Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ผลพลอยได้ที่เนื่องถึงกันและกันได้ในโลก

ผลพลอยได้ที่เนื่องถึงกันและกันได้ในโลก

Description: ผลพลอยได้ที่เนื่องถึงกันและกันได้ในโลก

Search

Read the Text Version

ผลพลอยได ท่เี นื่องถึงกนั และกันในโลก

หนงั สือธรรมะขนาดพกพา รายเดอื น ๑๒ เรือ่ ง ๑๒ เลม สำหรบั เปน พน้ื ฐานศกึ ษาธรรมปฏบิ ัติ ใชเวลาไมน านในการทำความเขา ใจ ๑. ผูทอ่ี า นแลว คดิ วาดมี ปี ระโยชน โปรดสงมอบใหแ กผ ูอ น่ื ตอ เปรยี บดงั่ บำเพ็ญทาน. ๒. สมัครสมาชกิ ไดท ่ีหอ งหนังสอื และสอ่ื ธรรม. ๓. สนบั สนุนการจัดพิมพห นังสอื ธรรมะเลม นอ ยตามกำลงั . ๔. เลือกจัดพิมพหนงั สือธรรมะเลม นอย เพื่อเผยแผในวาระตางๆ เชน วันข้ึนปใ หม, วนั เกดิ , งานมงคลสมรส, งานเฉลิมฉลอง, งานบญุ หรอื งานฌาปนกจิ ฯลฯ. ธรรมะเลมนอ ย ใกลมอื อันจะชวยใหทกุ คนมพี ระเจาอยใู นตน มีพระธรรมอยูในใจ

ร่วมเป็นเจ้าภาพ พมิ พ์ธรรมะเล่มนอ้ ยได้ท่ี หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปญั โญ โทร. ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๐๐

รายช่อื หนังสอื ธรรมะเล่มนอ้ ย ๑๒ เล่ม สำ� หรบั ปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๑. การมีอายุครบรอบปี...เป็นเช่นน้ันเอง ๒. สิ่งที่เป็นคู่ชีวิต ๓. มาฆบูชา วันนี้เป็นการกระท�ำเพ่ือบูชาพระอรหันต์ ๔. ความถูกตอ้ งของการศกึ ษา ๕. ความหมายและคุณค่าของ ค�ำว่า “ล้ออายุ” ๖. การท�ำงานน้ันคือการปฏิบัติธรรม ๗. เศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ ๘. พระธรรมในทุกแง่ทุกมุม ๙. มอื ขวาทำ� บญุ อยา่ ใหม้ อื ซา้ ยรู้ ๑๐. ปวารณา คอื เครอ่ื งหมาย แห่งคนดี ๑๑. ประโยชน์ของความกตญั ญู ๑๒. ภูมติ า่ งๆ และ แนวครองชีวติ ๑๒ เลม่ ส�ำหรบั ปี ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๑. ธรรมะเผดจ็ การ ๒. ความเปน็ ไปของจติ ๓. ความเข้าใจถูก เก่ียวกับศาสนา ๔. พุทธบริษัทไม่ต้องใช้ยาระงับประสาท ๕. ธรรมท่ีลูกของพระพุทธเจ้าควรปฏิบัติ ๖. การบวช คือการบังคับตัวเอง ๗. โทษที่เกิดเพราะไม่มีวินัย ๘. อย่าง น้ันเอง ๙. มะพร้าวนาฬิเกร์ ๑๐. ชีวิตโวหาร ๑๑. สติ ๑๒. สันทิฏฐิโก ๑๒ เลม่ ส�ำหรบั ปี ๒๕๕๗ ประกอบด้วย ๑. ธรรมะท�ำไมกัน ๒. แผ่นดินรองรับร่างกาย ธรรมะ รองรับจิตใจ ๓. ส่ิงที่เรียกว่ากิเลส ๔. ธรรมคอื สง่ิ จ�ำเปน็ แก่ มนษุ ยส์ ำ� หรบั ปอ้ งกนั และแกไ้ ข ๕. สิ่งซึ่งเป็นอุปกรณ์แก่การ เลิกอายุ ๖. ทุกสิ่งอยู่เหนือปัญหา ๗. รู้จักธรรมะให้ถึงที่สุด ๘. หลักธรรมที่ทุกคนควรทราบ ๙. ธรรมท่ีเป็นเครื่องมือใน การเดินทาง ๑๐. ผลพลอยได้ท่ีเนื่องถึงกันและกันในโลก ๑๑. ธรรมะคือหนา้ ที่

ผลพลอยได้ ทเ่ี นอ่ื งถงึ กนั และกนั ในโลก โดย พทุ ธทาสภิกขุ ล�ำดับที่ ๑๐ ประจ�ำปี ๒๕๕๗ www.bia.or.th

อบรมพระนวกะราชภฏั บรรยายเมือ่ วันที่ ๑๐ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ผู้ถอดคำ� บรรยาย คุณสุธรี ์ จงเชยี่ วชำ� นาญ ผตู้ รวจทาน คณุ ทองฉาน บญุ ญภัทโร

ผลพลอยได้ ทเี่ นอ่ื งถงึ กนั และกนั ในโลก ทา่ นทเ่ี ปน็ ราชภฏั ผลู้ าบวชทง้ั หลาย ใน การบรรยายเปน็ ครง้ั ท่ี ๑๔ ในวนั น้ี ผมจะพดู โดย หวั ขอ้ วา่ ผลพลอยไดท้ เ่ี นอื่ งถงึ กนั และกนั ในโลก ข้อนี้ขอให้ทบทวน คือเร่ืองท่ีได้ขอให้ทดสอบ เน่ืองด้วยการบวชของแต่ละคนๆ ว่าการบวช ของเราท�ำให้เกิดผลพลอยได้ไปยังผู้อื่นโดยไม่ ไดต้ งั้ ใจเจาะจงนนั้ กม็ อี ยอู่ ยา่ งไรบา้ ง ทพี่ ลอยได้ โดยเจาะจงโดยตง้ั ใจน้นั มันกไ็ มส่ ู้จะน่าอัศจรรย์ ๑

ขอให้นึกถึงผลพลอยได้ที่มันได้มากได้ กวา้ งขวาง เหลอื ประมาณโดยไมไ่ ดต้ งั้ ใจ ถา้ วา่ ที่ จรงิ ความตงั้ ใจมนั กไ็ ปไมไ่ ดไ้ กล ทไี่ มไ่ ดต้ งั้ ใจบาง อยา่ งมนั มมี ากกวา่ ทเี่ ราตง้ั ใจ นกี่ เ็ ปน็ ผลพลอยได้ ท่ีน่าสนใจทสี่ ุด กเ็ นือ่ งถึงกันและกัน กระทงั่ มนั ทวั่ ไปในโลก เมอื่ พดู ถงึ ผลพลอยไดจ้ ากการบวช ของเรา ก็จะดูเลยไปถึงผลพลอยได้อย่างทั่วถึง หรือทกุ อย่างจะดกี ว่า สำ� หรบั การบวชนนั้ กไ็ ดพ้ ดู กนั แลว้ วา่ ถ้าการบวชนั้นประสบความส�ำเร็จ มันก็มี ผลพลอยได้ เช่นจะท�ำให้มีผู้พลอยรู้ พลอย ชื่นชม พลอยได้ประโยชน์ นี้เป็นเร่ืองท่ีต้อง ทบทวนก่อนว่าการบวชของเรานี้มันท�ำให้มีผู้ พลอยรู้ คอื รอู้ ะไรมากขนึ้ เพราะการบวชของเรา พลอยช่ืนชมยินดีได้บุญได้กุศลที่เป็นเร่ืองทาง จติ ใจ นกี่ พ็ ลอยไดร้ บั ประโยชน์ อยา่ งตำ�่ อยา่ งสงู ๒

โดยตรง โดยอ้อมอะไรอีกบ้าง จะต้องหาให้ พบว่าการบวชของเรามันต้องมีผลในส่วนน้ี ถ้า ไม่อย่างน้ันแล้วก็จะรู้สึก ควรจะถือว่ามันน้อย เกินไป ได้น้อยเกินไป ตามปกติการบวชนี้จะมี ผลพลอยได้เหลอื ประมาณแก่ผ้อู ่ืน ขอให้ทดสอบดูให้ดี เป็นสิ่งที่ควร ทดสอบอย่างย่ิง อย่าปล่อยให้เป็นเรื่องงมงาย ลับเลือนไป พยายามขุดค้นข้ึนมาให้ได้ คือ ให้ประจักษ์อยู่แก่ของใจเราว่าบวชท้ังทีมันมี ผลพลอยไดอ้ กี มากมายนอกจากผลโดยตรงแลว้ ย่ิงถ้าได้ขยายผลพลอยได้ให้กว้างออกไปอีก เพราะยงั มที างทจ่ี ะทำ� ไดอ้ กี มาก ฉะนน้ั ผมจงึ ได้ หยบิ เอาเรอ่ื งนมี้ าพดู และขอรอ้ งใหพ้ จิ ารณากนั ถงึ เร่ืองนี้ ทนี กี้ เ็ ปน็ อยา่ งทกี่ ลา่ วแลว้ วา่ ถา้ จะพดู เรื่องอะไรกพ็ ดู กนั เสยี ส้ินเชิง เป็นเรอ่ื งๆ กันเลย ๓

