Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ตำนานอุรังคธาตุ - หนังสือกฐินพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี ๖๒

ตำนานอุรังคธาตุ - หนังสือกฐินพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี ๖๒

Description: ตำนานอุรังคธาตุ - หนังสือกฐินพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี ๖๒

Search

Read the Text Version

แล้วเจ้ารัสสจี ีงราชาภิเษกพญาสาเกตนครเปน็ พญาให้ขึ้นชอ่ื ว่า ศรีอมรณี ตามฤทธียาแลมนต์แห่งเจ้ารัสสีเป็นชื่อนาม แล้วจีงราชาภิเษกพญากุรุนทะนคร เป็นพญาให้ข้นึ ชื่อว่า พญาโยธกิ า หน้ั แล พญาจีงเอาน�้ำยานั้นมานวดฟั้นค้ันตีนมือ แล้วจีงทากายเนื้อตนตัว แล้ว จงี เอาบาเพชรให้พญาทงั้ ๒ นนั้ อมแลคนแลหน่วย แล้วจงี ให้ลองฤทธี เต้นข้นึ ไป ทางอากาศได้ ๘ ร้อยวาหน้ั แล เล่ามรี ปู โฉมงามหน้าตารปู งามย่งิ นัก น�้ำหลอ185 อันน้ัน ให้ช้างพลายสามตัวกิน กับควาญ ๖ คนกิน ให้ม้า ๓ ตัวกนิ นายม้า ๓ คนกนิ ช้างแลตวั กนิ น้ันมีกำ� ลงั แรงไปแลวนั ได้ ๔ ร้อยโยชน์ มา้ แลตวั ไปแลวนั ได้ ๒ รอ้ ยโยชน์ ควาญชา้ งและนายมา้ ฝงู กนิ นนั้ มกี ำ� ลงั ไปแลวนั ได้ร้อยโยชน์ เจ้ารัสสีจีงสั่งพญาทั้งสองว่าพญาท้ัง ๒ อย่าได้พลัดพรากจากกันเทอญ จงเอากนั อยู่เสวยราชบ้านเมอื งในทน่ี เ้ี ท่าชวั่ เทอญ ครนั้ ว่าพญาทงั้ ๒ หนจี ากทน่ี ้ี ยามใดด้วยใส่ใจว่าปะท่ี ก็เสียฤทธีก�ำลังแลตน ยาพลสิทธิเพชร จักไปจาก พระนครอันน้แี ท้ ฤทธิก�ำลงั ก็จกั เสอื่ มเสียส้นิ ตำ� นานยาพละสทิ ธเิ พชรฉบับนี้ กินท่ีใดให้อย่ทู น่ี ้ันแล พญาทง้ั ๒ จงี ไหว้ถามว่า ผู้ข้าทง้ั ๒ อยู่ดอมกนั ยงั จกั มอี ายุยนื ปานใดกข็ ้าจา เจา้ รสั สจี งี วา่ บไ่ ดแ้ ตง่ เปน็ อายวุ ฒั นะเพชร ดงั นนั้ ครน้ั วา่ มกั ใครอ่ ยากมีอายุ ยืนดังน้ัน ก็ไปอยู่หิมพานต์ดอมเราเทอญ ครั้นว่า ปฏิบัติแม่นมักจุติเกิดเป็น ท้าวพญาเสวยสุขก็ได้แล ท่อว่า ท้าวพญาเจ้าทั้ง ๒ คอยเสวยราชอยู่ที่น้ีก่อน เทอญ เราหากจักมาหาเอาพญาท้ัง ๒ ภายหน้าพุ้นบ่อย่าแล เจ้ารัสสีก็จีงสอน ศาตรศิลป์แก่พญาทงั้ ๒ ไว้ แล้วจีงส่งั ว่าเมอ่ื ภายหน้าพุ้น พญาท้งั ๒ จงให้แต่ง ยาสิทธเิ ตชะเพชรให้เจ้าสรุ ยิ กุมารกนิ เทอญ วา่ ดงั นแี้ ลว้ เจา้ รสั สกี จ็ งี ปงนครนามกรนามเมอื งวา่ เมอื งศรอี โยธยิ าทวาร วดนี คร เทอญ ด้วยเหตวุ ่าเอาหมากนาวสี ๓ หน่วย เครอื อมรณี แลหมากขดั เค้า แลหมากหนามพญา มาก่อแรกหดสรงพญาทงั้ ๒ นั้น เหตุว่าเป็นนิมิตกนั นน้ั แล แต่น้ันเจ้ารัสสีประสิทธิปงนครนามเมืองแล้วก็เสี่ยงสรงขึ้นหนีไปทาง อากาศไปสู่ป่าหมิ พานต์ที่เก่า ห้ันแล 185 “หลอ” เหลอื 88 ท่ีระลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ประจำ� ปพี ทุ ธศักราช ๒๕๖๒

เม่ือนั้น เจ้าสุริยกุมารจ�ำเริญขึ้นใหญ่มาอายุได้ ๑๖ เข้า เจ้าก็คองหาดู พญาตนพ่อก็ได้ ๓ ปี บ่มา จีงยกร้ีพลโยธาไปน�ำราธนาเอาพญาเจ้าตนพ่อ ถัดนั้น พญาตนพ่อก็ปฏิสัณถารต้านจารจากับดอมพญาโยธิกา ว่าจักคืนมาสู่ เมืองสาเกตนคร ดังนั้น พญาโยธิกาจีงห้ามว่าบ่ควรจักปะค�ำเจ้ารัสสีตนเป็นครู เสียแล บัดน้ี เจ้าสุริยกุมารก็มาฮอดราท้ัง ๒ ในท่ีน้ีดีนักแล ควรเราเจ้าข้อย ท้ังหลายราชาภเิ ษกขึน้ กินเมอื งนงั่ บ้านสร้างเมอื งเทอญ ยามเมื่อนางเทวีตนเป็นแม่จักทรงครรภ์ วันน้ันฝันเห็นตาวันเข้ามาอยู่ใน บงั คบั ปราสาท เปลง่ รศั มอี อกซทุ างไปสทู่ ศิ าทกุ แหง่ งามแทด้ หี ลี รอยทวี า่ เหมอื น ดงั บญุ สมภารเจา้ กมุ ารผนู้ ม้ี มี ากนกั ดหี ลเี หลอ่ื มงำ� บอ่ ยา่ แล เราจงี ไดล้ ะบา้ นเมอื ง ไว้มาหล่ินมากนิ ในท่ีนี้ เจา้ รสั สลี วดกม็ าเมตตากณุ า กเ็ ปน็ มงคลอศั จรรยอ์ นั ๑ แล ไดศ้ าสตรศลิ ป์ อันเป็นมงคลอันประเสริฐนี้ ก็เกิดด้วยบุญสมภารเจ้ากุมารผู้นี้หากเหล่ือมมุงบ่ อย่าซะแล อันนก้ี เ็ ป็นอศั จรรย์อนั ๑ ซะแล รา186 มาพร้อมกันแต่งยาสิทธิเตชะ ให้เจ้าสุริยกุมารกินตามดังค�ำเจ้ารัสสี สอนน้ันเทอญ รามาพร้อมกันราชาภิเษก ให้คืนเมือเสวยราชบ้านเมืองสาเกตนคร ดงั เก่า แล้วจงี สมมตุ วิ ่าราเปน็ อนแุ ก่เจ้าตนลกู แล้วพร้อมกนั เอาช้างม้ารพี้ ลคนเศกิ ไปควากระท�ำส�ำแดงฤทธีแห่งรา เหมือนดังจักกระท�ำยุทธกรรมนั้น เอาท้าวพญา ทง้ั หลายในชุมพทู ปี ท้ังมวลให้เข้ามาถวายบังคมสู่สมภารแก่เจ้ากุมารตนลกู เทอญ พญาทั้ง ๒ มีเอกฉันท์จากันค่องฉันน้ีแล้ว จีงเอากันไปสู่ภูอัน ๑ แล้ว กผ็ อ่ 187ดกู กยา อนั เจา้ รสั สหี ากกลา่ วสอนไวน้ นั้ กจ็ งี ไดเ้ ครอื เขามวก แลนำ�้ นม ราชสีห์ รากคูณ รากส้มผ่อ เครืออมรณี ขมิ้นข้ึน188 ในที่ดอยอัน ๑ ที่นั้น ภอู นั นน้ั จีงชือ่ ว่า ภพู ญาพอ่ ผอ่ เอายา แล คร้ันว่าได้ยาแล้ว จีงแต่งยาสิทธิเตชะให้เจ้าสุริยกุมารกิน ลวดเกิดมีก�ำลัง อานภุ าพรปู โฉมตระนมพรรณวรรณผวิ ผางเปน็ อนั งามยง่ิ นกั มตี บะเดชะมาก มฤี ทธี แลพลนั นกั แล้ว พญาทัง้ ๒ จีงราชาภิเษกให้เป็น พญาสุรยิ วงศาสิทธเิ ดช กม็ แี ล แล้วจีงให้ช้างตัว ๑ กับทั้งม้าตัวหน่ึงแลควาญนายอันมีก�ำลังฤทธิแต่ก่อน นน้ั แล จงี แตง่ ชาวเมอื งออกขนุ ทง้ั หลายอนั เปน็ ชาวเมอื งศรอี โยธยิ าอนั นนั้ มาอยดู่ อม 186 “รา” เรา 187 “ผ่อ” มอง 188 “ขมิน้ ข้นึ ” ขมนิ้ อ้อย ตำ� นานอุรังคธาตุ 89

มี ออกขนุ พลเทพ เป็นเค้า มคี รวั หญงิ ชายน้อยใหญ่ห้าพนั คน ออกขุนพลพรหม มคี รวั หญงิ ชายน้อยใหญ่ห้าพนั นำ� ออกขุนบญุ ขวาง มคี รวั หญิงชายน้อยใหญ่ห้าพัน ออกขนุ โลกบาล ผ้ถู ้วน ๔ มคี รวั งวั ควายหญงิ ชายน้อยใหญ่ ๕ พนั แล ตราดูครัวทง้ั มวล ประมวลเข้ากนั เปน็ ๒ หมื่น ฝูงนีใ้ ห้มาอยู่รักษาช้างม้า ในเมืองสาเกตนครน�ำเจ้าสุรยิ วงศาสทิ ธิเดช ยามนนั้ แล เมื่อน้ัน พญาสุริยวงศาสิทธิเดชราชมหากษัตริย์ตนนั้น ก็อ�ำลาคราจาก พรากเมืองศรีอยุธิยาคืนมาเสวยราชบ้านเมืองต่างพ่อหั้นแล จีงให้ฝูงออกขุน ท้งั หลายอันมาน�ำนนั้ กต็ ้ังบ้านสร้างเมอื งอยู่รักษาช้างม้าทงั้ มวล กม็ แี ล ในเมื่อเจ้าสุริยกุมารได้เสวยเมืองแล้ว เจ้าก็ตั้งอยู่ตามคองทศราชธรรม ๑๐ ประการ ตามประเวณบี ุรพกษัตรยิ ์แต่ก่อนสบื มา มีต้นว่า ให้ทาน รกั ษาศลี เปน็ เคา้ เจา้ กส็ ง่ั สอนเสนาอามาตยแ์ ลชาวเมอื งทง้ั หลายใหเ้ ขากระทำ� บญุ ใหท้ าน ตามก�ำลังศรัทธาบ่ให้ขาด หน้ั แล แต่น้นั เถงิ เม่ือเดือน ๖ ฟ้าร่มฝนตกลงมาทัว่ นานครทกุ แห่ง พชื ข้าวกล้าก็ หากระงอกออกมาทว่ั ทศิ าบ้านเมืองทัง้ มวลทุกแห่ง หาบุคคลผู้จักผายบ่ได้ หาก เกดิ มาดว้ ยตนเอง แมน่ วา่ หมากดกู ลกู ไม้ กลว้ ย ออ้ ย หมาก พลู ตน้ พรา้ ว ตน้ ตาล หวานสม้ เผอื กมนั ขงิ เทยี ม สรรพพชื ทง้ั มวลกห็ ากเกดิ แผอ่ อกมาเองเปน็ นจิ กาล ทุกยาม บ่ขาดสายแล ยามนนั้ คนทง้ั หลายบไ่ ดก้ ระทำ� ไรน่ าคา้ ขาย ครนั้ เถงิ ฤดกู าลฝนตกมาแลว้ บุคคลผู้ใดมักเอาอันใดท่อใดก็ไปพิทักษ์รักษาปิ่นปัวเอายังพืชข้าวกล้าทั้งมวลไว้ เถิงกาลเมอ่ื ข้าวแก่แล้ว พอขนมาใส่เยียก็ขนเมอื มาใส่เล้าใส่เยีย189 ไว้ตามใจมกั คนทั้งหลายแล อนั นก้ี ห็ ากเป็นอานสิ งส์ผลด้วยบญุ สมภารแห่งพญาสรุ ิยวงศาสทิ ธเิ ดชแต่ ก่อน เมอื่ เปน็ พญาติโคตรบูรได้ใส่บาตรพระพทุ ธเจ้าวนั น้ันแล อนั มีก�ำลังอนั แรง น้นั อนั น้ดี ้วยอานสิ งส์ผลอนั ได้อุ้มเอาบาตรไปส่งพระพุทธเจ้าวนั น้นั แล คนท้ังหลายอันอยู่ต่างประเทศมาเห็นค�ำกินเป็นอันง่าย บ่ได้กระท�ำไร่นา ลวดพากนั ลกั หนจี ากบ้านเมอื งเจา้ ตนเข้ามาส่สู มภารเทอื เลก็ เทอื นอ้ ยบข่ าดสาย 189 “เล้าเยยี ” ยุ้งฉาง 90 ทรี่ ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ประจำ� ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

แล มาสรา้ งอาวาสยา่ วเรอื นกนิ ยอ้ นบญุ แหง่ พญาสรุ ยิ วงศาสทิ ธเิ ดช มาเอาเวยี ก บ้านการเมืองดอมท่ีน้ัน ลวดเกิดเป็นบ้านเมืองอันใหญ่กว่าท้าวพญาทั้งหลาย สังขตาดคู นในเมอื งนับแต่คนผู้เป็นการได้ ๒ ล้าน ๗ แสน ๘ หมื่น ๙ พนั จงี แต่งอามาตย์ผู้ฉลาดผู้ ๑ ไว้ ใส่ชอื่ ว่า หมนื่ พชื โลก มบี รวิ าร ๕ หมื่น ถงึ เมอื่ ฤดพู ชื ขา้ วกลา้ หมากดกู ลกู ไมเ้ กดิ มาแลว้ พญากใ็ หห้ มนื่ พชื โลกพาบรวิ าร ไปแบ่งปันให้คนทง้ั หลาย อย่าให้เขาผดิ เถยี งกนั ข้าอโนชติ ผู้ ๑ ชอื่ ว่า หมน่ื กลางโรง เปน็ คนในกลางปราสาท เสนาใหญ่ ท้ังหลายแต่งบ้านเมอื ง ผู้หนึ่งช่ือว่า หม่ืนหลวงกลางเมือง ผู้ ๑ ช่ือว่า หม่ืนประชุมนุม ผู้ ๑ ช่ือว่า หมน่ื ล่ามเมือง เสนา ๓ คนน้เี ปน็ ใหญ่กว่าเสนาทง้ั หลายแล ผู้ ๑ ชอื่ ว่า หมน่ื แก เปน็ ผู้จดั เตือนชาวบ้านชาวเมอื งให้แปงเวยี กรวั้ แปง เวยี งแปงก�ำแพงทงั้ มวล มีปริวาร ๕ หมน่ื ห้นั แล จีงสร้างพุทธศาสนา วดั วาอาราม กระตบึ 190 กระฎี วหิ าร ก่อหินมุกเปน็ ๖ ถา้ น มสี ณั ฐานปานดงั ชนั้ ฟา้ ทงั้ ๖ เจาะใหเ้ ปน็ รอ้ ยเอด็ ปกั ตู ดรู งุ่ เรอื งงามเหมอื น ดังเมื่อพระเจ้ายังทัวรมานน้ันแท้ดีหลีแล สังขยาตราดู สังฆเจ้าได้ ๒ แสนตน สามเณรได้แสน ๓ พันตน ผ้าขาวดาวบสได้ ๗ หมน่ื ๗ พัน ๙ ร้อยตน จีงแต่งขุนบัวรบัติ191 ไว้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆเจ้าท้ังหลาย ไวใ้ หเ้ อาการกศุ ลสง่ิ เดยี ว พทุ ธศาสนากห็ ากไวไ้ กลบา้ นแลคามนคิ ม บใ่ หเ้ จอื กลว้ั เคล้าด้วยคนทง้ั หลาย ท่อเว้นไว้แต่คนผู้ชายอนั เปน็ ผู้ตระกลู อุปฏั ฐาก นนั้ แล ไทเมอื งเชยี งคง เปน็ คนส่งไม้เท้าแลตักนำ้� วัดวานเซา ไทเมืองเชยี งแกว้ ให้อุปฏั ฐากแก้วทง้ั ๓ ไทเมืองกระโดน ซุมน้ีให้ฟั่นเปลือกกระโดนใหญ่ท่อแข้งมาสุมไฟ ไว้แก่ศาสนาสังฆเจ้าทง้ั หลาย เอาไฟยามใดให้ได้ยามนน้ั ไทเมืองกระท่าง ให้ช�ำระหนทางคมุ บาท ชาวไทเมืองบั้งจ่ีสีถาน ฝูงน้ีให้เขาแต่งไฟดอก192 บูชาปกติ 190 “กระตบึ ” กระท่อม 191 “บวั รบตั ”ิ ปฏิบัติ ปรนนิบัติ 192 “ไฟดอก” ไฟพะเนยี ง ตำ� นานอรุ ังคธาตุ 91

ซุวันศลี 193 ต�ำเฮียง แลเมอื งน้อยทง้ั หลายฝูงน้แี ต่คนการเป็นคนแสน ๕ หมนื่ นนั ทอาราม เป็นใหญ่กว่าเขาทง้ั หลายแล ผู้ ๑ ช่ือว่า หมื่นพระนำ้� รงุ่ มบี ่าวบรวิ าร ๕ หม่นื ตกั นำ�้ ให้สงฆเจ้าช�ำระ เมื่อค่�ำเท่ารุ่ง ผู้ ๑ ชอื่ ว่า หมนื่ เชียงสา มหี มู่ซมุ บรวิ าร ๕ หมนื่ หาดอกไม้แลแต่งเครือ่ ง บชู า แล้วเลิกเปน็ ปกติ อนั หนง่ึ ศาสนาวดั วาอาราม กระตบึ กระฎี วิหาร ที่ใดหกั แปเพ ให้หม่นื นนั ทอารามแลหมนื่ พระนำ้� รงุ่ แลหมน่ื เชยี งสา พรอ้ มกนั ไหวห้ มนื่ หลวงกลางเมอื ง แลหม่ืนประชุมนมุ เมอื ง แลหมนื่ ล่ามเมือง ๖ คนนจ้ี งี พร้อมกัน ให้หมื่นกลางโรง เข้าขาบทูลเรียนอาชญาแล้ว จีงพร้อมกันตกแต่งแปงอยุดอยาให้ดี คนท้ังหลาย ลำ� กวา่ นน้ั ใหห้ มนื่ แกตกแตง่ ใหเ้ ขาถอื รวั เวยี งเชยี งแซสรา้ งเวยี งใหด้ ใี หง้ ามเปน็ อนั กว้างขวาง เจาะเปน็ ร้อยเอ็ดปักตู แล้วให้แปงขัวสะพานทางไต่ข้ามทีอ่ นั ควรแปง ในเวียงนอกเวียงน้ันแล้ว เป็นอันดีงามทุกแห่งทุกที่ ความอันน้ันก็ลือชาปรากฏ ไปทว่ั ทิศาซุแห่ง หน้ั แล เม่ือน้ัน พญาศรีอมรณีอันเป็นพ่อแห่งพญาสุริยวงศาสิทธิเดช แลพญา โยธิกา ๒ สหาย ก็ยินดีซ่ึงบุญสมภารแห่งลูกตนอันเป็นพญาตนประเสริฐนัก พญาท้ัง ๒ ก็พร้อมกันเอารี้พลคนเศิกไปควากระท�ำด้วยฤทธีให้ปรากฏ พญา ทงั้ ๒ กเ็ สดจ็ ขน้ึ สอู่ ากาศ เอนิ้ กลา่ วจดั เอาทา้ วพญารอ้ ยเอด็ เมอื งใหเ้ ขา้ มาเคารพ นบบาทพระราชสมภารถวายบงั คมแก่พญาสรุ ยิ วงศาสทิ ธิเดชเทอญ วา่ ดงั นแี้ ลว้ เมอ่ื นนั้ ทา้ วพญาทง้ั หลายรอ้ ยเอด็ เมอื งไดย้ นิ วา่ พญาสรุ ยิ วงศา สิทธิเดชไชยะมา ว่าดังน้ันก็ลวดชมชื่นยินดีหั้นแล อันน้ี เป็นด้วยผลอานิสงสา เมอ่ื เปน็ พญาตโิ คตรบูร แลเลื่อมใสได้ปรารถนาคำ้� ศาสนาซ่องหน้าพระพทุ ธเจ้า วนั นนั้ แล ยามนน้ั ทา้ วพญาทงั้ หลายกใ็ หส้ ารปฏญิ าณขานวา่ สาธุ สาธุ ดกี ข็ า้ แล ผู้ข้าทง้ั หลาย กค็ ดึ ใคร่ปรารถนาอยากเหน็ พทุ ธศาสนาในบ้านเมอื งร้อยเอด็ ปกั ตู แลพุทธศาสนารุ่งเรืองงามในบ้านเมืองพุ้นดีหลีแท้แล ว่าดังนั้นแล้ว พญาท้ัง ๒ 193 “วันศลี ” วนั พระ 92 ที่ระลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจ�ำปพี ุทธศักราช ๒๕๖๒

จีงคนื มาสู่บ้านเมอื งศรีอยธุ ิยาทวารวดดี ังเก่าแล ยามน้ันพญาทั้งหลายร้อยเอ็ดตนก็จีงตกแต่งประดับประดายังเครื่อง บรรณาการ มีนางกษัตริย์ผู้มีรูปโฉมอันงามแลเมืองแลคน กับทั้งบริวารข้าช่วง ใช้ พร้อมคำ� แสนหน่งึ ช้างพลายสิบตัว ช้างพงั สบิ ตัว ม้าสิบตวั ทั้งผ้าเสอ้ื เครือ่ ง บรรณาการฝงู อ่นื กว่าน้นั ทุกเยอื งซเุ มอื งเสมอกนั ท้าวพญาท้ังหลายจีงเข้ามาพร้อมกับพญาทง้ั ๒ ฮอดในที่เมืองศรอี โยธยิ า ทวารวดหี ัน้ ก่อนแล ถัดน้นั พญา (ศรี) อมรณีแลพญาโยธิกากจ็ งี ให้ หม่ืนนครเสมากุรนุ ทะ พาบริวาร ๕ พัน แนบน�ำ194 ท้าวพญาทั้งหลายร้อยเอด็ เมอื งเข้าไปถวายบงั คม สมพระจติ สทิ ธบิ รรณาการแกพ่ ญาสรุ ยิ วงศาสทิ ธเิ ดชมหากษตั รยิ ใ์ นเมอื งสาเกต นครร้อยเอ็ดประตู พญาทั้ง ๒ ก็จีงเอารี้พลพหลโยธาเสนาช้างม้าคนหาญ มุบหลงั เข้าไป หน้ั แล ท้าวพญาท้ังหลายก็จีงเห็นพุทธศาสนาบ้านเมืองรุ่งเรืองวัดวาอารามงาม ยอดย่ิง สิงเม่ือทัวรมานแห่งพระพุทธเจ้าเม่ือไป่ได้เข้าสู่ปัทธโปกขมหานิรพานนั้น แท้ดีหลแี ล ท้าวพญาทงั้ หลายเหน็ แล้วกล็ วดมหี วั ใจอันขาวผ่องส่องใสงามโสมนัต หตั ถาภิรมย์ยงิ่ นกั เหตุว่าบ่ห่อนได้เหน็ แต่ก่อนสกั เทือ่ แท้แล ท้าวพญาร้อยเอ็ดเมอื งก็ไหว้สัง่ ทลู ลาพญาสรุ ยิ วงศาแล้ว กล็ าพรากจาก กันคืนเมือสู่เมืองแห่งตนซุพญา ก็จีงมี เอกฺกชมหจิทฺธเอกสนฺทา แล้วซ�้ำพัด พร้อมกันมาแปงพระราชมุรทาราชาภิเษกอติเรกมงคลเป็นถ้วน ๒ ปางนั้นแล ใหเ้ ปน็ ใหญ่ ขน้ึ ชอ่ื วา่ พญาสรุ ยิ วงศาสทิ ธเิ ตชธรรมกิ ราชาธริ าชเอกราชเมอื ง ร้อยเอ็ดปักตู ห้ันแล แล้วจีงคืนเมือสู่เมืองแห่งตน ได้ท�ำนวยมาจีงสร้าง พทุ ธศาสนาซุเมอื ง ยามน้ัน พญาจีงขอราธนาเอาวรพุทธศาสนานิมนต์เอาสังฆเจ้าท้ังหลาย ไปอยู่เมตตาสร้างพุทธศาสนาในบ้านเมืองแห่งตนทุกคนหั้นแล พญาสุริยวงศา องค์พุทธังกูรมหากษัตริย์เจ้า จีงเถราภิเษกให้ท้าวพญาท้ังหลายน�ำพุทธศาสนา ไปใส่ในเมอื งแห่งซเุ มอื ง ยามนนั้ ก็มแี ล 194 “แนบนำ� ” ตดิ ตาม ตำ� นานอุรงั คธาตุ 93

