เมืองยู เมอื งยอง เมืองหลวย เมืองเชยี งแขง เมืองเชียงลาบ เมอื งเลน เมืองพะยาก เมืองไฮ เมืองโก และ เมืองเชียงทอง หรือ หลวงพระบาง (ลานชาง) เมืองแถน (เดียนเบียนฟู) ซึ่งบางเมืองในแถบนี้เป็นถ่ิน ทอ่ี ยขู องชาวไทลือ้ อยแู ลว เชน อาณาจกั รเชยี งแขง ซึ่งประกอบดวย เมืองเชียงแขง เมืองยู เมืองหลวย เมอื งเชียงกก เมอื งเชยี งลาบ เมอื งกลาง เมืองลอง เมอื งอาน เมอื งพเู ลา เมืองเชียงดาว เมอื งสิง เป็นตน15 ชาวไทลื้อบางสวนไดอพยพหรือถูกกวาดตอนออกจากเมืองเหลานี้เมื่อประมาณหน่ึงรอยถึง สองรอยปีที่ผา นมา แลว ลงมาตั้งถนิ่ ฐานใหมใ นประเทศตอนลา ง เชน พมา, ลาว และไทย ในสมัยรัชกาล ท่ี ๑ เจา ฟาู อัตถวรปใญโญ (เจาผคู รองนครนาน) และเจาสุมนเทวราช (เจาผูครองนครนาน) ยกกองทัพ ข้ึนไปกวาดตอนชาวไทลอื้ จากสิบสองปนใ นามายงั เมืองนาน และเมืองบางสวนในประเทศลาว และตอมา ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ เจาสุริยะพงษแ (เจาผูครองนครนาน) ก็ไดยกกองทัพขึ้นไปกวาดตอนชาวไทลื้อจาก สบิ สองปนใ นามายังเมืองนา น สําหรบั ไทลื้อในจังหวัดลําปาง พบกอตั้งบานเรือนชุมชนอยูในตําบลกลวยแพะ อําเภอเมืองลําปาง จังหวัดลําปาง มี ๕ หมูบานไดแก บานกลวยหลวง บานกลวยแพะ บานกลวยมวง บา นกลว ยกลาง บา นกลว ยฝาย และบางสวนในอําเภอแมทะ จงั หวัดลาํ ปาง กลาวกนั วาการเคล่อื นยา ยระลอกตา ง ๆ เขาสูดินแดนลา นนา ระลอกแรก ๆ เขา มาสมัยลานนา มีการระบุวา มีชาวไทลื้อเคลื่อนยายเขามาสูเชียงใหมบริเวณ ตําบลลวงเหนือ อําเภอดอยสะเก็ด ในตงั้ แตสมัยพระเจาสามฝใ่งแกน (พ.ศ.๑๙๔๕ - ๑๙๘๔) ระลอกที่สอง ยุคเก็บผักใสซา เก็บขาใสเมือง ราว พ.ศ. ๒๓๔๘ พระเจากาวิละไดน าํ กองทัพไปตีเมืองยองและหัวเมืองล้ือในสิบสองปในนา ในชวงน้ัน ยังไมไดฟ้ืนฟูต้ังเมืองลําพูนขึ้นมา หลังจากพาเจาเมืองประเทศราชดังกลาวไปเฝูารัชกาลที่ ๑ ทรงมี พระราชกระแสรับสั่งใหเจาคําฝ้ใน อุปราชเมืองเชียงใหม และเจาศรีบุญมา อุปราชเมืองนครลําปาง รวมกับชาวไทลื้อเมอื งยอง ไปฟ้ืนเมืองลําพูน[๙] ครอบครัวชาวยองสวนใหญจึงมุงไปลําพูน อีกสวนได เขาสูเมืองนครลําปาง ระลอกท่ีสาม ยุคลี้ภัยการเมืองคอมมิวนิสตแ เขามาในสมัยหลัง ๆ เพ่ือแสวงหา พ้ืนที่ทํากินที่เหมาะสม สูเมืองนครลําปาง ในชวงเวลาที่ชาวไทล้ือเคล่ือนยายมาตั้งถิ่นอยูท่ีเมือง นครลาํ ปางนน้ั ตรงกบั สมยั พระเจาดวงทิพยแ เป็นเจาผูครองนครลําปาง (พ.ศ.๒๓๓๗ - ๒๓๖๘) ซึ่งก็ให อนุญาตอยูในเมืองระยะหน่ึง กอนที่จะขอยายไปตั้งทําเลใหมในบริเวณที่ตั้งปใจจุบัน มีคําบอกเลาถึง บรรยากาศการเคลื่อนยายดังกลาวจากผูสูงอายุในทํานองวา ครอบครัวมาจากเมืองยอง เม่ือมาถึง เชียงรายแลว แยกกนั มา ๗ ครอบครัว มาพักอยูทเ่ี มืองนครลําปาง โดยท่ีเจา หลวงทดลองใจดู โดยท้ิงเงิน ทองของมีคาไว แตปรากฏวาไมมีใครแตะตอง ตอมามีการถามความสมัครใจหมูบานตาง ๆ ในการรับ ชาวไทล้ือไปอยดู ว ย แควน (ผูนําหมูบาน) ตําบลนาคต ยินดีที่รับไปอยูดวย แตระหวางการเดินทางนั้น ไดม าเจอหนองบวั ใกล ๆ หวยแมป ุง ดทู าทางมีการกินสมบูรณแ สองฝใ่งของลําหวยมีปุากลวยขนาดใหญ ขนึ้ งอกงามจึงตดั สินใจต้ังบานเรอื นท่นี ี่ เรมิ่ ตนจากบานกลวยหลวงน่นั เอง16 โดยพ้ืนท่ีที่ถูกเลือกในการสรางชุมชน ผูนําจะเลือกลักษณะพ้ืนที่เป็นที่ราบสูงมีตนไมใหญจะ ปลกู ในบริเวณหมูบาน จึงทําใหมองเหน็ หมูบ านอยูรวมกันเป็นกลุม ๆ อยางชัดเจน ลอมรอบดวยทุงนา และปุาละเมาะ เชนเดียวกับหมูบานในภาคเหนือของไทย ตําบลกลวยแพะ มีภูเขาอยูทางดาน ตะวัน ออก ช่ือวา ดอยมวงคาํ เปน็ ตน กําเนิดของหว ยแมป งุ ซึ่งไหลผานหมูบานไทล้ือ เรือนพักอาศัยของไทล้ือ มลี กั ษณะรูปทรงเหมือนบานเรือนในภาคเหนือโดยทั่วไป ซึ่งแบงออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ เรือนรุนเกา 15 ชาวลอ้ื https://th.wikipedia.org/wiki 16 ธิดารตั นแ ไชยยาสบื , ชาวไทล้ือลาํ ปาง ใน ฮูคงิ …ฮคู นลําปาง,ลาํ ปาง : บรรณกิจการพมิ พแ. 2548. 50
โดยทวั่ ไปจะเป็นเรอื นไมสกั ใตถุนสูง หลังคาจวั่ จะหันหนาจั่วไปในแนวทิศเหนือหรือใตตัวเรือนจะมี ๑ หรือ ๒ หอ งนอน ถา เป็นเรอื นไมข นาดใหญจะมชี านโลง มีท่นี ง่ั พักผอ นและรับแขก เรยี กวา เติ๋น อยูทาง ทิศเหนือหรือใตของหองนอน มีชานอยูระหวางเต๋ินและครัวใชเป็นท่ีซักลาง สวนใหญจะอยูทางทิศ ตะวันตกของเรือน ลกั ษณะของเรอื นเหน็ ไดช ดั วาไดร ับอิทธิพลจากเรือนทางภาคเหนือท่ัวไป แตพัฒนา เต๋ิน หรือระเบียงท่ีมีหลังคาปิดคลุมใหมีผนังปิดกั้นมิดชิดขึ้นเพื่อปูองกันทรัพยแสิน เรือนแบบเกาท่ี ปรากฏอยใู นปจใ จบุ นั พบทีบ่ า นกลวยกลาง ตาํ บลกลวยแพะ อาํ เภอเมืองลาํ ปาง จังหวัดลําปาง มีจํานวน ๓ หลงั อายุประมาณ ๗๐ ปีขน้ึ ไป ลักษณะเดนของเรือนดังกลาวไดแกการกอสรางใชเทคนิคแบบโบราณ ใชเดือยและล่ิมยึด เป็นสวนใหญ ไมใชน็อตหรือตะปู เรือนรุนปใจจุบัน เป็นเรือนพักอาศัยของไทล้ือตําบลกลวยแพะ ท่ีปรากฏในปใจจุบัน ยังคงรูปทรงเรือนปใ้นหยาเดิมของไทล้ือ แตไดนํามาผสมผสานกับลักษณะ เรือนลา นนาของทอ งถ่ิน สรา งดว ยไมส กั ทงั้ หลงั ไมน ยิ มทาสี จะโชวแสีของไมส ักหรืออาจจะทาน้ํามันเพ่ือ รกั ษาเนือ้ ไมเ ทา น้ัน เสาใชเ สาคอนนกรีตเสริมเหล็กแทนไมทั้งตน เรือนมักจะสรางขนาดใหญฝาปิดทึบ และมีหนาตา งโดยรอบตามความจาํ เปน็ บันไดหรือทางข้ึนลงจะอยูนอกตัวเรือน ชายคาตรงบันไดนิยม ทาํ ไมต ใี นแนวตั้งหอยลงมา ทําเป็นลายฉลุประดับทางข้ึนเรือน เรือนไทล้ือรุนหลังจะแบงแยกระหวาง ภายในเรือนกับภายนอกเรือนออกจากกันคอนขางชัดเจน ตางจากเรือนลานนาโบราณ ทั้งน้ีก็เพ่ือ ปอู งกันทรัพยแสิน การกอสรา งสว นใหญเปน็ เรือนใตถุนสูง จะเปิดโลงไวเพื่อทํารานไวพักผอนในฤดูรอน หรือมกี จิ กรรมทีเ่ ป็นอาชพี เสริม ปใจจบุ นั ชมุ ชนใหญข องไทล้อื ในจงั หวัดลําปาง จะอยูที่ตําบลกลวยแพะ ซึ่งมีอยู ๕ หมูบาน คือ บา นกลว ยหลวง หมทู ่ี ๑ เปน็ หมบู านแหงแรกท่ีไทลอ้ื อพยพเขามาต้ังถิ่นฐาน อยูหางจากตัวเมืองลําปาง ประมาณ ๘ กิโลเมตร ปใจจุบนั มี ๖๘๗ ครัวเรือน มปี ระชากร ๒,๗๕๒ คน บานกลวยแพะ หมูที่ ๒ เป็น หมบู า นท่ขี ยายตวั ออกไปภายหลงั อยูทางทิศใตข องบานกลว ยหลวงราว ๒ กิโลเมตร ตดิ กับอําเภอแมทะ มี ๕๔๘ หลังคาเรือน มปี ระชากร ๒,๔๖๑ คน เป็นท่ีตั้งของท่ีทําการกํานัน ตําบลกลวยแพะ บานมวง หมูท่ี ๓ เป็นหมูบานที่แยกไปจากบานกลวยกลางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต อยูหางจากบานกลวยหลวงไป ประมาณ ๓ กโิ ลเมตร มี ๓๒๔ หลงั คาเรือน มีประชากร ๑,๒๕๕ คน บานหัวฝาย หมูที่ ๔ เป็นหมูบาน ท่แี ยกไปต้งั หมบู า นจากบานกลวยหลวงไปทางทิศตะวันออก เปน็ ท่ตี ้งั ของฝายน้ําแมปุง มี ๔๐๙ หลังคา เรือน มีประชากร ๑,๗๓๗ คน นายสะอาด อินนันไชย เป็นผูใหญบาน บานกลวยกลาง หมูที่ ๕ ตั้งอยู ตรงกลางระหวา งหมูบ านกลว ยหลวง บานมวง และบานกลวยแพะ อยูหางจากบานกลวยหลวง ๑ กิโลเมตร ปใจจบุ ันมจี ํานวน ๓๐๖ หลงั คาเรอื น มีประชากร ๑,๒๐๖ คน มีผใู หญบา นช่ือ นายตาม หอมแกนจันทรแ นอกจากนี้ ยังมีไทลื้ออีก ๒ หมูบานในบริเวณใกลเคียงกัน คือ บานแมปุง และบานฮองหา อยูในเขต ตําบลนํ้าโจ อําเภอแมทะ อยูหางไปจากชุมชนใหญของไทล้ือตําบลกลวยแพะไปทางทิศใตราว ๓ กโิ ลเมตร มปี ระชากรราว ๒,๖๕๐ คน ๒.๒.๒ ระบบโครงสร้างทางสังคม ระบบครอบครัวเครือญาติ : เป็นสิ่งที่สรางความสัมพันธแข้ันพื้นฐานระหวางบุคคลในสังคม ระบบเครือญาตแิ บงออกเป็น ๒ ประเภทใหญ ๆ คือ เครือญาติทางสายโลหิต และเครือญาติเก่ียวดอง ที่มาจากการสมรส ซ่ึงเป็นญาติของฝุายสามีหรือภรรยา สังคมไทลื้อจะใหความสําคัญทั้งญาติของ 51
ฝาุ ยชายและฝาุ ยหญงิ แตในระยะ ๓ ปีแรก ตองไปอยูร วมท่บี า นพอ แมของภรรยา หลังจากนั้นอีก ๓ ปี กก็ ลับมาอยูท ่ีบา นของพอ แมส ามี ญาตขิ องทางฝาุ ยชายจึงมีความสัมพันธกแ ันมากขึ้น เมื่อแยกครอบครัว ออกไป จึงมีความสัมพันธแท่ีดีกับญาติทั้งฝุายภรรยาและฝุายสามี ดังน้ัน ในระบบสังคมของไทล้ือจึงมี สวนสาํ คญั ในการสรางความเปน็ ปกึ แผนใหก ับครอบครัว ซ่ึงมีคานิยมมผี ัวเดียวเมียเดียว ไมนิยมหยาราง และการมีภรรยาหลายคน17 ลักษณะความสมั พนั ธแทางครอบครัวและเครอื ญาติ จะมีระบบอาวโุ ส การปฏิบัติกิจกรรมตาง ๆ ข้ึนอยูกับคําแนะนําของครอบครัว และผูอาวุโส ครอบครัวไทล้ือเป็นครอบครัวขยาย ( Extension family) เมอ่ื มกี ารแตงงาน ฝุายชายตองยายเขาไปอยใู นบา นของครอบครวั ฝุายหญงิ เพ่ือไปเปน็ แรงงาน ในชุมชนไทล้ือมกี ลุมองคแกรทางสังคมตาง ๆ ไดแ ก กลุม เหมืองฝาย คอยจัดการจดั จา ยการใชน้ําเพ่ือการ บริโภคและการผลิต กลุมทอผา เป็นการรวมกลุมเครือญาติและเพื่อนบานเพื่อป่ในฝูาย ใชในงาน ประเพณี “แอวสาวหรือการลงขวง” ปจใ จุบนั เรม่ิ สญู หายไป กลุม แมบานมกี ารรวมตัวกันแบบกึ่งทางการ เพ่ือชวยเหลือในกิจกรรมตาง ๆ เชนงานศพ งานขึ้นบานใหม กลุมผูสูงอายุ เป็นกลุมผูอาวุโสเดิม มบี ทบาทในชวงประกอบพิธกี รรมตา ง ๆ และหมอพืน้ บา น เป็นกลุมในระบบเครือญาติ เพื่อนบาน และ รกั ษาความเจ็บปวุ ยใหค นในชุมชน18 ระบบการปกครอง : หมูบานในตําบลกลวยแพะ เป็นไปตามท่ีทางราชการกําหนด คือ ใชระบบ คณะกรรมการหมูบา น (กหมูท่ี) โดยมผี ูใหญบ า นเป็นประธาน กรรมการหมูบานมาจากการเลือกตั้งของ ราษฎรในหมูบาน ซ่ึงมีบทบาทในการทํางานสวนรวมของหมูบานและประสานงานการทํางานระดับ ตาํ บลกบั หมบู านอ่ืน เป็นตัวกลางในการประสานงานระหวางสมาชิกสภาผูแทนราษฎรกับประชาชนผูมี สิทธิเลือกต้ัง ชวยใหคําแนะนําแกลูกบานเรื่องการแจงเกิด แจงตาย หรือยายที่อยูชวยไกลเกลี่ยขอ พิพาทในหมบู าน เชน เรื่องรองทุกขแจากคูสามี - ภรรยา หรือชวยดูแลความสงบในชุมชน แกไขปใญหา เฉพาะหนา ตา ง ๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ ๒.๒.๓ วถิ ชี ีวิตความเปน็ อยู่ ระบบความเชอื่ ประเพณีวัฒนธรรม การทามาหากิน : โดยพ้นื ฐานแลวไทลอื้ เป็นกลมุ คนท่ีรกั สงบ ขยัน มัธยัสถแ และอดทน จึงเป็น เรอ่ื งงา ยทไ่ี ทลื้อจะปรบั ตัวใหเ ขา กบั การพัฒนาจากสังคมเกษตรไปสูระบบการผลิตแบบทุน เพ่ือพัฒนา ตัวเองไปเป็นนักธุรกิจระดับหมูบานและชุมชน โดยเฉพาะการประกอบอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ในหมูบานท่ีใชวัตถุดิบในทองถิ่น ไทล้ือมีขนบธรรมเนียม ประเพณีสวนใหญที่คลายคลึงกับสังคมไทย ในภาคเหนือ นยิ มบริโภคขาวเหนยี วและพืชผักซ่ึงปลูกเอง หรือหาของปุา เชน หนอไม เห็ด ไขมดแดง มาเป็นอาหารประจําวัน อาหารโดยท่ัวไปจะไมคอยมีสวนผสมของไขมันมากนัก สวนอาหารประเภท เน้ือและปลา จะมีรับประทานเป็นบางโอกาส มีสภาพความเป็นอยูที่เรียบงาย สมถะ และประหยัด อาหารแตล ะมอ้ื จะทาํ กบั ขาวเพยี งอยางเดียวเทา น้ัน อาชีพคาขาย เริ่มเปล่ียนแปลงจากการทําเกษตรกรรมไปสูอาชีพคาขาย และเป็นที่นิยม แพรห ลายราวปี พ.ศ. ๒๕๒๖ เรมิ่ ตนจากการสะสมทุนไดจากการทําไรยาสูบ กระเทียม ถั่วลิสง ถั่วเหลือง 17 ประชัน รกั พงษแ และคณะ “การศกึ ษาหมู่บา้ นไทลื้อในจังหวัดลาปาง” ศูนยแศิลปวัฒนธรรม วิทยาลัยครูลําปาง สหวิทยาลัยลานนา 2535. 18 เสถียร ฉันทะ “ภูมิปญใ ญาทองถ่ินกับการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพพืชสมุนไพร : กรณีศึกษาในวิถีชีวิตชุมชนไทล้ือ จังหวัดเชียงราย” 2547. 52
และเลี้ยงหมู ซึ่งปีหน่ึงจะมีรายไดประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท เก็บสะสมไว ๑ - ๓ ปี ก็สามารถนําไปซ้ือ รถยนตแมาใชทํามาคาขายได ในแตละหมูบานจะมีพอคาเพ่ิมขึ้นเป็น ๓๐ - ๔๐ ราย ลักษณะของการ ลงทนุ คา ขายในจังหวัดลําปาง จะแขงขันกันแบบใชระบบกลไกตลาด แขงขันกันหาตลาดเองตามหมูบาน ตา ง ๆ เม่ือเขาไปขายบอย ๆ กจ็ ะมีขาประจําที่รับซ้ือสินคา บางหมูบานพอคา ชาวบานกลวยจะเขาไป เจาะตลาดเอง โดยการใหคําแนะนําแกชาวบาน ถึงสินคาบางอยางที่ไมมีขายในหมูบาน ทดลองเปิด ตลาด เพ่ือทําการคาขาย สวนการไปคาขายในตางจังหวัดจะไปกันเป็นกลุม ๆ ละ ๓ - ๔ คัน มีการ ลงทุนรวมกันในเครือญาติและบุคคลใกลชิด ตอนขากลับก็จะซื้อสินคาจากจังหวัดนั้น ๆ มาขายใน หมูบ านตัวเอง อาชีพเกษตรกรรม ไทลือ้ ท่ตี าํ บลกลว ยแพะ มีอาชพี ทาํ นาขาวเหนียวเป็นหลัก ขาวท่ีไดจะเก็บ ไวบ รโิ ภค ถาเหลือจงึ จะขาย หรือใชแ ลกเปล่ียนส่ิงของจากหมบู า นอื่น สวนเร่ืองกรรมสิทธิ์ในที่ดินทํากิน สวนใหญมีท่ีดินเป็นของตนเอง แตละครอบครัวจะมีท่ีนาแปลงเล็ก ๆ แยกกันอยูหลาย ๆ แหง โดยเฉล่ีย แลว จะมที ี่นาครอบครวั ละประมาณ ๒ - ๔ ไร ลกั ษณะท่ีนาแบง ออกเปน็ ๒ สวน คือ นานํ้าฟูา เป็นนาท่ี ตองอาศยั น้าํ ฝนแตเ พียงอยา งเดียว เชน นาที่อยูในบรเิ วณทุงหลวง ซึ่งอยูระหวางบานกลวยหลวง บาน กลว ยแพะ และบานกลวยฝาย มพี ้ืนที่ประมาณ ๓,๐๐๐ ไร โดยมีบางพื้นที่อาศัยนํ้าจากฝายหวยแมปุง ซึ่งผลผลติ ไมแ นน อน จะข้นึ อยกู บั สภาพดนิ ฟูาอากาศ ซ่งึ ตามปกติ ๒ - ๓ ปี จงึ จะสามารถทาํ ไดคร้ังหน่ึง และนาที่อยใู นเขตชลประทานอยูทางดานตะวันตกของตําบลกลวยแพะสามารถทําไดทุกปี หลังฤดูทํานา จะปลูกพชื อื่นอกี หลายชนิด เชน ถัว่ เหลอื ง ถวั่ ลิสง กระเทียม ยาสูบ และพืชผักเมืองหนาว ผลผลิตท่ีได พอ คาคนกลางในหมูบานจะรับไปขายตอ ในเมอื งและทองถน่ิ อนื่ อาชพี รบั จา ง แบง ออกเปน็ ๒ ประเภท คือ ๑. กรรมกรในโรงงานอุตสาหกรรม ๒. รับจางทํา งานโยธา ผทู ี่ทํางานรับจางสวนมากไมมีทีด่ นิ ทาํ กิน หรือมนี านํา้ ฟาู บางคนมนี านอ ย เสร็จจากทํานาก็ไป รับจาง สวนผูหญิงและคนแก จะรับงานมาทําท่ีบาน เป็นรายไดเสริมใหแกครอบครัว ดังนั้น สภาพ เศรษฐกิจของไทลื้อ ตําบลกลว ยแพะ จึงดีกวาหมูบานอื่น ๆ อยางเห็นไดชัด เพราะทุกคนในครอบครัว จะชว ยกันทํางานและมรี ายไดเ สรมิ ตลอดทัง้ ปี ทําใหเกอื บทกุ ครอบครวั มีกนิ มีใชและสามารถเก็บออมไว ซ้ือรถยนตแกะบะไวสําหรับคาขาย และรับจางบรรทุกคนโดยสาร แตมีขอนาสังเกตอยางหน่ึงวามีการ ใชจา ยเงนิ ทเ่ี ป็นไปในทางฟุมเฟือย เชน การแขงขันกันประดับรถยนตแ เชน แอรแ ลอแม็กซแ เคร่ืองเสียง ราคาแพง ซึ่งทําใหขาดการอดออม และมีผลกระทบตอการขยายตัวดานการลงทุนทางการคาของตน ในอนาคต 53
ประเพณี : ไทลื้อมปี ระเพณีตา ง ๆ มากมาย สวนใหญเ ปน็ ประเพณีท่ีเก่ยี วขอ งกับวถิ กี ารดําเนิน ชีวิตของตนเอง เริ่มตั้งแตเกิดจนตาย ซึง่ วัตถปุ ระสงคขแ องการประกอบพิธีสวนใหญจะเป็นการใหมีขวัญ และกําลงั ใจ ทง้ั แกตนเองและครอบครวั รวมไปถึงเครอื ญาติ และประเพณีตาง ๆ ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น สวนใหญก็จะคลายคลึงกับประเพณีพ้ืนบานของคนไทยภาคเหนือท่ัวไป เชน เรียกขวัญ , สงเคราะหแ, สืบชะตา, ปุูจาเตียน หรือบูชาเทียน, ปุูจา (บูชา) ขาวหลีกเคราะหแ, ปฺกเฮิน คือ ประเพณีปลูกบานของ ไทลื้อ, ขึ้นเฮนิ ใหม คือประเพณขี ึ้นบานใหมข องหมบู า นไทล้ือ, ประเพณกี ารอยูขวง เป็นประเพณี แอวสาว เพ่ือแสวงหาเนื้อคูของหนุมไทล้ือ, ประเพณีการแตงงาน, ประเพณีปีใหมของไทล้ือ คือ วันสงกรานตแของ ไทย, เก็บขวญั ขา ว, แหพ ระอุปคุต, สขู วัญควาย, แฮกนา, ตานขา วใหมแ ละกินขาวใหม, ประเพณีการตาย ความเช่อื : ความเชือ่ ของไทล้ือลําปาง แบง ไดเป็น ๒ ลกั ษณะใหญ ๆ คือ 1. ความเชื่อที่มีหลักฐานเป็นลายลักษณแอักษร คือเช่ือตามบทบัญญัติของพระธรรมคัมภีรแ ตาง ๆ ท้ังท่ีมาจากวัด โดยมากเป็นคัมภีรแใบลาน คําสอนตาง ๆ ซึ่งเป็นบทบัญญัติชี้ใหเห็นถึงบาป บุญคุณโทษ สวนที่มีอยูตามบานของผูรูในหมูบานจะเป็นสมุดไทยหรือท่ีเรียกตามภาษาพื้นบาน วา “ป๊ใปหนังสา” ก็จะเป็นแหลงความรูในเร่ืองของพิธีกรรม ตําราทางโหราศาสตรแ ตําราพื้นบาน ตลอดจนลายแทงตาง ๆ โดยมากเป็นเรื่องทางโลกเก่ียวกับวิถีชีวิตของคนในสังคม ผูรูเหลานี้ จะมีบทบาทในการนําชาวบานใหม ีความเชือ่ ทเ่ี ป็นผลตอการดํารงชีวติ ไมนอยทเี ดียว ๒. ความเช่ือที่เป็นมุขปาฐะ คือเช่ือโดยการจดจําหรือบอกเลาตอ ๆ กันมา โดยไมไดมีการ จดบันทึกเป็นลายลักษณแอกั ษรไว สว นมากจะเปน็ วถิ ีชีวติ ประจําวนั ต้ังแตเ กิดจนตาย หรือสิ่งท่ีเป็นจารีต ประเพณี วัฒนธรรมตาง ๆ ที่ไดสั่งสมไว ปฏิบัติสืบตอกันมาหลายชั่วอายุคน จนเป็นกรอบของสังคม ที่มีผลตอ วถิ ีชีวติ ของไทลื้อ ทงั้ ทางตรงและทางออม19 จากความเช่ือขา งตนลวนเป็นปทัสถานในการดาํ เนนิ ชีวิตของไทลือ้ ตาํ บลกลวยแพะ ผสมผสาน กับความวิริยะอุตสาหะ ไมยอทอตออุปสรรค งานหนักเอาเบาสู เป็นผลใหชาวบานกลวยแพะมีฐานะ ทางเศรษฐกิจคอนขางดี ประชาชนมีทอี่ ยอู าศยั ที่มน่ั คง มีเครือ่ งอาํ นวยความสะดวกตา ง ๆ จํานวนมาก 19 เขา ถงึ วันท่ี 30 กันยายน 2563. http://www.sri.cmu.ac.th/~lelc/index.php/2015-11-18-16-02-20 54
การนับถือศาสนา : ไทลอื้ ท่ตี ําบลกลว ยแพะสวนใหญนับถือพุทธศาสนา มีนับถือคริสตแศาสนา เพียง ๒-๓ ครอบครัว แตละหมูบานมีวัดประจํา วัดบานกลวยหลวงเป็นวัดแหงแรกของหมูบาน ไทล้ือ สรางขึ้นภายหลังจากการตั้งหมูบานโดยพระสงฆแท่ีมาจากเมืองยอง ปใจจุบันยังมีพระภิกษุสามเณร จากเมืองยองมาพักอาศัยและจําพรรษาอยูที่วัดแหงนี้ วัดเป็นศูนยแกลางของหมูบาน ใชเป็นสถานที่ ประกอบพิธีทางศาสนา ในเทศกาลงานบุญตาง ๆ และใชเป็นสถานที่ประชุมพบปะเพื่อทํากิจกรรม ตา ง ๆ ของหมบู า น ไทลอื้ มีความศรทั ธาในพระพุทธศาสนามาก ในวันสําคัญทางศาสนาจะมีประชาชน ไปรว มประกอบพธิ ีจํานวนมาก โดยเฉพาะการทําบญุ ในเทศกาลสงกรานตแในวันพญาวัน (๑๕ เมษายน) และวันปากปี (๑๖ เมษายน) การทําบุญตานกเวยสลาก ตานขาวใหม ประเพณีย่ีเปง (เพ็ญเดือน ๑๒) จะไปทาํ บญุ กันเกอื บทกุ ครอบครัว การทอผ้าฝ้ายไทล้ือ : ไทล้ือจะมีเอกลักษณแท่ีโดดเดนในเรื่องการทอผา โดยเฉพาะชุดไทล้ือ ของอําเภอเชียงคําจะเป็นอตั ลักษณแ มีเส้ือปใ๊ด ผาถุงลายผักแวน นํ้าไหลผักแวนเป็นชุดที่เป็นเอกลักษณแ ของชาวไทยลื้อเชยี งคาํ ทอดวยเทคนิคเกาะมีลายประกอบทอดวยเทคนิคขิด เสื้อผาของชาวไทล้ือจะมี การทอลวดลายทีบ่ ง บอกถึงฐานะทางสงั คมของผูสวมใส โดยผาของไทลื้อแยกออกเป็น ๒ ประเภท คือ ผาท่ใี ชในพิธีกรรมและผาสําหรับใชในครัวเรือนผา ทีใ่ ชในครัวเรอื น เชน“ผาหมต่ํากาว” ที่ปใจจุบันหาคน ทําไมไดแลว ตํ่ากาวเป็นภาษาลื้อมี ๒ ความหมาย คือ ๑.เป็นชื่อลาย ๒.เป็นวิธีการทํา “ต่ํา” แปลวา การทอ “กา ว” แปลวา การงางไมเ พื่อทจ่ี ะใสล ายขน้ึ แลว สอดใหเ กดิ ลวดลาย ผาหมลายตาราง เรียกกัน วา “ผาหมตาแสง” หรือ “ผาหมส่ีแป” หรือเรียกอีกอยางวา “ผาหมตาโกง” เป็นผาฝูายทอยกดอก สที ่นี ิยมคอื สีดํา แดงขาว ทอใหเกดิ เป็นลายตารางส่เี หลี่ยมขนาดใหญลวดลายมีขนาดเล็กสี่เหล่ียมขนม เปยี กปนู เปน็ การทอท่ยี ากลายใหญซบั ซอ นราคาแพง ปใจจุบนั ไมน ยิ มใช แตกย็ ังคงมีการทออยูบาง ทาง ศนู ยแไดน าํ เอาลวดลายมาประยกุ ตแใชในผา แบบตา ง ๆ การแต่งกาย: ผู้ชาย สวมเสื้อคลายเส้ือหมอหอม ลักษณะเป็นเส้ือแขนยาวสีดําหรือสีคราม บางตัวอาจมีเอวลอย แขนเสื้อขลิบดวยแถบผาสีตาง ๆ มีผืนผาตอจากสายหนาปูายมาติดกระดุมเงิน บริเวณใกลรักแรและเอว กางเกงเป็นกางเกงกนลึก เรียกวา “เตว ๓ ดูก” สีเสื้อผาของผูชายไทล้ือ สวนใหญจะเป็นสีเทา สีดํา ถามีงานบุญจะใสสีขาว หรือสีดํา ผาขาวมาคาดพุง ผาโพกศีรษะดวยผา สีนาํ้ ตาล สีขาว สีดาํ ผู้หญิง สวมเส้ือท่ีมีลักษณะเฉพาะเรียกวาเส้ือปใ๊ด แขนยาวตัดเสื้อเขารูป เอวลอยมีสายหนา เฉียงผูกติดกันดวยดายฟ่ในหรือแถบผาเล็ก ๆ ที่มุมซายหรือขาวของลําตัว ชายเส้ือนิยมยกลอยขึ้นท้ัง สองขาง สาบเสอื้ ขลบิ ดวยแถบผาสตี าง ๆ ประดับดว ยกระดมุ เมด็ เล็กเรียงกัน สวมซิ่นไทล้ือที่มีลวดลาย 55
