ของปุาขายในชวงที่วางเวนจากฤดูไรนา บานกลาง เป็นหมูบานเล็กๆ ท่ีมีประชากรอาศัยอยูเพียง ๗๗ ครัวเรือน มีชาวบานอาศัยอยูไมถึง ๓๐๐ คน สรางบานเรือนอยูกระจัดกระจายทามกลาง ไมใหญท่ียืนตนใหเห็นทั่วชุมชน แมไมมีการบันทึกเป็นลายลักษณแอักษรที่สืบคนไปไดวา แทจริงแลว คนบานกลางเขามาตั้งรกรากอยูอาศัยในพื้นที่ตรงนี้ตั้งแตสมัยใด แตจากคําบอกเลาของคนเฒา คนแกในหมูบาน ทําใหพอเห็นภาพวา ชุมชนบานกลางตั้งอยูในพื้นที่มามากกวา ๓๐๐ ปี หรือ ๕ - ๖ ชวงอายุคน โดยผูเฒาเลาตอๆกันมาวาผูกอตั้งหมูบาน เป็นชาวกะเหรี่ยงโปวจากจังหวัด กาญจนบุรี ที่เดินทางมาคาขายในจังหวัดแพร แลวเดินทางตอไปยังเชียงแสน โดยใชเสนทางสัน ดอยหลวง แตระหวางทางไดหยุดพักบริเวณหวยแมมาย และพบวาพื้นที่ตรงนั้นเป็นปุาอุดม สมบูรณแ และมีสัตวแปุานานาชนิดอาศัยอยู ซึ่งเหมาะแกการอยูอาศัยทํากิน จึงตัดสินใจตั้งถิ่นฐาน และสรางหมูบานขึ้นที่นั่น ตอมาเริ่มมีคนเคลื่อนยายมาตั้งถิ่นฐานเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็น หมูบานขนาดใหญ ชาวบานในสมัยนั้นจึงขยายพื้นที่ทํากินไปทางทิศเหนือ แลวตั้งหมูบานขึ้นอีก หนึ่งหมูบาน ซึ่งก็คือ บานกลาง นั่นเอง หลักฐานสําคัญเกี่ยวกับการตั้งหมูบาน คือ การบันทึก การเขามาของศาสนาคริสตแ ซึ่งเป็นภาษากะเหรี่ยงสะกอ และอนุสาวรียแที่สรางขึ้นบริเวณที่ตั้ง หมูบานเดิม เพ่ือฉลองวาระครอบรอบ ๑๐๐ ปี ของการต้ังหมูบาน เมื่อ ๒๐ ปีที่แลว ซึ่งคนในชุมชน เชื่อวาบานกลาง เป็นหมูบานแรกในประเทศไทยที่นับถือศาสนาคริสตแ ในแตละปี ๑ ครอบครัว ทําไรหมุนเวียนครอบครัวละ ๕ ไร ในชวงเวลา ๕ - ๖ ปีจะหมุนเวียนกลับมาทําซ้ําในจุดเดิม แลวแตความอุดมสมบูรณแของพื้นที่ หรือบางพ้ืนที่อาจใชเวลาแค ๔ ปี ก็สามารถกลับไปทําได โดยภาพรวมพบวาชาวกะเหร่ียงตั้งบานเรือนกระจายตัวอยูในพื้นท่ีท้ังหมด ๕ อําเภอ ไดแก อําเภองาว อําเภอเมืองปาน อําเภอเสริมงาม อําเภอแจหม และอําเภอแมเมาะ พบกลุมกะเหร่ียง ๒ กลมุ กลุม แรกไดแกก ลุมกะเหรยี งโป อาศยั อยูในอําเภองาวมากท่ีสุด และอําเภอแมเมาะ กลุมท่ีสอง กลุมกะเหร่ียงสะกอ พบอาศัยอยูในอําเภอเสริมงาม อําเภอเมืองปาน และอําเภอแจหม ในพ้ืนท่ี บานแมฮาง อําเภองาว เป็นกลุมกะเหรี่ยงโป สวนใหญนับถือศาสนาคริสตแ ยังมีการทอผาดวยก่ีเอว ของชาวกะเหรยี่ งโปเปน็ ผา ฝูายซง่ึ มีลวดลายเป็นเอกลักษณแเฉพาะตัว มีท้ังลายด้ังเดิมและลายประยุกตแ ทําใหเกิดความสวยงามและทันสมัยมากขึ้นและเป็นหมูบานสงเสริมการทองเที่ยวเชิงวั ฒนธรรม ของจังหวัดลําปาง สําหรับบานแมหมีใน บานแมหมีนอก และบานจกปกเป็นหมูบานของชนเผา กะเหรี่ยงสะกอ (ปกาเกอะญอ) อพยพโยกยายมาจากเมืองคองอําเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม เมื่อประมาณ ๔๓๓ ปี หรือประมาณ พ.ศ. ๒๙๘๓ บานแมหมีมีท้ังหมด ๓ หยอมบาน คือ หยอมบาน แมหมีใน มีพะตีอายยางเป็นผูนํา (หญ่ีโข) หยอมบานแมหมีนอกมีพะตี่โคโลยาง เป็นผูนํา และหยอม บานจกปก มีพะต่ีหลายางเป็นผูนํามีลํานํ้าหลักที่สําคัญของหมูบาน ๔ ลําน้ํา คือ ลําน้ําแมหมีลําน้ํา หวยปุาคา ลํานํ้าหวยกอม และลํานํ้าหวยแมหมีนอย มีน้ําไหลตลอดปี ชาวบานแมหมีทําไรหมุนเวียน วัฒนธรรมประเพณีของชนเผา ปกาเกอะญอดาํ รงอยไู ดด วยการทําไร ซ่ึงไมเพียงแตปลูกพืชตาง ๆ ยังนํา เมล็ดพนั ธแุมาผสมกับเมลด็ พันธขุแ า วปลูกลงพรอมกบั ขาวไร และไดมกี ารปลูกพืชผักอื่น ๆ อกี มากมาย สวนกลุม ชาตพิ ันธแุกะเหรี่ยงท่ีบานแมเลียงพื้นท่ีโดยท่ัวไปของบานแมเลียงพัฒนาน้ันเป็นพ้ืนที่ ภูเขาประมาณ ๗๐% ของพืน้ ท่ีทัง้ หมด ชาวบานท่ีอาศัยอยูที่บานแมเลียงพัฒนาน้ัน สวนมากประกอบ อาชีพการทํานาเป็นอาชีพหลัก แตเมื่อผานพนจากชวงฤดูการทํานาแลว ชาวบานจะหันมาทําสวน เป็นพืชหมุนเวียนรวมไปถึงการรับจางทํางานท่ัวไป และหาของปุาไปขายเพ่ือเป็นรายไดเสริมใหกับ 100
ครอบครัว ที่นาสนใจคือเป็นหมูบานที่ใชนามสกุลเดียวกันท้ังหมูบาน เพิ่งมาเปล่ียนไดเพียง ๑ ครอบครวั สวนช่ือจะนยิ มใชคําพยางคแเดยี ว ในอดตี ผชู ายในหมบู า นไดรับการยกเวนไมตองเกณฑแทหาร แตหลังจาก พ.ศ. ๒๕๔๒ ไมไดรับการยกเวนอีกตอไป นอกจากนี้ยังเป็นหมูบานที่คงอัตลักษณแของ ชนเผากะเหรี่ยงทง้ั ดา นการกิน การแตงกาย บา นเรอื นและภาษา ๒.๗.๒ ลักษณะโครงสร้างทางสงั คม กลุ่มเครือญาติ กลุ่มเครือญาติย่อย : สังคมกะเหร่ียงโป มีการแบงแยกในการนับถือ “สกุล ของฝาุ ยมารดา” หรือเรียกอกี อยา งวา “การนบั ถือผี สายฝุายมารดา” แตละหมูบานนอกจากจะมีกลุม หรือสมาชกิ ของผีสกลุ เดียวกันแลว ยังมีกลุมใหญ - เล็ก และกลุมสมาชิกของชุมชนในหมูบานที่มิใชโป แท ๆ อีก คือ บดิ าอาจเป็น “สะกอ” กลุมสมาชิกเหลาน้ีถือไดวาเป็น “กลุมยอย” ซึ่งไมมีอิทธิพลมาก เทากับกลุมสกุลฝุายมารดาท่ีเป็นกลุมใหญท่ีสุด กลุมศาสนาคริสตแ ผูประกาศศาสนาหรือสอนศาสนา และกลุมสตรีแมบาน เพราะในชุมชนกลุมน้ี “แมบาน” หรือ “ภรรยา” จะมีอิทธิพลในการตัดสินใจ ภายในบาน ภรรยาจะเปน็ เจาของบานแตผูเดียว และสิทธ์ิขาดเป็นของภรรยาเทาน้ัน “บานของชุมชน กะเหรี่ยงน้ัน ถือวาเป็นอาณาจักรทางวิญญาณของผีบรรพบุรุษฝุายมารดา” สามีไมมีสิทธ์ิมาคางแรม หรือแมแตมากินอาหารที่บานได หากภรรยาไมอนุญาต “สตรีแมบาน” หากมีการรวมตัวกันเป็นกลุม ก็ยอ มมีอิทธิพล (แฝง) ใหกับบา นแตละหลังได การนับถือผู้นา : ในชุมชนกะเหรี่ยงโป มีความเช่ือและศาสนาที่มีความแตกตางกัน แบง ออกเป็น ๑. กลมุ กะเหรี่ยงโปที่นับถือพุทธศาสนา จะอาศัยในภาคกลางและภาคเหนือตอนลาง บุคคล สําคัญ ไดแก พระสงฆแ ดวยเหตุท่ีกะเหร่ียงโปมีความเครงครัดทางพุทธศาสนา ดังน้ันชาวบานจึงให ความสําคญั ศรัทธา และความเคารพนับถือพุทธศาสนา ผูกระทาํ พิธที างศาสนาประจําหมูบานหรือผูนํา ทางศาสนา ผูเ ป็นประธานในพิธที างศาสนา ซ่ึงมคี วามเชอ่ื ทางประเพณีวฒั นธรรมและประเพณีประจําปี ในหมูบาน ฤาษี นับถือมากในทางศาสนกิจ ใหความเคารพเชนเดียวกับพระสงฆแ มีอิทธิพลเหนือ ชาวบา น เพราะเชื่อกันวาจะเป็นผนู าํ ท่จี ะทําใหชาวบานประพฤติปฏิบัติตนในทางรักษาศีลธรรม เจาวัด ซึง่ มไิ ดนุงหม เหลอื งเชน พระสงฆแ แตเป็นผูช ายซ่ึงเป็นผูนําและพิธีกรรมทางดานความเชื่อ บางคนมักจะ เช่อื วา หมอผี หรอื บางเจา วดั ก็ปฏิบัติตนเชนเดียวกับ พระ กลุมอาวุโส ประกอบดวยผูชายท่ีมีอายุมาก และมหี ลาย ๆ คนเป็นผกู ําหนดการวินิจฉัยและการตัดสินใจบางเรื่องได ๒. กลุมกะเหรี่ยงโปที่นับถือผี กลุมน้ีจะต้ังถิ่นฐานอยูตามภาคเหนือและอยูบนภูเขา หางไกลจากหมูบานคนไทยและยังเครงครัดใน เรื่องจารีตประเพณี กลุมนี้จะใหความสาํ คญั และนับถือ “หมอผี” หรือ “เซ่ีย เก็ง คู” เป็นผูชาย หมอผี จะเป็นผูกําหนดงานตาง ๆ ท่ีเก่ียวของกับความเป็นอยูและความเจ็บไขไดปุวย มีอิทธิพล ตอชุมชนใน เรื่องการ ทําโทษ และ ปรับไหม ตอผูกระทําความผิดตาง ๆ นอกจากนั้นยังนับถือกลุมอาวุโส เป็นลักษณะหนึ่งของชุมชนกะเหร่ียงทขี่ าดมิได เชนเดยี วกับกลมุ กะเหรยี่ งพทุ ธศาสนา ส่ิงศักดิส์ ิทธใิ์ นหมู่บ้าน : กะเหรี่ยงโป ไดแก วดั ศาลผปี ระจําหมูบาน หรือสถานท่ีท่ีเป็นที่กราบไหว เคารพและบูชา ซ่งึ สงิ่ ทชี่ าวบานเห็นควรกราบไหวเชื่อกันวาเป็นท่ีสิงสถิตของเทวดา ผีสาง หรือนางไม ภายในหมูบานมักจะเรียกวา “เป็นเขตหวงหาม”ซึ่งที่หวงหามนั้นจะเป็นเพียงชั่วครั้งช่ัวคราว คือ มี กําหนด ๓ วัน ๓ คืน ถาใครเขาไปหรือผานเขาไปไมวาจะเป็นการตั้งใจหรือไมต้ังใจก็ดี ผูฝุาฝืนก็ตอง จา ยเงนิ ท่ีเรียกวา “คา ปรบั ไหม” เปน็ เงินเทาท่ีชาวบานไดใชจ า ยไป เขตท่ีวา นีจ้ ะมีเคร่ืองหมายไวใหเห็น 101
เชน ทบ่ี ันไดบา นหนา – หลงั ทีท่ างสามแพรง ที่ประตทู างเขาหมูบาน ทยี่ งุ ขาว หรือบางครั้งอาจจะเป็น ทีไ่ ร เครื่องหมายนเ้ี รียกวา “ตะเล” หรือ “ตะแหลว” อีกสถานทีท่ ่กี ะเหรย่ี งโปนับถอื คือ บรเิ วณภายใน ตัวบาน เชน ท่ีมุมบานซ่ึงเป็นท่ีหลับนอนของพอแม ซ่ึงจะใหเป็นที่ทําพิธีใหขาว นํ้า สุรา แกผีบานผี เรอื น หรือท่เี รยี กวา “ไซบงั - ไซมึง” และอีกสถานที่หนง่ึ คอื “เตาไฟ” สถานทท่ี หี่ งุ หาขาวหรือประกอบ อาหาร ซง่ึ กะเหรย่ี งมีความเคารพนับถือเสมือนหน่งึ เป็น “เจาแมเตาไฟ” เพราะสามารถและทําใหพวก เขามีการกนิ ท่ีอิม่ เอม มารยาททางสังคม : การทักทาย กะเหรี่ยงโปทั้งพื้นท่ีราบและบนภูเขามีมารยาทที่ดีตอการ ทักทายปราศรัย ถือกันวาเป็นสิ่งที่ดีและปกติ รวมไปถึงบุคคลอ่ืน ๆ อีกดวย ไมวาจะพบกันท่ีบาน ในหมูบ าน กลางดง กลางปุา กลางดอย เมื่อเหน็ หรอื สวนทางกนั จะตองทักทายซงึ่ กนั และกัน และถึงแม จะไมรูจักกันก็ตองทักและพูดคุยกัน หากไมพูดจาหรือทักทายกันแลว กะเหรี่ยงถือวาเป็นการ “เสียมารยาทอยางแรง” การอําลา จากการทไ่ี ดพบกันกจ็ ะตองทักทายซึง่ กันและกันแลว เมื่อมีการจาก กนั กจ็ ะตอ งมกี ารกลา ว “อําลา” บางครั้งผูท่จี ะจากไปเป็นผูกลาวคําอําลา และบางคร้ังผูอยูซึ่งมิไดจาก ไปก็จะเปน็ ผกู ลา วคําอําลาข้นึ กอ นก็ได กบั ผูท ่จี ะจากไป การรบั ประทานอาหาร ถือเป็นมารยาทท่ีดีและ นายกยอ ง ถาหากเจอหนา กันในขณะที่เจาของบานกาํ ลังทานอาหารอยู หากมีแขกหรือเพ่ือนบานข้ึนไป บนบา นกจ็ ะถกู เชิญใหร ว มรับประทานอาหารดวย ซึ่งผถู ูกเชิญน้ันถาหาก “มีมารยาท” ตามธรรมเนียม ที่นิยมก็ควรท่ีจะรวมรับประทานอาหารกับพวกเขาอยางนอยซัก ๔ - ๕ คํา นอกเสียทานอ่ิมจริง ๆ “การด่ืมเหลา” ในสังคมกะเหร่ียงโป (ยกเวนกะเหร่ียงเช้ือสายไทยที่นับถือพุทธศาสนาที่ไมไดดื่มสุรา และของมึนเมา) ซึ่งแตล ะวนั แตละคนื นัน้ เกย่ี วของกับการดืม่ สุรามาก บางคร้ังจะด่ืมกันท้ัง ๓ วัน ๓ คืน และจากบานหนึ่งไปอีกบานหน่ึงเพื่อใหทั่วถึงทุกหลังคาดวย การเยี่ยมบาน หรือ “การเย่ียมเยียน” ซึ่งแตละบานแตละบุคคลถาหากวางจากงานหรือกิจวัตรประจําวันแลว ก็จะออกไปเย่ียมบานซึ่งกัน และกนั ไมว า จะคา่ํ มดื หรอื ดึกดื่นเพียงใด โดยเฉพาะหลังจากกินอาหารคํ่าเสร็จแลว แตการเยี่ยมเยียน ขึน้ บานใดบา นหนึ่งน้นั จําเปน็ อยางยง่ิ ที่จะตอ งระมดั ระวงั ในเรอ่ื งของ “เขตหวงหาม” การพูดจา ในสังคมกะเหรย่ี งจะนิยมพูดส่ิงที่ดีงามไพเราะ แตจะแฝงไวซ่ึงคําตลกโปกฮา พาให หัวเราะปราศจากความเกรงใจบอยครั้งท่ีจะผสมคําลามกเขาไป จะไมพูดสอเสียดหรือใหรายแกผูใด ไมพ ูดดาทอและเสยี งดงั ไมพ ดู โกหกและกลาวเท็จ หากจับไดวากระทําผิดก็อาจจะถูกลงโทษ หรือจะมี การบังคบั ใหด ืม่ นํา้ สาบานจะถูกตําหนแิ ละหรือทําโทษ หรือการปรับไหมจากกลุม อาวุโส ๗. การเขารวม พธิ ีกรรม สงั คมของกะเหรี่ยงหากมกี ิจกรรม ทุกคนจะตอ งมีสวนรวมเขาพิธีกรรมนั้น ๆ ซึ่งอาจจะมีสวน ในการรวมแรงงาน หรอื มีสว นในการรวมเงินทองหรือส่ิงของ ในการเขารวมพิธีกรรมนั้น ชายก็จะแยก ไปนั่งในกลมุ ของชาย และหญงิ ก็แยกนั่งตามกลุมหญิง เร่ืองบางเรื่องของพิธีกรรมอาจจะเป็นเรื่องของ กลุมชายเทา น้ัน เชน พิธศี พคนตาย ซง่ึ มแี ตช ายเทา นน้ั ท่ไี ปรว ม สวนหญิงจะไมไ ดรว มดวยเพราะเชื่อกัน วาอาจจะถูกผีรายหรือวิญญาณของผูตาย ทําราย พิธีกรรมบางอยางจะอนุญาตใหเฉพาะสมาชิกของ กลุมหรอื สายผเี ดียวกันเทานัน้ ข้อห้ามสาคัญ : ชูสาว สังคมกะเหรี่ยงโปนับวาเป็นเรื่องที่สําคัญมาก มีความเช่ือถือกันอยาง เครงครัด หากใครฝุาฝืนหรือกระทําความผิดเกิดข้ึนแลว จะตองมีการพิจารณาโทษถึงท่ีสุด เชน การ ปรบั ไหม การเล้ยี งผีเพอื่ การขอขมาลาโทษตอผเี จาท่ีเจาทาง ผีบรรพบุรุษ และเช่ือกันวาใครผูใดกระทํา ความผิดในเร่ืองชูสาว ถึงแมจะไมเห็นจับไมไดก็จริงแตผีบาน ผีเรือน ผีเจาที่เจาทางจะเห็น สังคม 102
กะเหร่ียงยังถอื ในเรื่องของ ผัวเดียว - เมียเดียว ๒. การเยี่ยมบาน หากยังไมไดทําพิธี ใครผูใดจะข้ึนมา พกั คางไมได แตจะออมชอมกันไดหากจําเป็นจริง ๆ และจะตองเป็นผูชายเทาน้ันที่จะขึ้นมาพักคางคืนได แขกที่จะมาพักคางคืนท่ีบานนี้ท่ีเป็นสามี – ภรรยา ไมควรอยางยิ่งที่จะรวมหลับนอนเสมือนหนึ่งเป็น บา นของตนเอง ในกรณีท่เี จาของบา นมพี ธิ ีเล้ยี งผีและสงิ่ ของตาง ๆ ไมวาจะเป็นของเจา ของบานเองหรือ จะเป็นส่ิงของแขกท่ีฝากไวในบานนั้น หากไมนําออกกอนท่ีเจาของบานจะเล้ียงผีแลว จะนําออกอีกที หลังพิธีเลยี้ งผเี สรจ็ เป็นเวลา ๓ วนั ๓ คืน รวมถึงบุคคลหรือสมาชิกในบานน้ีจะออกไปคางคืนภายนอก หมบู านไมไ ด ๓. สถานทีส่ าํ คญั ในชมุ ชนหรอื บานพัก หากเป็นกะเหร่ยี งพนื้ ราบท่อี ยใู กลก ับคนไทยก็จะมี ทีส่ ําหรบั เล้ยี งผปี ระจําหมบู า นโดยเรียกวา “ศาลผี” แตถาเป็นหมูบ านกะเหร่ียงทีน่ บั ถือพุทธศาสนาก็จะ มวี ัดซึ่งมีพระสงฆแแ ละพระพทุ ธรปู อยู นอกจากน้ันยงั มอี าณาเขตทเ่ี รยี กวา “เขตอภัยทาน” เป็นสถานที่ สําหรบั ชาวบานมาชุมนมุ แลวทาํ พธิ กี รรมตาง ๆ แตหากเปน็ กะเหรยี่ งโปบนภูเขา และเปน็ กลุม ท่ีนับถือผี สถานที่สําคัญ ๆ ไมคอยมี แตจะมีสถานท่ีท่ีหามเขาในขณะกําลังทําพิธีเลี้ยงผี ซึ่งจะรูเห็นไดโดยมี เคร่ืองหมาย “ตะแหลว” ปใกไวใหเ ห็นในท่ีเดน ชัด ค่านยิ มสาคญั : ไดแ ก ๑. การเกษตร กะเหร่ียงทกุ ทอ งทีไ่ มวา จะอยูทางภาคเหนือหรือใต และ บนภูเขาหรือพื้นราบ สิ่งสําคัญในเร่ืองของการเกษตรก็คือ “การปลูกขาว” มีทั้งการปลูกขาวนา และ ขาวไร และสง่ิ ทจี่ ะขาดมิไดคือ “การเกษตรเพื่อปากทอ ง” มากกวาทจี่ ะนาํ ไปขายเป็นเงินสด ความนิยม ในเรื่องของการเกษตรในชมุ ชนกะเหรีย่ ง ซึ่งนอกจากการปลกู ขาวแลว ยังมีการปลกู พรกิ ผักตา ง ๆ ไวใน ไรขาว โดยปลูกพรอมกันกับขาวไร ๒. การรักษาพยาบาล จากความคุนเคยในเรื่องของสภาพความ เปน็ อยูดง้ั เดมิ และความไมเ ชื่อเรื่องโรคภัยไขเจ็บ แตจะเชื่อในเรื่องของ “ผี” ซ่ึงจะเขามาทํารายบุคคล ใหเจ็บไขไ ดปุวย และแมแตอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก็จะโทษเรื่อง “ผีทํา” ท้ังสิ้น ถาเป็นกะเหรี่ยงทางภาคใต ก็จะเชื่อในเร่ืองของยาทันสมัย การฉีดยา และโรงพยาบาล แตถากลุมท่ีอยูบนภูเขามักจะกลาวว า “โรงพยาบาลน้ันเป็นสถานที่สําหรับผูที่จะไปตาย” ๓. การเซนไหวผี ซึ่งเป็นหนาที่และบทบาทของ “หมอผี” ชาวกะเหร่ียงโดยมากใหความสําคัญและเคารพเกรงกลัวตอสิ่งที่มองไมเห็นและสัมผัสไมได ไดแกเรื่องของภูตผีปีศาจ เร่ืองของเทวดาและผีปุา หรือแมแตผีเจาท่ี ๔. หลักการวางตัวใหเป็นท่ีนิยม ของชมุ ชน จะขึ้นอยูกับ “ตวั บคุ คล” บางคนมีความสามารถสงู แตบางคนไมสามารถทจ่ี ะทําได 103