ตั้งแรกแต่น้ันไปภายหน้า เถิงเม่ือฤดูกาลออกวัสสาแลสังขารนั้นมาเถิง ท้าวพญาร้อยเอด็ เมอื งกแ็ ต่งดอกไม้เงนิ คำ� นำ� บรรณาการมา สงั่ อามาตย์ราชทตู แหง่ ตนวา่ เจา้ ทงั้ หลายจงนำ� เครอื่ งบรรณาการฝงู นไ้ี ปทพ่ี ญาศรอี มรณี พญาโยธกิ า อาชญาอันรักษาปักตูและเป็นหูเมืองร้อยเอ็ดปักตูนั้นก่อน แล้วจีงให้พญาทั้ง ๒ แตง่ นายแนบเขา้ ไปถวายแกพ่ ญาสรุ ยิ วงศาสทิ ธเิ ตชธรรมกิ ราชาธริ าชเอกราชเจา้ ตนเปน็ ใหญ่นนั้ เทอญ ท้าวพญาทง้ั หลายร้อยเอ็ดเมอื งเปน็ สงั่ ดังน้ซี ุปี คนท้ังหลายจีงเอาความอันนั้นมาว่า เมืองศรีอโยธิกา ตามชื่ออันนั้น เล่าซำ้� ตมื่ ขนึ้ ชอ่ื ว่า ทวาราวตั ตนิ คร ตามอนั ผเี สอื้ เมอื งรกั ษาปกั ตเู มอื ง รอ้ งเปน็ เสียง ลวา นนั้ ก็มีแล ชื่อว่า ศรอี มรณแี ลโยธกิ า น้นั เป็นชือ่ แห่งพญาทง้ั สองอนั กนิ เมืองตาม ชอ่ื ต้นไม้อันเป็นยาเจ้ารัสสแี ต่งไว้ให้ ชอื่ อนั วา่ อโยธกิ า นน้ั เจา้ รสั สใี สช่ อื่ กอ่ น พญารอ้ ยเอด็ เมอื งจงี วา่ สบื ความแล ชื่อว่า กุรุนทะนคร น้ัน ตามชื่อแต่ปฐมกัป เมืองอันน้ีเมื่อปางศาสนา พระพุทธเจ้า กกสุ นั ธเจ้านั้น ชื่อว่า เมอื งกรุ ฏุ ฐะนคร195 เมื่อปางศาสนาพระเจ้าโกนาคมเจ้า ช่อื ว่า เมอื งพาหละนคร196 เมือ่ ปางศาสนาพระเจ้ากัสสปะเจ้า ชอ่ื วา่ ทวารวดี เหตมุ ผี เี สอื้ เมอื งรกั ษาปกั ตเู วยี งนนั้ รอ้ งเปน็ ดงั เสยี ง “ลวา” นัน้ แล เมือ่ นน้ั ยังมรี าชกมุ ารสบิ ตนมารุมรบเล็วเอาเมอื งนัน้ กบ็ ่ได้ เหตุว่าเมอ่ื ข้า เศกิ มาเลว็ ผเี สอ้ื ย่อมร้องเปน็ ดงั เสยี งลวา ครน้ั ว่าผเี สอื้ เมอื งนนั้ ฮ้องดงั นน้ั แผ่นดนิ หากยะยางยายเอาเมอื งนน้ั หนไี ปอยกู่ ลางนำ�้ สมทุ รพนุ้ ครนั้ วา่ ราชกมุ ารเอารพ้ี ล โยธาหนีเมือเมืองแล้ว เมืองอันน้ันพัดเล่าคืนมาตั้งอยู่ดังเก่าดังนั้นเป็นหลาย เล่าหลายทีนัก ดังนั้นราชกุมารท้ัง ๑๐ เอาบ่ได้ ลูกพญาทั้ง ๑๐ คนจีงไปไหว้ เจ้ารัสสีตนเป็นครู รัสสีจีงบอกว่าให้ไปเผาะก่อกับผีเสื้อเมืองเข้าแล้ว จีงเอา ลิ่มเหล็กไปตอกแม่เสาปักตูเวียงเข้าไปแล้ว จีงเอาอย่วงซวนเหล็ก197 ผูกไว้กับ สบไถ198 ไว้ห้ันก่อน แล้วไปเล็วเอาหากจักได้แล ว่าดังนี้ กุมารท้ังหลายจีง 195 บางฉบบั ว่า กุรุรัฐนคร 196 บางฉบับว่า เมืองหตั ถนคร พาหาระนคร พาหระนคร 197 “อย่วงซวนเหล็ก” ห่วงเหล็ก 198 “สบไถ” ผานไถ 94 ท่ีระลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ประจำ� ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

กระทำ� ตามคำ� เจา้ รสั สบี อก เมอื งนน้ั กบ็ ห่ นไี ด้ กมุ ารทงั้ สบิ จงี ไดเ้ มอื ง แลว้ รสั สจี งี ปนั ให้กินเมืองคนส่วน ห้นั แล ราชกมุ าร ๑๐ ตนนัน้ ก็ไปควาเลว็ เอาเมอื งหลายแห่งก็ได้ แลว้ ยงั มพี ญาเมอื ง ๑ เคยี ด จงี ปอ้ ยเวร199 ไว้ ปรารถนามาเปน็ ยกั ษ์ พญา ตนนั้นตายแล้ว ก็ได้เกิดเป็นยักษ์ มากินราชกุมารท้ังสิบตนน้ันหมดแล้ว จีงเป็น เส้อื เมอื งอยู่หนั้ แล เมือ่ พระเจ้าโคตมะทัวรมาน เมอื งอนั น้ชี ่อื ว่า กรุ นุ ทะนคร ดังเก่าหั้นแล กลา่ ว พญาสรุ ยิ วงศาสทิ ธเิ ดชธรรมกิ ราชาธริ าชเอกราชเขา้ กนิ เมอื ง รอ้ ยเอ็ดประตู ก็แลว้ เท่าน้กี อ่ นแล บัน้ ท่ี ๑๔ นิทานแมน่ ้�ำ ศรี ศรี สวัสดี บัดน้ี จักกล่าวพ้ืนเมือง ปถมฺกปฺเป แต่ปฐมกัป อุลํคธาตุ นทิ าเน อนั เจอื มาในนทิ านอรุ งั คธาตเุ จา้ ทง้ั มวล จกั มาใหแ้ จง้ แกน่ กั ปราชญเ์ จา้ ทงั้ หลาย อนั ภายหน้าสบื ๆ ไปก่อนตามบุราณธรรมเจ้าอนั แล้วแล ต่อภายหลงั ดงั นี้แล ในกาลปางกอ่ นพนุ้ แทแ้ ล นาโคราชา ยงั มพี ญานาค ๒ ตวั สหายยฺ เกวสสฺ ติ กอ็ ยเู่ ซงิ่ อนั เปน็ สหายแหง่ กนั อยใู่ นนำ�้ หนองแสทน่ี น้ั ตวั ๑ ชอื่ วา่ พนิ ทโยนกวตนิ าค ตวั ๑ ชื่อว่า ธนมลู นาค อยู่หนั้ แล พนิ ทโยนกวตนิ าคตัวนั้นอยู่หวั หนอง ธนมลู นาค อยู่ท้ายหนองท่นี ้ัน กับทง้ั นาคตวั หลานตวั หนง่ึ ชื่อว่า ชีวายนาค พญานาคทัง้ ๒ ให้สจั จะปฏญิ าณแก่กันว่าดงั นี้ ผิว่า สตั ว์ตัวใดหากมาตก หวั หนองกด็ ี แลท้ายหนองกด็ ี ราทง้ั ๒ จงรกั กนั ด้วยอนั เลย้ี งชวี ติ จงแบ่งปนั กนั กนิ เทอญ ราท้ัง ๒ จักเอาหลานราตัวช่ือว่าชีวายนาคน้ีเป็นสักขีแก่ราทั้ง ๒ เทอญ ว่าดังน้ี นาคก็เอาปฏิญาณซ่ึงกันฉันนี้ก็มีหั้นแล แล้วก็พรากจากกันหนีเมือมาสู่ ที่อยู่แห่งตนหั้นกม็ ีแล แต่นั้นมาไปภายหน้า ยงั มีในวนั หนง่ึ บ่นานเท่าใด เอโกนาโค ช้างสารตัว ๑ กม็ าตกหางหนองทนี่ นั้ พญานาคตวั ชอื่ วา่ ธนะมลู นาคกไ็ ปปาดเถอื เอาซน้ี 200 ได้ แล้วก็มาแบ่งพดู 201 ซี้นเค่งิ 202 ๑ เมอื ปนั ให้พนิ ทโยนกวตนิ าคกนิ ก็พออ่มิ ห้นั แล 199 “ป้อยเวร” สาปแช่ง 200 “ซี้น” เนอ้ื 201 “พดู ” ส่วน 202 “เค่ิง” คร่งึ ต�ำนานอุรงั คธาตุ 95

อยู่มาได้ ๒ ๓ วัน เหม่น203 ตวั หนง่ึ มาตกก�้ำหวั หนอง พญานาคตวั ชือ่ ว่า พนิ ทโยนกวตนิ าคก็เอามาปาดเถอื เอายังซน้ี แล้วก็แบ่งปันพดู ซนี้ เคิ่งหนึ่ง ปนั ไป ให้ตอบพญาธนมลู นาคทางหางหนองเค่งิ ๑ หนั้ แล กบ็ ่พออม่ิ ทนี น้ั ธนมลู นาคกน็ ำ� ไปดทู างหวั หนอง กเ็ ลา่ เหน็ ขนเหมน่ ยาวคา่ ศอก กทุ โธ ก็ลวดมีค�ำเคียดมากนัก ก็เอาขนเหม่นมาให้ชีวายนาคตัวเป็นหลานตัวเป็นสักขี เบ่ิงดู ด้วยค�ำว่า อันว่าค�ำสัจจะปฏิญาณอันราจักเลี้ยงชีวิตแห่งเราติดกับด้วย พินทโยนกวตินาคนี้ก็ขาดเสียแล้วแล เม่ือเราได้ช้างสารขนมันก็น้อยก็ส้ันตัวมัน ก็ยังใหญ่นัก เราเอาไปปันกินก็ยังพออ่ิมแท้ดีหลีนา อันว่าเหม่นตัวน้ีรอยว่า ตัวใหญ่หลายกว่าช้างสารตัวนนั้ บ่สงสยั ซะแล ว่าดงั นน้ั แล้ว แต่นน้ั พญานาคทงั้ ๒ กเ็ คยี ดต่อกันมากนัก กล็ วดววิ าทผดิ เถยี งกนั แล้ว กจ็ งี ลวดเลว็ กมุ ขบตอดเกยี้ วพนั กนั ไปทวั่ หนองทกุ แห่ง นำ้� หนองแส ก็ขุ่นมัวมากนกั สตั ว์ส่งิ ทัง้ หลายฝงู อยู่ในน้�ำทนี่ ั้นกต็ ายไปหมดเส้ียงแล ทนี่ นั้ เทวดาฝงู เปน็ ใหญอ่ ยรู่ กั ษาหนองแสไปหา้ มกบ็ ฟ่ งั เทวดาทงั้ หลายจงี พร้อมกันออกเมือไหว้พญาอินทร์ ๒ จีงให้ท้าวจตุโลกบาลท้ัง ๔ มาขับนาคท้ัง ๒ ตวั นน้ั หนีจากหนองแสหน้ั แล นาคทง้ั ๒ จงี พนั เกย้ี วกนั ออกหนี คอื วา่ ธนมลู นาคแลชวี ายนาค เอาหวั อกปนุ้ แผ่นดนิ ก็เพพังไปเป็นคองอนั เลกิ แล ชวี ายนาคควดั เปน็ คองแม่นำ้� มานำ� คองอกแห่ง ตนไป จีงได้ชอื่ น้�ำคองอก แล แต่นนั้ จีงเรียกว่า อุรงั คนที ความโลกว่า น้�ำอู แล พญานาคตัวชื่อว่าพินทโยนกวตินาค จีงควัดเป็นแม่น้�ำเมือมาทาง เมืองเชียงใหม่พุ้น จีงเรียกชื่อว่าเป็น แม่น้�ำพิง แล เมืองอันนั้นจีงเรียกชื่อว่า เมอื งโยนกวตนิ คร ตามชือ่ นาคตวั นนั้ หั้นแล ธนมูลนาค แลชีวายนาค ก็ควัดเป็นแม่น�้ำมาตีนดอยนันทกังฮี เท่าเถิง เมืองศรีโคตรบอง แต่น้�ำอุรังคนทีมาฮอดธนมูลนาคตั้งอยู่จีงเรียกชื่อว่า ธนนที ไทแปลว่า แมน่ �ำ้ ของ หน้ั แล ส่วนในน�้ำหนองแสเมอื่ นัน้ ผที ัง้ หลายเห็นสัตว์สิง่ มตี ้นว่า จแี่ ข้204 เหย้ี แลน เต่า ปู ปลา ทั้งหลาย ตายมากนกั ในนำ้� หนองแสทน่ี ้นั ผแี ลคนท้งั หลายกเ็ อากนั มา ชุมนมุ กนั อยู่กนิ ยังปลาท้งั หลายฝูงนั้นมากนกั 203 “เหม่น” เม่น 204 “จ่แี ข้” จรเข้ 96 ทรี่ ะลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ประจำ� ปีพุทธศกั ราช ๒๕๖๒

เมอื่ นนั้ สว่ นวา่ นาคทง้ั หลายมี สวุ รรณนาค กทุ โธทปาปนาค ปพั พารนาค สุกขรนาคหัตถี สีสาสตั ตนาค มี ๗ หัว คหตั ถีนาค เป็นเค้า แลนาคทัง้ หลาย ฝงู เปน็ บรวิ ารมากนกั อยนู่ ำ�้ หนองแสนนั้ บไ่ ด้ เหตวุ า่ นำ้� หนองแสขนุ่ มวั เสยี มากนกั จีงออกมาอยู่แคมน้�ำเหนือบก ผีเห็นนาคทั้งหลายออกมาอยู่เหนือบกดังน้ัน เขากม็ าหวงแหนกนิ ซากวา่ นาคจกั มายาดชงิ กนิ ดอมเขา กล็ วดกระทำ� รา้ ยใหเ้ ปน็ อนตายแก่นาคท้ังหลายด้วยพยาธิเจ็บไข้ผอมเหลืองต่าง ๒ เป็นต้น ลางพ่อง ก็ตายไป แม่นว่าเงือกก็ด่ังเดียว นาคท้ังหลายจีงเอากันหนีจากแคมหนองแส หน้ั นำ� คองนำ�้ อุรงั คนที แล้วจงี ควาหาท่อี ยู่ล2ี่ 05ผีสางท้งั หลาย แลนาค แลเงือกงู ทงั้ มวล กล็ ่องนำ� แม่น�้ำของลงมาใต้ สสี าสัตตนาค จงี อยู่เพียง ดอยนนั ทกงั ฮี ห้ัน สวุ รรณนาค จงี ลงมาอยู่เพยี ง ภปู ูเ่ วยี น กทุ โธทปาปนาค จีงเล่าควัดแต่น้�ำธนนทีนั้น ออกไปเกล่ือนเพเป็น หนองบวั บานไว้แล้ว ก็อยู่หั้น ลำ� นนั้ นาคทงั้ หลายตวั ใดมกั อยู่ทใี่ ดกไ็ ปอย่ทู นี่ น้ั หน้ั แล ฝงู เงอื กงทู งั้ หลาย อยู่เป็นบรวิ ารก็ไปน�ำซแุ ห่ง  ปพั พารนาค ควัดออกไปอยู่ ภูเขาลวง พญาเงือกตัว ๑ พญางูตัว ๑ บ่มักอยู่แกมนาคทั้งหลาย จีงควัดออกเป็น แม่นำ้� อนั ๑ ว่า น�้ำเงือกงู ลุนมานี้ จีงว่า น้�ำงมึ ก็ว่า แต่นนั้ มาตราบต่อเท่าบดั น้แี ล สุกขรนาคนาค หตั ถนี าค จีงอยู่ เวนิ หลอด นาคฝูงย่านผียักษ์เป็นนัก เอากันไปเถิงท่ีอยู่ธนมูลนาคอยู่เมืองศรีโคตรบอง ใตด้ อยกปั ปนคริ ี คอื ว่า ภกู ำ� พรา้ จงี ควดั แต่นน้ั ไปเท่าถงึ เมอื งอนิ ทปตั ถนคร เท่าฮอด น�้ำสมทุ ร แต่น้นั จงี ว่า น้ำ� ล่ผี ี มาเท่าบัดน้ี หัน้ แล น้�ำที่อยู่แห่งธนมูลนาคน้ันก็ไหลกว้างเสีย ธนมูลนาคจีงควัดออกมาเป็น แมน่ ำ�้ เมอื เมอื งกรุ นุ ทะนคร แตน่ นั้ มาจงี เรยี กวา่ นำ�้ มลู นที ตามชอื่ นาคตวั นนั้ หนั้ แล ชวี ายนาคเลา่ ควดั แตแ่ มน่ ำ้� มลู นทนี นั้ ออกจนกวมเมอื งพญามหาสรุ อทุ กะ ตนกนิ เมอื งหนองหาญหลวง พรอ้ มทง้ั กวมเมอื งขนุ ขอมนครหนองหาญนอ้ ย ตราบต่อเท่าฮอดเมืองกุรุนทะนคร แต่น้ันมาจีงมีช่ือเรียกว่า น�้ำชีวายนที เหตวุ ่าตามช่อื นาคตวั นน้ั แล 205 “ล”่ี ซ่อนเร้น ต�ำนานอุรังคธาตุ 97

บนั้ ท่ี ๑๕ เมืองหนองหาญหลวง เมอื งหนองหาญนอ้ ย หนองหาญทง้ั สองนั้น แต่ก่อนไป่ได้มหี นองดาย บดั นี้ หนองหาญหลวงนนั้ พญามหาสรุ อทุ กะเจ้าเมอื งหนองหาญหลวง ตนนน้ั มีฤทธยี งิ่ นกั ถอื ดาบไปไต่หลงั น้�ำมลู นทแี ล้ว แกว่งดาบเทิงหัว ธนมลู นาค ตนนน้ั จงี มคี ำ� เคยี ดแกพ่ ญามากนกั กจ็ งี มาเกลอ่ื นเพพงั บา้ นเมอื งเสยี  คนทง้ั หลาย จีงลอยออกจากน�้ำมา ลางพ่องก็ตาย ลางพ่องก็พ้น จีงต้ังบ้านตั้งเมืองอยู่แคม หนองอันนนั้ จีงเรยี กว่า เมอื งหนองหาญหลวง ตามชอ่ื พญาตนนนั้ ห้ันแล เมอื งหนองหาญนอ้ ยนน้ั แตก่ อ่ นกไ็ ปม่ หี นอง เรยี กวา่ เมอื งขนุ ขอมนคร พญาขุนขอมนครตนเสวยนั้นเป็นน้องแห่งพญามหาสุรอุทกะตนกินเมืองหนอง หาญหลวงนน้ั แล ปางน้ัน เมืองพญานาคตัวชื่อว่ากุทโธทปาปนาคอยู่หนองบัวบานแล้วนั้น มันมีลูกตัว ๑ ช่ือว่า ภังคียนาค สุวรรณนาคเอามาเล้ียง ภังคียนาคตัวน้ันก็ไป ควาหล่ินฮอดเมืองขุนขอมนคร ภังคียนาคนีรมิตเป็นรอกด่อน206 ตัวใหญ่นัก ข้ึนต้นงิ้วผ่อเยี่ยมหลิงดูยังที่อยู่แห่งตน นายพรานแห่งขุนขอมเห็น ยินดี ลวดยิง ถืกภังคียนาครอกตัวนั้นตาย พรานจีงมาบอกขุนขอมผู้เป็นเจ้าเมือง ลวดให้คน ท้งั หลายไปเถอื เอาซ้นี มาปนั กันกินทวั่ เมอื งแล กทุ โธทปาปนาคเคยี ด จงี เอาหมนู่ าคแลเงอื กงทู งั้ หลายไปเกลอื่ นเพบา้ นเมอื ง ท้ังมวลเสยี คนท้งั หลายฝงู ใดได้กินซนี้ รอกด่อน นาคน้ันกจ็ ำ� 207 เงอื กงกู ินเส้ียงแล คนทั้งหลายฝงู ใดบ่ได้กินซน้ี รอกด่อนนน้ั นาคกใ็ ห้ปล่อยพ้นจากค�ำตายทกุ คน คนฝูงยังอยู่ยังบ่ตายนั้นเขาก็ลอยออกพ้น แล้วก็ต้ังเป็นบ้านเป็นเมือง อยู่ดังเก่าแล เงือกงูทั้งหลายก็จีงเอาข้าวของแห่งเขาฝูงตายนั้นมาให้แก่เขาฝูง ยังนั้น สร้างอาวาสย่าวเรือนต้ังอยู่ใกล้แคมหนองหั้นแล จีงเรียกช่ือว่า เมืองหนอง หาญนอ้ ย แต่น้นั มา เท่าบดั น้ดี หี ลแี ล อันว่าพื้นนิทานแม่น�้ำของแลเมืองหนองหาญทั้ง ๒ แต่ปฐมกัป เมื่อ พระเจา้ ตนชือ่ วา่ กกุ ุสันธะจักเกดิ มานัน้ มดี ังนแ้ี ล 206 “รอกด่อน” กระรอกเผอื ก 207 “จำ� ” จบั กุมตวั 98 ทีร่ ะลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ประจำ� ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

บั้นที่ ๑๖ พญาท้ัง ๕ จุตไิ ปเกิด บดั น้ี จักกล่าวถงึ พญาทงั้ ๕ มีพญาสวุ รรณภงิ คาร เปน็ เค้า ทีไ่ ด้ก่ออูบมงุ ไวอ้ รุ งั คธาตนุ นั้ แลว้ ครนั้ ลาพรากจากกนั เมอื สบู่ า้ นเมอื งแหง่ ตนซตุ นพญากม็ แี ล ภายหน้าแต่นั้น ในปีน้ันนางราชเทวีพญาอินทปัตถนครหลวงก็ฝันเห็น แก้วมณีโชติ ๒ หน่วย ก็ตกลงทับอกนาง แล้วลวดเล่าเกิดเป็นช้างเผือก แล้วหนไี ปสู่อากาศแล  ยามน้ัน พญาสุวรรณภิงคารก็จุติจิต ไปเอาปฏิสนธิในท้องนางเทวี ทรงครรภ์ถว้ น ๑๐ เดอื น แลว้ ประสตู อิ อก ได้ถอ่ งป2ี 08 จงี ใส่ชอื่ วา่ เจา้ มหารตั น กุมาร ตามนิมิตแล พญาค�ำแดงจุติจิตได้ไปเกิดฮอมแม่เดียวพ่อเดียวกัน ใส่ชอื่ ว่า จลุ รัตนกมุ าร ด้วยลำ� ดบั นน้ั ก็มแี ล ยามนั้น เทวดาหนองหาญหลวงแลหนองหาญน้อยเอาฉันทะกับด้วยธน มูลนาคแลชีวายนาค โก่งหลังเอาหางควัดเป็นแม่น้�ำอัน ๑ น้�ำจีงฟองลมเข้ามา มากนัก นองเข้ามาหนองหาญน้อย เทวดาหนองหาญน้อยเล่าให้น้�ำนองลึบเข้า มาหนองหาญหลวง เทวดาหนองหาญหลวงจงี ให้น้�ำล่ายท่วมลบึ ธาตุเชงิ สุม แล ท่วมบ้านเมืองพญาทงั้ ๒ เสีย พอ่ ทา้ วคำ� บางอนั เปน็ นา้ แหง่ พญาสวุ รรณภงิ คาร กจ็ งี พาเอาคนทง้ั หลาย กายน้ำ� ขนึ้ มาแคมนำ้� แม่ของ จีงตง้ั เปน็ เมอื งท่หี ้วยเก้าคดเก้าเล้ยี ว ห้นั แล ฝงู เปน็ สปั ปรุ สิ ะเชอื้ ชาตติ ระกลู ขนุ เปน็ นกั ปราชญ์ ฝงู ร้แู ต่งบ้านแปงเมอื ง ตามพญาทั้ง ๒ แต่ก่อน บ่ให้ผ่อนประเวณี จีงพร้อมกันเอาพ่อท้าวค�ำบางเป็น ใหญ่ ซมุ อนั เปน็ ไพรฟ่ ้าหนิ ชาติ กใ็ หต้ ง้ั อยแู่ คมหนองคนั แทผเี สอ้ื นำ้� กระทำ� นากนิ ตีนบ้าน ก็มปี างนัน้ แล ฝูงอันกายน�้ำเมือใต้ แลหนีไปแคมชีวายนทีน้ัน แม่นพาหิรคามบ่าวไพร่ ท้ังมวล ธนมูลนาคจีงควัดแปวแต่นำ�้ แม่ของ ออกไปเป็นบุ่งหนองอันใหญ่ แล้วก็ ตั้งอยู่ นาคจีงกระท�ำฤทธีให้น�้ำแม่ของฟองออกฝ่ายแคมเบ้ืองเดียว เพื่อว่าพาน คนไวบ้ งุ่ หนองอนั ธนมลู อยกู่ ระทำ� ฤทธนี นั้ คนทงั้ หลายจงี วา่ เปน็ นำ้� ของหลง ดาย ชีวายนาคให้คนทั้งหลายฝูงตกขอกนอกเขตเมืองนั้นเข้ามาด้วยฤทธี แห่งตน ควัดแต่น�้ำมูลนทีออกไปเป็นบุ่งเป็นวัง ตีน้�ำเป็นฟองลมพานไว้ คนทั้งหลายฝูงตกนอกจงี คืนเข้ามาอยู่แคมบุ่งแคมวงั เขาจงี ว่า นำ�้ ชหี ลง 208 “ถ่องปี” คร่งึ ปี ตำ� นานอุรังคธาตุ 99