กลางตวั ซิ่น สว นหัวซนิ่ เปน็ ผาฝาู ยสดี าํ หรือสีน้ําตาล ขาว สวนตีนซิ่นเป็นผาพ้ืนสีดํา สีเส้ือผาของผูหญิง ไทลื้อจะใชในโอกาสท่ีแตกตางกันออกไป เชน ถามีงานบุญจะใสเสื้อปใ๊ดสีขาว โพกหัวดวยผาสีขาว สวนเส้ือผา สดี ําจะสวมใสใ นงานประเพณหี รืองานแตงงาน การกิน : ชาวไทลอื้ เป็นกลุมชาติพันธุแที่ทานขาวเหนียวเป็นหลัก เชนเดียวกับกลุมชาติพันธุแไท อน่ื ๆ อาหารทนี่ ิยมรบั ประทานมักจะเปน็ แกงผกั ประกอบจากผักหรือพืชพรรณธรรมชาติ หรืออาหาร ทีห่ าไดงาย เชน เห็ด หนอ ไม ไขมดแดง สาหรายน้ําจดื สวนพืชผักสวนครัวทัว่ ไปมักจะปลูกตามขวงบาน ใชพรกิ แกงเป็นเครื่องปรุงหลักประกอบดวย พริก ตะไคร หอม กระเทียม ปลารา หากเป็นอาหารประเภท หนอไมจะใสนํ้าปูลงไปดวย เชน ยําหนอไม แกงหนอไม เป็นตน อาหารของ ชาวไทล้ือจะไมคอยมี สว นผสมของไขมัน ในอดีตชาวไทลื้อลําปางเรยี กคนเมืองวา อิ้ว (ซึ่งหมายถึงคนที่ไมใชลื้อ) บางทีก็เรียกวา บาเจา กอนท่หี มายถึงคนเมืองลําปาง และจะไมพ อใจหากมีใครมาเรียกตนเองวา ล้ือ หรือ บาลื้อ เม่ือเทียบกับ ชาวยองที่ลําพูนแลวนับไดวาสถานะของชุมชนไทลื้อท่ีลําปางมีความแตกตางกันมากสาเหตุหนึ่งก็ เนอื่ งจากชาวยองลาํ พนู นนั้ เป็นคนหมมู าก ขณะท่ชี าวไทลื้อลําปางเป็นคนกลุมนอยกวา นอกจากนั้นใน บางยุคสมัยชุมชนไทล้ือบางแหง เป็นหยอมบานของผูเป็นโรคเรื้อน ท่ีคนเมืองเรียก “ขี้ตูด” อันเป็นโรค ท่ีนาเกลียดนากลัว กลาวกันวาความรังเกียจ ดังกลาวมากจนถึงขนาดวา คนลําปางไมยอมซื้อผลิตผล ทางการเกษตร จากชาวไทลอ้ื เลยกม็ ี ดงั น้ันจึงไมแ ปลกทช่ี าวไทลื้อมกั จะไมเปิดเผยตัวตอคนทั่วไปวาตน เป็นใครมักจะเลยี่ งตอบเม่ือมีคนถาม แตอยา งไรกต็ ามในทางกลับกนั ชาวไทลอ้ื มีสาํ นึกของตัวตนทองถ่ิน สูงมาก ที่เหน็ ไดชดั กค็ ือการรกั ษาวัฒนธรรมภาษาพูดในถิ่นของตน ส่ิงท่ีนาสนใจก็คือวาดวยแรงกดดัน ดังกลาวทําใหชาวไทล้ือลําปางมีความรักและสามัคคีในหมูพวกพองสูง ถึงแมปใจจุบันไ ทลื้อในจังหวัด ลาํ ปางจะปรับตัวผสมกลมกลืนกับคนเมืองจนแทบแยกไมออก แตสิ่งหนึ่งที่ยังสะทอนตัวตนของความ เป็นลื้อก็คือการจัดต้ังศูนยแเรยี นรวู ัฒนธรรมลือ้ ขนึ้ มาเพื่อสืบสานวัฒนธรรมลอ้ื ตอ ไป 56
๒.๓ กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ (LAHU) ในจงั หวดั ลาปาง ๒.๓.๑ ประวตั ศิ าสตรค์ วามเปน็ มาและการเคลือ่ นยา้ ย กลุมชาติพันธุแที่เรียกตัวเองวา “ลาหู” หรือ ละหู (Lahu) ซ่ึงแปลวา “คน” เป็นกลุมชนท่ีสืบ เชอ้ื สายมาจากกลุมโลโล ซ่ึงเคยเจริญรุงเรือง อาศัยอยูบนที่ราบสูงทิเบต - ชิงไห ภาษาลาหูหรือภาษา มูเซออยูตระกูลภาษาจีน - ทิเบต ตระกูลภาษายอยทิเบต - พมา สาขาพมา - โลโล สาขายอยโลโล มีผพู ดู ทัง้ หมด ๕๗๗,๑๗๘ คน พบในจีน ๔๑๑,๔๗๖ คน (พ.ศ. ๒๕๓๓) ในเขตปกครองตัวเองลานชาง ลาฮู ทางตะวันตกเฉยี งใตข องยูนนาน เป็นภาษาท่ีมีผูพูดมากในจีน ชนบางกลุมใชภาษาลาฮูเป็นภาษา ที่สอง สวนใหญเขาใจภาษาจีน บางสวนใชภาษาไทล้ือ ภาษาอาขา ภาษาบลัง ภาษาวา หรือภาษายิ เป็นภาษาท่ีสองพบในลาว ๘,๗๐๒ คน (พ.ศ. ๒๕๓๘) ในบอแกว พบในพมา ๑๒๕,๐๐๐ คน (พ.ศ. ๒๕๓๖) ในรัฐฉาน และพบในไทย ๓๒,๐๐๐ คน (พ.ศ. ๒๕๔๔) ในจังหวัดเชียงใหม เชียงราย แมฮองสอน ลําปาง ตาก ภาษาพูดมีหลายสําเนียงคือ ภาษามูเซอดํา มูเซอแดง มูเซอดําเชเล มูเซอ เหลอื งบาเกยี ว มเู ซอเหลืองบานลาน ชาวมูเซอไมน ิยมเรียนภาษาอ่นื ในขณะทคี่ นพูดภาษาอ่ืนหลายเผา เรยี นภาษามเู ซอ ทําใหภ าษามูเซอเปน็ ภาษากลางในเขตภูเขาของจังหวัดเชียงใหมและเชียงรายรวมถึง ลาํ ปางดว ย ในอดีตชาวลาหูไดรับการยอมรับจากจีนใหจัดการปกครองตนเองไดอยางอิสระ บริเวณ ตอนกลางและตอนใตของมณฑลยูนนานกอนที่ชนชาติไทใหญและจีนจะเขาไปครอบครอง ตอมาไดมี การอพยพเคล่อื นยา ยถ่ินไปมาในแถบประเทศจีน พมา ลาว และไทย คนจีนในมณฑลยูนนานเรียกชน กลุมนีว้ า “หลอเหย” สวนท่ีมาของคําวา “มูเซอ” น้ัน Frank M. Lebar สันนิษฐานวาเป็นคําที่มาจาก ภาษาไทใหญในรัฐฉานมีความหมายวา “นายพราน” ขณะท่ี จิตร ภูมิศักดิ์20 อธิบายไววา “อันท่ีจริง 20 จติ ร ภูมศิ กั ด์ิ “ความเปน็ มาของคําสยาม ไทย ลาว และขอมและลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ ฉบับสมบูรณแ ขอเท็จจริงวาดวยชนชาติขอม ” กรุงเทพฯ : ศยาม, พิมพคแ ร้ังที่ 5: 2544. 57
คําวา มูเซอ ท่ีแปลวาพรานปุานั้น มิใชภาษาไทใหญ หากเป็นคําท่ีไทใหญขอยืมมาจากภาษาพมา ซงึ่ เรียกนายพรานวา “มกโซ” แตในวิถชี ีวติ จรงิ เม่อื คนพมา พูดถึงนายพรานจะออกเสียงวา “มูเซ” เมื่อ คนไทใหญเรียกช่ือชนกลุมนี้ตามอยางคนพมาจึงอาจจะออกเสียงเป็น “มูเซอ” หลังจากที่ชาวมูเซอ ยอมรับการอยูใตอํานาจของจักรพรรดิจีน ตอมาจีนไดมีการเปล่ียนแปลงการปกครองและทําการ ควบคมุ ชนกลมุ นอยโดยสงเจาหนา ที่จากสวนกลางเขาไปปกครองชนเผาตาง ๆ ในดินแดนทางตะวันตก เฉียงใตข องจีนในแถบมณฑลยนู นาน ซึง่ เปน็ ทีอ่ ยูอาศยั ของชาวลาหูสว นใหญ21 ผลของการเปลยี่ นแปลง ทําใหชาวลาหูสวนหนึ่งเกิดความไมพอใจพากันตอตานอํานาจการปกครองของจีน ในท่ีสุดผูนําทาง ศาสนาคนหนึ่งไดรวบรวมผคู นกอการกบฏผีบุญจับอาวุธขึ้นตอสู และมีการบันทึกไววาชาวลาหู พรอม ดว ยอาวุธซ่งึ ประกอบไปดว ยหนา ไมและลกู ธนอู าบยาพิษ ไดท าํ การตอ ตา นทหารจนี อยางเขมแข็ง แตใน ทสี่ ุดกไ็ มส าํ เรจ็ ชาวลาหสู วนใหญจ าํ ยอมอยูภายใตอ าํ นาจการปกครองของจนี และยอมผสมกลมกลืนกับ วัฒนธรรมจนี ทแี่ ผขยายเขา มาพรอมกับอาํ นาจทางการเมืองจนกลายเป็นชาวจีนในที่สุด แตก็ยังมีลาหู อีกสวนหน่ึงที่ปฏิเสธการครอบงําทางวัฒนธรรม และไมยอมถูกกดข่ีไดพากันอพยพลงมาทางใตของ ประเทศจนี และตั้งหลักแหลง อาศัยอยูใ นมณฑลยนู นานตอนลางลงไปถึงแควนเชียงตุงของพมา ซ่ึงในปี ๒๕๒๕ มีการสาํ รวจตวั เลขประชากรที่แสดงใหเห็นวามีจํานวนชาวลาหูอยูถึง ๔๗๔,๐๐๐ คน กระจาย ตัวอยูตามพื้นท่ีจีนตอนใต พมาตอนบน และภาคเหนือของไทย รวมไปถึงลาวและเวียดนาม (สมาคม IMPECT, ๒๕๔๕) เม่ือชาวลาหูเขามาอยูในเขตเชียงตุง ประเทศพมา ก็พบกับปใญหาสําคัญอีกหลายประการ โดยเฉพาะกับความพยายามของกลุมหมอสอนศาสนาชาวอังกฤษ ซึ่งพยายามโนมนาวใหลาหูละท้ิง ขนบธรรมเนียมประเพณีด้ังเดิมแลวหันไปนับถือศาสนาคริสตแ ซึ่งชาวลาหูผูมีความศรัทธาตอศาสนา ด้ังเดิมไมปรารถนาเชนนั้น ทําใหเกิดการรวมกลุมขึ้นโดยมีผูนําศาสนาด้ั งเดิมคนหนึ่งชื่อ “มะแฮ” ไดตั้งตนขึ้นเป็นตนบุญเพื่อรวบรวมบริวารตอตานการครอบงําจิตสํานึกของฝุายคริสตจักรอังกฤษ จึงทําใหชาวลาหูจากท่ีตาง ๆ เดินทางไปแสวงบุญและมอบตัวเป็นศิษยานุศิษยแกับปูุจองมะแฮ เป็นจาํ นวนมาก เม่ือมีกําลังคนผูนําตนบุญจึงคิดวางแผนยึดเอาเมืองสาต (Hsat) เพื่อตั้งเป็นศูนยแกลาง ของอาณาจกั รลาหูข้ึน ในทสี่ ดุ ฝุายอังกฤษซึ่งปกครองพมาอยูก็ตองสงกําลังเขาปราบปราม แตฝุายของ ปจุู องมะแฮกเ็ ตรียมรบั มืออยา งแข็งขนั ดวยการขดุ คู ปใกไมไผเ สยี้ มปลายแหลมไวร อบ ๆ ท่ีม่ัน และสราง ขวัญกําลังใจใหแกบริวารดวยการแจกเทียนศักดิ์สิทธ์ิซ่ึงปุูจองมะแฮกลาววาเป็นตัวแทนแหงอํานาจ ของพระเจาที่จะชวยปกปูองบริวารมิใหไดรับอันตรายจากอาวุธของฝุายตรงกันขาม แตเมื่อการสูรบ ผา นไป ศรัทธาและความเช่อื ถือของบริวารทั้งหลายกค็ อ ยๆ เสอ่ื มถอย เพราะทุกอยา งไมไดเป็นไปตามที่ ผูนําบอกกลาว สดุ ทา ยเมอ่ื ฝุายอังกฤษบุกเขา ถึงท่ีมั่นสุดทายชาวลาหูท่เี หลือรวมท้ังปุูจองมะแฮก็ไดพาย แพถ อยลน เขา สูป ระเทศไทยเม่ือประมาณ ๒๐๐ กวาปีทแ่ี ลว 22 ตอ มาไดเ กิดการอพยพครั้งใหญของชาวลาหูอีกระลอกหนึ่งเมื่ออังกฤษคืนเอกราชใหพมาเพื่อ เปดิ โอกาสใหจ ัดต้งั รัฐบาลปกครองตนเอง แตชาวลาหูในพมากลับตองเผชิญกับปใญหาในการดํารงชีวิต จากแรงกดดันของรฐั บาลพมา ที่มนี โยบายกระทาํ ตอ ชนกลมุ นอยเผาตาง ๆ ใหอ ยูใ นอํานาจปกครองของ 21 ศาสตราจารยตแ วน ลี เชงิ นักมานษุ ยวิทยามหาวิทยาลยั ปใกกิ่ง ไดใ หขอ มลู เพม่ิ ไวว า ในปี 2525 มีลาหู 320,000 คน อยูในเขตอําเภอลานชางถึง 154,000 คน ฉะนั้นจึงสันนิษฐานไดวา ชุมชนใหญของลาหูอยทู ีอ่ ําเภอลา นชา ง ในแควน สบิ สองปในนา มณฑลยนู นาน 22 อา งแลวใน สมาคม IMPECT 58
รัฐบาลพมา แรงกดดันจากการดําเนินนโยบายดังกลาวกอใหเกิดการรวมตัวของลาหูอีกครั้งหน่ึงโดยมี “ปจูุ องจะฟู” ผนู าํ ทางศาสนาคนสาํ คญั คนหน่ึงของชาวลาหู ไดต้ังตนขน้ึ เป็นตนบุญใชชื่อวา “เหมาะนะ - โตโบ” หรือ “ฤาษีลงิ ดาํ ” (โดยท่ัวไปจะรูจักกนั ในช่อื วา “ปุูจองหลวง”) ขึ้นท่ีดอยลาง เขตเมืองเชียง ตุง มีการกระจายขาวลือไปยังลาหูทั้งที่อยูในเขตพมาและเขตไทยวา ไดมีพระเจาจากสวรรคแลงมา ประทานขาวทพิ ยแ อาหารทิพยแแกชาวลาหูทุกคน ขอใหคนท่ีอยากไดขาวทิพยแ อาหารทิพยแ เดินทางไป “เฝาู พระเจา ” ทด่ี อยลางการเฝูาพระเจาในที่น้ีคือการนําเงินหรือส่ิงของมีคาอื่นไปเซนไหวเหมาะนะ - โตโบ ซ่ึงถือเปน็ รา งทรงหรือเปน็ ตัวแทนของพระเจา เพ่ือขอพรหรือเพื่อรักษาโรคภัยไขเจ็บตาง ๆ การ ตอ ตา นครั้งนี้ชาวลาหูสามารถรวบรวมผูคนและทรัพยแสินเพื่อสะสมอาวุธไดเป็นจํานวนมาก เน่ืองจาก ชาวลาหูมีศรัทธาตอตัวผูนําศาสนาของตนเป็นอยางมาก แตการตอตานคร้ังนี้ก็ไมประสบผลสําเร็จ เหมาะนะ - โตโบ จงึ ตองพาบริวารหนเี ขา เขตประเทศไทย และไดต ัง้ หลกั แหลงอยูบริเวณ บานตนนํ้าแม มาว ตําบลมอนป่ิน อําเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม และแถบบริเวณเขตติดตอระหวาง จังหวัดเชียงใหม และจังหวัดเชยี งราย จนกระทง่ั เสยี ชีวิตทอี่ ําเภอฝางเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗ การอพยพ ครั้งน้ี ถือวาเป็นคร้ัง สําคัญ หลังจากน้ันกม็ ีการอพยพเขามาสูประเทศไทยแบบประปราย สาเหตุก็เน่ืองมาจากนโยบายการ ปราบปรามของรฐั บาลพมา การชกั นาํ ของหมอสอนศาสนา และการชกั ชวนของญาติพ่นี อง23 หลังจากทชี่ าวลาหถู อยรน ลงสูประเทศพมา ลาว และไดเ คล่ือนยายเขาสูประเทศไทย ทางบาน ตน น้าํ แมมาว ตําบลมอ นปนิ่ อําเภอฝาง จงั หวดั เชยี งใหม ในปใจจุบันมีการกระจายอยูใน ๗ จังหวัดของ ประเทศไทย ไดแก จังหวัดเชียงราย เชียงใหม ลําปาง แมฮองสอน ตาก กําแพงเพชร และเพชรบูรณแ มจี ํานวนประชากรประมาณ ๑๐๒,๒๘๗ คน แบงออกเปน็ ๔ กลุม คือ ลาหูแดง มีจํานวนมากสุด เรียก ตัวเองวา ลาหูนะ ลาหดู าํ มจี าํ นวนเป็นท่ีสองรองจากลาหูแดง เรียกตัวเองวา ลายูนะหรือลาหู คนไทย ภาคเหนอื และไทยใหญเรียก ลาหูดํา ลาหูเซเล มีจํานวนเป็นอันดับสามรองจากลาหูดํา เรียกตัวเองวา ลาหนู าเมีย้ ว ลาหูซิ มจี ํานวนนอยท่สี ดุ คนไทยเรียก ลาหูกุยหรือลาหูเหลือง มี ๒ เช้ือสาย คือ เชื้อสาย บาเกียว และบาลาน24 ในดานประวัติการตั้งถ่ินฐานของชาวลาหูในประเทศไทยมีที่มาแตกตางกัน ตามแตละกลมุ อาทิ หมูบานยะดู จังหวดั เชียงราย เริ่มข้ึนเมื่อประมาณ ๔๐ กวาปีกอนหรือประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๗ มจี ุดเร่มิ ตน จากกลุมชาวลาหูจํานวน ๕ ครอบครัว ตัดสินใจเลือกเดินทางเคล่ือนยายรวมกับ ชาวเขากลุมอ่ืน ๆ ในการหลบหลีกหนีภัยอํานาจทหารจีนคณะชาติ จากดอยแมสะลองและเลือกตั้ง ถ่ินฐาน ณ บริเวณผืนปุาดอยยาว เขตอําเภอเมืองเชียงราย ใหเป็นพ้ืนท่ีต้ังถ่ินฐานแหงแรก การอยู รวมกันระหวางชาวลาหู ชาวเมี่ยน ชาวกะเหรี่ยง และคนเมืองในครั้งนั้นสังคมมีความสงบสุข เพราะ หมูบา นเรมิ่ มคี วามสงบเนอ่ื งจากหมูบ านต้ังหางไกลจากการถูกรกุ รานของทหารจนี คณะชาติ อีกท้ังยังมีผืน ปาุ ขนาดใหญทมี่ ีพนื้ ท่ีเพียงพอตอการหมุนเวียนทําไร เมื่อเวลาผาน ๕ ปี หนึ่งในสมาชิกชาวลาหูไดกอ เหตฆุ า สองผัวเมียคนเมอื งท่อี าศัยบรเิ วณนํ้าตก ทําใหกลุมชาวลาหทู ั้ง ๕ ครอบครัว ถูกมองจากคนเมือง พ้นื ราบวา เป็นกลมุ คนทโี่ หดรา ยและใจอํามหติ หนึ่งสมาชิกชาวลาหู ๕ ครอบครัว ไดตัดสินใจเลือกพ้ืน ทต่ี ้งั หมูบ านปใจจุบันเปน็ ทหี่ ลกี ภยั และเป็นท่ีทาํ กินสาํ หรบั ครอบครัวตน 23 สมบตั ิ บญุ คําเยอื ง “ปญใ หาการนิยามความหมายของปาุ และการอางสิทธเิ หนือพื้นท่ี : กรณีศึกษาชาวลาหู” วิทยานิพนธแมหาบัณฑิต มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม: 2540. 24 ชลดา มนตรีวัต,ธันยา พรหมบุรมยแ และวิสุทธร จิตอารี, 2550.(เขาถึง https://www.sac.or.th/databases/ethnic- groups/ethnicGroups/95) 59
สําหรบั ชาวลาหูในจังหวัดลําปางพบต้ังบานเรือนกระจายตัวอยูภายในพื้นที่ทั้งหมด ๓ อําเภอ ไดแก อําเภอเมืองปาน อําเภองาว และอําเภอแจหม ชุมชนลาหูที่เป็นที่รูจักอยูท่ีบานปุาคา หมูท่ี ๑ ตําบลแจซอ น อําเภอเมอื งปาน จงั หวัดลาํ ปาง ท่ีชุมชนแหงนี้ยังมีงานประเพณีปีใหมชาวเขาชนเผาลาหู ทย่ี ังมีการสืบทอด โดยจะจัดข้นึ ทุกปีชาวบานในหมูบานจะพากันแตงกายชุดชนเผาลาหู พาญาติพี่นอง มารว มงานปีใหมโดยจะมารวมตัวกันในหมูบานและฉลองปีใหมตามประเพณีที่สืบทอดกันมานานและ เปน็ วิถีที่ดีงามสืบทอดกันมานานตั้งแตสมัยบรรพบุรุษ รวมกันประกอบอาหารชนเผาและรับประทาน อาหารรวมกนั กอนจะมกี ารแสดงเปาุ แคนน้ําเตาท่ีเรียกวา “นอ” ประกอบการเตน “จะคึ” ซึ่งทาเตน ของผูหญิงประกอบไปดวยการแสดงทาทางการเพาะปลกู การหวานเมล็ด การดูแลรักษาและการเก็บเก่ียว ซ่งึ การแสดง บงบอกถึงวถิ ชี ีวิตความเป็นอยูของชนเผาไดเป็นอยางดี นอกจากนี้ยังรวมกันขับรองเพลง ตอนรับปีใหมรว มกนั ซึง่ ความหมายในเพลงแปลวา เมอื่ เสรจ็ สิ้นฤดูการเก็บเก่ียวแลว ขอเชิญญาติพี่นอง มติ รสหาย มารว มพบปะสังสรรคแและสรรเสริญพระเจาดวยกัน (นิกายโปรเตสแตนตแ) สําหรับวิถีชุมชน ชนเผาลาหูกําลังไดรับการสงเสริมเป็นหมูบานทองเที่ยวพรอมเปิดหมูบานใหนักทองเที่ยวไดมาสัมผัส วิถีชีวิต ความเป็นอยูของพ่ีนองชนเผาใหเป็นการทองเที่ยวท่ีย่ังยืน แตไมทําลายวิถีชุมชน สําหรับ บานปุาคา ตําบลแจซอน อําเภอเมืองปาน จังหวัดลําปาง ตั้งอยูในหุบเขา อากาศเย็นตลอดท้ังปี ชาวบานมีอาชีพปลูกกาแฟ และตนแมคคาเดเมียรวมกัน ทําใหกาแฟมีอัตลักษณแคือความหอมมัน เน่ืองจากปลูกใตตนแมคคาเดเมีย นอกจากนี้ชุมชนยังไดรับการสงเสริมใหเป็นชุมชนทองเท่ียวทําให นกั ทอ งเที่ยวท่ชี นื่ ชอบธรรมชาตสิ ามารถมาเท่ียวชมวิถีชีวิตชนเผาลาหู ชิมกาแฟ แมคคาเดเมีย สดจาก ไรไดตลอดทั้งปี ปใจจุบันชาวลาหูในอําเภอเมืองปานและแจซอน เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสตแนิกา ย โปเตสแตนตแ แตยังคงรักษาประเพณีบางอยางไว เชน การจัดงานปีใหม การเตนจะคึ การแตงกาย ชุดประจําเผา ยังคงมีการผลิตงานหัตถกรรม เชน เคร่ืองจักสาน กระบุง ปลอกมืด เพ่ือใชเป็นสินคา ในอตุ สาหกรรมทองเทย่ี ว ๒.๓.๒ ระบบโครงสรา้ งทางสงั คม ครอบครัวและระบบเครือญาติ : ระบบครอบครัวลาหูมีลักษณะเป็นครอบครัวเดียว ภายใน ครอบครัวหน่ึงจะมีสมาชิกอยูหลายคน คือ พอ แม ลูกชาย ลูกสาว หลานและผูเฒาผูแกดวย ถ ามี เหตกุ ารณแรา ยเกิดขนึ้ ในครวั เรือน หรือกับสมาชิกคนใดคนหนึ่ง สมาชิกทุกคนในครัวเรือนจะชวยแกไข ปใญหารวมกัน และถาหากในครัวเรือนมีงานแตงงานเกิดข้ึน ไมวาของบุตรชายหรือบุตรสาว หัวหนา ครวั เรือนคอื พอตองจัดงานแตงงานตามระบบจารีตประเพณขี องลาหู โครงสร้างทางสังคม : โครงสรางทางสังคมลาหูในหมูบานหน่ึงๆจะมีองคแประกอบสําคัญ ๓ ประการ ซ่งึ ชาวลาหเู รยี กวา “แซะ คอื แซะ หละ” หมายถึงกนเสาทีม่ ี ๓ ขา ๓ มือ จึงจะสามารถต้ังขึ้น อยางม่ันคงได คือ อาดอ, คะแซ หรือผูใหญบาน (ชาย) โตโบ หรือ นักบวช พระ (ชาย) จาหลี หรือ ชางตีเหล็ก ผลิตและซอมแซมอุปกรณแการเกษตร (ชาย) ชาวลาหูเช่ือวาในหมูบานหนึ่งๆ จะตอง ประกอบดวยองคแประกอบ ๓ อยา งน้ี หากหมูบานใดไมมีก็จะถือวาไมสมบูรณแ หากขาดสวนใดสวนหนึ่งแลว ชาวลาหถู อื วาไมค รบองคปแ ระกอบของการจัดต้ังหมูบานและจะลมสลายในท่ีสุด ในปีหนึ่งๆ ทุกหลังคา 60
เรอื นจะตอ งไปชว ยทํางานใหแกบ คุ คลทั้งสามคนนี้ เปน็ การตอบแทนบุญคณุ ท่ที ําหนา ท่ีใหเกิดความสงบ รมเยน็ สงบสขุ มีกนิ มีใชในหมูบาน25 โครงสรา้ งการปกครองและสงั คม : โครงสรางสงั คมชนเผาลาหูจะประกอบดวย ๓ สวน ไดแก สว นท่ีหนง่ึ อาดอ (คะแซ) คอื ผูน าํ หมบู า น สว นท่ีสอง โตโบ คือ พระหรอื นักบวชทําหนาที่ส่ังสอนคนให เป็นคนดี และสว นที่สาม จาหลี๋ คอื ชา งตเี หล็ก มีหนา ทผี่ ลติ เคร่ืองมือการเกษตร ชนเผาลาหูเชื่อวาหาก หมูบานใดไมมี ๓ สวนดังกลาว ถือวาเป็นหมูบานที่ยังไมสมบูรณแ ไมสามารถเป็นหมูบานท่ีใหญและ ม่นั คงตอไปได ชนเผาลาหูใ หความนบั ถือผูอาวุโสทั้ง ๓ สวนนี้มาก และทุกปีคนในหมูบานทุกครัวเรือน จะไปทํางานใหครอบครวั ของผอู าวโุ สทงั้ ๓ สวนน้ี เพอ่ื เป็นการตอบแทนที่ชวยดูแลใหเกิดความสงบสุข ในหมูบาน ดานการปกครองชนเผาลาหูจะใชรูปแบบของจารีตประเพณี เชน เมื่อมีการรองเรียนหรือ ขอพพิ าท ผูนําหมูบ า นจะเชญิ หวั หนาครอบครัวทุกหลงั คาเรอื นมาประชุมเพื่อช้ีแจง ปรึกษา และตัดสิน คดขี อ พพิ าท ถา หากผลการตัดสินเกิดความขัดแยง ขึน้ จะเชญิ ผนู าํ หมบู านกบั ผอู าวโุ สจากหมูบานอ่ืนที่มี ความเป็นกลางมาวา ความ และตัดสินใจช้ีขาดเสมือนผูนําในหมูบาน ถาเป็นการกระทําผิดที่ไมรายแรง จะมีโทษเพียงปรับเป็นเงินตามอัตรากฎจารีต ของหมูบานที่ไดมีการตกลงกันไว หากเป็นความผิด รายแรงผกู ระทาํ ความผดิ อาจไดรับโทษปรบั ตามกฎจารีตแลว ถกู ขบั ไลอ อกจากหมูบา น เป็นตน ผ้นู าหมบู่ ้านและบทบาทหนา้ ท่ี : ผนู ําหมบู า นมีอํานาจหนาท่ีในการปกครอง ดูแล หมูบานให เกดิ ความสงบสุข และปูองกนั ใหเกดิ ความปลอดภัย ชักจูงใหลูกบานรวมปฎิบัติงานของสวนรวม อบรม สั่งสอนใหลูกบานปฏิบัติตามหลักความเช่ือศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรมท่ีสืบทอดกันมาเป็นคน ตัดสินคดีความตา ง ๆ ระหวางชาวบา น สั่งสอนตักเตือน และปรับไหมตามกฎจารีตประเพณีที่ชาวลาหู เรียกวา “ออหิ – ออกอ” ที่ไดปฏิบัติสืบตอกันมาชานานจนเป็นประเพณีถึงทุกวันนี้ ในหมูบานลาหู นอกจากมีผนู ําหรอื ผูใ หญบา นแลว ยังมีบคุ คลท่ชี าวบา นใหค วามเคารพนับถือดังน้ีคอื ๑. คะ แซ หรือ อาดอ (ผใู หญบ า น) เป็นผูน ําหมูบ า นในดานการปกครอง สบื ทอดทางสายโลหิต หรือเครือญาติเดียวกัน ถาคะแซไมมีลูกชาย หรือลูกชายไมมีความรูความสามารถดานนี้ และไมสนใจ การปกครอง จะตองเลือกหาคะแซข้ึนมาใหม โดยเอาผทู มี่ ีความรูความสามารถดานการปกครอง จารีต ประเพณี วฒั นธรรม มคี วามประพฤตดิ ี เปน็ ผูท่ียอมรับนับถือของชาวบาน และมีความสนใจข้ึนมาเป็น คะแซ หรือ อาดอแทน ถาวงศาคณาญาติท่ีไมเคยเป็นคะแซก็หามเป็นคะแซ เพราะเช่ือวาถาเป็นแลว อาจจะทําใหครอบครัวมีฐานะแยลง เจ็บปุวยไมสบาย หรือเสียชีวิตได คะแซไมจําเป็นตองเป็นผูชาย เสมอ และหากผูห ญงิ มคี วามรูค วามสามารถมากกวาก็สามารถเปน็ ไดเ ชนกนั คะแซจะมีผูชวย ๓ คน คือ ปูหุ มน่ื ปูุแส ปุูลา ๒. โต โบ เป็นตําแหนงผูนําศาสนาสูงสุดของลาหู ทําหนาท่ีประกอบพิธีกรรม ติดตอสื่อสาร ระหวา งคนกบั พระเจา รกั ษาโรคภัยไขเจ็บ บําบัดรักษาผูติดยาเสพติด และอบรมสั่งสอนคนในหมูบาน ใหเป็นคนดี รจู ักขนบธรรมเนียมประเพณี ตาํ แหนงโตโบนั้นจะเป็นของผูชายเทานั้น และมีการสืบทอด ตําแหนง ทางสายโลหิต หรือวงศาคณาญาติ ตองเป็นผูท่ีมีความรูเกี่ยวกับกฎจารีตประเพณีเป็นอยางดี สามารถสวดมนตไแ ด ถา ในครอบครัวตามสายโลหติ หรอื ตามสายเครือญาติน้ันไมมีคนมีความรูและความ สามารถในดานน้ี กจ็ ะเป็นโตโบไมได ตอ งทําการเลือกโตโบคนใหม โดยเลือกผูท่ีมีความรูความสามารถ 25 ลาเคละ จะทอ “การตอ่ สู้เร่ืองสัญชาติของผู้หญิงชนเผ่า : กรณีศึกษาชีวิตจริงของผู้หญิงลาหู่คนหนึ่ง” วิทยานิพนธแมหาบัณฑิต สตรศี ึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม. 2548. 61