๒.๗.๓ ลกั ษณะทางวฒั นธรรม ประเพณี คา่ นยิ ม ความเชือ่ ความเชื่อเกย่ี วกับผี ขวัญ และวิญญาณของกะเหรย่ี ง : กะเหรี่ยงถอื ผีเจาท่ีเจาทาง “ทิคาเฉคาง คงเฉ” เปน็ ผีทส่ี ําคัญทีส่ ุด พวกเขามีความเคารพนับถือตอผีตนน้ี ไมวาจะเป็นดิน หิน น้ํา ตนไม ไร นา เหมือง ฝาย หรือโลกเราน้ี ก็ตองมีผีเจาท่ีสิงอยู พวกเขาจะตองมีพิธีบวงสรวงตอผีเจาที่ปีละ ๒ ครั้ง เพือ่ ท่ีจะใหผเี จาที่ไดมาชวยสง เสรมิ ใหผลผลติ พชื ไรตาง ๆ เจริญงอกงามยิ่งขึ้น เชน พิธีอ้ังเลเขอะ มีขึ้น ระหวางฤดูฝนภายหลังการปลูกขาว พิธีเกซางขู หรือพิธีปีใหมภายหลังการเก็บเก่ียวขาว พิธีดังกลาว ทําข้ึนเพื่อปูองกันมิใหผีมีความขุนเคืองหรือโกรธ สวนเรื่องผูประกอบพิธีกรรมคือ หัวหนาหรือผูนํา ศาสนา เช่ือกนั วา เขาเทานัน้ ท่ีจะติดตอสื่อสารกับผี มีพิธีกรรมที่สําคัญอีก ๒ พิธี คือพิธีเปี้ยงเคอะ เป็น พิธเี ชิญผีตาง ๆใหม าชวยเหลือพชื ไรท ่ยี ังออนใหมีความเจริญเติบโต กับพิธีโก฿ะบือเร หรือการเรียกขวัญขาว ตอดวยผีประจําตระกูลหรือผีบรรพบุรุษของสายฝุายมารดา เช่ือวา ผีบรรพบุรุษจะสามารถปกปูอง คมุ ครองความเป็นอยขู องสมาชกิ ในสายฝุายน้นั ๆ ได อีกทง้ั ความเชื่อเกยี่ วกบั ขวญั หรอื เลของกะเหร่ียง เชอื่ วาทกุ คนมขี วญั ประจาํ ตัว ซง่ึ มที ั้งหมด ๓๓ ขวญั แตขวญั ที่สําคัญมี ๖ ขวัญ คือ ศีรษะ หู คอ ขอมือ ขวัญตาง ๆจะออกจากรางกายไดหากความตายเกิดข้ึนกับบุคคลผูนั้น เด็กที่เพิ่งคลอด เชื่อกันวาขวัญ ของรา งกายยงั มิไดเขามาอยจู ะเหน็ ไดว า เม่ือเด็กเกดิ บิดาของเด็กจะรีบทาํ พิธีเรียกขวญั ขอแตกตางที่ทําใหจําแนกระหวางกลุมสะกอ กับโปไดงาย คือภาษาพูด โดยโครงสราง ครอบครวั ชาวกะเหรยี่ งจะมีลักษณะครอบครัวเดี่ยวเปน็ สวนใหญ เมอ่ื ลูกชายแตง งานจะไปอาศัยอยูกับ พอแมข องฝุายภรรยาชวั่ ระยะหนึ่ง แลวจึงแยกครอบครัวออกมาอยใู นละแวกน้ัน การแตงงานจะเป็นไป ในระหวางเผาพันธแุเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน และอยูรวมชีวิตกันในระบบผัวเดียวเมียเดียว บานทุก หลังเป็นสมบัติของฝุายหญิง วิญญาณของบรรพบุรุษฝุายหญิงคอยปกปูองคุมครอง ในดานระบบ การศึกษา ชาวกะเหร่ียงทุกเผาจะไมมีภาษาเขียนเป็นของตนเอง โดยกลุมกะเหร่ียงท่ีอาศัยอยูในพมา เดมิ ทมี มี ชิ ชันนารคี นหนึ่งไดค ิดภาษาเขยี นของกะเหรี่ยง (หลิ - วา) ขึน้ โดยการดัดแปลงมาจากตัวอักษร พมา และนําภาษาเขียนเขามาสูอาณาจักรไทยตามการอพยพขามแดน ตอมาบาทหลวงคาทอลิกชื่อ Joseph Seguinotte ไดค ดิ ภาษากะเหรี่ยง (โรเหม) ข้ึน โดยเขียนตามอักษรโรมัน มีกะเหรี่ยงไมมากท่ี จะใชภ าษาเขียนน้ไี ด ในดานความเชื่อเร่ืองความตาย มีความเช่ือวาทุกสิ่งลวนกลับคืนสูธรรมชาติ ดังน้ันหมูและไก สําหรับผีของกะเหรี่ยงโป นับเป็นสัตวแเลี้ยงที่มีความหมาย ความสําคัญ และจําเป็นอยางย่ิงในสังคม กะเหร่ียงโป ทั้งน้ีเพราะจะตองใชเพื่อการสังเวยและทําพิธีกรรมตาง ๆ หากไมไดมีพิธีกรรมจะฆาหมู และไกเพื่อบริโภคไมได ไขไกก็จะไมนํามาบริโภคเหมือนกัน สําหรับพันธุแหมู – ไก เป็นพันธแุพื้นบาน ทงั้ หมด ไมนิยมนําหมู – ไก ทเี่ ปน็ สขี าวท้งั ตวั มาทําพธิ กี รรม ระบบการจดั การทรพั ยากร ดิน นา้ ปา่ : ในดา นศักยภาพในการจัดการทรัพยากร ดนิ – นํ้า – ปุา ของชาวกะเหร่ียง ขอมูลพ้ืนฐานของหมูบานท่ีศึกษา ๖ หมูบาน ในจังหวัดลําปาง ๔ หมูบาน ประกอบดว ย บา นแมหมีใน แมหมีนอก แมตเอมใน และแมตเอมนอก เป็นหมูบานขนาดเล็ก อยูในเขต ตําบลหัวเมือง อําเภอเมืองปาน สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของหมูบานท่ีศึกษา การปลูกขาวไรเพื่อการ บริโภคในครวั เรอื น มีครัวเรอื นสวนนอ ยในแตล ะหมูบานท่มี ที ่ีนาเปน็ ของตนเอง รายไดท เ่ี ป็นเงินสดสวน ใหญไดจากการขายของปุา ขายสัตวแเล้ียงและออกรับจางแรงงาน ความเชื่อทางศาสนา ถึงแมจะมี ชาวบานบางสวนหันมานับถือศาสนาคริสตแแตความเช่ือในจิตวิญญาณและสิ่งศักด์ิสิทธ์ิยังมีอิทธิพลตอ 104
ชีวิตของคนในชุมชนอยูมาก การจัดจําแนกประเภททรัพยากรดิน - น้ํา – ปุา ตามประเพณีของชาว กะเหร่ียง โดยจารตี ประเพณีของชาวกะเหร่ยี ง ปาุ กบั การทาํ กินเป็นเรอื่ งผูกพันมาโดยตลอด ชาวกะเหรีย่ ง ไดจัดจําแนกประเภทปุาตามลักษณะการใชประโยชนแ ๑. ปุาใชสอยรอบหมูบาน ๒. ปุาชา ๓. ปุาฟน้ื ตัวจากไร ๔. ปุาหวั นา เป็นพื้นท่ีปุาเหนือผืนนา ๕. ปุาขุนหวย มักจะอยูสูงกวาและ หางไกลจากตัวหมูบาน และยังจําแนกประเภทปุาตามความเชื่อ ๑. ปุา ตะ เด โดะ เป็นปุาท่ีอยูใน ชองเขา ถือเป็นทางเดินของผี หามหักลางทํากิน แตสามารถหาอาหาร สมุนไพร และไมฟืนจากปุาได ๒. ปกา เด หม่นื เบอ เปน็ ปาุ ที่ข้ึนบนเนินลักษณแหลังเตา มีสายนํ้าไหลออมหรือลอมรอบ ถือวามีผีแรง หามการหาประโยชนแใด ๆ ท้ังส้ิน ๓. ปกา เซ มอปู เป็นปุาน้ําซับ มีตนไมใหญและมีน้ําขังตลอดปี ถอื เป็นที่อยขู องผีน้ํา หามกินน้าํ ในบริเวณน้ี ๔. ปกา ที หนา จวะ คี หรอื ปุาขุนหวย เชือ่ วามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สงิ สถติ อยู หามการตดั ฟในใชป ระโยชนแ ๕.ปกา ที เปุอ ถอ เป็นปุาที่มีน้ําซึมออกมาเป็นบริเวณ มีน้ําไหล ตลอดปี เชื่อวาเป็นท่ีอยูของผีน้ํา อาจตัดไมนําไปใชสอยได แตจะตองหางออกมาจากบริเวณนํ้าซับ ๙ - ๑๐ เมตร ๖. ปกา ปู ที เปุอ ถอ เปน็ ปาุ ทม่ี นี ้าํ ผุด เชือ่ กนั วา ผนี า้ํ ดุมาก หา มรบกวนเดด็ ขาด นอกจากจะมีกฎระเบียบที่ควบคุมโดยระบบความเช่ือแลว ชาวกะเหร่ียงยังมีความเช่ือในการ รักษาตน ไม โดยมขี อ หามการตัดทําลายไมประเภทตอ ไปนี้ ๑. ตนไมทถี่ ูกเลือกเป็นทแี่ ขวนสายสะดือเด็ก เกดิ ใหมแ ตละคน ๒. ตนไทรท่ีมขี นาดใหญ ๓. ตนไมท ่ใี ชแ บกหามคนตาย ๔. ตน ไมท่ีขึ้นเป็นคูใกลชิดกัน ๕. ตนไมท สี่ ว นปลายโนมตดิ กับอีกตนหนึ่ง ๖. ไมตนผ้ึง ที่มีรังผึ้งเกาะอยู ๗. ตนไมท่ีมีเถาวัลยแพันเกี่ยว ๘. ตน ไมท่ีขนึ้ บนจอมปลวก สวนของดนิ นอกจากการเลือกทําเลในการต้ังหมูบานแลว ยังใชดินในการ ทํานา ไรขาว สวนครวั รมิ บาน ในหมูบานชาวบา นสว นใหญป ลกู ขา วไรมากกวาขาวนา ทั้งนี้เนื่องมาจาก พน้ื ที่ท่สี ามารถเปิดเปน็ ท่ีนา มีระบบน้าํ เขาหลอเลี้ยงได มีไมมาก อีกทั้งการปลูกขาวไร หมายถึง การมี พืชผักอ่ืน ๆ อีกหลายสิบชนิดไวบริโภคดวยระบบการปลูกพืชแบบผสมในไรขาว ซึ่งไมสามารถจะทํา อยางเดยี วกนั ไดใ นนาขา ว ระบบการทําไรของชาวกระเหร่ยี งเปน็ การทําไรแ บบหมนุ เวยี นท่ีดิน 105
ความเชื่อในสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ : เป็นกฎหมายควบคุมการจัดการทรัพยากรการดํารงอยูของระบบ การจดั จําแนกและการจัดการทรัพยากรเหลาน้ี มีความเช่ือในส่ิงศักด์ิสิทธิ์เป็นตัวควบคุม ซ่ึงแสดงออก ในรูปของพธิ ีกรรมตา ง ๆ เชนปลูกขา วไรก ็พิธีกรรมท่ีเรียกรวม ๆ วา “บอคี” พิธีกินขาวใหม (เอาะ บือ ซอ) พิธีเรียกขวัญขา วขน้ึ ยงุ ซงึ่ เปน็ พธิ ีทีท่ ุกครัวเรือนจะตองกระทําท้ังส้ิน พิธีการเหลานี้สะทอนใหเห็น สายใยความมสัมพันธแระหวางมนุษยแกบั ธรรมชาติ ยงั มีพิธีกรรมที่แสดงออกถึงความสัมพันธแระหวางคน ในชุมชนดวยกนั คือพิธกี รรมท่ีถือเป็นวันขึ้นปีใหม เป็นการชุมนุมพบปะกันของคนท้ังชุมชน กอนท่ีจะ ลงมือทํากิจกรรมในรอบปีตอไป พิธีผูกขอมือของผูคนในหมูบาน จะเห็นวาพิธีกรรมเหลาน้ีตอกย้ํา ใหเห็นทัศนะที่วา มนุษยแกับธรรมชาติน้ันตองพ่ึงพิงกัน พลวัตของการทําไรแบบยายที่ตามจารีต ประเพณี คนโดยทั่วไปมักคิดวา ส่ิงท่ีเป็นกรอบความคิดและการปฏิบัติตามแบบจารีตประเพณีน้ันมี ลักษณะคงที่ ไมมกี ารเคลอ่ื นไหวเปลี่ยนแปลง กรณีตัวอยางของชาวกะเหร่ียงแสดงใหเราเห็นวา ถึงอยางไรก็ตาม ความเป็นจารีตประเพณี ก็ไมอยูนอกกฎเกณฑแของความเป็นพลวัตวาแทจริง การปฏิบัติตามจารีตก็ไดมีการปรับเปล่ียนตนเอง มาแลว ในอดีตจากคําบอกเลาของผูอาวุโสชาวกะเหร่ียง ในสมัยท่ีการปกครองยังอยูในมือเจาเมือง ตาง ๆ น้ัน ชาวกะเหรี่ยงนิยมอยูรวมกันเป็นชุมชนใหญ ภายใตการนําของ “ฮีโข” (หัวหนาบาน) กอนการเพาะปลูกในแตละปีนั้น ฮีโขจะเรียกประชุมลูกบานท้ังหมดเพ่ือกําหนดพ้ืนท่ีเพาะปลูกขาวไร ของปีนั้นวา จะทําในบริเวณฟากใดของภูเขา ตอมาเม่ือการปกครองถูกรวมศูนยแอํานาจของเจาเมือง ตาง ๆ เส่ือมโทรมลง โดยกลายเป็นอํานาจบริหารจากสวนกลาง สังคมกะเหรี่ยงไดเกิดการแตกแยก ออกเปน็ ๒ ฝาุ ย คือฝาุ ยที่ยนิ ดีจะปรบั ตวั เขา สรู ะบบอํานาจสวนกลาง และฝุายที่ตองการหลีกเล่ียงจาก อํานาจสวนกลาง ซงึ่ มผี ลทําใหเ กดิ การแตกตัวของชุมชนกะเหรี่ยงขนาดใหญ เป็นชุมชนเล็ก ๆ มากขึ้น กระจัดกระจายกันอยูลึกเขาไปในปุาเขา พรอมไปกับการเกิดโครงสรางชุมชนท่ีไมมีฮีโข โดยจะมีเพียง “คอทิ” หรือผูอาวุโสที่นับถือกัน ปกครองเฉพาะชุมชนยอย ๆ รูปแบบการใชที่ดินก็ถูกปรับเปล่ียน ตามไปดวย แตละครัวเรือนสามารถเลือกกําหนดพ้ืนที่ไรขาวในแตละปีของตนเองได โดยอาจจะยึด ตามรูปแบบการทําไรในบริเวณฟากดอยเดียวกัน รวมกับครัวเรือนอื่น ๆ หรือไมก็ได ถึงแมจะ ทาํ ใหด ูเหมอื นวา ท่ไี รเ ปน็ ทรัพยสแ นิ สว นตัว แตก ็ยังคงยดึ ถอื ธรรมเนยี มทเี่ ปดิ ใหมีการเจรจาขอใชที่ดินกันได หากผูใดเคยทําอยูกอนใหความยินยอม ดังน้ันลักษณะของการเป็นสมบัติกึ่งสวนตัว – ก่ึงสวนรวมนี้ ก็ยังคงอยูในการใชท่ีดินเพาะปลูกขาวไรรูปแบบนี้ จะพบเห็นในหมูบานขนาดเล็กเทานั้น ลักษณะ ก่ึงสวนตัว – กึ่งสวนรวมน้ี จะเก่ียวของกับทรัพยากร ดิน – น้ํา – ปุา โดยตลอดพ้ืนที่ปลูกสรางบาน หรือ “ตาโร” สวนริมบานนั้นถูกพิจารณาวาเป็นของสวนตัวตราบเทาที่ผูครอบครองยังอยูและยังใช ประโยชนแอยู แตเมื่อใดที่บานหลังนั้นยายไป พื้นที่บริเวณน้ันก็จะตกเป็นของสวนรวมที่ครอบครัวอ่ืน สามารถใชได สําหรับทนี่ า ถือวาการบกุ เบกิ ใชเ วลาเนนิ่ นานและเปลืองแรงงาน รวมทั้งการจัดทําระบบ เหมืองฝายนําน้ําเขานา จึงทําใหที่นาไดรับการพิจารณาวาเป็นทรัพยแสินสวนตัวถาวรที่ตกทอด สลู กู หลานได การทอผ้ากี่เอว : หน่ีคิ – มัดหมี่กะเหร่ียงเป็นการนําเสนอถึงกระบวนการมัดหมี่ ลักษณะ ลวดลายและการใชลวดลายมัดหมข่ี องกลมุ ชนชาวกะเหรย่ี ง ซง่ึ เปน็ ชาวเขาเผาหน่ึงของประเทศไทยที่มี ถิ่นฐานเดิมอยูในพมา และอพยพเขามาสูประเทศไทยประมาณ ๔๐๐ ปีมาแลว กะเหร่ียง ชนเผา อนุรักษแการถักทอ ซ่ึงปรากฏเดนชัดทางวัฒนธรรมการแตงกายมีเพียง ๒ กลุมคือ กลุมสะกอ และ 106
กลุมโป ความแตกตางของกะเหรี่ยง ๒ กลุมน้ีสังเกตไดจากการแตงกายซึ่งปรากฏใหเห็นอยางชัดเจน จากการใชส แี ละลวดลายตกแตง แตด านรูปแบบ พ้ืนฐานเครื่องแตงกายของท้ัง ๒ กลุม ยังคงเป็นแบบ เดียวกัน คือใชผาหนาแคบเย็บประกอบเป็นเครื่องนุงหม โดยไมมีการตัดใหโคงเวา การแตงกายตาม จารีตเป็นสาเหตุหนึ่งที่เอ้ืออํานวยใหกะเหร่ียงยังคงทอผาข้ึนใชเองในสังคม ในขณะท่ีชาวเขาเผาอื่น เรม่ิ นําผาทอสาํ เรจ็ รูปมาตัดเยบ็ แทนการทอข้ึนใชเอง ทําใหคนรุนหลงั ทอผา ไมเป็นและไมรูจักการทอผา ตามวิถีด้ังเดิม ผามัดหมี่ของกะเหร่ียง กลุมสะกอ และโป เรียกดายท่ีมัดยอมวา ลูคิ หรือ หล่ือคิ และ เรียกผาซิ่นที่ทอสลับลวดลายมันหม่ีวา หน่ีคิ หรือนิไค ฉะน้ันจึงปรากฏวา ลวดลายมัดหมี่ที่ใชในกลุม กะเหรย่ี ง จะใชเพยี งประกอบในผนื ผาซิ่นของหญงิ แตงงานแลว เทา นัน้ กลุมสะกอนยิ มใชล วดลายมัดหมี่ ตกแตงผาซิ่นมากกวากระเหรย่ี งโป ท่นี ิยมใชมดั หมี่ทมี่ สี ีตดั กบั สพี ืน้ ของผาซิ่นแทรกสลับเป็นริ้ว ๆ ความ กวางของแตละร้ิวมขี นาดเลก็ กวาในกลมุ สะกอ สีที่ใชมีสีดํา และน้ําเงินหรือคราม ในสมัยกอน “หนี่คิ” เป็นผาถุงท่ีหญิงแมเรือนทุกคนตองมีไวครอบครอง โดยผืนที่สวยที่สุดและเป็นผืนแรกที่จะมีโอกาส สวมใส คอื ผาซิ่นทีใ่ ชใ นพิธีแตง งานเป็นชุดกบั เสือ้ ดาํ ปกใ ลูกเดือยลายโบราณ และผาโพกหัวสีขาว ทอลาย ท่ีเชิงสองดานอยางงดงาม หลังเสร็จพิธี ชุดนี้จะเก็บรักษาไวในหอผาสีดําผูกดวยตอก และใสไวกน ตะกราทรงสูงเสมอื นตเู สอ้ื ผา โดยจะไมนาํ มาสวมใสอ กี และจะถือวาส่ิงน้ีคือมรดกท่ีจะมอบใหลูกหลาน ตอไป (ซึ่งลูกหลานก็มักจะนําชุดน้ีมอบกลับคืนเจาของเมื่อเวลาตาย ใหนําไปใชในโลกหนา) สําหรับ จงั หวดั ลาํ ปางลวดลายลายพ้นื ฐานของการมดั หม่ีของกะเหรย่ี ง มีเพียง ๔ ลายเทาน้ัน คือ ๑. ลาดคดไป คดมา เป็นลวดลายท่ีตอเนื่องไปไดเร่ือยๆ ๒. ลายวงตา ลักษณะคลายลายสี่เหล่ียมขนมเปียกปูน ๓. ลายปากนอก มลี กั ษณะเหมอื นลายหยกั ฟในปลา ๔. ลายปกี ผีเสือ้ การแต่งกาย: ที่เป็นเอกลักษณแมักเห็นไดจากการแตงกายของผูหญิง สวนผูชายจะสวมเสื้อ สีแดงส่ือถึงลักษณะของความเป็นชาย สวมเสื้อทรงกระสอบ คอเสื้อเป็นรูปตัววีตรง ชายเสื้อจะติดพู หอ ยลงมา เส้อื สแี ดงของชายโสดจะมีพูหอ ยยาวลงมาเลยชายเส้อื สวนเสอื้ แดงของชายทแี่ ตง งานแลวจะ ติดพูหอยลงมาเสมอชายเสื้อ ผูชายกะเหรี่ยงจะสวมกางเกงแบบคนไทยภาคเหนือ หรือสวมโสรงแบบ พมา นอกจากเสื้อแลว ผูชายกะเหร่ียงยังใชผาโพกศีรษะซึ่งมีลวดลายปีกสีแดงและมีถุงยามท่ีออกสีแดง ผูหญิงกะเหร่ียงสะกอที่ยังไมไดแตงงานจะใสชุดทอดวยมือทรงกระสอบสีขาว ยาวกรอมเทาและมีผา โพกศีรษะ สวนผูหญิงกะเหรี่ยงท่ีแตงงานแลวจะสวมเสื้อทรงกระสอบ ตัวสั้นเลยเอว คอเป็นรูปตัววี แขนในตัว ส้ันเลยไหล ประดับประดาดวยลูกเดือยและฝูายสี การประดิษฐแลวดลายและการใชสีสัน ตาง ๆ และสวมผาซิ่น หญิงท่ีแตงงานแลว จะตอ งสวมเส้อื ที่มีลายปใกลกู เดอื ยเชอื่ กนั วาถาไมมีจะทําใหไม มีลูก และเชื่อกนั วาจะกนั ผีได แตกะเหรีย่ งสะกอท่นี ับถอื คริสตแจะไมป ใกลูกเดอื ยและจะทําลวดลายลงไป ในเสือ้ เลย สว นผา ซ่ินหญิงกะเหรยี่ งที่แตง งานแลวและนับถือผีจะใสผาซ่ินท่ีมีลายกี่ สวนหญิงที่แตงงาน แลว และนับถือคริตสแจะไมมีลายก่ี ลวดลายของผาซ่ินแสดงถึงความขยันหมั่นเพียรของผูทํา การยอม สีผา ใชวัสดุธรรมชาติ ไดแก เปลือกไมสัก ไมแดง ไมประดู สวนตนไมที่ใชยอมสีเป็นตนเล็ก ๆ ไดแก ตน คราม ตนแสดหรือเงาะปุา การยอมสีของลายกี่จะตองไปเอาตนไมชนิดหนึ่งในปุาซ่ึงมีสีอยางลายก่ี เวลาไปเอาจะตองไมบอกใคร เพราะจะทําใหย อ มไมตดิ 107
การตั้งถ่ินฐานและบ้านเรือน : กะเหรี่ยงในแถบภาคเหนือและภาคตะวันออก ตั้งถ่ินฐานอยู ตามหุบเขาท่ีมลี าํ ธารเล็ก ๆ ไหลผาน ในขณะท่ีชาวไทยภูเขากลุมอื่น ๆ เชน มง อาขา เขา ลีซอ มูเซอ ตงั้ ถ่นิ ฐานอยูบ นเนนิ เขา บา นกะเหรี่ยง สรา งดวยวสั ดุที่หาไดจากในทองถ่ิน สวนมากใชเสาไมและใชไม ไผซง่ึ สบั และตีแผเ ปน็ ฟากมาทาํ พื้นบา นและฝาบา น หลังคามงุ ดวยหญาคาแหงเยบ็ หรอื มุงดวยใบตองตึง สรางแบบยกพื้น มีหองเดียวเป็นหองอเนกประสงคแ กลางหองมีเตาไฟสรางอยูบนกระบะดิน เหนือ กระบะดนิ จะสรางช้นั วางของ ช้ันลา งสดุ วางกระดงขาวเปลือก ช้นั เหนือขึ้นไปใชวางเครื่องปรุงหรืออาจ วางหมอ ขาวหมอแกง อาชีพและความเป็นอยู อาชีพหลัก คือปลูกขาวในนาดําแบบขั้นบันได และในไร ขา วและไรหมุนเวยี น อาชพี รอง คอื การหาของปาุ รับจางท่วั ไป การทอเสือ้ ทอยามขายเป็นรายไดเสริม อาหารกะเหรี่ยง คือ ขาวกับพริกและเกลือ นิยมบริโภคอาหารเผ็ด สวนพืชผักและเนื้อสัตวแที่นํามา บริโภคจะขึ้นอยูกับฤดูกาล ขาวกะเหร่ียงนิยมบริโภคขาวเจาซึ่งมีเมล็ดอวนกลม มีอยู ๒ ชนิด คือ ชนิดเมล็ดสขี าวและชนิดเมล็ดสีแดง กับขาวหลัก คือ นํ้าพริกและแกง อาหารพิเศษจากธรรมชาติ เชน เห็น สาหรา ย ตะไครน ้ํา แมงดา ผง้ึ ฯลฯ ของหวาน กะเหร่ียงไมมขี องหวานทก่ี ินหลังอาหาร แตม ีขนมที่ ทาํ กนิ ในงานเลยี้ งหรอื พธิ ีกรรม เชน ขาวปุก 108
๒.๘ กลุม่ ชาติพันธม์ุ ้งในจงั หวัดลาปาง ๒.๘.๑ ประวตั ิศาสตรค์ วามเปน็ มาของกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ และการเคลอื่ นย้าย มง Hmong เป็นกลุมชาติพันธุแในภูเขาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต และมีประวัติศาสตรแอัน ยาวนาน ชาวมงอพยพลงมาทางใตตั้งแตศตวรรษท่ี ๑๘ เน่ืองจากสถานการณแที่ไมสงบทางการเมือง และหาพ้นื ทท่ี เ่ี หมาะสมกับการเพาะปลูก ปใจจุบันมีชาวมงอาศัยอยูในประเทศจีน ไทย เวียดนาม ลาว และสหรัฐอเมริกา โดยชมุ ชนชาวมง ทใ่ี หญท สี่ ดุ ในประเทศไทยอยทู ีต่ ําบลเขก็ นอย อําเภอเขาคอ จังหวัด เพชรบูรณแ สําหรับในประเทศไทยคําวา “แมว” เป็นคําเรียกท่ีไมสุภาพในการเรียกกลุมคนมง ชาวมง โดยสวนใหญไมชอบใหเรียกวาแมว โดยถือวาเป็นการดูถูกเหยียดหยาม ระหวาง สงครามอินโดจีน ครงั้ ท่หี น่งึ และสงครามอินโดจนี ครั้งท่ีสอง ชาวมงในลาวไดตอสูขบวนการปะเทดลาว ชาวมงหลายคน อพยพมาประเทศไทย และชาติตะวันตก ดร.ลิ ติ่ง กุย (Dr.Li Ting Gui) อางโดยเลอภพ (๒๕๓๖) ได สรปุ วา การอพยพครัง้ ใหญ ๆ ในอดีตของชนชาตมิ ง ตัง้ แตอดีตจนถึงปจใ จบุ ันมีอยูท งั้ ส้นิ ๔ ครงั้ ดว ยกันคือ คร้ังท่ี ๑ อพยพออกจากบริเวณทางใตของสองฝใ่งแมนํ้าเหลืองหรือแมนํ้าฮวงโห (Southern Poition of the Yellow River) ราว ๆ ๕,๐๐๐ ปีทผ่ี านมา มงไดอ าศัยอยูบริเวณ ๒ ฝ่ใงทางตอนใตของ แมนํา้ เหลือง ในขณะนัน้ มงมชี ่อื เรียกวา จูล่ี (Tyuj Liv) เป็นชนกลุมแรกท่ีรูจักใชทองสัมฤทธิ์ (Brouze) รูจกั ปลกู ขาว และการเล้ยี งปลาในนาขา ว ประชากรทุกคนมีความผาสุขภายใตการปกครองของกษัตริยแ “ชิยู” (Chiyou) ในขณะเดียวกันไดมีชนกลุมหนึ่งคือ “ชาวฮั่น” (Huaj) ไดอพยพจากทางทิศตะวันตก เขามาอยูในบริเวณของชนชาติจูลี่ ผูนําของชนกลุมฮั่นคือ ฮ่ันหยา (Hran Yuan) ท้ังสองกลุมน้ีอยู ดวยกันไมนานเกิดความขัดแยงกันจนถึงขั้นสูรบกัน ผลสุดทายชนชาติจูล่ีพายแพแกชนชาติฮั่น ท้ังนี้ เพราะชนชาติฮ่ันมีประชากรเยอะกวา ในขณะที่ชนชาติจูล่ีเป็นเกษตรกร ชาวไร ชาวนา จึงไดถอยรน ลงมาทางใตใ กลก บั แมน ้าํ แยงซี (Tangrse River) ครั้งที่ ๒ อพยพออกจากบริเวณปกครองมง (San Miao) หลังจากที่ชาวจูล่ีไดอพยพลงมาทาง ตอนใต ไดม กี ารรวมกบั ชนพ้ืนเมือง “ซานเมียว” (San Miao) ข้ึน ชาวมงและชนพื้นเมืองมีความรักใคร อยางแนนแฟูน ชาวมงจึงเรียกกลุมนี้วา “จีน” (Suay) แตกลุมฮั่นยังคงติดตามมารุกรานคอยทําราย ฆาฟนใ ชาวมง หรือจลู อี่ ยเู รอื่ ยๆ ชาวมงจงึ ไดแตกออกเป็น ๓ กลุม หนีลงทางใต ในปใจจุบันนี้คือ มณฑล กวางสี (Guang – ti) มณฑลกวางโจและมณฑลยูนาน (Yunnan) อกี สวนหน่ึงหนีรนลงมาทางตะวันตก 109