บัดนี้ เขาหล่าคืนเสีย เขาว่ากุดกว้างหั้นแล้ว ธนมูลนาค ชีวายนาค นาคทง้ั ๒ ตนอยู่หนั้ ได้ ๓ เดอื น ครน้ั ว่า คนทง้ั หลายตงั้ เป็นบ้านเปน็ เมอื งนำ� แคม หนองหาญทง้ั ๒ นน้ั แล้ว นาคจงี ให้น้�ำบก209  คนท้ังหลายฝูงใดเป็นพี่เป็นน้องกัน เขาก็หากอยู่ตุ้มปกกกหอมกัน พร้อมกัน สร้างอาวาสย่าวเรือนอยู่ จีงตกแต่งปุนแปงกันเข้ามาเอาเวียกบ้านการเมืองดอม พ่อท้าวค�ำบาง แต่น้นั เมอื่ หน้า เมอื งราชธานจี ีงบ่ว่ามใี นแคมหนองหาญท้ัง ๒ แต่นนั้ มาแล กาลบดั นี้ คนทัง้ หลายจงี ว่า หนองหาญนำ้� ลา่ ยเชิงสุม แต่นน้ั แล เมื่อมหารัตนกุมารแลจุลรตั นกุมารเกดิ ได้ปีหนึ่งนน้ั นางปัจฉิมกมุ ารี เมยี เจ้าราชบุตร ผู้เป็นลูกพญาจุลณีพรหมทัต ฝันว่าพญาจุลณีพรหมทัตให้ยอด ปราสาทคำ� เกดิ เปน็ ดอกบัวขาวงามขน้ึ ไปสู่อากาศ ยามน้ัน พญาจุลณีพรหมทัตแลพญาอินทปัตถนคร จุติจิตพร้อมกันลวด มาเอาปฏสิ นธใิ นทอ้ งนางปจั ฉมิ กมุ ารี เมอ่ื นน้ั ราชบตุ รเสนาอามาตยท์ งั้ หลายจงี พร้อมกันอุปัฏฐากส่งสการแล้ว เขาจีงราชาภิเษกเจ้าราชบุตรให้เป็นพญาปุตต จุลณีพรหมทัตแทนพ่อ แล้วเอานางปัจฉมิ กมุ ารีก็ได้เปน็ ราชเทวี เสนาอามาตย์ก้ำ� พญาอินทปัตถนคร ก็ราชาภิเษกน้องพญา ให้เป็นพญา จลุ อนิ ทปัตถนครหนั้ แล ยามนัน้ นางปัจฉมิ กมุ ารรี าชเทวี ประสูติเจ้ากมุ ารทัง้ ๒ ออกพร้อมกันวนั เดยี ว ได้ขวบปีน้ันแล้ว ก�้ำพญาใส่ช่อื ว่า มหาสุวรรณปา(สา)ท กมุ ารผู้น้อง ใส่ชอ่ื ว่า จุลสวุ รรณปา(สา)ทกุมาร ก็มวี นั นน้ั แล ถดั นนั้ นางศรรี ตั นเทวแี หง่ พญาสรุ ยิ วงศาสทิ ธเิ ดชธรรมกิ ราชาธริ าช กุมารเอกราชเมืองร้อยเอ็ดปักตู นั้นฝันว่า เทวดาเอาหอยสังข์ขาวพราว บริสุทธิ์ส่องใสงามมาให้นาง นางรับเอาแล้วเล่าฝันว่า บ้านเมืองเกิดเป็นป่าดง เศร้าสญู เสยี ฝนั ว่าพญาแลนางพ่ายหนีเมอื สู่กำ้� ตะวนั ออก ฝันฉันน้ี เมืองก็ลวด เกดิ อยู่ท่พี ญาไปฮอดไปเถงิ นัน้ หอยสงั ข์อนั เทวดาให้นางนนั้ ก็ลืมเสยี นางศรีรัตนราชเทวีฝันเป็นดังนี้แล้ว พญานันทเสนก็จุติจิต ไปเอาปฏิสนธิใน ท้องแห่งนางศรรี ัตนเทวพี ุ้นแล้ว ทรงครรภ์ถ้วน ๑๐ เดอื นแล้วกป็ ระสตู อิ อก ได้ ๗ วนั นางก็จุติจิตมาเอาปฏิสนธิในท้องแห่งนางผู้ ๑ อันเป็นวงศาแห่งพญาติโคตรบูรแต่ ก่อน นางผู้น้ันฝันว่าได้ถือแหวนแก้วผลึก แลได้ช้อง210 อันยาว จีงทรงครรภ์ถ้วน 209 “บก” แห้ง 210 “ช้อง” ผมสําหรบั เสริมผมให้ใหญ่หรอื ยาว 100 ท่ีระลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ประจ�ำปีพุทธศักราช ๒๕๖๒

๑๐ เดอื น กป็ ระสตู อิ อกมาได้เถงิ ขวบ จีงใส่ช่อื ว่า นางแก้วเกศี ตามนิมติ ห้ัน ก็มแี ล ส่วนดัง เจ้ากุมารลูกนาง ภายหลังพุ้นบาทบริจาริกาหากเล้ียง เถิงขวบ แล้วใส่ช่ือว่า เจา้ สังขวิชกุมาร ตามนิมติ อันนางศรรี ตั นเทวฝี นั นัน้ แล เสนาอามาตย์แห่งพญานันทเสนเมืองศรีโคตรบอง เม้ียนคาบส่งสะการ211 พญานนั ทเสนแลว้ ลงชมุ นมุ จากนั วา่ เมอื งศรโี คตรบองนมี้ กั เปน็ อนตายนกั แล วา่ ดงั นี้ จีงย้ายหนีขึ้นมาต้ังอยู่ท่ีป่าไม้รวก พร้อมกันราชาภิเษกน้องพญาอันเป็นลูกนางเทว บปุ ผา นางเทวพี ญาศรโี คตรบรู แต่ก่อน เสวยราชแทน ขึ้นชอ่ื ว่า พญามรกุ ขนคร ถดั น้ัน พญามรุกขนครจงี เอานางแก้วเกศี อันมาเกดิ ในวงศาอันเดียวตน นนั้ มาเป็นลกู หนั้ แล เม่อื เจ้าสังขวชิ กมุ ารเกดิ มาได้ขวบปีในเมอื งร้อยเอด็ ปกั ตู เมอ่ื นน้ั นางราชเทวแี หง่ พญามรกุ ขนครเลา่ ฝนั วา่ ไดก้ ลน่ิ สคุ นั ธรสทง้ั มวล หอมทั่วทิศาซุแห่ง นางก็สะดุ้งตื่นมาก็ยังเป็นอันปรากฏหอมท่ัวโรงทั้งมวล นาง กลา่ วตอ่ พญา จงี ทนั เอาพราหมณห์ มอหรู าทงั้ หลายมาแกท้ วายคำ� ฝนั อนั นนั้ แหง่ นาง หมอจงี ทวายวา่ จกั ไดล้ กู ชายผปู้ ระเสรฐิ ยง่ิ กวา่ ทา้ วพญาทง้ั หลายในชมพทู ปี ทัง้ มวล ค�ำฝันอันนเ้ี ปน็ ศภุ นมิ ิต ด้วยเทวดา สงฺคหวุฒ2ิ 12 ภายหน้าพุ้น ซะแล เมื่อน้ัน พญาสุริยวงศาสิทธิเดชธรรมิกราชาธิราชเอกราชเจ้า จีงจุติ จิตมาเอาปฏิสนธิในท้องแห่งนางเทวีเมืองมรุกขนครผู้ฝันนั้นแลทรงครรภ์ถ้วน ๑๐ เดือนประสูติออกมามีรูปโฉมอันงามย่ิง พราหมณ์ทวายว่าแม่นเชื้อหน่อ พทุ ธวงศา จงี ใช่ชอื่ ว่า เจ้าสุมิตตวงศาราชกมุ าร เจา้ กจ็ ำ� เรญิ ขน้ึ ใหญม่ าได้ สบิ ๓ ปี พญามรกุ ขนครแลนางเทวกี จ็ ตุ จิ ติ แลว้ เมือเกดิ เป็นเทวบตุ รในเมอื งฟ้าตสุ ติ า ปรากฏชื่อว่า มรกุ ขราชเทวบุตร จกั ลงมา พร้อมเมตไตรยโพธสิ ตั ว์ พุ้นแล ยามน้ัน เสนาอามาตย์ราชปุโรหิตแลพราหมณ์ท้ังหลาย จีงราชาภิเษก เจ้าสุมิตตวงศาราชกมุ าร ขนึ้ ให้เปน็ พญาสมุ ติ ตวงศาราชามรุกขนคร จีงเอา นางแก้วเกศเี ปน็ ราชเทวแี ก้วเกศี ก็มีวันน้ันแล 211 “เมีย้ นคาบส่งสะการ” กระท�ำฌาปนกจิ 212 “สงฺคหวฒุ ”ิ สงเคราะห์ให้เจรญิ ตำ� นานอรุ งั คธาตุ 101

ยามน้ัน เจ้ารัสสีตนช่ือว่า ฐิตะกัปปิ ก็ ๒213 เห็นอนาคตภัยจักเกิดมี ภายหน้าแก่พญาทั้ง ๒ จีงมาเอาพญาศรีอมรณีแลพญาโยธิกา พญาไปบวชที่ ภพู ญาผอ่ ใหเ้ ปน็ รสั สี แลว้ จงี แตง่ ยาพลเพชรแลยาอายวุ ฒั นเพชรใหอ้ มแลตนแล หน่วย แล้วจงี เอากนั เส้ียงหนไี ปอยู่ป่าหมิ พานต์พุ้น กม็ แี ล เสนาอามาตย์แห่งพญาทัง้ ๒ ชมุ นุมกนั ว่า พญาเจ้าแห่งเรายนิ ดกี บั เจ้ารัสสี เอากันหนีไปบวชภายหน้า บ่ใคร่จักคืนมาซะแล เรามาพร้อมกันเป็นใหญ่ซุคน พร้อมกันรกั ษาบ้านเมอื งเทอญ วา่ ดงั นน้ั ยงั มี ปโุ รหติ าจารยผ์ ู้ ๑ จงี วา่ ปรุ าณธรรมอนั เจา้ ธนญั ชยั บณั ฑติ หากกลา่ วไวว้ า่ บา้ นเมอื งอนั ใดเปน็ ใหญห่ ลายคน ซคุ นซวุ า่ ตนตวั รหู้ ลกั ยอ่ มบเ่ อา ถ้อยความกัน จักกระท�ำกิจการอันใหญ่อันน้อยก็บ่แล้ว ส่วยไร่กับบ้านเมืองก็ บกบาง เหตุว่าหลายคนแต่งแปง แม้นว่าจักกระท�ำการสงครามก็บ่แพ้ ข้าเศิก ศัตรูหม่ืนคนจักรบเล็วคนร้อย๑ ก็บ่แพ้แล เหตุว่าหลายคนแต่งแปงบ่เล่าค�ำ เดียวกัน เป็นดังหญ้าคาเขียวคันแลหญ้าแพรกอันบ่มีวิญญาณน้ัน หากเอามา เฝอื 214กนั ใหเ้ ปน็ อนั ๑ อนั เดยี วดงั นนั้ มาผกู ชา้ งสารกบ็ ข่ าดแทด้ หี ลี เรามาพรอ้ ม กันเลือกเอาบคุ คลผู้เป็นสัปปุรสิ ะ รู้คลองธรรมให้เป็นใหญ่ ท่อแต่ ๒ คนเทอญ แล้วจีงพร้อมกันเลือกเอาได้เมืองก้�ำพญาโยธิกานั้น ๒ คนก็หากแม่น ชาวเมืองอันน้ัน ผู้หน่ึงให้เป็น พญาอฒะภายหน้า แทนพญาศรีอมรณี กินเมือง เกิ่ง215หนึ่ง ผู้ ๑ ให้เป็น พญาบุพพกุรุนทนารายณ์ กินเมืองเก่ิงหน่ึงแทนพญา โยธกิ า ก็มแี ล ส่วนดงั ช้างม้าแลควาญนายฝงู มีฤทธีน้นั กต็ ายหมดเสีย้ งแล ยามนั้น พญาอฒะภายหน้า พญาบุพพกุรุนทนารายณ์ จีงว่า สมบัติ ข้าวของในเมืองร้อยเอ็ดปักตูนี้ เจ้าเราพญาศรีอมรณีแลพญาโยธิกา หากไป กระท�ำก�ำราบท้าวพญาท้ังหลายร้อยเอ็ดเมือง จีงน�ำมาให้แก่พญาสุมิตตวงศา สทิ ธเิ ดชธรรมกิ ราชเอกราชนน้ั ดาย ว่าดงั นน้ั แล้ว (บัดน)ี้ พญาสุริยวงศา (พญา) ศรีอมรณีหากได้ไปก�ำราบเขาตายเสียแล้ว เราลวดเอาร้ีพลโยธาเสนาอามาตย์ ช้างม้าคนแกล้วหาญไปเต็ง216เอา เขาก็ฆ่าฟันกันตายมากนัก คนท้ังหลายจีง แตกหนจี ากเมอื งร้อยเอ็ดปกั ตู คนื มาสู่บ้านเก่าเมืองเก่าตนดงั เก่าแล มี 213 “๒” ส่อง เปน็ การใช้ตวั เลขแทนเสยี ง 214 “เฝือ” ถัก,ฟั่น 215 “เกิ่ง” คร่งึ 216 “เตง็ ” ข่ม ทบั ในที่นห้ี มายถงึ ข่มเหง 102 ทรี่ ะลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจำ� ปีพุทธศักราช ๒๕๖๒

หม่ืนพชื โลก เข้าเปน็ เสนาแก่พญาอฒะภายหน้า ออกขนุ พลเทพ ออกขนุ พรหม อยู่กับทเ่ี ก่าตน ออกขนุ บญุ ขวาง เอาครอบครวั ไปตง้ั เมอื งอยถู่ ดั แดนแกว ลงชมุ รมุ กันป้อยพญาอฒะภายหน้า พญาบุพพกุรุนทนารายณ์ จีงใส่ชื่อว่า เมืองชุมรุม ป้อย217 ก็มแี ล สว่ นออกขนุ โลกบาล เอาครวั ไปตงั้ ภปู า่ หมากทนี่ น้ั ชมุ รมุ กนั ฟอ้ น ท้าวพญาทงั้ ๒ ท่นี ั้น จีงใส่ชื่อว่า เมืองชุมรมุ ฟอ้ น แต่น้ันมาแล ล�ำนั้น ขุนเล็กขุนน้อยเอากันไปตั้งเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยอยู่ แล้วก็เข้าสู่ สมภารพญาสมุ ติ ตวงศาราชมรกุ ขนครทงั้ มวล หนั้ แล หมืน่ แก้ว218 มคี รัว ๕ หมืน่ มาสร้างเวยี งอยู่เป็นเมืองทีด่ อย หมนื่ พระนำ้� รงุ่ มคี รวั ๕ หมน่ื มาตงั้ เปน็ เมอื งแตเ่ พยี งปากซะดงิ 219 กำ้� เหนือ หมน่ื เชยี งสา มคี รวั ๕ หมน่ื มาตง้ั อยู่เปน็ เมอื งทเี่ ดยี วหมนื่ พระน�้ำ รุ่งห้ันแล หมืน่ หลวงกลางเมอื ง มคี รวั แสน ๑ มาตง้ั เมอื งอยู่ปากห้วยคาด หมน่ื ลา่ มเมอื ง มคี รวั ๕ หมน่ื มาตงั้ เปน็ เมอื งอยทู่ ใ่ี กลป้ ากห้วยหดู หมน่ื ประชมุ นุมเมอื ง มคี รวั ๕ หมืน่ มาตั้งอยู่เมืองปากห้วยซวย ห้วยหลวงหน้ั ก็มแี ล นา้ เลี้ยงพ่อนม220 แลหมน่ื กลางโรง หมื่นนนั ทอาราม พาครัวมา ๒ แสน รักษาเจ้าสงั ขวิชกมุ ารในเขตเมอื งสุวรรณภูมิ แต่ก่อนนั้น น้าเล้ยี งพ่อนม เอาเจ้าสังขวิชกุมาร ตั้งเป็นเมืองอยู่แต่หนองคายน้ัน ช่ือว่า เมืองลาหนองคาย เท่าอยู่ปากห้วยบางพวน หมนื่ กลางโรง มคี รวั ๕ หมน่ื ตง้ั เปน็ เมอื งอยู่แต่ปากห้วยคคุ ำ� มาใต้แล หมื่นนันทอาราม มีครัว ๕ หม่ืน มาต้ังเมืองที่ปากห้วยนกยูงค�ำ ปากโมง กว็ ่าแล 217 “ป้อย” แช่ง 218 “หม่นื แก้ว” บน้ั ที่ ๑๓ ใช้ หมน่ื แก 219 ปากห้วยกระดงิ 220 “น้าเล้ยี งพ่อนม” พระพีเ่ ล้ยี ง ตำ� นานอุรงั คธาตุ 103

คนทง้ั หลายฝงู นแ้ี ตกเมอื งร้อยเอด็ ปกั ตู มาตง้ั บ้านสรา้ งเมอื งอย่แู ล้ว กเ็ ขา้ สู่ สมภารเอาเวยี กบา้ นการเมอื งดอมพญาสมุ ติ ตวงศาราชามรกุ ขนครทง้ั มวล กม็ แี ล กลา่ วบน้ั พญาท้ัง ๕ จตุ ิไปเกิดกแ็ ล้วเทา่ น้ีกอ่ นแล บั้นท่ี ๑๗ นาคและเทวดาตัง้ เจา้ บุรีจนั ท์เปน็ ใหญ่ ยามน้ัน เมืองสุวรรณภูมิเป็นเมืองท้าวค�ำบาง ตนตั้งเมืองที่ห้วยเก้าคด เกา้ เลย้ี วหน้ั ทา้ วคำ� บางยงั มลี กู สาวผหู้ นง่ึ ชอ่ื วา่ นางอนิ สวา่ งลงลอด นน้ั แล เหตุ ว่าเมื่อนาง(เทวีท้าว)ค�ำบางผู้แม่จักทรงครรภน้ัน นางฝันว่าพญาอินทร์ให้ดอก นลิ บลดวง ๑ นางกบ็ ายเอาแลว้ กซ็ ดั ลงในสระนำ�้ ทนี่ น้ั เกดิ มาเปน็ ๒ ดอกบานงาม ทวั่ สระอนั นน้ั เมอื่ ประสตู อิ อกแล้วกจ็ งี ใส่ชอ่ื ว่า นางอนิ สวา่ งลงลอด เพอื่ อนั แล เมอื งสวุ รรณภูมทิ ้าวค�ำบางนั้น ยงั มีพระอรหันตาเจ้า ๒ ตน ลกุ แต่เมอื งราช คฤหาพุ้นมา ตน ๑ ชือ่ ว่า มหาพทุ ธวงศา อยู่ท่แี คมน้�ำบึง หัน้ กม็ แี ล ตน ๑ ชื่อว่า มหาสัชชะดี อยู่ป่าโพนเหนอื หัวนำ�้ บึงหน้ั ยังมีกระทาชายผู้ ๑ ด�ำปูมใหญ่ กระทาชายผู้นั้นประกอบด้วยใจกุศลบุญ ยงิ่ นกั เรอื นอยทู่ เ่ี พยี งแคมปากรอ่ งซะแก ปลายหนองคนั แทเสอื้ นำ�้ อนั ไหลมาจนุ ำ้� บึงห้ัน กระทาชายปูมใหญ่ผู้นั้นก็อุปัฏฐากแก่อรหันตาเจ้า ๒ ตนน้ันด้วยข้าว บณิ ฑบาตแลข้าวสงฆ์ออกเป็นปกติ อรหนั ตาเจ้าทง้ั ๒ จีงว่า ปูมหลวงมกั พำ� เพ็ง บญุ ก็ใส่ชือ่ ให้ปรากฏว่า บุรีอ้วยล่วย หน้ั แล คนท้ังหลายฝูงเป็นวงศาญาติ แลฝูงร่วมบ้านเขาก็เอาเป็นครูบาอาจารย์ แก่เขาซุคน ก็รักอย�ำแอยงยิ่งนัก บุรีอ้วยล่วยก็ยอมสั่งสอนให้รักศาตรศิลป์ ฟังธรรมกระท�ำกุศลบุญมากนัก แลชักชวนอันกระท�ำนาปี นาแซง221 แก่เขา ทกุ ป ี ไดข้ า้ วสกุ เหลอื งเฟอื งแลว้ กเ็ ลา่ ชกั ชวนอวนคนทงั้ หลาย สอนเขาใหเ้ วนขา้ ว สงั ฆภัตตเุ ทศก์นนั้ เป็นต้นเปน็ ปกติ ใส่บาตรบ่ขาดสกั วัน เม่ือรุ่งครั้ง ๑ ข้าวเป็นน้�ำนม ก็เกี่ยวเอามาต�ำเจือด้วยน�้ำอ้อยน�้ำผ้ึง น�้ำตาล ต้มให้ทาน เทือ ๑ แล พอเหม่า ก็เอาให้ทาน เทือ ๑ ข้าวพอฮาง222 ก็ฮางให้ทาน เทือ่ ๑ 221 “นาแซง” นาที่ท�ำในเวลาทไ่ี ม่ใช่ฤดกู าล 222 “ข้าวฮาง” ข้าวยังไม่แก่ถงึ ขนาด เก่ยี วเอาข้าวนนั้ มานึ่งทงั้ เปลอื ก ตากให้แห้งแล้วมาตำ� 104 ท่รี ะลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ประจำ� ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

พอเก่ยี ว เท่อื ๑ ขน้ึ กอง เทอ่ื ๑ อยู่ในลาน เทอ่ื ๑ เม่ือขน้ึ เล้าแล้ว เทอ่ื ๑ แต่นัน้ ไปกเ็ วนข้าวใส่บาตรเป็นปกตบิ ่ขาดสักวนั ครั้นว่า บุรีอ้วยล่วยให้ทานกระท�ำบุญรักษาศีลฟังธรรมแล้ว ก็อุทิศน้�ำ ส่งบญุ ไปหาเทวดา อนิ ทร์ พรหม พญานาค ครุฑ สรรพสัตว์ เผด ผี คนทัง้ หลาย หญงิ ชายน้อยใหญ่ ท้าวพญาเสนาอามาตย์ราชมนตรที ง้ั มวลก็มแี ล พ่อแม่ ญาติ เปน็ ตน้ ฝงู ยงั คดึ รู้ บรุ จี นั ทอ์ ว้ ยลว่ ยอทุ ศิ นำ้� อนั นเ้ี ปน็ ปกตบิ ข่ าดทกุ ขณะอนั กระทำ� บุญบ่ฮามดังน้ีซมุ อ้ื บ่ขาดสาย ยามนั้น ยังมพี ญานาค ๓ ตัว อยู่ใกล้บรุ อี ้วยล่วย มันก็แฮ่งตระเดินไปมา ตัว ๑ ชอ่ื ว่า กายโลหะ อยู่ป่ามหาพุทธวงศา ตวั ๑ ชอ่ื วา่ เอกจกั ขุ อยปู่ ากรอ่ งซะแกใกลเ้ รอื นบรุ อี ว้ ยลว่ ยหนั้ แล ตัว ๑ ช่อื ว่า สคุ นั ธะ อยู่หาดทรายกลางน�้ำของ นาค ๓ ตวั นตี้ ระเดนิ ไปมากม็ าไดย้ นิ คำ� บรุ อี ว้ ยลว่ ยอทุ ศิ นำ�้ สง่ บญุ ไปหานาค ทงั้ หลายทกุ วนั ดงั นนั้ นาคทง้ั ๓ กเ็ อากนั เมอื ไหวส้ วุ รรณนาคแลกทุ โธทปาปนาค  พญานาคทง้ั ๒ ได้ยนิ คำ� อนั น้ันก็ยินดมี ากนกั จีงว่า สาธุ สาธุ ดงั นน้ั กล่าว ว่า ดูรา เจ้าทงั้ หลายเฮย เมื่อพระพทุ ธเจ้ายงั ทวั รมาน วันนั้นกม็ าเมตตาสัง่ สอนเรา ทั้งหลายที่ภูกูเวียนน้ันแล้ว จีงไว้รอยปาทลักษณ์ แลเตือนให้รักษาพุทธศาสนาแล บ้านเมืองให้รุ่งเรือง ว่าดังนี้นา บัดนี้เราควรให้บ้านเมืองแลพุทธศาสนารุ่งเรือง ดงั ค�ำพระพทุ ธเจ้าส่งั เราน้นั จีงชอบจงี ควรแท้แล พญาสวุ รรณนาคว่าสนั นแี้ ลว้ จงี ใหไ้ ปทนั เอาเสฏฐไชยนาคตวั อยหู่ นอง คันแทผีเสื้อน้�ำมาโฮม นาคตัวนี้เจาะแปว223แต่หนองเส้ือน้�ำเทียวมาอยู่หนอง หอไชย จีงเจาะแปวแต่หนองหอไชยนั้นออกนำ�้ ของ เทียวมาอยู่หาดทรายผ่อลำ้� ดูบ้านเมืองห้ันแล ทันเอาสหัสสพลนาคตัวอยู่หนองยางค�ำ เจาะแปวออกมานำ้� ของทที่ ่าพนั พร้าวหน้ั นาค ๒ ตวั นเี้ ทยี วน�้ำของเปน็ ปกติ เมอื่ ฤดฝู นจงี อยู่หนองแล 223 “เจาะแปว” เจาะปล่อง ต�ำนานอรุ ังคธาตุ 105

