พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) รจนา สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักด์ิ อุปสโม ป.ธ.๙, M.A., Ph.D.) ตรวจช�ำระ พระคันธสาราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง
อนัตตลักขณสูตร พระคันธสำรำภิวงศ : แปลและเรียบเรียง ๓๗ วัดทำมะโอ ต�ำบลเวียงเหนือ อ�ำเภอเมือง จังหวัดล�ำปำง ๕๒๐๐๐ ISBN : 978-616-348-589-2 พิมพครั้งท่ี ๑ : ธันวำคม ๒๕๕๖ จ�ำนวน : ๑๐,๐๐๐ เลม พิมพท่ี : หจก. ประยูรสำสนไทย กำรพิมพ ๔๔/๑๓๒ ซอยก�ำนันแมน ๓๖ ถนนก�ำนันแมน แขวงบำงขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหำนคร ๑๐๑๕๐ โทรศัพท ๐๒-๘๐๒-๐๓๗๗, ๐๒-๘๐๒-๐๓๗๙ มือถือ ๐๘๑-๕๖๖-๒๕๔๐
คําอนุโมทนา พระธรรมค�ำสอนขององคสมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจำ บรมครูของเทวดำและมนุษยทั้งหลำยที่ประทำนแกชำวโลกน้ัน ใน ทำงพระพุทธศำสนำเรียกวำ สัตถุศำสน จ�ำแนกโดยลักษณะแลวมี ๙ อยำงท่ีเรียกวำ นวังคสัตถุศำสน มีควำมละเอียดลึกซ้ึงและวิจิตร พิสดำรดวยนัยหลำกหลำย ตรัสไวเพื่อสองน�ำทำงแกมวลชนผูมุงหวัง ประโยชนสุขทั้งในชำตินี้และชำติตอไป ตลอดจนอ�ำนวยประโยชน สูงสุดแกผูแสวงหำควำมหลุดพนจำกวัฏสงสำร ทำนผูประพันธหนังสือ อนัตตลักขณสูตร ท่ีออกสูสำยตำ ของทำนผูอำนน้ี คือ ทำนอำจำรยมหำสีสยำดอ (พระโสภณมหำเถระ) อัครมหำบัณฑิต อดีตเจำส�ำนักมหำสียิตตำ จังหวัดยำงกุง ประเทศ เมียนมำร ทำนมีเกียรติคุณเล่ืองลือวำเปนผูเช่ียวชำญพระไตรปฎก และแตกฉำนภำษำบำลีสันสกฤต เปนกรรมกำรช�ำระพระไตรปฎก ในสมัยสังคำยนำครั้ง ๖ (ฉัฏฐสังคีติ) และยังด�ำรงต�ำแหนงผูถำม พระไตรปฎก (สังคีติปุจฉกะ) อีกดวย
[๒] นอกจำกน้ัน ทำนยังเปนวิปสสนำจำรยที่ผำนกำรปฏิบัติ ธรรมอยำงจริงจังเปนเวลำนำน และมีประสบกำรณในกำรสอน กรรมฐำน หนังสือธรรมบรรยำยเก่ียวกับกำรปฏิบัติวิปสสนำภำวนำ ซ่ึงไดรับกำรถอดเทปและจัดพิมพเปนหนังสืออีกรำว ๗๐ เลม โดย สวนใหญไดรับกำรแปลเปนภำษำอังกฤษไวแลว ทำนไดรับกำร ยกยองวำเปนหนึ่งในบุคคลส�ำคัญระดับโลก ชีวประวัติโดยยอของ ทำนไดรับกำรบันทึกไวในหนังสือ Who’s Who in the World ซึ่ง บันทึกชีวประวัติของบุคคลส�ำคัญระดับโลกไว โดยเหตุที่ทำนผูประพันธมีควำมแตกฉำนเช่ียวชำญใน ปริยัติและปฏิบัติทั้งจำกต�ำรำและประสบกำรณตรง ดังน้ัน ขอเขียน ของทำนจึงเจำะลึกถึงแกนแทของเน้ือหำท่ีไดน�ำมำอธิบำยอยำง แจมแจงชัดเจน ท่ีจริงแลวแมหนังสืออธิบำยเรื่องอนัตตำจะมีมำก หลำยฉบับที่เขียนโดยทำนผูรู แตหนังสือเหลำน้ันมิไดเทียบเคียงหลัก ปริยัติและปฏิบัติอยำงสมบูรณพรอม ดังน้ัน ผูประพันธจึงน�ำเสนอ ผลงำนที่เทียบเคียงปริยัติเขำกับปฏิบัติ เพื่อใหผูอำนเขำใจหลักกำร ปฏิบัติอยำงถูกตอง อันจะน�ำไปสูควำมกำวหนำในกำรปฏิบัติธรรม ตำมล�ำดับ
[๓] ขำพเจำมีควำมปรำรถนำอยูเสมอวำ เมื่อไรหนอจึงจะมี หนังสือท่ีเปนสื่อกำรศึกษำวิเครำะหพระพุทธพจนในรูปของภำษำ ไทยอยำงกระจำงแจงท้ังในเชิงปริยัติและปฏิบัติ เพื่อใหสมกับ ค�ำสวดสรรเสริญกันอยูทุกเม่ือเชื่อวันวำ สำตฺถ� สพฺยฺชน� เกวล- ปริปุณฺณ� ปริสุทฺธ� พฺรหฺมจริย� ปกำเสสิ (พระพุทธองคทรงประกำศ พรหมจรรยอันบริสุทธิบริบูรณส้ินเชิงพรอมท้ังอรรถและพยัญชนะ) ซึ่งจะกอใหเกิดศรัทธำและควำมเคำรพเทิดทูนบูชำวำ พระด�ำรัสที่ ตรัสไวน้ันชำงบริสุทธิ์บริบูรณทั้งอรรถและพยัญชนะ ตอเมื่อขำพเจำ ไดพบหนังสืออนัตตลักขณสูตรของทำนอำจำรยมหำสีสยำดอ เปน หนังสือที่มีควำมสมบูรณท้ังในแงมุมวิชำกำรและแนวทำงปฏิบัติ มี ค�ำอธิบำยกระจำงชัดเจนท้ังในดำนภำษำ สภำวธรรม และขั้นตอน กำรปฏิบัติ เปนหนังสือท่ีเหมำะส�ำหรับพุทธศำสนิกชนชำวไทยควร มีไวเปนแนวทำงในกำรศึกษำแนวทำงในกำรปฏิบัติ ดวยเหตุดังกลำวนี้ ขำพเจำจึงเชิญชวนแกมขอรองให พระคันธสำรำภิวงศ แหงวัดทำมะโอ จังหวัดล�ำปำง ด�ำเนินกำรแปล