เก่ยี วกบั ประเพณพี ธิ กี รรมของลาหู และเป็นผทู ีม่ ีความประพฤติอยใู นศลี ธรรม ไมก ระทาํ ความผิด เป็นท่ี ยอมรับนบั ถอื ของคนในชมุ ชนโตโบ จะมีผูชว ยผูอ าวโุ ส หรือมีความรดู านกฎจารีตประเพณี หรือผูที่ตอง ทาํ งานรวมกันคอื สา หลา อาจา ฟูกวาง ตาลา และ คะซอ มา – อาจา เป็นตําแหนงของผูชายลาหู ท่ีทํา หนา ที่เป็นผตู ิดตอ ประสานงาน แลกเปล่ียน เผยแพรศ าสนา สวนการตดั สนิ คดีความหรอื เรื่องราวตา ง ๆ ในสมัยกอ นการตัดสินคดีความหรือเร่ืองราวตาง ๆ จะเป็นหนาท่ขี องผนู าํ หมบู า นและผอู าวุโสในการตัดสิน และเม่ือมีกรณีทะเลาะวิวาทในหมูบาน วิธีการ ตัดสินคือผูนําหมูบานจะตองเชิญผูอาวุโสมาไกลเกลี่ยหาขอตกลง ผูอาวุโสจะถามท้ังสองฝุายอธิบาย เหตุการณแที่เกิดข้ึน ผูอาวุโสรับฟใงเหตุการณแจากทั้งสองฝุายจะรับรูวาคนไหนถูกหรือผิด ผูนําหมูบาน และผอู าวโุ สจะตัดสนิ โดยเด็ดขาดเลยวา ใครผดิ ใครถกู ท้งั สองฝุายจะตอ งยอมรับการตัดสินของผูนําและ ผอู าวโุ ส ปจใ จบุ ัน การตดั สนิ คดคี วามหรือเรอื่ งราวตา ง ๆ สว นมากเปน็ ไปตามกฎหมายของรฐั บาล ในปใจจุบัน ระบบการปกครองจะขึ้นอยูกับการปกครองของบานเมือง คนที่มีบทบาทสําคัญ จะเป็นแกนนําของระบบทางราชการ คือ ผูชวยผูใหญบาน และสมาชิกองคแการบริหารสวนตําบล แตชาวบ านยัง คง ใหความ เคารพ นับถือผูนํ าทาง จิต วิญ ญ าณข อง ตนท่ี ทํา หนาที่ ในการจั ดบทบา ท ควบคมุ ดูแลความสงบสุขของคนในชุมชน โดยแบง บทบาทหนา ทีอ่ ยางชดั เจน ๒.๓.๓ วถิ ีชวี ติ ความเปน็ อยู่ ความเช่ือ ประเพณี วิถชี ีวิต การทามาหากนิ และวิถีการผลิตพ้ืนบ้าน : ดานวิถีชีวิตของชนเผาลาหูน้ัน โดยปกติ แลวชนเผาลาหูชอบอาศัยอยูบนท่ีสูง และเป็นชนเผาที่ไมชอบความวุนวาย มีวิถีชีวิตความเป็นอยูท่ี เรียบงาย เป็นชนเผาท่ีสามารถปรับตัวเขากับผูคนไดเป็นอยางดี ถึงแมวาจะยังชีพดวยการเป็นชาวนา ปลูกขาว และขาวโพด เพ่ือการบริโภคในครัวเรือน ลาหูก็ยังภูมิใจกับการเป็นนักลาสัตวแ นอกจากน้ี พวกเขายงั เครงครัดกับกฎระเบียบของความถูกและผิด ทุกๆ คนจะตอบคําถามในพ้ืนฐานเดียวกับคน รุนเกา ชาวลาหูเ ขม แขง็ ตอการยดึ ม่นั ตอความเป็นนาํ้ หน่งึ ใจเดียวกัน และทํางานดวยกันเพ่ือยังชีพ ลาหู อาจเปน็ กลมุ คนทีม่ ีความเทาเทียมทางดานเพศมากท่สี ุดในโลก ดา นอัตลกั ษณแท่สี าํ คัญของชาวลาหูคือ “ขาวปุก” มีวิถีการผลิตและการกินที่มีความเกี่ยวของ กับพิธกี รรมและความเช่ือ ความสัมพันธแทางสังคม จริยธรรม และสุขภาพ ดังจะเห็นจากการผลิตและ การบริโภคขาวปกุ มีความเช่อื เกี่ยวกบั ความเปน็ สิรมิ งคล ความเชื่อเกยี่ วกบั ความเจรญิ รุงเรือง ความเชื่อ เก่ียวกับวิญญาณบรรพบุรุษและพระเจา กอใหเกิดความสัมพันธแภายในครอบครัวและเครือญาติ แลวขยายออกเป็นความสัมพันธแภายในชุมชนและนอกชุมชน กลาวโดยสรุป ชาวลาหูทําอาชีพ เกษตรกรรม เชน ทําไร ทาํ สวน ปลูกขาว ขา วโพด ผลไม และพืชหมุนเวยี นเพ่อื การบริโภคในครอบครัว และเพอ่ื ขาย นอกจากทําการเกษตร ชาวลาหูยังนิยมการเล้ียงสัตวคแ วบคูไ ปดว ย เชน หมู และไก ซ่ึงจะมี การเลี้ยงไวแทบทุกบานเพ่ือขายและใชประกอบพิธีกรรม รองลงมาคือการรับจางในเมือง ทํากอสราง ในชวงท่ีพักจากฤดูทําไร ทําสวน หมูบานท่ีอยูพ้ืนท่ีราบมีชาวบานหลายรายท่ีประกอบอาชีพคาขาย เปน็ พอคา คนกลาง รับซ้อื ผลติ ผลทางการเกษตรจากภายในหมบู านตาง ๆ แลว นําไปขายตอใหกับพอคา ในเมอื ง โรงงานและโรงสี รายไดส วนใหญม าจากการขายขา ว ขา วโพด และมพี อ คาคนกลางมารบั ซื้อ สวนหมูบานบนภูเขา ชาวบานฐานะจะไมคอยดีนัก เกือบทุกบานจะมีหนี้สินในการกูยืม เพื่อนํามาลงทุนซ้ือปุย ยาฆาแมลง และเมล็ดพันธุแ รวมถึงภาระคาใชจายในการเชาท่ีดินทํากิน 62
นอกจากนั้น ท่ีดินสวนใหญถูกนายทุนเขามาซ้ือ จํานวนมาก จึงทําใหหลายครอบครัวตองไปรับจาง ทํางานในไร รับจางเก็บชา และสวนสม เป็นตน ปใจจุบันวัฒนธรรม องคแความรูภูมิปใญญาของชนเผา ลาหู เริ่มมีการสูญสลายเหมือนชนเผาอื่น ๆ ดวยขอจํากัดและปใจจัยหลายประการ อาทิ การศึกษา ศาสนา ความเชื่อ วิถีชีวิต คานิยม และระบบเศรษฐกิจ เป็นตน รวมถึงในปใจจุบันเนื่องจากมีขอจํากัด ในเรื่องที่ดนิ จึงไดมีการปรับเปล่ียนรูปแบบ เป็นการผลิตท่ีมุงเนนเพ่ือการคามากข้ึน นอกจากน้ันแลว ยงั มีการเล้ียงสัตวไแ วใชง านและใชป ระกอบในพิธีกรรมตาง ๆ ไดแก ไก สกุ ร มา และลอ เปน็ ตน การแต่งกาย : ลักษณะการแตงกายของชนเผาลาหู หรือมูเซอ ชาวลาหูในแตกลุมมีเคร่ืองแตง กายทเ่ี ป็นลักษณะเฉพาะตวั ในดา นสสี นั และผาของลาหใู ชผาสดี าํ หรอื ผาสฟี ูาและสแี ดง ซ่ึงขึ้นอยูกับวา ลาหูกลมุ ใด และตกแตงดวยผาหลายสีเป็นลวดลายสวยงาม รูปแบบของเส้ือลาหูจึงแตกตางกันไปตาม กลุม แตท กุ กลมุ จะนงุ ซน่ิ เชนเดียวกัน รูปแบบของเส้ือผูหญิง จะเป็นเส้ือแขนยาวตัวส้ันแคเอว ตกแตง ดวยผาหลากสีและเคร่ืองเงิน สําหรับเสื้อผาของผูชายลาหู ทั้งเส้ือและกางเกงจะใชผาสีดําและใชผาสี ตาง ๆ ลวดลายทส่ี วยงามเหมือนของผูหญิงชาวลาหใู นสมัยกอ นเวลามีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ก็จะมกี ารสวมใสชดุ ประจําเผา เสมอ แตม าถึงปใจจุบนั การใสชุดประจําเผาในชนเผาลาหูเร่ิมหาดูไดยาก เนอื่ งจากการพัฒนาของสังคมเมือง ทําใหคานิยมในการใสเส้ือเปลี่ยนไป หันไปใสเส้ือผาแบบสมัยใหม เชนกางเกงยนี สแ เส้ือยีนสแ เป็นตน เพราะวามีการวางขายตามรานทั่วไป สวนชุดชนเผาหาไดยาก และ สังคมไมยอมรับ เมื่อใสชุดชนเผาเขาในเมือง กลับถูกมองเหมือนตัวประหลาดตัวหน่ึง จึงทําใหเด็กรุน ใหมไมชอบใสชุดประจําเผากัน เพราะวาอายคนในเมืองและ บางคนคิดวาเขามีการพัฒนาพอท่ีจะ แยกแยะออกวา ควรใสชวงเวลาไหนและไมค วรใสชวงเวลาไหน26 ลักษณะการแตงกายของผูชาย โดยจะสวมใสเสื้อแขนยาวสีดํา ประดับดวยเม็ดโลหะเงินและ ลายปใกตาง ๆ สวนกางเกงใชสีดํา สีเขียว สีฟูา เย็บปใกดวยมือท่ีสวยงาม มูเซอแดง : จะสวมเส้ือสีดํา 26 ธนั ยา พรหมบรุ มยแ “การศึกษาความเป็นไปไดใ นการพฒั นาหตั ถกรรมทอ งถนิ่ และการตลาดในพื้นที่โครงการหลวง : กรณีศึกษาผาทอ ชาติพันธแลุ าหู” มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม. คณะบรหิ ารธุรกิจ 2549. 63
ผาอกกลาง กระดมุ โลหะเงิน หรือกระดุมเปลอื กหอย กางเกงจีนสดี ําหลวมๆ ยาวลงไปแคเขาหรือใตเขา เลก็ นอย มเู ซอดาํ : จะสวมกางเกงขากว฿ ยสีดํา เส้อื สีนาํ้ เงินแขนยาวผา หนาปาู ยขา ง สน้ั แคบ น้ั เอว ลักษณะการแตง กายของผหู ญิงจะสวมใสเสือ้ แขนยาว สวมผา ถุงยาวถึงขอ เทา ตกแตงดวยแถบ ผาสี และมเี มด็ อลูมิเนยี มเยบ็ ติดเสือ้ มลี วดลายสวยงามแปะตดิ ไวดานหนา และดานหลังอยางสวยงาม มูเซอ แดง : จะสวมเส้ือตัวสั้นสีดํา แขนยาว ผาอก ติดแถบผาสีแดงที่สาบเสื้อ รอบชายเส้ือและแขน ตกแตง เสอ้ื ดวยกระดุมเงิน สวนผาซิ่นใชสีดําเป็นพื้น มีลายสีตาง ๆ สลับกันอยูท่ีเชิงผาโดยเนนสีแดงเป็นหลัก มูเซอดํา : จะแตงกายดวยเส้ือแขนยาว ตัวเสื้อยาวถึงคร่ึงนอง ผากลางตลอดตัวขลิบชายเส้ือและตก แตงตัวเสื้อดวยผาสีขาว นุงกางเกงขาก฿วยสีดํา โพกศีรษะดวยผาดํายาว และปลอยชายผาหอยไปขาง หลงั ยาวประมาณ ๑ ฟตุ ปใจจุบนั ใชผ า เช็ดตัวโพกศีรษะแทน และใชผา สีดําพนั แขง ศาสนา ความเช่อื และพิธกี รรม : ชาวลาหูนับถือผี มีบรรพบุรุษและสิ่งศักด์ิสิทธ์ิเป็นหลัก แต ปใจจุบันก็มีการนับถือศาสนาพุทธหรือศาสนาคริสตแมากขึ้น มีความเชื่อที่มีพิธีกรรมเขามาเกี่ยวของใน การดํารงชีวิต การเกิด เจ็บ ตาย บุคคลที่มีอิทธิพลในหมูบานมากที่สุด ไดแก พอครู หรือปุูจอง การ ตดั สนิ เรอ่ื งสําคญั ๆ ของหมูบ า น หัวหนาหมบู า นและทกุ คนจะตองฟใงความคิดเห็นของพอครู เป็นหลัก ซึ่งหวั หนา หมบู า นกับพอครูอาจจะเป็นคนเดียวกัน ท่ีเป็นผูนําทางพิธีกรรมเป็นผูทํานายทายทัก รักษา อาการเจบ็ ปวุ ยดวยสมุนไพรหรือภูมิปใญญาทองถิ่น พื้นฐานความเช่ือของลาหูนี้จะนับถือพระเจา หรือ (อื่อซา) ชาวลาหมู คี วามเช่อื เรื่องภูต ผี ขวัญ วิญญาณ ผสมผสานไปดว ยกัน ความเชื่อเรื่องพระเจา (อ่ือซา) ถือเป็นผูยิ่งใหญ ผูใหกําเนิดโลกและความดีท้ังปวง การบูชา สวดออนวอน อ่ือซา ถือเป็นสิ่งสําคัญ เพราะจะบันดาลใหทุกคนสมบูรณแพูนสุข ขาวปลาอาหารอุดม สมบูรณแ อยางเชน เทศกาลปใี หม หรือกินวอ (เขาะจาเว) ชวงปลายเดือนมกราคม หรือเดือนกุมภาพันธแ ของทุกปี ทุกหลังคาเรือน ทุกกลุมบาน หรือหมูบานก็ตองทําการบูชา และสวด ผลผลิตท่ีไดในรอบปี น้ัน ๆ ใหก บั อ่อื ซา เพ่อื ไดร ับประทาน และไดรับรู รับทราบ บวกกับขอโชคลาภในปีตอไป เชน ในปีนี้ ผลผลิตไดเทานี้ทําถวายใหทานอ่ือซา หนึ่งถวย - จาน ทานอ่ือซารับประทาน และไดรับรู ปีหนา ขอผลผลิตใหไ ด เกาเทา เกาถว ย - จาน เปน็ ตน ความเชื่อเร่ืองผี ชาวลาหเู ชอ่ื วา ผีมีอยูท่ัวไปแตมีท้ังผีดี และราย ต้ังแตในเรือนไปจนทั่วบริเวณ หมูบาน เชน ผหี มูบาน ผเี รือน เป็นผที ีค่ อยใหค วามคมุ ครอง สว นผนี ้ํา ผีปุา ผีดอยและผีอ่ืน ๆ ที่อยูนอก บาน ถือเป็นผรี ายที่ใหโ ทษตอคน ตวั อยาง เชน ผีบาน ผีเรือน ท่ีชาวไทยเรียกวาศาลพระภูมิ หรือเจาท่ี 64
ในหมบู านกช็ ว ยคุมครองสมาชกิ ในครอบครัวน้ัน ๆ เชนเดียวกับชาวไทยพุทธ ผีปุา หรือ เจาที่เจาทาง ในปาุ เหมอื นกนั ในเมื่อคนเขา ไปทําสิ่งไมดีใหกับสถานที่ ๆ นั้น หรือที่ชาวไทยเรียกวาลบหลูผีปุา ผีเขา หรือเจาปุา เจาเขา เจาท่ี ที่แหงนั้น มันก็จะทําคนคนนั้นมีอันเป็นไป และถาคนคนน้ันรูตัวเองวาได กระทําผิดไว แลวไดไ ปลบหลูท ่แี หง นน้ั แลว กจ็ ะไปหาหมอผีมาแกบน หรือทําพิธีตามความเช่ือชาวลาหู เกยี่ วกบั ผี ความเชือ่ เรอื่ งวิญญาณ หรือขวัญ เชื่อวาเป็นภาคจิตของรางกาย คลายกับความเช่ือทางไสยศาสตรแ ของคนไทย หากวิญญาณออกจากราง หรือถูกผีรายกระทํา เจาของรางกายจะเจ็บปุวย ความเช่ือชาว ลาหู ขวัญ วิญญาณ คอื ชว งที่คนไมคอยมีแรง ไมส บายบอ ย ๆ ครงั้ น้นั ชาวลาหกู ็จะไปหาโตโบ ซ่ึงที่เป็น ผูนาํ ทางศาสนา ทําพิธีไสยศาสตรแจุดเทียนแลวสวดกลาวตามวิธีโตโบ โตโบทําเสร็จพิธี และรูวาจะตอง ทาํ อะไรซงึ่ ผูปวุ ยกถ็ ามวา จะทาํ อยางไร และจะตอ งแกในดา นไหน แลว โตโบก็จะตอบ และบอกตามจริง ท่ไี ดร บั คาํ สงั่ จากเบอ้ื งบนใหกับคนทีไ่ มสบาย รับรู และใหกลบั ไปแกตามจริงทโ่ี ตโบบอก เชน ชวงน้ีบุญ มไี มม ากแลว นะ และขวัญหาย วิญญาณไมอ ยกู ับเน้อื กับตัว ถาเปน็ อยางนี้แลว ผูปวุ ยหรอื ผไู มส บายก็ตอง รบี หาหมอผี ทําพธิ แี กส ่งิ เหลาน้ี การทําพิธมี ดี งั น้ี พธิ ีเล็ก ๆ ทําพิธหี าบุญก็จะมีไกก็ได หมูก็ได พิธีเล็ก ๆ กไ็ ก พิธใี หญๆ ก็หมไู ด นาํ หมู - ไกม าฆา เลย้ี งใหกับสมาชกิ ในหมบู า น เพอื่ ที่จะขอบุญคนในหมูบาน และ คนในหมบู า นกผ็ ูกขอ มือ และอวยพรใหก บั คนไมส บายคน ๆ นน้ั ความเชอื่ เร่อื งขวญั ถา ขวญั หายชาวลาหูก ็จะมีวธิ ี เชน ชาวลาหรู ูวาขวัญหาย ก็จะหาไกหนึ่งตัว เพ่อื ทีจ่ ะนาํ มาทําพธิ เี รียกขวัญตามวธิ ชี าวลาหู ขวญั กลบั มาหรอื ยังอยางไรนั้นตอ งฆา ไก ตวั ทีท่ าํ พธิ แี ลวก็ มาทํา กินกันเองในกลุมหมอผี หรือผูเฒาเพียงไมก่ีคนเทาน้ัน พอกินเสร็จหมอผี หรือผูเฒา ผูแกก็จะดูท่ี กระดูกไก กจ็ ะรวู าขวัญกลบั มาหรอื ยงั ก็จะรทู นั ที ความเชื่ออ่ืน ๆ เชน ไมควรนําผาถุงของผูหญิงติดไป ในการไปลาสัตวแ เพราะจะทําใหเกิดการมั่ว และยิงคนผิดได หามผูหญิงจับอาวุธ เชน อุปกรณแลาสัตวแ ตาง ๆ ของผูชาย เพราะจะทาํ ใหอ าวธุ นน้ั ไมแ มนเวลาไปลา สัตวแ การละเล่น เครือ่ งดนตรี : เครื่องดนตรลี าหู เชน กลอง ฉ่งิ ฆอง แคน ลาหูมีความชํานาญในเรอื่ งพวกนมี้ าก ใชใ นชวงเทศกาลปีใหม หรอื ชว งมีการเตนรําในหมูบาน และใชในวันศลี เครื่องดนตรีประเภทดีด ซึง (เตอสื้อโกย) : หนุมๆ มักเลนในชวงอยูท่ีบาน หนุมจะดีดเป็น เสยี งเพลง แลวสาวๆ ไดยินเสียงเพลงไพเราะก็จะมาหาหนุม แลวสาวนั่งฟใงอยางลึกซึ้งจากเสียงเพลง ของหนมุ เลนไดตลอดไมเกีย่ วกับพธิ ี และประเพณีใด เคร่ืองดนตรีประเภทตี กลอง (จะโก) : จะใชตีในเฉพาะพิธีกรรมเทาน้ัน เชน ใชตีชวงปีใหม เปน็ สวนใหญ และรองลงมากใ็ ชใ นวนั ศีลชาวลาหูจะมวี ันศีลเดอื นละ ๒ ครั้ง คือ ในเดอื นข้ึน กับเดือนลง หรอื ขึ้น ๑๕ ค่ํา และแรม ๑๕ คาํ่ ทุกเดอื น เครือ่ งดนตรีประเภทเปาุ แคน (หนอ ) : สวนใหญแ ลวมักใชในงานปีใหม แตก ใ็ ชเ ปาุ ทวั่ ไปดว ย จ๊ิงหนอง (อาทา) : จิ๊งหนองมีลักษณะเชนเดียวกันกับขลุย เลนไดทุกเวลา ไมจําเป็นตองเลน ในชวงเทศกาล ขลุยไมไผ (แลกาชุย) : ทําข้ึนไดอยางงายจากไมไผ จากใชเปุาในชวงไปทําไร หรือในชวง เดนิ ทางไปเท่ียวตามหมบู า น เชน ไปเที่ยวสาวๆ ขลุย ของลาหูแบงออกเป็น ๔ ชนิด คือ แบบ ๑ รู, ๒ ร,ู ๔ รู และ ๕ รู 65
ขลุยตนขาว (แลลู) : แลดจู ะคลายกบั การทําแลกาชุย แตตางกันตรงท่ีวัตถุดิบ ซ่ึงแลลูจะใชตน ขา วทําแทนไม โดยตนขาวจะตอ งมขี อ ตอของตน ขา วตดิ มาดวย ๑ ขอ และจะตองทําล้ินดวยเพื่อใหเกิด เสียงจะมเี ลนกช็ วงฤดูกาลเกบ็ เกย่ี วขา วเทานนั้ ทจ่ี ะมใี หเลน กนั เปุาใบไม (อาผะเมอเว) : ใบไมช นดิ นี้เปุาเป็นเสียงเพลงได หนุมสาวจะเลนในชวงกอนเทศกาล ฉลองปใี หม หรือโอกาสอนื่ ๆ เสียง (อาถา) เป็นเพลงแสดงถึงความสนใจฝุายตรงกันขาม เปุาไดทุกเมื่อ ถา มีความสามารถในทางดา นเปาุ ใบไมก เ็ ลน ได ไมเก่ยี วกับพิธกี รรมใด27 การละเลนเปน็ อีกวฒั นธรรมหนึง่ ของชนเผาลาหูที่นิยมเลนกันยามที่วางจากการทําไร ทําสวน และชวงท่ีมีพิธีกรรมทางศาสนา หรือประเพณี ซ่ึงเด็กหรือผูใหญจะมารวมตัวกันบริเวณรางที่กวาง ๆ พรอ มจดั กลุมแลวก็เลน เป็นการละเลนเพ่ือความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และจะเนนการเลนเป็นกลุม เพ่อื ใหเกดิ ความสมัครสมานสามัคคีกันภายในกลุม เป็นการใชภูมิปใญญาของชาวบานในการนําส่ิงของ ตาง ๆ มาประดิษฐเแ ปน็ ของเลน โดยการใชวัสดุธรรมชาติ ที่หาไดงายและไมไดใชตนทุนเยอะ และเป็น การนาํ ของทอ งถิ่นมาดัดแปลง และทาํ เป็นของเลน ในยามท่ไี ปไรไปสวน ระหวา งทางก็จะเด็ดใบไมนํามา มาเปุาใหเกิดเป็นเสียงเพลง ซ่ึงจะทําใหเกิดความสุขในการเดินทาง และการเปุาใบไมหนุมๆ ยังใชเปุา ในการจีบสาว ซึ่งจะเป็นการเปุาเพลงที่คอนขางเศรา และมีความหมายอันลึกซึ้ง ถือไดวาเป็นวิธีการ ในการหาคูของหนุมสาวอีกวธิ ีหนึ่ง การละเลนของชนเผาลาหูแ บงไดเปน็ ๒ ประเภท ไดแ ก การละเลน ในพิธีกรรม : จะเลนเฉพาะ ในชวงท่ีมพี ิธีกรรมหรือประเพณเี ทา น้นั ซง่ึ ชาวลาหูท ้งั หญิงและชายจะแตงกายดว ยชดุ ประจําเผาเต็มยศ แลว จะมาเลนกัน อันไดแก การเตน “จะคึ” และประกอบดวยการเลนสะบา (หมะยี้สื่อตอดะเว) เลน ลูกขาง (ขอสือบาดะเว) โยนผา (แขปุกส่ือเหลดะเว) ซ่ึงหนุมสาวจะนิยมเลนกันมากที่สุด ในชวงที่มี พิธกี รรม หรือกนิ วอ เป็นเวลาวา งท่มี ีคามากสําหรับหนมุ สาว การเต้นจะคึ (ปอย เต เว) เป็นการบงบอกถึงความหลากหลายของการทํามาหากิน จะเตน ในชวงท่ีมีงานประเพณี (กินวอ) เตนเพื่อเฉลิมฉลองในงานประเพณี และเป็นการกลาวขอบคุณแขก ที่มารวมในงานพิธีกรรม อาจมาจากตางหมูบาน หรือตางทองถิ่น การเตนจะคึ จะเป็นการเตนเป็น จงั หวะ ตามเสียงกลอง (เจะโข) ฉิ่งฉาบ (แซ) และฆอง (โบโลโก) โดยจะมีทาทางประกอบหลากหลาย ทาอยางพรอมเพรียงกัน เชน ทาเก่ียวขาว ทาตักขาว และ ทาตีขาว เป็นตน การเตนจะคึ จะมีอีก หลากหลายทา คือ ทาสวัสดี ทาขอบคุณ และยินดีตอนรับ ก็จะมี อยูในตัว ทาสวัสดี และยินดีตอนรับ นนั้ จะอยูในจังหวะเดียวกัน ชวงปีใหม หรือกินวอ จะมีแขกจากบานอ่ืนมาเที่ยว และชาวลาหูจะมีการ เตน จะคึ เพอ่ื เป็นการตอ นรบั แขกทม่ี ารว มในงาน28 การละเล่นลูกข่าง (ค่อซือ) เป็นการละเลนของชนเผาลาหู จะนิยมเลนกันในชวงปีใหม กินวอ ของลาหู ลูกขางนั้นทําจากไมเนื้อแข็ง วิธีการเลน มีดังนี้ อยางแรก ทําเชือกสําหรับเหว่ียงลู กขาง 27 เจตชรินทรแ จิรสันติธรรม“ดนตรีชาวเขาเผามูเซอ กรณีศึกษาหมูบานหวยหลวง อําเภอแมอาย จังหวัดเชียงใหม”ศูนยแมานุษยวิทยา สิรินธร 2545. 28 สนุ ษิ า สุกนิ . (2552).การเตนจะคึของลาหูนะ (มูเซอดํา) กรณีศึกษา ตําบลดานแมละเมา อําเภอแมสอด จังหวัดตาก. วิทยา นิพนธแ ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต (นาฏยศิลปไ ทย). จฬุ าลงกรณแมหาวทิ ยาลัย. 66
แลวมัดกับดามไม พอเสร็จก็พันลูกขางแลวโยนไปยังเปูาหมาย แลวดึงเชือกคืนไวๆ ก็จะทําใหลูกขาง หมนุ และถา ลูกขา งของเราไปโดนของคูต อ สู ถือวา เราเป็นฝาุ ยชนะ การโยนผา้ (แขป่ ุกสื่อบา่ ดะเว) เปน็ ชนดิ หน่งึ ท่ีหนุม สาว จะเลนนิยมเลนกันมาก แตหนุม สาว มกั จะเลน ชวงปีใหม หรือ กนิ วอ วิธีการเลนก็จะมีการแบงฝาุ ยเป็น ๒ ฝุายหนุม ๆ ก็จะอยูฝุายหน่ึง และ สาวๆ ก็จะอยูอีกฝุายหนึ่ง แลวมีกติกาวาถาหนุม ๆ โยนผาใหฝุายสาว ๆ แลวสาว ๆ รับไมไดและรับ ไมท นั ทําใหต กสพู ้ืน ๓ ครั้ง หรือ ๓ ที แลวแตจะตั้งกติกากี่ที หรือก่ีคร้ังก็แลวแต ที่จะตั้งกันเองในกลุม จะมีการยึดสิ่งของตาง ๆ เชน สรอย นาฬิกา ขอมือ ฯลฯ จากฝุายท่ีแพมา แตก็จะคืนใหกันหลังจาก เสรจ็ การกินวอกนั การละเลนเพ่ือความสนุกสนาน : เรียกวา กา เคอะ เว โดยมีอุปกรณแที่ใช คือ นอ หรือ แคน โดยผทู ีม่ ีความชํานาญในเร่ืองของแคน จะเป็นคนเปุาแลวเตน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในงานประเพณี ใหเทวราช หรือ หง่ือซา รับทราบวาถึงเวลาแลวท่ีชาวลาหูจะเฉลิมฉลองใหกับทาน และขอใหทาน เทพเจาลงมาอวยพร ใหกบั คนในชุมชนดว ย ประเพณที โ่ี ดดเดน่ ประเพณีกินวอ : หรือประเพณีขึ้นปีใหมของชาวลาหู คือ งานปีใหมของชาวลาหูนอกจากน้ี ยังเป็นวันเซนไหวผ ีหลวงประจาํ ดอย ผเี มืองประจาํ หมูบา น และวญิ ญาณของบรรพบรุ ษุ การเฉลิมฉลอง ปีใหม ในภาษาลาหู (มูเซอ) เรียกวา ประเพณีเขาะเจ฿าเว ซึ่งแปลวา “ปีใหมการกินวอ” ซ่ึงจะเป็น ชว งเวลาทบี่ รรดาญาติมิตร ไดก ลับมารวมงานกนั ท่ีบา นอยางพรอมเพรียงเรียงหนา ไมวาจะอยูใกลไกล เม่ือทราบวาทางหมูบานตัวเองจะจัดงานดังกลาวก็จะกลับมารวมกัน เทศกาลของลาหูคอนขางจะมี เอกลกั ษณแเปน็ ของตัวเอง แตกตางจากชนเผา อ่ืน ๆ ซ่งึ ปีใหมห รือการกินวอนี้ มีความสําคัญตอชาวลาหู อยา งย่ิง เพราะเป็นประเพณีที่เก่ียวเนื่องกับวิถีชีวิตความเป็นอยูของเผาเสียเป็นสวนมาก ในงานเลี้ยง วันปใี หมข อง ลาหู จะมีการใช หมดู ํา เปน็ หลกั ในการสงั เวยและการเลยี้ งกนั กลา วคือ จะมีการฆาหมูดํา แลว เอาสวนทเ่ี ปน็ เนื้อหมูและหัวของหมู นําไปเซนสังเวยตอ “เทพเจาอ้ือซา” พรอมกับขาวเหนียวนึ่ง ท่นี งึ่ แลวมาตําใหเหนยี ว เมื่อเสรจ็ แลวก็ป้ในใหเป็นกอ นกลมๆ เรยี กวา “ออผ”ุ บางท่ีจะไดยินเรียกกันวา “ขา วปฺุก” แลวจึงนาํ เนอื้ หมูดังกลา ว มาปรุงหรือทาํ เป็นอาหารเลีย้ งกนั อยางเตม็ ที่ ชวงตง้ั แตหัวคํ่าข้ึนไป กจ็ ะมีการแสดง การเตนราํ ของชาวมูเซอ คอื การเตน “จะคึ” พิธีนจ้ี ะมีไปจนถงึ รงุ สาง 67