มุงหนาไปยังซานเหวย (San Wei) ซ่ึงกลับกับประเทศมองโกเลีย และตอนหลังก็ไดอพยพลงมาอยูใน มณฑลยูนาน (Yunnan) ครั้งที่ ๓ อพยพออกจากการปกครองของกษัตริยแจู (Chou Kingdom/Chou State) ประมาณ ๑,๐๐๐ ปกี อนคริสตกาลประชาชน ไดแก กลมุ ชน ๗ กลุม ซึ่งแยกตัวเองออกเป็นประเทศปกครองและ ในจํานวน ๑ ใน ๗ ประเทศเหลานั้น มีมงเป็นประเทศหนึ่ง มีกษัตริยแชื่อวา “จู” ซึ่งมีอยูสองคนใน ตระกูลซังหรอื แซโ ซง คนท่หี น่ึงช่ือ “ชงย่ี” คนทส่ี องชอ่ื “ซงจี” ปี ค.ศ. ๒๒๑ ไดม ชี นกลุมชิน (Chin) ได เขา มาตอ สแู ยงชงิ ประเทศของกษตั ริยจแ จู นพายแพ ชาวมงไดแตกระส่าํ ระสายไปตามที่ตา ง ๆ มีกลุมหน่ึง ลกุ ข้ึนตอ สู อกี กลมุ หนึง่ ถอยรน ลงไปอยูกบั กลมุ มง ในมณฑลกวางโจ เสฉวน และมณฑลยูนาน ตอมาใน ปี ค.ศ. ๑๖๔๐ – ๑๙๑๙ ไดมีชาวมงกลุมหนึ่งอพยพลงมาอยูในกลุมประเทศอินโดจีน (Indochina) ทางตอนใตของจีนซง่ึ ก็ไดแกกลมุ ประเทศเวยี ดนาม ลาว และไทย ครัง้ ที่ ๔ ค.ศ. ๑๙๗๐ – ๑๙๗๕ การอพยพออกจากประเทศลาว ระบบการปกครองคอมมิวนิสตแ ไดแผขยายสูกลุมประเทศอินโดจีน ทําใหกลุมมงในลาวตองแตกกระจายไปท่ัวโลก การอพยพของ ชนชาตมิ งในครง้ั น้ีนับไดวามากทส่ี ุดและอพยพไปไกลทีส่ ุดเทาที่เคยมีมาในประวัติศาสตรแของชนชาติมง ชาวมงมากมายไดอพยพยายไปอาศัยอยูในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา อารแเจนตินา ฝรงั่ เศส และอิตาลี สําหรับการอพยพเขาสูประเทศไทย ชนชาติมงกลุมแรกที่อพยพเขาสูประเทศไทยน้ันไมมี หลักฐานใด ๆ บงชี้ไดชัดเจน แตจากเอกสารของสถาบันวิจัยชาวเขาคาดวาเริ่มตนอพยพเขามาทาง ตอนเหนือของประเทศไทย ในราวปี พ.ศ. ๒๓๘๗ – ๒๔๑๗ จุดที่ชนเผามงเขามามีอยูดวยกัน ๓ จุด คือ เขามาทางหว ยทราย – เชยี งของ อําเภอ เชียงของ จงั หวดั เชียงราย ซงึ่ อยูทางทิศเหนือสุด เป็นจุดท่ี เขามากอ น และเขามามากท่ีสุด หลังจากน้ันแยกยายกระจัดกระจายไปตามแนวทางของเสนเขามุงไป ทางทิศตะวันตกสูจังหวัดเชียงใหม แมฮองสอน ตากและสุโขทัย เขามาทางไชยบุรี ปใว และทุงชาง เขตอําเภอทุงชาง จังหวัดนาน แลวบางกลุมไดอพยพลงสูทางใตและทางตะวันตกเขาสูจังหวัดแพร พษิ ณโุ ลก เพชรบรู ณแ กาํ แพงเพชร และจงั หวัดตาก เขาทางภูคา – นาแหว และดานซาย อําเภอนาแหว และอําเภอดานซา ย จงั หวัดเลย แลวบางกลุม ไดเขา มาสูจังหวดั เพชรบูรณแในท่ีสุด (สุนทรี, ๒๕๒๔ : อาง โดยประสิทธ์ิ, ๒๕๓๑) นอกจากท้ังสามจุดน้ีแลว จุดหน่ึงที่ชาวมงไดอพยพผานมาแตไมมีใครกลาวถึง คอื เขา มาทางอาํ เภอฝาง จังหวัดเชียงใหม โดยผา นมาทางประเทศพมา ชองดอยอางขาง ซึ่งเป็นที่กลาว ขานกนั วามงกลุมน้คี อื กลุมทหี่ ลงทางจากการอพยพจากจดุ ท่ีหนง่ึ ๒.๘.๒ ลกั ษณะโครงสรา้ งทางสังคม ระบบครอบครัวและเครือญาติ มงมีสองกลุมใหญ ๆ ดวยกัน คือ มงเดอ (มงขาว) และมงจ้ัว (มงดํา หรอื มง น้าํ เงิน) มีการจดั ระบบเครือญาตติ ามตระกลู แซ ซ่งึ ตระกลู แซข องชาวมงในประเทศไทยมี ดวยกันมากกวา ๑๓ ตระกูลแซ เชน แซยาง แซลี แซสง แซทอ แซเฮอ แซวาง แซฟุา แซมัว แซหัน แซคัง แซเลา แซวือ แซจ฿ะ ฯลฯ ในแตละตระกูลแซจะมีผูนําตระกูลแซเป็นหลัก จะไมมีการแตงงาน ในตระกูลแซเดียวกัน เม่ือมีงานหรือกิจกรรมทางประเพณีวัฒนธรรมสมาชิกในตระกูลแซทุกคนจะมา ชวยเหลอื รวมไมรว มมอื กัน ปจใ จบุ ันแตล ะตระกลู แซม ีการจัดตั้งกองทุนเพ่ือชวยเหลือสมาชิกในตระกูลแซ ดวยกันเกอื บทุกตระกลู แซ 110
คาํ วา “แสน” ในสังคมแมวแสดงถึงความเป็นญาติ แมวถือวาคนท่ีเป็นสมาชิกหรืออยูในแสน เดยี วกันนบั ถอื ผีเรือนขางพอรวมกันเป็นญาติกัน แมวเรียกญาติพี่นองขางพอวา “กือตี้” ถือวาเป็นคน ในแสนเดียวกัน สวนญาติพ่ีนองขางแมเรียกวา “เหนงจัง” เป็นคนในแสนอื่น ทั้งน้ีในแตละแสนจะมี กลมุ ผูอาวโุ สเรยี กวา “นาจือเหวาฮูเจ” ดูแลสมาชิกในแสน สําหรับครอบครัวหนึ่งๆจะมีผูชายที่อาวุโส สุดเป็นเป็นผูนําครอบครัว บุตรชายที่แตงงานแลวจะอยูเรือนพอแมจนเมื่อพอแมเสียชีวิต บุตรชาย คนรองจึงจะแยกครอบครวั ไปปลกู เรือนของตน สวนบตุ รชายคนโตจะอยูเ รอื นเดิมของพอ แม การแต่งงาน : ชาวมงหามคนในแสนเดียวกันแตงงานกัน ผูชายมงมีภรรยาไดหลายคนซ่ึง ภรรยาทุกคนมีฐานะเทากัน พอฝุายชายจะเจรจาสูขอและตกลงคาสินสอดกับพอฝายผูหญิง เมื่อตกลง กันไดจึงจัดพิธีแตง การแตงงานจะสมบูรณแเม่ือฝุายชายจายคาสินสอดใหพอแมฝุายหญิงพรอมทั้งทํา พิธีกรรมตามประเพณี นอกจากการสูขอแลว การลักพาผูหญิงหนีไปแลวพากันกลับมาขอขมาและจาย คาสินสอดใหฝุายหญิงก็เป็นประเพณีการแตงงานอีกแบบหน่ึงที่ปฏิบัติในสังคมแมว หลังแตงงานฝุาย ชายจะพาภรรยาไปอยูเรือนพอแมของตน ผูชายจะหยารางกับภรรยาไดในกรณีท่ีภรรยาเกียจคราน ไมเ ชื่อฟใงสามี และในกรณีทจ่ี บั ไดวาภรรยามชี ู การแบง่ มรดก : ในกรณที ีผ่ ชู ายมีภรรยาคนเดียว ทรัพยแสมบัติท้ังหมดตกเป็นของภรรยา และ ลูกสาวทย่ี งั ไมแตงงานและลูกชายทกุ คนตองอยูกับมารดาตอไปยังแยกเรือนไมได ตอมาเมื่อมารดาตาย ทรพั ยแสมบัตจิ ะแบง ใหบตุ รคนละเทา ๆ กนั ยกเวน ลกู สาวท่แี ตง งานแลว ไมมีสิทธิในมรดก แตถาคูสมรส ไมม บี ุตร ทรัพยสแ มบัติจะตกเป็นของพนี่ อ งรว มบิดามารดาเดยี วกบั ฝาุ ยชาย โดยแบง คนละเทา ๆ กัน ใน กรณีที่ผูชายมีภรรยาหลายคน ทรัพยแสมบัติจะแบงใหภรรยาทุกคนเทา ๆ กัน ถาภรรยาคนใดเสียชีวิต กอนสามี บุตรของภรรยาคนน้ันจะมีสิทธิในทรัพยแสินสวนของมารดาตน และในครอบครัวที่มีภรรยา หลายคน เม่ือหัวหนาครอบครัวเสียชีวิต ภรรยาแตละคนจะพาบุตรคนแรกไปต้ังเรือนใหม สวนเรือน หลงั เดมิ เป็นของมารดาของบุตรชายทม่ี ีอายสุ ูงสดุ โครงสร้างการปกครอง การจัดการและแกไขปญใ หาในชุมชนมง เม่ือมขี อ พิพาทเกิดข้ึนระหวาง สมาชิกในชุมชน แตละฝุายจะหาตัวแทนจากตระกูลแซของตนซ่ึงเป็นผูที่สมาชิกในตระกูลแซเดียวกัน ใหความเคารพนับถือยําเกรงเพ่ือไปเจรจาและไกลเกล่ียขอพิพาท ณ ที่บานของบุคคลท่ีท้ังสองฝุายให การยอมรบั หรอื ที่บานผูใหญบ าน เพอื่ แกไ ขปใญหาขอพิพาท ระบบการพิจารณาและตัดสินของมงเป็น ระบบจารีตประเพณี ไมมีตวั อกั ษร ดังน้ันจงึ ตอ งพิจารณาจากกรณีท่ีเคยเกิดข้ึนมากอนเป็นบรรทัดฐาน และมีการใชค นนอก (แซอ่ืน) มาชวยตรวจสอบขอมูลและบรรดาพยานหลักฐานท่ีแตละฝุายอางขึ้นมา บางกรณคี นนอกเหลานกี้ ็มีบทบาทสงู ในการชี้ขาดวา ใครผดิ ใครถกู กระบวนการพจิ ารณาเม่ือเร่ิมข้ึนแลว ตอ งดําเนินการตอเนื่องเร่อื ยไปจนกวา จะไดข อยตุ ิ บคุ คลสาํ คญั ไดแกผูนําทางการเมือง คือ หัวหนาหมูบาน ผูชวยหัวหนา คณะกรรมการประจํา หมบู า นและผูนําตามจารตี คอื ผนู าํ การอพยพ ผูอ าวโุ สของแตละแซสกุล หมอผี หมอคาถา และหมอยา สมุนไพร กลุมแซสกุลในระบบเครือญาติมง ชาวมงนับถือการสืบทอดจากทางฝุายบิดา สมาชิก ครอบครัวทุกรุนจะตองใชแ ซสกุลของบิดา ความสัมพันธแทางเครือญาติที่ใกลชิดกันของมง พิจารณาได จากศัพทแ ๓ คาํ คือ คนแซเดียวกนั ลูกพ่ีลกู นอ ง และนับถือผีสายเดียวกัน หัวหนาหมูบาน มีคําในภาษามงท่ีใชเรียกหัวหนาหมูบานคือ “โหลวยาว” ใชเรียกหัวหนา หมบู านที่ไดรบั เลอื กจากท่ปี ระชมุ ของหมูบานหรอื “จือเปูเสงชั่วเตอ” สวนอีกหนึ่งคําคือ “ต฿ุเฮาเหยา” 111
เป็น คําที่ใช เรี ยกผู นําหมูบาน ท่ีไ ดรับแต งต้ั งใหเป็นผูใหญ บานตามก ฎหมายลัก ษณะ ปก ครอ งท อง ท่ี พ.ศ. ๒๔๕๗ การเลอื ก “โหลวยา ว” หรอื “ตว้ั เหนง โหลว ” คอื ผอู าวโุ สคนหน่ึงเป็นประธานการประชุม ซึ่งมักจะเป็นผูอาวุโสในแสนที่มีสมาชิกมากที่สุดในหมูบาน ในการออกเสียงเลือกหัวหนาหมูบานน้ัน สมาชิกในแสนเดียวกันจะออกเสียงตามกลุมผูอาวุโสของแสน และโดยทั่ว ๆ ไป บุตรชายของหัวหนา หมบู า นคนกอนมักจะไดรับเลอื กเพราะหัวหนา คนกอนมกั มาจากแสนท่ีมีสมาชิกจาํ นวนมากของหมูบาน ในการปกครองหมูบ า น หัวหนา หมบู านจะมกี ลมุ ผูอ าวุโส หรือนาจือเหวาฮูเจเป็นที่ปรึกษา นาจือเหวาฮูเจ คือกลุมผูชายท่ีมีอายุสูงสุดของแตละแสน ทําหนาท่ีเป็นท่ีปรึกษาของหัวหนาหมูบาน มีอิทธิพลและ มีบทบาทสําคัญในการประชุมหมูบาน ทั้งยังทําหนาท่ีตัดสินกรณีความขัดแยงระหวางสมาชิกภายใน แสนของตนดวย การตัดสินขอพิพาทความขัดแยง แมวจะมีกลุมหรือคณะผูตัดสินตามกรณีท่ีเกิดเหตุการณแ กลาวคอื ในกรณีทเี่ ปน็ ขอพิพาทระหวางคนในแสนเดียวกัน การพิจารณาตดั สินความแยงเป็นหนาที่ของ “นาจือเหวาฮูเจ” หรือกลุมผูอาวุโสในแสน หัวหนาหมูบานจะไมเขามาเก่ียวของ แตถาเป็นขอพิพาท ขัดแยงระหวางคนตางแสน การตัดสินขอพิพาทเป็นหนาท่ีของ “โหลวตัวเหนงซาโปลว” หรือ คณะกรรมการตัดสิน ซึ่งมีหัวหนาหมูบานเป็นประธาน สวนกรรมการไดรับการแตงต้ังจากหัวหนา หมบู า น ซึง่ จะเป็นใครกไ็ ด ยกเวน คนในแสนเดยี วกับคูก รณี ปกติมักเป็น “ปใ้วกะโหลว” หรือผูเฒาผูแก ในหมูบาน และไมจํากัดจํานวนกรรมการ หรือคูกรณีจะเลือกกรรมการตัดสินเองก็ได โดยแตละฝุาย ตองเลือกจํานวนเทากัน และเลือกคนในแสนเดียวกับตนไมได แตสามารถเลือกคนในแสนเดียวกับ อีกฝุายหน่งึ ได ๒.๘.๓ วถิ ชี วี ิตความเปน็ อยู่ ความเชือ่ ประเพณีวฒั นธรรม การทามาหากิน อาชีพ : กลุมชาติพันธแุมงสวนใหญปลูกพืชเล้ียงสัตวแ ในอดีตมงปลูกฝ่ิน แตตอมามีโครงการปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่นในโครงการพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว ดังน้ันจึง เปลี่ยนมาปลูกพืชเมืองหนาว สวนพืชไรที่ปลูกไดแก ขาวโพด ขาวฟุาง มันเทศ ฝูาย กะหลํ่า ฟใกทอง และอ่ืนๆ สงขายใหแกโครงการหลวง บางสวนจะจะทําการคาขาย ทําเคร่ืองเงิน และทอผา ปใกผา เปน็ รายไดหลังจากการทําเกษตรกรรม ดังนั้นอาชีพของประชากรมงในลําปาง โดยเฉพาะท่ีเมืองปาน สว นใหญ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เชน ปลูกขาวโพด ทํานาขาว ขาวไร ปลูกพริก ปลูกผัก ทําสวน 112
ล้ินจ่ี กาแฟ พลับ และเล้ียงสัตวแ แตที่นาสนใจและถือเป็นรายไดหลัก ๆ ของประชากร ไดแก ปลูก กาแฟ มปี ระมาณ ๙๐% หรือประมาณ ๑๙๐ หลังคาเรือน ผกั ปลอดภัย ไดร บั การสนับสนนุ สงเสริมจาก โครงการหลวง มชี าวบาน ๓๐ ครวั เรือน หันมาปลกู ผกั เพ่ือสงขายโครงการหลวงเพ่ือเป็นรายไดเสริมอีก ชอ งทางหน่ึง ผาปใก ประชากรที่เป็นชนเผามง นิยมแตงกายดวยเสื้อผาลายปใกอยูแลว สมเด็จพระนาง เจา สริ ิกติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง ทรงสง เสรมิ ใหกลมุ แมบา นไปฝึกอบรมอาชีพ เพมิ่ เติมกบั ศนู ยศแ ลิ ปาชีพ และรบั ซือ้ ผาปใกท่ชี าวบานทํา การกนิ : ในอดตี นนั้ มงอาศยั อยตู ามภูเขาอยูต ามธรรมชาติ มงตองตรากตรําทํางานหนักอยูแต ในไรเทา นัน้ ทําใหมงไมม ีเวลาท่ีจะดแู ลตวั เองและครอบครัว ดังนั้นชีวิตความเป็นอยูของมงจึงเป็นแบบ เรียบงาย เพราะคลุกคลีกับธรรมชาติเป็นสวนใหญเทาน้ัน ชีวิตประจําวันของมงคือ จะทําไร ทําสวน และหารายไดเล็กนอยเพ่ือจุนเจือครอบครัว สวนเร่ืองอาหารก็จะเป็นเร่ืองเรียบงาย ในการกินอาหาร มงนิยมใชตะเกียบซึ่งรับมาจากธรรมเนียมจีน สวนเหลาจะนิยมด่ืมกันในงานเลี้ยง ตาง ๆ เชน งานแตงงาน งานเล้ียงญาติ อาจเป็นญาติของภรรยาท่ีมาเยี่ยม ฝุายญาติทางสามีจะตองรินแกวเหลา แจก ครั้งละ ๒ แกว โดยเช่อื กันวา จะทําใหค สู ามภี รรยาอยูดวยกันตลอดไป กอนจะด่ืมเหลาแตละคนจะ พูดวา “ผมจะด่ืมเพ่ือทุกคน” และจะตองควํ่าจอก หรือควํ่าแกวเมื่อหมดแลว มงจะนิยมดื่มเหลา ครงั้ เดยี วหมดแกว มีการดมื่ ซ้ําวนเวียนหลายครั้ง ผทู ี่มใิ ชน ักดมื่ ยอ มจะทนไมไ ด อาจขอใหบุคคลอื่นชวย ดื่มแทนก็ได เหลาจะทํากันเองในหมูบาน ซ่ึงทําจากขาวโพด ขาว หรือขาวสาลี มงใหเกียรติแกผูชาย เพราะฉะนั้นผูหญิงจึงรับประทานอาหารหลังผูชายเสมอ การประกอบอาหารของมงสวนใหญจะเป็น ในลกั ษณะการตม ทอด และมงยังมีความสามารถในการถนอมอาหาร ซึ่งในการถนอมอาหารสามารถ ถนอมไดหลายแบบ เชน การหมัก การดอง (ซึ่งปใจจุบันนี้ มงสวนใหญไมไดใชตะเกียบในการ รับประทานขาวแลว สวนใหญจะใชชอนมากกวา ซ่ึงเมืองไทยแทบจะไมพบมงที่ใชตะเกียบในการ ทานขา ว แตม งทป่ี ระเทศลาวยังคงใชตะเกียบในการรับประทานขา วอยู) ขนมแปูงดฺจั๋ว หรือ (น) หยัว : วิธีการทํา มงจะนําขาวเหนียวนึ่ง ท่ีนึ่งจนสุกนํามาเทท่ีรางไม ท่ขี ุดจากไมก วางประมาณหนงึ่ ฟุต ยาวสามฟุต แลวทุบดวยไมกระท่ังขาวเละเหนียว ตอมาก็จะปใ้นเป็น กอนกลมใหญกวา กาํ มอื แลว วางลงทใ่ี บตอง จากนนั้ ก็พับใบตองทับกอนแปงู จนแบน ขนมแปูงหากยังรอน ก็กินไดทันที บางคร้ังมงจะนําไปผิงไฟจนสุกหอมแปูงจะพองดูนากิน สวนบางคนจะเอาขนมแปูงดฺจั๋ว ใสนํา้ ตาลทราย น้ําออย หรือนมขน เวลากนิ เพ่อื เพ่ิมความอรอย ขนมแปงู เจา ของบา นจะใชเป็นของฝาก เมอ่ื มญี าตพิ น่ี อ งมาเยยี่ ม 113
การเล้ยี งอาหารแขกเหร่ือที่มารวมงานพิธีตฺจอผลี่ : เจาภาพจะจัดเลี้ยงแขกเหร่ือที่มารวมงาน และตอ นรบั อยางเตม็ ท่ี สวนญาตขิ องผูลว งลับท่ีคอนขา งมีอายกุ ็จะมาน่ังรวมรับประทานอาหารกับแขก ดวยเชนกัน สําหรับแทนพิธีท่ีตั้งอยูนอกตัวบานจะวางเหลาขาวโพดและอาหารท่ีปรุงดวยเนื้อหมู สวนถวยเหลาจะเหลือเฉพาะถวยกระเบ้ือง และถวยเหลาไมไผจะทิ้งหลังจากท่ีทําพิธีเชิญวิญญาณ เรียบรอยต้ังแตกอนเที่ยงวัน แขกท่ีมางานจะรวมดื่มเหลา พบปะพูดคุย ระหวางท่ีเล้ียงอาหารจะไมตี กลองหรือเปุาเคง สําหรับแขกที่เพิ่งมา กเาสึก็จะตอนรับดวยเหลาขาวโพด แลวใหแสดงความเคารพผู ลว งลบั เชนเดยี วกับพธิ ีในชว งเชา ศาสนา ความเชื่อ และพธิ ีกรรม ชาวมงมีการนับถือวิญญาณบรรพบุรุษ สิ่งศักด์ิสิทธิ์เก่ียวกับธรรมชาติส่ิงแวดลอมที่อยูบนฟูา ในลาํ น้าํ ประจาํ ตน ไม ภเู ขา ไรนา ฯลฯ ชาวมงจะตอ งเซน สังเวยสง่ิ ศักด์ิสิทธ์ิตาง ๆ เหลานี้ปีละคร้ัง โดย เชื่อวาพิธไี สยศาสตรแเหลาน้จี ะชว ยใหวนิ จิ ฉัยโรคไดถูกตองและทําการรักษาไดผล เพราะความเจ็บปุวย ทั้งหลาย ลวนแตเป็นผลมาจากการผิดผี ทําใหผีเดือดดาลมาแกแคนลงโทษใหเจ็บปุว ย จึงตองใชวิธี จดั การกับผใี หคนไขห ายจากโรค หากวา คนทรงเจารายงานวาคนไขท ่ลี ม ปุวยเพราะขวัญหนี ก็จะตองทํา พิธีเรียกขวัญกลับเขาสูรางของบุคคลน้ัน แตการท่ีจะเรียกขวัญกลับมานั้น จะตองมีพิธีกรรมในการ ปฏบิ ัติมากมาย บางคร้ังบางพิธกี รรมก็มีความยงุ ยากในการปฏิบตั ิ แตม งก็ไมยอทอตออุปสรรคเหลานั้น มง เชอื่ วาการทีม่ รี า งกายสมบรู ณแแ ข็งแรง โดยไมมโี รคภัยมาเบียดเบยี น นนั่ คอื ความสุขอนั ย่ิงใหญของมง ฉะน้นั มง จึงตองทาํ ทกุ อยา งเพ่อื เป็นการรักษาใหห ายจากโรคเหลา น้ัน ซงึ่ พธิ ีกรรมในการรักษาโรคของมง นน้ั มอี ยหู ลายแบบ ซึ่งแตละแบบก็รักษาโรคแตละโรคแตกตางกันออกไป การท่ีจะทําพิธีกรรมการรักษา ไดน้ันตอ งดูอาการของผปู ุวยวา อาการเป็นเชนไร แลวจงึ จะเลือกวธิ กี ารรักษาโดยวิธใี ดถงึ จะถูกตอ ง ความเช่ือเรื่องการทาผี หรือการลงผี (การอั๊วเน้ง) เป็นการรักษาอีกประเภทหนึ่งของมง การอั๊วเนง (การทําผีหรือลงผี) มีอยู ๓ ประเภท คือ การอ๊ัวเนงขอยชั๊วะ การอั๊วเนงเกรท่ัง และการ อัว๊ เนงไซใย ซ่งึ แตละอั๊วเนงมีความแตกตางกันออกไป การรักษาก็แตกตางกันไปดวย การจะอ๊ัวเนงได เมอื่ มีคนในครอบครวั เจบ็ ปุวยโดยไมรูสาเหตุ เป็นการรักษาอีกประเภทหน่ึง ดังนั้นมงมักจะนิยมอั๊วเนง เพอื่ การเรียกขวญั ท่ีหายไปหรือมผี ีพาไปใหกลบั คนื มาเทา นน้ั ซ่งึ มง เช่ือวาการเจ็บปุวยเกิดจากขวัญที่อยู ในตัวหายไป มวี ิธีการรักษาดงั น้ี เวลาอ๊ัวเนง หรือทาํ ผีน้ัน คนที่เป็นพอ หมอจะเริม่ ไปนั่งบนเกาอี้ แลวราย เวทยมแ นตแคาถาตาง ๆ พรอมกับติดตอสื่อสารกับผีแลวไปคล่ีคลายเรื่องราวตาง ๆ กับผี ถาคล่ีคลายได แลวจะมีการฆา หมู แตกอ นจะฆาหมูนน้ั จะตองใหคนไขไปนงั่ อยูขางหลงั พอหมอ แลวผูกขอมือ จากน้ัน นําหมูมาไวขางหลังคนไข แลวพอหมอจะสั่งใหฆาหมู การที่จะฆาหมูไดน้ันจะตองมีคนหน่ึ งซ่ึงเป็น ตวั แทนของพอหมอ และสามารถฟใงเรือ่ งราวของการอั๊วเนงได รูวา ตอนน้ีพอหมอตองการอะไร หรือสั่ง ใหทําอะไร เมื่อพอหมอส่ังลงมา คนที่เป็นตัวแทนตองบอกกับคนในครอบครัวใหทําตามคําบอกกลาว ของพอหมอ เมื่อสั่งใหฆาหมูก็ตองนําหมูมาฆาแลวจะนํากัวะมาจุมกับเลือดหมู พรอมกับมาปะท่ีหลัง คนไข แลว พอ หมอจะเปุาเวทยมแ นตใแ ห จากนัน้ จะนํากัวะไปจุม เลือดหมู เพ่ือไปเซน ไหวท ่ผี นังที่เปน็ ที่รวม ของของบชู าเหลานน้ั ความเชื่อเร่ืองการรักษาคนตกใจ (การไซ่เจง) เป็นการรักษาอีกประเภทหนึ่งของมง การไซเ จงจะกระทําเม่ือมีคนปุวยที่ตัวเย็น เทาเย็น ใบหูเย็น มือเย็น ซ่ึงมงเช่ือวาการที่เทาเย็น มือเย็น หรือตัวเย็น เกิดจากขวัญในตัวคนไดหลนหายไป หรือไปทําใหผีกลัว แลวผีก็แกลงทําใหบุคคลน้ัน 114
