอื้ หำ โดยรูปทรงเปน็ เน้ือหำเสยี เองโดยตรง เป็นเน้ือหำ ภำยในล้วน ๆ เป็นกำรแสดงควำมคิด อำรมณ์ และบคุ ลกิ ภำพของศิลปินแท้ ๆ ลงไปในรูปทรง ที่บริสุทธิ์ งำนประเภทนจ้ี ะเห็นไดช้ ัดในดนตรีและงำนทัศนศลิ ป์ที่เป็นนำมธรรม และแบบ นอนออบเจคตีฟ คาถาม คาตอบ สว่ นประกอบใหญ่ของ 5 ส่วน ประกอบดว้ ย องคป์ ระกอบศิลปีมีก่ีสว่ น 1. เสน้ 2.สี 3.คา่ นา้ หนกั 4. รูปรา่ งและรูปทรง 5. พนื้ ผวิ ส่วนประกอบขององคป์ ระกอบของศลิ ป์ องคป์ ระกอบพ้ืนฐำนตำ้ นนำมธรรมของศลิ ปะ เปน็ แนวคดิ หรือจุดกำเนดิ แรกทีศ่ ลิ ปิน ใช้เป็นส่ิงกำหนดทิศทำงในกำรสรำ้ งสรรค์ กอ่ นทีจ่ ะมกี ำรสร้ำงผลงำนศลิ ปะ ประกอบด้วย เน้อื หำกบั เรือ่ งรำว 1.เส้น เส้น Line เสน้ คือ ร่องรอยทเี่ กดิ จำกกำรเคลือ่ นท่ีของจุด หรือถำ้ เรำนำจุดมำวำง เรียง ต่อ ๆ กนั ไป กจ็ ะเกดิ เปน็ เสน้ ขนึ้ เส้นมมี ติ เิ ดยี ว คือ ควำมยำว ไมม่ ีควำมกว้ำง ทำหนำ้ ทเ่ี ป็น ขอบเขตของทีว่ ่ำง รูปรำ่ ง รปู ทรง น้ำหนกั สี ตลอดจนกล่มุ รูปทรงต่ำง ๆ รวมท้ังเปน็ แกนหรือ โครงสร้ำงของรปู รำ่ งรูปทรง 7
เสน้ เป็นพน้ื ฐำนทีส่ ำคัญของงำนศิลปะทกุ ชนิด เส้นสำมำรถใหค้ วำมหมำย แสดงควำมรสู้ ึกและอำรมณ์ ได้ดว้ ยตัวเอง และดว้ ยกำรสรำ้ งเปน็ รูปทรงตำ่ ง ๆ ขน้ึ เสน้ มี 2 ลกั ษณะ คือ เสน้ ตรง (Straight Line) และ เสน้ โค้ง (Curve Line) เสน้ ท้งั สองชนดิ นี้ เม่อื นำมำจัดวำงใน ลักษณะตำ่ ง ๆ กนั จะมชี ื่อเรยี กตำ่ ง ๆ และใหค้ วำมหมำย ควำมร้สู ึกท่แี ตกต่ำงกันอกี ด้วย รปู ท่ี 1.3 เส้น ทมี่ ำ https://www.flashdrivedd.com รปู ท่ี 1.4 ลกั ษณะของเสน้ ทีม่ ำ http://2.bp.blogspot.com ลักษณะของเส้น 1.เส้นตง้ั หรอื เส้นดิ่ง ใหค้ วำมรสู้ ึกทำงควำมสูงสง่ำ มน่ั คง แข็งแรง หนกั แนน่ เปน็ สญั ลกั ษณ์ของควำมซื่อตรง 2. เสน้ นอน ใหค้ วำมรู้สึกทำงควำมกว้ำง สงบ รำบเรยี บ น่ิง ผ่อนคลำย 3. เสน้ เฉียง หรอื เส้นทะแยงมมุ ให้ควำมรู้สึก เคลื่อนไหว รวดเร็ว ไม่มนั่ คง 4. เสน้ หยัก หรอื เสน้ ซิกแซกแบบฟันปลำ ใหค้ วำมรู้สึกเคลื่อนไหวอย่ำงเป็น จงั หวะ มีระเบียบ ไมร่ ำบเรียบ นำ่ กลัว อันตรำย ขดั แยง้ ควำมรนุ แรง 8
5. เสน้ โคง้ แบบคลืน่ ใหค้ วำมรู้สกึ เคล่อื นไหวอย่ำงชำ้ ๆ ลนื่ ไหล ต่อเน่อื ง สุภำพ อ่อนโยน นมุ่ นวล 6. เสน้ โคง้ แบบกันหอย ให้ควำมรู้สกึ เคลื่อนไหว คลค่ี ลำย หรอื เตบิ โตในทิศทำง ที่หมุนวนออกมำ ถำ้ มองเข้ำไปจะเหน็ พลังควำมเคล่ือนไหวท่ไี ม่สิน้ สดุ 7. เส้นโค้งวงแคบ ใหค้ วำมร้สู ึกถึงพลงั ควำมเคล่ือนไหวที่รุนแรง กำรเปลย่ี น ทศิ ทำงทร่ี วดเร็ว ไมห่ ยดุ นงิ่ 8. เสน้ ประ ใหค้ วำมรูส้ ึกทไ่ี มต่ ่อเนอื่ ง ขำดหำย ไมช่ ัดเจน ทำให้เกิดควำมเครยี ด ความสาคญั ของเสน้ 1. ใชใ้ นกำรแบ่งทีว่ ำ่ งออกเปน็ สว่ น ๆ 2. กำหนดขอบเขตของทว่ี ่ำง หมำยถึง ทำให้ เกดิ เป็นรูปร่ำง (Shape) ข้ึนมำ 3. กำหนดเสน้ รอบนอกของรูปทรง ทำให้ มองเหน็ รปู ทรง (Form) ชัดขึ้น 4. ทำหน้ำที่เป็นนำ้ หนักอ่อนแก่ของแสง และเงำ หมำยถงึ กำรแรเงำด้วยเส้น 5. ใหค้ วำมรูส้ ึกดว้ ยกำรเป็นแกนหรือโครงสรำ้ ง ของรปู และโครงสร้ำงของภำพ รูปที่1.5 เส้นในแบบต่ำง ๆ ท่มี ำ http ://วำดรูป.com 2. สี ประวตั ิควำมเป็นมำของสี มนุษย์เรมิ่ มีกำรใช้สตี ั้งแตส่ มยั กอ่ นประวตั ิศำสตร์ มที ั้งกำรเขียนสีลงบนผนัง ถำ้ ผนังหิน บนพ้ืนผิวเครือ่ งป้นั ดินเผำ และทอ่ี ่นื ๆ ภำพเขยี นสีบนผนงั ถ้ำ (Rock Painting) เรม่ิ ทำตง้ั แต่สมัยก่อนประวัตศิ ำสตร์ในทวีปยโุ รป โดยคนกอ่ นสมยั ประวตั ศิ ำสตรใ์ นสมัยหนิ เก่ำ ตอนปลำย ภำพเขยี นสที ่มี ีช่อื เสียงในยคุ นีพ้ บที่ประเทศฝรง่ั เศสและประเทศสเปนในประเทศไทย กรมศิลปำกรไดส้ ำรวจพบภำพเขยี นสีสมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตร์บนผนงั ถำ้ และเพงิ หนิ ในท่ีตำ่ ง ๆ จะมอี ำยุระหวำ่ ง 1,500 -4,000 ปี เป็นสมัยหนิ ใหมแ่ ละยคุ โลหะไดค้ ้นพบตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2465 ครัง้ แรกพบบนผนงั ถ้ำในอำ่ วพงั งำ ต่อมำก็คนั พบอีกซง่ึ มอี ยู่ทว่ั ไป เช่น จงั หวัดกำญจนบุรี อุทัยธำนี เปน็ ตนั สที ่ีเขยี นบนผนงั ถำ้ สว่ นใหญ่เปน็ สแี ดง นอกนั้นจะมสี ีส้ม สีเลือดหมู สเี หลอื ง 9
สนี ้ำตำล และสีดำ สีบนเครอื่ งป้นั ดินเผำได้คันพบกำรเขยี นลำยครั้งแรกทบี่ ำ้ นเชยี ง จงั หวัด อดุ รธำนี เมือ่ ปี พ.ศ. 2510 สีท่ีเขยี นเปน็ สีแดงเป็นรปู ลำยก้ำนขดจติ รกรรมฝำผนงั ตำมวัดต่ำง ๆ สมยั สุโขทยั และอยุธยำมหี ลกั ฐำนวำ่ ใชส้ ีในกำรเขียนภำพหลำยสี แตก่ อ็ ยูใ่ นวงจำกัดเพียง 4 สี คือ สีดำ สีขำว สดี ินแดง และสีเหลอื งในสมยั โบรำณน้นั ช่ำงเขยี นเอำวตั ถตุ ่ำง ๆ ในธรรมชำติ มำใชเ้ ปน็ สีสำหรับเขยี นภำพ เชน่ ดนิ หรอื หินขำวใชท้ ำสขี ำว สดี ำกเ็ อำมำจำกเขม่ำไฟ หรือ จำกตวั หมึก จนี เป็นชำตแิ รกที่พยำยำมคน้ คว้ำเร่อื งสีธรรมชำตไิ ดม้ ำกกว่ำชำติอื่น ๆ คอื ใชห้ ินนำมำบดเปน็ สตี ่ำง ๆ สีเหลืองนำมำจำกยำงไม้ รงหรอื รงทอง สคี รำมก็นำมำจำกต้นไม้ สว่ นใหญ่แล้วกำรคน้ คว้ำเรอ่ื งสกี เ็ พื่อนำมำใช้ย้อมผ้ำตำ่ ง ๆ ไมน่ ยิ มเขยี นภำพเพรำะจีนมคี ติ ในกำรเขยี นภำพเพยี งสีเดยี ว คอื สีดำโดยใชห้ มกึ จนี เขยี น รูปท่ี 1.6 สี ท่มี ำ https : //i.imgur.com คำจำกัดควำมของสี 1. แสงท่มี คี วำมถขี่ องคล่นื ในขนำดทีต่ ำมนุษยส์ ำมำรถรับสัมผัสได้ 2. แม่สีที่เป็นวัตถุ (Pigmentary Primary) ประกอบด้วย สแี ดง สีเหลอื ง สีนำ้ เงิน 3. สที ีเ่ กิดจำกกำรผสมของแม่สี 10
