ปาทลักษณะนทิ าน บนั้ ที่ ๓ ปาทลกั ษณ์ในลุม่ แม่น้ำ� โขง เม่ือนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จหนีจากที่แคมหนองคันแทเสื้อนำ�้ ไปสู่โพนจิก เวยี งงัว ท่เี ห็นแลนค�ำแมบลนิ้ หนั้ ก่อนแล ด้วยแท้ แลนค�ำตัวนน้ั แม่นปัพพารนาค ตวั ท่อี ยู่ภเู ขาลวง แทบแคมนำ้� บางพวนหนั้ หากนีรมิต69 เพอ่ื ให้เป็นเหตุดาย นาคตัวน้ันประดับสังวาลย์คอแล้วด้วยแก้วปัพพาทั้งมวล จีงได้ชื่อว่า ปัพพารนาค เพ่ืออันแล จีงซ�้ำนีรมิตเป็นคนนุ่งผ้าขาวเสื้อขาว รับเอาบาตร ราธนาพระพทุ ธเจา้ ไปสภู่ เู ขาลวง กข็ อเอารอยปาทลกั ษณ์ พระพทุ ธเจา้ กจ็ งึ ไวก้ ง จิตแก้วที่ภูเขาลวงแก่ปัพพารนาคอุปัฏฐากหั้นแล สถิตในร่มไม้ปาแป้ง70 ต้น ๑ ฉนั ข้าวแห่งปัพพารนาคแล้ว จงี ให้ผ้ากมั พลผืน ๑ แก่ปัพพารนาค ห้นั แล แล้วพระพทุ ธเจ้าจงี ออกเสดจ็ ไปฉนั ข้าวเพลที่ โพนสนั หน้ั ใกล้เวนิ หลอด คนท้งั หลายจงี เรยี กว่า เวินเพล เท่ากาลทุกวนั นแ้ี ล เม่ือนัน้ พญานาคตัวหนึง่ ช่อื ว่า สกุ ขนาคหัตถ7ี 1 นีรมิตเป็นช้างพลาย ถอื ดอกไม้เข้ามาไหว้ ขอเอารอยปาทลักษณ์ พระพุทธเจ้าจีงย�่ำไว้กระดานหินใกล้ แคมน้�ำ ชว่ั ช้างร้องได้ยนิ หั้นแล พญานาคก็เทยี วเข้าไปไหว้อปุ ัฏฐากแล้ว เอางวง เจาะรอยตนี เจา้ ใสห่ วั แลว้ จงี หนเี ปน็ ปกติ นำ�้ บอ่ นนาคตวั นน้ั อยเู่ รยี กชอื่ วา่ เวนิ สกุ คนทงั้ หลายรบี เอาทองดอมกนั ได้ มาหลอ่ เปน็ พทุ ธรปู ใหญท่ อ่ องคพ์ ระพทุ ธเจา้ จีงเอาไปไว้บ่อนฉันเพลดินแดน หั้นแล พญานาคตัว ๑ น้ัน ก็จีงเอาหนีไปไว้ในนำ้� ที่ บ่อนอยู่แห่งตน คนทั้งหลายจงี ว่าเป็น เวนิ พระเจ้า มาเท่ากาลบดั น้ี ซะแล พระพทุ ธองค์จงี เสดจ็ จากทน่ี นั้ ไปส่เู มอื งศรโี คตรบอง เพยี งทอี่ ยแู่ ห่งพญา ปลาตวั ๑ พญาปลาตวั นนั้ เหน็ รศั มพี ระพทุ ธเจา้ แลว้ จงี พาบรวิ ารตนลอ่ งนำ�้ มานำ� พระพทุ ธเจา้ จงี กระทำ� หสติ กุ ารแยม้ หวั เจา้ อานนทจ์ งี ไหวถ้ ามหาเหตุ วา่ พระพทุ ธเจา้ แย้มหัวเหตุอนั ใดกข็ ้าจา พระพทุ ธเจ้าจงี กล่าวว่า ดรู า อานนท์ พระตถาคตเห็น พญาปลาตัว ๑ พาบริวารมาน�ำจุฝั่งน�้ำห้ันแล พญาปลาตัวน้ีแม่นคนแต่ก่อนได้ บวชในส�ำนักพระพทุ ธเจ้าตนช่อื ว่า กัสสปะ ภิกขุตนนนั้ ได้มาแคมแม่น�้ำทอี่ ยู่นนั้ 69 “นรี มติ ” เนรมิต 70 “ไม้ปาแป้ง” ต้นโพธิ์ 71 บางฉบับว่า สุกขรนาคหัตถี 38 ท่ีระลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจำ� ปีพุทธศกั ราช ๒๕๖๒
ได้เด็ดเอาใบไม้มากรองนำ�้ กิน ใกล้จตุ ิ ลวด72 มคี �ำกินแหนงใจ ตายไป จงี ได้มา เกดิ เปน็ พญาปลาอยู่ในนำ�้ ที่นน้ั อาจณิ ณฺ สมมฺ จณิ ณฺ า มนั เหน็ รศั มอี นั ตา่ ง ๒ แลไดย้ นิ เสยี งฆอ้ ง เสยี งแสง่ 73 แลตีกลอง ดังนั้น จีงออกจากที่อยู่มาดูแล อันน้ี หากเป็นอาจิณอันเคยได้เห็น รปู ารมณอ์ นั ดี แลไดย้ นิ สทั ทารมณอ์ นั ดแี ตเ่ มอ่ื กอ่ น จกั รสู้ รรพสญั ญา เพอื่ อนั ซะแล พญาปลาตัวน้ันจักมีอายุยืนนักเสี้ยงกัป เม่ือใดพระเมตไตรยโยโพธิสัตว์ลงมาเป็น พระเจ้าพุ้น มันจกั จุตจิ ากชาตอิ ันเป็นปลานี้ ได้เกิดเปน็ คน บวชเปน็ ภกิ ษุ เถิงภาวะ ในสำ� นักพระพทุ ธเจ้าเมตไตรย หน้ั แล พญาปลาได้ยนิ กช็ นื่ ชมยนิ ดคี นงิ ในใจใคร่อยากได้ยงั รอยตนี พระพุทธเจ้า ๆ จีงตรสั รู้แจ้ง จงี เมตตาอชั ฌาสยั หวั ใจอนั มักแห่งปลาตัวนนั้ พระพุทธเจ้าเมตตา อธิษฐานปาทลักษณ์ไว้รอยโง่นหิน74 เหนือน้�ำท่ีนั้น ห้ันแล คนท้ังหลายจีงว่า บาทพระเจา้ เวนิ ปลา เพอ่ื อันแล กจ็ งี เรยี กมาเท่ากาลบัดน้แี ล บน้ั ที่ ๔ พระพุทธเจา้ เสด็จเมืองศรโี คตรบอง ยามนั้น พระพุทธเจ้าจงี เสด็จจากห้นั ขนึ้ อากาศ ลงมาสถติ ดอยกัปปนคิรี คอื ว่า ภูกำ� พรา้ ในราตรคี นื นนั้ วสิ สกุ รรมเทวบตุ รได้ลงมาอปุ ฏั ฐากด้วยอาสนา พดี าน75 รุ่งแจ้งแล้วจงี หนเี มอื คนื แล ยามน้ัน พระพุทธเจ้าจีงทรงผ้าแลเอาบาตรห้อยไว้ในง่าหมากกะทัน76 ไม้ปาแป้งท่ี ๑ เบ้อื งตะวนั ตกนน้ั จีงลงไปสู่แคมแม่นำ้� กำ่� ตะวนั ออกหนั้ เพือ่ ว่าจกั ช�ำระหั้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์พญาอินทราธิราชก็กระด้างแข็ง สหสฺสเนตฺตา พญาอนิ ทรห์ ลงิ เหน็ ฮอดทกุ กำ�้ พนั ชอ่ งจงี เสดจ็ ลงไปสปู่ า่ หมิ พานต์ เอานำ�้ อโนมาตสั สะแลไม้นวด77 นำ� มาถวาย พระพทุ ธเจ้าช�ำระแล้ว ทรงบายเอาผ้าแลบาตร อ่วย หน้ายัวรยาตรไปสู่ทศิ ตะวันออก เสด็จไปอิงต้นไม้รงั ใต้ปากน้�ำเซห้นั น้อย ๑ เพือ่ ว่า จกั หลงิ ดเู มอื งศรโี คตรบอง แลว้ จงี เขา้ ไปบณิ ฑบาต ตโิ คตรฺ ปรุ นํ คเร ตโิ คตรบรู นคร 72 “ลวด” เลย เช่น ลวดกนิ แหนง คอื เลยกนิ แหนง 73 “แส่ง” ฉาบเลก็ 74 “โง่นหนิ ” ก้อนหิน 75 “พีดาน” เพดาน 76 “ง่าหมากกะทัน” ก่งิ พดุ ทรา 77 “ไม้นวด” ไม้สีฟัน ตำ� นานอุรังคธาตุ 39
พญาตน ๑ อนั เสวยราชในเมอื งศรโี คตรบองนนั้ ไดพ้ ำ� เพง็ บญุ โพธสิ มภารมาก พญาตนน้ันจักได้ทัวรเทียว78 ไปมาเกิดเสวยราชบ้านเมืองในชมพูทีปท้ังมวล ติกขฺ ตงุ สน้ิ วาระ ๓ ทซี เุ มอื ง แลจักได้โชตนาพุทธศาสนาเท่าห้าพนั วัสสา เหตุดังน้นั จงี ได้ชือ่ ว่า พญาตโิ คตรบรู เพ่อื อนั แล พญาตนนนั้ เหน็ พระพทุ ธเจา้ อนั อวายหนา้ เขา้ มาสเู่ มอื งแหง่ ตน พญาตนนนั้ ก็ขอราธนาให้ฉันข้าวในที่อยู่แห่งตน พระพุทธเจ้าก็อยู่บ่ปาก พญาก็จีงแต่งข้าว น้�ำโภชนะอาหารคลิ านะปัจจัย แล้วจงี เข้าไปด้วยคมรบ79 ยามน้ัน พระพุทธเจ้าปงลงยังบาตรยื่นให้แก่พญาให้รับเอาส�ำเพาะ80 ซง่ึ พญา แลว้ อว่ ยหนา้ คนื ตามทางบท่ รงบาตร พญามปี ติ ชิ มชน่ื ยนิ ดี ใสบ่ าตรแลว้ เจาะใส่หัว ๓ ที ปรารถนาว่า สาธุ สาธุ ขอให้ผู้ข้าได้คำ�้ พุทธศาสนาพระเจ้า เท่าเฒ่า ก็ข้าเทอญ พญามีค�ำปรารถนาดังนี้แล้ว จีงอุ้มเอาบาตรไปน�ำส่งแก่ พระพทุ ธเจา้ ฮอดตน้ ไมร้ งั ทอี่ งิ นน้ั พระพทุ ธเจา้ จงี ทรงเอาบาตรดอมพญาทรงแลว้ เสดจ็ ไปทางอากาศ ลงสู่ภูกำ� พร้าดงั เก่า หน้ั แล ยามนน้ั พญากระสนั ดอมพระพทุ ธเจา้ แหงนหนา้ ขนึ้ ยอมอื นบพระพทุ ธเจา้ ตราบ ต่อเท่าสุดชวั่ ตา คิดใคร่เปน็ พระพุทธเจ้าตน ๑ คนิงในใจแล้วคืนมาสู่ที่อยู่แห่งตนแล พระพุทธเจ้าตรัสรู้แจ้งส�ำเพาะซ่ึงพญา จีงฉันยังข้าวฉันน้�ำอโนมาตัสสะ แล้ว จีงลองถามพญาอินทร์ว่า ดรู า พญาอินทราธิปตั ตริ าช พระตถาคตมาสถิต เป็นราตรีในท่นี ้ีด้วยเหตฉุ นั ใดจา พญาอินทร์จีงขานว่า ข้าไหว้เจ้ากู ส่วนดังภูก�ำพร้าอันน้ี พระพุทธเจ้าจีงมา ใส่บาตร เหตุว่าพระเจ้าอาศัยเซิ่ง81 อตีตเหตุแห่งพระพุทธเจ้าท้ังหลาย ๓ ตน เมอ่ื กอ่ น มพี ระกกุ กสุ นั ทะเปน็ เคา้ แลพระโกนาคมเจา้ ตนถว้ น ๒ พระกสั สปะเจา้ ตน ถ้วน ๓ อัน เข้าสู่นีรพานแล้ว อรหันตาเจ้าท้ังหลายเทียรย่อม82 ได้เอาธาตุ อันประเสริฐมาต้ังไว้ในท่ีนี้ เพื่อว่าเมตตาท้าวพญาทั้งหลายฝูงมีบุญสมภาร ได้ กตาธิการเพื่อปรารถนาเอาโพธิญาณแลมีสมภารไว้แก่เชื้อหน่ออรหันตาทั้งหลาย จกั มมี าเมอ่ื สดุ ซ้อย อนั นเี้ ปน็ จารตี แหง่ พระพทุ ธเจ้าทง้ั หลายสบื ๆ มาแทซ้ อุ งค์ กข็ ้าแล 78 “ทัวรเทียว” ท่องเทีย่ ว 79 “คมรบ” เคารพ 80 “ส�ำเพาะ” เฉพาะ 81 “เซงิ่ ” ซง่ึ 82 “เทยี รย่อม” ย่อม ล้วนแล้วไปด้วย 40 ทีร่ ะลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ประจำ� ปพี ทุ ธศักราช ๒๕๖๒
อนั พระพทุ ธเจา้ ฉนั ขา้ วบณิ ฑบาตนนั้ สำ� เพาะซงึ่ พญาตโิ คตรบรู ตนกนิ เมอื ง อันคนทั้งหลายว่าเมืองศรีโคตรบองน้ัน ผู้ข้าท้ังหลายอันเป็นอินทร์ พรหม เทพบุตร เทพดา จีงว่า เมืองศรีโคตโม เหตุว่าพระเจ้าตนชื่อว่าโคตมะหากให้ ศรสี วสั ดแี ก่พญาศรโี คตรบูร ผู้ข้าทั้งหลายว่าดังน้ี กข็ ้าแล พญาอนิ ทร์กล่าวแม่นพุทธวสิ ัยดงั น้แี ล้ว พระพทุ ธเจ้าอยู่บ่ปากแล ยามนนั้ เทวดาอารกั ษม์ เหสกั ขทง้ั หลายฝงู อยใู่ นราวปา่ ทน่ี ี้ ไดย้ นิ กส็ ง่ เสยี ง ขนึ้ เทา่ ถงึ อกนษิ ฐาพรหมโลก แลขอบจกั รวาลทงั้ มวล ชมชนื่ ยนิ ดใี หเ้ สยี งสาธกุ าร มากนกั แล ปางนนั้ แล พญาอนิ ทร์จงี หนีเมือสู่ทอี่ ยู่แห่งตน แลว้ พระพทุ ธเจา้ จงี เทศนากระทำ� นวยไวใ้ หเ้ จา้ อานนทแ์ จง้ วา่ ดรู า อานนท์ พญาติโคตรบูรตนนั้นจักจุติไปเกิดในเมืองสาเกตนคร กำ้� ตะวันตกน้ัน จักช่ือว่า สุริยกมุ าร แล ครั้นว่า พระตถาคตนีรพานไปแล้ว สุริยกุมารจักได้เป็นพญาใหญ่กว่า ท้าวพญา จักได้ก่อแรกพุทธศาสนา ตั้งไว้ในเมืองร้อยเอ็ดปักตูอันหล่าคาเสีย จกั มชี อื่ วา่ สาเกตนครนน้ั กม็ แี ล พทุ ธศาสนากจ็ กั ตงั้ เปน็ ปฐมหวั ที จกั รงุ่ เรอื งเสมอ ดังเม่อื พระตถาคตยังทัวรมานในป่าเชตวนั อารามนน้ั แท้ซะแล ยามนน้ั เมอื งศรโี คตรบองกจ็ กั หล่าคาเมอื ไปตงั้ ทปี่ ่าไม้รวก มชี อ่ื ว่า เมอื ง มรกุ ขนคร หน้ั แล พญาสุริยวงศาตนน้ันเล่าจักจุติมาเกิดเป็นพญาสุมิตตธรรมวงศาในเมือง มรกุ ขนคร จกั ไดห้ ดพอ่ นาเปน็ พญาจนั ทบรุ ี เพอื่ วา่ กอ่ แรกพทุ ธศาสนาในจนั ทบรุ ที นี่ นั้ แล ดูรา อานนท์ พญาสุมิตตธรรมวงศาตนนั้นจักได้ถะปันนาอุรังคธาตุ พระตถาคตไว้ท่นี แ้ี ล พญาเล่าจักได้ซ�้ำคืนไปโชตนาพุทธศาสนาอันแตกม้าง83 ในเมืองสาเกต นครร้อยเอด็ ปักตูนนั้ แล้ว แลจักจตุ ไิ ปเมือเกดิ ในเมอื งพาราณสี จกั ได้บวช ชอื่ ว่า สุมติ ตธรรมรสั สี กม็ แี ล เมืองมรุกขนครน้ัน จักหล่าคาข้ึนไปต้ังพุทธศาสนาไว้ใกล้ท่ีอยู่พญาปลา ตวั นั้นแล เมอื งบ่มอิ าจตงั้ อยู่เปน็ เอกราชดงั แต่ก่อนแล จกั เป็นบ้านเมอื งอนั น้อย สง่ เศษสง่ เชา้ สว่ ยไรแ้ กพ่ ญาฝงู มบี ญุ สมภารภายเหนอื นนั้ แล เหตวุ า่ พระพทุ ธเจา้ ได้อธษิ ฐานรอยปาทลักษณ์ไว้ในโง่นหนิ พญาปลาตัวน้อยนกั นน้ั ได้รกั ษา ซะแล 83 “ม้าง” เส่อื มศูนย์ ต�ำนานอรุ งั คธาตุ 41
บน้ั ท่ี ๕ ปาทลกั ษณ์เมอื งหนองหาญหลวง พระพุทธเจ้ากระทำ� นวยดังนัน้ แล้ว อว่ายหน้าต่อเมอื งจุลณีพรหมทัต แล เมอื งอินทปัตถนครแล เจ้าอานนท์เอยยี วว่าพระพุทธเจ้าจกั ใคร่ไปสู่ในเมอื งสอง อันนั้นแลบ่ไปจา ดังน้ันเจ้าอานนท์จีงไหว้ให้แจ้งว่า สัพพัญญูเจ้าพรากจาก ภูก�ำพร้าที่นี้ พระพุทธเจ้าจักไปเมตตาในที่ใดก็ข้าจา พระพุทธเจ้าจีงกล่าวว่า ดรู า อานนท์ พระตถาคตจกั ไปชุมรอยบาทาทแ่ี คมหนองหาญหลวง84 ห้ันแล มหาสรุ วาปชิ ฆํ สโมหนสวุ ณณฺ ภงิ คฺ ารํ ยงั มพี ญาตนหนงึ่ ชอ่ื วา่ สวุ รรณภงิ คาร อันมีกระโจมหัวค�ำ85 สังวาลค�ำ ท่ัวตนทั้งมวล แลมีน�้ำเต้าค�ำ86 หน่วยใหญ่นัก กินเมืองหนองหาญหลวงทนี่ ้นั ห้ันแล พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ จากภูกำ� พร้าไปฮอดแคมน�้ำอัน ๑ กลางทาง มนี าคน้�ำ ตวั หนง่ึ ชอ่ื วา่ โธทนะนาค เปน็ เชอื้ วงศาพญาศรสี ทุ โธทนะแตช่ าตกิ อ่ นพนุ้ อนั เปน็ คน ตายกับด้วยโกรธะ มานะ จีงได้เกิดเป็นนาคช่ือว่า โธทนะนาค คือว่าเลียบ แคมน�้ำกนิ ปลา พระพุทธตรสั รู้แจ้งยงั เหตจุ งี เมตตาโธทนะนาค ว่า ดูรา นาคนำ้� ตวั ชอ่ื วา่ โธทนะนาค ทา่ นอยา่ ไดถ้ อื หาบอนั หนกั จกั ซ�้ำตม่ื หาบแถมหนกั อยเู่ ทอญ นาคนำ�้ ตวั นนั้ ไดย้ นิ จงี มคี ำ� ฮม่ เพงิ วา่ บคุ คลผใู้ ดมารจู้ กั ชอ่ื แหง่ กู มาตอยเตนิ 87 ว่าฉันน้ีจา เพิงกูเข้าไปล้�ำดูเทอญ นาคตัวนั้นมันก็เข้าไปใกล้ พระพุทธเจ้าจีง แผ่เมตตากล่าวว่า โทธนะนาคเข้ามาปงเสยี ยงั หาบอนั หนกั เสยี เทอญ กจู ักปลด เสียยังทุกข์แห่งท่านให้ถึงสุขซะแล นาคน�้ำตัวนั้นมีหัวใจชุ่มบานปีติชมช่ืนยินดี มากนัก เข้ามาขาบ88 แทบบาทาแห่งพระพทุ ธเจ้า ให้สรณาคมท้งั ๓ แล้วมันจีง ได้ตั้งอยู่ในสรณาคมน์ คร้ันว่าจุติแล้วก็ได้เมือเกิดในเมืองฟ้าตาวติงสาสวรรค์ เทวโลก ปรากฏช่ือว่า โธทนะนาคเทวบตุ ร แล ตามวงศาแห่งตนห้นั แล นำ้� บ่อน โธทนะนาคอยู่แต่ก่อนนนั้ คนทั้งหลายจงี เรียกชอื่ ว่า น�ำ้ พงุ สา มาเท่าบัดนแ้ี ล จากที่นั้น พระพุทธเจ้าเสด็จไปเมืองพญาหนองหาญหลวง พญา สุวรรณภิงคารรู้ข่าว จีงมาราธนามาฉันข้าวในบังคับผาสาท89 แห่งตน คร้ันว่า 84 “ชมุ รอยพระบาททแ่ี คมหนองหาญหลวง” คอื พระธาตเุ ชงิ ชุม 85 “กระโจมหัวค�ำ” มงกฎุ ทองคำ� 86 “น้ำ� เต้าคำ� ” คนโททองคำ� 87 “ตอยเตนิ ” ตกั เตอื น ยวั่ เย้า 88 “ขาบ” กราบ 89 “ผาสาท” ปราสาท 42 ทร่ี ะลึกงานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ประจำ� ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒
เมยี้ นกจิ ฉนั ขา้ วแหง่ พระเจา้ แลว้ กจ็ งี เทศนาธรรมสงั่ สอนแกพ่ ญาแลคนทงั้ หลาย แล้วพระพุทธเจ้าก็จีงลงจากผาสาท มาสุมรอยตีนซ่องหน้า90 พญาแล้ว พระเจา้ จงี กระทำ� ปาฏหิ ารยิ ์ ใหเ้ ปน็ แกว้ ออกมาจากบาท ๓ หนว่ ย ดว้ ยลำ� ดบั แลว้ จีงซำ�้ ให้ออกมาหน่วยหนง่ึ เม่ือภายลนุ ต่มื หั้นแล พญาสุวรรณภิงคารเห็นเป็นที่อัศจรรย์ จีงไหว้สัพพัญญูเจ้าว่า เหตุสิ่งใด แก้วจีงออกมาจากบาทแห่งพระพุทธเจ้าน้ีก็ข้าจา พระพุทธเจ้าบอกว่า ดูรา มหาราช บ่อนน้ีเป็นที่แก้วท้ัง ๓ ได้มาแต่ก่อน แก้วจีงออกมา ๓ หน่วย คือว่า พระพุทธเจ้า ๓ ตน มีพระกกุสันธะเจ้าเป็นเค้า พระโกนาคมเจ้าถ้วนสอง พระกัสสปะเจ้าถ้วนสาม พระพุทธเจ้าสามตนน้ี ได้มาบณิ ฑบาตในเมอื งศรโี คตร บองห้ันแล จีงมาฉันข้าวท่ีภูก�ำพร้าหั้นแล้ว ก็มาสุมรอยตีนท่ีนี้ซุตน แก้วหน่วย ถ้วนส่อี อกมาเม่อื ลนุ นี้ แม่นองค์พระตถาคตมาในกาลบัดน้แี ล คร้ันว่า พระตถาคตได้มาสุมรอยแล้วแล เม่ือพระตถาคตนิพพานไปแล้ว ดงั นัน้ คนท้ังหลายบ่มีในทอ่ี ันนแ้ี ล พระเจ้ากล่าวดังนั้นแล้ว พญาสวุ รรณภิงคาร จงี ไหวพ้ ระเจา้ วา่ ทน่ี บ้ี ม่ คี นอยู่ พระพทุ ธเจา้ จกั ไวฮ้ อยตนี เหตฉุ นั ใดจา พระพทุ ธเจา้ จงี กล่าวว่า ดูรา มหาราช ทีใ่ ดคนท้ังหลายบ่ได้อยู่ ทนี่ ัน้ เป็นท่แี ห่งนาค หากมาขอ เอายังรอยปาทลักษณ์ดาย เป็นเหตุอันควรไว้ พระพุทธเจ้าท้ังหลายก็จีงไว้ดาย เป็นอันดังพระตถาคตนี้ ผิจักไว้รอยตีนในกระดานหินที่ใดที่น้ัน จักเป็นบ้านเป็น เมืองรุ่งเรืองด้วยต้ังพุทธศาสนาเป็นปกตินั้น แม้นมีบุคคลผู้ขอเอาไว้ก็ดี พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็บ่ไว้ เหตุว่า เทวดาแลพญานาค ท้ังหลายจักทัวรเทียว หวงแหนพทิ กั ษร์ กั ษาไวไ้ หวน้ บบชู าปาทลกั ษณด์ งั นี้ บา้ นเมอื งจกั เศรา้ สญู เสยี ดาย พระพุทธเจ้าท้ังหลายเทียรย่อมไว้ยังรอยปาทลักษณ์ที่ไกลบ้านไกลเมืองที่ต้ัง วรพทุ ธศาสนา จักต้งั ก้ำ� ท้ายเมืองและหวั เมือง ซะแล เมื่อพระพุทธเจ้าท้ังหลายได้ไว้จิตแก้ว กล่าวคือว่า รอยปาทลักษณ์ ท้ายเมืองเบ้ืองใต้นั้น เหตุพุทธศาสนาจักต้ังรุ่งเรืองในเมืองอันน้ันก่อน แล้วจีง อยายห่าง91 มาก�้ำใต้น�ำรอย๑ แล้วจงี เมอื ไว้รอยจติ แก้วก�้ำหวั เมอื ง พุทธศาสนา กต็ งั้ รุ่งเรอื งในเมอื งนนั้ แล้ว จงี อยายไว้ห่างไปหาจติ แก้วกำ�้ เมอื เหนอื แล ประเทศ ที่บ่อนรอยอันพระพุทธเจ้าได้ไว้กงจิตแก้วคือว่ารอยปาทลักษณ์น้ัน ก็ท่อตั้งเป็น บ้านเมือง คนทงั้ หลายอยู่เปน็ ปกติ ซะแล 90 “ซ่องหน้า” ต่อหน้า 91 “อยายห่าง” กระจายออก ตำ� นานอรุ งั คธาตุ 43