[๔] หนังสือ “อนัตตลักขณสูตร” ที่แปลและอธิบำยโดยพระโสภณ มหำเถระ (มหำสีสยำดอ) ทั้งน้ีเพื่อใหศำสนิกชนชำวไทยไดเขำใจ หลักกำรปฏิบัติอยำงถองแทตรงตำมพุทธำธิบำย และเปนหลักสูตร เรียนของนิสิตปริญญำโท หลักสูตรพุทธศำสตรมหำบัณฑิต สำขำ วิชำวิปสสนำภำวนำ ณ มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย วิทยำเขตบำฬศึกษำพุทธโฆส นครปฐม ทำนผูแปลน้ีไดศึกษำบำลีใหญท่ีวัดทำมะโอตั้งแตเปน สำมเณรอำยุ ๑๕ ป และไดไปศึกษำตอที่ประเทศเมียนมำรเปน เวลำ ๑๐ ป จนจบกำรศึกษำระดับธรรมำจริยะจำก ๒ สถำบัน คือ สถำบันรัฐบำลและสถำบันเอกชนเจติยังคณะ จังหวัดยำงกุง ไดรับ เกียรติบัตรเปน พระคันธสำรำภิวงศ สำสนธชธรรมำจริยะ และ เจติยังคณะ คณวำจกธรรมำจริยะ โดยสอบชั้นธรรมำจริยะของ สถำบันเอกชนไดเปนอันดับสองของประเทศเมียนมำร อีกทั้งสอบ ไดเปรียญธรรม ๙ ประโยค และปริญญำพุทธศำสตรดุษฎีบัณฑิต สำขำวิชำพระพทุ ธศำสนำ มหำวทิ ยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลยั นอกจำกน้ัน ทำนยังมีผลงำนเขียนและแปลคัมภีรภำษำบำลีและ พมำกวำ ๕๐ เลม ดังน้ัน ขำพเจำจึงเห็นวำทำนเปนผูเหมำะสมท่ี จะด�ำเนินกำรแปลหนังสือเลมน้ี เพ่ือใหเปนมรดกธรรมฝำกไว ในพระพุทธศำสนำ
[๕] ขำพเจำไดอำนตรวจทำนแกไขส�ำนวนแปลเปนตอนๆ ไป ต้ังแตตนจนจบ เห็นวำทำนผูแปลไดด�ำเนินกำรแปลและเรียบเรียงไว โดยละเอียด มีหลักฐำนอำงอิงจำกพระไตรปฎก อรรถกถำ และฎีกำ อยำงสมบูรณ จึงขออนุโมทนำกุศลจิตของพระคันธสำรำภิวงศผูแปล หนังสือเลมน้ี และหวังวำทำนผูอำนจะไดรับประโยชนตำมสมควร (สมเด็จพระพุทธชินวงศ)
คาํ นยิ ม อำจำรยอักษรำ ศิลปสุข ไดสงหนังสืออนัตตลักขณสูตรของ ทำนพระอำจำรยคันธสำรำภิวงศ แหงวัดทำมะโอ จังหวัดล�ำปำงไป ใหผมอำนและแจงวำ ทำนผูนิพนธไดข อใหผ มเขยี นคำ� นยิ มใหดว ย ผมยนิ ดนี อ มรบั เกยี รตนิ ี้ ทงั้ ๆ ทร่ี วู ำ ตนไมม คี วำมรคู วำมเขำ ใจ เร่ืองนี้ดีพอ ผมเห็นวำ เร่ืองอนัตตำ เรื่องจิตมโนวิญญำณ เร่ือง ปฏิจจสมุปบำท เร่ืองนิพพำน เปนเร่ืองลึกซ้ึง เขำใจยำกที่สุดส�ำหรับ นักศึกษำพุทธศำสนำ แตเมื่อไดอำนหนังสือเลมน้ีแลวท�ำใหเขำใจ หลักอนัตตำไดแจมแจงขึ้น ทำนผูประพันธซึ่งเปนนักปรำชญทำง พระพุทธศำสนำ และภำษำบำลีช้ันยอดทำนหน่ึงที่ผมยกยองเทิดทูน อยำงสูง ไดอธิบำยหลักอนัตตำ ตำมแนวอนัตตลักขณสูตรอยำง ละเอยี ดพสิ ดำร พรอ มดว ยหลกั ฐำน และตวั อยำ งบคุ คลทนี่ ำ� มำอำ งองิ จำกพระไตรปฎก อรรถกถำ ฎีกำ และปกรณพิเศษคือวิสุทธิมรรค เปน ตนอยำ งครบถว น
[๘] นอกจำกนี้ ผมยังไดควำมรูใหมอีกหลำยอยำง เชน เรื่อง พระพุทธองคทรงแสดงเหมวตสูตรอีกสูตรหน่ึงหลังจำกที่ทรงธัมม- จักกัปปวัตนสูตร กอนแสดงอนัตตลักขณสูตรเปนตน ซ่ึงไมเคยพบ จำกทไ่ี หนมำกอน ทำ� ใหอ ยำกศึกษำคน ควำ สูตรนีต้ อไป เช่ือวำ หนังสือเลมนี้จะเปนคูมือกำรศึกษำหลักธรรมที่ลึกซึ้ง ในพระพทุ ธศำสนำทสี่ ำ� คญั เลมหนงึ่ ตอไป ขออนุโมทนำในกุศลจิต และควำมอุตสำหะวิริยะของทำน อำจำรยคันธสำรำภวิ งศอ ยำ งสงู มำ ณ ทน่ี ดี้ ว ย ดวยควำมเคำรพ ศำสตรำจำรยเกยี รตคิ ุณ แสง จันทรง ำม
คํานํา ชำวโลกท่ัวไปท่ีตองประกอบอำชีพกำรงำน อยูกับครอบครัว และสังคม เปนผูมีกิเลสหนำแนนดวยควำมโลภ โกรธ หลง จึงได ชื่อวำ ปุถุชน คือ ผูมีกิเลสหนำ โดยเฉพำะอยำงยิ่งควำมโลภหรือ ตัณหำเปนสมุทยสัจท่ีเหมือนรำกเหงำของภพ ตัณหำนั้นท�ำใหยึดติด ผูกพันในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมำรมณ (มโนสัมผัส) อีกทั้งทุกคนก็ยึดม่ันในตัวตนอยูตลอดเวลำวำมีตัวเรำ ของเรำ เรำ เปนบุรุษหรือสตรี ในขณะเดียวกันก็มีมำนะที่ถือตัววำเรำดีกวำผูอ่ืน ดังนั้น ชำวโลกจึงตองเวียนตำยเวียนเกิดในวัฏสงสำรเร่ือยไปดวย ตัณหำ มำนะ และทิฏฐิ ซ่ึงเรียกวำ ปปญจธรรม คือ ธรรมท�ำใหเน่ินชำ พระปจเจกพุทธเจำผูตรัสรูอริยสัจ ๔ ดวยพระองคเอง สำมำรถขจัดธรรมเหลำน้ันได แตไมอำจสั่งสอนผูอื่นใหรูตำมน้ัน พระองคจึงปรินิพพำนไปแตเพียงพระองคเดียว ไมอำจแนะน�ำผูอ่ืน ใหบรรลุธรรมแลวปรินิพพำนเหมือนพระองค ซ่ึงตำงจำกพระสัมมำ- พุทธเจำผูตรัสรูอริยสัจ ๔ ดวยพระองคเอง ทรงมีพระญำณยิ่งใหญ ไรขอบเขต สำมำรถสั่งสอนผูอื่นใหรูตำม
[ ๑๐ ] ดังน้ัน พระพุทธเจำโคตมะจึงทรงแสดงธรรมโปรดปญจวคั คีย ดวยพระสูตรแรกช่ือ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร อันประกำศอริยสัจ ๔ อยำงบริบูรณในยำมดวงอำทิตยเริ่มอัสดงจนถึงสิ้นสุดปฐมยำม ใน วันเพ็ญเดือน ๘ ตรงกับวันเสำร มหำศักรำช ๑๐๓ ทำนโกณฑัญญะ สดับพระสูตรนี้แลว ไดบรรลุธรรมเปนพระโสดำบัน มีศรัทธำใน พระรัตนตรัยอยำงม่ันคงวำ “พระพุทธเจำเปนผูตรัสรูชอบดวยพระ- องคเอง พระธรรมเปนค�ำสอนอันถูกตอง พระสงฆเปนกลุมบุคคล เชนกับเรำผูหยั่งเห็นอริยสัจ ๔ และไตรสิกขำคือศีล สมำธิ ปญญำเปน ปฏิปทำเพื่อควำมหลุดพนอยำงแทจริง”ตอจำกนั้นทำนโกณฑัญญะ ไดทูลขออุปสมบท พระพุทธองคจึงประทำนอุปสมบทแกทำน สวนปญจวัคคีย ๔ รูปท่ีเหลือ คือ วัปปะ ภัททิยะ มหำนำมะ และอัสสชิ ยังไมอำจหยั่งเห็นอริยสัจได ทำนเหลำน้ันเพียงเกิดศรัทธำ ดวยกำรสดับพระสูตร จึงยังไมไดรับกำรอุปสมบททันที แตไดปฏิบัติ กรรมฐำนในเพศนักบวช ในเวลำตอมำทำนวัปปะบรรลุธรรมเปน พระโสดำบันในวันแรม ๑ ค�่ำ ทำนภัททิยะบรรลุในวันแรม ๒ ค�่ำ ทำนมหำนำมะบรรลุในวันแรม ๓ ค�่ำ ทำนอัสสชิบรรลุในวันแรม ๔ ค�่ำ หลังจำกที่ไดบรรลุธรรมแลวทำนเหลำน้ันจึงทูลขออุปสมบท พระพุทธองคไดประทำนอุปสมบทแกทำนเหลำนั้นเชนกัน