ไมส บาย มีวธิ ีการรกั ษาดงั น้ี พอ หมอจะนําเอาขิงมานวดตามเสนประสาท ไดแก บริเวณปลายจมูกตรง ไปที่หนา ผาก นวดแลว ยอ นกลบั ไปท่ีใบหู แลวนวดบริเวณหนาผากไปท่ีใบหูซ้ํา ๓ ครั้ง จากน้ันเปล่ียนเป็น การนวดท่ีเสนประสาทมือ คือ จะนวดที่ปลายนิ้วมือไลไปที่ขอมือทําซํ้าทุกน้ิวมือแลวรวมกันท่ีขอมือ นวดและหมุนรอบทีข่ อมอื ซึ่งขณะนวดตองเปุาคาถาดวย และบริเวณฝุาเทาใหนวดเหมือนกัน ตองทําซํ้า กัน ๓ ครั้ง ซึ่งการรกั ษาไซเจงนี้จะทาํ การรกั ษา ๓ วนั เมอ่ื เสร็จจากการรักษาแลว ถา อาการไมดีข้ึนก็หา วธิ ีอื่นๆ มารกั ษาตอ เชน อ๊ัวเนงหรือการฮปู รี เป็นตน ความเชื่อเรื่องการรักษาด้วยการเป่าด้วยน้า (การเช้อแด้ะ) เป็นการรักษาอีกประเภทหนึ่ง ของมง การเชอแดะจะเป็นการกระทําเม่ือมีคนในครอบครัวที่ปุวยรองไหไมหยุด และตกใจมาก เป็นพิเศษโดยไมรสู าเหตุ หรอื เหมอื นวา คนปวุ ยเหน็ อะไรสักอยางท่ที ําใหเขากลวั มากมีวธิ กี ารรักษา ดังน้ี คนท่เี ปน็ พอหมอหรอื แมหมอ จะใหค นปุวยอาการดังกลาวไปนั่งใกลกับกองไฟหรือเตาไฟ แลวเอาถวย หน่ึงใบใสน้าํ ใหเ รยี บรอ ยมาตัง้ ไวขา งๆ พอหมอหรือแมหมอ คือ ผูท่ีจะทําการรักษาจะใชตะเกียบคูหนึ่ง หนีบกอนถาน ที่กําลังรุกไหมเ ปน็ สีแดงขึ้นมา แลวเปุากอนถาน จากนั้นเร่ิมทองคาถา แลวนํากอนถาน กอ นนั้นไปวนบนหัวของคนปวุ ย ขณะวนนน้ั ก็สวดคาถาดว ย เมื่อวนเสร็จก็จะเอากอนถานกอนน้ันไปใส ในถวยท่เี ตรยี มไว พรอ มกับปิดฝาดว ย ใหท ําซา้ํ กนั แบบน้ีสามรอบเมื่อเสร็จแลวจับมือคนปุวยข้ึนมาเปุา พรอมทองคาถา เมื่อเสร็จสิ้นแลว จะเอามือชุบนํ้าที่อยูในถวยข้ึนมาลูบหนาของคนปุวย หรือลูบแขน คนปุวย เมื่อทําเสร็จแลวอาการของคนปุวยจะทุเลาลง มงจะนําวิธีรักษาน้ีมาใชในการรักษาคนไขท่ี ตกใจมาก และปใจจุบันนี้มงก็ยังคงยึดถือ และปฏิบัติกันอยู แตก็มีบางที่อาการหนักมากจนไมสามารถ ที่จะรกั ษาใหห ายขาดได แลว จึงจะนาํ ไปรกั ษาที่โรงพยาบาลตอไป ความเชอ่ื เรื่องการปัดกวาดสิ่งทไ่ี มด่ ีออกไป (การหรอื ซู้) เปน็ การรักษาอีกวิธีหนึ่งของมงที่จะ ปฏบิ ตั ิในชว งขนึ้ ปีใหมเ ทา นน้ั คือในหนึ่งรอบปีที่ผานมาครอบครัวจะเจอส่ิงที่ไมดี ดังนั้นจึงมีการหรือซู เพื่อปดใ เปาุ หรอื กวาดส่ิงที่ไมด ีใหออกไปจากบา น และตวั บุคคลหรือเป็นการปใดเปุา กวาดโรคภัยไขเจ็บ ออกจากตัวบุคคล หรอื ออกจากบา นใหห มด เพื่อทจ่ี ะรับปีใหมท่ีเขามา และตอนรับส่ิงดีๆ ท่ีกําลังจะมา ในปีถัดไป พิธีกรรมนี้มงจะทําทุกปี และคนในครอบครัวตองอยูใหครบทุกคน ไมใหขาดคนใดคนหนึ่ง (แตหากวาคนในครอบครัวน้ัน เกิดไปทํางานตางจังหวัดและไมสามารถที่จะกลับมารวมพิธีกรรมนี้ได ผูปกครองของครอบครัวตอ งนําเสือ้ ผาของคนที่ไมอยูมารวมพิธีกรรมใหได หากไมไดเขารวมพิธีกรรมน้ี มงเชอื่ วา สง่ิ ทีไ่ มด จี ะติดตัวไปยงั ปถี ดั ๆ ไป และทําอะไรกไ็ มเ จริญ) ความเชื่อเรอ่ื งหมปู ระตูผี (อัวะบว๊ั จ๋อง) เป็นพธิ ีกรรมที่มงกระทําเพื่อรักษาคนท้ังหมดในบาน หลงั นน้ั ใหป ราศจากโรคภัยโดยมีวิธีการรักษา ดังนี้ ซ่ึงการประกอบพิธีกรรมหมูประตูนั้นจะทําในตอน กลางคนื เทา น้นั อันดับแรกคือจะมีการกลาวปิด และกลาวเปิดประตู จากนั้นจะมีการฆาหมูแลวตมใหสุก จากนนั้ ก็กลา วปิดประตู แลวนาํ หมทู ี่ตม สกุ นั้นมาหน่ั ใหเป็นชิ้นเล็ก ๆ จัดไวตามจานท่ีวางไว ๙ จาน ซ่ึง แตละจานจะใสชิ้นเน้ือไมเหมือนกัน โดยจานท่ี ๑ ใสมือซายหมูและหัวขางซาย จานที่ ๒ จะใสขาขวา หมกู บั หวั ขา งขวาจานท่ี ๓ จะใสขาซายหมูกับคางซายหมู จานที่ ๔ ใสมือขวาหมูกับคางขวาหมู จานที่ ๕ ใสมือซายหมู จานท่ี ๖ ใสขาขวาหมู จานท่ี ๗ ใสขาขวาหมูกับใบหู ๕ ชิ้น จานท่ี ๘ ใสมือขวาหมู จานที่ ๙ ใสจมกู และหางหมู พิธีเข้ากรรม พิธีเขากรรมของมงนั้นมีมาต้ังแตบรรพบุรุษมงเชื่อกันวาเคราะหแกรรมมีจริง แตม ง น้ันกจ็ ะสามารถหลีกเล่ียงเคราะหแกรรมนีไ้ ดโ ดยการเขา กรรม เขากรรมของชนเผามง ก็เหมือนกับ 115
การจาํ กัดบรเิ วณไมใหออกไปไหนมาไหน หา มคนอ่นื ทีไ่ มใชส มาชิกในครอบครวั เขามาในบาน หามไมให พดู คุยกับคนอื่นท่ีไมใชสมาชิกในครอบครัว หามจับตองของมีคม หามขี่รถ และขับรถทุกชนิด จนกวา พระอาทติ ยจแ ะลบั ขอบฟาู จึงจะใชชีวิตไดตามปกติ ถาในระหวางเขากรรมอยูนั้น สมาชิกคนไหนฝุาฝืน ขอ หา ม มักจะเกิดอบุ ัตเิ หตกุ ับคนผนู ้ัน บางรายอาจจะเจ็บ มีบางรายอาจถึงแกชีวิต ชนเผามงจึงถือกัน เครงมาก ถาสมาชิกคนไหนไมอยูบาน ออกไปทํางานตางจังหวัด ท่ีไกล ๆ บานก็จะนําเอาเส้ือผา ของคนนั้นมามัดไวที่เสากลางบาน แลวแจงใหคน ๆ นั้น รับทราบแลวใหขอหยุดงาน ถานายจาง ไมใหหยุด ก็จะเลี่ยงโดยการขอทําอยางอ่ืน ที่มีอันตรายนอยท่ีสุด เคราะหแกรรมน้ัน มงเช่ือวา มหี ลายแบบดว ยกนั สามารถแกไ ดดว ยวธิ ีการทีต่ างกนั ไป เม่อื เจาบานเกดิ อาการไมส บายใจ หรือฝในเป็น ลางรา ยก็จะไปขอใหห มอผีเสยี่ งทายดใู ห ถา มเี คราะหแ หมอผีจะเป็นคนบอกเองวาเราควรแกดวยวิธีการ ไหนบาง จะเขากรรม จะทําพิธีเพื่อสะเดาะเคราะหแ หรืออาจจะปใดเปุาเคราะหแรายใหหลุดพนไป จากตวั เองและครอบครวั อีกวิธีหนง่ึ คอื การเขากรรม สวนใหญแลวเจาบานจะไปขอใหหมอผีเสี่ยงทายดู แลวหมอผีจะบอกมาวาบานเรามีเคราะหแ ควรจะหยุดอยกู รรมกีว่ ัน สวนใหญก ็จะเขากันหนึ่งวัน ถาบานไหนมีเคราะหแมากก็จะเขาสองถึงสามวัน ติดตอกันก็มี บางคร้ังเราก็ไมไดไปขอหมอผีเส่ียงทาย แตหมอผีจะมาทักวาเราควรเขากรรม บานเรา ก็ตองเขา และอกี อยางหน่ึง คือหมอผีจะเส่ียงทายดูแลวจะบอกวาวันนี้เดือนน้ีตองเขากรรมทั้งตระกูล เชน ถาคนไหนเป็นแซยาง ถึงวันนั้นทุกคนก็ตองเขากรรมเหมือนกันหมด แตจะเครงไมเทากับการเขา เป็นครอบครัว นาน ๆ ครั้งถึงจะมีสักครั้ง ตางจากการเขาเป็นครอบครัว เพราะจะเขาปีละก่ีครั้งก็ได แลว แตวาบานไหนจะมีเคราะหแกรรมมากหรือนอย ก็ไมใชวาจะตองเขาปีละคร้ังสองครั้งตอครอบครัว บางบานท่ีไมมีเคราะหแก็ไมเขาเลยก็มี พิธีเขากรรมของมงน้ัน สังเกตงายๆ ถาทานเป็นคนพ้ืนเมื อง หรือชนเผาอื่น ที่ไมใชชนเผามง คือวันที่มงทําพิธีเขากรรมนั้น จะมีไมสานเป็นตาแหลวลักษณะเป็น หกตาเสียบไว หรือใบไมใ บหญา ปกใ ไวท ห่ี นาบาน และถาเขาไปเห็นบานไหนเขากรรม เขาจะไมทักทาย แขกหรอื ชักชวนแขกใหเ ขาบา น บางครั้งพอเขาเห็นคนภายนอกมาเขาตองรีบปิดประตูไมใชวารังเกียจ ไมอยากรับแขก หรืออยางไรก็ตาม เราตองสังเกตวาหนาประตูเขามีไมปใกตรงทางเขา มีหญา หรือ สานตาแหลวเสียบไวอยูหรือเปลา แลวอยาพึ่งนอยใจ ถาตะวันตกดินเมื่อไหรบานนั้นก็จะรับแขก เหมือนเดิม ชนเผามงน้ัน ปกติเป็นชนเผาที่ใจกวางและมีนํ้าใจตอเพ่ือนมนุษยแดวยกันมาก ถึงจะรูจัก หรือไมร จู ักก็ตาม แขกที่เขาไปก็จะขอขาวขอนํ้ากินได เป็นธรรมเนียมปฏบิ ตั ปิ ระจําของคนชนเผาทกุ ชนเผา สําหรับส่ิงศักด์ิสิทธ์ิตามระบบความเชื่อ : สิ่งศักด์ิสิทธิ์ในบานท่ีอยูอาศัย โครงสรางภายใน บานมงตามจารีตจะตองประกอบดวยพ้ืนที่สําคัญ ๕ แหง คือ หิ้งผีสีกล้ัง อยูบริเวณฝาบานดานท่ีอยู ตรงขา มกับประตูทางเขาออกของตัวบาน ลักษณะเป็นเพียงกระดาษสีขาว สีเหล่ียมจัตุรัสขนาดไมเกิน ๑๒ นิ้ว จะมีขนไกติดอยูบนกระดาษแผนนี้ ๒ – ๓ ช้ิน เสากลางบาน หากยืนหันหนาเขาหาห้ิงผี ทางซา ยมือบรเิ วณตรงหนา หองนอนของผูอาวุโสในบานจะเป็นท่ีตั้งของเสากลางบาน มีลักษณะเสาสูง ทรงเหลี่ยมหรือกลม ขอสําคัญเป็นเสาไมจริง “ผี” อยูท่ีเสาตนน้ี ประตูหนาบาน จะมี “ผี” สถิตอยู บานประตูทางซา ยมอื ท่อี ยใู นแนวเดียวกับเสากลางบาน เตาไฟเล็กมี “ผี” อยูบริเวณพื้นดินท่ีตั้งเตาไฟ โดยท่ัวไปจะเป็นเตาเหล็กสามขา เตาไฟเล็กนี้จะอยูทางขวามือขางบานประตูอีกบานหน่ึง ซึ่งอยู คนละดา นกับบานประตูท่ีมี “ผี” สถิตอยู เตาไฟใหญมี “ผี” อยูที่เตาไฟซึ่งมีขนาดใหญ เป็นเตากออิฐ ฉาบปูน จะตั้งอยูตรงบริเวณฝาบานดานเดียวกับที่ติดหิ้งผี แตจะอยูมุมหองใกลกับประตูเล็ก อยูทาง 116
ซายมือเชนเดียวกับเสากลางบาน ถาลําดับความสําคัญของ “ผี” ทั้ง ๕ ผีเสากลางบานสําคัญท่ีสุด นอกจากนี้ยังมสี ิ่งศกั ดิส์ ิทธ์ิบริเวณหมูบาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจําหมูบานมงแตละแหงมีลักษณะไมตายตัว แตกตางกันไปตามสภาพของพนื้ ทโ่ี ดยสว นรวม สง่ิ ศกั ดิ์สิทธปิ์ ระจําหมูบานสวนมากจะเป็นกอนหินใหญ หรือหนาผาสูง หรือตนไมใหญท่ีมีอยูในหมูบาน แตละหมูบานจะมี “พื้นท่ีศักดิ์สิทธิ์” ประจําหมูบาน เพยี งแหงเดียว ขอ้ หา้ มท่สี าคัญ ๑. สมาชิกที่มแี ซส กลุ เดยี วกนั จะแตงงานกันไมได ถาจําเป็นและประสงคแจะแตงงานกันจริง ๆ จะตอ งใหห ญงิ และชายทาํ พิธีตดั ญาติกนั กอ น ๒. พฤตกิ รรมที่คบชูสชู ายเปน็ ขอ หามอยางเครงครัด ๓. ชายและหญิงมงไมพึงควรจะแสดงออกถึงความรูสึกชอบพอกัน หรือความสัมพันธแที่มี ดว ยกันในทีส่ าธารณะ ตอหนาบุคคลสําคญั โดยเฉพาะพอ แมท างฝุายหญิง ๔. ในภาวะปกติ หามตีกลองเลน ในหมบู านเพราะเสียงกลองเป็นเสยี งสัญญาณของงานศพ ๕. หากไมจําเป็นไมควรยิงปืนเลนในหมูบานเพราะเสียงปืนเป็นสัญลักษณแวาไดมีผูเสียชีวิต ในหมบู าน ๖. บุคคลภายนอกท่ีเป็นชายไมค วรอยูก บั หญิงมงเพียงตอ สองในที่ลับตาคน ๗. ขอหามในการบริโภคอาหารบางอยางเป็นขอหามสําหรับชาวเขาท่ัวไป บางอยางเป็น ขอหามเฉพาะแซส กลุ ความเชื่อ พิธีกรรม การทานายด้วยไก่ : ขาไกสามารถใชทํานายในกรณีใดบาง งานปีใหม ทํานายวาในปีตอ ๆ ไปครอบครัวอยูเป็นปกติสุขดีหรือไม การทํามาหากินจะมีผลเป็นอยางไร ทํานาย การยายบาน ยายถน่ิ ฐานไปทแ่ี หงใหม การเลอื กที่ทําไร การคิดเดนิ ทางไปยงั หมูบา นอื่น ๆ การตัดสินใจ ซ้อื สัตวแเลี้ยง ดังน้ันการทําพิธีกอนที่จะทํานายดวยขาไก การทําพิธีเริ่มดวยผูทําอุมไกท่ีจะฆาพรอมท้ัง จดุ ธปู หอม ๗ ดอก เดินออกไปนอกบานแลวนั่งกลาวบนบาน (กลาวในใจ) เรียกผีปุา ผีภูเขา ผีลําหวย ผปี ระจาํ หมูบาน ใหผีท่ีดีมาชวยบอกผลการทํานาย เม่ือกลาวเสร็จ ผูทําพิธีจะปใกธูป ๗ ดอกไวตรงน้ัน เสรจ็ แลว จึงอุม ไกเขามาในบานพรอมทั้งจุดธูปอีก ๕ ดอก และกลาวบนบานผีประจําบาน ไดแก ผีเตา ไฟเลก็ ผีเตาไฟใหญ ผีเสาใหญ ผปี ระตู ผสี ือกง๊ั เม่ือเสรจ็ แลว จึงนําธูปทั้ง ๕ ดอกปใกไวท่ีพื้นบานหนาห้ิง ผสี ือกง๊ั จากน้ันก็นาํ ไกไปฆา โดยวิธีเอามีดเชือดท่คี อไก ผูทฆี่ า ไกจ ะเป็นใครก็ได เม่อื ฆา เสร็จจึงถอนขนไก และใหล วงเอาเครื่องในตาง ๆ ออกมาใหหมด แตอาจจะทิ้งหัวใจเอาไวก็ได เหตุผลท่ีตองเอาเคร่ืองใน ออกจากตัวไกเพราะวา เวลาตมไก บางทีเทาของไกอ าจจะถีบถูกไสหรือเคร่ืองในจะทําใหผลการทํานาย เสียลงทันที ตอ จากน้ันจึงไกนําไปตมทั้งตัวจนกระทั่งสุกดีแลวจึงนําไกมาแกะเอาเน้ือออก นํากระดูกท่ี ตองใชในการทํานายออกมา เพื่อใหหมอผีที่สามารถตีความหมายของกระดูกไดหรือบุคคลที่สามารถดู ความหมายกระดกู เปน็ ผทู ํานาย การทานายจากลักษณะกะโหลกหัว : ลักษณะของกระดูกหัวกะโหลกไกที่ใหผลการทํานายในทาง ที่ดนี น้ั สขี องกระดูกกะโหลกจะตองขาวสะอาด หมายถงึ จะคิดอะไรก็สมประสงคแ หากมีวงกลมสีดําอยู บนกระดกู กะโหลกไกทัง้ สองขา งกท็ าํ นายวา ใหผลดีเชนกัน หากมวี งกลมสดี ําและสขี าวเป็นบางสวนก็จะ ทาํ นายวาใหผ ลสาํ เร็จพอประมาณ ในลักษณะที่ใหผลในทางเสียหรือไมสําเร็จ กระดูกกะโหลกไกจะมีสี ดาํ มากวา สีขาว ถาเปน็ สแี ดงเรอ่ื ทํานายไดว า รายแรงท่สี ดุ หา มกระทําในสง่ิ ที่ต้งั ใจจะทาํ อยางเด็ดขาด 117
การทานายจากลักษณะของเทา้ ไก่ : ลักษณะของเทา ไกทแี่ สดงถึงผลการทํานายที่ดี คืออุงเทา ทั้งสองหุบเขาหากนั เหมือนกนั ท้ังสองขา งในลกั ษณะท่ีหุบพองาม ทํานายไดวาดี จะคิดอะไรก็สําเร็จทุก ประการ ลกั ษณะเทา ไกทีแ่ สดงผลทํานายไมด ี มีลักษณะองุ เทาขางหน่งึ ขา งใดหุบชิดกันมากเกินไป หรือ องุ เทา ขา งหนึง่ ขางใดแผขยายออกมรี ูปลกั ษณะไมสวยงาม หากวาผลการดูเทาไกบงวาไมดี ก็อาจจะทํา พิธฆี า ไกตัวใหมเพ่อื ดูผลการทํานายซํ้าอีกก็ได การทานายจากลักษณะของลิ้นไก่ : ล้ินไกมีลักษณะเป็นกระดูกออนเหมือนเขาของสัตวแ กระดูกออนโคงข้ึนได ลักษณะสวยงามล้ินไกไมมีตําหนิหรือมีจุด สีของล้ินไกแดงเร่ือ ๆ ทํานายวาดี กระดกู ออนโคง ไดสว นสัดแตลนิ้ ไกม ีจุดหรอื มีตําหนิ หรือมีสแี ดงเร่ือ ๆ แตกระดกู ออ นโคงขึ้นมาก จัดอยู ในจําพวกใหผ ลการทํางาน ดปี านกลาง หากกระดูกออนเหยียดตรงหรอื บิดเกขางใดขางหนึ่ง สีของล้ินมี จุดและตาํ หนิ ผลการทํานายระบุวา ไมด ี ตอ งงดกจิ กรรมท่ีตองการจะทํานั้นเสีย การดูตาไก่ : จะตองตรวจดูลูกตาไกทั้งสองขางวาปกติดีหรือไม หากวาลูกตาขางใดขางหนึ่ง แตกจะทําใหผลการทาํ นายทุกอยางในตัวไกเ สียหมด ฉะน้นั ลกู ตาไกจ งึ เปน็ สวนสาํ คัญในการทํานาย กวั ะ : เครอื่ งมือสือ่ สารจากคนถึงผี มีลกั ษณะเหมือนเขาควายที่ถูกตัดใหสั้นประมาณ ๕ - ๖ นิ้ว แลวผาซีกตามยาวแยกออกเป็นสอง ดังนี้ แตละซีกจะมีดานหนึ่งโคงมนและอีกดานหน่ึง แบนเรียบ วสั ดุทใ่ี ชท ํากวั ะอาจทําจากไมทตี่ น ของมันถกู ฟูาผาแตกกระเด็นออกมาตกอยูกบั ดนิ หรอื เป็นไมอะไรก็ได ที่อยใู นน้ํามา ๒ - ๓ ช่ัวอายุคน หรือเป็นไมที่ผุดขึ้นมาจากโพรงผุ ๆ และไมเฉพาะอยาง ไดแก ตนเขา ควายหรอื ท่ีเรยี กวาตน ไมด าํ ตนจอนย้ัง ตน รังไก และไมไผขมท่ีตองเป็นหนอไมแคระ วัสดุอีกชนิดท่ีมา ทํากัวะ คือ เขาควายตัวเมียท่ีแกตายเอง ชวงเวลาที่ดีที่สุดในการทํากัวะ คือในวันที่มีอาทิตยแทรงกลด การทาํ พธิ ีกวั ะนีต้ อ งใชไก ๑ ตัว นํามาฆาทําพิธีตอชีวิตใหกัวะ โดยนํากัวะแตะเลือดไก และขนไก กัวะ เมอื่ ไมใชจะเกบ็ ไวบนหิ้งผีภายในบาน กัวะ คือไมคูเสี่ยงทาย มีความสําคัญสําหรับหมอผีเป็นอันมากใน การติดตอกับผี ในพิธีทําผี ลงผี หมอผีจะใชกัวะนี้โยนเสี่ยงทายถามหาสาเหตุของความปุวยไข เม่ือ โยนกวั ะ หมอผจี ะกําหนดในใจวาถา เปน็ อยา งนัน้ อยางนี้ก็ขอใหคว่ําหรือหงาย หรือคว่ําอันหงายอัน ถา ผลโยนออกมาตรงกับใจท่ีกําหนด คือการตอบรับ แตถาไมตรงกับท่ีกําหนดแสดงวาเป็นคําปฏิเสธ อีก บทบาทของกัวะในพิธีทาํ ผีคอื ในขณะทห่ี มอผีกาํ ลงั ทาํ พธิ จี ะมีคนหนง่ึ นํากัวะของหมอผี แตะเลือดสัตวแ ท่ใี ชใ นพิธนี ํามาแตะหลังคนเจ็บและกระดาษที่จะเผาสง ใหผ ีเพ่ือนําไปใชเป็นเงินตราในเมืองผี กลาวโดย สรุปวากวั ะจะถูกใชติดตอ กบั ผีในกรณที ่ีตองการรูวามาหรือไมมา ใชหรือไมใช รับหรือไมรับ ตอคําถาม หรอื ขอ เสนอท่ยี ื่นให ปใจจุบันชาวมงสวนใหญในจังหวัดลําปางหันมานับถือศาสนาคริสตแ มีกิจกรรมคือเขาโบถสแ ทําใหความเชื่อในเรื่องผีวิญญาณลดบทบาทลง สงผลใหพิธีกรรมบางอยาง สูญหายไป เหลือไวแต ประเพณีท่เี ป็นอัตลักษณแแ ตส วนใหญถกู หยบิ ข้ึนมาเพือ่ ใชใ นดา นการทองเทยี่ วดวย ประเพณีการละเลน่ ที่ยังมอี ย่ใู นปจั จบุ ัน ปีใหม่ม้ง : โดยท่ัวไปแทบทุกชาติทุกภาษาจะตองมีพิธีฉลองปีใหม อันเป็นสัญลักษณแแหง ชวี ิตใหม ในปตี อ ไป การฆาหมเู พื่อการกินเลี้ยงกอ นวันปใี หม ประมาณ ๑ - ๒ วนั กอนท่จี ะเริ่มพิธีปีใหม แตละครัวเรือนจะทยอยกันฆาหมู เพ่ือเชิญญาติพี่นองมาเล้ียงฉลองกัน และหมูท่ีฆาสวนหนึ่งจะใช เซนไหวผ ใี นบาน หมูที่ฆาในวันปีใหมเป็นหมูตัวผู การทําขนมแปูงหยัว คือการทําขนมแผนแปูง แตละ ครวั เรือนจะทําขนมของตนเองไวกินโดยใชขาวเหนียวนึ่งสุกแลวนํามาเทลงในรางไมแลวใชขอนไมทุบ 118