คันธรรพนาค อยู่ท่ที ่านาเหนือตวั ๑ สิทธิโภคะนาค อยู่ท่านาใต้ตัว ๑ สริ ิวัฒนนาค อยู่กกคำ� ตวั ๑ อนิ ทจกั รนาค อยู่ปากห้วยมงคลตวั หนง่ึ นาคท้ังหลายฝูงนี้มาชุมนุมกันแล้ว พญาสุวรรณนาคทันมาพร้อมกัน ทุกตัวแล้ว พญาสุวรรณนาคจีงให้โอวาทค�ำสั่งสอน สิ่งอันพระพุทธเจ้าส่ังสอน ตนไว้นนั้ แล พญาสุวรรณนาคจงี ว่า ดูรา เจ้าทัง้ หลายเฮย เรามาพร้อมกันตอบ คุณแลกเอาส่วนบุญอันบุรีอ้วยล่วยส่วยน้�ำอุทิศหมายทานแก่เราทั้งหลายนั้น เทอญ สุวรรณนาคว่าท่ใี ดยังพอก่อตง้ั เปน็ เมอื งธานี เป็นศาสนาพระเจ้านัน้ จา เมอื่ นนั้ กายโลหะ จงี วา่ ยงั กอ่ ตงั้ ทแ่ี คมนำ�้ ของทเ่ี พยี งปากหาดทรายทบี่ อ่ น สคุ นั ธนาคอยู่หนั้ แล เหตุว่าอรหันตาเจ้ามหี ้ัน ๒ ตน อันหนึ่ง เทวดาตน ๑ ช่ือว่า อินทสิริ เป็นใหญ่กว่าซุตน ประเสริฐ ด้วยปัญญามากนัก อยู่เหนืออากาศเพียงหั้นแล เทวดา ๒ ตน ตน ๑ ช่ือว่า ปรศรีสิทธิสักกเทวดา ตน ๑ ชื่อว่า รัตนเกสี อยู่ในห้วยมงคลเบอ้ื งก้ำ� นอกห้ันแล  เทวดาตนหนึ่งช่ือว่า อินทผยอง อันมีผมอันกูด224 อยู่แคมนำ�้ บึง เสมอเพียงหาดทรายสุดข้างกำ�้ ใต้ นนั้ แล มนี างเทวดาตนหน่งึ ชอ่ื ว่า มจั ฉนารี มีฤทธอี ันต่าง ๒ รู้นรี มติ เป็น สัตว์ตัวน้อยตัวใหญ่เทียวไปทางน้�ำทางบกแท้แล นางเทวดาตนน้ีอยู่สระน�้ำ อนั น้อย ๑ ท่หี ว่างกลางผู้ข้านน้ั แลสคุ นั ธนาคห้นั แล เทวดาตน ๑ ชอ่ื ว่า สราสนทิ อยู่ในสระพังน�้ำกำ�้ เหนอื ผู้ข้านนั้ แล เมอ่ื น้ัน สวุ รรณนาคได้ยนิ ค�ำกายโลหะนาค กล่าวบอกฉันน้กี ็ชอบใจ กใ็ ห้ สาธุการว่า สาธุ สาธุ ดี ๒ แลเจ้าทง้ั ๓ อยู่ใกล้อรหนั ตาเจ้าแลใกล้บุรีอ้วยล่วย ได้รู้อันเป็นมงคลอันประเสริฐกว่าท้ังหลายฉันนี้แล้ว เจ้าท้ัง ๓ จงหาความเอา ฉนั ทะเทวดาฝงู นน้ั ทง้ั มวลใหพ้ รอ้ มกบั ดว้ ยเราดเู ทอญ ยงั จะมใี จบญุ ดอมเราบจ่ า สุคันธนาค เอกจักขุนาค จีงขานพญาสุวรรณนาคว่า ข้าแต่เจ้ากู ส่วนดัง นางเทวดาทงั้ หลาย เทวดาตน ๑ ช่ือว่า อนิ ทสิริ นัน้ เป็นใหญ่กว่านางเทวดาฝูง น้ันท้ังมวลซุคนแล เถิงเมื่อวันศีลน้อยวันศีลหลวง นางเทวดาอินทสิริตนน้ันก็พา เทวดาท้ังมวลฝูงนี้เข้าไปสู่ป่ามหาพุทธวงศาซุค�ำรบวันศีลเป็นปกติแล ว่าดังน้ัน 224 “กดู ” หยกิ 106 ท่ีระลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจ�ำปีพทุ ธศักราช ๒๕๖๒

แลว้ นาคทง้ั หลายกจ็ งี มาเอาฉนั ทะเทวดาซตุ น อนิ ทสริ แิ ลเทวดาทงั้ หลายกว็ า่ สาธุ ดีแล เทวดาทัง้ ๕ ก็มาโฮมกันบอกให้รู้เหตอุ ธิบายแล้ว กเ็ มอื สู่ที่อยู่ตน ห้นั แล ยังมีกาลคาบอัน ๑ บุรีอ้วยล่วยพาเพ่ือนบ้านหลานเมืองหมู่ซุมแห่งตนมา กระท�ำนาปีนาแซงที่หนองเบ้ืองนอกบ้านหั้นก็มีแล เถิงเม่ือข้าวพอเป็นรวงแก่แล้ว พอเสยี นำ้� กพ็ รอ้ มกนั ไปเปง่ นำ�้ 225 เสยี เมอ่ื นน้ั พญาสวุ รรณนาคกจ็ งี ใหเ้ สฏฐไชยนาค ตัวอยู่หนองเสื้อน้�ำน้ันนีรมิตเป็นคันแททดน�้ำไว้ที่หนองเส้ือน�้ำน้ัน ให้น้�ำมาท่วมข้าว จ่งไว้แต่รวงข้าว คนทั้งหลายเห็นว่าผิดฤดูนำ้� มากเอากันไปดู ว่าฉันน้ี คนทั้งหลาย หญิงชายน้�ำใหญ่หลั่งกันไปดูก็เห็นเป็นคันแทนทดน�้ำไว้ก็ย่ิงไหลเข้ามาร่อง ห้ันแล คนท้ังหลายจงี เรียกช่ือว่า หนองคนั แทเส้อื น้�ำ เหตวุ ่าหนองนี้มีผเี ส้ือน้�ำ มนั แฮ่งกิน คน เขาจงี ว่าหนองผีเส้อื น�ำ้ แต่บุราณสบื ๒ มาในกาลบดั นี้แล เขาเหน็ คันแททดนำ้� มากไหลไว เขาจงี ใสช่ อ่ื วา่ หนองคนั แท แตน่ นั้ มาแล คนทงั้ หลายจงี ลงสบั ลงมา้ งเสยี ยามน้ัน ลางคนว่าผีเส้ือน้�ำมีหั้นกินคน เขาเรียกว่าผีเส้ือน้�ำนีรมิตเป็น คนั แททดนำ้� ให้ลงเสยี จกั ตกิ นิ คนเอาดาย ว่าดงั นกี้ บ็ ่ลงไปได้สกั คน เขากพ็ ่ายหนี คนื ปะเว้นกนั เสยี เขาฝูงหนบี ่ทนั นั้นจงี ร้องว่า เอากันแด่ เอากนั แด2่ 26 ว่าดงั นน้ั ตัง้ แต่นั้นคนกเ็ อ้นิ กนั หลน่ิ ว่า หนองเอากันแด่ แต่นนั้ สบื ๒ มาแล แตน่ นั้ สวุ รรณนาคจงี ใหเ้ อกจกั ขนุ าคแลสคุ นั ธะนาคนรี มติ เปน็ งนู อ้ ย กผ็ า่ 227 เข้ามา ว่าดังน้ันเพื่อให้หมากข้าวล้มเสียหมด คนทั้งหลายจีงสร้างร้ัวให้ตึบตัน จงี เจาะป่องช่องทางใส่ไซไว้ ได้งนู ้อย ๒ ตวั เกล็ดเปน็ ค�ำ มหี อนอนั แดงงาม ในคืนนั้น บุรีอ้วยล่วยฝันว่า ไส้ตนออกเป็นล่าย ๆ ฝันว่าท่อลึงค์แห่งตน ยาวเก้ียวเอวได้ ๗ รอบ เมือขวา บุรีจีงสะดุ้งตน่ื ยง่ิ ย้านย่ิงกลัวนกั เม่ือเช้าลุกไป ใส่บาตร เวนข้าวแล้วจงี ไหว้อรหนั ตาเจ้าทง้ั สอง อรหันตาเจ้าทงั้ ๒ จีงบอกให้หา ดอกไม้ขาวบูชาที่เพียงเทิงหัวนอนหั้น แล้วจีงอุทิศน�้ำหมายทานไปหาพญานาค ครุฑทง้ั มวลเทอญ ว่าดงั นก้ี ห็ นไี ปหัน้ แล พอเพลากาละ เขาก็กินข้าวงายน้ันแล้ว คนทั้งหลายเขาก็จีงเอางูน้อย ๒ ตวั นน้ั มาใหบ้ รุ อี ว้ ยล่วย ๒ กค็ นงิ ในใจว่าดงั นี้ กจู กั เอาเมอื ถวายทา้ วคำ� บาง เขาไป่ 225 “เป่งนำ้� ” ระบายนำ้� 226 “เอากันแด่” ช่วยเอาเราไปด้วย 227 “ผ่า” บกุ ลุย ตำ� นานอรุ งั คธาตุ 107

ได้เอาเมอื จงี เอาไปขงั ไว้ว่าจกั เอาเมอื ถวายท้าวคำ� บางผู้เปน็ ใหญ่ ยงั ไป่ทนั เอาไป พอเพลาคำ่� นนั้ สวุ รรณนาคนรี มติ เปน็ ผเู้ ฒา่ หวั ขาว สบวอ่ ม228อนั แดงงาม นุ่งผ้าขาวเส้อื ขาวท้ังมวล เข้ามาหาบุรีอ้วยล่วยว่า ข่อยมาขอเอางนู ้อยทัง้ ๒ ตวั นี้ดอมเจ้ากนู า ขาทง้ั ๒ อนั เป็นลกู ข้อย เจ้าได้ขังไว้ในตุ่มน้แี ล ถดั นน้ั บรุ กี เ็ หน็ ดหู ลาก229 จงี อนโุ ยคถามวา่ ดรู า เจา้ เปน็ คนบญุ คนศลี นงุ่ ผา้ ขาว เส้ือขาว เหตุสันใดจีงมาว่างูน้อยเป็นลูกสังดาย230 ข้อยจักเอาเมือถวายแก่ท้าวค�ำบาง พุ้น เหตุว่างูน้อยตัวเกล็ดเป็นค�ำหอนแดงดังดอกไหมข้อยได้เครื่องหลากของคาม ข้อย จักเอาเมอื ถวายท้าวคำ� บางผู้ใหญ่แล ให้เห็นงูตวั เกล็ดเป็นคำ� แล ข่อยไป่ได้ให้แก่เจ้าแล เม่ือน้ัน ผู้เฒ่าผ้าขาวผู้นน้ั จีงกล่าวว่า ข้อยน้เี ปน็ พญานาคหนา อย่าได้เอา ลกู ข้อยไปถวายเทอญ ท้าวคำ� บางนน้ั มเี ครอ่ื งหลากของคาม ควรเอาอนั ใดอนั ๑ มาถวายแก่เจ้าจงี แม่นแล เจ้ายงั ปรารถนามกั เอาอนั ใด ข้อยผู้เปน็ พญานาคหาก จักเอามาให้แก่เจ้าแล้วดงั ค�ำมกั แล เมื่อนั้น บุรีอ้วยล่วยก็ระนึกคิดฮอดอันตนได้อุทิศน้�ำหมายทานส่งบุญเถิง พญานาค แลคดิ รู้คำ� ฝนั แห่งตน รอยทวี ่าแม่นพญานาคจกั ให้กูมสี ขุ บ่อย่าซะแล คนงิ ในใจดงั น้แี ล้ว จงี กล่าวว่า ผิว์ข้อยยงั มกั เยอ่ื งใด เจ้ากูจงกุณาข้อยแดเทอญ ว่าดงั นแ้ี ล้วก็วางงูน้อย ๒ ตวั นนั้ ให้แก่คนเฒ่าหวั ขาวผู้นน้ั แล งูน้อยลวดได้กลับเพศกลายเป็นมานพชายหนุ่มน้อยคีงช่ืนช้อยโสภา ประดากน็ ุ่งเคร่อื งขาวซคุ น หนนี �ำกนั ไปสุดช่วั ตา กบ็ ่ปรากฏเห็น ห้นั แล ผู้เฒ่าน้ันจีงบอกแก่บุรีว่าดังนี้แล เจ้าจงควัดน�้ำบ่ออัน ๑ ในท่ีเบ้ืองบึงที่ เพียงนอกบ้านห้ันไว้เทอญ เถิงเม่ือค�ำรบต�ำเรียงวันศีล หากจักให้สุคันธนาค แลเอกจกั ขนุ าค เทยี วมา เจ้ามคี ำ� มกั สง่ิ ใดจงไปสู่หนั้ เอน้ิ ว่าแก่สคุ ันธนาคแลเอก จักขุนาค ทง้ั ๒ แล้ว เจ้ามปี ระโยชน์อนั ใดจงมาว่าต่อหน้าขานาคท้ัง ๒ หน้ั เทอญ บุรีอ้วยล่วยจีงว่า สาธุ สาธุ แล้วผู้เฒ่าน้ันก็กลับหนีไปสุดคองตา ก็กลับ กลายหายไปต่อหน้า หน้ั แล เถิงเวลากาลน้�ำแห้งแล้ว เฒ่าบุรีก็ไปเตินคนทั้งหลายไปเก่ียวข้าวเอาแล เมอื่ นำ้� นน้ั บกจงี ควดั ทเี่ พยี งนอกบา้ นใหเ้ ปน็ นำ�้ บอ่ นั ๑ เปน็ ดงั หลมุ ปลานน้ั ลอ้ มไว้ ก่อศาลาแปงรงั้ ล้อมไว้ หนั้ แล 228 “ว่อม” หมวก สบว่อม หมายถงึ สวมหมวก 229 “ดหู ลาก” แปลกประหลาด 230 “สังดาย” ทำ� ไม 108 ท่ีระลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำ� ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

เม่ือนั้น พญาสุวรรณนาคก็ไปบันดลใจท้าวค�ำบางแลนางผู้เป็นเมียนั้น ให้ พรอ้ มกนั มหี วั ใจคดิ ใครเ่ อานางอนิ ทรสวา่ งลงลอดอนั เปน็ ลกู สาวแหง่ ตนนน้ั ไปถวาย แก่พญาสมุ ิตตธรรมวงศาราชามหากษัตรยิ ์ อันเสวยราช สมบตั ใิ นเมืองมรุกขนคร เมอ่ื นน้ั ทา้ วคำ� บางลวดบงั เกดิ มหี วั ใจเปน็ ดงั พญานาคมาบนั ดลแท้ คดิ ใคร่ จกั เอานางอทิ สวา่ งลงลอดไปถวายแกพ่ ญาสมุ ติ ตงศาเจา้ หน้ั แล จงี ใหต้ กแตง่ เดา ดาซปุ ระการแตง่ เรอื หลวงอนั จกั ใสเ่ ครอื่ งเคาเหลา่ แหลบแลใหแ้ ต่งแกฝ่ งู แนบนำ� นน้ั ๑๐ เหล่ม เล่าแต่งเรอื เขมรหลวงใส่หอกญั ญาคำ� ไว้แล้ว เพ่ือว่าจักเอานางไป ถวายแท้ดงั นน้ั นางลวดเลา่ ขดั พอ่ แมเ่ สยี บไ่ ป นางบฟ่ งั นางบบ่ ดิ อหุ ลฟุ อุ าวหลาวอยู่ จงี คดึ ความใหม่มากาง เม่ือนน้ั ท้าวค�ำบางแลนางผู้เปน็ แม่นน้ั กค็ ดึ ฮอดบุรอี ้วยล่วย อนั เขาเว้าว่า ปมู ใหญ่ กนิ ข้าวทางขา้ ง ได้คำ� ตอิ นั นแี้ ลว้ แลจงี มาอบุ ายความวา่ จกั นำ� ไปใหเ้ ปน็ เมียกับบุรีอ้วยล่วยอันมีปูมหลวงนั้น ว่าดังนี้ เพื่อว่าจักให้นางอย้านให้นางขาม นางหากจักขนื ไว้แล้ว หากจกั ไปเป็นเมยี พญาสุมิตตวงศาเจ้าบ่อย่าแล ทา้ วคำ� บางแลนางผเู้ ปน็ เมยี จากนั ดงั นแ้ี ลว้ จงี เรยี กลกู แหง่ ตนมานง่ั ใกล้ แลว้ จงี กลา่ วซงึ่ ลกู แหง่ ตนวา่ ดรู า เจา้ ลกู รกั แกพ่ อ่ แลแม่ เจา้ บอ่ ยากไปเปน็ เมยี แหง่ พญา สมุ ติ ตวงศาดงั นัน้ พ่อแม่ก็บ่ให้เจ้าแล พ่อจกั เอาบรุ อี ้วยล้วยมาเป็นผวั แห่งเจ้าแล ว่าดงั นน้ั เมอื่ นนั้ นางอนิ ทรสว่างได้ยนิ คำ� พ่อแม่ว่าจกั ได้ไปเปน็ เมยี แห่งบรุ ี อ้วยล่วยปมู ใหญ่ดงั นนั้ นางก็มใี จยินดี หายโศกทุกข์ทงั้ มวลอยู่บ่ให้ผากฏห้นั แล เม่ือนั้น ท้าวคำ� บางนางผู้เปน็ แม่ก็จีงอาณตั ใิ ห้คนทงั้ หลายมาแปงเรือน ๕ ห้อง ๒ หลัง แลเรือนขวาง231 ไว้ที่หว่างกลาง เพยี งหาดทรายแลนำ�้ บ่ออนั ควัด ไว้นนั้ แล้วจีงเอานางอนิ ทสวางลงลอดใส่เรอื หอคำ� มาไว้ในเรอื นอนั นน้ั แล ลงมา ฮอดแล้ว ก็ให้นางขน้ึ เมอื อยู่ในเรอื น ๒ หลังนั้น หัน้ แล เพื่ออุบายให้นางเห็นบรุ ี อ้วยล่วยให้นางอย้านปูมหลวงว่าดังน้ันแล ท้าวค�ำบางผู้เป็นพ่อก็จีงอาณัติบอก แก่คนผู้ ๑ ให้ไปเล่าเหตุท้ังมวลอันควรแก่เจ้าบุรีอ้วยล้วยให้มาเฝ้านาง คร้ันว่า นางเหน็ บรุ ผี มู้ รี ปู อนั รา้ ย นางบม่ กั ยงั บรุ อี ว้ ยลว่ ย หากจกั ยนิ ดไี ปเปน็ เมยี แหง่ พญา สมุ ติ ตวงศาแล ว่าดงั น้นั แล้ว ก็ให้คนทง้ั หลายแต่งแพรของเครอ่ื งอม232 นางนน้ั สิบเล่ม คิดว่าแท้ คนทั้งหลายแนบแพรของมาจอดท่าเพียงเรือนนางอยู่น้ันแล้ว 231 “เรอื นขวาง” เรือนรับรอง 232 “เครอื่ งอม” เคร่ืองขันหมากสู่ขอ ต�ำนานอุรังคธาตุ 109

ยามนนั้ คนใช้ผู้ท้าวค�ำบางหากอาณตั คิ ำ� รหัสให้ไปเล่าบุรอี ้วยล่วยมาเฝ้านางนน้ั มนั กไ็ ปเล่าโดยดังท้าวค�ำบางหากบอกนน้ั แล บุรีอ้วยล้วยแจ้งค�ำแห่งคนใช้บอกว่าให้เมือเฝ้านางดังน้ัน บุรีอ้วยล้วย จีงไปสู่น้�ำส่าง233 อันตนได้ควัดไว้น้ัน จีงเอ้ินเรียกหานาคว่า เอกจกฺขุ สุคนฺธ เน อาคจฺฉถ ดังน้ี เมอื่ นน้ั นาคทง้ั ๒ ไดย้ นิ แลว้ กม็ าในทน่ี น้ั แลว้ บรุ อี ว้ ยลว่ ยจงี กลา่ วแกน่ าค ว่า บัดน้ีค�ำปรารถนาผู้ข้ามฉี นั นีแ้ ล เจ้าทงั้ ๒ จงกูณา ให้ผู้ข้าได้นางอนิ ทรสว่าง ลงลอดเปน็ เมยี วนั น้ี นน้ั เทอญ ว่าดังน้ันแล้ว เม่ือนั้น สุคันธนาค จีงเอาขวดจันทน์มาให้ แล้วนีรมิตเป็น อ่างน�้ำอาบแลบวยไว้พร้อม เอกจักขนุ าค ให้ผ้า กายโลหะนาค ให้เส้ือ แล้วก็ไปบอกเตือนนาคทั้งหลาย แลเทวดามา กนั ซุแห่ง มาพร้อมกนั แล้ว อนิ ทจกั ขุนาค ให้แหวน เสฏฐไชยนาค ให้ขรรค์ไชยศรดี ้ามแก้ว สหสั สพละนาค ใหเ้ ทรดิ คำ� พนั ยอด รปู ทา้ วพนั คนเปน็ รปู ลายอยใู่ น เทรดิ พนั ยอด สิทธิโภคนาค ให้วลั ละคงั ค�ำประดบั แก้ว คนั ธัพพะนาค ให้สงั วาลคำ� สริ วิ ัฒนะนาค ให้เกบิ ตนี คำ� ถดั นนั้ เทวดาทง้ั หลายมาแลว้ เทวดาอนิ ทสริ ิ ใหแ้ วน่ 234 แกว้ ขอบคำ� อินทผยอง ให้ต้าง235 ค�ำ เครือ่ งฝูงน้ยี ่อมประดับแก้วซุอนั เทวดาสราสนทิ ให้ผ้าเชด็ คงี ปรสิทธิสกั กเทวดา ให้ขวดน้�ำมันแก้ว เทวดารัตนเกสี ให้หวีแก้วผลกึ แล 233 “น้�ำส่าง” บ่อนำ้� ขุด 234 “แว่น” กระจก 235 “ต้าง” ต่างหู 110 ท่รี ะลึกงานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ประจ�ำปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

ครน้ั ว่า นาคแลเทวดาทงั้ หลายให้เครอื่ งทงั้ หลายฝงู นแี้ ล้ว กจ็ งี มาเต้าโฮม กันอยู่หาดทรายท่ีสุคันธนาคอยู่น้ันทั้งมวล ยามนั้น สุกขรนาค หัตถีนาค แล ปัพพารนาค กม็ าพร้อมกบั ด้วยพญาสุวรรณนาคแลกุทโธทปาปนาคหัน้ แล พญาสุวรรณนาค จีงนีรมิตปราสาทแลเคร่ืองลาดปูอาสนา ผ้า ก้ังพิดาน พร้อมทุกเยื่อง เคร่ืองบรโภคทั้งมวลบ่หลอ ก็จีงยอเอานางอินทสวาง ลงลอดไปไว้ในปราสาทนน้ั แม่นไม้จันท์สกุ ทงั้ มวล สคุ นั ธนาค จงี ซำ�้ นรี มติ โรงหลวงสบิ เกา้ หอ้ งหลงั หนงึ่ แลว้ ดว้ ยไมแ้ กน่ จนั ทน์แดงทงั้ มวล กวมเอาคนทงั้ หลายอนั เปน็ บรวิ ารนางนัน้ ไว้ ให้หลบั อยู่หัน้ แล ปพั พารนาค จงี นริ มติ เปน็ ปราสาทเบญ็ ชรแลว้ ดว้ ยไมเ้ ดอ่ื โคบคำ� 236 ภายนอก กทุ โธทปาปนาค นรี มติ เป็นสระพังน้�ำอาบไว้ สุกขรนาคหัตถนี าค นรี มติ เป็นโรงช้างไว้ซ้ายขวา เป็นคุ้มเป็นวังไว้ ให้มีเคร่ืองท้าวพญาพร้อมซอุ ัน มีต้นว่า โรงรถ โรงช้าง โรงม้า เปน็ ตนในคองนั้น คนทงั้ หลายไดถ้ กื ตอ้ งผฏุ ฐาอารมณอ์ นั พญานาคนรี มติ รนนั้ กส็ ลบนอนหลบั นกั ยามน้ัน นางเทวดาอินทสิริจีงว่าแก่พญาสุคันธนาคว่าส่วนดังเจียมปาง กลางปราสาทราชมณเฑียรโรงหลวงน้ัน ไว้ให้ข้อยหากจักรักษาทั้งมวล ว่าดังนี้ แล้ว ก็เข้าอยู่ในเบ็ญชร แล้วจีงให้นางเทวดามัจฉานารีน�ำดอกไม้ไปน�ำเอาบุรี อ้วยล่วยไปช�ำระเน้ือตนด้วยน�้ำอันสุคันธนาคหากนีรมิตไว้นั้น แล้วก็เช็ดคีงด้วย ผา้ อนั เทวดาสรสนทิ หากใหน้ นั้ คงี นนั้ กข็ าวงาม จนทฺ วยี เปน็ ประดจุ ดงั พระจนั ทร์ ทาจันทน์ท้องกแ็ วบ237 กลมงามเปน็ ดังขาธนอู นิ ทร์อันช่างผู้ฉลาดหากรจิ นานัน้ จงี นุ่งผ้า ทานำ�้ มัน หวีผม แล้วนุ่งเสอ้ื ใส่สังวาล แลวัลละฆงั ค�ำ ถอื แหวน แล้ว เอาดอกไม้เก้ียวข้อมอื หถู อื ต้าง แล้วใส่เทริดหวั แยงแว่นแล้ว กแ็ ย้มหัว จีงพาย ขรรค์ไชยศรี สอดเกิบตีนคำ� พอยามตุดตั้งม้ือค�่ำ238 นางเทวดามัจฉนารีนีรมิตวีค�ำ239 ยื่นให้แก่บุรี อว้ ยลว่ ยรบั เอาแลว้ ลวดหลบั อยู่ นางเทวดามจั ฉนารจี งี โจม240 เอามาทอดไวใ้ นกลาง 236 “โคบคำ� ” บดุ ้วยทองค�ำ 237 “แวบ” ยบุ 238 “ยามตดู ต้ังเมอื่ คำ่� ” เวลา๑๘.๐๐ -๑๙.๓๐ น. 239 “วีค�ำ” พดั ทองคำ� 240 “โจม” ยก ต�ำนานอุรงั คธาตุ 111