ดีกว่า คือจะไม่พูดเฉพาะกันในวงแคบท่ีเกี่ยว กบั การบวชสว่ นบคุ คลเพียงคนเดยี ว อา้ ว ทนี ี้ก็ ตัง้ บทเบกิ โรงข้ึนมาโดยพจิ ารณากันถงึ ค�ำว่ามัน เปน็ การไดจ้ ากอะไร หมายความวา่ ผลพลอยไดท้ ่ี วา่ พลอยได้ มนั ไดจ้ ากอะไร จากอะไรกนั กอ่ น เมอื่ มองดูตามธรรมดาไม่เก่ียวกับนั้นน่ีโดยเฉพาะ เราก็ควรจะพดู ได้ว่า พลอยได้ หน่ึง จากการที่มีอยู่ของส่ิงใดสิ่งหน่ึง สอง จากการกระทำ� ของผใู้ ดผหู้ นงึ่ สาม จากการ ประสบความสำ� เรจ็ จากการกระทำ� ของผใู้ ดผหู้ นง่ึ นี่จะถือว่ามันเป็นหลักท่ัวไปท่ีจะใช้ส�ำหรับมอง เพยี งแตก่ ารมอี ยขู่ องสง่ิ ใดสงิ่ หนง่ึ เทา่ นน้ั มนั กม็ ี ผลพลอยไดเ้ สียแลว้ การมอี ยแู่ ห่งดวงอาทติ ยน์ ี่ ก็ไม่ได้มีอยู่เพ่ือเรา ก็อยู่ตามประสาของดวง อาทิตย์ มนั ก็ไดป้ ระโยชนจ์ ากการมีอย่แู หง่ ดวง อาทิตย์เป็นต้น การมีอยู่แห่งศาสนา การมีอยู่ ๔

แห่งภิกษุเป็นผลพลอยได้ไปถึงพวกท่ีเขาไม่ได้ นบั ถือศาสนานี้ หรือไม่เคยมาบวชเลยกไ็ ด้ มัน อยใู่ นโลกร่วมกนั มันเน่ืองถงึ กัน น้ีเรยี กวา่ มันได้ จากการท่ีมีอยู่ของสิ่งนั้นๆ เพราะมันมีอะไรๆ อยู่ในโลกเราก็ได้รับประโยชน์จากการที่สิ่งน้ัน มนั มีอยูใ่ นโลก ทนี จ้ี ะมองในมมุ กลบั มนั กแ็ ปลกออกไป ตรงท่ีว่ามันกลับตรงกันข้าม เป็นผลพลอยได้ จากการที่ไม่มีอยู่ของสิ่งใดส่ิงหนึ่ง น่ีมันก็ตรง กันข้ามกับการมีอยู่ ถ้าการมีอยู่เป็นสิ่งท่ีท�ำให้ เกิดผลพลอยไดอ้ ยา่ งหน่ึงๆ ทนี กี้ ารไม่มีอยู่ของ ส่ิงน้ันก็ท�ำให้เกิดผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งเป็น แน่นอน ถ้าว่าไม่มีดวงอาทิตย์ ผลอ่ืนก็จะเกิด ขึ้นในทางตรงกันข้าม ไม่มีศาสนา ไม่มีธรรมะ หรอื วา่ ไมม่ เี สอื ไมม่ ยี งุ ไมม่ โี รคภยั ไขเ้ จบ็ มนั กต็ อ้ ง มผี ลอยา่ งใดอย่างหน่งึ มากเหมือนกัน ๕

ดูให้ดีว่าการมีอยู่แห่งอะไรและการ ไม่มีอยู่แห่งอะไรท�ำให้เกิดผลอะไรขึ้นมา แต่ ส่วนใหญ่เราจะมองกันแต่ด้านที่มันมีอยู่ ไม่ ค่อยจะมองด้านที่มันไม่มีอยู่ ทีนี้การกระท�ำก็ เหมอื นกนั อกี นนั่ แหละ เพราะมกี ารกระทำ� ของ ใครหรือของสิ่งใดก็ยังได้ มันก็มีผลอย่างใด อยา่ งหนง่ึ ขน้ึ มา นีเ้ พราะละเวน้ ไม่กระท�ำหรอื ไมไ่ ดม้ กี ารกระทำ� สง่ิ นน้ั มนั กม็ ผี ลอยา่ งอน่ื ถา้ เรา กระทำ� บาป มนั กม็ ผี ลอยา่ งหนง่ึ ถา้ เราไมก่ ระทำ� บาป มันก็มีผลอีกอย่างหน่ึง หรือว่าถ้าคนงาน ในโลกนี้ เขาท�ำงานกันในโลกนกี้ ม็ ีผลอยา่ งหน่งึ ถา้ เขาเกดิ เขาไมท่ ำ� งานขนึ้ มามนั กม็ ผี ลอกี อยา่ งหนงึ่ ถ้ามันไมเ่ ป็นเรือ่ งทเ่ี จตนาโดยตรงแก่ใคร แล้วก็ จะเรียกว่าผลพลอยได้ส�ำหรบั คนนั้น ทนี ้กี ารกระทำ� น้ันมันไมแ่ นว่ ่าจะไดผ้ ล หรอื ว่าไมไ่ ด้ผล ถ้ามนั ได้ผล มันก็มผี ลพลอยได้ ๖

อย่างอื่นออกไป ถา้ มนั ไม่ไดผ้ ล มันกไ็ ดผ้ ลอยา่ ง อน่ื ซง่ึ เปน็ ผลทไ่ี มพ่ งึ ปรารถนา แตก่ เ็ รยี กวา่ เปน็ ผล แตบ่ างทคี �ำพดู มนั ก็ก�ำกวม เชน่ การกระทำ� ทไี่ ม่ ประสบผลสำ� เรจ็ ของขา้ ศกึ เรากไ็ ดผ้ ลดี เพราะ ขา้ ศกึ กระทำ� งานของเขาไมส่ ำ� เรจ็ เรากไ็ ดผ้ ลดคี อื ข้าศึกกระทำ� อะไรแกเ่ ราไมไ่ ด้ นีเ่ พยี งแตต่ ้องการใหม้ องดู ให้เหลือบ มองดูให้ท่ัวทุกแง่ทุกมุม เกี่ยวกับสิ่งที่มันมีผล เห็นเน่ืองถึงกันไปหมด น่ีเป็นค�ำพูดกลางๆ ถ้า เราจะมองอะไรให้หมดให้สิ้น เราก็ต้องใช้หลัก กลางๆ กันเสียก่อน น่ีในส่วนน้กี ็เป็นส่วนคำ� พูด ทนี ้ีเราไดผ้ ลจากการมีอยู่ เปน็ ตน้ น้ี ก็ จะดตู อ่ ไปวา่ ไดผ้ ลจากการมอี ยขู่ องใคร แตพ่ วก ทจี่ ะตอ้ งดตู อ่ ไปคอื ดวู า่ ของใครหรอื ของอะไร ก็ จะได้ความขึ้นมาว่าจากการมีอยู่ของใคร จาก การกระทำ� ของใคร จากการทำ� ไม่ได้ผลของใคร ๗

หรือท�ำได้ผลของใคร ก็ดูว่าเรามันเก่ียวข้องกับ อะไรหรือเนอื่ งกันอยกู่ ับอะไร แต่ว่าที่จริงในสมัยนี้ ในโลกแห่งยุค ปัจจุบันน้ีอะไรๆ มันเนื่องกันมากข้ึนไปกว่าแต่ สมยั โบราณมาก นเี่ ราจะพดู ในวงแคบ และผลท่ี จะได้ที่น่าเป็นท่ีพอใจของการมีอยู่แห่งความ เปน็ พุทธบรษิ ัทกันดกี ว่า ข้ันแรกจะเลง็ ถึงความ เป็นพทุ ธบรษิ ัท ความเป็นพุทธบริษัทมนั มอี ยู่ มี อยู่ที่ไหนก็ตาม มันจะมีผลพลอยได้กว้างขวาง มากมายนกั ควรจะดกู นั ทคี่ วามหมายของคำ� วา่ ความเปน็ พทุ ธบริษทั นั่นเอง บางทีเพราะเรามันสนใจเร่ืองของเรา น้อยเกนิ ไป กย็ งิ่ สนใจเรอื่ งอื่นท่กี วา้ งไปน้อยไป เสยี อกี นอ้ ยไปกวา่ นนั้ อกี แมแ้ ตค่ วามเปน็ พทุ ธ- บริษทั ของเรา เรากย็ ังไม่สนใจ เรามกั จะใชเ้ วลา หวั เราะ เลน่ หวั สรวลเสเฮฮากนั เสยี มากเหมอื น ๘

กนั หรือเม่ือสนทนากันก็ไม่ค่อยสนทนากันถึง เร่ืองท่ีควรจะสนทนา เป็นเรื่องสรวลเสเฮฮา เสียหมด ถ้าสนทนากันเรื่องความเป็นพุทธ- บรษิ ัทก็ดี เพราะวา่ ความเปน็ ภกิ ษุนี่ก็เปน็ ความ เป็นพุทธบริษัทอยู่ชนิดหนึ่ง ท่ีจริงความเป็น พทุ ธบริษทั น้นั ขยายไปถงึ ภิกษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อบุ าสกิ า และถา้ ดกู นั แตใ่ จความของคำ� วา่ พทุ ธ- บรษิ ัทแลว้ มันก็เหมอื นๆ กันอยู่ในสว่ นใจความ ใจความคอื คำ� ว่า พุทธะ น่ันเอง พทุ ธะ นเ่ี ปน็ คำ� ธรรมดาสามญั กแ็ ปลวา่ ตน่ื นอน ถา้ เปน็ ภาษาชาวบา้ นทพ่ี ดู กนั อยตู่ ามธรรมดากแ็ ปลวา่ ตืน่ นอน แตพ่ อมาเปน็ เรอื่ งทางจติ ทางวิญญาณ ทางศาสนานก้ี แ็ ปลวา่ ผรู้ ู้หรอื ผตู้ น่ื หรอื ผเู้ บกิ บาน ถา้ จะใชค้ ำ� วา่ ตน่ื นอนกค็ อื ตน่ื จากหลบั กลา่ วคอื กเิ ลส มนั มกี ารนอนหลบั ทางวญิ ญาณอกี ชนดิ หนงึ่ เขาเรียกว่า กิเลสนทิ รา กิเลสนทิ รา กเิ ลสนิทรา ๙

