หน่งึ จุดหมหาลยายหนทาง
สัมโมทนยี พจน์ (สมเด็จพระญาณสังวร) สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก ในกจิ กรรมเสวนา “พทุ ธศาสนาหลังพทุ ธชยนั ตี ๒๖๐๐ ปี” ณ กรุงเดลี ประเทศอนิ เดยี ๑๕-๑๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เมอื่ ครงั้ พทุ ธกาล พทุ ธจรยิ าประการหนงึ่ ทปี่ รากฏในพทุ ธประวตั กิ ค็ อื พระพทุ ธองคม์ กั เสดจ็ ไปทรงสนทนา กบั บรรดานกั บวชนอกพทุ ธศาสนา ณ สำ� นกั ของนกั บวชเหลา่ นนั้ บอ่ ยๆ และเมอื่ ทรงสนทนากบั นกั บวชเหลา่ นนั้ กท็ รง เปดิ โอกาสใหน้ กั บวชเหลา่ นน้ั ทลู ถามเรอ่ื งตา่ งๆ เกยี่ วกบั พระธรรมวนิ ยั ของพระองคไ์ ดอ้ ยา่ งเสรี หากนกั บวชเหลา่ นนั้ ไม่ทูลถามเรื่องของพระองค์ พระองค์ก็จะตรัสถามหรือสนทนาเกี่ยวกับหลักธรรมความเช่ือของนักบวชเหล่าน้ัน ต่อเมื่อนักบวชเหล่านั้นประสงค์จะฟังหลักธรรมค�ำสอนของพระองค์ พระองค์จึงจะแสดงธรรมแก่พวกเขาในเร่ืองที่ พวกเขาตอ้ งการจะฟงั และจะสงั เกตไดว้ า่ ในการสนทนาเกยี่ วกบั หลกั ธรรมความเชอ่ื ของนกั บวชเหลา่ นน้ั พระพทุ ธ- องค์จะทรงให้โอกาสแก่พวกเขาแสดงความคิดเห็นของพวกเขาได้อย่างเต็มท่ี โดยท่ีพระองค์จะไม่ทรงยืนยันหรือ ปฏิเสธ แต่พระองค์เพียงแต่รับฟังและรับรู้เท่าน้ัน เว้นแต่ว่าพระองค์จะได้รับการขอร้องให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยว กับเร่ืองน้ันๆ พระองค์จึงทรงแสดงพระมติของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และในการทรงแสดงพระมติของพระองค์นั้น ก็จะทรงแสดงเป็นกลางๆ ว่า “สมณพราหมณ์บางพวก มีวาทะว่าอย่างนี้ มีทิฏฐิว่าอย่างน้ี ...” และบางคร้ังก็ตรัส วา่ “สมณพราหมณบ์ างพวก เปน็ อยา่ งนๆี้ สว่ นเราอยใู่ นจำ� พวกน.้ี ..” พทุ ธพจนท์ ำ� นองนป้ี รากฏอยใู่ นหลายพระสตู ร เชน่ อปณั ณกสตู ร สนั ทกสตู ร สคารวสูตร ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปณั ณาสก์ เป็นตน้ พทุ ธจรยิ าดงั กลา่ วนี้ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความมใี จกวา้ ง ความเปน็ ผรู้ บั ฟงั ความเปน็ ผใู้ หเ้ กยี รตแิ กค่ นอน่ื ความ เป็นผู้ไม่ยกตนข่มท่าน และความเป็นผู้ไม่ตั้งจิตเป็นปฏิปักษ์หรือเป็นศัตรูกับใครๆ ซ่ึงทั้งหมดน้ีหากจะกล่าวส้ันๆ ก็คอื ความเปน็ ผู้มปี ฏสิ ัมพนั ธก์ ับคนทุกความเชือ่ ถอื ดว้ ยใจเปน็ ธรรม พุทธจริยาดังกลา่ วนี้ ได้สรา้ งความอัศจรรยใ์ จ ใหแ้ กน่ กั บวชนอกพระพทุ ธศาสนาเปน็ อยา่ งยง่ิ ถงึ กบั สนั ทกปรพิ าชกไดก้ ลา่ ววา่ “นา่ อศั จรรย์ ทา่ นพระอานนทไ์ มเ่ คย เห็นในธรรมวินัยนี้ (คือพระพุทธศาสนา) ไม่ได้ยกย่องแต่ธรรมของตน แล้วติเตียนแต่ธรรมของคนอ่ืน มีแต่แสดง ธรรม คือความจรงิ เท่านนั้ ” (สันทกสูตร) ความมปี ฏสิ มั พนั ธต์ อ่ กนั โดยธรรมน้ี กลา่ วอกี นยั หนง่ึ กค็ อื การเสวนาธรรมกนั และกนั นนั้ เอง การเสวนาธรรม น้ันนับว่าเป็นกิจกรรมท่ีดีมีประโยชน์ท้ังในเชิงศาสนาและในเชิงสังคม ในเชิงศาสนา การเสวนาธรรมย่อมท�ำให้เกิด ความรู้ความเข้าใจในคติความเชื่อของกันและกัน ท�ำให้ความแตกแยกและความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันในทางความคิด เหน็ ลดนอ้ ยลง จนอาจทำ� ใหก้ ำ� แพงความคดิ เหน็ พงั ทลายลงได้ ในเชงิ สงั คม การเสวนาธรรมยอ่ มทำ� ใหช้ มุ ชนใกลช้ ดิ สนทิ สนมกนั บนพน้ื ฐานของความเขา้ ใจกนั อนั จะนำ� ไปสคู่ วามไวว้ างใจ และมมี ติ รไมตรตี อ่ กนั และกนั จนอาจละลาย ความแตกทางลัทธิศาสนาและวฒั นธรรมลงได้ 4
ตวั อยา่ งของพทุ ธจรยิ าขา้ งตน้ น้ี เทา่ กบั พระพทุ ธองคท์ รงปฏบิ ตั ใิ หเ้ หน็ เปน็ แบบอยา่ งวา่ แมต้ า่ งคตคิ วามเชอื่ กนั กค็ วรมีปฏสิ มั พนั ธ์หรอื การเสวนากันด้วยไมตรี ในหมู่พทุ ธสาวกหรือชาวพุทธดว้ ยกัน การเสวนากันอยา่ งต่อเนอ่ื ง แนน่ แฟน้ กย็ ง่ิ มคี วามสำ� คญั เปน็ ทวคี ณู ดงั ทที่ รงตรสั สอนเปน็ หลกั ปฏบิ ตั ไิ วเ้ ปน็ หลกั การขอ้ แรกในภกิ ขอุ ปรหิ านยิ ธรรม ว่า ภิกษสุ งฆค์ วรประชุมกันเนอื งนิตย์ ท้งั นี้กเ็ พื่อทภ่ี กิ ษสุ งฆจ์ กั ไดเ้ รียนรซู้ งึ่ กันและกนั ในเร่ืองทิฏฐคิ วามคิดเหน็ และ ในศีลความประพฤตปิ ฏบิ ัติ อนั จะน�ำไปสู่ทฏิ ฐสิ ามัญญตาและสีลสามัญญตา พระพุทธศาสนาซ่ึงผ่านกาลเวลามายาวนานนับพันปีและเจริญเติบโตข้ึนท่ามกลางศาสนาและวัฒนธรรม ที่ต่างๆ กัน อันเป็นปัจจัยส�ำคัญที่ท�ำให้เกิดเป็นพระพุทธศาสนาแบบต่างๆ ข้ึนมากมาย ดังที่เรียกกันว่า นิกาย ต่างๆ แม้ว่าพระพุทธศาสนาในแต่ละท้องถิ่นจะมีรูปแบบทั้งในเชิงหลักธรรมและพิธีกรรมแตกต่างกัน แต่ก็ยังมี รากเหงา้ เปน็ อนั เดยี วกนั นน้ั คอื หลกั พระธรรมวนิ ยั ของพระพทุ ธเจา้ เพยี งแตว่ า่ อาจจะมคี วามคดิ ความเขา้ ใจทเี่ รยี กวา่ ทิฏฐิสามัญญตา แตกต่างกันไปตามบริบทของสังคมนั้นๆ อันน�ำไปสู่ความแตกต่างทางการปฏิบัติที่เรียกว่า สลี สามัญญตา ความแตกต่างท้ัง ๒ ประการดังกล่าวน้ี ไม่ได้เป็นเหตุให้ชาวพุทธ หรือพุทธสาวกต้องแตกกันหรือเป็น ปฏิปกั ษ์ต่อกนั แต่ตรงกันขา้ ม ความแตกต่างดงั กล่าวนา่ จะเป็นปัจจยั หรือแรงกระตุ้นให้พุทธสาวกตอ้ งหนั มาเสวนา ธรรมกัน เพ่ือความกระจ่างแจ้งในหลักการอันถูกต้องร่วมกัน และเพ่ือละลายความเข้าใจผิดต่อหลักธรรมของ พระพุทธเจ้า ผู้เปน็ พระบรมศาสดาของเราทัง้ หลายใหห้ มดสิน้ ไป การจัดกิจกรรมเสวนาธรรม “พระพุทธศาสนาหลังพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี” กับองค์ดาไลลามะครั้งนี้ ก็น่า จะเป็นไปตามแนวคิดดังกลา่ วน้ี องค์ดาไลลามะน้ัน กล่าวได้ว่าทรงเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ทรงเป็นผู้น�ำทางจิตใจท่ีส�ำคัญบุคคล หนึ่งในโลกปัจจุบัน ไม่เฉพาะแต่ในแวดวงของชาวพุทธเท่านั้น ดังเป็นที่ประจักษ์แก่คนท่ัวไป และทรงเป็นผู้มีความ ผกู พนั กบั ชาวพทุ ธในประเทศไทยไมน่ อ้ ย ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ เคยเสดจ็ เยอื นประเทศไทยหลายครง้ั และไดท้ รงพบปะเสวนา ธรรมกบั พระเถระองคส์ าคญั ของไทยบางรปู เชน่ ทา่ นพทุ ธทาสภกิ ขแุ ละขา้ พเจา้ เอง ไดท้ รงศกึ ษาแลกเปลยี่ นเกยี่ วกบั พระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศไทยอยา่ งกวา้ งขวาง อนั เปน็ นมิ ติ หมายแหง่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพระพทุ ธศาสนา ไทย-ทเิ บต และเปน็ การปทู างมาสกู่ ารจดั กจิ กรรมเสวนาครง้ั น้ี ซงึ่ เทา่ กบั เปน็ การสานตอ่ ธรรมสมั พนั ธท์ อ่ี งคด์ าไลลามะ ไดท้ รงหว่านเมล็ดพันธ์ุไว้เมอื่ ครง้ั กระนัน้ ใหง้ อกงามตอ่ ไป ฉะนั้น จึงหวังว่าการจัดกิจกรรมเสวนาธรรมกับองค์ดาไลลามะคร้ังนี้ จักลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ของการจัด กิจกรรมเสวนาธรรมครงั้ นีท้ กุ ประการ หน่งึ จุดหมาย หลายหนทาง 5
สมเด็จพระญาณสงั วรกับองคด์ าไลลามะ การเสด็จครั้งท่ี ๓ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ ในฐานะพระอาคนั ตกุ ะของสมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก และสหประชาชาติ (UN)
สาสน์ จากองค์ดาไลลามะถึงพุทธทาสภิกขุ ในจดหมายลงวนั ที่ ๑๘ เมษายน พศ. ๒๕๓๐ องคด์ าไลลามะไดแ้ สดงความขอบคณุ ตอ่ พทุ ธทาสภกิ ขทุ ไี่ ดถ้ วายหนงั สอื ครบรอบ ๘๐ ปีของท่านพุทธทาส และยังระลึกถึงการที่องค์ท่านได้ไปพบพุทธทาสภิกขุที่สวนโมกขพลารามที่ไชยา ท่านได้เล่า ต่อไปว่า ท่านได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อเผยแพร่พุทธศาสนา สันติภาพ ความสุข ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และการเจริญสติ ท่านได้พบว่าผู้คนทั่วโลกมีความสนใจเกี่ยวกับเร่ืองเหล่านี้มากข้ึน และท่านได้มีโอกาสแลกเปล่ียนความคิด เหน็ กับนกั วิทยาศาสตร์ในโลกตะวนั ตก สรุปไดว้ ่าพทุ ธศาสนาสามารถตอบข้อสงสัยของโลกตะวนั ตกเกีย่ วกบั จติ และการท�ำ งาน ของจิตได้เปน็ อยา่ งดี
องค์ดาไลลามะกับพทุ ธทาสภิกขุ พ.ศ. ๒๕๑๕ ทส่ี วนโมกขพลาราม พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่วดั เบญจมบพติ รดสุ ิตาราม
ภาพสมถกัมมฏั ฐานแบบทเิ บต องคด์ าไลลามะประทานใหพ้ ทุ ธทาสภกิ ขุ เม่อื พ.ศ. ๒๕๑๐
ภาพถังกา จากต้นฉบบั เดิมมีตราและลายมอื พทุ ธทาสภกิ ขุ องค์ดาไลลามะทรงลงพระนาม “Shakya Bhikkhu Dalai Lama” ลงสีใหมท่ ่ธี รรมศาลาเพือ่ มอบแดค่ ณะชาวไทย, ๒๕๕๕
อธิบายภาพสมถกัมมฏั ฐานแบบทิเบต ล�ำดับท่ี ข้ันที่ ๑ ๑ เร่ิมด้วยการกล่าวถึงก�ำลังแห่งการฟัง (สุตพละ) คือการได้รับฟังค�ำอธิบายจากผู้รู้ถึงสมถกัมมัฏฐาน ทงั้ ๙ ประการ เชน่ อานาปานสติ อสภุ กมั มฏั ฐาน และกสิณ เป็นต้น ๒ การตงั้ จิตกำ� หนดอยู่กับอารมณ์กมั มฏั ฐานน้ันๆ ๓ เชือกในมอื ของพระโยคาวจรผศู้ ึกษาและปฏิบตั ิ หมายถงึ สติ ๔ ปฏักในมอื ของพระโยคาวจรผู้ศึกษาและปฏิบตั ิ หมายถึง สมั ปชญั ญะ ล�ำดับท่ี ๓ และ ๔ น้ี หมายความวา่ การท�ำสมถกัมมฏั ฐานนี้ต้องใช้ท้ัง สติและสัมปชัญญะ ที่ต้องอาศัย พระโยคาวจรถือเชอื กและปฏักมาคอยก�ำกับการใช้ ๕ ภาพเปลวเพลงิ กองใหญ่ทม่ี มุ ลา่ งดา้ นซา้ ยของภาพ หมายถงึ จติ ในระยะแรกเรมิ่ ทตี่ อ้ งใช้กำ� ลงั สตสิ มั ปชญั ญะ อยา่ งยงิ่ จนกวา่ จะมคี วามกา้ วหนา้ จนถงึ สมาธขิ น้ั ที่ ๗ (ลำ� ดบั ที่ ๒๓) เปลวเพลงิ จงึ จะคอ่ ยๆ เลก็ ลงจนหมด ไป ไม่ตอ้ งใชส้ ติสัมปชญั ญะอีก หมายถงึ สติสมั ปชญั ญะนัน้ แนบแน่นสนิทกบั ดวงจิตแลว้ ๖ ช้างด�ำ หมายใหส้ ีด�ำของชา้ งคือความงว่ งเหงาซมึ เซา หรอื ถนี มิทธะ ๗ ลิงด�ำ หมายถงึ กามคุณท้งั ๕ ทค่ี อยชักพาจิตใหฟ้ ุ้งซา่ น (อุทธจั จะ กกุ กุจจะ) อยู่เสมอ ๘ กลา่ วย�ำ้ ว่ากำ� ลังแหง่ การพิจารณาใครค่ รวญเชน่ นี้ น�ำพาสกู่ ารบรรลถุ ึงสมาธขิ นั้ ที่ ๒ ขั้นที่ ๒ ๙ เมื่อจิตสงบยิ่งๆ ขึ้น มีสมาธิท่ีนิ่งลึกและต้ังม่ันกว่าเดิม ความรู้สึกนึกคิดทางรสจะเริ่มลดถอยจนดับลงได้ รปู ผลไม้ ๓ ผลเหนอื โยคาวจร หมายถึงรสทางล้ินทเี่ ริ่มลด ๑๐ ในขั้นนีถ้ ือว่ารสอนั เปน็ หน่งึ ในกามคณุ ๕ อนั เป็นสง่ิ ที่ท�ำให้จติ ฟงุ้ ซ่านไดด้ บั ลงแลว้ ๑๑ นับจากข้ันน้ีเป็นต้นไป สีขาวบนศีรษะช้างและลิงเริ่มปรากฏข้ึนเล็กน้อย หมายถึงความก้าวหน้าในการ ภาวนา ผา้ ผืนม้วนอยู่บนตวั ช้างคอื จวี ร หมายถงึ กายสมั ผัสอันเป็นอกี หนึง่ ในกามคุณ ๕ เรม่ิ ดับลง ๑๒ ข้นั นี้ ด้วยก�ำลงั ของสติจะส่งให้บรรลุถงึ สมาธิข้ันที่ ๓ และ ๔ ขั้นที่ ๓ และ ๔ ๑๓ มีจิตทสี่ งบยง่ิ ๆ ข้นึ ๑๔ มีกระต่ายมานั่งบนหลังช้าง หมายถึงถีนมิทธะ ความง่วงซึม อันโยคาวจรได้รู้จักแล้วและลงมือขจัดซ่ึง ถนี มทิ ธะนนั้ ๑๕ แสดงภาพพระโยคาวจรใช้เชือกคือสตผิ ูกช้างไดแ้ ลว้ ช้าง ลงิ และกระต่ายผนิ หน้าทเ่ี ปน็ สีขาวมากขึน้ ไปหา พระโยคาวจร หมายถึงจิตท่ีประกอบด้วยอุทธัจจะและถีนมิทธะได้เริ่มถูกรู้จักและควบคุมโดยพระโยคา- วจรแลว้ เหนอื หวั ลงิ มฉี ่งิ คู่หน่ึง หมายความว่าโสตผสั สะเริ่มดบั ไปอกี หนงึ่ กามคุณ 12