ปราสาทดอมนางอินทรสว่างลงลอดหั้นแล นางก็สะดุ้งต่ืน สุคันธอาบอบตลบจวง จนั ทน์ ข้าวตอกดอกไม้บชู าปราสาท มาถูกต้องนางซ�้ำผดั คล้อยหลับ ทา้ วแลนางกไ็ สยาสน์แลว้ ตน่ื มาทงั้ ๒ คน วา่ เหน็ แล้วอภริ มย์สมสนั กบั กนั ยิ่งนกั แล ลวดมคี �ำรักค�ำแพงเป็นผัวเมยี กนั อยู่ กม็ แี ล ยามนั้น คนทั้งหลายฝูงเป็นบริวารน้ัน ก็ตื่นข้ึนมาเห็นแล้วก็ดูยินเป็น อศั จรรย์ยง่ิ นัก จีงเอากนั เมือไหว้ท้าวค�ำบางกับนางผู้เปน็ แม่ มาแล้วเห็นก็ชมช่ืน ยนิ ดปี ติ ิ กล็ วดมอบเวนบา้ นเมอื งไวใ้ ห้ แลว้ จงี บาสอี ภเิ ษกวา่ เจา้ บรุ จี นั ทล์ บุ ลาง โลมโสม ผวั นางอินทรสว่างลงลอด ลกู ท้าวค�ำบาง กม็ แี ล เมอ่ื นน้ั พญานาคกไ็ ปควดั นำ้� บอ่ มงคลแลไวใ้ นหว้ ยมงคลเบอื้ งหวั เมอื งเปน็ สองลิน241 แล้วจีงมาบอกเทวดาอินทสิริเจียมปรางค์ ให้อาณัติเทวดาตนช่ือว่า ปรสทิ ธิสกั กเทวะไปอยู่รักษาเจ้าบรุ จี นั ท์แลนาง กับทัง้ ลนิ อันออกเมอื ฝั่งกำ�้ นอก น้ัน ลินอันออกฝั่งก้�ำมาในน�้ำของให้อาณัติเทวดารัตนเกสีไปรักษา เพื่อให้ไหล ผ่าท่านำ้� แม่ของให้เป็นมงคลแก่บ้านเมอื งแล นางเทวดามจั ฉนารี จงี วา่ ผขู้ า้ จกั รกั ษาเจา้ บรุ จี นั ทแ์ ลนางทง้ั หลาย กบั ทงั้ ข้อยในหตั ถบาสบรุ จี ันท์ทงั้ มวลนน้ั แล เทวดาอนิ ทผยอง จงี ว่า ผขู้ ้าจกั รกั ษาคนทงั้ หลายในเวยี ง แตค่ มุ้ เบอื้ งหน้า เบื้องใต้ทงั้ มวล เทวดาสราสนทิ จงี ว่า ผู้ข้าจกั รกั ษา บรุ จี นั ท์แลนางทงั้ หลายกบั ทงั้ ข้อยให้ รกั ษาแต่คุ้มเบอื้ งหลงั นีเ้ มอื เหนือท้งั มวล เทวดาอินทสริ ิเจียมปรางค์ จีงกล่าวแก่พญาสวุ รรณนาคว่า ศรีเมอื งอันน้ี มี ๕ แห่ง คอื ว่า ท่ีท่านาใต้บ่อน ๑ ท่านาเหนือบ่อน ๑ ท่าพันพร้าวบ่อน ๑ หาดทรายผ่อล่�ำบ่อน ๑ กกค�ำบ่อน ๑ นาคตวั ใดอยแู่ มน่ ศรเี มอื งใหร้ กั ษาหน้ั เทอญ เจา้ ทงั้ หลายจงหมน่ั เทยี วควา ลำ�่ แลดู เงอื ก งู ฝงู เปน็ บา่ วไพรแ่ หง่ เจา้ ทง้ั หลาย อยา่ ไดใ้ หก้ นิ ผคู้ น แลตอดขบคน 241 “ลนิ ” ราง 112 ท่ีระลึกงานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ประจำ� ปพี ุทธศักราช ๒๕๖๒

ทงั้ หลายฝงู บ่ได้กระทำ� ผดิ คองนน้ั เจ้าทงั้ หลายจงเอากนั รกั ษาราชการบ้านเมอื ง เพอื่ ให้ศาสนารุ่งเรอื งงามดเี ตมิ คำ� พระพทุ ธเจ้าสัง่ เทอญ ส่วนดังเจ้าสุวรรณนาคน้ีไว้เป็นใหญ่แก่ทั้งมวล เจ้าก็หากได้ต้ังอยู่ใน สรณาคมนำ� พระพทุ ธเจา้ แตก่ อ่ นแล ไดร้ กั ษากงจติ แกว้ คอื วา่ พระพทุ ธเจา้ ไวป้ าท ลกั ษณ์พระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้ายังทัวรมานพุ้นมาก่อนแล ยามนนั้ พญาสวุ รรณนาคไดย้ นิ คำ� นางอนิ ทสริ เิ จยี มปางมใี จยนิ ดจี งี แตง่ นาคสต่ี วั ให้เปน็ ล่ามเมอื ง เพอื่ ให้พจิ ารณาดคู ณุ แลโทษทงั้ มวลแห่งคนทง้ั หลายอนั ควรตอดจงี ให้ เงือกงู ควรตอดให้ตอด ควรกินให้กนิ บ่สมบ่ควรอย่าให้ตอดอย่าให้กิน ล่ามส่ีตัวแม่น กายโลหนาคตวั หนง่ึ เอกจักขุตัว ๑ สุคนั ธะตวั ๑ อินทจักกตัว ๑ แล นาค ๔ ตวั ฝูงนเ้ี ป็นล่ามแล เทวดาอินทสิริเจียมปรางค์ จีงว่าให้อินทผยอง แลสราสนิทเทวดา ควาเที่ยวดูตามตาแสง242 ผิว่า เห็นโทษอันบ่ดีแห่งคนท้ังหลาย ให้บอกเล่าแก่ ล่ามท้ังส่พี ิจารณาดแู จ้ง แล้วจงี ให้นาครักษาศรเี มอื ง ๕ แห่ง แต่งตดั เทอญ นางเทวดามจั ฉนารี ให้ร้ดู โู ทษบรุ จี นั ท์ลบุ ลางแลนางทง้ั หลาย กบั ทงั้ ข้าไท ในช่วงใช้ใกล้หัตถบาสแจ้งแจบทั้งมวล คร้ันเห็นโทษแล้วให้บอกเล่าแก่ล่ามทั้งส่ี โดยดัง่ ก่อน ให้พจิ ารณาสงิ่ ใดกระทำ� ตามโทษเทอญ เทวดาชอื่ วา่ อนิ ทสริ เิ จยี มปรางคแ์ ลพญาสวุ รรณนาคพรอ้ มกนั คาดไวด้ งั นแี้ ลว้ กฎเสน้ ใหส้ ราสนทิ อา่ นใหท้ ง้ั หลายฟงั ทห่ี าดทรายกลางของหนั้ วา่ อนิ ทสริ ขิ บั อยเู่ จยี ม ปรางค์เทวดารักษาน�้ำมงคล ส่าง ๒ หนอง ๓ นาคล่าม ๔ ตัวนาคฝูงอยู่รักษา ศรเี มอื งมี ๕ แหง่ พรอ้ มกนั แตง่ คาดไวด้ งั นแ้ี ล ในทนี่ ม้ี เี ทวดา ๖ ตน นาค ๙ ตวั แล แตง่ ไวใ้ หท้ ง้ั หลายจอ่ื จำ� ไวเ้ พอ่ื ใหร้ กั ษาบา้ นเมอื งพทุ ธศาสนาใหร้ งุ่ เรอื งเมอื่ ภายหนา้ แลว้ ยามนน้ั นาคแลเทวดา จอื่ จำ� แลว้ กล็ าพรากจากกนั ออ้ มเวยี นเมอื ง นรี มติ ให้เป็นเวียงต้าย243 แล้วด้วยไม้จันทน์หอมท้ังมวลก็หอมทั่วทั้งเมือง อันน้ีจีง ปรากฏว่า จนั ทบุรี เพอื่ อันดาย แล้วนาคแลเทวดาก็จงี หนีเมอื หาทอ่ี ยู่แห่งตนแล 242 “ตาแสง” ตำ� บล 243 “ต้าย” รว้ั ต�ำนานอรุ ังคธาตุ 113

คร้ันว่าแต่น้ันภายหน้า บุรีจันท์อ้วยล่วยได้เป็นใหญ่แก่บ้านเมืองแล้ว จีง แปงนำ้� บ่อนั ไดค้ วดั นน้ั ใส่แปน้ 244 ไมด้ ่ทู ง้ั มวล ปลกู ปราสาทกวม245 ไว้ จงี แปงขวั ไม้ดู่246 แต่เวยี งข้ามนำ้� เบอื้ งนนั้ ฮอดบ้านเก่าแห่งตน สร้างวดั หลงั ๑ พอกนากประดับด้วยแก้วไว้แทนบ่อนเรอื นตน อรหันตาเจ้าจงใส่ ช่ือว่า สวรรค์อว้ ยล่วย เล่าสร้างวหิ ารสองหลังประดับประดาด้วยแก้วแลค�ำทง้ั มวล ให้อรหันตา เจ้าป่าใต้ป่าเหนืออยู่ เจ้า ๒ ตนน้ีเทียวมาสั่งสอนสังฆเจ้าท้ังหลายท่ีวัดสวรรค์ อ้วยล่วยหน้ั เปน็ ปกติ บุรีสร้างปราสาททองหลัง ๑ ไว้โพนทางใต้ อรหันตาเจ้าพาสงฆเจ้าท้ัง หลายไต่ขัวไม้ดู่ไปบิณฑบาตในเวียงปกติดี แม่นมื้อต�ำเรียงวันศีลแลเดือนออก ค�ำ่ ๑ แรมค่�ำ๑ ออก ๙ ค่�ำ แรม ๙ ค�่ำ เจ้าบรุ จี ันท์จักมาอยู่จำ� ศลี ในปราสาททอง แล้วรุ่งเช้าใส่บาตรเวนข้าวสังฆภัตต์ แล้วไปไหว้พระเจ้าพุทธรูปเจ้าในวดั สวรรค์ อว้ ยลว่ ย ฟงั ธรรมเทศนาพระพทุ ธเจา้ ในสำ� นกั ดอมอรหนั ตาเจา้ แลว้ ออกมาบชู า ส่างไม้ดู่ อุทิศน้�ำหมายทานส่งบุญไปหาแก่พญานาคแลเทวดาเป็นปกติ นาคทั้ง หลายฝูงได้คำ�้ คณู กด็ ี ฝูงอนื่ กว่านน้ั ก็ดี บ่ขาดสกั วันซะแล ยามนน้ั มหาพุทธวงศาเจ้า ให้มหาสัชชะดเี จ้าอยู่สั่งสอนสังฆเจ้าทง้ั หลาย ส่วนตนเจ้าก็คืนไปน�ำเอาธาตุอรหันตาขีณาสาวก ฝูงเป็นวงศาแห่ง พระพุทธเจ้า มาโฮมไว้ในท่อี ยู่แห่งตน จงี เว้าต่อบรุ จี นั ท์ลบุ ลาง บรุ ีจันท์ให้ขุดเลกิ ๕ วา กว้าง ๓ วา จงี ก่อดินสุกเปน็ ปราสาทเจดีย์ ตีแผ่น เงนิ เลยี งรองปพู นื้ ในปราสาท จงี ถะปนั นาธาตไุ ว้ แลว้ เอาหนิ หมากคอมมาถมแนน่ ดี จีงหมายสมี าไว้เพยี งยอดปราสาทนนั้ อนั สงู ๓ วา กว้างวา ๑ คนทง้ั หลายจีง ปรากฏว่า ปา่ มหาพทุ ธวงศา แต่นัน้ มาแล ทมี่ หาสชั ชะดเี จา้ ฝงู นนั้ มฉี นั ทะพรอ้ มกนั พนั ทอง หนองจนั วา่ วดั สวรรค์ อว้ ยลว่ ยสัชชะดี แต่นนั้ มาแล กลา่ วบ้นั นาค เทวดา บนั้ เจ้าบุรีจันทร์ ูปร่าง (ให้เป็น) ใหญ่ กแ็ ลว้ ทอ่ นกี้ ่อนแล 244 “แป้น” แผ่นกระดาน 245 “กวม” ครอบ 246 “ไม้ดู่” ไม้ประดู่ 114 ท่รี ะลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ประจ�ำปพี ทุ ธศักราช ๒๕๖๒

บ้นั ที่ ๑๘ พราหมณ์ทั้ง ๕ เมือราชาภิเษกพญาจันทบุรปี รสิทธสิ ักกเทวะ บดั น้ี เล่าคนื จกั จาบนั้ เมอ่ื หลงั ให้แจ้งนี้ ยามนนั้ อรหนั ตาเจ้าทงั้ หลาย ๕ ร้อย ตน มีมหากัสสปะเจ้าเป็นเค้า ได้ก่ออบู มุงไว้อรุ งั คธาตทุ ี่ภกู �ำพร้านั้นแล้ว กห็ นเี มือ สู่เมืองราชคฤหานครแล้วดังน้นั  มหากัสสปะเถรเจ้าหลงิ เห็นสามเณร ๓ ตน อนั มี คองวตั รปฏบิ ตั เิ ปน็ อนั ดี เจา้ กส็ อนวปิ สั สนาภาวนา เจา้ สามเณรทงั้ ๓ ตนนน้ั ไดเ้ ปน็ ภิกขแุ ล้ว กไ็ ด้เถิงอรหนั ตาพร้อมกันซุตน บัดน้ี จักอธบิ ายแปงยังคาถาบทหน้าน้วี ่า คจฉฺ นตฺ ิ โกเว นรโกเว เญยยฺ า นรเญยยฺ า สากํ นรสากํ โจรํ นรโจรํ นเุ ร นรนุเร ฝงู น้ีแล นเุ รนรนเุ ร ในเมอ่ื คนฝงู ใดได้ นรโจราโจรํ อนั คนเฒ่าคนแก่แต่บรุ าณสติ แลมดี งั นน้ั นราสากํ ๒ ยงั กรรมกรขอ้ ยคำ� อนั คนทง้ั หลายหากกลา่ วจาไว้ นรโจรํ อันเปน็ ค�ำบุราณแต่ก่อนสืบ ๒ มาแล แต่ นรา อันว่า คนทงั้ หลายฝงู น้นั คจฉฺ นฺติ มักว่า คสสฺ ิสนฺติ ก็ยังจักเห็นธรรมราชยังพญาธรรม เตนรา อนั ว่า คนท้ังหลาย ฝงู นนั้ สกชํ านนตฺ ิ กจ็ กั ร้กู รรมถอ้ ยคำ� ท่านหากกล่าวจาไว้เปน็ อนั แจ้งนกั นรเญยยฺ า อนั ว่าคนทง้ั หลายฝงู รู้ฝงู เหน็ นนั้ คจฉฺ นตฺ ิ ครน้ั ว่าไปรู้ไปเหน็ ยงั พญาธรรมเจ้าตน มีประญามากนัก เญยยฺ า กแ็ ฮ่งรู้แน่ประญาแห่งตนแล นร โกเวโกเว อนั ว่า คน ทงั้ หลายฝงู ใด ฉลาดอาจรู้ คจฺฉนฺติ ครน้ั ว่าคนใดไป่รู้ไป่เหน็ พญาธรรมเจ้าตนรู้ หลกั แลฉลาด โกเวร อนั วา่ คนทง้ั หลายฝงู นน้ั กจ็ กั รจู้ กั ไดฉ้ ลาดยง่ิ กวา่ เกา่ หน้ั แล แปลฉันนว้ี ่า เจ้าพระธอิ าจารย์แปลตามสารควานล่าม แลบทว่า เถเน นน้ั เหลอื บางคาถาแล จีงได้แปลแต่เท่านนั้ แล ส่วนดงั อรหนั ตาเจ้าทง้ั ๓ นน้ั ตน ๑ ชอ่ื ว่า พุทธรกั ขติ ตน ๑ ชอ่ื ว่า ธรรมรักขติ ตน ๑ ช่อื ว่า สงั ฆรักขติ อรหันตาเจ้า ๓ ตนนห้ี นีจากเมืองราชคฤหาพุ้น มาตง้ั อยู่ทแ่ี คมหนองกก ใกล้กบั ที่ภเู ขาลวงหน้ั แล เจา้ พทุ ธรกั ขติ กจ็ งี ไปเอามหารตั นกมุ ารแลจลุ รตั นกมุ ารพน่ี อ้ งในเมอื ง อินทปัตถนครมาบวชในศาสนาแล้ว ต้ังที่แคมเมืองฟากน�้ำของฝ่ายตะวันออก ต�ำนานอุรังคธาตุ 115

เจ้ากส็ อนวปิ ัสสนาภาวนา หมื่นกลางโรงจงี สร้างหอแพรให้อยู่แล้ว คนทัง้ หลาย จีงว่า ทา่ หอผ้า มาแต่นน้ั ดาย ดังเจ้าธรรมรักขิต จีงได้ไปเอามหาสุวรรณปาสาทกุมารแลจุลสุวรรณ ปาสาทกุมารพี่น้องในเมืองจุลณีพรหมทัต มาบวชในศาสนา แล้วจีงสอนวิปัสสนา ตง้ั อยเู่ วยี งงวั ใตป้ ากหว้ ยคคุ ำ� หนั้ แล หมนื่ กลางโรงกจ็ งี สรา้ งวหิ ารใหอ้ ยทู่ นี่ นั้ หนั้ แล ดงั เจา้ สงั ฆรกั ขติ นนั้ จงี เอาเจา้ สงั ขวชิ กมุ าร มาบวชแล้วจงี สอนวปิ สั สนา จงี ตง้ั อย่ทู เี่ มอื งลาหนองคาย ทงั้ หลายสอนวปิ สั สนา น้าเลย้ี งพ่อนมสร้างวหิ ารให้อยู่ เจ้าสามเณรทั้งห้าตนนี้ คร้ันว่า ได้เรียนเอาวิปัสสนาภาวนาดอมพ่อครู ท้ัง ๓ ตนแล้ว ได้เป็นภกิ ขกุ ็ลวดได้เถิงอรหนั ตาพร้อมกนั ทง้ั ๕ ตน ด้วยลำ� ดับกนั ตน ๑ ช่อื ว่า มหารตั นเถร ตน ๑ ช่อื ว่า จลุ รตั นเถร ตน ๑ ช่อื ว่า มหาสวุ รรณปาสาทเถร ตน ๑ ชอ่ื ว่า จุลสุวรรณปาสาทเถร ตน ๑ ช่อื ว่า สังขวชิ ไชยเถร แล ครัน้ ว่า เจ้าทง้ั ๕ อันได้ถะปนั นาอรุ งั คธาตดุ อมมหากัสสปะเจ้านั้น แลได้เถิงแล้ว ดังนนั้ แต่นัน้ เจ้าตนเปน็ ครูท้ัง ๓ เจ้าพุทธรกั ขติ ธรรมรกั ขติ สงั ฆรักขิต จงี เอาลูกศษิ ย์ ท้ังห้าตนหนีเมอื สู่เมืองราชคฤหาพุ้น ก็มแี ล ยามน้ัน ยังมีกาลอันหนึ่ง เถิงเม่ือกาลฤดูหนาวมาเถิง บุรีจันท์ไปจ�ำศีลแล้ว เวนขา้ วใหอ้ คั คทิ าน แลว้ อทุ ศิ น้�ำไปหาพญานาคแลเทวดา แลว้ จงี นอนในปราสาทมงุ ทอง พอใกล้รุ่ง พญาสุวรรณนาคจีงนรี มติ เป็นคน นุ่งเคร่อื งขาวดงั แต่หลงั เมื่อก่อน น้ัน เอาแก้วเจ็ดประการใส่อบู คำ� ด�ำ ถุงแพรขาว หุ้มไว้ ติดจิตเปน็ รูปท้าวรปู นางถือ ขนั เทยี นคู่ โคมเขา่ เขา้ มาใหแ้ กท่ า้ วบรุ จี นั ท์ หนั้ แล จติ นน้ั บใ่ ชพ่ ดั แมน่ คำ� ลว้ น บรุ จี นั ท์ จงี ว่าบ่ใช่แล ครนั้ หากแม่นลวดเงนิ ลวดคำ� ทั้งมวล รูปท้าวนางน้ันแม่นเงนิ เลยี งแล ผ้าขาวเสอ้ื ขาวผู้นนั้ จีงว่าแก่เจ้าบุรจี ันท์เจ้า ได้เอานางอนิ ทรสว่างลงลอด เปน็ เมยี อนั พอ่ แลแมแ่ หง่ นางคอื วา่ ทา้ วคำ� บางนางคำ� บาง หากไดเ้ ฉพาะวา่ ใหเ้ ปน็ เมียแห่งพญาสุมิตตวงศาเมืองมรุกขนคร พุ้นซะแล เอยียวว่าอย้านได้โทษแก่ พญานาคกบั ทงั้ เทวดาทงั้ หลาย ฝงู ตปี ้องเอาให้บรุ จี นั ท์นนั้ พญานาคจงี ว่าเจ้าจง มาเอาถงุ จติ อนั นี้ กบั ทง้ั รปู ทา้ วรปู นางนี้ ไปคารวะพญาสมุ ติ ตธรรมวงศาราชาใน เมอื งมรกุ ขนคร พุ้นเทอญ 116 ทรี่ ะลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ประจำ� ปีพทุ ธศักราช ๒๕๖๒

ว่าดังน้ัน บุรีจันท์คิดฮอดจีงว่า สาธุ สาธุ ดีแล ดังน้ี พญานาคให้ ค�ำมะนิกขะ247 พนั หน่งึ แก่บุรจี ันท์ แล้วกลับหนี ซะแล ยามนน้ั เจา้ บรุ จี นั ทจ์ งี เขา้ มาสปู่ ราสาท(ใน)เมอื ง แลว้ จงี มาแตง่ บรรณาการ ของฝากทุกเย่ือง จงี ให้ หม่ืนจารย์ หมื่นท่านาใต้ หมืน่ ท่านาเหนอื หม่นื สองเมอื งเวียงซุ แล หม่นื พันนาเมอื ง ฝงู นลี้ อ่ งมา ครนั้ ฮอดแลว้ ดงั นนั้ จงี ใหเ้ ขานำ� บรรณาการแลแกว้ ๗ ประการ นั้น ไปถวายแก่พญาสมุ ติ ตธรรมวงศาราชาในเมอื งมรกุ ขนคร หน้ั แล คร้ันว่า พญาสุมิตตวงศาได้แก้ว ๗ ประการแล้วดังนั้น ปราสาทหลัง ๑ ก็บุะ248 แผ่นดินออกมาแล มีโรงหลวงหลัง ๑ สิบ ๙ ห้อง แล้วด้วยค�ำประดับ แก้ว อันประดับไปด้วยเครื่องสวนอุทยาน แลข้าวนำ�้ โภชนะข้าวโพดสาลีก็เกิดมี เต็ม สวนอุทยานพร้าวตาลหวานส้มก็เกิดมี สวนอุทยานกล้วยอ้อยหมากพลูก็ เกิดมี แม้นพืชข้าวกล้าไร่นาก็ระงอกออกมาด้วยกัน เหตุอันน้ี ก็หากเป็นด้วย อานิสงส์ผลอันได้ใส่บาตรพระพุทธเจ้าปางเมอ่ื เปน็ พญาตโิ คตรบรู วันน้นั แล ยามนน้ั บา้ นเมอื งรงุ่ เรอื งดว้ ยบญุ สมภารวนั นนั้ กม็ แี ล แตน่ นั้ ความกล็ อื ชา ปรากฏไปฮอดท้าวพญาทงั้ หลายร้อยเอด็ เมอื ง กม็ ีคำ� ชมชื่นยนิ ดดี อม จงี คดิ ใคร่ อยากเหน็ อนั นก้ี ห็ ากเปน็ ด้วยผลอานสิ งสาอนั ได้เมอ่ื อุ้มบาตรไปส่งพระพทุ ธเจ้า ด้วยคำ� ยนิ ดเี มือ่ เป็นพญาตโิ คตรบรู วนั นนั้ แล ท้าวพญาร้อยเอด็ เมอื งหาความกัน กาลถัดนนั้ ท้าวพญาท้งั หลายจีงแต่ง บรรณาการแลเมืองให้มีนางแลคนมีบริวารน�ำห้าร้อย ช้างพลายสิบตัว ช้างพัง สิบตัว ม้าสิบตัว ควาญนายซุตัวพร้อมกับค�ำแสน ๑ บรรณาการเสื้อผ้าเงินค�ำ ทุกเยือง ซุหัวเมืองพร้อมกันมาถวายราชาภิเษกขึ้นช่ือว่า พญาสุมิตตธรรมิก ราชาธริ าชเอกราชมรุกขนคร ก็มแี ล 247 “คำ� มะนิกขะ” ทองคำ� มสี ีเหลืองเข้ม 248 “บะุ ” ผุด ตำ� นานอรุ ังคธาตุ 117

แต่นั้น ท้าวพญาทั้งหลาย ก็เถิงกาลคืนเมือสู่บ้านเมืองแห่งตนซุคนก่อน แล แล้วเมอื่ เถงิ ฤดูออกวัสสาสงั กาศแลสังขารปีใหม่มาเถงิ แล้วดงั นนั้ ท้าวพญา ก็จีงแต่งแปงดอกไม้เงินค�ำ น�ำบรรณาการมาถวายแก่พญาสุมิตตธรรมมิกราช เอกราชมรุกขนครเจ้าเปน็ ปกตทิ กุ ปีบ่ขาด กม็ แี ล ยามนั้น พญาสุมิตตวงศาธรรมราชเจ้า ก็ปงราชทานรางวัลให้แก่คนใช้บุรีจันท์ มหี มนื่ จารย์เปน็ เค้า แลคนให้คำ� หมนื่ ๑ เสอื้ ผ้าผนื พร้อมทกุ เยอ้ื งซคุ นแล้ว กใ็ ห้รบี คนื มา จีงแต่งให้นางสองคน ผู้ ๑ เปน็ เช้ือชาวจุลณี ชื่อว่า นางมงั คลกตญั ญู แล ผู้ ๑ เปน็ เชอื้ ชาวราชคฤห์ ชอ่ื วา่ นางมงุ คลุ ทะปาลงั มบี รวิ ารหา้ รอ้ ยซนุ าง ชา้ งพลาย ซาวตวั ช้างพังซาวตัว ม้าวซาวตัว ควาญนายซุตวั แล พร้อมกบั ผ้าเส้ือ คำ� แสน ๑ เงินแสน ๑ แลเครื่องปัญจราชกกุธ ๕ ประการพร้อม แลให้พราหมณ์ท้ังห้าคนน�ำ เครื่องฝูงน้ีเมือราชาภเิ ษกบรุ ีจันท์ลุบลางหัน้ แล ผู้ ๑ ชอื่ ว่า มังคลพราหมณ์ ผู้ ๑ ชอ่ื ว่า จลุ มังคลพราหมณ์ ผู้ ๑ ชอ่ื ว่า ไชยพราหมณ์ ผู้หน่งึ ชอ่ื ว่า สิทธิพราหมณ์ ผู้หน่ึงชื่อว่า จิตตวฒั นพราหมณ์ พราหมณ์ทัง้ หลายฝงู น้จี บไตรเพทท้งั มวล ซะแล แมน้ ยามดแี ลว้ กใ็ หพ้ ราหมณท์ งั้ หลายพรอ้ มกนั ลงเรอื ขนึ้ มาสเู่ มอื งเจา้ บรุ ี จนั ท์ ช้างแลม้านัน้ กใ็ ห้เอาข้นึ มาน�ำแคมของตามหวั เมอื งหน้ั แล พราหมณ์ทง้ั ๕ แลนางท้ัง ๒ มาฮอดจุจอดทา่ หอแพ ยามนน้ั หมนื่ กลางโฮงเมอื งคุ จงี ใหค้ นไปบอกหมน่ื นนั ทอารามแลนา้ เลย้ี ง พ่อนม มาพร้อมกบั ด้วยกัน ให้มาแปงราชจ�ำนกั สองหลงั แลหอขวางหลงั ๑ ให้ นางทัง้ สองอยู่ แลแบ่งไว้ให้เคิง่ น้นั หลงั ๑ แบ่งให้พราหมณ์ทง้ั ห้าอยู่สองหลังแล ความคนทงั้ หลายจงี ลือชาปรากฏไปว่า หอผา้ ท่าแขกพราหมณม์ า เพอ่ื อนั แล พญาสมุ ติ ตธรรมกิ ราชาธริ าชเอกราชมรกุ ขนครเจ้า ซ้�ำให้หมน่ื นันทะเปน็ ปราชญ์ น�ำมาบอกเขตแดนดนิ แลจงี จดั เตนิ ข้นึ มาแต่ปากซะดงิ นน้ั ด้วยล�ำดบั คนท้ังหลายฝูงอันแตกแต่เมืองร้อยเอ็ดปักตูมานั้น ก็ให้ข้ึนมาพร้อม หม่ืนนันทะเป็นปราชญ์ มีหม่ืนหลวงกลางเมืองเป็นเค้า แลหม่ืนล่ามเมือง 118 ท่รี ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ประจ�ำปีพทุ ธศักราช ๒๕๖๒