ประเพณี การแตงงาน การแตงงานของชาวลาหูเกิดจากการรักใครชอบพอกันของหนุมสาว ยึดถือผัวเดียวเมียเดียว แตถาตองการมีคูใหมตองหยาจากคูเดิมเสียกอน หากผูใดฝุาฝืนจะถูกลงโทษ ตามประเพณี เชน ปรับ ไลออกจากหมูบานการมีเพศสัมพันธแกอนแตงงานไมถือเป็นเร่ืองเสียหาย แตควรใหมิดชิดรอดพนสายตาผูใหญโดยเฉพาะผูนําทางศาสนา หากถูกจับไดอาจถูกลงโทษ เพราะ ถอื วาทําผดิ ประเพณี หากตง้ั ครรภแทั้งคูจะตองถูกปรับและฆาหมูประกอบพธิ ีเล้ยี งผีหมูบาน เพราะถือวา อาจจะทําใหเกดิ เจ็บไขไ ดปุวย การปลูกพชื ตา ง ๆ อาจลม เหลวได การเกิด ในอดีตมูเซอคลอดบุตรในบานของตน โดยชาวบานหรือสามีมาชวยทําคลอดในกรณี ท่ีไมมหี มอตาํ แย เม่อื คลอดแลว จะนํารกไปลางแลวนําไปฝใงไวใตบันไดข้ึนบาน กอนฝใงหมอผี จะทําพิธี จุดเทียนขี้ผึ้งสวดคาถาพรอมกลบดินใหแนนทับดวยไมปูองกันสัตวแมา คุยเขี่ย เชื่อวาที่ฝใงรกเป็นชีวิต ของเด็ก เม่ือไมสบายก็จะเอานํ้ารอนไปราดที่หลุมฝใงรกเพื่อกระตุน เตือนใหไปชวยปกปูองรักษาเด็ก มีเฉลวผกู ติดปลายไมปกใ ไวท่ีเชงิ บันไดปอู งกนั ผีรา ยตา ง ๆ หรือหามบุคคลภายนอกเขาบานในระหวางท่ี มีการอยไู ฟ หลังคลอดแมต องอยูไ ฟ ๑๒ วัน และกนิ แตไ กต มเทาน้นั เชื่อวาจะทําใหมีน้ํานมมาก การเปลี่ยนแปลงทางสงั คมวฒั นธรรม ประเด็นการสูญเสียพื้นท่ีทํากินของชาวบาน ทําใหชาวลาหูบางหมูบานในจังหวัดเชียงราย ไมสามารถปลกู พืชไรรวมทั้งขา วไรไ ดอีกตอ ไป เพราะพน้ื ทเ่ี หลา นถ้ี กู ยึดไปเป็นพื้นที่ปลูกปุาแทบทั้งหมด ชาวบา นตองดิ้นรนเพอ่ื ใหไ ดม าซึ่งของใชท่จี ําเปน็ เหลา น้ี เพือ่ จะดํารงชีวิตอยูตอไปได น่ันคือออกไปเป็น ลกู จางในโครงการหลวงตาง ๆ มากขน้ึ ซ่งึ ทแี รก ชาวบานยงั ไมคุนเคยกับระบบการรับจางในลักษณะนี้ เทาใดนัก นอกจากการสูญเสยี พืน้ ทที่ าํ กนิ ดงั กลาว ชาวบานยังมีความรูสึกวาพวกเขาสูญเสียวัฒนธรรม ทส่ี ืบทอดกนั มานานหลายชวงอายคุ นไป เชน วฒั นธรรมการมอบพชื ผลไมใหมใหแกครอบครัวที่พวกเขา เคารพนับถือ เชน ลูก ๆ เม่ือแยกครัวเรือนออกไปแลวและมีไรของตนเอง โดยทั่วไปพวกเขาจะปลูก พืชผักผลไมตาง ๆ ตลอดจนขาวไร เมื่อพืชผักเหลาน้ันสุกและกินไดแลว กอนท่ีพวกเขาและเด็ก ๆ ในครอบครัวจะเก็บมากิน พวกเขาจะตองนําไปใหพอแม ปุู ยา ตา ยาย หรือผูใหญท่ีพวกเขาเคารพ นับถือกอน เพื่อเป็นการแสดงถึงการใหเกียรติและไมลืมบุญคุณของพวกเขาที่มีใหมาตลอด หากครอบครัวใดไดมอบใหผูใหญ แตนํามากินเองกอน ชาวบานเชื่อวาจะทําใหเป็นโรคคอพอก ฉะนั้น ชาวลาหูม คี วามคิดวา ผทู เ่ี ป็นโรคคอพอกคือผูท่ีไมรูจักเคารพผูใหญและไมรูจักมอบพืชผลใหมแกผูใหญ กอ นทพ่ี วกเขาจะกิน29 สวนปใจจัยภายนอกที่สงผลตอระบบวัฒนธรรมลาหูด้ังเดิม ไดแก ระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ระบบการศึกษาและวัฒนธรรมจากภายนอกชุมชน ไดแก ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เป็นปใจจัยท่ีสงผลกระทบอยางรุนแรงตอการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจและสั งคมภายในชุมชน ลาหู ปใจจุบนั พน้ื ที่ทาํ กินของชาวลาหบู างหมบู า นถกู นายทุนซื้อไปเกอื บหมด นอกจากนั้น ยังมีการกูยืม เงนิ ทเ่ี พ่ิมขึน้ การรบั จางบนทดี่ นิ ของนายทนุ แตใชจ า ยในส่งิ ทีไ่ มจําเป็นมากข้ึน ส่ิงเหลาน้ีอาจทําใหชาว ลาหูรนุ ใหมเ หน็ ความสาํ คัญของ “มูลคา” ของวัตถุมากกวา “คุณคา” ทางวัฒนธรรมลาหูด้ังเดิม ระบบ การปกครองจากสวนกลาง ระบบการปกครองสมัยใหม มีความเป็นราชการจึงเป็นระบบที่มีกฎหมาย 29 ชลดา มนตรีวัต “การสรา งความเปน็ หญิงชายทางสังคมและจริยธรรมในชมชนลาหู : กรณีศึกษาหญิงลาหู” วิทยานิพนธแมหาบัณฑิต มหาวิทยาลยั เชียงใหม , 2541. 68
รองรับและมีการบังคับใช มีผลกระทบอยางมากตอระบบการปกครองดั้งเดิมของชุมชนลาหู ตัวอยาง เชน การแตง ตัง้ ผูใหญบานอยางเป็นทางการ ทําใหมีผูนําในหมูบานทั้งทางราชการและตามวัฒนธรรม บางหมูบ านโครงสรา งทีเ่ ป็นทางราชการจะมอี าํ นาจเหนือกวาโครงสรางแบบด้ังเดิม และพยายามทําให โครงสรางตามจารีตประเพณีเดมิ คอ ยๆ หายไป ระบบการศึกษา มคี วามสําคัญอยางมากตอการพัฒนาคนทัง้ ดานความรู จิตวิญญาณคุณธรรม จริยธรรม กายภาพ และดา นสงั คม ปจใ จบุ นั ระบบการศึกษาตามหลักสูตรมาตรฐานจากสวนกลางมีการ ยึดโยงดวยวัฒนธรรม และคานิยมของคนทองถิ่นนอยมาก ความรูที่ไดรับภายในชุมชนกับความรู ภายนอกชุมชนเป็นคนละชุดความคิด มีความแตกตางและหักลางกันอยางส้ินเชิงทําใหเย าวชน ไมสามารถผูกโยงเขากับบริบทเดิมของตนเองได และเส่ือมศรัทธาตอความเชื่อด้ังเดิมในวัฒนธรรม คานิยม และจิตวิญญาณของชาวลาหู ในปใจจุบันศาสนาและความเช่ือ ชาวลาหูจํานวนไมนอยมีการ เปล่ียนแปลงทางศาสนา บางกลุมไมคอยเครงครัดตอการปฏิบัติศาสนพิธี การเปล่ียนแปลงศาสนา จึงเปรยี บเสมือนการเปล่ยี นแปลงความเช่ือถือศรัทธาทั้งระบบ ไดแ ก วฒั นธรรม คานิยม พธิ ีกรรม จารีต และวถิ ปี ฏิบตั ิตา ง ๆ ของคนลาหูดวยเชน กัน การรวมกลุมและสรางเครือขายในปใจจุบัน : ดวยบริบทของพื้นที่การต้ังถ่ินฐานของหมูบาน ชาวลาหูโดยสวนใหญมีลักษณะเป็นภูเขาท่ีอุดมดวยธรรมชาติและปุาเขา มีกลุมชาวเขาต้ังถิ่นฐาน อนั หลากหลายกลุมชาติพนั ธุแ และเป็นพ้ืนที่ที่ถูกละเลยการพัฒนาจากรัฐ แตอีกดานหนึ่งกลับเป็นพ้ืนที่ แหงการพัฒนาท่ีมีองคแกรพัฒนาเอกชนเขามาชวยเหลือ ดังนั้น ในบางหมูบาน จึงถูกผนวกใหเป็น สวนหน่ึงของการทองเที่ยวทั้งในมิติการแสวงหาผลประโยชนแทางดานธุรกิจและในมิติของการพัฒนา ดังเหน็ จากประวตั ขิ องชุมชนท่มี กี ารเคล่อื นเปลย่ี นตามการเขา มาสัมพนั ธแของการทอ งเท่ียว ไมวาจะเป็น “บา น” หรือ “ตวั ชาวลาห”ู ลวนถูกดงึ ใหเปน็ สวนหน่งึ ของการทอ งเทีย่ วแทบท้ังส้นิ 30 30 30 สาริณียแ ภาสยะวรรณ. (2554). การเมืองของการสรางภาพตัวแทนทางชาติพันธแุในพ้ืนท่ีการทองเท่ียว: กรณีศึกษาโฮมสเตยแชาว ลาหู บานยะดู. วิทยานิพนธแศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต (พฒั นาชุมชน). มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม. 69
๒.๔ ชาติพันธุ์ลวั ะ (ละว้า) ในจังหวัดลาปาง ๒.๔.๑ ความเปน็ มาและการเดนิ ทางของกลมุ่ ชาติพนั ธุ์ ลวั ะ หรอื ละวา หรือ ละเวือะ คือชนเผา พืน้ เมืองดัง้ เดมิ ทอ่ี ยูอ าศยั มากอ นชาติพันธแุไท และเป็น เจาของพ้นื ทดี่ ้ังเดิมกอนการสรา งชาติรัฐลานนา ในอดีตลัวะเคยมวี ิวฒั นาการที่เจริญรุงเรือง มีการสราง บานแปงเมือง มีระบอบการปกครอง วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตเป็นอัตลักษณแเป็นของตนเอง เม่ือถูกชาติพันธแุไทรุกรานจึงถอยรนสูท่ีราบเชิงเขาและสันเขา ปใจจุบันตั้งถ่ินฐานอาศัยอยูในรัฐฉาน สหภาพพมา ตอนเหนือของลาว และทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยกระจัดกระจายอยูในพ้ืนที่ จังหวัดเชียงใหม แมฮองสอน เชียงราย นาน ลําพูน ลําปาง เป็นตน31 ซึ่งหากยอนกลับไปในยุค ประวัติศาสตรแประมาณ ๑,๓๐๐ ปีมาแลว กอนท่ีพวกมอญจะนําความเจริญรุงเรืองมาสูเขตลุมนํ้าปิง บรรพบุรุษของลัวะไดตัง้ ถน่ิ ฐานอยกู อนแลว โดยชาวลัวะเองมีความเช่ือวาบรรพบุรุษของเขาเคยอาศัย อยใู นเชยี งใหม และเปน็ ผสู รางวดั เจดียหแ ลวงกอนที่ไทยจะเดนิ ทางเขา สดู ินแดนแถบน้ี ตามตํานานกลาว ขานวาในอดีตลัวะมีกษัตริยแของตนเอง และองคแสุดทายคือขุนหลวงวิลังก฿ะ ซึ่งถูกพระนางจามเทวี กษัตริยแแหงนครหริกุญชยั (ลาํ พนู ) ตแี ตกพายถอยรนไปอยูบนปุาเขา อาณาจักรลัวะจึงถึงกาลลมสลาย ลงประมาณปี พ.ศ. ๑๒๐๐ ในขณะที่ชาญชัย จิรวรรธนกิจ32 ไดทําการศึกษาเรื่อง “การปรับตัวใหเขากับวัฒนธรรมไทย ของชาวลัวะในภาคเหนือของประเทศไทยทห่ี มูบ า นเมืองก฿ะ โดยระบุวาชาวบานท่ีอาศัยอยูในหมูบานนี้ เปน็ “ชาวลวั ะ” และลัวะบานเมืองก฿ะเรียกตนเองวา “ลเวอื ะ” ดังน้ันการที่คนภายนอกเรียกวา “ลัวะ” และชาวบา นก็เรียกตนเองวา “ลัวะ” น้นั คาดวา เรม่ิ ตน เมื่อราว ๕๐ ปีกอน หรือราวทศวรรษท่ี ๑๙๗๐ (พ.ศ. ๒๕๑๓) เพราะงานวิจัยรุนแรกๆ ท่ีศึกษาเรื่อง “พะล็อก” ก็มีปรากฏในชวงเวลานั้นเชนกัน งานชิ้นสําคัญคอื งานของ Gebhard Flatz ซ่ึงศกึ ษาชาวบานท่ีบานปางไฮ บานคา และบานลัก ซ่ึงเรียก ตนเองวา “พะล็อก” (Phalok) กลุมบานขางตนถือเป็นเครือญาติกันกับบานเมืองก฿ะ โดยชาวบานเลา เสมอวามสี ายสัมพนั ธทแ างเครือญาตอิ าศยั อยูต ามหมูบ านดังกลา ว ซง่ึ หลงั จากชวงปี ๑๙๗๐ ไมก่ีปีพบวา 31 ฐาปนียแ เครอื ระยา สํานักสงเสริมศลิ ปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม 32 ชาญชัย จีรวรรณกิจ(2529)การปรับตัวใหเขากับวัฒนธรรมไทยของชาวลัวะในภาคเหนือของประเทศไทย วิทยานิพนธแ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร 70
ไมม ีงานศึกษาทเ่ี รยี กชาวบานกลมุ นว้ี า “พะล็อก” อกี เลยแตเ ปลยี่ นมาใชช ือ่ เป็นลวั ะท้งั สิน้ ดังนั้นจึงเป็น เร่ืองยากทจ่ี ะหาสาเหตุของการเปล่ียนแปลงจากช่ือเรียก “พะล็อก” มาเป็น “ลัวะ” แตอาจเกี่ยวของ กับพน้ื ทท่ี างสงั คม ตัวอยางทเี่ ห็นไดชดั คอื ในพ้ืนทสี่ าธารณะ เชน อนุสาวรียแขุนหลวงวิลังคะซ่ึงต้ังอยูใน หมบู า นเมืองก฿ะ และในงานพิธีกรรมไหวขุนหลวงวิลังคะผูนําชนชาวลัวะที่ยังมีการกลาวถึงพะล็อกอยู ดังน้ัน แสดงวาเป็นพะล็อกหรือลัวะจึงขึ้นอยูกับเง่ือนไขเร่ืองเวลาและพ้ืนท่ีในการแสดงเชนพิธี ไหวผ ีหลวง เปน็ ตน ในแงข องการเรียกช่ือตนเองในบานเมอื งก฿ะนั้นพบวาผูอาวุโสในหมูบานท่ีมีอายุราว ๕๐-๘๐ ปี เทา นั้น ที่จะทราบวาตนเองเป็นพะล็อก สวนชาวบานท่ีอายุนอยกวาน้ีมักรับรูวาตนเองเป็น ลวั ะ ท้งั นเี้ พราะคนเฒา คนแกไ มไดอธบิ ายเกย่ี วกับเรอื่ งพะล็อกใหฟใง นอกจากในเขตเชียงใหมยังพบวา ในประเทศพมาคําวา “พะโลก” (Parauk) เป็นชื่อหน่ึงท่ีทางการใชเรียก “วา” (Wa) ซึ่งมีประชากร ประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ คน อาศยั อยใู นเขตตะวันออกเฉยี งเหนือและตะวันออกของรัฐฉาน และทางตอน เหนือของแมน้ําสาละวิน รัฐเชยี งตงุ โดยมีสาํ เนยี งยอยประมาณ ๗๐ สําเนียง ซึ่งอาจแสดงใหเห็นวาอาจ มคี วามสมั พันธกแ นั บางอยางกบั คาํ เรียกพะลอ็ กทเ่ี มอื งก฿ะ33 ลัวะนั้นเป็นชนกลุมด้ังเดิมท่ีตั้งถ่ินฐานอยูในอาณาจักรลานนามากอนการต้ังเมืองเชียงใหม ในสมยั ของขุนหลวงวลิ ังคะ ผนู าํ คนสดุ ทา ยของชาวลัวะ ปจใ จุบันพบลัวะ ในจังหวดั คอื ลําปาง อุทัยธานี สุพรรณบุรี เชียงราย เชียงใหม ตาก นาน และแมฮองสอน หมูบานลัวะที่ใหญที่สุด อยูท่ีบานบอหลวง อําเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม ชนเผาลัวะอาศัยอยูใน ๙ ลัวะจังหวัด ๒๑ อําเภอ ๗๑ หมูบาน จํานวน หลังคาเรือน ๓,๓๒๒ หลงั คาเรอื น ประชากรรวม ๑๗,๖๓๗ คน (ทําเนียบชุมชนฯ ๒๕๔๐, น.๕๐) การ ตงั้ ถ่นิ ฐานของลัวะ เป็นการตั้งถาวร บานยกพนื้ สูง มุงหลังคาดวยหญา มีระเบยี ง และหอง ๑ หองใตถุน บานใชเป็นที่เลี้ยง สัตวแ ยุงขาวแยกอยูตางหาก (Lebar and others ๑๙๖๔, p.๑๒๐) ชานหนาบาน สาํ หรบั ใชนัง่ ป่ในฝูายกรอดาย ทอผาภายในหองมีเตาไฟ สุมไฟไวตลอดเวลา ใชเสื่อไมปูนอน หมอนทํา ดว ยทอ นไม ไมน ิยมนอนบนท่ีนอนครอบครวั สําหรับชาวลวั ะในจังหวัดลาํ ปางอาศัยอยูที่บานวังใหม ต้ังอยูหมูท่ี ๑๒ ตําบลรองเคาะ อําเภอ วังเหนือ จงั หวดั ลําปาง ซง่ึ ประชากรในหมูบานวังใหมเป็นหมูบานของหลายกลุมชาติพันธุแ ไดแก เมี่ยน (เยา) ล๊ัวะ และลีซอ เน่ืองจากเป็นพื้นที่รองรับการอพยพชาวบานที่ดํารงชีวิตแบบเกษตรกรรมในเขต ภเู ขาลงมาสพู น้ื ราบอนั เป็นผลมาจากการประกาศเขตอุทยานดอยหลวง เดิมทีชาวกอนอพยพมาอยูใน พ้นื ที่จงั หวัดลาํ ปางเคยอาศัยอยูในพื้นที่บานแมสาน ผาแดง ซ่ึงอยูติดกับดอยหลวง เมื่อมีการประกาศ เขตอุทยานชาวลัวะจึงถูกอพยพออกมาพรอ มกับกลุมชาติพันธแุอื่น โดยมาปลูกสรางบานเรือนในพ้ืนที่ที่ รฐั จดั สรรไวใหในตาํ บลรอ งเคาะ อําเภอวังเหนือ ซ่ึงหลังจากอพยพยายลงมาอยูในพื้นที่ ท่ีรัฐจัดสรรให ชาวบานตองประสบปใญหา คือ พ้ืนที่ท่ีไดรับการจัดสรรไมสามารถเพาะปลูกได ทําใหคนในชุมชน โดยเฉพาะคนหนุมสาววัยแรงงานตอ งยายถ่ินเพอ่ื หางานทําทั้งในและตางประเทศเพื่อหาเงินสงกลับมา จุนเจือครอบครัว ซึ่งแนนอนวาชาวลัวะในลําปางไดสูญเสียอัตลักษณแดั้งเดิมและปรับตัวผสมกลมกลืน จนกลายเปน็ เมอื งในท่ีสุด 33 ศรีศักร วัลลโิ ภดหมูท ี่ “ลวั ะ ละวา และ กะเหร่ียง: ชนเผาบนท่ีสูงกับความสัมพันธแทางเศรษฐกิจ-การเมืองกับรัฐในท่ีราบ”, วารสาร เมอื งโบราณ ปที ี่ 1 ฉบบั ท่ี 12 (มกราคม - มนี าคม 2529) 71
๒.๔.๒ ลกั ษณะโครงสรา้ งทางสังคม ภาษา : ชาวลัวะมีภาษาเป็นของตนเอง คือ ภาษาลัวะ เป็นภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก กลุมมอญ - เขมร แตเดิมมีการนับถือผี โดยเฉพาะผีเส้ือบาน และผีบรรพบุรุษ โดยเมื่อแตงงานแลว ฝาุ ยหญิงจะนบั ถอื สายผตี ามสามี และบุตรชายคนเล็กจะไดสทิ ธ์ิในการรับมรดกและดูแลสายผี ภายหลัง เม่ือมีปฏิสัมพันธแกับคนพื้นราบ จึงไดมีการนับถือพระพุทธศาสนาควบคูไปกับความเชื่อด้ังเดิม และ ซึมซับรับวัฒนธรรมจากกลุมชาติพันธุแไทเขาไปใชในชีวิตประจําวัน ภาษาของลัวะมีแตกตางกันหลายกลุม แตแบงเป็นกลุมใหญๆได ๒ กลุม คือกลุม วาวู ใชพูดกันในหมูลัวะ เขตลุมน้ําปิง เชน บานบอหลวง อีกกลุมหน่ึง คือ กลุมอังกา ใชพูดกันในเขตตะวันตก ในเขตพื้นท่ีอําเภอแมสะเรียง จังหวัดแมฮองสอน ความแตกตางกนั ของภาษานี้ จะตางกันไปตามหมูบานท่ีอยูหางกัน แตสามารถเขาใจกันได นอกจากนี้ ยังนําคําในภาษาไทยพืน้ เมอื งทางเหนือไปใชเป็นจํานวนมาก ทง้ั ยงั สามารถพูดภาษาไทยไดด วย สาํ หรับตัวหนังสอื ที่ใชส าํ หรับเขยี นน้นั จะไดรบั อิทธผิ ลจากมิชันนารีท่ีมาเผยแพรศาสนา ซึ่งจะ มกี ารนาํ หลกั คําสอนมาเผยแพรโดยใชตวั เขียนแบบภาษาเขยี นจากตวั หนังสอื ตะวันตกมาสอน แตตอมา ชนเผา ลเวือะเริ่มมกี ารเรียนรูตัวเขียนแบบภาษาไทยมากข้ึนจึงไดมีการเขียนภาษาพูดโดยใชภาษาไทย เป็นแบบ ซ่งึ ปจใ จุบนั ก็มกี ารใชถ ึงปจใ จบุ ันนี้ ตวั หนังสอื ของชนเผ่าลเวือะ ตวั พยัญชนะ k อานวา กอกะ kh อานวา คอโคะ g อา นวา ฆอฆิ ng อา นวา งองอ c อานวา จอจกั ch อา นวา ฉอฉา ny อานวา ญอเญือะ t อานวา ตอตะ th อานวา ทอทอง d อา นวา ดอดกั n อา นวา นอนา p อา นวา ปอปงใ ph อา นวา พอเพือ b อา นวา บอโบง m อานวา มอมะ y อานวา ยอเยือม r อา นวา ลอรืาฮ l อา นวา ลอเลีจ v อา นวา วอวอม s อา นวา ซอซงั h อา นวา ฮอแฮ f อา นวา ฟอเฟอื ะ j อานวา ฌอไฌม ตัวสระ a อานวา อา i อานวา อี e อา น เอ x อานวา แอ z อา นวา อื q อานวา เออ u อา นวา อู o อานวา โอ aw อานวา ออ สาํ หรับตวั เขยี นท่ีใชภาษาเขียนแบบภาษาไทยน้ันก็จะมีรูปแบบเหมือนการเขียนภาษาไทยแต จะมีการอา นออกเสยี งเปน็ สาํ เนียงของภาษาลเวือะตัวอยาง เชน ดัฮ ฮอยจ เญือะ เอะ /กืา กอ/ ซ ปุย นึง เบรือม การแต่งกาย : ชาวลวั ะมีขนบธรรมเนียมเครื่องแตง กายตา งกับชาวเหนอื ผชู ายนงุ ผาพื้น โจงกระเบน หรือโสรง ผหู ญิงสวมเส้ือสีดําผาอกแขนยาว ปใกเป็นแผนใหญท่ีหนาอกตามแถวกระดุม และแถวรังดุม รอบคอ ปกใ ทีช่ ายแขนเสอ้ื ตรงขอมอื ทง้ั สองขางและที่ใตตะโพกรอบเอวดวยด้ินเลื่อม ไหมเงินคลายเส้ือ ขนุ นางไทยโบราณ ผาซิ่นตดิ ผา ขาวสลับดําเลก็ ๆ ตอนกลางเปน็ ริ้วลาย ชายซนิ่ ตดิ ผา สีดํากวางประมาณ ๑ ศอก ตามปกติผหู ญงิ อยบู านไมคอ ยสวมเสื้อชอบเปดิ อกเห็นถนั ถาเขาไปในเมอื งกจ็ ะสวมเสอื้ แตงกาย อยางชาวเหนือ ถาออกไปหาผักตามปุาจะเอาผาขาวโพกศีรษะและสะพายกระบุงกนลึกโดยเอาสาย 72
เชือกคลองศีรษะตรงเหนือหนาผาก ใสคาดคอรองรับนํ้าหนักอีกชั้นหนึ่ง ไมสวมเส้ือ แตดึงผาซ่ินข้ึนไป เหนบ็ ปิดเหนือถนั แบบนงุ ผากระโจมอก เวลาเดินนากลัวผาซิ่นหลุด แตไมเคยปรากฎเพราะเหน็บแนน ไปไหนถือกลองยาทําดวยรากไมไผเป็นประจํา เส้ือของผูชายอยางเดียวกันกับผูหญิง แตไมปใกดอก ลวดลายท่ีคอเส้ือและชายเส้ือ เคร่ืองแตงกาย ดังกลาวนี้ปใจจุบันไมใชกันแลว หันมานิยมเสื้อเชิ้ตแขน ยาวผา อกกลาง กางเกงจีนธรรมดา แตผ ชู ายท่นี ุง ผา โจงกระเบนยงั มีอยบู า ง โครงสรา้ งครอบครัว : เดิมทีชาวลัวะมีระบบการแตงงานแบบผัวเดียวเมียเดียว โดยฝุายหญิง จะเขาไปอยบู านฝุายชายและนับถือผีบรรพบุรุษฝุายชาย บุตรท่ีเกิดมาอยูในสายเครือญาติของฝุายพอ ในครัวเรอื นหนึ่ง ๆ โดยท่ัวไปประกอบดวยสามี ภรรยา บุตร บุตรชายคนโตตองไปสรางบานใหม เมื่อ แตงงาน บุตรชายคนสุดทายจะตอ งเป็นผูทไี่ ดรับมรดกและเล้ียงดพู อ แมตลอดชีวิตหนาท่ีในครัวเรือนจะ แบงออกตามอายุ และเพศ กลาวคอื ผูหญิงมีหนาที่รับผิดชอบหาฟืน ตักน้ํา ตําขาว ทําอาหาร และทอ ผา ผูชายมีหนาที่ซอมแซมบาน ทําร้ัว ไถนา และลาสัตวแ สวนงานในไรเป็นหนาท่ีของท้ังสองฝุายตอง ชวยกนั ทาํ รวมทั้งสมาชกิ วยั แรงงานทุกคนในครอบครัวดวย งานดานพิธีกรรมถือเป็นหนาท่ีรับผิดชอบ ของผูชายเกือบท้ังหมด แตกระบวนการเตรียมของสําหรับทําพิธีกรรมในครัวเรือนสวนมากจะเป็นฝุาย หญงิ เปน็ ผเู ตรียม34 ลูกตองเลยี้ งดูพอ - แม ของตนเอง : กฎเกณฑขแ อ ปฏิบัติขอน้ีเป็นขอท่ีสําคัญท่ีสุดที่คนในชุมชน ยึดถือปฏิบัติกันอยางเขมแข็ง ซึ่งถือวาลูกทุกคนตองเลี้ยงดูพอแมของตนในยามที่ทานแกชราลงและ ถือวาเป็นความรับผิดชอบที่จะตองปฏิบัติตอพอแมของตนเองแบบหลีกเลี่ยงไมได โดยเฉพาะลูกคน สดุ ทองทเ่ี ปน็ ฝุายชายจะตองอยูบานเดียวกันกับพอแมรับผิดชอบดูแลเล้ียงดูพอแมใหไดรับความสบาย ตามฐานะและความเป็นอยู และถาลูกคนใดขาดความรับผิดชอบในกฎเกณฑแขอนี้ก็จะสรางความ เดอื ดรอนใหกับคนในชุมชนและพอแมที่ถูกลูกทอดท้ิงจะตองเป็นภาระใหกับคนในชุมชน จะถูกคนใน ชุมชนประณาม พอแมตองเล้ียงดูลูก : กฎเกณฑแขอปฏิบัติที่ยึดถือปฏิบัติกันอยางเครงครัด โดยถือเป็นหนาที่ ของพอแมท ี่ตองทาํ กบั ผูทีต่ นเองเปน็ ผสู รา งขึ้นมา จะโยนความรับผิดชอบตรงน้ีไปใหผูอื่นไมไดเด็ดขาด ตอ งอบรมส่งั สอนใหล กู ของตนเอง ไดมีความรูขนบธรรมเนียมประเพณีตลอดจนถึงกฎเกณฑแขอปฏิบัติ ขอ หา มตา ง ๆ ส่งิ ใดควรสิ่งใดไมค วรและตองควบคุมดูแลใหลูกของตนปฏิบัติตัวใหอยูในกรอบจารีตท่ีดี งามเหลา นน้ั รวมทัง้ ตองเลี้ยงดูใหไดรับความสุขตามควรและสงเสริมใหไดรับการศึกษาที่เหมาะสมกับ ฐานะของตน มีสามีภรรยาไดคนเดียว : สําหรับกฎเกณฑแขอปฏิบัติขอน้ีถือวาคอนขางท่ีจะมีความสําคัญ ในชุมชนลัวะมาก ซ่ึงจะมีการยึดถืออยางเครงครัดถามีผูใดฝุาฝืนละเมิดในชุมชนถือวารายแรง คนในชุมชนรับไมไดจะตอ งลงโทษตองถูกประณามจากคนในชุมชนอยางรุนแรง และจะตองเสียผีใหกับ ชมุ ชนและถกู ปรับดว ยควายและเงนิ อีกจาํ นวนหน่งึ ผูเฒาผูแกพ อแมจะพร่ําสอนลูกหลานของตนเองวา ถาแตงงานแลวอยาคิดนอกใจสามีภรรยาอยาไปคบชู หรือแบงใจใหกับชายอ่ืนหญิงอื่นตองผัวเดียว เมียเดียวเทา นั้น สว นใหญจะไมค อ ยไดพบเห็นชาวลัวะจะมีแตกรณีที่มีสามีหรือภาริยาที่ตายแลวมีบางที่ แตง งานใหม หลังแตง งานผชู ายจะนําภรรยามาอยูบ า นของตน จนกระท่งั ลูกชายคนตอไปแตงงานก็แยก ไปปลกู เรือนเปน็ ของตัวเองตางหาก บางแหงเชนท่ีบานชางหมอ อําเภอแมสะเรียง จังหวัดแมฮองสอน 34 https://impect.or.th/?p=14999 เขาถึงวันที่ 27 กนั ยายน 2563. 73
