Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เทวตาสมิติสูตร สูตรว่าด้วยเทพชุมนุม

เทวตาสมิติสูตร สูตรว่าด้วยเทพชุมนุม

Description: เทวตาสมิติสูตร สูตรว่าด้วยเทพชุมนุม

Search

Read the Text Version

นิทานกถา นมตฺถุ สคุ ตสสฺ เทวตาสมิติสูตรเป็นชื่อของพระสูตร ๖ พระสูตร รวมกัน อันประกอบไปด้วย มหาสมยสูตร (มหาสมัย) ๑ มังคลสูตร (มงคล) ๑ สมจิตตสูตร ๑ ราหุโลวาทสูตร ๑ ธัมม จักกัปปวัตตนสูตร (ธรรมจักร) ๑ ปราภวสูตร ๑ ที่เรียกช่ือ เช่นนั้น เพราะเป็นพระสูตรท่ีเหล่าเทพยดามาประชุมกันเป็น จานวนมากในเวลาท่ีแสดงพระสูตรเหล่านี้ และได้บรรลุธรรม เหลือท่ีจะคณานับ พระสูตรเหล่านี้จึงมีช่ือเรียกอีกอย่างหน่ึง ว่า “ธัมมาภิสมยสตู ร” หรอื “พระสตู รท่เี ปน็ ธรรมาภสิ มัย” คอื พระสูตรท่ีแสดงแล้วมีเทพยดาบรรลุมรรคผลกันมากมาย อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ ๑๘ โกฏิ (โกฏิหน่ึงเท่ากับจานวน สิบล้าน) อย่างมากก็คือไม่สามารถจะนับจานวนได้ ซึ่ง ประกอบด้วยพระสูตรทั้ง ๖ ข้างต้น ดังที่พระธรรมสังคาหกา จารย์กลา่ วเปน็ คาถาประพันธ์ไวว้ ่า มหาสมยสตุ เฺ ต จ อโถ มงฺคลสตุ ตฺ เก สมจิตฺเต ราหุโลวาเท ธมฺมจกเฺ ก ปราภเว เทวตาสมติ ิ ตตถฺ ๑ อปปฺ เมยฺยา อนปปฺ กา ธมฺมาภสิ มโย เจตฺถ คณนาโต อสงฺขโย.๒ ๑ ฉบับลา้ นนาเปน็ ตตรฺ ๒ ปราภวสุตตฺ วณฺณนา (ป.โช.ข.ุ ส.ุ ๑/๒๑๙) มีอ้างถงึ ในมังคลตั ถ- ทีปนตี อนท้ายสภุ าสติ กถาดว้ ย 1

“เทพยดาประชุมกัน จานวนมากมาย นับไม่ถ้วน ใน สถานที่แสดงพระสูตรเหล่าน้ีคือ มหาสมยสูตร ๑ มั ง ค ล สู ต ร ๑ ส ม จิ ต ต สู ต ร ๑ ร า หุ โ ล ว า ท สู ต ร ๑ ธัมมจักกสูตร ๑ ปราภวสูตร ๑ อน่ึงการบรรลุธรรมในท่ี ประชุมน้ัน ใครๆ ไม่พึงนับโดยการคานวณ (คือนับไม่ได้)” ดงั น้ี ความสาคัญของพระสูตรท่ีเป็นธรรมาภิสมัยน้ีก็คือมี เทพยดาบรรลุมรรคผลหลังจากที่ได้ฟังพระสูตรเหล่าน้ีเป็น จานวนมาก และก็เป็นธรรมดาว่า ผู้ท่ีบรรลุมรรคผลเพราะ พระสูตรใด ก็จะมีความชื่นชอบในพระสูตรนั้นเป็นพิเศษ แสดงให้เห็นว่าพระสูตรที่เป็นธรรมาภิสมัยเป็นท่ีชื่นชอบของ เทพยดาท้ังหลายมากกว่าพระสูตรทั่วไป ดังน้ันโบราณาจารย์ จึงแนะนาให้พุทธศาสนิกชนนาพระสูตรท่ีเป็นธรรมาภิสมัยมา สวดกันบ่อยๆ เพราะว่าผู้ที่สวดพระสูตรเหล่านี้เป็นประจา จะเป็นท่ีรักที่ชอบใจของเทพยดาทั้งหลาย เหล่าเทพยดาจะ คุ้มครองรักษาผู้นั้นให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ว่าจะประกอบกิจการ ใดๆ ก็ตาม จะสาเร็จลุล่วงไปด้วยดีด้วยเทวานุภาพบันดาล เม่ือนาไปสวดในสถานที่ใด จะทาให้สถานที่นั้นบังเกิดสิริมงคล เป็นมงคลสถานเจริญรุ่งเรือง และบุคคลผู้อาศัยในสถานทน่ี ้นั จะได้รับการคุ้มครองดูแลเป็นอย่างดีจากเทพเจ้าท้ังหลาย ทกุ เมอ่ื พระสูตรที่เป็นธรรมาภิสมัยและนิยมนามาใช้สวดกัน มากก็คือ มังคลสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และมหาสมย- 2

สูตร โดยเฉพาะมงั คลสตู รกับธัมมจกั กัปปวัตตนสูตรนั้นมีพิมพ์ เผยแพร่ตามหนังสือสวดมนต์ทั่วไป สาหรับมหาสมยสูตรจะมี ครบถ้วนเต็มสูตรอยู่ในหนังสือสวดมนต์สิบสองตานาน ชุมนุม สวดมนต์/สวดมนต์ ฉบับหลวง และสวดมนต์ฉบับภาคเหนือ เป็นต้น ในหนังสือสวดมนต์ฉบับอื่นๆ จะไม่มีครบเต็มสูตร มีแต่ท่อนท้ายท่ีเรียกว่า ท้ายมหาสมัย เร่ิมต้ังแต่ สัฏเฐเต เทวะนิกายา เป็นต้นไป ปราภวสูตรจะมีอยู่ในหนังสือทาวัตร สวดมนต์แปลทั่วไป เช่น ฉบับของสวนโมกขพลาราม เป็นต้น และสวดมนตฉ์ บับใบลานอกั ษรลา้ นนา นอกจากน้ียงั ปรากฏใน หนังสือสวดมนต์ของศรีลังกาอีกด้วย ส่วนในฉบับอื่นๆ ไม่มี จะมีก็แต่ฉบับบาลีที่อยู่ในพระไตรปิฎกซึ่งตีพิมพ์เป็นอักษรไทย แล้วเท่าน้ัน สาหรับสมจิตตสูตรในบาลีพระไตรปิฎกฉบับ ปัจจุบันของไทย ท่านจัดเข้าไว้ในสมจิตตวรรค ทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย ถ้าไปค้นหาช่ือพระสูตรนี้โดยตรงก็จะไม่พบ เพราะไม่ได้เรียกชื่อ “สูตร” เหมือนอย่างฉบับล้านนา ซึ่งตัด ตอนเอามา และเรียกว่า “สูตร” ก็เพราะนับเนื่องในพระสูตร น่ันเอง โดยขึ้นต้นด้วยบาลีว่า เอวัมเม สุตัง (ฉบับอักษรไทย ข้ึนต้นด้วย เอกัง สะมะยัง) ท้ังน้ีเพราะผู้ตรวจชาระ พระไตรปิฎกคงจะเข้าใจว่า เป็นเถรภาษิตของพระสารีบุตร มิใช่พระพุทธพจน์โดยตรง จึงไม่ยกคาของพระอานนทเถระ คือ เอวัมเม สุตัง (ข้าพเจ้าฟังมาอยา่ งนี้) ข้ึนไว้ แต่พระอรรถ 3

กถาจารย์ก็ให้การรับรองว่าเป็นพระสูตรเช่นกัน ดังปรากฏใน สมันตปาสาทกิ า พาหิรนิทานวณั ณนาว่า เถโร มหนฺตํ เทวตา- สนฺนปิ าตํ ทสิ ฺวา สมจิตฺตสตุ ตฺ นตฺ ํ กเถส.ิ “พระเถระ (หมายถงึ พระมหินทเถระ) ได้เห็นประชมุ เทวดาหมูใ่ หญจ่ งึ แสดงสมจิตต สูตร” ในเวลาที่แสดงพระสูตรจบ เทวดานับไม่ถ้วนได้บรรลุ ธรรม และเทวดามาประชุมกันมากมายอ่านนับไม่ได้ เหมือน เมื่อครั้งที่พระสารีบุตรเถรเจ้าแสดงพระสูตรนี้ในสมั ย พุทธกาล๑ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าพระสูตรที่เป็นธรรมาภิสมยั เปน็ ที่รักและชอบใจของเหล่าเทพยดาทั้งปวง เฉพาะราหุโล- วาทสตู รท่านแบง่ ออกเปน็ ๒ สตู ร คือ สูตรใหญ่ (มหาราหโุ ล- วาทสูตร) กับสูตรเล็ก (จูฬราหุโลวาทสูตร) และในตอนต้น ของจูฬราหุโลวาทสูตรก็ปรากฏว่า มีเทวดาหลายพันติดตาม พระผู้มีพระภาคซ่ึงทรงพาเอาพระราหุลเสด็จไปยังป่าอันธวัน เพ่ือสาเร็จทิพาวิหารและตรัสสอนพระราหุล ในตอนท้ายได้ สรุปแสดงเอาไว้ว่า เทวดาทั้งน้ันได้ดวงตาเห็นธรรม ส่วนใน มังคลสูตรและธัมมจักกัปปวัตตนสูตรก็เช่นกัน เหล่าเทวดา และพรหมในหมื่นจักรวาลได้ประชุมกันในสถานท่ีแสดงพระ ๑ ในอรรถกถาสมจิตตวรรคปรากฏว่า ทา่ นแสดงสมจิตตปฏิปทาสูตร นใ้ี นเวลาเย็น (อทิ ํ ปน สมจติ ตฺ ปฏิปทาสุตฺตํ ปจฉฺ าภตฺเต ภาสติ ํ. ตสมฺ า สายณฺหสมเย อามนฺเตสิ.) 4

สตู รทงั้ สองนน้ั ในปราภวสูตรก็ปรากฏวา่ มเี ทวดาเขา้ ไปเฝ้าทูล ถามปญั หากะพระผูม้ ีพระภาคๆ จึงทรงแสดงพระสูตรน้ี จะกลา่ วโดยพสิ ดารเพ่ือแสดงใหเ้ หน็ วา่ พระสูตรท่ีเป็น ธรรมาภิสมัยเป็นท่ีรักที่ชอบใจแก่เทวดาทั้งหลาย จะได้พอก พูนศรัทธาปสาทะแก่บรรดาสาธุชนท้ังหลายให้ยิ่งๆ ข้ึนไป ต่อแต่นี้จะได้ชักเอานิทานจากสุมังคลวิลาสินี อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค ตอนพรรณนามหาสมยสูตรมาแสดง ท่าน กลา่ วไวว้ า่ อันมหาสมยสูตรนี้เป็นท่ีรักที่ชอบใจของพวกเทวดา ฉะน้ันในสถานที่ใหม่เอี่ยม (เช่น วัดเร่ิมสร้าง บ้านสร้างใหม่ ฯลฯ) เมื่อจะกล่าวมงคล ก็ควรกล่าวแต่พระสูตรนี้แหละ (อิมํ ปน มหาสมยสุตฺตํ นาม เทวตานํ ยํ มนาปํ, ตสฺมา มงฺคลํ วทนฺเตน อภินวฏฺ าเนสุ อิมเมว สุตฺตํ วตฺตพฺพํ. : สุมงฺคล. อฏ.ฺ ที. มหา.) ได้ยินวา่ ในชว่ งเวลาท่พี ระสมั มาสมั พุทธเจา้ กาลงั แสดง มหาสมยสูตรอยู่นั้น พวกเทวดาพากันคดิ วา่ พวกเราจะฟงั พระ สูตรน้ีแล้วก็เง่ียโสตลงฟัง ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง แสดงจบ เทวดาจานวนหน่ึงแสนโกฏิได้บรรลุพระอรหัตผล แล้ว ส่วนมรรคผลเบ้ืองต่าท้ัง ๓ คือ อนาคามี สกทาคามี โสดาบันนั้น จานวนเทวดาท่ีบรรลุไมส่ ามารถทีจ่ ะนับได้ เพราะ 5