คณุ ลกั ษณะของสี สแี ท้ (Hue) คือ สที ่ยี ังไมถ่ กู สอี น่ื เขำ้ ผสม เปน็ ลกั ษณะของสแี ท้ทม่ี คี วำมสะอำด สดใส เชน่ สีแดง สีเหลอื ง สนี ำ้ เงนิ สอี ่อนหรอื สีจาง (Tint) ใช้เรียกสีแท้ทีถ่ ูกผสมด้วยสีขำว เช่น สเี ทำ สีชมพู สแี ก่ (shade) ใช้เรยี กสแี ทท้ ่ถี กู ผสมด้วยสดี ำ เชน่ สีนำ้ ตำล สสี ำมำรถแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. สธี รรมชำติ 2. สที ม่ี นษุ ย์สรำ้ งขนึ้ สธี รรมชาติ เป็นสีท่ีเกิดขึน้ เองตำมธรรมชำติ เช่น สขี องแสงอำทติ ย์ สขี องทอ้ งฟำ้ ยำมเชำ้ -เย็น สขี องร้งุ กินน้ำ เหตกุ ำรณ์ทเ่ี กดิ ขึ้นเองตำมธรรมชำติ ตลอดจนสขี องดอกไม้ ต้นไม้ พืน้ ดนิ ทอ้ งฟ้ำ น้ำทะเล สที ม่ี นุษยส์ รา้ งขึ้น หรือไดส้ งั เครำะห์ข้ึน เชน่ สีวิทยำศำสตร์ มนุษยไ์ ด้ทดลอง จำกแสงต่ำง ๆ เชน่ ไฟฟ้ำ นำมำผสมโดยกำรทอแสงประสำนกัน นำมำใชป้ ระโยชน์ในด้ำน กำรละคร กำรจดั ฉำกเวที โทรทศั น์ กำรตกแต่งสถำนท่ี รปู ที่ 1.7 ประเภทของสี ท่ีมำ https ://moto1575.files.wordpress.com 3. ค่ำน้ำหนัก ค่ำนำ้ หนัก value คือ ค่ำควำมอ่อนแก่ของบริเวณท่ีถกู แสงสว่ำง และบริเวณท่เี ปน็ เงำของวัตถุหรอื ควำมอ่อน - ควำมเข้มของสีหนึง่ ๆ หรือหลำยสี เชน่ สแี ดงมคี วำมเข้มกว่ำ สีชมพูหรอื สแี ดงออ่ นกว่ำสีน้ำเงนิ เปน็ ต้น นอกจำกน้ียังหมำยถงึ ระดับควำมเข้มของแสงและ ระดบั ควำมมดื ของเงำซึง่ ไล่เรียงจำกมดื ที่สดุ (สดี ำ) ไปจนถงึ สวำ่ งทสี่ ดุ (สขี ำว)น้ำหนักท่ีอยู่ 11
ระหว่ำงกลำงจะเปน็ สเี ทำ ซ่งึ มีต้งั แตเ่ ทำแกท่ ส่ี ุด จนถึงเทำออ่ นทสี่ ุด กำรใชค้ ำ่ นำ้ หนกั จะ ทำให้ภำพดูเหมอื นจริงและมีควำมกลมกลนื ถ้ำใชค้ ่ำนำ้ หนักหลำย ๆ ระดบั จะทำใหม้ ีควำมกลมกลนื มำกย่งิ ข้นึ และถ้ำใช้ค่ำนำ้ หนกั จำนวนนอ้ ยท่แี ตกต่ำงกันมำก จะทำให้เกดิ ควำมแตกตำ่ ง ควำมขดั แย้ง รูปที่ 1.8 ค่ำน้ำหนักควำมออ่ น-แก่ ที่มำ http://www.graphictoday.com แสงและเงำ (Light & shade) เปน็ องคป์ ระกอบของศลิ ปีที่อยู่คู่กนั แสงเม่อื ส่อง กระทบกับวัตถจุ ะทำให้เกิดเงำ แสงและเงำเปน็ ตัวกำหนดระดับของคำ่ น้ำหนกั ควำมเขม้ ของ เงำจะขน้ึ อยกู่ ับควำมเขม้ ของเแสง ในที่ท่มี ีแสงสว่ำงมำก เงำจะเข้มขน้ึ และในทท่ี ่ีมีแสงสวำ่ ง นอ้ ย เงำจะไมช่ ัดเจน ในท่ที ีไ่ ม่มีแสงสว่ำงจะไมม่ ีเงำ และเงำจะอยใู่ นทำงตรงข้ำมกับแสงเสมอ คำ่ น้ำหนักของแสงและเงำท่ีเกิดบนวัตถุ สำมำรถจำแนกเป็นลักษณะต่ำง ๆ ไดด้ ังนี้ รูปท่ี 1.9 แสงและเงำ ทีม่ ำ https://sites.google.com 12
1. บริเวณแสงสวำ่ งจัด (HI-light) เป็นบรเิ วณที่อย่ใู กลแ้ หล่งกำเนิดแสงมำก ทีส่ ดุ จะมคี วำมสว่ำงมำกทีส่ ดุ ในวัตถทุ ่มี ีผิวมนั วำวจะสะท้อนแหลง่ กำเนิดแสงออกมำให้เห็น ไดช้ ดั 2. บริเวณแสงสวำ่ ง (Light) เป็นบริเวณทีไ่ ด้รบั แสงสว่ำงรองลงมำจำกบริเวณ แสงสวำ่ งจดั เน่อื งจำกอยู่หำ่ งจำกแหลง่ กำเนิดแสงออกมำ และเรม่ิ มีค่ำนำ้ หนักออ่ น ๆ 3. บริเวณเงำ (Shade) เปน็ บริเวณท่ไี มไ่ ด้รบั แสงสวำ่ ง หรอื เป็นบรเิ วณที่ถกู บดบงั จำกแสงสว่ำง ซ่งึ จะมีคำ่ นำ้ หนักเข้มมำกขึน้ กว่ำบรเิ วณแสงสวำ่ ง 4. บรเิ วณเงำเขม้ จดั (Hi-Shade) เปน็ บรเิ วณทีอ่ ย่หู ่ำงจำกแหล่งกำเนิดแสงมำกทีส่ ดุ หรอื เปน็ บริเวณที่ถูกบดบังมำก ๆ หลำย ๆ ช้ัน จะมี ค่ำน้ำหนกั ทเี่ ขม้ มำกไปจนถงึ เข้มท่ีสุด 5. บรเิ วณเงำตกทอด เปน็ บริเวณของ พน้ื หลังที่เงำของวตั ถุทำบลงไป เป็นบรเิ วณเงำท่ี อยภู่ ำยนอกวตั ถุ และจะมคี วำมเขม้ ของคำ่ น้ำหนัก ขนึ้ อยกู่ บั ควำมเขม้ ของเงำ นำ้ หนักของพื้นหลงั ทิศทำงและระยะของเงำ รปู ที่ 1.10 บรเิ วณท่ีเงำตกกระทบ ควำมสำคัญของค่ำน้ำหนกั ท่มี ำ https://3.bp.blogspot.com 1. ใหค้ วำมแตกต่ำงระหวำ่ งรูปและพน้ื หรือรปู ทรงกับทีว่ ่ำง 2. ใหค้ วำมรู้สกึ เคล่ือนไหว 3. ให้ควำมรูส้ ึกเป็น 2 มติ แิ กร่ ูปร่ำง และควำมเปน็ 3 มิติแก่รปู ทรง 4. ทำใหเ้ กดิ ระยะควำมตื้น - ลึก และระยะใกล้ - ไกลของภำพ 5. ทำให้เกดิ ควำมกลมกลนื ประสำนกันของภำพ 4. รูปรา่ งและรูปทรง Shape & Form รูปรา่ ง (Shape) คือ รูปแบน ๆ มี 2มติ ิ มีควำมกว้ำงกบั ควำมยำว ไมม่ คี วำมหนำ เกดิ จำกเส้นรอบนอกท่ีแสดงพน้ื ทชี่ อบเขตของรูปต่ำง ๆ เชน่ รูปวงกลม รปู สำมเหล่ยี ม หรือ รปู อสิ ระ ทแี่ สดงเนอ้ื ทขี่ องผวิ ท่ีเปน็ ระนำบมำกกว่ำแสดงปรมิ ำตรหรอื มวล รูปทรง (Form) คอื รปู ทีม่ ีลกั ษณะเปน็ 3 มติ ิ โดยนอกจำกจะแสดงควำมกวำ้ ง ควำมยำวแลว้ ยังมคี วำมลึก หรอื ควำมหนำ นูน ดว้ ย เช่น รูปทรงกลม รูปทรงสำมเหลี่ยม รปู ทรงกระบอก เป็นตน้ ให้ควำมรู้ มปี รมิ ำตร ควำมหนำแนน่ มีมวลสำรทีเ่ กดิ จำกกำรใช้ ค่ำน้ำหนัก หรือกำรจดั องคป์ ระกอบของรูปทรงหลำยรูปรวมกัน 13
รูปที่ 1.11 คำนำ้ หนักควำมอ่อน-แก่ ทม่ี ำ https ://wisut201 2.fles.wordpress.com รูปเรขาคณติ (Geometric Form) มรี ูปท่แี น่นอน มำตรฐำน สำมำรถวดั หรอื คำนวณได้งำ่ ย มกี ฎเกณฑ์ เกิดจำกกำรสรำ้ งของมนุษย์ เช่น รปู สีเ่ หลี่ยม รปู วงกลม รปู วงรี นอกจำกน้ยี ังรวมถงึ รปู ทรงของส่งิ ท่ีมนุษยป์ ระดิษฐ์คิดคันขนึ้ อย่ำงมแี บบแผนแน่นอน เชน่ รถยนต์ เครอ่ื งจักรกล เครื่องบิน ส่ิงของเครอ่ื งใช้ต่ำง ๆ ที่ผลติ โดยระบบอุตสำหกรรม ก็จัดเป็น รูปเรชำคณติ เช่นกัน รปู เรชำคณิตเป็นรปู ทใ่ี ห้โครงสรำ้ งพื้นฐำนของรปู ตำ่ ง '\" ตังนนั้ กำรสรง้ สรรค์ รปู อน่ื ๆ ควรศึกษำรปู เรขำคณิตให้เข้ำใจถ่องแท้เสียกอ่ น รูปท่ี 1.12 รูปทรงเรขำคณติ ที่มำ https ://sites.google.com 14