หมนื่ ประชมุ นมุ หมน่ื พระนำ้� รงุ่ หมน่ื เชยี งสา ขนุ หมนื่ ทงั้ หลายฝงู นก้ี ค็ นื มาเมอื มา จอดฮอดในทใ่ี กล้จ�ำนักนางแล้ว ตงั้ ทพั ราวคราวจอดอยู่ ยามนนั้ หมนื่ แก มาตั้งอยู่แคมนำ้� ของแต่ปากห้วยคะุ ค�ำเมอื เหนอื นนั้ พันแก มาอยู่มุบหลงั เพิ่นทง้ั หลาย ซะแล ยามนั้น ขุนหม่ืนทั้งหลายท้ังมวลฝูงน้ัน ก็มาเต้าโฮมชุมนุมจากันว่า นาง ท้ัง ๒ แลเขตแดนดินนี้อย่าฟ้าวเข้าให้ ควรเราช้าใช้พันแกเมือไปเล่าข่าวสาว สัญญาให้แจ้งแก่เจ้าบุรีจันท์ก่อน ว่าพราหมณ์ท้ัง ๕ น�ำเครื่องมาราชาภิเษก ให้บุรีจันท์แล้ว ว่าดังนี้ ครั้นว่าเจ้าบุรีจันท์แต่งมารับจีงให้ คร้ันว่า พราหมณ์ ทง้ั ๕ นำ� แตเ่ ครอ่ื งบรรณาการแลเครอื่ งปญั จราชากกธุ ๕ ประการเมอื ราชาภเิ ษก แล้วจีงคืนมา เราจีงซ้�ำใช้เมือว่า อาชญาเจ้าให้น�ำนางราชทาน ๒ คนมาแล จกั ได้ให้ทง้ั เขตแดนไว้เปน็ บ้านเมอื งให้ไปรบั เอา ว่าดงั นเ้ี ทอญ เหตุว่า เจ้าเราพญาสุมิตตธรรมเจ้าเป็นใหญ่กว่าท้าวพญาท้ังหลาย ในชมุ พทู ปี ทง้ั มวล ท้าวพญาทง้ั หลายเทยี รย่อมนำ� เอานางมาถวายดาย ผวิ ่า จกั เอานางทง้ั ๒ น้ี เมอื พรอ้ มบาดเดยี วแท้ เหมอื นดงั่ เจ้าเราเปน็ นอ้ ย เปน็ อ่อนแก่บุรจี ันท์ ซะแล อัน ๑ ก็ไป่ได้ราชาภิเษกแล แม่นว่าราชาภิเษกแล้วก็ไป่ควรแท้ดีหลี นางทง้ั ๒ คนนีก้ ็หากแม่นชาตเิ ชื้อวงศาอันใหญ่แท้ดาย คำ� อนั นี้คนน้อยท้ังหลาย มีหม่ืนหลวงกลางเมือง หม่ืนล่ามเมือง หมื่นประชุมนุมเมือง หม่ืนพระน้�ำรุ่ง หมื่นเชียงสา หม่ืนแก หม่ืนกลางโรง หมื่นนันทอาราม น้าเล้ียงพ่อนม เป็นเค้า เขาหากมีค�ำวิตกตามปัญญาน้อยอันบ่ส่องแจ้งในธรรมอันเลิกแลบ249 ด้วยแท้ พญาสุมิตตธรรมเจ้าพระองค์บ่ได้อาณัติขัดแข็งว่ามีความวิตกดังน้ัน ก็บ่ให้ พราหมณ์ท้ังหลายน�ำมาห้ันแล เจ้าสุมิตตธรรมมีธรรมจินดาฮ่มเพิง250 ถึงคอง สาธุนรธรรมกตญั ญู แลให้ภรยิ ปตุ ตบริจาคเป็นทานแท้แล อันใส่ชือ่ นางผู้ ๑ ช่อื ว่า มงั คลกตัญญู น้นั เหตุหลงิ เหน็ คุณตอบคณุ ผู้ ๑ ชอื่ ว่า มุงคลุ ทะปาลัง นั้นเปน็ บรรณาการคุณตอบแก้วเพือ่ อภัยโทษ อันบุรจี ันท์ เอานางอินทรสว่างลงลอดเป็นเมียน้ันก็มีแล อัน ๑ เจ้ามักใคร่เพื่อให้เป็นมงคล แก่บรุ จี นั ท์หนั้ แล เพ่อื ว่าให้ได้ค้�ำชูพทุ ธศาสนาเมอ่ื ภายหน้าดาย 249 “เลิกแลบ” ละเอียด สุขมุ 250 “ฮ่มเพิง” รำ� พงึ ต�ำนานอรุ งั คธาตุ 119

ยามนั้น พันแก เมอื เล่าข่าวแล้วก็คนื มา บรุ จี นั ทค์ ดิ ฮอดกจ็ งี ใหแ้ ตง่ เรอื หอคำ� ใหค้ นไปรบั เอาพราหมณ์ มาฮอดแลว้ จีงน�ำราชบรรณาการข่าวสาส์นลานคำ� แลเคร่อื งปัญจกกธุ นั้น เมือถวายเจ้าบุรี จนั ท์ อ่านดูแล้ว บุรจี ันท์เจาะใส่หวั ๓ ที หน้ั แล ยามน้ัน พราหมณ์ทง้ั ๕ ดปู รุ สิ สลักษณะตามคมั ภรี ์เพทอนั ตนได้เรียน จงี รู้ว่า แม่นพระโพธสิ ัตว์ อันได้ลทั ธพยากรณ์แล้ว จงี ซำ�้ ดูนามโคตร ก็แจ้งว่า เป็นตระกูล พ่อนาแล อรหันตาเจ้าทงั้ ๒ จงี ใส่ชอ่ื ว่าเป็น บรุ อี ้วยล่วยแล พราหมณ์จงี กล่าวจากนั ให้หาโสก251 แลโคลงไว้คนอนั คนบทเทอญ ว่าดังน้ัน มังคลพราหมณ์ ผู้แก่กว่าท้ังมวลจีงกล่าวว่า ผู้บุญมีอรหันตา เจ้าจีงให้ชือ่ อันว่า บุรี พร�ำ่ บารมธี รรมถ้วนแล้ว อ้วย ล่วยจันทนาคเทวดาผายโผด ล่วย รูปลุลาภได้อนิ ทรสว่างโสรจเสวยราชควร แล จลุ มังคลพราหมณ์ จีงกล่าวโสกโคลงไว้ปฏโิ ลมว่า ล่วย ตมตบู กระทำ� น�ำให้เป็นเหตุ อว้ ย โกกเสยี เพศร้ายวปิ าโกปมู ใหญ่ อันว่า บุรี บ่ใช่โยโสสามานย์ ท่านพึ่งบุบุพชาติเชื้อ แม่นนักปราชญ์ โพธิญาณ แล ถัดน้ี พราหมณ์ทั้ง ๕ เล่าดกู ลั ยาลักษณะแห่งนางอินทรสว่างว่าถกู อิตถี ลกั ษณะเป็นเมียบรุ าณทุตยิ กิ ะแล บรุ ีจันท์จงี ได้เป็นผัว ซะแล ไชยพราหมณ์ กล่าวโสกโคลงได้ว่า นาง นารีปัญจกลั ยาณพี รำ่� พร้อมมีศรี อินทร์ สักกะปราณที รงธรรมทอดไว้ ทะ เทวนิ ทร์แต่งน�ำแนมให้บรุ จี นั เปน็ ใหญ่ สว่าง กระสนั ให้หายโภยภัยพ้นโศกจรงิ แล สทิ ธิพราหมณ์ จีงกล่าวปฏิโลมว่า สว่าง สนทิ นทิ แหน่งเน้ือนอนเนอื ง 251 “โสก” โฉลก 120 ท่รี ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ประจำ� ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๖๒

ทะ ทรงโสกจงี แถลงภายโยคให้เอาบรุ จี ันท์เปน็ ใหญ่ อนิ ทร์ กว้างเกล้าแสลงเพศเหตุแค้นค�ำเคือง นาง นารปี ญุ เปืองลาภล้นเลยเร่ือเรอื งงามแล เมือ่ นนั้ จิตตวฒั นพราหมณ์ จงี เอาช่ือเจ้าบุรีจนั ท์อ้วยล่วยแลนางอินทร สว่างนั้น มาเข้าสมกนั ให้เปน็ ๘ บท ได้ ๒ โสก อธิบายดังน้ี บุ นาง รี อนิ ทร์ ๔ สีบ่ ทแล อ้วย ทะ ลว่ ย สว่าง ส่บี ทแล บุ ปะขึ้นแหม่นผัวบุราณก่อน นาง ลุลวดได้ทัวระมานพ้นโลก รี ชะอินทร์สมภารมบี ่ห่อนเปล่า อนิ ทร์ วางให้บรโิ ภคทรงโฉมจรงิ แล อว้ ย ลวดให้คนั ธรสฟ้งสถาน ทะ รงทอดเน้ือมรโฉมสายสะอาด ลว่ ย ลวดใคร่ลวดใด้ลอื ชาท้ังเมือง สวา่ ง แสลงเบอ้ื งยอเมอื งมวลมอบใหจ้ รงิ แล จติ ตวฒั นพราหมณโ์ สกแล เมื่อนั้น พราหมณ์ท้ัง ๕ พิจารณาฮ่มเพิงเถิงพญาสุมิตตธรรมเจ้าแลบุรี จันท์ เปรียบเทียมกนั ดูจงี กล่าวเปน็ โสกโครงว่า สุ มติ ต ธรรม เอาวาทะ ๔ ตัวน้ี มงั คลพราหมณ์ อ่านโสกว่า สุ ใจจงสว่างแจ้งโพธญิ าณ มิต ทรงธรรมสมภารเสมอภาค ต ติยชาติเชอื้ สืบสร้างศาสนา ธรรม ราชาเป็นอาชาไนยจิตคิดขอดจรงิ แล จลุ มงั คลพราหมณ์ ว่า ธรรม ราชาชาติเชื้อโคดม ต ติยทัวระเทยี วสงสารพร่ำ� เพ็งสมภารสบื สร้าง มทิ ธิไป่ได้ม้างเมอื ฟ้า ๕ พนั วัสสายงั สุด เสีย้ งแล้วเมอื ฟ้าอยู่ท่าดอมเมตไตรยลงมาพุ้นแล ต�ำนานอรุ งั คธาตุ 121

ถดั นน้ั ไชยพราหมณ์ จงี ฮ่มเพิงเถิงนางเทวแี ก้ว จงี กล่าวโสกโคลงว่า นาง นารพี ร�่ำพร้อมอัชฌาศัย เท ทรงธรรมเป็นปจั จัยตกแต่ง วี ให้เยน็ แม้งแอ้งแม้งบ่ร้อนแก่หวั ใจ แกว้ เกิดเปน็ มทิ ธแิ ทบเท่านีรพานจริงแล สิทธพิ ราหมณ์ กล่าวโสกปฏโิ ลมว่า แก้ว เกดิ เปน็ เมียแก้วใจผวั แผ้วในการบุญมคี ำ� รกั ชน่ื ช้อย วี วอนขน้ึ เวหาป้อมเมฆได้เป็นเอกภรยิ า เท พดาให้ลักขณะแวนยิ่ง นาง นรทัพพาทรงแท่นแล้ว จีงได้ช่อื ว่า เทวแี ก้ว จรงิ แล จิตตวัฒนพราหมณ์ จีงสมช่ือว่า สุ นาง มิต เท เข้ากันเป็นส่ีบท ตะ วี ธรรม แกว้ เป็นสบี่ ท จงี กล่าวโสกว่า สุ จิตตเสียวสวาดแจ้งในบุญ นาง คูณคำ�้ ให้ทรงธรรมทานแจก มติ จีงยกแยกขน้ึ ทูนทว่ั สีสัง เท ทอดให้พทุ ธสงฆ์ชัว่ เขต นิพพานแล ตะ ตปปฺ ํ จักให้แพ้ยังตัณหา วี วาจากรรมฐานงั บ่อห่อนเคียดขนี ใจ ธรรม เป็นอุปนสิ สัยสังเขต แก้ว อันให้แล้วเหตนุ พิ พาน จรงิ แล คร้ันว่า พราหมณ์ท้ัง ๕ กล่าวโสกแล้ว หลิงเห็นดังนี้แล้ว จักหดสรง จีงถามหาน้�ำมงคลเพ่ือว่าจักราชาภิเษกเจ้าบุรีจันท์ คนท้ังหลายจีงเอานำ้� ของ แลนำ�้ สา่ ง แลนำ�้ สระพงั ทว่ี ่าเปน็ มงคลนน้ั มา พราหมณ์ทง้ั หลายกบ็ ่เอา ให้หาน้�ำ มงคลอนั พญานาคให้นน้ั จีงเอา วา่ ดงั นี้ คนทง้ั หลายกว็ า่ บม่ ี ชาตหิ ดสรงทา้ วพญามหากษตั รยิ น์ ้ี กเ็ ทยี รยอ่ ม เอาน�้ำแม่ของ แลน�้ำส่าง น้�ำสระพัง ที่เป็นมงคลควรเอา หากเป็นจารีต น�้ำอัน พญานาคให้น้ันบ่ห่อนมสี กั เทอื่ แล แม่นำ�้ ใหญ่แลนำ�้ น้อยทั้งหลายมีทใ่ี ดกด็ ี หลาง 122 ท่รี ะลึกงานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ประจ�ำปพี ทุ ธศักราช ๒๕๖๒

มีนาคอยู่ซแุ ห่งแล แม้นว่าบ่ให้ กห็ ากเอามาหดมาสรง ซะแล พราหมณ์ทั้งหลายจีงว่า อันหดสรงเป็นท้าวพญาตามประเพณีวงศาน้ัน นำ้� อันเอามาน้กี ็ควรแล ด้วยแท้ ส่วนดังเจ้าบรุ จี ันท์นแ้ี ม่นหน่อพทุ ธังกูร แลได้มา เกดิ ในตระกูลพ่อไร่พ่อนา อยากได้น้�ำมงคลพญานาคมาหดสรง เพอ่ื ว่าอยากให้ เสียกล่นิ คาบอาบเราให้สทิ ธภิ ายหน้าตามอุปเทศ นนั้ ซะแล ชาตพิ ราหมณ์ทง้ั หลายนี้ เทยี รย่อมจบไตรเพท รู้แล้วยงั คมั ภรี ์นรลกั ษณะ ท้งั มวล จงี รู้ว่าเจ้าบรุ จี นั ท์แม่นหน่อพทุ ธงั กูร เพอ่ื อนั แล คนทั้งหลายจีงว่า หน่อพุทธังกูรนี้เทียรย่อมเกิดในขัติยตระกูลแล พราหมณาตระกูลดาย พราหมณ์ทง้ั ๕ จงี ซอก252 ปญั หาโคลงมาวา่ ยงั มสี ระน้�ำอนั ๑ ไขแห้งบก เสีย ยามเมื่อฝนตกลงมาน�้ำก็ห่ง253 อยู่นั้นแล ดอกบัวจีงเล่าเกิดมีในสระน�้ำ อนั นนั้ ด้วยเหตุสันใดนนั้ จา คนทง้ั หลายว่า เกดิ ด้วยเหตนุ �้ำน้นั ซะแล พราหมณ์ทัง้ หลายว่า เกดิ เหตนุ ำ้� นน้ั อาศยั ซง่ึ อันใดสังจา คนทั้งหลายว่า น�้ำอาศัยเซ่ิงตม ตมก็อาศัยซ่ึงน้�ำ เข้าสังโยคกับกันแล้ว ดอกบัวจีงเกิดมาแล พราหมณ์ท้งั ๕ จงี ว่า ตมแลน้�ำนนั้ ยงั มคี นั ธรสบ่รู้ว่าบ่มจี า คนทั้งหลายว่า น�้ำแลตมบ่มีคันธรสสังแล มีคันธรสนั้นท่อแต่ดอกบัวนั้น สิ่งเดียว ซะแล พราหมณ์ทง้ั ๕ จงี ว่า นำ�้ นนั้ อุปมาเปน็ ดงั่ พ่อ ตมนน้ั อปุ มาเป็นดั่งแม่แห่ง เจ้าบุรีจันท์ อันเกิดในตระกูลวงศาพ่อไร่พ่อนานั้นแล ชาติผู้ประเสริฐเกิดมา ในที่ใด ก็บ่ห่อนเสมอดังที่เกิดแห่งตนแล เทียรย่อมประเสริฐกว่าตนดีหลีดาย แก้วหน่วยประเสริฐนี้ก็เทียรย่อมเกิดมาแต่หิน ม้าอาชาไนยก็เกิดแต่แม่ลาตัว มีบุญนั้นก็ยังมีแล เมื่อบุคคลผู้ประเสริฐได้เกิดมาในตระกูลสองตระกูล คือ ขตั ยิ ตระกลู แลพราหมณตระกลู นน้ั ตามตนอนั ไดส้ รา้ งสมภารนน้ั แล จกั แมน่ หนอ่ พุทธงั กรู ซุตนก็บ่มี เลอื กตนจงี แม่น อยากแจ้งว่าแม่นแลบ่แม่นนั้นมีแล พราหมณ์ท้ังหลายฝูงจบไตรเพททั้ง ๓ จีงแกวดกฎหมายแจ้งแล บุคคล อันเกิดในขัติยตระกูลแลพราหมณ์ตระกูลสองอันนี้ ตามกตาธิการอันตนได้แจ้ง 252 “ซอก” ค้นหา 253 “ห่ง” เจ่งิ นอง ท่วมขงั ต�ำนานอรุ ังคธาตุ 123

แปงแลใหท้ านรกั ษาศลี นน้ั กม็ แี ล เพอื่ รใู้ นบคุ คลผมู้ ผี ญาได้สดบั รบั ฟงั มาก กเ็ กดิ รใู้ นสตู รแลนยิ ายพนุ้ เทอญ ไปเ่ พงิ หอ่ นวา่ แมน่ ชาตพิ ราหมณท์ ง้ั หลายนที้ อ่ ไปเ่ พงิ เช่อื ได้ ยงั มีท่อคัมภรี ์นรลกั ษณมหาปุริสสะ มีต้นว่า นาติ ทฆี ํ นาติ รสสฺ ํ นาติ กณหฺ ํ นาตโิ จทาตํ นาติ ถุนาติ กีสํ ดงั น้ี อธิบายความว่า บ่สูงพ้นประมาณ บ่ต่�ำพ้นประมาณ บ่ด�ำพ้นประมาณ บ่ขาวพ้นประมาณ บ่พี254 พ้นประมาณ บ่ผอมพ้นประมาณแล อันนี้เป็นเค้า ลักษณะอัน ๑ แล ถกื ปรุ ิสลกั ษณะบทต้นก่อนแล ผวิ ่า จักจาไปให้เสี้ยงให้หมดก็ เปน็ อันกว้างขวางนักแล ว่าแต่พอเป็นสังเขปนัยแล ผิว่า อยากให้แจ้งให้เสี่ยงให้ หมดแท้ดงั นน้ั จงดใู น คัมภรี ์ปฐมสมโภช พุ้นเทอญ พราหมณ์ท้ังหลายน้ีท่อรู้แต่มหาปุริสลักษณะชาติอันเดียว บ่รู้ว่าบุคคล ผู้เป็นลักษณะส่ิงน้ีแลได้กตาธิการกุศลสิ่งน้ีสิ่งน้ันจีงได้ลักษณะอันนี้ บ่อนน้ีบ่รู้ ดังน้ีแล ท่อเว้นไว้แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จีงตรัสรู้แจ้งซุอันซะแล ในท่ีนี้เจ้า บุรจี ันท์น้ีกถ็ กื ในคัมภรี ์มหาปรุ ิสสลกั ษณะตามพระพทุ ธเจ้าเทศนานนั้ แท้แล ยามนนั้ กล็ วดจวนคำ่� เสยี พราหมณท์ งั้ หลายกม็ านอนอยใู่ นหอสนามหลวง สนิ้ คนื นน้ั พอใกลจ้ ะรงุ่ ยงั มี นางเทวดาตนชอื่ วา่ อนิ ทสริ เิ จยี มปรางคน์ นั้ เอาหลาบ คำ� 255 สองอนั มาให้ อนั ๑ เปล่า อนั ๑ เขยี นแล้ว เอามาไว้ในถงุ หมากแห่งมงั คล พราหมณ์ห้ันแล คืนนั้นพราหมณ์ทั้ง ๕ ฝันเห็นเทวดาผู้ชายห้าตน นางเทวดา ผู้หญิงตน ๑ พญานาคเก้าตวั หากมาบอกว่าหลาบอนั ๑ ไป่เขยี นน้ี พราหมณ์ ท้ัง ๕ จงปงราชนามเจ้าบรุ จี นั ท์เทอญ ท่านท้ังหลายอยากรู้แจ้งธรรมวงศาโคตรแลอันรักษาขันธสันดานเจ้า บรุ จี นั ท์แลเกดิ เปน็ บ้านเมืองตงั้ อยู่มั่นดังนนั้ จงดูในหลาบอันเขยี นแล้วนั้นเทอญ พราหมณท์ ง้ั หลายพรอ้ มกนั ฝนั ดงั นี้ รงุ่ แจง้ แลว้ กม็ าชำ� ระเสยี แลว้ พราหมณ์ ทง้ั หลายกจ็ งี แกค้ ำ� ฝนั ตอ่ กนั แมน่ วา่ คำ� ฝนั อนั ดกี ค็ อ่ งกนั แลว้ พราหมณส์ คี่ นกพ็ ราก จากท่ี แล้วมังคลพราหมณ์จีงไขถงุ หมากเคย้ี ว แล้วกจ็ งั่ เห็นหลาบค�ำ ๒ อัน แล้วก็ เอามาอ่านดู จงี ทนั พราหมณท์ ง้ั ๔ ซำ�้ มาทรี่ หสั ใหไ้ ชยพราหมณ์อ่านดหู ลาบคำ� วา่ 254 “พี” อ้วน 255 “หลาบคำ� ” สพุ รรณบฏั 124 ท่ีระลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ประจำ� ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

อนิ ทสริ เิ จยี มปรางค์ สา่ ง ๒ หนอง ๓ ลา่ ม ๔ ศรี ๕ เทวตา สฏฐฺ นวนาคา อนิ ฺทสริ ิ มาตา ปรสทิ ฺธสิ กฺก เทวปิตา รตนเกสิภาตา อนิ ฺทผยอง สขา สราสนิท ปุตโต มจฺฉนารี ภริยา ปริคณทสฺส ขนฺธสนฺตาเน ติฏฺฐติ กายโลหนาโค เอก จกฺขุ สคุ นธฺ อินฺทจกฺโก นาควินจิ ฉยฺโย เสฏฐฺ เชยฺยนาโค สหสฺสพโล สทิ ฺธิ โภโค คนธฺ พฺพ สริ ิวฑฺฒโน นาโค รกขฺ ติ นครํ ปรุ จี นฺทสฺสฏฺ ฐิโตทโหติ พราหมณ์ทั้ง ๕ แปลดูแล้วรู้ว่าแม่นค�ำฝันน้ีเป็นอัศจรรย์ว่าเทวดาก็เอา หลาบค�ำมาให้ ซะแล แจ้งดังนี้แล้ว พราหมณ์ท้ัง ๕ จีงเมือเฝ้าเจ้าบุรีจันท์ จีงพร้อมกันดูลักษณะธรรมวงศาโคตร เห็นธรรม ๖ ตัวต้ังอยู่ในสันดานแล้ว จีงกล่าวว่า ธรรมวงศาโคตรแห่งเจ้าบรุ จี ันท์ให้แจ้งแก่คนทงั้ หลาย มีท้าวค�ำบาง แลนางค�ำบางเปน็ เค้าว่า สลี ํ มาตา ปิตา ญาณํ ธมโฺ ม ภาตา ทยา สขา ขมา ปตุ ตฺ า จาโค ชายา สฏฺเฐเต ปุรจิ นทฺ สฺส กนธฺ เวติ ดงั น้ี แปลว่า ศลี อนั เจา้ บรุ จี นั ทไ์ ดร้ กั ษานนั้ เทวดาอนิ ทสริ จิ งี เปน็ ประดจุ ดงั แมร่ กั ษา เพอ่ื อันแล เจ้าบุรีจันเรียนเอาประญาอันดีแต่ส�ำนักพระอรหันตาเจ้าตื่มประญาตน เทวดาปรสทิ ธสิ กั กเทวะจีงเปน็ ดังพ่อรักษา เพ่อื อนั แล มใี จอนั ขาวผอ่ งในกศุ ลธรรม เทวดารตั นเกสเี ปน็ ดงั พชี่ ายรกั ษา เพอื่ อนั แล มีใจรู้กรณุ ามเี มตตาแก่คนท้งั หลายนน้ั แล เทวดาอนิ ทผยองเป็นดังสหายรกั ษา เพ่อื อนั แล มีคำ� อดใจตนได้ เทวดาสราสนทิ จักเป็นดงั ลกู ชายรกั ษา เพอื่ อนั แล มหี ัวใจมักแจกจ่ายให้เปน็ ทานนนั้ นางเทวดามจั ฉนารจี งี เปน็ ดังเมียรักษา เจ้าบรุ ีจันท์ เพ่อื อันแล พราหมณ์ท้ัง ๕ จีงเห็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคณุ ในสันดานแห่งเจ้าบุรี จนั ท์ อนั อยรู่ คู้ ณุ แกว้ ทง้ั ๓ ประการ พระพทุ ธเจา้ พระธรรมเจา้ พระสงั ฆเจา้ นน้ั นาค ๔ ตัว มีกายโลหะ เป็นเค้า จีงมารักษาเป็นวินิจฉัยพิจารณาดูโทษแลคุณ เพ่อื อนั แล นาคห้าตัว มเี สฏฐไชยนาค เป็นเค้า กม็ าเป็นใหญ่รกั ษาบ้านเมืองเป็น อันม่นั แก่นจงี เปน็ ศรีเมอื ง เพ่ืออนั แล ต�ำนานอุรงั คธาตุ 125