๑๖ สขี าวทตี่ วั ลงิ ชา้ ง กระตา่ ยมมี ากขน้ึ แสดงวา่ จติ อทุ ทธั จะ จติ ถนี มทิ ธะนน้ั พระโยคาวจรมองเหน็ ชดั เจนแจม่ ใส ยิ่งข้นึ จนถงึ ข้นั ทำ� ลายลงไดโ้ ดยงา่ ย หอยสงั ข์ดา้ นบน หมายความวา่ ข้ันน้ี ฆานผัสสะ คือกลิ่น เริ่มดับ ๑๗ ขั้นนี้ ดว้ ยกำ� ลังแห่งสัมปชญั ญะ จิตลุถงึ สมาธิข้นั ท่ี ๕ และ ๖ ขนั้ ที่ ๕ และ ๖ ๑๘ มจี ิตท่สี งบมากย่ิงขนึ้ ลกึ ยงิ่ ขึน้ อกี ๑๙ ภาพลงิ ขาว หมายถงึ จติ กศุ ล บนตน้ ไมม้ ผี ลไมส้ ขี าว หมายถงึ กศุ ลกรรมทงั้ หลายทจี่ ติ จะตระหวัดไปคดิ ถงึ ก็ถือว่าอาจท�ำให้ฟุง้ ซา่ นได้ ในขน้ั น้ตี อ้ งขจดั ให้หมดเชน่ เดยี วกัน ๒๐ ดว้ ยกำ� ลงั แหง่ สมั ปชญั ญะในขน้ั น้ี การหนว่ งจติ ใหก้ ลบั มาหาการคดิ ถงึ กศุ ลกรรมกจ็ ะทำ� ใหส้ งบรำ� งบั ยง่ิ ขน้ึ ๒๑ ข้ันน้ี กระจกบนพานดา้ นบนนั้นหมายถึงรปู อนั เป็นกามคุณสดุ ทา้ ยทีเ่ หลอื อย่เู ร่ิมดับ ชา้ ง ลิงและกระต่าย ขาวมากกวา่ ครงึ่ ตวั พระโยคาวจรจงู ชา้ งและลงิ ไดเ้ รยี บรอ้ ย จติ ถกู บงั คบั ไวไ้ ดโ้ ดยทกุ ประการแลว้ เปลวเพลงิ ซง่ึ หมายถงึ สติและสมั ปชัญญะเหลอื เปลวแตน่ ้อย ๒๒ ถนี มิทธะหรือกระต่ายหายหมดจด จิตถูกทำ� ใหส้ งบ คงเหลือสีดำ� ท่ที า้ ยช้างและลงิ แต่เพยี งเล็กน้อย ๒๓ ด้วยกำ� ลงั ของจติ พละ จติ บรรลุถงึ สมาธขิ ้นั ท่ี ๗ และ ๘ ขนั้ ที่ ๗ และ ๘ ๒๔ จติ ทฟ่ี งุ้ ซา่ น และงว่ งซมึ ดบั หมด กามคณุ ๕ ดบั หมด แมจ้ ะมกี แ็ ตน่ อ้ ย ไมต่ อ้ งใชค้ วามพยายามหรอื กำ� ลงั อยา่ งมากมายกส็ ามารถขจดั ความกระเพอ่ื มเลก็ นอ้ ยเหลา่ นนั้ ได้ เรยี กวา่ จติ ไดถ้ กู ทำ� ใหส้ งบโดยสมบรู ณแ์ ลว้ เปลวเพลิงอนั หมายถึงการต้องใช้กำ� ลังของสติสัมปชัญญะกด็ ับหมดไมต่ ้องใช้แลว้ ๒๕ ชา้ งขาวทั่วทัง้ ตวั ลิงหรอื กามคุณ ๕ ก็หายไปแล้ว หมายความว่าจิตต้ังม่นั สงบ แน่วแนต่ ่อเน่อื งกนั อย่าง ไมข่ าดตอน ๒๖ แสดงอาการที่จิตตั้งม่ันอยู่ในอารมณเ์ ดยี ว คืออารมณ์แหง่ กัมมฏั ฐานน้นั ๆ ๒๗ ดว้ ยกำ� ลงั แห่งความสมบรู ณ์ สมาธบิ รรลุถงึ ขั้นที่ ๙ ได้ ๒๘ พระโยคาวจรนั่งข้างช้างขาวท่ีหมอบข้าง แสดงความมีใจแน่วแน่อย่างสมบูรณ์ ปรากฏรุ้งหลากสีทอดออก จากอกของพระโยคาวจร ๒๙ พระโยคาวจรลอยลวิ่ ไป หมายถึงความปตี ิแห่งกาย ๓๐-๓๑ พระโยคาวจรขึ้นน่งั บนหลังชา้ ง หมายถงึ การบรรลุถึงสมาธอิ ันแทจ้ ริง มีความปตี ิแห่งจติ ๓๒ รากเหงา้ ของสงั สารวฏั ฏแ์ ละภพถกู ทำ� ลายดว้ ยกำ� ลงั แหง่ สมาธแิ ละกำ� ลงั แหง่ วปิ สั สนาซงึ่ ปฏสิ งั ยตุ ตด์ ว้ ยสญุ ญตา ๓๓ เปลวไฟ หมายถงึ กำ� ลงั ของสติ สมั ปชญั ญะอนั คลอ่ งแคลว่ วอ่ งไวของพระโยคาวจรจะชว่ ยใหจ้ ติ เขา้ ถงึ ความ หมายอนั สูงสุดแห่งสุญญตาอนั เปน็ ปรมัตถสัจจะของปรากฏการณ์ทัง้ หลาย ฯลฯ ปรบั ปรุงเรียบเรียงจากค�ำอธิบายเดิมทมี่ ีผู้คัดลอกไวด้ ้วยลายมือ หน่งึ จุดหมาย หลายหนทาง 13 บัญชา พงษพ์ านิช ๒๐ มกราคม ๒๕๕๓
สารบญั ส่วนที่ ๑ นำ� เรือ่ ง ๐๔ สมั โมทนียพจน์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ๐๖ สมเด็จพระญาณสังวรกบั องคด์ าไลลามะ ๐๘ สาสน์ จากองคด์ าไลลามะถงึ พุทธทาสภิกขุ ๐๙ องคด์ าไลลามะกับพทุ ธทาสภกิ ขุ ๑๐ ภาพสมถกัมมัฏฐานแบบทิเบต ๑๔ สารบญั ๑๖ บทนำ�
ส่วนท่ี ๒ เน้ือหา ๒๓ พระคณุ ทอ่ี ินเดียมตี ่อไทย ๔๓ พทุ ธศาสนาหลังพุทธกาล ๕๙ รอยพุทธในอนิ เดยี ๖๙ พุทธศาสนามหายานในจีน ๘๑ ภมู ปิ ญั ญาจากพทุ ธหิมาลยั ๙๕ พุทธศาสนาในประเทศไทย ๙๙ Overview of Buddhism in Thailand ๑ ๐๓ พทุ ธศาสนาไทยในทศวรรษหนา้ ส่วนท่ี ๓ สนทนา “พทุ ธศาสนาหลงั พทุ ธชยนั ตี ๒๖๐๐ ปี : หน่ึงจุดหมายหลายหนทาง” ๑ ๑๒ ก�ำหนดการ ๑๑๔ ประเดน็ สำ� หรับการสนทนา ๑ ๑๖ Framework of Question for Discussions ๑๑๙ วทิ ยากรร่วมสนทนาหลกั ๑ ๓๖ ครูบาอาจารย์พระมหาเถระ พระเถรานเุ ถระ และพระธรรมวาที ๑๔๒ บันทึกการสนทนา ๑ ๕๕ ๘ เส้นทาง เรยี นรู้ตามรอยพระพุทธศาสนา และศรทั ธาของผ้คู นบนชมพทู วปี ๑ ๖๒ ผู้สนับสนนุ
บทน�ำ “หนง่ึ จดุ หมาย หลายหนทาง” เลม่ นี้ เปน็ หนงั สอื คมู่ อื การรว่ มสนทนากบั องค์ ดาไลลามะของพระภกิ ษแุ ละชาวไทยหลายรอ้ ยรปู /คน ณ กรงุ เดลี สาธารณรฐั อนิ เดยี แลว้ รว่ มเดนิ ทางเรยี นรตู้ ามรอยพทุ ธศาสนาและศรทั ธาของผคู้ นบนชมพทู วปี ๘ เสน้ ทาง ท่ัวประเทศอินเดีย ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ท่ีปรารภวาระพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ จากความสัมพันธ์ของครูบาอาจารย์ที่มีต่อกัน เพ่ือสร้างความคุ้นเคย และแสวงหาความเขา้ อกเข้าใจรว่ มไม้รว่ มมอื ในงานธรรมตอ่ ไป ในคราวเสด็จประเทศไทยขององค์ดาไลลามะเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ซ่ึงเป็นการ เสด็จออกนอกอินเดียเป็นคร้ังแรกน้ัน นอกจากทรงเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังได้ทรงพบปะสนทนากับสมเด็จพระญาณสังวร และพทุ ธทาสภกิ ขุ (เงื่อม อินทปญั โญ) ซึ่งมกี ารบนั ทึกใจความสำ� คญั ของการสนทนา ไว้ว่าเป็นเร่ือง “วิธีการอย่างใดเป็นวิธีการดีท่ีสุดท่ีจะเผยแพร่ธรรมข้อท่ีเป็นหัวใจของ พระพทุ ธศาสนาใหค้ นธรรมดาเขา้ ใจไดโ้ ดยงา่ ย…เรอ่ื งสญุ ญตา ความวา่ ง และอนตั ตา” โดยหลงั จากนนั้ ในการเสดจ็ ครงั้ ที่ ๒ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๑๕ ทรงเดนิ ทางไปพบและสนทนา กับพุทธทาสภิกขุ และพ�ำนักท่ีสวนโมกขพลาราม ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดย ได้ทรงรับอาราธนานิมนต์แสดงธรรมว่าด้วยปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรที่ลานหินโค้ง ซ่ึงหลังจากนั้น พระโรเบิร์ต สันติกโร ได้บันทึกว่าพุทธทาสภิกขุมีด�ำริที่จะสร้างท�ำ กุฏิวิหารอย่างทิเบตไว้ในสวนโมกข์ด้วยแต่ไม่ได้ท�ำ มีเพียงพระราชสาส์นถึงพุทธทาสภิกขุ ในพ.ศ. ๒๕๓๐ ตอบรับจดหมายส่งหนังสือในวาระ ๘๐ ปีของพุทธทาสภิกขุ ว่า “Since I last saw you, I have been travelling a great deal. Besides Buddhism, I have been talking about peace, happiness, compassion and spiritual development. There seems to be a growing amount of interest in these subjects. In the recent past I have also had some very interesting dialogues with Western scientists. I feel that Buddhism particularly has much to offer to the West regarding the explanation of the mind and its ”functions. พร้อมกับพระธรรมพรลงทา้ ยวา่ “I wish you many more years of good health and ”happiness ซง่ึ พทุ ธทาสภกิ ขไุ ดม้ รณภาพในอกี ๖ ปตี อ่ มา เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๓๖ 16
๑๘ ปีต่อมา เม่ือ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในโอกาสที่องค์ดาไลลามะรับอาราธนานิมนต์มูลนิธิเสฐียร- โกเศศ-นาคะประทปี แสดงธรรมและสนทนากบั คณะชาวไทยทธี่ รรมศาลา และผแู้ ทนมลู นธิ หิ อจดหมายเหตุ พุทธทาส อินทปัญโญ ได้รับโอกาสเข้าเฝ้าถวายหลักฐานจดหมายเหตุเมื่อคร้ังนั้น องค์ดาไลลามะได้ แสดงออกซ่ึงความเคารพและระลึกถึงพุทธทาสภิกขุอย่างย่ิง โดยทรงปรารภหลายคร้ังถึงความร่วมมือ ระหว่างชาวพุทธเพ่ือเพ่ือนมนุษย์ โดยเฉพาะกบั ชาวไทย กิจกรรมคนไทยสนทนากับองค์ดาไลลามะและร่วมเดินทางเรียนรู้ตามรอยพุทธศาสนาและ ศรทั ธาของผคู้ นบนชมพทู วปี จงึ เกดิ ขน้ึ โดยไดร้ บั พระเมตตาอยา่ งยง่ิ จากองคด์ าไลลามะ (His Holiness the 14th Dalai Lama, Tenzin Gyatso) ในการรับอาราธนานิมนต์จาก พระอาจารย์ซัมดอง รินโปเช (the 5th Samdhong Rinpoche, Lobsang Tenzin) อดีตประธานรัฐสภาและนายกรัฐมนตรีแห่งรัฐบาล พลัดถ่ินทิเบต คุณเทมป้า ซิริง (Tempa )Tsering ผู้แทนองค์ดาไลลามะ (The Representative of His Holiness The Dalai Lama in New Delhi) และ นายเทนซิน โลเซล (Tenzin Losel) ผู้ประสานงาน โครงการไทย-ทเิ บต โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื เสรมิ สรา้ งศรทั ธา ศลี และความเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา ใหย้ ง่ิ ขน้ึ เพอื่ ทำ� ความเขา้ ใจระหวา่ งกนั เพอ่ื แสวงหาความรว่ มมอื ในงานการพระศาสนา และเพอื่ สนอง งานพระศาสนาในอนั ทจ่ี ะยงั ประโยชนต์ อ่ มหาชนตามปณธิ าน ๓ ประการของพทุ ธทาสภกิ ขุ ดว้ ยการจดั ให้โรงแรม Hyatt Regency Delhi สถานพ�ำนกั รว่ มกันของทั้งฝา่ ยไทยและทเิ บตในกรุงเดลี เป็นเสมอื น เสนาสนะมหาวหิ ารรว่ มบำ� เพ็ญศาสนกจิ รับบิณฑบาต เจริญในศลี สมาธิ ภาวนาเป็นการเฉพาะ และได้รับเมตตาอย่างยิ่งจากครูบาอาจารย์ พระมหาเถระ พระเถรานุเถระ และพระธรรม วาทีจากทัว่ ประเทศถงึ ครึง่ รอ้ ยรปู จากนานาส�ำนักเรียน เผยแผแ่ ละวิปัสสนาเขา้ ร่วม มีพระราชญาณกวี (สวุ ทิ ย์ ปยิ วชิ โฺ ช) วดั พระราม ๙ กาญจนาภเิ ษก, พระอนลิ มาน ธมมฺ สากโิ ย (ศากยะ) วดั บวรนเิ วศวหิ าร, พระไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต, ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, ดร.กฤษณพงษ์ กีรติกร และ ดร.วิรไท สันติประภพ เมตตารับเป็นผู้ร่วมสนทนาหลัก สิริปัญโญภิกขุ ส�ำนักสงฆ์เต่าด�ำ และ คุณลภาพรรณ ศุภมันตา เมตตารับเป็นล่ามแปล โดยมีพุทธศาสนิกชนชาวไทยและกัลยาณมิตรหลายร้อยคนเดินทาง เข้าร่วม ภายใต้การสนับสนุนของหลากหลายฝ่าย ได้แก่ คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ แห่งเครืออมรินทร์, คุณหญิงจ�ำนงศรี-คุณชิงชัย หาญเจนลักษณ์, คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม, คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์, นพ.พิชัย-คุณปริศนา ตั้งสิน, นพ.สกุล นครชัย, คุณทัศสิน บัวชื่น, คุณบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์, รศ.ประภาภัทร นิยม, คุณรัฐภมู ิ ภักดีภมู ิ, คณุ ลดาวดี วนวิทย,์ คณุ สุพล วัธนเวคนิ , ยวุ พุทธกิ สมาคม แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมป์, มูลนิธิบ้านอารีย์, มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำ� กัด (มหาชน), บรษิ ัท แมกโนเลยี ควอลติ ี้ ดีเวลอ็ ปเม้นต์ คอร์ปอเรช่นั จ�ำกดั , บริษทั หลักทรัพย์ ภัทร จ�ำกัด (มหาชน) และส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หนึง่ จดุ หมาย หลายหนทาง 17