เหตุฉะน้ีนั้น มหาสมยสูตรจึงเป็นสูตรหนึ่งท่ีเป็นท่ีรักที่ชอบใจ ของเทวดาท้ังหลายเปน็ อันมาก มีเร่ืองเล่าว่า ที่วัดโกฏิบรรพต มีเทพธิดาองค์หนึ่งอยู่ที่ ต้นกากะทิง ใกล้ประตูถ้ากากะทิง ภิกษุหนุ่มรูปหน่ึงท่องมหา สมยสูตรอยู่ภายในถ้า เทพธิดาองค์น้ันได้ฟังแล้ว ในเวลา จบพระสตู ร เทพธิดากไ็ ดใ้ หส้ าธุการดว้ ยเสยี งอนั ดัง ภิกษุหนุม่ จงึ ถามวา่ “นนั่ ใคร” เทพธิดาตอบว่า “ดฉิ นั เปน็ เทพธิดาเจ้าคะ” ภิกษุหนุ่มถามอกี ว่า “ทาไมจงึ ไดใ้ หส้ าธุการ” เทพธิดา. “ท่านเจ้าค่ะ ดิฉันได้ฟังพระสูตรน้ีในวันที่ สมเด็จพระทศพลประทับนั่งแสดงในป่ามหาวัน วันนี้ได้ฟังอีก ธรรมบทน้ีท่านถือเอาดีแล้ว๑ เพราะไม่ทาให้อักษรแม้ตัวเดียว คลาดจากพระดารัสท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ท่ีป่า มหาวันเมื่อครัง้ กระโน้นเลย” ภิกษุถามอีกว่า “เมื่อพระทศพลกาลังแสดงอยู่ คุณได้ ฟงั หรือ” เทพธดิ า. “อย่างนน้ั เจา้ คะ” ภิกษุ. “เขาว่าเทวดาเข้าประชุมมาฟังกันมาก แล้วคุณ ยืนฟงั ทีไ่ หน” ๑ หมายความว่า ทรงจาไวไ้ ดอ้ ย่างชานาญชา่ ชอง 6

เทพธิดา. “ท่านเจ้าคะ ดิฉันเป็นรุกขเทวดาอยู่ในป่า มหาวัน มีศักดิ์น้อย ก็เมื่อเทวดาช้ันผู้ใหญ่กาลังพากันมา ดิฉนั ไม่ได้ที่ว่างในชมพูทวีปเลย ต้องถอยร่นไปสู่ตัมพปิณณิทวีป๑ ยืนริมฝ่ังท่ีท่าชัมพูโกละ แต่แม้จะถอยมาถึงท่าน้ันแล้วก็ตาม เมื่อเทวดาชั้นผู้ใหญ่ทยอยมาเพ่ิมอีก ดิฉันก็ต้องถอยร่นมาโดย ลาดับ แช่น้าทะเลลึกแค่คอ ทางส่วนหลังของหมู่บ้านใหญ่ใน จังหวดั โรหณะ แลว้ ก็ยนื ฟงั ในทน่ี ั้น” ๑ แปลตามศพั ทว์ ่า เกาะของคนมีฝ่ามือแดง คอื เกาะลงั กา (Ceylon) มีเร่ืองเล่าไว้ในคัมภีร์มหาวงศ์พงศาวดารลังกาว่า เม่ือคร้ังที่วิชัย กุมารพร้อมบริวารเดินทางจากชมพูทวีปไปข้ึนฝ่ังที่เกาะน้ีเพ่ือตั้ง รกรากซ่ึงตรงกับวันท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานพอดี ตอนนั้น เกาะลังกาหรือสิงหลยังรกร้างว่างเปล่าไม่มีผู้คนอยู่อาศัย คณะ ของวิชัยกุมารจึงนับได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวลังกาท่ีมาสร้าง บ้านแปลงเมืองขึ้นก่อน เล่ากันว่าเม่ือคราวที่วิชัยกุมารพร้อมคณะ มาข้ึนฝั่งคร้ังแรกนั้นได้พากันตะเกียกตะกายคลานข้ึนฝ่ังทาให้ฝ่า มือทง้ั สองข้างเปอ้ื นดนิ จนแดง ตงั้ แตน่ ั้นมา จงึ เรยี กเกาะน้ีว่า ตัมพปัณณิทวีป แปลว่า เกาะของคนมีฝ่ามือแดง ต่อมาพุทธ ศาสนากไ็ ด้เจริญรงุ่ เรืองขึน้ โดยลาดับ แตต่ ามตานานของชาวฮินดู เดิมได้สร้างภาพกรุงลงกาใหเ้ ปน็ ทอ่ี ยขู่ องพวกยักษแ์ ละอสรู ไปซ่ึงมี ปรากฏในมหากาพย์รามายณะ เป็นต้น 7

ภกิ ษุ. “จากทีซ่ งึ่ คุณยืนอยมู่ ันไกลนกั แล้วคุณเหน็ พระ ศาสดาหรือ เทพธดิ า” เทพธิดา. “ทาไมจะไม่เห็นล่ะท่าน ด้วยพุทธานุภาพน้ัน ดิฉันรู้สึกว่า พระศาสดาซ่ึงกาลังทรงแสดงธรรมอยู่ในป่า มหาวัน ทรงแลดูดิฉันโดยเฉพาะเจาะจงอยู่เสมอ จนดิฉัน รูส้ กึ เกรงและละอาย” ภิกษุจึงถามต่อว่า “เขาเล่าว่า วันน้ันมีเทวดาแสนโกฏิ สาเร็จพระอรหัตผล แล้วคณุ ละ่ ตอนนัน้ ได้สาเร็จพระอรหัตผล ด้วยหรอกหรอื ” เทพธิดา. “ไมห่ รอกคะ ท่านผเู้ จรญิ ” ภิกษุ. “สาเร็จอนาคามิผล กระมงั ” เทพธิดา. “ไมห่ รอกคะ ทา่ นผเู้ จรญิ ” ภกิ ษุ. “เห็นจะสาเร็จสกทาคามผิ ล กระมัง” เทพธดิ า. “ไมห่ รอกคะ ทา่ นผู้เจริญ” ภิกษ.ุ “เขาว่า พวกเทวดาที่สาเร็จมรรคผลตั้งแต่ โสดาบันไปจนถึงอนาคามีน้ันไม่สามารถนับจานวนได้ แล้วคุณ ล่ะเทพธิดา สงสัยจะไดบ้ รรลโุ สดาปตั ตผิ ลกระมงั ” ซ่ึงความจริง ในวันนั้นเทพธิดาองค์นี้ได้บรรลุโสดา ปตั ติผล เมื่อถูกภิกษุถามเจาะจงเข้าก็รสู้ ึกเขินอาย เทพธิดาจงึ ได้กล่าวตดั บทวา่ “พระคุณเจ้าไม่น่าถามซ่อกแซ่ก” 8

ลาดับน้ัน ภิกษุน้ันจึงกล่าวกับเทพธิดาว่า “นี่แน่ะคุณ เทพธิดา คุณจะสามารถแสดงกายให้อาตมาเห็นได้หรือไม่” เทพธิดาตอบว่า “จะแสดงหมดทั้งตัวไม่ได้หรอกคะท่านผู้ เจริญ ดิฉันจะแสดงแก่พระคุณเจ้าแค่ข้อน้ิวมือ” ว่าแล้ว เทพธิดาก็เอานิ้วสอดเข้าไปในถ้า น้ิวมือก็ปรากฏแก่ภิกษุน้ัน เหมือนกับว่าพระจันทร์พระอาทิตย์ข้ึนเป็นพันๆ ดวง เทพธิดา กล่าวว่า “จงอย่าประมาทในธรรมนะ ท่านเจ้าคะ” แล้วไหว้ ภิกษุหนุม่ กอ่ นจากไป อนั วา่ มหาสมยสตู รน้ี ยอ่ มเป็นที่รกั ทชี่ อบใจของเทวดา ท้ังหลายอย่างน้ี เพราะว่าเทวดาท้ังหลายย่อมถือว่าพระสูตร น้ันเปน็ ของเราดว้ ยประการฉะนี้แล ดังน้ันในสมัยโบราณจึงนยิ มนามหาสมยสูตรหรือ มหา สมัยน้ีมาสวดในงานฉลองสมโภชต่างๆ ซ่ึงเป็นงานพิธีทีใ่ หญๆ่ เชน่ ฉลองกุฎี วิหาร อุโบสถ ศาลาการเปรียญ ตลอดถึงพุทธา ภิเษกพระพุทธรูปและอบรมสมโภชพระเจดีย์ที่สร้างใหม่ เป็นต้น เพื่อเชิญเหล่าทวยเทพมาร่วมประชุมอนุโมทนาและ ช่วยขจดั นานาอปุ สรรคให้งานมงคลนัน้ ๆ สาเรจ็ ลุลว่ งไปดว้ ยดี เกี่ยวกับมหาสมัยนี้เคยได้ยินครูบาอาจารย์หลายท่าน เล่าให้ฟังว่า ถ้าหากผู้ใดก็ตามไม่ว่าบรรพชิตหรือคฤหัสถ์สวด ให้ครบหมื่นจบตามระยะเวลาที่กาหนดไว้ อาจจะเป็นช่วง เข้าพรรษาหรือนอกพรรษาก็ได้ แต่ต้องสวดให้ติดต่อกันเป็น ประจาไม่เว้นระยะหา่ ง โดยจะสวดวันละกี่จบกไ็ ด้ จวบจนครบ 9

หมื่นจบ ทาได้ดังนี้จะได้รับสุธาโภชน์ (อาหารทิพย์) จากเหล่า เทวดา คือ เทวดาจะถวายหรือให้ข้าวทิพยน์ า้ ทิพยแ์ ก่ผู้นั้น สาหรับข้นั ตอนการปฏิบตั นิ ้ัน ท่านให้ไปหาสถานท่ีโลง่ ๆ หรอื บรเิ วณท่ีมีลานกวา้ ง เชน่ โคนต้นโพธ์ิ หรอื ลานวดั เปน็ ต้น ให้กวาดสถานที่นั้นให้สะอาดหมดจดเสียก่อนแล้วจึงเร่ิมต้น สวด ซึ่งถ้าว่าตามนัยนี้ก็สอดคล้องกับคาในอรรถกถาท่ีว่า อภินวฏฺ าเนสุ (ในสถานที่ใหม่เอ่ียม) คาว่า ใหม่เอี่ยม ในที่นี้ หมายเอาสถานท่ีสร้างใหม่ และสถานท่ีสร้างใหม่น้ันจะต้อง สะอาดเอี่ยมอ่องด้วย ดังนั้นก่อนท่ีจะเร่ิมต้นสวดมหาสมัย จะต้องทาความสะอาดภายในบริเวณให้เรียบร้อยก่อนทุกคร้ัง หากจะถามว่า ทาไมต้องเน้นเร่ืองความสะอาดมาเป็นอันดับ แรก ก็ขอตอบว่า ท่ีจริงเทวดาทั้งหลายอาศัยเหตุบางอย่าง เช่น ต้องการฟังธรรมหรือเข้าเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อทูลถาม ปัญหา เป็นต้น จึงมายังโลกมนุษย์ซ่ึงเป็นสถานท่ีน่ารังเกียจ สาหรับพวกเทวดาดุจดังเวจฐาน (สุขา) เพราะมีกล่ินเหม็นนับ แต่ร้อยโยชน์ลงมา เทวดาทง้ั หลายยอ่ มไมอ่ ภริ มยใ์ นมนษุ ย์โลก มีเรื่องเล่าไว้ในอรรถกถาว่า พวกเทวดาพากันมาเฝ้าพระพุทธ องค์ไม่ยอมน่ังแตย่ นื เฝ้าคงจะเพราะเหตุนีก้ ระมงั คอื ต้องการ ทาธุระของตนให้เสร็จแล้วรีบกลับทันที ดังน้ันบริเวณหรือ สถานท่ีๆ ไม่สะอาด มีส่ิงปฏิกูล เป็นท่ีรังเกียจสาหรับพวก เทวดา จึงควรทาความสะอาดก่อนทุกครั้งก่อนท่ีจะมีการ เจรญิ บทมหาสมยั 10

อนึ่งมิใช่แต่มหาสมยสูตรน้ีเท่าน้ัน พระสูตรที่เป็น ธรรมาภิสมัยอ่ืนๆ ย่อมเป็นท่ีรักที่ชอบใจของเหล่าเทวดา ท้ังหลายเช่นเดียวกัน ฉะน้ันท่านสาธุชนท้ังหลายจงปลูก ศรทั ธาใหบ้ งั เกดิ ขนึ้ ในดวงจิต หมน่ั สวดสาธยายพระสตู รทีเ่ ป็น ธรรมาภิสมัยอยเู่ ถิด ท่านจะเป็นท่ีรักท่ีชอบใจของเทวดา ทวย เ ท พ ท้ั ง ห ล า ย จ ะ ค อ ย คุ้ ม ค ร อ ง ป ก ปั ก รั ก ษ า ใ ห้ อ ยู่ ดี มี สุ ข เจริญรุ่งเรือง คิดจะประกอบกิจการอันใดก็จะสาเร็จผลเป็น อัศจรรย์เหนือชนท้ังปวง ด้วยอานาจเทวานุภาพคอยบันดาล ชว่ ยเหลอื เก้ือกลู ใหส้ มั ฤทธผิ์ ลตามทป่ี รารถนา พระสูตรท้ัง ๖ นี้ (ยกเว้นสมจิตตสูตร) พระพุทธองค์ ทรงแสดงดว้ ยพระองค์เอง ส่วนสมจิตตสูตรพระสารีบุตรเถระ เป็นผู้แสดง๑ และพระผู้มีพระภาคตรัสรับรองพระสูตรนี้จึง เป็นพุทธภาษิตโดยอ้อม ดังข้อความท่ีปรากฏในอรรถกถา สมจิตตวรรคว่า อนาคเต โกจิเทว ภิกฺขุ วา ภิกฺขุนี วา เทโว วา มนุสฺโส วา อยํ เทสนา สาวกภาสิตาติ อคารวํ กเรยฺย, ๑ ในอรรถกถาสมจติ ตวรรคทา่ นแสดงขอ้ ความเพมิ่ เตมิ วา่ น เกวลญเฺ จตํ เถเรเนว ภาสิต,ํ ตถาคเตนาปิ ภาสิต.ํ (ใชแ่ ต่ พระเถระจะแสดงพระสูตรนเ้ี ท่านน้ั กห็ าไม่ ถงึ พระตถาคต ก็ทรงแสดงดว้ ยเช่นกัน) 11

