Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ อนัตตลักขณสูตร พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ)รจนา

✍️ อนัตตลักขณสูตร พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ)รจนา

Description: ✍️ อนัตตลักขณสูตร พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ)รจนา

Search

Read the Text Version

๒๖๖ อนตั ตลักขณสูตร นิพพิทาญาณเกิดข้ึนเมื่อเห็นทุกขลักษณะ สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ ยทา ปฺ าย ปสฺสติ อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.๖๖ “เมื่อใด บุคคลรูเห็นดวยปญญาวา สังขารทั้งปวงเปนทุกข เมื่อนั้น เขายอมเบ่ือหนายในทุกข นี้เปนทางแหงความหมดจด” คนบางคนกลาววา สังขารในคาถาขางตนน้ี หมายถึง เจตนา- เจตสิกที่เปนเหตุใหเกิดการกระทําท่ีเปนกุศลและอกุศล ดังน้ัน จึง เห็นวา แมกุศลกรรมท้ังหลาย เชน การใหทาน การรักษาศีล เปนตน ก็จัดเปนสังขาร ดังน้ันจึงเปนทุกข การปฏิบัติสมถภาวนาและ วิปสสนาภาวนาก็เปนสังขารเชนกัน สังขารทุกชนิดกอใหเกิดทุกข เพราะฉะนั้น เพ่ือใหบรรลุความสงบสุขแหงพระนิพพาน จึงไมควร ทํากิจกรรมอะไรเลย ปลอยใจไปตามสบาย การกลาวตูคําสอนของ พระบรมศาสดาดวยความเห็นของตนเองเชนนี้เปนเร่ืองผิด แทท่ีจริง คําวา สงฺขารา ในคาถาน้ี ไมไดหมายถึงกุศลและ อกุศลสังขารท่ีมีอวิชชาเปนเหตุ แตหมายถึง รูปและนามท่ีเกิดข้ึน โดยมีกรรม จิต อุตุ และอาหารเปนปจจัย และคําวารูปนามในท่ีนี้ ไมไดหมายเอาโลกุตตรจิตอันไดแกมรรคจิต ผลจิต พรอมท้ังเจตสิก ท่ีประกอบซ่ึงไมใชอารมณของวิปสสนา หากแตหมายเอาเฉพาะ รูปและนามท่ีเปนโลกียจิต ซึ่งแบงออกไดเปน กามภูมิ รูปภูมิ และ

อนัตตลกั ขณสูตร ๒๖๗ อรูปภูมิ เทาน้ัน และคําวา สงฺขารา ในคาถากอนก็มีความหมายเชน เดียวกันดังนั้น รูปนามทั้งหมดท่ีปรากฏข้ึนในทุกขณะที่เห็น ไดยิน รูกลิ่น ล้ิมรส สัมผัส คิดนึก ลวนเปนสภาวธรรมท่ีเกิดข้ึนและดับไป ติดตอกันอยางรวดเร็ว และมีสภาพไมเท่ียง เพราะรูปนามไมเท่ียง มันจึงเปนทุกข ผูปฏิบัติหยั่งเห็นวารูปและนามทั้งหมดที่ปรากฏในขณะที่ เห็น ไดยิน เปนตน ลวนดับไปในทันที ดังน้ันจึงไมเที่ยง แปรปรวน อยูเสมอ เพราะความไมเท่ียง จึงไมพนจะตองแตกดับตายไปไม ขณะใดก็ขณะหนึ่ง ผูปฏิบัติจึงเห็นวารูปนามเปนทุกขท่ีนากลัว ผู ปฏิบัติบางคนมีความรูสึกเมื่อย รอน เจ็บ คัน เปนตนตามท่ีตางๆ ในรางกาย เม่ือความรูสึกเหลานี้ปรากฏขึ้น และผูปฏิบัติไดกําหนด รูอาการน้ันๆ ทุกครั้ง ทําใหเห็นรางกายท้ังหมดวาเปนเหมือนกอง แหงทุกข นี้สอดคลองกับคําสอนของพระพุทธองควา เห็นทุกขวา เปนหนาม๖๗ หมายความวา วิปสสนาญาณเห็นรางกายท้ังหมดเปน เหมือนกองแหงทุกขที่เกิดจากถูกหนามตํา อาจมีคําถามวา มีความแตกตางกันหรือไมระหวางความ เจ็บปวดท่ีคนธรรมดารูสึก กับความเจ็บปวดท่ีผูปฏิบัติรูสึก ตอบวา ความแตกตางกันนั้นอยูที่เมื่อคนธรรมดารูสึกเจ็บปวด เขาจะรูสึก วา “ฉันรูสึกเจ็บปวดมาก ฉันกําลังเปนทุกข” แตสําหรับผูปฏิบัตินั้น

๒๖๘ อนัตตลักขณสตู ร รบั รคู วามรสู กึ เจบ็ ปวดโดยปราศจากการยดึ มนั่ ในตวั ตน รเู พยี งวา เปน สภาวธรรมอยางหนึ่งท่ีไมนารื่นรมยซ่ึงเกิดขึ้นซ้ําแลวซํ้าเลาแลวก็ ดับไปอยางรวดเร็ว น้ีคือวิปสสนาญาณ ปญญาท่ีเห็นแจงเปนพิเศษ โดยปราศจากความยึดม่ันในอัตตา เมื่อผูปฏิบัติหย่ังเห็นวาเปนความทุกขที่นากลัวเพราะไม คงทน หรือเปนกองทุกขท่ีทนไดยาก ก็จะหมดความยินดีพอใจใน สังขตธรรมที่เปนกองทุกขนั้น มีแตความเบ่ือหนาย เกิดความไมยินดี ในรูปนามท่ีมีอยูในปจจุบัน และในรูปนามที่จะเกิดข้ึนในอนาคต ซ่ึง เปนความเบ่ือหนายเกลียดชังในรูปนามอยางแทจริง อันน้ีเปนการ เกิดข้ึนของนิพพิทาญาณ เม่ือผูปฏิบัติบรรลุนิพพิทาญาณจะเกิด ความปรารถนาจะละทิ้งรูปนาม อยากจะไปใหพนจากรูปนาม และ จะวิริยะบากบ่ันพากเพียรปฏิบัติตอไปเพื่อใหเปนอิสระตามความ ปรารถนา และเม่ือไดพยายามอยูอยางนี้ ตอมาสังขารุเปกขาญาณ ก็บังเกิดข้ึนจนกระท่ังเห็นแจงพระนิพพานดวยปญญาในอริยมรรค ดังน้ัน พระผูมีพระภาคจึงไดอธิบายวา วิปสสนาญาณซ่ึงพิจารณา เห็นสังขารทั้งปวงวาเปนกองทุกขและเกิดความเบ่ือหนายเกลียดชัง ในสังขารวาเปนทางสูพระนิพพาน ในทํานองเดียวกัน พระองคไดทรงสอนวิธีปฏิบัติเพื่อใหเห็น รูปนามวาเปนอนัตตา เพื่อใหเกิดความเบื่อหนายในรูปนาม

อนตั ตลักขณสูตร ๒๖๙ นิพพิทาญาณเกิดขึ้นเมื่อเห็นอนัตตลักษณะ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยทา ปฺ าย ปสฺสติ อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.๖๗ “เม่ือใด บุคคลรูเห็นดวยปญญาวาสังขารทั้งปวงเปนอนัตตา เมื่อน้ัน เขายอมเบ่ือหนายในทุกข น้ีเปนทางแหงความหมดจด” คําวา ธมฺมา (สภาวธรรม) ในคาถานี้ มีความหมายเหมือน คําวา สงฺขารา ใน ๒ คาถากอน คือหมายถึงรูปนามที่เปนโลกียะ ซ่ึงเปนอารมณของวิปสสนาญาณ คําวา อนัตตา หมายความถึง สภาวธรรมท้ังปวงเชนกัน พระพุทธองคทรงใชคําวา ธมฺมา ในคาถา นี้เพื่ออธิบายความหมายของคําวา สังขาร ใหกระจางชัดขึ้น เพ่ือ หมายถึงสังขารวาเปนอนัตตาดวย อันนี้เปนคําอธิบายในคัมภีร อรรถกถาซ่ึงถูกตองเหมาะสมนาเชื่อถือ๖๙ แตก็ยังมีความเห็นอื่น ที่กลาววา ทรงใชคําวา ธมฺมา เพื่อหมายรวมถึงโลกุตตรธรรมคือ มรรคผลนิพพานดวย ความเห็นน้ีไมนาเช่ือถือ ท่ีจริงแลวปุถุชนท่ัวไปเห็นวาสังขารทั้งหลาย เชน การเห็น ไดยิน เปนตน เปนส่ิงเท่ียงแท เปนสุข แตผูปฏิบัติเห็นสังขารทั้งหลาย วาไมเที่ยง เปนทุกข ในทํานองเดียวกัน ส่ิงที่คนทั่วไปเห็นวาเปน ตัวตนซ่ึงไดแกรูปและนามน้ัน ผูปฏิบัติกลับเห็นวาไมใชตัวตน คือ

๒๗๐ อนัตตลักขณสตู ร เปนอนัตตา ผูปฏิบัติไมจําเปนตองเห็นโลกุตตรธรรมซ่ึงไมใชเปน อารมณของวิปสสนา อีกท้ังไมสามารถเห็นหรือยึดม่ันในโลกุตตร- ธรรมได เหตุนี้จึงสรุปไดวา คําวา ธมฺมา ในคาถานี้หมายถึงสังขาร ท่ีเปนฝายโลกียะ ซ่ึงไดแกรูปนามที่เปนอารมณของวิปสสนาเทาน้ัน โดยเหตุที่ปุถุชนเช่ือวารูปนามท่ีปรากฏข้ึนในขณะเห็น ไดยิน เปนตนน้ัน เปนตัวตน จึงเกิดความพอใจ และรูสึกเปนสุขใน สิ่งเหลาน้ัน แตผูปฏิบัติเห็นส่ิงเหลาน้ีเปนเพียงสภาวธรรมที่เกิดข้ึน และดับไปอยูตลอดเวลาเทาน้ัน ดังน้ันจึงไมใชอัตตาตัวตน เปนแต เพียงกระบวนการหรือปรากฏการณอยางหนึ่งเทานั้น ตามที่ทรง อธิบายไวในอนัตตลักขณสูตรวา เพราะรูปนามเปนไปเพื่อเบียดเบียน จึงไมใชอัตตา และเพราะไมสามารถบังคับบัญชาใหเปนไปตามความ ปรารถนาของเราได จึงไมใชอัตตา ดังน้ัน เม่ือผูปฏิบัติหมดความยินดีพอใจในรูปนาม ยอม ตองการจะสลัดทิ้งไป อยากจะเปนอิสระจากรูปนามเหลานั้น จึง พากเพียรบากบ่ันพยายามปฏิบัติตอไป เพื่อที่จะไดรับอิสรภาพ ตอมาเมื่อสังขารุเปกขาญาณปรากฏข้ึนก็จะเห็นแจงพระนิพพาน ดวยปญญาในอริยมรรค ดวยเหตุน้ัน พระผูมีพระภาคจึงทรงอธิบาย วา วิปสสนาญาณท่ีเห็นรูปนามวาเปนอนัตตาและเกิดความเบ่ือหนาย ในรูปนามเปนหนทางสูพระนิพพาน