[ ๑๑ ] ในบุคคล ๔ จ�ำพวก คือ อุคฆิตัญู (ผูบรรลุธรรมเร็วดวยกำร ฟงอุเทศคือหัวขอ), วิปญจิตัญู (ผูบรรลุธรรมชำดวยกำรฟงนิเทศ คือค�ำอธิบำยโดยสังเขป), เนยยะ (ผูอำจบรรลุธรรมไดดวยกำรฟง ปฏินิเทศคือค�ำอธิบำยโดยพิสดำร) และปทปรมะ (ผูไมอำจบรรลุ ธรรมได) ทำนโกณฑัญญะจัดเปนจ�ำบุคคลพวกวิปญจิตัญู เพรำะได สดับธัมมจักกัปปวัตนสูตรที่พระพุทธองคทรงแสดงรำว ๔ ชั่วโมง ตลอดปฐมยำมจึงบรรลุธรรมได (แตฉบับพระสูตรที่พบในปจจุบัน เปนฉบับยอ เพรำะมีเน้ือหำครบถวนในพระสูตรอ่ืนแลว จึงไมยก ข้ึนสังคำยนำโดยพิสดำร) สวนทำนวัปปะเปนตนจัดเปนเนยยบุคคล เพรำะตองอำศัยควำมเพียรปฏิบัติธรรม ๑ วันเปนตนไป จึงบรรลุ ธรรม บำงคนกลำววำ กำรฟงและพิจำรณำธรรมก็ท�ำใหบรรลุธรรม ได โดยไมจ�ำเปนตองลงมือปฏิบัติ ถำเทียบกำรปฏิบัติธรรมของทำน วัปปะเปนตนก็ท�ำใหทรำบวำค�ำนั้นไมถูกตอง ลองพิจำรณำดูวำใคร จะมีปญญำเทียบเทำทำนวัปปะเปนตน และใครจะแสดงธรรมไดดี ไปกวำพระพุทธเจำ ถำบุคคลบรรลุธรรมไดดวยกำรฟงและพิจำรณำ ธรรมดังกลำว ทำนวัปปะเปนตนก็คงจะไดบรรลุธรรมโดยไมตอง ลงมือปฏิบัติใหล�ำบำก แตท่ีจริงมิไดเปนเชนนั้น
[ ๑๒ ] นอกจำกนนั้ วธิ ปี ฏบิ ตั ขิ องทำ นวปั ปะเปน ตน กลำ วไวใ นคมั ภรี อรรถกถำ (วิ.ม.อ. ๓/๑๙/๑๘) วำในปญจวัคคียท่ียังไมไดบรรลุธรรม ๔ รูป ปญจวัคคีย ๒ หรือ ๓ รูปปฏิบัติธรรมไมไดออกบิณฑบำต สวน ปญจวัคคียที่เหลือ ๑ หรือ ๒ รูปพรอมกับพระโกณฑัญญะออก บิณฑบำต ปญจวัคคียและพระพุทธเจำรวม ๖ รูปฉันบิณฑบำตนั้น แมในคัมภีรอรรถกถำจะไมไดระบุวำ รูปใดปฏิบัติธรรม รูปใดออก บิณฑบำต แตผูที่บรรลุธรรมภำยหลังนำจะเปนผูออกบิณฑบำต เพรำะมีปลิโพธคือควำมกังวลในกำรบิณฑบำตจึงท�ำใหบรรลุธรรมชำ ในขณะน้ันพระพุทธองคไดประทับอยูในปำอิสิปตนะน้ัน เสมอเพ่ือขจัดอุปสรรคที่เกี่ยวกับกำรปฏิบัติ โดยมิไดเสด็จออก บิณฑบำต บำงขณะปญจวัคคียมำเขำเฝำทูลถำมปญหำบำง บำง ขณะพระพุทธองคก็เสด็จไปหำเพื่อตอบปญหำบำง ขอน้ีแสดงวำ พระพุทธองคทรงเอำใจใสปญจวัคคียเปนอยำงดีในยุคเริ่มกอตั้ง ศำสนำ สงผลใหทำนเหลำนั้นประสบควำมกำวหนำในกำรปฏิบัติ โดยเร็ว แมปญจวัคคียทั้งหมดจะไดบรรลุธรรมเปนพระโสดำบัน สำมำรถก�ำจัดสักกำยทิฏฐิ คือ ควำมเห็นผิดวำเปนตัวตน เห็น ประจักษควำมเปนอนัตตำแลว ทำนเหลำน้ันก็ยังมีอัสมิมำนะ คือ ควำมถือตัววำเรำดีกวำผูอ่ืน ซึ่งตองก�ำจัดดวยอรหัตตมรรคเทำน้ัน
[ ๑๓ ] ดังนั้น ในวันแรม ๕ ค�่ำ เดือน ๘ พระผูมีพระภำคจึงรับสั่งเรียก พระปญจวัคคียมำชุมนุมกันแลวแสดงอนัตตลักขณสูตร ทุกรูปไดฟง พระสูตรน้ี ไดบรรลุธรรมเปนพระอรหันต อนัตตลักขณสูตรน้ีปรำกฏในสุตตันตปฎก สังยุตตนิกำย ขันธวรรค (ส�.ข. ๑๗/๕๙/๕๕) และในวินัยปฎก มหำวรรค (วิ.ม. ๔/๒๐/๑๗) แมเนื้อหำในพระสูตรนี้จะสั้นมำก ท้ังยังไมไดแนะน�ำแนวทำงในกำร ปฏิบัติไว แตพระปญจวัคคียก็สำมำรถบรรลุธรรมเปนพระอรหันต ไดดวยกำรเจริญวิปสสนำตำมที่พระพุทธองคทรงแสดงไวในธัมม- จักกัปปวัตนสูตร แมในหนังสือเลมน้ีก็กลำวถึงวิธีปฏิบัติวิปสสนำของ ทำนเหลำนั้นในขณะฟงพระสูตรน้ีอีกดวย พระสูตรนี้อธิบำยอนัตตลักษณะโดยละเอียดเพื่อแสดงวำ ไมมีอำตมันหรือวิญญำณแตอยำงใด มีเพียงขันธ ๕ ที่ไมอยูในบังคับ บัญชำใหเที่ยงและเปนสุขที่ถำวร อนัตตลักษณะจัดเปนหลักธรรมท่ี ละเอียดเขำใจยำก ผูที่ยังไมเขำใจอนัตตลักษณะไมอำจบรรลุมรรคผล ได และพบในศำสนำพุทธเทำน้ัน ไมปรำกฏในศำสนำอ่ืน ท่ีจริงแลวชำวโลกอำจเขำใจอนิจจลักษณะและทุกขลักษณะ อยำงผิวเผิน เชน เมื่อแกวน�้ำแตกก็พูดวำไมเที่ยง ถำถูกหนำมต�ำก็ พูดวำเปนทุกข ควำมเขำใจเชนน้ีไมใชกำรหย่ังเห็นลักษณะดังกลำว