ท้าวพญาตนใดบ่มีธรรม ๖ ตัว อยู่ในขันธสันดาน แลบ่รู้คุณแก้วท้ัง ๓ พระพทุ ธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงั ฆเจ้า น้ี แม้นว่ามวี งศาเชื้อโคตรพอหมนื่ พอ แสนกด็ ี ได้ชอ่ื ว่าหาวงศาเช้อื โคตรบ่ได้แล เหตุว่าพระพทุ ธเจ้า เทศนากล่าวไว้ว่า คนทง้ั หลายอนั ประเสรฐิ ในโลกน้มี ี ๒ คนคอื ปญญฺ วา ผู้ ๑ มี ปุญฺญ วา ผู้ ๑ มี ปฺรญา ทฺเว ปุคคฺ ลา ปญ วา เสฏฐตฺรา บคุ คลสองคนน้ี พระพุทธเจ้าเทศนา ย้อง256 ว่า บุคคลผู้มีประญารู้ธรรมแควนประเสริฐกว่าผู้มีบุญแล ในท่ีน้ี เจ้าบุรีจนั ท์ถืก ปญั ญ วา เสฏฐตรา แท้แล ยามนนั้ คนทง้ั หลายไดย้ นิ พราหมณท์ งั้ ๕ กลา่ วลกั ษณะในตนนอกตนแหง่ เจ้าบุรจี นั ท์ ว่าเปน็ หน่อพทุ ธงั กูร เขาก็ชน่ื ชมยนิ ดใี ห้เสยี งสาธุการยิ่งนัก ซะแล ยามนั้น พราหมณ์ท้ัง ๕ จีงให้เช้ือเบื้องพ่อเจ้าบุรีจันท์ เอาไม้เดื่อ257 มาแปงเตยี ง ให้เชอ้ื เบอ้ื งแม่นางอนิ ทรสว่าง เอาไม้ตาลแปง ลินสรง เทอญ  พราหมณ์ท้ัง ๕ จีงสังวาส สวดธิยาย258 ตามเพทอันตนได้เรียนเอาจบ แล้ว จงี ให้ไชยพราหมณ์เอาคนทง้ั หลายฝงู เปน็ เชอ้ื โคตรวงศาท้าวคำ� บาง แลเชอื้ เบอื้ งแม่เจ้าบรุ จี ันท์ ไปเวียนวฏั ประทักษณิ หาน�้ำมงคล ไชยพราหมณ์ออกจากเวยี งไม้จนั ทน์ไป คว่า259 ๓ พัน ทงั้ ๔ ด้าน จงี เห็น กงจติ แกว้ พระพทุ ธเจา้ ทแี่ คมหนองคนั แทเสอ้ื นำ้� จงี หมายไวว้ า่ เจดยี ป์ ระเสรฐิ จกั เกดิ มีภายหน้าแล แล้วไชยพราหมณ์เวียนเก้ียวเมือใต้ ข้ามแม่น้�ำของแล้วเวียนกวัดเก้ียว เมือขวา แล้วจีงตามคืนมา จีงเห็นน้�ำลินอันพญานาคควัดไว้สองลินนั้น จีงบูชา แล้วสวดธิยาย แล้วเทวดาทั้ง ๒ จีงบอกช่ือแห่งตนตนว่า ปรสิทธิสักกเทวะ แล เทวะรตั นเกสี ว่าดังนแี้ ก่พราหมณ์ กม็ หี นั้ แล ไชยพราหมณ์มาแล้วจงี คืนมา บอกแก่พราหมณ์ทง้ั สี่ ยามน้นั มงั คลพราหมณ์แลสทิ ธพิ ราหมณ์ท้ัง ๒ ไปเอานำ้� ลินค�ำออกเมอื ง เบื้องนอก อันเทวดาช่ือว่าปรสิทธิสักกเทวะอยู่รักษาน้ัน มาแล้วจีงราธนาเจ้า บรุ จี นั ท์นงั่ เตยี ง เอาหอยสงั ข์ตวั ผู้ตกั ใส่ลนิ สรงราชาภเิ ษก ปงราชนามในหลาบคำ� อันเทวดาหากให้น้ันว่า พญาจันทบรุ ีประสทิ ธิสกั กะเทวะ กม็ แี ล 256 “ย้อง” สรรเสริญ 257 “ไม้เด่ือ” ไม้มะเดอ่ื 258 “สวดธิยาย” สวดสาธยาย 259 “ควา” แสวงหา ค้นหา 126 ทรี่ ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแกน่ ประจำ� ปีพุทธศักราช ๒๕๖๒

จุลมังคลพราหมณ์แลจิตตวัฒนพราหมณ์ ไปเอาน�้ำลินอันออกมาก้�ำใน อันเทวดาตนชื่อว่ารัตนเกสีอยู่รักษาน้ันมาแล้ว มาเอาหอยสังข์ตัวแม่ตักใส่ลิน หดสรงนางอินทรสว่างเป็นราชเทวี จีงให้ปงราชนามในหลาบค�ำอันพญาสุมิตต ธรรมเจ้าให้มาแก่เจ้าบุรีจนั ท์นั้น ชื่อว่า นางอินทรสว่างรัตนเกสีราชเทวี ดงั นัน้ ก็มแี ล แลว้ จงี พรอ้ มกนั มาเบกิ บาส2ี 60 แลว้ พราหมณท์ งั้ ๕ ถวายหลาบอนั ปงราช นามน้ันกับพร แลหลาบคาถาโสกอันเทวดาให้นั้น ก็ซ�้ำถวายแก่พญาจันทบุรีนั้น แล้วพราหมณ์ท้ัง ๕ จีงถวายหลาบค�ำเป็นคาถาโสกอันเทวดาเอามาถวายพญา บุรีจันท์นั้นแล้ว ให้อ่านดู จีงรู้จักเป็นอันแจ้งในคุณแห่งพราหมณ์กับท้ังเทวดา จงี สกั การบชู าแลอทุ ิศนำ�้ ส่งบญุ ไปฮอดเทวดาซุตน นาคซตุ วั เป็นปกติหน้ั แล ยามน้ัน ไชยพราหมณ์จีงบอกเล่าแก่พราหมณ์ท้ัง ๔ ว่า ได้เห็นกงจิตแก้ว พระพทุ ธเจ้าแห่งหนงึ่ ยามน้ัน พราหมณ์ทั้ง ๔ แจ้งดีแล้ว จีงเอาก�ำลังดอมพญาจันทบุรี ไชยพราหมณ์จีงพาไปสู่แคมหนองคนั แทเส้ือน�้ำ แล้วพร้อมกันสักการะบชู าแล้ว จีงเอาหินมุก ๔ เหล่ียมมาสักลายเลข261 สักขีไว้ว่า บ่อนนี้พระพุทธเจ้ามาสถิต ยืนกระท�ำนวยว่า พญาตน ๑ ชื่อว่า ศรีธรรมอโศก จักก่อแรกเจดีย์ประเสริฐ พราหมณ์ทั้ง ๕ มาราชาภิเษกเจ้าบุรีจันท์ให้เป็นพญา เสวยราชบ้านเมืองอัน พญานาคก่อแรกไว้ท่เี พียงหาดทรายกลางน�้ำห้ันแล พราหมณ์ทงั้ หลายเห็นจงี สักลายเลขหมายหนิ ไว้ให้แจ้ง ว่าดังนแ้ี ล้วจงี อยู่ ไทพราหมณ์ทงั้ ๕ ให้คนทง้ั หลายเขยี นเอาตำ� นานไว้ อย่าให้สร้างเวยี งโลมเตง็ กง จติ แก้วทน่ี นั้ เหตวุ ่าพระพทุ ธเจ้าได้ไว้ยงั กงจติ แก้วเตง็ โลมนครศาสนาทงั้ มวลแล พราหมณ์ทั้ง ๕ จีงกล่าวนครโสกเวียงไว้ว่ามสี ิบส่ีเวยี งดังนแ้ี ล นครเจดีย์ ทา่ ว262 นครตา่ วพลคนื นครขนเมน่ นครสวา่ งซะเดน็ นครอวายเอาเขญ็ นคร โยเขญ็ มา(เวยี ง) นครพาราสญู นครจาตทุ ปี นครมรรคา นครราชาทรงศกั ดิ์ นครอนิ ตาต้งั นครจักราวุธ นครอุตตโม นครโสฬสชุมพู โสกคาถาแล 260 “เบิกบาสี” สู่ขวัญสมโภช 261 “สักลายเลข” จารกึ 262 “ท่าว” ล้ม สยบ ตำ� นานอุรงั คธาตุ 127

เวียงอันใดส่วย263 ใต้เป็นรูปน้ี ชื่อว่า นครเจดีย์ท่าว สร้างพุทธศาสนา รุ่งเรืองแต่หัวท2ี 64 เหิง265 ไปเล่าร้ายเสยี แก่นักปราชญ์บัณฑติ นน้ั แล เวยี งอันส่วยเหนอื ดงั นี้ ช่อื ว่า นครตา่ วพลคืน กระทำ� สงครามบ่ลุะ266 แม้นว่า อยู่กแ็ พ้ผู้ใหญ่ ซะแล เวยี งรูปดังน้ี ช่ือว่า นครขนเม่น เทยี รย่อมผดิ เถยี งรบเล็วกันบ่ขาด ซะแล เวยี งอนั เปน็ รปู ดงั น้ี ชอ่ื ว่า นครสวา่ งซะเดน็ อยู่กเ็ ทยี รย่อมฉบิ หาย ซะแล เวียงอนั เป็นรูปดงั น้ี ชอ่ื ว่า นครอวายเอาเข็ญ ซะแล เวยี งอนั เปน็ รปู ดงั นี้ ชอื่ วา่ นครโยเขญ็ มาเวยี ง ๒ อนั น้ี อยยู่ อ่ มเปน็ พยาธเิ ตา้ 267 ไข้เต้าหนาว ไร้ความสุข ซะแล เวยี งอนั นชี้ อื่ ว่า นครพาราสญู เหตวุ ่าเปน็ รปู รอยกงจติ แก้ว พญานาคบ่คณู คงให้ เปน็ ดงเปน็ เหล่าเปล่าเสยี ผวิ ่า ท่อแต่ตง้ั เปน็ เวยี งเศกิ ยงั มไี ชยอยู่อย่าให้พอขวบ ให้รบี ย้าย เวียงเจ็ดอันนช้ี ือ่ ว่า นครวนิ าศ ซะแล บดั นี้ จาเวยี งฝงู เปน็ รปู ดงั น้ี ชอื่ ว่า นครจตทุ ปี ทุกกบี ก้�ำมาส่งส่วยเงินคำ� เวียงรูปนี้ ชื่อว่า นครมรรคา พุทธศาสนาก็รุ่งเรือง ต่างประเทศก็ตระ เดนิ มาสู่สมภาร ซะแล เวียงรูปดังนี้ ช่ือว่า นครราชาทรงศักด์ิ รุ่งเรืองด้วยท้าวพญาผู้ใหญ่ สกุ ขเษมิ 268 ดี ซะแล  เวยี ง ๒ อนั รูปดงั นี้ ช่ือว่า นครอินทราต้งั เทวดาอนิ ทร์พรหมพญานาคย่อม รกั ษาช่วยชดู นี กั ซะแล เวียงรูปดังน้ีชื่อว่า นครจักราวุธ คูณคง เม่ืออยู่ก็มีชัย แม่นไปก็มีโชค บ่ทกุ ข์ยากโศกเศร้าสักอัน ซะแล เวยี งรปู นชี้ อ่ื วา่ นครอตุ ตโม ประเสรฐิ นกั เสนาอามาตยร์ าชมนตรเี กดิ มามาก ช้างม้าเกิดมากป็ ระเสรฐิ วฒุ ิมงคลซุอันแล 263 “ส่วย” ลักษณะเรยี ว 264 “หัวท”ี ครงั้ แรก ทแี รก 265 “เหงิ ” นาน 266 “บ่ลุะ” ไม่ตลอด ไม่ส�ำเรจ็ 267 “เต้า” นำ� มา 268 “สุกขเษมิ ” สุขเกษม 128 ทรี่ ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ประจำ� ปพี ุทธศักราช ๒๕๖๒

เวยี งรปู นช้ี อื่ วา่ นครโสฬสชมุ พู ทปี ๑๖ เมอื งใหญใ่ นทปี ยอมสง่ สว่ ยนาง ซะแล เวยี ง ๗ อนั นี้ ดซี อุ นั แล ใหท้ า้ วพญาทงั้ หลายตง้ั บา้ นสรา้ งรว้ั เวยี งดงั นอี้ ยดู่ ี นกั แม้นว่าตง้ั ไว้อยู่กม็ ชี ยั ไปกม็ โี ชคแล เวียงฝูงว่ามาน้ี ผวิ ่า โลมกงจติ แก้ว กไ็ ด้ช่ือว่า นครวินาศา แล ผวิ ่า โลมกงจติ แก้วรอยปาทลักษณ์แท้ ช่อื ว่า นครกปั ปวนิ าศา แล เมอ่ื นน้ั คนทง้ั หลาย มหี มน่ื หลวงกลางเมอื ง เปน็ เคา้ จงี ใหพ้ นั แก เมอื ทนั เอา พราหมณ์ทงั้ ๕ ลาพรากจากเมอื งพญาจนั ทบรุ คี นื มาส่ศู าลจอดแห่งตนก่อนกม็ แี ล พันแกจีงไหว้พญาจันทบุรีให้แจ้งว่า อาชญาเจ้าให้ราชทานนาง ๒ คน น�ำมา แลจักให้เขตแดนบ้านเมอื งไว้ จงี ให้ไปรบั เอาราชทานเทอญ ว่าดังนี้ ยามนั้น พญาจันทบุรีคิดฮอดพาลมิจฉาวิตกเข้าแล้วก็แย้มหัว ให้พันแกคืนดอมคนทงั้ หลายก่อน ก็มแี ล ว่าดงั นน้ั พญาจนั ทบรุ บี ่มหี วั ใจอนั หด ยอ่ ทอ้ อยู่ เจา้ มหี วั ใจชนื่ บานดว้ ยราชทาน ทา่ นพญาสมุ ติ ตธรรมเจา้ ใหน้ นั้ อยแู่ ลว้ จงี กล่าวคาถาอนั ตนได้แต่สำ� นกั อรหันตาเจ้า สบื ค�ำพระพทุ ธเจ้าน้ันว่า สจจฺ ํ ภเณน กชุ ฺเฌยยฺ ทชฺช อปปฺ สมี ยาจิโต เอเตหิ ฐาเนหิ คจฺเฉยฺย เทวานํ สนฺตเิ ก ดังนี้ บุคคลพึงกล่าวยังค�ำพระพุทธเจ้านั้นว่าสัจจะเท่ียงแท้ ท่านกล่าวร้ายก็ดี บุคคลผู้ใดก็บ่เพงิ เคยี ดแล ท่านให้ข้าวของน้อยกด็ ี เพงิ ไปรับเอาก่อนแล แม้นว่า หากตัวมีน้อยก็ดีมีหลายก็ดี ก็เพิงให้เป็นทานแก่ท่านผู้มาขอดอมตนน้ันแล ๓ ประการน้ี เทียรย่อมได้เมอื สู่สวรรค์เทวโลกพุ้นแล ทาน สีลญฺจ สกกฺ จจฺ ํ สุตวฺ าธมมฺ ํ ปสที ติ สจฺจํ ขนฺติ จ กตญฺญ ู ติณฺณานํ รตนํ สริ อมิ านิ สตตฺ ปญุ ญฺ านิ สมมฺ า สมพฺ ุทฺธวณณฺ ิติ มหปผฺ ลํ จ สพเฺ พสํ อสงฺเขยฺย อนนฺตํ บุคคลผู้กระท�ำบุญให้ทานรักษาศีลควรเคารพ ฟังธรรมเทศนาควรยินดี อนั มคี ำ� สตั ย์ แลอดใจ แลรจู้ กั คณุ ทา่ นอนั ทา่ นไดก้ ระทำ� แกต่ น แลระลกึ คดึ เถงิ คณุ แก้วทงั้ ๓ บญุ ทง้ั หลายฝงู นอ้ี นั บคุ คลได้กระทำ� นน้ั พระพทุ ธเจ้าทงั้ หลายกย็ ่องว่า ตำ� นานอรุ ังคธาตุ 129

ดี มีอานสิ งส์ผลได้อสงไขยหาท่สี ุดบ่ได้แก่บุคคลฝงู ได้กระท�ำนัน้ แท้ดีหลี แลค�ำ อโกเธน ชิเน โกธ ํ อสาธุ สาธุนา ชเิ น ชเิ นกทรยิ ํ ทาเนน สจฺเจนาลกิ วาทีนํ คนผู้บ่มักเคียดน้ันเทียรย่อมแพ้ผู้มักเคียด คนผู้เป็นสัปปุริสะน้ันเทียร ย่อมแพ้คนผู้เป็นอสัปปุริสะ ผู้มักให้ทานนั้นเทียรย่อมแพ้ ผู้ตระหน่ีบ่ให้ทาน คนผู้มสี ัจจะเทยี รย่อมแพ้ผู้บ่มสี จั จะ นนั้ แล ปาตถฺเก สุคตา พชี ชฺ า ปรหตฺเถ คตํ ธมมฺ ํ ยถา อิจฺเจ น ลพฺภติ น ตํ สปิ ปฺ ํ น ตํ ธนํ อธบิ ายว่า ศาสตรศลิ ป์ อันได้เขียนไว้ในพับลานบ่ได้ข้นึ ใจเอากบ็ ่ได้นน้ั แล อนั หน่ึง ข้าวของแห่งตนอนั อยู่ในมอื ท่าน คอื ว่าผู้อน่ื หากกู้หากยืมนนั้ ก็ดี บุคคล ผู้มีประโยชน์เพ่ือจักสาธิยายแลจักซ้ือขายเม่ือใดก็ดี บ่ได้ตามใจมักแห่งตนแล ศาสตร์ศลิ ป์แลข้าวของฝงู น้นั ก็บ่ได้ช่อื ว่าเป็นข้าวของแห่งตน แท้ดีหลแี ล พญาจันทบุรีฮ่มเพิงเถิงธรรมบทคาถาทั้งหลายฝูงนี้ในใจแล้ว ก็ให้แต่ง แปงราชปราสาทอันประจิตรริจนาแล้วด้วยแก้วแลคำ� ต้ังเหนือเรือเล่ม ๑ ยาวได้ ซาวเอด็ วา พอกคำ� ตแี ผ่นนากโคบแคมหวั เปน็ รปู ราชสหี ์ แล้วพญาจนั ทบรุ เี จ้ากจ็ งี เสดจ็ ขนึ้ สปู่ ราสาทเรอื คำ� ไปกบั ดว้ ยบรวิ ารแหง่ ตนอนั มาก ดว้ ยลำ� ดบั แหง่ ตน หนั้ แล ยามนั้น เทวดาทั้ง ๕ มีปรสิทธิสักกะเทวดาเป็นเค้าน�ำไปรักษา บ่ได้ไป่ท่อ อินทสริ เิ จียมปรางค์ตนเดยี ว นางเทวดามจั ฉนารี จีงนรี มติ เปน็ ปลาซะนากตัว ๑ ยาว ไดซ้ าวเกา้ วา เกลด็ เปน็ คำ� ทง้ั มวล หลงั เปน็ รอ่ งแบง่ ถอ่ งเปน็ ๒ มาหนนุ ชโู จมเรอื ขนึ้ สงู พน้ น�้ำ ๓ ศอกลงไป คนทงั้ หลายเห็นย่งิ อศั จรรย์ ก็ย่านกลัวอานภุ าพ ก้มขาบไหว้แทบปฐวี พญาจนั ทบรุ เี จ้ากข็ นึ้ สถติ เทงิ ราชอาสน์ แล้วนางมจั ฉานารเี ทวดาจงี กลบั เพศเป็นนางผู้ ๑ ข้ึนมาน่ังอยู่ดอมเทวดาท้ังสี่ อันถือดาบด้ามแก้วรักษาพญา จันทบรุ ีท่สี มทค่ี วรก่อน หน้ั แล เทวดา ๔ ตนนี้ คือว่าแม่น ปรสิทธิสักกะเทวะ รัตนเกสี อินทผยอง สราสนิท จีงอาณัตนิ างเทวดามจั ฉนารใี ห้บันดลใจนางทงั้ สองเข้ามาถวายบังคม แก่พญาจนั ทบรุ ี คนท้ังหลายเขากถ็ วายน�ำด้วยล�ำดับแล 130 ทรี่ ะลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ประจำ� ปีพุทธศักราช ๒๕๖๒

พราหมณท์ งั้ ๕ ให้ หมนื่ หลวงกลางเมอื ง หมนื่ ลา่ มเมอื ง แลหมนื่ ประชมุ นมุ เมอื ง ให้ไปเอาไม้รงั ต้นผู้มาแปงรางลนิ สรงหด หมน่ื กลางโรง น้าเล้ยี งพ่อนม ให้เอาไม้รังต้นแม่มาแปงเสารางลนิ สรง หมื่นนันทอาราม หมน่ื พระน�้ำรุ่งนัน้ ให้เอาไม้คูณมาแปงเตยี ง  หมนื่ แก หมน่ื เชียงสา ให้ไปเอาไม้ยอมาแปงตนี เตยี งไว้แล้ว จลุ มงั คลพราหมณ์ จงี สวดธยิ ายสวา่ ยอาคมไปตามแคมนำ�้ แมข่ อง ไปเท่า ฮอดปากห้วยบางพวนหน้ั แล ก็จีงเห็นมเหศกั ด์เิ มืองไปตกห้นั ลวดนำ� คองเข้าไป จภุ ูเขาลวงบ่อนจวบนำ�้ วงั ใหญ่ห้ันแลอัน ๑ ว่าเปน็ มงคลแล ปัพพารนาคจีงนีรมิตรเป็นคนผู้ ๑ นุ่งผ้าขาว ออกมาบอกให้ตักเอาน�้ำเค่ิงแปว หน้ั แล้ว จงี ขนึ้ เมอื เอาฟดไม2้ 69 เทงิ ภพู ้นุ ซอ่ื นี้ แช่นำ�้ เมอื ดแี ล ว่าดงั นแี้ ล้วกก็ ลบั หนี หนั้ แล พราหมณ์กร็ ู้ว่าแม่นพญาปัพพารนาคบอก กจ็ งี เอาตามความหน้ั แล แล้ว กจ็ งี ขน้ึ เมอื เอาฟดไมเ้ ทงิ ภเู ขาลวง กจ็ งี เหน็ กงจติ แกว้ แหง่ พระพทุ ธเจา้ กม็ ใี จยนิ ดี จีงเอาหินหมายไว้ว่า โชติเจดีย์เจ้าจักเกิดมีในพื้นแผ่นดินที่นี้แล เหตุว่าอรหันตา เจ้าแลพญาจนั ทบรุ จี กั ได้ประจกุ ่อนแล ว่าดังน้ีแล้ว พราหมณ์จงี ค่อยดู เห็นยังคองพระเนตรตาพระพุทธเจ้าสถติ หนั้ คลอ้ ยตกทภี่ กู เู วยี น ทกคนื มายงั แตป่ ากหว้ ยนกยงู คำ� มาใต้ พราหมณก์ ลา่ ววา่ รอยที่กงจิตแก้วพระพุทธเจ้าไว้ท่ีภูกูเวียนนั้น ภายหน้าพุ้นศาสนาฟากนำ้� แม่ของ เบอ้ื งนี้ จกั รงุ่ เรอื งแตป่ ากหว้ ยนกยงู คำ� นนั้ มาใตแ้ ล คนทง้ั หลายฝงู เขาไปดอมไดย้ นิ ความพราหมณ์ทงั้ หลายแล้ว คนกก็ ฎเอาค�ำอันนั้นมากล่าวกระทำ� นวยนัน้ ไว้แล สิทธิพราหมณ์แลจิตวัฒนพราหมณ์ สวาดธิยายสว่างอาคมไปตามแคม แม่น�ำ้ ของก้�ำเหนือ ก็จวบเหน็ น�้ำกเู วียนว่าเป็นมงคล หนั้ แล สวุ รรณนาคนรี มติ รเปน็ คนนุ่งผ้าขาวผู้ ๑ ออกมาบอกว่า จงไปตกั เอานำ้� เคง่ิ แปวของเพียงหินเป้ง270 สองหน่วยหั้น แล้วจงข้ึนเมือไปเอาฟดไม้เทิงภูกูเวียนแช่นำ�้ เมอื เทอญ ว่าดังนแ้ี ล้วกจ็ งี กลบั หนลี งน้�ำ หนั้ แล พราหมณ์ท้ังสองรู้ว่าแม่นพญานาคบอก จีงเอาตามความ แล้วก็ขึ้นเมือ ไปเอาฟดจิกเทงิ ภกู เู วียนแช่น�้ำ จีงได้เห็นรอยจติ แก้วพระพทุ ธเจ้า ลวดมคี �ำยินดี ฉีกเส้ือตัดเกล้าใส่บูชา แล้วจีงแปงหอมุงไว้ซะแล จีงงอยดูเห็นคองเนตรตา พระพุทธเจ้า เปล่งถืกเมืองท้าวค�ำบาง ทกคืนมายังที่หางดอนหั้นแล พราหมณ์ 269 “ฟดไม้” ก่งิ ไม้ 270 “หนิ เป้ง” หนิ ใหญ่ ต�ำนานอรุ ังคธาตุ 131