หลังแตงงานผูชายตองมาอยูบานผูหญิง ผูชายมีโอกาสนําภรรยากลับไปบานบิดามารดาของตนได ก็ตอเมอื่ มีบตุ รดว ยกนั 35 ถา ผหู ญิงไปอยบู า นฝุายชายตองไปนบั ถือผีทางฝุายชาย การจัดการมรดก : ทรพั ยแสินท้ังหมดของบิดามารดาจะตกเป็นของลูกชายท้ังหมดไมวาจะมีลูก ชายก่ีคนจะตองแบงเทา ๆ กัน แตลูกคนสุดทองจะไดทรัพยแสมบัติมากกวาพ่ีคนอ่ืน ๆ นิดหนึ่งตรงท่ี จะตอ งรับภาระเล้ียงดูพอแมดวย สําหรับลูกหญิงนั้นถาเป็นบานท่ีรํารวยจะใหในลักษณะท่ีเป็นสิ่งของ เชน เงิน ทอง เป็นหลัก สวนท่ีทํากินวัวควาย ลูกผูหญิงจะไมไดรับ สําหรับลูกผูหญิงน้ันลัวะจะถือวา จะเปน็ ฝาุ ยออกเรือนไปอยูบา นสามจี ะตองไปรบั มรดกของบานสามีตอไป โครงสร้างการปกครอง : ในอดีตชาวลัวะมีการปกครอง ๒ ลักษณะ คือผูนําตามทางการ กบั ผูน าํ ตามลัทธิธรรมเนียมเดิม สําหรับผูนําทางการจะทําหนาท่ีรักษาความสงบเรียบรอย ตัดสินกรณี พพิ าท และรกั ษากฎระเบยี บของหมูบา นโดยตรงผูน ําตามลัทธิธรรมเนยี มเดิมเป็นการแตงต้ังในสายของ ตระกูลสะมังซ่ึงเป็นชนชั้นขุนชองลัวะซ่ึงเป็นชนช้ันสูงที่สืบทอดมาจากอดีตถึงปใจจุบัน และปใจจุบันก็ ยงั มีบทบาทหนาที่อยแู ตก็ไมม าก เชนให “สมัง” เปน็ ผมู ีหนา ที่กระทาํ พธิ กี ารตาง ๆ ในนามของหมูบาน ต้ังแตการเลือกที่ดินทําไรของหมูบานวาดีหรือไมกอนท่ีจะตกลงตัดไม การตัดสินกรณีแกงแยงตาง ๆ ในชมุ ชนจะเป็นหนาท่ีของผูนําทางการ ผูนําตามลัทธิธรรมเนียมรวมกับ “ลํา” เป็นผูชวยกันไกลเกล่ีย กลาวคือผูนําทางการทําหนาที่รับผิดชอบในการบริหารและปกครองทองถ่ิน แตหากชุมชนมีการ ประกอบพธิ กี รรมใดขน้ึ ผนู าํ ทางการจะตอ งเคารพเชือ่ ฟงใ ผูน าํ ตามลทั ธิธรรมเนยี มเดิม ๒.๔.๓ วิถชี ีวติ ความเปน็ อยู่ ความเช่ือ และประเพณีวฒั นธรรม การทามาหากิน และวิถกี ารผลติ พืน้ บ้าน : ชาวลวั ะ มอี าชีพทางกสกิ รรม ทํานา ไร สวน เลี้ยง สัตวแจาํ พวกววั ควาย หมู ไก หมูของเขาปลอยใหหากินตามบริเวณบาน ถาฤดูขาวเหลืองจึงนํามาขังไว ในคอกเวลาวา งก็ทอผา ตําขาว จกั สาน เชน กระบุง ตะกรา ฯลฯ ฤดูแลงชอบเขาปุาลาสัตวแ เมื่อไดสัตวแ ปุามาหนึง่ ตัวผลู า แบง เอาไวครงึ่ หนงึ่ อกี ครึ่งหน่งึ นาํ ไปมอบใหแกผูใหญบาน ผูใหญบานตีเกราะสัญญาณ เรียกชาวบานมาแบงกันไปจนท่ัวทุกหลังคาเรือน การปลูกสรางบานเรือนชาวบานชวยกันทั้งหมูบาน ไมตอ งจา ง การนบั วนั เดอื นปขี องชาวลวั ะ ผิดกับชาวเหนือและไทยภาคกลาง คือเดือน ๔ ของลัวะเป็น เดือน ๕ ของไทย แตช าวเหนอื ถือเปน็ เดือน ๖ การนบั เดอื นของลัวะอยา งเดยี วกันกับชาวไทยใหญ และ ชาวหลวงพระบาง ชาวลัวะมีนิยายประวัติประจําชาติ ซึ่งไดทราบจากปากคําทานผูเฒาชาวลัวะ บาน ลัวะ ตาํ บลบัวสี อําเภอเมอื งเชียงราย จังหวดั เชยี งราย วาเดิมพญาลัวะกับพญาไตเพื่อนเกลอกัน ตอมา พญาไตยกกองทพั ไปรบกบั พญาแมนตาตอก ซึ่งเป็นพญาอันยิ่งใหญของบรรดาผีปีศาจท้ังปวง พญาไต พายแพต ออิทธฤิ ทธิ์ของพญาแมนตาตอก จงึ มาหลบซอนตัวอยกู บั พญาลวั ะ พญาแมนตาตอกติดตามหา จนไปถึงบานลวั ะ แตถกู พญาลวั ะกลา วปฏิเสธวา ไมพบเห็นพญาไต พญาไตจึงเป็นหน้ีบุญคุณพญาลัวะ ลัวะกบั ไตจึงเปน็ ชนชาตคิ ูเคียงกนั นบั ตัง้ แตน ้ันมา ดังน้ันในอดีตลัวะมีเศรษฐกิจแบบยังชีพ ข้ึนอยูกับการทําไรเล่ือนลอยแบบหมุนเวียนโดยจะ ปลกู ขา วเจาเปน็ พืชหลกั ลัวะนยิ มบริโภคขาวเจามากกวาขาวเหนียว และนิยมด่ืมเหลาที่ทําจากขาวเจา อีกดวย พืชอนื่ ๆ ทปี่ ลูกแซมในไรขา วสาํ หรบั ไวเ ป็นอาหารและใชส อย ไดแก ขาวโพด ถั่ว แตงกวา พริก ฝูายผักตาง ๆ สวนสัตวแเลี้ยง ไดแก วัว ควาย หมู ไก สุนัข เป็นตน ซ่ึงสัตวแเลี้ยงเหลานี้บางชนิดก็ฆา 35 อา งแลว ใน บุญชว ย 2560. 74
สําหรับใชเล้ียงผี ผลิตผลทางเศรษฐกิจของลัวะ มีประมาณเพียงพอสําหรับบริโภคและขายในหมูบาน ใกลเคียงไดบางเศรษฐกิจมีลักษณะพอมีพอกินเล้ียงตนเองไดไมเดือดรอน ในปใจจุบันมาตรฐานการ ครองชีพของลัวะอยูในระดับปานกลางในอดี ตปลูกขาวเป็นรายได เชน ปลูกทอ เสาวรส ผกั กาด กะหลํา่ ปลี มะเขือเทศ ถวั่ แดง ถวั่ ลันเตา ทําใหมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้นกวาเดิม บานท่ีเคยมุง หลังคาดวยหญาคาหรือใบตองตึงปใจจุบันเปล่ียนมาเป็นมุงดวยกระเบื้องหรือสังกะสีกันมากแลว สวนสัตวแเลี้ยงก็ยังคงเล้ียงไวเพ่ือใชในพิธีกรรมโดยการฆาแลวนําไปเซนไหวผี เชน พิธีดานการเกษตร พิธแี ตงงาน พิธีไหวผ ีตา ง ๆ เป็นตน ดงั นน้ั จงึ ทาํ ใหล วั ะไมมีสตั วเแ ลีย้ งเหลือสาํ หรับขาย36 การใช้ทด่ี ิน : ท่ีไร่ จะใชเนือ้ ทีต่ ามไหลเ ขาเปน็ ที่สาํ หรบั การเพาะปลูก และพืชผักสวนครัว โดย การปลูกพืชผักสวนครัวจะปลกู พรอ มกับการหวานขา ว ทาํ การผสมเมล็ดพันธไุแ มร วมทงั้ ดอกไม เชน ดอก ดาวเรือง ดอกบานไมรูโรย ดอกบานช่ืน เป็นตน มาใสรวมกับเมล็ดขาวท่ีหยดลงดิน นอกจากนี้ยังมี จาํ พวก พริก แตงกวา ประเภทฟกใ ตาง ๆ ขา วโพด ยาสบู ฯลฯ พืชไรจะใชน าํ้ ฝนเทานน้ั กอ นที่จะทําการ เพาะปลกู ไดน้นั ชาวลัวะจะตองทําการฟในไร ถางปุาเสียกอน การเพาะปลูกในไรน้ันเป็นการเพาะปลูก ระบบหมุนเวียน เชน หากมีพ้ืนที่สําหรับการทาํ ไรมี ๘ แหง จะตองทาํ การหมุนเวียนสลับไปทําที่ไรแตละ แหง ใหค รบทง้ั ๘ แหง เมื่อครบแลว จงึ วนกลบั มาทาํ พื้นทีเ่ ดมิ อกี ครั้ง การปลูกพืชไรจะเริ่มประมาณตนเดือนกุมภาพันธแ โดยสะมัง (ผูนําทางพิธีกรรม) จะเตรียม ฟนใ ไร หลังจากทีไ่ ดตกลงกนั วา ใครจะทาํ กนิ บนท่ีดนิ บริเวณใด มใี ครขาดแคลนอะไรบาง หลังจากนั้นจะ ทําพิธีเปิดทํากินซึ่งเป็นไร บอกผีเจาท่ีวาพวกเขาจะมาทํากินในพ้ืนที่ดังกลาวขอเจาท่ีไปอาศัยอยูท่ีอ่ืน กอน และขอพรจากเจาที่ใหช ว ยปกปอู งคมุ ครองดแู ล ใหป ลูกขาวไดผลผลติ ที่ดีผักสวยงาม ชาวลัวะจะมี พธิ ีการเสยี่ งทายดูผลโดยการผา อกไกด ูวานา้ํ เต็มหรือไม หากน้ําในดีไกสมบูรณแก็จะทําพ้ืนที่นั้นเป็นท่ีทํา กนิ ตอไป แตห ากดไี กแ หง ถือวา เป็นสัญญาณไมดีตองทําการเปล่ียนท่ที ํากนิ การทาํ การเสีย่ งทายดังกลาว ชาวลัวะเรียกกันวา “ดีคัย” จากนั้นทําการเลี้ยงผีทางเดิน (โนกต฿ะกยะ) รุงขึ้นจะมีการประชุม เพ่ือจัดแบงพื้นท่ีในการทํากิน และเฉล่ียเงินคาไกและเหลาท่ีใชในการเล้ียงผีต฿ะกยะ (ยกเวนศาสนา คริสตแ) และหากปีท่ีผานมามีไฟปุาเกิดข้ึน คนที่ไปดับไฟจะไดคาดับไฟน้ันจากชาวบาน เฉลี่ยเงินกัน ทุกหลังคาเรอื นไมวาจะนับถือศาสนาใดกต็ าม จากนัน้ จงึ เลือก สทิ ธิการเลอื กทีท่ าํ กินแบง ตาลาํ ดับความสําคญั ดงั น้ี ๑. สะมังสูงสดุ ๒. ตระกูลสะมัง ๓. ปูลามหลักของหมบู าน ๔. ผชู วยปูลุ าม ๕. กํานันผูใหญบ า น ๖. ชาวลัวะอนื่ ๆ ทีน่ า หลังจากปลกู ขา วไรเสรจ็ แลวประมาณ ๒ เดือน ชาวบานท่ีมีนาจะเริ่มทําการปลูก หวาน ไถ ลกั ษณะทน่ี าของชาวลวั ะมกั จะอยรู ะหวา งหุบเขาเปน็ พ้ืนราบมีลําธารไหลผานซ่ึงจะเป็นนาข้ันบันได ทําการขดุ คลอง ทาํ ทางระบายน้าํ จากตนน้ําลาํ ธารเขามาทน่ี า หรอื บางครงั้ อาจจะใชไ มไผท ่ีเป็นปลองมา ทําเป็นทางเดินนํ้า เม่ือไมใชก็จะทําการปิดทางเดินนํ้า แตเม่ือตองการระบายนํ้าเขานาก็จะเปิดชอง ระบายน้ําออก หลังจากการเก็บเกี่ยวที่นาแลวชาวลัวะจะใชพ้ืนที่นาในการปลูกผักในชวงฤดูแลง ปใจจุบันบางครอบครัวที่ไมทําไร ก็จะทําสวนในพื้นท่ีนาแทน โดยชาวลัวะจะนิยมปลูกผักหลายชนิด 36 บุญชวย ศรสี วัสด์ิ “30 ชาติในเชยี งราย” พิมพแครัง้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ : ศยาหมทู ่ี2547. 75
ในแปลงเดียวกัน เม่ือผักโตพอรับประทานไดก็จะเก็บมาใชในครัวเรือน และแบงขายกับหมูบาน ขางเคยี ง และในการทาํ นาถอื วา เป็นการปลกู ขาวทไี่ ดผ ลผลิตแนน อนและมขี าวเพียงพอมากกวา การทอผา้ ชาวลัวะทกุ คนเรมิ่ สอนใหลกู สาวของตนเองทอผา ตั้งแตย ังเป็นเด็ก การทอผาเป็นวิถี ชวี ติ ของลกู ผูหญงิ ลวั ะทุกคนตัง้ แตอดตี มาจนถึงปใจจุบัน การทอผาเป็นเพียงการทอเพื่อใชในครอบครัว ตนเองเทานัน้ ซง่ึ เป็นผลสืบเนื่องมาจากอดีต ชาวลัวะเป็นชนท่ีพ่ึงตนเองตลอดเพราะวาอาศัยอยูในถิ่น ทุรกันดาร การคมนาคมสูโลกภายนอกการเดินทางไมสะดวกอยูหางไกลความเจริญ ชาวบานตอง ชวยเหลือตนเองโดยการปลูกฝูาย ทอฝูายใชเอง ผาซ่ินของชนเผาลัวะจึงเป็นผาทอท่ีมีลักษณะขนาด หนาแคบมาก เพียงประมาณ ๓๐ - ๔๐ เซนติเมตร ดวยเป็นผาท่ีทอดวยก่ีเอว จึงตองนําผาที่ทอ เหมอื นกันสองผืนมาเยบ็ เพลาะตอเขาดวยกันจึงจะเพียงพอเป็นผาซ่ินสําหรับสวมใส ในอดีตผาซ่ินของ ผูหญงิ ชนเผา ลวั ะจะเยบ็ เปน็ ทรงกระบอกแบบพอดีตัวเวลานงุ จะดึงใหสงู พน สะโพกขน้ึ มา และใชกระดูก เชงิ กรานของผูน ุงเป็นเคร่ืองพยุงใหผาซ่นิ นัน้ ยดึ ตดิ อยูบ นรา งกายโดยท่ีไมตองปูายหรือเหน็บชายผาเลย (แตในปใจจุบันผาซิ่นของชนเผาลัวะจะมีขนาดหนากวางข้ึนกวาในอดีต แตก็ยังคงทอดวยก่ีเอวแบบ ชนเผา ผูหญิงลัวะในปใจจุบันจึงมักใชการนุงปูายและเหน็บชายคลายกับชนเผากะเหรี่ยง) ผาซ่ินล๊ัวะ มีเอกลักษณแพิเศษที่สีพ้ืนของผามักเป็นสีดําหรือสีน้ําเงินเขมเกือบดํา ตกแตงลวดลายบนผืนผาดวย กรรมวิธีมัดหม่ี ลักษณะลวดลาย จะมีลักษณะลายค่ันเป็นแถบในแนวนอนขวางตัวซิ่นที่เกิดจากการ 76
มัดหม่ีเป็นลายขนาดตาง ๆ เป็นสีน้ําเงินแซมขาว ผาซิ่นล๊ัวะในอดีตนิยมยอมดวยสีธรรมชาติ คือ สนี า้ํ เงนิ จากหอม สดี ําจากมะเกลือ และสีแดงจากคร่ัง สวนตอนบนและตอนลางของผาซิ่นจะเป็นแถบ ใหญสแี ดงซงึ่ ถือเปน็ สจี ารตี ของชนเผาลวั ะทยี่ ังคงพบเห็นไดใ นปจใ จบุ ันนี้ การตเี หล็ก ชางตีเหล็กซึ่งมีมาต้ังแตอดีต ดังจะเห็นไดจากการศึกษาของ Kunstudter พบวา ในอดีตชาวลัวะเคยมีเหมืองแรและขายเคร่ืองเหล็ก เชน สามารถทําปืนแก฿บ หอก ดาบ ใชเองไดเมื่อ เหตุการณแบานเมืองมีความสงบชาวบานซ่ึงมีอาชีพเกษตรกรไดเอาเหล็กมาทําเครื่องมือในการเกษตร เชน จอบ เสียม มีด ผานไถนา คราดเหล็ก สําหรับวัตถุดิบใชในการทําเครื่องมือเหลานี้ชาวบาน สมยั โบราณไดไปเอาแรเ หลก็ จากบอเหลก็ บนภเู ขามาทําเป็นเคร่อื งมอื การเกษตร การตีเงิน สําหรับเครื่องเงินนั้นเป็นวิชาชีพหรือภูมิปใญญาท่ีบรรพบุรุษกลุมชนชาวละวาได กระทํามานาน จะสังเกตเคร่ืองประดับ เชน สรอยคอ กําไล ป่ินปใกผม และฝใกมีด มีสวนประกอบของ เงินทั้งสิ้น ชาวลัวะเป็นกลุมท่ีรักสวยรักงามชอบการแตงกายและนิยมประดับเคร่ืองเงินไมวาจะเป็น ผูหญงิ หรอื ผชู าย สําหรับผูชายนยิ มประดบั กายดว ยมดี ดา มงาชางและฝใกเงิน สวนผูหญิงจะประดับดวย สรอ ยเงิน ตา งหูเงนิ กาํ ไลขอ มือขอเทาเงิน ป่ินปใกผม ถาหญิงสาวคนไหนมีเครื่องประดับเงินมากถือวา เป็นคนมฐี านะดใี นหมูบาน37 ความเชอ่ื และการนับถอื ศาสนา : เดมิ ท่ีเชื่อกันวา ลัวะนับถือพุทธศาสนาควบคูกับการนับถือ ดัง้ เดมิ มาแตเ ดมิ เหมอื นคนไทย ลัวะมคี วามเชอ่ื วาบรรพบุรษุ ของตนเป็นผูสรางวัดเจดียแหลวง ในจังหวัด เชยี งใหม และเสาอนิ ทขลิ คือทส่ี ิงสถิตของผบี รรพบรุ ุษของพวกตน เม่ือลวั ะถกู ขับไลไ ปอยูบนภเู ขาซ่ึงไม มีพระและวัด ชีวิตประจําวันขึ้นอยูกับสภาพทางธรรมชาติมากขึ้น ความเชื่อในเร่ืองพระพุทธศาสนาก็ เร่ิมจางลงและหันไปนับถือผีแทน โดยลัวะเช่ือเร่ืองผีวามีทั้งผีดีและผีรายสิงสถิตอยูตามสถานท่ีตาง ๆ เชน ผีบา น ผเี รือน ผีฟูา ผีปาุ ผีภูเขา ผีเขาประตูหมูบาน ซ่ึงบางครั้งผีอาจจะเป็นสาเหตุกอความเจ็บปุวย ใหแ กค นได การติดตอ กับผีจะตดิ ตอ โดยการเซนไหวดว ยอาหารท่ผี ปี ระเภทน้ัน ๆ ชอบ โดยมีผูทําพิธีคือ “ลํา” และ “สมงั ” หรือคนทีม่ ีคาถาอาคม จะมีการเชิญผีมากนิ อาหาร การฆาสัตวแเลี้ยงผีจะตัดสวนตาง ๆ ของสตั วใแ หผ อี ยา งละเลก็ นอย สัตวแทใ่ี ชเซนผมี ี ไก หมู วัว ควาย และสุนัข นอกจากนั้นชาวลัวะยังเช่ือ เรอื่ งวญิ ญาณหรือขวญั คลา ยกับคนไทยทางภาคเหนอื โดยเช่อื วาคนมขี วญั ๓๒ ขวัญอยูในตัว ถาขวัญใด 37 http://www.hugchiangkham.com เขาถึงวันที่ 21 กันยายน 2563 77
ออกจากตัวจะทําใหเ กดิ การเจ็บปวุ ย ตอ งเรียกขวญั กลบั มาสูราง โดยการผูกขอมือดวยเสนดายขาวเพ่ือ ปูองกนั ขวญั หายและใหม สี ุขภาพดี ขณะท่ใี นตํานานเสาหลกั เมอื งเชยี งใหมเ ลา วา เดมิ บริเวณเมืองเชียงใหม เป็นที่อยูของลัวะหรือ ลัวะ นบั ถอื ปีศาจ เมือ่ เจ็บปวุ ยหรอื มเี หตกุ ารณอแ ยางไร กเ็ ซน บชู าผีตาง ๆ ดว ยไก สกุ ร โค กระบือเสมอ ลวั ะนบั ถือผกี ันมาก คือผลี ะมาง แบงออกเป็น ๒ อยาง คือ ผีละมางอยูกับบานเรือน และผีละมางบิดา มารดา ซึ่งถึงแกกรรม ไปแลว ผีละมางอยูกับบาน ถือเป็นผีเรือน คอยคุมครองรักษาปูองกันภัยใหแก สมาชิกในครอบครัว สวนผีละมาง ดวงวิญญาณบิดามารดา เรียกวา ผีละมางพอแม การเซนผีนี้ เมื่อมี คนภายในบานไมส บาย ผอี นื่ ๆ ไดแก ผีหลวง ลัวะจะสรางเรอื นประทบั ผหี ลวงไวต างหาก มีไมแกะสลัก สูงราว ๑๒ ฟุต ขนาบดวยเสาไมสูง ๒ เมตร ในเรือนมีกลองหนึ่งใบ สําหรับตีเพ่ือเรียกผีหลวงมารับ เคร่ืองเซนและตเี วลาเกิดโรคภัยรา ยแรง แตอ ยางไรก็ตามชาวลวั ะยงั มีการนบั ถอื ศาสนาพทุ ธควบคูไปกับ การนับถือผี มกี ารถอื ผเี สือ้ บาน สงเคราะหแ ผูกเสน ดายขอมือถอื ขวัญ เวลาเจบ็ ปุวยใชยารากไมสมุนไพร เสกเปุา และทาํ พิธฆี าไกเ ซน ผี ถาตายก็จะทําพิธีอยางชาวเหนือ มีพระสงฆแสวดมนตแ บังสุกุล เอาศพไป ปุาชา ฝใงมากกวาเผา แตถาตายอยางผิดธรรมดาก็เผาใหสิ้นซากไปในวันงานพิธีเล้ียงผีเส้ือบาน (ผหี มูบา น) โดยจะทาํ ซุม ประตูสานไมเป็นรูปรัศมี ๘ แฉกตดิ ไวเพื่อหามไมใหคนตางถิ่นเขาสูเขตหมูบาน เครื่องหมายน้ีชาวเหนอื เรยี กวา “ตาแหลว” ซงึ่ ชาวไทยกลางเรยี ก “เฉลว” เขาปิดบานทําพิธีเล้ียงผีเสื้อ บาน ๑ วนั ถา เดนิ ทางไปพบเครอื่ งหมายเฉลวนแ้ี ลว ตองหยุดอยู มธี ุระอะไรก็ตะโกนเรียกชาวบานใหไป พูดกันทตี่ รงนน้ั เชน ขอด่ืมน้ําหรือเดินหลงทางมา ถาขืนเดินลวงล้ําเขตหมูบานของเขาจะถูกปรับเป็น เงนิ ๕ บาท ถาไมย อมใหปรบั เขาบังคับใหคางแรม ๑ คืน เวลาเกิดมีโรคสัตวแระบาด หรือไขทรพิษเกิดขึ้น แกคนภายในหมบู านของเขา เขาจะปิดเฉลว หรือเคร่ืองหมายหามเขาหมูบานเชนเดียวกัน ในปใจจุบัน ชาวลวั ะในจังหวัดลําปางโดยเฉพาะบานวังใหมสวนใหญนับถือศาสนาคริสตแ นิกายคาทอลิก เขาโบสถแ ปฏิบตั ิศาสนกจิ เหมอื นศาสนิกชนอน่ื ๆ ดงั นั้นการนับถือผจี งึ ปรากฏอยเู ฉพาะในกลมุ ทีน่ ับถอื พุทธเทา น้นั มรดกวฒั นธรรม : ประกอบดวยอาหาร โดยอาหารพื้นบานของชนเผาลัวะจะอาศัยทรัพยากร ในชุมชนมาประกอบเป็นอาหารหลัก ตามฤดูกาลของพืชผักตาง ๆ ท่ีมีอยูในชุมชน และอาหารท่ีเป็น เอกลักษณแของชนเผาลัวะ คือ สะเบ๊ือก สวนดานการแตงกายของลัวะ ผูหญิงสวมเสื้อสีดํามีขลิบผาสี แดงทีป่ ลายแขน นงุ ผาสนั้ ทรงกระบอกสีดําลายแดง สวมเส้ือสีขาวทั้งชายและหญิงนิยมเจาะหูใหเป็นรู โตเอาใบลาน หรือแผนทองเหลืองมวนกลมยัดใสไว เอาดายทําเป็นพูหอยลงมาผูหญิงประดับคอดวย สรอยลูกปใด ลูกเดือยหิน สวมกําไลขอมือเงินขดเป็นเกลียว หญิงชาวลัวะนิยมใชกลองยาสูบเป็น เคร่ืองประดับและมวยผมประดับป่ินและขนเมนท่ีศีรษะ ผูชายมีมีดเหน็บเอว (บุญชวย ๒๕๐๖) งาน ชางฝีมือ ที่เห็นโดดเดน ไดแก การสานส่ือ กระบุง ยาม ทอผา ทําเคร่ืองเงิน กําไลแขน กลองยาสูบ ตีเหล็ก เป็นตน ดานการแสดงศิลปะและการละเลนของชนเผาลัวะ ประกอบดวยการรําดาบในชวง เทศกาลตา ง ๆ ของชุมชน สวนการละเลน เชน การยิงหนังสติ๊กลวั ะ การเลน ไมตอ ขา และการเลนสะบา (เรอเกฮะ) ภาษา เปน็ เปน็ ภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก กลุมมอญ - เขมร โดยอยูในสาขายอยของ ปะหลอง - ลาอีกทหี น่ึง ลักษณะท่ีเห็นไดช ัดเจนวา ภาษาเป็นภาษาที่อยูรวมกันในตระกูลกับภาษามอญ - เขมร คือ การที่ภาษาลัวะไมมีระบบเสียง นอกจากนี้ชนเผาลัวะยังมีสถานที่ศักด์ิสิทธ์ิท่ีชนเผาลัวะให ความเคารพยาํ เกรง ซึ่งไดแก โู เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของหมูบานซึ่งจะทําข้ึนเป็นประจําทุกปี โดยมีเสาอินทขิลเป็นสัญลักษณแ โู เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมตามฤดูกาล เชน กอนเริ่มการ 78
เพาะปลูกทางการเกษตร และหลังเก็บเก่ียวผลผลิต ซ่ึงในหมูบานจะมี ๓ จุด และโม เป็นปุาอนุรักษแ ท่ีใชไมส าํ หรบั ทาํ โลงศพ หามนาํ ไปใชอ ยางอืน่ ปใจจุบันชาวลัวะไดมีการปรับตัวตามสภาพการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยน แปลงไป มีการปรบั ตัวไปตามบทบาทหนาทเ่ี พ่ือการดํารงอยูข องชมุ ชนแบบพงึ่ พาอาศัย ปรับตัวและเปลี่ยนแปลง ดานวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ใหเหมาะสมกับยุคสมัย ปรับลดองคแประกอบของ พิธีกรรมตาม ความเหมาะสม ปใจจัยที่สําคัญคือ ปใจจัยทางดานเศรษฐกิจ การศึกษา คานิยม ความเช่ือ ความเจริญ กาวหนาทางวิทยาศาสตรแเทคโนโลยี และอุดมการณแของคนในสังคม ปใจจัยตาง ๆ ท่ีทําใหเกิดการ เปลี่ยนแปลงเพื่อใหตอบสนองตอสภาพสังคมที่เปล่ียนไป ในสวนของพิธีกรรมก็อาจมีการปรับเปล่ียน เพ่อื ใหสอดคลองกับการดาํ รงชวี ติ และตามความเหมาะสมของสถานะทางเศรษฐกิจแตล ะครอบครัว38 38 กฤษณพจนแ ศรีทารัง ชาวลัวะ บา นหมนั ขาว : การปรับตัวและแนวโนมการเปลย่ี นแปลง 79
๒.๕ กล่มุ ชาติพันธ์ขุ มุ (“ลาวเทิง”) ในจงั หวดั ลาปาง ๒.๕.๑ ความเปน็ มาและการเดนิ ทางของกลมุ่ ชาติพนั ธุ์ ชาตพิ นั ธขุแ มุ ถือวา เป็นกลุมชาติพันธุแกลุมหนึ่งท่ีมีเอกลักษณแทางวัฒนธรรม ไมวาจะเป็นภาษา พดู การแตง กาย ระบบภมู ปิ ญใ ญา ประเพณี เป็นของตนเอง คําวาขมุ มีความหมายแปลวา “คน” เป็น คําที่ชาวขมุใชเรียกตัวเอง ในขณะท่ีในประเทศลาวซ่ึงเป็นพ้ืนท่ีท่ีมีชาวขมุอาศัยอยูเป็นจํานวนมาก ชาวลาวจะเรยี กชาวขมุวา ขามุ ขา หรือ “ลาวเทิง” (ลาวบนที่สูง) โดยภาษาขมุถูกจัดอยูในกลุมภาษา ออสโตรเอเซยี ตคิ สาขามอญ-เขมร สาขายอยขมุอิค ท้ังนี้เดิมทีชาวขมุมีถ่ินอาศัยกระจายตัวอยูในแถบ ตอนเหนือของประเทศลาวบริเวณสองฝ่ใงแมนํ้าทา แมน้ําแบง แมนํ้าอู แมนํ้าเสือง ในแขวงหัวพัน หลวงพระบาง และไชยะบุรี (บุญชว ย ๒๕๐๖, น.๑๙๙) สําหรับประเด็นการเดินทางของชนชาติขมุที่เดินทางเขาสูไทยซึ่งปรากฏอยูในงานศึกษาของ ทิพยแสุดา จินดาปลูก39 ไดศึกษาถึง “การเคล่ือนยายของแรงงานทําไมชาวขมุท่ีสงผลกระทบตอ สถานภาพทางการเมืองระหวางประเทศของสยามในดินแดนลานนา ระหวาง ค.ศ.๑๘๙๓ - ๑๙๐๗” พบวา “การเคลอื่ นยายของชาวขมจุ ากหลวงพระบางทีเ่ ขา มารับจางเปน็ แรงงานทาํ ไมในดินแดนลานนา ระหวาง ปี ค.ศ. ๑๘๙๓ ถึง ค.ศ. ๑๙๐๗ ซ่ึงเป็นชวงเวลาท่ีจักรวรรดินิยมอังกฤษ ฝรั่งเศส และสยาม ตางหยิบยกเอาสถานการณแดังกลาวมาเป็นประเด็นเจรจาตอรองทางการเมืองและผลประโยชนแทาง เศรษฐกิจของตน จากการศึกษาพบวา นบั แตค รสิ ตศแ ตวรรษที่ ๑๙ ชาวขมุจากหลวงพระบางดินแดนใน อาณานิคมของฝร่ังเศสนบั เปน็ แรงงานกลุมหลักที่เขามารับจางทําไมในดินแดนลานนาของสยาม ทั้งยัง เปน็ แรงงานสาํ คัญทีข่ บั เคล่ือนกิจการอนั เป็นผลประโยชนขแ ององั กฤษ ดงั นั้นการเคลอ่ื นยายของแรงงาน ชาวขมจุ ึงถกู ทําใหก ลายเปน็ ประเด็นปใญหาระหวางประเทศจนเกิดการเจรจาตอรองหลายครั้ง กระท่ัง ไดข อ ยุติในปี ค.ศ. ๑๙๐๗ กลา วไดวาปใญหาเก่ยี วกับชาวขมนุ บั เปน็ สวนหนึ่งท่ีชวยใหเกิดการริเริ่มแกไข ปใญหาสทิ ธิสภาพนอกอาณาเขตของสยาม และชวยยุติขอพิพาทระหวางฝร่ังเศสและสยามบนดินแดน 39 ทพิ ยแสดุ า จนิ ดาปลูก “การเคลื่อนยายของแรงงานทาํ ไมชาวขมุทีส่ ง ผลกระทบตอสถานภาพทางการเมืองระหวางประเทศของสยามในดนิ แดน ลานนา ระหวา ง ค.ศ. 1893-1907” 80