สมฺมาสมฺพุทฺธํ ปกฺโกสิตฺวา อิมํ เทสนํ สพฺพญฺญุภาสิตํ กริสฺสาม ฯเปฯ “เหล่าสมจิตตเทวดาคิดกันว่า ภายภาคหน้า ภิกษุภิกษุณีบางรูป เทพบางองค์หรือมนุษย์บางคน อาจทา อคารวะได้ว่า เทศนาน้ีเป็นสาวกภาษิต พวกเราควรทูล อัญเชิญพระสัมมาสัมพุทธเจ้า [เสด็จ] มาแล้วกระทาเทศนานี้ ใหเ้ ป็นสพั พัญญูภาษติ เถดิ ฯลฯ” พระสูตรน้ีจึงเป็นอันพระผู้มีพระภาคตรัสรับรองให้เป็น พุทธภาษิตและจบลงตรงพระดารัสว่า เอวญฺหิ โว สาริปุตฺต สิกฺขิตพฺพํ อิมินา เอตฺตเกน าเนน ภควา เทสนํ สพฺพญฺญุ- ภาสติ ํ อกาส.ิ (สมจติ ฺตวคคฺ วณฺณนา) “ด้วยฐานะเพียงเท่าน้ีว่า สารีบุตรเธอควรสาเหนียก อย่างน้ีแล [เป็นอัน] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทาเทศนา ใหเ้ ปน็ สพั พญั ญูภาษติ แล้ว” ข้าพเจ้ามีความคิดริเริ่มท่จี ะรวบรวมพระสูตรทั้ง ๖ นี้ไว้ ในเล่มเดียวกันมานานหลายปีแล้ว๑ โดยพยายามสืบเสาะ แ ส ว ง ห า ห รื อ ข อ ยื ม ต้ น ฉ บั บ ส ว ด ม น ต์ ที่ เ ป็ น ฉ บั บ ใ บ ล า น อักษรล้านนาจากที่ต่างๆ มาคัดลอกบ้าง ถ่ายสาเนาเอกสาร เก็บไวบ้ า้ ง เพอ่ื ทจ่ี ะนามาใช้สอบเทียบกับฉบับปจั จุบัน แต่กย็ ัง ไม่ได้ครบทุกพระสูตร เพราะหนังสือสวดมนต์แต่ละฉบับ บาง ฉบบั กม็ อี ยู่เปน็ บางพระสูตรเทา่ น้ัน ไดแ้ ก่ ธรรมจักร มหาสมัย มงคล และสมจิตตะ ซ่ึงบางพระสูตรก็ยังมีวิปลาสคลาด เคล่ือนอยู่เป็นอันมาก โดยเฉพาะสมจิตตสูตร ข้าพเจ้ามี ๑ ในการรวบรวมน้ันได้เรียงลาดับสูตรตามที่กลา่ วไวใ้ นคาถาข้างต้น 12

ต้นฉบับใบลานอักษรล้านนาอยู่ ๓-๔ ฉบับ และมีพิรุธตกหล่น แทบทุกฉบับ จึงพยายามสืบหาฉบับท่ีถูกต้องมานานหลายปี ค้นหาในพระไตรปิฎกฉบับปัจจุบันก็ไม่ปรากฏชื่อของพระสูตร น้ี แต่มีชื่อพระสูตรระบุไว้ในอรรถกถา จึงชะงักความคิดท่ีจะ พิมพ์หนังสือเล่มน้ีต้ังหลายครั้ง โดยชะลอการจัดทาเอาไว้พัก ใหญ่ๆ หันไปทาหนังสือเล่มอื่นๆ ก่อน เกือบจะเลิกล้มความ ต้ังใจด้วยซ้าไป แต่แล้วเหมือนมีเทวบันดาล อยู่มาวันหน่ึงจู่ๆ ได้มีอาจารย์เกษม (โกเซง) ศิริรัตน์พิริยะ บ้านลอมกลาง (อรัญญาวาส) ซึ่งเป็นญาติโยมที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับ ข้าพเจ้าเป็นอย่างย่ิง ได้มาหาข้าพเจ้าและบอกว่า มีคัมภีร์ ใบลานสวดมนต์แปลฉบับอักษรลา้ นนาอยู่ผูกหน่ึงได้ขอยืมจาก เจ้าของผู้ครอบครองมาเพ่ือถ่ายสาเนาเอกสารเก็บไว้ แต่ว่า หน้าลานสลับกัน บางหน้าก็พลัดจะเอามาให้หลวงพี่ช่วยเรียง หน้าให้ใหม่ได้หรือไม่ เพราะเป็นบทสวดบาลีไม่กล้าเรียงเอง ข้าพเจา้ ตอบตกลงทนั ที หลังจากน้ันประมาณสองสามอาทิตย์คุณโยมก็ได้นา ต้นฉบับมาให้ข้าพเจ้าช่วยเรียงให้ และข้าพเจ้าเรียงเสร็จ ภายในวันนน้ั เอง ปรากฏว่าลานหายไปสิบกวา่ ใบหรือประมาณ ยี่สิบกว่าหน้า ได้ตรวจดูว่ามีบทสวดพิเศษอะไรบ้าง ก็ได้พบ พระสูตรที่ข้าพเจ้าต้องการและพยายามติดตามสืบเสาะหามา เป็นเวลาหลายขวบปี ครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ในหนังสือลานผูกนี้ ไม่ว่าจะเป็นสมจิตตสูตร ราหุโลวาทสูตร และปราภวสูตร ซึ่ง ไม่มีปรากฏในหนังสือสูตรใบลานฉบับท่ัวไป ถึงแม้จะมีพิรุธ 13

ผิดพลาดบ้างก็เป็นส่วนน้อย พอท่ีจะนาไปเทียบเคียงกับฉบับ อืน่ ๆ ใหถ้ ูกตอ้ งได้ และจากการทีไ่ ดอ้ ่านจบหมดท้งั คัมภีร์ทาให้ ข้าพเจ้าได้ความรู้เพ่ิมเติมเกี่ยวกับที่มาทีไ่ ปของแต่ละพระสูตร เพราะผู้จารจะบอกเอาไว้ในตอนท้ายของพระสูตรน้ันๆ ว่ามา จากส่วนไหนของพระไตรปิฎก ทาให้ทราบท่ีมาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสมจิตตสูตรท่ีข้าพเจ้าพยายามค้นหามานานแรมปี ทั้งจากพระไตรปิฎกฉบับอักษรไทย และใช้อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ช่วยหาให้ ก็ไม่มีว่ีแววหรือต้นตอที่มาของพระ สูตรน้ีว่า อยู่ในเล่มไหนของพระสูตรแต่อย่างใด เหตุที่เป็น ดังน้ีเน่ืองจากพระไตรปิฎกฉบับปัจจุบันท่านไม่ได้เรียกชื่อ สมจิตตสูตรน่ันเอง โดยถือว่าเป็นสูตรย่อย ท่านจัดเข้าไว้ใน วรรคเรียกว่า สมจิตตวรรค ข้าพเจ้าเพิ่งมาถึงบางอ้อก็ตอน น้เี อง ในตอนท้ายของสมจิตตสูตรฉบับใบลานท่านผู้จารบอก ไว้เป็นภาษาบาลีว่า “สมจิตฺตสุตฺตํ ทุกฺกนิปาตํคุตฺตเร” ซ่ึงแปลว่า “สมจิตตสูตรมาในทุกนิบาตอังคุตตรนิกาย” ข้าพเจ้าจึงเริ่มค้นหาจากอาคตสถานที่มาแห่งบาลีปเทสนั้น ก็ได้พบพระสูตรนี้สมดังความต้ังใจ และนามาใช้เป็นฉบับสอบ ทานกบั ฉบับอักษรลา้ นนา โดยยึดฉบับใบลานอกั ษรลา้ นนาเป็น หลัก นับว่าคัมภีร์ฉบับน้ีได้ชี้ทางสว่างแก่ข้าพเจ้าๆ อุทาน ออกมาด้วยปีติปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง เป็นอันว่ามโนรถของ ข้าพเจ้าบรรลุถึงท่ีหวัง หลังจากที่ได้พบคัมภีร์ใบลานฉบับน้ีซึ่ง มีอายุเกือบร้อยห้าสิบปี ถือว่าข้าพเจ้าได้กัลยาณมิตรที่ดีมี 14

กลั ยาณธรรม คอยชว่ ยเหลอื เก้ือกลู ทาให้ได้บาเพญ็ ประโยชน์ ตนสาเร็จลุล่วง จึงขอโมทนาชื่นชมต่ออัธยาศัยไมตรีอันดีของ ท่านไว้ ณ ทีน่ ้ี จะขอกล่าวถึงความเป็นมาของคัมภีร์ใบลานฉบับ ดังกล่าวสักหน่อยหนึ่ง เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณของท่านผู้จาร ซึ่งได้สร้างสรรค์ผลงานไว้คู่พระศาสนาให้ปรากฏ หนังสือลาน ผูกนี้จารขึ้นเมื่อจุลศักราช ๑๒๒๑ (พ.ศ. ๒๔๐๒) ปีกัดเม็ด (มะแม เอกศก) โดยอิทธิมาภกิ ขุเป็นผู้จาร เมื่อคราวพานักอยู่ ที่อารามพูทอง (ภูทอง) ร้องเกวียน (ไม่ทราบว่าปัจจุบันคือวดั อะไร) ทราบประวัติเพียงเท่านี้ เป็นหนังสือสวดมนต์แปลและ ศัพท์ภาษาล้านนา (แปลทีละศัพท์ หรือแปลยกศัพท์ และ = ละ) ที่สมบูรณ์ฉบับหนึ่ง โดยท่านผู้จารจัดแบ่งตอนหนังสืออก เป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนหน้าเป็นภาคบาลีท้ังหมด ส่วนหลังเป็น ภาคแปลยกศัพท์บาลี นับว่าท่านผู้จารเป็นผู้มีภูมิความรู้ใน คัมภีร์สัททาวิเสส คือ ภาษามคธหรือบาลีเป็นอย่างดี ในการ แปลนนั้ บางแห่งทา่ นกล็ ะไว้ในฐานทใ่ี ห้เขา้ ใจเอาเอง ไม่ได้แปล ไว้ทั้งหมด เพราะถือว่ารู้กัน โดยท่านได้ช้ีแจงไว้ในตอนท้าย ของคัมภีร์ว่า “ปุคละกุลบุตร เจ้าไท๑ ตนใดได้เลียบเล็ง ๑ เปน็ คาเรียกพระสงฆล์ า้ นนาในสมัยก่อน อย่างท่เี รียกกนั ทาง ภาคกลางว่า เจ้ากู น่ันเอง อนึ่งคาว่า เจ้าไท นอี้ อกเสยี งตาม สาเนยี งล้านนาวา่ “เจา้ ไต” คงจะหมายเอาเฉพาะพระสงฆ์ทาง ลา้ นนา หรือกลมุ่ ชาวไตเท่านัน้ เหตุท่ีเรยี กตนเองว่า “คนไต” ทานองอยา่ งที่เรียกพระจนี ว่า “หลวงจีน” กระมงั 15

ร่าเรียนสืบต่อไปพายหน้า คันว่าตนใดบ่ได้เรียนสนธิ สนนาม๑ อย่าฟั่งติว่า ‘แปลและศัพท์ทังหลายฝูงน้ีผิดแล’ บ่แม่นก็ อย่าได้ว่าเทิอะ ชาติแปลและศัพท์นี้ เทียรย่อมผู้มีผะหยา ปญั ญาฉลาดลดั วา่ เอาพรอ่ งด่าย เหตุวา่ บ่ไขเส้ยี งแล” จากข้อความดังกล่าวข้างต้นน่ีเองที่บ่งบอกว่า ผู้จาร เป็นผู้มีความรู้ในด้านสัททาวิเสส (ไวยากรณ์บาลี) ซ่ึงถอด ความเป็นภาษาไทยกลางดังน้ี “บุคคลผู้เป็นกุลบุตร หรือ พระภิกษุสงฆ์รูปใดในภายหน้าได้ศึกษาเล่าเรียนก็ดี ถ้าหากยงั ไม่ได้เรียนสนธิและนาม ก็อย่าเพิ่งตาหนิว่า ‘แปลยกศัพท์ เหล่านี้ผิด’ หากไม่ชานาญหรือรู้จริงก็อย่าได้ว่าส่งเดช อัน ธรรมดาการแปลยกศัพท์บาลีนี้ เฉพาะผู้ท่ีมีสติปัญญาเฉลียว ฉลาดเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้ ตรงไหนที่เข้าใจง่ายหรือแปลไว้ แล้ว ก็ลัดความเอาหรือตัดข้ามไปบ้าง ไม่จาเป็นต้องแปลไว้ ท้ังหมด” ดังนั้นผู้ท่ีจะเข้าใจแปลยกศัพท์ได้ดีจะต้องเป็นผู้ท่ี เช่ียวชาญในภาษาบาลีหรือมีพื้นฐานทางด้านภาษาบาลีมาบ้าง เช่นท่ีท่านแปลว่า พุทฺโธ อันว่า.... อิทํ วจนํ ยัง.... เป็นต้น ซึ่งฐานะที่ละไว้น้ีจะต้องเข้าใจเอาเอง คือในท่ีน้ีควรแปลว่า ๑ คือ นาม นั่นเอง เป็นคาท่ยี กั เยือ้ งรูปศพั ทม์ าจากศัพทข์ า้ งหน้า คอื สนธิ โดยการเลน่ ศพั ท์และเรียกใหมต่ ามแบบฉบับของทา่ น ผจู้ ารว่า สนนาม เหมือนอย่างทเี่ รียก ภาณยัก ภาณโข ซึ่งมา จาก ยกั โข น่ันเอง 16