[ ๑๔ ] อยำงแทจริง เพรำะวำแกวน�้ำเปนบัญญัติที่ไมมีจริง และทุกขที่เกิด จำกหนำมต�ำก็เปนควำมรูสึกท่ีทนไดยำกซ่ึงเรียกวำ ทุกขเวทนำ ไมใช ทุกขในไตรลักษณ สวนอนัตตลักษณะเปนส่ิงที่ไมประจักษแกชำวโลก ทั่วไป เพรำะคนท่ัวไปมักเขำใจวำมีวิญญำณแฝงอยูในรำงกำยหรือแม จะเขำใจวำ ไมม ีวิญญำณดงั กลำว กย็ งั รูสกึ วำ มีรำ งกำยหรอื อวัยวะทำง รำงกำยท่ีเคล่ือนไหวท�ำสิ่งตำงๆ อยู เปนเรำ ของเรำ บุรุษ หรือสตรี ควำม เขำใจวำเปนตัวตนเชนนี้ตรงกันขำมกับอนัตตลักษณะโดยส้ินเชิง ทำนอำจำรยมหำสีสยำดอ (พระโสภณมหำเถระ) อดีต เจำส�ำนักมหำสียิตตำ จังหวัดยำงกุง ประเทศเมียนมำร ไดเห็น ควำมส�ำคัญของพระสูตรน้ี จึงบรรยำยไวที่ส�ำนักของทำน ๑๕ ครั้ง เร่ิมต้ังแตวันข้ึน ๘ ค�่ำ เดือน ๗ พ.ศ. ๒๕๐๖ จบในวันแรม ๘ ค�่ำ เดือน ๑๐ พ.ศ. ๒๕๐๖ ในขณะนั้นทำงส�ำนักไดอัดเสียงไวแลวน�ำ มำถอดเทป หลังจำกน้ันจึงน�ำไปใหทำนอำจำรยตรวจสอบขัดเกลำ ส�ำนวนเปนครั้งสุดทำย และไดจัดพิมพใน พ.ศ. ๒๕๒๐ ภำยหลังตอ มำ ชำวพมำศิษยของทำน คือ U Ko Lay (Zeya Maung) เปนผูแปล ไดแปลเปนภำษำอังกฤษช่ือ The Anattalakkhana Sutta จัดพิมพ ใน พ.ศ. ๒๕๒๐ ผูแปลไดด�ำเนินกำรแปลต�ำรำเก่ียวกับวิปสสนำของทำน อำจำรยมหำสีสยำดอในปที่ผำนมำปละ ๑ ฉบับ รวมเปน ๗ ฉบับ
[ ๑๕ ] คือวิปสสนำนัย ๑ วิปสสนำนัย ๒ มหำสติปฏฐำนสูตร ธัมมจักกัป- ปวัตนสูตร ปฏิจจสมุปบำท นิพพำนกถำ และพรหมวิหำร ในปนี้ ไดด�ำเนินกำรแปลหนังสือ อนัตตลักขณสูตร ของทำนอำจำรยเปน เลมท่ี ๘ เพ่ือเผยแพรวรรณกรรมท่ีมีคุณคำตอกำรปฏิบัติธรรมใน แผนดินสยำมนี้ เมื่อคร้ังที่ผูแปลเดินทำงไปศึกษำปริยัติธรรม ณ ประเทศ เมียนมำรระหวำง พ.ศ. ๒๕๒๘-๒๕๓๘ ไดพบต�ำรำเลมนี้และอำน ศึกษำดู เห็นวำมีประโยชนมำกตอกำรปฏิบัติธรรม เหมือนแผนท่ี เดินทำงน�ำไปสูจุดหมำยปลำยทำงแหงศำนติสุข จึงคิดวำควรแปล เปนภำษำไทยเพ่ือใหกุลบุตรชำวไทยมีโอกำสเขำใจและปฏิบัติธรรม อยำงถูกตองตำมท่ีกลำวไวในต�ำรำเลมน้ี อีกทั้งพระเดชพระคุณเจำ ประคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ (สมศักด์ิ อุปสโม ป.ธ.๙, Ph.D) ก็ กลำวปรำรภเรื่องท่ีทำนประสงคจะใหเมืองไทยมีต�ำรำทำงศำสนำ ท่ีทรงคุณคำเหมือนต�ำรำที่ชำวพมำแตงไว และแนะน�ำวำควรแปล ต�ำรำพมำของทำนอำจำรยมหำสีสยำดอเปนภำษำไทยเพื่อใหกุลบุตร ชำวไทยมีโอกำสศึกษำคนควำ ทั้งนี้เพ่ือสืบทอดพระพุทธศำสนำ ตอไป ดังนั้น ผูแปลจึงด�ำเนินกำรแปลต�ำรำเลมนี้ใน พ.ศ. ๒๕๕๖ นี้ และจะแปลเรื่องวัมมิกสูตรของทำนอำจำรยมหำสีสยำดอใน พ.ศ. ๒๕๕๗ เปนล�ำดับตอไป
[ ๑๖ ] หนังสือเลมน้ีมีเน้ือหำที่นำสนใจหลำยอยำง อำทิเชน ๑. ใชภำษำเขำใจงำย ๒. น�ำเร่ืองที่พบในพระสูตรและอรรถกถำมำแสดงไวเปน ตัวอยำง ๓. แสดงกำรเปรียบเทียบที่ท�ำใหเขำใจไดชัดเจนยิ่งข้ึน ๔. อธิบำยควำมตำมเน้ือหำในอรรถกถำและฎีกำ ๕. เทียบเคียงกับประสบกำรณในกำรปฏิบัติวิปสสนำอยำง แทจริง ในกำรแปลคร้ังนี้ ผูแปลมอบหมำยใหคุณอุดมพร สิรสุทธิ แปลจำกตนฉบับภำษำอังกฤษช่ือวำ The Anattalakkhana Sutta แลวน�ำมำเทียบกับตนฉบับภำษำพมำ นอกจำกน้ัน เพื่อใหหนังสือ เลมนี้มีเนื้อหำสำระพรอมมูลในเชิงวิชำกำร ผูแปลจึงเพิ่มเชิงอรรถท่ี เก่ียวกับหลักภำษำและเกี่ยวกับหลักธรรม โดยอำงอิงหลักฐำนจำก พระไตรปฎก อรรถกถำ ฎีกำ และไวยำกรณบำลี หวังวำจะเปน ประโยชนแกทำนผูอำนตำมสมควร ขออนุโมทนำขอบคุณผูชวยด�ำเนินกำรแปลในครั้งน้ี คือ คุณอุดมพร สิรสุทธิ ผูแปลจำกฉบับภำษำอังกฤษ และชวยขัดเกลำ ส�ำนวนแปล รวมท้ังตรวจแกค�ำผิดและจัดท�ำดรรชนีตลอดทั้งเลม
[ ๑๗ ] กำรบริจำครวมสรำงหนังสือธรรมะมีอำนิสงสมำก ทั้งนี้ เพรำะหนังสือธรรมะก็คือพระพุทธเจำผูสำมำรถเทศนและส่ังสอน เวไนยชนได จัดวำเปนกำรธ�ำรงรักษำพระศำสนำและจุดประกำย แหงปญญำแกปวงชน เหมือนกำรจุดประทีปในที่มืด และบอกทำง แกคนหลงทำงเพ่ือประโยชนแกมวลชนชั่วกำลนำน หนังสือท่ีทำน ทั้งหลำยจัดพิมพเผยแพรนี้จะน�ำไปมอบใหส�ำนักเรียน หองสมุด และ ประชำชนทั่วไปที่สนใจใฝรูธรรมะ โดยไมมีกำรจ�ำหนำยแตอยำงใด ขออนุโมทนำกุศลจิตของทำนเจำภำพผูบริจำคทรัพยเพื่อ จัดพิมพหนังสือเลมน้ีไวเปนสมบัติในบวรพระพุทธศำสนำ ขอให ทุกทำนท่ีไดบ�ำเพ็ญบุญรวมกันในคร้ังน้ีจงมีควำมสุขสวัสดี เจริญ รุงเรืองในธรรมของพระอริยเจำทั้งปวง และบรรลุศำนติสุขอันเปน จุดมุงหมำยของชำวพุทธโดยพลันเทอญ พระคันธสำรำภิวงศ วัดทำมะโอ จังหวัดล�ำปำง ธันวำคม ๒๕๕๖ www.wattamaoh.org, [email protected]
วจนารมฺโภ สตฺตำ ส�สำรคำมิกำ เทเสสิ’นตฺตลกฺขณ� ๑. อตฺตำติ คำห’มำคมฺม อนตฺตฺ ุ ตสำธก�. ทุกฺขิตำ ตปฺปหำนำย อนตฺตฺ ู ชิโน สำม� สสทฺธมฺมคณุตฺตม� ปติปำโมชฺชเจตสำ. ๒. สกฺกจฺจ� ต� ชิน� นตฺวำ คุโณฆธำรก� โสห� นำนำรฏเสุ วณฺณิตำ กำม� ตทตฺถทีปกำ. ๓. โปรำณเกหิ วิฺ ู หิ เนกำนตฺตกถำ สนฺติ กตำย� สำธุสมฺมตำ กุสเลน สุธีมตำ. ๔. ตถำป มหาสี เถเรน ปริยตฺติปฏิปตฺติ- อนุโลเมน สำ กตำ ปฏิปตฺตินย� สุภ�. ๕. สฏีกำฏกถำปำฬ- อุชุ พฺยตฺตำ อล� ทำตุ� สมเด็จพระพุทธชินวงศ อิติ มม� ต� ปริวตฺติต�ุ. ๖. คุณูปกำรต� ตำย เถโร ทิสฺวำน อชฺเฌสิ สงฺฆสฺส ครุนฺ จ เม ปริวตฺตยำมิ สำธุก�. ๗. เตน พุทฺธสฺส ธมฺมสฺส นโม กตฺวำ สภำสำย คนฺธสำรำภิว�โส