กิเลสนทิ รา –หลบั ด้วยอ�ำนาจแห่งกิเลส ทุกคนธรรมดาก็หลับอยู่ด้วยกิเลส นิทราไม่เคยต่ืน ถ้าตื่นก็เป็นพุทธะขึ้นมา จะ ปลุกให้ต่ืนกันสักทีก็ทั้งยาก อุตส่าห์มาบวช ทงั้ ทนี กี้ เ็ พอื่ ใหม้ นั ตน่ื แลว้ มนั จะตน่ื หรอื ไมต่ นื่ กด็ เู อาเองกแ็ ลว้ กนั ถา้ มาโลเลเหลวไหลกนั เสยี มนั กไ็ มม่ วี นั จะตน่ื จะมาบวชกพ่ี รรษา มนั ไมต่ น่ื โลลปั ปะหีโน เป็นคณุ สมบตั ขิ องพระอรยิ สงฆ์ที่ เราสวดในบททำ� วตั รเยน็ โลลปั ปะหโี น –ละเสยี แลว้ ซงึ่ ความโลเล ภิกษมุ ามคี วามโลเลอยู่ มันก็ ไม่มีวันต่ืน ทางวตั ถุธรรมดาคือตื่นนอน ในทาง ธรรมะก็คอื ตืน่ จากหลบั คอื กิเลส น่ีคือพุทธะ ฉะนนั้ คำ� วา่ รเู้ ปน็ ความหมายทส่ี องออก ไป ความหมายทหี่ น่ึงคือต่ืนนอน พอต่ืนนอนก็ รู้ มนั ไมห่ ลบั กต็ อ้ งรนู้ น่ั รนู้ รี่ อู้ ะไรกไ็ ป ผตู้ นื่ แลว้ ก็ เปน็ ผรู้ ู้ เรอ่ื งทางโลกๆ กร็ กู้ นิ รอู้ าบ รถู้ า่ ย รอู้ ะไร ๑๐

รอู้ าชีพ รูอ้ ะไรไป แต่ในทางจติ ทางวิญญาณกร็ ู้ เรอื่ งไมม่ ีกิเลสน่ัน รู้เรอ่ื งทำ� ลายกิเลสให้หมดไป คอื ความรูท้ แ่ี ท้จริง ร้วู า่ ทกุ ขเ์ ป็นอยา่ งไร เหตใุ ห้ เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับสนิทแห่งทุกข์ เป็นอย่างไร ทางถึงความดับสนิทแห่งทุกข์เป็น อย่างไร น่ีเรียกว่ารู้ อย่าไปใช้ค�ำพูดอย่างอื่น ถา้ ถกู ถามเกย่ี วกบั รู้ รขู้ องพทุ ธบรษิ ทั ของพระ- พทุ ธเจ้านี่ ให้รู้ไอ้ ๔ อย่างน้ไี ว้เสมอไป ถ้ามอี วิชชาครอบง�ำ มันกไ็ มร่ ู้ ๔ อยา่ ง นไ้ี ด้ ทำ� ลายอวชิ ชาเสยี ได้ มนั กร็ ู้ ๔ อยา่ งนไี้ ดค้ อื รอู้ รยิ สจั ๔ พอรแู้ ลว้ มนั กเ็ บกิ บาน กม็ นั ไมม่ ที กุ ข์ มนั ก็เบิกบาน เบกิ บานดว้ ยวชิ ชา เบิกบานด้วย ปัญญา เบิกบานด้วยแสงสว่างแห่งพระธรรม เบิกบานเหมือนดอกไม้บาน แต่เป็นเร่ืองทาง วญิ ญาณ หมายถงึ มคี วามสขุ โดยเฉพาะกค็ อื คำ� วา่ เกษม คำ� ทค่ี วรจะสนใจไวค้ อื คำ� วา่ เขมะ เขมะ ๑๑

แปลว่าเกษม เกษมจากโยคะ เกษมจากกิเลส เกษมนมี้ ีคา่ เท่ากบั วา่ เป็นอสิ ระดว้ ย กไ็ ม่มอี ะไร ที่มาทำ� ให้เราตกอย่ใู ต้อ�ำนาจ เขาเรียกวา่ เกษม ปลอดภัย พุทธบริษัทก็คือผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบาน น้เี ราเรียกกนั อยู่ เรยี กคำ� พดู กันอย่อู ยา่ งนี้ ทถ่ี ูก ควรเรียกว่าผู้ต่ืน ผู้รู้ ผู้เบิกบานจะถูกกับเรื่อง มากกวา่ ก็ไปขยับขยายเอาเองกแ็ ล้วกนั ความ เป็นพุทธบริษัทก็หมายถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าความเป็นพุทธบริษัทมันมีอยู่ ในโลก มันก็มีผลให้ผู้อ่ืนพลอยได้ ส่ิงที่ควร จะได้ จะได้อะไรบ้างก็ดูการกระท�ำของพุทธ- บริษัท การกระท�ำของพุทธบริษัทนั่นเอง ถ้า พุทธบรษิ ัทเปน็ ผ้รู ู้ ผู้ตนื่ ผู้เบกิ บาน มันกต็ อ้ ง ชว่ ยใหผ้ อู้ นื่ ไดร้ ู้ ไดต้ นื่ ไดเ้ บกิ บาน ตรงตามตวั จะดูให้ละเอียดออกไปอีกสักหน่อย นอกจากจะเปน็ ผรู้ ู้ ผตู้ นื่ ผเู้ บกิ บานแลว้ กย็ งั ตอ้ ง ๑๒

เปน็ ผปู้ ระสบความสำ� เรจ็ ในหนา้ ทขี่ องตน คำ� วา่ รู้ ว่าต่ืน ว่าเบิกบาน นี้ไม่จ�ำเป็นจะต้องหมายถึง ระดบั สงู สดุ เสมอไป แตห่ มายถงึ ระดบั สงู สดุ ดว้ ย ฉะนนั้ เรามหี นา้ ทที่ จี่ ะประพฤตกิ ระทำ� ใหร้ ู้ ใหต้ นื่ ใหเ้ บกิ บานอยตู่ ลอดเวลาทยี่ งั ไมร่ ไู้ มต่ น่ื ไมเ่ บกิ บาน ถึงท่ีสดุ นีก้ ม็ กี ารประสบความสำ� เรจ็ ในหนา้ ทน่ี ้ี อยตู่ ามสมควรอยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ กเ็ ปน็ ผไู้ ดบ้ ญุ มบี ญุ และได้บุญ เพราะฉะนั้นมันจึงให้ความช่ืนชม พอใจยนิ ดีแก่ผู้อืน่ ได้ดว้ ย ทีนี้นัยยะท่ีสาม พุทธบริษัทเขาเป็นผู้ มีเมตตากรุณา บ�ำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์อยู่ เสมอ เพราะฉะนนั้ กเ็ ปน็ เหตใุ หผ้ อู้ น่ื ไดพ้ ลอยรบั ประโยชน์โดยตรงจะเป็นประโยชน์อะไรก็ตาม เปน็ วตั ถกุ ไ็ ด้ เปน็ เรอ่ื งนามธรรมเชน่ ความรคู้ วาม ฉลาดหรือประโยชน์สขุ มรรคผลนิพพานก็ได้ นี่ ความเป็นพุทธบริษัทมีอยู่ท่ีไหน คนข้างเคียง ๑๓

ก็จะพลอยได้สิ่งเหล่านี้ จะได้ความรู้ ความต่ืน ความเบิกบาน และก็ได้ความช่ืนชม เพราะว่า มีความส�ำเร็จได้เห็นเป็นตัวอย่าง แล้วก็ได้ ประโยชน์นานาชนดิ นานาแบบ หลายๆ ระดับ อย่ทู ั่วๆ ไป อย่างว่ามีวัดวาอารามท่ีถูกต้องตาม วัตถปุ ระสงคอ์ ยู่สกั วดั หนงึ่ มันจะไดอ้ ะไรบ้างก็ ไปคิดดูก็แล้วกัน ฉะน้ันความเป็นพุทธบริษัทมี อยทู่ ไ่ี หน มนั ทำ� ใหเ้ กดิ ผลพลอยไดโ้ ดยไมเ่ จตนา หลายๆ อย่างอย่างนี้ เพราะความมีอยู่ของ พุทธบริษัท น่ีถ้าหากดูที่เพราะการกระท�ำของ พทุ ธบริษัท มนั กย็ ิง่ เหน็ ได้ว่า ใหค้ นอ่นื เขาได้รับ ตวั อยา่ ง เหน็ ตวั อยา่ งอยู่ ถา้ พทุ ธบรษิ ทั ไดร้ บั ผล ของการปฏิบัติก็เป็นเครื่องจูงใจท่ีดียิ่งข้ึนไปอีก มคี วามสขุ ใหด้ ู นถ้ี า้ ไมม่ พี ทุ ธบรษิ ทั กม็ ผี ลเหมอื น กันแต่มันเป็นผลที่ตรงกันข้าม ไม่มีการกระท�ำ ๑๔

ของพทุ ธบรษิ ทั ไมม่ กี ารไดร้ บั ผลของพทุ ธบรษิ ทั มันก็มีผลเกิดขึ้นเหมือนกนั แหละ แตม่ ันเปน็ ผล ในทางตรงกันข้าม แล้วไมพ่ งึ ปรารถนา เราเลย ไมไ่ ดร้ บั ไมไ่ ดร้ บั ประโยชนอ์ ะไรจากการไมม่ อี ยู่ ของพุทธบรษิ ัท ทีนี้จะดูให้แคบเข้ามาสักหน่อยคือดู พวกเราโดยตรงที่เป็นภิกษุ ค�ำว่า พุทธบริษัท มันกว้างนัก ดูให้แคบเข้ามาดีกว่า ความเป็น ภิกษุโดยตรงของเราและโดยเฉพาะท่ลี าบวชใน ระยะสน้ั มคี วามเปน็ ภกิ ษอุ ยอู่ ยา่ งนี้ มนั จะมผี ล อะไรเกดิ ขนึ้ แกเ่ รา มนั กเ็ ปน็ ผลพลอยไดแ้ ผอ่ อก ไปถงึ ผอู้ นื่ โดยไมไ่ ดเ้ จตนาและจะไมไ่ ดร้ จู้ กั ไมไ่ ด้ พบเหน็ กนั ดว้ ยซำ้� ไป ถา้ อยา่ งนเี้ รากต็ อ้ งดกู นั ใน ชั้นแรกเสียก่อนว่า ภกิ ษุทำ� อะไรบา้ ง ถ้าเป็นภิกษุจริง ก็มันต้องจริงอะไร อยา่ งทวี่ า่ น้ี คือบวชจรงิ แลว้ ก็เรียนจรงิ แลว้ ก็ ๑๕