ขา วเหนียวจนเละเปน็ แปงู เหนียวจากนัน้ จงึ ขดู แปงู ขา วเหนยี วท่ีตําจนเละแลว เอาออกจากรางไมเทลงใน กระดงแลวจงึ นาํ มาปใน้ เปน็ กอ นกลม ๆ ขนาดใหญกวากําป้ในเล็กนอยนําวางลงบนใบตองกลวยที่เตรียมไว พบั ใบตองหอ กอนแปูงใชมือกดใหแบน ถายังรอนหรือนิ่ม ๆ อยูก็กินไดเลยหรืออาจนํามาผิงไฟออน ๆ จนแปูงเหลืองและพอง พิธีปใดรังควานในบานกอนวันข้ึนปีใหม เม่ือวันแรม ๑๕ คํ่า มาถึง พวกเขาจะ เร่ิมประกอบพิธีเล้ียงผีของแตละครัวเรือน โดยหัวหนาครัวเรือนท่ีเป็นชายเป็นผูประกอบพิธี คือมีการ ขจัดปใดเปุาสิ่งไมดีตาง ๆ ออกจากบาน ทําความสะอาดปใดกวาดหยากไยภายในบาน และเชื้อเชิญผี ตา ง ๆ มารบั เครือ่ งเซนไหว การละเล่นในพิธีปีใหม่ ไดแก การโยนลูกบอลผา การเลนลูกขาง และการเปุาแคน ลูกขาง เปน็ ทอ นไมกลม เสน ผาศนู ยกแ ลางประมาณ ๔ นิ้ว หรืออาจมากนอยกวานี้แลวแตความพอใจและขนาด ของผูเลน ปลายขางหนึ่งเหลาใหแหลมเป็นรูปกรวยใชตะปูตอกเขาตรงจุดแหลมของรูปกรวย ลึกประมาณ ๑ น้ิว หรือมากกวานั้นเล็กนอย จึงตัดตะปูออกใหเหลือสวนที่ตะปูโผลพนออกมา เพียงเล็กนอย การเลนลูกขางนี้เลนกันเฉพาะในหมูผูชายทั้งเด็กและผูใหญ สวนใหญมักจะเลนกัน กอนหนาวันปีใหม มีวิธีเลนไดหลายวิธี คือ นอเหง่ียเต กินมือใครมือมัน นอพา กินรวมกัน นอชง กนิ เป็นขน้ั ๆ ลกู บอลผา “โคว นา” ลกั ษณะลกู บอลผา ทาํ จากผาตัดเย็บเป็นลูกกลม ๆ ยัดไสดวยเศษผา ขนาดใหญกวาลกู เทนนิสเลก็ นอ ย การเลน ฝุายหญิงซ่ึงเปน็ โสดทั้งหมดยนื กันขางหน่งึ ฝาุ ยชายจะยืนอยู ฟากตรงขา ม หนุมสาวแตละคูจะโยนรับลูกบอลกันไปมาเฉพาะคูของตน “เปุาแคน” คนโบราณถือวา คนใดท่ีเปุาแคนไดเปรียบเสมือนคนท่ีมีการศึกษาในปใจจุบัน การเปุาแคนในงานปีใหมชี้ใหเป็นถึง ความเกงของผูเปุาแคน ในวันสุดทายของวันกรรม ทุกครัวเรือนจะจุดธูปบอกผีทั้งหลายวาพิธีปีใหม สิน้ สดุ แลว การเลน่ ลกู ช่วง ประเพณีการเลนโยนลูกชวงซ่ึงจะไมพบวาชาวเขาเผาอ่ืนใดมีการละเลน ในลักษณะเดียวกัน และการโยนลูกชวงนี้มีความสําคัญมากไปกวาเป็นเพียงนันทนาการที่เห็นเพียง ผิวเผิน แตยังมีอิทธิพลตอโครงสรางทางสังคมของชาวเขาเผามง การละเลนดังกลาวมีช่ือเรียกใน ภาษามง เป็น ๒ อยาง คือ “จุปฺอ” และ “ปอปฺอ” กลาววาอยางแรกเป็นภาษามงนํ้าเงินใชเรียก การละเลนนี้ มีความหมายใกลเคียงไปทาง “ขวางลูกชวง” คือการโยนโดยวิธีเง้ือมือขึ้นขวางออกไป สวนอยา งหลังคอื ภาษามง ขาว มีความหมายใกลเคียงไปทาง “โยนลูกชวง” คือการโยนโดยวิธีเหว่ียงมือ จากลางข้ึนบน ปใจจุบันในทางปฏิบัติพบวาทั้งมงขาวและมงน้ําเงินตางโยนลูกชวงท้ังสองลักษณะ ซ่ึงหมายถึง “การโยนลกู บอลผา ” เมือ่ วนั ขน้ึ ปีใหมมาถงึ บรรดาหนุมสาวตางแตงตัวดวยเสื้อผาสวยงาม 119
และมกั จะเปน็ ชุดทีเ่ พง่ิ ตดั เย็บขน้ึ ใหม ตามปกติผูเลนจะตองเป็นหนุมและสาว แตสําหรับชายหนุมผูมา จากตางหมูบานมีจํานวนไมนอยท่ีแตงงานแลวทําทีวาเป็นโสดเขารวมในการละเลนน้ีดวย ชวงเวลา ในการเลนมิไดมีกําหนดกฎเกณฑแวาจะตองเริ่มหรือเลิกเม่ือใดแตสถานที่เลนมักจะตองเป็นลานกวาง พอสมควร การเลนโยนลูกชวงนี้ ผเู ลน จะแบงออกเป็นสองฝุายคือ ฝาุ ยชายกับฝุายหญิง ชายหนุมจะยืน อยูขางเดียวกันเปน็ แถวหนึง่ โดยมีหญงิ สาวคเู ลนยืนอยใู นแถวตรงกันขาม มีระยะหางระหวาง ๘ - ๑๐ เมตร โดยประมาณและอาจหางกวานี้ คูเลนแตละคูจะโยน – รับ ลูกบอลกันไปมา และในระหวางนี้ มักจะมกี ารพูดจากันบางครั้งยวั่ เยาเกี้ยวพาราสีกันไปดวย มีบางบางคูที่ไมมีรูสึกสนุกสนานกับการเลน หรือไมพึงใจในคเู ลน ของตน หลงั จากเลนโยน – รับ กันไปมาเป็นระยะเวลาพอสมควร ฝุายหน่ึงฝุายใด อาจจะขอตวั พกั เพราะเหตวุ า ยืนนานจนเมอ่ื ย หรือเหตุผลอนื่ ๆ ทํานองเดยี วกันนี้ ตอมาภายหลังจึงตาง หาคูเลนใหมเปล่ียนหนาไป สักพักพอสมควรหลายคูเริ่มเลนในลักษณะทาพนันกันถารับพลาดจะถูก คูเลน ฝาุ ยตรงขามปรบั โดนผูเลนฝาุ ยตรงขา มจะกําหนดส่ิงของท่ีปรบั การเป่า “เค่ง” ดนตรีกลุ่มชาติพันธ์ุม้ง ดนตรีกลุมชาติพันธุแมงเป็นดนตรีท่ีสืบทอดจาก บรรพบุรุษดวยวิธีมุขปาฐะ มีนักดนตรีอาวุโสเป็นผูสอนการจับเครื่องดนตรี การวางน้ิวมือ การทอง เนื้อเพลง และเทคนิคการบรรเลงเครื่องดนตรี ทั้งนี้ดนตรีกลุมชาติพันธแุมงไมสามารถระบุไดแนนอนวา อยูในสงั คมวฒั นธรรมมง มานานแคไหนไมม กี ารบนั ทึกประวตั ศิ าสตรเแ กบ็ ไว หากมองยอนประวัติศาสตรแ อนั ยาวนานสนั นิษฐานวา ดนตรีคงเกดิ ชวงท่ีชาวมงอาศัยอยูทางตะวันตกเฉียงใตของจีน ชาวมงที่อาศัย อยูในบริเวณราบลุมแมน้ําแยงซีเกียง และแมน้ําฮวงโห (แมนํ้าเหลือง) เมื่อประมาณ ๒,๒๐๐ ปีกอน คริสตแศักราช ดนตรีจึงผูกพันอยูในการดําเนินชีวิตของชาวมงมาเนิ่นนาน บทบาทของดนตรีตอกลุม ชาตพิ นั ธุมแ ง มีความเก่ยี วของสอดคลอ งกับความเช่ือ ประเพณี วิถีชีวิตของชาวมง ใน ๕ ดานคือ ดนตรี เพ่อื ความร่นื เริงบันเทิงใจ เพ่ือการเก้ียวพาราสีกันระหวางหนุมสาว เพื่อเป็นการระบายความสุขความ ทุกขแในใจ เพื่อส่ือสารกับวิญญาณ และสุดทายการเลนดนตรีของชาวมงคือการรักษาสืบทอด ศิลปะการแสดงทางวฒั นธรรม ใหด นตรมี ง ไมส ญู หายจากไป เคง (Qeej)49 หรือแคนมง เป็นเครื่องดนตรีชั้นสูงของกลุมชาติพันธแุมง เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีอยู ในตระกูลเคร่ืองลมประเภทท่ีมีทอเสียง (Aerophones) ภายในทอมีลิ้นทองเหลืองติดเขาไปกับตัวทอ บรรเลงโดยวิธีการเปุาเสียงและดูดเสียง บทบาทของเคงในสังคมวัฒนธรรมชาวมงถูกนํามาใช ๒ ลักษณะ คือ งานศพ ซึ่งเชื่อวาการบรรเลงเพลงเคงเป็นเครื่องนําทางดวงวิญาณของผูตายไปหา บรรพบรุ ุษอกี ภพหนึ่ง บทเพลงที่บรรเลงมีเนื้อหาความหมายบอกเรื่องราวใหดวงวิญญาณรับรู ส่ือสาร ระหวา งโลกของมนุษยแกบั โลกวิญญาณ และการนําเคงมาบรรเลงบทเพลงทั่วไป เชน ชวงปีใหมมงซึ่งมี 49 วารสารวัฒนธรรม ฉบบั ท่ี ๓ ปี ๒๕๖๒ http://magazine.culture.go.th/2019/3/index.html 120
เนือ้ หา และความหมายเกย่ี วกบั วิถีชีวิต ความเป็นอยู การเปรียบเทียบเปรียบเปรย เชน เพลงเก่ียวกับ สาวสองคนทีไ่ มมาหากนั มีความหมาย ๒ ลักษณะคือ ๑) ต่ืนมาตอนเชาๆ มีไกตัวผูอยูหนาบาน ไกขัน รอ งเป็นภาษามนุษยแวา อยากไดส าวสวยมาเปน็ คู แตส าวคนนนั้ ไมม าอยูดวย เราไดแตเฝูามองหาอยางไร กไ็ มเจอ ๒) ไกต ัวหนึง่ นาํ กระดง ฝดใ ขาวมาฝใดหาดวู ามสี าวอยูไหม ฝดใ ไปเรื่อยๆ ก็ไมเจอสาว ไปหาที่ไหน กไ็ มเจอ จากน้ันเดนิ เขาไปหาที่สวนกุหลาบ ระหวา งนน้ั ไกตัวผูน ัน้ กโ็ ดนหนามตาํ รอ งเสียงดงั ลน่ั บา น เพลงและการละเล่นพื้นบ้านม้ง : ภาพสะท้อนภูมิปัญญาท้องถ่ิน ชุมชนมง เป็นสังคมไมมี ตัวหนงั สือ ความรทู กุ สิง่ ไดบันทกึ เก็บไวด ว ยการจดจาํ ถา ยทอดสูช นรุนหลัง ตอ ๆ กันไป ดวยวาจาและ การปฏิบัติใหเห็น เพลงและการละเลนของชนเผามงในประเทศไทย เป็นวัฒนธรรมพื้นบานท่ีมี กระบวนการพัฒนาในตัวเองตลอดเวลา มกี ารสืบทอดตอเนื่องจากผูท่ีเกิดกอนและเรียนรูมากอนใหกับ ชนรุนหลังดวยวิธีการจดจําแลวเลาสูกันฟใง ไมมีการบันทึก เพลงพ้ืนบานและการละเลนของมง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมท่ีเกิดจากระบบการผลิตซ้ําของวัฒนธรรม และทําหนาท่ีเป็นส่ือดํารงรักษา ความเป็นเอกลักษณแของเผาพันธแุไวไดดวยระบบความสัมพันธแในกระบวนการผลิตซ้ํากับระบบ อุดมการณแของเผา เพลงพ้ืนบานมง มี ๒ ลักษณะ คือ เพลงท่ีใชรองประกอบพิธีกรรมงานศพ งานแตงงาน เร่ิมตนดวยการสวด และตามดวยเพลงแคนสลับกับการตีกลอง และเพลงสําหรับการ รอ งเลน การละเลน มง ๑. การเลน ลกู ชว ง ๒. การเลนลกู ขา ง ๓. การรําดาบ รําแคน การแตง่ กาย ลกั ษณะการแต่งกายของม้งดาและม้งก๊ัวมะบา เอกลกั ษณแทีช่ ัดเจนทสี่ ดุ ของชาวเขาเผา มง คอื การแตงกาย จากการศึกษารูปแบบการแตงกาย ของแตละเผาพบวา ลวดลาย บนเสื้อผา ตลอดจนเครื่องประดับของแตละชนเผามีความแตกตางกัน โดยสามารถแยกความแตกตางของแตละชนเผาไดจาก เส้ือผาที่สวมใส ซ่ึงรูปแบบของเส้ือผา ลวดลาย การทอ และการตัดเย็บจะมีความแตกตางกัน ซึ่งเอกลักษณแท่ีเดนชัดที่สุดของเครื่องแตงกายชาวเขา เผามง อยทู ีล่ วดลายทปี่ ใกอยูบนเส้ือผา โดยลายทนี่ ิยมปกใ จะมอี ยปู ระมาณ ๑๒ ลาย คือ ลายกนหอย ลาย เทาชาง ลายหัวใจ ลายไฮ ลายดาว ลายฟในเล่ือย ลายปีก ลายดอกเยา ลายดอกไม ลายเทากา ลาย ดอกไมประยุกตแ และลายกนหอย ผู้ชาย : เส้ือแขนยาวจรดขอมือ แตชายเส้ือระดับเอว ปกสาบเสื้อดานขวาจะปูายเลยมาทับ ซีกซายของตัวเส้ือตลอดจนแนวสาบเส้ือจะใชดายสี และผาสี ปใกลวดลายตาง ๆ สะดุดตา กางเกง สีเดียวกับเส้ือ มีลักษณะขากวางมากแตปลายขาแคบลง สวนที่เห็นไดเดนชัดคือ เปูากางเกงจะหยอน ลงมาจนต่ํากวาระดับเขา รอบเอวจะมีผาสีแดงพันทับกางเกงไว ซ่ึงชายผาทั้งสองขางปใกลวดลาย สวยงาม อยูดานหนา และนยิ มคาดเข็มขัดทับผาแดงไว ผหู้ ญงิ : ปจใ จบุ ันเส้อื มงเขียวหรือมงดําจะทําใหมีหลากหลายสีมากข้ึนเหมือนกัน ชายเส้ือยาว จะถูกปิดดวยกระโปรงเวลาสวมใส สาบเส้ือทั้งสองขางจะปใกลวดลาย หรือขลิบดวยผาสี ตัวกระโปรง จบี เปน็ รอบ ทําเป็นลวดลายตาง ๆ ท้ังการปใก และยอม รอยผาของกระโปรงอยูดานหนา มีผาเหลี่ยม ผนื ยาวปกใ ลวดลายปิดรอยผา และมผี าสแี ดงคาดเอวทับอกี ทีหนง่ึ โดยผกู ปลอ ยชาย เป็นหางไวดานหลัง สําหรับกระโปรงนี้จะใสในทุกโอกาส และในอดีตนิยมพันแขงดวยผาสีดําอยางประณีตซอนเหลื่อม เป็นช้ัน ๆ ปใจจุบันก็ไมคอยนิยมใสกันแลว ผูหญิงมงดํานิยมพันผมเป็นมวยไวกลางกระหมอม และมีชองผมมวยซ่ึงทํามาจากหางมาพันเสริมใหมวยผมใหญข้ึน ใชผาแถบเป็นตาขายสีดําพันมวยผม แลวประดับดวยลูกปใดสีสวยๆ สวนเคร่ืองประดับเพ่ิมเติมนั้น มีลักษณะเหมือนกับมงขาว แตถาเป็น 121
มงขาวผูชายจะแตงกายคลายกันกับมงนํ้าเงิน แตมีการประดับลวดลายนอยกวา ท่ีคอสวมหวงเงิน รอบคอหลายหวง ผูหญิง สวนใหญจะแตงตัวคลายกันกับมงน้ําเงิน เดิมนิยมสวมกระโปรงสีขาวลวน ไมมีลวดลายใด ๆ มีผาผืนยาวที่ปิดทับดานหนากระโปรงปใกลวดลาย พรอมท้ังมีผาแถบสีแดงคาดเอว ปลอ ยชายเป็นหางไวด านหลงั ปจใ จุบนั นุงกางเกงทรงจีนสีนํ้าเงินเขมแทนกระโปรง พันมวยผม และกัน เชงิ ผมดานหนา ใหดูมหี นา ผากกวางขน้ึ ดานการแตง กาย การแตงกายจะแบงเป็น ๒ สวนใหญๆดวยกันคือ เสื้อผา และเครื่องประดับ โดยชาวเขาเผามงใหความสําคัญกับสองส่ิงน้ีเป็นอยางมาก เพราะท้ังเสื้อผาและเคร่ืองประดับ เป็น เหมือนเคร่ืองบงบอกถึงฐานะของครอบครัวน้ัน ๆ ๑. เส้ือผา ลักษณะการแตงกายของชาวมง โดยมง จะแบงเป็น ๒ กลุมดวยกัน คือ มงขาวและมงเขียว (มงดํา) เนื่องจาก จังหวัดลําปางมีแตกลุมมงเขียว หรือมง ดํา ชุดของกลมุ มง เขียวจะเป็นสีดําปใกลวดลายสวยงาม ผูหญิงจะสวมเส้ือแขนยาวสวมทับ ดวย กระโปรง สาบเส้อื สองขางจะปกใ ดวยลวดลายหรือขลบิ ดว ยผาสี กระโปรงจีบรอบปใกเป็นลวดลายตาง ๆ มผี า ส่ีเหลย่ี มผนื ยาว ปใกลวดลายปดิ ดานของกระโปรง มีผาสีแดงคาดเอวทับอีกทีหนึ่งโดยการผูกปลอย ชายเป็นหางไวด า นหลัง ใชผาสดี ําทปี่ ระดบั ดว ยลูกปใดสตี า ง ๆ พันมวยผม ใสสายสะพายไหล หรือยาม เฉยี งสลับกันสองขา ง ผูช าย สวมเสื้อแขนยาวถึงขอมอื ชายเสื้ออยูระดับเอว ปกเส้ือดานขวาจะปูายเลย มาทับซีกซายของตัวเสื้อ ตรงสาบเสื้อจะใชดายสีปใกลวดลายตาง ๆ กางเกงสีเดียวกับเส้ือมีลักษณะ ขากวางตรงปลายขาแคบ เปูากางเกงจะหยอนลงมาต่ํากวาระดับเขาปลายขากางเกงปใกลวดลาย ๒. เครื่องประดับ เป็นศิลปะในการตกแตงรางกาย และเป็นวัฒนธรรมการแตงกายที่เดนชัดของชน เผา มง ชาวมง นิยมสวมใสเคร่อื งเงิน ซึง่ มีความเชื่อวา “โลหะเงินเป็นสัญลักษณแของความมั่นคง และสุข สวสั ดใ์ิ นชวี ิต” ดงั นั้นทุกครอบครวั จงึ ตองทําหรอื ซื้อหาให ลกู หลานไดใสใ นงานปีใหมหรืองานสําคัญของ ชนเผา สําหรับรูปแบบเครื่องเงินของชนเผามง แยกออกเป็น ๒ ประเภท คือ เครื่องประดับรางกายและ เครื่องประดับเสื้อผา โดยเคร่ืองประดับรางกายและเคร่ืองประดับเสื้อผาจะประกอบไปดวย กําไลคอ เดีย่ ว แผงกําไลคอ สรอยระยา กําไลขอมือ ตางหูแหวน ปิ่นปใกผม เชิงมวยผม และเหรียญเงินรูปีท่ีใช สาํ หรับประดับตกแตง เส้อื ผา และของใช ภูมิปญั ญางานหตั ถกรรม การปลูกกัญชงและการทอผ้า : กัญชง – กัญชา พืชบนท่ีสูง : ชาวเขาเผามง ลีซอ และอีกอ เป็นกลุมชาวเขาท่ีมีการปลูกฝ่ินและขาวโพด โดยประเพณีนอกเหนือจากการปลูกขาวเพ่ือบริโภคแลว ชาวเขากลมุ นมี้ ีความคุนเคยกับการปลูกและการใชประโยชนแจากตนกัญชงมาเปน็ ระยะเวลาอันยาวนาน ไดมีการใชเสนใยมาทอผา ตัดเย็บเสอื้ ผา ทาํ ถงุ ยา ม ฟน่ใ เปน็ เชอื ก กญั ชงเป็นพืชชนดิ หน่ึงในการดํารงชีวิต แบบชมุ ชน จารีตประเพณีด้ังเดิมของชาวเขาเผามงในอดีต กลาวกันวาพืชชนิดนี้ไดมีการเพาะปลูกมา 122
เป็นเวลานานแลวกวา ๔,๐๐๐ ปี และไดเขาสูประเทศจีนประมาณ ๒๕๐๐ ปีกอน ชาวมงสวนใหญ จะปลูกกญั ชงเป็นพ้ืนทแี่ ปลงใหญแตกไ็ มใหญมากจนมผี ลิตผลเหลือเกินกวาแรงงาน เม่ือตัดตนกัญชงแลว จากนัน้ จะนาํ มาตากแดดจนแหงสนิทภายหลังจากที่ตนกัญชงแหงแลวก็จะนําไปวางกองพ้ืนทําแนวตั้ง กับพ้ืนดินภายในบริเวณบานท่ีไมมีความช้ืน การปอกเปลือก ใชวิธีนําตนกัญชงมาหักตอนกลางลําตน หลาย ๆ แหง ใหขาดจากกันแลวใชมือลอกเปลอื ก เปลือกของตน กัญชงทแ่ี หงสนิทจะนํามาฉกี ออกเปน็ เสนเล็ก ๆ จากนั้นนําเสนใยกัญชงลงตําใน ครกกระเดอ่ื ง เพื่อใหเปลือกนอกท่ีหุมติดกบั เสนใยหลดุ ออก เหลือแตเสนใยแท ๆ เสนใยที่ผานการตําแลว จะถกู นําเอามาพับมวนเป็นกอนโดยใชเครื่องมือเฉพาะ ขณะท่ีเสนใยถูกนํามามวนพันแกนไมจะมีการ ตอเสนใยแตล ะเสนโดยใชน ว้ิ มอื ขยส้ี วนปลายใหตอติดเป็นเนื้อและเสนเดียวกันเมื่อเสนใยเต็มแกนก็จะ ถอดมวนเสน ใยเก็บไว หลงั จากนั้นจะนาํ เอากอนเสนใยไปจมุ นํ้าใหเ สน ใยออนตัว แลวจึงนําไปเขาเครื่อง กรอเสน ใยแบบของมง เมื่อกรอเสนใยเขาแกนจนเตม็ ก็นําเสน ใยเขาผานเคร่ืองป่ในเสนใยแบบมง เสนใย แตละมัดจะถูกนําไปตมเค่ียวในน้ําดาง (นํ้าขี้เถา) ในกระทะใบบัว เป็นเวลาประมาณ ๕ - ๖ ช่ัวโมง แลวจึงนาํ ไปหมักไวใ นขีเ้ ถาเปยี กอกี ประมาณ ๒ - ๓ วัน เสน ใยท่ีผา นการหมักแลวจะนําไปซักลางน้ําให สะอาด และจะถกู นาํ เอาไปเขา เคร่ืองรีด หลังจากการรีดจนแนใจวาเสนใยท่ีไดออนนุมตามท่ีตองการแลว กจ็ ะนําไปซกั ลางดว ยน้าํ อีกเป็นคร้ังสดุ ทาย แลวนาํ ไปตากแดดใหแหงสนิท เสนใยที่ผานมาถึงข้ันตอนน้ี จะถกู นาํ ไปเขา เครอ่ื งปใน่ ใหเ ปน็ เสน ดา ยเพ่อื ทอเปน็ ผา ตอ ไป การปักผ้า และผา้ เขียนเทยี นของผหู้ ญิงม้ง : ชนเผามง เป็นชนเผาชนหน่ึงท่ีมีความขยันขันแข็งมาก สมาชิกทุกคนในครอบครัวตางตอง ชวยกันทาํ มาหากนิ ในชวงเวลาวางหลงั เสรจ็ งานเกษตรกรรม เพาะปลูกในไรนา ผูชายชาวมงจะทํางาน ตีเหล็ก และเครื่องเงิน ขณะที่ฝุายผูหญิงจะเย็บปใกเสื้อผาเครื่องนุงหม ดังท่ีมีคํากลาวถึงวิถีชีวิตของ ชาวมงต้ังแตโบราณวา “ผูหญิงปใกผา ผูชายตีมีด” ดังนั้นเส้ือผาเคร่ืองแตงกายของชนเผามง จึงนิยม สรางลวดลายประดับดวยลายปใกที่ใชเสนดายสีสันสดใส ผาปใกมงจึงมีความสําคัญที่สะทอนถึงวิถีชีวิต และเรื่องราวทางวัฒนธรรมของหญิงชาวมงที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษจากรุนสูรุนนับหลายรอยปี การปกใ ผา มง เพ่อื ใชต ิดประดบั บริเวณตา ง ๆ ของเสอื้ ผา เป็นสิง่ ทผี่ หู ญิงเผา มง จะตองทําเป็นทุกคน และ ตองทาํ ใสเอง สาํ หรับสามี และลูกชายดว ย เพราะผชู ายมงจะไมป กใ ผา หญิงชาวมงทุกคนจึงตองร่ําเรียน วิชา ปใกผา จากผเู ปน็ มารดาของตนต้งั แตอายุยังไมถ งึ สบิ ปีแตช าวมงจะไมนิยมใชสีแดงประดับบนเส้ือผา เพราะมคี วามเชื่อวา สีแดงเปน็ สรี ุนแรง เปน็ สีเก่ียวของกับอุบัติเหตุ ไมเป็นมงคลจะใชเฉพาะในงานศพ เทา นนั้ ศลิ ปะลวดลายบนผืนผา ชนเผามง มที ้ังการปกใ การเย็บ และการเขียนเทียน (การเขียนลายเทียน 123