รปู อินทรีย์ (Organic Fom) เป็นรูปของส่งิ ทม่ี ชี วี ติ หรอื คลำ้ ยกับสิง่ มชี ีวิตท่ีสำมำรถ เจริญเติบโต รปู อิสระ (Free Form) เป็นรปู ทีไ่ ม่ใช่แบบเรขำคณติ หรอื แบบอนิ ทรีย์ แตเ่ กดิ ขึน้ อยำ่ งอสิ ระ ไม่มีโครงสรำ้ งทแี่ นน่ อน ซ่ึงเปน็ ไปตำมอทิ ธิพลและกำรกระทำจำกสิ่งแวดล้อม เช่น รปู ก้อนเมฆ กอ้ นหนิ หยดนำ้ ควัน ซงึ่ ใหค้ วำมร้สู กึ ที่เคลื่อนไหว มพี ลัง รปู อิสระจะมีลกั ษณะ ขัดแยง้ กับรูปเรขำคณติ แต่กลมกลืนกบั รปู อินทรีย์ รปู อสิ ระอำจเกิดจำกรปู เรขำคณิตหรือ รปู อินทรยี ท์ ีถ่ ูกกระทำจนมีรปู ลกั ษณะเปล่ยี นไปจำกเดมิ จนไมเ่ หลอื สภำพ เช่น รถยนต์ท่ี ถกู ชนจนยบั เยนิ ทั้งคนั เครอ่ื งบนิ ตก ตอไมท้ ี่ถกู เผำทำลำย หรือชำกสตั วท์ เ่ี น่ำเปื่อยผพุ ัง รปู ที่ 1.13 รปู ทรงอินทรยี ์ รปู ที่ 1.14 รูปทรงอสิ ระ ทีม่ ำ http://www.digtalschool.club ทม่ี ำ http://innovation.kpru.ac.th ควำมสมั พันธ์ระหวำ่ งรปู ทรง เม่ือนำรูปทรงหลำย 1 รูปมำวำงใกลกั ัน รปู เหลำ่ นั้นจะมคี วำมสมั พันธ์ดึงดดู หรอื ผลักไสซึ่งกันและกัน กำรประกอบกันของรปู ทรงอำจทำไดโ้ ดยใชร้ ูปทรงท่ีมลี กั ษณะใกล้เคียงกัน รูปทรงทต่ี ่อเนอ่ื งกนั รปู ทรงที่ซ้อนกัน รปู ทรงทผ่ี นึกเขำ้ ดว้ ยกนั รูปทรงที่แทรกเขำ้ หำกัน รปู ทรงทสี่ ำนเขำ้ ด้วยกันหรอื รูปทรงท่ีบิตพันกนั กำรนำรูปเรขำคณิต รูปอินทรีย์ และรปู อสิ ระ มำประกอบเขำ้ ดว้ ยกนั จะได้รูปลกั ษณะใหม่ ๆ อย่ำงไม่ส้ินสดุ 5. พืน้ ผวิ (Texture) พ้ืนผวิ หมำยถึง ลกั ษณะของบริเวณผวิ หนำ้ ของส่งิ ตำ่ ง ๆ ท่เี มื่อสัมผัสแลว้ สำมำรถ รับรูไ้ ด้วำ่ มีลกั ษณะอย่ำงไร คือรู้ว่ำ หยำบ ขรขุ ระ เรียบ มัน ดำ้ น เนียน สำก เปน็ ตน้ ลักษณะ ทีส่ ัมผัสไดข้ องพน้ื ผวิ มี 2 ประเภท คือ 15
รูปที่ 1.15 ลกั ษณะของพ้ืนผิว ทมี่ ำ http://119.46.166.126 1. พ้ืนผิวท่สี มั ผัสไดด้ ว้ ยมอื หรือกายสัมผสั เป็นลักษณะพ้นื ผิวท่ีเปน็ อยูจ่ รงิ ๆ ของ ผิวหนำ้ ของวัสดนุ ้ัน ๆ ซึง่ สำมำรถสัมผัสได้จำกงำนประตมิ ำกรรม งำนสถำปตั ยกรรม และ สิง่ ประดิษฐอ์ ่ืน ๆ 2. พน้ื ผวิ ทสี่ มั ผสั ไดด้ ้วยสายตา จำกกำรมองเห็นแต่ไม่ใช่ลักษณะท่ีแทจ้ รงิ ของ ผิววัสดนุ ้ัน ๆ เช่น กำรวำดภำพก้อนหนิ บนกระดำษ จะให้ควำมรูส้ ึกเปน็ กอ้ นหนิ แต่มือสัมผัส รูปที่ 1.16 ลักษณะของพ้นื ผิวที่สัมผัส เป็นกระดำษ หรอื ใช้กระดำษพิมพล์ ำยไมห้ รอื ลำย ไดด้ ้วยมือและสำยตำ หนิ ออ่ น เพอ่ื ปะ ทบั บนผวิ หนำ้ ของสง่ิ ตำ่ ง ๆ เปน็ ตน้ ท่มี ำ https: /preede.files.word- ลกั ษณะเชน่ นถ้ี อื ว่ำเป็นกำรสรำ้ งพน้ื ผิวลวงตำให้ press.com สมั ผัสไดด้ ้วยกำรมองเห็นเท่ำน้นั พื้นผิวลักษณะต่ำง ๆ จะให้ควำมรู้สึกต่องำนศิลปะท่แี ตกตำ่ งกนั พนื้ ผวิ หยำบ ให้ควำมร้สู ึกกระต้นุ ประสำทหนกั แน่น ม่ันคง แข็งแรง ถำวร ในขณะทีผ่ ิวเรยี บให้ควำมรู้สึกเบำ สบำย กำรใช้ ลกั ษณะของพืน้ ผวิ ท่ีแตกต่ำงกนั เหน็ ได้ชัดเจนจำก งำนประตมิ ำกรรม และมำกทีส่ ุดในงำนสถำปัตยกรรม ซ่ึงมกี ำรรวมเอำลกั ษณะตำ่ ง ๆ กันของพืน้ ผวิ วัสดุ หลำย ๆ อยำ่ ง เช่น อฐิ ไม้ โลหะ กระจก คอนกรตี หนิ มีควำมขัดแย้งกนั แตส่ ถำปนิกไดน้ ำมำผสมกลมกลืน ไดอ้ ย่ำงเหมำะสมลงตวั จนเกิดควำมสวยงำม 16
การจดั องค์ประกอบของศลิ ปะ กำรจัดองคป์ ระกอบของศิลปะ มีหลักทคี่ วรคำนึงอยู่ 5 ประกำร คือ 1. สัดส่วน (Proportion) 2. ควำมสมดุล (Balance) 3. จังหวะลีลำ (Rhythm ) 4. กำรเน้น (Emphasis) 5. เอกภำพ (Unity) หลักการองค์ประกอบทางศลิ ปะ เปน็ หลกั สำคญั สำหรบั ผู้สร้ำงสรรคแ์ ละผูศ้ กึ ษำงำนศลิ ปะ เนือ่ งจำกผลงำนศลิ ปะ ใด ๆ ก็ตำม ล้วนมคี ุณค่ำอยู่ 2 ประกำร คือ คุณคำ่ ทำงตำ้ นรูปทรงและคณุ คำ่ ทำงต้ำนเรือ่ งรำว คุณคำ่ ทำงดำ้ นรูปทรง เกดิ จำกกำรนำเอำองคป์ ระกอบต่ำง ๆ ของศิลปะ อนั ได้แก่ เสน้ สี แสง และเงำ รูปร่ำง รปู ทรง พนื้ ผวิ ฯลฯ มำจดั เขำ้ ด้วยกันเพ่ือให้เกดิ ควำมงำม ซ่งึ แนวทำงในกำรนำ องคป์ ระกอบต่ำง ๆ มำจดั รวมกันนนั้ เรียกว่ำ กำรจดั องคป์ ระกอบศิลป์ (Art Composition) โดยมีหลกั กำรจัดตำมท่ีจะกล่ำวต่อไป อีกคุณคำ่ หน่งึ ของงำนศลิ ปะ คอื คุณคำ่ ทำงด้ำนเนอ้ื หำ เป็นเรอื่ งรำว หรอื สำระของผลงำนท่ีศิลปินผสู้ ร้ำงสรรค์ต้องกำรท่จี ะแสดงออกมำให้ผู้ชมได้ สมั ผสั รับรโู้ ดยอำศยั รูปลักษณะทเี่ กิดจำกกำรจดั องค์ประกอบศิลป์น่ันเอง หรอื อำจกล่ำวได้ว่ำ ศลิ ปินนำเสนอเนื้อหำเรือ่ งรำวผ่ำนรูปลักษณะท่เี กิดจำกกำรจัดองค์ประกอบทำงศิลปะ ถ้ำองคป์ ระกอบทีจ่ ัดขึน้ ไม่สัมพันธก์ บั เนอ้ื หำเรอ่ื งรำวทีน่ ำเสนองำนศิลปะนัน้ กจ็ ะ ขำดคณุ ค่ำทำงควำมงำมไป ตงั นน้ั กำรจัดองคป์ ระกอบศลิ ป์จงึ มีควำมสำคัญในกำรสร้ำงสรรค์ งำนศลิ ปะเปน็ อยำ่ งย่ิงเพรำะจะทำให้งำนศิลปะทรงคุณค่ำทำงควำมงำมอย่ำงสมบรู ณ์ เอกภำพ (Unity) เอกภำพ หมำยถงึ ควำมเป็นหน่วยหรอื เปน็ อนั หนึง่ อนั เดยี วกัน มคี วำมกลมกลนื เขำ้ กันได้ เอกภำพในทำงศลิ ปะ คือ กำรจัดภำพให้เกดิ ควำมสมั พันธ์อยู่ในกลุ่มเดยี วกนั จดั กระจำยหรือก่อให้เกดิ ควำมสับสน มีวำมสมั พนั ธเ์ ชอื่ มโยงกนั แมจ้ ะมีส่วนแตกแยก ไปบำ้ งกเ็ ปน็ เพียงสว่ นประกอบเทำ่ น้นั แต่ดูผลรวมแล้วไมเ่ ป็นลักษณะแบง่ แยก สิ่งทีค่ วรคำนงึ คอื ให้มีเพียงหนว่ ยเดยี วเท่ำนั้นจึงจะเกดิ เอกภำพกำรจัดอยำ่ งถกู ตอ้ ง 17