โดยมีสารคดีพื้นที่ชีวิต (Life Explorer) ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเป็นฝ่ายบันทึก ทำ� สารคดแี ละการออกอากาศเผยแผ่ พรอ้ มกบั คณะบรรณาธกิ ารอาสาเพอื่ การจดั พมิ พ์ เป็นชดุ หนังสอื สารคดีส�ำคัญในลำ� ดับต่อไป รวมทั้งนติ ยสาร National Geographic, The Nation Street และหนังสือพมิ พ์ไทยรัฐทเี่ ขา้ รว่ มบนั ทกึ รายงาน “หนง่ึ จดุ หมาย หลายหนทาง” เลม่ น้ี ประกอบดว้ ยเนอื้ หา ๓ สว่ น คอื สว่ นนำ� ซึ่งประมวลภาพความสัมพันธ์ของกันและกันผ่านครูบาอาจารย์ โดยอัญเชิญสาส์น ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกเป็นประธาน สว่ นเนอ้ื หา ไดป้ ระมวลสาระวา่ ดว้ ยพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี แดนหมิ าลยั มหายาน และประเทศไทยโดยสังเขป เพื่อเป็นพื้นฐานความรู้และเข้าใจในการร่วมสนทนาและ เรียนร้ตู ามรอย ในส่วนท่ีสาม ซ่ึงนำ� ประเดน็ คำ� ถามท้ัง ๓ กรอบ พร้อมประเด็นย่อย ท่ีอาจารย์ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ช่วยร้อยเรียงและน�ำเสนอต่อองค์ดาไลลามะ สำ� หรบั การแลกเปลีย่ นมาจดั พิมพ์เพอ่ื การติดตามและบันทึกได้อย่างเกาะติด ในการประสานจัดงานครั้งน้ี นอกจากท่ีได้เอ่ยนามท่านผู้มีส่วนสงเคราะห์ จ�ำนวนมากแล้ว ยังมีอีกเป็นจ�ำนวนมากท่ีหากจะเอ่ยให้ครบคงใช้พื้นท่ีอีกมาก จึง ใคร่ขอขอบพระคุณทุกฝ่ายมา ณ ที่น้ี พร้อมทั้งขออภัยหากมีความบกพร่องตกหล่น บ้าง เนื่องจากเป็นงานริเริ่มใหม่และจัดขึ้นในต่างแดน โดยขอขอบพระคุณสถาน- เอกอคั รราชทูตอนิ เดยี ประจำ� ประเทศไทย, H.E. Mr. Anil Wadhwa เอกอคั รราชทตู อนิ เดยี ประจำ� ประเทศไทย, Dr.Jaideep Nair กงสลุ สถานทตู อนิ เดยี ประจำ� ประเทศไทย ท่ีกรุณาประสานรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดียในการเอ้ืออ�ำนวยต่างๆ ท้ังใน ประเทศไทยและอินเดยี เพือ่ การน้ี ขอขอบคณุ ทกุ ทา่ นทเ่ี ขา้ รว่ มกจิ กรรมซงึ่ ถอื เปน็ งานบญุ ครงั้ สำ� คญั น้ี โดยเฉพาะ การรว่ มสมทบในกองผา้ ปา่ ถวายองคด์ าไลลามะเพอื่ กจิ การพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี รวมท้ังเพื่อความร่วมมือระหว่างกันต่อไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนตามพระพุทธ ด�ำรสั ขอขอบคณุ อมรนิ ทรท์ วั ร์ หมิ าลายนั ฮอลเิ ดย์ เนอวานา่ ทราเวล และคณุ สนุ รี ตั น์ ไม้ทมิ แหง่ นิตยสาร Simply Living ท่ีชว่ ยเออ้ื อำ� นวยความสะดวกและการประสาน งานต่างๆ 18
ขอขอบคณุ คณะอาสาสมคั รนริ นามตา่ งๆ จำ� นวนมาก โดยเฉพาะ พระไพศาล วสิ าโล, ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, นายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช, นายสมบัติ ทารัก และนายกุณฑ์ สุจริตกุล ที่ช่วยคัดสรร เรยี บเรียงเนื้อหาสาระส�ำหรบั หนงั สือเลม่ น้ี รวมถึงคณะบรรณาธกิ ารท่สี ร้างสรรคร์ ปู ลักษณ์อันงดงามให้ หนังสอื เลม่ นี้ ท้ายที่สุด ขอขอบพระคุณโครงการธรรมวาที ถวายแด่พระภิกษุรุ่นใหม่ผู้มุ่งหมายอุทิศตนเพื่อ พระพุทธศาสนา ภายใต้การสนับสนุนส่งเสริมของส�ำนักงานทรพั ยส์ ินสว่ นพระมหากษตั รยิ ์ ทีอ่ าราธนา นิมนตพ์ ระธรรมวาทีเขา้ ร่วมในกิจกรรมนีเ้ ป็นปฐม สดุ ทา้ ย ขอขอบคณุ ธรรมาจารย์ Shantum Seth แหง่ BuddhaPath และ AhimsaTrust ผนู้ ำ� ชาวพุทธอินเดีย ที่รับเชิญเป็นกรณีพิเศษในการร่วมเสวนาเพ่ือความเข้าใจ พระพุทธศาสนาในอินเดีย ตงั้ แตเ่ รม่ิ ตน้ จนถงึ ปจั จบุ นั ซง่ึ นา่ จะนำ� มาซง่ึ คำ� ตอบสำ� คญั ทพี่ ทุ ธทาสภกิ ขตุ งั้ ไวว้ า่ “แลว้ เราจะตอบแทน บุญคุณอนิ เดียไดอ้ ย่างไร?” ซงึ่ ไดค้ ดั มาลงไว้ในส่วนเนอ้ื ของหนงั สือเล่มน้ดี ว้ ยเชน่ กนั อน่ึง เน่ืองในโอกาสอนั ส�ำคัญยิ่งนี้ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อนิ ทปัญโญ โดยพระอนุญาตของ องค์ดาไลลามะ และความเห็นชอบของมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ได้จัดแปลและพิมพ์หนังสือ บนั ทกึ การสอนและสนทนาถามตอบกบั คนไทยขององคด์ าไลลามะ และพระอาจารยซ์ มั ดอง รนิ โปเช ณ เมืองธรรมศาลา ระหว่างวนั ที่ ๑๔-๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ทีเ่ ตม็ ไปด้วยเนื้อหาสาระทางธรรมสำ� คัญ วา่ ดว้ ยลำ� ดบั ขน้ั การภาวนา และ ๓๗ มรรควถิ ปี ฏบิ ตั ขิ องพระโพธสิ ตั ว์ ในชอื่ “ดาไลลามะสนทนาธรรม คร้ังแรกกับคนไทย” เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเข้าใจ อันจะน�ำมาซึ่งความเจริญในศีล สมาธิ ภาวนา ศรัทธาและความเลือ่ มใสในพระพุทธศาสนาใหย้ ิ่งข้ึน เพอ่ื ทำ� ความเข้าใจระหวา่ งกนั เพื่อแสวงหาความ ร่วมมือในงานการพระศาสนา และเพื่อสนองงานพระศาสนาในอันที่จะยังประโยชน์ต่อมหาชนตาม ปณิธาน ๓ ประการของพทุ ธทาสภิกขุ ซ่งึ เปน็ ไปตามพระพทุ ธประสงคส์ ืบไป หอจดหมายเหตุพุทธทาส อนิ ทปญั โญ ธนั วาคม ๒๕๕๕ หน่ึงจดุ หมาย หลายหนทาง 19
ภาพพระพุทธรปู ปางธรรมจกั รมทุ รา แสดงปฐมเทศนา ศลิ ปะคปุ ตะ ที่สารนาถ
๏ พระคุณที่อินเดยี มีตอ่ ไทย ๏ พทุ ธศาสนาหลังพทุ ธกาล ๏ รอยพทุ ธในอินเดีย ๏ พทุ ธศาสนามหายานในจีน ๏ ภูมิปญั ญาจากพทุ ธหมิ าลยั ๏ พทุ ธศาสนาในประเทศไทย ๏ Overview of Buddhism in Thailand ๏ พทุ ธศาสนาไทยในทศวรรษหน้า หนึ่งจุดหมาย หลายหนทาง 21
ภาพพระมหาเจดยี ์พทุ ธคยา รฐั พิหาร ประเทศอนิ เดีย เปน็ สถานที่ตรสั ร้ขู องพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้
พระคุณที่อินเดยี มีตอ่ ไทย ท่านสาธุชน ผมู้ ีความสนใจในธรรม ทง้ั หลาย, อาตมาขอโอกาสแสดงธรรมในรูปแบบที่เรียกกันว่าปาฐกถาธรรม คือพูดกันตามปรกติธรรมดา ไมต่ อ้ งมพี ธิ รี ตี องในการใชเ้ สยี ง ในการใชท้ า่ ทางเปน็ ตน้ ซง่ึ เรยี กกนั วา่ ธรรมเทศนานน้ั มนั กด็ เี หมอื นกนั แหละ แตว่ า่ ง่ายๆ ประหยัดก็อยา่ งทเ่ี รยี กวา่ ปาฐกถาธรรมนงี้ า่ ยกวา่ สะดวกกวา่ เหน่ือยน้อยกวา่ เร่ืองที่จะแสดงในวันน้ีก็คือเร่ือง ขอบคุณผู้ท่ีน�ำพระพุทธศาสนามาให้เรา ตลอดเวลาท่ีพูดกัน เมอ่ื ตอนเยน็ นน้ั เรอื่ งพระพทุ ธศาสนาทเ่ี รยี กกนั วา่ “ธรรมจกั ร” มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร ดบั ทกุ ข์ไดอ้ ยา่ งไร แกป้ ญั หา ได้อย่างไร มีความสูงสุดไปถึงไหน ก็ได้พูดกันโดยสมบูรณ์แล้วเม่ือตอนเย็นท่ีเราพิจารณาดูประโยชน์ท่ีจะ ได้รับในการท่ีมีธรรมะหรือมีพระพุทธศาสนาแล้วก็ได้ปฏิบัติ ขับไล่ความทุกข์หรือปัญหาออกไปได้มากมาย แลว้ เรากม็ กี ารเปน็ อยูช่ นิดทีเ่ ป็นที่นา่ พอใจหรือเรียกวา่ มนั สูงสดุ ท่ีมนุษยค์ วรจะมี พทุ ธทาสภิกขุ อาสาฬหบูชาเทศนาปี ๒๕๓๓ กณั ฑท์ ี่ ๒ เวลา ๒๑.๐๐ น. วนั ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๓ ณ ลานหนิ โคง้ สวนโมกข์ ไชยา หนึ่งจดุ หมาย หลายหนทาง 23
ภาพพทุ ธทาสภกิ ขุ คณุ ูปการของพทุ ธศาสนา ถา้ หากวา่ ไมม่ พี ระพทุ ธศาสนา เราคงไมไ่ ดอ้ ยหู่ รอื ไมไ่ ดเ้ ปน็ กนั อยใู่ นลกั ษณะ อย่างท่ีก�ำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ คือจะไม่มีการนับถือพระพุทธศาสนา จะไม่มีพระเจ้า พระสงฆ์ท่ีบวชขึ้นมาศึกษาเล่าเรียนอย่างท่ีน่ังกันอยู่เป็นแถวข้างหลังน่ัน มันจะไม่มี ส่ิงเหล่าน้ี คิดดูเถอะ ไม่มีความเป็นอุบาสก อุบาสิกา ไม่มีความเป็นภิกษุ สามเณร แล้วก็ ไม่มีความรู้โดยเฉพาะท่ีว่าจะดับทุกข์กันอย่างไร จะท�ำตัวเองให้เยือกเย็นแล้ว จะท�ำผู้อ่ืนให้ได้รับประโยชน์ด้วยนี้ จะท�ำกันอย่างไร มันก็ไม่มี ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า พุทธศาสนา ส่ิงเหล่าน้ีก็ไม่มี พูดง่ายๆ ก็ว่า สวนโมกข์ก็ไม่มี ถ้าไม่มีพุทธศาสนา มาสพู่ วกเรา เดยี๋ วนอี้ ะไรๆ มนั กม็ อี ยา่ งทกี่ ำ� ลงั เหน็ อยนู่ ี้ แลว้ เรากพ็ อใจในการทมี่ อี ยา่ ง น้ีแลว้ ก็ไดร้ ับประโยชน์เหลอื ประมาณในการท่มี อี ย่างน้ี ทนี ีก้ เ็ หลอื อยแู่ ต่ว่า เราจะมาพิจารณาดวู า่ จะต้องรบั รู้อะไรกนั บ้าง มหี นา้ ที่ ท่ีจะต้องตอบสนองอย่างไรกันบ้าง ในการท่ีเรามีพระพุทธศาสนาอย่างนี้ น่ีหมายถึง ทว่ั ทงั้ ประเทศไมใ่ ชเ่ ฉพาะทส่ี วนโมกขน์ ี้ เราไดร้ บั ประโยชนใ์ นทางจติ ใจ ไดร้ ธู้ รรมะลกึ ซงึ้ กำ� จดั ความทุกข์ได้ เราได้รับประโยชน์ในทางโลก ในทางภายนอก ในทางวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี เราได้มีธรรมะน้ีเป็นหลักพ้ืนฐานของวัฒนธรรมประจ�ำชาติ ไทย และชาติไทยก็ได้มีรูปแบบของชาติไทยเป็นอย่างน้ีอย่างท่ีชาติไทยก�ำลังเป็นอยู่ ในเวลาน้ี ทั้งหมดนี้มันกเ็ ป็นเรือ่ งของพระธรรมของพระศาสนา 24
เราควรจะเห็นได้ทันที ยอมรับได้ทันทีว่า นี่แหละคือ “ธรรมจักร” มันได้แผ่มาแล้ว มันได้สร้างธรรมาณาจักรขึ้นมาแล้ว ในแผ่นดินนี้ แผ่นดินนี้จึงมีลักษณะอย่างนี้ มีความสงบสุขอย่างนี้ มคี วามเปน็ ไทยสมช่อื อยา่ งนี้ ไทยนี้แปลว่าอิสระ ถ้านับถือศาสนาอื่นแล้วอธิบายยากคือ ไมเ่ ปน็ อิสระ จะตอ้ งเปน็ ทาสของพระเปน็ เจ้าของอะไรต่างๆ นานา แต่เพราะได้รับพระพุทธศาสนาจึงได้เป็นไทยคือเป็นอิสระถึงท่ีสุด ความเป็นไทยจึงมีได้เพราะความมีแห่งธรรมะในพระพุทธศาสนา เมื่อได้เป็นไทยแก่กิเลสอย่างเดียวแล้ว มันก็เป็นไทยหมดแหละ ไมเ่ ปน็ ทาสของใครเลย ทงั้ ทางกาย ทางใจ ทางสตปิ ญั ญา เรากไ็ มไ่ ด้ ภาพชน้ิ สว่ นธรรมจกั รบนหลังสิงห์ เป็นทาสของใคร เพราะว่ามีปัญญารู้ธรรมะสูงสุดของธรรมชาติ ๔ เศียร ทสี่ ารนาถ ตน้ แบบดวงตรา ซึง่ ไดม้ าจากพระพทุ ธศาสนา กลางผนื ธงชาตอิ นิ เดียปัจจุบัน พระพทุ ธศาสนาสรา้ งความเปน็ ไทย คดิ ดใู หด้ ี พระพทุ ธเจ้าสรา้ งความเปน็ ไทยใหแ้ กม่ นษุ ยชาติ ท้ังหมดท้ังสิ้น คือให้ออกมาเสียจากความเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของตัณหา เป็นทาสของอวิชชา มาสคู่ วามเปน็ ไทยโดยประการทง้ั ปวง นพ่ี ระพทุ ธศาสนาหรอื พระธรรมในพระพทุ ธศาสนาใหค้ วามเปน็ ไทย แก่เราอย่างนี้ ขอให้คิดดูให้ดีๆ เราได้ความเป็นไทย แล้วก็เป็นไทยจาก กเิ ลส เปน็ ไทยจากความทกุ ข์ เรากไ็ มม่ คี วามทกุ ข์ นก้ี เ็ รยี กวา่ เปน็ ไทย ในความหมายหน่ึง ใครอยากจะเรียกว่ามีความสุขก็ได้เหมือนกัน เป็นค�ำที่ธรรมดามาก พระพุทธเจ้าท่านไม่ค่อยใช้ค�ำนี้ว่ามีความสุข ทา่ นใชค้ ำ� วา่ “ทสี่ ดุ แหง่ ทกุ ข”์ ทสี่ ดุ แหง่ ทกุ ข์ หมดทกุ ข์ เพราะทา่ นจะ ไมพ่ ดู ใหม้ นั เปน็ ของลอ่ ใจอะไรขนึ้ มาอกี เปน็ สขุ นม้ี นั กล็ อ่ ใจในทางให้ หลงใหล ยึดถือเอากันแต่เพียงว่า มันหมดความทุกข์ก็แล้วกันแหละ ถ้ามันหมดความทุกข์ก็คือหมดปัญหา ไม่มีอะไรต้องเดือดร้อน ต้อง ดิ้นรน ตอ้ งตอ่ สู้ มันไม่มี นเี่ รียกวา่ มันหมดปัญหา คือทีส่ ุดแห่งความ ทกุ ข์ ภาพสงิ ห์ ๔ เศยี รยอดเสาหนิ พระเจา้ อโศก มหาราช ท่ีสารนาถ ใช้เป็นตราแผ่นดิน อินเดยี ปจั จุบนั หนึง่ จุดหมาย หลายหนทาง 25