เฉพาะในกลมุ มง ลาย สว นกลุมมงดํา และมงขาวจะไมเขียนเทียน) ผาปใกมงสวนใหญเป็นผาฝูายทอมือ และผาใยกัญชง เทคนิคท่ีใชในการปใกผามงโดยหลักแลว จะมี ๒ แบบคือ แบบปใกเป็นกากบาท คลาย ลายปใกครอสตชิ และอกี แบบหนง่ึ คอื การปใกแบบเยบ็ ปะติด เอกลักษณแลวดลายที่ปรากฏบนผืนผาของ ชาวมงก็มีหลากหลายลักษณะ ท้ังลวดลายด้ังเดิมท่ีเป็นเอกลักษณแเฉพาะที่สืบทอดกันมาต้ังแตสมัย บรรพบุรุษ ลวดลายท่ีถูกสรางสรรคแจากจินตนาการเลียนแบบมาจากธรรมชาติสิ่งแวดลอมรอบตัว วถิ ชี วี ติ ลวดลายที่ไดร บั อทิ ธพิ ลมาจากความเชือ่ ตาํ นาน หรือเร่ืองเลา และลวดลายท่ีมีการปรับประยุกตแ ใหเ ขา กับยคุ สมัยตามความตองการของกระแสความนิยมของผูบรโิ ภค การเขยี นเทยี น เปน็ ศิลปะการสรางลวดลายบนผืนผาเปน็ เอกลักษณอแ กี แบบหน่ึงของชาวมงที่มี การทาํ กนั ในกลมุ มงลายเทานั้น เป็นภูมิปใญญาและศิลปะโบราณดั้งเดิมที่เป็นมรดกตกทอดมาแตบรรพบุรุษ ถายทอดสบื ตอ กันมาจากรุน สูรุนหลายช่ัวอายุคนจนถึงปจใ จบุ ัน ผาเขียนเทียนเป็นผาท่ีชนเผามงผูกพันคู มากับความเป็นชนเผา ผหู ญงิ ชาวมงลายทุกคนมคี วามสามารถในการวาดลวดลาย เขียนเทียนลงบนผืน ผาที่ตระเตรยี มไวไ ดอยางละเอียดซับซอ น ผานกระบวนการจนเสร็จส้ินเป็นผืนผาสําเร็จสวยงาม ผามง เขยี นเทียนจงึ เปน็ ทีร่ จู กั และนิยมกันอยางแพรหลาย สวนใหญนิยมนามาใชตัดเย็บเป็นกระโปรงผูหญิง ในอดตี ผหู ญงิ ชาวมง จะบรรจงวาดลวดลายเขียนเทียน แลวนําไปยอมสีและอัดกลีบแลวจึงนําไปตัดเย็บ กวาจะผานกระบวนการจนแลวเสร็จเป็นกระโปรง ๑ ตัว อาจตองใชเวลาในการทํายาวนานถึงเกือบ ๑ ปี เพือ่ ใหไดกระโปรงทห่ี ญิงสาวชาวมงจะใชส วมใสในงานสาํ คญั อยางสวยงามท่ีสดุ 124
๒.๙ ลีซอ (ลซี )ู ในจังหวัดลาปาง ๒.๙.๑ ประวตั ิศาสตรค์ วามเปน็ มา ชาตพิ นั ธแ์ุ ละการเคลื่อนยา้ ย ลีซู (Lisu) หมายถึง ชนผูใฝุรูแหงชีวิต มีความหมายมาจากรากศัพทแ ๒ คํา คือคําวา “ลี” มา จากคําวาอิ๊หลี่ ซึ่งหมายถึง จารีตประเพณี วัฒนธรรม และวิถีปฏิบัติแหงชีวิต สวนคําที่สอง คือคําวา “ซ”ู มีความหมายวา ศึกษา การเรยี นรู ทงั้ การเรียนรูในเชิงทฤษฏีและเชิงปฏิบัติ ลีซูเป็นกลุมชาติพันธุแ ที่จัดอยูในกลุมธิเบต - พมา ของชนชาติโลโลถิ่นกําเนิดด้ังเดิมของชนเผาลีซูอยูบริเวณตนนํ้าโขงและ แมน้ําสาละวิน อยูเหนือหุบเขาสาละวินในเขตมณฑลยูนนานตะวันตกเฉียงเหนือ และตอนเหนือของ รัฐคะฉิ่น ประเทศพมา ชนเผาลีซูสวนใหญมีความเชื่อวาเมื่อ ๔,๐๐๐ ปี ท่ีผานมา เคยมีอาณาจักรเป็น ของตนเอง แตต อ งเสียดินแดนใหกับจีนและกลายเป็นคนไรชาติ ตอมาชนเผาลีซูจึงไดเคล่ือนยายเขาสู รัฐฉานตอนใต กระจัดกระจายอยูตามภูเขาในเมืองตาง ๆ เชน เมืองเชียงตุง บางสวนอพยพไปอยูเขต เมืองซือเหมา สิบสองปในนา ประเทศจีน หลังจากน้ันไดอพยพลงมาทางใตเน่ืองจากเกิดการสูรบกัน ระหวา งชนเผา อนื่ นบั เวลาหลายศตวรรษ ชนเผาลีซูไดถอยรนเรื่อยลงมา จนในท่ีสุดก็แตกกระจายกัน เขา สปู ระเทศพมา จีน อนิ เดีย แลว เขาสูประเทศไทยเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๔ กลุมแรกมี ๔ ครอบครัว มาตั้งถน่ิ ฐานเปน็ ชมุ ชนคร้ังแรกอยทู ี่บา นหว ยสาน อาํ เภอเมอื งเชียงราย จงั หวดั เชยี งราย อยไู ดประมาณ ๕ - ๖ ปี ก็มกี ารแยกกลมุ ไปอยหู มูบ า นดอยชาง ทาํ มาหากนิ อยแู ถบ ตาํ บลวาวี อาํ เภอ แมสรวย จังหวัด เชยี งราย จากการสอบถามคนเฒาคนแกชาวลีซู ถึงเร่ืองราวการอพยพวา ไดอพยพมาจากหมูบานแหง หน่ึงทางตอนใต ของเมืองเชียงตุงประเทศพมา เขามาต้ังถิ่นฐานอยูที่บานลีซูหวยสาน อําเภอเมือง เชียงราย จังหวัดเชียงราย และโยกยายไปตั้งบานเรือน ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม แมฮองสอน ลําปาง ตาก พะเยา กําแพงเพชร เพชรบูรณแ แพรและสุโขทัย ลีซูไมมีภาษาเขียนของตนเองลีซู แบง ออกเป็น ๒ กลุมยอ ย คือ ลซี ูลายกบั ลีซดู าํ ชาวลีซูที่อยใู นประเทศไทยเกือบท้ังหมดเป็นลีซูลาย สวนลีซู ดาํ น้นั อยู พมา จีน50 ในมติ กิ ารศึกษาเชงิ ประวตั ศิ าสตรทแ อ งถิ่นพบวา ถน่ิ ฐานด้งั เดิมและวัฒนธรรมชาติพันธแุลีซูมักจะ เป็นท่ีรับรกู นั วาอยูท างทิศตะวันตกเฉียงใตของจีน แตทวานอกเหนือจากพ้ืนท่ีของประเทศนั้นแลว ก็มี คนท่ีรูจักลีซูและวัฒนธรรมลีซูไมมากนัก อาจมีความเป็นไปไดวาสาเหตุหลักอาจเนื่องมาจากการขาด ภาษาเขียนของชาติพันธุแ ทําใหไมเคยมีการจดบันทึกประวัติศาสตรแของตัวเอง หรืออาจเป็นไปไดอีก เชน กนั วาเป็นเพราะการอพยพยา ยถิ่นฐานกนั บอยครั้งในชวงหาศตวรรษท่ีผานมา และการยายถ่ินฐาน 50 ทวชิ จตุวรพฤกษ.แ เสยี งจากคนชายขอบ: ศักด์ศิ รีความเปน็ คนของชาวลีซูอาเภอ เชียงใหม: เครอื ขา ยชาตพิ ันธแุศกึ ษา 125
แตล ะครั้งมักจะเป็นการเลย่ี งเพ่อื นบานผูซึ่งมีอํานาจและมีการศึกษามากกวา การยายถ่ินฐานบอยครั้ง เชนนี้ก็อาจเป็นสวนหน่ึงที่ทําใหชาวลีซูรูสึกถึงความไมจําเป็นในการบันทึกประวัติศาสตรแของตัวเอง ข้นึ มากเ็ ปน็ ได ลีซู เป็นคําที่ถูกใหความหมายดวยกันหลายประการ เป็นตนวา “ลี” มาจาก อิ๊หล่ี หมายถึง จารตี ประเพณี และ “ซ”ู มาจากคําวา “คน” ดงั นนั้ กรมประชาสงเคราะหจแ งึ ตคี วามวาลซี ู นาจะมายถึง กลุมคนท่ีมีขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม และมีความภาคภูมิใจในตนเอง ผูเชี่ยวชาญดาน ภาษาศาสตรแไดใหความหมายวา ลีซู (Lisu) หมายถึงคนปุา แตมีความเป็นไดเชนกันวานอกเหนือจาก ความหมายนีแ้ ลว อาจยังมีความหมายอ่ืนๆ อีกก็ได ท้ังนี้ คําศัพทแเกาของพมาและชาวจินปอ (inghpaw) ท่เี รียกชาติพันธุแลีซูคือ “ยอยิน” (Yawyin) เป็นคําที่กลายมาจากภาษาจีนคือคําวา Yeren ซึ่งหมายถึง คนปุานั่นเอง 51 อยางไรกต็ าม มีผูศ กึ ษาชาตพิ นั ธลุแ ซี ูไดบนั ทกึ ไววา ชาตพิ นั ธุแลีซสู ามารถแบงออกไดเ ปน็ สองกลุม คือ กลุมลีซูลาย (Florid/Flowery/Variegated Lisu) อาศัยอยูในประเทศไทยและอินเดีย กลุมลีซูดํา (Black Lisu/Independent Lisu) อาศยั อยูในประเทศพมาและจีน โดยเฉพาะในเขตการปกครองฟูกง (Fugong) และดง ฉาน (Dongshan) มณฑลยูนนาน และบางสวนในประเทศไทย แตก็มกี ารบันทึกไวอีก เชน กันวายงั มีลีซูอกี กลมุ หนง่ึ คอื กลุมลีซูขาว (White Lisu) ซง่ึ อาศัยอยใู นประเทศจีนเชน กนั และเน่ืองจาก ลซี ถู ูกสนั นษิ ฐานวามาจากประเทศจนี ชาวลีซูแตล ะกลุมจึงถูกเรียกดวยภาษาจีนดังตอไปน้ี ลีซูลาย คือ Hua/Hwa ลีซูดํา คือ He/Hei และลีซูขาวคือ Pai/Pe การที่ชาวจีนไดแยกชาวลีซูออกเป็น สามกลุม เชนน้ีเป็นเพราะแตละกลุมมีความแตกตางกันในเรื่องของการแตงกาย ภาษา และระดับหรือความ เขม ขน ของการถูกทําใหกลายเปน็ จีน52 ท้ังนี้การเริ่มตนอพยพเขามาในประเทศไทยของชาติพันธุแลีซูไดถูกบันทึกไวคอนขาง หลากหลาย บางก็บันทึกไววาชาวลีซูกลุมแรกที่เขามาไดอาศัยอยูที่อําเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม กอน ซึ่งกค็ อื ราวปี พ.ศ. ๒๔๘๘ บางก็บันทึกวานาจะราวปี พ.ศ. ๒๔๖๔ โดยส่ีครอบครัวแรกไดเดินทางเขา มาเป็นผกู อ ตั้งหมบู า นดอยชา ง อําเภอแมส รวย จังหวดั เชียงราย และในปีตอมาอีก ๑๕ ครอบครัวจึงได อพยพตามเขามา ประวัติศาสตรแชาติพันธแุลีซู ยกเวนลีซูดําไดถูกบันทึกวาแตเดิมอาศัยอยูในมณฑลยูน นาน ทิศตะวันตกเฉยี งใตข องประเทศจนี แตการจะระบุอยางชัดเจนลงไปวาตนกําเนิดของชาติพันธุแลีซู จริง ๆ มาจากท่ีใดคงเป็นไปไดยากอาจทําไดดวยการตั้งขอสันนิษฐานวานาจะมีจุดเริ่มตนที่เทือกเขา หมิ าลัยทางทิศตะวนั ออกของธิเบต และกระจายออกไปทางทศิ ตะวันออกของชายแดนยูนนาน - เสฉวน (Yunnan-Szechwan) อพยพไปจนถึงเมืองติงโฉว (Tingchou) ทางตอนเหนือของคุนหมิง และไกล ออกไปจนถงึ เมอื งมติ จนี า (Myitkyina) ของรฐั คะฉ่นิ ประเทศพมา การอพยพลงมาสูทางใตไดนําพาชาวลีซูเขามาสูจังหวัดเชียงใหม (โดยเฉพาะอําเภอเชียงดาว และอําเภอแมแตง) และจังหวดั เชยี งราย การกระจายตัวของชาติพันธแุลีซูในประเทศไทย ประมาณรอยละ ๔๗ อาศัยอยูใ นจังหวัดเชียงใหม รอยละ ๒๓ ในจังหวัดเชียงราย รอยละ ๑๙ ในจังหวัดแมฮองสอน และ อีกรอยละ ๑๑ กระจายอยทู ั่วจังหวัดพะเยา ตาก กําแพงเพชร เพชรบูรณแ และสุโขทัย ปใจจุบัน ชาติพันธแุ 51 https://www.sac.or.th/databases/ethnic-groups/ethnicGroups/96 เขถง 24/9/2563. 52 อยา งไรก็ตาม ลีซลู ายจะเรียกตนเองเปน็ ภาษาลซี ูวา ลีซเู ชเช (Lisu Sha Sha) ลีซูดําจะเรียกตนเองวา ลีซูโลหวู (Lisu Lo Wu) สวนลีซู อีกกลุมหน่งึ เรยี กตนเองวา ลีซหู ลซู ือ (Lisu Lushi) 126
ลีซู หรือผูคนท่ีนิยามตนเองวา ลีซู มีอยูประมาณหนึ่งลานกวาคนโดยกระจายอยูตามประเทศตาง ๆ ในเอเชียอาคเนยแ เชน ประเทศจีนมีชาติพันธแุลีซูอาศัยอยูราว ๘๐๐,๐๐๐ คน ประเทศพมาประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ คน ประเทศไทยประมาณ ๓๕,๖๒๒ คน (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของ มนุษยแ, ๒๕๖๐) และประเทศอินเดียอีกประมาณ ๔,๐๐๐ คน 53 ชาวลีซูท่ีอยูในประเทศไทยเกือบ ท้ังหมด เปน็ ลซี ูลาย สวนลซี ูดาํ จะอยใู นประเทศจีน พมา อินเดีย และไทย ในประเทศไทย มีชุมชนลีซู อาศัยอยู ๙ จังหวัด คือ เชียงราย เชียงใหม แมฮองสอน พะเยา ตาก กําแพงเพชร เพชรบูรณแ สุโขทัย และลาํ ปาง ตระกูลดั้งเดิมของชาวลีซูเดิมมี ๖ กลุม คือ น้ําผ้ึง (เบ่ียซือวี) ไม (ซือผา) ปลา (งัวะผา) หมี แมลง ขาวสาลี และกญั ชง ตระกูลน้ําผึง้ ใหญท่ีสุด แตกออกเป็นอีก ๓ กลมุ ยอ ย มอี ยู ๙ สายตระกูลจาก การแตง งานขามเผากับชาวจีนฮอ เชน ลี ยาง วาง เหยา วู เขา โฮ จู และจาง ในกลุมนี้ ยาง และลีเป็น กลมุ ใหญทีส่ ุด54 สําหรบั ชาวลซี ใู นจังหวดั ลําปาง พบวา เดิมทีกอนการอพยพเขาสูจังหวัดลําปาง ชาวลีซอกลุมนี้ เคยอาศัยอยูในเขตพ้ืนที่ อําเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีชาวลีซอ จํานวน ๓๙๗ คน ตอมามีการ อพยพชาวบา นกลมุ นม้ี าอยูท่ีบา นวังใหม ตาํ บลรอ งเคาะ อาํ เภอวังเหนอื ในพืน้ ทจ่ี ัดสรรใหเน่ืองจากการ ประกาศเขตอุทยานแหงชาติแมสาน - ดอยหลวง โดยชาวลีซูอาศัยอยูรวมกับชาวเมี่ยน ลัวะ ซ่ึงเป็น พ้ืนที่ต้ังของชุมชนในปใจจุบันน้ี บานวังใหมมีประชากรรวมท้ังหมด ๘๕๕ คน จํานวน ๑๖๘ ครัวเรือน จาํ แนกเปน็ เผา เยา จาํ นวน ๖๑๘ คน ๑๓๑ ครัวเรือน ลัวะ ๑๒ ครัวเรือน มีจํานวนประชากรรวม ๖๙ คน ลีซอ ๒๐ ครวั เรอื น มีจํานวนประชากร ๑๑๘ คน สวนกลุมชาวลีซูที่อาศัยอยูในบานหวยน฿อต ตําบลบานโปุง อาํ เภองาว อาศัยปะปนกบั กลมุ ชาตพิ ันธอแุ าขา ลาหู และเม่ียน มีจํานวนประชากรไมมากเทาบานวังใหม สวนในพื้นท่ีบานแมแจเมปางเยา อําเภอเมืองปาน พบวาเป็นชาวลีซูท่ีแตงงานขามเผากับชาวเม่ียนใน พ้นื ทซี่ ง่ึ เป็นคนกลมุ ใหญเ มื่อแตง งานก็พากันอพยพมาอยูกบั ครอบครวั ชาวเมยี่ นในบา นแมแ จมเ 53 ลีซูดํา (Black Lisu/Independent Lisu) เป็นกลุมลีซูท่ีคงความเป็นอิสระชนอยางแรงกลาและมักจะอางถิ่นกําเนิดตนเองวามาจาก ประเทศธิเบต ไมใ ชมณฑลยูนนานเหมือนลีซกู ลุม อนื่ ๆ 54 สภาวัฒนธรรมอําเภอคลองลาน. (2549). วัฒนธรรมทองถ่ินและภูมินามหมูบานตําบลคลองลาน อําเภอคลองลาน จังหวัด กําแพงเพชร. กาํ แพงเพชร: สภาวัฒนธรรมอาํ เภอคลองลาน. 127
๒.๙.๒ ลกั ษณะโครงสรา้ งทางสังคม ระบบครอบครัวและเครือญาติ : ครอบครัวของชาวลีซูเป็นลักษณะครอบครัวขยาย การสืบสาย ตระกลู จะถอื การสบื สายโลหติ ทางฝุายบิดาเป็นสําคัญ เมื่อบุตรชายคนโตแตงงานตองนําภรรยาเขามา อยบู านบดิ ามารดาของตน เพราะถือวา บตุ รชายเป็นผูไดร ับมรดกสบื แซส กุล และบุตรชายคนโตเป็นใหญ ในบรรดาพี่นอง ถานองชายแตงงาน บุตรชายคนโตท่ีมีครอบครัวแลว จะแยกเรือนออกไปอยูตางหาก การนับญาติก็จะนับถือกันไปตามศักด์ิและอายุเป็นสําคัญ ชาวลีซูใชระบบสายสกุล หรือตระกูล โดย ตระกูลท่มี อี ยใู นไทย ไดแ ก ตะ฿ หมิ (ตามีห่ รอื แสนมี่) หยา จา (แซยาง) หลจี่ า (แซลี้) นุหล่ี (แซล้ี) ซญอหมิ (แซม ่ี) โอชอื (แมวปาุ ) จูจา (แซจู) จญาจา (สินจาง) งว่ั ผา (เลายป่ี า) หวา จา (แสนวา ง) ซือผา และตอจา (สีตอน) ครอบครัวและระบบเครือญาติลีซูเนนใหความสําคัญกับตระกูลของฝุายชาย เพราะฉะนั้น ลีซู หลายครอบครัวจงึ อยากมลี กู ชายไวส บื สกุล ลีซมู อี ยูดวยกันหลายตระกูล เชน แซจู (จูจา), แมวปุา (อูชือ), แซมี่ (ฉอหมิ), แซยาง (หยะจา), ตามี่หรือแสนมี่ (ต฿ะหมิ) สีตอน (ตเอจา) เลายี่ปา (งั๊วะผะ) และแซล้ี (หล่ีจา) แซจาง, แซจเาว, แซกวาง นูหลี่ เบ่ียอูชือ ฯลฯ แตละตระกูลมีความแตกตางเฉพาะดาน เชน ดานพิธีกรรมบางอยางที่บางตระกูลไมนิยมกระทําเพราะเช่ือวาเป็นลีซูแท ตัวอยางเชน ตระกูล แมว ปุา โดยตระกูลน้ีจะใชเทียนจุดทําพิธีตาง ๆ แทนธูป ไมมีการทําพิธีกินขาวโพดใหม และไมมีการเฉลิม ฉลองปใี หมทีส่ องหรอื ทเ่ี รยี กวา “ปีใหมผูชาย” เปน็ ตน นอกจากพิธีกรรมแลว ความแตกตางของแตละ ตระกูลยังรวมไปถึงการต้ังห้ิงบรรพบุรุษไวในบานดวย (ตระกูลและครอบครัวที่ยังนับถือความเชื่อ ด้ังเดมิ ) โดยแตละตระกูลจะมจี ํานวนหิ้งและเคร่ืองเซนไหวตาง ๆ ที่จัดวางอยูบนหิ้งแตละหิ้งไมเทากัน หรือแมแตตระกูลเดียวกัน จํานวนเคร่ืองเซนไหวที่จัดวางอยูบนห้ิงก็ไมจําเป็นตองเหมือนกันเชนกัน เนอ่ื งจากแตล ะครอบครวั มจี ํานวนบรรพบุรษุ ท่ตี อ งทําการเซนไหวไมเทากัน และเม่ือจํานวนบรรพบุรุษ ที่ตองการเซนไหวมีจํานวนเพ่ิมข้ึน ความคับแคบของพ้ืนท่ีบนหิ้งจะเริ่มข้ึน เพราะฉะน้ัน แตละ ครอบครวั จะตองทําการขอใหบรรพบุรุษท่ีเกาแกที่สุดซ่ึงไดรับการสักการะมาเป็นเวลานานพอสมควร ออกจากการสิงสถิตอยูบนห้ิง เชน บรรพบรุ ษุ รนุ เทยี ดหรือเชียด ปูทุ วด ตาทวด และยายทวด เป็นตน เร่ืองของแซตระกูลยังมีบทบาทในการนับญาติและความเหมาะสมสําหรับการเลือกคูครอง อีกดวย เชน ลูกชายหรือลูกสาวของนองชายของแม (นาชาย) สามารถแตงงานกับลูกสาวหรือลูกชาย ของพส่ี าวได แตใ นกรณที ล่ี ูกชายหรือลูกสาวของพี่สาวของแม (ปูา) ไมสามารถแตงงานกับลูกสาวหรือ ลูกชายของนอ งสาวได ประการสําคญั เรื่องตระกลู คอื การไมเ กี้ยวพาราสี ไมก ระทําพฤติกรรมเชิงชูสาว หรอื แตงงานกับคนทมี่ ีตระกูลเดยี วกัน อยา งไรก็ตาม วญิ ญาณบรรพบรุ ุษไมจําเป็นตองสิงสถิตอยูบนหิ้ง และมาจากฝุายชายอยางเดียว อาจมีการขอใหวิญญาณบรรพบุรุษของฝุายหญิง เชน คุณแมของฝุาย หญิง เขามาอาศยั อยใู นบา นไดและสามารถทาํ พธิ ีใหกับวญิ ญาณบรรพบุรษุ ของฝุายหญิงในบางพิธีกรรม ไดเชนกนั วญิ ญาณบรรพบุรุษประเภทนี้ โดยสวนใหญจ ะไมถูกกระทําพิธีกรรมบนหิ้ง แตอาจเป็นมุมใด มุมหน่งึ ภายในบริเวณบา น ซ่ึงไมไกลจากหงิ้ บรรพบุรุษ โครงสรา้ งการปกครอง : ในอดีตโครงสรางการปกครองท่ีไมเป็นทางการมีบทบาทสําคัญมาก ในชุมชน เชน (๑) มอื หมือผะ (ผนู าํ ดา นพธิ กี รรม) ทําหนาท่ีดานพิธีกรรม (๒) หนี่ผะ (หมอผี) ทําหนาที่ เช่ือมโยงระหวางโลกมนุษยแกับโลกของวิญญาณ (๓) โชโหมวโชตี (ผูอาวุโส) บุคคลที่มีอายุ และเป็นท่ี 128