ลานนาไดสําเร็จ หลังจากสถานการณแคล่ีคลายลง แรงงานชาวขมุยังคงเป็นท่ีตองการสําหรับกิจการ สัมปทานปุาไมสักอยางตอเนื่องและกลายเป็นแรงงานเสรีจากภายนอกที่มีบทบาทสําคัญสุดตอการ ขับเคล่ือนกจิ การแบบทุนนิยมตะวันตกใหดําเนินตอไปไดในยุคท่ีเศรษฐกิจ – สังคมของดินแดนลานนา ทกี่ ําลงั เปล่ียนผา นไปสยู ุคสมยั ใหม แรงงานชาวขมจุ ากดินแดนภายใตก ารปกครองของหลวงพระบาง โดยเฉพาะกลมุ ทม่ี ีถ่นิ ฐานอยู ในเขตลุมนํา้ เบง็ นํา้ ทา และนา้ํ อู อนั เป็นสาขาของแมน า้ํ โขงทางฝ่ใงหลวงพระบาง คือ แรงงานกลุมใหญ ท่ีเขามารับจางทําไมใหแกกลุมทุนกิจการสัมปทานปุาไมสักในลานนาตลอดชวงปลายคริสตแศตวรรษ ท่ี ๑๙ ถึงตนคริสตศแ ตวรรษท่ี ๒๐ เน่อื งจาก ชาวขมจุ ากหลวงพระบางเป็นกลุมคนท่ีมีภูมิปใญญาสําหรับ การดํารงชีวิตภายในปุา จึงมีความคุนเคยกับการใชช ีวติ ภายในปุา ประกอบกับเสนทางระหวางบานเกิด ของแรงงานชาวขมใุ นหลวงพระบางกับปาุ สมั ปทานในลา นนาลว นอยใู นภูมปิ ระเทศทเ่ี ต็มไปดวยภูเขาสูง สลับซับซอ นและหา งไกลตอ งมคี นนาํ ทางทาํ ใหแรงงานชาวขมุท่ีมารับจางทาํ ไมใ นลา นนาไมสามารถออก เดินทางกลับไปยังบานเกดิ ตามลาํ พงั หรือตามอําเภอใจได จาํ เป็นตองอยูท าํ งานจนครบตามกําหนด เพ่ือ รอจนกวานายฮอยนําทาง จะมารบั กลับไป (Évrard, ๒๐๑๑, p. ๙๐ – ๙๓)40 จึงเปน็ เง่อื นไขท่ีบีบรัดให แรงงานชาวขมุตัดขาดจากวิถชี ุมชนในหลวงพระบาง แตสามารถทํางานในปุาตอเน่ืองกันเป็นเวลานาน จนกวา จะครบรอบกาํ หนดการทําไมคราวหน่ึงๆ” น่ีคือเหตุผลที่ชาวขมุจํานวนหน่ึงไมเดินทางกลับลาว และอยตู ้งั รกรากในเขตทาํ ไมข องไทย จากงานศึกษาดังกลาวจึงสามารถกลาวอางไดวาชาวขมุในประเทศไทยเริ่มเขามาตั้งถิ่นฐาน บานเรือนอยูอาศัยในบริเวณภาคเหนือตอนบนในเขตพื้นที่ทํากิจการไมสักเป็นหลั กไดแกเมืองลําปาง พะเยา สวนจงั หวัดนา นและเชยี งรายเป็นหัวเมอื งติดชายแดนลาวกม็ ีชาวขมุเดินทางเขามาเชนกัน เราจึง พบชาวขมุในพ้ืนท่ี อําเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย อําเภอทุงชาง อําเภอปใว จังหวัดนาน และ นอกจากนยี้ งั มีบางสว นกระจัดกระจายลงสูจงั หวดั ภาคกลาง เชน สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และอุทัยธานี เปน็ ตน สาํ หรบั ชาวขมุในจังหวัดลาํ ปางตามประวตั ิศาสตรสแ นั นษิ ฐานวา เดินทางจากลาวเขามาพรอมกับ บริษัทตางชาติที่เขามาทําสัมปทานไมในจังหวัดลําปางในฐานะแรงงานในปางไมตั้งแตเมื่อคร้ังยุค อาณานิคม ทงั้ น้ีในอดตี แรงงานขมุเป็นท่นี ยิ มเพราะมีความขยัน อดทน ซือ่ สัตยแ และเชย่ี วชาญปุา ตอมา เมอ่ื หมดยุคการทําไมแรงงานขมุไมไดเดินทางกลับภูมิลําเนาแตตั้งรกรากปลูกสรางบานเรือนอยูอาศัย ในพ้ืนท่ี ท่ีเขา ไปทําไม ซึง่ ตอมาคนในพื้นราบยังคงใชแรงงานชาวขมุในการดูแลสวน พืชไร นาขาว และ ยาสูบซึ่งเป็นพชื เศรษฐกิจทเี่ รมิ่ เขา มาปลกู เชงิ พาณชิ ยแในลาํ ปาง ดงั น้นั ในปจใ จุบนั เราจงึ พบชุมชนชาวขมุ ต้งั บา นเรือนอยูใ นบริเวณรอยตอ ระหวา งประตูผา แองแมเมาะ และเมอื งงาว ซง่ึ เดิมทีบริเวณนีเ้ ป็นพื้นท่ี ศูนยกแ ลางการทําไมในอุตสาหกรรมปุาไมภาคเหนือ สําหรับพื้นท่ีท่ีมีชาวขมุอาศัยอยูเป็นกลุมกอนไดแก ชมุ ชนบา นกลาง บานจําปยุ อาํ เภอแมเมาะ และอยูอาศัยกระจัดกระจายปะปนกับกลุมชาติพันธุแอ่ืนใน พ้นื ท่ีบา นแมพราว อาํ เภองาว ๒.๕.๒ โครงสร้างสงั คม ภาษา : ภาษาขมุหรือภาษากํามุ (Khmu) เป็นภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก กลุมมอญ - เขมร กลุมยอยขมุ มีผูพูดทั้งหมด ๔๗๙,๗๓๙ คน พบในลาว ๓๘๙,๖๙๔ คน (พ.ศ. ๒๕๒๘) กระจายอยู 40 อางใน ทพิ ยแสดุ า จินดาปลกู 81
ทางเหนือของหลวงพระบาง หัวพัน พงสาลี เวียงจันทนแ สายะบุรี น้ําทา ปากแบง และหวยทราย สําเนียงในแตละทองถิ่นจะตางกัน พบในจีน ๑,๖๐๐ คน (พ.ศ. ๒๕๓๓) ในสิบสองปในนา ในประเทศ ไทย ๓๑,๔๐๓ คน (พ.ศ. ๒๕๔๓) มผี พู ูดทจี่ งั หวัดเชยี งรายและนา น พะเยาและกระจายตัวอยูในจังหวัด อ่ืน ๆ ในภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคอีสาน พบในเวียดนาม ๕๖,๕๔๒ คน (พ.ศ. ๒๕๔๒) และ อาจจะมีในพมา มพี ยัญชนะทั้งหมด ๑๗ เสียง เปน็ ตัวสะกดได ๑๕ เสยี ง สระมี ๒๒ เสียง เป็นสระเด่ียว ๑๙ เสียง สระประสม ๓ เสียง มีความแตกตางระหวางสระเสียงสั้นและสระเสียงยาว ไมมีเสียง วรรณยกุ ตแแตม ลี ักษณะนา้ํ เสียง ๒ แบบ คือ เสยี งทมุ ใหญกบั เสียงเบาแหลม ลกั ษณะนิสยั และค่านยิ ม : ชาวขมเุ ป็นผทู ่ีรกั ความสงบ ไมช อบทะเลาะววิ าทหรือตีรันฟในแทง หรือกล่ันแกลงใคร มีนิสัยขยัน อดทน ซื่อสัตยแ และรับคําส่ัง ชอบมีเพื่อนฝูง มีการกินขาวกินเหลา รวมกัน ชาวขมุ จะใหความเคารพผูเฒาผูแกและญาติผูใหญของตนอยางเครงครัด ถาปฏิบัติตน ไมเหมาะสม จะถือวาทาํ ผดิ ประเพณีและถกู ปรบั ไหม โครงสรา้ งพ้ืนฐานทางสงั คม : กลมุ ตระกูลขางฝาุ ยหญงิ ประกอบดว ยครอบครัวท่ีถือผีเดียวกัน โดยฝาุ ยชายจะเปลย่ี นมานับถอื ผบี รรพบุรษุ ของภรรยาหลังจากการแตง งานและลูกจะสืบผีของแมตอไป คูสมรสจะเขาไปอยูกับครอบครัวของฝุายหญิงช่ัวคราวหลังจากการแตงงาน แตไมนานก็จะแยก ครัวเรือนออกมา อยางไรก็ตาม มีขอยกเวนหากเป็นลูกผูหญิงคนสุดทอง ก็ตองอยูดูแลพอแมใน ครวั เรอื นเดิมตอ ไป หรือหากพอแมฝุายชายไมมีลูกสาวเลย ฝุายหญิงก็ตองเขาไปอยูกับพอแมฝายชาย อีกลักษณะหนึ่งของครอบครัวขมุ สวนใหญเป็นครอบครัวเดี่ยว และมีขนาดเล็ก สําหรับการสืบสาย ตระกูลมี ๒ ลักษณะคอื “แบบยาว” หรืออาจเรียกไดวาเป็นแบบกวาง ซึ่งคนในสายตระกูลเช่ือวารวม ตระกลู เดยี วกันซึ่งอาจเรียกช่อื เป็นพืช เชน ผักกูด แมวาไมอาจจะสืบยอนไปไดวาเป็นญาติรวมตระกูล ทางใด แตละกลุมตระกูลขมุเรียกวา “ตมอยฮอก” การนับตระกูลอีกลักษณะหนึ่งเป็นการรับรูรวม ตระกลู โดยดูการสืบเชอื้ สายจากทวดเดียวกัน การนบั แบบน้ีจะดจู ากการสบื สายเลือด หรือเชื้อสายเป็น สําคัญ ไมมีสัญลักษณแแตมีขอหามการแตงงานของผูที่สืบเช้ือสายจากทวดเดียวกัน ทั้งครอบครัวและ 82
กลุมสายตระกูลมีความสําคัญตอชีวิตสังคมและเศรษฐกิจของขมุ41 ในขณะท่ีครอบครัว มีขนาด ครัวเรือนขนาดเล็ก สมาชิกนอย ระบบเครือญาติของขมุเป็นระบบท่ีซับซอน ใหความสําคัญทั้งพอแม ฝุายชายและหญิง กฎการแตงงานในหมูญาติ ลูกชายสามารถแตงงานกับลูกพี่ลูกนองได สวนลูกหญิง จะตองแตง กบั ผอู ่นื โครงสร้างอานาจและการปกครอง : เน่ืองจากสังคมขมุเป็นสังคมที่ยอมรับระบบอาวุโส โครงสรางอํานาจในสังคมจึงประกอบไปดวยตัวแทนของทุกสายตระกูล หรือคณะผูอาวุโส ซึ่งเป็นผูที่ เขาถึงท่ีมาของอํานาจสําคัญในชุมชน และมีบทบาทในการตัดสินใจแทนคนในชุมชนได นอกจากกลุม ผูอาวุโสในระดับที่เป็นกลุม ในสังคมขมุยังมีผูนําในระดับปใจเจกบุคคล ไดแก ขะจ้ํา หมอผี หมอคาถา หมอเมื่อ และลาม เป็นผูท่ีมีความสามารถเฉพาะบุคคลในดานการประกอบพิธีกรรมสําคัญในชุมชน ซ่ึงเปน็ ทยี่ อมรบั นับถือวา เปน็ บุคคลสาํ คญั การตัดสินใจหรอื มติของคณะผอู าวโุ สเป็นส่งิ ทที่ ุกคนในชุมชน จะตอ งปฏบิ ตั ิตาม กระทั่งตอมาเมื่อทางภาครัฐไดจัดระเบียบการปกครองในชุมชนชาวเขาใหม โดยให เป็นไปตามกฎหมายปกครอง จงึ เกิดองคแกรปกครองที่เป็นทางการขน้ึ กลา วคอื มผี ูใ หญบ าน ผูชวย และ คณะกรรมการหมูบาน จึงมีผลทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสรางอํานาจแบบใหม จากรูปแบบเดิม ที่เคยประกอบดวยตัวแทนของทุกสายตระกูลหรือคณะผูอาวุโส เป็นบุคคลท่ีมีอํานาจในการตัดสินใจ แทนคนในชุมชนได มาเป็นการปกครองอยางเป็นทางการซึ่งมีโครงสรางแบบลําดับชั้น กอใหเกิดความ สบั สนในอาํ นาจการตัดสินใจของชมุ ชน สงั คมขมุยังมลี กั ษณะการจัดองคแกรเป็นแบบช่ัวคราว (ad hoc) คอื เป็นกลมุ ความรวมมอื ในแบบตา ง ๆ ซ่ึงเกดิ ข้ึนและสลายตัวในระยะเวลาหนึ่ง ซ่ึงเป็นการรวมตัวกัน ของสมาชิกดวยความสมัครใจโดยมีจุดประสงคแ เพื่อแสดงบทบาทหนาท่ีเฉพาะ เชน กลุมแลกเปล่ียน แรงงาน กลมุ ลา สตั วแ กลมุ ประกอบพธิ ีกรรมตา ง ๆ ซงึ่ มีอยูม ากในชมุ ชนขมุ ในสังคมขมรุ ะบบความเชื่อเร่ืองผี และอํานาจเหนือธรรมชาติมีความสัมพันธแกับวิถีชีวิตของขมุ อยางแนบแนน และสอดแทรกอยูในทุกสถาบันทางสังคมนับต้ังแต ครอบครัว การปกครอง การอบรม สั่งสอน การบําบัดโรคภัยไขเจ็บ ตลอดจนการประกอบอาชีพ และยังคงมีอิทธิพลตอวิธีคิดของขมุมา จนถึงปใจจุบัน ความสัมพันธแระหวางมนุษยแกับผีในความเชื่อของขมุมีลักษณะไมเทาเทียม ผีมีอํานาจ ดลบนั ดาลทง้ั คุณและโทษใหแ กมนษุ ยแขึน้ อยกู บั การประพฤติปฏิบัติของมนุษยแท่ีมีตอผีและขมุยังมีความ เช่อื เรือ่ งอาํ นาจเหนอื ธรรมชาติ ๒ ชนิดคือ ขวัญ และคุณไสย ในฐานะท่ีเป็นสารัตถะของชีวิตและพลัง อาํ นาจท่ีสามารถนํามาใชใหเกิดประโยชนแได นอกจากนั้น ขมุยังใชการนับถือผีเป็นเกณฑแในการจําแนก กลุมทางสังคม ทําใหบุคคลมีกรอบของความสัมพันธแทางสังคมในขอบเขตและระดับตาง ๆ กัน เชน บุคคลภายนอกทไี่ มไ ดนับถือผเี รอื นเดยี วกันจะมีขอหามบางประการเม่ือข้ึนไปบนเรือน หรือการนับถือ ผีบรรพบรุ ษุ รวมกัน เพอื่ ใชควบคมุ พฤติกรรมของคนท่อี ยใู นสายตระกูลเดียวกัน ในระดับที่กวางข้ึน คือ การนับถอื ผีหมบู าน ซ่ึงจะเป็นความผูกพันของคนในหลายตระกูลในฐานะท่ีต้ังถิ่นฐานในพื้นที่เดียวกัน มีการใชทรัพยากรธรรมชาติรวมกัน รูสึกวาเป็นกลุมพวกเดียวกัน นับเป็นการกําหนดขอบเขตของคน ในชุมชนกับบุคคลภายนอก ในขอบเขตท่ีกวางกวา เป็นการนับถือผีหลวง ที่มีหมูบานมากกวาหน่ึง หมูบาน นับถือผีรวมกัน ซ่ึงมักอยูในรูปแบบการประกอบพิธีกรรมเซนไหวผีหลวงรวมกัน หรือทํา กจิ กรรมทางสงั คมรวมกัน 41 นิพทั ธเวช สบื แสง “ขมุ,สงั คม,วัฒนธรรม,การพฒั นา,ภาคเหนือ” สถาบันวจิ ัยชาวเขา, เชียงใหม, 2539. 83
๒.๕.๓ วถิ ชี ีวติ ความเปน็ อยู่ ความเชอื่ และประเพณวี ฒั นธรรม ลักษณะบ้านเรอื น : ชาวขมุจะต้งั ถนิ่ ฐานอยูบนพน้ื ท่ีสูง ชอบสรางบา นอยูตามชายเขา ระดับสูง จากน้ําทะเลประมาณ ๒,๕๐๐ - ๓,๐๐๐ ฟุต บานเรอื นสิ่งปลกู สรา งจะสรา งดวยไมไผ ยกเวนเสาและข่ือ รองรับหลังคาใชไมแผนประกอบ หลังคาใชใบจาก ฝาบานใชแฝก มีระเบียงและชานหนา บันไดขางมี เพียงหองเดียว ไมมีหนาตาง เตาไฟอยูตรงกลางใชทําอาหาร ที่นอนใชเสื่อนอนรอบเตาไฟ ขางฝามี เครื่องใช เชน จอบ เสียม หนาไม มีด ใตถุนบานเป็นท่ีเก็บฟืน เลาไก เล้ียงหมู เป็นตน ปใจจุบันบานที่ ฐานะดีจะเปลี่ยนจากไมไผเป็นไมแผน ใตถุนบานจะเป็นที่เก็บฟืนและสัตวแเลี้ยง เชน ไก หมู เป็นตน บริเวณจันทันจะใชเปน็ ทเ่ี กบ็ ของ เชน ตะกรา อาหารแหง กับดักสัตวแ เมลด็ พนั ธแุพืชและส่งิ มคี า อนื่ ๆ การกิน : อาหารชาตพิ นั ธุแขมมุ ีเอกลักษณดแ า นรสชาติท่ีแตกตางไปจากชาติพันธแุพื้นเมือง ซ่ึงแม จะมีวัตถุดิบท่ีคลายคลึงกัน แตการใชเครื่องปรุงรสมีความแตกตางกัน โดยชาวขมุจะไมนิยมใส เครื่องปรุงรสสมัยใหม เชน ปลารา กะปิ ผงชูรส รสดี เป็นตน สวนวัตถุดิบที่นํามาประกอบอาหาร จะเป็นวัตถุดิบที่ไดจากธรรมชาติ เชน ไก ปลา หมู (นิยมใชหมูดํา) หนูนา สัตวแน้ําตามลําหวย ผักกาด หนอ ไม ผักกูด (กึรซรู ) ทีห่ าไดจากชมุ ชน และผืนปุา ชาวขมุรับประทานขาวเหนียวเป็นหลัก และกินเนื้อสัตวแและผักทุกชนิด อาหารประจําวัน สวนใหญจะเปน็ จาํ พวกพืชผกั ตาง ๆ ทง้ั ที่ปลูกไวใ นไร และพืชผกั สวนครวั บางสว นไดมาจากจากการลา สตั วแ หาของปาุ อาหารจําพวกหมู ไก จะใชเฉพาะในพิธีกรรม การประกอบอาหารสวนใหญจะใชพริก เกลือ ผงชูรส และมักใสผักขี้อน (กลูช) เพื่อใหมีกลิ่นหอมและมีรส เป็นแกงผักนํ้าใส อาหารที่ชาวขมุ ชอบคือ หมกปลา (กุบกะ) หมกลูกอ฿อด (กุบยุบ) ชาวขมุ จะหมักเหลาไวใชเอง เหลาของชาวขมุ เปน็ เหลา อุเรยี กวา “ ปูจ” ไวตอ นรับแขกผูมาเยอื น และในการเซนไหวผี อาหารในงานพิธีกรรมเป็นสวนหนึ่งของการดํารงชีวิตของชาวขมุที่ยังคงนับถือผี และไดให ความสําคญั อยางมากเพราะในแตล ะชว งชวี ติ มพี ธิ กี รรมเขา มาเก่ียวของต้ังแตการต้ังครรภแ การเกิด การ แตงงาน การเจบ็ ปุวย และการเสยี ชวี ิต โดยพิธีกรรมตาง ๆ ที่เกิดข้ึนในครอบครัว หรือชุมชนจะมีหมอ พนื้ บา นหรอื หมอผี เปน็ ผกู ําหนดวาจะตอ ง ใชสัตวแอะไรเปน็ การเซน ไหว 84
การแตง่ กาย : ชาวขมุไมมีวัฒนธรรมในการทอผาเอง จะมีเฉพาะในกลุมขมุลื้อเทาน้ัน เราจึง พบวา ชาวขมุจึงหยิบยืมและเลือกใชเคร่ืองแตงกายไทลื้อมาใชในการสราง “อัตลักษณแ” ของตนเอง42 ชาวขมุบางกลมุ จะนิยมเสื้อผา สีดํา หรือสีคลํ้าเขม ผูหญิงไวผมมวยเกลาไวขางหลัง เจาะรูหู ใสลานเงิน หรอื ตุมหู ใชซนิ่ ลายขวางแบบไทลื้อ สวมเส้อื ผาหนาสนี า้ํ เงินเขม ตัวส้ัน ตกแตงดวยผาดายสีและเหรียญเงิน ใสกําไลเงินที่คอ และกําไลขอมือ โพกผาสีขาว หรือสีแดง สําหรับผูชายปใจจุบันมีการแตงกายท่ีไมตาง จากคนเมือง และในบางหมูบา นจะไมพบการแตง กายประจําเผาเลย ดังน้ัน “อัตลักษณแ” ของชาวขมุที่ แสดงออกผานเครื่องแตงกายท่ียังปรากฏใหเห็นในปใจจุบันมักจะแตงกันเฉพาะในงานประเพณีสําคัญ เชน ชวงเทศกาลปีใหมที่จัดขึ้นในชวงปลายเดือนธันวาคมของทุกปีเป็นพื้นท่ีทางสังคมของชาวขมุท่ี สามารถขนเอาวฒั นธรรมดัง้ เดิมที่เป็นอยูและเลือกที่จะแสดงออกมาบางสถานการณแเพื่อเป็นการสงเสริม ใหเกดิ ความสามัคคีและการไมลืมรากเหงา ตวั ตนของตวั เอง อาชพี : ทาํ การเกษตรเป็นหลกั แบบยงั ชีพ ปลกู ขาว เผือก มัน และเคร่ืองปรุงรสอาหารตาง ๆ พชื ไรและไมย นื ตนมีเล็กนอย ไดแก ขาว ขาวโพด กลวย ออย ถ่ัว พริก ยาสูบ สวนใหญปลูกไวบริโภค ภายในครัวเรือน หากมีเหลือก็จะแบงปในใหญาติพี่นอง นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตวแ เชน หมู ไก วัว ควาย สว นใหญเลย้ี งไวเพือ่ ใชประกอบพิธีกรรม นอกจากนั้นยังเก็บของปุา ลาสัตวแ ดักสัตวแ รายไดของ ชาวขมุ ไดมาจากการเป็นแรงงานรบั จา งในไรนา เคร่ืองดนตรี : เคร่ืองดนตรีชาวขมุมีหลายชนิด ทั้งใชในพิธีกรรม ความบันเทิง สนุกสนาน ในปใจจุบันเคร่ืองดนตรีเกาแกสูญหายไปหมดแลว เชน สมัยกอนจะมีกลองมโหระทึก หรือ ภาษาขมุ เรียกวา “ยาน” เป็นเครื่องดนตรีท่ีใชประกอบ ในพิธีกรรมงานมงคลหรืองานรื่นเริง เชน งานตอนรับ ปีใหม งานขึ้นบานใหม และงานที่ไมมงคล เชน งานศพ ฉาบ หรือภาษาขมุเรียกวา แชรง เป็นเคร่ือง ดนตรปี ระเภทตีใหจ ังหวะ ประกอบการบรรเลงใชคูกับกลอง (ปรีง) ในขณะที่มีเครื่องดนตรีหลายชนิด ท่ีชาวขมุเลนเพื่อความเพลิดเพลินยามวางสามารถประดิษฐแงาย ๆ โดยทําจากไมไผเป็นสวนใหญ หลายชนิดทําจากไมไผสด เลนแลวท้ิงไป เชน “ โทรแ” เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทตี เคาะเพ่ือใหจังหวะ ประกอบการรอ งเต้ิมในงานร่นื เริง มกี ารเปาุ แคนท่เี รียกวา “โรง ” ซ่ึงทําจากเหรียญทองแดง ใชปากเปุา และมือดดี มีการเปุาขลุย เรียกวา “ ซูล” และตรึเวลิ มีการตีฆองทองเหลือง ตีกลองซ่ึงมีลักษณะคลาย มา นง่ั กลมแตข งึ ดวยหนงั ววั หนังควาย เปน็ ตน ความเชอื่ และพธิ กี รรม : ในอดตี ชาวขมดุ ้ังเดมิ จะนับถอื ผี (โรย) มีพิธีเซนไหวดวย หมู ไก ขาว เหลา และจะเลยี้ งผีในพธิ ีสําคัญๆ ตาง ๆ มที ง้ั ผีปาุ ผีบาน ผีน้ํา ผีหมูบาน ทุกบานจะมีผีเรือน (โรยกาง) ซึ่งเชอ่ื วาผีจะอยูในบรเิ วณเตาหุงขา วเวลามีพิธีเลี้ยงผีจะมีการติด “เฉลว” (ตแล) ไว เป็นเคร่ืองหมายท่ี ปฏบิ ัตมิ าแตโ บราณ พิธกี รรมที่สาํ คัญของชาวขมุจะใชในการรักษาความเจ็บปุวย โดยจัดพิธีเล้ียงผีดวย ไกและหมู (ซู ฮเอี้ยร ซู เซ้ือง) พิธีการการฆาควาย (ซังพานตราก) เพื่อรักษาผูปุวยหนัก พิธีผูกขอมือ (ตกุ฿ ติ)้ ปใจจุบันชาวขมุในลําปางไดปรับเปลี่ยนมายึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีบนความเช่ือ ๒ รปู แบบ คอื ความเชอ่ื เก่ียวกับบรรพบุรุษหรือส่ิงเหนือธรรมชาติ นับเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวขมุ 42 มาริ ซากาโมโต “การเปล่ยี นแปลงความสัมพันธแทางชาตพิ ันธุแ ระหวา งชาวขมกุ บั ไทลื้อ : ศึกษาจากวัฒนธรรมผา ทอไทลื้อในเมืองเงิน แขวงไชยะบุรี สปป.ลาว” วารสารวจิ ิตรศลิ ป ปีที่ 5 ฉ.1 2557. 85
ซ่ึงสามารถจาํ แนกออกเปน็ ๓ ดา น ไดแ ก (๑) ความเชอ่ื ในวรี บรุ ุษของชาวขมุเก่ยี วกับพญาเจือง วีรบุรุษ ผูกลาหาญของชนชาติพันธแุสองฝใ่งโขง โดยจะมีการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเซนไหวในชวง เทศกาลปใี หมขมุ (๒) ความเชื่อในเรื่องของจิตวญิ ญาณบรรพบุรุษในระดับครอบครัว เชน ผีปูุ ผี ยา ซึ่ง ชาวขมุเชื่อวามีอิทธิพลท่ีจะชวยคุมครองลูกหลาน สมาชิกในครอบครัว จึงมีการ แสดงออกผานการ เซนไหว ในยามทสี่ มาชกิ ในครอบครวั เกดิ การเจ็บปุวย และ (๓) ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ ซ่ึงจะมี การประกอบพิธกี รรม การเรยี กขวัญ การสูข วัญ การเลี้ยงผตี น นาํ้ เป็นตน ดังนั้นในปใจจุบันชาวขมุในลําปางจึงหันมายอมรับนับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสตแมากขึ้น และลดการประกอบพธิ ีกรรมรปู แบบเดิม ทีก่ อนหนานนั้ เวลาที่มกี ารเจบ็ ปุวยเกิดข้ึนมักจะมีการซอื้ ควาย มาเลยี้ งเพ่อื เซน ไหว ทาํ ใหปจใ จุบันความเช่ือของชาวขมุมีลักษณะท่ีผสมผสานกัน เชน เม่ือมีการข้ึนบานใหม จะมีการเชิญพระสงฆแและปูจุ าเ น (มัคนายก หรือผูนําประกอบพิธีกรรมทางศาสนา) ในหมูบานใกลเรือน เคียงหรอื ที่ตนรจู ักมาประกอบพธิ ีกรรม การไปโบสถแเพอ่ื ปฏิบตั ิศาสนกจิ ในฐานะครสิ ตศแ าสนิกชนเปน็ ตน ขวัญ และการทาขวญั : เปน็ พิธกี รรมท่ีมีความสําคัญอยา งมากตอชาวขมุ เพราะชาวขมุเช่ือวา การมีชีวิตอยูไดลวนประกอบมาจากขวัญในรางกาย หากขวัญผิดปรกติจะสงผลตอชีวิตของผูเป็น เจาของเรอื น การเรียกขวญั จึงเป็นพิธีกรรมเก่ียวกับการเจบ็ ปวุ ย เมื่อมีสมาชิกในครอบครัวเจ็บปุวยโดย หาสาเหตไุ มไ ดหรือเจ็บปุวยเป็นระยะเวลาตอเนื่องยาวนานไปรักษาดวยการแพทยแแผนไทยแลวอาการ ยังไมดขี ้นึ ชาวขมจุ ะมคี วามเช่ือวา มสี าเหตุมาจากสง่ิ ศักดิ์สิทธิ์หรือบรรพบรุ ษุ ของตน ตอ งมีการประกอบ พิธีกรรมเพือ่ เซนไหว และมีการใชค วาย หมู และไก เปน็ เครือ่ งเซน ไหวเป็น หลัก นอกจากนั้นยังมีเหลา และดา ยสายสิญจนแทใ่ี ชใ นการประกอบพิธีกรรม โดยในการ ประกอบพิธีกรรมนั้นจะมี ๓ ระดับข้ึนอยู กับอาการของผูปุวยวาเป็นหนักเพียงใด และฐานะของครอบครัววาจะสามารถจัดหาส่ิงของใดมา เซน ไหว ไดแก พิธีกรรมสูขวัญโดยใชควายจะเกิดขึ้นเม่ือมีสมาชิกในครอบครัวปุวยหนัก และยาวนานน่ัน สะทอนวา บรรพบรุ ษุ ที่วนเวียนอยใู นบานตองการใหบุตรหลานเซนไหว และผูนําครอบครัวก็จะตองหา ซ้ือควายเพื่อมาประกอบพิธีในการเซนไหวจํานวน ๑ ตัว ราคาของควายน้ัน ประมาณตัวละสองหม่ืน บาท และมีไก ๑ ตัว พิธีกรรมสูขวัญ โดยใชหมูจะ เกิดข้ึน เมื่อมีสมาชิกใน ครอบครั วปุวยแตอาการไ มคอยหนัก โดยผูนําครอบครัวจะใหหมอพ้ืนบานหรือหมอผีคํานวณวาจะใชหมูและไกตัวผูหรือตัวเมีย โดยในการ ประกอบพธิ กี รรมน้นั จะมกี ารใชห มู ๑ ตวั และไก ๑ ตัว หลังจากน้ันผูประกอบพิธีจะนําเอาเลือดมาทํา สญั ลักษณไแ วท ห่ี วั เขาของคนปวุ ยเพ่อื ใหสิง่ ศักด์ิสิทธิห์ รือบรรพบุรุษใหความคมุ ครอง พิธีกรรมสูข วญั โดยใชไ กจ ะเกดิ ข้นึ เม่ือมีสมาชิกในครอบครัวเกดิ ความเจ็บปวุ ยไมม ากนัก ซึ่งชาว ขมุเชอื่ วามสี าเหตจุ ากการถูกผีสางหรือบรรพบุรษุ มาทกั ทายทาํ ใหขวญั ของผูเจ็บปวุ ยสะดุง และตองการ ใหบ ุตรหลานเซนไหว ผูนาํ ครอบครัวก็จะหาไก ๑ ตัวเพ่ือมาประกอบพิธีกรรมมาเซนไหวและผูกขอมือ คนปวุ ยและสมาชิกครอบครวั 86
๒.๖ กลุ่มชาติพันธ์ุอิวเมี่ยน (เย้า) ในจังหวัดลาปาง ๒.๖.๑ ประวตั ศิ าสตรค์ วามเปน็ มาและการเคลอ่ื นย้าย ชาวเมยี่ น ในเอกสารบันทึกของจีนสมัยราชวงศแถัง ไดรับการจัดใหอยูในเชื้อชาติมองโกลอยดแ ตระกลู จนี ธิเบต โดยปรากฏในชอื่ “มอเยา” มีความหมายวาไมอยูใตอํานาจของผูใด โดยเม่ือประมาณ ๒๐๐๐ กวา ปีมาแลวบรรพชนไดต งั้ ถน่ิ ฐานอยทู ่รี าบรอบทะเลสาบตงถิง แถบแมน้ําแยงซี ไมยินยอมอยู ภายใตการบังคบั กดขีข่ องรัฐ จึงไดทําการอพยพเขาไปในปุาลึกบนภูเขาสูง ไดต้ังถิ่นฐานสรางที่อยูอาศัย เพื่อปกปูองเสรีภาพ จึงถูกขนานนามวา “มอเยา” ตอมาในสมัยราชวงศแซง คําเรียกนี้ถูกยกเลิกไป เหลือแตคําวา “เยา” เทานั้น ตอมาคําวา “เยา” ปรากฎในเอกสารจีน เมื่อประมาณศตวรรษท่ี ๕ กอนคริสตแศักราช ซึ่งมีความหมายวา ปุาเถ่ือน หรือคนปุา ในประเทศจีนชนชาติเยา มีคําเรียกขาน ช่อื ของตนเองแตกตา งกนั ถึง ๒๘ ชอ่ื แตคนเยาในประเทศไทย เรยี กตัวเองวา เม่ียน หรือ อ้ิวเมี่ยน ซ่ึงมี ความหมายวา “มนุษยแ” ภาษาท่ีใชในปใจจุบันเป็นภาษาถ่ินมี ๓ ภาษา คือภาษาเม่ียน ภาษาปูนูและ ภาษาลักจา ความเป็นมาของชนเผา “เมีย่ น” หรือทเี่ รียกตัวเองวา “อิวเมย่ี น” มปี ระวัติความเปน็ มาเริ่มตน จากตอนกลางของประเทศจีน ประมาณสองพันกวาปี เม่ียนเป็นชนชาติที่มีประวัติความเป็นมาชานาน นับตั้งแตสมัยสงครามกลางเมือง เมื่อสองพันกวาปีแลวบรรพบุรุษของเม่ียน มีการเคลื่อนไหวอยูแถบ ลุมแมนํ้าฉางเจียงและฮ่ันเจียง ตอนกลางของประเทศจีน เมี่ยนมีชื่อเรียกตาง ๆ กัน เชน มอ, หมาน, มอเยา, จิงหมาน สวนคําวา “เยา” นั้นไดเริ่มใชเรียกกันในสมัยราชวงศแซอง คําน้ีมาจากคําวามอเยา ซง่ึ มีความหมายวา ไมอยใู ตอ ํานาจของใคร เยา ในประเทศจีนน้ัน แยกไดเป็น ๔ กลุม แตกลุมเยา เผาเบี้ยน มปี ระชากรมากทส่ี ุด และเป็นกลุมท่ีอพยพโยกยายอยูตลอดเวลาเป็นระยะทางไกลและกระจายกันอยู ในอาณาบริเวณท่ีกวางขวางทีส่ ุดดว ย ตอ มาเมยี่ นกลมุ นไี้ ดอพยพเขาสูภาคเหนือของเวียดนาม ในราวศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๖ ตอจากน้ัน กอ็ พยพเขาสปู ระเทศลาว เมยี นมารแ และประเทศไทย สาเหตุท่ีชนเผาเม่ียนอพยพน้ันมีสามประการคือ ประการแรก ชนเผา เม่ียนเปน็ ชนชาติที่ทําไรเล่ือนลอยจึงตองอพยพโยกยายอยูเสมอ ประการที่สอง คือ ถูกกดขข่ี มเหงทางชนช้นั จากชนชาติที่ปกครอง และประการสุดทายเกิดจากภัยธรรมชาติและโรคภัยไข เจ็บ ประชากรและการขยายตวั ของชาวเมย่ี น กอรดแ อน ยงั นักมานษุ ยวทิ ยาชาวอเมริกันไดเขียนบันทึก 87