พจนารมภ ๑. เหลำสัตวผูด�ำเนินไปในสังสำรวัฏ อำศัยควำมยึดม่ัน วำเปนอัตตำแลวลวนอยูเปนทุกข พระชินเจำผูหย่ังเห็นควำมเปน อนัตตำดวยพระองคเอง จึงทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรอันใหส�ำเร็จ กำรหยั่งเห็นควำมเปนอนัตตำเพื่อขจัดควำมยึดม่ันวำเปนอัตตำน้ัน ๒. ขำพเจำนั้นขอนมัสกำรพระชินเจำพระองคนั้นผูทรง หมูแหงคุณธรรมโดยเคำรพ พรอมทั้งพระสัทธรรม และหมูสงฆ ผูสูงสุด ดวยจิตอันประกอบดวยปติปรำโมทย ๓. ตำ� รำทก่ี ลำ วถงึ อนตั ตำอนั แสดงควำมหมำยของอนตั ตำ นั้น ผูรูแตกำลกอนในประเทศตำงๆ ไดอธิบำยไว มีอยูหลำยฉบับ ๔. แตหนังสือท่ีกลำวถึงอนัตตำฉบับน้ี อันพระมหำสีเถระ ผูทรงปญญำแตกฉำนในปริยัติและปฏิบัติประพันธไว ไดรับยกยอง วำดีเลิศ ๕. หนังสือเลมนั้นรจนำไวโดยคลอยตำมพระบำลี อรรถ- กถำ และฎีกำ ตรงประเด็น ชัดเจน สำมำรถแสดงวิธีปฏิบัติอัน ดีงำมได
[ ๒๒ ] ๖. พระเถระผูปรำกฏสมณศักด์ิวำ “สมเด็จพระพุทธ- ชินวงศ” ไดเห็นวำหนังสือเรื่องอนัตตำนั้นอ�ำนวยคุณประโยชน จึง มอบหมำยใหขำพเจำแปลหนังสือดังกลำว ๗. ดว ยเหตนุ น้ั ขำ พเจำ ขอนมสั กำรพระพทุ ธเจำ พระธรรม พระสงฆ และครูของตนแลว จักแปลดวยภำษำไทยเปนอยำงดี พระคันธสำรำภิวงศ
สารบัญ หนำ ค�ำอนุโมทนำ ................................................................... [ ๑ ] ค�ำนิยม ............................................................................ [ ๗ ] ค�ำน�ำ ............................................................................... [ ๙ ] วจนำรมฺโภ ...................................................................... [ ๑๙ ] พจนำรมภ ....................................................................... [ ๒๑ ] บทท่ี ๑ บทน�ำ ................................................................................ ๓ วันท่ีทรงแสดงอนัตตลักขณะสูตร........................................ ๔ พระพุทธพจน: เร่ิมตนอนัตตลักขณสูตร.............................. ๖ ควำมเห็นผิดวำรูปเปนอัตตำ............................................... ๗ เหตุท่ีรูปไมใชอัตตำ ............................................................ ๑๐ รูปกอใหเกิดทุกขอยำงไร.................................................... ๑๐ หลักฐำนที่ช้ีชัดวำรูปไมใชอัตตำ.......................................... ๑๓
[ ๒๔ ] หนำ ชีวอัตตะ และปรมอัตตะ ................................................. ๑๔ ค�ำสรรเสริญของพกพรหม ............................................... ๑๕ ก�ำเนิดของควำมเช่ือเก่ียวกับกำรสรำงโลก ....................... ๑๖ อัตตวำทุปำทำน (ควำมยึดม่ันในอัตตำ) ........................... ๑๘ ควำมเขำใจผิดเก่ียวกับอัตตำ ........................................... ๑๙ ถำไมเขำใจอัตตวำทุปำทำน ก็ไมเขำใจอัตตำ.................... ๒๐ อัตตวำทุปำทำน ๔ ประเภท............................................ ๒๒ กำรหย่ังเห็นควำมเปนอัตตำในขณะเจริญวิปสสนำกรรมฐำน..... ๒๕ บทที่ ๒ ๓๑ ๓๔ เวทนำไมใชอัตตำ ............................................................ ๓๖ กำรเทียบเคียงพระอภิธรรมและพระสูตร......................... ๓๘ กำรเขำใจผิดวำเวทนำเปนอัตตำ ...................................... ๓๙ เหตุที่เวทนำไมใชอัตตำ.................................................... ๔๐ หลักฐำนท่ีชี้ชัดวำเวทนำไมใชอัตตำ ................................. ๔๒ เวทนำท�ำใหเกิดทุกขไดอยำงไร........................................ ๔๘ เวทนำไมเปนไปตำมบังคับบัญชำ..................................... กำรแสวงหำธรรมและกำรไดธรรมจักษุของทำนพระสำรีบุตร ..