เคารพนับถือของชุมชน ทําหนาที่ใหคําปรึกษาในกิจกรรมหรือขอพิพาทตาง ๆ ของชุมชน ในปใจจุบัน มีโครงสรางการปกครองทางการเหมือนเชน ชุมชนท่ัวไป ๒.๙.๓ วิถชี ีวิตความเปน็ อยู่ ความเชอ่ื ประเพณี และพธิ กี รรมต่าง ๆ การทามาหากิน : ในอดีตอาชีพของชาวลีซูในชวงปี พ.ศ. ๒๕๑๓ - ๒๕๒๑ เป็นอาชีพท่ีเนน การปลูกฝนิ่ และเปน็ ยคุ เศรษฐกิจเพือ่ การยงั ชีพ ในยุคดงั กลา วชาวลซี มู อี าชพี ทําไรหมุนเวียน ปลูกขาวไร ขาวโพดและฝิ่น โดยฝ่ินถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักสําหรับขายเพ่ือใหไดมาซ่ึงเงินสด เพ่ือใชซ้ือส่ิงของ ท่จี ําเปน็ ในชีวิตประจําวัน กบั ใชฝ นิ่ เป็นยารกั ษาโรค ทส่ี าํ คญั คอื ไรฝ่ินยังเป็นพื้นท่ีสําหรับการปลูกพืชผัก เพอื่ เปน็ อาหารของมนษุ ยแและสตั วเแ ลยี้ งตาง ๆ กลา วคือ กอนทมี่ ีการปลูกฝิ่น กระบวนการปลูกขาวโพด ก็จะถูกเริม่ ตน กอนในพืน้ ทีเ่ ดยี วกัน นอกจากอาชีพทําไรหมุนเวียนและปลูกฝ่ินแลว ลีซูยังมีการปลูกผัก พืชพันธแุตาง ๆ ไวสําหรับบริโภคเองดวย เชน ขาวฟุาง ขิง มันฝร่ัง พริก ถั่ว ฟใกทอง และแตงตาง ๆ รวมถงึ การเลี้ยงสตั วแ เชน หมู ไก เป็ด แพะ วัวและควาย โดยแรกเร่ิมนั้นการเล้ียงสัตวแ ยังเป็นการเล้ียง เพือ่ การบรโิ ภคในชมุ ชนมากกวา แตตอมาไดม ีการเลี้ยงเพ่ือการคามากข้ึน โดยเฉพาะหลังจากท่ีรัฐบาล ไทยกับหนว ยงานตางชาติไดเพ่มิ ระดับความเขม ขน ของการปราบปรามยาเสพติด55 ขอสังเกตขางตนท่ีมีการกลาวถึงอาชีพหลักของชาวลีซูในชวงนี้วาเป็นอาชีพไรหมุนเวียนโดย ปลกู ขาวเป็นสว นใหญนน้ั อาจไมไดเกิดขน้ึ กับทุกชุมชนของลีซูเสมอไปเน่ืองจากแตละชุมชนที่ลีซูอาศัย อยนู ัน้ มีความแตกตางกันทางภูมิศาสตรแมาก โดยเฉพาะลซี ูท่อี ยูทางตอนเหนือของยูนนาน ประเทศจีน และพมา ซ่ึงเป็นพื้นท่ี ๆ ที่มีอากาศเย็นจัด อาจทําใหปลูกขาวไรไมได จึงตองมีการปรับเปลี่ยนระบบ การเพาะปลกู เป็นขาวนาหรอื นาขั้นบันไดแทน การปรบั ตัวหรอื ความแตกตา งในระบบการผลิตจึงข้ึนอยู กบั บรบิ ทแวดลอ มทางภูมิศาสตรแของแตละชุมชนที่ลีซูอาศัยอยูเป็นสวนใหญ ในดานวิถีชีวิตและอาชีพ ของชาวลีซูในประเทศไทยถูกเปล่ียนแปลงจากระบบเศรษฐกิจเพ่ือการยังชีพเป็นระบบเศรษฐกิจ เพอื่ การตลาดระหวางปี พ.ศ. ๒๕๒๑ - ๒๕๓๐ ทง้ั น้ี แมร ัฐบาลจะประกาศใหเลกิ เสพฝ่นิ และคาฝ่นิ มาต้ังแต พ.ศ. ๒๕๐๒ แตยงั ไมมีนโยบายทีช่ ดั เจนในการแกไ ขปใญหาการปลกู ฝ่นิ ของเกษตรกรบนพ้ืนทีส่ ูง จนกระทั่ง ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ไดริเริ่มโครงการหลวงข้ึน หนวยงานอื่น ๆ ของภาครัฐและองคแกรระหวางประเทศจึงดําเนินโครงการ สงเสริมพืชทดแทนฝ่ิน หลังการประกาศยกเลิกการปลูกฝิ่นไมเฉพาะชาวลีซูเทานั้นที่ตองปรับเปลี่ยน วธิ กี ารดํารงชีพชาติพันธุอแ ่ืน ๆ ซึ่งเคยอาศัยอยูบนพ้ืนท่สี ูงและเคยปลูกฝิน่ เชน มง เมย่ี น ลาหู และอาขา ตางตองปรบั เปล่ยี นวิถีชีวิตตามคําประกาศ และตอมาเมื่อแผนการปลูกพืชทดแทนฝ่ินเร่ิมข้ึนเร่ิมมีการ ถางท่ีดินเพิ่มมากข้ึน เพ่ือใชทําการเพาะปลูกพืชเชิงพาณิชยแหรือพืชท่ีเส่ียงตอความไมมั่นคงในรายได เชน มะเขือเทศ และกะหล่ําปลี เป็นตน นักมานุษยวิทยา Hutheesing (๑๙๙๐) พบวาหลังจากที่ระบบ เศรษฐกิจไดปรับเปลี่ยนไป หมูบานชาวลีซูในหลายพื้นท่ีก็พบกับปใญหาเรื่องแหลงรายได ชาวบานได พยายามปลูกพชื เชงิ พาณชิ ยแทงั้ สองชนดิ แตกไ็ ดราคาไมดหี รอื รายไดไมค ุมกับการลงทุน เนื่องจากตลาด มีความผันผวนอยูตลอดเวลา นอกจากน้ียังมีปใญหาการเส่ือมโทรมของท่ีดิน เน่ืองจากท่ีดินถูกใชเป็น ประจํา ท้ังยังตองใชสารเคมีในเกษตรกรรมเพ่ิมมากขึ้น ปใจจุบันชาวลีซูจํานวนมากโดยเฉพาะวัยหนุม สาวไดล ะท้ิงการเกษตรและมุง เขา ทํางานในเมอื งเพอ่ื รบั จาง หรอื คา ขาย 55 อะมมี ะ แซจ ู นกั วิจัยอิสระ / ผดู แู ลศนู ยแมรดกวฒั นธรรมลีซู 129
อาหารวัฒนธรรมการกนิ : อาหารลซี ูทไ่ี ดร ับความนิยมคือนํ้าพริกมะเขือเทศ หรือ “จ฿ะสู” ใน ภาษาลีซู โดยนํ้าพริกนี้จะเนนมะเขือเทศ กระเทียม ผักชี เกลือ ผงชูรส และพริกปุนเป็นหลัก การรับประทานอาจราดบนจานขาวหรอื จิ้มกับผักสดเหมือนนาํ้ พรกิ ทว่ั ไป อาหารประเภทนี้สามารถทาน ไดทุกมื้อ แตม้ือท่ีไดรับความนิยมมากท่ีสุดคือมื้อกลางวัน สวนม้ืออื่นๆ มักเนนการตมผักกาดโดยใช เนื้อหมู หรือไกเ พียงนอยชิ้น นอกจากนํ้าพริกดังกลาวแลว อาหารลีซูยังมีตมหนอ ลาบหมู ผักกาดดอง และหมูทอด ซ่ึงเปน็ เมนูอาหารทไ่ี ดร บั ความนยิ มในชวงเทศกาลตา ง ๆ เชน เทศกาลปีใหม งานแตงงาน และงานเลี้ยงท่วั ไป เปน็ ตน อยางไรก็ตาม แมว า อาหารลซี ูจะมีความเรียบงายกับวิธีการปรุงอาหารและ วัตถุดิบท่ีสามารถหาไดงายตามพื้นที่หมูบาน แตยังมีอาหารอีกประเภทหน่ึงท่ีชาวลีซูใหความเอาใจใส เป็นอยางยิ่งคือ อาหารสําหรับผูหญิงที่ใหกําเนิดบุตร โดยอาหารประเภทนี้จะเนนอาหารท่ีสดและสุก ใหม ๆ ไมนิยมรับประทานอาหารที่เหลือจากม้ืออ่ืน ๆ จําเป็นตองทานเน้ือไกกระดูกดํา (โดยเชื่อวามี สรรพคณุ ในการบาํ รงุ กําลัง) ไขไก และยังตองนําเคร่ืองเทศตาง ๆ มาปรุงกับอาหารประเภทนี้เพื่อสราง ภูมิคุมกันใหกับแมและเด็ก สําหรับอาหารที่ใชในชวงเทศกาล หรือเวลามีพิธีกรรมอยู ๓ อยาง ไดแก มาหวูจ฿าจา฿ (ตมหนอ ไมก บั กระดูกหมู) ขวเากีกือ (ลาบหมู) และ ขวาลู ๆ (ทอดหมู) นอกจากน้ันลีซูยังมี การถนอมอาหารเพื่อที่จะสามารถเก็บไวกินในยามแลง ไดแก ผักกาดดอง ผักกาดตากแหง ไสกรอก หมรู มควนั รากหอมชูดอง เป็นตน 56 การแต่งกาย เคร่ืองแตงกายชายลีซูสวมกางเกงขากวางยาวเลยเขาเล็กนอย ลักษณะสีท่ีนิยม คือ สีฟูา เขียวออน หรือสีอื่น ๆ (ที่เป็นสีโทนเย็น) สวนคนสูงอายุนิยมใชสีดําหรือสีมวงเขม เส้ือคลาย เส้ือแจค็ เก็ตสีดํา ทําดว ยผา ใยกัญชา (ในอดีต) หรือผากํามะหยี่ (ในปใจจุบัน) ประดับดวยแผนโลหะเงิน รปู ครงึ่ วงกลมเยบ็ ตดิ กบั เสือ้ เรยี งเปน็ แถวทงั้ ขางหนาและขา งหลงั (เสอื้ กํามะหย่นี ้จี ะสวมเฉพาะวันปีใหม และวันแตงงานของตนเองเทานั้น) อีกทั้งนิยมสวมถุงนองเป็นผาดํา และติดดวยแถบสีสดใส เคร่ือง แตงกายหญิงลีซูไมวาจะเป็นเด็ก หญิงสาว หญิงแตงงานแลว หรือคนชรา จะแตงกายเหมือนกันหมด กางเกงจะเปน็ สีดํายาวเลยเขา เล็กนอย มีเส้ือคลุมยาว นิยมสีฟูา หรือสีโทนเย็นท่ีมีสีสดใส ตัวเสื้อต้ังแต เอวลงมาจะผาทั้งสองขาง แขนยาว ท่ีปกคอติดแถบผาสีดํา ยาวประมาณ ๑ คืบ ชวงตนแขนและหนาอก ตกแตงดวยผาหลากสีเย็บติดกันเป็นแผน คาดเข็มขัดซึ่งเป็นผาดําผืนใหญ กวางขนาดฝุามือ หญิงนิยม 56 อะซามะ ฉนิ หม.ี ความซบั ซอนและความลื่นไหลของอัตลักษณแทางชาติพันธุแผานชีวิตของผูหญิงลีซูคนหนึ่ง. วิทยานิพนธแศิลปะศาตรแ มหาบัณฑิต สาขาวชิ าสตรีศกึ ษา มหาวิทยาลยั เชยี งใหม, 2548 130
โพกศีรษะ (จะใชผ า โพกศรี ษะเฉพาะในงานสําคัญ เชน งานแตงงาน ปีใหม) ใชผาพันแขง ดวยผาพื้นสี โทนรอ น (แดง ชมพู มวง) ปลายขอบลางติดแถบผาหลากสีและมีลายปใกที่สวยงาม เมื่อมีพิธีกรรมหรือ งานฉลองก็จะสวมเสื้อก๊ัก ผา กํามะหยี่ ซึง่ ประดบั ดวยแผน โลหะเงินรูปครึง่ วงกลม และเหรียญรูปี เคร่ืองแตงกายของผูหญิงลีซอเป็นการแสดงใหเห็นถึงอัตลักษณแชาติพันธแุที่ชัดเจนกวา เครื่อง แตง กายของผูชายเน่อื งจากมีสัญลักษณทแ ่เี ป็นเอกลักษณปแ ระจาํ ชาติพันธุแ คอื แถบผาท่ีถูกนํามาประกอบ และตกแตงบริเวณตาง ๆ เชน บริเวณหัวไหล หนาอก และหลัง ผาแถบบริเวณดังกลาวไดถูก ปรับเปล่ียนในดานของความกวาง และความหลากหลายของสีสัน ความกวางไดถูกทําใหแคบลงมา เหลือเพียงไมก่ีเซนติเมตรและสีท่ีใชเย็บผาแถบไดลดลงเหลือเพียงสองสีคือ สีสม และสีแดง อยางไร ก็ตาม แมวาลวดลาย และสีสันของชาติพันธแุไดหายไปในชวง พ.ศ. ๒๕๔๐ แตชาวลีซอหลายคน กลับนิยมสวมใสเสื้อผาลีซอกันมากข้ึนกวาเดิมโดยเฉพาะในกลุมวัยรุนท่ีเคยรูสึกเขินอายเวลาสวมใส ชดุ ชาติพันธุแ กลบั มแี นวโนม ทจี่ ะหยบิ ข้นึ มาสวมใสเพื่อเขารวมกิจกรรมทางวัฒนธรรมลีซอมากขึ้น และ ดว ยปรากฏการณแดังกลาวสงผลใหธุรกิจผลิตเส้ือผาสําเร็จรูปชาติพันธุแลีซอมีการแขงขันกัน ในปใจจุบัน เครอื่ งแตงกายของผูหญิงลซี อโดยเฉพาะสีของกางเกงเป็นการบงบอกถึงความแตกตางระหวางชายกับ หญงิ โดยตามธรรมเนียมแลว ผูหญิงลีซอไมควรสวมใสกางเกงลีซอสีใด ๆ นอกจากสีดําในขณะที่ผูชาย ลีซอสามารถสวมใสไดทุกสียกเวนสีดํา แตเน่ืองจากปใจจุบัน กางเกงลีซอเหลาน้ีไดถูกผลิตข้ึนภายใต ความตองการบริโภคความทันสมัย และแฟชั่นของเนื้อผา และลายผาทําใหเยาวชนชาวลีซอ ผูหญิง หลายคนหนั มาสวมใสกางเกงลซี อสีอื่น ๆ มากข้ึน ในขณะที่เยาวชนผูชายยังไมนิยมสวมใสกางเกงลีซอ สีดาํ และปรากฏการณกแ ารสวมใสสีกางเกงโดยไมสนใจความแตกตางทางเพศของเยาวชนผูหญิงน้ันได สรางความไมประทบั ใจใหก ับผูใหญลซี อพอสมควร เชอื กลีซอ หรือหางลีซอ หญิงลีซอยังมีความเชี่ยวชาญในการเย็บผาเป็นเสนเล็ก ๆ สีสันสดใส เพื่อนาํ มามดั รวมกัน ติดปลายแตล ะเสนดวยดายไหมพรมทรงกลมเป็นกระจุกเล็ก ๆ หลากสีสวยงามท่ี เรียกวา เชอื กลีซอ หรือหางลีซอซึ่งใชเป็นสิ่งแสดงเอกลักษณแประกอบชุดการแตงกายประจําชาติพันธุแ ที่โดดเดน โดยหญิงชาวลีซอจะนําหางลีซอนับรอยเสนน้ีไปหอยประดับไวที่เอวติดไวดานหนาของ กางเกง เชอื กลซี อนบั เปน็ เอกลกั ษณกแ ารแตงกายประจาํ เผาทีโ่ ดดเดน และมีความชัดเจนการสรางสรรคแ ลวดลายบนผนื ผา ปใกลีซอการสรางสรรคลแ วดลายบนผืนผาปใกลซี อนัน้ สรา งสรรคแขึ้นจากจนิ ตนาการท่ีได จากการเลียนแบบรูปราง รูปทรง ของอาวุธโบราณของชาวลีซอ โดยเรียกชื่อลวดลายจากจินตนาการ หรือจากการถายทอดบอกเลา จากบรรพบุรษุ การเรียกชื่อลวดลายเอกลักษณแแทบท้ังหมดจะเป็นภาษา ลีซอ หรือหากมีความหมายในภาษาไทยก็เป็นไปตามลักษณะของสัตวแ หรือสิ่งของในชีวิตประจําวันที่ พบเห็นไดในวิถีชีวิต ลวดลายที่เป็นเอกลักษณแบนผืนผาปใกลีซอจะสะทอนบุคลิก ตัวตนของชาวลีซอ อยางชดั เจน ท่ีแสดงถึงความกลาหาญ จิตใจเขมแข็ง การตัดสินใจท่ีเด็ดขาด สิ่งเหลานี้ลวนสะทอนอยู บนผืนผา ปกใ ลีซอ ต้ังแตเทคนคิ การตัดเย็บปะติด ใหเกิดรูปรางเรขาคณิต ท่ีเนนการตัดกันของรูปทรงที่ เป็นเสนตรง มีการเขามุมของลวดลายอยางชัดเจนท้ังมุมฉาก มุมแหลม ท้ังยังมีการใชสีตัดกันอยาง โดดเดน รุนแรง จนเกิดเป็นเอกลักษณแ และเสนห แของผา ปใกลีซอ 131
เทคนคิ การสรางสรรคแลวดลายผาปใกลีซอ ประกอบดวย เทคนิคหลัก คือ การเย็บ โดยจะเป็น การเย็บแถบผาเล็ก ๆ สลับสี และการสรางลวดลายท่ีตองการดวยเทคนิคการเย็บติดผาปะลงบนผืน ผา แถบพื้นสตี า ง ๆ ซึ่งถอื วาเปน็ ทักษะ และความชาํ นาญของหญิงชาวลีซอ ซึ่งความละเอียด และความ ยากของเทคนิคนี้ขึ้นอยูกับการกําหนดขนาดของชิ้นผาช้ินเล็ก ๆ ที่จะตองตัดใหพอดีสําหรับการสราง ลวดลาย ขนาดชิ้นผาท่ีตัดนั้นจะตองไมใหญ หรือเล็กจนเกินไปจากผาช้ินเล็ก ๆ จะถูกนํามาพับ ข้ึนรูปรางเปน็ ลวดลายตา ง ๆ อาทิ สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม แลวจึงนํามาเย็บติดกันในลักษณะตาง ๆ ตาม รูปแบบของลวดลายน้ัน ๆ บางลวดลายอาจเป็นการเย็บตอกันเพียงชั้นเดียว แตบางลวดลายก็ จาํ เปน็ ตอ งมีการเย็บช้ินผาเล็ก ๆ สลับซับซอนกันหลายช้ันกระบวนการเย็บติดผาแตละชิ้นจําเป็นตอง อาศยั การเวนระยะขนาดพนื้ ทใ่ี นสว นที่เป็นชอ งวางระหวางช้ินผาที่เทากันอยางสม่ําเสมอ ดวยสายตาท่ี แมน ยาํ เทคนิคการสรา งสรรคลแ วดลายเอกลกั ษณแทง้ั หมดน้ลี วนตอ งอาศัยความเช่ยี วชาญ ความละเอียด เปน็ อยางสงู บนลวดลายบนผืนผาปใกลีซอ 57 ศาสนาและความเช่ือ : ศาสนาและความเชื่อท่ีชาวลีซูในประเทศไทยนับถือ คือ ผี หรือการ เคารพวิญญาณบรรพบุรุษ ศาสนาพุทธ ท้ังน้ี การเปล่ียนศาสนา โดยเฉพาะศาสนาคริสตแกําลังไดรับ ความนิยมในบางกลุมเชนกัน การเขารับศาสนาอิสลามยังมีบางสวน แตเหตุผลมาจากการแตงงานกับ ฝุายชายซึ่งเป็นอิสลามมากกวา สวนลีซูท่ีอาศัยอยูในประเทศพมา จีนและอินเดียโดยสวนใหญนับถือ ศาสนาคริสตแ บทบาทของศาสนาพุทธในสังคมลีซูที่ชัดเจนคือ การปฏิบัติและการมีความเชื่อเร่ืองการ เขา วัดทําบุญเหมือนกบั ชาวไทยพนื้ ราบทว่ั ไป นอกจากนี้ หากหมูบานลีซูบานใดมีวัดพุทธอยูในหมูบาน ชาวบานจะใสบาตรใหกับพระในตอนเชาดวยเชนกัน หรือแมกระท่ังการสงลูกชายบวชเรียนตาม โรงเรียนศึกษาธรรมในจังหวัดตาง ๆ ลีซูที่อาศัยอยูในประเทศไทยสวนใหญยังคงมีความเชื่อเร่ืองการ กราบไหวบ รรพบุรษุ หรอื ศาสนาทใ่ี หค วามสําคัญกบั วญิ ญาณบรรพบรุ ษุ “วิญญาณนิยม” รวมถึงการให ความเคารพตอสรรพสิง่ ที่จําเปน็ ตอ การดาํ เนนิ ชวี ิต เชน การทาํ พธิ ีเซนไหวใ หก บั ผีน้ํา ผีเจาท่ี เชน ท่ีดิน ปุา ไร ตน ไม สตั วแปาุ และกอนหิน ฯลฯ สถานท่ีศักดิ์สิทธ์ิ ในสังคมชุมชนลีซูมีสถานท่ีสําคัญ ๆ ไดแก (๑) อ๊ีดามอ ซึ่งเป็นท่ีท่ีอํานาจ ศักดิ์สิทธ์ิท่ีใหญท่ีสุดอาศัยอยู ซ่ึงมีหนาท่ีปกปูอง คุมครองทรัพยากรธรรมชาติในอาณาเขตของชุมชน ซึ่งรวมไปถงึ พื้นท่ใี นการทํามาหากินดว ย และ อาปาโหมฮ ี ตองเปน็ พื้นทป่ี าุ ท่อี ยเู หนอื ชุมชน หรือสูงกวา 57 อะมมี ะ แซจู “กระบวนการกลายเป็นสินคา ของหัตถกรรมฝมี ือชาติพนั ธุแลีซู” คณะสังคมศาสตรแ (สาขาวชิ าชาตพิ ันธสุแ มั พนั ธแและการ พัฒนา) มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม. 2557. 132
ท่ีพักอาศัยของคนในชุมชน เป็นสถานท่ีประกอบพิธีกรรมระดับครอบครัว โดยมีผูอาวุโสที่สุดใน ครอบครัวเป็นผปู ระกอบพิธี และระดับชุมชนทม่ี หี มอื หมือผะหรอื โชโหมวโชตี เชน บางคนผูกขวัญไวที่ อาปาโหมฮ ี ก็ตองประกอบพธิ กี รรมเรียกขวัญท่อี าปาโหมฮี เปน็ ตน พธิ กี รรมท่สี าคัญ : พิธีกรรม “ซะละฉา” หรือการสรางศาลา (บางครั้งเรียกทานศาลา) น้ีจะ กระทําเม่ือรูสึกออนเพลีย ไมมีแรงหรือใหหมอผีทําพิธีสวดและฟใงผลการสวดวาเป็นเพราะอะไร พธิ กี รรมนี้ไดรับความนยิ มในกลุม ผูอาวโุ สเน่ืองจากเป็นพิธกี รรมท่ีทําใหพวกเขาเหลาน้ันอายุยืน โดยจะ กระทําทุก ๆ ๓ - ๔ ปี ในสวนของสถานที่ ๆ เหมาะสมสําหรับทําพิธีกรรมน้ีคือบริเวณท่ีมีคนน่ังพัก บอย ๆ เชน บริเวณแยกตาง ๆ เวลาท่ีมีคนเดินทางไปไร ก็จะน่ังพักศาลานี้และเวลาที่ผูคนน่ังพักแลว ประทับใจ จะพูดความรูสึกท่ีดีออกมา และคําพูดดังกลาวจะสงผลใหเจาของศาลารูสึกสบายใจและมี แรงมากขึน้ พิธกี รรมนเี้ ป็นพธิ กี รรมระดับบคุ คล การเขา รวมของสมาชิกในครอบครัวสามารถยืดหยุนได ตามความสะดวกของสมาชิกแตล ะคน พิธีกรรม “คุ๊สัว” น้ีจะกระทําหลังปีใหม อาจเป็นชวงเดือนไหนก็ไดแตไมควรรอนานเกินไป เพราะผี “คุ฿สัว” น้ีเป็นผีท่ีดุรายท่ีสุดในบรรดาผีท้ังหมด หากลาชาเกินไปอาจทําใหมีเหตุท่ีไมคาดคิด เกิดข้ึนได เชน การเสียชีวิตโดยไมทราบสาเหตุ ฯลฯ เหตุผลที่ตองกระทําพิธีกรรมดังกลาวเพราะ ตอ งการนาํ เอาสง่ิ ไมด ีออกจากบาน ใหความโชครา ยในปีที่ผานมาหายไปกับส่ิงของท่ีเซนไหวในพิธี โดย ส่ิงของเซนไหวเ พอ่ื ทาํ พิธีกรรมน้ีประกอบไปดวยเกลือ พริก ขิง เมล็ดฟใกทอง ขาวโพด ๑ ฝใก ขวดแกว เปลา ของมคี ม ถวยชามที่ไมดี เทียนไข ๑ คู (สมัยกอนไมมีเทียนไข ชาวลีซูใชนํ้ามันหมูแทน) ธูป ๑ คู ลํากลว ยส้ัน ๑ ลํา (พรอมกับแตงตัวใหกับลํากลวยดวยการใสหมวก ใสเส้ือผา หากมีกางเกงเด็กก็สวม กางเกงเดก็ ใหก ับลํากลว ยดวย) กระดาษที่ตัดออกมาเป็นรูปภาพคน ๓ แผน เส้ือผาเกา ผาเช็ดตัว รองเทา ตุ฿กตา ไผสาน อาหารแตละประเภท เชน ผักกาด ผักชี หรือผักอะไรก็ตามท่ีมีอยูในบาน เป็นตน เครื่องเซนไหวเหลาน้ีจะสามารถพบไดตามทายหมูบานของชาวลีซู พิธีกรรมนี้เป็นพิธีกรรมระดับ ครัวเรือน มีความจําเป็นอยางย่ิงที่สมาชิกในครอบครัวจะตองเขารวมพิธี แตสถานการณแปใจจุบันทําให สมาชิกในครัวเรอื นแตละคนตองแยกยายและหา งเหินกันออกไปเนือ่ งจากการศกึ ษาการงานและวิถีชีวิต แบบใหมในประเทศและตางประเทศ ทําใหไมสะดวกเขารวมพิธีได ความจําเป็นในการปรับความเช่ือ และการปฏิบัตติ อ พิธีกรรมตาง ๆ จงึ ปรับเปล่ียนและตองยอมรับกบั สถานการณเแ หลา น้ี พิธีกรรม “ชือ แป๊ะ ก๊ัวะ” หรือพิธีกินข้าวโพดใหม่ พิธีกรรมนี้จะเริ่มขึ้นในเดือน ๗ ของลีซู ซ่งึ ตรงกบั เดือนมิถนุ ายนของไทย พิธีกรรมน้ีเป็นพิธีกรรมท่ีจะตองทําในแตละปีโดยการเอาพืชผักท่ีเรา ปลูกหรอื พืชตาง ๆ มาเซนไหวใหกับวิญญาณบรรพบุรุษ เป็นพิธีกรรมท่ีสงผลใหวิญญาณบรรพบุรุษได กนิ สงิ่ ของเซนไหว และขอขอบคุณสง่ิ ศักดิ์สิทธท์ิ ี่ชว ยดูแลพชื ผลตลอดปีทผ่ี า นมา สิ่งของตาง ๆ ท่ีจะตอง นํามาทําพิธีประกอบไปดวย ดอกไมแตละประเภท รวมถึงดอกแตงกวา ออย ขาวโพดฝใกออน (ท่ียังมี ดอกขาวโพดตดิ อย)ู ขา วโพดฝกใ แก (ไมมีดอกขาวโพด) สัปปะรด และผลไมตาง ๆ จํานวนการสักการะ ของพืชผักน้นั ข้ึนอยูก ับจํานวนบรรพบรุ ษุ พิธีกรรมเรียกขวัญหรือ “โชฮาคู” จะถูกจัดข้ึนเม่ือมีอาการดังตัวอยางตอไปน้ี เชน อารมณแ แปรปรวน หงุดหงิดงายเมื่อไดยินคนอื่นพูด (แมคนอ่ืนจะพูดดีดวย แตฟใงอยางไรก็ไมรูสึกสบอารมณแ) จิตใจไมส งบ สบั สนวุนวาย บางครง้ั รสู ึกเหมอื นมีเสยี งออกมาจากหูหรือหูอื้อซ่ึงแสดงใหเห็นวาขวัญหาย นอนละเมอและถกู ผอี ําบอ ย (แสดงวาขวญั อยูกบั ผ)ี หรือฝนใ ไมด บี อ ยครั้ง เชน ฝนใ วามีลูก ฝในถึงผีราย ฯลฯ 133