เป็นรายงานไวเ ม่อื พ.ศ. ๒๕๐๓ วา มหี มบู า นชาวเขาเผา เยาเพียง ๗๔ หมูบาน ประชากร ๑๐,๒๐๐ คน ตั้งหมูบานกระจัดกระจายอยูในเขตภาคเหนือของจังหวัดนาน ภาคตะวันออกของจังหวัดเชียงราย (ซึ่งรวมเขตจังหวัดพะเยาในปใจจุบันน้ีดวย) และเขตอําเภอฝางจังหวัดเชียงใหม ขอมูลข้ันสุดทายท่ี สถาบันวิจัยชาวเขารวบรวมไวในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ เยาในประเทศไทยมี ๑๗๓ หมูบาน ๖,๖๙๒ หลังคา เรือน ประชากร ๔๔,๐๑๗ คน อาศัยอยูในจังหวัดตาง ๆ ดังน้ีคือ เชียงราย นาน พะเยา ลําปาง กาํ แพงเพชร สุโขทัย เชยี งใหม ตาก และเพชรบรู ณแ คดิ เปน็ รอ ยละ ๕.๕๙ ของประชากรชาวเขาทั้งหมด ทมี่ ีอยูใ นประเทศไทย การตั้งบานเรือน การตั้งหมูบานของเยา มักจะเป็นการรวบรวมกันระหวางกลุม แซต ระกูลหรือกลุมญาตพิ น่ี อง โดยจะเลือกตงั้ หมบู านอยบู นท่ีราบตามไหลเขา บริเวณตนน้ําลําธารหรือ บรเิ วณหุบเขาในระดบั ความสูง ๑,๐๐๐ – ๑,๓๐๐ เมตร จากระดับน้ําทะเลและจะตองเป็นบริเวณที่มี น้ําอุดมสมบูรณแสามารถนาํ มาใชใ นหมบู านได43 สําหรับชาวอิวเมี่ยนในจังหวัดลําปางพบอาศัยอยูหนาแนนในอําเภองาว ไดแกชุมชน บอสี่เหลี่ยม บานหวยน฿อต ชาวบานโดยสวนใหญนับถือศาสนาคริสตแและศาสนาพุทธ มีลักษณะ ภูมิประเทศพ้ืนท่ีภูเขาสูงเชิงเขาความสูงจากระดับน้ําทะเล ๒๘๐ เมตร เขตลุมน้ําหลักคือแมนํ้ายม ลมุ น้ํายอ ยคือแมนํา้ แมงาว อาชีพหลกั ในชมุ ชน คือ เกษตรกรรม อาชีพเสรมิ ในชุมชน คือ หาของปุาและ รบั จาง พชื หลกั ทป่ี ลกู ในชมุ ชน คอื ขา วโพด ปญใ หาหลักและความตอ งการของชุมชน คือ ประชาชนไมมี ท่ีดินทํากิน และไมมีสัญญาชาติ มีนํ้าตกและถํ้าท่ีสวยงามคือน้ําตกแมแก นํ้าตําเกาฟุ และถํ้าราชคฤหแ โดยน้ําตกเกาฟุไดรับการดูแลรักษาจากชาวเมี่ยนเป็นอยางดี ในดานอําเภอวังเหนือไดแก บานผาแดง บานวงั ใหม เนือ่ งจากเป็นพ้ืนทจ่ี ดั สรรใหช าวบานท่ีอพยพมาจากพ้ืนที่อุทยานดอยหลวง ผาแดงแมสาน ทําใหส งผลตอดาํ รงชีวิตแบบเกษตรกรรมในเขตภเู ขาลงมาสูพ้ืนราบ ซงึ่ เปน็ พน้ื ที่ไมสามารถเพาะปลูกได ชาวบา นจึงยายถ่นิ เพือ่ หางานทําทั้งในและตา งประเทศจาํ นวนมาก ชาวเม่ียนในพ้ืนท่ีอําเภอเมืองปาน ไดแก บานแมแจเมปางเยาเป็นหมูบานท่ีต้ังอยูในเสนทาง ทองเทีย่ วของอทุ ยานแหง ชาตแิ จซอ น มีไรเหมย้ี ง กาแฟแมคคาดีเมีย และสตรอเบอรแร่ี มีน้ําตกปางเยา เปน็ น้าํ ตกในหมูบ า น สว นบานหว ยปงแจซ อ น ชาวบา นสว นใหญจะนับถอื ศาสนาคริสตแ และศาสนาพุทธ ลักษณะพ้ืนที่ของหมูบานเป็นพื้นท่ีภูเขาสูงเชิงเขา และปุาไมเบญจพรรณ ความสูงจากระดับน้ําทะเล ๔๔๕ เมตร เขตลุมนํ้าหลัก คือ แมน้ําวัง เขตลุมนํ้ายอย คือ แมน้ําวังตอนบน อาชีพหลักในชุมชน คือ ปใกผาชนเผา พืชหลักท่ีปลูกในชุมชน คือขาวโพด และขาวไร ปใญหาหลักและความตองการของชุมชน คือ ชาวบานไมมีที่ดินทํากิน และมีรายไดนอย สําหรับชาวเมี่ยนอําเภอแมเมาะไดแกบานจําปุย เป็นหมบู า นเปาู หมายพัฒนาการทอ งเท่ยี ว ชาวเมยี่ นไดร ับการสงเสรมิ ในเร่อื งวฒั นธรรมมีการจัดตั้งศูนยแ เรยี นรูชมุ ชนจัดทาํ โฮมสเตยแแ ละการทอ งเทย่ี วชมุ ชน สุดทายคือชาวอิวเม่ียนในเขตเทศบาลเมืองเขลางคแนคร ซ่ึงจากการบอกเลาของคนในชุมชน กลาววาเป็นกลุมชนเผาที่สืบเช้ือสายมาจากบรรพบุรุษชาวมองโกลดแในธิเบตและมณฑลยูนนาน ประเทศจีน โดยชาวเมี่ยนท่ีเขามาอาศัยอยูในจังหวัดลําปางระรอกน้ีมี ๒ กลุม คือที่ผาลาด ในเขต เทศบาลเมืองเขลางคแนคร และกลุมท่ีอําเภองาว โดยชาวเมี่ยนที่ผาลาดเขามาอยูตั้งแตปี 43 จนั ทรบูรณแ สุทธิ, สมเกียรติ จาํ ลอง และ ทวิช จตุวรพฤกษแ “วถิ เี ย้า” .เชียงใหม : สถาบนั วิจยั ชาวเขา กรมประชาสงเคราะหแ กระทรวง แรงงานและสวัสดกิ ารสงั คหมูท่ี2539. 88
๒๕๒๙ ปใจจบุ ันมจี ํานวน ๕๐ ครอบครัว ๒๔๕ คน มนี ายสิทธิพงษแ ฟูุงสันติภาพ ดํารงตําแหนงประธาน ชุมชนอ่ิวเมี่ยนผาลาดจบการศึกษาระดับปริญญาโท ชาวเม่ียนที่นี่นับเป็นชาวเม่ียนหัวกาวหนาที่ได พัฒนาศักยภาพของตนเองสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เมี่ยนถือวาตนเองเป็นชนชาติท่ีมี วฒั นธรรมสงู กวา กลุมชาติพันธุแอื่น ๆ ในขณะท่ียังคงรักษาอัตลักษณแด้ังเดิมของตนเอาไวไดเป็นอยางดี และชาวเมี่ยนที่ผาลาดไดเปล่ียนจากการนับถือผีตามอยางบรรพบุรุษมานับถือศาสนาคริสตแ อาศัยอยู รวมกนั บนท่ดี ินของโบสถพแ ระชนนีเจา โดยไมมกี ารถือครองทีด่ ิน และยังคงรักษาวถิ ีชีวิตชาวเมี่ยนด้ังเดิม ท้ังภาษาที่มีรากภาษามาจากภาษาจีนกลาง (แตจ๋ิว) มีเครื่องแตงกายเฉพาะของชนเผาท่ีสวยงาม ปใกดว ยมอื สมาชกิ ในชมุ ชนอาศัยอยรู ว มกันดวยความรักความมีเมตตาตอกันและใหความเคารพนับถือ ผใู หญในชุมชนและมีผูน าํ ชุมชนทเ่ี ปน็ ที่ปรึกษาเม่ือมีปใญหาและชวยเหลอื แกไขปใญหารว มกนั ตามวิถีชีวิต ดัง้ เดมิ ตามอยา งบรรพบุรุษ ๒.๖.๒ ลกั ษณะโครงสร้างทางสงั คม ระบบครอบครัว : ครอบครัวเยามีท้ังแบบครอบครัวขยายและแบบครอบครัวเด่ียวโดยปกติ แลวครอบครัวเยาขยายออกทางบิดามารดาของฝุายชาย คือเม่ือผูชายแตงงานแลวจะนําภรรยามาอยู กับบิดามารดาของตน บานหลังหนึ่งอาจมีหลายครอบครัว ซึ่งมีความสัมพันธแการเป็นพี่นองรวม สายเลือดเดียวกัน และเยานิยมซื้อเด็กมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมอีกดวย สวนครอบครัวขยายทางฝุาย บิดาหรือมารดาของภรรยานัน้ เกิดข้ึนไดจ ากประเพณีท่ียินยอมใหผูชายท่ีตองการจะแตงงาน กับผูหญิง แตไ มมเี งนิ ทองท่ีจะจายคาตัวเจาสาว จึงตองไปชวยทํางานอยูท่ีบานของบิดามารดาของฝุายหญิงตาม กําหนดเวลาท่ไี ดต กลงกันไวกอนท่ีจะมพี ธิ แี ตง งาน แตในกรณีทบ่ี ดิ ามารดาของฝุายหญิง มีบุตรเพียงคน เดียว อาจตกลงกันกอนวาหลังแตงงานแลวใหฝุายชายอยูกับฝุายหญิงตลอดไปในกรณีที่ฝุายหญิงตอง เปน็ คนออกคา ใชจายในการหมัน้ และการแตง งานดว ย44 ในครอบครัวขยายผูอาวุโสฝุายชายมีอํานาจสูงสุดในครัวเรือน บุตรชายมีอํานาจลดหล่ันลงมา จากพอแม หนาทหี่ ลักของฝาุ ยชายคอื ตัดไม ผาฟนื ลาสตั วแ ซอ มแซมบาน และสรางบาน ตลอดจนการ ติดตอกับบุคคลภายนอก ผูหญิงมีหนาท่ีชวยฝุายชายในการทํามาหากินเตรียมอาหารสําหรับสมาชิก ในครัวเรือน และใหอาหารแกสัตวแเล้ียง บุตรชายอาจแยกไปต้ังครอบครัวของตนเองใหมในแบบ ครอบครัวเดี่ยวไดตอเม่ือนองชายไดแตงงาน แลวนําภรรยามาอยูกับบิดามารดาของตน หรือเมื่อมีคน เลี้ยงดบู ิดามารดาแทน 44 https://www.sac.or.th/databases/ethnic-groups/ethnicGroups/85 เขา ถึงวนั ที่ 5 กนั ยายน 2563. 89
ในสภาพปจใ จบุ นั นี้ ครอบครวั เยามีแนวโนมทจี่ ะเป็นครอบครัวแบบเดย่ี วเพ่มิ ขึน้ เพราะตองการ ความเป็นอิสระและเพอ่ื สรา งฐานะของตัวเอง เยาใหความนับถือเช้ือสายฝุายชายซึ่งรวมถึงการนับถือผี บรรพบรุ ษุ ดว ย ในการแตงงานนัน้ ฝาุ ยหญงิ จะตอ งทาํ พธิ ีออกจากผตี น (แชะ เมี้ยน ตู) กอ น แลวจะตองทํา พิธขี อเขาผีบรรพบรุ ษุ ของฝาุ ยชาย (ทม่ิ เมย้ี น ตู) หากสามตี ายหรือหยารา ง ฝาุ ยภรรยาก็จะตองนับถือผี บรรพบุรษุ ของสามีตอไป นอกจากวา บดิ ามารดาของสามีมีผูสืบทอดผีบรรพบุรุษหลายคนก็อาจยินยอม ใหลูกสะใภอ อกไปถอื ผขี องคนอ่นื ได หรอื อนญุ าตใหไปแตง งานใหม และนบั ถือบรรพบรุ ุษของสามีใหมไ ด แตถาบิดามารดาของฝุายชายหาผูสืบทอดผีบรรพบุรุษไมได ก็อาจขอชายอื่นมาแตงงานกับลูกสะใภ ของตนและสามีใหมตองนับถือผีบรรพบุรุษของฝุายสามีเดิมดวย การนับถือผีของบรรพบุรุษของ ฝุายหญิงจะเกิดข้นึ ไดเม่ือบดิ ามารดาของฝุายหญิงมีบุตรคนเดียว ก็จะตองขอใหฝุายชายเขามานับถือผี บรรพบรุ ุษของฝาุ ยชายดว ยก็ได ในกรณที ่ฝี ุายชายมาชว ยทํางานทบี่ า นฝาุ ยหญงิ น้นั ฝาุ ยชายยงั คงนับถือ ผบี รรพบรุ ุษของตนได แตถ าบุตรเกิดในบานฝุายใดก็จะใหนับถือผีบรรพบุรุษของฝุายนั้น แตจะนิยมให เด็กเกิดในบานของฝุายบิดา สวนบุตรท่ีเกิดข้ึนกอนแตงงาน และไมมีใครอางกรรม สิทธิ์วาเป็นพอ ของเดก็ เด็กก็ตอ งนับถอื ผบี รรพบุรุษของฝาุ ยมารดาและถือวาเปน็ ลูกผีให ซึ่งเยาไมรังเกียจเพราะถือวา ไดแ รงงานในครอบครัวเพม่ิ ขนึ้ การปกครอง : ชาวเมี่ยนไมมีหัวหนาเผาท่ีมีอํานาจสูงสุดในการปกครอง แตละหมูบานจะมี หัวหนาหมูบานตาวเมี่ยน หมอผีประจําหมูบานเจ้ียเจียว และคณะผูอาวุโสรวมกันปกครองหมูบาน แตล ะฝุายจะมีทีม่ า และอํานาจในการปกครองโดยหัวหนาหมบู านมาจากการเลือกตั้งของคนในหมูบาน แตใ นทางปฏบิ ัตผิ ทู ่ีไดร บั การเลือกมาเป็นหวั หนา หมูบานนัน้ มักจะมาจากกลุมแซที่ใหญที่สุดในหมูบาน หรือมาจากกลุมผูที่กอตั้งหมูบาน หัวหนาหมูบานนี้อาจไดรับการแตงตั้งจากทางราชการใหเป็นผูใหญ หรอื ผชู วยผูใหญบา นดว ยก็ได หวั หนาหมูบ า นมหี นาทีห่ ลักในการติดตอประสานงานกบั ทางราชการหรือ บุคคลภายนอก นอกจากนี้ยังมีหนาที่รวมกับผูนําอ่ืน ๆ ในการปกครองหมูบานดวยหมอผี โดยหมอผี เป็นผูประกอบพิธีกรรมตาง ๆ ตามประเพณีใหแกชาวบานเริ่มต้ังแตเกิดจนตาย และประเพณีของ สว นรวมดว ย หมอผีจะตองเป็นผูท่ีสามารถอานและเขียนภาษาจีนได เพ่ือท่ีจะไดอานตําราและบันทึก เร่ืองราวท่ีเกี่ยวกับประเพณีและพิธีกรรมตาง ๆ ตองฝึกฝนตัวเอง เมื่อมีความรูและความสามารถ พอที่จะประกอบพธิ กี รรมไดก ็จะเขา พธิ ีรับการถา ยทอดเปน็ หมอผี หมอผีเม่ียนจะแบงออกเป็นหมอผีใหญและหมอผีเล็ก หมอผีใหญประกอบพิธีทุกอยางต้ังแต เกดิ จนตาย รวมทั้งพิธีของหมบู านดวย สวนหมอผีเล็กประกอบพิธีกรรมยอย ๆ เทาน้ัน เชน เรียกขวัญ เล้ียงผีบาน หมอผีมีอํานาจทจ่ี ะใหค ําแนะนําตักเตือนชาวบานไดและรวมกับผูนําอื่น ๆ ในการปกครอง หมบู านดวย ผูอาวโุ ส เมี่ยนถอื วาผอู าวุโสเป็นผูท่ีมีประสบการณแแ ละมคี วามรูค วามสามารถในดานตาง ๆ จึงไดรับการเคารพและนับถือจากคนในหมูบานแตละกลุมสายแซสกุลและมีผูอาวุโสของตนคอยดูแล และปกครองลูกหลานของตน ผูอาวุโสแตละกลุมแซสกุลน้ีจะรวมตัวกันอยางหลวม ๆ เม่ือมีงานหรือ เร่ืองราวสําคัญ คณะผูอาวุโสก็จะมาชุมนุมหรือประชุมรวมกัน ในกรณีที่มีผูกระทําความผิด หรือมีขอ ขัดแยง ระหวา งคนในหมบู า น หวั หนาหมูบา นจะเชิญหมอผีประจําหมบู านและคณะผูอาวุโสของหมูบาน มารวมปรึกษาหารือกันในเร่ืองการตัดสินความและการลงโทษซ่ึงมีทั้งการวากลาวตักเตือนและ ปรบั สินไหม ถา เปน็ เรื่องเล็ก ๆ นอย ๆ สวนโทษที่เกินความสามารถในการตัดสิน คณะผูปกครองก็จะ 90
สงใหทางราชการเป็นผูพิจารณาตัดสิน ในการปกครองและพัฒนาหมูบานนั้น หัวหนาหมูบาน จะปรกึ ษาหารือกับหมอผีและคณะผูอ าวโุ สในหมูบาน45 ๒.๖.๓ วถิ ีชวี ติ ความเปน็ อยู่ ศาสนาความเช่อื ประเพณพี ิธกี รรม ภาษา : ภาษาเมย่ี นมคี วามสัมพันธแใกลช ิดกับภาษามง มากกวาภาษาชาวเขาอ่ืนๆ ภาษาเขียน เมยี่ นไดรบั อทิ ธิพลจากจีนมาก เปน็ คาํ เดยี วโดด ๆ ไมม ภี าษาเขียนเปน็ ของตนเอง (ขจัดภัย ๒๕๓๘, น.๕๐) เม่ียนที่อยูในเมืองไทยสวนใหญพูดภาษาไทยเหนือหรือคําเมืองพอรูเร่ืองบางคนพูดภาษาไทยกลางได คนท่ีมอี ายุพดู ภาษาจนี กลาง แตจิว๋ และจนี ฮอได การแต่งกาย : การแตงกายของชาวเม่ียน ผูหญิงนุงกางเกงดวยผาสีน้ําเงินปนดํา ดานหนา จะปใกลวดลาย ใสเสื้อคลุมสีดํายาวถึงขอเทา ผาดานหนาตลอด ติดไหมพรมสีแดงท่ีอกเสื้อรอบคอ ลงมาถงึ หนา ทอ ง ผาดานขาง อกเสือ้ กลดั ตดิ ดว ยแผนเงินสเี่ หลีย่ ม ทาผมดวยข้ีผ้ึง พันดวยผาสีแดง และ พันทับดวย ผาสีนํ้าเงินปนดํา สวนผูชายนุงกางเกงสีดําขายาว ขลิบขอบขากางเกง ดวยไหมสีแดง สวมเสอ้ื ดาํ อกไขวแบบเสื้อคนจนี ตดิ กระดุมคอและรกั แรเปน็ แนวลงไปถงึ เอว เส้อื ยาวคลมุ เอว ปใจจุบัน ชาวเมีย่ นเรมิ่ แตงกายคลายคนไทยพ้ืนราบมากข้นึ อาชพี การทามาหากนิ : ชาวเมีย่ นในอดีต ทํามาหากินโดยการทําไร พืชหลักท่ีปลูกไดแก ฝิ่น ขาว ขา วโพด มันฝร่ัง พรกิ ฝาู ย มันเทศ เป็นตน ไรข า วของเมย่ี นจะไมมตี นไมใ หญเ หมือนพวกกะเหรี่ยง ไรข าวจะอยรู อบหมบู า นในรศั มีเดนิ ไมเ กินสองชั่วโมง ฤดูปลูกขาว เริ่มปลูกปลายเดือนพฤษภาคม และ มิถุนายน ขาวท่ีเก่ียวและนวดแลวจะเก็บไวในยุงในไร ไมนิยมนํากลับมาบาน นอกจากเพาะปลูกแลว ชาวเมี่ยนยังเล้ียงสัตวแ เชน มา หมูและไก มาใชสําหรับขี่ เดินทางหรือตางของ หมูและไกเลี้ยงไวเพื่อ เซนสงั เวยผีในพิธีกรรม (ขจัดภัย ๒๕๓๘, น.๕๙) ชาวเม่ียนยังมีฝีมือในการทําเครื่องประดับเคร่ืองเงิน เย็บปใกถักรอย ทํามีด จอบ ขวาน เคียว เป็นตน อาชีพทางการเกษตร ชาวเม่ียนมีความเช่ือวาจะไม ทํางานที่เก่ียวกับการเพาะปลูกทุกอยางในวันกรรม เม่ียนจะกําหนดวันกรรมตามปฏิทินของจีน ซึ่งใน รอบหน่ึงปีมีวันกรรม ๒๒ วัน งานท่ีเกี่ยวกับการเพาะปลูกเป็นงานท่ีทั้งผูชายและผูหญิงรวมกัน รับผิดชอบและชวยกันทํา แตงานท่ีตองใชแรงงานมากเป็นหนาที่ผูชาย การหยอดขาวเป็นหนาที่ของ ผูหญิงทําซึ่งจะทําไปพรอมกับที่ผูชายใชไมท่ิมเจาะหลุม ในการปลูกขาวไร ผูหญิงจะผสมเมล็ดพืชไร ลงไปดวย การเลี้ยงสัตวแ เม่ียนเล้ียงหมูและไกเพ่ือเพ่ือใชในการเซนไหวเลี้ยงผีตามความเช่ือ แตการ เซนไหวจะใชเฉพาะสัตวแตัวผูพันธุแพื้นเมืองเทาน้ัน การใหอาหารสัตวแเป็นหนาที่ของฝุายหญิง สวนการ สรา งเลาหมแู ละเลาไกเ ป็นหนา ทขี่ องฝาุ ยชาย สว นสัตวแเล้ยี งชนิดอ่ืนที่ตองนําไปเลี้ยง เชน มา วัว ควาย เปน็ หนา ท่ขี องฝุายชาย การรักษาพยาบาล : เมย่ี นมที งั้ การรักษาตามจารีตประเพณี และการรักษาพยาบาลสมัยใหม ในสังคมเมี่ยนผูหญิงจะมคี วามรเู รอื่ งการเตรียมและการใชยาสมุนไพรมากกวาผูชาย การเซนไหวเล้ียงผี เมย่ี นเป็นชนชาตทิ ่มี ีประวัติความเป็นมาชา นานประมาณสองพันกวาปีมาแลว บรรพชนของเม่ียนมีถิ่น ฐานอยตู อนกลางของประเทศจีน และมีการอพยพยายถ่ินอยูเสมอ จึงทําใหเมี่ยนไดรับอิทธิพลในดาน ความเช่ือตาง ๆ จากจีนหลายลัทธิ ซึ่งทําใหเมยี่ นมกี ารเซนไหวเลยี้ งผีตาง ๆ ตามความเช่ือ การเซนไหว 45 ประสิทธ์ิ ลีปรีชา, ยรรยง ตระการธํารง และวิสุทธ์ิ เหล็กสมบูรณแ (2547) “เม่ียน หลากหลายชีวิตจากขุนเขาสูเมือง” . เชียงใหม: สถาบนั วจิ ยั สงั คม มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม 91
เลี้ยงผีบรรพบุรุษ เมื่อบรรพบุรุษตายไปแลว เมี่ยนจะทําบุญเพ่ือใหวิญญาณบริสุทธ์ิปีละคร้ังเป็นเวลา ๓ ปี จึงเชญิ มาสงิ สถิตอยบู นห้ิงผี เพ่ือทําหนาที่คอยดูแลปกปูองและคมุ ครองลูกหลาน ความเช่อื : ตามหลักฐานท่ีปรากฏ เยา ไดเรม่ิ เอาลัทธิเตเามาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเม่ือครั้ง อพยพทางเรือในชวงคริสตแศตวรรษท่ี ๑๓ แตอยางไรก็ตามเยาก็ยังปฏิบัติตามแนวความเช่ือของตนท่ี เคยยึดถือ และปฏิบัติกันมากอนท่ีจะมีการอพยพทางเรือ ซ่ึงความเช่ือเหลาน้ีไดแกความเชื่อเร่ืองผี ดังน้ัน จึงกลาวไดวาความเชื่อถือของเยาจึงเป็นการผสมผสานกันระหวางความเชื่อท่ีไดรับอิทธิพลมา จากลัทธิเตเากับการเชื่อถือผี เยาท่ีนับถือพุทธน้ันยังมีการนับถือผีอยู แตพวกที่นับถือศาสนาคริสตแนั้น ไมมีการเล้ียงผี ความเช่อื ถอื มดี งั น้ีคอื ผบี รรพบุรษุ เยา นบั ถอื ผีบรรพบรุ ษุ ของคนท่ีตายไปแลว เพยี ง ๔ รุน เทานน้ั โดยเช่ือวา เมอ่ื บรรพบรุ ษุ ของตนตายไปแลวก็จะสิงสถิตอยูบนสวรรคแและจะคอยดูแลปกปูอง ลกู หลานของตน ผบี รรพบุรุษยังทําหนาท่เี ป็นตวั แทนติดตอ ระหวางคนที่มีชีวิตกับเทวดาหรือผีใหญของ ตนเองดว ย นอกจากนี้ เยา ยังนบั ถือ และเซนไหวบูชาเบี้ยนฮู ซึ่งถือวาเป็นผูใหกําเนิดเยาซึ่งมีกําเนิดมา ตั้งแตป ระมาณ ๒,๐๐๐ ปี กอ นคริสตศแ กั ราช เมื่อมกี ารประกอบพธิ กี รรมตาง ๆ กจ็ ะเชญิ บรรพบุรุษของ ตนมาสิงสถิตอยูในบานและจะเชิญเบ้ียนฮูมาในพิธีที่สําคัญ ๆ เชน งานศพ งานแตงงาน เม่ือเสร็จพิธี ก็จะเชญิ กลบั ไป การเซนไหวผ บี รรพบรุ ุษนย้ี อมไดรับความปกปูองคุมครองจากผีบรรพบุรุษเป็นอยางดี และในทางตรงกันขามหากทีฝ่ งใ ศพหรอื กระดูกของบรรพบุรุษถูกรบกวนหรือขาดการเซนไหวก็จะทําให ลกู หลานเจบ็ ปุวยดว ยผีฟาู ซง่ึ เยา ถอื วาเป็นฑูตสวรรคแ ผีใหญ (จุ ซง เมี้ยน) เยาไดบ นบานตอผีใหญไวเมือ่ ครงั้ อพยพทางเรอื และเม่ือข้ึนฝ่ใงไดจึงทําการ เล้ียงผีใหญมาตลอด การนับถือผีใหญน้ีเยาไดรับอิทธิพลมาจากลัทธิเตเา ผีใหญท่ีเยานับถือน้ีเป็น ภาพวาดของเทวดาซึ่งมีท้งั หมด ๑๗ ภาพ บางชดุ อาจมีภาพบรรพบุรุษของตนอีกภาพหนึ่งรวมเป็น ๑๘ ภาพ เทวดาในภาพแตละภาพน้นั มอี ํานาจหนา ที่ ท่ีแตกตางกนั ท้ังในสวรรคแแ ละนรก แตภาพท่ีสําคัญน้ัน มเี พียง ๓ ภาพ เรยี กวา ฟามซงิ หรือผสี ามดาว ซ่ึงถือวา มอี าํ นาจสงู สุด โดยปกติแลว เยาจะมวนเก็บภาพ เหลาน้ีไวในหอผาท่ีเรียกวา เม้ียนดับ และจะนํามาแขวนในพิธีทําบุญ (กวา ตั้ง) พิธีโตโซและพิธีศพ เทานั้น ผีท่ัวไปเยาเช่ือวาทุกหนทุกแหงมีผี เชน ผีปุา ผีนํ้า ผีภูเขา เป็นตน ผีเหลานี้มีท้ังผีดี และผีราย ผีท่ดี จี ะสิงสถติ อยบู นสวรรคแ สวนผีที่ช่ัวรายมักจะอยูตามตนไมและมักจะทําอันตรายผูอื่น เยาจึงมีการ ประกอบพิธีกรรมที่เก่ียวกับผีเหลานี้ เชน การเลี้ยงผีทองถ่ิน (ซิบ ตา ปูุง เมี้ยน) การไลผี ชั่วราย (ชุน ปูาย) เปน็ ตน 46 ขวัญ : เยาเช่ือวาในรางกายของคนเรามีขวัญ (เว่ิน) อยูตามอวัยวะสวนตาง ๆ ของรางกาย ท้ังหมด ๑๒ แหง ไดแก ตา หู ปาก คอ แขน หนาอก ทอง ขา ขางหัว ดานซาย ขางหัวดานขวา เทา และมือ แตขวัญของเด็กอายุต่ํากวา ๑๒ ขวบนั้นยังไมแนนอนวาจะอยูกับตัวเด็กตลอดไปหรือไม จึง เรียกวาแปง เมื่อขวัญแหง ใดแหงหนึ่งตกใจหรอื ออกจากรางไป จะทําใหเจาของรางกายเจ็บปุวย ดังนั้น การเรียกขวญั จงึ เป็นวธิ ีหนึง่ ท่ีสามารถรกั ษาอาการเจบ็ ปุวยได ฤกษแ ยาม และโชคลาง ในการประกอบ กจิ กรรมหรือพิธีกรรมตาง ๆ เชน การแตงงาน ขึน้ บานใหม การปลูกพชื การติดตอ งาน เป็นตน มักจะดู 46 อภิชาต ภัทรธรรม “เยา (ขอมูลทางวัฒนธรรม)” ใน วารสารการจัดการป่าไม้ 3(6) : ภาควิชาการจัดการปุาไม คณะวนศาสตรแ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรแ จตจุ กั ร กรงุ เทพฯ:2552. 92