1. เอกภำพของกำรแสดงออก เม่อื นำรูปทรงหลำย ๆ รปู มำวำงใกล้กัน รปู เหลำ่ น้นั จะมคี วำมสมั พนั ธด์ ึงดูดหรอื ผลกั ไสซึ่งกันและกนั กำรประกอบกันของรปู ทรงอำจทำได้โดย รงทีม่ ลี ักษณะใกล้เคยี งกันรปู ทรงทตี่ ่อเนื่องกันรูปทรงท่ซี อ้ นกัน รปู ทรงทีผ่ นกึ เข้ รปู ทรงท่แี ทรกเข้ำหำกนั รูปทรงท่ีสำนเขำ้ ดว้ ยกันหรือรูปทรงท่บี ดิ พันกนั กำรนำรูปเรขำคณิต รปู อินทรยี ์ และรปู อสิ ระมำประกอบเขำ้ ดว้ ยกนั จะไดร้ ปู ลกั ษณะใหม่ ๆ อย่ำงไม่สิน้ สุด 2. เอกภำพของรปู ทรง คือ กำรรวมตัวกันอยำ่ งมีดลุ ยภำพ และมรี ะเบียบของ องค์ประกอบทำงศิลปะเพือ่ ใหเ้ กดิ เป็นรูปทรงหนึ่งทีส่ ำมำรถแสดงควำมคิดเหน็ หรืออำรมณ์ ของศลิ ปนิ ออกไดอ้ ยำ่ งชัดเจน เอกภำพของรูปทรงเปน็ สิ่งทส่ี ำคัญท่สี ดุ ต่อควำมงำมของ ผลงำนศลิ ปะเพรำะเปน็ สิ่งที่ศิลปินใชเ้ ปน็ ส่อื ในกำรแสดงออกถึงเรอ่ื งรำว ควำมคดิ และอำรมณ์ ดังนนั้ กฎเกณฑ์ในกำรสรำ้ งเอกภำพในงำนศิลปะเปน็ กฎเกณฑ์เดยี วกันกบั ธรรมชำติ ซ่ึงมีอยู่ 2 หัวขอ้ คือ 1. กฎเกณฑข์ องการขดั แยง้ (Opposition) มอี ยู่ 4 ลักษณะ คือ 1.1 กำรขดั แยง้ ขององคป์ ระกบทำงศลิ ปะแตล่ ะชนิด และรวมถึงกำรขดั แยง้ กัน ขององคป์ ระกอตำ่ งชนดิ กันด้วย 1.2 กำรขดั แยง้ ของขนำด 1.3 กำรขดั แย้งของทิศทำง 1.4 กำรขัดแย้งของท่วี ำ่ งหรือจังหวะ 2. กฎเกณฑ์ของการประสาน (Transition) คอื กำรทำให้เกิดควำมกลมกลนื ให้ส่งิ ตำ่ ง ๆ เข้ำกันได้อย่ำงสนิท เป็นกำรสรำ้ งเอกภำพจำกกำรรวมตวั ของสง่ิ ที่เหมอื นกันเช้ำ ด้วยกัน กำรประสำนมอี ยู่ 2 วิธี คือ 2.1 กำรเป็นตวั กลำง (Transition) คอื กำรทำสง่ิ ที่ขดั แยง้ กันให้กลมกลืนกัน ดว้ ยกำรใช้ตวั กลำงเข้ำไปประสำน เชน่ สีขำวกับสดี ำ ซึง่ มีควำมแตกต่ำง ขดั แยง้ กัน สำมำรถทำใหอ้ ยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยำ่ งมีเอกภำพด้วยกำรใชส้ เี ทำเขำ้ ไปประสำนทำให้เกิดควำมกลมกลนื กันมำกขนึ้ 2.2 กำรช้ำ (Repetition) คอื กำรจดั วำงหน่วยทเี่ หมอื นกันตัง้ แต่ 2 หน่วยข้ึนไป เปน็ กำรสรำ้ งเอกภำพท่ีง่ำยท่ีสดุ แตก่ ็ทำให้ดจู ืดชืด น่ำเบ่อื ทีส่ ดุ นอกเหนือจำกกฎเกณฑ์หลกั คือ กำรขัดแย้งและกำรประสำนแลว้ ยังมีกฎเกณฑ์ รองอีก 2 ข้อ คอื 18
1. ควำมเป็นเด่น (Dominance ) ซ่งึ มี 2 ลักษณะ คือ 1.1 ควำมเป็นเด่นทเี่ กิดจำกกำรขดั แยง้ ดว้ ยกำรเพิ่มหรือลดควำมสำคญั ควำม นำ่ สนใจในหน่วยใดหน่วยหน่งึ ของคู่ทขี่ ดั แยง้ กัน 1.2 ควำมเปน็ เดน่ ทเี่ กิดจำกกำรประสำน 2. กำรเปล่ยี นแปร (Variation) คอื กำรเพิ่มควำมขัดแย้งลงในหน่วยทซี่ ้ำกัน เพอ่ื ปอ้ งกันควำมจืดซีด นำ่ เบือ่ ซง่ึ จะชว่ ยใหม้ ีควำมน่ำสนใจมำกขึ้น กำรเปล่ยี นแปรมี 4 ลักษณะ คือ 2.1 กำรเปล่ยี นแปรของรปู ลักษณะ 2.2 กำรเปล่ียนแปรของขนำด 2.3 กำรเปล่ยี นแปรของทศิ ทำง 2.4 กำรเปลยี่ นแปรของจงั หวะ กำรเปล่ยี นแปรรปู ลักษณะจะต้องรกั ษำคุณลักษณะของกำรช้ำไว้ ถ้ำรูปมกี ำร เปลย่ี นแปรไปมำก กำรซ้ำกห็ มดไปกลำยเป็นกำรขดั แยง้ เข้ำมำแทน และถำ้ หน่วยหนึ่ง มีกำรเปลีย่ นแปรอย่ำงรวดเร็ว มีควำมแตกตำ่ งจำกหนว่ ยอ่นื ๆ มำก จะกลำยเปน็ ควำมเป็นเด่น เป็นกำรสรำ้ งเอกภำพดว้ ยควำมขัดแยง้ ความสมดุล (Balance) ควำมสมดลุ เปน็ คุณสมบัติท่ีสำคญั อย่ำงหนง่ึ ในกำรจดั ภำพ กำรจัดภำพใหเ้ กดิ ควำมสมดุลนนั้ ต้องยดึ เอำศนู ย์กลำงของภำพหรือเส้นแบง่ กึ่งกลำงภำพเป็นหลักในกำรแบ่ง เพรำะปกตงิ ำนศิลปะจะมีสว่ นท่ีเปน็ แกนกลำงหรือศูนย์กลำงทำให้แบง่ ออกได้เปน็ ดำ้ นซ้ำย ดำ้ นขวำ ดำ้ นบน ต้ำนล่ำง จงึ มคี วำมจำเป็นอย่ำงยิง่ ทีจ่ ะตอ้ งให้ทั้งสองด้ำนโดยเฉพำะดำ้ ยซ้ำย และดำ้ นขวำมีควำมสมดุลกัน กำรจัดควำมสมดุลแบง่ ออกเป็น 2 แบบ คอื 1) ควำมสมดุลกันโดยจัดภำพใหม้ ีรปู ร่ำง รปู ทรง หรือสสี นั เหมือนกนั ทง้ั ซำ้ ยและขวำ 2) ควำมสมดุลกันโดยจัดภำพที่มีรปู รำ่ ง รูปทรง หรือสสี นั ด้ำนซ้ำยและขวำไม่เหมอื นกัน แต่ให้ควำมรสู้ ึกในกำรถ่วงน้ำหนกั ใหส้ มดลุ กนั ได้ ควำมสมดลุ สองขำ้ งเทำ่ กัน ควำมสมดลุ สองข้ำงไมเ่ ทำ่ กัน 19
จังหวะและจุดสนใจ (Rhythm and Emphasis) ในกำรจดั ภำพควรจัดใหเ้ กิดจงั หวะและจดุ สนใจประกอบกันไปด้วย กำรจดั ภำพให้ มจี งั หวะท่ีเหมำะสมกลมกลืนสวยงำมนัน้ จะตอ้ งคำนงึ ถงึ บริเวณที่ว่ำงด้วย จงั หวะจงึ เป็นกำร จดั ภำพในลกั ษณะของกำรชำ้ ที่เปน็ ระเบียบ ไดร้ ับรถู้ ึงกำรเคล่อื นไหวต่อเน่ืองของเส้น นำ้ หนกั สีและรปู ทรงจนเกดิ เป็นจดุ สนใจ เชน่ จงั หวะของรูปร่ำง รูปทรงท่เี รียงกนั แบบธรรมดำ จังหวะ เรยี งเช่ือมโยงและจงั หวะของรปู รำ่ ง รูปทรงท่ีเรยี งสลบั ส่วนกำรจัดภำพให้เกิดจดุ สนใจหรอื จุดเดน่ ของภำพนั้น หมำยถงึ กำรจัดองคป์ ระกอบเพือ่ สรำ้ งควำมหนว่ ยเดียวทเ่ี ดินและ นำ่ สนใจ ซ่ึงต้องมกี ำรเน้นจดุ เดน่ หรอื จดุ สนใจให้เห็นชดั เจนกวำ่ ส่วนย่อยที่เปน็ จุดรองลงไป โดยคำนึงถึงขนำดท่ีใหญ่กว่ำ รวมทง้ั ควำมเข้มของสที ีเ่ ม่ือมองดูภำพแลว้ ทำใหส้ ะอำดตำ ทงั้ น้ตี ำแหนง่ ของจดุ สนใจหรอื จุดเดน่ ควรอยู่บรเิ วณศูนย์กลำงของภำพ แต่ไมค่ วรอยู่ ตรงกลำงพอดี ให้อยู่เยอื้ งเลก็ นอ้ ยไปทำงด้ำนใดดำ้ นหนง่ึ กไ็ ด้ รูปท่ี 1.17 กำรเน้นดว้ ยสี ที่มำ http://1.bp.blogspot.com ควำมกลมกลนื และควำมขดั แยง้ (Harmony and Contrast) ความกลมกลืน หมำยถึง กำรนำทศั นธำตุต่ำง ๆ ทต่ี อ้ งกำรสรำ้ งสรรค์มำจัด องค์ประกอบใหป้ ระสำนกลมกลนื สอดคลอ้ งสมั พนั ธ์เขำ้ กันได้ ควำมกลมกลืนมหี ลำยประเภท ไมว่ ่ำจะเป็นควำมกลมกลืนของเส้น รปู รำ่ ง รปู ทรง ลกั ษณะผวิ สี นำ้ หนกั อ่อน-แก่ และควำม กลมกลืนของเนอ้ื หำสำระทัง้ หมด ความขัดแย้ง หมำยถึง ควำมผิดแผกแตกต่ำงออกไปจำกกลุ่มหรอื ส่วนรวมในลักษณะ ทีไ่ มเ่ หมอื นกนั ไม่ว่ำเป็นรูปทรงหรอื เนอ้ื หำกต็ ำม 20