[ ๒๕ ] หนำ ทีฆนขสูตร ...................................................................... ๕๔ กำรบรรลุนิพพิทำญำณดวยกำรก�ำหนดรูเวทนำ ............... ๖๓ กำรบรรลุมรรคผลดวยนิพพิทำญำณ................................ ๖๔ กำรพูดควำมจริงไมขัดแยงกับใครๆ ................................. ๖๕ ทำนพระสำรีบุตรบรรลุเปนพระอรหันต........................... ๖๖ กำรประชุมสำวกสันนิบำต............................................... ๖๘ บทที่ ๓ ๗๑ ๗๒ สัญญำและสังขำรไมใชอัตตำ ........................................... ๗๓ เหตุที่สัญญำไมใชอัตตำ ................................................... ๗๙ ทรงประกำศวำสัญญำเปนอนัตตำ ................................... ๘๑ สังขำรไมใชอัตตำ ............................................................ ๘๒ ควำมเห็นท่ีขัดแยงกับค�ำสอนของพระพุทธเจำ................. ๘๕ ควำมหมำยของสังขำรในพระสูตรนี้ ................................. ๘๖ เหตุที่สังขำรไมใชอัตตำ.................................................... ๘๗ สังขำรเปนเหตุใหเกิดทุกขไดอยำงไร................................ สังขำรไมเปนไปตำมควำมปรำรถนำของเรำ .....................
[ ๒๖ ] หนำ เร่ืองเปรตท่ีถูกเข็มทิ่มแทง ............................................... ๘๙ กำรเห็นแจงอนัตตำเกิดข้ึนไดอยำงไร............................... ๙๔ บทที่ ๔ ๙๙ ๑๐๐ วิญญำณไมใชอัตตำ ...................................................... ๑๐๑ เหตุที่วิญญำณไมใชตัวตน ............................................. ๑๐๒ ทรงประกำศวำวิญญำณไมใชอัตตำ ตัวตน .................... ๑๐๔ วิญญำณน�ำทุกขมำใหอยำงไร ....................................... ๑๐๖ วิญญำณไมอยูในบังคับบัญชำของเรำ............................ ๑๐๙ ผลที่เกิดจำกเหตุ .......................................................... ๑๑๕ เร่ืองของสำติภิกษุ ........................................................ ๑๓๒ ขอควำมในเผณปณฑูปมสูตร........................................ พระสัทธรรมโดยสังเขป ................................................ บทท่ี ๕ ๑๓๕ ๑๓๖ ไตรลักษณ.................................................................... ๑๓๗ อนัตตลักษณะ.............................................................. อนัตตลักษณะเปนเร่ืองเขำใจยำก .................................
[ ๒๗ ] หนำ กำรอธิบำยอนัตตำดวยอนิจจัง...................................... ๑๓๘ กำรอธิบำยอนัตตำดวยทุกขัง........................................ ๑๔๑ กำรอธิบำยอนัตตำดวยอนิจจังและทุกขัง ...................... ๑๔๑ กำรโตวำทะของสัจจกนิครนถ ...................................... ๑๔๒ อัตตำที่ไมเก่ียวกับขันธ ๕............................................. ๑๕๔ เหตุใดจึงเรียกวำไมเที่ยง............................................... ๑๕๘ อนิจจลักษณะ .............................................................. ๑๖๒ อนิจจำนุปสสนำญำณ .................................................. ๑๖๓ ทุกขสองชนิด ............................................................... ๑๖๓ ทุกขลักษณะ ................................................................ ๑๖๕ ทุกขำนุปสสนำญำณ..................................................... ๑๖๕ ทุกขำนุปสสนำญำณเกิดข้ึนไดอยำงไร........................... ๑๖๕ กำรยึดถือดวยตัณหำวำ “รูปน้ีเปนของเรำ”.................. ๑๖๖ กำรยึดถือดวยมำนะวำ “รูปนี้เปนของเรำ”................... ๑๖๘ กำรยึดถือดวยทิฏฐิวำ “รูปน้ีเปนอัตตำของเรำ”............ ๑๖๙
[ ๒๘ ] หนำ บทที่ ๖ ๑๗๑ ๑๗๙ เวทนำไมเที่ยงเปนตน................................................... ๑๘๐ พึงเห็นเวทนำ ๓ ตำมควำมเปนจริง .............................. ๑๘๒ สัญญำไมเที่ยงเปนตน .................................................. ๑๘๗ สังขำรไมเท่ียงเปนตน................................................... ๑๙๔ วิญญำณไมเท่ียงเปนตน................................................ กำรพิจำรณำรูป ........................................................... บทท่ี ๗ ๒๐๕ ๒๐๙ กำรพิจำรณำขันธ ๕ ดวยนัย ๑๑ อยำง ........................ ๒๑๐ กำรพิจำรณำรูปภำยในและรูปภำยนอก........................ ๒๑๑ กำรพิจำรณำรูปหยำบและรูปละเอียด........................... ๒๑๒ กำรพิจำรณำรูปเลวและรูปดี ........................................ ๒๑๔ กำรพิจำรณำรูปไกลและรูปใกล .................................... กำรพิจำรณำเวทนำ ๑๑ อยำง......................................