อนตั ตลกั ขณสตู ร ๒๗๑ พึงจําไวใหดีวา ในคาถาท้ัง ๓ บทน้ัน ทรงสอนวานิพพิทา- ญาณปรากฏเม่ือความเบ่ือหนายเกลียดชังในสังขารพัฒนาแกกลา ขึ้น และนิพพิทาญาณนี้เองเปนหนทางท่ีถูกตองแทจริงซ่ึงจะนําไป สูพระนิพพาน และผูปฏิบัติจะตองเห็นการเกิดขึ้นและดับไปอยาง รวดเร็วไมขาดสายของสังขารคือรูปนามดวยประสบการณของตนเอง เทานั้น วิปสสนาญาณท่ีแทจริงซ่ึงหย่ังเห็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา จึงจะพัฒนาข้ึนได หากไมมีการหยั่งเห็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ดวยวิปสสนาปญญาท่ีแทจริงแลว นิพพิทาญาณท่ีเบื่อหนายเกลียดชัง กองทุกขอันไดแกรูปนามก็จะไมสามารถเกิดข้ึนไดเลย การหยั่งเห็น อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะดวยประสบการณ ในการปฏิบัติของตนเองเทานั้นจึงจะพัฒนาใหเกิดความเบื่อหนาย ในรูปนาม และใหนิพพิทาญาณปรากฏข้ึนได และหลังจากนิพพิทา- ญาณปรากฏขึ้นแลวเทาน้ัน มรรคและผลจึงจะเกิดข้ึนได ตามมา ดวยการเห็นแจงพระนิพพาน ผูปฏิบัติควรเขาใจและจดจําขอนี้ใหดี ดวยเหตุนี้ พระผูมีพระภาคจึงตรัสไวในพระสูตรน้ีวา “ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผูไดสดับแลว เห็นอยูอยางน้ี ยอม เบ่ือหนายในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ”

๒๗๒ อนตั ตลักขณสตู ร ความหมายของนิพพิทาญาณ ในพระบาลีท่ียกมาขางตน ขอความวา “เห็นอยูอยางน้ี” เปนคําสรุปการพัฒนาของวิปสสนาญาณจนถึงขั้นภังคญาณ และ คําวา “ยอมเบื่อหนาย” เปนคําสรุปการพัฒนาของวิปสสนาญาณ ตั้งแตภังคญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ ไปตามลําดับจนถึง วุฏฐานคามินีวิปสสนาอยางส้ันๆ แตชัดเจน ดังน้ัน เราจึงพบขอความ นี้ในอรรถกถามูลปณณาสกวา นิพฺพินฺทตีติ อุกฺกณฺติ. เอตฺถ จ นิพฺพิทาติ วุฏานคามินี วิปสฺสนา อธิปฺเปตา.๗๐ “พระดํารัสวา นิพฺพินฺทติ แปลวา ยอมเบ่ือหนาย อนึ่ง ใน เร่ืองนี้ วิปสสนาท่ีพาไปถึงมรรค ประสงคเอาวาเปนความเบ่ือหนาย” ในคัมภีรปฏิสัมภิทามรรค๗๑ และวิสุทธิมรรค๗๒ จําแนก นิพพิทาญาณออกเปน ๗ ประเภทตามลําดับแหงการพัฒนา ดังน้ี คือ ภังคญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สังขารุเปกขาญาณ และวุฏฐานคามินีวิปสสนาญาณ เราไดอธิบายเก่ียวกับญาณข้ันตางๆ ของนิพพิทาญาณเรียบรอยแลว ตอไปจะกลาวถึงญาณท่ีเหลือ

อนตั ตลกั ขณสตู ร ๒๗๓ ความปรารถนานิพพานท่ีแทและเทียม เม่ือผูปฏิบัติพบเห็นแตการดับไปสิ้นไปทุกขณะท่ีกําหนดรู เกิดความเบื่อหนายไมพอใจในรูปนามขันธ ๕ ที่ปรากฏอยูในการเห็น ไดยิน เปนตน ดังนั้น จึงไมปรารถนาจะยึดติดอยูกับรูปนามอีกตอไป และอยากสลัดรูปนามทิ้งไป เขารูชัดวาจะพบความสงบท่ีแทจริงได ก็ตอเมื่อปราศจากการเกิดขึ้นและดับไปอยูตลอดเวลาของรูปนาม เทานั้น น้ีเปนการเกิดขึ้นของความปรารถนานิพพานที่แทจริง จากท่ี เคยจินตนาการวานิพพานเปนเหมือนมหานครแหงหน่ึง และตองการ ไปถึงนิพพานเพราะหวังจะไดพบความสุขทุกอยางท่ีตองการโดย ไมมีวันหมดส้ินไป ยอมไมใชความปรารถนาพระนิพพานที่แทจริง เปนเพียงความปรารถนาในโลกียสุขเทานั้น ผูที่ไมเคยเห็นโทษและ ภัยของรูปและนามมักจะปรารถนาความสุขความรื่นรมยในฝาย โลกียเทานั้น เพราะไมสามารถเขาใจไดวา การดับสนิทของรูปนาม และความรื่นรมยทุกชนิดเปนความสุขไดอยางไร

๒๗๔ อนตั ตลักขณสูตร ความสุขในนิพพาน ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรไดเปลงอุทานวา “นิพพานน้ีเปนสุข จริงหนอ นิพพานน้ีเปนสุขจริงหนอ” ขณะน้ันภิกษุหนุมรูปหน่ึงชื่อวา โลลุทายี ไดแยงวา “ทานสารีบุตร ความสุขอยางนี้จะมีท่ีไหนในโลก หากในนิพพานไมมีความรูสึกใดเลย” การท่ีเขากลาวเชนนี้เพราะไม เขาใจวา นิพพานไมมีทั้งรูปและนามจึงไมมีเวทนาอยางใดเลย ทาน พระสารีบุตรไดกลาวตอบวา “เพราะในนิพพานไมมีความรูสึกใดเลย เปนความสุข” เปนความจริงวา ความสงบและสันติเปนสุขยิ่งกวาความ รูสึกที่เขาใจกันวาเปนความร่ืนรมย นาปรารถนา ความสงบเปน ความสุขที่แทจริง ความรูสึกที่เขาใจกันวานายินดีพอใจน้ันเพราะ มีความชอบใจ และความกระหายอยากไดความรูสึกน้ัน หากไมมี ความชอบใจและความกระหายอยากจะไดความรูสึกน้ัน ก็จะไม เห็นวาเปนความรูสึกท่ีนาปรารถนาแตอยางใด ลองคิดดูวา อาหาร อรอยเปนท่ีชอบใจและรูสึกวาอรอยก็เพราะเราชอบและอยากกิน อาหารนั้น แตถาเราไมสบาย ไมมีความอยากอาหาร หรือเมื่อเรา กินอาหารจนอ่ิมมากแลว แมเห็นอาหารที่อรอยก็ไมรูสึกวานากิน ถาหากถูกบังคับใหกินก็จะไมเห็นวาเปนความสุข ท้ังไมรูสึกอรอย หรือเห็นวาเปนอาหารที่ดี แตกลับรูสึกเปนทุกขทรมาน หรือยก

อนัตตลกั ขณสตู ร ๒๗๕ ตัวอยางรูปท่ีสวย หรือเสียงท่ีไพเราะเปนตน เราจะสามารถเพงมอง รูปที่สวย หรือฟงเสียงที่ไพเราะไดนานสักเทาไร ก่ีชั่วโมง ก่ีวัน หรือ ก่ีป ความสนใจไมสามารถยืนยาวอยูไดแมเพียง ๒๔ ชั่วโมง หลังจาก นั้นก็จะเร่ิมรูสึกไมชอบหรือเกลียด ถาตองมองดูส่ิงนั้นหรือฟงเสียง นั้นตอไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเปนความทุกขอยางมหันต จึงเห็นไดชัดวา หากปราศจากความพอใจหรือความอยากไดเสียแลว การไมมีความ รูสึกใดๆ จัดเปนความสุขอยางยิ่ง การรอคอยนิพพานดวยความกระตือรือรน ผูปฏิบัติท่ีเจริญวิปสสนาเพ่ือบรรลุนิพพิทาญาณจะเห็นโทษ ของรูปนามและเกิดความเบ่ือหนายรังเกียจ เขารูวา ในนิพพานซึ่ง ปราศจากรูป นาม และความรูสึกทั้งปวง เปนท่ีสงบอยางแทจริง จึง มีความปรารถนาอยางแรงกลาที่จะบรรลุพระนิพพาน อุปมาเหมือน การมองสํารวจดูตามทิศตางๆ จากหอสังเกตการณ ผูปฏิบัติที่รอคอย นิพพานโดยการเจริญมุญจิตุกัมยตาญาณเพื่อใหเกิดปญญาหลุดพน ก็เชนกัน เมื่อความปรารถนาที่จะบรรลุนิพพานและปลดปลอยตน จากรูปนามท่ีเปนกองทุกขไดทวีมากขึ้น เขาก็ยิ่งทวีความพยายาม ขึ้นอีก จนในท่ีสุดก็บรรลุปฏิสังขาญาณ คือปญญาท่ีทบทวนส่ิงท่ีได หย่ังเห็นมากอนแลว คืออนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะ

๒๗๖ อนัตตลักขณสูตร โดยเฉพาะความเขาใจในทุกขลักษณะจะมีความเดนชัดกวาลักษณะ อื่นๆ เมื่อปฏิสังขาญาณมีกําลังแกกลาเต็มท่ี สังขารุเปกขาญาณจะ ปรากฏ ญาณน้ีเปนญาณท่ีวางเฉยตอสังขารคือรูปนามทั้งปวง การอธิบายเก่ียวกับการพัฒนาของวิปสสนาญาณน้ีเปนอยาง กวางๆ โดยเริ่มต้ังแตสัมมสนญาณเปนตนตามลําดับญาณสําหรับ เวไนยบุคคล สําหรับพระอริยบุคคล เชน พระโสดาบันบุคคล เมื่อ เร่ิมเจริญวิปสสนาก็จะบรรลุสังขารุเปกขาญาณไดในเวลาเพียง ๒ -๓ ขณะเทาน้ัน จึงเปนธรรมดาสําหรับพระปญจวัคคียที่กําลังฟง อนัตตลักขณสูตรอยูนั้นจะบรรลุญาณขั้นนี้ในทันทีทันใด องคคุณ ๖ ประการของสังขารุเปกขาญาณ (๑) ปราศจากความกลัวและความยินดี สังขารุเปกขาญาณมีลักษณะพิเศษอยู ๖ ประการ ประการ แรก คือ ดํารงความเปนอุเบกขาไดโดยไมหวั่นไหวดวยความกลัว หรือ ความยินดี ดังที่กลาวไวในวิสุทธิมรรค๗๓วา ภยฺจ นนฺทิฺจ วิปฺปหาย สพฺพสงฺขาเรสุ อุทาสิโน (สละความกลัวและความยินดี เปนผูวางเฉยในสังขารทั้งปวง) ความวางเฉยน้ีเกิดข้ึนไดอยางไร ในภังคญาณ ผูปฏิบัติได หย่ังเห็นความเปนภัยท่ีนากลัว และญาณท่ีพัฒนาข้ึนในข้ันน้ีมีความ

อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๗๗ กลัวเปนเคร่ืองหมาย ในขั้นสังขารุเปกขาญาณนี้ เคร่ืองหมายของ ความกลัวทั้งหมดไดอันตรธานไป ในอาทีนวญาณ ผูปฏิบัติเห็นรูป นามเปนโทษ ในนิพพิทาญาณ สรรพส่ิงปรากฏเปนส่ิงนาเบ่ือหนาย นารังเกียจสําหรับเขา ผูปฏิบัติจึงมีความปรารถนาจะสลัดท้ิงขันธ ทั้งหมด และในมุญจิตุกัมยตาญาณ เขาตองการจะหนีไปใหพน เมื่อ บรรลุสังขารุเปกขาญาณ ลักษณะของญาณในข้ันตํ่ากวา เชน การ เห็นวาเปนโทษ ความเบ่ือหนายรังเกียจ ความปรารถนาจะหนีไป ใหพน และการทําความเพียรเพ่ิมขึ้นกวาเดิม ไดอันตรธานไปหมด ขอความวา ภยฺจ วิปฺปหาย (สละความกลัว) กลาวถึงความกาวหนา ของปญญาที่พนจากความกลัว ถาเปนตามนี้ก็ควรถือวา เมื่อไมมี ความกลัว ลักษณะอยางอื่น เชน เห็นเปนโทษ เบื่อหนาย อยากจะ หนีใหพน ความเพียรท่ีเพ่ิมขึ้น เปนตน ก็ยอมอันตรธานไปดวย นอกจากน้ี ในอุทยัพพยญาณผูปฏิบัติเกิดมีปติอยางแรงกลา แตในสังขารุเปกขาญาณมีปรากฏการณท่ีดีกวาในอุทยัพพยญาณ กลาวคือ ในสังขารุเปกขาญาณนี้ ปติโสมนัสไมปรากฏ ดังนั้นคัมภีร วิสุทธิมรรคจึงกลาววา นนฺทิฺจ วิปฺปหาย (สละความยินดี) คือ เขา ไดละท้ิงความยินดีในปติและโสมนัส แลวกําหนดรูสังขารทั้งหมดที่ ปรากฏในขณะเห็น ไดยิน เปนตน ดวยความวางเฉย ไมมีปติโสมนัส เชนท่ีไดปรากฏในอุทยัพพยญาณ

๒๗๘ อนตั ตลกั ขณสตู ร เม่ือเปนเชนนี้จึงเปนการไมมีความกลัว ไมมีความยินดีที่ เกิดข้ึนในการปฏิบัติธรรม สําหรับในทางโลกียวิสัยก็เชนเดียวกัน ผู ปฏิบัติจะสังเกตเห็นวาความกลัวและความยินดีไดหมดไป เม่ือได รับขาวที่นากังวลใจเก่ียวกับสถานการณของโลกหรือเกี่ยวกับเร่ือง สวนตัวก็ตาม ผูปฏิบัติท่ีบรรลุสังขารุเปกขาญาณแลวจะไมรูสึก สะทกสะทาน กลัว หรือกังวลแตอยางใด และเม่ือไดทราบขาวดี เขาก็ไมรูสึกยินดี หรือมีปติโสมนัส แสดงใหเห็นการปราศจากความ กลัวและความยินดีในทางโลก (๒) วางเฉยไมดีใจไมเสียใจ ความวางเฉยของจิต ไดแก ไมดีใจกับเรื่องที่นายินดี ไมเสียใจ กับเรื่องท่ีนาเศราสลด สามารถกําหนดรูส่ิงตางๆ ทั้งที่นายินดีและ ไมนายินดีดวยความเปนกลางวางเฉย ดังที่แสดงในพระบาลีวา อิธาวุโส ภิกฺขุ จกฺขุนา รูป ทิสฺวา เนว สุมโน โหติ, น ทุมฺมโน. อุเปกฺขโก วิหรติ สโต สมฺปชาโน.๗๔ “ผูมีอายุ ภิกษุในศาสนาน้ี เม่ือเห็นรูปดวยตา ไมดีใจ ไม เสียใจ (ไมวารูปน้ันจะสวยงามเพียงไร ผูปฏิบัติไมรูสึกตื่นเตนหรือ ยินดีดวยรูปน้ัน ไมวารูปนั้นจะนาเกลียดเพียงไร ก็ไมหวั่นไหว) เปน ผูวางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู”

อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๗๙ ผูปฏิบัติกําหนดรูสภาวธรรมทุกอยาง เชน การเห็นรูปที่สวย และไมสวย และรูเห็นรูปตามความเปนจริง โดยลักษณะ ๓ อยาง คือ อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ และไมตอบ สนองดวยความชอบใจ หรือไมชอบใจ เขายอมรับรูสภาวะเห็นดวย จิตท่ีเปนกลาง กําหนดรูดวยความวางเฉยในสภาวะเห็นที่ดับไปอยู ทุกๆ ขณะ ผูปฏิบัติที่บรรลุสังขารุเปกขาญาณแลว ยอมเขาใจจาก ประสบการณของตนเองวาการกําหนดรูสภาวะเห็นดวยจิตท่ีวางเฉย นี้เกิดข้ึนไดอยางไร การกําหนดรูสภาวะไดยิน รูกล่ิน ลิ้มรส สัมผัส คิดนึก ดวย จิตที่เปนกลาง ก็มีลักษณะเชนเดียวกัน ความสามารถท่ีจะกําหนดรู อารมณท่ีเกิดข้ึนทางทวารท้ัง ๖ ดวยจิตที่วางเฉยอยู ไมหว่ันไหว เรียกวา ฉฬงคุเปกขา คือ อุเบกขาท่ีมีองค ๖ นับเปนองคคุณอยาง หน่ึงของพระอรหันตทั้งหลาย แตสําหรับปุถุชนที่ไดบรรลุถึงขั้น สังขารุเปกขาญาณ ก็มีความสามารถนี้เชนเดียวกัน ตามที่กลาวไวใน อรรถกถาอังคุตตรนิกาย๗๕ ผูปฏิบัติท่ีบรรลุถึงขั้นสังขารุเปกขาญาณ จะมีคุณสมบัติน้ีเชนเดียวกับพระอรหันต แตความสามารถนี้จะยังไม เดนชัดในข้ันอุทยัพพยญาณ ตอมาจะชัดเจนข้ึนในระดับภังคญาณ เปนตนไป และปรากฏชัดเจนในระดับสังขารุเปกขาญาณ ดังนั้น ผู ปฏิบัติท่ีบรรลุญาณน้ีมีความสามารถคลายกับพระอรหันต จึงสมควร

๒๘๐ อนัตตลกั ขณสตู ร ไดรับการยกยองเคารพจากคนธรรมดาท่ัวไป และถึงแมวาจะไมมี ใครรูหรือไมไดรับการยกยองนับถือจากคนอื่นก็ตาม ตัวผูปฏิบัติเอง ก็ยอมรูตัววามีคุณสมบัติท่ีดีงามย่ิงน้ี และควรภูมิใจความกาวหนา ในการปฏิบัติของตน (๓) กําหนดรูไดงายโดยไมตองพยายาม คัมภีรวิสุทธิมรรค๗๖ไดกลาววา มีใจเปนกลางวางเฉยตอ การกําหนดรู (สงฺขารวิจินเน มชฺฌตฺตํ หุตฺวา) คํากลาวน้ีไดรับการ สนับสนุนและไดอธิบายไวในคัมภีรมหาฎีกา๗๗วา มีใจเปนกลาง วางเฉยอยูในการกําหนดรู เหมือนในสังขารทั้งปวง (สงฺขาเรสุ วิย เตสํ วิจินเนป อุทาสีนํ หุตฺวา) หมายความวา มีใจเปนกลางวางเฉย อยูในสังขารท้ังปวงท่ีเปนอารมณของวิปสสนา เชนไร ก็มีใจเปน กลางวางเฉยอยูในการกําหนดรูเชนน้ันเหมือนกัน ขอนี้หมายความวา ในญาณข้ันที่อยูต่ําลงไป ผูปฏิบัติจําตอง ใชวิริยะอุตสาหะเปนอันมากเพื่อใหอารมณกรรมฐานปรากฏ และ เพื่อกําหนดรูอารมณน้ัน แตในสังขารุเปกขาญาณน้ี ผูปฏิบัติไมจําเปน ตองใชความพยายามเปนพิเศษแตอยางใดเพ่ือใหอารมณกรรมฐาน ปรากฏ และไมจําเปนตองใชความพยายามเปนพิเศษเพ่ือกําหนดรู อารมณน้ัน อารมณกรรมฐานปรากฏข้ึนไดเองทีละอยางๆ และจิต ที่กําหนดรูก็เกิดตามมาโดยไมตองพยายามเปนพิเศษ การกําหนดรู

อนัตตลักขณสูตร ๒๘๑ เปนไปอยางราบร่ืนงายดาย ๓ ประการนี้เปนลักษณะพิเศษวาดวย ความเปนกลางวางเฉย (๔) สมาธิต้ังอยูไดนาน ในญาณขั้นที่ตํ่ากวา ผูปฏิบัติมีความลําบากในการประคอง จิตใหหย่ังลงในอารมณท่ีกําหนดแมเพียงช่ัวระยะเวลาเพียงครึ่ง ช่ัวโมงถึงหนึ่งช่ัวโมง แตสําหรับสังขารุเปกขาญาณน้ี สมาธิตั้งอยูได อยางม่ันคงสมํ่าเสมอถึง ๑ ช่ัวโมง ๒ ช่ัวโมง หรือ ๓ ช่ัวโมง เพราะ คุณลักษณะพิเศษนี้ คัมภีรปฏิสัมภิทามรรคจึงเรียกญาณน้ีวาเปน ญาณท่ีตั้งอยูไดดี (สนฺติฏปนา ปฺา)๗๘ และคัมภีรมหาฎีกาได อธิบายวา คําวา ตั้งอยูไดดี หมายถึง ตั้งอยูติดตอกันไดเปนระยะ เวลานาน๗๙ เพราะญาณท่ีต้ังอยูไดนานเทาน้ันจึงจะเรียกไดวาต้ังอยู ไดดี (๕) มีความละเอียดสุขุมยิ่งขึ้นตามเวลาท่ีผานไป ความละเอียดสุขุมย่ิงขึ้นเรื่อยๆ ดังท่ีวิสุทธิมรรคอุปมาวา เหมือนแปงท่ีรอนแลว สังขารุเปกขาญาณเม่ือแรกปรากฏมีลักษณะ ละเอียดสุขุม แตเมื่อเวลาผานไปก็จะย่ิงละเอียดสุขุมมากข้ึนเร่ือยๆ