การจัดองค์ประกอบศลิ ป์ บำงครัง้ ควำมขดั แย้งกับควำมกลมกลืนก็มีควำมเก่ียวข้องกัน เช่น ถำ้ ส่วนมำกหรอื ทงั้ หมดมีควำมกลมกลนื กัน อำจทำให้เกดิ ควำมร้สู กึ ช้ำซำก ไม่นำ่ สนใจ ฉะนัน้ จงึ อำจออกแบบใหม้ คี วำมแตกตำ่ งหรอื ชัดแยง้ กันบ้ำง ช่วยดึงดูดทำให้ผลงำนเดน่ สะดุดตำ น่ำสนใจ รูปท่ี 1.18 ควำมกลมกลนื ด้วยสี รูปท่ี 1.19 ควำมขัดแยง้ ด้วยขนำด ทม่ี ำ https: / /patsudabbcit58.files.wordpress.com ท่มี ำ http://www.digitalschool.club สัดสว่ น (Proportion) สดั ส่วน หมำยถึง กำรนำเอำส่วนประกอบต่ำง ๆ มำจดั ให้ไดส้ ดั ส่วนที่เหมำะสม ซึ่งแสดงควำมสมั พันธก์ นั ของจำนวน ควำมกวำ้ ง ยำว ลึก นำ้ หนัก ขนำดของรปู ทรงตำ่ ง ๆ สดั ส่วนนบั เป็นหลักสำคญั ของกำรจดั ภำพ ทำใหช้ ิ้นงำนน้ันมคี วำมสมบูรณ์และสมั พันธ์ กลมกลนื กันอย่ำงงดงำม เช่น สัดสว่ นของมนษุ ย์กับท่อี ย่อู ำศยั เครอื่ งใชส้ อยและเสือ้ ผำ้ สดั ส่วน ในทำงศิลปะเปน็ เรอื่ งรำวของควำมรูส้ กึ ทำงสุนทรียภำพ กำรสมสดั สว่ นนี้หมำยรวมไปถงึ ควำมสมั พนั ธก์ นั อย่ำงเหมำะสมกลมกลืนของสี แสง เงำ และทัศนธำตุอนื่ ๆ ด้วย รปู ที่ 1.20 สดั ส่วน ท่มี ำ https://www.nectec.or.th 21
สรุปเนอื้ หาสาคัญ ควำมหมำยขององคป์ ระกอบศลิ ป์ ควำมสำคัญขององค์ประกอบศลิ ป์ ส่วนประกอบของ หลักการ องคป์ ระกอบพน้ื ฐำน องค์ประกอบศิลป์ องค์ประกอบศิลป์ ด้ำนนำมธรรมของศลิ ปะ กำรจัดองคป์ ระกอบศิลปะ ควำมสำคญั ขององคป์ ระกอบศิลป์ 22
แบบทดสอบหลงั เรียน หนว่ ยท่ี 1 23
การจาแนกธาตุท่งทศั นศิลป์ สาระสาคัญ ทศั นศิลป์ เกิดจำกแนวควำมคดิ ของศิลปนิ เบำเฮำส์ ในเยอรมนี ซึ่งก่อตง้ั สถำบัน \"เบำเฮำส\"์ นข้ี น้ึ ในปี ค.ศ. 1919 และก่อตัง้ ไดไ้ ม่นำนก็แยกย้ำยกันไปในประเทศตำ่ ง ๆ โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงยำ้ ยไปอยทู่ ีป่ ระเทศสหรฐั อเมรกิ ำมำกทสี่ ดุ และได้ตง้ั สถำบันศลิ ปะแหง่ ใหม่ ข้นึ มำที่นครชิคำโก ชอื่ Institute of Design โดย โมโฮลี นำจ (Mr.Moholy Nagy)และพยำยำม ทบทวนจุดยืนทำงศลิ ปะข้ึนใหม่ตำมแนวทำงศลิ ปะท่มี ีพื้นฐำนจำกควำมเข้ำใจของกำรมองเห็น กำรสมั ผัส กำรไดย้ ินและกำรได้กลนิ่ ท ทำใหศ้ ิลปะมลี กั ษณะเปน็ เหตผุ ลและวิทยำศำสตร์ มำกย่ิงขึน้ เมอื่ มีผสู้ ำเรจ็ กำรศึกษำจำกสถำบันน้ีมำกขึ้นจงึ ได้คิดคนั คำใหม่ท่ีเหมำะสมรดั กุม จึงไดใ้ ช้คำวำ่ Visual Art แต่ควำมเข้ำใจและควำมหมำยของคำตำมสภำพสังคมทเี่ ปลี่ยนแปลง อยู่เสมอ จงึ ส่งผลต่อกำรรบั รู้ถึงควำมหมำยและขอบข่ำยของ Visual Art เร่อื งทีจ่ ะศกึ ษา 2. ประเภทของทัศนศิลป์ 1. ควำมเปน็ มำของทัศนศลิ ป์ 4. โครงสรำ้ งทำงทศั นศิลป์ 3. ลกั ษณะรูปแบบของทัศนศลิ ป์ 5. ควำมหมำยของทัศนธำตุ สมรรถนะประจาหน่วย 1. แสดงควำมรเู้ กีย่ วกบั กำรจดั วำงตำมหลักกำรจดั องคป์ ระกอบศลิ ป์ 2. จดั พืน้ ท่ี จดุ สนใจของภำพและกำรเนน้ จดั วำงตำแหนง่ ภำพ และจดั วำงภำพชนดิ ต่ำง 1 ตำมหลกั กำรขององคป์ ระกอบศลิ ป์ จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 2. แยกแยะประเภทของทัศนศิลป์ได้ 1. อธิบำยควำมเป็นมำของทัศนศลิ ป์ได้ 4. วเิ ครำะห์โครงสรำ้ งทำงทัศนศลิ ป์ได้ 3. วเิ ครำะหล์ กั ษณะรูปแบบของทศั นศลิ ป์ได้ 5. เขยี นควำมหมำยของทศั นธำตุได้
แบบทดสอบกอ่ นเรียน หนว่ ยท่ี 2 25
ความเปน็ มาของทศั นศิลป์ ควำมเปน็ มำของคำว่ำ \"ทัศนศิลป์\" เกดิ จำกแนวควำมคดิ ของศลิ ปินเบำเฮำส์ ใน เยอรมนี ซง่ึ ก่อตงั้ สถำบนั \"เบำเฮำส\"์ นข้ี ้นึ ในปี ค.ศ. 1919 และก่อตั้งได้ไม่นำนกแ็ ยกยำ้ ย กันไปในประเทศตำ่ ง ๆ โดยเฉพำะอยำ่ งยิ่งยำ้ ยไปอย่ทู ีป่ ระเทศสหรฐั อเมริกำมำกท่ีสุด และ ได้ตง้ั สถำบนั ศิลปะแหง่ ใหม่ขน้ึ มำทีน่ ครชิคำโก ชอ่ื Institute of Design โดย โมโฮลี นำจ (Mr.Moholy Nag) และพยำยำมทบทวนจดุ ยืนทำงศลิ ปะข้นึ ใหมต่ ำมแนวทำงศิลปะที่มพี นื้ ฐำน ข้ำใจของกำรมองเห็น กำรสมั ผสั กำรไดย้ นิ และกำรได้กล่นิ ซึง่ ทำให้ศิลปะมลี ักษณะ เป็นเหตุผลและวิทยำศำสตรม์ ำกยงิ่ ขึน้ เม่ือมผี ูส้ ำเร็จกำรศกึ ษำจำกสถำบันน้มี ำกขึ้นจึงได้ คดิ คันคำใหมท่ ่เี หมำะสมรัดกุมจงึ ไดใ้ ช้คำว่ำ Visual At แตค่ วำมเข้ำใจและควำมหมำยของคำ ตำมสภำพสังคมทีเ่ ปลยี่ นแปลงอยูเ่ สมอ จงึ ส่งผลต่อกำรรบั รู้ถึงควำมหมำยและขอบข่ำยของ Visual Art ดงั นั้น จึงไดม้ ีกำรทบทวนกันใหม่ โดยสถำบนั \"เบำเฮำส\"์ ในเยอรมนี ซึง่ ไดร้ วม ขอบข่ำยของศลิ ปะ 3 สำขำ คอื สถำปตั ยกรรม จิตรกรรม และประติมำกรรม เขำ้ เปน็ อนั หนงึ่ อันเดียวกนั ภำยใตน้ ำม Visual Art ซึง่ ในภำษำไทย ใช้คำวำ่ ทัศนศิลป์ หมำยถึง ผลงานที่มนษุ ย์ สร้างข้นึ ให้เห็นถึงรูปทรง 2 มิติและ 3 มติ ิ มีเนอื้ ที่ ของปริมาตรและเนอื้ ที่บรเิ วณว่างตามปริมาตร ของการรบั ร้ทู ่มี ลี กั ษณะเปน็ 2 มิติและ 3 มติ ิ และท่สี าคญั คือ ต้องสามารถมองเหน็ ไดน้ นั่ เอง ความสาคญั ของทศั นศิลป์ รปู ท่ี 2.1 งำนทศั นศิลป์ ท่ีมำ https://3.bp.blogspot.com ต้งั แต่ยคุ กอ่ นประวัตศิ ำสตรจ์ นถึงสมยั ปจั จบุ นั เรำพบเหน็ ควำมสำมำรถในผลงำน ของมนษุ ย์ ท้ังด้ำนควำมคิด ฝมี ือ ท่ีไดพ้ ยำยำมจนิ ตนำกำร คิดคนั เพอ่ื สนองควำมตอ้ งกำร ในกำรดำรงชวี ิตประจำวนั ให้ทง้ั ประโยชน์ใชส้ อย และสิง่ สวยงำมประณีต เพือ่ จรรโลงดำ้ น จิตใจ ควำมเช่อื ควำมศรทั ธำ ไว้ประดบั โลก นอกจำกนย้ี งั ตอ้ งกำรใหผ้ ้พู บเหน็ เกดิ ควำมร้สู กึ รับรูค้ ล้อยตำมชน่ื ชมไปดว้ ย 26