ดว้ ยแท้ เมอื งหนองหาญหลวงนี้ ครน้ั วา่ พระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายไดม้ าสมุ รอย ปาทลกั ษณ์ไว้น้นั แม่นเซ่นพญาตนใดได้เสวยราชในท่นี ้ันดังนน้ั พญาตนนน้ั สร้าง สมภารไดแ้ สนมหากปั ดว้ ยแลว้ ดาย แมน่ วา่ เมอื งหนองหาญนอ้ ยกแ็ มน่ ดงั่ เดยี วกนั เมือง ๒ อันน้ีเมื่อเกิดก็พร้อมกัน เมืองทั้ง ๒ อันน้ี เกิดด้วยเหตุแห่ง พระพทุ ธเจ้าทั้งหลายจกั เทียวกม็ ีแล ครั้นว่า สุดเซ่นพญาทัง้ ๒ ตน เมืองน้เี ทวดา แลนาคท้ังหลาย ฝูงรักษาหนองหาญหลวงหนองหาญน้อย ๒ อันน้ี จักให้น�้ำ ไหลนองท่วมราดหนองเป็นฟองฟาดเข้ามาหากัน ล้างยังรอยตีนพระพุทธเจ้า ทั้งหลายแล้ว ท่วมบ้านเมืองเสีย คนท้ังหลายจีงได้อยายกันอยู่เป็นบ้านแลนิคม น�ำแคมหนองเป็นปัจจันตเทศ จักเข้าไปเอาคองปฏิบัติ เอาเวียกบ้านการเมือง ในราชธานีท่ีพทุ ธศาสนาจกั ตง้ั อยู่รุ่งเรอื งนนั้ แล คร้ันว่า พระพุทธเจ้าท้ังหลายเข้าสู่นิพพานไปแล้ว อรหันตาเจ้าทั้งหลาย ย่อมจักได้เอาธาตุพระพุทธเจ้ามาถาปันนาไว้ใกล้แคมแม่น�้ำธนนทีนั้นชื่อว่า แม่ของห้ันแล เมอื งราชธานี พุทธศาสนาก็จักตง้ั รุ่งเรอื งนำ� แคมน้�ำอนั นนั้ แล เมืองเบื้องเหนือจักหล่ามาใต้ เมืองเบื้องใต้จักหล่าขึ้นเมือเหนือ เมืองอัน ต้ังอยู่ท่ามกลาง คอื ว่าเมอื งสุวรรณภูมนิ นั้ แวน92 ประเสริฐกว่า ๒ เมืองนัน้ อนั ตัง้ ทางใต้ทางเหนือนั้นห้ันแล เมืองท่ามกลางมีตบะเดชะมีอานุภาพอันกล้าคม ท้าวพญาฝูงมีบุญสมภารมากจักได้เกิดมาเสวยราชในเมืองอันกลางน้ัน ค้�ำชู พุทธศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าทง้ั หลายให้รุ่งเรืองมากแล คร้ันว่าหมดเซ่นพุทธศาสนา เมืองราชธานีที่แคมแม่น�้ำก�้ำเหนือก็จักหล่า ข้ึนเมือเหนือที่เก่า เมืองราชธานีอันจักเป็นท่ีพระพุทธเจ้าทั้งหลายบิณฑบาตดัง ศรีโคตรบอง กจ็ ักหล่าลงมาตั้งทเ่ี ก่า เมอื งราชธานีท่ามกลางคอื ว่าเมืองสุวรรณภมู ิ อันประเสริฐน้ัน เมืองหนองหาญนั้น ก็จักหล่ามาตั้งแคมหนองหาญท้ัง ๒ ดังเก่า เพื่ออยู่ถ้าพระพทุ ธเจ้าท้งั หลายตนจักมาภายหน้าแล ยามน้ัน ท้าวพญาฝูงมีบุญสมภารก็เกิดน�ำตามราชธานีนั้น ซะแล อันนี้ หากเป็นจารีตธรรมดาน�ำแคมแม่น�้ำธนนที พุทธศาสนาได้ต้ังแต่เบื้องเหนือแล เบ้ืองใต้ แลเบอ้ื งตะวนั ตก เบอ้ื งตะวนั ออก ใกล้แคมแม่น้�ำน้ันบ่หล่าบ่คา ซะแล ดรู า มหาราช พระตถาคตไดต้ รสั ร้ศู าสนานครนทิ านพทุ ธศาสนาดงั กล่าวมา แลว้ นน้ั จงี ไดว้ า่ บม่ คี นอยใู่ นเมอื งหนองหาญ เพอื่ อนั แล แมน้ วา่ มคี นอยใู่ นแคมหนอง 92 “แวน” มาก, ยง่ิ แวนประเสรฐิ คอื ประเสรฐิ มาก 44 ท่รี ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ประจ�ำปพี ุทธศกั ราช ๒๕๖๒
หาญทั้ง ๒ ดังน้ันก็ดี ท้าวพญาฝูงประเสริฐอันเป็นเอกราช จักต้ังอาณาคมเป็น พทุ ธศาสนาอนั ใหญก่ บ็ ม่ ที อ่ เปน็ แตป่ จั จนั ตเทศพทุ ธศาสนาตามกาลประเทศ หนั้ แล พญาสุวรรณภิงคารได้ทรงสดับฟังรัตนปัญหาก็ชมช่ืนยินดี มีหัวใจ ชุ่มชื่นบานด้วยพุทธกถาปิตปิ ราโมทย์ ก็ซาบอาบไปทัว่ ขันธสันดานทง้ั มวล พญา จักตัดยังหัวตนบูชารอยปาทลักษณ์พระพุทธเจ้า ว่าดังนั้น นางเทวีจีงห้ามไว้ว่า เมื่อมหาราชเจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ยังจักได้อุปัฏฐากบูชาสร้างบุญมากสืบไป ซะแล พญาได้ยนิ คำ� นางเทวหี ้ามไว้ จงี ปลดกระโจมหัวบูชาปาทลกั ษณ์ หั้นแล พระพุทธเจ้าจีงซ�้ำเทศนาว่าให้แจ้งแก่พญาเม่ือลุนว่า ดูรา มหาราช รอย ปาทลกั ษณ์อันพระตถาคตได้ไว้แก่พญานาคในกระดานหินใกล้แคมน้�ำใหญ่ชวั่ ช้าง ร้องและงัวบ่ได้ยินน้ัน เพ่ือว่าหมายจิตแก้วก้�ำหัวเมืองและท้ายเมืองอันจักเป็น ราชธานี พทุ ธศาสนาจกั ตง้ั รงุ่ เรอื งแวนยงิ่ กำ�้ ฟากแมน่ ำ�้ ฝา่ ยตะวนั ออก รอยปาทลกั ษณ์ อนั นน้ั พระตถาคตไดไ้ วเ้ หนอื กระดานหนิ ฝ่ายตะวนั ตกฟากแคมแมน่ ้�ำ เพอื่ วา่ หมาย กงจติ แก้วแก่พทุ ธศาสนามัชฌมิ อนรุ าชธานกี �้ำหัวเมอื งสบื เติมกนั ด้วยลำ� ดับ ครั้นว่า พระตถาคตจักไว้ยังรอยปาทลักษณ์ คือว่ากงจิตแก้วพุทธศาสนา ดงั นนั้ กไ็ ด้ไว้แต่กงจติ แก้วก่อนในฟากแม่นำ้� ตะวันออกกำ้� ซ้ายนั้นก่อน แล้วจงี ย่าง ข้ามแม่น้�ำมาไว้กงจิตแก้วฟากแม่น้�ำเบ้ืองตะวันตกก�้ำซ้ายเมือใต้ แล้วพระตถาคต จงี ยา่ งขา้ มแมน่ ำ�้ เกย้ี วคนื เมอื ฝา่ ยตะวนั ออกซา้ ยไปหนใต้ แลว้ หลงิ เหน็ อนั พญานาค จกั ขอ บค่ วรทส่ี มุ ไว้ พระตถาคตจงี อบุ ายเสยี ลางเมอื งอนั หมายกงจติ แกว้ เบอื้ งขวา นนั้ ไว้นน้ั ก่อน แล้วหนเี มอื ใต้ตามเซ่นซาย หลงิ เหน็ พญาปลาตวั น้อยบ่ควรไว้ ท่อแต่ อธษิ ฐานเปน็ แตร่ ปู จติ แกว้ คอื วา่ รปู รอยบาทลกั ษณไ์ วโ้ งน่ หนิ ฟากตะวนั ออกดง่ั เดยี ว แหง่ เมอื งอนั เหนอื เพอ่ื หมายเมอื งธานที พ่ี ทุ ธศาสนาอนั ปานกลาง จงี ยา่ งขา้ มแมน่ ำ้� เมือขวาฝ่ายตะวนั ตก ซ้ายเมอื หันใต้ไว้ยังกงจิตแก้วทง้ั ๒ ฟากแม่นำ้� ทภ่ี ูก�ำพร้าแล ต้นไม้รัง เต็งโลมสารูปจิตแก้วด้วยอธิษฐานไว้น้ัน เพ่ือว่าให้บ้านเมืองฝ่ายใต้แล พระพุทธศาสนาอ้อมข้ึนเมือเหนือ อย่าให้เป็นอนตายภายหน้าด้วยพระตถาคต จงี เกย้ี วคนื เมอื หากกกำ�้ ขวาแตเ่ คา้ จงี ไวย้ งั รอยกงจติ แกว้ ฝา่ ยตะวนั ตก อนั ไดห้ มาย ไว้กงจิตแก้วไว้แต่ก่อน นัน้ ซะแล ดูรา มหาราช รอยปาทลักษณ์อันพระตถาคตไว้กระดานหินในแม่นำ้� ใหญ่ อันบ่เห็นน้ัน เพ่ือให้ไหลหามาฮอดก�้ำใต้ ให้บ้านเมืองพุทธศาสนาก�้ำใต้ชุ่มเย็น ต�ำนานอรุ ังคธาตุ 45
โลมเต็ง93 อสัปปุริสพาลฝูงเป็นบาป มนุษย์มิจฉาทิฏฐิ อลัชชีทั้งหลาย เหตุเขา ฝงู นน้ั เปน็ เส้ยี นหนามอมงคลแก่พุทธศาสนาแลบ้านเมอื ง ซะแล อนั กพู ระตถาคต เลา่ ยงั จกั อธษิ ฐานไวร้ อยเกบิ ปาทลกั ษณข์ ม่ ไวใ้ นกระดาน หินท่จี อมดอยนนั ทกังฮขี ่มรอยในน้�ำนีบ้ ่อน ๑ แล ดรู า มหาราช พทุ ธศาสนาบา้ นเมอื งทนี่ นั้ จกั รงุ่ เรอื งดว้ ยพระสงั ฆเถรจกั เปน็ ใหญ่ ภายหน้าพุ้น ครัน้ ว่า ท้าวพญาตนมี ปุญญฺ วนฺโต สตฺตารโห เกดิ มแี ล ปรุ ิสาชคญญฺ า เกดิ มีมาก เขาฝงู นนั้ เทียรย่อมเปน็ มงคลแก่พระพทุ ธศาสนาบ้านเมืองแท้ซะแล รอยปาทลกั ษณ์อนั พระตถาคตทอ่ แตอ่ ธษิ ฐานไวโ้ งน่ หนิ ในน�้ำแกพ่ ญาปลาตวั นนั้ หมายพทุ ธศาสนาอนั เรอื งตามมชั ฌมิ ราชธานแี ตก่ อ่ นแล จกั ผอ่ นเสยี เมอ่ื ลนุ นน้ั แล รอยปาทลกั ษณอ์ นั พระตถาคตจกั อธษิ ฐานไวใ้ นกระดานหนิ อนั เปน็ ภนู อ้ ย เทงิ โบกโลน้ นน้ั อนั ใกลแ้ มน่ ำ�้ ใหญน่ นั้ ใหเ้ ปน็ ปาทพาหริ ปจจฺ นตฺ เพอื่ จกั มเี มตตา แก่นาคแลเทวดาฝูงมโี อฆะมะนะศรทั ธา จักขอเอานนั้ แล รอยอันพระตถาคตมาชุมสุมรอยไว้ในแผ่นดิน บัดนี้กระท�ำเป็นนิมิต ปาฏิหาริย์ เพื่อให้แจ้งแก่พญาผู้มีญาติวงศาอันเสี้ยงเสีย แลมีบุญท่ีได้สร้างสม ภารเสี้ยงแสนมหากปั แล้วแล ตามเซ่นนิมิต รอยอันนี้เหยียบไว้ในดินเปน็ คาดว่า บ่ต้งั อยู่เป็นปกตอิ ันนาน นนั้ แล รอยอนั พระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายไดซ้ อ้ นกนั ไวเ้ ทงิ ดอยสงู อนั ประเสรฐิ นน้ั เพอ่ื หมายเมอื งชุมพูทีปว่าเป็นมงคลแต่ปฐมกปั เหตวุ ่า พระพุทธเจ้าทง้ั หลาย บ่ห่อน เกดิ ในทปี ๓94 อนั นนั้ สกั เทอื แล เกดิ ทอ่ ชมุ พทู ปี อนั แล เหตดุ งั นนั้ พระเจา้ กเ็ หยยี บ ไว้หมายว่าให้เปน็ กงจติ แก้วโลมไว้ยงั ชุมพทู ปี ซะแล ดรู า มหาราช รอยบาทหมายจติ แกว้ ชมพทู ปี อนั มใี นเมอื งโยนกวตนิ ครเชยี ง ใหม่พุ้น ดอยอันประเสริฐ ช่ือว่า ดอยผารังรุ้ง พุ้น มีหินเป็นรูปสะเภางามยิ่งนัก พระพทุ ธเจ้าทงั้ ๓ ตน ไปฉนั ข้าวในท่นี ้ัน ก็ซ้อนรอยกัน อยุด95 ลงไว้ด้วยล�ำดับ ใน หินรูปสะเภาห้ันซุตนแล พระตถาคตไปบิณฑบาตในเมืองแพร่ อันเป็นที่บุราณ บณิ ฑบาตแหง่ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลายแตก่ อ่ นซตุ นดหี ลแี ล คนชาวเมอื งแพรท่ งั้ หลาย เห็น เอาข้าวแลปลาขาปลาซะเบียนไฟมาใส่บาตรพระเจ้าแล้วแล พระตถาคตเจ้า ก็ถอยหนี ก็จีงข้ึนไปสู่เทิงดอยเทพดอยไชยชุมพูทีป แล้วจีงลงเมือข้ึนไปดอย 93 “โลมเตง็ ” ทับ 94 ทีปทง้ั ๓ ได้แก่ อุตตรกุรทุ วปี ปพุ พวเิ ทหทวีป และอมรโคยานทวปี 95 อยุด แปลว่า ยุบลง ลดลงไม่เสมอกัน 46 ทรี่ ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ประจ�ำปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒
ผารังรุ้ง พระเจ้าเห็นรูปปลาขาปลาซะเบียนไฟมีในรอยปาทลักษณ์แห่ง พระพุทธเจ้าท้ัง ๓ ตนแต่ก่อน อันเปน็ อปหารยิ ธรรม พระตถาคตกบ็ ่ฉนั ยังปลา อันชาวเมืองแพร่ใส่บาตรให้ทานน้ัน พระตถาคตจีงอธิษฐานให้มีชีวิตซุตัว แล้วปล่อยไว้ในน้�ำท่ีนั้น ปลาท้ังหลายยังเป็นรอยไม้หีบคีบไม้ปี้ง96 ซุตัวดาย จกั ตงั้ อยเู่ ทา่ เสยี่ งกปั พนุ้ ดหี ลแี ล คนทง้ั หลายฝงู อยใู่ นเมอื งอนั นนั้ เหน็ ปลาขาปลา ซะเบียนไฟ รู้อปหาริยธรรม ย่อมเคารพอย�ำแอยง97 รักษาท่ีน้ันเอาน�ำมาบ่กิน ยังปลาขาแลปลาซะเบยี นไฟ แม้นว่าได้แล้ว เจาะใส่หวั ปล่อยเสียดีหลี ซะแล พระตถาคตฉนั ข้าวแล้ว มพี ญานาคตวั หน่งึ อยู่รกั ษาทน่ี นั้ เอาน้�ำมาให้ฉัน แลขอเอายังรอยไว้รักษา พระตถาคตจีงย่�ำซ้อนไว้ด้วยล�ำดับ รอยพระพุทธเจ้า กกุสันธะ ยาว ๓ วา ลวงขวางวา ๑ รอย พระโกนาคมเจ้าแลพระกัสสปะเจ้า ยาวแลขวางวา ๑ นั้นด้วยล�ำดับ รอยพระตถาคตยาววา ปลาย ๓ ร่องอก น้อยแลส้ันกว่าซุองค์แล พระเมตไตรยตนจักมาถ้วน ๕ นั้น จักได้ย่�ำเทิงเต็ง ทั้งมวล รอยนนั้ ก็ยงั จักเห็นทั้ง ๕ รอย ซะแล ผู้มีปัญญาค่อยพจิ ารณาดู อธบิ าย บ่อนว่าเทิงเตง็ แล้ว ยังเห็นรอยทง้ั ๔ นนั้ เทอญ พญาสุวรรณภิงคารและราชเทวี ได้ยินปาทลักษณ์แลอปหาริยธรรม อันพระพุทธเจ้าเทศนาแล้ว ชมช่ืนยินดี จีงสร้างอูบมุงหินโลมรอยปาทลักษณ์ อนั สมุ แลกระโจมหวั นน้ั ไว้ จงี เรยี กชอ่ื วา่ พระธาตเุ ชงิ สมุ 98 มาเทา่ กาลบดั นี้ หน้ั แล ยามน้นั พระพุทธเจ้าซำ้� เทศนาให้แจ้งแก่พญาว่า ทอ่ี ันใด พระตถาคตได้ลงจากอากาศ แล้วเสด็จไปสถติ กลางแก่ง เห็นยงั เหตอุ ันใดอนั ๑ แลได้กระท�ำนวยนน้ั เป็นกงจติ อนั ๑ ท่ใี ด พระตถาคตได้ไปฉันข้าวในร่มไม้นนั้ เป็นกงจติ แก้วอันหนึง่ กงสองอนั น้ี โชติเจดีย์ พทุ ธศาสนาจกั รุ่งเรอื งประเสรฐิ ที่ใด พระตถาคตได้ไปไสยาสน์ บิณฑบาตมาฉันข้าวที่ใด ท่ีน้ันเป็นกงจิต แก้วอนั ๑ แหง่ พระพทุ ธเจ้าทงั้ หลายประเสรฐิ นกั เสมอดง่ั ดอยสงิ คตุ รแท้ดหี ลแี ล ที่ใด พระตถาคตทรงบาตรไปยืนองิ ต้นไม้นั้นก็เปน็ กงอนั ๑ แล ครั้นว่า พระตถาคตได้หมายกงจิตแก้วที่ใด ภายหน้าพุ้น เจดีย์โชติก็จัก เกิดมี ซะแล 96 “ไม้หีบไม้ปิ้ง” ไม้ตบั ย่างปลา 97 “อย�ำแอยง” ย�ำเกรง 98 พระธาตเุ ชงิ ชุม จงั หวัดสกลนคร ตำ� นานอรุ งั คธาตุ 47
ดูรา มหาราช เจดีย์อันก่อโลมปาทลักษณ์อันสุมบัดน้ี เป็นปัจจุบันนา อัปปโชตเิ จดีย์ บ่รุ่งเรอื งภายหน้าแล พระพทุ ธเจา้ เทศนาแกพ่ ญาสวุ รรณภงิ คารดงั นแี้ ลว้ จงี เสดจ็ ขนึ้ ดอยอนั ๑ โขงในเปน็ ดงั คหู า แมน่ วา่ คนทง้ั หลายขนึ้ เทงิ ดอยอนั นน้ั คอ่ ยเหน็ หนองหาญหลวง หนองหาญน้อยเป็นเค้า แลค่อยเหน็ เมอื งศรโี คตรบองหน้ั แลภูก�ำพร้า กม็ แี ล พญาสวุ รรณภงิ คารจงี ใหส้ งั วาลทองคำ� อนั มคี า่ หนกั สามแสนแจกเปน็ ทาน แกค่ นทงั้ หลาย ฝงู มกี ำ� ลงั อาสาสรา้ งกอ่ แทน่ ดว้ ยหนิ มกุ เปน็ ปจั จบุ นั แลว้ เทยี วพลนั นัก พระพทุ ธเจ้าจงี เสดจ็ ขึน้ แท่นอันพญาให้นนั้ แล้วจงี ระลกึ ถงึ มหากสั สปะเถร ยามนน้ั มหากสั สปะเถรเจ้ากม็ าเฝ้าพระพทุ ธเจ้าบดั นน้ั แล้ว พระพทุ ธเจ้า จีงเทศนาเป็นบาลวี ่า อรุ งคฺ ธาตกุ กสสฺ ปฺปคริ ิ อปฺปตตฺ รา ดงั น้ี แล้วอว่ายหน้า สำ� เพาะเมือภกู ำ� พร้า จีงสง่ั ว่า ดรู า มหากัสสปะเถรเฮย ในกาลเม่ือพระตถาคต นิพพานแล้ว ท่านจงเอาอุรังคธาตุพระตถาคตมาไว้ภูก�ำพร้าอันน้ันเทอญ อย่า ไลละปะค�ำแห่งพระตถาคตส่ังไว้นี้เสียเทอญ มหากัสสปะเถรเจ้าก็ชมช่ืนยินดี เลกิ ขึ้นยงั องั คชุลี ว่า สาธุ สาธุ ดังนแ้ี ล้ว ก็จงี หนีไปสู่ทีอ่ ยู่แห่งตน ก็มีแล ยามนั้น พระพุทธเจ้าจีงเสด็จคืนมาสถิตท่ีภูกูเวียนหั้นแล มีค�ำปุจฉาว่า พระพุทธเจ้าคืนมาสถิตภูกูเวียนหั้นเหตุสังจา วิสัชนาแก้ว่า พระพุทธเจ้าคืนมาสู่ ภูกูเวียน เหตุพระพุทธเจ้าไป่ได้ไว้กงจิตคือว่ารอยปาทลักษณ์ท่ีภูเขาลวง จีง คนื มาเพ่ือจักเมตตาแก่สวุ รรณนาคแลกทุ โธทปาปนาคนนั้ เปน็ ต้นแล บ้นั ที่ ๖ อดีตนิทาน พระปรเมศวรตง้ั พระพานเปน็ ใหญ่ ยังมีอดตี นทิ านอนั ๑ แต่ก่อน เมื่อพระพทุ ธเจ้าโคตมเฮาไป่ได้เกิดมา เท่ือ นน้ั ยงั มพี ญานาคตวั ๑ ชอ่ื วา่ สวุ รรณนาค เกลด็ เปน็ คำ� ทงั้ มวลอยใู่ นทอี่ นั นน้ั นาค ตวั นน้ั อยใู่ นทใี่ ดกด็ เี กลด็ นน้ั หลน่ ตกบอ่ นใดกด็ ี กเ็ กดิ เปน็ บอ่ คำ� ในทบ่ี อ่ นนน้ั ทกุ แหง่ ดายแล พญานาคตวั นม้ี ฤี ทธอี านภุ าพมากนกั ฉนั นี้ ไดเ้ ปน็ ใหญแ่ กเ่ มอื งสวุ รรณภมู ิ อนั ตง้ั หน้ั ก่อนนนั้ แล อนั ชอื่ ว่า เมอื งสวุ รรณภมู ิ น้ี เอาเหตนุ าคตวั นน้ั มาว่า ซะแล ยามนั้น พระปรเมศวรจากเมืองอินทปัตถนครมาเป็นใหญ่แก่บ้านเมืองเมื่อ ลุนที่น้ี บ่สักการบูชาเล้ียงดูแลพญานาคตัวช่ือว่าสุวรรณนาค พญานาคตัวน้ันเคียด จีงให้น้�ำท่วมบ้านเมืองเสีย คนทั้งหลายจีงเมือไหว้บอกพระปรเมศวรให้รู้แจ้งยังเหตุ อันนั้น จีงใช้ให้คนผู้มีฤทธีไปว่าแก่พญานาคว่า ดูรา นาค เมืองอันนี้พระปรเมศวร หากมาเป็นใหญ่แล้ว จงี ให้เป็นเมอื งพระพานแล 48 ที่ระลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ประจำ� ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒
วา่ ฉนั น้ี พญานาคกจ็ งี เคยี ดวา่ พระปรเมศวรบร่ จู้ กั เกลด็ นำ� ตวั กลู อื กบู ต่ าย มากุมคอถากเอาเกล็ดสังดาย ครั้นว่าอยากได้เมืองให้พระปรเมศวรมาเล็ว99 กดู กู อ่ นเทอญ ครนั้ วา่ แพก้ ยู ามใดจงเอาเมอื งเทอญ กจู กั เวยี นเปน็ ภเู ปน็ ดอยออ้ ม ไว้ให้เปน็ เวยี งเมอื งพระกงพานซะแล วา่ ฉนั น้ี คนใชผ้ นู้ น้ั กค็ นื มาคอบ พระปรเมศวรแจง้ จงี ใชไ้ ปถามสวุ รรณนาค ดวู ่า ราทง้ั ๒ จกั ไปเลว็ กันทใ่ี ดจา พญานาคว่าจักเล็วกันทางอากาศพุ้นเทอญ ว่าดังนี้ ตัวพญานาคก็บ่ได้เมือเล็วกัน ท่อกระท�ำอิทธิฤทธิ์ข้ึนเมือเล็วหั้น แล พระปรเมศวรถอื ดาบขรรค์ชัยศรเี ข้าไปตัดหวั พญานาคหัว ๑ เกิดเป็น ๒ หัว ตดั ๒ หวั ขาดกเ็ กดิ เป็น ๓ หวั ตัด ๓ หัวขาดก็เกดิ เปน็ ๔ หัว ตัด ๔ หวั ขาดก็เกดิ เปน็ ๕ หัว บ่น้อยเลยคาดคล้อยขน้ึ ตราบต่อเท่าเถงิ ร้อยหวั เถงิ พันหัว ห้ันแล ยามน้ัน พระปรเมศวรแค้นอดิ หวิ เสีย จงี ลงมาเซาตงั้ อยู่ ถดั นนั้ เล่ายังมหี ลานชายแห่งพญาสวุ รรณนาคนนั้ ตวั หนึ่ง ชื่อว่า กทุ โธท ปาปนาค แฮงมักบาปแฮงมักเคียดเกลื่อนเพพังยังบ้านเมืองท่านหล่มหลุบเพ ไปเสยี นน้ั แล กทุ โธทปาปนาคกเ็ คยี ดแกพ่ ญาสวุ รรณนาคกนั แตก่ อ่ นนนั้ แล จงี มา บอกแก่พระปรเมศวรว่า อนั สวุ รรณนาคเลว็ กนั เทงิ อากาศนนั้ ด้วยอทิ ธฤิ ทธดี อก ดาย ตวั ทา่ นหากนรี มติ เปน็ งนู อ้ ยตวั หนง่ึ อยลู่ มุ่ พ้ี ซะแล แมน่ วา่ เลว็ กนั ลว่ งอากาศ น้ันสิ่งใดก็ดี บ่มีรู้แพ้ท่านสักเทือแล ครั้นว่า แพ้ตัวงูน้อยอยู่ลุ่มพ้ีแล้ว อันว่า อิทธิฤทธเี ทงิ อากาศพุ้นก็จกั ระงบั กลับหายไปหมดเสยี แล พระประเมศวรจงี แจง้ คำ� รหสั ดงั นแี้ ลว้ จงี เอาจอนฟอนดอ่ น100 มาสบดว้ ย มนต์ใส่ ให้ขึ้นเมือเล็วเทิงอากาศด้วยฤทธีต่างตัว ปรเมศวรจีงมาผก101 อยู่ลุ่ม ที่น้ัน ก็จีงเห็นสุวรรณนาคนิรมิตเป็นงูน้อยตัวหนึ่งโก่งหลังอยู่แคมน้�ำตีนดอย ท่ีหว่างภูหั้นแล พระปรเมศวรจีงถือเอาขรรค์ชัยศรีเข้าไป สุวรรณนาคเห็นไส่ใจ ว่าพญาปรเมศวรแพ้ฤทธีแห่งตัวแล้วจีงลงมา สุวรรณนาคละเพศอันเป็นงูน้อย น้นั เสีย จงี เข้ามาโยม102 ขาบไหว้พระปรเมศวร หนั้ แล ทน่ี ั้น พระปรเมศวรจงี แกว่งดาบศรขี รรค์ชยั เข้าไปหาพญานาคว่า กูเวียน กูเวยี น ดังน้ี 99 “เล็ว” รบ 100 “จอนฟอนด่อน” พังพอนเผอื ก 101 “ผก” แอบซ่อน 102 “โยม” ยอม ตำ� นานอรุ ังคธาตุ 49
พญาสุวรรณนาคจีงคิดฮอดค�ำสัจจะแต่เก่า ว่ากูเวียนเป็นภูเป็นดอยไว้ ฉันนี้แต่เค้า จีงมาออกเวียนด้วยฤทธี อธิษฐานให้เป็นภูเป็นดอยอ้อมเมือง สวุ รรณภมู ิ เปน็ เมอื งกงพระพานไว้หน้ั แล ภบู ่อนนน้ั จงี ได้ชอ่ื ว่า ภกู เู วยี น เพอื่ หนั้ แล คำ� อนั วา่ ภกู เู วยี น แลคำ� อนั วา่ บร่ จู้ กั เกลด็ นำ� ตวั กบู ต่ ายมากมุ คอถากเกลด็ สงั ดาย ว่าน้นั อันค�ำอนั นเ้ี ป็นค�ำพญานาคตัวนนั้ หากกล่าวไว้ คนทงั้ หลายเคียด แก่กนั เทยี รย่อมเอาค�ำอันนนั้ มาอ้างแก่กนั เท่ากาลบัดน้ี หน้ั แล แต่น้ัน พระปรเมศวร แลพระนารอทรัสสี จีงปลุกพระพานเป็นใหญ่ ในทนี่ ้ัน หน้ั แล ปางเมื่อยามนั้น บารจีงมาซูดเอานางอุสา พระพานเล่าเคียด สุวรรณนาค มคี ำ� วติ กกจ็ งี อบุ ายออกมาชว่ ยพระพานดว้ ยบงั ลบั ขน้ึ ไป จงี เมอื เกยี้ วเอาบารดลงจาก ปราสาทนางอสุ า ให้พระพานขังไว้ก่อนแล แต่นั้นเป็นเหตุ พระปู่นารายณ์จีงสวดธิยายมนต์เป่าหอยสังข์เรียกเอา พญาครฑุ มาข่ขี ึ้นไปยาด103 เอาบารดได้แล้ว ก็จักมาสู้เลว็ พระพานแล สวุ รรณนาคจงี มาบอกพระพานใหต้ ง้ั พลเศกิ 104 เพยี งกระดานหนิ ทา้ ยเวยี ง เบอ้ื งใต้นนั้ เล่าไปบอกแก่บารดให้ว่าแก่พระกดึ พระนารายณ์ ให้ต้งั พลเศกิ เวยี น นำ� แคมแมน่ ำ้� บอ่ นทอ่ี ยแู่ หง่ สวุ รรณนาคหน้ั แล แลว้ ใหพ้ ระกดึ นารายณข์ น้ึ เมอื เทงิ ภกู เู วยี นยงิ อย่าได้ให้ถกถอด105 พลเศิกอนั ตงั้ นัน้ เทอญ หากจักมีชยั บ่อย่าซะแล ว่าดงั น้ีแล้ว สวุ รรณนาคเล่าหนคี นื มาเวียงอยู่ช่วยพระพานด้วยบงั ลบั แล ใกล้เม่ือจักเล็วกันน้ัน บารดจีงว่าแก่พระกึดนารายณ์ตนปู่ โดยด่ังพญา สุวรรณนาคหากบอกนั้นซุประการแล พระกึดนารายณ์จีงกระท�ำตามความบา รดบอกน้ัน พระปู่เจ้าตั้งทัพไว้เวียนน�ำแคมแม่น้�ำอันนี้แล้ว ขึ้นอยู่เทิงภูกูเวียน ยิงลัดเบ้ืองเทิงเทอญ พระกึดนารายณ์กระท�ำตามค�ำบารดบอกแล้ว ก็จีงยิงถูก พระพานซะเด็น106 ตกจากรถ บารดจงี ยิงปืนไปเอาพระพานขน้ึ ห้อยรถไว้หน้ั แล ส่วนบ่อนเลวกันอันนนั้ จีงว่า แก่งซาก มาเท่ากาลบดั น้ีแล น้�ำบ่อนอันทีส่ ุวรรณ นาคอยู่นนั้ จีงว่า ปูเ่ วียน ด้วยเหตุอันนนั้ ซะแล พระปรเมศวร พระนารอทรัสสี ก็ยังกล่าวไว้ว่าบ่อนที่นี้เป็น อาสพฺพณฺฐาน อัน 103 “ยาด” แย่งชงิ 104 “พลเศกิ ” พลศกึ 105 “ถกถอด” เคล่ือนย้าย 106 “ซะเดน็ ” กระเดน็ 50 ท่รี ะลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจ�ำปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒
ประเสรฐิ ผวิ ต์ งั้ รวั้ เวยี งทน่ี ้ี รอ้ ยเอด็ เมอื งมาเอากบ็ ม่ ไี ดซ้ ะแล แขงวา่ พระพานบเ่ ปน็ ราชวงศา แห่งพระปรเมศวร ส่วนสวุ รรณนาคเล่ากจ็ กั ช่วยพระพานให้แพ้พระกดึ นารายน์ หัน้ แล อนั หนง่ึ แวนวา่ พระพานบอ่ อกนอกเวยี งเลว็ ตามความสวุ รรณนาคนน้ั แล ตง้ั อยใู่ นเวยี งอนั เปน็ อาสพพฺ ณฐฺ าน ประเสรฐิ นน้ั แทแ้ ลว้ จงี เลว็ พระกดึ นารายณ์ กบ็ ่อาจจกั แพ้พระพานได้ หนั้ แล กล่าวบั้นพระปรเมศวร บัน้ พระพานเปน็ ใหญก่ ็แล้วท่อน้ีแล บน้ั ที่ ๗ ปาทลกั ษณท์ ่ีภูกเู วียน พญานาคตัว ๑ เป็นเทวนาคามหิทธิกา แลกับท้ังกุทโธทปาปนาคตัวหลาน สุวรรณนาคน้ัน กุทโธทปาปนาคนี้คันมันเคียด มันเทียรย่อมประกอบด้วยโกรธะ จกั เกลอ่ื นเพพทุ ธศาสนาบา้ นเมอื งเสยี ภายหนา้ จกั เสยี พทุ ธศาสนา พระพทุ ธเจา้ หลงิ เห็นเหตุดังนี้ จีงเวียนคืนมาสั่งสอนนาคตัวช่ือว่าสุวรรณนาค กุทโธทปาปนาคให้ได้ ตัง้ อยู่ในสรณาคมน์ เพ่ือให้รักษาพทุ ธศาสนาอันจกั ตั้งกบั ทัง้ เมืองภายหน้าซะแล คร้ันว่า พระพุทธเจ้ามาสถิตท่ีภูกูเวียน ก็เปล่งรัศมีออกให้เข้าไปใน เมืองนาคทปี่ ู่เวียนน้นั ยามนนั้ สุวรรณนาคเหน็ รัศมอี อกจากนำ้� ข้นึ อยู่สูง จงี ออก มาเป่ามนต์พิษเป็นควันข้ึนมืดมัวท่ัวภูกูเวียนอันนั้นท้ังมวล พระพุทธเจ้าจีงเข้า เตโชธาตเุ ปน็ ลำ� ไฟเกยี้ วสวุ รรณนาคซะเดน็ ตกนำ้� ปเู่ วยี นนน้ั เตโชไฟฤทธพี ระพทุ ธเจา้ บ1ุ 07 แตพ่ น้ื นำ้� เปน็ แปว108 ลกุ ขนึ้ มาไหมก้ มุ เกยี้ วกวมเมอื งนาค แผไ่ ปฮอดหนองบวั บาน ที่อยู่แห่งกทุ โธทปาปนาค แม่นหนองอันนางอุสาเกดิ แต่ก่อนนั้นหัน้ แล นาคทง้ั หลายกม็ าเตา้ โฮมกนั มากนกั ออ้ มภกู เู วยี นไว้ พระพทุ ธเจา้ เขา้ ธรรม ภาวนาอยู่ นาคทงั้ หลายกระทำ� อทิ ธฤิ ทธใ์ิ ห้เปน็ ล�ำไฟใส่พระเจ้า ก็กระดอนม้วย คนื มาไหม้นาคทง้ั หลาย แล้วเกดิ เป็นดอกไม้ดวงงามนัก บูชาพระพทุ ธเจ้าแล นาคทั้งหลายจีงวงอ้อมไว้ ให้กุทโธทปาปนาคเกล่ือนเพบ้านเมืองภูกูเวียน ลง พระพุทธเจ้าเข้าปฐวีธาตุ แผ่นดินหินผาท่ีอันพระพุทธเจ้าอยู่สถิตนั้น เล่า กระด้างแข็งเป็นแท่นเป็นก้อนอันดีอันงาม นาคท้ังหลายกระท�ำฤทธ์ิใส่เป็นหลาย เท่ือหลายที แค้นอิดหิวเสีย เล่าซ้�ำกระท�ำฤทธีเป็นไฟก็ดีไส่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเข้าวาโยธาตุลมเล่าเป่า หากไปไหม้นาคทัง้ หลาย 107 “บุ” โผล่ข้นึ ทะลขุ ึ้น 108 “แปวไฟ” เปลวไฟ ตำ� นานอุรังคธาตุ 51
พระพุทธเจ้าเสดจ็ ข้นึ สู่อากาศ นาคทงั้ หลายโก่งหลงั ขน้ึ ด้วยฤทธี เป็นหมู่ นาคขึ้นน�ำอ้อม พระพุทธเจ้าจีงนิรมิตรให้เป็นหัวนาคขาด ตกลงจากหัวนาค ท้ังหลายฝูงโก่งหลงั ข้นึ นัน้ ด้วยฤทธี ยามน้นั นาคทั้งหลายย่านกลวั หวั สนั่ ยงิ่ นกั พระพทุ ธเจ้าจงี ลงมาสถิตอยู่ ดงั เก่า นาคทงั้ หลายเห็น จงี พร้อมกันเข้าไปใกล้ พระพทุ ธเจ้าจงี แผ่เมตตาพรหม วหิ ารใหแ้ กน่ าคทงั้ หลาย พระพทุ ธเจา้ กลา่ ววา่ ทา่ นทงั้ หลายจงเขา้ มาบรรเทาเอา เสียยังพยาธิตุ่มฝี คือว่า โกรธะ มานะ อันเกิดในหัวใจแห่งท่านทั้งหลายอันเจ็บ ปวดนนั้ เสยี บดั นเี้ ทอญ กพู ระตถาคตจกั ยาใหห้ ายพยาธติ มุ่ ฝฝี งู นน้ั ซะแล นาคทงั้ หลายไดย้ นิ พทุ ธกถาคำ� จาอนั นน้ั มหี วั ใจอนั ชน่ื บาน พรอ้ มกนั เขา้ มาขาบไหวแ้ ทบ บาทแห่งพระพุทธเจ้า พระพทุ ธเจ้าจงี ตรสั เทศนาว่า อโกเธน ชเิ นโกธํ พทุ ฺธวเิ สยฺโย อจินเฺ ตยโฺ ย อิทธฺ ิวเิ สยโฺ ย โลเก อจนิ ฺ เตยโฺ ย กมมฺ วปิ าโก อจินฺเตยโฺ ย อสาเร สารมตฺตโิ น พุทธฺ มงฺคลํ โลเก ดรู า นาคทงั้ หลาย บคุ คลผมู้ ฝี ใี นหวั ใจ คอื วา่ โกรธกรรมคำ� เคยี ดนน้ั ตนเทยี ร ย่อมถอยจากประโยชน์ท้ังมวลแล บุคคลผู้บ่มีโกรธกรรมค�ำเคียดน้ัน เทียรย่อม ประจญแพ้บุคคลผู้มโี กรธะนนั้ เป็นดังฝีอันปวดเจ็บซว่างพ้นประหมาณนน้ั ซะแล (อันหนึ่ง) พุทธวิสัยแห่งพระพุทธเจ้าท้ังหลายน้ี บ่รู้เส้ียง บุคคล ทง้ั หลายผู้ใด บ่มอิ าจจกั คดิ ฮอดสอดทั่วได้ดหี ลี เป็นทอี่ ศั จรรย์ อัน ๑ อิทธิวิสัย ฤทธีแห่งพระพุทธเจ้าท้ังหลายเป็นที่อัศจรรย์ อัน บุคคลท้ังหลายผู้ใดในโลกน้ี บ่ห่อนแพ้ฤทธีได้สักเท่ือ จักเทียมมาตาแต่ส่วนเส้ียว ๑ ได้ดีหลี เปน็ ดังสทู ่านทงั้ หลายกระท�ำยทุ ธกรรมกบั ด้วยกู พระในกาลบัดนแี้ ล (อันหน่ึง) โลกอันน้ีเป็นท่ีเกิดแห่งสัตว์ทั้งหลาย บ่รู้สุดรู้เสี่ยงแห่ง ค�ำทกุ ข์สักเทื่อ เปน็ ทีอ่ ัศจรรย์ กค็ วรบุคคลติคนิงอันใด อนั หนงึ่ กรรมวบิ าก อนั สทู า่ นทง้ั หลายไดเ้ กดิ มาเปน็ นาค มอี ายยุ นื เส้ียงกัป บ่เกิดเป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นเทวบุตร เป็นเทวดา เป็นคน สักเทื่อ กบ็ ่ได้กระท�ำกรรมอันใด อนั ให้ดับเสยี ยงั คองทกุ ข์อนั นน้ั ก็เป็นอัศจรรย์ อนั หนง่ึ บคุ คลเพิงกระทำ� ติคนงิ ได้แล้ว อนั เป็นแก่นเปน็ สาร สทู ่าน ท้ังหลายมาใส่ใจว่าบ่เป็นแก่นเปน็ สาร อันบ่เปน็ แก่นเป็นสาร สทู ่านท้งั หลายใส่ใจ ว่าเปน็ แก่นเปน็ สารสงั จา อกศุ ลวบิ ากกรรมอนั นน้ั สทู ่านทงั้ หลายอย่าได้หวงแหน ครอบงำ� อำ� แผน่ ดนิ และมคี ำ� เคยี ดโกรธะมานะแตก่ อ่ นนนั้ ตายจงี ไดม้ าเกดิ เปน็ นาค หวงแหนแผ่นดินอยู่ มอี ายเุ ส้ียงกัปนี้ เพื่ออันแล 52 ท่รี ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจ�ำปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒
สูท่านทั้งหลาย จงค่อยปัวยังฝี คือว่าโกรธะมานะในหัวใจให้ดี อย่าได้ ครอบง�ำยงั จติ ใจได้เทอญ บ่เป็นกรรมอันประเสรฐิ บ่เปน็ มงคลสักอนั ซะแล เป็นมงคลแลประเสริฐในโลกนี้ ท่อแต่พระพุทธเจ้า แลพระธรรมเจ้า พระสงั ฆเจ้า รตั นภาวะเป็นแก้ว ๓ ประการ นน้ั แล พระเจ้ากล่าวว่า ดูรา กุทโธทปาปนาค แต่นเี้ มือหน้า ท่านอย่าได้พานาค ทงั้ หลายเกล่อื นพงั เพบ้านเมอื งเสียเทอญ ยามนนั้ นาคทง้ั หลายกไ็ ดต้ ง้ั อยใู่ นสรณาคมณ์ คมณนาคทงั้ หลายกช็ มชนื่ ยนิ ดปี ิติ กข็ อเอารอยปาทลกั ษณ์ไว้รักษาไหว้นบ พระพทุ ธเจ้าจงี อย่ำ� ไว้กระดาน หนิ เทิงภกู ูเวยี น ถดั กันกับรูอยู่สุวรรณนาคนน้ั ห้ันแล พระพุทธเจ้าซ�้ำอธิษฐานรอยปาทลักษณ์ไว้แก่กุทโธทปาปนาคตัวอยู่หนอง บวั บาน ทนี่ างอสุ าเกดิ นนั้ รอยหนง่ึ ไวใ้ นกระดานหนิ แล พระเจา้ ซำ้� อธษิ ฐานไวแ้ กน่ าค ทัง้ หลายฝงู มชี ่ือบ่ปรากฏน้นั ๒ รอย ในกระดานหนิ เทงิ ภูดอยโพนโบกโล้น หน้ั แล บ้ันท่ี ๘ ปาทลักษณท์ ่ดี อยนนั ทกงั ฮี พระพทุ ธเจา้ จงี เสดจ็ เมอื ไปสดู่ อยนนั ทกงั ฮี พนุ้ แล ดอยนนั ทกงั ฮอี นั นน้ั เปน็ ท่ีอยู่แห่งนางนันทกังฮีผียักษ์แต่ก่อนแล ยังมีนาคตัวหน่ึงเจ็ดหัว ชื่อว่า สีสาสตั ตนาค ก็เข้ามาไหว้ขอให้ไว้รอยปาทลักษณ์ในนนั ทกงั ฮหี ้นั พระพทุ ธเจ้า บ่ย่�ำ พระเจ้าจีงย่างข้ามลงมาอยู่ข้างตีนดอยก�้ำขวา พระจีงกระท�ำ หสิตุปฺปาทกมฺมา อันแย้มหัวให้เป็นเหตุ เจ้าอานนท์จีงไหว้ถามให้แจ้งว่า สัพพัญญกู ระท�ำ หสิตุปฺปาทกมฺมา เหตุใดกข็ ้าจา พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ดูรา อานนท์ พระตถาคตเห็นนาคเจ็ดหัวเป็นเหตุ ภายหน้าพ้นุ เมอื งอนั หนงึ่ จกั เกดิ มที นี่ ้ี ชอ่ื ว่า เมอื งศรสี ตั ตนาค ตามชอ่ื แห่งนาค ตัวนี้แล ด้วยนาค ๗ หัวตัวนี้เป็นนิมิตร เมืองศรีสัตตนาคอันพญานาคให้สวัสดี แก่พญาจันทบุรพี ุ้นแล สืบ ๆ แต่นนั้ มาหลายเซ่นหลายปาง เล่าจกั เปล่าสูญเสีย แต่สดุ เซ่น นน้ั แล มาเถิง พญาทุคคตะไหลน้�ำอันพระตถาคตหากได้กระท�ำนวยแต่หลัง นนั้ แล พญาทุคคตะตนนน้ั จักได้มาเกดิ ได้เสวยราชสมบัตบิ ้านเมืองศรสี ตั ตนาค อนั นแ้ี ล จกั ไดต้ ง้ั ไวย้ งั พทุ ธศาสนาเปน็ อนั รงุ่ เรอื งนกั แลว้ พญาตนนนั้ อนั ประกอบ ด้วยกามราคะตัณหามาก ก็ควาไปกระท�ำมิจฉาจารกรรม กระท�ำโทษแก่ตน จกั ควาไปจุตติ ายต่างประเทศหน้ั แล ต�ำนานอรุ งั คธาตุ 53
ยามน้ัน พุทธศาสนาบ้านเมืองจักหล่าคาไปต้ังในเมืองพญาจันทบุรีพุ้น กับท้ังท้าวพญาฝูงมีบุญสมภาร จักเกิดมีมาเสวยราชในเมืองจันทบุรีอันน้ันแล สังฆเถรจักได้เป็นใหญ่เป็นประธาน อยู่เสวยสุขส�ำราญเป็นสมณราชาคณะ ในเมืองที่น้ี รักษาสบื พทุ ธศาสนา ซะแล ผิว่า พระตถาคตไว้รอยปาทลักษณ์เทิงดอยนันทกังฮี ภายหน้าแล พุทธศาสนาบ้านเมืองก็บ่เกิดมีในที่นี้ จักสูญเศร้าเปล่าเสีย เหตุว่า ศรีสัตตนาค จักทัวรเทียวไปมารักษาหวงแหนยังดอยนันทกังฮีอันนี้แล พระตถาคตก็บ่ย�่ำ ไว้เพือ่ อนั แล เมื่อศรีสัตตนาคได้ยินจีงสมมุติดอยนันทกังฮีอันว่านั้นว่าเป็นหอน109 แห่งตน ถวายไว้บูชาพระพุทธเจ้าแลพทุ ธศาสนาอันจกั มาภายหน้าพุ้น หัน้ แล พระพุทธเจ้า จีงเมตตาลงไปไว้รอยปาทลักษณ์ในน�้ำแห่งแผ่นหินที่คน ท้ังหลายบ่อาจเห็นได้ เค่ิงแปวน�้ำข้างซ้ายดอยหั้นแล้ว พระเจ้าจีงเสด็จข้ึน ดอยนนั ทกังฮี อธษิ ฐานเปน็ รอยเกบิ 110 ปาทลักษณ์ไว้ วางเตง็ หอนนาค เพ่อื บ่ให้ ทา่ นทา้ วพญานาคทน่ี น้ั ประกอบดว้ ยคำ� วา่ ยทุ ธกรรม จกั แพพ้ ทุ ธศาสนาบา้ นเมอื ง ซะแล พระพุทธเจ้าจงี คืนมาอยู่ในป่าเชตวันอารามดงั เก่า กล่าวปาทลกั ษณน์ ิทาน กแ็ ล้วหมดแตท่ ่อนกี้ อ่ น ซะแล 109 “หอน” หงอน 110 “เกบิ ” รองเท้า 54 ทรี่ ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจ�ำปีพุทธศักราช ๒๕๖๒