[ ๒๙ ] หนำ กำรพิจำรณำสัญญำ ๑๑ อยำง ..................................... ๒๒๓ กำรพิจำรณำสังขำร ๑๑ อยำง...................................... ๒๒๘ กำรพิจำรณำวิญญำณ ๑๑ อยำง .................................. ๒๓๖ จิตในชำติหนึ่งๆ เกิดข้ึนไดอยำงไร ................................ ๒๓๘ กำรรูกฎของปฏิจจสมุปบำทดวยกำรรูกรรมวัฏและวิปำกวัฏ . ๒๔๑ บทที่ ๘ ๒๕๕ ๒๕๖ กำรพัฒนำวิปสสนำญำณ.............................................. ๒๖๔ วิปสสนำญำณพัฒนำขึ้นไดอยำงไร................................ ๒๖๖ นิพพิทำญำณเกิดข้ึนเม่ือเห็นอนิจจลักษณะ................... ๒๖๙ นิพพิทำญำณเกิดข้ึนเมื่อเห็นทุกขลักษณะ..................... ๒๗๒ นิพพิทำญำณเกิดขึ้นเมื่อเห็นอนัตตลักษณะ .................. ๒๗๓ ควำมหมำยของนิพพิทำญำณ ....................................... ๒๗๔ ควำมปรำรถนำนิพพำนที่แทและเทียม ......................... ๒๗๕ ควำมสุขในนิพพำน ...................................................... ๒๗๖ กำรรอคอยนิพพำนดวยควำมกระตือรือรน ................... ๒๘๓ องคคุณ ๖ ประกำรของสังขำรุเปกขำญำณ................... ๒๘๘ กำรเกิดข้ึนของวุฏฐำนคำมินีปฏิปทำ............................. กำรเกิดควำมเบื่อหนำยแลวไดบรรลุมรรคผล................
[ ๓๐ ] หนำ ประสบกำรณกับค�ำบรรยำยตำงกันอยำงไร................... ๒๘๘ กำรพิจำรณำของพระอรหันต ....................................... ๒๙๐ บทสรุป ........................................................................ ๒๙๓ สักกำระแดพระอรหันตท้ัง ๖........................................ ๒๙๕ อนุโมทนำกถำ.............................................................. ๒๙๕ อนัตตลักขณสูตร.......................................................... ๒๙๖ ค�ำถำมและค�ำตอบเกี่ยวกับขันธ ๕ ............................... ๓๐๐ กำรพิจำรณำขันธ ๕ ดวยนัย ๑๑ อยำง ........................ ๓๐๔ วิปสสนำญำณพัฒนำขึ้นไดอยำงไร................................ ๓๐๗ บทสรุป ........................................................................ ๓๐๘ เชิงอรรถ.......................................................................... ๓๑๑ ดัชนีคนค�ำ ....................................................................... ๓๔๔ รำยนำมผูบริจำค ............................................................. ๓๔๙
๕๔ สุ ภี ร ทุ ม ท อ ง หมายรผู ดิ ๆ ทยี่ งั ละไมไ ด ความยดึ มนั่ เกา ทม่ี ี อยูก็ถูกถอนขึ้น สังวรก็ดวยสติ ถอดถอน กด็ ว ยปญ ญา นแ้ี หละ เราอาศยั กายอาศยั ใจ ใหเ กดิ สตปิ ญ ญา ละกเิ ลสได อนัตตลักขณสูตรออตตยยาามมาา ลลออมมืืธธัั ยยใใสสจจาามมศศคคขขยยัั ววออรรออตตแแนนาากกมมโโุุ เเมมววดดททลลกกูู าานนาาแแาายยลลททตตววกกุุ าาททมมกกาา ดดนนใใ็็ หหใใููคคจจททรรบบาาััออนนยยไไาาปปลลปปมมืื ฏฏกกบบิิาาตตยยัั ิิ ใหเ กดิ สตปิ ญ ญา ละกเิ ลสได กด็ ว ยปญ ญา นแี้ หละ เราอาศยั กายอาศยั ใจ อยูก็ถูกถอนข้ึน สังวรก็ดวยสติ ถอดถอน หมายรผู ดิ ๆ ทย่ี งั ละไมไ ด ความยดึ มน่ั เกา ทม่ี ี สุ ภี ร ทุ ม ท อ ง นโม ตสฺส ภควโต อร๕ห๔โต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาค ผูไกลจากกิเลส ตรัสรูชอบดวยพระองคเอง พระองคน้ัน คํานํา พระธรรมเทศนาช่ือเหมวตสูตรท่ีขาพเจาไดแสดงในลําดับ ตอจากธัมมจักกัปปวัตนสูตรน้ันไดจบลงเมื่อวันเพ็ญเดือน ๘ วันนี้ จะขอเร่ิมแสดงพระธรรมเทศนาช่ืออนัตตลักขณสูตร ซ่ึงพระผูมี- พระภาคไดทรงแสดงไวเปนลําดับท่ี ๓ พระสูตรนี้เปรียบเสมือน