รูปที่ 2.2 ทัศนศิลป์ ท่ีมำ http://www.pkru.ac.th/th/news/news/35-breaking-news/southern-arts-thai- land-exhibition-may-2017 ความหมายของทศั นศลิ ป์ ทัศนศลิ ป์ คือ กระบวนกำรถำ่ ยทอดผลงำนทำงศิลป์ กำรทำงำนศลิ ปะอยำ่ งมี จินตนำกำรควำมคิดสร้ำงสรรค์ มรี ะบบระเบียบเป็นขนั้ เปน็ ตอน กำรสรำ้ งสรรค์งำนอยำ่ งมี ประสิทธิภำพสวยงำม มีกำรปฏิบัติงำนตำมแผนและมีกำรพฒั นำผลงำนใหด้ ขี ้นึ ตอ่ เนือ่ ง ทศั นศลิ ป์ คือ กำรรับรทู้ ำงจกั ษปุ ระสำท โดยกำรมองเห็น สสำร วตั ถุ และสรรพสิ่ง ตำ่ ง ๆ ทเ่ี ขำ้ มำกระทบ รวมถึงมนุษย์ และสตั ว์ จะด้วยกำรหยุดนิ่ง หรือเคลือ่ นไหวกต็ ำม หรอื จะด้วยกำรปรุงแต่ง หรอื ไม่ปรงุ แต่งกต็ ำม กอ่ ให้เกิดปัจจัยสมมุตติ อ่ จติ ใจ และอำรมณ์ ของ มนษุ ย์ อำจจะเปน็ ไปในทำงเดียวกันหรอื ไม่ก็ตำม ทัศนศิลป์ คอื กำรแปลควำมหมำยทำงศิลปะทีแ่ ตกต่ำงกันไปแต่ละมมุ มองของแต่ละ บุคคล ในงำนศิลปะชนิ้ เดยี วกนั ซ่งึ ไรช้ อบเขตทำงจินตนำกำร ไมม่ กี รอบทีแ่ นน่ อน ชัน้ กับ อำรมณข์ องบคุ คลในขณะนน้ั ทศั นศิลปเ์ ปน็ ส่วนหนึง่ ของวจิ ติ รศลิ ป์ ซ่งึ เปน็ ศลิ ปะที่เน้นคุณคำ่ ทำงดำ้ นจิตใจและ อำรมณเ์ ปน็ สำคัญ ทัศนศิลป์มคี วำมหมำยตรงกับภำษำองั กฤษวำ่ Visual At หมำยถงึ ศิลปะทม่ี องเหน็ หรอื ศิลปะทส่ี ำมำรถสัมผัส รับรู้ ชื่นชมดว้ ยประสำทตำ สัมผัสจับตอ้ งได้ และกนิ เน้อื ทใี่ นอำกำศ ทัศนศิลป์ แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ จติ รกรรม ประตมิ ำกรรม และสถำปัตยกรรม 27
รปู ที่ 2.3 ควำมหมำยของทัศนศิลป์ https://th.aliexpess.com/item/Wassily-Kandinsky-painting-abstract-circle-geome- try-classic-art-Home-Decoration-Canvas-Poster-Print/32759400082.htm ประเภทของทัศนศลิ ป์ ประเภทของทัศนศิลป์ โดยการจาแนกตามรปู แบบ ทัศนศลิ ปป์ ระเภท 2 มติ ิ คอื ผลงำนทศั นศลิ ป์ทปี่ รำกฏบนพืน้ ระนำบ ทง้ั ทข่ี รุขระ และเรยี บทง้ั น้ีปรำกฏในลักษณะท่ีเป็นเสน้ สี แสงเงำหรือลกั ษณะพน้ื ผวิ ใด ๆ ท่ีปรำกฏบน พ้ืนระนำบ สรำ้ งมิติบนพ้นื รองรับเปน็ 2 มติ ิ ส่วนมิตทิ ี่ 3 คอื ด้ำนลกึ หรอื หนำเปน็ มติ ิลวง เกดิ ขน้ึ โดยควำมรสู้ กึ ของผดู้ ู เช่น ภำพวำด ภำพเขียน ภำพพิมพ์ ภำพถำ่ ย ฯลฯ ทศั นศิลปป์ ระเภท 3 มิติ คือ ลักษณะจริงของมติ ิทั้ง 3 ประกำร มคี วำมกว้ำง ควำมยำวและควำมลกึ ทม่ี คี วำมเป็นจริงตำมสภำวะของมัน จึงแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คอื ประตมิ ำกรรม สถำปตั ยกรรมและศลิ ปะสอื่ ผสม ทศั นศลิ ปป์ ระเภทอ่นื ๆ คือ ผลงำนทศั นศลิ ปท์ ีไ่ มส่ ำมำรถจะจัดใหอ้ ยู่ในกลมุ่ ใด กล่มุ หนึง่ ได้อย่ำงชดั เจน เนอ่ื งดว้ ยทัศนศิลปใ์ นกลมุ่ นไ้ี ดผ้ สมผสำนรปู แบบและวิธกี ำรแสดงออก ทำงศิลปะท่มี คี วำมแปลกใหม่ อำทเิ ช่น ศิลปะกำรจัดวำง (Installation Art), มโนทศั นศลิ ป์ (Conceptual Art), ศลิ ปะสอ่ื แสดง ( Performance Art), แฮปเพน น่ิงอำรต์ (Happenings Art) 28
รูปท่ี 2.4 ประเภทของทศั นศิลป์ ทีม่ ำ http://www.thaigoodview.com ลกั ษณะรปู แบบของทัศนศิลป์ (Visual Art Style ) รูปแบบทแ่ี สดงควำมเป็นจรงิ (Realistic Form) คือ รปู แบบท่ีศิลปินถำ่ ยทอดเร่ืองรำว ตำ่ ง ๆ ตำมสภำวะจริงควำมเป็นจริงของสิ่งน้ัน รูปแบบท่แี สดงเหนือควำมเป็นจริง (Surrealistic Form) คือ รูปแบบทศ่ี ิลปินได้ ถ่ำยทอดเร่อื งรำวหรอื ปรำกฏกำรณต์ ่ำง ๆ โดยไมย่ ดึ ถือกฎเกณฑ์หรือควำมถูกต้องตำม ควำมเป็นจริงจำกสภำวะของส่งิ น้ัน ๆ รูปแบบทีป่ รำศจำกเนื้อหำ (Non Figurative) คอื ลกั ษณะรูปแบบของงำนทศั นศิลป์ ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ คือ รปู แบบ เนอ้ื หำและกลวิธี ทัศนศลิ ปร์ ูปแบบนี้มีวิวฒั นำกำร ตัง้ แตป่ ี ค.ศ. 19 10 โดย วำสลิ ี แคนดนิ สกีศลิ ปินชำวรัสเซีย ผู้มำสรำ้ งสรรคผ์ ลงำนในเยอรมนี ได้สรำ้ งสรรค์ผลงำนจติ รกรรมของตนข้นึ โดยสลดั เนอื้ หำของผลงำนท้ิงไปจนหมดสนิ้ กล่ำวคือ ไมป่ รำกฏเนอ้ื หำใด ๆ ในผลงำนเลย และเรยี กผลงำนของตนว่ำ Abstract Art กลวิธีทศั นศิลป์ (Visual Art Technique) หมำยถงึ กระบวนกำรสร้ำงงำนทศั นศลิ ป์ ซง่ึ ประกอบดว้ ย 3 ส่วน คือ วัสดุ อปุ กรณ์ และวิธกี ำร 29
โครงสร้างทางทศั นศิลป์ เป็นองค์ประกอบหลักท่ีสำคัญอกี อย่ำงหนง่ึ สงิ่ ต่ำง ๆ ไมว่ ่ำจะเปน็ สิ่งทเ่ี กย่ี วกบั ธรรมชำติ หรือสงิ่ แวดลอ้ ม แตล่ ะส่งิ ลว้ นประกอบจำกส่วนประกอบย่อย ๆ ซง่ึ จะตอ้ งรวมตัวกันเปน็ กลมุ่ เล็กบำ้ งใหญ่บ้ำง สิ่งเหลำ่ น้เี รำเรียกวำ่ องค์ประกอบ มที ัง้ ประกอบกันตำมธรรมชำตแิ ละ เกิดจำกกำรประกอบกันของมนษุ ย์ในกำรรสร้ำงสรรคเ์ ปน็ ผลงำน แตอ่ งคป์ ระกอบทั้งสองลักษณะ ตำ่ งก็มคี วำมสัมพนั ธ์กนั ในธรรมชำติ เชน่ องคป์ ระกอบของมนุษย์จะเป็นอวัยวะสว่ นตำ่ ง ๆ ได้แก่ ศีรษะ ลำตัว แขนขำ ฯลฯ ส่วนเสำคอนกรีตกจ็ ะประกอบไปดว้ ย ซีเมนต์ ทรำย กรวด และน้ำทผี่ สมกนั ตำมอตั รำสว่ น ซง่ึ เปน็ กำรประกอบกนั ของมนุษย์ เน่อื งจำกมนษุ ย์ไดร้ ับควำมงำมจำกธรรมชำตไิ มเ่ พยี งพอ หรอื มนษุ ย์อยำกจะเอำชนะ ธรรมชำติ หรืออยำกลอกเลยี นแบบควำมงำมของธรรมชำติ มนุษยจ์ งึ ไดค้ ิดสร้ำงสรรคผ์ ลงำน ขน้ึ มำใหม่ โดยนำเอำส่งิ ต่ำง ๆ ทอ่ี ยู่ในธรรมชำติ เช่น สี แสง เงำ พ้ืนผวิ ฯลฯ มำประกอบกนั แล้วจัดรูปแบบเสยี ใหมใ่ ห้เปน็ ไปตำมทีม่ นษุ ยต์ อ้ งกำร เพ่อื สนองควำมตอ้ งกำรของตนเอง และเพื่อนมนุษยด์ ว้ ยกนั สง่ิ ทีม่ นษุ ยน์ ำมำจำกธรรมชำติแล้วจัดทำใหม่น้เี อง คอื องค์ประกอบศลิ ป์ และเมอ่ื ประกอบกันเสรจ็ สมบรู ณ์ มีควำมกลมกลนื สวยงำม และอำจนำไปใชส้ อยให้เกิด ประโยชน์ อนั น้เี รยี กวำ่ งำนศลิ ปะ สำหรบั กำรสรำ้ งสรรค์ศิลปะทศั นศลิ ป์ มีจดุ มุง่ หมำยเพอื่ สร้ำงควำมรูส้ ึกของมนษุ ย์ ในต้ำนควำมงำมและเรอ่ื งรำว ซงึ่ ควำมหมำยและเร่อื งรำวทจี่ ะนำมำสรำ้ งเปน็ สือ่ ของควำมหมำย ทำงทศั นศิลป์ยอ่ มมอี ยูร่ อบตวั ศลิ ปนิ สิ่งที่พบและเห็นค้นุ เคยในชีวติ ประจำวนั เป็นวตั ถุดบิ ที่ นำมำรวบรวมเปน็ ควำมคดิ และจนิ ตนำกำร ถ่ำยทอดสร้ำงสรรค์ออกมำเป็นผลงำนทศั นศิลป์ โดยทัศนศลิ ปม์ ีองคป์ ระกอบของสงิ่ ท่ีสำมำรถสมั ผัสและรับรไู้ ดด้ ้วยตำ ในลักษณะกำรมองเหน็ ได้แก่ กำรรับรู้ทำงกำรมองเห็น มติ ิ แขนงจิตรกรรม ประตมิ ำกรรม สถำปัตยกรรม เด็กควรรู้ งำนทศั นศลิ ป์ทปี่ รำกฏใหเ้ ห็นสำมำรถแบง่ ออกเปน็ 2 ลกั ษณะ คือ 1. ทัศนศิลป์ 2 มติ ิ ได้แก่ ผลงำนกำรเขียนภำพระบำยสี 2. ทศั นศิลป์ 3 มิติ ไดแ้ ก่ ผลงำนประติมำกรรม สถำปัตยกรรม 30