ดวยอาการท่ีกลาวมาขางตน ทําใหตองมีพิธีกรรมน้ีเพ่ือเรียกขวัญกลับมาสูโลกมนุษยแผูท่ีมีขวัญออน จะตองกนิ หวั ใจไกห รอื หมู (แลวแตวาจะเลือกสัตวแประเภทใดในการทําพิธีกรรมน้ี)หลังจากที่หมอเมือง ทาํ พิธเี สร็จส้ิน โดยมีความเชื่อวาระหวางที่หมอเมืองไดทําพิธีอยูน้ัน ขวัญไดกลับมาน่ังอยูในหัวใจของ หมหู รือไกแลว ผูท่ีขวัญออนจะตองกินหัวใจสัตวแและขาวสวยที่อยูในถวยอยางนอย ๓ คํา และที่เหลือ สามารถแบงใหคนอื่นกินไดเชนกัน ชาวลีซูเช่ือวาบุคคลคนหนึ่งไมควรใชชีวิตโดยปราศจากการทํา พธิ กี รรมน้นี านเกินไปเพราะอาจเกิดเหตกุ ารณไแ มค าดคิดได เชน การเสียชีวิตโดยไมทราบสาเหตุ เป็นตน อยางไรกต็ าม พิธีเรียกขวญั นี้จะไดผ ลดียิ่งถามคี นมารว มงานเปน็ จาํ นวนมาก เพราะพวกเขาจะนําขวัญที่ แขง็ แรงของพวกเขาแบง ใหก บั คนทขี่ วญั ออนในวันน้ัน ทั้งการใหพรและการผูกสายสิญจนแจากพวกเขา จะชวยเติมพลังใหขวัญแข็งแรงย่ิงข้ึน พิธีกรรมนี้เป็นพิธีกรรมระดับบุคคล การเขารวมของสมาชิกใน ครอบครวั สามารถยืดหยนุ ไดตามความสะดวกของสมาชิกแตละคน แตส ถานการณแปใจจุบันทําใหสมาชิก ในครวั เรอื นแตละคนตอ งแยกยา ยและหางเหินกันออกไปเนื่องจากการศึกษา การงานและวิถีชีวิตแบบ ใหมในประเทศและตางประเทศ ทําใหไมสะดวกเขารวมพิธีได ความจําเป็นในการปรับความเชื่อและ การปฏบิ ัติตอพิธกี รรมตา ง ๆ จงึ ปรบั เปลี่ยนและตองยอมรับกับสถานการณแเหลา นี้ ประเพณีที่สาคัญ : ประเพณีเซ่นไหว้บรรพชน : ประเพณีเซนไหวบรรพบุรุษของชาติพันธแุ เรียกวา “หลฮี่ ีฉา” หรอื “เช็งเมง” ในภาษาจีน เป็นประเพณีท่ีปฏิบัติมานาน โดยประเพณีน้ีจะจัดขึ้น ราวเดอื นเมษายนของทกุ ปี ประเพณเี ซน ไหวบรรพบุรุษเปน็ ประเพณีทีช่ าวลีซเู ช่ือวา จะนํามาซ่ึงโชคลาภ ใหแ กครอบครวั และลูกหลาน ประเพณเี ซน ไหวบ รรพบุรุษยังเปน็ ประเพณที ีแ่ สดงใหเห็นถึงความกตัญโู ของลูกหลานดวย ประเพณีน้ี หากตัดสินใจจะเซนไหวแลวจะตองกระทําอยางตอเนื่องเป็นเวลา ๓ ปี ติดตอกนั แตห ากอยูตา งประเทศและไมสามารถกระทาํ พธิ ีอยา งตอ เนื่องไดก็สามารถทําไดเชนกันแตตอง มกี ารแจง ใหก ับผใี นวนั ท่ีทําพธิ ไี ดม ีเรื่องเลาเกี่ยวกับประเพณีนี้จากลีซูทานหนึ่งวา “ผีบรรพบุรุษ” จะดีใจ มากเวลาทีพ่ วกเขารวู าประเพณีเซนไหวบรรพบุรุษกําลังจะมาถึง พวกเขาดีใจท่ีจะไดบานใหมและสะอาด มีความสขุ ทีจ่ ะไดท านอาหารใหม ๆ ไดด มื่ เหลาขาวโพด ไดน่ังรับประทานอาหารกับครอบครัวไดเห็นหนา ลูก ๆ หลาน ๆ ท่มี าทําพิธใี หก ับพวกเขา พิธีกรรมน้ีมีเรือ่ งเลา เกี่ยวกับตระกลู “แมวปุา” วา ลูกชายของ ตระกูลแมวปุาไมสามารถทําพิธีเซนไหวบรรพบุรุษได แตหากลูกชายใหกําเนิดลูกชายหรือลูกสาวพวก เขาสามารถกระทําพิธีกรรมนี้ได อยางไรก็ตามในปใจจุบัน ชาวลีซูตระกูล “แมวปุา” บางคนก็ไมไดให ความสําคัญกับเรื่องเลาเหลาน้ีเทาไรนักยังคงทําพิธีกรรมดังกลาวใหกับมารดาผูลวงลับและไดพบกับ ความโชคดใี นหลาย ๆ ดา นหลงั จากทไี่ ดทําพธิ ีกรรมน้ีใหกับมารดาของตน58 การข้ึนปใี หม่ : ประเพณีปีใหมของชาวลีซเู ปน็ ประเพณีที่แตละหมูบานจะตองจัดข้ึนทุกปี โดย ประเพณีปีใหมน้ีจะตรงกับเทศกาลตรุษจีน แตบางหมูบานอาจจะจัดลวงหนากอนหรือหลังเทศกาล ตรุษจีน ดวยเหตุน้ีจึงทําใหชาวลีซูจากหมูบานตาง ๆ สามารถไปเท่ียวและรวมเฉลิมฉลองปีใหมกับ หมูบานอ่ืนๆ ได ท้ังนี้ ระยะเวลาของการเฉลิมฉลองไดถูกปรับเปลี่ยนไปมาก โดยในอดีตประเพณี ขนึ้ ปีใหมเคยใชระยะเวลาในการเฉลิมฉลองมากกวา ๑๐ วัน เนื่องจากผลผลิตฝ่ินมีราคาดี ขาวไรและ ขาวโพดใหผลผลิตสูง การจัดงานเพื่อแสดงถึงศักยภาพของครัวเรือนจะกินเวลาหลายวัน โดยปีใหมที่ 58 ทวชิ จตวุ รพฤกษ.แ สนุ ขั ตกอับ กติ ติศพั ทข์ องช้าง: บอ่ เกดิ ความไม่เสมอภาคทางเพศของชนเผ่าลซี ปู ระเทศไทย. เชยี งใหม: ศนู ยแ ศกึ ษาชาติพันธุแแ ละการพฒั นา คณะสงั คมศาสตรแ มหาวิทยาลยั เชียงใหม, 2560 134
ตรงกับวันตรุษจีนเรียกวา “ปีใหมผูหญิง” และอีกปีใหมหน่ึงท่ีมีข้ึนหลังจากนั้น ๑ เดือน ๘ วัน คือ “ปใี หมผูชาย” หรือทีเ่ รียกวา “เอือ้ ยปา” เปน็ ปีใหมท ่ีผชู ายคาดหมายวาจะเลือกใครเป็นคูครอง กิจกรรมการเตนรําและการรองเพลงระหวางเฉลิมฉลองประเพณีปีใหมก็ถูกเปล่ียนแปลงไป เชนกัน โดยในอดีตมีการรองเพลงโตตอบและเตนรําจนถึงเชา ตางจากปใจจุบัน ประเพณีปีใหม มักใหความสําคัญเฉพาะสามวันแรกเทานั้น โดยวันแรกจะมีการเฉลิมฉลองท่ีบานของหมอเมือง วันที่ สองทบ่ี า นผใู หญบาน และวันที่สามอาจเป็นโรงเรียน หลังจากการเตนรําในโรงเรียนแลว หากมีชาวบาน ทว่ั ไปอยากจะทาํ บุญเล้ียงชาวบานกท็ ําไดเชนกัน แตมีจํานวนนอยเนือ่ งจากอปุ สรรคทางการเงิน รวมถึง จํานวนคนและความหลากหลายของกลมุ คนที่รวมงานมีไมมากเหมือนกับวันแรกและวันที่สอง “ดังนั้น ในชวงพิธีปีใหม (เริ่มต้ังแตวันท่ี ๑ เดือน ๑) และพิธีกินขาวโพดใหม (เริ่มตั้งแตวันที่ ๑ เดือน ๗) ชาว ลีซอไดถือเอาชวงเวลาดังกลาวแสดงออกถึงความเสมอภาค ความอุดมสมบูรณแและความสนุกสนาน รื่นเริงในระหวางเทศกาลท้ังสองครั้ง พวกเขาถือวาไมมีคนรวย ไมมีคนจน ไมมีใครตองอดอยาก และ ไมมคี วามขดั แยง ทุกครอบครัวมีอาหารมากมาย ทุกหลังคาเรือนมีความยินดี และรูสึกเป็นเกียรติที่ได ตอ นรับหรอื เลยี้ งดูแขกทีม่ าเยอื นและอวยพร ดวยสุราและอาหารอยางดี และชวงนี้นับเป็นโอกาสพิเศษ สําหรับการประกอบพธิ ีกรรมของครัวเรอื นและบุคคล” บทสรปุ ในปใจจุบันสังคมลีซูในลําปางกําลังประสบปใญหาทางเศรษฐกิจกับวิถีชีวิตที่เป็นแปลง ไปหลังจากถูกอพยพเขาสูพ้ืนที่ใหมจากการประกาศเขตอุทยาน นอกจากนี้สิ่งที่นาสนใจประการหนึ่ง ก็คอื สาเหตขุ องการโยกยา ยเดินทางเขามาสจู ังหวัดลาํ ปางเกดิ จากการแตงงานขา มกลุมชาติพนั ธแรุ ะหวาง ลีซูกับเม่ียน ดังนั้นลักษณะท่ีชุมชนชาวลีซออาศัยอยูจะเป็นกลุมเล็กอาศัยปะปนอยูกับกลุมชาติพันธุแ อื่นๆ และจํานวนหนึ่งก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสตแทําใหการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมลดความ เป็นอตั ลักษณแความเป็นกลุมชาติพันธุแลีซอลง ทั้งในแงวิถีชีวิต ความเช่ือ คานิยม ประเพณีตาง ๆ หรือ แมแ ตปใญหากรรมสิทธิ์ที่ดนิ ทํากินก็ยังไมไดรับการยอมรับในการอยูอาศัย ซ่ึงเป็นปใญหาใหญในการทํา ใหช นเผาลซี ูตอ งอพยพแรงงานสภู าคเมอื ง ปใญหาตาง ๆ รัฐจะจงึ ควรมีสว นรว มในการแกไขหรือผลักดัน เพอื่ ท่ีจะรักษาอตั ลักษณแของความเปน็ ลีซไู วใหดาํ รงอยตู อ ไป 135
136
บรรณานกุ รม ๑. กระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมน่ั คงของมนุษยแ “แผนแม่บทการพฒั นากลมุ่ ชาติพนั ธ์ุใน ประเทศไทย” (พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๐) ๒. กนิษฐกแ านตแ ปในแกว “ภูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ กลมุ่ ชาติพนั ธบ์ุ ้านจาปุย อาเภอแมเ่ มาะ จงั หวัดลาปาง” วารสารการวจิ ัยเพ่ือพัฒนาชมุ ชน ปที ่ี ๑๐ ฉ.๑,๒๐๑๗. ๓. กฤษณพจนแ ศรีทารัง “ชาวลวั ะ บ้านหมันขาว : การปรบั ตวั และแนวโน้มการเปล่ยี นแปลง” วารสารวจิ ยั และพัฒนามหาวทิ ยาลัยราชภฎั เลย Vol. ๑๐ No. ๓๓ (๒๐๑๕): กรกฎาคม - กนั ยายน ๒๕๕๘. ๔. จินตนา อนิ ภักดี การศึกษาลายผา้ ปักชาวเขาเผา่ อาข่า เพ่ือถา่ ยทอดองค์ความร้สู ชู่ ุมชนบา้ นหว้ ย โป่ง ตาบลหัวชา้ ง อาเภอแม่แตง จังหวดั เชียงใหม. ๒๕๖๐. ๕. จติ ร ภูมศิ ักดิ์ “ความเปน็ มาของคาสยาม ไทย ลาว และขอมและลักษณะทางสงั คมของชื่อชน ชาติ ฉบบั สมบรู ณ์ ขอ้ เท็จจรงิ ว่าด้วยชนชาติขอม” กรงุ เทพฯ : ศยาม, พิมพแครงั้ ท่ี ๕: ๒๕๔๔ ๖. ชลดา มนตรวี ัต “การสร้างความเปน็ หญงิ ชายทางสังคมและจรยิ ธรรมในชมชนลาหู่ : กรณศี ึกษา หญงิ ลาหู่” วิทยานิพนธมแ หาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชยี งใหม, ๒๕๔๑. ๗. ชาญชยั จีรวรรณกิจ การปรบั ตวั ใหเ้ ข้ากบั วฒั นธรรมไทยของชาวลัวะในภาคเหนือของประเทศ ไทย วทิ ยานพิ นธแ บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. ๒๕๒๙. ๘. นิพัทธเวช สบื แสง “ขมุ,สังคม,วัฒนธรรม,การพัฒนา,ภาคเหนอื ” สถาบันวิจยั ชาวเขา, เชียงใหม, ๒๕๓๙. ๙. ประชัน รักพงษแ และคณะ,การศึกษาหมบู่ า้ นไทลื้อในจงั หวดั ลาปาง,ศนู ยศแ ลิ ปวฒั นธรรม ศูนยแ วฒั นธรรมจงั หวดั ลาํ ปาง วิทยาลยั ครลู ําปาง, ๒๕๓๕ ๑๐. ทิพยสแ ุดา จนิ ดาปลกู “การเคลื่อนยา้ ยของแรงงานทาไม้ชาวขมุที่ส่งผลกระทบตอ่ สถานภาพทาง การเมอื งระหวา่ งประเทศของสยามในดนิ แดนลา้ นนา ระหวา่ ง ค.ศ.๑๘๙๓ - ๑๙๐๗” ๑๑. ฐาปนยี แ เครือระยา สาํ นกั สง เสรมิ ศิลปวัฒนธรรมมหาวทิ ยาลัยเชียงใหม ๑๒. ทวิช จตวุ รพฤกษแ. สุนัขตกอับ กิตติศัพท์ของช้าง: บ่อเกิดความไมเ่ สมอภาคทางเพศของชนเผา่ ลซี ปู ระเทศไทย. เชียงใหม: ศูนยศแ ึกษาชาตพิ นั ธุแและการพัฒนา คณะสงั คมศาสตรแ มหาวิทยาลยั เชียงใหม, ๒๕๖๐ ๑๓. ทวชิ จตวุ รพฤกษแ. เสียงจากคนชายขอบ: ศักดศ์ิ รีความเปน็ คนของชาวลซี อาเภอ เชยี งใหม: เครอื ขา ยชาตพิ ันธแุศึกษา ๑๔. ธดิ ารตั นแ ไชยยาสืบ, ชาวไทลือ้ ลาปาง ใน ฮคู้ งิ …ฮคู้ นลาปาง,ลาปาง : บรรณกิจการพิมพ.แ ๒๕๔๘. ๑๕. พอล ลวู สิ และอีเลน ลวู สิ .”หกเผ่าชาวดอย” เชียงใหม : หตั ถกรรมชาวเขา, ๒๕๒๘. 137
๑๖. มาริ ซากาโมโต “การเปล่ยี นแปลงความสัมพนั ธ์ทางชาตพิ นั ธ์ุ ระหวา่ งชาวขมกุ ับไทล้อื : ศึกษา จากวฒั นธรรมผ้าทอไทลื้อในเมืองเงิน แขวงไชยะบุรี สปป.ลาว” วารสารวจิ ิตรศลิ ป ปีท่ี ๕ ฉ.๑ ๒๕๕๗. ๑๗. สมชัย แกว ทอง “ปัจจยั ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสงั คม ภายในชมุ ชน อันเน่ืองมาจาก โครงการอพยพชาวเขา : กรณศี ึกษาบา้ นวังใหม่ อาเภอวังเหนอื จงั หวดั ลาปาง” วิทยานพิ นธแมหาบณั ฑติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม.๒๕๔๔. ๑๘. สาํ นกั งานกองทุนสนบั สนนุ การวิจัย. (๒๕๔๖). อาขา่ พธิ กี รรม ความเชอื่ และความงาม กุศโล บายดารงวถิ ีแห่งชนเผา่ . กรงุ เทพฯ: สํานกั งาน สกว. สาํ นกั งานภาค. ๖ – ๗ ๑๙. เสถียร ฉนั ทะ “ภมู ิปัญญาท้องถ่นิ กบั การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพพืชสมุนไพร : กรณีศกึ ษาในวิถชี ีวิตชุมชนไทลื้อ จังหวดั เชยี งราย” ๒๕๔๗. ๒๐. สมบัติ บุญคาํ เยอื ง “ปญั หาการนยิ ามความหมายของปา่ และการอา้ งสทิ ธิเหนอื พืน้ ท่ี : กรณีศึกษาชาวลาหู่” วทิ ยานิพนธมแ หาบณั ฑิต มหาวิทยาลัยเชยี งใหม: ๒๕๔๐. ๒๑. สาริณียแ ภาสยะวรรณ “การเมืองของการสร้างภาพตวั แทนทางชาติพันธ์ใุ นพ้นื ท่กี ารท่องเท่ียว: กรณีศึกษาโฮมส เตยช์ าวลาหู่ บ้านยะดู เชียงใหม่” : บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั เชียงใหม, ๒๕๕๔. ๒๒. สภาวฒั นธรรมอาํ เภอคลองลาน. (๒๕๔๙). วัฒนธรรมทองถนิ่ และภูมินามหมบู านตาํ บลคลองลาน อาํ เภอคลองลาน จังหวัดกาํ แพงเพชร. กําแพงเพชร: สภาวฒั นธรรมอาํ เภอคลองลาน. ๒๓. อะซามะ ฉนิ หมี. ความซบั ซ้อนและความลื่นไหลของอตั ลักษณท์ างชาตพิ ันธุผ์ า่ นชวี ิตของ ผู้หญิงลซี ูคนหนงึ่ . วทิ ยานพิ นธศแ ลิ ปศาตรมหาบัณฑิตสาขาวชิ าสตรีศึกษา มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม, ๒๕๔๘ ๒๔. อนุวงศแ แซตง้ั “ชุมชนบา้ นแม่หมี “ชวี ิตเหนือกาลเวลา” จังหวัดลําปางผลงานรางวัลลกู โลกสี เขยี ว ครงั้ ที่ ๑๑ ประจําปี ๒๕๕๒. 138
คณะผู้จัดทา ที่ปรกึ ษา วฒั นธรรมจงั หวดั ลาํ ปาง 1. นางลัษมา ธารีเกษ วฒั นธรรมจงั หวัดลําพูน 2. นายบพติ ร วิทยาวโิ รจนแ ผูอํานวยการศนู ยแพัฒนาราษฎรบนพ้นื ทส่ี ูงจงั หวัดลําปาง 3. นางปยิ ะนาถ พลู พิพฒั นแ ประธานสภาวฒั นธรรมจังหวดั ลําปาง 4. ดร.อดุ มศกั ดิ์ ศักด์มิ นั่ วงศแ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตรแ ศนู ยแลําปาง คณะทางาน ผอู าํ นวยการกลุมยทุ ธศาสตรแและเฝาู ระวังทางวัฒนธรรม 1. ผูชว ยศาสตราจารยแเพ็ญศิริ พันพา ผูอํานวยการกลมุ สงเสรมิ ศาสนา ศลิ ปะ และวฒั นธรรม 2. นางอรทัย ทรงศรสี กุล ผอู ํานวยการกลมุ กจิ การพเิ ศษ 3. นางเครือวลั ยแ ธรรมายอดดี นกั วชิ าการวฒั นธรรมชาํ นาญการ 4. นางสาวกศิ ยา จันแดง นักวชิ าการวัฒนธรรมชาํ นาญการ 5. นางลัดดา คดิ อา น นกั วิชาการวัฒนธรรมชาํ นาญการ 6. นางกรรณิกา ศักด์มิ น่ั วงศแ นักวิชาการวฒั นธรรมชาํ นาญการ 7. นางสาววรรณกร คําสม นกั วชิ าการวฒั นธรรมชํานาญการ 8. นางพรรณทิพยแ เหลาวัฒนพงศแ นักวิชาการวฒั นธรรมปฏบิ ตั ิการ 9. นางสาวปทใ มา สายอปุ ราช นักพัฒนาสังคม ศูนยพแ ัฒนาราษฎรบนพืน้ ทีส่ งู จงั หวดั ลาํ ปาง 10. นางสาวมะลวิ รรณ ปนใ แกว ผนู ํากลมุ ทองเทีย่ วบานบอส่ีเหล่ยี ม 11. นางสาวจีรพร ปอู ขว ง ผูใหญบ านบอสเี่ หลี่ยม ตําบลปงเตา อําเภองาว จงั หวัดลําปาง 12. นายสทิ ธพิ งษแ ฟูุงสันตภิ าพ ผูประสานงานการทอ งเท่ียวชุมชนบานบอส่ีเหล่ียม ตําบลปงเตา 13. นายวรวุฒิ ชัยสุขศรสี องฟาู อําเภองาว จงั หวัดลําปาง 14. นายพงษแพนั ธแุ อัญชลีอนันตกิจ เกษตรกรปราดเปร่อื ง (Young Smart Farmer) 15. นายอาแซะ อาซอง บานแมฮ า ง อําเภองาว จังหวัดลาํ ปาง 16. นายอรณุ เยละ ผใู หญบ านแมฮ างใต ตําบลนาแก อําเภองาว จงั หวัดลําปาง 17. นางอาภรณแ ศิราไพบูลยแพร ประธานกลุม วสิ าหกิจชมุ ชนทอผาพ้นื บา นกะเหรยี่ ง 18. นางพลอย กาวโิ ล บานแมฮ า งใต ตาํ บลนาแก อําเภองาว จงั หวัดลําปาง 19. นางสริ พิ รรณ หอมแกน จนั ทรแ ประธานกลุมทองเท่ียวบานโปุงน้ํารอน ตําบลเสริมกลาง อําเภอเสรมิ งาม จังหวดั ลาํ ปาง ประธานกลุมวิสาหกิจชุมชนทอผาไทล้ือ และประธานกลุม การเกษตรบา นกลว ยหลวง ตําบลกลว ยแพะ อาํ เภอเมืองลาํ ปาง จงั หวดั ลําปาง 139
140
141
142
143
144
145
146
147
148
149
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152