ปฏบิ ตั จิ รงิ แลว้ กไ็ ดผ้ ลจรงิ แลว้ กป็ ระกาศเผยแผ่ ออกไปจรงิ ๆ นบั ดกู จี่ รงิ อยา่ งนอ้ ยก็๕จรงิ ผมพดู คำ� จรงิ ๆ ๕ คำ� นไี้ มร่ กู้ รี่ อ้ ยกพี่ นั ครง้ั แลว้ จะไดผ้ ล สมตามทพี่ ดู หรอื ไมก่ ช็ ว่ ยกนั ดกู แ็ ลว้ กนั วา่ บวชจรงิ คืออย่างไร เรียนจริงคืออย่างไร ปฏิบัติจริงคือ อยา่ งไร ไดผ้ ลกนั จรงิ ๆ คอื อยา่ งไร แลว้ กส็ อนกนั จรงิ ๆ คอื อยา่ งไร บวชจรงิ นม่ี นั กพ็ อจะเขา้ ใจกนั ได้ แตบ่ วชเหลวไหลก็มีอยู่หลายแบบมากอยา่ ง ไม่จ�ำเป็นต้องมาพูดมันเสียเวลา คือบวชหลอก บวชเลน่ ทีน้บี วชจรงิ มนั ก็มอี ยู่ กม็ ปี ญั หาอยวู่ ่า เรามนั บวชจริงกนั หรือไม่ บวชในระยะสั้นกจ็ รงิ แตม่ นั บวชจรงิ กไ็ ดบ้ วชไมจ่ รงิ กไ็ ด้ ถา้ บวชจรงิ จะ ตอ้ งทำ� อยา่ งไร คำ� ตอบเรอ่ื งนม้ี อี ยแู่ ลว้ ในหนงั สอื เรื่องนั้นๆ เรื่องสอนผู้บวช แต่สรุปความแล้วก็ ขอให้พน้ จากความเป็นฆราวาสจริง อย่าคดิ นึก ๑๖

ใฝ่ฝันอย่างฆราวาสอยู่เลย ในร่างกายที่ก�ำลัง หมุ้ หอ่ ดว้ ยผา้ กาสายะ มีศรี ษะอันโล้นน่ี อย่ามี ความรสู้ กึ คดิ นกึ อยา่ งฆราวาสเหลอื อยเู่ ลย แลว้ ก็เวน้ สิง่ ทีค่ วรเว้นตามสิกขาวนิ ัยต่างๆ พยายาม ท�ำหน้าทีข่ องบรรพชติ เขาเรียกว่าบวชจริง ทนี เี้ รยี นจรงิ ถา้ บวชอยา่ งภกิ ษนุ ก้ี ต็ อ้ ง เรยี นอยา่ งภกิ ษแุ ลว้ กต็ อ้ งเรยี นใหจ้ รงิ ๆ อยา่ คดิ วา่ เอาเปรียบ มาเป็นการพักผ่อนหรือเป็นอะไร อย่างนั้น แล้วก็อย่าได้คิดว่าไอ้เรียนเร่ืองของ ภกิ ษนุ ไ้ี มม่ ปี ระโยชน์ เอาไปใชท้ บี่ า้ นทเ่ี รอื นไมไ่ ด้ นน้ั ยงิ่ เปน็ คนหลบั ตา แลว้ หลบั ตาพดู ดว้ ยคอื มนั ไม่จริง มันไม่ตรง เรียนอย่างภิกษุ เรียนเร่ือง ของพระพทุ ธเจา้ เพอ่ื สนิ้ กเิ ลสนนั่ แหละ แลว้ ไป ใช้ที่บ้านที่เรือนก็ได้ ได้อย่างไรเราก็พูดกันมา แล้วหลายคร้ังหลายหนไม่ต้องพูดอีกแล้ว โดย เฉพาะเรื่องการบังคับตัว การไม่อยู่ใต้อ�ำนาจ ๑๗

ของกิเลส มันใช้อยู่เสมอ วิชาความรู้เร่ืองโลก เรอื่ งอะไรกเ็ รยี น เรยี น เรยี นกนั อยแู่ ลว้ อกี แผนก หนง่ึ แลว้ มนั เปน็ เรอ่ื งของรา่ งกายทง้ั นน้ั อยา่ งดี กแ็ คก่ นิ กาม เกยี รติ พดู กนั อยา่ งนตี้ รงๆ ถา้ เรยี น กันเร่ืองของภิกษุ ของศาสนานี้มันเพื่อจิต วญิ ญาณในระดบั ทส่ี งู ไปกวา่ นน้ั ขอใหเ้ รยี นจรงิ ในระหวา่ งทเี่ ปน็ เพศบรรพชติ แลว้ กจ็ ะรอู้ ะไรมาก สำ� หรบั ไปใชเ้ ปน็ ประโยชนเ์ มอ่ื กลบั ออกไปครอง เรอื นตลอดชีวติ เลย นี้เรียนจริงแล้วก็มาถึงปฏิบัติจริง นี้ก็ เหน็ กนั อยวู่ า่ ไมค่ อ่ ยไดป้ ฏบิ ตั จิ รงิ ทวี่ า่ ไมจ่ รงิ มนั ก็คือไม่จริง คือบังคับตัวไม่ได้ พ่ายแพ้แก่กิเลส เอาแต่ความสะดวกสบาย มันมารวมอยู่ท่ีนี่ท้ัง นนั้ แหละ ไอก้ ารปฏบิ ตั ทิ ไ่ี มจ่ รงิ คอื โลเล เอาตาม อ�ำนาจของกิเลส ถ้ามันเคร่งครัดไปตามธรรม วินัย มันก็เป็นการปฏิบัติจริง เม่ือปฏิบัติจริง ๑๘

ก็ได้ผลจริงคือตรงตามนั้น เดี๋ยวนี้บวชแล้ว ปฏบิ ัตไิ มจ่ รงิ มนั กไ็ ดผ้ ลไมจ่ รงิ กด็ เู อาเองก็แลว้ กันว่าได้ผลไม่จริงคือได้อย่างไร ไม่ตรงตามท่ี พระพทุ ธเจา้ ประสงค์ เรามนั เขา้ ใจผดิ ในขอ้ นก้ี นั มากเหลอื เกนิ คอื ข้อทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ท่านตรัสว่า ไอ้พรหมจรรย์น้ีมันมีวิมุตติหลุดพ้นจากกิเลส เปน็ ประโยชน์ เป็นทมี่ ุ่งหมาย แตเ่ ดยี๋ วนเี้ รามาประพฤตพิ รหมจรรยน์ ี้ เพอ่ื ลาภ เพอื่ สกั การะ เพอื่ สรรเสรญิ เพอื่ เกยี รต-ิ ยศเสยี มนั เปน็ เสยี อยา่ งน้ี และครบู าอาจารยบ์ าง คนกม็ กั จะสอนอยา่ งนนั้ แมส้ อนพระนี้ ใหป้ ฏบิ ตั ิ แลว้ กจ็ ะไดม้ ลี าภ มสี กั การะ มชี อ่ื เสยี ง สอนเสยี เท่านั้น ท่ีจริงพระไม่ได้มุ่งหมายอย่างนั้น มุ่งหมายตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า พรหมจรรยน์ ีม้ ีวิมุตตเิ ป็นอานิสงส์ หลุดพน้ จาก กิเลสและทุกข์เปน็ อานสิ งส์ ลาภ สกั การะ เลย ๑๙

เปน็ ของสกปรกน่าขยะแขยง แลว้ กป็ ฏิบัติเพียง ศลี น่ี เปน็ ผิวแหง้ ๆ ของต้นไม้โน่น ปฏบิ ัติสมาธิ มันก็เพียงเปลือกของต้นไม้ ปฏิบัติเป็นญาณ ทศั นะรอู้ ะไรๆ นี้ แต่ไมถ่ ึงกบั วิมตุ ติ ญาณทัศนะ เหลา่ นนั้ กเ็ ปน็ กระพขี้ องตน้ ไมไ้ มถ่ งึ แกน่ ถา้ แกน่ ของต้นไม้ก็คือวิมุตติ –หลุดพ้นจากกิเลส จาก ทุกขท์ ้งั ปวง ผลท่แี ทจ้ ริงของการปฏบิ ัติมันอย่ทู ี่ นน่ั ไมใ่ ชเ่ พยี งมีศีล มสี มาธิ มปี ญั ญา นที้ ่านตรัส เป็นเพียงเปลือก เพียงกระพี้ เพียงเปลือกแห้ง เปลือกนอกและกับกระพี้ เปลือกในและกระพี้ ยังไมใ่ ช่ตัวแก่นของพรหมจรรย์ ตอ้ งดับทกุ ขไ์ ด้ จึงจะถึงจุดวัตถุประสงค์ของพรหมจรรย์ ถ้าว่า ได้ผลจริงก็ต้องดับทุกข์ได้ตามความมุ่งหมาย ทางจติ ทางวญิ ญาณ ไมใ่ ชว่ า่ เปน็ ผมู้ ชี อ่ื เสยี งและ ร�่ำรวยโดยลาภสักการะ มีคนบำ� รงุ บ�ำเรอ นี้ได้ผลจริง ก็ยังมีหน้าท่ีต่อไปก็คือ ๒๐