ภาพธรรมจกั ร พุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีแห่งการตรสั รู้ พวกเราได้รับนับถือพระพุทธศาสนา แล้วก็ได้ สรา้ งทำ� ใหม่และติดต้งั เมอ่ื วันอาสาฬหบูชา ๒๕๕๕ ถงึ ทสี่ ดุ แหง่ ความทกุ ข์ เพราะการศกึ ษา เพราะการปฏบิ ตั ิ ณ สวนโมกขก์ รุงเทพ เพราะการได้รับผลของการปฏิบัติเป็นล�ำดับๆ มา จน เราไดม้ าอยกู่ ันในลกั ษณะอย่างนี้ มวี ดั มีวา โบสถ์ วิหาร มพี ระเจา้ พระสงฆ์ มอี ะไรทเี่ ปน็ สญั ลกั ษณข์ องพระพทุ ธ- ศาสนา มกี ารศกึ ษา มกี ารปฏบิ ตั ติ ามหลกั ของพระพทุ ธ- ศาสนา แล้วเราก็อยู่กันอย่างผาสุก น่ีขอให้ใคร่ครวญ ดูไล่เลียงดูให้รู้จักส่ิงเหล่าน้ี ทั้งหมดทั่วทั้งประเทศไทย ก็จะพอคิดได้รู้สึกได้ว่า โอ้ พระธรรมพระศาสนานี้ สร้างประเทศไทยในรูปแบบนี้ ถ้าไม่มีพระธรรมหรือ พระศาสนาเข้ามา ประเทศไทยจะอยู่ในรูปแบบอ่ืนคือ อย่างไรก็ไม่รู้ จะพอใจหรือไม่พอใจ จะรับไหวหรือไม่ ก็ไม่รู้ แต่เด๋ียวนี้เป็นที่แน่นอนว่า สู้ไหว รับไหว พอใจ และยินดีที่จะรักษาไว้ เราจึงมาศึกษา มาปฏิบัติมา พบปะกันในโอกาสอยา่ งนี้เป็นต้น มนั กเ็ พอื่ ใหม้ ีธรรมะมี พระศาสนาใหเ้ ตม็ ที่ตลอดไปนน่ั เอง นเี่ รยี กว่าเราได้รับความพอใจในสง่ิ ทเี่ รียกวา่ ธรรมะ เพราะวา่ ธรรมจักรไดแ้ ผ่ มาถึงนแี่ ลว้ กร่ี อ้ ยปีกพ่ี นั ปีกไ็ ม่ตอ้ งพดู แตว่ า่ ไดแ้ ผ่มาถงึ นี่แลว้ เราก็มอี าณาจักรแบบ ธรรมะขนึ้ มา เรยี กวา่ ประเทศไทย หรอื ประเทศอนื่ ๆ ดว้ ยกไ็ ดท้ เี่ ขามพี ระพทุ ธศาสนา แต่เราไม่ต้องไปรับรู้ของเขา เรารับรู้ที่ว่าเก่ียวกับประเทศไทยเรานี่ เราจะต้องรับรู้ ไม่ใช่รับรู้แต่เพียงว่าได้รับประโยชน์ เราจะต้องรับรู้ไปถึงหน้าท่ีท่ีเราจะต้องตอบแทน น่ัน บางคนจะสะดุ้งแล้วกระมัง เรามีหน้าท่ีท่ีจะต้องตอบแทน สนองคุณ ตอบแทน คุณดว้ ยความกตญั ญู นอ่ี ยากจะพูดเร่อื งน้ีแหละ ในวันน้กี ็อยากจะพูดเรื่องน้ี 26
ภาพแผนทีโ่ บราณของไทย แสดงเสน้ ทางสญั จรในสมัยกอ่ น ชาวอินเดยี นำ� ศาสนาและวฒั นธรรมมาให้ เราจะต้องคิดดูว่า พระธรรมหรือพระศาสนาน้ันมาเองไม่ได้ มันต้องมีคนน�ำมาให้ แล้วก็คิด ดูต่อไปว่า ใครน�ำมา ใครน�ำมานี่จะต้องศึกษาในแง่ของประวัติศาสตร์กันบ้าง ในลักษณะท่ีเป็นพุทธ- ศาสนา เกิดในอินเดียก็ชาวอินเดียน�ำมา จะบอกว่าพระโสณะพระอุตตระมาในการจัดส่งของพระเจ้า อโศกมหาราช มนั กช็ าวอนิ เดยี นำ� มา ทนี ม้ี นั ไมใ่ ชเ่ ฉพาะพทุ ธศาสนา ชาวอนิ เดยี ไดน้ ำ� มาใหม้ ากกวา่ นนั้ ที่มใิ ชพ่ ทุ ธศาสนากน็ ำ� มาให้ ศาสนาพราหมณ์น้นั เอง ในรปู ของศาสนาก็นำ� มาให้ทั้งศาสนาพุทธและให้ ทงั้ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพทุ ธมนั กม็ ปี ระโยชนอ์ ยา่ งศาสนาพทุ ธ ศาสนาพราหมณห์ รอื ไสยศาสตรก์ ม็ ี ประโยชน์อยา่ งไสยศาสตร์ น้เี รยี กวา่ ฝา่ ยศาสนา ทีน้ีฝ่ายวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี น้ีเรากันออกมาหน่อยเรียกว่าวัฒนธรรม ถ้าว่า กันโดยท่ีจริงแล้ว ศาสนาก็คือวัฒนธรรมเหมือนกันแหละ ศาสนาก็ดี การศึกษาก็ดี อะไรก็ดีมันเป็น วัฒนธรรมด้วยกันท้ังนั้น แต่เราแยกออกไปเป็นศาสนา เป็นพุทธศาสนา เป็นศาสนาฮินดู เอาให้เป็น ศาสนา มีเหลืออยแู่ ตเ่ รอื่ งทางวฒั นธรรม แยกออกมาใหเ้ ป็นอกี เรอื่ งหนึง่ ก็ถามวา่ ใครนำ� มาให้ ใครน�ำ มาให้ วัฒนธรรมนี้ใครน�ำมาให้ ก็ชาวอินเดียอีกนั่นแหละ เพราะวัฒนธรรมชาวอินเดียมาเป็นพื้นฐาน วฒั นธรรมของคนไทยเรา วัฒนธรรมไทยนน้ั มรี ากฐาน มนั มีมารดามาจากวฒั นธรรมอินเดยี คิดดูเถิด คิดดูเถอะ ไม่ต้องเช่ืออาตมาก็ได้ อย่าลืมคุณ อย่าจองหอง อย่าอวดดีจนลืมคุณว่า วัฒนธรรมน้ันมันมีมูลรากมาจากวัฒนธรรมอินเดียทั้งนั้นแหละ ศาสนาพุทธของไทยน้ีก็มาจากอินเดีย ศาสนาพุทธมนั เป็นศาสนาอนิ เดียน่นั ฮนิ ดกู เ็ ปน็ ศาสนาของอินเดีย อินเดียกม็ ีให้หลายศาสนา เราก็ได้ มที ง้ั ศาสนาพทุ ธกไ็ ด้ ศาสนาพราหมณก์ ไ็ ด้ ไดโ้ ดยชาวอนิ เดยี นำ� มาใหเ้ หมอื นกนั แลว้ กไ็ ดร้ บั วฒั นธรรม ทุกแขนงไมว่ ่าแขนงไหนเด๋ยี วจะจาระไนกันดูวา่ มนั มีกีแ่ ขนง วฒั นธรรมทุกแขนงกไ็ ดม้ าจากอนิ เดยี หน่ึงจดุ หมาย หลายหนทาง 27
มีคนเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ช่ือ Indian Cul- tural Colony of Siam เห็นช่ือแล้วก็ตกใจ สยามเป็น colony เป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมอินเดีย เขาเขียนต้ัง ช่อื ว่าอยา่ งนี้ ทแี รกชักโกรธ พอไปอา่ นเขา้ ใจวา่ โอ้ มัน จริงโว้ย เลยโกรธไม่ลง เพราะว่า Siam คือเมืองไทยนี้ มันรับมาทั้งศาสนาและวัฒนธรรมอะไรทุกอย่าง มาปั้น ตวั เองขนึ้ เปน็ ไทยในรปู น้ี โดยมวี ฒั นธรรมอนิ เดยี ศาสนา อินเดยี เปน็ หัวใจ เปน็ พืน้ ฐาน ภาพลกู ปัดตรรี ัตนะพบทีเ่ ขาสามแกว้ จงั หวัดชมุ พร ทีนี้ลองคิดดูว่ามันจริงหรือไม่จริง ใครว่าไม่จริงก็ลองหาหลักฐานมาดูสิว่า มนั ไมม่ ี มนั เปน็ ไปไมไ่ ด้ มนั เอาของอนิ เดยี มาทงั้ ศาสนาและทง้ั วฒั นธรรม เราจงึ ไดม้ ี พทุ ธศาสนา เรายง่ิ ศกึ ษาพทุ ธศาสนา ปฏบิ ตั พิ ทุ ธศาสนา ไดร้ บั อานสิ งสจ์ ากพระพทุ ธ- ศาสนา เราก็ยิ่งขอบคุณผู้ท่ีน�ำมาให้ ผู้ท่ีน�ำมาให้ก็ไม่ใช่พวกอ่ืน แล้วพวกไทยก็ไม่มี ปญั ญาไปเอามา ชาวอนิ เดยี นำ� มาให้ ทางนยิ ายกด็ ี ทางประวตั ศิ าสตรก์ ด็ ี ชาวอนิ เดยี เขามาจากอนิ เดียนนู้ มาสูท่ ่นี ี่ ทเี่ รยี กวา่ สวุ รรณภมู ิ คอื แหลมมลายทู ้งั หมดนี้ ข้ึนไปถงึ ตอนตน้ โนน้ ดว้ ย มาสวุ รรณภมู ติ ง้ั แตก่ อ่ นพทุ ธกาล มาเพอื่ หาประโยชน์ มาทำ� การแลก เปลยี่ นทำ� การคา้ แลว้ กไ็ ดท้ องคำ� ไป จะพดู ไดว้ า่ ในอนิ เดยี นนั้ หาทองคำ� ทำ� ยาหยอดตา กห็ ายาก ถา้ จะหากห็ าไม่ได้ แต่นเี้ ขามาขนเอาไป ขนเอาไปจากประเทศไทยนี่ จนที่ อินเดียมีทองค�ำมากกว่าประเทศไทย พระราชาอินเดียคนเดียวยังมีทองค�ำมากมาย กวา่ มหาเศรษฐีในเมอื งไทย มันขนเอาไปตัง้ แตห่ ลายพันปมี าแล้วน่นั มาสุวรรณภูมิน้ี ก็มาหาประโยชน์ มาหาโดยเฉพาะกท็ องค�ำน่ัน ทองค�ำหมดแผ่นดนิ ไทยกอ็ ย่ทู ี่อินเดยี หมด ไปอย่ใู นคลังในหีบในหอ่ ของอนิ เดียหมด น่ีมนั มาตง้ั แตก่ อ่ นพทุ ธกาล ที่พูดอย่างนี้ก็เพียงแต่จะให้มองเห็นภาพว่า การไปมาระหว่างอินเดียกับ ประเทศไทย แหลมมลายูท้ังหมดน้ีมันมีแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธกาล และเม่ือคนอินเดีย เหลา่ นมี้ า เขามาหาประโยชนข์ องเขากจ็ รงิ แตเ่ ขาตอ้ งมอี ะไรมาใหเ้ ปน็ การแลกเปลย่ี น ทงั้ นน้ั แหละ แลว้ นอกจากวตั ถสุ งิ่ ของแลว้ กใ็ หค้ วามรใู้ หส้ ตปิ ญั ญาคอื วฒั นธรรมตา่ งๆ เมื่อเขาดีกว่าเรา เราก็รับเอา เม่ือคนที่พ้ืนบ้านท่ีน่ียังเป็นป่าเถ่ือนก็รับเอาของใหม่ๆ แปลกๆ สงู ๆ จากชาวอนิ เดยี ชาวอนิ เดยี มาทนี่ ต่ี ง้ั แตก่ อ่ นพทุ ธกาล เขากม็ เี รอ่ื งทำ� นอง นน้ั ถงึ แมจ้ ะเปน็ ไสยศาสตร์ เปน็ อะไรกต็ ามมาใหป้ ระเทศไทยทนี่ ี่ จนกวา่ พทุ ธศาสนา จะเกิดขึ้นที่น่ี ก็เอาพุทธศาสนามาให้น่ีแหละศาสนาให้กันเต็มท่ีเลย ท้ังศาสนาอย่าง 28 พุทธ และอย่างไสยศาสตร์
ทีน้ีวัฒนธรรมต่างๆ ก็ได้น�ำมาให้ จนกลายเป็นชีวิตเป็นเลือดเน้ือของชาวไทยไปเสียแล้ว เม่ือ พูดกนั ถงึ วัฒนธรรม ระบบประเพณี ขนบธรรมเนยี มอะไรทเ่ี ป็นชั้นวฒั นธรรม เขาก็นำ� มาให้ แล้วย่ิงมา สมรสแต่งงานกันกับคนพื้นบ้านพ้ืนเมืองท่ีนี่ ก็ยิ่งฝังวัฒนธรรมลงไปอีกมากมาย ฉะน้ันชาวอินเดีย มาสบื สายโลหติ กนั กบั คนทอี่ ยทู่ ป่ี ระเทศไทยสวุ รรณภมู นิ ม้ี านมนานแลว้ เขากไ็ ดท้ ำ� ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งทจ่ี ะให้ มคี วามเจริญตามแบบอินเดยี ๑. เก่ยี วกบั ปัจจยั ๔ ทีน้ขี อโอกาสพดู ตรงไปตรงมานะ ไม่ใช่วา่ จะหลงใหลอะไร แตจ่ ะให้เปน็ ทีร่ ู้เปน็ ท่ีเขา้ ใจกัน วา่ มนั เปน็ อยา่ งไรบ้าง เรื่องแรกที่จะพูดก็เรอื่ งปจั จัย ๔ ปจั จยั ๔ อยา่ งทีพ่ ระ เรยี กปจั จยั ๔ คอื อาหาร เครอ่ื งนงุ่ หม่ เครอื่ งใชส้ อย ทอ่ี ยอู่ าศยั และยาแก้โรคนี้ เรียกว่าปัจจัย ๔ ชาวอินเดียจะเรียกว่ามาเป็น ครูก็ได้ ถ้าเราไม่ได้พบกับชาวอินเดีย ยังเป็นไทยท่ีอยู่ทางทิศ เหนอื ใกลๆ้ ประเทศจนี มนั กจ็ ะตอ้ งมวี ฒั นธรรมเหมอื นประเทศ จีนน่ันแหละ อาหารการกิน ก็จะต้องเป็นแบบจีน เด๋ียวนี้ชาว ภาพวธิ กี ารเปบิ ขา้ วของคนไทยสมยั โบราณ อินเดียก็มาจับยึด คือมาสอนให้อย่างอินเดีย การกินอาหาร มันจึงกลายเป็นอย่างอินเดีย ถ้าเป็นอย่างจีน อาหารเผ็ดไม่มี เครอ่ื งเทศกไ็ มม่ ี ถา้ เปน็ อยา่ งจนี แตเ่ ดยี๋ วนคี้ นไทยทนี่ กี่ นิ อาหาร ที่มีรสเผ็ดที่เรียกว่าแกง แล้วก็รู้จักใช้เครื่องเทศ มีน�้ำพริกกัน ถ้าไม่ได้พบกับชาวอินเดีย คนไทยกไ็ ม่มนี ้�ำพริกกนิ แหละ อยา่ งดี ก็เปน็ อยา่ งทจี่ นี เขาใชน้ ้ำ� จม้ิ เท่าน้ันแหละ นคี่ นไทยมีนำ�้ พริกกิน เพราะถา่ ยทอดมาจากอนิ เดยี ทอี่ นิ เดยี มนี ำ้� พรกิ กนิ เขาเอาพรกิ มาต�ำกับหัวหอมแล้วก็ใส่น�้ำส้มท�ำเป็นน�้ำพริกนี่ ชาวอินเดียมา สอนใหเ้ รารูจ้ กั กินน�้ำพริก แล้วทน่ี ่าหวั ท่ีสุดก็คอื ชาวอินเดยี เขามาสอนใหค้ นไทยทีน่ ีร่ จู้ ักรบั ประทานอาหารด้วยมอื นัน้ เอามือหยิบใส่ปาก กินด้วยมือ ไม่กินด้วยตะเกียบอย่างพวกจีน ถ้าไม่ได้คบค้ากับพวกอินเดียแล้ว กนิ อาหารกบั มอื ไมเ่ ปน็ แหละ พระพทุ ธเจา้ พระอรหนั ตท์ งั้ หลาย ฉนั ขา้ วดว้ ยมอื ทง้ั นนั้ แหละแบบอนิ เดยี เดี๋ยวนี้ก็ยังมีในอินเดีย แต่ท�ำอย่างเป็นพิธีรีตอง กินข้าวด้วยมือกันท้ังนั้น รัฐมนตรีก็กินข้าวด้วยมือ นี่วิธีกินข้าวกับมือ มีอาหารเผ็ดร้อนเป็นเคร่ืองเทศ มีน้�ำพริกกินน้ีก็เพราะชาวอินเดียมาสอนให้ ถา้ ใครชอบน�้ำพริกกค็ วรจะขอบใจ หน่งึ จุดหมาย หลายหนทาง 29