ทัศนศลิ ป์แบ่งตำมประเภท ㆍ กำรวำดเส้น ㆍจิตรกรรม บำงครัง้ จะแบ่งตำมขบวนกำรทำงศิลปะ เช่น Renaissance, Impres- sionism, Post-impressionism, Modern Art ㆍ กำรทำภำพพิมพ์ เชน่ Old master print, Woodblock painting ㆍกำรถำ่ ยภำพ และกำรสรำ้ งภำพยนตร์ ㆍ ศลิ ปะคอมพวิ เตอร์ ㆍ ศิลปะทรงรปู (Plastic Arts) เชน่ ประติมำกรรม ความหมายของทศั นศิลป์ ทศั นธำตุ หมำยถงึ สว่ นสำคัญท่รี วมกนั เปน็ รูปร่ำงของสิง่ ท้ังหลำยตำมท่ีมองเห็น ได้แก่ จดุ เสน้ สี แสงเงำ น้ำหนกั บรเิ วณวำ่ ง และลกั ษณะผวิ ทศั นธำตุ เปน็ ส่วนประกอบ สำคัญของศิลปะที่สำมำรถนำมำจัดให้ประสำนกลมกลืน เกดิ เปน็ ผลงำนศลิ ปะท่ีมีคณุ ค่ำทำง ควำมงำม และสอื่ ควำมหมำยตำมควำมคิดของผู้สรำ้ งสรรค์ได้ ทัศนธำตุเกิดข้นึ จำกกำรนำเอำ ธำตใุ ดธำตหุ นงึ่ มำสรำ้ งเป็นรปู ข้ึน จำกน้ันเกดิ ธำตุอ่นื ๆ ชน้ั ตำมมำ เช่น กำรใชเ้ สน้ สร้ำง รูปทรงขน้ึ รปู หนึง่ ทำใหเ้ กิดชอ่ งว่ำงหรือรปู รำ่ งของบรเิ วณวำ่ งขึน้ เมอ่ื ใชส้ รี ะบำยลงบนรูปทรง ทศั นธำตุจะปรำกฏขึ้นทงั้ เส้น สี และลกั ษณะผวิ ฉะนั้น กำรรจู้ กั สังเกตธรรมชำตทิ อี่ ยรู่ อบ ๆ ตัวและกำรรูจ้ ักเลอื กสรรส่วนประกอบ จำกธรรมชำติมำจัดองค์ประกอบทำงศิลปะนัน้ จงึ เปน็ วธิ ีทง่ี ำ่ ยและดีท่ีสดุ ในกำรสร้ำงสรรค์ งำนศิลปะทัศนธำตุ ประกอบดว้ ย 1. จดุ (Dot) 2. เส้น (Line) 3. สี (Color) 4. รปู รำ่ งและรปู ทรง (Shape and Form) 5. นำ้ หนัก (Value) 6. บรเิ วณวำ่ ง (Space) 7. ลักษณะผิว (Texture) 31
คำถำม คำถำม รูปรำ่ งมีกม่ี ิติ อะไรบ้ำง รูปร่ำง มี 2 และ 3 มติ ิ 1. จดุ (Dot) จุด หมำยถงึ รอยหรือแตม้ ทม่ี ีลกั ษณะกลม ว ปรำกฏทีผ่ วิ พื้น ไมม่ ขี นำด ควำมกวำ้ ง ควำมยำว ควำมหนำ เปน็ ส่งิ ทเ่ี ล็กที่สดุ และเป็นธำตเุ ร่ิมแรกที่ทำใหเ้ กดิ ธำตอุ ่นื ๆ ขนึ้ รูปท่ี 2.5 ภำพจดุ ท่ีมำ http://image.ookbeecomics.com 2. เส้น (Line) เส้น คอื จดุ หลำย ๆ จุดตอ่ กันเปน็ สำย เปน็ แถวแนวไปในทศิ ทำงใดทศิ ทำงหน่ึง เปน็ ทำงยำวหรือจดุ ที่เคล่อื นท่ไี ปในทิศทำงใดทิศทำงหนึ่งด้วยแรงผลกั ดัน หรือรอยขูดขีดเขยี น ของวัตถเุ ปน็ รอยยำว เสน้ แบ่งเปน็ ลกั ษณะใหญ่ ๆ 2 ลกั ษณะ ดงั นี้ 1. เสน้ ตรง 1.1 เส้นดิง่ คอื เสน้ ตรงท่ี ตั้งฉำกกับพน้ื ระดับให้ควำมรู้สกึ มัน่ คง แข็งแรง สงำ่ รงุ่ เรือง สมดุล พ่งุ ขึ้น รปู ที่ 2.6 ภำพลักษณะเสน้ ติ่ง ท่มี ำ htp://1.bp.blogspot.com 32
1.2 เส้นนอน คือ เส้นตรงที่นอนรำบไปกบั พืน้ ระดับ ให้ควำมรูส้ ึกกวำ้ งขวำง สงบเงยี บ เยอื กเย็น ผ่อนคลำย รูปที่ 2.7 ภำพลกั ษณะเส้นนอนรำบ ทมี่ ำ https://panassayawongsri.files.wordpress.com 1.3 เส้นเฉยี ง คือ เส้นตรงเอนไมต่ ั้งฉำกกบั พ้ืนระดบั ใหค้ วำมรู้สึกไมม่ ่ันคง เคลอื่ นไหว แปรปรวน ไมส่ มบูรณ์ รูปท่ี 2.9 ภำพลกั ษณะเส้นฟันปลำ รูปที่ 2.8 ภำพลกั ษณะเสน้ เฉียง ทีม่ ำ http://www.คิดเปน็ .com ที่มำ https://upload.wikimedia.org 1.4 เสน้ ฟนั ปลา คือ เส้นตรงหลำยเส้น ตอ่ กันสลับข้นึ ลงระยะเท่ำกนั ให้ควำมรสู้ ึก รนุ แรง กระแทก ตืน่ เตน้ อนั ตรำย ขดั แย้ง 33
1.5 เส้นประ คอื เส้นตรงทขี่ ำดเป็นช่วง ๆ มรี ะยะเท่ำกัน ใหค้ วำมรู้สึกตอ่ เนือ่ ง ขำดระยะ ใจหำย ไมแ่ น่นอน รูปท่ี 2.10 ภำพลักษณะเสน้ ประ ทีม่ ำ http://www.pd.co.th 2. เสน้ โคง้ 2.1 เสน้ โค้งลง คอื เส้นท่ีเป็นท้องกระทะคล้ำยเชอื กหยอ่ น ใหค้ วำมรู้สกึ อ่อนโยน เคล่อื นไหวไมแ่ ขง็ แรง รปู ท่ี 2.11 ภำพลักษณะเสน้ โคง้ ลง ท่มี ำ https://preede.fles.wordpress.com 34
2.2 เสน้ โค้งข้นึ คอื เส้นทโ่ี ค้งเป็นหลงั เตำ่ คลำ้ ยคันธนูให้ควำมรู้สกึ แข็งแรง เชือ่ มน่ั เคล่ือนไหว รปู ที่ 2.12 ภำพลักษณะเสน้ โคง้ ขนึ้ ทีม่ ำ https://pixabay.com 3. เสน้ คด คอื เสน้ โค้งขึน้ โค้งลงต่อเนอ่ื งกันคล้ำยคล่ืนในทะเล ให้ควำมรู้สกึ เลอื่ นไหล ต่อเน่ือง อ่อนชอ้ ย นุม่ นวล รปู ที่ 2.13 ภำพลกั ษณะเสน้ คด ที่มำ https://preede.fles.wordpress.com 35
4. เสน้ กนั หอย คือ เส้นโค้งต่อเน่ือง กนั วนเขำ้ เล็กลงเปน็ จุดคลำ้ ยกนั หอย ใหค้ วำมรู้สึก อดึ อัด เคล่อื นไหวคล่คี ลำย รปู ที่ 2.14 ภำพลักษณะเสน้ กนั หอย ท่มี ำ https://upload.wikimedia.org รปู ท่ี 2.15 ภำพลกั ษณะเสน้ โค้งอิสระ 5. เสน้ โค้งอิสระ คือ เสน้ โค้งตอ่ เนื่อง ที่มำ https://preede.files.wordpress.com กนั ไปไม่มีทศิ ทำง คล้ำยเชือกพนั กัน ให้ควำมร้สู กึ วุ่นวำย ยุง่ เหยิง ไมเ่ ปน็ ระเบยี บ 3. สี ( Colour ) สี หมำยถึง ลกั ษณะของแสงสวำ่ ง ปรำกฏแก่ตำใหเ้ หน็ เปน็ สขี ำว ดำ แดง เขยี ว น้ำเงนิ เหลอื ง เปน็ ต้น ถำ้ ไมม่ ีแสงมองไม่เห็นสี ซ่ึงสีมี 2 ชนดิ ดงั น้ี 1. สที ่ีเป็นวัตถุ ( Pigment) สที เี่ ป็นรงควัตถสุ ผี งหรือธำตุในรำ่ งกำยที่ทำให้คนมี สีต่ำง ๆ สีท่ีเกิดจำกวัตถธุ ำตุ เชน่ จำกพืช สตั ว์ แรธ่ ำตุ เปน็ ต้น ซงึ่ เปน็ สีที่ใชใ้ นงำนศลิ ปะ รูปท่ี 2.16 สที ีเ่ ป็นวตั ถุ ท่มี ำ https://sites.google.com 36