อรุ งั คธาตุนิทาน บ้นั ที่ ๙ พระตถาคตนิพพาน ที่นี้ ยังมีในกาลคาบอันหน่ึง หมูง้วนก็เกิดมาเถิงแก่พระพุทธเจ้าแล พระเจ้าจงี ถามเจ้าอานนท์ว่า ดูรา อานนท์ วหิ ารหลังเก่ายงั อยุดอยา111 อยู่ก่อน ดีบ่จา เจ้าอานนท์ว่า ปลูกใหม่อยู่ดีก็ข้าแล พระพุทธเจ้าจีงว่า พระตถาคตจัก นิพพานแล้ว เมืองใดแคว้นใหญ่จา เจ้าอานนท์ขานว่าเมืองราชคฤห์ใหญ่แล พระพุทธเจ้าจีงว่า พระตถาคตจักไปนิพพานในเมืองกุจฉินาราย112 แล เหตุว่า เราไป่ได้เมตตาสังคหะยงั พราหมณ์ผู้หน่งึ ห้ันแล เมอื งอนั นม้ี พี ราหมณ์ผู้ ๑ ชอื่ ว่า โสตถยิ พราหมณ์ เอาหญ้าคาเขยี วแปดกำ� มาปู ให้พระตถาคตนงั่ ลวดเกดิ เปน็ แท่นแก้ว จงี ได้ตรสั ผญา113 สพั พญั ญตุ ญาณแท้ดหี ลแี ล เมื่อชาติอันพระตถาคตได้เป็นพญาสุทัสนจักรวรรติราช แม่นเมืองน้ันแล กงจกั รแลแกว้ มณโี ชติ กย็ งั หนั้ แล เมอื งกจุ ฉนิ ารายนหี้ ากเปน็ ทน่ี พิ พานแหง่ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลายมาซุองค์ดาย จกั นรี พานไปในหว่างไม้รัง ๒ ตน อันเป็นคู่กนั หัน้ แล ไมร้ งั ตน้ ใดกด็ ี ครนั้ วา่ พระตถาคตนพี พานไปแลว้ บคุ คลฝงู ใดคดิ ฮอดองค์ พระตถาคต ไดบ้ รโิ ภคแลเอาแกน่ ไมร้ งั ทงั้ หลายบอ่ นอน่ื มาสรา้ งแปง114 พทุ ธรปู ไว้ ครัน้ ว่า บคุ คลผู้นัน้ ได้ทัวรเทยี วไปมาในวฏั ฏสงสาร กห็ บั ยงั ปักต1ู 15 อบายทัง้ ๔ เสียดีหลีแล เหตวุ ่า เปน็ พทุ ธบริโภคสองช้ัน แม้นว่า บคุ คลผู้ใดได้เอาแก่นไม้รงั ไม้ปาแป้งอันตายแล้วน้ัน มาสร้างแปงเป็นพุทธรูปก็ดังเดียวน้ันซะแล เหตุว่า ไม้สองต้นนเ้ี ปน็ ที่พระตถาคตได้บรโิ ภคแลเปน็ อนั ประเสรฐิ แล พระพทุ ธเจา้ กลา่ วดงั นแ้ี ลว้ ภายหนา้ แตน่ น้ั บน่ านทอ่ ใด พระเจา้ กไ็ ดฉ้ นั ยงั ซนี้ หมงู ้วนแล้ว จงี เข้าไปเมอื งกจุ ฉนิ ารายแล พระเจ้าก็ฮาก116 เปน็ เลอื ดออก เจ้าอานนท์จีงไปเอาน�้ำมาให้พระเจ้าฉัน ก็บังเกิดขุ่นเป็นตมเสียซุแห่ง เจา้ อานนทจ์ งี ไหวพ้ ระพทุ ธเจา้ วา่ ผขู้ า้ ไปเอานำ�้ ทใี่ ดมาใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ฉนั กข็ นุ่ เปน็ 111 “อยดุ อยา” ซ่อมแซม 112 เมืองกสุ นิ ารา 113 “ผญา” ปญั ญา 114 “แปง” ทำ� แต่ง สร้าง 115 “หับปกั ตู” ปิดปักตู 116 “ฮาก” อาเจยี น ตำ� นานอรุ งั คธาตุ 55
ตมซุแห่ง น�้ำที่นี้ได้ยากนัก จักไปควาเทียวหาอันใสมาให้ฉันก่อน ก็ข้าแล พระพทุ ธเจา้ จงี กลา่ ววา่ อยา่ ไดไ้ ปเอาเทอญ แมน่ วา่ ทา่ นไปเอาทใ่ี ด น�้ำใสแตก่ อ่ นนน้ั กจ็ กั ขุ่นเป็นตมสง่ิ เดยี วนแี้ ล ดูรา อานนท์เฮย เม่ือชาติก่อนพุ้น พระตถาคตได้เป็นพ่อค้าทางเกวียน งัวแค้นทางอยากนำ้� น้�ำอันใสมีท่ีไกล น้�ำขุ่นมีที่ใกล้ ค�ำคร้านมีฟ้าวยายยังเกวียน ไปควาหน้า ได้จงู งวั ไปให้กนิ นำ้� ขุ่นแกมตม เวรอนั นนั้ ไป่หมด กม็ าส่งผลซำ้� บดั นี้ ซะแล แต่น้ัน พระพุทธเจ้าก็ไปไสยาสน์ในหว่างไม้รัง แล้วพญาอินทร์มีตาหลิงเห็น พันช่อง จีงลงมาเพ่ือคารวะพระพุทธเจ้า ๆ สั่งไว้ว่าอย่าได้ปะ วิไชยกุมาร ผู้เขา ไหลนำ้� ไปฮอดเมืองลังกานน้ั เสยี เทอญ พระพุทธเจ้าเล่าสง่ั เจ้าอานนท์ว่า ธรรม ๘ หมนื่ ๔ พันขันธ์ อนั กูหากได้ เทศนาไวแ้ กส่ ทู า่ นทง้ั หลายนนั้ ครน้ั วา่ พระตถาคตนพิ พานแลว้ ธรรมอนั นนั้ หาก เป็นครสู ั่งสอนแก่สูท่านทง้ั หลายแล ให้ไว้ศาสนาห้าพันวัสสา เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ นพิ พานไปแลว้ บคุ คลฝงู มผี ญาปฏบิ ตั ติ ามธรรมพระตถาคต สร้างแปงพทุ ธรปู เจดยี ์ วหิ าร เปน็ สถานตง้ั ไว้สักการบูชาไหว้นบคมรบอยำ� แอยง ก็เสมอดังได้บูชาไหว้นบองค์พระตถาคตเม่ือยังทัวรมานน้ันดีหลีแล อยู่พ่�ำเพ็ง ทาน ศีล ภาวนาปรารถนาเอาโลกียสุข แลโลกุตรสุข ก็จักได้โดยตามค�ำมัก คำ� ปรารถนาแห่งตนแล เหตเุ ปน็ ดงั ไฟอนั มอดแล้ว บคุ คลผ้มู ผี ญาไปเอาไม้หลวั อนั ไขแห้งตายแล้ว มาต้ังไว้ จงี สีเอายังไฟน้นั มากระท�ำการดงั อนั ตนหากมกั นนั้ แล นัยหนง่ึ เป็นดงั บคุ คลเอาเหลก็ กล้ามาต่อยหนิ เอาไฟ นัยหนึง่ เป็นดังบุคคลเอาแก้วหน่วยชอ่ื ว่า สุรยิ กันตะ มารอแสงตะวันขน้ึ หม่ือติดเอาไฟใส่ พอแม้ลุกแล้วจีงจุดใส่เทียนไต้เป็นเถ้าเป็นแปวแล้ว จีงมา จดุ ฝอยและหลวั ฟนื เปา่ ลกุ รงุ่ เรอื ง จงี กระทำ� การเปน็ อนนั ตคณุ ใหแ้ ลว้ ประโยชน์ แก่คนทั้งหลายนนั้ ซะแล นยั หนง่ึ เปน็ ดงั ลำ� ออ้ ยมกี กอนั ขาดแลว้ บคุ คลผมู้ กั ประโยชนด์ ว้ ยรสอนั หอม หวาน เอาปลายอ้อยมาตั้งไว้ในแผ่นดิน แลแตกรากเป็นหน่อเป็นกอล�ำอันหวาน มีใบก็คมดังน้ันแล ด้วยแท้อรหันตาชื่อว่า โรคสมสีสี คือว่า จิตสวาดเถิงในกาล เมือ่ เปน็ พยาธ์ิ แลเม่อื ใกล้จุตินน้ั กม็ ี หากเปน็ ปกติเท่าเส้ียงกัปใหม่ต้ังก่อสิ่งเดยี ว 56 ทีร่ ะลึกงานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ประจ�ำปพี ุทธศักราช ๒๕๖๒
พทุ ธศาสนานเ้ี ปน็ ดงั ขอบสระนำ้� ตงั้ ไว้ ฝนตกลงหดในสระชมุ่ เยน็ ดี ดอกไม้ ทง้ั หลายมดี อกบวั แลอบุ ล แลดอกบณุ ฑรกิ เปน็ เคา้ กเ็ กดิ มบี านดี อนั นน้ั แล มฉี นั ใด เปน็ ดงั่ อปุ มาในเมอ่ื สรา้ งพทุ ธศาสนายงั ตง้ั ไว้ ภกิ ขตุ นมเี พยี รบญุ สมภารแก่ แลกระทำ� วิปัสสนาให้มนั่ กย็ งั จักได้ถงึ อรหตั ตมรรค ท่อบ่มอี ทิ ธิฤทธีอนั ยง่ิ แล้ว ซะแล ผิว่า ไป่ได้ถึงในชาติอันน้ัน เมื่อจุติไปเกิดเป็นเทวดา ได้ฟังธรรมเทศนา แห่งธรรมกถึกเทวบุตร ก็จักได้เถิงในส�ำนัก ซะแล ท่านท้ังหลายจงคอยกระท�ำ กรรมฐานอย่าขาดเทอญ อนนฺท ดูรา อานนท์ ปูชาย อปูชา อปูชาย ปูชา บุคคลบูชาพุทธรูป ศาสนาพระตถาคตตง้ั ไว้น้นั ด้วยเครอ่ื งบูชาภายนอก คอื ว่า ดอกไม้ธปู เทียนนน้ั ได้ช่ือว่าบ่บูชาแล บุคคลผู้บ่บูชาได้ชื่อว่าบูชาแล อธิบายคำ� พระพุทธเจ้าส่ังบัดน้ี ว่า ภิกขุก็ดี สามเณรก็ดี คนคฤหัสถ์ก็ดี บ่ปฏิบัติตามคองธรรมค�ำสอน พระพุทธเจ้าตง้ั ไว้ และกระท�ำ อเนสนกมฺม อนั บ่ชอบมาบูชาได้ช่ือว่าบ่ได้บูชาแล อันว่า บุคคลทง้ั หลายปฏบิ ตั ติ ามคองธรรมคำ� สอนอนั ชอบ แม่นว่าบ่มสี ังบูชา ท่อ แต่มจี ติ ใจเหลอื่ มใสเชอื่ บญุ คณุ แกว้ ๓ ประการ ไหว้นบแต่มอื อนั เปลา่ กไ็ ด้ชอื่ ว่า บูชาอนั ประเสรฐิ ยิง่ กว่าประเสรฐิ หนั้ แล พระพทุ ธเจ้าสง่ั มหาอานนท์ไว้ดงั นแี้ ล้ว จงี กระทำ� สจั จอธษิ ฐานไว้ว่า ตราบใด มหากัสสปะเถรไป่มาเอาอุรังคธาตุไปไว้ดอยกับปนคิรีน้ัน ไฟธาตุจงอย่าได้ไหม้ องค์พระตถาคตเทอญ อธษิ ฐานแล้วก็นพิ พานไป ซะแล ท้าวพญาอามาตย์ทงั้ หลายเอาพระพทุ ธเจ้าใส่โกศประนม แต่งแปงกแ็ ล้ว ซอุ ัน ยามนนั้ ท้าวพญาแลคนทง้ั หลายเจาะไฟใส่ก็บ่ไหม้มอดเสยี เปน็ หลายทนี ัก ยามน้ัน มหากัสสปะเถรเจ้า เสด็จลุกจากเมืองเวสาลีมาฮอดแล้ว พระพุทธเจ้ากระท�ำปาฏิหาริย์ยื่นบาทาตีนก�้ำขวาออกจากโกศมา มหากัสสปะ เจ้าโจมเอาใส่หวั ไว้ ยามนน้ั อุรังคธาตหุ ากมดั ป้อมห่อผ้ากัมพล117 ออกจากโกศลงมาตง้ั อยู่ ฝ่ามือเบื้องขวาแห่งมหากัสสปะเถรเจ้าแล้วแล ไฟธาตุนั้นหากลุกเป็นแปวไหม้ โกศองค์พระพุทธเจ้า ยังต้ังอยู่แต่ธาตุทั้งมวล ธาตุกระโบงเกศ118 พญาพรหม ชื่อว่าฆฏิการ เอาเมือไว้ในพรหมโลก ธาตุแข้วหมากแง119 โทณพราหมณ์เอา 117 “ผ้าก�ำพล” ผ้าทอด้วยขนสัตว์ 118 “พระบรมธาตุกระโบงหวั ” พระอุตมางคสโิ รตม์ คือ กระดูกหนา้ ผาก 119 “ธาตุแข้วหมากแง” พระเขย้ี วแก้ว ตำ� นานอรุ งั คธาตุ 57
เหน็บเกล้าเซือง120 ไว้ พญาอินทร์เอาเมือไว้เมืองตาวติงสา ธาตุดูกด้�ำมีด121 พญานาคเอาไปไว้ในเมืองนาค สรีรธาตุพระพุทธเจ้าทั้งหลายน้ัน ส่�ำท่อหน่วย ถวั่ กวาง122 สำ�่ ทอ่ เมด็ ขา้ วสารหกั สำ�่ ท่อพนั ธ์ผุ กั กาด พญาอชาตศตั รเู อาไปไว้ใน ถ�้ำสตั ตบรรณคูหาพุ้น ก็มแี ล คำ� ทัง้ มวลหากแจ้งในนพิ พานสูตรนนั้ แล บ้นั ท่ี ๑๐ อญั เชญิ พระอุรงั คธาตสุ ูภ่ ูกำ� พร้า ถัดนีจ้ ักจาหอ้ งมหากสั สปะน�ำอรุ ังคธาตุไปไว้ภูก�ำพรา้ แล มหากัสสปะเถรเจ้า จีงเอาอรหันตาเจ้าทั้งหลายห้าร้อยตน น�ำเอา อุรงั คธาตพุ ระพุทธเจ้าไปสู่ภูกำ� พร้า กไ็ ว้ในเมอื งหนองหาญหลวงหัน้ ก่อนแล ยามนนั้ ทา้ วพญาจลุ ณพี รหมทตั แลพญาอนิ ทปตั ถนคร แลพญานนั ทเสน เป็นเค้า ก็มาเค้าโฮมกันท่ีแคมน้�ำเบ้ืองใต้ปากน้�ำเซ ตกแต่งคนทั้งหลายห้าร้อย ต่อยฟนั หนิ มุก มาจักก่อเป็นอารามไว้ถ่า123 พระมหากัสสปะเจ้า ซะแล แม้นว่า ชาวเมืองหนองหาญหลวงมีพญาสุวรรณภิงคารเป็นเค้า ชาวเมือง หนองหาญนอ้ ยมพี ญาคำ� แดงเปน็ เคา้ ตกแตง่ กนั ฟนั หนิ มกุ 124 หนิ แลง125 มาไวซ้ ะแล คนทั้งหลายรู้ข่าวจีงพนันกันว่า ผู้ชายชาวเมืองหนองหาญหลวงจักก่อ อูบมุงอัน ๑ เทิงดอยแท่น อันพระพุทธเจ้ามาสถิตแต่ก่อนนั้น ให้สิ่วหินเข้าไล หางปลาทงั้ มวล ผหู้ ญงิ กใ็ หก้ อ่ อบู มงุ อนั หนง่ึ ขดั แขง่ กนั ดเู ทอญ วนั หนา้ พอรงุ่ แจง้ เห็นลายมอื ให้ก่อ หากจักมีสำ� คัญหมาย พอดาวเพชร126 ออก ให้แล้ว ผวิ ่า ฝูง ใดก่อแล้วพร้อมดาวเพชรออก จักได้ไว้ธาตุหัวอกพระพุทธเจ้าไปถะปันนา ซะแล แม้นว่า ชาวเมืองหนองหาญน้อยก็ว่าดั่งเดียวนั้น พญาจุลณีพรหมทัต พญาอิน ทปัตถนคร แลพญานันทเสน ก็ว่าด่ังเดียวกันท้ังมวล เขาจีงล่ันกลองให้ส�ำคัญ สญั ญาแก่กันแล้ว 120 “เซอื ง” ซ่อน 121 “ธาตุดกู ดำ้� มดี ” หรอื “กระดูกด้ามมดี ” พระรากขวญั คอื กระดกู ไหปลารา้ 122 “เมลด็ ถวั่ กวาง” ถ่ัวแตก 123 “ถ่า” คอยท่า 124 “หนิ มกุ ” หนิ ทราย เปน็ หนิ ทเี่ กดิ จากการทบั ถมของตะกอน ประกอบดว้ ยแรค่ วอรต์ ซเ์ ปน็ สว่ นใหญ่ ภาษาอังกฤษเรยี กว่า Sand stone 125 “หินแลง” ศิลาแลง เปน็ หินทม่ี สี ่วนผสมของแร่เหล็กสูงจงี มีสสี นมิ แดง ภาษาองั กฤษเรยี กว่า Laterite 126 “ดาวเพชร” ดาวประกายพรึก ดาวเพก็ กว็ ่า 58 ทร่ี ะลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจ�ำปพี ทุ ธศักราช ๒๕๖๒
ยามนั้น ผู้หญิงท้ังหลายอันเป็นชาวเมืองหนองหาญหลวง แลชาวเมือง หนองหาญน้อย มาเข้าแรงกันก่ออูบมุงขัดแข่งผู้ชาย เขาจีงว่าไผก็บ่มี ๔ มือ ดังพระนารายณ์น้ันจา ตาก็ท่อ ๒ หน่วย ก็หลางมีมือเบ้ืองห้าน้ิวซุคน ซะแล เขาว่าดงั น้ีแล้วก็จงี ก่อ ห้นั แล ผู้ชายชาวหนองหาญหลวงอวดอ้างว่ามีก�ำลัง ก็จักแพ้จักพ่ายผู้หญิง ทง้ั หลายมกั วา่ จกั ลน่ื ดงั รอื จา ลวดกอ่ ขวั 127 หนิ อนั หนง่ึ ยาวรอ้ ยวา ลวงขวางหา้ วา ไปจุตีนภู แล้วว่าจักก่อเป็นขันได128 แก้วขึ้น ผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายพร้อมกันว่า ให้ก่ออูบมุงให้แล้วทันดาวเพชรก่อน คร้ันหินเหลือจีงก่อขัวแลขันไดแก้ว ก็บ่ฟัง ติท่อจักพาเสีย เขาว่าดังนี้ เขาจีงก่ออูบมุงเป็นเตาไว้ส่ีข้างแต่ฝาก่อน ไป่ทันได้ ก่อพานพุ่มปารมี หนิ อนั เขาขนเอามาไป่ทันฮอดนนั้ แผ่นใหญ่ท่อกะลา129 แลท่อ แผ่นแถบก็มี น้อยกว่าก็มี เขาเจาะป่องสิ่วซอดเปน็ รเู อาเชือกร้อย คอนหาบเอา ซาห่อข้าวก็มี หาบหามห้วิ เอากม็ ี ยามนน้ั ผหู้ ญงิ ทง้ั หลายเหน็ ผชู้ ายกอ่ จกั แลว้ กอ่ นแท้ จงี แตง่ กนั เปน็ หมเู่ ปน็ ซุม อันมีกลมายาช่างปฏิสันถารต้านจารจาด้วยอันเล้าโลมให้ไปยัวะไปไยผู้ชาย ซุมเป็นก�ำลังขนหินนั้น ผู้ชายท้ังหลายเขาจีงพร้อมกันปลงหินกองไว้ที่หนึ่ง แล้ว แต่งกันข้ึนเทงิ ดอย ปล่อยโคมไต้ไฟไว้ว่าดาวเพชรออกเสยี แล้ว ว่าดงั น้จี ีงเอากัน ไปน�ำผู้หญงิ ทงั้ หลาย แม้นว่าผู้ชายฝงู ก่ออยู่เทงิ ดอยน้นั รู้เม่อื กล็ งไปน�ำกันหมด เส้ียง ผู้เฒ่าผู้แก่ทงั้ หลายจ่ม130 ว่า แค้นหัวใจเฒ่าเด ว่าดงั นี้ บ่อนอันเขากองหิน ปะไว้นั้น คนทงั้ หลายเรยี กช่ือว่า แคน้ เฒ่าเด มาเท่ากาลบดั นแ้ี ล อบู มงุ อนั ผชู้ ายทงั้ หลายกอ่ นน้ั กบ็ ท่ นั แลว้ อบู มงุ ผหู้ ญงิ ทง้ั หลายกอ่ นนั้ ผชู้ าย ทง้ั หลายเขากน็ ำ� ไปก่อชว่ ยนนั้ กแ็ ล้วกอ่ นดาวเพชรออกหนั้ แล แมน้ ว่า พญาจลุ ณี พรหมทตั พญาอินทปัตถนคร พญานนั ทเสน ก็เหน็ โคมไฟอันเขาไต้ไว้เทงิ ดอยนัน้ ก็ใส่ใจว่าเป็นดาวเพชรออกแท้ กอ็ ย่าวางอนั เขาก่ออารามหนิ น้นั เสียบ่แล้ว ยามพอใกล้รุ่งน้ัน มหากัสสปะเจ้าพาอรหันตาห้าร้อยตน น�ำอุรังคธาตุ พระเจ้าไปไว้เทิงแท่นท่ีอูบมุงอันบ่แล้วนั้น ครั้นว่า แจ้งแล้วจีงเข้าไปบิณฑบาตใน เมอื งหนองหาญหลวงแลหนองหาญนอ้ ย พญาสวุ รรณภงิ คาร พญาคำ� แดง แลชาว 127 “ขัว” สะพาน 128 “ขันได” บันได 129 “กะลา” เสอ่ื ล�ำแพน 130 “จ่ม” บ่น ต�ำนานอุรงั คธาตุ 59
เมืองท้ังหลายใส่บาตรแล้ว จีงแต่ง ประธูป ประทีป คันธรสของหอมทุกเย่ือง131 ดอกไม้ ทงุ ไชยทงุ กระด้าง ท้ังหลายไปก่อนแล้ว พญาสวุ รรณภงิ คารไปนำ� อรหนั ตาเจ้า พาบรวิ ารขน้ึ ดอยเมอื ไหว้อรุ งั คธาตุ พระพุทธเจ้า ประทักขณิ สามรอบ หดสรงสกั การบูชาแล้ว พญากเ็ ห็นอบู มุงก่อ บ่แล้ว พญากโ็ กรธเคยี ดแก่ชาวเมอื งทง้ั หลาย ถดั นนั้ ล่ามเวยี ก เจยี กการนายทง้ั หลายจีงถวายยังเหตุทั้งมวลให้พญาแจ้ง พญาแฮ่งซ�้ำโกรธซ้�ำเคียดย่ิงนักแก่ ผู้หญงิ ทั้งหลาย จัก กระท�ำตามโทษ มหากัสสปะเถรเจ้า จีงฮ่มเพิงมาเถิงวิรุทธปัญหาธรรม น�ำมาเทศนา แก่พญาว่า กึสุ อุณโฺ ห ชาโต อคฺคนิ า กสึ ุ มณนิ า อตโิ รจติ อสรีโร จรติ อจิตฺตโก นโร ขามิ ดกู ร มหาราช พระพทุ ธเจ้าเทศนาธรรมวริ ทุ ธปญั หาคาถาอนั นว้ี ่า อันใด แควน132 ร้อนยง่ิ กว่าไฟ อนั ใด แควนรุ่งเรอื งกว่าแก้ว อันใด บ่มตี นแลรู้ตระเดนิ ไป อนั ใด บ่มจี ติ ใจแลรู้เคยี ดกนิ คน จักได้อนั ใดจา พญาสุวรรณแก้บ่ได้ จงี ไหว้ มหากสั สปะเจ้าจงี ไขให้แจ้ง อันแควนร้อนกว่าไฟนน้ั ได้ราคะตัณหา อนั แควนรุ่งเรอื งย่ิงกว่าแก้ว ได้สตปิ ญั ญาอนั ตปิ ่อง133 อนั บ่มตี นตวั แลร้ตู ระเดนิ ไปนนั้ ได้นามธรรมจติ ใจแห่งคนทงั้ หลาย อันบ่มีจิตใจแลรู้เคียดกินคนนั้น ได้ชราธรรมคือสภาวะค�ำเฒ่าแก่ แลเหีย่ วแห้งไปนนั้ ซะแล อนั ว่า ราคะตัณหาธรรมนรี้ ้อนกว่าไฟแล ไฟนเี้ อานำ�้ มาห้ามกย็ งั ฟงั ราคะ ตณั หาเกดิ มา แม่นว่าเอานำ้� แลไฟมาห้าม กบ็ ่ฟังแล พระพุทธเจ้าแลพระปจั เจก 131 “เย่อื ง” อย่าง ชนิด 132 “แควน” ยง่ิ 133 “ป่อง” ฉลาด จำ� ได้ง่าย รู้ได้เร็ว 60 ทีร่ ะลึกงานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจ�ำปีพุทธศักราช ๒๕๖๒
เจา้ แลพระอรหนั ตาขณี าสาวกทงั้ หลาย อนั เหน็ มาบา้ งดงั เราทงั้ หลายนี้ จงี ไดต้ ดั เสยี ยงั ตณั หากเิ ลสธรรม เพอื่ ดังนนั้ แล บดั นี้ ผหู้ ญงิ ทง้ั หลายเขามาสอ่ สพั โพกลวั้ เกลา้ ยวั ะไยเอายงั ผชู้ ายทง้ั หลายดว้ ย กเิ ลสมายาสตผิ ญาอนั ตปิ อ่ งแหง่ เขาแล ผชู้ ายทง้ั หลายกบ็ ส่ งั วร มงุ ยงั จติ ใจตนใหร้ ะงบั ด้วยดี อูบมงุ อนั น้จี งี บ่แล้ว เพื่ออันแล พญาได้ยินคาถาวิรุทธปัญหาแจ้งแล้ว ก็จีงหายค�ำเคียดแก่คนทั้งหลาย ลวดบ่ทำ� โทษอนั ใดแก่เขาสักอนั มหากสั สปะเจ้าจงี ว่า อูบมงุ อนั นแ้ี ม้นว่าก่อแล้วบ่ได้ไว้อรุ ังคธาตดุ าย เหตุ ว่ายามเมื่อพระพุทธเจ้ามาสถิตเหนือแท่นอันนี้ สั่งเราไว้ว่าให้เอาไปประดิษฐาน ไว้ในภูก�ำพร้าส่งิ เดียว พุ้นแล เมอื่ นน้ั พญาวา่ จกั ขอแบง่ เอาอรุ งั คธาตถุ อ่ งหนงึ่ จกั ซำ�้ กอ่ อบู มงุ นนั้ ใหแ้ ลว้ แลจกั ถะปนั นาไวห้ นั้ แล วา่ ดงั นนั้ มหากสั สปะเจา้ หา้ มเสยี วา่ อยา่ ไดม้ า้ งพทุ ธวจนะ เทอญ บเ่ ปน็ มงคลแกบ่ า้ นเมอื ง บรุ าณธรรมพระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายกลา่ วไวว้ า่ ทา้ ว พญาตนใดได้ม้างพทุ ธวจนะ ใส่ใจว่าเป็นกุศลดังน้ีนั้น เทวดาทั้งหลายกบั ทั้งมเห สักขอารักข์ฝูงรักษาภูมิสถานบ้านเมืองเทียรย่อมติเตียน ฝูงรักษาธาตุ พระพทุ ธเจ้านนั้ กโ็ กรธเคยี ดร้ายนัก ย่อมบ่ให้วุฒธิ รรมจ�ำเรญิ แก่บ้านเมือง ย่อม ให้เป็น โภยภยั อนตายหลายประการแท้ดหี ลดี าย ดูรา มหาราช เม่ือปางพระพุทธเจ้าตนช่ือว่ากัสสปะ เกิดมาใกล้จักนิพพาน วนั น้นั สั่งไว้ให้อรหันตาเจ้าตนหนงึ่ ให้เอาธาตุพระตถาคตนน้ั ไปไว้ในคหู าอันมีช่ือดงั พุ้น เพ่ือไว้ถ่าพญาตนหนึ่งอันจักเกิดมาภายหน้าพุ้น เหตุพระพุทธเจ้าหากหลิงเห็น พญาตนนนั้ จกั ไดถ้ ะปนั นาธาตแุ ลจกั ไดโ้ ชตนาพทุ ธศาสนาพระพทุ ธเจา้ ตนนน้ั ซะแล พญาลงั กาบร่ กั ษาพทุ ธวจนะ ลวดไปเอาธาตพุ ระพทุ ธเจา้ กสั สปะหนจี ากคหู า ที่นน้ั มารักษาไหว้นบสกั การะบูชา เพือ่ อยากได้บุญฉันนี้ ยามน้นั เทวดา มเหสักขา อนั รักษาภมู สิ ถานบ้านเมอื ง แลเทวดาฝูงรกั ษาธาตใุ นคูหานั้น คองดเู ปน็ อันเหิงนาน คหู าเปน็ อนั เปลา่ เศรา้ สญู เสยี แมน้ วา่ เทวดาฝงู อนื่ เคยไดไ้ หวน้ บอปุ ฏั ฐากนนั้ มาสคู่ หู า ท่ีนั้นแล้ว เทวดาฝูงน้ันมาบ่เห็นบ่ได้ไหว้ธาตุพระพุทธเจ้าดังน้ัน ก็ถามเทวดาฝูงอยู่ รกั ษานน้ั เขาจงี บอกเล่ากนั ว่าพญาลงั กาเอาหนไี ปไหว้รกั ษาบชู าแล เทวดาทงั้ หลาย พร้อมกันติเตียนโกรธเคียดชังพญาลังกา ก็ลวดไปสมคบชักชวนอ้อนกับเทวดาฝูง ต�ำนานอุรงั คธาตุ 61