๒๘๒ อนัตตลกั ขณสูตร (๖) ไมมีความฟุงซาน ในญาณขนั้ ตาํ่ ลงไป สมาธจิ ะไมม น่ั คง จติ ซดั สา ยไปในอารมณ ตางๆ แตในสังขารุเปกขาญาณ จิตแทบจะไมฟุงซานเลย ไมตองพูด ถึงอารมณภายนอกเลย แมแตอารมณของวิปสสนาท่ีพึงกําหนดรู จิตก็ยังปฏิเสธไมยอมรับ เปรียบเทียบกับในภังคญาณที่จิตมักจะ กระจดั กระจายไปตามสว นตา งๆ ของรา งกายและรบั รสู มั ผสั ทีป่ รากฏ ท่ัวรางกาย แตในสังขารุเปกขาญาณการซัดสายของจิตเกิดข้ึนได ยากมาก จิตจะจับอยูกับอารมณเพียงสองสามอารมณที่เคยกําหนด รูอยูเปนปกติเทาน้ัน ดังนั้นแทนท่ีจะกําหนดรูสัมผัสทั่วรางกาย จิต จะหดกลับมากําหนดรูอารมณเพียง ๔ อยางหมุนเวียนกันไป เชน พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ สัมผัสหนอ ในบรรดาอารมณ ๔ อยางนี้ รางกายท่ีนั่งอาจหายไป เหลือเพียง ๓ อยาง คือ พองหนอ ยุบหนอ สัมผัสหนอ ตอมา พองหนอ และยุบหนอ อาจหายไปอีก เหลือเพียง สัมผัสหนอ ตอมา สัมผัสหนอ อาจหายไปอีก เหลือเพียงจิตที่กําหนด รูวา รูหนอ รูหนอ บางคราวอาจมีอารมณบางอารมณท่ีดึงดูดความ สนใจเปนพิเศษ แตผูปฏิบัติพบวาจิตไมตั้งอยูในอารมณน้ันนาน แตหวนกลับไปกําหนดรูอารมณที่กําหนดอยูตามปกติ ดังน้ันจึงกลาว วาไมมีความฟุงซานที่รบกวนสมาธิ คัมภีรวิสุทธิมรรค๘๐บรรยาย วา จิตยอมถอยกลับ หดกลับ เวียนกลับ ไมแพรกระจาย (ปติลียติ ปติกุฏติ ปติวตฺตติ น สมฺปสาริยติ)

อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๘๓ คุณสมบัติพิเศษ ๖ อยางท่ีอธิบายมานี้ เปนองคคุณของ สังขารุเปกขาญาณซ่ึงผูปฏิบัติพึงปฏิบัติจนประสบไดดวยตนเอง เพราะเมื่อยังไมไดเห็นประจักษในลักษณะพิเศษเหลานี้ ผูปฏิบัติก็ ตัดสินใจไดวาปญญาญาณของตนยังไมพัฒนามาจนถึงญาณนี้ การเกิดข้ึนของวุฏฐานคามินีวิปสสนา เม่ือสังขารุเปกขาญาณที่ประกอบดวยองคคุณ ๖ ประการ เหลาน้ีไดพัฒนาขึ้นจนเต็มบริบูรณแลว จะปรากฏญาณชนิดพิเศษ ท่ีเหมือนจะเคลื่อนที่ไปเร็วมาก คลายกับว่ิงมาดวยความเร็วสูง ญาณ ชนิดพิเศษนี้ช่ือวา วุฏฐานคามินีวิปสสนา วุฏฐาน หมายความวา ข้ึน คือ เตรียมพรอมจะไปสถานที่แหงใดแหงหน่ึง วิปสสนา หมายความ วา ปญญาหย่ังเห็นสภาวะเกิดขึ้นและดับไปอยางตอเน่ืองไมสิ้นสุด ของรูปและนาม ตอจากข้ันนี้ข้ึนไปอริยมรรคญาณจะพัฒนาข้ึนโดย มีความดับของสภาวธรรมรูปนามเปนอารมณ หมายความวา เปน การขึ้น หรือออกไปจากอารมณที่เปนกระแสการเกิดดับของรูปนาม แลวรับเอานิพพานเปนอารมณ ดวยเหตุท่ีเปนการออกจากกระแส รูปนาม อริยมรรคจึงไดชื่อวา วุฏฐานะ เม่ือวิปสสนาญาณที่เคลื่อน ไปอยางเร็วไดหยุดลง อริยมรรคหรือวุฏฐานะก็ไดเห็นประจักษ พระนิพพาน ดังนั้น จึงปรากฏเหมือนวิปสสนาญาณไดกลายเปน อริยมรรคดวยการข้ึนหรือการออกจากสังขารซ่ึงเคยเปนอารมณของ

๒๘๔ อนตั ตลกั ขณสูตร วิปสสนามากอน ดังน้ันจึงไดช่ือวา วุฏฐานคามินี ซ่ึงหมายความวา ออกจากสังขารข้ึนไปสูอริยมรรค วุฏฐานคามินีวิปสสนานี้เกิดขึ้นในขณะที่กําหนดรูจิตดวงใด ดวงหนึ่งท่ีรับอารมณทางทวารทั้ง ๖ ในขณะน้ัน ผูปฏิบัติกําหนดรู รูปนามที่ดับไปอยางรวดเร็ว ไดหยั่งเห็นความไมเท่ียง ความเปน ทุกข และความไมใชตัวตน วุฏฐานคามินีปรากฏขึ้น ๒ ถึง ๓ ขณะ เปนอยางนอย บางคร้ังอาจเกิดขึ้น ๓ ขณะ ๔ ขณะ หรือ ๑๐ ขณะ เปนตน เม่ือวุฏฐานคามินีปรากฏขึ้นเปนครั้งสุดทาย จิตที่เรียกวา บริกรรม (จิตเตรียม) อุปจาระ (จิตใกล) และอนุโลม (จิตคลอยตาม) ปรากฏขึ้นอยางละ ๑ ขณะ รวม ๓ ขณะ ตามดวยกามาวจรกุศลชวน- จิต ซึ่งมีนิพพานเปนอารมณ ๑ ขณะ ในขณะนั้นกระแสรูปนามสังขาร ไดดับไป ตอจากนั้น อริยมรรคจิตเกิดกระโจนเขาสูอารมณนิพพานท่ี ปราศจากรูปนาม มีแตความดับของสังขาร ทันทีท่ีอริยมรรคจิตดับ อริยผลจิตก็ปรากฏตอมา ๒ ถึง ๓ ขณะ มีนิพพานเปนอารมณเชน เดียวกับอริยมรรค การเกิดขึ้นของอริยมรรคและอริยผลทําใหปุถุชน บรรลุเปนพระโสดาบัน ทําใหพระโสดาบันบรรลุเปนพระสกทาคามี เปนพระอนาคามี และเปนพระอรหันต ตามลําดับ

อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๘๕ กามาวจรกุศลชวนจิตที่มีนิพพานเปนอารมณน้ัน มีช่ือ เรียกวา โคตรภูญาณ เปนชวนจิตที่ขามโคตรของปุถุชน คัมภีรปฏิ- สัมภิทามรรคใหคําจํากัดความ โคตรภู ไวดังน้ี อุปฺปาทา วุฏหิตฺวา อนุปฺปาทํ ปกฺขนฺทตีติ โคตฺรภุ.๘๑ “ปญญาท่ีออกจากการเกิดข้ึน (สังขารท่ีมีการเกิดข้ึน) แลว แลนเขาสูอารมณแหงนิพพานท่ีพนแลวจากการเกิด ดังนั้น จึง เรียกวา โคตรภู” ปวตฺตา วุฏหิตฺวา อปฺปวตฺตํ ปกฺขนฺทตีติ โคตฺรภุ.๘๒ “ปญญาท่ีออกจากอารมณท่ีเปนกระแสรูปนามท่ีตอเนื่อง กันอยูตลอดเวลา แลวแลนเขาสูอารมณนิพพานท่ีพนแลวจากกระแส รูปนาม ดังนั้นจึงเรียกวา โคตรภู” น่ีคือการท่ีโคตรภูจิตแลนมาดวยความเร็วเพ่ือมุงสูอารมณ แหงนิพพาน ตามดวยอริยมรรคที่แลนลงสูนิพพานที่โคตรภูจิตไดวิ่ง นําทางไปกอนแลว ในคัมภีรมิลินทปญหาไดบรรยายไวดังนี้ ตสฺส ตํ จิตฺตํ อปราปรํ มนสิกโรโต ปวตฺตํ สมติกฺกมิตฺวา อปฺปวตฺตํ โอกฺกมติ, อปฺปวตฺตมนุปฺปตฺโต มหาราช สมฺมาปฏิปนฺโน “นิพฺพานํ สจฺฉิกโรตี”ติ วุจฺจติ.๘๓

๒๘๖ อนัตตลกั ขณสูตร “เมื่อผูปฏิบัตินั้นกําหนดรูอยางตอเน่ือง จิตน้ันยอมลวง กระแสรูปนามท่ีเปนไปไมขาดชวง หยั่งลงสูภาวะท่ีไมมีกระแสรูป นาม มหาบพิตร บุคคลผูปฏิบัติชอบ บรรลุความไมมีกระแสรูปนาม เรียกวา กระทําพระนิพพานใหแจง” ขอนี้หมายความวา จิตของผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูสภาวธรรม แตละขณะไดอยางตอเนื่อง ขั้นแลวข้ันเลา ไดครอบงํากระแสรูปนาม ท่ีดําเนินติดตอกันอยางไมขาดสาย และแลนลงสูสภาวะที่เปนความ ดับของกระแสรูปนาม จึงเปนการรูแจงพระนิพพาน ในตอนตน ผูปฏิบัติกําหนดรูการเกิดดับของรูปนามในขณะ เห็น ไดยิน หรือคิดนึก เปนตน เขาเห็นเพียงกระแสของสภาวธรรม รูปนามที่เกิดดับติดตอกันอยางไมมีทีทาวาจะจบสิ้น และในขณะท่ี เขาไดรูเห็นกระแสรูปนามท่ีไมรูจักจบส้ินอยู พรอมกับระลึกรูถึง อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะของมันอยูนั้นเอง ปรากฏวาหลังจากการระลึกรูครั้งสุดทาย (บริกรรม อุปจาระ และ อนุโลม) จิตของเขาไดโนมไปและแลนลงสูสภาวะที่อารมณท่ีกําลัง ถูกกําหนดรูและจิตท่ีกําหนดรูดับสนิทลง อาการโนมไปคือการโนม เขาหาโคตรภูจิต และการแลนลงก็คือการประจักษแจงพระนิพพาน ดวยอริยมรรคและอริยผล ขอความน้ีปรากฏในคัมภีรมิลินทปญหาที่แสดงวาวุฏฐาน-

อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๘๗ คามินีวิปสสนาเกิดขึ้นไดอยางไร และอริยมรรคอริยผลเกิดข้ึนได อยางไร ผูปฏิบัติจะพบวาขอความขางตนสอดคลองกับประสบการณ ท่ีพบในขณะปฏิบัติ คือ โดยท่ัวไปผูปฏิบัติมักจะเร่ิมการปฏิบัติโดย กําหนดรูการสัมผัส การคิด การไดยิน การเห็น เปนตน กลาวโดย ยอคือการใสใจกําหนดรูลักษณะของอุปาทานขันธท้ัง ๕ และดังที่ ไดกลาวแลววาในภังคญาณ ขณะที่ผูปฏิบัติกําหนดรูสภาวธรรมรูป นามท่ีดับไปอยางรวดเร็วอยูตลอดเวลาน้ัน เขารูสึกวารูปนามเปน ภัยท่ีนากลัว แลวเกิดความเบ่ือหนายรังเกียจในรูปนาม ตอจากนั้น เขาตองการจะเปนอิสระจากรูปนาม จึงยิ่งทวีความพยายามในการ ปฏิบัติใหมากยิ่งข้ึนจนบรรลุถึงขั้นสังขารุเปกขาญาณ ในญาณน้ี ผูปฏิบัติรูเห็นทุกสิ่งดวยความวางเฉย เมื่อสังขารุเปกขาญาณถึง ความแกกลาเต็มท่ีแลว ในกระแสจิตของผูปฏิบัติจะปรากฏมีวุฏฐาน- คามินีวิปสสนาและอนุโลมญาณซ่ึงเคล่ือนไปดวยความเร็ว ผูปฏิบัติ จะแลนลงสูสภาวะที่วางเปลาซ่ึงทุกอยางดับไปหมด ทั้งอารมณที่ ถูกกําหนดรูและจิตท่ีทําการกําหนดรู นี้คือการเห็นแจงพระนิพพาน ดวยอริยมรรคและอริยผล และการเห็นแจงพระนิพพานนี้ยกระดับ ปุถุชนข้ึนเปนพระโสดาบัน ยกพระโสดาบันขึ้นเปนพระสกทาคามี ยกพระสกทาคามีขึ้นเปนพระอนาคามี และในข้ันสุดทายยกระดับ พระอนาคามีขึ้นเปนพระอรหันต พระพุทธองคตรัสบรรยายขั้นตอน ของการเปลี่ยนแปลงไวในอนัตตลักขณสูตรดังนี้

๒๘๘ อนตั ตลักขณสตู ร การเกิดความเบื่อหนายแลวไดบรรลุมรรคผล นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ. วิราคา วิมุจฺจติ. “เมื่อเบ่ือหนาย จึงคลายกําหนัด (เปนอิสระหลุดพนจาก ตัณหา) ยอมหลุดพน[จากกิเลส] เพราะคลายกําหนัด” ปญญาของผูปฏิบัติพัฒนาข้ึนจากสัมมสนญาณไปจนถึง ภังคญาณดวยการหยั่งเห็นอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตต- ลักษณะของสภาวธรรมรูปนาม พระผูมีพระภาคทรงหมายถึงการ พัฒนาในขั้นนี้เม่ือตรัสวา เอวํ ปสฺสํ (เมื่อเห็นอยูอยางนี้) ในขอความ ขางตน และจากภังคญาณถึงสังขารุเปกขาญาณและอนุโลมญาณ ไดทรงอธิบายวา นิพฺพินฺทติ (รูสึกเบื่อหนาย) หลังจากน้ันจึงตรัสวา นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ วิราคา วิมุจฺจติ (เม่ือเบ่ือหนาย จึงคลายกําหนัด ยอมหลุดพนเพราะคลายกําหนัด) ซึ่งเปนการบรรยายถึงการพัฒนา ของปญญาในมรรคญาณและผลญาณ เปนคําบรรยายที่ส้ันและ กระชับ ตรงกันกับประสบการณของผูปฏิบัติอยางไมผิดเพ้ียน ประสบการณกับคําบรรยายตรงกันอยางไร เมื่อสังขารุเปกขาญาณถึงความแกกลาแลว โลกุตตรปญญา จะพัฒนาข้ึนอยางรวดเร็ว ผูปฏิบัติท่ีมีความเบ่ือหนายในรูปนาม แตยังไมหนักแนนพอที่จะสละความพอใจในรูปนามจะเกิดความ

อนัตตลักขณสูตร ๒๘๙ กังวลวา “จะเกิดอะไรข้ึนกับเรา เราจะตายหรือเปลา” เมื่อเกิด ความกังวลข้ึน สมาธิก็จะออนกําลังลง แตเมื่อความเบ่ือหนาย เกลียดชังรูปนามมีความรุนแรงมาก ความกังวลก็ไมเกิด ผูปฏิบัติจึง สามารถกําหนดพิจารณาไดอยางราบรื่นสะดวกสบาย ในไมชาเขาก็ จะแลนลงสูสภาวะท่ีเปนอิสระจากตัณหาและอุปาทาน มีแตความ ดับของรูปนามสังขาร น้ีคือความหลุดพนจากกิเลสตามสมควรแก มรรคท่ีไดบรรลุ เม่ือผูปฏิบัติท่ีหลุดพนจากความยึดม่ันเขาสูความดับดวย อริยมรรคที่ ๑ (โสดาปตติมรรค) จะสามารถละทิฏฐาสวะ พนจาก ความหลงผิดที่เก่ียวกับความสงสัยลังเลใจ (วิจิกิจฉา) และหลุดพน จากกิเลสที่อาจทําใหตกไปในอบาย เมอ่ื เขา สคู วามดบั ดว ยมรรคท่ี ๒ คอื สกทาคามมิ รรค ผปู ฏบิ ตั ิ จะเปนอิสระจากกิเลสอยางหยาบ และเมื่อเขาสูความดับดวยมรรค ท่ี ๓ คือ อนาคามิมรรค ผูปฏิบัติจะเปนอิสระจากกิเลสอยางละเอียด ตลอดจนความหลงผิดอยางละเอียด หากเขาสูความดับดวยอรหัตต- มรรค ผูปฏิบัติจะหลุดพนจากกิเลสทุกชนิด ดังพระดํารัสวา วิราคา วิมุจฺจติ (ยอมหลุดพน เพราะคลายกําหนัด) หมายความวา เมื่อ หลุดพนจากกิเลสและเขาสูความดับ จะเกิดมีความหลุดพนดวยกําลัง ของผลญาณซึ่งเปนผลของมรรคญาณ การพนจากกิเลสน้ีจะเห็นได

๒๙๐ อนัตตลกั ขณสตู ร ชัดในปจจเวกขณญาณ คือ ญาณท่ีพิจารณากิเลสท่ีละแลวและกิเลส ที่ยังไมไดละ การพิจารณาของพระอรหันต กระบวนการพิจารณาของพระอรหันตดังที่ทรงบรรยายไวใน บทสรุปทายอนัตตลักขณสูตร คือ วิมุตฺตสฺมึ “วิมุตฺต”มิติ าณํ โหติ. “ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺม- จริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา”ติ ปชานาตีติ. “เมื่อจิตพนแลว ก็รูวาพนแลว อริยสาวกนั้นทราบชัดวา ชาติส้ินแลว พรหมจรรยไดอยูจบแลว กิจที่ควรทําไดทําเสร็จแลว กิจอื่นอีกเพื่อความเปนอยางนี้มิไดมี” ดังน้ีแล อาจจะมีคําถามวา พระอรหันตจะทราบไดอยางไรวาชาติ สิ้นแลว หากยังมีความเห็นผิดเก่ียวกับรูปขันธและนามขันธอยู และ ยังมีความผูกพันยึดมั่นในรูปนามเหลาน้ันวาเท่ียง เปนสุข เปนตัวตน อยูตราบใด ก็จะยังมีการเกิดภพใหมในสังสารวัฏอยูตราบน้ัน ตอเมื่อ ผูนั้นหลุดพนจากความเห็นผิดและความโงเขลา จึงจะพนจากความ ยึดมั่นอีกดวย พระอรหันตรูโดยการพิจารณาทบทวนวาทานได หลุดพนจากความหลงผิดในขันธ และหยั่งรูวาทานปราศจากความ

อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๙๑ ยึดม่ันแลว ดังน้ันจึงทราบชัดวาชาติสิ้นแลว คือการเกิดใหมไมมี อีกแลว เปนการพิจารณาทบทวนถึงกิเลสท่ีละไดแลว ในที่นี้ คําวา พรหมจรรย หมายถึงการประพฤติศีล สมาธิ และปญญา แตเพียงการรักษาศีลหรือเจริญฌานเทาน้ันไมชวยให บรรลุจุดหมายท่ีสูงสุดได การบรรลุพระนิพพานจะสําเร็จไดดวยการ เจริญสติกําหนดรูสภาวธรรมรูปนามใหเทาทันปจจุบันขณะท่ีเกิด ขึ้นจนกระท่ังบรรลุมรรคญาณผลญาณเทาน้ัน ดังนั้นคําวา อยูจบ พรหมจรรย จึงหมายความวา ไดเจริญวิปสสนาจนบรรลุจุดหมาย สูงสุด “กิจที่ควรทํา” หมายถึง การเจริญวิปสสนาเพ่ือใหรูแจง อริยสัจทั้ง ๔ อยางถองแท จนกระท่ังบรรลุอรหัตตมรรค จึงจะเรียก ไดวาไดทํากิจที่ควรทําเสร็จแลว แตถึงแมวาจะไดประจักษแจงการ ดับโดยมรรคเบ้ืองตํ่า ๓ และไดกําหนดรูทุกขสัจ ซึ่งเทากับเปนการ เห็นแจงอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะแลวก็ตาม แตทวายังมีความหลงผิดบางประการ คือ สัญญาวิปลลาส และจิตต- วิปลลาส ท่ียังคงตองกําจัดใหหมดสิ้นไปอยู เพราะวิปลลาสเหลานี้ เปนเหตุใหยังมีความยินดีพอใจ และยังยึดม่ันอีกวารูปนามเปนสุข นาปรารถนาอยู เพราะเหตุเกิดของทุกขคือตัณหายังไมไดถูกละไป ดังนั้นแมพระอนาคามีก็ยังมีการเกิดใหม ในข้ันอรหัตตมรรคมีการ

๒๙๒ อนตั ตลกั ขณสตู ร เห็นทุกขสัจ คือ อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ อยางถองแทและบริบูรณ สัญญาวิปลลาสและจิตตวิปลลาสจึงได ถูกละไป และเพราะปราศจากความหลงผิด จึงไมมีความเขาใจผิดวา เปนสุข ดังน้ันสมุทยสัจคือตัณหาจึงไมมีโอกาสเกิดข้ึน เพราะไดถูก ถอนรากถอนโคนออกไปเสียแลว กิจที่จะตองกระทําเก่ียวกับอริยสัจ ๔ ไดทําสําเร็จอยางบริบูรณแลว น้ีคือเหตุที่พระอรหันตไดพิจารณา ทบทวนวาไมมีกิจอื่นท่ีตองกระทําอีก ในการพิจารณาทบทวนของพระอรหันต ไมไดระบุถึงการ พิจารณามรรค ผล นิพพาน และกิเลส แตพึงทราบวาสิ่งเหลานี้ได ถูกพิจารณากอนแลวจึงตามดวยการพิจารณาอยางอ่ืน ดังนั้น พึง ทราบวา การพิจารณาทบทวนวา “พรหมจรรยไดอยูจบแลว กิจท่ี ควรทําไดทําแลว” เปนการพิจารณาตอจากการพิจารณามรรค ผล นิพพาน สวนการพิจารณาวา “จิตหลุดพนแลว ชาติสิ้นแลว” เปนการ พิจารณาหลังจากการพิจารณากิเลสที่ละไดแลว

อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๙๓ บทสรุป ทานพระอานนทผูสาธยายพระสูตรนี้ในสังคายนาไดกลาว สรุปวา อิทมโวจ ภควา. อตฺตมนา ปฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุํ. อิมสฺมิฺจ ปน เวยฺยากรณสฺมึ ภฺมาเน ปฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ. “พระผูมีพระภาคไดตรัสพระดํารัสนี้ พระปญจวัคคียมีใจ ยินดี เพลิดเพลินภาษิตของพระผูมีพระภาค และเมื่อพระผูมีพระภาค ตรัสพระสูตรน้ีอยู จิตของพระปญจวัคคียหมดความถือม่ัน หลุดพน แลวจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย” ในบรรดาภิกษุปญจวัคคียนั้น ทานโกณฑัญญะไดบรรลุเปน พระโสดาบันในยามแรกของวันเพ็ญเดือน ๘ ในขณะท่ีสดับธัมม- จักกัปปวัตนสูตร ทานยังตองทําความเพียรเจริญวิปสสนาตอไป และไมไดบรรลุเปนพระอรหันตจนกระท่ังไดฟงอนัตตลักขณสูตร, ทานวัปปะบรรลุเปนพระโสดาบันในวันแรม ๑ ค่ํา เดือน ๘, ทาน ภัททิยะบรรลุเปนพระโสดาบันในวันแรม ๒ คํ่า, ทานมหานามะ บรรลุในวันแรม ๓ คํ่า และทานอัสสชิบรรลุในวันแรม ๔ ค่ํา แหง เดือน ๘ ตามลําดับ ในขณะท่ีฟงพระธรรมเทศนาอนัตตลักขณสูตรนี้ พระปญจวัคคียซึ่งเปนพระโสดาบันทั้งหมดหยั่งเห็นขันธ ๕ วา ไมใช

๒๙๔ อนตั ตลกั ขณสตู ร ของเรา ไมใชเรา ไมใชอัตตาของเรา เปนเพียงสภาวธรรมที่เปน อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาเทาน้ัน ทานเหลาน้ันไดบรรลุมรรคช้ันสูง ท้ัง ๓ ไปตามลําดับ และสําเร็จเปนพระอรหันต ตามที่มีกลาวไวใน อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรควา ทานเหลานั้นใสใจกําหนดรูตามคําสอน ของพระผูมีพระภาค ไดบรรลุเปนพระอรหันตเมื่อฟงพระสูตรจบ ปน้ันเปนปที่ ๑๐๓ ของมหาศักราช หากนับยอนจากปน้ี (คือ พ.ศ. ๒๕๐๖) ได ๒๕๕๑ ป (ถานับยอนจากป พ.ศ. ๒๕๕๖ ได ๒๖๐๐ ป) ในปน น้ั วนั แรม ๕ คา่ํ เดอื น ๘ หลงั จากจบพระธรรมเทศนา อนัตตลักขณสูตร ไดมีพระอรหันต ๖ องค รวมทั้งพระผูมีพระภาค ปรากฏข้ึนแลวในโลก เม่ือจินตนาการภาพเหตุการณที่เกิดขึ้น ณ ปาอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสีในวันน้ัน ขณะท่ีพระผูมี- พระภาคทรงเทศนาโปรดพระปญจวัคคีย และพระปญจวัคคียได บรรลุธรรมเปนพระอรหันตขีณาสพในขณะท่ีสดับพระเทศนาโดย เคารพ นับเปนภาพที่ชวนใหเกิดปติโสมนัสเพ่ิมศรัทธาปสาทะใน พระศาสนาเปนอยางย่ิง ดังนั้นขอใหเราพยายามจินตนาการภาพนั้น

อนัตตลักขณสตู ร ๒๙๕ สักการะแดพระอรหันตทั้ง ๖ ๒๕๕๑ ปที่ผานมาในอดีต (๒๖๐๐ ป ถานับถึง พ.ศ. ๒๕๕๖) วันแรม ๕ คํ่า เดือน ๘ พระผูมีพระภาคทรงแสดงพระธรรมเทศนา อนัตตลักขณสูตรแกพระปญจวัคคีย ขณะท่ีพระปญจวัคคียสดับฟง พระสูตรพรอมกับสงญาณพิจารณาไปตามพระดํารัสน้ัน ไดหลุดพน จากกิเลสอาสวะทั้งปวงบรรลุเปนพระอรหันต เราขอประนมกร นอมถวายบูชาสักการะแดพระผูมีพระภาค และพระปญจวัคคีย ผูสําเร็จเปนพระอรหันต ๖ รูปแรกในโลก ผูหลุดพนแลวจากกิเลส อาสวะทั้งปวง ในขณะเริ่มตนของการประกาศพระศาสนา บัดนี้ ขาพเจาไดแสดงพระธรรมเทศนาอนัตตลักขณสูตรมา แลว ๑๒ คร้ัง รวมเวลา ๑๒ สัปดาห และไดครอบคลุมเนื้อหาท้ังหมด แลว จึงจะขอยุติธรรมเทศนาชุดน้ีไวดวยประการฉะนี้ อนุโมทนากถา ดวยกุศลผลบุญแหงการสดับพระธรรมเทศนาอนัตตลักขณ- สูตรอยางต้ังใจ และดวยความเคารพ ขอใหทุกทาน (ที่อยู ณ ท่ีนี้) สามารถเขาใจคําสอนในพระสูตรท่ีวาดวยขันธ ๕ อันไดแก รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และวิญญาณขันธ และกําหนด รูไดเทาทันปจจุบันขณะท่ีเห็นและไดยินเปนตนวาไมใชของเรา ไมใช

๒๙๖ อนัตตลกั ขณสูตร เรา ไมใชอัตตาของเรา และรูเห็นการเกิดข้ึนและดับไปดวยปญญา จากการปฏบิ ตั ขิ องตน จนกระทงั่ หยงั่ เหน็ อนจิ จลกั ษณะ ทกุ ขลกั ษณะ และอนัตตลักษณะ สามารถบรรลุถึงพระนิพพานดวยมรรคญาณ ผลญาณโดยพลันเทอญ อนัตตลักขณสูตร เอวํ เม สุตํ. เอกํ สมยํ ภควา พาราณสิยํ วิหรติ อิสิปตเน มิคทาเย. ตตฺร โข ภควา ปฺจวคฺคิเย ภิกฺขู อามนฺเตสิ “ภิกฺขโว”ติ. “ภทนฺเต”ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจสฺโสสํุ. ภควา เอตทโวจ- “ขาพเจาไดสดับมาอยางนี้ สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาค ประทับอยู ณ ปาอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี ณ ที่น้ัน พระผูมีพระภาครับส่ังเรียกพระปญจวัคคียวา “ภิกษุทั้งหลาย” ภิกษุ เหลานั้นทูลรับสนองพระดํารัสแลว พระผูมีพระภาคตรัสวา” ขันธ ๕ เปนอนัตตา รูป ภิกฺขเว อนตฺตา. รูปฺจ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส, นยิทํ รูป อาพาธาย สํวตฺเตยฺย. ลพฺเภถ จ รูเป “เอวํ เม รูป โหตุ, เอวํ เม รูป มา อโหสี”ติ. ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว รูป อนตฺตา, ตสฺมา รูป อาพาธาย สํวตฺตติ. น จ ลพฺภติ รูเป “เอวํ เม รูป โหตุ, เอวํ เม รูป มา อโหสี”ติ.

อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๙๗ “ภิกษุทั้งหลาย รูปมิใชอัตตา ถารูปนี้เปนอัตตาแลว รูปน้ี คงไมเปนไปเพื่อเบียดเบียน และบุคคลคงไดการจัดแจงในรูปวา รูป ของเราจงเปนอยางนี้เถิด (จงอยูในสภาพดี) รูปของเราอยาไดเปน อยางน้ันเลย (จงอยามีสภาพไมดี) แตเพราะรูปเปนอนัตตา จึงเปน ไปเพ่ือเบียดเบียน และบุคคลยอมไมไดการจัดแจงในรูปวา รูปของ เราจงเปนอยางน้ีเถิด รูปของเราอยาไดเปนอยางนั้นเลย” เวทนา ภิกฺขเว อนตฺตา. เวทนา จ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส, นยิทํ เวทนา อาพาธาย สํวตฺเตยฺย, ลพฺเภถ จ เวทนาย “เอวํ เม เวทนา โหตุ, เอวํ เม เวทนา มา อโหสี”ติ. ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว เวทนา อนตฺตา, ตสฺมา เวทนา อาพาธาย สํวตฺตติ. น จ ลพฺภติ เวทนาย “เอวํ เม เวทนา โหตุ, เอวํ เม เวทนา มา อโหสี”ติ. “ภิกษุทั้งหลาย เวทนามิใชอัตตา ถาเวทนานี้เปนอัตตาแลว เวทนาน้ีคงไมเปนไปเพื่อเบียดเบียน และบุคคลคงไดการจัดแจงใน เวทนาวา เวทนาของเราจงเปนอยางนี้เถิด (จงเปนสุขอยูเสมอ) เวทนา ของเราอยาไดเปนอยางนั้นเลย (จงเปนอยาเปนทุกขเลย) แตเพราะ เวทนาเปนอนัตตา จึงเปนไปเพ่ือเบียดเบียน และบุคคลยอมไมไดการ จัดแจงในเวทนาวา เวทนาของเราจงเปนอยางน้ันเถิด เวทนาของเรา อยาไดเปนอยางน้ันเลย”

๒๙๘ อนัตตลักขณสูตร สฺ า ภิกฺขเว อนตฺตา. สฺ า จ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส, นยิทํ สฺ า อาพาธาย สํวตฺเตยฺย. ลพฺเภถ จ สฺ าย “เอวํ เม สฺ า โหตุ, เอวํ เม สฺ า มา อโหสี”ติ. ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว สฺ า อนตฺตา, ตสฺมา สฺ า อาพาธาย สํวตฺตติ, น จ ลพฺภติ สฺ าย “เอวํ เม สฺา โหตุ, เอวํ เม สฺา มา อโหสี”ติ. “ภิกษุทั้งหลาย สัญญามิใชอัตตา ถาสัญญาน้ีเปนอัตตาแลว สัญญานี้คงไมเปนไปเพื่อเบียดเบียน และบุคคลคงไดการจัดแจง ในสัญญาวา สัญญาของเราจงเปนอยางนี้เถิด (จงเปนสุขอยูเสมอ) สัญญาของเราจงอยาไดเปนอยางน้ันเลย (จงอยาเปนทุกขเลย) แต เพราะสัญญาเปนอนัตตา จึงเปนไปเพ่ือเบียดเบียน และบุคคลยอมไม ไดการจัดแจงในสัญญาวา สัญญาของเราจงเปนอยางนั้นเถิด สัญญา ของเราอยาไดเปนอยางนั้น” สงฺขารา อนตฺตา. สงฺขารา จ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺสํสุ, นยิทํ สงฺขารา อาพาธาย สํวตฺเตยฺยุํ, ลพฺเภถ จ สงฺขาเรสุ “เอวํ เม สงฺขารา โหนฺตุ, เอวํ เม สงฺขารา มา อเหสุนฺ”ติ. ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว สงฺขารา อนตฺตา, ตสฺมา สงฺขารา อาพาธาย สํวตฺตนฺติ, น จ ลพฺภติ สงฺขาเรสุ “เอวํ เม สงฺขารา โหนฺตุ, เอวํ เม สงฺขารา มา อเหสุนฺ”ติ.