ทีน้ี เครื่องนุ่งห่ม ถ้าไม่ได้คบกับชาวอินเดียแล้วนุ่งโจงกระเบนไม่มี นุ่ง โจงกระเบนไมม่ แี นๆ่ นงุ่ โจงกระเบนเปน็ ของอนิ เดยี มาสทู่ น่ี ่ี มาสเู่ ขมรแลว้ ถา่ ยทอด มาทน่ี ี่ อาตมาไปทอ่ี นิ เดยี ในทแ่ี หง่ หนงึ่ บา้ นนอกออกไปสกั หนอ่ ย สะดงุ้ พอเหลอื บ ไปเหน็ คดิ ว่าเปน็ เมืองไทย มันนุ่งผา้ โจงกระเบนเหมอื นๆ ไทย ไมใ่ ช่เหมือนแขก ฮินดู เหมือนไทยอย่างที่คนไทยผู้หญิง ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนเหมือน ถ้าดูไปจาก ทางหลัง เส้ือก็เหมือน แล้วข้างบนก็ทูนกระจาดกระเชอ แล้วมันก็นาดแบบไทย มอื นาดแกวง่ แบบไทย สะดงุ้ คดิ วา่ เมอื งไทย พอเขา้ ไปใกลท้ ไี่ หนไดเ้ ปน็ แขกอนิ เดยี ถ้าเราไม่ไดส้ มาคมกบั ชาวอินเดยี แลว้ การนงุ่ ผา้ โจงกระเบนนไี้ ม่มี ภาพการแตง่ ตวั ชาวสยาม จากจดหมายเหตลุ าลแู บร์ ขอใหค้ ดิ ดเู ถดิ วา่ เรอื่ งนงุ่ หม่ นมี้ นั เกยี่ วขอ้ ง กัน อย่างดีก็ใช้เครื่องนุ่งห่มอย่างจีน นุ่งกางเกงกัน ไปแบบนั้น นุ่งผ้าเป็นผ้าผืนๆ นี้ ผ้าผืนเดียวยาว น้ีมันไม่มี ที่มันนุ่งผ้าลาย เมื่อก่อนเรียกผ้าลาย ผู้หญิงผู้ชายก็นุ่งผ้าลายอย่างแต่ก่อน ผ้าลายนั้น มาจากอินเดีย ไม่ใช่ของฝรั่ง อย่าเข้าใจว่าของฝรั่ง ที่มณฑลสุรัชต์ของอินเดียภาคตะวันตก เขาผลิต ผ้าลายหนาๆ สารพัดอย่าง สารพัดลาย สารพัดสี มาขายเมอื งไทย เหมอื นกบั สอนใหค้ นไทยนงุ่ ผา้ ลาย ผ้าโจงกระเบน เครื่องนุ่งห่มเป็นอย่างนี้ รู้จักนุ่งผ้า โจงกระเบน ที่อยู่ท่ีอาศัย เราก็มีโบสถ์มีวิหาร ท�ำอย่าง แบบโบสถ์วิหารอย่างอินเดีย ไม่ได้ท�ำอย่างจีน ไมไ่ ดท้ ำ� อยา่ งฝรงั่ โบสถว์ ิหารบา้ นเรือน พอจะถอด รูปแบบทางสถาปัตย์ออกมาได้ว่า มันเลียนแบบ อนิ เดยี มากกวา่ อยา่ งอนื่ บา้ นเรอื นของเรา วดั วาอาราม ทง้ั หลายกด็ เู ถอะ มนั สรา้ งในรปู แบบทถ่ี า่ ยทอดจาก อินเดีย ภาพจิตรกรรมเรอ่ื ง สมทุ รโฆษคำ� ฉันท์ ทีอ่ ุโบสถวัดดุสติ าราม 30
ทีน้ี หยูกยารักษาโรค นั้น คือต�ำราสมุนไพร สมุนไพรที่ทุกๆ วัดก่อนน้ีท�ำก่อนท่ียาฝรั่ง จะเขา้ มา หยกู ยาอยตู่ ามวดั ทงั้ น้ัน ทกุ วัดก็มยี าสมุนไพรคอยแจกให้ มนั มยี าสมนุ ไพร ซึง่ สอนจาก อนิ เดยี โดยตรง เอาสมนุ ไพรชอ่ื นนั้ ในดนิ ในปา่ มาทำ� อยา่ งนนั้ ๆ ตำ� รายาแบบไทย สมนุ ไพรแบบไทย ถอดมาจากต�ำราอินเดยี ชอื่ ต�ำรากเ็ ปน็ อินเดีย มชี อ่ื หยกู ชอื่ ยาหลายอยา่ งกย็ ังเป็นของอนิ เดีย แลว้ บางทีก็เอามาโดยตรง เอามาจากอินเดียโดยตรง ซึ่งแผ่นดินนี้มันไม่มี เช่นสารภี กรรณิการ์ พิกุล บนุ นาค เหลา่ นม้ี นั ไมม่ ี มนั เอามาจากอนิ เดยี โดยเฉพาะกรรณกิ าร์ มะลิ นกี้ ม็ าจากอนิ เดยี หยกู ยา ได้รับมาจากอินเดยี เปน็ สมุนไพร แลว้ ทว่ี า่ กนิ หมากนนั้ มนั ของอนิ เดยี เราไมไ่ ดก้ นิ หมากแบบอนื่ กนิ หมากแบบอนิ เดยี โดยตรง ไปดูท่ีอินเดียก็จะตกใจว่า ยังกินหมากอยู่ เมืองไทยชักจะเลิกๆ แต่อินเดียยังกินหมากกันอยู่มาก คนไทยกนิ หมากเพราะชาวอนิ เดยี มาสอนให้ แตช่ าวอนิ เดยี ไมไ่ ดเ้ อาบหุ รยี่ าสบู ยาฝน่ิ มาให้ นรี่ ไู้ วด้ ว้ ย อยา่ ไปเขา้ ใจผดิ แตเ่ อาหมากนน้ั มาให้ มากนิ จนปากแดงไปหมด เรยี กวา่ เปน็ ของคนไทย กนิ หมาก ปากแดง ทีจ่ รงิ มนั ของอินเดยี เรอื่ งหยกู ยาต�ำรายาเป็นอย่างเดียวกนั กับต�ำรายาโบราณของอนิ เดีย โรคภยั ไขเ้ จ็บกเ็ หมือนๆ กนั ถา้ โรคฤดูรอ้ น โรคในเขตร้อนมันเหมือนๆ กัน อนิ เดียกับไทยใช้ตำ� รา เดียวกันได้ นีเ้ รียกวา่ โดยปัจจยั ๔ ถา่ ยทอดมาจากอนิ เดีย มาเป็นอยา่ งไทยมีชวี ติ อย่างไทย ภาพการบวชลกู ชายของคนไทย ๒. ประเพณีเกีย่ วกบั ชีวิต ตามธรรมเนยี มโบราณ ทีน้ีก็จะมาดูอย่างที่เรียกว่าวัฒนธรรมขนบธรรมเนียม ประเพณี ขน้ั ตอนต่างๆ เกย่ี วกบั ชวี ติ ประเพณเี กยี่ วกบั การตง้ั ครรภ์ ก็ท�ำอย่างอินเดีย มีลูกในครรภ์ก็มีประเพณีอย่างอินเดีย เกดิ ออกมากท็ ำ� พธิ ตี ามอยา่ งอนิ เดยี ทม่ี าสอนไวใ้ หน้ านแลว้ เชน่ โกนจุก อย่างอินเดีย บวช อย่างอินเดีย เรียน อย่างอินเดีย แต่งงานอย่างอนิ เดีย ตาย แล้วก็เผาอย่างอินเดยี ไมฝ่ งั ถ้าฝังก็ เปน็ แบบอนื่ แบบจนี ไป คนไทยตายแลว้ เผา แลว้ กเ็ ซน่ สรวง การ บนบานศาลกล่าว การท�ำบุญอุทิศให้ผู้ตาย น้ีของอินเดียทง้ั นั้น การท�ำบุญอุทิศกุศลให้ผู้ตาย นั้น ชาวอินเดียท�ำเคร่งครัดมาก แล้วมาสอนให้เรา นี่เรียกว่าพิธีขนบธรรมเนียมประเพณี ตั้งแต่ อยใู่ นครรภ์ จนคลอดออกมา จนสมรสจนแต่งงาน จนตายเข้า โลง แลว้ ยงั ทำ� บญุ กศุ ลอทุ ศิ ไปใหน้ เี้ ปน็ ของชาวอนิ เดยี ไมใ่ ชข่ อง ชาวไทย ของชาวไทยก็มีในรูปอื่น แต่ท่ีก�ำลังท�ำกันอยู่ในเวลา น้ีมันเป็นของอินเดีย ให้รู้ว่าเขาถ่ายทอดวัฒนธรรมให้อย่างยิ่ง ถึงขนาดน้ี หนงึ่ จดุ หมาย หลายหนทาง 31
ภาพคนก�ำลังไถนาของคนไทยสมยั ก่อน ถ้าพูดถึง การท�ำนา หัวหมูท่ีใช้ไถนานั้น ท่ีใช้ เสียบผาลไถนา หัวหมูไทยเหมือนกับหัวหมูอินเดีย ภาพตวั อักษรของอนิ เดยี โบราณ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เหมือนกับหัวหมูจีน ไม่เหมือน 32 กับหัวหมูฝรั่ง แต่เหมือนกับหัวหมูท่ีอินเดียร้อย เปอร์เซ็นต์ ไปศึกษาดูการท�ำนาของเขาแล้วก็มีพิธี ท่ีเก่ียวกับท�ำนาทุกข้ันตอนแหละเหมือนกับอินเดีย เพราะชาวอินเดียมาสอนให้ พิธีเกี่ยวกับผูกข้าว ท�ำขวัญแม่โพสพอะไรต่างๆ เก่ียวกับท�ำนาท�ำข้าว นั้น เอาอย่างอินเดียท้ังนั้น ชาวอินเดียมาสอนให้ แล้วจึงมาเกี่ยวข้าวอย่างไร อย่างนี้ก็เหมือนกันเลย ไปดูท่ีอินเดียเหมือนกันเลย ท่ีว่าคนไทยเกี่ยวข้าว พิธีรีตองเก่ียวกับดิน เก่ียวกับน้�ำ เก่ียวกับไฟ เกี่ยว กบั ลมตามแบบไสยศาสตร์ เกยี่ วกบั การทำ� นา บชู า นา บูชาน�้ำ บูชาแผ่นดิน บูชาอย่างอินเดียหมด นเ้ี รยี กวา่ การท�ำนา ๓. การศกึ ษา ทีน้ีมาถึงเรื่องท่ีมันสูงข้ึนมาหน่อย ท่ีเรียกว่า การศึกษา การศึกษาอักษรศาสตร์ วรรณคดีอะไร กต็ าม การศกึ ษาของไทยนนั้ ถอดรปู แบบออกมาจาก อนิ เดยี ศกึ ษาตามแบบอยา่ งอนิ เดยี เปน็ พนั ปมี าแลว้ ตัวหนังสือไทยมันถอดรูปออกมาจากอักษรอินเดีย ศึกษาอักษรพราหมี ศึกษาอักษรเทวนาครี จะเห็น ได้ว่าตัวอักษรไทยมันถอดออกมาจากอักษรอินเดีย ตวั อกั ษรไทย ก ข ค ที่ใช้อยูน่ ี้ มนั ถอดแบบมาจาก อักษรอินเดีย น่ีการศึกษามันมีรากพ้ืนฐานมาจาก อนิ เดียของอนิ เดยี
ทนี ้ีมาเร่อื งเรียนเป็น ก.ข.ก.กา.ก.เกย นีม้ นั ก็แบบอินเดยี นบั เป็น กะ กา กิ กี กึ กือ มนั ก็ แบบอินเดีย นี้มันสูงข้ึนมา มีค�ำที่สูงๆ แล้วเป็นค�ำอินเดีย ในภาษาไทยปัจจุบัน หนังสือธรรมดา จะมีค�ำอินเดียต้ัง ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วมากขึ้นๆ ต่อไปภาษาไทยมันจะเป็นภาษาอินเดียเกือบ ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ เดี๋ยวนี้ก็ไปดูเถอะ ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์ หยิบหนังสือข้ึนมาสักหนึ่งหน้ามาอ่าน ท่ีน่ังอยู่ท้ังหมดน้ีมีช่ือเป็นอินเดียกว่าครึ่ง เรียกว่ามันถอดเอาอินเดียมา ทางอักษรศาสตร์ มี ฉันทลักษณ์ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน น้ีถอดมาจากอินเดียทั้งน้ันแหละ รูปแบบต่างๆ ของ ค�ำฉันท์ ตั้งร้อยกว่าชนิดก็ถอดมาจากอินเดีย โคลงกลอนก็ถอดมาจากน้ันอีกทีหน่ึง แต่น่าหัว นา่ หวั ทเี่ ราทำ� ไดด้ กี วา่ ครู ทำ� ไดด้ กี วา่ ครู ขอ้ นอี้ ยา่ เหน็ เปน็ กเิ ลส อยา่ เหน็ วา่ พดู เลน่ คนไทยนท้ี ำ� อะไร ดกี วา่ ครทู งั้ นนั้ แหละ เรารบั แบบนงุ่ ผา้ มากม็ าทำ� แบบไดด้ กี วา่ แบบปรงุ อาหารรบั มาจากทอี่ นื่ กท็ ำ� ได้ ดกี วา่ แหละ เดย๋ี วนอี้ าหารไทยนเ้ี ลศิ ทส่ี ดุ เพราะมนั ปรงุ แบบดกี วา่ ครู โคลงฉนั ทก์ าพยก์ ลอนทอ่ี ยใู่ น ภาษาไทย ไพเราะเพราะพรง้ิ กวา่ ทเี่ ปน็ อยา่ งอนิ เดยี โคลงฉนั ทก์ าพยก์ ลอนทอี่ นิ เดยี ไมม่ สี มั ผสั หรอก เคอะคะเคอะคะไปอย่างนนั้ แหละ เอาแตจ่ �ำนวนเท่านั้นแหละ พอฟงั ออกวา่ เปน็ กลอน แตถ่ า้ โคลง ฉันท์กาพย์กลอนภาษาไทยก็เพราะพร้ิงที่สุด น่ีเรียกว่าแล้วแต่อะไรท่ีเราได้รับมาจากเขาแล้ว เราทำ� ดกี วา่ ครเู สมอ นไี้ มใ่ ชอ่ วดดี มนั เปน็ ความจรงิ ขอใหส้ งั เกตอะไรๆ กเ็ ราทำ� ไดด้ กี วา่ ครู หนงั สอื ฉันทลกั ษณ์ วรรณคดี อักษรศาสตร์ กท็ �ำได้ดกี วา่ ครู ๔. ศิลปะ ทนี ี้ ศลิ ปะ พวกวจิ ติ รศลิ ป์ ประณตี ศลิ ป์ นาฏศลิ ป์ อะไร ก็ท�ำได้ดีกว่าครู เราเล่นโขนเล่นละครได้ดีกว่าอินเดียซึ่งเป็นครู ท�ำได้ดีกว่าครูแม้แต่หนังสือน้ัน คุณอย่าไปคิดว่าของไทย มัน ก็รับมาจากอินเดีย เขาเรียกว่าละครท่ีเล่นด้วยเงา (ฉายานาฏ- กา) ที่อินเดียเรียกอย่างน้ันคือละครที่เล่นด้วยเงาคือหนังตะลุง มโนราห์ ถ่ายทอดมาจากอนิ เดยี แลว้ เอามาทำ� เป็นละครที่สวย กว่างามกว่าดีกว่าครูอีกแล้ว ค�ำว่าดีกว่าครูนั้นเป็นของไทย แตเ่ รากร็ ับเอาของเขามา ท�ำไดด้ กี ว่าครู ภาพทา่ ร�ำโขน ท่าร�ำต่างๆ นี้เห็นได้ชัดว่ามาจากอินเดีย ไม่ได้มาจากจีน ไม่ได้มาจากฝร่ัง ท่าร�ำมันสวย สดหยดยอ้ ยอยา่ งร�ำไทยนม้ี นั ถอดมาจากอินเดยี ประติมากรรม กไ็ ดร้ ับแบบมาจากอนิ เดยี เช่นทำ� รูปพระโพธิสัตว์ รูปพระพุทธรูปอะไรที่เราท�ำๆ กันอยู่เป็นประติมากรรมก็ถอดมาจากอินเดีย แล้ว จะเรียกอะไรดีละ สุคนธกรรม คือ ของหอม ของหอมต่างๆ เรารับมาจากอินเดยี แตเ่ ราทำ� ดีกวา่ แลว้ หอมกวา่ แลว้ ดกี วา่ แบบอนิ เดยี นมี่ นั เปน็ ดกี วา่ ครู มนั เปน็ ทาสของเขาในทางวฒั นธรรม แตร่ บั มาแลว้ ท�ำดกี วา่ ครู นขี้ อใหร้ ูไ้ ว้ หนง่ึ จุดหมาย หลายหนทาง 33
๕. วิทยาการแขนงต่างๆ วทิ ยาการแบบโบราณ เปน็ อนั มาก มตี ำ� รามอี ะไรเอามาจากอนิ เดยี แมแ้ ต่ ต�ำราที่จะจับช้างในป่ามาท�ำให้เป็นช้างบ้านน้ันมีต�ำราอย่างอินเดียแปลออกมา รู้จักจับช้างป่าเอามาให้เป็นช้างบ้าน นี้เรียนมาจากอินเดีย อินเดียก็เป็นต้นตอ เปน็ ครตู ำ� ราเรอื่ งชา้ ง เรอ่ื งมา้ เรอ่ื งแมว เรอ่ื งนก เรอื่ งหนนู ข้ี องอนิ เดยี มพี รอ้ ม แลว้ มาสอนให้คนไทยเรา การเสกเป่า พิธีการทีเ่ ป็นการเสกเปา่ นี้ก็รับมาจากอนิ เดยี วิชาการต่อสู้ป้องกันตัว เร่ืองมวย เร่ืองฟันดาบ เรื่องกระบองกระบี่ ก็รับมาจาก อนิ เดีย พอแล้วหรือยังที่ว่าเป็นขี้ข้าทางวัฒนธรรมของอินเดีย พอหรือยัง เราจะไป โกรธเขาได้เหรอ แม้คนคนหน่ึงเขาจะเขียนออกมาอย่างน้ัน ว่าไทยเป็นขี้ข้าทาง วัฒนธรรมของอินเดีย เราไม่โกรธหรอก เขายิ่งพูดเราย่ิงขอบใจว่าเออจริงๆ แกเอามาใหฉ้ นั ทพี่ ดู นก้ี เ็ พอ่ื วา่ เรารจู้ กั พระคณุ กนั เสยี บา้ งจะไดค้ ดิ ตอบแทนพระคณุ กนั เสียบา้ ง ถ้าดูให้ละเอียดในทางจริยธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีท่ีอ่อนช้อย ละมุนละไมน่ีก็ถ่ายมาจากอินเดียมากเหมือนกัน ไม่ได้ถ่ายมาจากจีน ไม่ได้ถ่าย มาจากฝรั่ง เรามี การกราบการไหว้ ท่ีอ่อนน้อม มี จิตใจเมตตากรุณา เอ้ือเฟื้อ เผ่อื แผ่ จะขอโอกาสพูดให้นักการเมืองเขาด่าสักหน่อยว่า เรามีประชาธิปไตย แบบท่ีเคารพผู้เฒ่าผู้แก่ ประชาธิปไตยแต่เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ในท่ีประชุมน้ัน มัน เปน็ วนิ ยั มนั เปน็ ระเบยี บของพระสงฆ์ ระบอบของพระสงฆม์ นั เปน็ ประชาธปิ ไตย ที่สุด ค้านเสียงเดียวก็ไม่ได้ ล้มแหละ ต้องทุกเสียงจึงเป็นประชาธิปไตย ยงิ่ กว่าเดย๋ี วนี้ ซง่ึ มันไม่รอ้ ยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่ายังเคารพเช่ือฟงั ผเู้ ฒา่ ผู้แก่ท่มี ีอยใู่ น ท่ีประชุมน้ัน อาตมาเลยเรียกว่าประชาธิปไตย ท่ีมีความเคารพผู้เฒ่าผู้แก่ ผหู้ ลกั ผใู้ หญใ่ นทปี่ ระชมุ นนั้ เปน็ ประชาธปิ ไตยแทจ้ รงิ ไมเ่ หมอื นกบั ทมี่ อี ยเู่ ดยี๋ วนี้ เดี๋ยวน้ีมันมีประชาธิปไตยแล้วมีฝ่ายค้าน แล้วด่ากันให้สนุก ล้มกันให้สนุกแหละ ประชาธปิ ไตยอะไรกนั ประชาธปิ ไตยทแ่ี ทจ้ รงิ อยา่ งของอนิ เดยี เคารพผเู้ ฒา่ ผใู้ หญ่ เชน่ ในวดั นมี้ ลี กั ษณะประชาธปิ ไตยแตเ่ คารพอปุ ชั ฌายอ์ าจารย์ เคารพผหู้ ลกั ผใู้ หญ่ อยู่ในตัวประชาธปิ ไตย วฒั นธรรมน้ีสงู สุดถา้ กลับมาไดก้ ็ดี 34