รักษาอยู่ในประเทศเขตแดนบ้านเมืองท้าวพญาในร้อยเอ็ดเมือง ให้บันดลจิตใจ ท้าวพญาท้งั หลายมายทุ ธกรรมสงครามอ้อมเมอื งพญาลังกาแล พญาลงั กา จงี เอาธาตพุ ระพทุ ธเจา้ ทง้ั มวลนนั้ ไปถะปนั นาไวใ้ นขมุ 134 อนั หนงึ่ แต่งเป็นยนต์ง้าวไว้เก้าชนั้ กวัดแกว่งอ้อมไว้บ่ให้ไผเข้าได้ ครง้ั นนั้ พญาลงั กาแลเสนาอามาตยท์ ง้ั มวล พรอ้ มกนั ออกไปเลว็ ทา้ วพญา ท้ังหลายร้อยเอ็ดเมือง ท้าวพญาทั้งหลายร้อยเอ็ดเมืองกุมเอาได้พญาลังกาแล เสนาอามาตย์หมดทง้ั มวลซคุ น บ้านเมอื งลงั กาลวดพินาศฉบิ หายเสยี ปางน้ันแล ท้าวพญาท้ังหลายเข้าซอก135 ดูบ้านเมืองเอาข้าวของ เทวดา ทั้งหลายจีงให้เขาเห็นขุมยนต์ง้าว เอยี่ยวว่าขุมค�ำ จีงลงเอาบ่ได้ เทวดาทั้งหลายจีง นีรมิตเป็นหมู่พราหมณ์มาเล่าให้แจ้งว่า อันน้ีขุมไว้ธาตุพระพุทธเจ้า เป็นของ อันประเสรฐิ ยง่ิ กว่าข้าวของเงินค�ำแลแก้วทงั้ หลายอนั อ่นื อยู่ในขมุ ยนต์อนั น้แี ล ว่าดังน้ัน ยามนั้นหินบัณฑุกรรมพลศิลาบาตร136 แห่งพญาอินทร์ก็กระด้าง แขง็ พระอินทร์หลิงเห็นด้วยตาทิพย์ จีงรบั เอาเทวบตุ รแลเทวดาท้ังหลาย มีเทว บุตรทัง้ ๙ ตนเปน็ เค้า ลงมาสู่ทีท่ ้าวพญาท้ังหลายชุมนมุ กันในเมอื งลังกานั้น พญา อนิ ทรจ์ งี ใหเ้ ทวบตุ รทง้ั ๙ มี สรุ ยิ เทวบตุ ร จนั ทเทวบตุ ร เปน็ เคา้ ตราบตอ่ เทา่ ราหู อสุรินทเทวบุตร พร้อมกันผาบ137 ยนต์ง้าวแลตนแลชั้น จีงแตกเสียแล้ว ท้าว พญารอ้ ยเอด็ เมอื งจงี เขา้ เอาธาตพุ ระพทุ ธเจา้ กสั สปะคนื ไปไวใ้ นคหู าดงั เกา่ หนั้ แล ยามนนั้ เทวดามคี ำ� ชมชน่ื ยนิ ด ี คดึ เหน็ คณุ ทา้ วพญาทง้ั มวล มาบอกมาเลา่ แก่พญาร้อยเอ็ดเมือง ให้ไปขนเอาเงินค�ำแก้วแหวนทั้งหลายในถ�้ำคูหาอันนั้น บ่รู้หมดรู้เสย่ี งดีหลีแล มหากัสสปะเจ้า เล่าว่า มหาราช ดูรา มหาราช แม้นว่า เมอื่ พระพุทธเจ้า เราก่อแรกตรัสสัพพัญญูเป็นพระท�ำอิด138 ปางนั้น ให้เกศาธาตุแก่ ตปุสสะ ภัลลิกะ แปดเส้น วันน้ันสั่งว่าให้เอาไปถะปันนาไว้ในดอยสิงคุตตระ ว่าฉันน้ี มาฮอดพญาเชษฐนครกมุ เอาเสยี ๒ เสน้ ขาจงี เอาหนไี ปทางซะเภา139 พญานาค 134 “ขุม” หลมุ 135 “ซอก” ค้น 136 “บณั ฑุกมั พลศิลาบาตร” แท่นหนิ มีสดี ุจผ้ากมั พลเหลอื ง เป็นทส่ี ถติ ของพระอนิ ทร์ 137 “ผาบ” ปราบ 138 “ท�ำอดิ ” ครง้ั แรก 139 “ซะเภา” ส�ำเภา 62 ที่ระลึกงานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ประจ�ำปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒
มาลกั เอาหนเี สยี ๒ เส้น ขาจงี เอาหนจี ากทน่ี น้ั ไปฮอดเมอื งอปุ ลนคร ขาจงี เลา่ แก่ พญาอปุ ลนครว่า พระพทุ ธเจา้ ให้เกศธาตแุ กเ่ ผอื ข้าพน่ี ้องแต่กอ่ น ๘ เส้น ให้เอา ไปถะปนั นาไวใ้ นดอยสงิ คตุ ตราช วา่ ฉนั น้ี ทอ่ วา่ มาฮอดพญาเชษฐนครกมุ เอาเสยี สองเส้น ข้าจีงเอาหนีไปทางซะเภา พญานาคลักเอาหนีเสียสองเส้นแล พระพุทธเจ้าสั่งว่าให้ผู้ข้าทงั้ ๒ เอาไปไว้ในดอยสงิ คุตตระ พุ้นแล ยามนนั้ เทวดามเหสกั ขา อารกั ษท์ งั้ หลาย กเ็ คยี ดจม่ แกพ่ ญาเชษฐนครแล พญานาค ว่าบัดนม้ี าม้างพระพุทธวจนะเสยี แล จักให้เปน็ โภยภยั แก่บ้านเมอื ง ยามนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้แจ้ง จีงเมตตาว่าให้เทวดาทั้งหลายเอาเกศา ธาตุหนีจากพญาเชษฐนครแลพญานาค ไปเอาเกศธาตุเข้าไปไว้อยู่ในอูบแก้ว ตปุสสะ ภลิกะ เป็น ๘ เส้นดังเก่า หั้นแล ด้วยสัจอธิษฐานแห่งพญาอุปลนคร จีงไขอบู เบ่ิงดู กเ็ หน็ ธาตุทงั้ ๘ เส้นดังเก่าหน้ั แล ยามนนั้ พญาบ่รู้ทด่ี อยสิงคตุ ตระน้ัน พญาอนิ ทร์ พญาพรหม วสิ สกุ รรม เทวบุตร แลเทวดาทั้งหลาย ชมช่ืนยินดี จีงมาบอกเล่าดอยสิงคุตตระ แล้วช่วย กันก่อพระเจดีย์ด้วยดินจี่140 ค�ำ ที่ถะปันนาเกศาธาตุพระพุทธเจ้าไว้วันนั้นแล บ่ปะบ่ละพทุ ธวจนะอนั ได้สั่งนน้ั แท้ดหี ลแี ล พญาสุวรรณภิงคารได้ยินแจ้งพระธรรมเทศนาดังนี้แล้ว ห้ามว่าม้าง พุทธวจนะบ่ดี พญาก็แต่งขันดอกไม้ธูปเทียนคารวะบูชาท้ังมวลแล้ว จีงให้คน ทั้งหลายเอาหินอิฐแลง อันแปงไว้จักใส่ยอดอูบมุงอันก่อบ่แล้วน้ัน มาล้างส่วย สระสรงอบรมดี เจาะใส่หัวแล้ว เอาอุรังคธาตุทั้งมวลใส่ผ้าก�ำพลนั้นปกเทิง ต้งั ไว้ท่ามกลางปราสาท แล้วจีงคาดคนผู้ฉลาดส่�ำ141 ดี นุ่งผ้าขาวเสอื้ ขาว หาม เพอื่ จักไปสู่ภกู �ำพร้า กบั ดอมพระอรหันตาเจ้าทง้ั หลายแล พญาจงี วา่ ผใู้ ดอยา่ ไดซ้ ำ้� ตริ วิ า่ จกั พนนั แขงขดั กนั ดว้ ยหนิ หลนิ่ 142 มโหรสพ ดังแต่ก่อนน้ันท่อน อัน ๑ อย่าได้เอาแม่หญิงทั้งหลายไปสู่ภูก�ำพร้านั้นสักคน เขาย่อมกระท�ำให้เป็นเหตุอนตายแก่กุศลบุญแท้ดีหลี ผู้ใดยังเอาแม่หญิงไป จกั กระท�ำใส่ทัณฑกรรมแล 140 “ดินจ่”ี อฐิ 141 “สำ่� ” เสมอกนั 142 “หลนิ่ ” เล่น ตำ� นานอุรังคธาตุ 63
ว่าดงั น้ี ยามนัน้ ผู้หญิงทง้ั หลายเขากจ็ งี มาไหว้มหากสั สปะเจ้าว่า ข้าไหว้ เจา้ กู ฝงู ขา้ ทงั้ หลายไดก้ อ่ อบู มงุ แลว้ ขา้ ทง้ั หลายจกั ขอเอาอรุ งั คธาตพุ ระพทุ ธเจา้ ไปถะปันนาไว้ในอุบมงุ ข้าทงั้ หลาย อย่าให้เสยี ผลข้าทง้ั หลายเทอญ ทนี่ น้ั มหากสั สปะเจ้าจงี ให้อรหนั ตาคนื ไปด้วยอทิ ธฤิ ทธป์ิ ระดจุ ลดั มอื เอาฝนุ่ ถ่านไฟท่ีส่งสะการ143 พระพุทธเจ้านิพพานน้ันมา ๓ ทะนานพร้าว ให้แก่ผู้หญิง ทั้งหลายเอาไปถะปันนาไว้ในอุบมุงห้ันแล จีงใส่ช่ือว่า ธาตุนารายณ์เจงเวง มาเท่า กาลบัดนี้แล ตามนิมิตรค�ำอันผู้หญิงท้ังหลายกล่าวแต่เม่ือท�ำอิดพุ้น บทว่า ไผบ่มี ๔ มือ สิงจักมีคำ� แรงเสมอดงั พระนารายณ์ดาย หลางมีมอื ฟากห้าน้ิวดั่งกัน ห้ันแล อบู มงุ อนั น้ี ผหู้ ญงิ เฒา่ คนแกท่ งั้ หลายใสช่ อื่ วา่ อบู มงุ อติ ถมี ายานารายณ์ เจงเวง ว่าดงั น้ี พญาสวุ รรณภงิ คารบ่ให้ว่าหน้ั แล ไผอย่าได้มล้างคำ� อรหนั ตาเจ้า อันได้ใส่ชอ่ื ว่า ธาตนุ ารายณ์ น้นั เทอญ อบู มงุ อนั ผชู้ ายกอ่ บแ่ ลว้ นนั้ จงี ใสช่ อ่ื วา่ ภเู พก็ มสุ า ตามเหตอุ นั เขากระทำ� หนั้ แล ยามนั้น พญาคำ� แดง หนองหาญน้อย ให้ก่ออูบมงุ ใส่รปู พรหม ๔ หน้า แล้วท่ี บัวกุหลวงบ่อนหนึ่ง บัวกุน้อยบ่อนหน่ึง ที่อันก่อไกลกันบ่ปรากฏน้ันก็มีหลายอันห้ัน แล พญากร็ ขู้ า่ ววา่ อรหนั ตาเจา้ ทง้ั หลายบเ่ อาอรุ งั คธาตไุ วใ้ หถ้ ะปนั นาทอี่ น่ื สกั ทแี่ ล จงี เอาหนไี ปถะปันนาไว้ทภี่ กู �ำพร้าสง่ิ เดียวตามค�ำพระเจ้า บ่ให้เสยี คำ� ส่งั พระเจ้าหน้ั แล พญาจีงเอาข้าวของเงินค�ำแลแก้วแหวนใส่ช้างแล้ว พญาจีงข่ีช้างมงคลตัว หาญ เสนาอามาตยข์ า้ มหาดคมุ ขมี่ า้ มรี พ้ี ลพหลโยธา พาบรวิ ารมาสเู่ มอื งหนองหาญ หลวง เพ่ือว่าจักไปพร้อมกันกบั พญาตนพี่ เมอื เอาอรุ ังคธาตไุ ปสู่ภกู �ำพร้า นั้นแล ชาวเมอื งหนองหาญหลวงตน่ื ท้วงรพ้ี ลโยธามากนกั เอยยี วว่าไว้ใจว่าแม่น ข้าเศกิ มา พญาสวุ รรณภงิ คาร จงี ใช้ให้อามาตย์ผู้ฉลาดเข้าไปเยี่ยมดู กเ็ หน็ พญา คำ� แดงอันเป็นลกู น้าน้องแม่แห่งตน แลเห็นเคร่อื งบุญเครือ่ งทานท้ังมวลอันมาก ดงั นน้ั อามาตยจ์ งี คนื มาคอบ144 พญาสวุ รรณภงิ คารแลว้ พญากร็ ขู้ า่ ววา่ นอ้ งตน มา มีค�ำชมชื่นยินดี จีงใช้อามาตย์ผู้ใหม่ไปราธนามาให้ทันไปสู่ภูก�ำพร้า พร้อม อรหนั ตาเจ้าทงั้ หลายเทอญ 143 “ส่งสะการ” เผาศพ 144 “คอบ” บอกกล่าว,กราบทูล 64 ทีร่ ะลึกงานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ประจำ� ปพี ุทธศักราช ๒๕๖๒
ยามนน้ั พญาคำ� แดงมาฮอดแลว้ กระทำ� ปฏสิ นั ถารตา้ นจารจากบั ดอมพญา สวุ รรณภงิ คารแล้ว ก็เอากันไปพร้อมกับอรหนั ตา ๕ ร้อยตน พระองค์มหากัสสปะ เป็นประธาน เจ้าไปฮอดภกู �ำพร้าหัน้ แล ยามนน้ั พญาอนิ ทปตั ถนคร พญาจลุ ณพี รหมทตั พญานนั ทเสน ทง้ั ๓ ตน รู้ข่าว เอากนั มาตง้ั ทพั โยธาทงั้ หลายไว้ฟากแม่น้�ำเพียงปากเซ อันพญาสวุ รรณภิงคารแลพญาค�ำแดง จีงเห็นเครือ่ งอาวุธสงคราม แห่ง ท้าวพญาทงั้ ๓ ตนกล็ วดบงั เกดิ คำ� สงกา เหตวุ ่าพญาทง้ั ๒ พนี่ ้อง บ่ได้เอาเครอื่ ง สงครามไปมากหลายแล ยามนั้น มหากัสสปะเจ้า แกวด145 กดหมายรู้ด้วยปรสัญญิตญาณในใจ แห่งพญาท้ัง ๒ เจ้าบ่มักใคร่ให้จิตแห่งพญาทั้ง ๒ กระด้างหดย่อท้ออยู่ จักให้มี จิตใจอันชื่นบานงามปฏิสันถารกัน มหากัสสปะเจ้าจีงให้ท้าวพญาทั้ง ๕ เข้ามา สนทนาจากนั ทา่ มกลางอรหนั ตาเจา้ ทงั้ หลาย แลว้ มหากสั สปะเจา้ จงี กลา่ วปญั หา พญาธรรมว่า เขอื ไป ขามา ขาไป เขอื มา ดงั น้ี จกั ขอดเป็นคาถาพญาธรรมไว้ กบั ปัญหาธรรมนัน้ เพอ่ื ให้เปน็ อนั เล้าโลมใจแห่งพญาทัง้ ๕ นน้ั ว่า คจฉฺ นฺติ นรคจฺฉนฺติ โกเว นรโกเว เญยยฺ า นรเญยยฺ า สากนตฺ ิ นรสากนฺติ โจรํ นรโจรํ เถโน นรเถโน นรา นเุ ร นเุ ร ดงั น้ี มหากัสสปะเจ้าให้ท้าวพญาทั้ง ๕ เข้าใกล้วงกัน ให้วิสาสะคุ้นเคยแกว่น ถ้อยค�ำซึ่งกันไปมา เจ้ากัสสปะหากหลิงเห็นอันพญาสุวรรณภิงคารแลพญา ค�ำแดง จักจุติไปเกิดดอมพ่อเดียวแม่เดียวกันในเมืองอินทปัตถนคร จีงกล่าวว่า เขือไป เพื่อดังน้แี ล บทว่า ขามา น้ัน เจ้าได้หลิงเห็นพญาจุลณีพรหมทัต แลพญาอินทปัตถ นคร จกั จตุ มิ าเกิดร่วมพ่อเดยี วแม่เดยี วกนั ในเมอื งจลุ ณีพรหมทตั บทว่า ขาไป นั้นเจ้าได้หลงิ เห็นพญาตโิ คตรบรู จุตแิ ล้วได้ไปเกิดเป็นพญา ชื่อว่า สรุ ิยวงศา ในเมืองสาเกตนคร พญานนั ทเสนผู้เป็นน้องเสวยราชกินเมือง แทนได้สิบสามปี จีงได้มาสู่ภูกำ� พร้าถะปนั นาธาตุแล้ว คร้ันตาย จงี จตุ ไิ ปเป็นลูก นางศรรี ตั นเทวแี ห่งพญาสุรยิ วงศาแล 145 “แกวด” ก�ำหนด ตรา ออกบทบัญญตั ิ ตำ� นานอรุ งั คธาตุ 65
บทวา่ เขอื มา นน้ั เจา้ ไดห้ ลงิ เหน็ นางศรรี ตั นเทวี จกั ไดจ้ ตุ มิ าเกดิ ในวงศาพญา นนั ทเสน พญาสุริยวงศา เล่าจักได้คนื จตุ มิ าเกิดเป็นลกู พญามรุกขนคร ลวดได้เกิด เปน็ เชอื้ พญาศรโี คตรบรู ได้เสวยราชสมบตั เิ จา้ กษตั รยิ ์แก่บา้ นเมอื งชอ่ื วา่ พญาสมุ ติ ตธรรมราชา เล่าได้นางศรีรัตนเทวีมาเปน็ อคั รมเหสีดงั เก่าแล อนั นี้ เจา้ หลงิ เหน็ ทา้ วพญาทง้ั หลายจกั ไดเ้ ปน็ พญาธรรม ค�้ำชพู ทุ ธศาสนา ในเมืองศรีสัตตนาคในดอยนันทกังฮี แลเมืองจันทบุรีศรีสัตตนาค ด้วยอันเที่ยว ไปเท่ียวมาเปล่ียนกันเป็นพญา มีพญาศรีโคตรบูร แลอมรรัสสี เจ้าสาเกตนคร แต่ก่อนนน้ั เปน็ เค้า หน้ั แล เจ้ากัสสปะตรสั รู้แจ้งด้วยตนดงั นี้ จีงกล่าวปัญหาไว้ว่า คจฉฺ นตฺ ิ นรคจฺฉนตฺ ิ นี้แล แปลว่า เขอื ไป นั้นอัน ๑ เขอื มา นนั้ อนั ๑ แล เจ้าจีงกล่าวปญั หาพญาธรรมขอด ไว้แก่พญาทงั้ ๕ ทอ่ ว่าเจา้ บ่แปลใหแ้ จ้ง ครน้ั วา่ แปลใหแ้ จ้งจกั เปน็ อตุ รมิ นสุ ธรรม แมน้ วา่ พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั รธู้ รรมบเ่ ศษหลอสกั ตวั เหน็ ดว้ ยพทุ ธวสิ ยั กย็ งั ไปก่ ลา่ วใหด้ หู มด เจ้าฮ่มเพิงดังน้ี จีงกล่าวแต่ท่อน้ันว่า เขือไป ขามา พอให้เห็นแล บุคคล ผู้มปี ัญญาเปน็ สปุรสิ าชาไนย หากจกั ตรสั รู้แจ้งแต่ภายหน้าพุ้นแล อนั ว่า อรรถกถาน้ีแปลให้เปน็ ปจั จุบันชาติเหน็ ต่อหน้า จงี แปลให้แจ้งบทต้น ว่า คจฺฉนตฺ ิ นรคจฉฺ นตฺ ิ เพ่ืออนั แล ผู้ประเสริฐต่อผู้ประเสรฐิ เทียวทางมาจวบกนั ก็แฮงซ้�ำเป็นอันประเสริฐย่ิงกว่าเก่า บทน้ี เจ้าหลิงเห็นในท้าวพญาทั้งห้าได้สร้าง บญุ สมภารแสนมหากปั แลไดพ้ ลดั มาจวบมาพบกนั จงี เลา่ ซ้�ำประเสรฐิ ภายหนา้ พนุ้ พร้อมกัน จีงกล่าวว่า คจฉฺ นตฺ ิ เพ่อื อันแล บทว่า โกเว นรโกเว นั้น แปลว่า ผู้ฉลาดอาจต่อผู้ฉลาด อาจหลงหลอ เทียวทางมาจวบกัน ก็แฮงจกั ซ�้ำฉลาดอาจดดู ดี ูงามยง่ิ กว่าเก่าแล บทว่า เญยฺยา นรเญยฺยา นน้ั ผู้รู้ต่อผู้รู้ หลอเทยี วทางมาจวบกัน กแ็ ฮงซำ้� รู้หลักนักปราชญ์สืบตม่ื ไปย่ิงกว่าเก่า บทว่า สากนตฺ ิ นรสากนตฺ ิ น้นั แปลว่า ผู้รกั ต่อผู้รกั กนั เทียวทางมาจวบกนั ก็แฮงซ�้ำรกั ยิ่งกว่าเก่าสืบตมื่ ไปแล อธิบายคาถา ๓ บทว่า ซุคนซุเป็นท้าวพญา ปุญฺญวนฺโต สตฺตารโห แตธ่ รรมชาตวิ า่ ฉลาดอาจรหู้ ลกั รกั ตนตวั ทง้ั รอู้ ยา้ นกลวั แตส่ งั สารทกุ ขภยั มหี วั ใจ เป็นมุงคุลแลรักแก้วท้ัง ๓ เพ่ือตามไต่เอานิพพานเป็นอารมณ์ส่ิงเดียว ความ คดเลย้ี วด้วยการสงครามนนั้ กบ็ ่มีแก่กันแล 66 ทีร่ ะลึกงานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ประจ�ำปีพทุ ธศักราช ๒๕๖๒
บทว่า โจรํ นรโจรํ น้ัน ผู้เป็นโจร เทียวทางมาจวบกนั ผู้เป็นโจร กแ็ ฮงซำ�้ ชวนกันเปน็ โจร จักฆ่าจกั ฟันกันย่งิ กว่าเก่า บทว่า เถโน นรเถโน น้ัน ผู้รู้ลกั ต่อผู้รู้ลัก เทียวทางมาจวบกัน กแ็ ฮงซำ�้ ชวนกนั ไปลกั ย่งิ กว่าเก่าน้ันแล บทว่า นรา นุเร นุเร นั้น ได้แก่คนท้ังหลายฝูงเป็นสัปปุริสะ มีศีล มคี �ำเพียร มาจวบกนั มาพบกันเข้า กแ็ ฮงซ้ำ� มีศีลมีค�ำเพยี รย่งิ กว่าเก่าแล อธบิ าย วา่ พญาทงั้ ๓ องคม์ านี้ บใ่ ชจ่ กั มาเปน็ ขา้ เศกิ แกก่ นั แมน้ วา่ มเี ครอ่ื ง สงคราม ก็บ่ใช่คนลักคนโจรดาย แม่นสัปปุริสะมีเพียรเสมอกันดังพญาพ่ีน้อง ท้ัง ๒ น้ีแล พญาทั้ง ๓ รู้ข่าวว่าพญาทั้ง ๒ จักเอาอุรังคธาตุมาที่นี้ จีงแสวง เอานิพพานดังพญาทง้ั ๒ นั้นแล อนั ๑ มหากสั สปะเจา้ หลงิ เหน็ พทุ ธวสิ ยั อนั กระทำ� นวยยงั ชอื่ ดอยเปน็ บาลี ว่า กปฺปนคิริ แปลว่า ดอยขีนใจ146 เป็นก�ำพร้านั้น เหตุว่า พระพุทธเจ้าอาศัย ซ่ึงพญาติโคตรบูรตนนั้น เม่ือชาติอันหลังพุ้น พญาได้เอาลูกนกแลไข่เต่าไข่แลน มากนิ แลขายยงิ่ นกั จงี ขนี ใจดว้ ยอนั ปราศจาก พอ่ แม่ แลเมยี รกั ลกู รกั เสนาอามาตย์ ผู้เพิงใจ เพ่ืออันแล พญาตนน้ันจักได้ถะปันนาอุรังคธาตุไว้ในดอยอันน้ี จีงว่า ดอยขีนใจภูก�ำพร้า กว็ ่า เพ่อื อนั แล อัน ๑ พระพุทธเจ้าสงั่ ให้เอาธาตหุ ัวอกเมอื เป็นบาลวี ่า อรุ งคฺ ธาตุ มาถะ ปนั นา ใสไ่ วใ้ นดอยกำ� พรา้ ขนี ใจนี้ รอยทพี่ ระพทุ ธเจา้ วา่ พญาตโิ คตรบรู เสมอ อก เหตุว่าพญาเป็นเชอ้ื หน่อพทุ ธวงศาบ่อย่าแล ท้าวพญาทงั้ ๕ อนั มาบัดนแ้ี ม่นเช้อื หน่ออรหันตา เปน็ พญาธรรมสบื ศาสนา ซะแล มหากสั สปะเจา้ หลงิ เหน็ ดงั น้ี ทอ่ วา่ เจา้ บก่ ลา่ วแปลใหพ้ ญาทง้ั ๕ แจง้ ดอม ท่อกล่าวแปลคาถาขอดไว้ให้แจ้งในใจ มหากัสสปะเจ้ารู้บุญคุณอรหันตาเป็น เปรียบเทียมพอประมาณ แล เม่ือพญาท้ัง ๕ ม้าง147 ปัญจขันธ์ ได้มาเกิดเป็นพระอรหันตา จีงหากจักรู้ แจ้งด้วยบุพเพนิวาสญาณและปรสัญญิตญาณ ในปัญหาอันว่า คจฺฉนฺติ นรคจฉฺ นฺติ นัน้ แล เขอื ไป ขามา ขาไป เขอื มา แล แจ้งในบทคาถาอนั ขอดให้ 146 “ขนี ใจ” เขญ็ ใจ 147 “ม้าง” ทำ� ลาย ล้าง ร้อื ตำ� นานอรุ ังคธาตุ 67