ประกาศ คอื ทำ� ใหผ้ อู้ น่ื เปน็ อยา่ งนนั้ บา้ ง เขาเรยี ก วา่ ประกาศออกไป ประกาศพรหมจรรย์ ประกาศ ความเป็นอย่างที่ตัวได้ประสบแล้วให้แก่ผู้อ่ืน บ้าง ในเรื่องประกาศน้ี ต้องเป็นประกาศจริง คอื สอนจรงิ เผยแผจ่ รงิ ปฏบิ ตั จิ รงิ ประกาศจรงิ เหมอื นกนั แตไ่ มใ่ ชจ่ รงิ อยา่ งจะเอาผลอยา่ งโลกๆ ถ้าไปประกาศไปสั่งสอนเพ่ือลาภ เพื่อสักการะ ช่ือเสียง ก็เรียกว่าประกาศเก๊หรือปลอม ต้อง ประกาศจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ อีกนั่นแหละ คือไปท�ำให้เขารู้ความดับทุกข์ ประกาศเพยี งใหเ้ ขารมู้ ากๆ เปน็ นกั ปราชญห์ รอื เปน็ อะไรอยา่ งนี้ มนั กไ็ มจ่ รงิ มนั จรงิ ในสว่ นเบอ้ื ง ตน้ ถา้ ประกาศแท้จริงกต็ อ้ งประกาศให้บรรลุ ผลทม่ี งุ่ หมายในพทุ ธศาสนาทเี ดยี ว หรอื วา่ จะ เขยบิ ลงมากใ็ ห้มันเป็นเพ่อื สันติสุข สนั ติภาพ ของมนษุ ยจ์ รงิ ๆ ๒๑

เดี๋ยวน้ีก็ประกาศชนิดท่ีเรียกว่าท�ำๆ ไปท้ังน้ัน มันไม่มีผลเป็นสันติภาพหรือสันติสุข ทแ่ี ทจ้ รงิ อะไรขนึ้ มาแกผ่ ทู้ ฟ่ี งั แกผ่ ทู้ รี่ บั ประกาศ แต่ก็ยังดีคือมันจะได้มีเหลืออยู่เป็นโครงสร้าง อะไรอันหนึ่งซึ่งไม่สูญหายไปเสียทีเดียว ค่อยๆ ขยบั ขยายกนั ตอ่ ไปจนจะได้ผลจริงๆ ได้ นี่ภิกษุ แทจ้ รงิ กค็ อื บวชจรงิ เรยี นจรงิ ปฏบิ ตั จิ รงิ ไดผ้ ลจรงิ สอนจริงๆ เพื่อผลอันแท้จริงคือความดับแห่ง กิเลสและความทุกข์ของสัตว์ มีความเป็นภิกษุ โดยเฉพาะ การมีอยู่แห่งภิกษุชนิดน้ี มันจะมี ผลอย่างไรบา้ งเกอื บไม่ต้องอธิบายได้ แต่เราอยากจะให้ อยากจะพูดกันถึง ผลพลอยไดอ้ ีกส่วนหน่งึ อยา่ งกวา้ งขวาง อย่าง ท่ีไมไ่ ดร้ ู้จกั มักคนุ้ อะไรกนั มนั พลอยได้ ถ้าอยา่ ง นี้ก็ต้องมองไปในแง่ท่ีว่าการบวชของเรานั้นคือ การท�ำให้โลกน้ีมีศาสนา หรือมีธรรมะ หรือ เป็นการสืบอายขุ องบรมธรรม ๒๒

การบวชที่แท้จริงก็คือการท�ำโลกน้ีให้ มศี าสนา บางคนอาจจะค้านว่าแล้วเราละจะได้ ประโยชน์อะไร เม่ือไปมัวท�ำโลกนี้ให้มีศาสนา นี่มันหลับตามากเกิน มันเห็นแก่ตัวมากเกินไป จนมองข้ามตัวเอง ถ้าโลกน้ีมีศาสนาแล้วตนจะ อยู่ท่ีไหน มันก็ต้องอยู่ในโลกและพลอยได้รับ ฉะนั้นการท�ำประโยชน์ตนด้วยการบวชน่ี มัน เป็นการท�ำให้โลกมีศาสนา ถ้าไม่เคยทราบไอ้ เรื่องง่ายๆ หญ้าปากคอกก็ทราบเสียสักหน่อย ก็แล้วกันว่า ศาสนาจะมีอยู่ได้เพราะมีผู้เรียน และกม็ ผี ปู้ ฏบิ ตั ิ และกม็ ผี ไู้ ดผ้ ลการปฏบิ ตั ิ และ กไ็ ด้สอนสืบๆ กนั ไป นน่ั แหละศาสนามีอยไู่ ด้ ดว้ ยเหตุนน้ั ปริยัติศาสนา คือศาสนาแห่งความรู้ เรอื่ งปรยิ ตั ิ ปฏบิ ตั ศิ าสนา ศาสนาทเี่ ปน็ ตวั การ ปฏิบัติลงไปตรงๆ แล้วปฏิเวธศาสนา คือ ๒๓

ศาสนาที่เป็นมรรคผลนิพพาน ท่ีเป็นผลของ การปฏบิ ตั ิ ตอ้ งมคี รบทง้ั ๓ อยา่ งนจี้ งึ จะเรยี กวา่ มีศาสนาอยโู่ ดยสมบรู ณ์ ถา้ ภกิ ษเุ รามเี รยี นจรงิ ปฏบิ ตั จิ รงิ ไดผ้ ล จริงนั่นแหละคือท�ำให้มีศาสนาแท้จริงโดย สมบรู ณ์ แมจ้ ะไมม่ ีโบสถว์ ิหารวดั วาอารามพระ เจดีย์อะไรก็ยังได้ มีศาสนาที่จริงกว่า มันก็มี การเรยี นท่ีแท้จริง มกี ารปฏบิ ัตทิ แ่ี ทจ้ ริง มีการ ได้ผลแห่งการปฏิบัติที่แท้จริง เด๋ียวนี้ก็ละเลย ส่วนนี้หรือให้ความส�ำคัญแก่ส่วนนี้น้อยเกินไป ไปให้ความส�ำคัญทางวัตถุ สวยงาม ครึกครื้น ไปเสียทางนั้น แล้วเป็นเร่ืองคนจ�ำนวนคนเสีย มากกว่า ไม่มามองกันท่ีของจริงที่อยู่ที่ตัวการ ศึกษาการปฏิบัติและการได้ผลการปฏิบัติ ก็ เป็นภิกษจุ รงิ กค็ ือบวชจริง เรียนจริง ปฏิบตั ิจรงิ ได้ผลจรงิ สอนจริงในการกระทำ� นน้ั ๆ ก็ท�ำให้มี ศาสนาอยู่ในโลกนี้ ๒๔

ทีน้ีมองดูอีกนิดหน่ึงต่อไปอีกก็คือว่า เป็นการสืบอายุศาสนาด้วย ทุกคนจะถือเอา เปน็ ชว่ งตอนของตนๆ บวช ๓ เดือนก็เปน็ ชว่ ง ๓ เดือน สบื อายศุ าสนาไว้ ๓ เดอื นและละออก ไปเปน็ ฆราวาส กม็ อบคนอน่ื ตอ่ ไป สว่ นตนเองก็ ไปสบื อยา่ งฆราวาสกไ็ ด้ แตส่ บื อยา่ งแทจ้ รงิ อยา่ ง เป็นพระนี่ มันก็มีการสืบอยู่อย่างติดต่อกันมา มันจึงเหลือมาถงึ เราที่ไดเ้ รยี น ไดร้ ู้ ไดป้ ฏบิ ตั ิ ฉะนนั้ อยา่ คดิ ทำ� เพอ่ื ตวั เองลว้ นๆ และ ก็ท�ำเพ่ือพระศาสนาด้วย สืบพระศาสนาด้วย มันก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่ืนทั้งโลก ตรงนี้เราพูด เอาเปรยี บหน่อย ท่ีว่าถ้าศาสนามันมีอยู่ในโลก คนทั้งโลกก็พลอยได้รับประโยชน์ จากการที่ โลกมนั ไมว่ นิ าศ ฉะนน้ั เขาจะมานบั ถือศาสนานี้ หรอื นบั ถอื ศาสนาอนื่ กต็ าม ถา้ ศาสนานม้ี นั ทำ� ให้ โลกน้ีไม่วินาศได้ ก็เรียกได้ว่ามันเป็นประโยชน์ ๒๕

แก่คนทุกคนหรือทุกศาสนา ซึ่งจะเป็นศาสนา ไหนก็ตาม หรือคนที่ไม่มีศาสนาเลยก็ตาม ถ้า คนจ�ำนวนหนึ่งมนั มีธรรมะ มศี าสนา มีพระเจ้า มีอะไรเหล่าน้ี มนั ประพฤตปิ ฏิบตั ิดี มนั คุมการ ประพฤติปฏิบัติดีในโลกไว้ได้พอสมควรโลกน้ี ก็ไม่วินาศ แม้ว่าจะมีหลายคนที่จะพยายามจะ ท�ำให้โลกวินาศ มันก็วินาศไม่ได้ เพราะพวกท่ี มนั ด�ำรงทรงไว้ มนั มีดกี วา่ มากกวา่ ฉะนั้นผู้ที่จะสืบอายุศาสนาไว้นี่ต้อง ทำ� จรงิ มคี วามสามารถก็ทำ� ไดด้ กี ว่า มันเปรียบ เหมอื นกับว่าเรือลำ� ใหญๆ่ ถ้าใครสกั คนหนึ่งมนั เก่งพอท่จี ะไม่ใหเ้ รือควำ่� ลงไปได้ ทงั้ ๆ ที่บางคน หรอื หลายคนเขาจะพยายามใหเ้ รอื มนั ควำ่� แลว้ ก็มีคนท่ีเก่งพอที่จะไม่ไห้เรือมันคว่�ำได้แล้วก็ ปลอดภัยไป และลูกเล็กเด็กแดงในน้ันก็พลอย ปลอดภัยไป เขาให้ถอื อปุ มาอย่างน้ีวา่ มศี าสนา ๒๖