พุทฺโธ อันว่าพระพุทธเจ้า อิทํ วจนํ ยังคาอันนี้ แต่ท่านใส่ไว้ เฉพาะคาอายตนิบาต คือ “อันว่า” กับ “ยัง” เพราะถือว่ารู้ กนั ไมต่ อ้ งแปลไวอ้ ยา่ งละเอียด ดังนีเ้ ปน็ ตัวอย่าง หากบุญกุศลใดที่เกิดจากการเรียบเรียงสวดมนต์ฉบับ พิเศษน้จี ะพึงมีไซร้ ขอบุญกุศลน้นั จงสาเรจ็ เป็นปตั ติทานมยั แด่ บูรพาจารย์ผู้สืบทอดพระศาสนา และมารดาบิดากับท้ังครู อุปัชฌาย์อาจารย์ผูถ้ ่ายทอดศิลปะวิทยาการทุกทา่ น ตลอดถึง สาธุชนผู้ใคร่ในภาวนามัยท้ังหลาย พร้อมกันน้ันขออุทิศคุณ ความดีครั้งนี้ให้กับพระอิทธิมาภิกขุผู้จารหนังสือสูตรใบลาน ผูกน้ี ที่ข้าพเจ้าได้อาศัยต้นฉบับในการอ้างอิงและชาระสอบ เทยี บกับฉบบั อืน่ ๆ ขอใหท้ ่านเหล่านัน้ ได้เสวยอฏิ ฐวิบลู มนูญผล แ ห่ ง กุ ศ ล ก ร ร ม วิ บ า ก ใ น สุ ค ติ สั ม ป ร า ย ภ พ ต า ม ค ติ วิ สั ย ทุ ก ประการ พระมหาญาณธวัช าณทฺธโช ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๑ 17

สารบญั เร่อื ง หนา้ นทิ านกถา ๑ มหาสมยสูตร (สูตรวา่ ด้วยการประชุมใหญ)่ ๒๑ มังคลสูตร (สตู รว่าด้วยสิ่งที่เป็นอดุ มมงคล) ๔๔ สมจติ ตสูตร (สูตรว่าด้วยเทวดาผูม้ ีจิตเสมอกนั ) ๕๐ มหาราหุโลวาทสตู ร (สตู รว่าดว้ ยการประทานโอวาท แกพ่ ระราหุล-สูตรใหญ)่ ๖๐ จฬู ราหโุ ลวาทสตู ร (สตู รว่าด้วยการประทานโอวาท แก่พระราหุล-สตู รเล็ก) ๘๒ ธมั มจกั กัปปวตั ตนสตู ร (สูตรว่าดว้ ยการหมุนวงลอ้ พระธรรมหรือประกาศพระธรรมจักร) ๙๗ ปราภวสูตร (สูตรว่าด้วยส่ิงท่ีเป็นปากทางแหง่ ความเส่ือม) ๑๑๗ c 18

ท่มี าของพระสตู ร มหาสมยสตู ร พระไตรปิฎก เลม่ ที่ ๑๐ ทีฆนกิ าย มหาวรรค มงั คลสตู ร พระไตรปฎิ ก เลม่ ที่ ๒๕ ขุททกปาฐะ ขทุ ทกนิกาย สมจติ ตสตู ร พระไตรปิฎก เลม่ ที่ ๒๐ ทุกนิบาต ปฐมปณั ณาสก์ องั คุตตรนกิ าย สมจติ ตวรรค มหาราหโุ ลวาทสูตร พระไตรปิฎก เล่มท่ี ๑๓ มัชฌมิ ปณั ณาสก์ มชั ฌิมนิกาย ภิกขวุ รรค จูฬราหโุ ลวาทสตู ร พระไตรปฎิ ก เล่มท่ี ๑๔ อุปรปิ ัณณาสก์ มชั ฌมิ นกิ าย สฬายตนวรรค ธมั มจักกปั ปวัตตนสรู พระไตรปฎิ ก เล่มที่ ๔ มหาขนั ธกะ ปญั จวัคคิยกถา วนิ ัยมหาวรรค และเลม่ ที่ ๑๙ สัจจสังยุต สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค ปราภวสูตร พระไตรปิฎกเล่มท่ี ๒๕ สุตตนิบาต ขุททกนิกาย อรุ ควรรค 19



มะหาสะมะยะสตู ร (มหาสมัย) เอวมั เม สุตังฯ เอกงั สะมะยัง ภะคะวา สกั เกสุ วหิ ะระติ กะปิละวัตถุสม๎ ิง มะหาวะเน มะหะตา ภิกขสุ งั เฆนะ สัทธงิ ปัญจะมัตเตหิ ภกิ ขุสะเตหิ สพั เพเหวะ อะระหันเตหิฯ ทะสะหิ จะ โลกะธาตูหิ เทวะตา เยภุยเยนะ สนั นิปะตติ า โหนติ ภะคะวันตงั ทสั สะนายะ ภกิ ขสุ ังฆญั จะฯ อะถะ โข จะตนุ นงั สทุ ธาวาสะกายกิ านัง เทวานงั เอตะทะโหสิ อะยงั โข ภะคะวา สกั เกสุ วิหะระติ กะปลิ ะวัตถสุ ๎มิง มะหาวะเน มะหะตา ภกิ ขสุ งั เฆนะ สัทธิง ปัญจะมตั เตหิ ภิกขสุ ะเตหิ สัพเพเหวะ อะระหนั เตหิ ทะสะหิ จะ โลกะธาตูหิ เทวะตา เยภุยเยนะ สันนปิ ะติตา โหนติ ภะคะวนั ตัง ทสั สะนายะ ภกิ ขสุ งั ฆัญจะ, ยนั นูนะ มะยัมปิ เยนะ ภะคะวา, เตนปุ ะสังกะเมยยามะ อปุ ะสงั กะมิตว๎ า ภะคะวะโต สันตเิ ก ปัจเจกงั คาถัง ภาเสยยามาติฯ อะถะ โข ตา เทวะตา, เสยยะถาปิ นามะ พะละวา ปุรโิ ส สะมิญชติ งั วา พาหงั ปะสาเรยยะ ปะสารติ ัง วา พาหัง สะมญิ เชยยะ, เอวะเมวะ สุทธาวาเสสุ เทเวสุ 21

อนั ตะระหติ า ภะคะวะโต ปุระโต ปาตุระเหสงุ ฯ๑ อะถะ โข ตา เทวะตา ภะคะวันตัง อะภวิ าเทตว๎ า เอกะมนั ตงั อฏั ฐังสฯุ เอกะมนั ตงั ฐติ า โข เอกา เทวะตา ภะคะวะโต สนั ติเก อมิ ัง คาถัง อะภาสิ มะหาสะมะโย ปะวะนสั ๎มิง เทวะกายา สะมาคะตา อาคะตัมหา อมิ ัง ธมั มะสะมะยงั ทกั ขติ าเยวะ๒ อะปะราชิตะสังฆนั ติฯ อะถะ โข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สนั ติเก อิมงั คาถัง อะภาสิ ตัตร๎ ะ ภิกขะโว สะมาทะหงั สุ จติ ตงั อัตตะโน อุชุกะมะกังสุ สาระถวี ะ เนตตานิ คะเหตว๎ า อนิ ท๎รยิ านิ รกั ขันติ ปัณฑติ าตฯิ อะถะ โข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันตเิ ก อมิ ัง คาถัง อะภาสิ ๑ ตัดบทว่า ปาตุ+อเหสํุ (ร อาคม) ฉบบั ไทยกลางเป็น ปาตรุ ะหงั สุ (ปาต+ุ อหสุ) ปาฐะนี้น่าจะพริ ธุ เพราะในบาลีไม่มีรปู ทแ่ี จกด้วย หู ธาตวุ า่ อหํสุ มแี ต่ อเหสํุ เทา่ นน้ั อน่งึ รปู ว่า อหสุ น้ีควรสาเรจ็ มาจาก หรฺ ธาตุ เทยี บกับรูปวา่ อกสุ (อ+กรฺ+อํุ อสุ) ขอฝากไว้ ในวิจารณญาณของผูร้ ้ทู ั้งหลายตอ่ ไป ๒ ทักขติ าเย (?) 22

เฉต๎วา ขลี ัง เฉต๎วา ปะลีฆัง อินทะขลี ัง โอหจั จะมะเนชา เต จะรนั ติ สุทธา วิมะลา จักขมุ ะตา สุทันตา สุสนุ าคาติฯ อะถะ โข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สนั ติเก อมิ ัง คาถงั อะภาสิ เย เกจิ พุทธัง สะระณัง คะตาเส นะ เต คะมิสสนั ติ อะปายะภมู ิง ปะหายะ มานุสงั เทหัง เทวะกายัง ปะริปูเรสสนั ตีตฯิ อะถะ โข ภะคะวา ภกิ ขู อามนั เตสิ เยภุยเยนะ ภิกขะเว ทะสะสุ โลกะธาตูสุ เทวะตา สันนิปะติตา โหนติ ตะถาคะตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ, เยปิ เต ภิกขะเว อะเหสุง อะตีตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา, เตสัมปิ ภะคะวันตานัง เอตะปะระมาเยว เทวะตา สนั นิปะตติ า อะเหสุง เสยยะถาปิ มยั หงั เอตะระหิ, เยปิ เต ภกิ ขะเว ภะวสิ สันติ อะนาคะตะมัทธานัง อะระหันโต สมั มาสัมพุทธา, เตสมั ปิ ภะคะวันตานงั เอตะ- ปะระมาเยวะ เทวะตา สันนปิ ะติตา ภะวิสสนั ติ เสยยะถาปิ มัยหงั เอตะระหิ, อาจกิ ขสิ สามิ ภิกขะเว เทวะกายานงั นามาน,ิ กิตตะยิสสามิ ภิกขะเว เทวะกายานัง นามาน,ิ เทเสสสามิ ภกิ ขะเว เทวะกายานัง นามาน,ิ 23

ตัง สุณาถะ สาธกุ งั มะนะสิกะโรถะ ภาสิสสามีตฯิ เอวัมภันเตติ โข เต ภกิ ขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสงุ ฯ ภะคะวา เอตะทะโวจะ สโิ ลกะมะนกุ ัสสามิ ยตั ถะ ภมุ มา ตะทสั สิตา เย สิตา คริ ิคัพภะรงั ปะหติ ตั ตา สะมาหติ าฯ ปุถู สหี าวะ สลั ลนี า โลมะหงั สาภิสัมภุโน โอทาตะมะนะสา สทุ ธา วปิ ปะสันนะมะนาวิลาฯ ภยิ โย ปญั จะสะเต ญตั ๎วา วะเน กาปิละวัตถะเว ตะโต อามันตะยิ สัตถา สาวะเก สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภกิ กนั ตา เต วชิ านาถะ ภกิ ขะโวฯ เต จะ อาตัปปะมะกะรงุ สุตว๎ า พุทธสั สะ สาสะนัง เตสงั ปาตุระหุ ญาณงั อะมะนสุ สานะ ทัสสะนังฯ อปั เปเก สะตะมทั ทักขงุ สะหสั สัง อะถะ สัตตะริง สะตัง เอเก สะหสั สานงั อะมะนสุ สานะมทั ทะสงุ อัปเปเกนันตะมัททักขงุ ทสิ า สพั พา ผุฏา อะหฯุ ๑ ๑ รูปน้เี ปน็ พหพู จน์ โดยลง อู หิยยตั ตนแี ละรสั สะ ฉบบั ท่ัวไปเปน็ อะหงุ (อหุํ โดยลง อํุ อัชชตนีมา ในเวสสันตรทีปนี ทานกัณฑ์ ท่านแกค้ าน้ไี วว้ า่ อหตู ิ อเหสุํ. หยิ ยฺ ตฺตนี อู. รสโฺ ส. (คาว่า อหุ ได้แก่ อเหสุํ ลง อู หิยยตั ตนี และรสั สะ) ส่วนในทอี่ น่ื รูปน้ีทา่ น ใช้เป็นเอกพจน์กม็ ี สาเรจ็ มาจาก อ+หู ธาต+ุ อี อชั ชตนี ลบ อี วิภตั ติและรสั สะ มอี รรถเทา่ กบั อโหสิ 24

ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ วะวักขติ ๎วานะ จกั ขมุ า ตะโต อามนั ตะยิ สัตถา สาวะเก สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภิกกันตา เต วิชานาถะ ภิกขะโว เย โวหงั กิตตะยิสสามิ คริ าหิ อะนุปุพพะโสฯ สตั ตะสะหสั สา ยักขา จะ ภมุ มา กาปิละวตั ถะวา อิทธมิ นั โต ชตุ ิมันโต วณั ณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนงั สะมิติง วะนังฯ ฉะสะหสั สา เหมะวะตา ยักขา นานัตตะวัณณิโน อทิ ธิมันโต ชุติมันโต วณั ณะวันโต ยะสัสสโิ น โมทะมานา อะภิกกามุง ภกิ ขนู ัง สะมติ ิง วะนงั ฯ สาตาคริ า ตสิ ะหัสสา ยกั ขา นานัตตะวณั ณโิ น อิทธิมันโต ชตุ มิ นั โต วณั ณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามงุ ภิกขนู งั สะมิติง วะนงั ฯ อจิ เจเต โสฬะสะสะหสั สา ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมนั โต ชตุ ิมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามงุ ภกิ ขูนงั สะมิตงิ วะนังฯ เวสสามติ ตา ปัญจะสะตา ยกั ขา นานตั ตะวณั ณโิ น อิทธมิ ันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสโิ น โมทะมานา อะภกิ กามงุ ภกิ ขูนงั สะมิตงิ วะนังฯ กุมภีโร ราชะคะหโิ ก เวปุลลสั สะ นิเวสะนงั ภิยโย นัง สะตะสะหัสสงั ยกั ขานงั ปะยริ ปุ าสะติ กมุ ภีโร ราชะคะหโิ ก โสปาคะ สะมิติง วะนังฯ 25

ปรุ มิ ญั จะ ทสิ ัง ราชา ธะตะรัฏโฐ ปะสาสะติ คันธัพพานัง อะธปิ ะติ มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปตุ ตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหพั พะลา อทิ ธิมันโต ชตุ ิมนั โต วัณณะวนั โต ยะสัสสโิ น โมทะมานา อะภกิ กามงุ ภกิ ขนู ัง สะมิตงิ วะนงั ฯ ทักขิณัญจะ ทิสัง ราชา วิรฬู โ๎ ห ตงั ปะสาสะติ กุมภณั ฑานัง อะธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปตุ ตาปิ ตัสสะ พะหะโว อนิ ทะนามา มะหพั พะลา อิทธมิ นั โต ชตุ ิมันโต วณั ณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภกิ กามุง ภิกขนู งั สะมติ ิง วะนงั ฯ ปจั ฉิมัญจะ ทิสัง ราชา วริ ูปักโข ปะสาสะติ นาคานญั จะ อะธิปะติ มะหาราชา ยะสสั สิ โส ปตุ ตาปิ ตัสสะ พะหะโว อนิ ทะนามา มะหพั พะลา อทิ ธิมนั โต ชตุ มิ นั โต วัณณะวนั โต ยะสัสสโิ น โมทะมานา อะภกิ กามุง ภิกขูนงั สะมติ ิง วะนังฯ อตุ ตะรญั จะ ทิสัง ราชา กุเวโร ตงั ปะสาสะติ ยกั ขานญั จะ อะธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อนิ ทะนามา มะหัพพะลา อิทธมิ นั โต ชตุ ิมันโต วณั ณะวันโต ยะสัสสโิ น โมทะมานา อะภกิ กามงุ ภกิ ขูนงั สะมติ งิ วะนงั ฯ ปรุ มิ ะทิสงั ธะตะรฏั โฐ ทักขิเณนะ วริ ฬู ห๎ ะโก ปจั ฉิเมนะ วิรูปักโข กุเวโร อุตตะรัง ทิสงั จัตตาโร เต มะหาราชา สะมนั ตา จะตโุ ร ทิสา 26

ทะทัฬ๎หะมานา๑ อฏั ฐงั สุ วะเน กาปิละวัตถะเวฯ เตสัง มายาวิโน ทาสา อาคุ วญั จะนกิ า สะฐา มายา กเุ ฏณฑุ เวเฏณฑุ วิฏจุ จะ วฏิ โุ ต สะหะ จันทะโน กามะเสฏโฐ จะ กินนุฆัณฑุ นิฆณั ฑุ จะฯ ปะนาโท โอปะมัญโญ จะ เทวะสโู ต จะ มาตะลิ จติ ตะเสโน จะ คนั ธพั โพ นะโฬราชา ชะเนสะโภ อาคุ ปญั จะสโิ ข เจวะ ติมพะรู สรุ ิยะวัจฉะสา เอเต จัญเญ จะ ราชาโน คันธัพพา สะหะ ราชภุ ิ โมทะมานา อะภิกกามงุ ภิกขูนัง สะมติ งิ วะนังฯ อะถาคุ นาคะสา๒ นาคา เวสาลา สะหะ ตัจฉะกา กมั พะลสั สะตะรา อาคุ ปายาคา สะหะ ญาติภิ ยามุนา ธะตะรฏั ฐา จะ อาคุ นาคา ยะสัสสโิ น เอราวะโณ มะหานาโค โสปาคะ สะมติ ิง วะนงั ฯ เย นาคะราเช สะหะสา หะรันติ ทพิ พา ทิชา ปักขิ วสิ ทุ ธะจักขู เวหายะสา เต วะนะมัชฌะปัตตา จติ ร๎ า สุปัณณา อิติ เตสงั นามงั อะภะยัง ตะทา นาคะราชานะมาสิ สปุ ณั ณะโต เขมะมะกาสิ พทุ โธ ๑ โดยมากเปน็ ททั ทลั ละมานา ๒ เปน็ นาภะสา ก็มี 27

สณั หาหิ วาจาหิ อปุ ว๎หะยนั ตา๑ นาคา สุปณั ณา สะระณะมะกงั สุ พุทธงั ฯ ชิตา วะชิระหัตเถนะ สะมุททัง อะสุรา สิตา ภาตะโร วาสะวัสเสเต อทิ ธิมนั โต ยะสัสสโิ น กาละกญั ชา มะหาเภส๎มา๒ อะสรุ า ทานะเวฆะสา เวปะจติ ติ สุจติ ติ จะ ปะหาราโท นะมจุ ี สะหะ สะตัญจะ พะลิปุตตานัง สพั เพ เวโรจะนามะกา สันนาหิต๎วา พะลเิ สนัง ราหภุ ัททงั อปุ าคะมงุ สะมะโยทานิ ภัททนั เต ภกิ ขนู ัง สะมติ งิ วะนงั ฯ อาโป จะ เทวา ปะถะวี จะ เตโช วาโย ตะทาคะมุง วะรุณา วารณุ า เทวา โสโม จะ ยะสะสา สะหะ เมตตากะรุณากายกิ า อาคุ เทวา ยะสสั สิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา สพั เพ นานตั ตะวัณณิโน อทิ ธิมนั โต ชตุ ิมนั โต วัณณะวนั โต ยะสัสสโิ น โมทะมานา อะภกิ กามุง ภิกขูนัง สะมติ ิง วะนงั ฯ ๑ อา่ นว่า อุ-เปา-หะ-ยัน-ตา ๒ ฉบบั ไทยกลางเป็น ...ภสิ ม๎ า สมันตปาสาทกิ า วนิ ยั อรรถกถา แกค้ าน้ไี ว้วา่ เภสมฺ าติ ภยานโก. (สมนฺต. ๓/๔๓๐) รูปว่า เภส๎มา ในท่ีน้ีกถ็ ือว่าใช้ได้ เพราะคลอ้ ยตามนยั คัมภรี ์อรรถกถา ดงั กล่าวแล้ว 28

เวณฑู จะ เทวา สะหะลี จะ อะสะมา จะ ทุเว ยะมา จนั ทสั สปู ะนิสา เทวา จนั ทะมาคุ ปรุ กั ขตั ๎วา1 สรุ ยิ ัสสูปะนิสา เทวา สุรยิ ะมาคุ ปรุ ักขัตว๎ า2 นักขตั ตานิ ปรุ กั ขตั ๎วา3 อาคุ มันทะวะลาหะกา วะสนู งั วาสะโว เสฏโฐ สักโกปาคะ ปรุ ินทะโท ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานตั ตะวัณณิโน อิทธมิ นั โต ชตุ ิมันโต วณั ณะวนั โต ยะสัสสโิ น โมทะมานา อะภกิ กามงุ ภกิ ขูนงั สะมิติง วะนังฯ อะถาคุ สะหะภู เทวา ชะละมัคคิสิขาริวะ อะริฏฐะกา จะ โรชา จะ อมุ มาปุปผะนิภาสโิ น วะรุณา สะหะธมั มา จะ อัจจุตา จะ อะเนชะกา สุเลยยะรุจริ า อาคุ อาคุ วาสะวะเนสโิ น ทะเสเต ทะสะธา กายา สพั เพ นานตั ตะวัณณิโน อทิ ธมิ นั โต ชตุ มิ ันโต วณั ณะวนั โต ยะสัสสโิ น โมทะมานา อะภกิ กามุง ภกิ ขูนงั สะมติ ิง วะนังฯ สะมานา มะหาสะมานา มานสุ า มานสุ ุตตะมา ขทิ ทาปะโทสกิ า๑ อาคุ อาคุ มะโนปะโทสกิ า อะถาคุ หะระโย เทวา เย จะ โลหิตะวาสโิ น ปาระคา มะหาปาระคา อาคุ เทวา ยะสัสสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานตั ตะวณั ณิโน ๑ เปน็ ขฑิ ฑาปทูสิกา กม็ ี 29

อทิ ธมิ ันโต ชุตมิ ันโต วณั ณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภกิ กามุง ภกิ ขูนงั สะมติ งิ วะนงั ฯ สุกกา กะรัมภา อะรุณา อาคุ เวฆะนะสา สะหะ โอทาตะคัยหา ปาโมกขา อาคุ เทวา วิจกั ขะณา สะทามตั ตา หาระคะชา มิสสะกา จะ ยะสัสสิโน ถะนะยัง อาคะ ปัชชุนโน โย ทสิ า อะภวิ สั สะติ ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุตมิ นั โต วัณณะวนั โต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภกิ กามุง ภิกขูนงั สะมติ ิง วะนังฯ เขมยิ า ตสุ ติ า ยามา กฏั ฐะกา จะ ยะสสั สิโน ลัมพติ ะกา ลามะเสฏฐา โชตินามา จะ อาสะวา นิมมานะระติโน อาคุ อะถาคุ ปะระนิมมิตา ทะเสเต ทะสะธา กายา สพั เพ นานตั ตะวัณณิโน อิทธมิ นั โต ชุติมันโต วัณณะวนั โต ยะสัสสโิ น โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนงั สะมติ ิง วะนงั ฯ สฏั เฐเต เทวะนิกายา สพั เพ นานัตตะวัณณิโน นามันว๎ ะเยนะ อาคัญฉุง เย จัญเญ สะทิสา สะหะ ปะวตุ ถะชาติมกั ขีลงั โอฆะติณณะมะนาสะวงั ทกั เขโมฆะตะรัง นาคงั จันทังวะ อะสติ าสติ ังฯ4 สพุ ร๎ หั ๎มา ปะระมตั โต จะ ปตุ ตา อทิ ธมิ ะโต สะหะ สะนงั กมุ าโร ตสิ โส จะ โสปาคะ สะมิตงิ วะนังฯ สะหสั สงั พ๎รัห๎มะโลกานงั มะหาพร๎ หั ๎มาภติ ิฏฐะติ 30

อปุ ะปนั โน ชุติมันโต เภสม๎ ากาโย๑ ยะสสั สิ โสฯ ทะเสตถะ อิสสะรา อาคุ ปัจเจกะวะสะวตั ติโน เตสญั จะ มชั ฌะโต อาคะ หาริโต ปะริวาริโตฯ เต จะ สัพเพ อะภกิ กันเต สะอนิ เท เทเว สะพ๎รหั ๎มะเก มาระเสนา อะภกิ กามิ ปัสสะ กณั หัสสะ มันทิยังฯ เอถะ๒ คณั หะถะ พนั ธะถะ ราเคนะ พนั ธะมัตถุ โว สะมันตา ปะริวาเรถะ มา โว มุญจติ ถะ โกจนิ ัง อิติ ตัตถะ มะหาเสโน กัณโห เสนงั อะเปสะยิฯ ปาณินา ตะละมาหจั จะ สะรงั กัต๎วานะ เภระวงั ยะถา ปาวุสสะโก เมโฆ ถะนะยันโต สะวิชชุโก ตะทา โส ปัจจุทาวตั ติ สงั กทุ โธ อะสะยงั วะเสฯ ตัญจะ สพั พงั อะภญิ ญายะ วะวกั ขติ ๎วานะ จกั ขุมา ตะโต อามนั ตะยิ สตั ถา สาวะเก สาสะเน ระเต มาระเสนา อะภกิ กนั ตา เต วิชานาถะ ภกิ ขะโวฯ เต จะ อาตัปปะมะกะรงุ สตุ ๎วา พุทธสั สะ สาสะนัง วีตะราเคหะปักกามุง๓ นาสงั 5 โลมานิ อญิ ชิสงุ ฯ6 ๑ ฉบับไทยกลางเปน็ ภิส๎มากาโย ๒ เปน็ เอตถะ กม็ ี โดยโยค ราคะปาเส (ในบว่ งคือราคะ) เข้ามา เปน็ วเิ สสิตพั พะ ส่วน เอถะ เปน็ กิริยาบท ๓ ตดั บทวา่ วีตราเคห+ิ อปกฺกามุํ = วตี ราเคหปกกฺ ามุํ ฉบบั ทั่วไป แยกเปน็ สองบทวา่ วีตะราเคหิ ปกั กามงุ 31