จงี สลาด148 แจ้งในใจมหากสั สปะเจ้า แลร้บู ญุ ร้คู ณุ อรหนั ตาเจ้าทง้ั ห้า จงี แปงไว้ ในนิทานอันนี้ เพ่ือให้เป็นวิจิตรปัญจะแก่นักปราชญ์เจ้าทั้งหลายตรัสรู้แจ้ง ภายหน้า เม่ือได้ยังสาวกบารมีญาณพุ้น แลโพธิญาณ บ่ว่าแล เหตุตรัสรู้ธรรม บ่ห่อนเศษหลอสกั เทอ่ื แล บั้นที่ ๑๑ พญาท้ัง ๕ กอ่ อูบมุงอุรังคธาตุ เม่อื น้ัน พญาสุวรรณภงิ คาร พญาคำ� แดง พญาจุลณพี รหมทัต พญาอนิ ทปัตถนคร พญานันทเสน ได้ยินมหากัสสปะเจ้าแปลคาถาให้แจ้ง มีหัวใจชุ่ม ชื่นบานรักแพงซึ่งกันไปมาแล้ว จีงพร้อมกันตกแต่งให้คนทั้งหลายไปเอาหินอัน ก่อบ่แล้วนน้ั มา จกั ก่ออบู มุงใส่อรุ งั คธาตุ มหากสั สปะเจา้ แลอรหนั ตาเจา้ ทง้ั หลายจงี หา้ มวา่ หนิ ฝงู นนั้ ไดก้ อ่ แตก่ อ่ นบแ่ ลว้ ลวดรา้ งเสยี บเ่ ปน็ มงคล อยา่ เอาเทอญ ใหป้ น้ั ดนิ ดบิ กอ่ เปน็ อบู มงุ แลว้ จงี สมุ ไฟเผาเอา ท้อน บ่ลาที่จงี เปน็ บุญแก่ศาสนาไปภายหน้าซะแล อรหนั ตาเจ้าท้งั หลายว่าดงั นี้แล ท้าวพญาท้ัง ๕ จีงคาดแต่งให้คนท้ังหลายปั้นดินดิบ พิมพ์ดินเอาฝ่ามือเจ้า มหากสั สปะแลอรหนั ตาเจ้าเป็นด้าม ได้ดินดิบพอทุกก้�ำแล้ว ให้พญาสุวรรณภิงคารตั้งแรกขุดขุมก่อนแล พญาเจ้าพ่ีน้องทั้ง ๔ มีพญาค�ำแดง พญาจุลณีพรหมทัต พญาอินทปัตถนคร พญานันทเสน จงี ขดุ น�ำ แลให้เสนาอามาตย์ขดุ ขุนน้อยชาวเมอื ง แลคนทงั้ หลาย ขุดซุคนด้วยอันล�ำดับ รากดินลึกเอา ๒ ศอกเจ้ากัสสปะเป็นด้าม แลลวงขวาง ทง้ั ๔ ด้านนน้ั เอา ๒ วาเจ้ากสั สปะหนั้ แล ท้าวพญาทงั้ ๕ ปันด้านกันก่อ พญาจุลณพี รหมทัต มเี งนิ แหน่น ๕ พัน ๕ ร้อย ห้าสบิ แหน่น แลแหน่นหนกั สร่ี ้อย149แล มีคำ� แหน่น ๕ ร้อย ๕ สิบ แหน่น แลแหน่นหนัก ๓ ร้อยแล จงี เอาฆ้องสิบ เก้าจับ150 มเี ก้าหน่วย สิบเจด็ จบั มี ๗ หน่วย ไปรองลุ่มใส่ไว้แล ก่อด้านตะวนั ออกแล พญาอนิ ทปตั ถนคร มเี งนิ แป151 เกา้ ลา้ นเกา้ แสนเกา้ หมน่ื เกา้ พนั เกา้ รอ้ ย เก้าสิบ คำ� แปปกั กระโจมหัวมี ๓ หมืน่ ๓ พนั สามร้อย สามสบิ อัน แล้วจีงหล่อ ทองเปน็ รูปเรือ ใส่ไว้รองลุ่ม ก่อด้านกำ�้ ใต้ แล 148 “สลาด” ฉลาด 149 ไม่ได้ระบุหน่วยว่าเป็นบาทหรือต�ำลงึ 150 “จับ” หน่วยวดั เปน็ กำ� มือ 151 “เงินแป” เหรยี ญเงินแบน 68 ที่ระลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ประจ�ำปีพุทธศักราช ๒๕๖๒
พญาคำ� แดง มีโถน152 หมากค�ำหน่วย ๑ หนกั ๖ หม่นื ใส่แหวนค�ำเต็ม ในไต153 เงิน ๓ แสน กระโจมหัวแก้วมรกต หน่วย ๑ ใส่จกิ คำ� 154 พานคำ� หนกั ๗ พนั คำ� หน่วย ๑ จงี เอาหินมกุ แปงเปน็ หบี ใส่ไว้รองลุ่ม ก่อด้านตะวันตกแล้ว พญานันทเสน มีขันคำ� หน่วย ๑ หนัก ๗ พัน ใส่แหวนเตม็ ขนั เงินหน่วย ๑ หนัก ๙ พนั ใส่ปิ่นเกล้าเต็ม ไตเงิน โอเงิน ๒ หน่วย แลหน่วยนำ้� หนกั หมืน่ เก้าพัน ใส่ม้าวเตม็ มรี ้อยคู่ แลคู่หนกั ๒ พันค�ำแล มเี งนิ ๙ หม่ืนใส่ในฆ้องสบิ ๗ จบั มี ๗ หน่วย สิบ ๕ จบั มี ๕ หน่วย สิบ ๓ จบั มี ๓ หน่วย ไว้รองลุ่ม ก่อด้านเหนือแล พญาสวุ รรณภิงคาร มกี ระโจมหวั คำ� ๒ อนั แลอนั หนัก ๓ หมืน่ สังวาล คำ� ๒ อัน แลอันหนกั ๓ แสน โถนหมากค�ำหน่วย ๑ หนกั ๙ หม่ืน ใส่แหวนแลก ระจอนห1ู 55 เต็ม มขี นั ค�ำหน่วย ๑ หนกั ๗ หม่ืน ใส่วันละคงั 156 เตม็ ไตค�ำหน่วย ๑ หนกั แสน ๑ โอค�ำ ๙ หน่วย แลหน่วยหนกั ๒ พนั โอเงนิ ๙ หน่วย แลหน่วย หนัก ๓ พัน โอนาก ๗ หน่วย แลหน่วยหนกั ๕ พนั รองลุ่มไว้ท่ามกลาง หนั้ แล ท้าวพญาทั้งหลายปนั ด้านกนั จีงก่อ มหากสั สปะเจ้าจงี บอกให้เอาไหน�้ำใหม่ ๔ หน่วยใส่น�้ำมาตงั้ ไว้ แลด้านแล หน่วย เขยี นคาถามงคลโลกใส่ซหุ น่วย สูด ราหุลปรติ ร ใส่น้�ำ แล้วให้ท้าวพญาทงั้ ๕ มพี ญาสวุ รรณภงิ คารเปน็ เค้า ตกั เอานำ�้ นน้ั หดสรง ทง้ั ๔ ด้านเวียนเมือขวา ๓ รอบ จงี ปะไว้ พญาจลุ ณพี รหมทัตจงี ตักนำ�้ ใส่เบื้อง ตะวนั ออก หดแล้วจงี ก่อข้นึ พญาอินทปตั ถนคร พญาค�ำแดง พญานนั ทเสน ก็ กระทำ� ดงั่ เดยี วนน้ั แล กอ่ ดา้ นใดตกั น�้ำใสด่ า้ นนน้ั กอ่ ขนึ้ ทา้ วพญาพรอ้ มกนั กอ่ เปน็ ดังรปู เต่าเปน็ เลาอูบมงุ ข้นึ แต่พ้นื ดนิ วาหนงึ่ ให้เสมอกันเปน็ ส่เี หลีย่ ม จงี ปะไว้ แต่นั้น จีงให้พญาสุวรรณภิงคารก่อขึ้นให้เป็นรูปฝาปาระมีทั้งยอดสุด ทั้งมวลให้ได้วาหนึ่งแห่งเจ้ากัสสปะ จีงแทกแต่เค้าข้ึนเมือยอดสุดได้สองวาเจ้า กสั สปะห้นั แล 152 “โถน” กระโถน 153 “ไต” ถาด 154 “จกิ ค�ำ” ขนั ทองคำ� 155 “กระจอนห”ู ตุ้มหู 156 “วนั ละคงั ” กรองศอ เครอ่ื งประดับสำ� หรับสวมคอ ต�ำนานอุรงั คธาตุ 69
แล้วจีงแปงเตารางท้งั สี่ด้านแล้ว เอาไม้จวง ไม้จนั ทน์ ไม้ก�ำพัก157 ไม้คนั ธรส ไม้เกสนา158 ไม้ชุมพู ไม้นิโครธ ไม้รงั มาเปน็ ฟืนสุม ๓ วัน ๓ คนื สุกดแี ล้ว จีงเอาหนิ หมากก้อมกลางโคกที่เป็นมงคลมาถมขมุ แล้วมหากัสสปะ แลอรหันตาเจ้า แลท้าวพญาทั้งห้า จีงเอาพระอุรังคธาตุ เข้าไปถะปนั นาไว้ในอบู มงุ แล้ว จงี บอกให้ตันปักตูไว้ให้แจบตดิ จิดดีแล้ว ยามนนั้ อรุ งั คธาตปุ ดั ป้อมผ้ากมั พล เสดจ็ ออกมาตง้ั อย่ใู นฝ่ามอื เบอ้ื งขวา แห่งมหากสั สปะหนั้ แล อรหนั ตาเจ้าทั้งหลาย แลท้าวพญาท้ัง ๕ แลเสนาอามาตย์ ได้เหน็ แล้วก็ ยนิ ดีอัศจรรย์เปน็ อนั ยง่ิ นกั จงี ถวายให้เสยี งสาธุการมากนัก ยามน้ัน มหากัสสปะเจ้า คิดฮอดพุทธวจนะสั่งว่าให้เอาอุรังคธาตุไปไว้ ภกู ำ� พรา้ พระพทุ ธเจา้ สงั่ แตท่ อ่ นน้ั บไ่ ดส้ ง่ั ใหถ้ ะปนั นาไว้ เจา้ ตรสั รแู้ จง้ แลว้ จงี แสรง้ กล่าวว่า รอยท่ีพุทธวสิ ัยหลงิ เห็น จักมบี คุ คลท้ังหลายอันเป็นเช้อื หน่อพทุ ธวงศา แลเชอ้ื อรหนั ตา จกั มเี มอ่ื สดุ ซ้อยพุ้น ได้มาสร้างแปงสบื ถะปันนาไว้ ซะแล บัดนี้ เราอย่าได้ถะปันนา ท่อว่าเราท่อตง้ั ไว้ตามคำ� พุทธวจนะสง่ั นน้ั เทอญ ยามน้นั อุรงั คธาตุหวั อกพระเจ้าเล่าหากเสดจ็ เข้าไปอยู่ในอบู มุง ผ้ากัมพล นัน้ ก็หมายออกปกอยู่ดงั เก่า หน้ั แล พญาสุวรรณภิงคารเห็นเป็นอัศจรรย์ คิดถึงค�ำอันเจ้ากัสสปะได้ห้าม ยิ่งสะดุ้งย้านแก่ใจยิ่งนัก ยามนั้นท้าวพญาท้ัง ๕ จีงพร้อมกันแปงปักตูด้วยแป้น ไม้ดู่หับไว้ด้วยขอกระดาน แลแต่งกำ� ลงั ไปเอาหนิ ทเ่ี มืองกุสนิ ารายหน่วยหนึง่ ฝังไว้แจเหนอื แปงรปู อัจ ฉมุกขไี ว้กกหัน้ เพื่อหมายเมืองมงคลในชุมพูทีปแล ไปเอาเมอื งพาราณสีหน่วยหนึง่ ฝงั ไว้แจใต้ แปงรปู อัจฉมุกขไี ว้กกหน้ั หมายเมืองมงคล ๒ หน่วยน้ีกำ�้ ตะวนั ออกแล ไปเอาเมืองลังกาหน่วยหนึ่ง ฝังด้านตะวันตกแจใต้ ไปเอาเมืองตักกสิลานคร หนว่ ยหนง่ึ ฝงั ดา้ นตะวนั ตกแจเหนอื จงี แปงรปู มา้ อาชาไนยไวห้ มายดา้ นเหนอื เหตวุ า่ อรุ งั คธาตพุ ระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ ออกจากอบู มงุ กระทำ� ปาฏหิ ารยิ ์ เพอ่ื ใหร้ ้เู ยอื งอนั บ่ให้ ม้างค�ำพุทธวจนะ ดังนั้น จีงกระท�ำนวยศาสนานครนิทานบ้านเมืองอันอยู่ฝ่ายด้าน 157 “ก�ำพัก” กะล�ำพกั 158 “เกสนา” ไม้กฤษณา 70 ท่ีระลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำ� ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒
กำ้� เหนอื จงี เจอื เมอื มาด้านใต้ จงี ให้ต่าวหน้าม้าอาชาไนยปน้ิ หน้าเมอื เหนอื เพอื่ อนั แล อันน้ี พญาสุวรรณภงิ คาร หากได้สดบั รบั ฟงั อันพระพุทธเจ้าเทศนาแจ้งไว้ใน นิทาน จีงให้แปงไว้ ซะแล เจา้ กสั สปะใหแ้ ปงรปู มา้ พลาหกตวั หนง่ึ ปน้ิ หนา้ มาเหนอื อยเู่ รยี งอาชาไนย หมาย ว่า แม้นพญาตโิ คตรบูรตนจักได้มาถะปนั นาอรุ ังคธาตุ คำ�้ พุทธศาสนาเท่า ๕ พนั วัสสา นนั้ เทอญ เกิดกำ้� ฝ่ายใต้ขึน้ เมอื เหนือแล้ว จีงให้เป็นดังม้าพลาหกตัวประเสรฐิ นี้ ซะแล ว่าดังน้ี บทว่า อาชาไนยแลพลาหกน้ี ตัวพญาทั้ง ๕ ได้เถิงอรหันตาเจ้า ทง้ั ห้าแจ้งในปญั หาด้วยบุพเพนวิ าสญาณปรสัญญติ ญาณ จงี แปงไว้ในนทิ านทีน่ ้ี แล นักปราชญ์เจ้าท้ังหลายดูนิทานแล้ว แลคอยพิจารณาฟังใช้ในประญา159 ไปตามดูในปรมัตถธรรมพุ้นเทอญ ยามน้ัน มหากัสสปะเจ้าพาอรหันตาเจ้าทั้งห้าร้อยวัตรปทักขิณ ๓ รอบ แล้วจีงเมือซุท้าวพญาทั้ง ๕ จีงพร้อมกันอธิษฐานเวนข้าวของเงินค�ำพร้อมด้วย เครื่องบริโภคทั้งมวล อันถะปันนาบูชาไว้รองลุ่มน้ันด้วยค�ำว่า ข้าวของฝูงน้ีเป็น พุทธสนั ตกะ ตราบต่อเท่าห้าพนั วสั สา พุ้นเทอญ ว่าดังน้ีแล้ว พญาสุวรรณภิงคาร แลพญาค�ำแดง จีงพร้อมกันปรารถนา ว่า ขอให้ฝูงข้าพี่น้องได้เกิดร่วมท้องพ่อแม่เดียวกัน ให้ได้มาบวชในพุทธศาสนา เปน็ พระอรหนั ตา อย่าได้ให้ราพน่ี ้องพลดั พรากจากกนั เทอญ ว่าฉันนี้แล้ว พญาจุลณีพรหมทัต พญาอินทปัตถนคร หลองได้ยินแล้วมี หัวใจชมช่นื ยนิ ดกี ไ็ ยหลน่ิ ว่า เมอื่ ก่ออูบมุงนนั้ พญาเจ้าพ่นี ้องแลข่อยทง้ั หลาย กย็ ัง ชกั ชวนอวนกนั กอ่ พรอ้ มกนั ซะแล หากปรารถนาเอาแล บช่ กั จงู ขอ้ ยทง้ั หลายสงั จา พญาสุวรรณภิงคาร จีงว่า ข้าบ่ได้ชักชวน เหตุว่าพญาเจ้าทั้ง ๓ มีค�ำ ปรารถนาอันต่างกันน้ันบ่รู้ ข่อยท้ังสองจีงบ่ได้ชวน เพื่ออันแล โบราณว่า ปลูก เรอื นตามผอู้ ยู่ วา่ ดงั นนี้ า ครนั้ วา่ มกั เทยี วทางดอมกนั แท้ กจ็ งปรารถนานำ� เทอญ พญาจลุ ณพี รหมทตั พญาอนิ ทปตั ถนคร จงี พรอ้ มกนั ปรารถนาวา่ ขอให้ได้ เกิดร่วมท้องพ่อแม่เดียวกัน แลให้ได้บวชในพุทธศาสนาพระพุทธเจ้า ให้ได้เป็น พระอรหนั ตา ดงั พญาเจ้าพีน่ ้องนัน้ เทอญ พญานันทเสน จีงปรารถนาว่า สาธุ สาธุ ผู้ข้าหากได้ก่อด้านหน่ึงพูดตน ผู้ข้าขอให้ได้มาบวชในพุทธศาสนา เปน็ อรหันตาตนถ้วนห้านน้ั เทอญ 159 “ประญา” ปรัชญา ปัญญา บางแห่งใช้ ผญา ต�ำนานอรุ งั คธาตุ 71
ยามนนั้ อรหนั ตาเจา้ หา้ รอ้ ย มมี หากสั สปะเจา้ เปน็ ใหญ่ พรอ้ มกนั ใหพ้ รวา่ ใหไ้ ดด้ งั คำ� มกั คำ� ปรารถนา แกพ่ ญาพน่ี อ้ งทงั้ ๕ อยา่ คลาดแคลว้ เสยี เทอญ ใหไ้ ด้ บวชในศาสนาเถงิ อรหนั ตาซตุ น อย่าคลาดแคล้วดงั คำ� ปรารถนาน้นั เทอญ ว่าดังน้ีแล้ว อรหันตาเจ้าท้ังหลายจีงเสด็จหนีไปทางอากาศ สู่เมืองราช คฤหา เพ่อื ว่าจกั สังคายนาธรรม ซะแล ถัดนัน้ ท้าวพญาทง้ั หลาย แลน้องพญา กบั ทั้งพระราชบตุ ร ชมุ นมุ สัง่ กัน พญานันทเสนจีงปฏิสัณฐานต้านจารจาถึงพญาสาเกตนครแลพญากุรุนทะน้ัน บ่มาก่ออูบมงุ ดอมเราทงั้ หลายสังจา พญาค�ำแดงจงี ว่า อรหันตาเจ้าท้งั หลายบ่ได้น�ำอรุ งั คธาตุพระพทุ ธเจ้ามา ทางนน้ั พระเปน็ เจ้านำ� มาเมอื งหนองหาญหลวงพแ้ี ล ผขู้ ้าร้ขู า่ วดอมอรหนั ตาเจ้า ไปบิณฑบาตในเมอื งหนองหาญน้อย ผู้ข้าจงี ลดั มาก็ซ�้ำว่าบ่ทันดหี ลี ซะแล ถดั นัน้ พญาสวุ รรณภงิ คารว่า พญาจุลณีพรหมทตั อยู่ฟากแม่นำ้� พุ้น แล พญาอินทปัตถนครหลวงอยู่ไกลนัก ก็ยังรู้ข่าว ได้มาพร้อมกันทันกันได้ก่อดอม กับอรหันตาเจ้าทง้ั หลายก่ออบู มงุ ซะแล บุคคลทั้งหลายเกิดมาในโลกนี้ หากยังได้พ�ำเพ็งบุญสมภารกตาธิการแต่ ชาตกิ อ่ นมาก จงี ไดม้ าจวบมาพบกนั ในกาลบดั นเี้ ปน็ อนั ประเสรฐิ ยง่ิ กวา่ ประเสรฐิ ดหี ลี หน้ั แล ปางเมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ไปไ่ ดเ้ ขา้ สนู่ พิ พาน มาสมุ รอยปาทลกั ษณไ์ วแ้ คม หนองหาญหลวง ยามนนั้ พระพุทธเจ้าก็เทศนาไว้แก่ผู้ข้าว่า กจิ โฺ ฉ มนุสสฺ ปฏลิ าโภ กจิ ฺฉํ มจฺจาน ชวี ิตํ กจิ ฉํ สทธฺ มฺมสฺสวนํ กจิ ฺโฉ พุทฺธานํ อุปปฺ าโท ดังนแ้ี ล อธบิ ายให้แจ้งว่า บคุ คลทงั้ หลายแลเกดิ ในวฏั ฏสงสารน้ี จกั ให้ได้เปน็ คนก็ ยากนักอันหน่ึง ก็จักให้มีชีวิตแลจักเล้ียงชีวิตก็ยากอันหนึ่ง จักให้ได้ฟังรสธรรม พระเจ้าแลให้รู้จักรสธรรมก็เป็นอันยากอันหน่ึง แลก็จักให้เกิดมาได้มาพบพุทธ บาทศาสนากเ็ ป็นอันยากนักอนั หนง่ึ เหตวุ ่าอุปนสิ ยั แต่หลงั บ่มี น้ันกบ็ ่ห่อนว่าจกั ได้มาพบข้าวของอนั ประเสรฐิ ซะแล 72 ทรี่ ะลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ประจ�ำปพี ุทธศักราช ๒๕๖๒
บัดนี้ เราเจ้าข่อยท้ังหลาย ได้มาจวบมาพบอรหันตาเจ้าท้ังหลายห้าร้อย ตนน้ี แลได้มาก่ออูบมุงใส่อุรังคธาตุพระพุทธเจ้าดังน้ีแล้ว เราเจ้าข่อยพี่น้อง ท้ังมวลน้ีก็จักดับทุกข์ในวัฏฏสงสาร ได้เถิงยอดสุขคือนิพพานธรรมเจ้าเม่ือ ภายหน้านนั้ บ่สงสัยแท้ดหี ลี ซะแล พญาจลุ ณพี รหมทตั พญาอนิ ทปตั ถนคร พญานนั ทเสน พญาคำ� แดง ไดย้ นิ คาถาท้ัง ๔ บทนี้ อันพญาสุวรรณภิงคารหากกล่าว มีหัวใจชุ่มชื่นบานเหมือน ดงั มีบุคคลหากมาหดสรงด้วยน�้ำอนั บ่รู้ตายนนั้ ใส่แท้ดหี ลี ห้นั แล พญาจุลณีพรหมทัต มคี �ำห้าร้อยแหน่น แลแหน่นหนักสามร้อยบูชา พญาอนิ ทปัตถนครมเี งินแปสามแสนบชู า พญานันทเสนมขี ันคำ� สามหน่วย แลหน่วยหนักสามหมน่ื บชู า พญาคำ� แดงมีเงินด้วงสามแสนบูชา ท้าวพญาท้ังสี่พร้อมกันบูชาพญาสุวรรณภิงคารด้วยคาถาอันน้ี แลพญา แลบทคาถาหัน้ แล พญาสุวรรณภงิ คารกจ็ ูงเอาแขนพญาคำ� แดง พญาจลุ ณีพรหมทัต พญา อนิ ทปตั ถนคร กจ็ ูงแขนกัน ท้ังพญานันทเสนเข้าบายมอื พญาท้งั ห้าซุคนแล้ว สั่ง กนั แล้วกล็ าพรากจากกนั ทภ่ี กู ำ� พร้าแล้ว แลหนเี มอื ส่บู ้านเมอื งแห่งตน หนั้ กม็ แี ล กล่าวอันอรหันตาเจ้าห้าร้อยตน มีมหากัสสปะเจ้าเป็นประธาน น�ำเอาอรุ ังคธาตมุ าแตเ่ มอื งราชคฤหามาถะปนั นาในภกู ำ� พร้าหัน้ แลกล่าว พญาท้ังหา้ ก่ออบู มงุ ไวอ้ รุ ังคธาตุพระเจ้าในท่ภี ูก�ำพร้าแลว้ ท่อนกี้ ่อนแล บั้นที่ ๑๒ พญาอินทราธริ าชมาบชู าพระอุรงั คธาตุ เมื่อท้าวพญาท้ังห้าลาพรากจากกันแล้วดังนั้น ถัดนั้น จักจาบั้นพญา อินทราธริ าชทั้งวิสสุกรรมเทวบุตร มาตกแต่งยังบุญเดาดา จงี ลงมาสกั การบูชา อุรังคธาตพุ ระพุทธเจ้าทด่ี อยกำ� พร้าในเมอื งศรีโคตรบอง หน้ั แล วิสสุกรรมเทวบุตรจีงเทียรทัน160 เทวบุตรเทวดาท้ังหลายฝูงมีช่ือนาม บัญญัติตามตระกลู วงศา แลเทวดาฝูงมชี ่อื บ่ปรากฏมาเค้ามาโฮมแล้ว ก็คาดให้ ถอื เครอื่ งอุปัฏฐากสักการบูชาคารวะทงั้ มวลอันมาก 160 “ทนั ” เชญิ เรยี กให้มา ต�ำนานอุรังคธาตุ 73