ภาพพระพทุ ธรูปในถ�้ำเอลโลร่า พทุ ธศาสนากบั ไสยศาสตร์ นี่เรียกว่าเป็นเร่ืองเกิดมาจากอินเดีย จะเรียกว่า ศาสนาฮินดูเป็นแม่ ศาสนาพุทธเป็นพ่อ ก็ได้ ออกมาจากอินเดียท้ังนั้นแหละ ท่ีเรียกว่า ไสยศาสตร์ น้ันก็ไม่ใช่เล่น เราถือไสยศาสตร์กันไปเกือบ จะหมด ของส�ำหรับคนปัญญาอ่อน ของส�ำหรับเด็กๆ เด็กๆ ไม่อาจจะรู้สูงได้ก็ถือไสยศาสตร์ไปก่อน ฉะนน้ั เดก็ ๆ จงึ ไดร้ บั คำ� สง่ั สอนใหเ้ ชอื่ ถอื อยา่ งไสยศาสตร์ นบั ถอื ผสี างเทวดา ภตู ผปี ศี าจกนั ไปกอ่ นแลว้ จงึ คอ่ ยมาถอื อยา่ งสงู ขนึ้ มาเปน็ พทุ ธะลว้ นๆ ไสยศาสตรจ์ งึ ฝงั อยใู่ นจติ ใจมาตงั้ แตเ่ ลก็ เรอื่ งของไสยศาสตร์ มันท�ำให้หายกลัวได้ ถา้ ไมม่ คี วามรอู้ ยา่ งพทุ ธศาสนา แลว้ ไสยศาสตรก์ ไ็ มม่ ี คนนนั้ มนั กว็ า้ เหว่ มนั จะเปน็ บา้ เอากไ็ ด้ ไมม่ อี ะไรจะชว่ ยระงบั ความกลวั ไสยศาสตรแ์ มจ้ ะเปน็ เรอื่ งงมงายอะไรกเ็ ปน็ ทพ่ี ง่ึ แกค่ นปญั ญาออ่ น หรอื เป็นที่พ่ึงแก่เด็กๆ ท่ีในบ้านในเมืองไหนก็ตาม ประเทศไหนก็ตามเถอะ คนปัญญาอ่อนต้องมีมากมาย ดังน้ันไสยศาสตร์ต้องเก็บไว้ เลิกไม่ได้นะ เอาไว้ให้คนปัญญาอ่อน เขาจะได้อุ่นอกอุ่นใจ แล้วก็ไม่เป็น โรคประสาท ไมเ่ ปน็ บา้ ไสยศาสตรม์ นั ชว่ ยคมุ้ คนปญั ญาออ่ น พทุ ธศาสตรก์ จ็ งู คนปญั ญาแกก่ ลา้ ไป ฉะนน้ั ยงั จะตอ้ งเกบ็ ไสยศาสตรไ์ วใ้ หค้ นปญั ญาออ่ น มนั จงึ เลกิ ไมไ่ ด้ เลกิ ไมไ่ ดจ้ นกระทง่ั เดย๋ี วน้ี แมใ้ นกรงุ เทพฯ กต็ ้องเก็บไสยศาสตร์ไวเ้ ยอะแยะสำ� หรับคนปญั ญาอ่อน จะได้ใช้เป็นทพ่ี ง่ึ หนึ่งจดุ หมาย หลายหนทาง 35
ภาพพระบรมธาตไุ ชยาราชวรวหิ าร ทีนี้เม่ือประชาชนมันมีท้ังคนปัญญาอ่อนและ คนปัญญาแก่ ก็เลยต้องให้มีการถือพร้อมกันทั้งสอง ศาสนา ทง้ั พทุ ธศาสตรแ์ ละไสยศาสตร์ จากพยานหลกั ฐาน แสดงชัดให้เห็นเหลืออยู่ โดยเฉพาะที่เมืองไชยานี้ วัดที่เก่าถึงสมัยพันปีโน้นแล้ว ก็จะมีโบสถ์พราหมณ์อยู่ หน้าวัดคู่กับโบสถ์พุทธที่อยู่ในวัด เด็กๆ มาจากบ้าน ก็ผ่านโบสถ์พราหมณ์ก่อน ก็ไหว้โบสถ์พราหมณ์ก่อน ทำ� อะไรพธิ รี ตี องอยา่ งโบสถพ์ ราหมณก์ อ่ น แลว้ จงึ เขา้ มา ในวัดกระท�ำอย่างพุทธ ส�ำหรับผู้ใหญ่ ส�ำหรับพ่อแม่ หรือว่าคนปัญญาอ่อนก็ท�ำอะไรกันให้พอใจที่โบสถ์ พราหมณน์ น่ั แหละ แลว้ เขา้ มาในโบสถพ์ ทุ ธกไ็ มต่ อ้ งแลว้ เอาไวใ้ หค้ นทีป่ ัญญาแก่กลา้ เป็นพทุ ธ ท่ีวัดพระธาตุน้ันก็มี แต่เขายึดเอาไปเป็นท่ีบ้านท่ีเรือนเสียแล้ว ที่วัดชยาราม ก็มีที่โบสถ์พราหมณ์ มีคนยึดเอาไปเป็นที่บ้านที่เรือนเสียแล้ว ที่วัดท่าโพธ์ิโน้นก็มี ถา้ วดั เกา่ ถงึ พนั ปจี ะมโี บสถพ์ ราหมณอ์ ยหู่ นา้ วดั เสมอ นแี้ สดงวา่ จะเปน็ รฐั บาล จะเปน็ พระเจ้าแผ่นดินอะไรก็ตาม จัดให้ประชาชนถือศาสนาทีเดียวได้มีสองศาสนา ตามที่ ปัญญาแก่ตามทป่ี ัญญาออ่ น นีน้ บั วา่ ฉลาด อาตมาไม่ต�ำหนิเร่ืองไสยศาสตร์ เพราะมันจ�ำเป็นส�ำหรับคนปัญญาอ่อน รัฐบาลสมัยนั้น พระราชามหากษัตริย์สมัยนั้นก็ต้องรู้เร่ืองน้ีท่านจึงจัดไว้ให้เกิด ขนบธรรมเนยี มประเพณี วดั มที งั้ โบสถพ์ ราหมณแ์ ละโบสถพ์ ทุ ธในวดั เดยี วกนั แตต่ อ่ มา โบสถพ์ ราหมณก์ ถ็ กู กำ� จดั ออกไป กำ� จดั ออกไปหมดไป แตร่ อ่ งรอยทางประวตั ศิ าสตร์ ยังเหลืออยู่ พระนารายณ์หลายๆ องค์ยังมีเหลืออยู่ คนเอามาจากโบสถ์พราหมณ์ เอามาเกบ็ ไวใ้ นโบสถพ์ ทุ ธ ทเี่ จดยี ว์ ดั แกว้ นน้ั กย็ งั พบศวิ ลงึ ค์ ๒ ดนุ้ มพี บรปู ของหวั ชา้ ง พระพิฆเนศก็มี แสดงว่าในวัดพุทธนั้นมีรูปปฏิมาของพราหมณ์รวมอยู่ด้วย เพราะให้ ประชาชนได้ถือ ไดเ้ ลือกถือเอาตามพอใจ ปัญญาออ่ นเอาตามปัญญาอ่อน ปญั ญาแก่ ก็เอาตามปญั ญาแก่ น่ีแหละคือศาสนาและวัฒนธรรมท่ีเราได้รับจากอินเดีย อินเดียเอามาให้ ทั้งน้ันแหละ ชาวอินเดียเอามาให้เพราะเขาต้องการมาหาลาภผลมาหาทอง หาอะไร 36
ที่น่ี บางทีเขาก็มาแต่งงานสมรสกับคนที่น่ี ทิ้งพืชพันธุ์อย่างอินเดียไว้ก็เหลืออยู่มากเหมือนกัน คือพวก พราหมณ์ ตามที่เรียกกันว่าพราหมณ์มันก็มีโอกาสท่ีจะถ่ายเทวัฒนธรรม และศาสนาให้แก่ประชาชน ทน่ี ี่ อยใู่ นเลอื ดอยใู่ นเนอื้ ตดิ มาจนบดั น้ี ซงึ่ เปน็ เวลาลว่ งมาสองพนั ปสี ามพนั ปี มนั กม็ อี ยมู่ าก นเ้ี อาออกได้ เมอ่ื ไร สายเลอื ดทมี่ นั เปน็ อนิ เดยี ทเ่ี ขาฝงั มาให้ โดยชาวอนิ เดยี ครง้ั กระโนน้ เอาออกไดเ้ มอื่ ไร มนั กส็ บื ตอ่ กนั มาจนบดั นี้ มนั กต็ อ้ งรบั รวู้ า่ เรามนั สรา้ งชวี ติ สายเลอื ดสายเนอ้ื ขน้ึ มาจากสองศาสนา ทงั้ ศาสนาฮนิ ดู ทง้ั ศาสนาพุทธ คอื ท้ังไสยศาสตรแ์ ละทัง้ พทุ ธศาสตร์ เราจะสนองคุณอินเดียอยา่ งไร เอาละ สรุปความสักที ก็จะได้แล้วกระมังว่าโดยศาสนาก็ดี เรารับจากอินเดีย โดยเขาเอามา ให้ โดยไสยศาสตร์ก็ดี เรารับจากอินเดีย โดยเขาเอามาให้ โดยขนบธรรมเนียมประเพณีรีตองต่างๆ หยมุ หยมิ ไปหมด ไมร่ กู้ สี่ บิ กรี่ อ้ ยอยา่ ง ทถ่ี อื อยา่ งอนิ เดยี เพราะอนิ เดยี เขาเอามาให้ นส่ี รปุ ความแลว้ เรา กม็ กี ารเปน็ หนบี้ ญุ คณุ แกอ่ นิ เดยี มากมายอยา่ งนี้ อาตมาพดู อยา่ งนจี้ ะเรยี กวา่ ทวงบญุ คณุ แทนชาวอนิ เดยี กไ็ ด้เหมือนกัน จะด่ากไ็ ดเ้ หมอื นกนั แหละ ขอแต่ว่าอยา่ ลมื บุญคุณขอ้ น้ี จึงมีความคิดว่าเราจะต้องนึกกันแล้วว่า ควรจะสนองคุณ ควรจะตอบแทนคุณ ถ้าท�ำได้นะ ถึงกับว่าขนพุทธศาสนากลับไปให้ชาวอินเดียนี้จะวิเศษท่ีสุด เราขนศาสนาพุทธจากเมืองไทยไปให้ชาว อินเดียน้ีจะวิเศษท่ีสุด แต่อาตมาคิดว่าจะท�ำไม่ได้ ความสามารถอย่างน้ี หน้าตาอย่างน้ีท�ำไม่ได้ และ ชาวอินเดียเขากม็ ่ันคงในศาสนาฮนิ ดเู สียดว้ ย พอดกี ัน แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี เราจะตอ้ งตอบแทนคณุ ใหเ้ ขารวู้ า่ เรารบู้ ญุ คณุ และตอบแทนคณุ จะตอ้ งสร้างอะไร ออกมาให้เปน็ เคร่ืองยนื ยันวา่ เรารูบ้ ุญคุณและเราจะตอบแทนบุญคณุ ยกตัวอย่างง่ายๆ พวกขา้ ราชการ สถานทตู อนิ เดยี คอื ชาวอนิ เดยี แทๆ้ เลย เขามาทนี่ แ่ี ลว้ เขาเหน็ รปู รปู ภาพหนิ สลกั พทุ ธประวตั จิ ากอนิ เดยี รูปปัน้ หนิ สลกั ทรี่ อบโรงหนังนัน่ เขาตะลงึ งงงนั ไปหมดว่า นี่คณุ ทำ� อยา่ งไร คณุ ถงึ ท�ำได้อย่างน้ี อาตมา วา่ ถา่ ยรูปมาปน้ั เขาไมเ่ ช่ือ เขาไม่เช่อื เพราะมนั ต้องทำ� ด้วยใจรกั จรงิ ๆ มนั จึงจะท�ำไดอ้ ย่างน้ี แลว้ เขา สรุปความว่า น้ีเป็นการให้เกียรติแก่อินเดียเหลือเกิน การท่ีปั้นรูปพุทธประวัติท้ิงเกลื่อนกลาดอยู่แถวนี้ ชาวอนิ เดียมาบอกว่า น้ีเป็นการให้เกียรติ ให้เกียรตยิ ศแกช่ าวอินเดยี เหลือเกิน ค�ำพูดนม้ี นั ยังก้องอยูใ่ น หูอาตมา เอาละ เราจะต้องสนองคุณให้เขาพอใจมากกว่าน้ี จะท�ำอะไรข้ึนมาที่ให้เขามาเห็นแล้วเขาจะ รู้สึกเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เรารู้บุญคุณของเขา แล้วเรามีกตเวทีกระท�ำตอบแทนเป็นเกียรติให้เป็นผลดี แกเ่ ขาน่ี จะคิดอยู่อยา่ งนี.้ .. หนง่ึ จุดหมาย หลายหนทาง 37
ภาพชาวอินเดยี ท่รี ั้วหนิ มหาโพธเิ จดีย์ พทุ ธคยา ...จงึ ขอบอกใหท้ า่ นทง้ั หลายทราบวา่ ความจรงิ มันเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ใจ หรือจะโกรธก็ตามใจ แต่ความจริงมันเป็นอย่างนี้ เราเป็นหน้ีสินทางวัฒนธรรมของชาวอินเดียอย่างน้ีแล้ว เราควรจะเปน็ สตั วก์ ตญั ญู ไมใ่ ชอ่ กตญั ญู เปน็ สตั วก์ ตญั ญู ตอบแทนพระคุณ จะต้องท�ำอะไรท่ีเป็นประโยชน์แก่ อนิ เดยี เปน็ เกยี รตแิ กอ่ นิ เดยี เปน็ ทช่ี น่ื ใจของชาวอนิ เดยี จึงคิดว่าสร้างอินเดียจ�ำลองเล็กๆ ไม่ใช่มากมายมันจะ เกินความสามารถ สร้างเล็กๆ แต่ว่ามันไม่ถึงกับเล็ก จนไมร่ วู้ า่ อะไรนะเล็ก จนถึงกบั ว่าชาวอินเดยี มาทีน่ เ่ี ห็น แล้วก็ว่า โอ้ภูมิใจ ว่าให้เกียรติแก่เขา ให้เกียรติแก่เขา เขาจะพอใจในการท่ีเราให้เกียรติแก่เขา รู้บุญคุณท่ีเขา น�ำเอามาให้แก่เราจนถึงบ้าน ทั้งทางศาสนาและท้ังทาง วัฒนธรรม ข้อนี้ส�ำคัญมาก เขาเอามาให้ถึงบ้าน เขาเอามาเอง เขาเอาให้จนถึงบ้าน เราไดร้ ับอยทู่ ่ีบา้ น นอนรบั อยทู่ ีบ่ ้าน บุญคุณมนั ถงึ ขนาดนี้ ขอใหร้ จู้ ักรู้ไว้และยอมรับรู้ และเปน็ กตัญญเู ปน็ กตเวที เกย่ี วกบั อาสาฬหะ ถ้าเขา้ ใจคำ� ว่าธรรมจกั ร ธรรมจกั รกเ็ กยี่ วแหละ เพราะวา่ ธรรมจกั รไดล้ งมาถงึ ท่ีนี่ แลว้ เราจะตอบแทนคณุ ผนู้ �ำเอามาให้ ในแงข่ องศาสนาพุทธ กวา่ พระโสณะพระอตุ ตระมา ก็เป็นชาวอินเดียมาพระเจา้ อโศกมหาราชสั่งมา ถ้าเป็นเร่ืองของวัฒนธรรมหรือเรื่องของไสยศาสตร์แล้ว ชาวอินเดียโดยตรง เขามาค้าขายท่ีนี่ มาท�ำความร่�ำรวยท่ีนี่แล้วเอามาให้แล้วกลับไปอินเดีย แล้วเขา ยังมาแถมสมรสแต่งงานกับคนที่น่ี มีอยู่หลายครอบครัว หลายสกุลเหมือนกันแหละ ทต่ี น้ สกลุ สบื ไปถึงชาวอินเดีย เป็นพราหมณ์มาจากอินเดยี กม็ ีอยู่ ญาติของอาตมาก็มี หลายๆ คนท่ีเป็นอย่างนี้ เรียกว่าชาวอินเดียน�ำมาให้จนถึงท่ีอยู่ น�ำมาให้ถึงในครัว กว็ า่ อยา่ งนั้นเถอะ ก็ควรจะรู้จัก ควรจะขอบคณุ 38