สัพเพ วชิ ิตะสงั คามา ภะยาตตี า ยะสสั สโิ น โมทนั ติ สะหะภเู ตหิ สาวะกา เต ชะเนสุตาติฯ มะหาสะมะยะสตุ ตงั ฯ มะหาสะมะยะสุตเต จะ อะโถ มังคะละสตุ ตะเก สะมะจิตเต ราหุโลวาเท ธมั มะจักเก ปะราภะเว เทวะตาสะมติ ิ ตัต๎ระ อัปปะเมยยา อะนัปปะกา ธมั มาภสิ ะมะโย เจตถะ คะณะนาโต อะสงั ขะโยตฯิ เชิงอรรถเลขอารบคิ 1-2-3 สาเรจ็ รปู มาจาก ปรุ +กรฺ+ตฺวา แปลง กรฺ เปน็ ข ดว้ ย กัจจายนสตู รท่ี ๕๙๔ ว่า ปุรสมปุ ปรีหิ กโรตสิ สฺ ขขรา วา ตปปฺ จฺจเยสุ จ. ฉบบั ทั่วไปมีรูปวา่ ปรุ ักขติ า บ้าง ปุรักขติ ๎วา บ้าง ทั้งสองรปู นีไ้ มต่ รงตามกฏไวยากรณ์ เพราะเม่ือแปลง กรฺ ธาตุ เป็น ข แล้ว ไม่ตอ้ งลง อิ อาคมมาอกี จึงเท่ากับ รปู ทล่ี บทีส่ ุดธาตุตามปกตวิ า่ กตา (กรฺ+ต) และ กตฺวา (กร+ฺ ตฺวา) จะไม่มรี ปู ว่า กติ า และ กติ ฺวา สว่ นรปู ทีแ่ ปลง เปน็ ขร นน้ั ให้ลง อิ อาคมมาไดเ้ ช่น ปฏสิ งฺขรติ ฺวา เป็นต้น เทา่ กับรูปวา่ กรติ ฺวา นน่ั เอง ดังนน้ั รูปว่า ปรุ ักขติ า ก็ดี ปรุ กั ขติ ๎วา กด็ ี จึงควรเป็น ปุรักขะตา และ ปุรกั ขัต๎วา 4 ฉบับไทยกลางเป็น อะสิตาติตัง แปลว่า “ล่วงพ้นจากเมฆ หมอก” หรือ “ล่วงเสียซึ่งดา [คืออกุศล]” มาจาก อสิต (หมอก, ดา)+อตีต (ล่วงพ้น) รัสสะ อี เป็น อิ เพ่ือรักษา 32

ฉันท์ ฉบับฉัฏฐสังคีติเป็น อะสิตาติคัง (อสิต+อติค) มีคา แปลอย่างเดียวกัน ส่วนปาฐะว่า อะสิตาสิตัง ในฉบับนี้ แปลว่า “กลนื กินเมฆหมอก” (อสติ +อสิต) ถ้าถือเอานัยตาม คาแปลนี้ก็น่าแปลกตรงที่ว่า รัศมีพระจันทร์ทาให้เมฆหมอก หายไปได้ แทนท่ีจะเป็นรัศมีพระอาทิตย์ ถ้าจะแปลเอา ความให้ใกล้ภาษาไทยสักหน่อยว่า “กลืนความมืด” ดังนี้ก็ น่าจะเขา้ ที 5 ตดั บทว่า น+อาส = นาส บทวา่ อาส สาเรจ็ รูปมาจาก ต สัพพนาม กบั น ฉัฏฐีวิภัตติ และเป็นไดท้ ้งั สามลิงค์ ในท่ีนี้ ใชเ้ ป็นปุงลิงค์ โดยสัมพนั ธเ์ ป็นวิเสสนะของ อรยิ านํ ดงั ท่ี คมั ภีร์สัททนตี ิสตุ ตมาลา (สูตรท่ี ๓๖๘) กล่าวไว้วา่ อา จ ตลิ ิงเฺ ค. (เพราะ น วิภัตติ แปลง ต เป็น อา ในลิงคท์ ั้ง ๓ บ้าง) โดยได้ยกตัวอย่างจากพระบาลวี า่ สพฺพาสํ โสกา วินสฺสนฺติ. (ความโศกทง้ั ปวงของชนทงั้ สองเหลา่ นัน้ ย่อม หายไป) และแสดงการตัดบท สพฺพาสํ ว่า สพเฺ พ+อาส (บทว่า อาสํ ในท่ีน้เี ป็นวเิ สสนะของบทว่า ชนานํ ซึง่ เป็น ปงุ ลงิ ค)์ บาทพระคาถาน้ีฉบับไทยกลางมีรูปว่า เนสํ โลมมฺปิ อิญฺชยํุ ส่วนฉบับฉัฏฐสังคีติมีรูปว่า เนสํ โลมาปิ อิญฺชยุํ โดยตดั บท เนสํ วา่ น+เอส 6 บทว่า อิญฺชิสุํ ในที่นี้มาจาก อิญฺชึสุ โดยสลับตาแหน่ง นิคคหิตเพื่อรักษาฉันท์ ดังบทว่า วิปสฺสิสํุ (วิปัสสิสุง) ใน อาฏานาฏิยสูตรก็มาจาก วิปสฺสึสุ มิใช่แปลง อุํ วิภัตติ เป็น อิสุํ อย่างท่ีเคยเข้าใจกันแต่อย่างใด ดูสัททนีติสูตรที่ ๑๖๘ ( านนตฺ รคติ นคิ ฺคหตี สสฺ .) 33

มะหาสะมะยะสูตร (แปล) ข้าพเจ้า (คือ พระอานนทเถระ) ได้สดับมาอยา่ งนี้:- สมยั หน่ึงพระผมู้ พี ระภาคประทับอยู่ ณ ปา่ มหาวัน เขตพระนครกบิลพสั ด์ุ ในสกั กชนบท พรอ้ มดว้ ยภิกษุสงฆ์หมู่ ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รปู ล้วนเปน็ พระอรหนั ต์ ก็พวกเทวดา จากโลกธาตุท้งั ๑๐ ประชุมกนั มาก เพือ่ ทัศนาพระผมู้ ีพระ ภาคและภกิ ษสุ งฆ์ ครง้ั นัน้ เทวดาชนั้ สุทธาวาส ๔ องคไ์ ดม้ คี วามดาริวา่ พระผูม้ ีพระภาคพระองคน์ ้ีแล ประทับอยู่ ณ ปา่ มหาวัน เขต พระนครกบิลพัสด์ุ ในสักกชนบทพร้อมด้วยภิกษุสงฆห์ มู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รปู ล้วนเป็นพระอรหนั ต์ ก็พวกเทวดาจาก โลกธาตทุ ง้ั ๑๐ ประชมุ กันมาก เพอ่ื ทัศนาพระผู้มีพระภาค และภิกษุสงฆ์ ไฉนหนอ แมพ้ วกเรากค็ วรเขา้ ไปเฝา้ พระผู้มี พระภาคถงึ ทีป่ ระทับ ครนั้ แลว้ พึงกลา่ วคาถาเฉพาะองค์ละ คาถาในสานกั พระผูม้ ีพระภาค ลาดบั น้นั เทวดาพวกน้นั หาย ไป ณ เทวโลกช้ันสทุ ธาวาสแลว้ มาปรากฏเบือ้ งพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค เหมอื นบุรษุ มีกาลังเหยียดแขนท่คี อู้ อกหรอื คแู้ ขนที่เหยยี ดออกเขา้ ฉะนน้ั เทวดาพวกน้ันถวายอภิวาท พระผมู้ ีพระภาคแลว้ ไดย้ นื อยู่ ณ ท่คี วรส่วนขา้ งหนึง่ เทวดา องคห์ นงึ่ ได้กล่าวคาถานีใ้ นสานักพระผ้มู ีพระภาคว่า การประชุมใหญ่ในป่าใหญ่ หมเู่ ทวดามาประชมุ กนั แลว้ พวกเราพากันมาสู่ธรรมสมัยน้ี เพื่อจะได้เหน็ หมทู่ า่ น ผ้ชู นะมาร 34

ลาดับนน้ั เทวดาอีกองค์หนงึ่ ได้กลา่ วคาถานี้ ใน สานกั พระผมู้ พี ระภาคว่า ภิกษุท้งั หลายในท่ีประชุมน้ัน มนั่ คง กระทาจิตของ ตนใหต้ รง บัณฑิตทงั้ หลาย ย่อมรักษาอนิ ทรีย์ เหมอื นสารถี ถือบังเหยี นขับมา้ ฉะน้ัน ลาดับน้ัน เทวดาอกี องค์หน่ึง ได้กลา่ วคาถานี้ ใน สานักพระผ้มู ีพระภาควา่ ภิกษุเหล่านั้น ตดั กเิ ลสดุจตะปู ตดั กเิ ลสดุจลมิ่ สลัก ถอนกิเลสดจุ เสาเข่ือนได้แลว้ เปน็ ผู้ไม่หวัน่ ไหว หมดจดปราศ จากมลทิน เท่ียวไป ทา่ นเป็นหมูน่ าค (อรหันต)์ หนมุ่ อนั พระ ผ้มู ีพระภาคผู้มีจักษทุ รงฝกึ ดีแล้ว ลาดบั นนั้ เทวดาอีกองคห์ นงึ่ ไดก้ ลา่ วคาถานี้ ใน สานักพระผ้มู ีพระภาคว่า ชนเหลา่ ใดเหลา่ หนึ่ง ถงึ พระพทุ ธเจา้ ว่า เป็นสรณะ ชนเหล่านัน้ จักไม่ไปอบายภมู ิ ละกายมนษุ ยแ์ ลว้ จักยังเทวกาย ใหบ้ ริบรู ณ์ ลาดับนั้น พระผมู้ ีพระภาคตรสั เรยี กภิกษุทงั้ หลาย แล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาในโลกธาตทุ ้ัง ๑๐ ประชมุ กันมาก เพอ่ื ทศั นาตถาคตและภิกษสุ งฆ์ พวกเทวดา ประมาณเทา่ นแี้ หละได้ประชมุ กนั เพอื่ ทศั นาพระผู้มพี ระภาค อรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ซ่ึงไดม้ แี ล้วในอดตี กาล เหมอื นท่ี 35

ประชุมกันเพือ่ ทัศนาเราในบดั น้ี พวกเทวดาประมาณเทา่ น้ี แหละ จักประชมุ กันเพอ่ื ทศั นาพระอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ซง่ึ จกั มีในอนาคตกาล เหมอื นทป่ี ระชุมกนั เพ่อื ทศั นาเราใน บัดนี้ เราจกั บอกนามพวกเทวดา เราจกั ระบนุ ามพวกเทวดา เราจักแสดงนามพวกเทวดา พวกเธอจงฟงั เร่ืองนั้น จงใส่ใจ ใหด้ ี เราจักกลา่ ว ภิกษุเหล่านนั้ ทลู รับพระผูม้ พี ระภาคแลว้ พระผูม้ ีพระภาคไดต้ รัสภาษิตน้วี ่า เราจักรอ้ ยกรองโศลก ภุมมเทวดาอาศัยอยู่ ณ ทใ่ี ด พวกภิกษุก็อาศยั ท่นี ้นั ภิกษพุ วกใดอาศัยซอกเขา ส่งจิตไปแลว้ มสี มาธมิ น่ั คง ภกิ ษุพวกน้ัน เปน็ อนั มาก เรน้ อย่เู หมอื นราชสหี ์ ครอบงาความขนพองสยองเกล้าเสียได้ มใี จผดุ ผ่อง เป็นผู้ หมดจด ใสสะอาด ไมข่ นุ่ มัว พระศาสดา ทรงทราบภกิ ษุ ประมาณ ๕๐๐ เศษ ทอี่ ยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบลิ พสั ด์ุ แต่นนั้ จงึ ตรัสเรียกสาวกผู้ยนิ ดใี นพระศาสนามาว่า ดูกรภิกษทุ ง้ั หลาย หมู่เทวดามงุ่ มากันแล้ว พวกเธอจงรู้จกั หมู่เทวดานนั้ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั สดับรับส่งั ของพระพุทธเจ้าแล้ว ไดก้ ระทาความเพียร ญาณเป็นเครอื่ งเหน็ พวกอมนษุ ยไ์ ด้ ปรากฏแกภ่ ิกษุเหลา่ นั้น ภกิ ษุบางพวกไดเ้ ห็นอมนุษยร์ อ้ ยหน่ึง บางพวกไดเ้ ห็นอมนุษยพ์ ันหนึง่ บางพวกไดเ้ ห็นอมนษุ ยเ์ จ็ด หมน่ื บางพวกไดเ้ ห็นอมนษุ ยห์ น่ึงแสน บางพวกได้เห็นไมม่ ี ท่สี ดุ อมนษุ ยท์ ง้ั หลายไดเ้ ตม็ ไปท่วั ทุกทิศ 36