จตรุ งั คเทวบตุ รทง้ั ๔ มบี รวิ ารพนั หนง่ึ เป่าหอยสังขอ์ วนไปก่อน ถดั นน้ั เทวดาพนั ตน ถอื ชอ่ เทวดาพันตน ถอื ธุง เทวดาพนั ตน ถอื ดอกไม้เครอ่ื งสกั การะบูชา เทวดาพนั ตน ถอื ดอกโกมทุ เทวดาพนั ตน ถอื ดอกกสุ มุ พุ ถัดนน้ั เทวดาสส่ี ิบตน ถอื ผา่ นตะวนั เทวดาสส่ี บิ ตน ถอื เสตตฉัตร เทวดาสี่สบิ ตน ถอื วแี กวง่ เทวดาส่ีสบิ ตน ถอื จำ� มรแกว่ง ครนั้ วา่ เอาเครอื่ งทงั้ มวลฝงู นไ้ี ปฮอดภกู ำ� พรา้ แลว้ จงี เขา้ มาถวายพญาอนิ ทร์ เจาะใส่หวั แล้วไปเอาให้บุปผาเทวบตุ รเอาไปอยายบูชาซุด้านให้เสมอกันเทอญ ถัดน้นั เทวดาสร่ี ้อยตน ถอื ประทีปคำ� เทวดาสีร่ ้อยตน ถอื ขันเงนิ ใสเ่ ทียนค�ำ ถดั นน้ั เทวดาส่รี ้อยตน ถือ ขนั นากใส่เทยี นคำ� เทวดาสร่ี ้อยตน ถอื ขนั ค�ำใส่เทยี นคำ� เทวดาสร่ี ้อยตน ถอื ขนั คำ� ใส่ประธปู ค�ำ ถดั นั้น เทวดาส่รี ้อยตน ถอื ขันคำ� ใส่ข้าวตอกดอกไมท้ ัง้ มวล เทวดาส่ีสิบตน ถอื โคมไฟเยือง161 คร้ันว่า เคร่ืองท้ังมวลฝูงน้ี ฮอดภูก�ำพร้าแล้วจีงเข้าไปถวาย พญาอินทร์ เจาะแล้วจีงให้อคั คหิ ตุ ตเทวบุตรเอาไปอยายบูชาซุด้านเสมอกัน ถดั นนั้ วสั สวลาหกเทวบุตร มบี ริวารพนั หนง่ึ ถอื วีหางยูงค�ำ นรคันธรรพเทวบตุ ร มบี รวิ ารพนั ตน ถอื เครอื่ งเสพ ปญั จสกิ ขเทวบุตร มบี ริวารพนั หนง่ึ ถอื พิณค�ำ องั กุรเทวบตุ ร มบี ริวารพนั หน่งึ ให้ ตบมอื บชู า ถดั นนั้ สมุ ติ ตเทวบตุ ร มบี รวิ ารพนั ๑ ใหถ้ อื นำ้� เตา้ แกว้ มณฝี าหบั ค�ำประดบั แกว้ แขบตนี ค�ำ 161 “เยือง” ส่อง 74 ทร่ี ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ประจ�ำปพี ุทธศกั ราช ๒๕๖๒
สุวรเทวบุตร มบี รวิ ารพัน ๑ ให้ถือ ขันค�ำใส่อูบเม่ยี งคำ� แกว้ อากาศสจั จารนิ เิ ทวบตุ ร มบี รวิ ารพนั ๑ ใหถ้ อื ขนั แกว้ มรกต เครอื่ ง ขนั หมาก มี บอกปนู ซองพลู สอ่ มหมาก162 อบู นวด163 ดา้ มมดี แกว้ วชริ เพชร ทง้ั มวล มหี มากสอบพลูค�ำบ่รเู้ ห่ยี วเทา่ ห้าพนั วัสสา เท่ากาลบดั นี้ ขนั ซมุ นี้ นางสชุ าดา แต่ง ถัดนนั้ อทุ กเทวบตุ ร ถอื น�้ำเต้าแกว้ เขยี วฝาหับคำ� ประดบั แก้ว ตีนน้ำ� เตา้ แกว้ ปัพพาลาย สคุ ันธเทวบตุ ร ถือ ขนั ค�ำใส่อูบเมย่ี งแก้วผลกึ สุปติฏฐิตเทวบุตร ถือ ขันหมากแก้วพิฑูรย์ เคร่ืองขันหมากแล้ว ดว้ ยแก้วมหานลิ มีหมากดิบพลคู �ำบ่รู้เห่ียวเทา่ ๕ พนั วสั สา ล้วนขันน้ี นางสจุ ิตรา แต่ง ถดั นน้ั โธทนาคเทวบตุ ร ถือ น้�ำเต้าคำ� ตัน ขนั ค�ำประดบั แกว้ ถดั นั้น อุชชกเทวบตุ ร ถือ ขันคำ� ใส่อูบเม่ยี งค�ำ สุเทพเทวบุตร ถือ ขันค�ำเคร่ืองขันหมากแก้วผลึก มีหมาก สุมพลูคำ� บร่ เู้ หย่ี วเทา่ ๕ พนั วัสสา ขันซุมน้ี นางสนุ นั ทา แต่งแล ถัดนนั้ มณั ฑกเทวบุตร ถอื นำ�้ เต้าแกว้ ขนั ค�ำ ตงั่ ขันเงิน ถดั นน้ั อลุ กุ เทวบตุ ร ถอื ขนั คำ� ใสอ่ บู เหมยี่ งคำ� ประดบั แกว้ มกุ ดาหาร มัฏฐกุณฑลีเทวบุตร ถือ ขันค�ำเคร่ืองขันหมากค�ำล้วนทั้งมวล มหี มากสอบพลูค�ำบร่ ้เู ห่ียว เท่า ๕ พนั วสั สา ขนั ซุมน้ี นางสธุ รรมา แต่งแล ถัดน้ัน จตุรังคเทวบุตร ๔ ตน ถือ ดาบศรีขรรค์ไชยด้ามแก้ว วชริ เพชรฝักค�ำ แห่ซ้องหน้าพญาอนิ ทร์ พญาอนิ ทร์นน้ั มือขวาถือดอกลลี วงคำ� ๑๕ ดอก 162 “ส่อมหมาก” จอกหมาก 163 “อูบนวด” ตลับข้ผี งึ้ สปี าก ตำ� นานอุรังคธาตุ 75
ถดั นน้ั จตรุ งั คาวทุ ธเทวบตุ ร ๔ ตน ถอื ดาบดา้ มแกว้ มรกตฝกั คำ� แห่ซ้องหน้าข้างขวา ถดั น้ัน จตรุ งั คาวทุ ธเทวบุตร ๔ ตน ถือ ดาบด้ามแก้วพฑิ รู ย์ฝักคำ� แห่ข้างซ้าย ถัดน้ัน จตุรังคาวุทธเทวบุตร ๔ ตน ถือ ดาบด้ามแก้วผลึกค�ำ แห่มบุ 164 หลัง ถัดน้ัน อนิ ทจติ ตเทวบตุ ร ถือ แส้แก้ววชริ เพชรแข่วค�ำ จัดเตนิ 165 ถดั นน้ั มาตลีเทวบตุ ร ถอื สายขนันม้าอาชาไนยพลหกเทยี มรถ ถัดน้ัน อานมุ าเทวบุตร ถือ ประคอื ไชย166 พันหางอยู่ก�ำ้ หน้า ถัดนั้น นังคสารถีเทวบุตร อยู่หน้าราชรถ ถือ ประคือไชยค�ำ ๗ หาง กวัดแกว่ง สปุ ิยเทวบตุ ร ถอื ขันค�ำใสโ่ อน�้ำอบ มาคาริเทวบุตร ถอื ขันคำ� ใส่ข่ายดอกมะลเิ ทศ ถดั น้นั นางโรหณิ ี ถอื ขนั แก้วมหานลิ ใสเ่ ทยี นค�ำ นางสารวตั ติเกสี ถอื ขนั คำ� ใส่ประธปู คำ� นางปตบิ ปุ ผา ถอื ขนั ค�ำใส่ดอกพรหมมะลกิ า นางคันธาลวดี ถือ ขนั คำ� ใสข่ วดจันทน์ค�ำ นางสชุ าดากัลยา ถอื ดอกบัวค�ำ ๑๕ ดอก นางสจุ ติ รา ถือ ดอกบุณฑริก ๑๕ ดอก นางสนุ นั ทาราชกลั ยา ถอื ดอกนลิ บล ๑๕ ดอก นางสธุ รรมาราชกัลยา ถือ ดอกจงกลร้อย ๕ สบิ ดอก ถัดนั้น นางเทวดาทั้งหลาย ๓ แสนตน ถือช่อธุง ถือดอกไม้ ถอื เทียน ตามใจมกั ถัดนั้น เทวทูตเทวบุตร เทวทูตเทวดาท้ังหลาย มักว่าชุมโถง167 แลใช้ช่วงฝูงนไ้ี ด้ ๓ แสนตน ถือ ทวนดอกไมก้ างของตา่ งฮ่มก้งั เทวบุตรเทวดา ทั้งหลายทว่ั โลกกอ็ ยู่ด้วยฮ่มอันนนั้ เสยี ท้งั มวล 164 “มุบ” ตาม 165 “เตนิ ” ประกาศ 166 “ประคอื ” ธงที่ชายธงทำ� เป็นร้วิ แฉก 167 “โถง” โสด 76 ท่ีระลึกงานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ประจำ� ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๖๒
ถัดนั้น มาตลีเทวบุตรแลอนุมาเทวบุตร นังคสารถีแนมราชรถ ถอื ประคือไชย ถัดนั้น เทวดาท้ังหลายแสนหนึ่งถือเทียน แสนหนึ่งถือธุง แสน หนึง่ ถือดอกไม้ ถัดน้ัน พญาทั้ง ๔ ถือระฆังค�ำ มีบริวารแสน ๑ ถือช่อธุงเทียน ดอกไมแ้ ห่กำ้� ขวา ถดั นนั้ สรุ ยิ เทวบตุ ร จนั ทรเทวบตุ ร มอื ซา้ ยถอื ดอกไมช้ ะเอมเทศ มือขวาถือหอยสงั ข์ มบี รวิ ารแสน ๑ ถอื ชอ่ ธงุ เทยี นดอกไมแ้ ห่ก้�ำซ้าย ถัดน้ัน เทวดาทั้งหลาย ๓ แสน ถือดอกมัททวรี แลถือธุง ถือเทียน ตามค�ำมัก มุบหลงั ทง้ั มวล วิสสุกรรมเทวบุตรตกแต่งแปงปุนไว้แล้ว จีงให้ สีสุนันทเทวบุตร สีมหามายาเทวบุตร วิสาขาเทวบุตร มีบริวารแสน ๑ ลงมาช�ำระกวาดแผ้ว ไขปักตูอบู มุงไว้ก่อน วิสสุกรรมเทวบุตร มือซ้ายถือดอกบัวค�ำ มือขวาถือมีดควัด168 ดา้ มแกว้ มรกตยาวเก้าวา ธรรมกถกิ เทวบตุ ร มอื ซา้ ยถอื ดอกบวั คำ� มอื ขวาถอื ขวดแกว้ นำ�้ มนั ทพิ ย์ ลงมาฮอดภกู �ำพร้า ยามตดุ ตัง้ ม้อื ค่�ำ169 วสิ สกุ รรมเทวบตุ รขาบไหว้ เวยี นปทกั ขณิ ๓ รอบเมอื ขวาแลว้ จงี ควดั ลาย ดินสุกเบ้ืองตะวันออกเวียนเมือขวาฮวายไว้ แล้วจีงเอามงคลโลกกล่าวคาถาว่า พทุ ฺธํ มงคฺ ล โลเก ดังนี้ แล้วควดั รปู พญาตโิ คตรบรู ข่มี ้าพลาหก รปู พญาสุวรรณภงิ คารขม่ี ้าไปอากาศ ควดั รูปสองอนั น้กี ่อน ธรรมกถึกเทวบุตรเหีย170 น�้ำมันทิพย์ ให้สีแลทา นางสุนันทเทวบุตร แลสีมาหามายาเทวบตุ ร แลวสิ าขา แลเทวบุตร ทาลายวัลย์ 168 “มดี ควัด” ผ่งึ เครอื่ งมือถากรปู ร่างคล้ายจอบ 169 “ยามตุดตั้งม้ือค�ำ่ ” เวลา๑๘.๐๐ -๑๙.๓๐ น. 170 “เหยี ” เท ต�ำนานอุรงั คธาตุ 77
จีงควัดรูปพญาจุลณีพรหมทัตขี่ช้าง รูปราชบุตรข่ีม้า รูปเสนา อามาตย์ แลบรวิ ารทัง้ หลาย ลายดอกไม้เจอื กันไปด้าน(วนั )ออกแล ก�้ำด้านใต้ ควัดรูปพญาอินทปัตถนครขี่ช้าง รูปน้องพญาขี่ม้า เสนาอามาตย์ แลบรวิ าร ลายดอกไม้ไว้เจอื กันใส่ ก�้ำด้านตะวันตก ควัดรูปพญาค�ำแดงขี่ช้าง รูปเสนาอามาตย์ข่ีม้า แลบริวาร ลายดอกไม้มทั ทวรไี ว้เจอื กัน ก้�ำด้านเหนือ ควัดรูปพญานันทเสนข่ีช้าง น้องพญาขี่ม้า รูป เสนาอามาตย์กบั บรวิ าร ถือลายดอกไม้ไว้ให้ เจอื กนั ควดั รปู พญาตโิ คตรบรู แลรปู พญาสวุ รรณภงิ คารนนั้ ควดั ไวด้ ซี ดุ า้ น ก�้ำเทิงอากาศน้ันจีงควัดรูปสีสุนันทเทวบุตร แลรูปสีมหามายา เทวบตุ ร แลวสิ าขาเทวบุตร อยายไว้ซดุ ้านแล แล้ววสิ สกุ รรมเทวบุตรจงี เข้าไปในอบู มงุ จีงควัดรูปพญาอินทรธิราชปิ้นหน้าเมือเหนือ มือขวาถือดอกไม้ ลีลวงค�ำ มอื ซ้ายถอื วคี �ำ ควัดรปู นางสุชาดา มอื ซ้ายนบ มอื ขวาถือดอกบัวค�ำ ควัดรูปนางสุจติ รา มือขวานบ มอื ซ้ายถือดอกบณุ ฑรกิ ควดั รูปนางสนุ นั ทา มอื ซ้ายนบ มอื ขวาถือดอกนลิ บล ควัดรปู นางสธุ รรมา มอื ขวานบ มอื ซ้ายถอื ดอกจงกล แล้วจงี ควัด รูปนางโรหณิ ี มอื ขวาถอื ขนั แก้วมหานลิ มือซ้ายนบ ควัดรูปนางสารวัตติ รูปเกสี แลนางปติบุปผา รูปนางคันธลาวดี มือขวาถอื ขันค�ำ มือซ้ายนบแล รปู ทง้ั หลายฝงู นไ้ี ว้ด้านตะวันออกทงั้ มวลแล จงี ควัด รูปวสิ สุกรรมเทวบตุ ร มอื ขวานบ มอื ซ้ายถอื มีดควดั รูปธรรมกถกึ เทวบุตร มือซ้ายนบ มอื ขวาถือขวดแก้วน้�ำมันทิพย์ รูปนางสีสุนันนทเทวบุตร ควัดรูปนางสีมหามายาเทพบุตร ควัด รปู นางวสิ าขาเทวบุตร ยอมอื นบนำ� กนั ไว้ด้านใต้ 78 ทรี่ ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจำ� ปีพุทธศกั ราช ๒๕๖๒
แลว้ จงี ควดั รปู พญาสวุ รรณภงิ คาร แลรปู พญาคำ� แดง จงู แขนกนั แล ควดั รปู พญาจลุ ณพี รหมทตั แล พญาอนิ ทปตั ถนคร จูงแขนกัน ควัดรูปพญาติโคตรบูร แลควัดพญานันทเสน จูงแขนกัน แล้ว ปิ้นหน้าเมือเบอ้ื งตะวนั ตกแล ควัดรูปนางศรรี ัตนเทวีไปซ้องหน้าเหลยี วคืนหลงั แล ควดั รูปพญาตโิ คตรบรู นงั่ น�ำนาง อว่ายหน้าสู่ตะวันออก แลว้ จงี ควดั รปู มหากสั สปะเจา้ มอื ซา้ ยถอื ไมเ้ ทา้ มอื ขวาแปนไวเ้ ปลา่ ควัดรูปอรหันตาเจ้า ๕ ร้อยตน พายบาตรยอมือนบแล รูปฝูงนี้ไว้เทิง ภายบนหัว รูปพญาทง้ั ๖ มี พญาสวุ รรณภงิ คาร เป็นเค้า ไว้เทิงเบอ้ื งตะวันตก ด้านเหนอื แล้วควัด รูปอินทจิตตเทวบุตร รูปมาตริเทวบุตร รูปอนุมาเทวบุตร นงั คสารัตถเี ทวบุตร ถัดนั้น รูปปัญจสิกขเทวบุตร รูปอังกุรเทวบุตร รูปนรคันธรรพเทวบุตร รูปวัสสวลาหกเทวบุตร รปู สปุ ิยเทวบตุ ร แลสุรยิ ะเทวบตุ ร มาภารเี ทวบตุ ร แลว้ จงี ควดั รปู เทวบตุ รทงั้ หลายฝงู ปรากฏ ถอื เครอื่ งอปุ ฏั ฐาก มบี ปุ ผเทวบตุ ร อคั คหิ ุตตเทวบตุ ร เป็นเค้า แลรปู เทวบตุ รฝงู มชี ่ือตามตระกลู วงศาทง้ั มวล แล้วจีงควัดเปน็ รปู ดาวขันไว้ จีงควัดรูปพญาจตุโลกบาลท้ัง ๔ รูปสุริยะจันทะเทวบุตรแลรูปนางเทวดา ทั้งหลายนบน�ำกันด้วยลำ� ดบั แล ๒ แล ๓ แล เดอื นสบิ สองเพญ็ วนั ๓171 ยามตดุ ตงั้ มอื้ คำ�่ วสิ สกุ รรมเทวบตุ รมาฮอดภกู ำ� พรา้ ได้ควดั ลายรปู ท้งั หลายฝูงกล่าวมาน้ีแลว้ ยามกลองเดิก172 แลว้ บรบวร ห้นั แล ยามน้ัน จตุรังคเทวบุตรทั้งหลายเป่าหอยสังข์อวนหน้ามาฮอดในเขตที่ ภกู ำ� พรา้ แลว้ พญาอนิ ทราธริ าชลงมาในอากาศมาฮอดยงั ทแ่ี คมนำ้� ธนนทกี ำ�้ ตะวนั ออก วสิ สกุ รรมเทวบตุ รไปตอ้ นรบั เอาดอกลลี วงคำ� ดอมพญาอนิ ทราธริ าชกบั นางทง้ั หลาย เข้าแทบใกล้แล้วคกุ เข่า อาสนะทพิ ย์ก็เกดิ มีมาแล้วไหว้นบพร้อมกนั งามนัก 171 “วัน ๓” วันอังคาร 172 “ยามกลองเดิก” เวลา ๑๙.๓๐ - ๒๑.๐๐ น. ต�ำนานอรุ ังคธาตุ 79
ถดั นน้ั เทพบตุ ร เทพดาทงั้ หลาย กไ็ หว้นบพร้อมกนั ดงั่ เดยี วกนั แล ครน้ั ว่า พญาอนิ ทรม์ าสถติ อยแู่ ลว้ เทพบตุ รเทพดาทง้ั หลาย ถวายเครอ่ื งสกั การบชู าดว้ ย ล�ำดับ พญาอินทร์เจ้าก็เจาะใส่หัวแล้ว ให้อัคคิหุตตเทวบุตร บุปผาเทวบุตร จีงน�ำเอาไปอยายทง้ั ๔ ด้านให้เสมอกนั วิสสุกรรมเทวบุตรกเ็ ข้าไปในอบู มุง ไขอบู อรุ ังคธาตไุ ว้ พญาอินทร์เจ้าจีงเข้าไป นางทั้งหลายเข้าไปน�ำ เทพบุตรซุม173 ถือเคร่ือง อุปัฏฐากก็เข้าไปน�ำ จตุรังคเทวบุตรท้ังหลายฝูงถือเคร่ืองอาวุธดาบมุงคุล จตุรังค เทวบุตรฝูงถอื ขรรค์ไชย อยู่ตนั ปกั ตูไว้แลด้านแลตน แวดล้อมทกุ ภายหลายชัน้ นัก อินทจิตตเทวบุตรถือแส้แก้ววชิรเพชรเวียนบอกจัดเตินเทวบุตรทั้งหลาย ฮอดทกุ กำ้� ซุด้าน นรคันธรรพเทวบุตรท้ังหลายก็ตีตุริยนนตรีเสพ ปัญจสิกขเทวบุตรก็ ดดี พณิ ค�ำแล พญาอินทร์เย่ียมดูลายฝ่ายตะวันออก จีงเห็นรูปตนแลรูปนางท้ังหลาย พญาอนิ ทร์กแ็ ย้มหวั นางท้ังหลายกแ็ ย้มหวั ดอม เทวบตุ รเทวดาทง้ั หลายกต็ ง้ั ขนั หมากแลนำ�้ เตา้ คณั ฑคี ำ� อบู เมย่ี ง อปุ ฏั ฐาก ไว้ด้วยล�ำดับ พญาอนิ ทรเ์ จาะ ๗ ทแี ลว้ จงี เอาเทยี นดอมนางคนั ธลาโรหณิ ไี ต้ เอาประธปู ดอมนางสารวตั ติเกสีจดุ ไว้ เอาดอกไม้ดอมนางปติบปุ ผามาตัง้ ไว้บชู า เครือ่ งฝงู นี้ ต้ังไว้เท่า ๕ พันวัสสา เอาขวดจันทน์ดอมนางคันธลาวดีเข้าหดสรงอุรังคธาตุ แลหับไว้ดังเก่า เอาโอน้�ำอบดอมสุปิยเทวบุตรหดสรงอูบมุงก�้ำนอก จีงเอาข่าย ดอกมะลิเทศดอมมาตลีเทวบุตร ปกอุรังคธาตุเจ้าแล้วเจาะใส่หัว ๗ ที นาง ทง้ั หลายเจาะใส่หวั นำ� ด้วยล�ำดับ แล้วพญาอินทร์จงี ให้นางสุธรรมาอยายดอกจงกล ร้อย ๕๐ ดอก ใส่คู่แจ เสมอกัน อธบิ ายว่า ดอกจงกลทพิ ย์ ครน้ั ว่าอยายยังอยู่กบั มอื ท่อใด เกิดมาเปน็ คู่ท่อนั้นบ่รู้หมดเสี้ยง ครั้นว่า อยายแม่นแต่แจท�ำอิดก็หมดจากมือแจ ๒ ถ้วน ส่ิงน้ันเสมอกันแล อยายบ่แม่น ดอกจงกลก็เล่าเกิดมาเหลืออยู่กับมือ เลิกเทื่อ เล่าบ่พอแจ ก็มแี ล 173 “ซุม” พวก 80 ทีร่ ะลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำ� ปีพุทธศกั ราช ๒๕๖๒
นางสธุ รรมากอ็ ยายเถงิ ๓ ที บแ่ มน่ คดู่ า้ น คนื มาไว้ดงั นนั้ ดอกไมก้ ย็ งั ทอ่ เก่าแล พญาอนิ ทร์จงี อยายลลี วงคำ� ๑๕ ดอก เอาออกใส่แจทำ� อดิ นน้ั ๘ ดอก ยงั กับมือ ๗ ดอก เล่าเกิดมาคู่บ่ท่อเปน็ สบิ สีด่ อก เอาใส่แจถ้วน ๒ นัน้ ๘ ดอก ยงั ๖ ดอก เกดิ มาค่ทู ่อเปน็ ๑๒ ดอก เอาใส่แจถ้วน ๓ นนั้ ๘ ดอก ยงั ในมอื ๔ ดอก เกดิ มาเป็น ๘ ดอก ใส่แจถ้วน ๔ ทั้งมวล ก็คอมหมด จีงบ่เกดิ มา ห้ันแล แต่เค้าดอก ลีลวงค�ำ ๑๕ ดอกอยายใส่แลแจแล ๘ ดอกทงั้ เก่าทง้ั ใหม่เป็น ๓๐๒ ดอก แล เม่ือน้ัน นางสุชาดา นางสุจิตรา นางสุนันทา ได้อุบายแล้ว จีงเอากันไป อยายดอกไม้แห่งตน คอื ว่า ดอกบัวทองค�ำ ดอกบุณฑรกิ ดอกนลิ บล ด้วยลำ� ดบั หนั้ แล ก็แม่นเปน็ ดังพญาอนิ ทร์อยายนนั้ แล ส่วนนางสุธรรมาจีงซ�้ำอยายดอกจงกลด้วยอุบายร้อยห้าสิบดอก เอาใส่ แจท�ำอิด ๘ สิบ ดอก ยงั ๗ สิบ ดอก เกิดคู่บ่ท่อเป็น ร้อย ๑๔๐ ดอก ใส่แจถ้วน ๒๘ สิบ ดอก ยัง ๖ สบิ ดอก เกิดเปน็ ร้อยซาวดอก ใส่แจถ้วน ๓ นั้น ๘๐ ดอก ยัง ๔๐ ดอก เกดิ มาต่ืมเป็น ๘๐ ดอก เอาใส่แจถ้วน ๔ ท้งั มวล คอมพอคู่เสมอกันแล พญาอินทร์เห็นนางสุธรรมาอยายดอกแม่น จีงกล่าวว่า โยคาเวชาย เตภรุ อิ โย คาภรุ สิ สฺ เขยเฺ ย ดงั น้เี ป็นต้น ดูรา นางท้งั หลาย ส่วนดัง เทวบตุ ร เทวดา แลคนทง้ั หลายฝงู ใดกด็ ี ครน้ั ว่า อดท�ำค�ำเพียร มีสติปัญญาก็เกิดมีน�ำกันห้ันแล ครั้นว่าคร้านดังน้ัน แม่นว่ามีสติ ปญั ญากห็ มดกเ็ สย้ี งแล บดั น้ี นางสธุ รรมากระทำ� เพยี ร คดิ ดแู ตก่ อ่ นไดอ้ ยายดอกไม้ จงกลทพิ ยถ์ งึ ๓ ที บแ่ มน่ แลว้ จงี มาคดิ เพยี รกระทำ� ภายลนุ ซำ้� อยายจงี แมน่ แล พญา อินทร์ว่าฉันน้ี นางสุธรรมาแย้มหวั แล้วกย็ อมอื นบพญาอินทร์แล้วก็นง่ั อยู่ห้ันแล ถดั นัน้ พญาอนิ ทร์จงี ซ้�ำเย่ยี มดลู ายซดุ ้าน จงี คิดฮอดเม่อื พระพุทธเจ้ามา สถิตภูก�ำพร้า จีงบอกให้วิสสุกรรมเทวบุตร ซ้�ำควัดลายรูปพระพุทธเจ้ายืนอยู่ ในฮ่มต้นรังไว้เทิงอากาศด้านตะวันตก เพียงรูปมหากัสสปะเจ้าห้ัน จีงควัด รปู พญาตโิ คตรบรู ถอื บาตรไปสง่ โยะคงี ตำ่� หวั ลงนอ้ มถวายบาตรแกพ่ ระพทุ ธเจา้ แลว้ ใหค้ วดั รปู ภกู ำ� พรา้ แลรปู พระพทุ ธเจา้ สถติ นงั่ ฉนั ขา้ วกบั บาตร จงี ควดั รปู เจา้ อานนท์ฉันข้าวเหนอื ฟดไม้ ควัดรปู พญาอนิ ทร์มือขวายกถวายนำ้� เต้าธมกรก174 มือซ้ายนบ ไว้เทิงรูปภูก�ำพร้าน้ัน ควัดรูปพระพุทธเจ้า รูปฝูง(นี้)ไว้ถานเทิงด้าน ตะวันตกเพยี งรปู มหากัสสปะเจ้า หน้ั แล 174 “ธมกรก” กระบอกกรองนา้ํ ของพระสงฆ์ ตำ� นานอรุ งั คธาตุ 81