น้กี ็เหมือนกับมันมเี ครือ่ งคมุ้ ครองโลกอยู่ในโลก พอสมควร แล้วโลกทั้งโลกกป็ ลอดภยั แม้ว่ามีคนอันธพาลอยู่ในโลกก็ท�ำให้ โลกนใี้ หว้ นิ าศไมไ่ ด้ กเ็ ลยเปน็ ประโยชนแ์ กท่ กุ คน แกค่ นที่หวงั ดีหรือหวังร้าย หรอื วา่ แม้แต่ลกู เล็ก เด็กแดงที่ยังไม่รู้หวังอะไร คิดอย่างนี้จึงเป็นจะ คนไม่เห็นแก่ตัว เรียกว่ามีความรู้สมกับเป็น มนษุ ยท์ ม่ี ใี จสงู ถา้ ไปเรยี นมามากๆเพอื่ เหน็ แกต่ วั เพอ่ื เหน็ แกป่ ากแกท่ อ้ งของตวั แลว้ กม็ นั กไ็ มเ่ ปน็ มนษุ ยท์ ม่ี ใี จสงู ไปได้ มนั เปน็ เรอื่ งเหน็ แกต่ วั ทงั้ นน้ั จะเรยี นให้มากจนตาย มนั ก็เปน็ เรอื่ งเห็นแก่ตัว ท้ังน้ันแหละ จึงต้องมาเรียนเร่ืองนี้กันเสียบ้าง เรอ่ื งทไ่ี มเ่ หน็ แกต่ วั แลว้ กม็ ศี าสนา แลว้ กส็ บื อายุ ศาสนา แลว้ กเ็ ปน็ พทุ ธบรษิ ทั เอง ไมต่ อ้ งตดิ ฉลาก ไมต่ อ้ งแขวนป้าย ฉะนน้ั เราจงึ ถอื วา่ ความมอี ยแู่ หง่ พทุ ธ- ๒๗

ศาสนาหรอื พทุ ธบรษิ ทั กต็ าม มนั มผี ลพลอยได้ กระจายไปท่ัวโลกอย่างนี้ ผลพลอยได้ที่ได้แก่ บิดามารดาบุตรภรรยาท่ีเขาอยู่ที่บ้านท่ีไม่ ได้มาบวชน้ันมันน้อยนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ ยังไม่ค่อยจะได้ เพราะท�ำกันไม่ค่อยจะถูก เร่ือง ก็ท�ำให้มันถูกเร่ือง มีหน้าท่ีที่จะต้องให้ เขาได้ก่อนก็ได้ก่อน แต่ว่าส่วนใหญ่ต้องให้ มนุษย์ทั้งหลายได้ ก็ต้องไปพูดกันถึงพระพุทธ- ภาษิตบทหนึ่งท่ีตรัสว่า “บุรุษอาชาไนยเม่ือ เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นเพ่ือประโยชน์แก่สัตว์ ทั้งหลาย รวมทั้งเทวดาและมนุษย์ ใช้ค�ำว่า บุรุษอาชาไนยเมื่อเกิดข้ึน ย่อมเกิดขึ้นเพื่อ ประโยชนแ์ กส่ ตั วท์ ง้ั หลายทงั้ เทวดาและมนษุ ย”์ คำ� พดู นนั้ มนั หมายถงึ พระองคเ์ อง แตว่ า่ เปน็ คำ� ท่ี กลา่ วไวเ้ ปน็ กลางๆ วา่ พระพทุ ธเจา้ พระองคไ์ หน ก็ได้ ก็ยังกลางถึงกับว่าบุรุษอาชาไนยตัวน้อยๆ ๒๘

ก็ได้ มันก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นทั้งเทวดาและ มนุษยด์ ้วยเหมอื นกนั บรุ ษุ อาชาไนยกค็ อื ยอดของบรุ ษุ คำ� วา่ อาชาไนยกห็ มายถึงรู้ง่าย รูเ้ ร็ว ร้ไู ด้ถึงท่สี ดุ เป็น สัตว์เดรัจฉานก็เป็นอาชาไนยไปตามแบบของ สัตว์เดรัจฉาน แต่เด๋ียวน้ีอาชาไนยอย่างมนุษย์ รเู้ ร็ว รูง้ ่าย รถู้ งึ ท่สี ุด เป็นพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า หรอื วา่ ไปในเครอื เดยี วกนั เปน็ พระอรหนั ต์ เปน็ อะไรก็ตาม ถา้ เป็นบุรุษอาชาไนยแล้ว มันกต็ ้อง เกิดข้ึนเพ่ือเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายท้ัง เทวดาและมนุษย์ น่ีเราก็เป็นสมาชิกของท่าน ก็พยายามท�ำตนเป็นอาชาไนยเลก็ ๆ นอ้ ยๆ ไป ตามเรอื่ ง ตามความสามารถ ใหม้ นั มชี วี ติ อยเู่ พอ่ื ประโยชนแ์ กส่ ตั วท์ งั้ หลาย ทงั้ เทวดาและมนษุ ย์ ทีน้ีก็เลยไปถึงหัวข้อว่า ได้แก่ใคร ผลพลอยได้นั้นได้แก่ใคร เม่ือตั้งประเด็นขึ้นมา ๒๙

ได้แก่ใคร มันก็คือท่ีก�ำลังพูดนี่ แต่เราจะดูให้ มนั เปน็ ลดหล่นั กันลงไป ผลพลอยได้มหาศาลนี้ จะได้แก่สัตว์ท้ังหลายท้ังเทวดาและมนุษย์ทั่ว จกั รวาลเลย ทนี ล้ี องไปกนั ไดแ้ กโ่ ลกน้ี โลกอยา่ ง ท่ีเรารู้จักในความหมายเด๋ียวนี้ โลกนี้ ไม่ต้อง โลกพระจันทร์โลกอ่ืน แล้วแคบเข้ามาก็ได้แก่ ประเทศไทยหรือบ้านเมืองของเราเองนี้ แคบ ลงมาอีกได้แก่ครอบครัววงศาคณาญาติของเรา ต้องได้แก่คนระดับเหล่านี้ มันน่าช่ืนใจ ถ้าได้ แล้วมนั ยกมือไหวต้ ัวเองได้ จะได้หรือไม่ไดก้ ด็ ู เอาเองสิ ข้อแรก ท่ีว่าได้แก่สัตว์ท้ังหลายท้ัง เทวดาและมนุษย์ หรือเรียกว่าทั่วจักรวาลน้ี มันจะมีก่ีหมื่นโลกธาตุก็สุดแท้ เก่ียวกับเรื่องนี้ ผมอยากจะให้บางท่านทราบไว้ด้วย เพราะ อาจจะไม่ทราบ เพราะเรียนมาอย่างอ่ืน ท่ีใน ๓๐

พระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาก็มีค�ำส�ำหรับเรียก เหมอื นกนั เรยี กวา่ โลกธาตุ ซงึ่ จะไปตรงกบั คำ� วา่ Universe หรอื อะไรกส็ ดุ แทข้ องฝรงั่ ของไอค้ ำ� ที่ เขาใชก้ นั อยู่ แตเ่ รามคี ำ� วา่ โลกธาตุ คำ� วา่ โลกธาตุ น้ีมันหมายถึงกลุ่มแห่งโลกมากๆ และยังมีต้ัง ๑๐,๐๐๐ โลกธาตุ หรอื ๓๐,๐๐๐ โลกธาตุ หรอื ๑๐,๐๐๐ กลุ่ม ๓๐,๐๐๐ กลุ่ม ประโยชน์หรือ อทิ ธพิ ลหรอื แสงสวา่ งของพระพทุ ธเจา้ นนั้ แผไ่ ป ทวั่ ทุกโลกธาตุ มนั ใชค้ �ำอยา่ งน้ี ทีจ่ รงิ มใี จความ มันหมดเลยไม่มอี ะไรเหลือเลย กเ็ ป็นประโยชน์ แกส่ ตั วท์ ้งั หลาย ทงั้ เทวดาและมนุษย์ อย่างน้กี ็ หมายความว่าทกุ ๆ ทุกๆ โลกธาตุ สำ� หรบั คำ� วา่ เทวดาและมนษุ ยน์ ี้ อยา่ ไป ตงั้ ขอ้ สงสยั อะไรใหม้ นั เสยี เวลา มนั จะกลายเปน็ คนงมงายไป เอาวา่ มนษุ ยม์ นั อยทู่ น่ี เี่ หน็ ๆ กนั อยู่ แลว้ เทวดาอยู่ที่ไหน ก็เลยจะไม่เชื่อ ไมเ่ ชอื่ เรอื่ ง ๓๑

เทวดาก็เลยหาว่าค�ำท่ีกล่าวถึงเทวดาในพระ บาลีก็พลอยเป็นคำ� เท็จไปด้วย ไม่ตอ้ งอยา่ งนนั้ เพราะว่าเมื่อได้พิจารณาดูโดยถ่ีถ้วนแล้วมันก็ พบวา่ เทวดาน้ันมันมีหมายว่ามนั สะดวกสบาย ส่วนมนุษย์น้ันมันหมายถึงธรรมดา ต้องมีล�ำบากยุ่งยากเหน็ดเหน่ือย มีเท่าน้ันเอง ถา้ ใครทำ� ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งลำ� บากยงุ่ ยากเหนด็ เหนอ่ื ย ก็เป็นเทวดาไป ถ้ายังต้องล�ำบากยุ่งยาก เหน็ดเหน่ือยก็เปน็ มนุษย์ไป กม็ ี ๒ พวกเท่านนั้ สัตว์นรกอะไรทั้งหลายท่ีมันยังล�ำบาก ทุกข์ร้อน ก็มันมาสงเคราะห์ไว้ในพวกมนุษย์ เทวดา มาร พรหมอะไรก็ตามท่ีมันไม่รู้จักกับ ความทุกข์อย่างที่ในโลกน้ี มันไม่ต้องอาบเหง่ือ ต่างน้�ำ ก็ให้มนั เปน็ เทวดาไป แล้วมนั อย่ทู ี่น่ีกไ็ ด้ อยใู่ นโลกนกี้ ไ็ ด้ กลางคนื มนั เปน็ เทวดา กลางวนั มันเป็นมนุษย์ก็ได้ เอาแต่ความหมาย เอาแต่ ๓๒