วัน เวลา เหมาะสมในการประกอบกจิ กรรมเหลานี้ โดยจะยึดตามหลักของจีน นอกจากน้ีเยายังมีความ เชอ่ื ในเรอ่ื งโชคลางอกี ดว ย เขาจะเล่ือน หรือยกเลิกการประกอบพิธีกรรม หากมีสิ่งไมดีที่เช่ือวาจะเป็น ลางเกิดขึ้น เชน อาจงดการสขู อ หรอื การหม้นั เม่อื เหน็ งเู ลอื้ ยผา นหนาขบวนทีจ่ ะไปสูขอหม้นั นั้น การเลยี้ งผบี รรพบุรษุ : ในแตละปีเมย่ี นจะตองเลย้ี งผีบรรพบรุ ษุ ตามเทศกาลตาง ๆ อยางนอย ปีละ ๔ ครั้ง ในการเลี้ยงผีบรรพบุรุษ หมอผีจะแตงกายดวยชุดธรรมดาโดยใช ไก เหลา และนํ้ามัน เป็นเคร่ืองเซน การเลี้ยงผีฟูา เม่ียนเชื่อวา เป้ียน โก฿ว ฮูง เป็นผูสรางโลก เมื่อตายไปแลวไดขึ้นสวรรคแ สถิตอยูบนสวรรคแชั้นสูงสุดเป็นผีฟูา มีหนาท่ีรับผิดชอบคอยคุมครองดูแลมนุษยแ การเลี้ยงผีฟูา หมอผี จะตองใสห มวกผีสีดํา ใสเสื้อชุดหมอผีและใชผาตุงจุน (มีลักษณะคลายกระโปรงผูหญิงท่ีไมเย็บติดกัน) ปิดหนาทองยาวลงมาถึงขอเทา เครื่องเซน มีหมู เหลา และน้ํา และตองมีการเปุาเขาควายดวย การเล้ียงผีใหญ เม่ียนไดรับอิทธิพลจากลักธิเตเา เมื่อเมี่ยนตั้งถิ่นฐานอยูในมณฑลกวางตุงและกวางสี เม่ือประมาณคริสตแศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๔ ภาพผีใหญน้ีเป็นภาพวาดเหมือนของเทพเจา เม่ียนจะเชิญผี ใหญม าเลี้ยงเฉพาะในพิธีเกี่ยวกับการสรางบุญบารมีใหแกตนเอง การเล้ียงผีใหญ หมอผีจะใชชุดหมอผี ใหญ มีเครอ่ื งดนตรี และใชห มู เหลาและนํา้ เป็นเคร่อื งเซนหลัก การวางตัวใหเป็นท่ีนิยมของชุมชน โดย ท่ัวไปเม่ียนมีนิสัยออนนอมถอมตน สุภาพและมีความเกรงใจ เพื่อใหเป็นท่ีนิยมของชุมชน ผูมาเยือน จะตอง มคี วามสุภาพ มคี วามจรงิ ใจ ควรใหความสนใจแกช ีวติ ความเป็นอยแู ละความเชอ่ื ของเมย่ี น ประเพณกี ารผดิ ผี บานใดท่ีมี เฉลวแขวนไวหนาประตูบาน ใหเป็นท่ีรูกันวา ภายในบานตองมี พิธีกรรมอะไรบางอยาง หามมิใหบุคคลภายนอกเขาบาน หากไมปฏิบัติตามถือวา “ผิดผี” หนุมสาว ถาลวงเกินกัน เชน หนุมไปจับเน้ือตัวสาว สาวเจาเอะอะข้ึนมา หนุมจะตองถูกปรับไหม ถือวาผิดผี แตถา หนุมสาวรักกัน ถูกตองเน้ือตัวกัน สาวเจาพอใจไมรองเอะอะก็ไมเป็นไร การผิดผีจะถูกปรับไหม โดยการขอขมาและเสยี เงินเล็กนอ ย ต้งั เชยี น ญา น เปน็ ภาษาของเม่ียน “ตั้ง” แปลวา “ขาดไป ไมถือเป็นญาติ” “เชียน” แปลวา “พน่ี อ ง ญาตพิ ่ีนอ ง” “ญาณ” แปลวา “เงิน” ถาแปลตามความหมาย คือ “การใชเงินเพ่ือใหความเป็น ญาติพ่ีนอง” หรืออาจจะแปลโดยสรุป “การแตงงานในระหวางญาติพ่ีนอง” ซึ่งเมี่ยนแปลงาย ๆวา “พีน่ องเอากัน” อันเป็นการแปลความหมายเลยี นแบบ “คนเมอื ง” ภาคเหนอื เมอื่ พูดถงึ “การแตงงาน” แตเดิม การแตงงานระหวางกลุมเครือญาติเดียวกัน ถือเป็นขอหามเด็ดขาด จะแตงงานกันไมได โดย ยึดถือจารีตประเพณีของชาวจีน ตอมาขอหามในเร่ืองแตงงานระหวางกลุมเครือญาติยอยเดียวกัน ไดผ อนคลายลง โดยชาวเม่ียนไดอนุญาตใหกลุมเครือญาติยอยเดียวกันแตงงานกันได แตท้ังน้ี ทั้งสอง ฝาุ ยจะตอ งแยกสายออกจากกนั มาไดไมตํ่ากวา ๕ ชัว่ รุน 93
การเลี้ยงผีทองถ่ิน (ซิบตาปูงเม้ียน) การเล้ียงผีของเผาเมี่ยนมี ๓ ลักษณะ คือ ๑. การเลี้ยงผี ของแตละหลังคาเรือน จะเลี้ยงกต็ อเม่ือเกิดการเจบ็ ปุวยของบุคคลภายในบาน ๒.การเลี้ยงผีในระหวาง แซสกุลหรือในหมูคนใกลชิด ๓.การเล้ียงผีรวมทั้งหมูบาน การทําซิบตาปูงเมี้ยนในปีหนึ่ง ๆ จะทํา ๓ ครั้ง คร้ังแรกจะทาํ ในระยะข้ึนปีใหม ครั้งที่ ๒ จะทําหลังจากใสขาวโพดเสร็จเรียบรอย คร้ังที่ ๓ จะทํา หลงั จากขายขาวโพด ผีหรอื เทพเจา้ เป็นชดุ เดียวกับของคนจนี อยางไรก็ตามระยะเวลาอาจจะเปล่ียนแปลงไปไดตามความเหมาะสมและความเห็นชอบของ หมอผใี หญ การทําซบิ ตาปูนเมีย้ นน้ีเป็นการประกอบพธิ กี รรมรวมของหมูบานทกุ หลงั คาเรือนสงตัวแทน มารว มพิธี หลังคาเรอื นละ ๑ คน นอกจากนี้ยังจะตองรวมกันออกคาใชจายในการประกอบพิธีจํานวน แลวแตหมบู านจะกําหนด เงนิ ทเี่ ก็บไดจ ะใชไ ปในงานพธิ ี สถานที่ประกอบพิธีเรียกวา ศาลผี (เจี้ยยตอง) มีหมอผเี ปน็ ตวั แทนในการตดิ ตอ หรือบอกผที ี่มาชมุ นมุ ในทีน่ ้นั ลกั ษณะของศาลผีน้นั จะประกอบดวยห้ิง สี่เหลี่ยม (เมี้ยนเตี้ย) ๒ หิ้ง อยูใตตนไมใหญ เป็นท่ีใชวางเครื่องเซนตาง ๆ ถัดไปทางทิศตะวันออก เล็กนอย จะมีชามกะละมังวางบนไมซ่ึงทําเป็นงามรองรับไว เรียกวา “ทิ่นฮูงเคาะ” ซึ่งใชในการเผา กระดาษในกรณีทีเ่ รียกผีฟาู ลงมารว มพธิ ี บรเิ วณนี้จะเป็นบริเวณท่ีหมอผีใหญจะเป็นผูทําพิธี โดยจะหัน หนาไปทางทิศตะวันออก ซึ่งคนเมี่ยนถือวาเป็นทิศท่ีสําคัญหรือเป็นทิศหลัก อีกแหงหน่ึงทางดาน ตะวันตกของบริเวณศาลผี จะมีห้ิงสี่เหลี่ยม ๑ หิ้ง อยูใตตนไมใหญเชนกัน แตไมมีทิ่นฮูงเคาะ หรือ กะละมังสาํ หรบั เผากระดาษ เพราะในวงน้เี ปน็ ผที ีม่ ีอนั ดบั รอง ๆ ลงมา หมอผที ป่ี ระกอบพิธที ี่ห้ิงน้ีจะหัน หนา ไปทางทิศตะวันตก นอกจากน้ีทางทิศเหนือและทิศใตก็จะใชไมกระดานปูวางกับพื้นเพื่อทําเป็นท่ี วางของ เพ่ือเลี้ยงผีในอีกระดับ การประกอบพิธีจะใชเวลาเพียง ๑ วัน แตในบางคร้ัง ชาวเขาอาจจะ หยุดงานถึง ๓ วัน คือ วันแรกตองออกไปถางและทําความสะอาดศาลผี ทํากระดาษเพ่ือใชในการ ประกอบพิธีท่ีบานหมอผีใหญ การเตรียมหมู (กรณีที่ตองใชหมูเล้ียง) ไก และเหลา วันที่ ๒ ซ่ึงเป็น 94
วันประกอบพธิ ี แตละหลังคาจะสงคนมาหลังคาเรือนละ ๑ คน ตองเป็นผูชายเพื่อชวยในการประกอบ พิธี วันที่ ๓ หลังจากประกอบพิธี วันน้ีถือเป็นวันสําคัญของหมูบาน คือทุกคนในหมูบานจะตองหยุด กจิ กรรมในไรเดด็ ขาด เพราะจะเปน็ วนั ท่ผี จี ะออกไปกวาดลางสิง่ ช่ัวรา ยตาง ๆ ภายในไร ตาราชาวเม่ียนท่ีตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ส่วนใหญ่เป็นตาราโหราศาสตร์ ตารายา และ แบบเรยี นภาษาเม่ียน เม่อื หมอผใี หญเรมิ่ ประกอบพิธี ผูท่ีไปรวมพิธีจะทําเสียงดังไมได หมอผีใหญจะเริ่มจากหิ้งดาน ตะวันออก เพราะเป็นท่ีผใี หญ ๆ มารวมวง ใชเ วลา ๓ - ๔ ชัว่ โมง หรอื อาจมากกวานั้น เคร่ืองเซนที่วงนี้ ก็มีไก ๔ ตัว ถวยเหลา ๕ ใบ ถวยนํ้า ๑ ใบ เม่ือหมอผีใหญไดเชิญผีลงมาครบก็จะเร่ิมตอรองในเร่ือง เคร่ืองเซน การติดตอระหวางหมอผีกับผีจะใชไม ๒ อันประกบเรียกวา “จเาว” มีลักษณะคลาย หรือ เกือบจะเหมอื นกับ “กัวะ” ของชาวเขาเผามง เมื่อตกลงเร่ืองเครื่องเซนตามความพอใจของผีแลว หมอผี กจ็ ะอา นรายชอ่ื ของชาวเขาทีไ่ ดรบั ความเดอื ดรอนและสถานทไ่ี รทตี่ องการใหผีไปดูแล ในระหวางการทํา ผีนั้น หมอผีก็จะทองเป็นภาษาเม่ียนไปตลอดเวลาแทบไมไดหยุด ดังนั้นหมอผีใหญจะตองเหนื่อยมาก เมื่อ หมอผีใหญทําพิธีอยูยอมรับเครื่องเซนแลว หมอผีใหญก็จะบอกใหหมอผีเล็ก อีก ๒ คน เร่ิมทําพิธีอีก ๓ ทศิ คอื เรมิ่ จากหิง้ ดานตะวนั ตก และอกี คนทําดา นใต แลวสุดทา ยจึงทําดา นเหนือ เครอ่ื งเซนท้ัง ๓ หิ้ง มีเหมอื นกันคอื ไก ห้งิ ละ ๑ ตัว ถว ยเหลาห้งิ ละ ๕ ใบ ถว ยนา้ํ หิ้งละ ๑ ใบ ประเพณีการแตง่ งาน : การเลอื กคูครอง เม่ียนมีอิสระอยางมากในการเลือกคูครอง เม่ือหนุม สาวเขาสูชีวิตวัยรุนก็เริ่มเก้ียวพาราสีกัน นอกจากน้ีแลวเมี่ยนยังมีประเพณีเที่ยวสาว (หยาว เ ชียะ) ซ่งึ เปิดโอกาสใหหนุมเขา ไปหาสาวถึงในหองนอนได โดยทบ่ี ดิ ามารดาของสาวไมขัดขวาง ประเพณีเท่ียว สาวน้ี ทําใหหนุมสาวมีโอกาสท่ีจะไดทําความคุนเคยกัน และสามารถศึกษาอุปนิสัยซึ่งกันและกันวา สามารถจะอยรู วมกนั ไดหรือไม หนุมคนหนึ่งอาจเคยมปี ระสบการณกแ ับสาวหลายคนได และสาวบางคน กอ็ าจมปี ระสบการณแกับชายหนุม หลายคนกไ็ ดเ ชนกัน ในการเลอื กคูหนุมสาวจะพิจารณาจากความขยัน ขันแข็งและลักษณะนิสัยมากกวาท่ีจะพิจารณาจากรูปสมบัติและทรัพยแสิน ความโอบออมอารี 95
โดยเฉพาะผูชายจะเลือกผูหญิงท่ีมีจิตใจโอบออมอารี เช่ือฟใงสามีและมีใจซื่อสัตยแ ตามประเพณี ของเม่ียน ภรรยาจะโตตอบหรือตอสูกับสามีไมไดเลย โดยปกติหญิงเม่ียนจะไมชอบคนเจาชู เมี่ยนไม รังเกียจผหู ญิงทม่ี ีบุตรกอนการแตง งาน แตจะถือวา เดก็ ท่ีเกดิ มาเป็นลกู ผีให การสขู อและหม้ัน เมื่อทั้งสองฝุายพึงพอใจซึ่งกันและกัน ฝุายหญิงก็จะขอใหหนุมมาสูขอและ หมั้นตามประเพณี ซงึ่ หนมุ จะตองดําเนินการสามขั้นตอนคอื ขน้ั ตอนทีห่ น่งึ ขอวันเดือนปีเกิดของสาวมา เพื่อใหหมอผีดู จะอยูดวยกันไดหรือไม ข้ันตอนท่ีสอง การสูขอท้ังสองฝุายสามารถอยูดวยกันได ฝุายชายก็จะตอ งไปสขู อสาวจากบิดามารดาของฝุายหญิง ขั้นตอนที่สาม เม่ือหาวันดีไดแลว ฝุายชายก็ จะขอใหบิดามารดาไปหม้ันสาว โดยฝุายชายจะตองนําไกไป ๒ ตัว เหลา ๑ ขวด กําไล ๑ คู และ เงินแทง ๑ แทง และจะตองนาํ หมอผไี ปดวย เพือ่ ทาํ สญั ญาหมน้ั การเตรียมตัวของเจาบาวและเจาสาว หลังจากหม้ันแลว ฝุายชายจะตองหาวันท่ีดีไวเป็น วนั แตงงานและจะตอ งบอกใหค หู มนั้ ทราบลว งหนา ประมาณ ๒ สปั ดาหแ ฝุายเจาบาวจะใชบุหร่ีเชิญญาติ พ่ีนอ งและบคุ คลทเ่ี คารพนับถอื มารวมรบั ประทานอาหารในงานแตงงาน ในการเตรียมงานฝุายเจาบาว ตอ งเตรยี มทีน่ ัง่ และโตะ฿ รบั ประทานอาหาร ถวยชาม และเครอื่ งดมื่ ไวใ หพรอม เตรียมหมู ไก นอกจากน้ี ฝุายชายจะตองแตงต้งั บคุ คลตา ง ๆ ใหท าํ หนาท่ีสําคัญ ๆ ไว หวั หนางานและพิธีกรรม พอครัว คนเปุาปี่ ตีกลอง ตีฉาบ หลังจากที่สาวไดรับหมั้นแลวก็จะหยุดทํางานไร อยูบานเพ่ือเย็บเส้ือจํานวน ๓ ชุด ใหม ารดาของตน ๑ ชุด มารดาฝุายชาย ๑ ชดุ และเก็บไวใชในวันแตงงาน ๑ ชุด เม่ียนไมนิยมแตงงาน กับคนนอกเผา และไมน ิยมทจ่ี ะแตง งานกันคนท่ถี ือแซย อ ยของแซเดยี วกัน47 ลักษณะการแตงงานของเม่ียน แยกออกไดเป็น ๔ แบบ คือ ๑. แตงงานแบบใหม เป็นการ แตง งานทม่ี ีความหรูหรา และฟุมเฟอื ยมาก โดยจะทาํ พธิ ีทบี่ า นเจา บา ว ซึ่งจะตองใชเวลาทั้งส้ิน ๓ – ๔ วัน มีพธิ ีเล้ียงผบี รรพบรุ ุษ ๒. การแตงงานแบบเล็ก เป็นประเพณีการแตงงานที่ไดลดข้ันตอนลงไปเพ่ือการ ประหยัด โดยจะใชเ วลาประมาณ ๒ - ๓ วนั คบู า วสาวไมตองแตงกายชุดแตงงานตามประเพณี ไมมีพิธี เล้ยี งผี ๓. การแตง งานกับภรรยา เป็นประเพณกี ารแตงงานท่ีจัดขึ้นหลังจากที่หญิงและชายไดอยูรมกัน ฉันสามีภรรยาช่ัวระยะหน่ึง เนื่องจากฝุายชายไมมีเงินพอท่ีจะจายคาตัวเจาสาว จึงตองไปอยูท่ีบาน เจาสาวเพ่อื ชวยทํางานแทนการจายคาตัวเจาสาว ๔. การแตงงานแบบสาวของหนุมแตงงาน ประเพณี การแตง งานแบบนีเ้ กิดขนึ้ ไดก บั ครอบครัวท่ีมีแตลูกผูหญิงและหาผูสืบทอดผีบรรพบุรุษไมได จึงตองขอ ผูชายมาแตง งานกับลกู สาวเพื่อสบื ทอดบรรพบรุ ุษ หลังแตงงาน เมื่อหญิงแตงงานแลว จะตองมาอยูกับสามีท่ีบานบิดามารดาของสามี ยกเวน ในกรณีการแตงงานแบบสาวขอหนุมแตงงาน ฝุายชายจะตองไปอยูกับบิดามารดาของฝุายหญิง บานหลังหน่ึงของเมี่ยนอาจมีหลายครอบครัว ซ่ึงมีความสัมพันธแเป็นพี่นองรวมสายเลือดเดียวกันและ เมี่ยนยังนิยมซ้ือเด็กมาเล้ียงเป็นบุตรบุญธรรม เม่ียนจะแยกครอบครัวไดตอเม่ือนองชายไดแตงงาน แลวนําภรรยาเขามาอยูรวมกับบิดามารดา หรือเมื่อบิดามารดาของตนมีคนเล้ียงดูแทน เมื่อหญิง แตง งานแลว ในระยะ ๑ เดือนแรกจะเขาไปบานใครไมไ ดเ ลย หากมีธุระท่ีจะตองติดตอกับคนในบานอื่น จะตองไปติดตอกันที่นอกบาน แมแตบิดามารดาของตนเองเพื่อท่ีจะใหผีบรรพบุรุษของสามีจําหนาได การสืบเช้ือสายเม่ียนใหความนับถือและสืบเช้ือสายทางฝุายสามี เม่ือหญิงเขามาอยูกับชายหลังการ 47 มงคล จนั ทรบแ าํ รงุ (2529) ประเพณีการแตงงานของชาวเขาเผา เยา. เชียงใหม : สถาบนั วิจัยชาวเขา 96
แตง งานแลว ก็จะตอ งนบั ถือญาตทิ างสามี และนับถือผีบรรพบุรษุ ของฝาุ ยสามี บุตรท่ีเกิดมาจะตองใชแซ ของบิดา ซึ่งในอดตี การหยา รา งจะไมคอ ยปรากฏในสังคมเมี่ยนแตใ นปจใ จบุ นั มกี ารหยา รา งกนั มากขึ้น ประเพณี : เทศกาลและประเพณสี ําคญั ของชาวเมย่ี นจะนับ วัน เดือน ปี ตามแบบปฏิทินของจีน คอื ในรอบ ๑ ปี จะมีเดือนทง้ั หมด ๑๒ เดือน เดือนใหญมี ๓๐ วัน และเดือนเล็กจะมี ๒๙ วัน เยาไมมี การนบั วันเปน็ สปั ดาหแแตจ ะนับเป็นรอบ ๑๒ วนั โดยเรยี กช่อื วนั เปน็ สัตวแ ๑๒ ชือ่ เหมือนกันรอบ ๑๒ ปี เทศกาล และประเพณีที่สาํ คญั ของเยามดี งั น้ีเทศกาลปีใหมตรงกับวันตรุษจีน มีการประกอบพิธีทั้งหมด ๓ วัน โดยวันแรกถือวาเป็นวันสิ้นปีเกา จะเตรียมของใชท่ีใชทุกอยางใหเรียบรอย วันสิ้นปีนี้จะซักผา ทําความสะอาดบาน วันน้ีจะเป็นวันสุดทายที่จะทําการเซนไหวผีบรรพบุรุษ ซึ่งบางบานอาจไดทํามา กอนแลวภายใน ๑ สปั ดาหแ วันที่ ๒ ซ่ึงตรงกับวนั ตรษุ จีนน้ันถอื วาเปน็ วันปีใหม หรือวันถือ เยาจะทําแต สง่ิ ทเ่ี ปน็ มงคลเทาน้นั เชน สอนใหเด็กเรียนหนงั สือ หัดใหเด็กทาํ งาน นําสิ่งที่ดีเขาบานและจะไมทําบาง สิง่ บางอยา งทถ่ี อื วา เปน็ เรอื่ งไมดี เชน จายเงิน ทํางานหนัก สวนวนั ท่ี ๓ นัน้ ตามประเพณแี ลว เยาจะไป ทาํ ความเคารพบุคคลท่ีเคารพนับถือ แตในปใจจุบันนี้ทํากันในบางหมูบานเทาน้ัน เทศกาลเซงเมง ตรง กบั วนั เช็งเมง ของคนจนี เยาจะทําพิธีเซนไหวผ ีบรรพบุรุษและหยดุ งาน ๑ วนั คอื เทศกาลเจียะเจยี บเฝย ตรงกบั วนั ท่ี ๑๔ เดือน ๗ (ตรงกบั สารทจีน) ตามปฏทิ นิ จนี เทศกาลน้เี ยาถือวาเป็นวันปีใหมของผีทั้งหลาย และเปน็ เทศกาลท่ีสําคญั กอ นทจี่ ะถงึ วันท่ี ๑๔ หน่ึงวนั เขาจะเตรียมสิ่งของตาง ๆ ท่ีจะใชในพิธีกรรม เชน กระดาษ ขนม เม่ือถึงวันท่ี ๑๔ จะทําการเซนไหวผีตาง ๆ ท้ังหมด วันที่ ๑๕ เดือน ถือวาเป็นปลอยผี จะไมไปทํางานในไร นอกจากน้ีแลว เยามีวันหยุดตามประเพณีเรียกวาวันกรรม ซ่ึงมีวันกรรมเสือ วันกรรมนก วนั กรรมหนู วนั กรรมฟาู และวันกรรม เซง เมง เปน็ ตน 97
๒.๗ กลมุ่ ชาติพันธกุ์ ะเหรี่ยงในจังหวัดลาปาง ๒.๗.๑ ประวตั ศิ าสตรค์ วามเปน็ มาของกลมุ่ ชนและการเคล่ือนย้าย กะเหรี่ยงเป็นกลุมชาติพันธแุท่ีมีจํานวนมากท่ีสุดในบรรดากลุมชาติพันธุแในประเทศไทย จากหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตรแเช่ือกันวากลมุ ชาติพนั ธุกแ ะเหรี่ยงเป็นคนกลุมที่อาศัยอยูในพื้นที่ประเทศ ไทยมานานหลายรอยปี ดังปรากฏในตาํ นานหลาย ๆ เรอื่ งท่ีกลาวถึงชนพื้นเมืองด้ังเดิม ท้ังลัวะและยาง หรือกะเหรยี่ งในภาคเหนือ ชาวกะเหร่ยี งเป็นกลุมคนทร่ี ักความสงบ ผูกพนั กับธรรมชาติและไมชอบการ ตอ สหู รอื ความรนุ แรง ในอดีตชาวกะเหร่ียงจึงมักหลีกเลยี่ งทจ่ี ะไมของเก่ียวกับคนภายนอกชุมชนของตน และมกั ตง้ั หมูบ านอยูหา งไกลชุมชนอืน่ 48 ชาวกะเหรีย่ งพูดภาษาตระกูลจีน - ทิเบต ภาษากะเหร่ียงท่ีใช มากในประเทศไทย คือ ภาษากะเหร่ียงโปวและภาษากะเหร่ียงสะกอซึ่งแมจะเป็นกะเหร่ียงเหมือนกัน แตไมส ามารถเขาใจกันไดทั้งหมด เพราะทง้ั สองภาษามคี วามแตกตางกันในเรื่องระบบเสียงและคําศัพทแ คอนขางมาก นักภาษาศาสตรแจึงจัดเป็นคนละภาษา ชาวกะเหรี่ยงแบงตามภาษาที่พูดเป็นสี่กลุมใหญ คือ ๑. กะเหรี่ยงโปว ๒. กะเหร่ียงสะกอ ๓. กะเหรี่ยงบเว เรยี กตัวเองวาคยา หรอื ยางแดง ๔. กะเหรี่ยง พะโอ หรอื ตองสู มีขอสันนิษฐานวาเดิมชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยูทางตะวันออกของทิเบต ไดอพยพเขาไป ต้ังอาณาจักรในประเทศจีนเมื่อ ๗๓๓ ปีกอนพุทธกาล จีนเรียกพวกน้ีวาชนชาติโจว เม่ือถูกจีนรุกราน จึงอพยพมาอยูบริเวณลุมแมน้ําแยงซี ยูนนาน แลวถอยรนมาอยูระหวางแมนํ้าโขงและแมน้ําสาละวิน ชาวกะเหรี่ยงอพยพเขามาตัง้ ถ่ินฐานในพมากอ นทจ่ี ะขยายเขามาอยูในพื้นท่ีของประเทศไทย โดยตั้งถ่ิน ฐานอยูบ รเิ วณภเู ขาทางชายแดนตะวันออกของสหภาพพมาและตะวันตกของประเทศไทย ต้ังแตเมือง ตองยีทางเหนือลงไปทางใตถึงตะนาวศรีเกือบถึงคอคอดกระ รฐั คะยาและรัฐกะเหร่ียงมีพื้นท่ีครอบคลุม เขตภูเขาทางตะวันออกของเมืองตองอูขยายไปตามลํานํ้าสาละวินทางใต ระหวางแมน้ําสาละวินและ แมน าํ้ อริ ะวดีในเขตพะโค พื้นท่ีสามเหล่ียม ปากแมนา้ํ อริ ะวดใี กลก ับเมอื งพะสมิ และเมืองยางกงุ ในประเทศไทยกะเหรี่ยงอาศัยอยูในภาคเหนือและภาคตะวันตกในเขตชายแดนกับพมา จากท่ีต้ังถิ่นฐานของชาวกะเหรี่ยงเป็นพื้นที่แคบยาวจากเหนือลงใตทําใหชาวกะเหรี่ยงท่ีอยูทางตอน 48 พอล ลูวสิ และอเี ลน ลูวสิ .”หกเผาชาวดอย” เชยี งใหม : หตั ถกรรมชาวเขา, ๒๕๒๘. 98
เหนอื คือ กลุมคะยาหรือกะเหรี่ยงแดงและกลุมยอ ย ๆ มคี วามสัมพนั ธแใกลชิดกับกลุมไทและรับอิทธิพล ทางวฒั นธรรมของไท สว นกะเหรย่ี งท่ีอยทู างใต ไดแ ก กะเหร่ยี งโปวและกะเหรย่ี งสะกอเป็นกลุมท่ีไดรับ อิทธิพลทางวัฒนธรรมของมอญและพมา ตอมาปใญหาความไมสงบและสงครามระหวางไทยกับพมา ในสมัยพระเจา อลองพญาย่งิ ทาํ ใหช าวกะเหร่ียงจํานวนมากอพยพจากพมาเขา มาสรู ัฐไทใหญแ ละลานนา พระเจากาวิละไดนําเอาชาวกะเหรี่ยงโปวมาต้ังถิ่นฐานอยูท่ีหางดง ตอมามีผูอพยพตามมาอีก เปน็ จาํ นวนมากและไดยายไปตงั้ ถิ่นฐานอยใู นเขตจงั หวดั แมฮอ งสอน เชน บานแมละมู ที่อําเภอแมสะเรียง เป็นตน ชาวกะเหร่ียงที่อพยพมาในตอนหลังไดขอซ้ือดิน นํ้า จากเจาผูครองนครเชียงใหม สงสวย บรรณาการตาง ๆ ใหเ จานาย หรือแมแ ตจ า ยคา เชา ท่ีดินใหกับลวั ะซึง่ ต้ัง ถน่ิ ฐานอยกู อนแลว นอกจากการอพยพโยกยายดังกลาวแลวชาวกะเหรี่ยงจํานวนมากไดอพยพเขามาพึ่งพระบรม โพธิสมภารหลังจากอังกฤษยึดครองพมาไดแลว เน่ืองจากชาวกะเหร่ียงเหลานั้นไมยอมออนน อม ตออังกฤษจงึ ถกู ปราบปรามตองหลบหนีเขามาอยูในไทย โดยกลุมหนึ่งต้ังหลักแหลงอยูทางใต มีชุมชน กะเหร่ยี งในจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธแ อีกกลุมหนึ่งไปต้ังถิ่นฐานอยูทาง ตะวันตกของจงั หวัดแมฮอ งสอน เชียงใหม เชียงราย ลําพูนและลําปาง ชาวกะเหร่ียงท่ีต้ังถิ่นฐานอยูใน ภาคเหนือน้ีมีความสัมพันธแอันดีกับเจานายผูปกครองเมืองตาง ๆ และเจานายมักจะพ่ึงพาอาศัยชาว กะเหร่ียงที่ต้ังถิ่นฐานอยูตามภูเขาและปุาลึกในการดูแลปุาไม โดยเฉพาะอยางย่ิงในเขตตะวันตกของ เชยี งใหม แมฮอ งสอน และแมสะเรียง ความสัมพันธแของเจานายและชาวกะเหร่ียงนั้นอยูภายใตระบบ ไพร โดยชาวกะเหรี่ยงตองสงสวยของปุา ตองเสียภาษี ถูกเกณฑแแรงงานและเสบียงอาหารในกรณีท่ี เจา นายเดินทางไปในพ้นื ท่นี ้ัน ๆ นอกจากนี้การขยายตัวของการทําปาุ ไมในภาคเหนือทําใหมีการวาจาง ชาวกะเหรี่ยงมาดูแลชา ง ที่ใชทาํ ปุาไมมากข้ึน ปใจจุบันนี้มีชาวกะเหร่ียงในประเทศไทยประมาณ ๓๕๓,๓๔๗ คน อยูกระจัดกระจายตามภาคตาง ๆ กลุมชาติพันธุแบนพ้ืนที่สูงท่ีมีจํานวนมากที่สุดอยูในจังหวัด เชียงใหม แมฮองสอน ตาก ลําพูน กาญจนบุรี เชียงราย แพร อุทัยธานี สุพรรณบุรี สุโขทัย ราชบุรี ลําปางเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธแ มีท้ังชาวกะเหร่ียงที่ตั้งรกรากเป็นชุมชนมานานตั้งแตคร้ัง บรรพบรุ ษุ และชาวกะเหรย่ี งทอี่ พยพเขามาอยูในเมอื งไทยตามรอยตะเขบ็ ชายแดนระหวางไทยกับพมา แตชาวกะเหรย่ี งท่ีอพยพเขามาใหมมักจะไมมีท่ีทํากินจึงตองกระจายตัวออกไปรับจางทํางานในจังหวัด ตาง ๆ ของภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันตก ทําใหจํานวนประชากรชาวกะเหรี่ยงจริง ๆ ใน ปจใ จบุ นั นไ้ี มช ดั เจน สําหรับกลุมช าติพัน ธุแกะ เห รี่ยง ใน พื้น ที่จัง หวัดลําปา ง พบวา มีทั้งกะเหร่ียงโปและกะเหร่ียง สะกอ (ปกาเกอะญอ) โดยกลุมกะเหรียงสะกอซ่ึงเป็นกลุมใหญจะอาศัยอยูในพื้นท่ีเมืองปาน แจหม เสริมงาม และงาว โดยเฉพาะบา นแมหมีใน แมหมีนอก และบานจกปก ในอําเภอเมืองปาน ซึ่งทั้งหมด เป็นกะเหรี่ยงสะกอท่ีอพยพมาจากเมืองคอง อําเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม ต้ังแตปี พ.ศ. ๒๙๘๓ สวนกะเหรย่ี งโปวที่อาศัยอยูใ นลําปางมีจํานวนไมมากเป็นกลุมเล็ก ๆ กระจายตัวอยูในพื้นท่ีอําเภองาว แมเมาะ จากการเก็บขอมูลของศูนยแพัฒนาราษฎรบนพื้นท่ีสูงจังหวัดลําปาง พบวาในจังหวัดลําปางมี ประชากรกะเหรยี่ งสะกอและโปมากถงึ ๔,๐๐๐ กวา คน กระจายตัวอยูตามอําเภอตาง ๆ ไดแก อําเภอ งาว เมืองปาน แจห ม เสรมิ งาม และแมเมาะ ตัวอยางเชนกะเหร่ียงบานกลาง ตําบลบานดง อําเภอแมเมาะ จังหวัดลําปาง เป็นชุมชน กะเหร่ียงที่ยังยึดถือและดาํ เนินชีวิตตามวิถีดั้งเดิม ดวยการทําไรหมุนเวียน เลี้ยงวัวควาย และหา 99
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152