1. สีท่ีเป็นวัตถุ (Pigment) สที เี่ ปน็ รงควตั ถุสผี งหรือธำตุในร่ำงกำยท่ที ำให้คนมี สตี ่ำง ๆ สที ่เี กิดจำกวตั ถุธำตุ รปู ท่ี 2.17 สีท่ีเปน็ แสง ที่มำ https://ak6.picdn.net แม่สี (Primary Colour) คือ สีทนี่ ำมำผสมกนั แลว้ ทำใหเ้ กดิ สใี หม่ มีลกั ษณะ แตกต่ำงไปจำกสเี ดมิ แม่สี มอี ยู่ 2 ชนดิ คอื 1. แมส่ ีของแสง เกิดจำกกำรหักเหของแสงผำ่ นแทง่ แกว้ ปริซมึ มี 3 สี คอื สแี ดง สเี หลือง และสนี ำ้ เงนิ อยูใ่ นรปู ของแสงรงั สี ซึง่ เป็นพลงั งำนชนิดเดยี วทีม่ ีสี คณุ สมบตั ิ ของแสงสำมำรถนำมำใช้ในกำรถ่ำยภำพโทรทัศน์ กำรจัดแสงสีในกำรแสดงตำ่ ง ๆ เปน็ ต้น 2. แม่สีวัตถุธำตุ เป็นสีทไี่ ดม้ ำจำกธรรมชำติ และจำกกำรสังเครำะหโ์ ดย กระบวนกำรทำงเคมี มี 3 สี คอื สีแดง สีเหลอื ง และสีนำ้ เงิน แมส่ ีวัตถุธำตุเปน็ แม่สที นี่ ำมำ ใช้งำนกนั อยำ่ งกวำ้ งขวำง ในวงกำรศิลปะ วงกำรอตุ สำหกรรม ฯลฯ แม่สวี ัตถธุ ำตุ เมอ่ื นำมำผสมกนั ตำมหลกั เกณฑ์ จะทำให้เกิดวงจรสเี ป็นวงสี ธรรมชำติ เกดิ จำกกำรผสมกันของแม่สีวตั ถธุ ำตุ เปน็ สหี ลกั ท่ีใช้งำนกนั ทั่วไปในวงจรสี วงจรสธี รรมชำติ วงจรสี เกิดจำกกำรนำเอำแม่สที ่เี ป็นวตั ถุมำผสมกนั เปน็ สี 3 ขน้ั มี 12 สี คือ เหลอื ง เหลืองเขียว เขียว เขียวน้ำเงนิ นำ้ เงิน นำ้ เงินม่วง มว่ ง ม่วงแดง แดง แดงส้ม สม้ เหลืองสม้ หรือเรยี กวำ่ วงล้อของสี คำถำม คำถำม แม่สีทำงจิตวิทยำ มีสอี ะไรบำ้ ง สแี ดง สเี หลอื ง สีเขียวและสนี ้ำเงิน 37
1. สีขนั้ ท่ี 1 (Primary colour) คอื สที ไ่ี ม่มีสีใดสำมำรถผสมให้ใตส้ ีนั้น ได้แก่ สแี ดง สเี หลือง สีน้ำเงิน วงจรสี 2. สีชั้นท่ี 2 (Secondary Colours) เกิดจำกกำรนำเอำแมส่ ที ี่เป็นวัตถุทัง้ 3 สี มำผสมกนั เกิดสใี หมข่ ึน้ มำอกี 3 สี คือ สม้ เขียว มว่ ง สชี น้ั ที่ 2 เกิดจำกกำรผสมกันของสี หรือสชี ั้นท่ี วงจรสี 1 โดยกำรผสมกันนน้ั มีอัตรำส่วน 1 ต่อ 1 แดง ผสม เหลือง ได้ สม้ แดง ผสม นำ้ เงิน ได้ ม่วง น้ำเงิน ผสม เหลือง ได้ เขยี ว 38
3. สขี ั้นท่ี 3 ( Tertiory Colours ) เกดิ จำกกำรนำเอำสชี ัน้ ท่ี 1 กบั สีช้นั ที่ 2 มำผสมกนั ทลี ะคู่ทีอ่ ยู่ติดกนั จะไดส้ เี พม่ิ ข้นึ อกี 6 สี วงจรสี สีแดง = ตื่นเต้น เร้ำใจ อนั ตรำย พลงั อำนำจ รัก สสี ม้ = ตืน่ ตวั ตื่นเตน้ เรำ้ ใจ สนุกสนำน สเี หลือง = สดใส รำ่ เรงิ ฉลำด เปร้ียว สเี ขยี วอ่อน = สดชนื่ ร่ำเรงิ เบกิ บำน สเี ขียวแก่ = สะอำด ปลอดภยั สดช่ืน ธรรมชำติ ชรำ สนี ้ำเงนิ = สุภำพ เชื่อมั่น หนกั แนน่ ถอ่ มตัว ผชู้ ำย สีฟำ้ = รำบร่นื สวำ่ ง วยั รนุ่ ทันสมยั สมี ว่ ง = ฟุ่มเฟือย ลึกลบั ขี้เหงำ สชี มพู = ควำมรัก ผูห้ ญิง ออ่ นหวำน น่มุ นวล หอม สขี ำว = ควำมบริสุทธ์ิ สะอำด ปลอดภัย เด็กทำรก สีดำ = ทุกข์ ลกึ ลับ สบื สวน หนักแน่น สเี ทำ = สภุ ำพ ขรึม สนี ้ำตำล = อนุรกั ษ์ โบรำณ ธรรมชำติ สีมว่ ง = ร่ำรวย โออ่ ำ่ งอกงำม 39
น้ำหนักสี (Tone) หรอื วรรณะของสี หมำยถึง ระดบั ควำมเข้มท่ีแตกต่ำงกนั หรอื คำ่ ควำมออ่ นแกข่ อง ไล่ระดบั กนั ไป เช่น ดำ - เทำเข้ม - เทำกลำง - ขำว โทนก็มผี ลต่อควำมร้สู ึกคล้ำยกับสีน่ันเอง เพยี งแตจ่ ะละเอียดออ่ นมำกขนึ้ มีคำ่ ควำม แตกต่ำง กนั เลก็ นอ้ ย แตม่ ีผลต่อควำมรสู้ ึกนกึ คดิ ของมนษุ ย์ เชน่ รูปที่ 2.21 น้ำหนักของสี ทมี่ ำ http://img 13.deviantart.net 1. วรรณะสีรอ้ น (Warm Tone) ประกอบด้วยสีเหลอื ง สสี ้มเหลอื ง สีสม้ สสี ม้ แดง สีม่วงแดง และสมี ว่ ง สใี นวรรณะร้อนนจี้ ะเปน็ สที ่ีคอ่ นข้ำงไปทำงสีแดงหรอื สสี ม้ ถำ้ สีใดสหี น่ึง ค่อนขำ้ งไปทำงสีแดงหรือสีส้ม เชน่ สีน้ำตำล สเี ทำอมแดง เป็นตน้ ก็ให้ถอื วำ่ เปน็ สีวรรณะรอ้ น ให้ควำมรสู้ กึ ร้อนแรง รปู ที่ 2.22 สวี รรณะรอ้ น ท่ีมำ https://toplovr.files.wordpress.com 40
2. วรรณะสีเยน็ (Cold Tone) ประกอบด้วย สีเหลือง สีเขียวเหลอื ง สเี ขียว สีเขยี วนำ้ เงนิ สีน้ำเงนิ สมี ว่ งน้ำเงนิ และสมี ว่ ง ส่วนสอี ่นื ๆ ถำ้ หนกั ไปทำงสีน้ำเงนิ และสีเขียว ก็เปน็ สีวรรณะเย็น เช่น สีเทำ สดี ำ สีเขียวแก่ นีเ้ ป็นตน้ ก็ใหค้ วำมร้สู ึกเยน็ สบำย รปู ท่ี 2.23 สีวรรณะเยน็ ทม่ี ำ https://toplovr.files.wordpress.com 4. รปู รา่ งและรปู ทรง (Shape and Form) รปู รา่ ง (shape) หมำยถึง เสน้ รอบนอกของ วตั ถุ คน สตั ว์ สงิ่ ของ มลี กั ษณะเป็น 2 มิติ (กว้ำง ยำว) รปู ที่ 2.24 แสดงรูปร่ำง ทม่ี ำ https://preede.files.wordpress.com รปู ทรง (Form) โครงสรำ้ งของรปู วตั ถุ คน สตั ว์ สิ่งของ มลี กั ษณะเปน็ 3 มิติ (กว้ำง ยำว ลึก) รปู ท่ี 2.25 แสดงรูปทรง ท่มี ำ https: //preede.files.wordpress.com 41
5. น้าหนัก (Value) นา้ หนกั หมำยถึง ควำมออ่ นแกข่ องสี หรอื แสงเงำท่ีนำมำใช้ในกำรเขยี นภำพ น้ำหนักทำให้รปู ทรงมี ปรมิ ำตร และให้ระยะแก่ภำพ รูปที่ 2,26 แสดงค่ำนำ้ หนัก ทม่ี ำ http://www.thaigoodview.com แสงและเงำ (Light & Shade) แสงและเงำ เป็นองค์ประกอบทีอ่ ยู่คูก่ ัน แสง เมอื่ ส่องกระทบกบั วัตถุจะทำใหเ้ กดิ เงำ แสงและเงำ เป็นตัวกำหนดระดบั ของค่ำน้ำหนัก ควำมเขม้ ของเงำจะขึน้ อยู่กบั ควำมเข้มของแสงในที่ทีม่ ีแสงสวำ่ งมำก รปู ท่ี 2.27 แสงและเงำ ทีม่ ำ https://kritsanabbcit58.files.wordpress.com 42
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158