ภาพพระภิกษุชาวอนิ เดียเรยี นรู้พระธรรมทีม่ หาโพธวิ ิหาร พทุ ธคยา ย่ามที่ใชเ้ ป็นยา่ มตรา ภปร. จากประเทศไทย อะไรบา้ งทเ่ี ราไมไ่ ดเ้ กย่ี วกบั อนิ เดยี อยา่ งทว่ี า่ พธิ รี ตี องตง้ั แตเ่ ดก็ อยใู่ นครรภ์ ตง้ั แตค่ ลอดออกมา โกนจกุ เดก็ ใหม้ นั เลา่ เรยี น ซงึ่ เปน็ อกั ษรศาสตรอ์ นิ เดยี แลว้ มนั สมรสแตง่ งาน ใหม้ นั มอี ะไรจนมนั แก่ มนั ตายเข้าโลงมนั กย็ งั เผา ยงั มขี นบธรรมเนยี มประเพณีอุทิศส่วนกุศลไปให้ตามแบบอินเดียท้งั น้ัน จากตวั ก ถึงตัว ฮ มันเป็นอนิ เดีย นีโ่ ดยอนิ เดีย ทีเ่ ขานำ� มาให้ ชาวพทุ ธตอ้ งมคี วามกตญั ญกู ตเวที เอาละ ถ้าท่านทั้งหลายไม่เห็นว่านอกเรื่อง ไม่เห็นว่าเป็นเร่ืองนอกเรื่อง ก็ช่วยเอาไปคิดไป ใคร่ครวญดูว่า มันจะต้องคิดกันอย่างไร ต้องคิดตอบแทนกันอย่างไร อย่าให้เราเป็นสัตว์อกตัญญู มัน หยาบคายนกั อยา่ ใหเ้ ราหลบั หหู ลบั ตาไมร่ บู้ ญุ คณุ ของผอู้ น่ื เสยี เลย มนั กไ็ มไ่ หว จงึ ขอบอกกลา่ วความคดิ นีว้ ่า เราถงึ เวลาแล้วท่จี ะตอ้ งขอบคณุ แสดงความขอบคณุ และตอบแทนคุณชาวอินเดีย ทั้งทเี่ ราจะเปน็ พระกต็ าม เปน็ ฆราวาสกต็ าม ลว้ นแตเ่ ปน็ หนบี้ ญุ คณุ ชาวอนิ เดยี บางคนอาจจะไมช่ อบ บางคนอาจจะปดั ปฏิเสธว่า ฉนั ไมร่ ูไ้ มช่ ้ี ชาตนิ ิยมของฉนั เป็นไทย ไม่ได้มีอะไรเกย่ี วกับชาวอนิ เดีย ฉันก็ถืออยา่ งนตี้ ามใจ แต่ว่าในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทนี่ อาตมาคิดว่าต้องรับรู้ แล้วต้องท�ำอะไรตอบแทน แล้วการตอบแทน ที่จะไม่ใช่เพียงจะตอบแทนอินเดีย แต่มันจะตอบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้าด้วย พระพุทธเจ้าเป็น คนอินเดีย ศาสนาของพระองค์เกดิ ในอินเดยี เป็นศาสนาของอนิ เดยี พทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาของอนิ เดยี ขอใหย้ อมรับในข้อนี้ จะเป็นการตอบแทนคณุ ของพระพทุ ธเจ้าดว้ ย หน่ึงจดุ หมาย หลายหนทาง 39
ภาพชาวอนิ เดยี ท่มี หาโพธิวหิ าร พุทธคยา ขอฝากไวใ้ หค้ ดิ กนั ไปกอ่ น ขอโทษนะ อยา่ คดิ ว่าเรี่ยไร ไมม่ ีการเรี่ยไร ไมใ่ ช่พูดเพอ่ื เรี่ยไร พูด ให้รู้ในจิตใจ ให้รู้สึกในจิตใจ ว่าจะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันนึก ช่วยกันรู้สึกและช่วยกันท�ำ อาตมาอีก ไม่ก่ีปีก็จักตายแล้ว หลายๆ อย่างได้ท�ำเสร็จ แล้ว แต่การตอบแทนคุณชาวอินเดียยังไม่ได้ท�ำ ตามที่ตั้งใจไว้ ต่อไปน้ีก็คิดว่าจะค่อยๆ ท�ำ จึงจะ สร้างอินเดียจ�ำลองเล็กๆ ข้ึนมาประกาศก้องอยู่ ตลอดเวลากี่ร้อยปีพันปีว่า เรารู้บุญคุณชาวอินเดีย เราให้เกียรติแก่ชาวอินเดีย เราสนองคุณ รวมท้ัง แกศ่ าสนา แกว่ ฒั นธรรม แก่พระพทุ ธเจ้าเองดว้ ย นเี้ นอ่ื งมาจากธรรมจกั ร เพราะธรรมจกั รมาถงึ น้ี ธรรมจกั รโดยชาวอนิ เดยี ชว่ ย นำ� มาให้ มาครอบงำ� พน้ื แผน่ ดนิ นท้ี งั้ หมด ครอบงำ� ประชาชนทงั้ หมด จงึ ไดม้ ลี กั ษณะ อยา่ งน้ี แผน่ ดนิ ทองแหลมมลายขู นึ้ ไปจนสดุ เหนอื จนเลยเชยี งใหม่ เลยสดุ ไปโนน้ เปน็ รอ่ งรอยทว่ี า่ วฒั นธรรมอนิ เดยี ศาสนาอนิ เดยี ไดเ้ ขา้ มาครอบงำ� ครอบคลมุ โบราณวตั ถุ โบราณสถานสอ่ เคา้ เปน็ อนิ เดียท้ังน้นั ท่มี ีอยู่ตลอดแผ่นดนิ เหลา่ น้ี เรอื่ งนจี้ ะถอื วา่ ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งธรรมะกไ็ ด้ แตถ่ า้ เหน็ วา่ เปน็ เรอ่ื งกตญั ญเู ปน็ เรอ่ื งของ ความกตญั ญกู เ็ ปน็ เรอื่ งธรรมะไดเ้ หมอื นกนั รสู้ กึ บญุ คณุ สนองบญุ คณุ แกผ่ ทู้ มี่ บี ญุ คณุ คอื ประเทศอนิ เดยี และคอื พระพทุ ธเจา้ คอื ศาสนาทกุ ศาสนา ทมี่ อี ยใู่ นอนิ เดยี ในระดบั วัฒนธรรมก็ได้ ไสยศาสตร์ก็ได้ มาสอนให้จนเรียกว่าเรามันมีเลือดมีเน้ือเป็นอินเดีย มศี าสนาฮนิ ดเู ปน็ แม่ มีศาสนาพุทธเปน็ พ่อ อย่โู ดยไม่รสู้ กึ ตัว เป็นอันว่าการบรรยายของอาตมาในครั้งแรกนี้เป็นการทวงบุญคุณให้แก่ ธรรมจักร ธรรมจักรแผ่มาถึงนี้ให้ประโยชน์จนถึงนี้ ทวงบุญคุณให้แก่ธรรมจักร ให้รู้จักสนองพระคุณของธรรมจักร ซ่ึงมันก็เป็นการสนองพระคุณของชาวอินเดีย ของศาสนาอนิ เดยี ของวฒั นธรรมอนิ เดยี ถา้ ใครเหน็ วา่ สมควรหรอื พอจะทำ� ได้ ชว่ ยบอก เพ่ือนๆ กันให้รู้ บอกเพื่อนๆ ของเราที่ยังไม่รู้ให้รู้ต่อๆ กันไปทั่วประเทศไทยว่า เราจะตอบแทนพระคุณทางวัฒนธรรมทางศาสนาแก่ชนชาติอินเดีย ในฐานะที่ว่า แทนคณุ พระธรรมจักรทีไ่ ดม้ าช่วยสร้างธรรมาณาจักรขน้ึ มาบนแผน่ ดนิ นี้ 40
พอสมควรแก่เวลาแล้วชั่วโมงหน่ึง พูดเรื่องพระคุณของธรรมจักร วันน้ีเป็นวันธรรมจักร ขอให้ ขอบพระคุณธรรมจักรทแี่ ผ่ซ่านมาปกคลมุ แผน่ ดนิ เหล่าน้ี สร้างสรรคแ์ ผ่นดินทีน่ ีเ่ หลา่ นข้ี น้ึ มาให้มอี ยใู่ น ลกั ษณะอยา่ งนี้ มฉิ ะนน้ั เราจะไมไ่ ดม้ านงั่ กนั อยอู่ ยา่ งนี้ ไมม่ อี บุ าสกอบุ าสกิ ามานง่ั ไมม่ ภี กิ ษสุ ามเณรมา น่ัง เราอาจจะต้องเป็นคริสต์หรือเป็นอิสลามก็ไม่รู้ ถ้าว่าศาสนาอินเดีย วัฒนธรรมอินเดียไม่มาจับยึด พวกเราไวเ้ สยี กอ่ นเราจะไปเปน็ ครสิ ตก์ ไ็ มร่ ไู้ มแ่ น่ จะไปเปน็ อสิ ลามกไ็ มร่ ไู้ มแ่ น่ เหมอื นทเ่ี ขาเปน็ ๆ กนั อยู่ ฉะนนั้ จงึ ขอบคณุ วฒั นธรรมอนิ เดยี ศาสนาอนิ เดยี โดยเฉพาะคอื พระพทุ ธศาสนาไดแ้ ผเ่ ขา้ มาในลกั ษณะที่ เปน็ ธรรมจกั ร ธรรมจกั รเกดิ เปน็ อาณาจกั รพทุ ธไทยเกดิ พทุ ธอาณาจกั รขนึ้ มา ตอ้ งชว่ ยกนั รกั ษา ชว่ ยกนั รักษาอาณาจักรนี้ไว้ให้มั่นคง แล้วเราก็จะชนะมาร มารข้างในก็ดี มารข้างนอกก็ดี คนพาลข้างนอก กช็ นะ กเิ ลสอนั ธพาลขา้ งในจติ กจ็ ะชนะ เราจะเปน็ ผชู้ นะตามความหมายของพระพทุ ธศาสนาวา่ จะชนะ ด้วยธรรมจกั ร ชนะด้วยธรรมจกั ร ตัดฟันหรอื ฟาดฟันสงิ่ เลวรา้ ยท่ีเป็นขา้ ศึกศัตรนู ่ี แล้วก็สะอาด แลว้ ก็ สวา่ ง แลว้ กส็ งบเปน็ ชาวพทุ ธทแ่ี ทจ้ รงิ เราไมเ่ พยี งแตร่ บั เอาผลประโยชน์ เปน็ ความรอดของเราขา้ งเดยี ว เราจะสนองคณุ จะตอบแทนคุณใหส้ าสมกบั ที่เราได้รบั ประโยชน์ เอาละ จะฟังในลกั ษณะที่เปน็ ธรรมะกไ็ ด้ ไม่ใช่ก็ได้ แต่มนั เป็นความจรงิ ขอใหต้ า่ งคนต่างท�ำ กนั ก็ได้ ไม่ตอ้ งมารว่ มกันทั้งหมดกไ็ ด้ ขอใหม้ ีการกระท�ำลักษณะท่จี ะตอบแทนพระคณุ ของชาวอินเดีย ขอฝากไวใ้ นจติ ใจ เพอ่ื กระตนุ้ จติ ใจของทา่ นทง้ั หลายใหเ้ ปน็ ผมู้ คี วามกตญั ญู กตเวทยี งิ่ ๆ ขน้ึ ไป ตลอด ทุกทพิ าราตรีกาลเทอญ ขอยตุ ิการบรรยายดว้ ยการสมควรแก่เวลา หนง่ึ จดุ หมาย หลายหนทาง 41
ภาพพระพุทธรปู ปางปรนิ พิ พาน ในถ้ำ� เอลโลรา่ หมายเลข ๒๗ เมอื งเอารงั คบาด
พทุ ธศาสนาหลังพุทธกาล ก่อนท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้กล่าวกับ พระอานนท์ว่า เม่ือตถาคตปรินิพพานแล้ว บางทีพวกเธอจะมีความคิดอย่างนี้ว่า พระศาสดาของเราปรนิ พิ พานแลว้ บดั น้ี ศาสดาของเราไมม่ ี อานนท์ พวกเธอไมค่ วรดำ� ริ อย่างนั้น ไม่ควรเห็นอย่างนั้น “ธรรมและวินัยท่ีเราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวก เธอ ธรรมและวินัยน้ันแล จักเป็นศาสดาของพวกเธอ” และยังทรงตรัสกับพระอานนท์ อกี วา่ “โดยกาลลว่ งไปแหง่ เรา ถา้ สงฆต์ อ้ งการกจ็ งถอนสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยเสยี บา้ งก็ได”้ (มหาปรนิ พิ พานสูตร ๑๐/๑๔๑) ประมวลและเรียบเรยี งโดย นายสมบัติ ทารัก หนึง่ จดุ หมาย หลายหนทาง 43
ภาพพระพุทธรูปในถำ้� อชนั ตา หมายเลข ๑๙ ประเทศอนิ เดยี เมอื่ การถวายเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เสรจ็ สน้ิ พระมหา กัสสปเถระได้หยิบยกกรณีพระสุภัททะ ผู้บวชเม่ือแก่ เม่ือรู้ข่าวปรินิพพานของ พระพทุ ธเจา้ ภกิ ษทุ งั้ หลายรอ้ งไหเ้ ศรา้ โศก สภุ ทั ทภกิ ษกุ ห็ า้ มภกิ ษเุ หลา่ นน้ั มใิ หเ้ สยี ใจ ร้องไห้ เพราะต่อไปนี้จะท�ำอะไรได้ตามใจแล้ว ไม่ต้องมีใครคอยมาชี้ว่า น่ีผิด นี่ถูก นคี่ วร นไ่ี มค่ วร ตอ่ ไปอกี พระมหากสั สปะสลดใจในถอ้ ยคำ� ของสภุ ทั ทภกิ ษุ จงึ นำ� เรอ่ื ง เสนอที่ประชุมสงฆ์ แล้วเสนอชวนให้ท�ำสังคายนาร้อยกรองจัดระเบียบพระธรรมวินัย โดยคัดเลือกพระอรหันต์ ๕๐๐ รปู เขา้ รว่ มสงั คายนาครงั้ น้ี การสังคายนาครั้งที่ ๑ การสังคายนาคร้ังแรก กระท�ำ ณ ถ้�ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภาระ กรุงราชคฤห์ โดยพระมหากัสสปะเป็นประธานและเป็นผู้ซักถาม พระอานนท์เป็น ผู้ให้ค�ำตอบเกี่ยวกับพระธรรม และพระอุบาลีเป็นผู้ให้ค�ำตอบเกี่ยวกับพระวินัย มีพระอรหันต์เข้าร่วมในการสังคายนา ๕๐๐ รูป พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์อุปถัมภ์ ใช้เวลา ๗ เดือนจงึ แล้วเสร็จ 44
ในการสังคายนาครั้งนี้ พระอานนท์ได้กล่าวถึงพุทธานุญาตให้สงฆ์ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ แตท่ ปี่ ระชมุ ตกลงกนั ไมไ่ ดว้ า่ สกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยคอื อะไร พระมหากสั สปะจงึ ใหค้ งไวอ้ ยา่ งเดมิ เพราะเหน็ วา่ ทผี่ า่ นมาพระสงฆก์ ป็ ฏบิ ตั ดิ แี ลว้ ชอบแลว้ จงึ ควรจะรกั ษาพระธรรมวนิ ยั ใหค้ งไวต้ ามเดมิ และอาจจะ มีผู้ติเตียนพระพุทธองค์ได้ว่าทรงบัญญัติสิกขาบทเพื่อสาวกเฉพาะช่วงที่มีพระชนม์ชีพเท่านั้น หากสงฆ์ มคี วามพรอ้ มกไ็ มค่ วรบญั ญตั เิ พม่ิ หรอื ตดั ทอนสง่ิ ทพ่ี ระพทุ ธองคบ์ ญั ญตั ิ พงึ สมาทานประพฤตใิ นสกิ ขาบท ท่ีทรงบัญญัตไิ ว้เปน็ ญตั ติ เมอ่ื สงั คายนาเสรจ็ แลว้ พระปรุ าณะพรอ้ มบรวิ าร ๕๐๐ รปู จารกิ จากทกั ษณิ าครี ี (ภเู ขาแถบภาคใต้ ของอินเดีย) มายังกรุงราชคฤห์ ภิกษุท่ีเข้าร่วมสังคายนาได้แจ้งเรื่องสังคายนาให้พระปุราณะทราบ พระปุราณะแสดงความเห็นคัดค้านเกี่ยวกับสิกขาบทบางข้อและยืนยันปฏิบัติตามเดิม ซ่ึงแสดงให้เห็น เค้าความเห็นต่างในคณะสงฆ์ แต่ไม่ถือว่าเป็นสังฆเภท เน่ืองจากพระปุราณะยึดถือตามพุทธานุญาต ที่ทรงใหส้ งฆถ์ อนสกิ ขาบทเล็กน้อยได้ การสงั คายนาครง้ั ที่ ๒ : ตน้ เคา้ การแตกนิกาย เม่ือพุทธปรินิพพานผ่านไป ๑๐๐ ปี ภิกษุชาววัชชี เมือง เวสาลี ได้ตั้งวัตถุ ๑๐ ประการ ซึ่งผิดไปจากพระวินัย ท�ำให้มีท้ัง ภิกษุที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนเกิดการแตกแยกในหมู่สงฆ์ พระยสกากัณฑกบุตร ได้จาริกมาเมืองเวสาลี และทราบเร่ืองน้ี ไดพ้ ยายามคดั คา้ น แตภ่ กิ ษชุ าววชั ชไี มเ่ ชอื่ ฟงั พระยสกากณั ฑกบตุ ร จึงน�ำเร่ืองไปปรึกษาพระเถระผู้ใหญ่ในขณะนั้นได้แก่ พระเรวตะ พระสัพกามีเถระ เป็นต้น จึงตกลงให้ท�ำการสังคายนาข้ึนอีกคร้ัง ในการนพ้ี ระเรวตะเปน็ ผถู้ าม พระสพั พกามเี ปน็ ผตู้ อบปญั หาทางวนิ ยั ท่เี กดิ ข้ึน มีพระสงฆป์ ระชมุ กัน ๗๐๐ รูป สงั คายนากันทีว่ าลกิ าราม ภาพเสาพระเจ้าอโศก ทีเ่ มืองเวสาลี ใช้เวลา ๘ เดือนจึงแล้วเสร็จ มติท่ีประชุมสงฆ์ชี้ขาดว่าวัตถุ ๑๐ ประการน้นั ผิดพระธรรมวนิ ยั การตัดสินชี้ขาดนี้ภิกษุชาววัชชีไม่ยอมรับ แต่ไปรวบรวมภิกษุฝ่ายตนจ�ำนวนมากถึง ๑๐,๐๐๐ รปู ประชมุ ทำ� สงั คายนาตา่ งหากทเ่ี มอื งกสุ มุ ปรุ ะ (ปาตลบี ตุ ร) สงั คายนานเ้ี รยี กวา่ มหาสงั คตี ิ แปลวา่ การ สังคายนาของพวกสงฆ์หมู่ใหญ่ และเรียกพวกของตนว่า มหาสังฆิกะ นับเป็นเหตุท�ำให้พุทธศาสนา ในขณะนน้ั แตกเปน็ ๒ ฝา่ ย คอื ฝา่ ยทน่ี บั ถอื มตขิ องพระเถระครง้ั ปฐมสงั คายนาเรยี ก เถรวาท ฝา่ ยพวก วัชชีบตุ รคือมหาสงั ฆิกะ และเป็นตน้ กำ� เนิดของอาจารยิ วาท ท่ตี ่อมาเรียกตนเองว่า “มหายาน” หนึ่งจุดหมาย หลายหนทาง 45