อนัตตลกั ขณสตู ร ๒๙๙ “ภิกษุทั้งหลาย สังขารมิใชอัตตา ถาสังขารน้ีเปนอัตตา แลว สังขารนี้คงไมเปนไปเพ่ือเบียดเบียน และบุคคลคงไดในสังขาร วา สังขารของเราจงเปนอยางนี้เถิด (จงเปนสุขอยูเสมอ) สังขารของ เราจงอยาไดเปนอยางน้ันเลย (จงอยาเปนทุกขเลย) แตเพราะสังขาร เปนอนัตตา จึงเปนไปเพื่อเบียดเบียน และบุคคลยอมไมไดการจัดแจง ในสังขารวา สังขารของเราจงเปนอยางนั้นเถิด สังขารของเราอยาได เปนอยางนั้น” วิฺ าณํ ภิกฺขเว อนตฺตา. วิฺ าณฺ จ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส, นยิทํ วิฺ าณํ อาพาธาย สํวตฺเตยฺย, ลพฺเภถ จ วิฺ าเณ “เอวํ เม วิฺ าณํ โหตุ, เอวํ เม วิฺ าณํ มา อโหสี”ติ. ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว วิฺ าณํ อนตฺตา, ตสฺมา วิฺ าณํ อาพาธาย สํวตฺตติ. น จ ลพฺภติ วิฺ าเณ “เอวํ เม วิฺ าณํ โหตุ, เอวํ เม วิฺ าณํ มา อโหสี”ติ. “ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณมิใชอัตตา ถาวิญญาณน้ีเปนอัตตา แลว วิญญาณน้ีคงไมเปนไปเพื่อเบียดเบียน และบุคคลคงไดการ จัดแจงในวิญญาณวา วิญญาณของเราจงเปนอยางนี้เถิด (จงเปน กุศลอยูเสมอ) วิญญาณของเราอยาไดเปนอยางน้ันเลย (จงอยาเปน อกุศลเลย) แตเพราะวิญาณเปนอนัตตา จึงเปนไปเพ่ือเบียดเบียน และบุคคลยอมไมไดการจัดแจงในวิญญาณวา วิญญาณของเราจง เปนอยางน้ีเถิด วิญญาณของเราอยาไดเปนอยางน้ันเลย”

๓๐๐ อนตั ตลักขณสตู ร คําถามและคําตอบเก่ียวกับขันธ ๕ ตํ กึ มฺ ถ ภิกฺขเว รูป นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วาติ. อนิจฺจํ ภนฺเต. ยํ ปนานิจฺจํ, ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วาติ. ทุกฺขํ ภนฺเต. ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตํุ “เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา”ติ. โน เหตํ ภนฺเต. พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “ภิกษุทั้งหลาย เธอจะสําคัญ ขอน้ีเปนไฉน รูปเที่ยงหรือไมเท่ียง” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมเท่ียง พระพุทธเจาขา” พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “รูปใดไมเท่ียง รูปนั้นเปนทุกข หรือเปนสุข” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “เปนทุกข พระพุทธเจาขา” พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “รูปใดไมเท่ียง เปนทุกข แปรเปลี่ยนอยูเปนธรรมดา ควรหรือที่จะยึดถือวา รูปนี้เปนของเรา รูปน้ีเปนเรา รูปนี้เปนอัตตาของเรา” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมควร พระพุทธเจาขา” เวทนา นิจฺจา วา อนิจฺจา วาติ. อนิจฺจา ภนฺเต. ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ “เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา”ติ. โน หิ เอตํ ภนฺเต.

อนตั ตลักขณสตู ร ๓๐๑ พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “เวทนาเที่ยงหรือไมเที่ยง” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมเท่ียง พระพุทธเจาขา” พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “เวทนาใดไมเที่ยง เวทนานั้น เปนทุกขหรือเปนสุข” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “เปนทุกข พระพุทธเจาขา” พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “เวทนาใดไมเที่ยง เปนทุกข มี ความแปรปรวนไปเปนธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นวา เวทนานี้ เปนของเรา เวทนาน้ีเปนเรา เวทนานี้เปนอัตตาของเรา” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา” สฺ า นิจฺจา วา อนิจฺจา วาติ. อนิจฺจา ภนฺเต. ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วาติ. ทุกฺขํ ภนฺเต. ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ “เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา”ติ. โน เหตํ ภนฺเต. พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “สัญญาเที่ยงหรือไมเที่ยง” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมเที่ยง พระพุทธเจาขา” พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “สัญญาใดไมเท่ียง สัญญาน้ัน เปนทุกขหรือเปนสุข”

๓๐๒ อนตั ตลักขณสูตร พระปญจวัคคียทูลตอบวา “เปนทุกข พระพุทธเจาขา” พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “สัญญาใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนไปเปนธรรมดา ควรหรือท่ีจะตามเห็นวา สัญญานี้ เปนของเรา สัญญาน้ีเปนเรา สัญญานี้เปนอัตตาของเรา” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา” สงฺขารา นิจฺจา วา อนิจฺจา วาติ. อนิจฺจา ภนฺเต. ยํ ปนา- นิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วาติ. ทุกฺขํ ภนฺเต. ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณาม- ธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ “เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา”ติ. โน หิ เอตํ ภนฺเต. พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “สังขารเที่ยงหรือไมเที่ยง” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมเท่ียง พระพุทธเจาขา” พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “สังขารใดไมเท่ียง สังขารน้ัน เปนทุกขหรือเปนสุข” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “เปนทุกข พระพุทธเจาขา” พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “สังขารใดไมเท่ียง เปนทุกข มี ความแปรปรวนไปเปนธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นวา สังขารน้ี เปนของเรา สังขารน้ีเปนเรา สังขารนี้เปนอัตตาของเรา”

อนัตตลกั ขณสูตร ๓๐๓ พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา” วิฺ าณํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วาติ. อนิจฺจํ ภนฺเต. ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วาติ. ทุกฺขํ ภนฺเต. ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ “เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา”ติ. โน หิ เอตํ ภนฺเต. พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “วิญญาณเที่ยงหรือไมเที่ยง” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมเท่ียง พระพุทธเจาขา” พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “วิญญาณใดไมเที่ยง วิญญาณ น้ัน เปนทุกข หรือเปนสุข” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “เปนทุกข พระพุทธเจาขา” พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “วิญญาณใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนไปเปนธรรมดา ควรหรือท่ีจะตามเห็นวา วิญญาณ นี้เปนของเรา วิญญาณนี้เปนเรา วิญญาณนี้เปนอัตตาของเรา” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา”

๓๐๔ อนตั ตลกั ขณสตู ร การพิจารณาขันธ ๕ ดวยนัย ๑๑ อยาง ตสฺมาติห ภิกฺขเว ยํ กิฺจิ รูป อตีตานาคตปจฺจุปนฺนํ, อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา, โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา, หีนํ วา ปณีตํ วา, ยํ ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ รูป “เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา”ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปฺาย ทฏพฺพํ. “ภิกษุท้ังหลาย เพราะเหตุนั้น รูปอยางใดอยางหน่ึงในโลกนี้ ท้ังที่เปนอดีต อนาคต และปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือ ละเอียด เลวหรือดี ไกลหรือใกล เธอทั้งหลายพึงเห็นรูปทั้งหมดน้ัน ดวยปญญาอันชอบตามความเปนจริงอยางน้ีวา รูปน้ีมิใชของเรา รูปน้ีมิใชเรา รูปน้ีมิใชอัตตาของเรา” ยา กาจิ เวทนา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา, อชฺฌตฺตา วา พหิทฺธา วา, โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หีนา วา ปณีตา วา, ยา ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพา เวทนา “เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา”ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปฺาย ทฏพฺพา “เวทนาอยางใดอยางหนึ่ง ท้ังท่ีเปนอดีต อนาคต หรือ ปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือดี ไกล หรือใกล เธอทั้งหลายพึงเห็นเวทนาทั้งหมดน้ันดวยปญญาอันชอบ ตามความเปนจริงอยางนี้วา เวทนานี้มิใชของเรา เวทนานี้มิใชเรา เวทนานี้มิใชอัตตาของเรา”

อนตั ตลักขณสูตร ๓๐๕ ยา กาจิ สฺ า อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา, อชฺฌตฺตา วา พหิทฺธา วา, โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หีนา วา ปณีตา วา, ยา ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพา สฺ า “เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา”ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปฺ าย ทฏพฺพา. “สัญญาอยางใดอยางหนึ่ง ทั้งท่ีเปนอดีต อนาคต หรือ ปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือดี ไกล หรือใกล เธอทั้งหลายพึงเห็นสัญญาท้ังหมดนั้นดวยปญญาอันชอบ ตามความเปนจริงอยางนี้วา สัญญาน้ีมิใชของเรา สัญญาน้ีมิใชเรา สัญญาน้ีมิใชอัตตาของเรา” เย เกจิ สงฺขารา อตีตานาคตปจฺจุปนฺนา, อชฺฌตฺตํ วา พหิทธา วา, โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หีนา วา ปณีตา วา, เย ทูเร สนฺติเก วา, สพฺเพ สงฺขารา “เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา”ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปฺ าย ทฏพฺพํ. “สังขารอยางใดอยางหนึ่ง ทั้งท่ีเปนอดีต อนาคต หรือ ปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือดี ไกลหรือ ใกล เธอทั้งหลายพึงเห็นสังขารท้ังหมดน้ันดวยปญญาอันชอบตาม ความเปนจริงอยางน้ีวา สังขารน้ีมิใชของเรา สังขารน้ีมิใชเรา สังขาร นี้มิใชอัตตาของเรา”

๓๐๖ อนัตตลักขณสตู ร ยํ กิฺ จิ วิฺ าณํ อตีตานาคตปจฺจุปนฺนํ, อชฺฌตฺตํ วา พหิทธา วา, โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา, หีนํ วา ปณีตํ วา, เย ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ วิฺ าณํ “เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา”ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปฺ าย ทฏพฺพํ. “วิญญาณอยางใดอยางหน่ึง ทั้งท่ีเปนอดีต อนาคต หรือ ปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือดี ไกล หรือใกล เธอท้ังหลายพึงเห็นวิญญาณทั้งหมดน้ันดวยปญญาอันชอบ ตามความเปนจริงอยางนี้วา วิญญาณน้ีมิใชของเรา วิญญาณน้ีมิใชเรา วิญญาณนี้มิใชอัตตาของเรา”