ความหมายก็กล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็น ประโยชน์ท้ังแก่บุคคลท่ีมันมีภาระในเร่ือง ปากเรื่องท้องและบุคคลที่ไม่มีภาระในเร่ือง ปากเร่ืองท้องแล้ว จะไปใช้กับค�ำว่านายทุน ชนกรรมาชีพก็ตามใจ มันมีความหมายอย่าง เดยี วกนั นน่ั แหละ ถา้ หากวา่ พวกนายทนุ เขาไมม่ ี ปัญหาเร่ืองปากเร่ืองท้องสนุกสนานสบายใจได้ แต่เด๋ยี วน้มี นั ไม่เป็นเชน่ นัน้ นี่ ค�ำว่า นายทนุ หมายถึงคนที่ตกนรก ทง้ั เปน็ อยกู่ ไ็ ด้ คอื จติ ใจมนั เรา่ รอ้ น มนั มปี ญั หา ทางวญิ ญาณ มนั กฆ็ า่ ตวั ตาย มนั กท็ ำ� ความชวั่ อะไรอยู่บ่อยๆ มันต้องแบ่งกันโดยหลักเกณฑ์ อยา่ งอนื่ ถา้ เปน็ คนดี คนชวั่ เปน็ พาล เปน็ บณั ฑติ ถา้ แบง่ กนั แตเ่ พยี งวา่ เทวดากบั มนษุ ย์ เอาความ หมายแต่เพียงว่าพวกหน่ึงไม่มีปัญหาเร่ือง ปากเร่ืองท้องเรื่องเหน็ดเรื่องเหนื่อย พวกหนึ่ง ๓๓

ยังมอี ยู่ มปี ัญหาอยู่ ก็เป็นอนั กล่าวไดว้ า่ ธรรมะ ในพระพุทธศาสนาน้ีใช้ได้ทั้งคนที่ยังไม่อิ่มปาก อ่ิมทอ้ งและคนท่อี ่ิมปากอมิ่ ทอ้ งแลว้ ทีน้ีมันเป็นโชคร้ายของคนโง่ ท่ีมัน ไปมองเสียว่าพระพุทธศาสนาน้ีไม่มีประโยชน์ อะไรแก่คนท่ยี ังไมอ่ ม่ิ ปากอ่ิมท้อง และที่พดู กนั อยู่ในกรุงเทพฯ น่ันเอง แล้วก็จะแถมพูดใน มหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งหลายอยู่ด้วย ว่าพุทธ- ศาสนานี้มัน มันไม่มีประโยชน์อะไรกับคนท่ียัง ไมอ่ ่ิมปากอมิ่ ท้อง เพราะฉะนนั้ เราไปสนใจเรือ่ ง เศรษฐกจิ เรอื่ งอะไรตา่ งๆกนั กอ่ นใหอ้ ม่ิ ปากอมิ่ ทอ้ ง แล้วจงึ จะมาสนใจกบั ธรรมะ น่มี ันผดิ ความจรงิ อยา่ งยงิ่ คอยดใู หด้ จี ะพบวา่ ทมี่ นั ไมอ่ มิ่ ปากอม่ิ ทอ้ ง เพราะมนั ขาดธรรมะในพระพทุ ธศาสนา ในสว่ น ทีพ่ ระพทุ ธเจ้าท่านมีไวใ้ ห้พวกมนุษย์ ฉะน้ันเลิกเข้าใจผิดกันเสียทีว่าพุทธ- ๓๔

ศาสนาน้ันมันไม่ได้มีไว้ส�ำหรับคนจน คนมัน จนเพราะมันไม่มีธรรมะ ถ้ามันมีธรรมะมันไม่ จน ก็เขาไม่รู้ธรรมะที่จะแก้ความจน แม้ว่า จะถูกกดขี่บีบคั้นเอาเปรียบอะไรก็ตามเถิด ถ้ามีธรรมะแล้วมันเอาตัวรอดหลุดออกมาได้ ทั้งน้ัน เพราะว่าไอ้คนท่ีร่�ำรวยทีแรกน้ันก็เป็น คนจนเหมือนกัน มันก็มีธรรมะเป็นผู้ร่�ำรวยท่ีดี ไปก็มี เป็นผู้ร่�ำรวยที่เลวจนเป็นอันธพาลไปก็มี มนั มีธรรมะหลายแบบ ถ้าเรามีความเป็นพุทธบริษัทหรือมี ศาสนา หรือมีธรรมะอยู่ในโลก ผลพลอยได้ มนั จะไดแ้ กท่ กุ คนในโลก ในสากลและจกั รวาล ในระดับหนึ่งในความหมายหนึ่งทีเดียว ทีนี้ ถ้าแคบเข้ามา เอาแต่เพียงในโลกนี้ที่ก�ำลังเป็น ปญั หาอยู่ในเวลาน้ี โลกกลมๆ ก้อนน้มี พี ลเมอื ง อยู่หลายพันล้านคน แล้วก็มีปัญหาอะไร ไม่มี ๓๕

สันติภาพ เพราะไม่มีธรรมะหรือสิ่งที่เรียกว่า ศาสนาอันถูกต้อง กิเลสก�ำลังครอง พญามาร ซาตานกำ� ลงั ครองโลก โลกกว็ นุ่ วาย ระสำ�่ ระสาย เดือดร้อนอยู่กับปัญหาที่มนุษย์กำ� ลังเอาเปรียบ กัน แข่งขนั แย่งชงิ ทำ� ลายกนั เอาเปรยี บกนั ดว้ ย ความเหน็ แกต่ วั ซงึ่ ไมค่ วรจะเรยี กวา่ มนษุ ย์ เรยี ก วา่ คนชนิดหนงึ่ ซง่ึ หนาแน่นไปดว้ ยความเห็นแก่ ตัวก�ำลังต่อสู้แย่งชิงแข่งขันท�ำลายกันจนไม่มี สนั ติภาพในโลกนี้ โลกนกี้ ็ไม่เปน็ โลกของมนษุ ย์ เปน็ โลกของคนชนดิ หนง่ึ เตม็ ไปดว้ ยปญั หาความ ยงุ่ ยากลำ� บาก ถา้ ธรรมะเขา้ มา ศาสนาเขา้ มา พระเปน็ เจ้าเข้ามา ปัญหาเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปๆ มี ความสงบเยน็ อยกู่ นั ดว้ ยสนั ตสิ ขุ จะเมตตากรณุ า เป็นเบ้อื งหนา้ เดยี๋ วน้ไี ม่สอนกนั เลยเร่ืองเมตตา กรุณา สอนแต่ให้รู้ให้เก่งให้ไปก่อน ให้ได้ก่อน ๓๖

ให้สามารถกว่า แล้วก็ไปกักตุนกวาดประโยชน์ ทั้งหลายเอาไว้ของตัวก่อนคนอ่ืน สอนกันแต่ อย่างนั้น ไม่มีสอนเร่ืองเมตตากรุณาตามความ มุ่งหมายของศาสนาทุกศาสนา เขาสอนแต่ให้ มนั เห็นแก่คนอน่ื เดี๋ยวนมี้ ันสอนใหเ้ หน็ แตต่ วั กู ตัวกู ทนี ใ้ี นเมอ่ื วชิ าเทคโนโลยมี นั เจรญิ มนั ไดผ้ ลทนั อกทันใจเข้า ความเห็นแกต่ ัวกมู นั ย่ิง เขม้ ข้นขึ้นไปอีก ก็เลยมแี ตโ่ ลกแหง่ ตวั กู แล้ว ธรรมะหรือศาสนามันก็ไม่มีช่อง ไม่มีโอกาส ทีจ่ ะเข้ามา ผลพลอยได้กไ็ ม่มี ถ้าเราปลอ่ ยให้ โลกเปน็ ไปในรม่ เงาของศาสนา ผลพลอยไดจ้ าก ศาสนาก็จะมี ความจริงมันมีอยู่อย่างน้ี แต่มัน ไม่มีใครสามารถจะปฏิบัติให้เป็นไปตามความ จรงิ อนั นไ้ี ด้ มนั ไดแ้ ตน่ ั่งดูตาปรบิ ๆ อยู่พวกหน่ึง แล้วพวกหน่ึงก�ำลังหลับตาไม่รู้ไม่ช้ีอะไรหมด ๓๗

นอกจากประโยชน์ของกู โลกน้ีมันอยู่อย่างน้ี เวลานี้ ฉะนน้ั ถา้ เราจะคดิ วา่ จะเปน็ ผปู้ ระกอบ ประโยชน์ จะทำ� ประโยชนก์ นั จรงิ ๆ นมี้ นั ตอ้ งคดิ ถงึ ขอ้ น้ี คดิ ถงึ ขอ้ ทใี่ ชธ้ รรมะใหม้ นั เปน็ ประโยชน์ แก่โลกหรือแก่มนุษย์ และโลกนี้ก็จะได้รับ ประโยชน์น้ีจริงเหมือนกัน แม้ว่าประเทศไทย เล็กๆ เป็นพุทธศาสนา เปน็ พทุ ธบริษัทมีธรรมะ กันจริง มันก็สามารถจะมีผลท่ัวโลกได้ แต่ถ้า มันเหลวไหลเสียเอง มันก็เหมือนกันหมดไม่ว่า ประเทศไหน ฉะนนั้ มองดแู คบเขา้ มาถงึ ประเทศไทย บา้ นเมอื งของเรา ถา้ มนั มศี ลี ธรรม มศี าสนากนั จรงิ มันก็ไม่เป็นอย่างที่ก�ำลังเป็นอยู่ เด๋ียวน้ีมันไม่มี ศลี ธรรม ไมม่ รี ม่ เงาแหง่ ศาสนา ไมม่ กี ารบวชจรงิ เรยี นจรงิ จนรจู้ รงิ ถงึ กบั ประกาศไดจ้ รงิ จนทำ� ให้ ๓๘