ควัดแล้ว ถัดนั้น วิสสุกรรมเทวบุตรจีงไหว้พญาอินทร์ว่า ให้ผู้ข้าควัดรูป ท้ังหลายฝงู น้ีเหตใุ ดจา พญาอนิ ทร์จงี กล่าวว่า ดรู า วสิ สกุ รรมเทวบุตร เมอ่ื พระพทุ ธเจ้ามาสถติ อยู่ที่นี้เป็นเสี้ยงราตรี แลฉันข้าวในที่น้ี เราก็ได้มาอุปัฏฐาก แม้นว่า ตัวเจ้าก็ได้ ลงมาอุปัฏฐากให้อาสนะ กก็ างพดิ านกงั้ พระเจ้าวันน้ันซะแล วิสสุกรรมเทวบุตรก็แย้มหัวว่า มหาราชเจ้ากูณาแท้แล ท่อว่าผู้ข้าบ่เห็น มหาราชเจ้าแล พญาอนิ ทรจ์ งี วา่ เจา้ ลงมาเมอื่ หวั คำ่� รงุ่ แลว้ กลบั หนกี อ่ น แจง้ แลว้ เมอื่ เชา้ เราจงี ลงมาอปุ ฏั ฐากดว้ ยไมส้ ฟี นั แลนำ�้ บรโภคนำ�้ กนิ ตราบตอ่ เทา่ พระพทุ ธเจา้ ไป บิณฑบาตในเมอื งโคตบอง มาฉนั ข้าวแล้ว เราจงี หนแี ล วิสสกุ รรมเทวบุตรให้สาธุการว่า สาธุ สาธุ ดอมหน้ั แล ถัดนนั้ พญาอินทราธริ าชจีงซ้�ำกล่าวว่า ดรู า วิสสกุ รรมเทพบตุ ร ส่วนดงั พญาติโคตรบูรน้ีเป็นเช้ือโคตรวงศาพระโคตมเจ้าเรานี้แต่ในกาลเมื่อก่อน พญา คดิ ในใจใครเ่ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ตน ๑ กจ็ งี ปรารถนาคำ้� พทุ ธศาสนาแล พระพทุ ธเจา้ หลิงเห็นหาอนตายบ่ได้ พระเจ้าจีงส�ำเพาะซ่ึงพญาเพ่ือถะปันนาอุรังคธาตุ ภายหน้าเมื่อสดุ เมอ่ื ซ้อย เพอื่ อันแล แม้นว่า พญาตนน้ีหากได้ให้ทานรักษาศีลเมตตาภาวนาย่ิงนัก พญาก็ไป่ ได้เมือเกิดเมืองฟ้า ยังจักเทียวเมืองคนอยู่คำ�้ ศาสนาซุเมืองในชุมพูทีปเท่าหมด ๕๐๐๐ พระวสั สา พุ้นแล เมืองอันพญาอยู่แต่ก่อนแคมแม่น�้ำเซนั้น เราทั้งหลายว่า เมืองศรีโคตโม เทอญ เหตวุ า่ พระโคตมเจา้ ใหค้ ำ� วฒุ สิ วสั ดแี กพ่ ญาตโิ คตรบรู แล บดั นี้ คนทง้ั หลาย ชาวเมืองลุ่มเข้าอยู่ว่าเปน็ เมอื งศรโี คตรบอง เหตุว่า ผู้เป็นเช้ือเปน็ โคตรวงศาเจ้า กษตั รยิ ์ แลมมี ติ รสหายในเมอื งสวุ รรณภมู นิ นั้ แทจ้ งิ ควรกนิ แล มสี มบตั มิ ากนกั แล เราผเู้ ปน็ อนิ ทราธริ าชเหน็ แจง้ ดงั กลา่ วแลว้ น้ี กจ็ งี ไดใ้ หเ้ จา้ วสิ สกุ รรมเทวบตุ ร ซำ�้ ควดั ลายรปู ฝงู นี้ ใหเ้ ปน็ มงคล ชว่ ยคำ�้ คงทรงพทุ ธศาสนาเมอื่ ภายหนา้ เพอื่ อนั แล บัดนี้ พญาติโคตรบูรตนนั้น ได้ไปเกิดในเมืองสาเกตนครพุ้นแล แม้นว่า พญาตนนั้นได้ไปเกิดท่ีใดก็ดี เจ้าผู้เป็นวิสสุกรรมก็จงน�ำพิทักษ์รักษา ให้วุฒิศรี สวสั ดีเทอญ 82 ที่ระลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ประจำ� ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๖๒
พญาอินทร์ปฏิสันถานส่ังเตินฉันน้ีแล้ว วิสสุกรรมเทวบุตรก็รับเอาราช อาชญาอนิ ทราธริ าชกจ็ อ่ื จำ� ไว้แล้ว จงี ฟงั ทงั้ เทวดาฝงู อย่รู กั ษาทภ่ี กู ำ� พรา้ ทง้ั มวล ใหม้ ากดเอาเครอ่ื งบชู าอปุ ฏั ฐากนน้ั ไว้ กบั ทงั้ ขา้ วของเงนิ คำ� เครอ่ื งบรโิ ภค อนั พญา ท้ัง ๕ บชู าไว้รองลุ่มนน้ั คาดกันไว้ให้รกั ษาเปน็ ปกติ เทวดาตน ๑ ช่อื ว่า วณั ณปคมุ พะ มีบริวาร พนั ๑ อยู่ด้านเหนือ เทวดาตน ๑ ชอื่ วา่ ภมุ ปตริ กุ ขา มบี รวิ าร ๕ รอ้ ย อยรู่ กั ษาดา้ นใต ้ เทวดาตน ๑ ชอ่ื วา่ สรทุ ธกา มบี รวิ าร หา้ รอ้ ย อยรู่ กั ษาดา้ นตะวนั ออก เทวดาตน ๑ ชอ่ื ว่า โพธริ กุ ขปตั ตะ มบี รวิ าร ห้าร้อย อยู่รกั ษาด้าน ตะวันตก แลเทวดาทั้งหลายฝูงนี้ ให้รักษาเครื่องอันพญาอินทร์แต่งไว้ อปุ ัฏฐากนน้ั ทง้ั มวลแล เทวดาตน ๑ ช่ือว่า สนุ ทธรณี มีบรวิ าร ห้าร้อย อยู่ในพื้นภกู �ำพร้า ทั้งมวล เป็นที่อยู่เทวดาท้ังหลายฝูงนั้นแล ให้รักษาข้าวของเงินค�ำล�ำแก้วอัน พญาทง้ั ๕ ไว้รองลุ่มนน้ั เทวดาตน ๑ ช่ือว่า วิจิตตเลขา มีบริวาร พัน ๑ อยู่ในวิมาน ในอากาศ ให้ถอื เส้นจดั เตอื นเทวดาทงั้ หลายฝูงอยู่รกั ษาทงั้ มวลแล เทวดาทั้งหลายฝูงนม้ี อี ายยุ ืนเท่าเสย้ี งกัป ซุตนแล พญาอินทราธิราชจีงให้วิสสุกรรมเทวบุตรคาดไว้ดังน้ีแล้ว จีงออกจาก อูบมุง เวยี นวัฏปทกั ขิณ ๓ รอบ คอบ ๓ ที แล้วจงี สถิตอยู่ห้นั แล ยามนนั้ อรุ งั คธาตพุ ระพทุ ธเจา้ จงี เสดจ็ ออกกระทำ� ปาฏหิ ารยิ ์ แลดา้ นออก ๖ ลกู เวยี นขนึ้ มาจมุ้ กนั ทงั้ มวล ตง้ั อยเู่ ทงิ อากาศเพยี งยอดอบู มงุ ชวั่ รอ้ ยวา จงี ซำ�้ เสดจ็ ออกจากยอดสองลกู ขน้ึ เมอื เทงิ นนั้ กล็ งมาเขา้ กนั เปน็ ลกู เดยี วใหญท่ อ่ หนว่ ย หมากพรา้ ว จงี เวยี นเมอื ขวาปทกั ขณิ ๓ รอบ แลว้ ตงั้ อยเู่ พยี งปกั ตเู บอ้ื งตะวนั ออก ซ้องหน้าพญาอนิ ทร์แล ยามนั้น เทวบตุ ร เทวดาทง้ั หลาย ชมช่นื ยนิ ดใี ห้เสยี งสาธกุ ารมากนกั นรคนธรรพเทวบุตรท้ังหลายก็ถวายเสียงสาธุการด้วยตุริยนนตรี เสพบชู า ต�ำนานอุรงั คธาตุ 83
วัสสวลาหกเทวบุตร พาบริวารถือเอาหางยูงค�ำอันแล้วด้วยทิพย์ ฟ้อนถวายบชู า เทวดาบ้างพ่องขบั บ้างพ่อง ดดี สี ตี เป่า นางเทวดาทง้ั หลายถอื หางยงู คำ� อนั แลว้ ดว้ ยทพิ ยถ์ วายบชู าฟอ้ นขบั ปญั จสกิ ขเทวบุตรดดี พณิ ค�ำบชู า อังคุลีเทวบตุ รตบมอื น�ำนางขบั ท้ังหลายฝูงนนั้ แล ยามนั้น อรุ งั คธาตพุ ระเจ้าเสด็จเข้าอูบมงุ ปกั ตดู ้านตะวันออก ปักตกู ห็ าก หบั ไวพ้ รอ้ มกนั เปน็ อนั ดงั ยง่ิ นกั เทวบตุ รเทวดาทง้ั หลายกส็ ะดงุ้ ตน่ื ลวดอยา่ เสยี ง ขับเสียงเสพตรุ ยิ ะนนทตรที ั้งมวลไว้ แล เมื่อนั้น เทวบุตร เทวดา นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ ยักษ์ ทั้งหลาย ฝงู อยขู่ อบจกั รวาล ไดย้ นิ เสยี งพณิ คำ� อนั ปญั จสกิ ขเทวบตุ รดดี นนั้ กพ็ รอ้ มกนั มา พอเที่ยงคืน ยามน้ัน พญาอินทร์ก็พาเอาเทวบุตรเทวดาท้ังหลาย เวียน ปทกั ขิณ ๓ รอบ คอบ ๓ ที ไหว้นบคมรบสกั การะบูชาคารวะแล้ว ก็เสด็จลลี าออก หนีจาก มาฮอดแคมนำ�้ ธนนทจี งี เสดจ็ ขน้ึ สู่ปราสาท ๓ พันยอด ปลาย ๓ ร้อย ๓๐ ๗ ยอด อนั ประจติ รรจิ นาประดบั ประดาแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ อันตง้ั ท่ามกลาง เวชยนั ตร์ าชรถเปน็ หลายถา้ น175หลายหลนั่ บคุ คลทงั้ หลายเขา้ ไปกห็ ลงแทด้ หี ลแี ล นางสุชาดาราชกัลยา นางสุจิตราราชกัลยา อยู่ข้างกำ้� ฝ่ายขวาด้วย ล�ำดับกัน นางสุนันทาราชกัลยา นางสุธรรมาราชกัลยา อยู่ข้างกำ�้ ซ้ายด้วย ล�ำดบั กัน นางโรหิณี นางสารวัตติเกสี นางปติบุปผา และนางคันธลาวดี นางทง้ั ๔ น้ี อยู่ก้�ำหลังด้วยลำ� ดับกนั อินทจิตตเทวบตุ ร วสิ สกุ รรมเทวบุตร ธรรมกถกิ เทวบตุ ร อยู่ซ้อง หน้าพญาอนิ ทร์ด้วยล�ำดับ ถัดน้ัน ปัญจสิกขเทวบุตร แลเทวบุตรซุมมีชื่อปรากฏยศใหญ่อยู่ กำ�้ ขวา ด้วยลำ� ดบั กัน ถัดนัน้ องั คุรเทวบตุ ร แลเทวบุตรซุมปรากฏอยู่ก้�ำซ้ายด้วยลำ� ดบั ถดั นน้ั จตุรงั คาวธุ เทวบุตร ถอื ดาบศรขี รรค์ไชยด้ามแก้วพิฑรู ย์อยู่ ข้างซ้าย อ้อมถาน ๑ ซดุ ้าน 175 “ถ้าน” ชน้ั 84 ทีร่ ะลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำ� ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒
ถัดนน้ั จตุรงั คาวทุ ธเทวบตุ รถอื ดาบด้ามแก้วผลกึ อยู่ก�้ำหลงั อ้อม ถ้านหนงึ่ ซดุ ้าน เทวบตุ รเทวดาทง้ั หลายอยแู่ หแ่ ลดา้ นแลพนั ตน นางเทวดาทงั้ หลาย อยู่แลด้านแลพนั นาง มาตลิเทวบตุ รถอื สายขนัน176 ม้าอาชาไนยพลาหกเทียมรถ อนมุ าเทวบุตรถอื ประคอื ไชยเก้าพันหางแห่ซ้องหน้า นงั คสารถเี ทวบตุ รถอื ประคอื ไชยคำ� ๗ หาง อยทู่ า้ ยเวชยนั ตร์ าชรถ กวดั แกว่งประคอื เหลอื่ มไปมา เทวบุตร เทวดา ท้ังหลายแลซ้องหน้าราชรถ เหลือกว่าน้ัน บ่กฎหมายได้แล แห่ซ้ายขวาหน้าหลงั มากนกั สสี นุ นั ทเทวบตุ ร สมี หามายา วสิ าขาเทวบตุ ร พาบรวิ ารตนอยมู่ บุ หลงั สรุ ิยะ จนั ทะเทวบุตรพาบรวิ ารอยู่กำ้� ซ้าย พญาจตุโลกบาลทงั้ ๔ พาบริวารตนอยู่ก้�ำขวา เอากันลีลายัวรยาตรแห่ราชรถพญาอินทร์เสด็จข้ึนสู่เวหาเมือสู่ตรัยตรึง สาสวรรค์เทวโลกกม็ แี ล ครน้ั วา่ เมอื ฮอดเมอื งฟา้ ตาวตงิ สาแลว้ กล็ งจากราชรถไปเวยี นวฏั ปทกั ขณิ ๓ รอบ คอบ ๓ ที ซึ่งพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ แล้วก็เสด็จขึ้นเมือสู่บังคับ ปราสาทราชนิเวศกม็ แี ล จีงลาพรากจากกันเมอื สู่ที่อยู่แห่งตนแล ในกาลยามนั้น เทวดา นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ ยักษ์ ฝูงอยู่ขอบ จกั รวาลกม็ าฮอดภกู ำ� พรา้ ในกาลยามนน้ั กป็ ฏสิ นั ถารตา้ นจารจากนั ดอมเทวดา ทง้ั หลาย ฝงู อนั เปน็ นายจำ� เรญิ รกั ษาคาดไวน้ น้ั ซำ�้ หลนิ่ มหรสพคบงนั สกั การบชู า ธาตุที่น้ันหลายประการต่าง ๆ สืบไป บูชาด้วยคันธะของหอม ประธูป ประทีป เทยี น ช่อทุง เป็นต้น เทวดาทง้ั หลาย บ้างพองตฆี ้อง บ้างพ่องต่อยแส่ง บ้างพ่องตกี ลอง บ้าง ตกี งั สดาล บา้ งพ่องเป่าสงั ข์ บ้างพอ่ งเปา่ ลลี า บ้างพ่องเป่าเพลง บ้างพ่องดดี บา้ งพอ่ งสี นาคท้งั หลาย บ้างพ่องขับ บ้างพ่องฟ้อน ครฑุ ทงั้ หลาย บา้ งพ่องปรบฟาดปกี บนิ เวยี นเมอื ขวา ๓ รอบ แล้วจงี ไหว้ 176 “สายขนัน” บงั เหยี น ต�ำนานอุรังคธาตุ 85
คันธรรพยักษ์ท้ังหลาย ตีดุริยนนตรี บ้างพ่องเต้นไต่ละเม็ง177 บา้ งพอ่ งบนิ กระโดด บา้ งพอ่ งบชู าดอกไมไ้ ฟ บา้ งพอ่ งไตป้ ระธปู บชู า บา้ งพอ่ งตาม เทยี นบูชาเรอื งรุ่งทั่วภูก�ำพร้า มปี ระการอนั มาก ครน้ั รุ่งแล้ว กจ็ งี ลาพรากจากกนั เมอื สู่ท่อี ยู่แห่งตน หน้ั แล กล่าวจาบั้นอันพญาอินทร์ แล เทวบุตร เทวดา ยักษ์ กุมภัณฑ์ คันธรรพ ท้ัง นาค ครุฑ ท้ังหลาย มาบูชาอุรังคธาตุพระพุทธเจ้า อันมหา กสั สปะเจ้าน�ำมาถาปันนาตั้งไวใ้ นดอยอนั ชอ่ื วา่ กปปฺ นบพพฺ เต ทภ่ี กู �ำพร้า กส็ มเลด็ เสด็จบรบิ ูรณ์แลว้ ทอ่ น้ี ก่อนแล บ้นั ท่ี ๑๓ พญาสรุ ิยวงศาเข้ากินเมอื งร้อยเอด็ ประตู บดั น้ี จกั กลา่ วศาสนานทิ านแลนครนทิ านในเมอื งสาเกตนครใหแ้ จง้ กอ่ นแล ในเมอ่ื พระพทุ ธเจ้าจกั เข้าสู่นพิ พานนนั้ ไปแล้ว ยงั บ่นานประมาณ ๓ ปี178 พญาติโคตรบูรม้างปัญจขันธ์ท้ัง ๕ แล้วไปก่อก�ำเนิดในท้องแห่งนางรัตนเทวี เกิดเปน็ ลกู พญาสาเกตนครกำ้� ตะวนั ตกเมอื งศรโี คตรบองนนั้ แล เม่ือนางราชเทวีวรมเหสีแห่งพญาสาเกตนครจักทรงครรภ์น้ัน กลางคืน นางกฝ็ นั หลาก ฝนั เหน็ สรุ ยิ ะอาทติ ยเ์ ขา้ มาอยใู่ นบงั คบั ปราสาทเบง็ ชรแหง่ ตน แลว้ เปล่งรศั มอี อกไปท่ัวทศิ ทงั้ ๔ ข้าง เก้ยี วขึ้นไปสู่ก้�ำตะวนั ออกแล คร้ันนางทรงครรภนบั มาได้ถ้วน ๑๐ เดอื นแล้ว ก็ประสูตอิ อกมาจากท้อง แม่แหง่ ตน กมุ ารผนู้ น้ั ทรงศรวี รลกั ษณะอนั ดี ได้ขวบปแี ลว้ เสนาธบิ ดที งั้ หลายจงี ใสช่ อ่ื วา่ เจา้ สรุ ยิ ราชกมุ าร ตามนมิ ติ รคำ� ฝนั อนั นางเทวฝี นั เหน็ สรุ ยิ อาทติ ยน์ นั้ แล แต่นั้นไปภายหน้าข้าไทท้ังหลายก็ระงอกออกมามีมากหลาย มีหญิงชาย นครบ้านเมอื งกอ็ ย่สู ำ� ราญสขุ เกษมิ สบาย คนทงั้ หลายเกดิ มากหลายหายโภยภยั บ่มีภัยอนตายซเุ ยอ่ื งบ่ไร้บ่ยากสงั ด้วยเดชบญุ สมภารเจ้าราชกมุ ารน้นั แล 177 “ละเม็ง” ละคร 178 การระบุว่าพญาติโคตรบูรสวรรคตหลังจากพุทธปรินิพพาน พบในต�ำนานอุรังคธาตุกลุ่ม สำ� นวนทม่ี กี ารนำ� นทิ านแมน่ ำ้� ไปไวต้ น้ เรอื่ ง แสดงใหเ้ หน็ วา่ มกี ารนำ� ตำ� นานอรุ งั คธาตฉุ บบั แรกทพี่ ญา ศรไี ชยชมุ พไู ด้เรยี บเรยี งขนึ้ ในสมยั พญาสรุ ยิ วงศาธรรมกิ ราช มาจดั ลำ� ดบั เนอ้ื หาใหม่ และมกี ารปรบั แก้รายละเอยี ดในเนอื้ เรือ่ ง เพอ่ื บอกปีท่ีสร้างอบู มงุ อุรังคธาตใุ ห้ชดั เจนด้วย 86 ท่ีระลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจำ� ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒
ยามน้ัน พญาสาเกตนครตนพ่อ แลพญากุรุนทะนครน้ันก็เป็น สมั พนั ธมติ รกนั ปะเจ้าสรุ ยิ กมุ ารไว้เมอื งแต่มอี ายไุ ด้ ๑๓ ปี แล้วนน้ั พญาตนเปน็ พ่อก็เอารี้พลโยธาไปหลิ่นมหรสพในเมืองกุรุนทะนคร กับด้วยพระสหาย พญา กุรุนทะก็แบ่งเมืองให้เคิ่งหนึ่งแล แม่นว่าบ้านเล็กเมืองน้อยอันเป็นส่งเศษส่วยไร้ ส่งเซ้านนั้ กแ็ บ่งให้ถ่อง ๑ หนั้ แล ยังมใี นวัน ๑ พญาทงั้ ๒ กห็ ลน่ิ มหรสพบชู าแก้วทงั้ ๓ แล เมื่อนั้น ยังมีรัสสีเจ้าตัว ๑ ช่ือว่า ฐิตะกัปปิรัสสี ลุกมาทางอากาศแต่ ป่าหมิ พานต์นน้ั ลงมานัง่ อยู่ในท่ามกลางแห่งพญาทง้ั สองห้ันแล พญาเจ้าท้งั ๒ ก็ชมช่ืนยินดีเลื่อมใส ให้รัสสีฉันข้าวน�้ำโภชนะอาหารแล้ว เจ้ารัสสีจีงถามพญา ทั้งสองว่า มหาราชท้ัง ๒ ยังปรารถนาส่ิงใดจา พญาทั้ง ๒ ก็ขานค�ำว่า ผู้ข้า ท้งั สองยงั อยากไปทางอากาศได้เปน็ ด่งั เจ้ากนู นั้ แล เมอื่ น้นั เจ้ารัสสจี ีงกล่าวว่า มหาราชทั้ง ๒ จงละเซ่งิ เพศอันเปน็ ท้าวพญา ไว้แล้ว นุ่งทรงผ้าขาว รักษาเอาศีล ๘ แล้วจีงถือง้าวมงคลไปเอาหมากนาวศรี ให้ได้ ๓ หน่วย เครืออมรณี ๓ หาบ หมากขัดเค้า ๓ หาบ หนามพญา179 ๑ ให้ได้ ๓ หาบ แม่นในม้อื วัน ๓ ยามดี เอามาพร้อมกันวนั น้ัน อย่าได้เอาบคุ คลผู้ใดไป ดอม ให้แม่นวนั ดยี ามดมี าพร้อมกัน เราก็หากจกั แต่งยาพละสิทธิเพชรให้อมเทอญ ว่าดงั น้ี พญาทง้ั ๒ กห็ ายาได้ทกุ อนั เอามาได้วนั แลว้ เจ้ารสั สตี ำ� ฟกั มนุ่ ผง ใส่หม้อเหล็ก เอาค้างตงั้ เหนอื ก้อนเส้าคำ� นำ� เอาน�้ำท่ีออกบ่อ180 ๓ แห่ง เอาที่ ๓ แม่น�้ำอันมีช่ือว่าเป็นมงคล แล ๓ สระพัง ใส่หม้อเหล็ก เอาไม้นาวศรี ไม้ขัดเคา้ ไม้สม้ ผ่อ181 ไมค้ ณู มาเปน็ ฟืนเคร่อื งต้ม เคี่ยวด้วยไฟให้ขุ่นดงั น�้ำผัก จีงปงไว้ให้เย็นแล้วจงี ใส่โอเงินเลยี งไว้ แล้วจงี แต่งเครอ่ื งปญั จราชกกธุ ไว้ วนั ๓182 จงี เอาบาเพชร183 ใส่เบ้าสบู ด้วยถ่านไฟไม้นาวสี ไม้ขัดเค้า ไม้ส้มผ่อ ไม้คูณ ให้ได้ ๓ คืน ๓ วัน แล้วหล่อ ตกนำ้� อันน้นั ให้ได้ ร้อย ๓ สบิ ๓ ที แล้วเอามาสบ184 มนต์ 179 “หนามพญา” ผักขะหย่า 180 “น�้ำออกบ่” น�ำ้ จากตาน�้ำไหลซึมออกมาขงั เป็นแอ่ง 181 “ไม้ส้มผ่อ” ไม้ข่อย 182 “วัน ๓” วันองั คาร 183 “บาเพชร” ปรอท 184 “สบ” เสก ต�ำนานอรุ งั คธาตุ 87
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194