ต่อมาความขัดแย้งในการตีความพระธรรมวินัยเกิดข้ึนอีกอย่างต่อเนื่อง ทง้ั ระหวา่ งสองฝา่ ยและในฝา่ ยเดยี วกนั เปน็ เหตใุ หท้ งั้ ฝา่ ยทเี่ รยี กตนเองวา่ เถรวาทและ มหาสงั ฆกิ ะมกี ารแยกตวั ออกไปตง้ั นกิ ายใหมๆ่ เกดิ ขน้ึ ตามคมั ภรี ท์ ปี วงสป์ กรณบ์ าลี บอกว่าแยกออกเป็น ๑๘ นิกาย คือ แยกจากเถรวาทแยกออกไป ๑๑ รวมกับนิกาย เดิมเป็น ๑๒ แยกจากฝ่ายมหาสังฆิกะ ๕ รวมนิกายเดิมเป็น ๖ นิกาย ส่วนปกรณ์- สันสกฤตบอกว่าแยกออกไปถึง ๒๑ นกิ าย คอื แยกจากเถรวาทเดิมออกไป ๑๑ รวม กบั นิกายเดิมเปน็ ๑๒ มหาสังฆิกะ แยกออกไป ๘ รวมกบั นิกายเดิมเปน็ ๙ นิกาย ภาพหินสลกั พระเจา้ อโศกมหาราชเดินทางไปสกั การะ สงั คายนาคร้ังท่ี ๓ พระศรมี หาโพธิ์ จำ� ลองจัดแสดงทส่ี วนโมกข์กรงุ เทพ สังคายนาคร้ังที่ ๓ กระท�ำท่ีอโศการาม กรุง ปาตลีบุตร ประเทศอินเดีย พระโมคคลีบุตร ติสสเถระ เปน็ หวั หนา้ มพี ระสงฆป์ ระชมุ กนั ๑,๐๐๐ รปู ทำ� อยู่ ๙ เดอื น จึงแล้วเสร็จ สังคายนาคร้ังน้ี กระท�ำภายหลังจากท่ี พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๒๓๔ หรือ ๒๓๕ ปี ข้อปรารภในการทำ� สงั คายนาครัง้ นคี้ อื พวกเดยี รถยี ์ หรอื นักบวชศาสนาอื่นมาปลอมบวช แล้วแสดงลัทธิศาสนา และความเห็นของตนว่าเป็นพระพุทธศาสนา พระโมค- คลั ลีบุตรติสสเถระไดข้ อความอปุ ถมั ภ์จากพระเจ้าอโศก มหาราช ช�ำระสอบสวนก�ำจัดเดียรถีย์เหล่านั้นจาก พระธรรมวินยั ไดแ้ ล้ว จงึ สงั คายนาพระธรรมวินยั คราว สังคายนาครั้งที่ ๓ พระเถระทั้งหลายได้ก�ำหนดหลัก ธรรมเรยี กนกิ ายนว้ี า่ “วภิ ชั ชวาทะ” หรอื “วภิ ชั ชวาทนิ ” คือกล่าวสอนจ�ำแจกข้อธรรมเป็นข้อๆ ไปให้เหมาะสม กับอุปนิสัยของบุคคล เมื่อสังคายนาเสร็จแล้วพระเจ้า อโศกทรงสง่ สมณทตู ออกไปเผยแผพ่ ทุ ธศาสนาถงึ ๙ สาย สงั คายนาของนิกายสรวาสตวิ าท พระเจ้ากนิษกะ กษัตริย์องค์ที่ ๗ แห่งราชวงศ์กุษาณะ ทรงอุปถัมภ์การ สงั คายนาทพ่ี ระสงฆน์ กิ ายสรวาสตวิ าท ซงึ่ นกิ ายนน้ี บั เปน็ ครงั้ ที่ ๓ (นบั ตอ่ จากสงั คาย ทถี่ ้ำ� สตั ตบรรณคหู า ราชคฤหแ์ ละแคว้นวชั ชี) จดั ข้ึนท่เี มอื งชลันธร หลกั ฐานบางแห่ง 46
บอกวา่ จดั ท่กี ัศมรี ะ (แคชเมยี ร์) เมอ่ื พ.ศ. ๖๔๓ (คริสต์ศักราช ๑๐๐) พระเจา้ กนิษกะทรงเปน็ เอกอคั ร ศาสนูปถัมภกที่ส�ำคัญของนิกายสรวาสติวาท เปรียบได้กับพระเจ้าอโศกมหาราชของฝ่ายเถรวาท ในบันทึกของสมณะเสวียนจ้าง (พระถังซ�ำจ๋ัง) กล่าวว่า สังคายนาคร้ังน้ันมีจ�ำนวนสงฆ์ ๕๐๐ รูป มีพระปารศวะเป็นประธาน พระวสุมิตรเป็นผู้แถลงมติ แต่ในฝ่ายทิเบตกล่าวว่า มีจ�ำนวนพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ พระโพธิสัตว์ ๕๐๐ องค์ และบัณฑิต ๕๐๐ คน มาร่วมชุมนุมสังคายนาท่ี กุลฑลวันวิหาร ในกัศมีระ เช่นเดยี วกนั ผลแห่งการสังคายนาครงั้ นนั้ มีดงั น้ี • ใชภ้ าษาสันสกฤตในการสงั คายนา • มกี ารร้อยกรองอรรถาธิบายพระไตรปฎิ กข้นึ ๓ คัมภรี ใ์ หญ่ คือรอ้ ยกรองอรรถกาวนิ ยั ปฎิ ก ชื่อ วนิ ัยวิภาษา จำ� นวนแสนโศลก อรรถกถาพระสตุ ตันตปิฎกชื่อ อปุ เทศศาสตร์ จำ� นวน แสนโศลก ร้อยกรองพระอภิธรรมวิภาษาศาสตร์อกี แสนโศลก • มีการจดจารปกรณ์เหลา่ น้ีเปน็ หลกั ฐาน • นิกายสรวาสตวิ าทเปน็ นกิ ายท่ีราชการรบั รอง • พระเจา้ กนษิ กะโปรดให้ส่งสมณทูตเผยแผศ่ าสนาไปทวั่ ภูมภิ าคเอเชยี กลาง ในรัชสมัยของพระเจ้ากนิษกะ พุทธศาสนานิกายสรวาสติวาทได้แผ่ไปในอินเดียภาคกลางและ ภาคเหนือ มแี คว้นมถุรา แคว้นกัศมีระ แคว้นคันธาระเปน็ ศูนย์กลางเขา้ สู่เอเชียกลางและจีน วรรณคดี สันสกฤตได้เจริญข้ึนแทนภาษาบาลี มีพระภิกษุผู้ทรงความรู้เป็นจ�ำนวนมาก ท่านเหล่านี้ได้แต่งต�ำรา ทางพุทธศาสนาเป็นภาษาสันสกฤต ในด้านศิลปกรรมการแกะสลักแบบคันธาระมีพระพุทธรูปและ พระโพธิสตั ว์ ภาพพระพทุ ธรปู ศลิ ปะคนั ธาระ คณาจารย์องค์ส�ำคัญของนิกายสรวาทสติวาท ในรัชสมัย พระเจ้ากนิษกะ อาทิ ท่านปารศวะ ท่านเป็นผู้ถวายค�ำแนะน�ำให้ พระเจ้ากนิษกะเป็นผู้ชุมนุมสงฆ์ท�ำสังคายนา ท่านได้แต่งคัมภีร์ พระสุตตันตอุปเทศศาสตร์ แต่ต้นฉบับสูญหายแล้ว พระธรรมตาระ ผแู้ ตง่ คมั ภรี อ์ รรกถาธรรมบท คมั ภรี ส์ งั ยกุ ตอภธิ รรมหฤทยั ศาสตร์ และ คมั ภรี ป์ ญั จวสั ตวุ ภิ าษาศาสตร์ พระพทุ ธเทวะ พระวสมุ ติ ร พระธรรม- ตาระ พระศีรโฆษะ ท้ัง ๔ รปู ได้ร่วมกนั แต่งคมั ภรี ์มหาวิภาษา แต่ กม็ ที ศั นะแตกตา่ งกนั ในบางแงม่ มุ และตา่ งไดแ้ สดงทศั นะหกั ลา้ งกนั หนงึ่ จุดหมาย หลายหนทาง 47
ภาพเหรียญทองสมยั พระเจ้ากนิษกะ, มีภาพพระพุทธเจา้ (BoDDo) ทโ่ี ดดเดน่ คอื พระอศั วโฆษ ทา่ นเกดิ ในวรรณะพราหมณ์ ประมาณพทุ ธศตวรรษ ที่ ๖ ณ เมอื งสาเกตุ แควน้ อโยธยา ปรากฏแตน่ ามมารดาวา่ สวุ รรณเกษี เมอื่ เตบิ ใหญ่ ได้ศึกษาคัมภีร์ของพราหมณ์จนแตกฉาน ท่านท่องเท่ียวโต้วาทีไปในแคว้นมคธ และอินเดียตอนกลาง เพ่ือเปรียบเทียบหลักธรรมว่าใครจะล้�ำลึกกว่ากัน วันหน่ึง พระปารศวเถระ จารกิ มาจากอนิ เดยี ตอนเหนอื สแู่ ควน้ มคธ เมอ่ื ทราบเรอ่ื งราว ทา่ นจงึ ประกาศขอโต้วาทีกับพระอัศวโฆษ ด้านพระอัศวโฆษถือว่าตนมีความรู้ดีจึงรับค�ำ และท้าทายวา่ หากตนปราชยั จะยอมใหต้ ัดล้ิน เม่ือเปิดอภิปราย พระอัศวโฆษเป็นฝ่ายปราชัย แต่พระปารศวเถระไม่มี ประสงค์จะให้ตัดล้ิน จึงให้ไถ่โทษด้วยการบวชในพระพุทธศาสนาแทน เม่ือบวชแล้ว พระอัศวโฆษได้ศึกษาพระธรรมจนแตกฉาน จึงออกประกาศเผยแผ่พระธรรม ท่าน เทศนาได้ไพเราะจับใจผู้ฟังท่ัวทั้งอินเดีย แม้กระท่ังม้ายังไม่ยอมกินหญ้ากลับยืนฟัง ทา่ นแสดงธรรมจนน้�ำตาไหล ท่านจงึ ไดร้ ับชอื่ ว่า “อัศวโฆษ” นับแต่บดั นั้น ท่านได้รจนางานอันมีช่ือเสียง คือ “พุทธจริต” พรรณนาพุทธประวัติตั้งแต่ ประสูติจนถึงทรงดับขันธปรินิพพาน มีจ�ำนวนท้ังหมดถึง ๒๑๑๐ โศลก ปัจจุบัน คงเหลอื เพียง ๑๐๑๑ โศลกเทา่ น้ัน และมหากาพย์ “เสานทฺ รนนั ทะ” อันเป็นเรอ่ื งเกย่ี วกับ พระนันทะพระอนุชาร่วมบิดากับพระพุทธองค์ นอกจากน้ียังรจนา “สูตราลังการ” ต้นฉบับภาษาสันสฤตได้สูญหาย คงเหลือไว้แต่ฉบับค�ำแปลโดยท่านกุมารชีวะ ราว พทุ ธศตวรรษที่ ๙ “รฐั ปาลสตู ร” ซงึ่ ไดเ้ อามาจากพระสตู รในมชั ฌมิ นกิ าย ไดแ้ ตง่ ฉนั ท์ บรรยายประกอบ “ทศอกศุ ลธรรมปฏิปทาสตู ร” และ “ฉคติสังสารสูตร” “นคิ รณนถ- ปจุ ฉาอนาตมาสตู ร” “คณั ฑสี โตตรฺ คาถา” “ศารปี ตุ รฺ ปรฺ กรณม”ฺ นอกจากความสามารถ ทางกวแี ล้ว ยังปรากฏวา่ ท่านเปน็ นกั ดนตรที ี่เกง่ กาจดว้ ย 48
นิกายสรวาสติวาทรุ่งเรืองอยู่ในอินเดียร่วมพันปีทีเดียว การสังคายนาของนิกายสรวาสติวาทนี้ ฝา่ ยเถรวาทไมน่ บั เชน่ เดยี วกนั นกิ ายสรวาสตวิ าทกไ็ มน่ บั สงั คายนาสมยั พระเจา้ อโศก แมภ้ ายหลงั นกิ าย สรวาสติวาทจะสูญไป มหายานก็นับสังคายนาครั้งน้ีเป็นเสมือนสังคีติของฝ่ายตนด้วย ทางฝ่ายจีนได้ แปลพระไตรปฎิ กของนกิ ายสรวาสตวิ าทเป็นภาษาจีนดว้ ย ก่อเกดิ มหายาน กระทัง่ ในราวหลังพุทธศตวรรษท่ี ๕ ไปแลว้ จึงได้เกดิ กลมุ่ คณะสงฆแ์ ละคฤหสั ถ์ทเ่ี รยี กตนเอง วา่ “มหายาน” ขน้ึ แมจ้ ะมที ม่ี าไมแ่ นช่ ดั แตส่ นั นษิ ฐานวา่ อาจพฒั นาจากนกิ ายมหาสงั ฆกิ ะ ผสมผสาน กับปรัชญาของนิกายพุทธศาสนาอื่นท้ัง ๑๘ นิกาย รวมท้ังนิกายเถรวาทด้วย กระบวนการเกิดของ มหายานววิ ฒั นาการอยา่ งคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไปกอ่ กำ� เนดิ เปน็ มหายาน เพอ่ื ฟน้ื ฟพู ทุ ธศาสนาและตอ่ สอู้ ทิ ธพิ ล ของพราหมณ์ และท�ำใหพ้ ทุ ธศาสนาเขา้ ถึงหมชู่ นสามญั โดยทว่ั ไป ภาพพระโพธสิ ตั ว์อวโลกิเตศวร เถรวาท-มหายาน ของสวนโมกขก์ รงุ เทพ หล่อทองเหลอื ง ลว่ งมาถงึ พทุ ธศตวรรษที่ ๖-๗ พทุ ธศาสนากอ่ เกดิ นกิ ายใหญ่ รมดำ� จำ� ลองจากองคพ์ บทไี่ ชยา สองนิกายคอื เถรวาทและมหายาน นกิ ายเถรวาท แปลว่า วาทะของ สุราษฎธานี พระเถระ คอื พทุ ธศาสนาแบบดง้ั เดมิ ทพ่ี ยายามรกั ษาพระธรรมวนิ ยั ตามแบบอย่างท่ีพระเถระอรหันตสาวกท�ำปฐมสังคายนา บางคร้ัง เรียก ทักษิณนิกาย หรือนิกายฝ่ายใต้ เพราะต้ังอยู่ในภาคใต้ของ อนิ เดยี อกี นามหน่งึ ฝา่ ยมหายานตั้งให้ว่า หีนยาน แปลวา่ ยานเล็ก คับแคบ เพราะน�ำสัตว์ให้ข้ามวัฏฏสงสารไม่ได้มากเหมือนมหายาน แต่นามนเ้ี ป็นทรี่ ้กู นั ว่าตง้ั ขึน้ ในสมัยทม่ี ีการแข่งขนั ระหวา่ งนิกาย จึง มกี ารยกฝา่ ยหนง่ึ กดขม่ อีกฝ่ายหนึ่ง ตอ่ มาเถรวาทไปตัง้ มั่นทีล่ ังกา แล้วแผ่ขยายมาทางพม่า ลาว กัมพูชา ไทย ฝ่ายเถรวาทใช้ภาษา บาลีบันทกึ พระไตรปิฎก มหายาน แปลวา่ ยานใหญ่ เปน็ นามทตี่ งั้ ขนึ้ เพอ่ื แสดงวา่ สามารถชว่ ยใหส้ รรพสตั วข์ า้ มพน้ วฏั ฏ- สงสารได้มาก อีกนามหน่ึงเรียกว่า อุตตรนิกาย หรือนิกายฝ่ายเหนือ เพราะตั้งมั่นเจริญแพร่หลาย ในภาคเหนอื ของอนิ เดยี บา้ งเรยี กวา่ อาจรยิ วาท แปลวา่ วาทะของอาจารย์ เปน็ คำ� คกู่ บั เถรวาท คอื เถรวาท หมายถึงวาทะของพระเถระรุ่นแรกท่ีทันเห็นพระพุทธเจ้า ส่วนอาจริยวาท หมายถึง วาทะของอาจารย์ รุ่นต่อๆ มา มหายานได้แพร่หลายไปยังทิเบต จีน เวียดนาม เกาหลี ญี่ปุ่น ภูฏาน มหายานใช้ภาษา สนั สกฤตในการบนั ทกึ พระธรรมค�ำสอน หนง่ึ จดุ หมาย หลายหนทาง 49
คณาจารยแ์ ละคัมภีร์ของแต่ละฝ่าย ภาพพระพทุ ธโฆษาจารย์ จากชมพทู วีป คณาจารย์ฝ่ายเถรวาท ไปสบื อรรถกถาท่ีลงั กา ในสมัยที่ยังมิได้มีการจารึกพระ ไตรปิฎกลงในใบลานน้ันใช้วิธีท่องจ�ำ และการ ทอ่ งจำ� กแ็ บง่ หนา้ ทก่ี นั ตามแตใ่ ครจะสมคั รเปน็ ผู้เช่ียวชาญในส่วนไหนตอนไหนของพระ ไตรปิฎก โดยนัยน้ีจึงเป็นการแบ่งงานกันท�ำใน การท่องจ�ำพระไตรปิฎก และมีผู้เชี่ยวชาญใน แต่ละสาขา มีศิษย์ของแต่ละส�ำนักท่องจ�ำตาม ที่อาจารย์ส่ังสอน ต่อมาหลังพุทธศตวรรษท่ี ๓ แล้ว นิกายเถรวาทแม้จะยังมีอยู่ประปรายใน อนิ เดยี แตก่ ไ็ มอ่ าจทราบความเปน็ ไปโดยละเอยี ด เถรวาทกลบั ไปเจรญิ รงุ่ เรอื งในเกาะในลงั กาตลอด ระยะเวลา ๒๐๐๐ ปเี ศษ ตอ่ มาราวพทุ ธศตวรรษ ที่ ๙ ปรากฏมีภิกษุช่ือพระพุทธโฆษาจารย์ ประสงคจ์ ะแปลพระไตรปฎิ กและอรรถกถาจาก ภาษาสงิ หลเปน็ ภาษามคธ จงึ ขา้ มไปเกาะลงั กา รว่ มมอื กบั พระเถระชาวลงั กาชำ� ระพระไตรปฎิ ก และอรรถกถาใหม่ พระพทุ ธโฆษาจารยผ์ นู้ เ้ี ปน็ บตุ รพราหมณ์ เกดิ ทห่ี มบู่ า้ นแหง่ หนง่ึ ใกล้ พทุ ธคยา อันเป็นสถานท่ีตรัสรขู้ องพระพทุ ธเจ้า ในแคว้นมคธ เมอื่ ประมาณ พ.ศ. ๙๕๖ เรียนจบไตรเพทมีความเชย่ี วชาญมาก ตอ่ มาพบกบั พระเรวตเถระ ไดโ้ ตต้ อบปญั หากนั สพู้ ระเรวตเถระไมไ่ ด้ จงึ ขอบวชเพือ่ เรียนพทุ ธวจนะ มีความสามารถมาก ไดร้ จนาคมั ภีรญ์ าโณทัย เป็นต้น พระเรวตเถระจึงแนะน�ำให้ไปเกาะลังกา เพื่อแปลอรรถกถาสิงหล กลับเป็นภาษามคธ ท่านเดินทางไปท่ีมหาวิหาร เกาะลังกา เม่ือขออนุญาต แปลคัมภีร์ ถูกพระเถระแห่งมหาวิหารให้คาถามา ๒ บท เพื่อแต่งทดสอบ 50
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172