ท้ัง ๒ ว่า ภายหน้าพุ้น เมืองท้าวค�ำบางจักเศร้าสูญเสียแล บ่อนหางดอน พระพทุ ธเจ้าว่าพทุ ธศาสนาจกั เกดิ ภายหน้าแท้แล คนท้งั หลายฝงู เขาไปน�ำได้ยิน ก็กฎไว้เอาค�ำอนั พราหมณ์กระท�ำนวยไว้นน้ั แล พราหมณ์ทั้ง ๒ รอยท่ีจุลมังคลพราหมณ์ไปก�้ำใต้ จวบกงจิตแก้ว พระพทุ ธเจ้าท่ภี ูเขาลวงนน้ั บ่อย่าแล ยามน้ัน พราหมณ์ทัง้ ๒ กล็ งเรอื ล่องนำ�้ ของมาจากนั ว่าเราทงั้ ๕ มีมงคล พราหมณ์เป็นผู้แก่กว่าเราท้ังหลาย ๒ หากพร้อมกันไปดูกงจิตแก้วพระพุทธเจ้า ทแ่ี คมหนองคนั แทเสอื้ น�้ำวนั นน้ั กบ็ พ่ จิ ารณาดคู องเนตรตาพระพทุ ธเจา้ สกั คนแล แม้นว่า ไชยพราหมณ์กห็ ากเหน็ ก่อนเราแท้ดีหลีแล เหมือนดงั บ่ได้เป็นพราหมณ์ ผู้จบไตรเพทพร้อมซุอัน รอยที่ว่าผีเส้ือน�้ำมาหวงแหนท่ีนั้น มันก้ังกวม271 เอา ราทงั้ ๒ จงี ให้หลงคำ� คดึ เสยี ซะแล ราทง้ั ๒ มาสวดธยิ วายอาคมผาบ272 ผเี สอื้ นำ�้ เสยี ใหห้ ลบั อยซู่ ตุ วั ในหนองหนั้ แล ราทง้ั ๒ จกั ไปซำ้� ลำ�่ ดคู องเนตรตาพระพทุ ธเจา้ ก่อนเทอญ เพ่อื ให้มคี วามเมือถวายแก่พญาสมุ ิตตธรรมเจ้าเทอญ ว่าดังน้ี พราหมณ์ท้ัง ๒ ก็ออกจากเรือไปสู่แคมหนองคันแทเสื้อน้�ำตาม เพศแห่งตนแล้ว จีงงอยดูเห็นคลองสายพระเนตรตาพระพุทธเจ้าเปล่งไปตก เวินพีน273 ไกลนักแล รอยที่ว่าพระพุทธเจ้าไว้จิตแก้วรอยปาทลักษณ์ห้ันแล เล่าล่วงคืนเมือจีงไหว้พร้อมกันเทอญ คองพระเนตรตาทกคืนตกยังที่ศาลจอด นางอยู่ท้ัง ๒ หั้นแล ตาก้�ำขวาพระพุทธเจ้าฟาดข้ามแม่น�้ำ เปล่งไปท่ีโพนจิก เวียงงัว ลวดคืนยังท่ีแคมห้วยมงคล เหนือหอโรงพญาจันทบุรีอ้วยล่วยห้ันแล พราหมณ์ท้ัง ๒ จีงว่า ภายหน้าพุ้น ศาสนาจักตั้งรุ่งเรืองแต่ศาลจอดน้ัน ขึ้นมา ฮอดทห่ี ว้ ยมงคลหน้ั แล แขงวา่ พระเนตรตาเบอ้ื งขวาพระพทุ ธเจา้ บฟ่ าดขา้ มแมน่ ้�ำ ทกคืน แท้ดงั น้ัน พุทธศาสนาแลบ้านเมอื งจกั รุ่งเรอื งเมอ่ื ภายหน้ากายเมือข้นึ ไป ถึงครัวสองหมน่ื แล คนทงั้ หลายฝงู ไปดอมได้ยนิ เขากก็ ฎเอาไว้ พราหมณ์ทั้ง ๒ ต่าวคืนมาลงเรือแล้ว ล่องนำ้� ฮอดที่ศาลจอด แล้วก็เมือเค้า โฮมกนั แล จลุ มงั คลพราหมณม์ าฮอดกอ่ นจงี มาทว้ งเกลา้ วา่ เจา้ ทงั้ ๒ นมี้ เี กลา้ อนั ยาว ประเสรฐิ กวา่ ผขู้ า้ ทง้ั หลายแล บดั นมี้ เี กลา้ อนั นอ้ ยอนั สน้ั แล สว่ นวา่ ผขู้ า้ กม็ าลมื คำ� คดิ เสยี แท้แล พราหมณ์ทง้ั สองจีงว่า สาธุ สาธุ ให้ได้บุญแก่เจ้าทัง้ หลายส่วน ๑ เทอญ 271 “ก้งั กวม” ปกปิด, ก�ำบัง 272 “ผาบ” ปราบ 273 “เวนิ พีน” เวนิ เพล 132 ทร่ี ะลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจ�ำปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

จลุ มงั คลพราหมณย์ นิ ดี กจ็ งี ถอดแหวนธำ� มรงคใ์ หค้ นหนว่ ย ซะแล พราหมณ์ ทั้งห้า จงี ปฏสิ นั ถารจารจากนั แล้วจงี ให้นางท้งั ๒ น่งั อยู่เหนอื เตียง แล้วจงี เอาน�้ำ วงั ใหญพ่ นุ้ ทภี่ เู ขาลวงมาหดสรงนางมงุ คลุ ทะปาลงั เปน็ อคั รมเหสเี บอื้ งขวา แลว้ เอาน้ำ� วังปู่เวียนมาหดสรงนางมงั คลกตัญญูให้เป็นอคั รมเหสเี บอ้ื งซ้าย ก็มแี ล พราหมณ์ท้ัง ๕ เอาขันค�ำมาใส่เคร่ืองคารวะแล กับท้ังเขียนด้วยเส้น เขตแดนดนิ ให้นางทง้ั สองเข้าถวายแก่พญาจนั ทบุรอี ้วยล่วย เจ้าจงี อ่านดู เบอื้ งใตน้ น้ั ใหแ้ ตป่ ากซะดงิ ขน้ึ เมอื มาจเุ มอื ง เบอ้ื งเหนอื ใหแ้ ตเ่ พยี งดอยนนั ท กงั ฮมี าใต้จเุ มอื ง ทางนอกแต่เมอื งแกฝั่งเนนิ เมอื ใต้เพยี งปากซะดงิ ฝั่งเบอื้ งเหนอื เพียงดอยนันทกังฮีเมือฟากแม่นำ้� เมืองสุวรรณภูมินั้น หากเป็นเมืองท้าวค�ำบาง มาแต่แคมน้�ำงึมนน้ั ท้ังมวลแล ยามน้ัน คนท้ังหลายเห็นพญาจันทบุรีเลื่อมใสยินดีดอมด้วยรสธรรม อันพราหมณ์ท้ัง ๕ หากกล่าวบอกให้แจ้งว่าแม่นหน่อพุทธังกรู ดงั นั้น หมื่นหลวง กลางเมือง หมื่นล่ามเมือง หม่ืนประชุมนุมเมือง หมื่นพระน้�ำรุ่ง หมื่นเชียงสา หมนื่ แก หมนื่ กลางโรง หม่ืนนันทอาราม ฝงู นม้ี ีนางคนแลคนเขามบี รวิ ารแลร้อย ช้างพลายตัว ๑ ช้างพังตัว ๑ ม้าสองตัว ควาญช้างนายม้า พร้อมกับค�ำหมื่น เงินแสน ผ้าเสื้อทุกเย่ืองเสมอกันซุเมืองแล มาบาสีช่วยอมเอานางนาถทั้ง ๒ น้าเลี้ยงพ่อนมมขี รรค์ไชยศรดี ้ามแก้วฝกั ค�ำ ๔ ดวง ดาบด้ามแก้วฝักค�ำส่สี ิบดวง ขนั คำ� หนว่ ย ๑ ขนั เงนิ หนว่ ย ๑ เปน็ ของเจา้ สงั ขวชิ กมุ ารแตก่ อ่ น มาแตเ่ มอื งรอ้ ยเอด็ ปกั ตนู ั้น น้าเลี้ยงพ่อนมก็เอามาถวายพร้อมบาสี พญาจนั ทบรุ รี ับเอาไว้ จงี ถามว่า เจ้าสงั ขวชิ กุมารเป็นลูกผู้ใดดาย น้าเลยี้ งพ่อนมจงี ว่าเป็นลกู พญาสุรยิ วงศาประสทิ ธเิ ดชธรรมกิ ราชาธริ าช เอกราชเมืองร้อยเอ็ดปักตูพุ้นก็ข้าแล ผู้ข้าทั้งสองแลหม่ืนกลางโรงรักษาเจ้ามา แตน่ อ้ ย บดั นี้ เจา้ กไ็ ดอ้ อกบวชเปน็ อรหนั ตาเจา้ อยโู่ พนจกิ เวยี งงวั ฟากนำ้� เบอื้ งนนั้ ผู้ข้ากส็ ร้างวหิ ารให้อยู่กข็ ้าแล พญาจนั ทบรุ ี ซ้�ำถามหมนื่ กลางโรงว่า ยังแจ้งว่ามอี รหนั ตาเจ้าท่อใดจา หมื่นกลางโรงจีงว่า อรหันตาเจ้าอยู่ยังจ�ำนักน้ีมี ๓ ตัวตน ผู้ข้าจีงสร้าง หอแพรขาวใหอ้ ยแู่ ล อรหนั ตาเจา้ อยโู่ พนจกิ เวยี งงวั เบอื้ งนนั้ ๓ ตน ผขู้ า้ กจ็ งี สรา้ ง วิหารให้อยู่ ก็ข้าแล อรหันตาเจ้าอยู่เมืองลาหนองคายห้ันสองตน แม่นเจ้า สังขวชิ ชเถร ตน ๑ แล ทงั้ มวลเป็น ๘ ตน กบั พ่อครู หนั้ แล ตำ� นานอรุ งั คธาตุ 133

พญาจนั ทบรุ จี งี วา่ ขอ่ ยบไ่ ดม้ ารบั นางทง้ั ๒ กบ็ ร่ วู้ า่ อรหนั ตาเจา้ มใี นเขตเมอื ง ท่ีน้ีแล ท่อเข้าไว้ว่า รู้แต่เวียงมีอรหันตาเจ้าแต่สองตนอันได้อุปัฏฐากอยู่น้ันแล บุญอนั น้นั จีงมาคำ้� มาชจู งี เปน็ ดังน้ีแล บดั เดียวน้ี อรหันตาเจ้ายังบ่จา หมืน่ กลางโรงแลน้าเล้ยี งพ่อนมจงี ว่า พ่อครทู งั้ ๓ เอาเมอื หนีไปเมืองราช คฤหนครพุ้นได้ ๓ วันน้ี ก็ข้าแล พญาจนั ทบรุ จี ีงว่า เจ้ายังจกั คืนมาบ่จา หมื่นกลางโรงบอกว่า อรหันตาเจ้าหมายว่าจักมาแม่นวันฮือ274 ส่ังผู้ข้า ทัง้ ๒ ว่าดงั น้ี กข็ ้าแล พญาจันทบรุ มี ีคำ� ยนิ ดีว่า สาธุ สาธุ ดังน้ีแล แล้วกจ็ งี ให้คำ� แก่หมนื่ กลาง โรงแลน้าเล้ียงพ่อนมแลคนแลแสนซุคนห้ันแล แล้วกล่าวว่า ข้อยจักยังอยู่ถ่า อรหันตาเจ้าก่อนแล ผวิ ่าบุญมแี ท้หากจักได้ไหว้บ่อย่า ซะแล ยามนั้น คนท้ังหลายจากันว่า พญาจันทบุรีเจ้าได้ยศศักด์ิราชสมบัติฝูงน้ี ด้วยเหตุใดจา บ้างพ่องว่า ได้ด้วยบญุ สมภารเพ่นิ แต่ปางหลังพุ้นแลปางก่อน บ้างพ่องว่า ได้ด้วยบญุ สมภารแต่หลงั สงิ่ ว่านนั้ เราบ่เหน็ อย่าฟ้าวห่อนว่า ค�ำอันบ่แม่นดาย พญาจันทบุรีเจ้าน้ีได้ยศศักด์ิบริวารแลสมบัติอันน้ี ด้วยบุญ สมภารแห่งพญาเจ้าแห่งเราอันได้ให้พราหมณ์มาหดสรงสังน้แี ล บ้างพ่องว่า ได้ด้วยอันพญาสุวรรณนาคแลเทวดาทั้งหลายให้เป็นเมือง แล้วพญาเจ้าเราจงี ให้พราหมณ์มาราชาภเิ ษกเมอ่ื ภายลนุ ดาย บ้างพ่องว่า ได้ด้วยบุญอันกระท�ำเป็นปัจจุบันเห็นต่อหน้า แล้วพญานาค จงี ให้กวดน�ำ้ จันทน์ กบั ทง้ั เทวดาทั้งหลายค�้ำชแู ล พญาจันทบุรีอ้วยล่วยได้ยินจีงออกมาถามว่า เขาทั้งหลายปฏิสันถารจาร จาปราศรยั ไปมาสงิ่ ใดจา คนทงั้ หลายจงี วา่ ผขู้ า้ ทง้ั หลายประสงคส์ ทิ ธก์ิ ติ นาจาเถงิ บญุ คุณสมภารมหาราชเจ้าอันได้เปน็ ใหญ่ประเสรฐิ ยง่ิ นักนี้กข็ ้าแล พญาจนั ทบรุ ีจงี ว่า จงเอากันฟงั เน้อ เราจกั กล่าวปัญหาอุปมาให้แจ้ง ยังมี จิตตาอัน ๑ เทวดาหากริจนา ควดั แล้วบรบิ ูรณ์ มีก้านตาลอัน ๑ บคุ คลหากแปง ไวด้ ว้ ยคนั ลาน เทวดาจงี เอาจติ มาจำ้� กา้ นตาอนั นน้ั ใหเ้ ปน็ รปู แลหนงั สอื ชอื่ นามแหง่ ทา้ วพญามหากษตั รยิ ์ แลว้ บคุ คลทงั้ หลายจงี เขยี นหนงั สอื ใสใ่ บลานสบื ตามคำ� มกั 274 “วันฮือ” วันมะรนื 134 ทร่ี ะลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจำ� ปพี ุทธศักราช ๒๕๖๒

อนั น้นั จักเป็นสิ่งสนั ใดจา พญาเจ้าจงี กล่าวคาถาอันตนหากได้สดับรบั ฟงั เอามา แต่สำ� นักอรหันตาเจ้าเทศนาอันสืบคำ� พระพทุ ธเจ้าว่า ปุพฺเพว สนฺนวิ าเสน ปจฺจปุ ฺปนฺนหเิ ตน วา เอวนฺเต ชายเต เปมํ อปุ ฺปลวํ ยโถทเก กานานํ รกฺขติ สิหํ สิโห รกขฺ ติ กานานํ น ภเช ปาปเกมิตฺเต กลฺยาเณ ภเชถ ปรุ ิสุตตฺ เม ดงั น้ี อธิบายว่า ค�ำรักพญาสุมิตตธรรมนี้มีในพญาจันทบุรี ด้วยเหตุอันได้ร่วม อยู่กินกับด้วยกันแต่ในชาติอันก่อนพุ้น จีงมีค�ำรักค�ำแพงกันดาย ประการหน่ึง รักกันด้วยอันให้เป็นประโยชน์เป็นคุณแก่กันในอัตตภาพชั่วนี้แลชั่วหน้า เป็น ดงั ดอกอบุ ลแลนำ้� มาถกู ต้องกันจงี ชน่ื บานซ่ึงกนั แล อธิบายถ้วน ๒ ว่าดังน้ี ป่าไพรทั้งหลายอันอาศัยซ่ึงอันรักษายังราชสีห์ ให้อยู่สวัสดี แลราชสีห์ก็ได้รักษายังป่าไม้ใหญ่ให้รกดกหนา ชาติท้าวพญา มหากษัตริย์ต่างประเทศใช้มาก็อย่าได้ห้าม ให้เข้ามาเป็นดังแม่น�้ำสมุทร แลน้�ำ ใหญ่น้�ำน้อยท้ังมวล ก็ไหลสว่างฮอดกันบ่ตันแปวเสีย ได้ให้ไหลเข้ามาทุกวัน ทุกคืน อันนน้ั จักเปน็ ดังลือนน้ั จา อธบิ ายคาถาถ้วน ๓ ว่าดังนี้ บคุ คลผู้เป็นนักปราชญ์ บ่ห่อนได้เสยี ยังมิตร ผู้ถ่อยผู้บาปอธรรมสักเทือแล เทียรย่อมเสียมิตรผู้มีบุญศีลดังเดียวกันนั้นแล เป็นชายผู้ประเสรฐิ แท้แล  พญาจันทบุรีกล่าวดังนี้แล้ว จีงทรงฮ่มเพิงดูปัญหาอันพญาสุมิตตธรรม เจ้าอภัยโทษอันตนได้เอานางอินทรสว่างลงลอดแลให้เอานางสองคนคืนมาแล้ว ใส่ชื่อแต่เมืองมาให้ปรากฏ ผู้ ๑ ช่ือว่า นางมุงคุลทะปาลังนั้น ดังว่าพญานาค ให้แก้ว ๗ ประการเป็นอันประเสรฐิ ยง่ิ นกั แล บ่เอาไว้กบั ตนกับตัว บรุ ีจนั ท์ให้นำ� แก้วมาถวายพญาสุมิตตธรรมเจ้า โรงหลวงแลปราสาทอุทยานจีงเกิดมีแก่ พญาสมุ ติ ตธรรมดาย ว่าดงั น้จี ีงใส่ชือ่ นางมาว่านางมุงคลุ ทะปาลังแล พญาจันทบุรี เลาซ้�ำฮ่มเพิงดูนางผู้ถ้วน ๒ นั้นช่ือว่านางมังคลกตัญญูนั้น รอยว่าให้ตอบคุณอันได้แก้ว ๗ ประการ จีงได้เป็นใหญ่ในชุมพูทีป ท้าวพญา ทั้งหลายจงี น�ำนางมาถวายเจ้าดาย ว่าดงั นี้ จีงใส่ชือ่ นางมาว่ามงั คลกตัญญู อันน้ี พญาสุมิตตธรรมเจ้าอภัยโทษอันได้เอานางอินทรสว่างเป็นเมียนั้น แล้วจีงให้ พราหมณ์ทั้ง ๕ มาราชาภเิ ษกแลให้เขตแดน เพือ่ หัน้ แล ต�ำนานอรุ งั คธาตุ 135

พญาจันทบรุ ตี รัสรู้แจ้งในปญั หาฝูงน้ใี นใจแห่งตนดงั นแ้ี ล้ว จีงแสร้งกล่าว คาถาภายหลังนนั้ ให้พราหมณ์ทง้ั ๕ ได้ยนิ เพอื่ ดงั นน้ั แล อนั พราหมณ์ทงั้ ๕ เอานางมาพร้อมแล้ว แลบ่ได้ถวายเม่ือราชาภเิ ษกน้นั แล้ว พญาจันทบุรีคิดฮอดหัวใจแห่งคนทัง้ หลายแล มีหม่นื หลวงกลางเมือง เปน็ เค้า จงี กล่าวคาถาว่า โกโธ ปลาโส กติมาโน มายา สาเถยฺย อิจฺฉา อุปฺปเนญหตพฺโพ สารกมาโน อสํมิเชยยฺ มจฺเฉริยโก สชฺชมทโฺ ท มุตฺถสสฺ ติ ทปุ ญญฺ า ทุพพฺ จจฺ ทุเสวิ อหิริกํ พุทิฏฺฐี อสฺสติโก อินฺทฺริยสํวโร อตฺถติโก โอภาสิโก มหิจฺโฉ โอตตฺ ปฺป อขนตฺ ิ คุรจุ ตโฺ ต อขริ ิยา อตฺถิ มหิทสฺสนํ อสกํ จิ ฺจ ถิรี ดังนี้ พญาจนั ทบรุ ลี บุ ลางตรสั ร้แู จ้งว่า พราหมณ์ทงั้ ๕ มศี ลี อนั ประเสรฐิ แท้แล ทอ่ วา่ คนทง้ั หลายฝงู เปน็ ปถุ ชุ น หากบญุ แพแ้ ตง่ แปงเอา จงี กลา่ วคาถาเพอ่ื ขม่ เหง คนทัง้ หลาย อธบิ ายว่า บคุ คลเกดิ มาในโลกน้ี มคี วามมกั เคียดท่าน อนั ๑ มักรู้ลึบคณุ ท่านเสยี อนั ๑ มีมานะสระหาวมากนกั อนั ๑ มมี ายาอันกง้ั บังบาปไว้ อนั ๑ รู้เกลยี ดเล้ยี วงอนคดในใจ อัน ๑ รู้มกั ริษยาตเิ ตียนแก่ท่าน อนั ๑ ครน้ั เคยี ดแล้วแลมาหมายม่ัน อัน ๑ แลมใี จอนั กระด้างขางแข็งดงั เสาหิน อนั ๑ แลรู้ติเตยี นผู้เฒ่าผู้แก่แลสมณพราหมณ์ผู้มศี ีล อัน ๑ มีใจมานะสน่อย อัน ๑ แล สบิ ประการน้ีย่อมมีแก่บคุ คลผู้บ่เปน็ นกั ปราชญ์ราชบณั ฑิต หากให้บงั เกดิ แก่ตนตัวแก่ท่านแล ครน้ั วา่ เปน็ ดงั นน้ั คนทง้ั หลายฝงู นอี้ นั หามติ รใหเ้ ปน็ ไชยะแกก่ นั บไ่ ดแ้ ล เทยี ร ย่อมมักตระหนี่พ้นประมาณ มักคร้านจ�ำเริญภาวนา ท่อมักเสียยังกามคุณแล มัวเมาอยู่หั้น แลมีค�ำประมาท หาสติบ่ได้ หาประญาปัญญาบ่ได้ ส่ังสอนก็หาก 136 ทรี่ ะลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจำ� ปีพทุ ธศักราช ๒๕๖๒

ยากนักแล เทียรย่อมเสพมิตรผู้ร้าย บ่อายแต่บาปอันรู้ปิ้นจากค�ำเจ้าตน แลบ่เชื่อ ค�ำสอนพระพุทธเจ้า จีงบ่ส�ำรวมอินทรีย์ตนได้ บ่มักสันโดษในเข้าของตน แล มกั มากดว้ ยอาหาร มกั มากดว้ ยสมบตั ิ บต่ ปี อ่ งออกจากบาปเปน็ แล บอ่ ดใจได้ บอ่ ยำ� ตอ่ ครบู าอาจารยต์ นได้ จงี หาสงั ขรยิ ธรรมอนั ขาวในใจบไ่ ด้ ทอ่ หลงิ ดชู ายผถู้ อ่ ย ร้ายแล้ว แลไปชุมรุมกับดอมผู้ถ้อยนั้นจา อันน้ีหากเป็นคองปฏิบัติแห่งคนพาล ปถุ ุชนทงั้ หลาย เขาจงี หลบั อยู่บ่รู้ตนื่ คือว่าบ่ได้เถิงธรรมวเิ ศษ ซะแล คนท้ังหลายเขาได้ยินคึดฮอดโทษตัวก็ย่ิงเป็นอัศจรรย์มากนัก ก็แฮ่งซ�้ำ เลอื่ มใสซง่ึ พญาจนั ทบรุ เี จา้ นว้ี า่ เปน็ ดงั ตาเหน็ แลว้ แลมาสอนเราใหร้ ยู้ งั คองธรรม แท้แล คนทง้ั หลายจงี พร้อมกนั ไหว้นบซ่งึ ถ้อยค�ำดังนี้แล้ว เมื่อเปน็ ดงั น้ัน จีงถาม ว่าบาปอันนนั้ ก็จักมีสงิ่ ใดกข็ ้าจา พญาจันทบรุ จี งี กล่าวคาถาว่า อถ ปาปานิ กมมฺ าน ิ อกโรนฺโต น พุชฌฺ ติ เสมิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑโฺ ฒว ตปฺปติ ดังนี้ อธิบายว่า บุคคลฝูงเป็นคนไป่ได้กระท�ำกรรมอันเป็นบาป ก็บ่ตรัสรู้แจ้ง ยังวิบากกรรมแห่งตนว่าเป็นบาปโทษได้น�ำคนฝูงถ่อยน้ัน ก็ได้ไปเกิดในนรกอัน แปวไฟหากไหม้เดอื ดร้อนแห่งเขาจงี รู้จักกรรมวบิ ากแห่งตนแล คนทง้ั หลายเขาจงี ไหวว้ า่ ใหฝ้ งู ขา้ ทงั้ หลายกระทำ� สงิ่ ใด จงี หายกรรมวบิ าก แห่งฝงู ข้าท้งั หลายนนั้ จา พญาจันทบุรกี ล่าวคาถาว่า อปปฺ มาโท อมตํ ปทํ ปมาโท มจฺจโุ น ปทํ อปปฺ มตตฺ า น มยี นฺต ิ เย ปมตฺตา ยถา มตา สทโฺ ท สีเลน สมฺปนโฺ น ยโส โภคสมปฺปิโต ยํ ยํ ปเทสํ ภชติ ตตถฺ ตตเฺ ถว ปชู ิโต โหติ ดังน้ี อธิบายว่า บุคคลฝูงบ่ประมาทหลงลืมในกุศลบุญคุณแก้วท้ัง ๓ ประการนน้ั เปน็ คองอนั ยังจกั ได้เถงิ ยังนพิ พานเจ้า แลบุคคลฝงู บ่ประมาทในบุญ คณุ แกว้ ๓ ประการนนั้ หากเปน็ คองแหง่ ธรรม ฝงู บป่ ระมาทนน้ั  แมน้ วา่ ตายกย็ งั ได้ชอ่ื ว่ายังมชี วี ิตแล ฝงู ใดมีค�ำประมาทนน้ั แม้นว่าชวี ิตยังนน้ั ก็ได้ชื่อว่าตายแล้ว บุคคลฝูงอันประกอบด้วยศรัทธาเช่ือใสในคุณแก้ว ๓ ประการ แลรักษา ศีล ๕ ศลี ๘ ดังน้ัน ข้าวของเงินคำ� ลูกเมีย ช้างม้า ยศศกั ดิ์ กบ็ ่ได้ละเสียแล แม้น ว่าบคุ คลฝูงนน้ั แลไปตกประเทศที่ใดก็ดี คนทงั้ หลายเทยี รย่อมสกั การบชู าบ่ขาด ตำ� นานอรุ งั คธาตุ 137