พระศาสดาผ้มู ีพระจักษุ ทรงใคร่ครวญทราบเหตุนนั้ สน้ิ แลว้ แต่น้นั จงึ ตรัสเรียกสาวกผู้ยินดใี นพระศาสนามาวา่ ดกู รภกิ ษทุ ้ังหลาย หม่เู ทวดาม่งุ มากันแล้ว พวกเธอจงรู้จัก หม่เู ทวดาน้ัน เราจกั บอกพวกเธอด้วยวาจาตามลาดับ ก็ยักษ์เจ็ดพนั ตน เป็นภุมมเทวดาอาศยั อย่ใู นพระนคร กบิลพสั ดุ์ มฤี ทธิ์ มอี านภุ าพ มีรัศมี มยี ศ ยินดี มุ่งมายงั ป่าอัน เปน็ ที่ประชุมของภกิ ษุ ยักษห์ กพันตน อยู่ท่ภี เู ขาเหมวตะ มี รัศมตี า่ งๆ กัน มฤี ทธิ์ มอี านภุ าพ มีรศั มี มียศ ยนิ ดี มุ่งมายงั ป่าอันเปน็ ท่ปี ระชุมของภกิ ษุ ยักษ์สามพันตนอยู่ทีส่ าตาคีรี มีรศั มีตา่ ง ๆ กัน มีฤทธ์ิ มีอานภุ าพ มรี ศั มี มียศ ยนิ ดี มงุ่ มายงั ปา่ อันเปน็ ที่ประชมุ ของ ภกิ ษุ ยักษเ์ หล่านน้ั รวมเป็นหน่ึงหม่ืนหกพัน มีรัศมตี ่างๆ กัน มี ฤทธ์ิ มอี านภุ าพ มีรัศมี มยี ศ ยนิ ดมี ุ่งมายงั ปา่ อนั เปน็ ที่ประชมุ ของภกิ ษุ ยักษ์ห้ารอ้ ยตนอยทู่ ่เี ขาเวสสามิตตะ มีรัศมตี ่างๆ กัน มฤี ทธิ์ มอี านภุ าพ มีรัศมี มยี ศ ยินดี มงุ่ มายังปา่ อนั เป็นที่ ประชมุ ของภกิ ษุ ยักษ์ชอ่ื กมุ ภรี ะอยู่ในพระนครราชคฤห์ ภูเขาเวปลุ ละ เปน็ ทอี่ ย่ขู องยักษ์นนั้ ยักษแ์ สนตนเศษ ตา่ งพากนั มาเฝ้าแหน ยักษ์ชอื่ กุมภีระนัน้ ยักษ์ชื่อกุมภรี ะอยู่ในพระนครราชคฤหแ์ ม้ นั้น กไ็ ด้มายังปา่ อนั เป็นทปี่ ระชมุ ของภกิ ษุ ท้าวธตรัฏฐะ อยทู่ างดา้ นทศิ บูรพา ปกครองทิศน้ัน เปน็ อธบิ ดีของพวกคนธรรพ์ เธอเป็นมหาราช มยี ศ แม้บุตร 37

ของเธอกม็ าก มนี ามว่า อนิ ทะ มีกาลังมาก มฤี ทธิ์ มอี านภุ าพ มีรัศมี มยี ศ ยินดี มุ่งมายงั ปา่ อนั เปน็ ที่ประชมุ ของภกิ ษุ ทา้ ววริ ุฬหก อยู่ทางดา้ นทศิ ทักษิณ ปกครองทิศนนั้ เป็นอธิบดขี องพวกกมุ ภัณฑ์ เธอเป็นมหาราช มยี ศ แมบ้ ตุ ร ของเธอกม็ าก มีนามว่า อนิ ทะ มกี าลังมาก มีฤทธ์ิ มอี านุภาพ มรี ศั มี มียศ ยนิ ดี มุง่ มายงั ป่าอันเป็นที่ประชมุ ของภกิ ษุ ท้าววิรูปักษ์ อยู่ทางดา้ นทศิ ปศั จิม ปกครองทิศนั้น เป็นอธิบดีของพวกนาค เธอเป็นมหาราช มยี ศ แม้บตุ รของ เธอก็มาก มีนามวา่ อนิ ทะ มกี าลังมาก มฤี ทธิ์ มีอานภุ าพ มี รัศมี มยี ศ ยนิ ดี มุง่ มายงั ปา่ อันเปน็ ท่ปี ระชมุ ของภิกษุ ท้าวกเุ วร อยู่ทางด้านทิศอุดร ปกครองทิศนน้ั เปน็ อธบิ ดขี องพวกยักษ์ เธอเปน็ มหาราช มยี ศ แมบ้ ุตรของเธอ ก็มาก มีนามว่า อินทะ มกี าลังมาก มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุง่ มายงั ปา่ อนั เปน็ ท่ปี ระชุมของภกิ ษุ ท้าวธตรัฏฐะเปน็ ใหญท่ ิศบรู พา ท้าววิรฬุ หกเป็นใหญ่ ทศิ ทักษณิ ท้าววิรูปักษ์เปน็ ใหญ่ทิศปศั จมิ ทา้ วกุเวรเป็นใหญ่ ทิศอดุ ร ท้าวมหาราชท้ัง ๔ นัน้ ไดป้ ระทับยนื อย่อู ย่างแข็งขัน โดยรอบทิศทงั้ ๔ ในป่าเขตพระนครกบิลพัสด์ุ พวกบา่ วของท้าวมหาราชท้งั ๔ นั้น มีมายาล่อลวง โออ้ วด เจ้าเลห่ ์ มาดว้ ยกัน มชี ่อื คือ กเุ ฏณฑุ ๑ เวเฏณฑุ ๑ วฏิ ุ ๑ วฏิ ตุ ะ ๑ จนั ทนะ ๑ กามเสฏฐะ ๑ กนิ นุฆัณฑุ ๑ นฆิ ัณฑุ ๑ และทา้ วเทวราชท้งั หลาย ผมู้ ีนามว่า ปนาทะ ๑ โอปมัญญะ ๑ เทพสารถีมีนามว่า มาตลิ ๑ จิตตเสนะผู้ 38

คนธรรพ์ ๑ นโฬราชะ ๑ ชนวสภะ ๑ ปัญจสิขะ ๑ ติมพรู ๑ สุรยิ วจั ฉสาเทพธดิ า ๑ มาทงั้ นัน้ ราชาและคนธรรพพ์ วกน้นั และพวกอื่นกบั เทวราชท้ังหลาย ยนิ ดี ม่งุ มายงั ป่าอนั เปน็ ท่ี ประชมุ ของภิกษุ อนึง่ เหลา่ นาคทอ่ี ยใู่ นสระช่อื นาคสะ บ้าง อยู่ใน เมืองเวสาลบี า้ ง พร้อมด้วยนาคบรษิ ัทเหล่าตจั ฉกะ กม็ า กมั พลนาค และอสั สตรนาคก็มา นาคผอู้ ย่ใู นทา่ ชื่อปยาคะ กับญาติ ก็มา นาคผอู้ ย่ใู นแมน่ ้ายมนุ า เกดิ ใน สกลุ ธตรัฏฐะผูม้ ียศก็มา เอราวณั เทพบุตรผ้เู ปน็ ช้างใหญ่ (มหานาค) แม้นัน้ ก็มายงั ป่าอันเปน็ ที่ประชุมของภกิ ษุ ปกั ษีทวิชาติ ผเู้ ปน็ ทิพย์ มีนยั น์ตาบริสุทธ์ิ นานาคราช ไปได้โดยพลันนัน้ มาโดยทางอากาศถงึ ทา่ มกลางป่า ช่ือของ ปักษนี ัน้ วา่ จติ รสุบรรณ ในเวลานั้น นาคราชทัง้ หลาย ไม่ได้ มคี วามกลวั พระพุทธเจา้ ได้ทรงกระทาใหป้ ลอดภัยจากครฑุ นาคกับครฑุ เจรจากนั ด้วยวาจาอนั ไพเราะ กระทาพระพทุ ธ เจา้ ใหเ้ ปน็ สรณะ พวกอสรู ผูอ้ าศัยสมุทร อนั ทา้ ววชิรหัตถ์ (พระอนิ ทร)์ พิชิตแล้ว เปน็ พ่ีนอ้ งของทา้ ววาสพ (ในกาลกอ่ น) มีฤทธิ์ มี ยศ เหล่าน้คี อื พวกกาลกญั ชะ มีกายใหญน่ า่ กลวั กม็ า พวก ทานเวฆสะ กม็ า เวปจิตติ สจุ ิตติ ปหาราทะ และนมุจิ กม็ า ด้วยกนั 39

บุตรของพลิอสูรร้อยหนง่ึ มชี ื่อวา่ เวโรจ ท้ังหมด สวมเกราะเสนาอันทรงพลงั เขา้ ไปหาอสุรนิ ทราหู (ราหุภทั ร) แลว้ กล่าวว่า ดกู รทา่ นผูเ้ จริญ บัดนี้ เปน็ สมัยทจ่ี ะประชมุ กัน ดงั น้ีแล้วเขา้ ไปยงั ปา่ อนั เปน็ ทีป่ ระชมุ ของภิกษุ ในเวลานัน้ เทวดาทง้ั หลาย ช่อื อาโป ชื่อปถวี ชื่อ เตโช ชื่อวาโย ไดพ้ ากันมาแล้ว เทวดาช่อื วรุณะ ชอื่ วารณุ ะ ช่ือโสมะ ช่ือยสสะ ก็มาดว้ ยกัน เทวดาผ้บู งั เกดิ ในหมเู่ ทวดา ดว้ ยเมตตาและกรณุ าฌาน เป็นผมู้ ียศ ก็มา หมเู่ ทวดา ๑๐ เหลา่ น้เี ป็น ๑๐ พวก ทัง้ หมดลว้ นมรี ัศมีต่างๆ กัน มีฤทธ์ิ มี อานภุ าพ มรี ัศมี มยี ศ ยนิ ดีมงุ่ มายงั ปา่ อันเปน็ ทป่ี ระชมุ ของ ภิกษุ เทวดาชอ่ื เวณฑู ชอื่ สหลี ช่ืออสมา และชอ่ื ยมา เป็น สองพวกกม็ า เทวดาผ้อู าศยั พระจนั ทรก์ ระทาพระจนั ทร์ไวใ้ น เบื้องหน้ากม็ า เทวดาผูอ้ าศัยพระอาทติ ย์ กระทาพระอาทติ ย์ ไวใ้ นเบอ้ื งหน้า ก็มา เทวดากระทานกั ษัตรไวใ้ นเบ้อื งหนา้ กม็ า มันทพลาหกเทวดาก็มา แมท้ า้ วสกั กะบุรินททวาสพผู้ประเสรฐิ กว่าวสเุ ทวดาท้ังหลาย ก็เสดจ็ มา หมเู่ ทวดา ๑๐ เหลา่ นี้ เปน็ ๑๐ พวก ท้ังหมด ล้วนมีรัศมีต่าง ๆ กัน มีฤทธ์ิ มีอานภุ าพ มี รัศมี ยนิ ดี มงุ่ มายงั ปา่ อันเป็นท่ีประชมุ ของภิกษุ อนึง่ เทวดาชือ่ สหภูผ้รู ุ่งเรอื งดุจเปลวไฟกม็ า เทวดา ช่อื อรฏิ ฐกะ ชื่อโรชะ มีรัศมดี ังสีดอกผักตบก็มา เทวดาชอ่ื วรุณะ ชอ่ื สหธรรม ช่อื อัจจุตะ ชอื่ อเนชกะ ช่อื สุเลยยะ ช่ือ รจุ ริ ะก็มา เทวดาชือ่ วาสวเนสกี ็มา หมเู่ ทวดา ๑๐ เหลา่ นี้เป็น 40