พลเมอื งสว่ นใหญม่ นั เปน็ บณั ฑติ เปน็ พทุ ธบรษิ ทั กันได้จรงิ ฟังดแู ล้วคลา้ ยๆ กบั เรามาพูดในสิ่งที่ ท�ำไม่ได้ แต่มันเป็นความจริงอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่ง มันท�ำได้ ส่วนที่มันยังท�ำไม่ได้น้ันก็เก็บไว้ก่อน ละกัน ก็มาพูดถึงความจริงท่ีมันเป็นสิ่งที่ท�ำได้ ขอใหบ้ วชจรงิ เรยี นจรงิ ใหจ้ รงิ กนั ทกุ คน แลว้ มนั จะไดช้ ว่ ยกนั แกไ้ ขประเทศชาตนิ ใ้ี หม้ นั มสี นั ตสิ ขุ สนั ติภาพได้ เดี๋ยวน้ีมันก็เห็นแก่ตัว แล้วก็ประชา- ธปิ ไตยชนดิ บา้ ๆ บอๆ นกี้ ไ็ มร่ ู้ มนั เปดิ โอกาสแหง่ ความเห็นแก่ตัวมากเกินไป มันก็ยิ่งไม่มีธรรมะ ตอ้ งไปมคี วามรู้ ความตนื่ ความเบกิ บานใหถ้ กู ตอ้ ง เสียก่อนแล้วค่อยท�ำประชาธิปไตยชนิดที่มัน ถูกต้องเสียก่อน คือให้มันประกอบด้วยธรรมะ น่ันเอง เม่ือมีประชาธิปไตยท่ีประกอบไปด้วย ธรรมะ อยู่ในร่มเงาของศีลธรรมหรือศาสนา ๓๙

ปญั หากไ็ มม่ ี ไมต่ อ้ งมาเถยี งกนั ทะเละววิ าทกนั แล้วกลับกัน ผลัดกันท�ำให้บ้านเมืองนี้มันยุ่ง คนละแบบหลายๆ แบบ ทีนี้พูดถึงครอบครัวกันดีกว่า เพราะ เหตวุ า่ มนั อยใู่ นขอบเขตหรอื วสิ ยั ทพี่ อจะควบคมุ ได้ เก่ยี วกบั เร่ืองนีก้ ไ็ ดพ้ ูดในการบรรยายในคร้งั อ่ืนๆ มาบ้างแล้ว ว่าถา้ พอ่ บ้านมนั มีธรรมะ มัน กจ็ ะควบคมุ บา้ นใหม้ ธี รรมะ กเ็ ปน็ ครอบครวั ทม่ี ี ธรรมะ กพ็ อจะฝนั เหน็ สนั ตสิ ขุ สนั ตภิ าพได้ แมย้ งั ท�ำไมไ่ ดถ้ งึ น้นั เดี๋ยวนี้จะมีคงจะมีข้อแก้ตัวแทรกเข้า มาวา่ อา้ ว เดย๋ี วนเ้ี ขาสทิ ธเิ สมอภาคระหวา่ งหญงิ กบั ชาย ระหวา่ งบรุ ษุ กบั สตรี ระหวา่ งกบั พอ่ บา้ น กบั แม่บา้ น ฉะน้นั พ่อบา้ นก็ไมส่ ามารถจะทำ� ได้ เพราะมนั มสี ทิ ธเิ สมอกนั เมอ่ื แมบ่ า้ นเขาไมย่ อม ก็เลยวางมือเสีย ถ้าพูดอย่างน้ีก็จะเป็นเรื่อง ๔๐

แก้ตัวมากกว่า หรือถ้ามันเป็นเร่ืองจริงตามน้ัน ท่ีจะเขานิยมนับถือกันอย่างนั้น มันก็ต้องถือว่า มันเป็นโชคร้าย โชคร้ายของมนุษย์ แต่มันไม่ ถึงอย่างนัน้ นะไปดกู ันให้ดีเถิด มนั จะตอ้ งมเี พศ ตวั ผเู้ ปน็ ผนู้ ำ� อยเู่ รอื่ ยไป คณุ ดสู นุ ขั ทกุ ฝงู ในวดั นี้ ทม่ี ันแบง่ เปน็ ย่อยๆ ย่อยๆ เปน็ ฝูงๆ มนั มีตัวผู้ น�ำฝูงท้ังน้ันแหละ สุนัขอื่นแปลกปลอมเข้ามา ตวั ผู้นำ� ฝงู มนั ออกรบั ออกต่อต้าน ท�ำไมตัวเมยี มันท�ำไม่ได้ละ ทั้งที่วัวควายทุ่งนาในป่าในเขา อะไรกต็ าม มันกม็ ตี ัวผู้ท่ีแขง็ แรงเป็นหัวหน้าฝูง มันจึงคมุ้ ครองกันอย่ไู ด้ ฉะนั้นถ้าให้ท�ำอะไรเหมือนกันเท่ากัน ไปตัดรอนสิทธิของไอ้ที่ฝ่ายท่ีจะท�ำได้มากกว่า ลงเสยี มนั กเ็ ปน็ ความโงข่ องมนษุ ย์ ถา้ ขนื ดนั ทรุ งั ถอื หลกั นก้ี จ็ ะมแี ตจ่ ะเรอื่ งเสอ่ื มเสยี จะมแี ตเ่ รอ่ื ง เสอ่ื มเสยี ทง้ั นนั้ แหละ เรอื่ งสตรกี บั บรุ ษุ สทิ ธเิ ทา่ ๔๑

เทียมกัน เด๋ียวนี้ฝ่ายสามีมีสิทธิท่ีจะไปเท่ียวผู้ หญิงคำ�่ ๆ คนื ๆ ต่อไปฝา่ ยภรรยาก็มสี ิทธทิ ่ีจะไป เทย่ี วผชู้ ายคำ่� ๆ คนื ๆ โดยเสมอกนั ไดส้ ิ แลว้ เรอ่ื ง อะไรมนั จะเกดิ ขน้ึ คณุ กไ็ ปคดิ ดู มนั กต็ อ้ งมคี วาม จริงอะไรของมันอยู่อย่างหนึ่งตามธรรมชาติซ่ึง เปล่ยี นไปจากนน้ั ไม่ได้ ฉะนน้ั ขอใหน้ กึ หรอื วา่ ถอื ไปกอ่ นดกี วา่ ว่าผู้ชายจะต้องเป็นผู้น�ำครอบครัวเสมอไป อย่าแกต้ วั หรอื วา่ เลน่ ไมซ่ อื่ เบย่ี งบา่ ยความรบั ผดิ ชอบ พยายามเตรียมตัวท่ีจะเป็นหัวหน้า ครอบครัวท่ีดี คือท�ำให้ครอบครัวมันมีธรรมะ น่ันเอง ก็เตรียมศึกษาไว้ ปฏิบัติไว้ ค้นคว้า ทดสอบทดลองอะไรไว้ จะได้เป็นครอบครัวท่ี มีธรรมะ ฉะนั้นการท่ีเราบวชนี้ เราก็ได้ความรู้ ส�ำหรับไปท�ำหน้าท่ีหัวหน้าครอบครัว น้ีก็เป็น ๔๒

ผลพลอยได้ประโยชน์พลอยได้แล้วก็ไปได้ ถึงสมาชิกในครอบครัวแล้วก็วงศาคณาญาติ ผลพลอยได้น้ีไม่ใช่เล็กน้อยนะ แล้วก็มีค่ามาก สำ� หรบั คนทไ่ี มเ่ หน็ แก่ตัว ถา้ เห็นแกต่ วั คนเดยี ว แลว้ ก็ไมต่ อ้ งพดู กนั มนั ไม่มีเร่อื งทีต่ อ้ งพูดกนั ฉะน้ันผลพลอยได้มีอยู่มาก มองข้าม กันไปเสียมันก็คล้ายๆ กับว่าไม่มี น้ีเราก�ำลัง พูดถึงว่าการบวชของเราซึ่งเป็นการสืบอายุ พระศาสนาท�ำให้โลกคงมีสิ่งคุ้มครอง มันมี ผลพลอยได้หลายระดับแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง แกโ่ ลกทงั้ โลก หรอื แกป่ ระเทศบา้ นเมอื งกระทง่ั แก่ครอบครัว นี้คือค�ำว่าแก่ใคร มันคือแก่พวก เหลา่ น้ี ทีนี้ก็จะดูถึงไอ้ตัวผลพลอยได้นั้นเอง ลงไปตรงๆ ว่ามันคืออะไร ผลพลอยได้น้ันมัน คอื อะไร มนั ก็อย่างเดยี วกบั ท่ีพดู มาแล้วขา้ งตน้ ๔๓

คือความรู้ คอื การปฏิบตั ิ คือผลของการปฏบิ ัติ เพราะวา่ การบวชนมี้ นั ทำ� ใหร้ ู้ รจู้ รงิ และการบวช ที่ท�ำให้ปฏิบัติจริงและก็ได้ผลของการปฏิบัติ จรงิ ๆ เพราะฉะนน้ั สิ่งนี้มันถกู ถ่ายทอดไปยังผ้ทู ี่ จะพลอยได้ ฉะนั้นเราบวชมีความรู้ก็ถ่ายทอด ความรู้ให้ สอนให้รู้ โดยการสอนให้รู้ ถ้าเป็น ความรู้ทางอาชีพ มันก็เป็นเพื่อประโยชน์ทาง รา่ งกาย ทางฝา่ ยรา่ งกาย ฝา่ ยระบบรา่ งกาย ฝา่ ย ระบบวัตถุ ถา้ เป็นความรู้ทางฝ่ายธรรม ธรรมะ ซ่ึงเป็นเร่ืองการบวช มันก็เป็นความรู้ท่ีเป็น ประโยชนแ์ กจ่ ิต แกว่ ิญญาณ และลงไปถึงกาย ดว้ ย เน่ืองจากความรู้ทางจิตทางวิญญาณ มนั สงู มนั ยาก ตอ้ งสนใจเปน็ พเิ ศษ แตเ่ นอื่ งจากวา่ มีความรู้แต่ทางฝ่ายระบบกายระบบวัตถุอย่าง เดยี วมนั ไม่พอ มนั ไมพ่ น้ ทกุ ข์ได้ มนั เตม็ ไปดว้ ย ๔๔