อนตั ตลกั ขณสูตร ๓๐๗ วิปสสนาญาณพัฒนาข้ึนไดอยางไร เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตฺวา อริยสาวโก รูปสฺมิมฺป นิพฺพินทติ, เวทนายป นิพฺพินฺทติ, สฺ ายป นิพฺพินฺทติ, สงฺขาเรสุป นิพฺพินฺทติ, วิฺ าณสฺมิมฺป นิพฺพินฺทติ. นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ. วิราคา วิมุจฺจติ. วิมุตฺตสฺมึ “วิมุตฺตมิ”ติ าณํ โหติ. “ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา”ติ ปชานาติ. “ภิกษุท้ังหลาย อริยสาวกผูไดสดับแลว เห็นอยูอยางนี้ ยอม เบื่อหนายในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เม่ือเบ่ือหนาย จึงคลายกําหนัด (เปนอิสระหลุดพนจากตัณหา) ยอมหลุดพน[จาก กิเลส] เพราะคลายกําหนัด”

๓๐๘ อนัตตลักขณสตู ร บทสรุป อิทมโวจ ภควา. อตฺตมนา ปฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทํุ. อิมสฺมิฺจ ปน เวยฺยากรณสฺมึ ภฺมาเน ปฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ. “พระผูมีพระภาคไดตรัสพระดํารัสนี้ พระปญจวัคคียมีใจ ยินดี เพลิดเพลินภาษิตของพระผูมีพระภาค และเมื่อพระผูมีพระภาค ตรัสพระสูตรน้ีอยู จิตของพระปญจวัคคียหมดความถือม่ัน หลุดพน แลวจากกิเลสอาสวะท้ังหลาย” ดังน้ีแล





เชงิ อรรถ ๑ ฉสุ โลโก สมุปฺปนฺโน ฉสุ กุพฺพติ สนฺถวํ ฉนฺนเมว อุปาทาย ฉสุ โลโก วิหฺติ. (ขุ.สุ. ๒๕/๑๗๑/๓๖๗) “เม่ืออายตนะ ๖ เกิด สัตวโลกจึงเกิด สัตวโลกยอมยินดี ในอายตนะ ๖ สัตวโลกยึดถืออายตนะ ๖ นั่นแล เพราะอายตนะ ๖ สัตวโลกจึงเดือดรอน” ๒ อถ โข อายสฺมโต จ วปฺปสฺสาติ อาทิมฺหิ วปฺปตฺเถรสฺส ปาฏิปททิวเส ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ, ภทฺทิยตฺเถรสฺส ทุติยทิวเส, มหานามตฺเถรสฺส ตติยทิวเส, อสฺสชิตฺเถรสฺส จตุตฺถิยนฺติ. (วิ.ม.อ. ๓/๑๙/๑๘) “คําเปนตนวา อถ โข อายสฺมโต จ วปฺปสฺส (ลําดับนั้น ดวงตาเห็นธรรมไดเกิดขึ้นแกพระวัปปเถระ) หมายความวา ดวงตา

๓๑๒ อนตั ตลกั ขณสตู ร เห็นธรรมไดเกิดขึ้นแกพระวัปปเถระในวันแรม ๑ คํ่า ไดเกิดข้ึน แกพระภัททิยเถระในวันแรม ๒ ค่ํา ไดเกิดแกพระมหานามเถระใน วันแรม ๓ คํ่า ไดเกิดขึ้นแกพระอัสสชิเถระในวันแรม ๔ คํ่า” ปกฺขสฺส ปน ปฺ จมิยํ สพฺเพว เต เอกโต สนฺนิปาเตตฺวา อนตฺตลกฺขณสุตฺตํ กเถสิ. สุตฺตปริโยสาเน สพฺเพป อรหตฺตผเล ปติฏหึสุ. เตนาห “อถ โข ภิกฺขเว ปฺ จวคฺคิยา ภิกฺขู มยา เอวํ โอวทิยมานา ฯเปฯ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํสุ ฯเปฯ นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว”ติ. (ม.มู.อ. ๒/๒๘๖/๑๐๐) “สวนในวันแรม ๕ ค่ําแหงปกษ พระองคทรงใหภิกษุ ท้ังหมดนั้นประชุมรวมกันแลวตรัสอนัตตลักขณสูตร ในเวลาจบ พระสูตร แมภิกษุทั้งหมดก็ดํารงอยูในอรหัตตผล ฉะนั้นจึงตรัสวา อถ โข ภิกฺขเว ปฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มยา เอวํ โอวทิยมานา ฯเปฯ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํสุ ฯเปฯ นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว (ตอมา ภิกษุปญจวัคคียท่ีเราส่ังสอนและพรํ่าสอนอยางนี้ ฯลฯ ได บรรลุนิพพานอันเปนแดนเกษมจากโยคะอันยอดเย่ียม ฯลฯ บัดน้ี ภพใหมยอมไมมีอีก)” ปฺ จมทิวเส อนตฺตลกฺขณสุตฺตนฺตปริโยสาเน ปฺ จวคฺคิยา เถรา อรหตฺเต ปติฏหึสุ. (องฺ.เอกก. ๑/๑๗๐/๙๑) “พระปญจวัคคียเถระดํารงอยูในอรหัตตผลในที่สุดของ อนัตตลักขณสูตรในวันที่ ๕”

อนัตตลักขณสตู ร ๓๑๓ ปฺจมิยา ปน ปกฺขสฺส อนตฺตลกฺขณสุตฺตนฺตเทสนาปริ- โยสาเน สพฺเพป อรหตฺเต ปติฏติ า. (องฺ.เอกก. ๑/๑๘๘/๑๓๓) “พระปญจวัคคียท้ังหมดดํารงอยูในอรหัตตผลในท่ีสุด ของการแสดงอนัตตลักขณสูตรในวันที่ ๕ ของปกษ” ๓ ปกฺขสฺส ปน ปฺจมิยํ สพฺเพ เต เอกโต สนฺนิปาเตตฺวา อนตฺตสุตฺเตน โอวทิ. เตน วุตฺตํ “อถ โข ภควา ปฺจวคฺคิเย”ติอาทิ. (วิ.ม.อ. ๓/๑๙/๑๘) อนึ่ง ในวันแรม ๕ ค่ําแหงปกษ พระองคใหเธอทั้งหมด ประชุมพรอมกันแลว ตรัสสอนดวยพระสูตรท่ีกลาวถึงอนัตตา ฉะนั้น จึงกลาววา อถ โข ภควา ปฺจวคฺคิเย เปนตน ๔ ม.มู. ๑/๕๐๑/๔๔๖ ๕ ม.มู. ๑/๕๐๑/๔๔๖ ๖ ในพระบาลีมีขอความวา มาโร ปาปมา อฺตรํ พฺรหฺม- ปาริสชฺชํ (มารใจบาปเขาสิงพรหมบริวารผูหนึ่ง) หมายความวา กิเลสมารคืออวิชชาและมิจฉาทิฏฐิไดครอบงําจิตของพรหมบริวาร ผูหนึ่ง ดังนั้น พรหมตนนั้นจึงกลาวตามอํานาจของกิเลสมาร และ ถือวาถูกมารเขาสิง ไมใชหมายถึง มาร คือ เทวดาในสวรรคช้ัน

๓๑๔ อนตั ตลักขณสตู ร ปรนิมมิตวสวดีเขาสิงพรหมจริงๆ เพราะโดยทั่วๆ ไปเทวดาไมอาจ มองเห็นพรหมได ดังขอความวา ยทา ภนฺเต พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร เทวานํ ตาวตึสานํ ปาตุภวติ, โอฬาริกํ อตฺตภาวํ อภินิมฺมินิตฺวา ปาตุภวติ. โย โข ปน ภนฺเต พฺรหฺมุโน ปกติวณฺโณ, อนภิสมฺภวนีโย โส เทวานํ ตาวตึสานํ จกฺขุปถสฺมึ. (ที.ม. ๑๐/๒๘๔/๑๘๑) “ขาแตพระองคผูเจริญ เม่ือสนังกุมารพรหมปรากฏแก พวกเทพช้ันดาวดึงส พระองคทรงเนรมิตอัตภาพใหหยาบปรากฏข้ึน เพราะรูปรางปกติของพรหมไมอาจปรากฏในคลองจักษุของพวกเทพ ช้ันดาวดึงสได” เหฏา เหฏา หิ เทวตา อุปรูปริ เทวานํ โอฬาริกํ กตฺวา มาปตเมว อตฺตภาวํ ปสฺสิตุํ สกฺโกนฺติ. (ที.ม.อ. ๒/๒๘๔/๒๕๑) “โดยแทจริงแลว เทพในสวรรคช้ันต่ํายอมสามารถเห็น อัตภาพท่ีเนรมิตใหหยาบของเทพช้ันสูงได” ๗ ที.สี. ๙/๔๒/๑๘ ๘ กรรม คือ การกระทําท่ีเคยทํามาแลวในอดีต ท้ังเปนกรรม ดีหรือกรรมชั่ว ปรากฏใหเห็นทางใจเหมือนกําลังทําอยูในขณะน้ัน เชน รูสึกวาตนกําลังใสบาตรอยู หรือกําลังฆาสัตวอยู

อนัตตลักขณสตู ร ๓๑๕ กรรมนิมิต คือ เครื่องหมายของกรรมท่ีไดเคยทําไวในอดีต เชน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือความคิดอยางใดอยางหนึ่ง ที่ เก่ียวเนื่องกับกรรมในอดีต เชน บาตรพระ ของใสบาตร พระภิกษุ ผูรับบาตร หรือสัตวท่ีถูกฆา คตินิมิต คือ เคร่ืองหมายของภพใหมที่ผลของกรรมจะ นําไปเกิด กรรม กรรมนิมิต หรือคตินิมิต ซ่ึงปรากฏแกบุคคลในขณะ ใกลจะเสียชีวิตน้ัน จะถูกตัณหายึดไวม่ันจนไมสามารถจะสลัดออก จากใจได เหมือนเงาภูเขาท่ีทอดไปปกคลุมแผนดิน กรรม กรรมนิมิต และคตินิมิต ก็ครอบคลุมจิตในขณะใกลจะส้ินชีวิต ๙ ลักษณะ คือ ลักษณะเฉพาะตัวของแตละรูปนามที่รูปนาม อ่ืนไมมี ลักษณะพิเศษของรูปนามเหลาน้ัน เหมือนรูปรางหนาตา ทางกายภาพของสัตวแตละพันธุ เชน ลิง มีหัวมีตัวอยางลิง เสือมีหัว มีตัวมีหางมีลายอยางเสือ ชางก็มีหัวมีตัวมีงวงมีงาอยางชาง ฯลฯ สัตวแตละตัวมีลักษณะเฉพาะทางพันธุกรรมของตนเปนเอกลักษณ ที่บงบอกวาตางจากสัตวประเภทอ่ืนๆ หนาที่ คือ สิ่งที่รูปนามนั้นๆ ทําตามธรรมชาติ ปจจุปฏฐาน คือ อาการปรากฏ หรือผล ปทัฏฐาน คือ เหตุใกล เปนเหตุหลักที่ทําใหเกิดผล