๑๐ พวก ทง้ั หมดมรี ัศมตี ่างๆ กัน มฤี ทธ์ิ มีอานภุ าพ มีรัศมี มียศ ยนิ ดี มุ่งมายังปา่ อนั เป็นท่ีประชุมของภกิ ษุ เทวดา ช่ือสมานะ ช่ือมหาสมานะ ช่ือมานุสะ ชอื่ มานุสตุ ตมะ ชื่อขทิ ทาปโทสกิ ะกม็ า ช่ือมโนปโทสิกะกม็ า อน่ึง เทวดาเหลา่ ใด ช่อื หริ ชอื่ โลหิตวาสี ชอื่ ปารคะ ชอื่ มหาปารคะ ผู้มียศ ก็มา หมู่เทวดา ๑๐ เหลา่ น้ี เปน็ ๑๐ พวก ท้ังหมดลว้ นมีรศั มีตา่ งๆ กัน มีฤทธิ์ มอี านภุ าพ มีรศั มี มียศ ยนิ ดี มงุ่ มายังปา่ อันเป็นท่ปี ระชมุ ของภกิ ษุ เทวดา ช่ือสุกกะ ชื่อกรัมภะ ช่ืออรุณะ ชื่อเวฆนสะ กม็ าด้วยกนั เทวดาชือ่ โอทาตคยั หะ ผู้เป็นหวั หนา้ เทวดาช่อื วิจกั ขณะก็มา เทวดาชื่อสทามตั ตะ ชอ่ื หารคชะ และเทวดา ช่อื มิสสกะ ผู้มยี ศก็มา ปชนุ นเทวบุตร ซง่ึ คารามใหฝ้ นตกทั่ว ทศิ กม็ า หมเู่ ทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทัง้ หมดลว้ นมี รศั มตี า่ งๆ กัน มฤี ทธมิ์ ีอานุภาพ มีรัศมี มยี ศ ยนิ ดี มงุ่ มายัง ปา่ อนั เปน็ ทีป่ ระชมุ ของภกิ ษุ เทวดาช่อื เขมยิ ะ เทวดาชั้นดุสิต เทวดาช้นั ยามะ และเทวดาชอ่ื กฏั ฐกะ มียศ เทวดาชือ่ ลัมพติ กะ ช่ือลาม- เสฏฐะ ชื่อโชตนิ ามะ ชือ่ อาสวะ และเทวดาชนั้ นิมมานรดี กม็ า อนึ่งเทวดาชน้ั ปรนมิ มติ ะก็มา หมเู่ ทวดา ๑๐ เหล่านี้ เปน็ ๑๐ พวก ทง้ั หมดลว้ นมรี ศั มตี ่างๆ กัน มฤี ทธ์ิ มีอานุ- ภาพ มรี ัศมี มียศ ยนิ ดี มงุ่ มา ยงั ปา่ อันเปน็ ทีป่ ระชุมของ ภกิ ษุ 41

หมเู่ ทวดา ๖๐ เหลา่ นี้ ท้งั หมดลว้ นมีรัศมีต่าง ๆ กัน มาแลว้ โดยชอ่ื และตระกลู และเทวดาเหล่าอ่ืนผูเ้ ชน่ กนั มา พร้อมกันด้วยคดิ ว่า เราทงั้ หลายจกั ทัศนาพระมหานาค ผู้ ปราศจากชาติ ไมม่ ีกิเลสดุจตะปู มีโอฆะอันขา้ มแลว้ ไมม่ ี อาสวะ ผขู้ า้ มพน้ โอฆะ ดุจพระจนั ทรก์ ลืนความมืด ฉะน้ัน อริยพรหม คอื สุพรหม และปรมตั ตพรหม ซึ่งเป็น บุตรของพระพทุ ธเจ้าผทู้ รงฤทธิ์ กม็ าด้วย สนังกุมารพรหม และตสิ สพรหมแมน้ น้ั ก็มายังป่าอันเปน็ ทีป่ ระชมุ ของภกิ ษุ ท้าวมหาพรหม ย่อมปกครองพรหมโลกพนั หนึ่ง ท้าวมหาพรหมนั้น บังเกดิ แล้วในพรหมโลก มอี านุภาพ มีกายใหญ่โต มียศ กม็ า พรหม ๑๐ พวก ผ้เู ปน็ ใหญ่ในพวกพรหมพันหนึง่ นี้มี อานาจเปน็ ไปเฉพาะองค์ละอย่างกม็ า มหาพรหมชอ่ื หารติ ะ อันบริวารแวดล้อมแล้ว มาในท่ามกลางพรหมเหลา่ นนั้ มารและเสนาได้เห็นเหล่าเทวดาพรอ้ มท้ังอินทรพ์ รหม ท้ังหมดน้นั ม่งุ หนา้ มา ก็มาด้วย \"ทา่ นจงดูความออ่ นแอของ พญามารเถดิ \" พญามาร ผมู้ เี สนาใหญ่ เอาฝ่ามอื ตบแผ่นดิน แผด เสียงร้องน่ากลัว เหมือนมหาเมฆทาฝนให้ตก คารามอยู่ พร้อมทั้งสายฟา้ แลบ บังคบั เสนาในทีป่ ระชมุ นั้นดว้ ยคาวา่ “พวกทา่ นจงมาจับเทวดาเหลา่ นี้ผูกมดั ไว้ ความผกู ดว้ ยราคะ จงมีแกท่ า่ นทงั้ หลาย พวกท่านจงลอ้ มไว้โดยรอบ อย่าปลอ่ ย ใครๆ ไป” 42

เวลาน้ัน พระยามารนั้นโกรธจดั เนือ่ งจากไมอ่ าจทา ใครใหเ้ ปน็ ไปในอานาจของตน จงึ ไดก้ ลับไป พระศาสดาผ้มู ีพระจกั ษุ ทรงพจิ ารณาทราบเหตนุ น้ั ทั้งหมด แต่นน้ั จึงตรัสเรียกสาวกผยู้ นิ ดใี นพระศาสนามาว่า ดูกรภกิ ษทุ ั้งหลาย มารเสนามามุง่ มาแลว้ พวกเธอจงรู้จกั มารเหลา่ น้ัน ภกิ ษเุ หล่านนั้ สดบั พระดารสั สอนของพระพุทธ เจา้ แลว้ ได้กระทาความเพยี ร มารและเสนามารไดห้ ลกี ไป จากเหลา่ ภิกษผุ ปู้ ราศจากราคะ ขนทงั้ หลายของทา่ นเหล่า นนั้ กม็ ไิ ดไ้ หวแลว้ (พญามารกลา่ วสรรเสริญวา่ ) พระสาวกท้ังหมดของ พระองค์ชนะสงครามแล้ว ล่วงความกลัวได้แล้ว มยี ศปรากฏ ในหมู่ชน ชื่นชมอยู่กับด้วยพระอรยิ เจา้ ท้ังหลาย ดงั นแี้ ล จบมหาสมยสตู ร (คาถาสรปุ ) เทพยดาประชุมกนั จานวนมากมาย นับไมถ่ ว้ น ในสถาน ทแ่ี สดงพระสูตรเหล่าน้ี คือ มหาสมยสตู ร ๑ มังคลสูตร ๑ สมจิตตสูตร ๑ ราหโุ ลวาทสูตร ๑ ธัมมจักกสตู ร ๑ ปราภวสตู ร ๑ อน่ึงการบรรลุธรรมในที่ประชุมน้นั ใครๆ ไมพ่ ึงนับโดยการคานวณ (คอื นบั ไม่ได)้ ดังนี้แล 43

มงั คะละสตู ร เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วหิ ะระติ เชตะวะเน อะนาถะปณิ ฑกิ สั สะ อาราเมฯ อะถะ โข อญั ญะตะรา เทวะตา อะภกิ กนั ตายะ รตั ตยิ า อะภิกกนั ตะ- วัณณา เกวะละกัปปงั เชตะวะนงั โอภาเสตว๎ า เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิ, อุปะสังกะมิต๎วา ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา เอกะมันตัง อัฏฐาสิฯ เอกะมันตัง ฐิตา โข สา เทวะตา ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิ พะหู เทวา มะนสุ สา จะ มงั คะลานิ อะจินตะยุง อากงั ขะมานา โสตถานงั พร๎ ูหิ มงั คะละมุตตะมังฯ อะเสวนา จะ พาลานงั ปณั ฑิตานัญจะ เสวะนา ปชู า จะ ปชู ะเนยยานงั ๑ เอตัมมงั คะละมตุ ตะมงั ฯ ปะตริ ปู ะเทสะวาโส๒ จะ ปพุ เพ จะ กะตะปุญญะตา ๑ น้ีคลอ้ ยตามนัยมงั คลัตถทีปนซี ึ่งท่านยกขึน้ เปน็ บทต้งั และอธิบายวา่ ปชู เนยยฺ านนฺติ ปชู ารหานํ วตถฺ นู .ํ ๒ คัมภรี ก์ ัจจายนไวยากรณส์ ตู รที่ ๕๘ (กฺวจิ ปฏิ ปติสฺส.) แสดงการ ห้ามแปลง ปติ เป็น ปฏิ ไว้ดว้ ย กวฺ จิ ศพั ท์ ในอุทาหรณเ์ ป็นตน้ วา่ ปตริ ูปเทสวาโส จ , ปตลิ ยี ติ ตามนยั น้แี สดงวา่ ใหแ้ ปลง ปติ เปน็ ปฏิ ไดใ้ นบางตัวอยา่ งเท่านน้ั เช่น ปฏหิ ญฺ ติ , ปฏคคฺ ิ เป็นต้น รปู ว่า ปฏริ ูปเทสวาโส ท่เี คยใช้กันมาจึงถอื ว่าไมต่ รงตามพระไตร ปฎิ กหรือคลอ้ ยตามนัยพระบาลี ดังนนั้ ในฉบับนีจ้ ึงใชต้ ามรูปบาลี เดมิ ทีป่ รากฏในพระไตรปิฎกว่า ปะติรปู ะเทสะวาโส 44

อตั ตะสัมมาปะณธิ ิ จะ เอตมั มงั คะละมุตตะมังฯ พาหสุ ัจจญั จะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขโิ ต สุภาสติ า จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมตุ ตะมังฯ มาตาปติ ุอุปฏั ฐานัง ปุตตะทารสั สะ สังคะโห อะนากุลา จะ กัมมนั ตา เอตมั มังคะละมุตตะมงั ฯ ทานัญจะ ธมั มะจะริยา จะ ญาตะกานญั จะ สงั คะโห อะนะวัชชานิ กมั มานิ เอตัมมงั คะละมุตตะมงั ฯ อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สังยะโม๑ อปั ปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตมั มงั คะละมุตตะมังฯ คาระโว จะ นวิ าโต จะ สนั ตุฏฐิ จะ กะตญั ญตุ า กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมงั คะละมตุ ตะมงั ฯ ขนั ตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง กาเลนะ ธัมมะสากจั ฉา เอตัมมังคะละมตุ ตะมงั ฯ ตะโป จะ พร๎ ัหม๎ ะจะรยิ ญั จะ อะริยะสจั จานะ ทัสสะนงั นิพพานะสจั ฉิกริ ิยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมงั ฯ ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จติ ตัง ยสั สะ นะ กัมปะติ อะโสกงั วิระชงั เขมัง เอตัมมงั คะละมตุ ตะมังฯ ๑ นี้ใช้ตามฉบบั ใบลาน ฉบับท่ัวไปเป็น สญั ญะโม โดยเอานิคหิตเปน็ ญ และแปลง ย เป็น ญ 45

เอตาทสิ านิ กัต๎วานะ สพั พัตถะมะปะราชติ า สพั พตั ถะ โสตถงิ คัจฉันติ ตนั เตสัง มงั คะละมุตตะมันติฯ อิทะมะโวจะ ภะคะวา อัตตะมะนา สา เทวะตา ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทิต๎วา ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา ตตั เถวนั ตะระธายีติฯ๑ มะหามังคะละสุตตงั ฯ c ๑ นค้ี ล้อยตามนัยมังคลตั ถทปี นีทีเ่ พิ่มนคิ มวจนะไวข้ ้างทา้ ยและ ว่าเปน็ คาของพระอานนทเถระกล่าวไว้ ส่วนในพระไตรปฎิ ก ฉบับปัจจบุ ันไม่มีบาลที ่อนนี้ (ดู สตุ ตฺ ววตถฺ าน มงคฺ ลตถฺ ทปี นี ป มภาค) 46

มงั คลสตู รแปล ข้าพเจ้าได้สดับมาแลว้ อยา่ งนี้:- สมัยหนึง่ สมเดจ็ พระผมู้ ีพระภาค เสดจ็ ประทบั อยู่ที่ พระเชตวนั วหิ าร อารามของอนาถบิณฑกิ เศรษฐี ใกลเ้ มอื ง สาวตั ถี ครงั้ นน้ั แล เทพยดาองคใ์ ดองค์หน่งึ ครั้นเมอื่ ราตรี ปฐมยามลว่ งไปแลว้ มรี ศั มอี นั งามยิง่ นัก ยงั พระเชตวันทั้งสนิ้ ใหส้ วา่ ง พระผมู้ ีพระภาค เสด็จประทับอยโู่ ดยท่ใี ดก็เข้าไปเฝา้ โดยที่นน้ั คร้ันเข้าไปเฝา้ แลว้ จงึ ถวายอภวิ าทพระผูม้ ีพระภาค แล้วได้ยนื อยใู่ นท่ีสมควรส่วนขา้ งหนงึ่ คร้ันเทพยดานน้ั ยืนอยู่ ในทส่ี มควรส่วนข้างหนง่ึ แลว้ ได้ทูลพระผู้มพี ระภาคด้วยคาถา ว่า หมูเ่ ทวดาและมนุษยจ์ านวนมาก ผู้หวังความสวสั ดี ไดค้ ิดหามงคลทง้ั หลาย ขอพระองคจ์ งทรงเทศนามงคลอนั สูงสดุ การไม่ซ่องเสพคนพาลท้ังหลาย ๑ การซอ่ งเสพ บัณฑติ ทงั้ หลาย ๑ การบชู าบุคคลทคี่ วรบูชาท้ังหลาย ๑ ข้อนเ้ี ปน็ มงคลอันสูงสดุ การอย่ใู นประเทศอนั สมควร ๑ ความเปน็ ผมู้ บี ญุ อนั ทาไวแ้ ล้วในกาลก่อน ๑ การต้ังตนไวช้ อบ ๑ ขอ้ นเี้ ปน็ มงคลอนั สงู สุด 47