๒ อนตั ตลกั ขณสตู ร บทสรุปพระธรรมคําสอนของพระบรมศาสดาทั้งหมด จึงมีความ สําคัญอยางย่ิงควรที่พุทธศาสนิกชนพึงศึกษาใหเขาใจ คําสอนและความเช่ือตามลัทธินอกพุทธศาสนากลาวไดวา จัดเขาในประเภทอัตตวาท หรืออัตตทิฏฐิทั้งสิ้น โดยเช่ือวามีส่ิงที่ เรยี กวา ตวั ตน หรอื วญิ ญาณ อาศยั อยใู นรา งกายของสงิ่ มชี วี ติ ทง้ั หลาย เชน มนุษย เทวดา และสัตวตางๆ ไดแก วัว ควาย และสุนัข เปนตน ในทามกลางกลุมชนที่เช่ือถือลัทธิอัตตวาทอยางเหนียวแนน ซึ่งมีอยูมากมายเวลาน้ัน พระพุทธองคไดทรงประกาศวา “ส่ิงที่เรียก วา อัตตา วิญญาณ หรือตัวตน นั้นไมไดมีอยูจริง เปนแตเพียงถอยคํา ท่ีสมมุติข้ึนมา แทท่ีจริง สิ่งที่เขาใจกันวาเปนตัวตน หรืออัตตาน้ัน เม่ือ วาโดยสภาวะปรมัตถแลว เปนเพียงกระแสของรูปและนามท่ีเกิดดับ ตอเน่ืองกันไปเทาน้ัน” ดงั น้นั จึงจําเปน ตองทําความเขาใจใหถอ งแทเกี่ยวกับคาํ สอน ในอนัตตลักขณสูตรน้ี ท่ีจริงพระพุทธองคไดทรงอธิบายเร่ืองอนัตตา มากอ นแลว ในขณะตรสั เรอื่ งอรยิ สจั ๔ เมอ่ื ครง้ั ทที่ รงแสดงธมั มจกั กปั - ปวัตนสูตร ตอมาเมื่อทรงแสดงเหมวตสูตร ไดทรงขยายความเรื่อง อนัตตาวา “เมื่ออายตนะ ๖ (ตา, หู, จมูก, ล้ิน, กาย และใจ) เกิดข้ึน สัตวโลกจึงเกิดขึ้น”๑ หลังจากนั้นไดทรงแสดงหลักการเรื่องอนัตตา อีกคร้ังอยางแจมแจงและสมบูรณในพระสูตรท่ี ๓ น้ี
๑ บทนํา ในปฐมสังคายนา พระธรรมสังคาหกาจารยไดบันทึกบทนํา ไวในสังยุตตนิกาย ขันธวรรค ดังนี้ เอวํ เม สุตํ. เอกํ สมยํ ภควา พาราณสิยํ วิหรติ อิสิปตเน มิคทาเย. ตตฺร โข ภควา ปฺจวคฺคิเย ภิกฺขู อามนฺเตสิ ภิกฺขโวติ. ภทนฺเตติ เต ภิกฺขุ ภควโต ปจฺจสฺโสสุํ. ภควา เอตทโวจ. “ขาพเจาไดสดับมาอยางน้ี สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาค ประทับอยู ณ ปาอิสิปตนมฤคทายวัน เขตเมืองพาราณสี เวลาน้ัน พระผูมีพระภาคตรัสเรียกภิกษุปญจวัคคียวา ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ปญจวัคคียทูลรับวา ‘พระพุทธเจาขา’ พระผูมีพระภาคจึงตรัส พระดํารัสนี้ตอไป”
๔ อนตั ตลกั ขณสูตร วันที่ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร พระผูมีพระภาคไดทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร เปน พระสูตรแรกในตอนคํ่าของวันเพ็ญเดือน ๘ เมื่อ ๒๕๕๑ ปมาแลว (นับจาก พ.ศ. ๒๕๐๖) ในขณะท่ีทรงแสดงปฐมเทศนานั้น มีทาน โกณฑัญญะเพียงรูปเดียวเทานั้นที่ไดดวงตาเห็นธรรมบรรลุเปน พระโสดาบัน ทานโกญฑัญญะเห็นแจงธรรมท้ังปวง มีศรัทธาอันไม คลอนแคลนในพระธรรมคําสอนของพระบรมศาสดาแลว ไดทูล ขออุปสมบทเปนภิกษุในพระศาสนา และพระพุทธองคไดประทาน อุปสมบทดวยเอหิภิกขุอุปสัมปทา สวนปญจวัคคียที่เหลือ ๔ รูป คือทานวัปปะ ทานภัททิยะ ทานมหานามะ และทานอัสสชิน้ัน ทานเหลาน้ันยังไมบรรลุมรรคผล พระพุทธองคจึงทรงสั่งสอน และดูแลใหทานทั้ง ๔ ปฏิบัติธรรมอยางจริงจัง โดยมิไดออกไป บิณฑบาต แมพระพุทธองคก็ไดประทับอยูในพระอารามมิได เสด็จออกบิณฑบาต เพื่อทรงแนะนําส่ังสอนใหปญจวัคคียอีก ๔ ทานน้ันสามารถกําจัดอุปสรรคและกิเลสที่อาจเกิดข้ึนในขณะปฏิบัติ วิปสสนา หลังจากท่ีไดเจริญวิปสสนาอยางจริงจังและตอเน่ืองไมมี หยุด ทานวัปปะก็ไดบรรลุโสดาปตติผลในวันแรม ๑ ค่ําของเดือน ๘ ทานภัททิยะไดบรรลุเปนพระโสดาบันตอมาในวันแรม ๒ คํ่า ทาน มหานามะบรรลุเปนพระโสดาบันในวันแรม ๓ คํ่า และพระอัสสชิ บรรลุเปนพระโสดาบันในวันแรม ๔ คํ่า๒
อนตั ตลกั ขณสตู ร ๕ ปญจวัคคีย ๔ รูปไมไดบรรลุธรรมดวยการฟงธัมจักกัป- ปวัตตนสูตร แตตองทําความเพียรเจริญวิปสสนาอยางจริงจังตอไป ขาพเจาจึงขอเตือนไมใหหลงเชื่อคําสอนผิดๆ ของคนท่ีอางอยาง ไมรับผิดชอบวา บุคคลสามารถบรรลุธรรมเปนพระโสดาบันไดดวย การฟงพระธรรมเทศนาเทานั้นโดยไมตองเจริญวิปสสนา ในคัมภีรอรรถกถา๓ ไดกลาววา หลังจากปญจวัคคียได บรรลุธรรมเปนพระโสดาบันทั้งหมดและไดอุปสมบทเปนภิกษุใน พระพุทธศาสนาแลว พระพุทธองคจึงทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร ในวันแรม ๕ ค่ํา เดือน ๘ ดังนั้น คําวา “สมัยหน่ึง” ที่พระอานนท กลาวไวในคํานําของอนัตตลักขณสูตร จึงหมายถึงวันแรม ๕ คํ่า เดือน ๘ ขณะที่พระผูมีพระภาคประทับอยู ณ ปาอิสิปตนมฤคทายวัน เขตเมืองพาราณสี
๖ อนัตตลกั ขณสูตร พระพุทธพจน: เริ่มตนอนัตตลักขณสูตร รปู ภิกขฺ เว อนตตฺ า. “ภิกษุท้ังหลาย รูปมใิ ชอ ัตตา” คนทั่วไปมักจะคิดวา ตนเองและคนอ่ืนๆ คือส่ิงมีชีวิตที่มี วิญญาณหรือตัวตนแฝงอยูภายใน สิ่งที่เขาคิดวาเปนวิญญาณนั้น เรียกวา อัตตา ซึ่งเปนคําบาลีท่ีมาจากคําวา อาตมัน ในภาษา สันสกฤต คําวา อัตตา นี้ บางทีเรียกวา ชีวะ ดังน้ัน คําวา อัตตา จึง หมายถึงการมีชีวิต มีวิญญาณ หรือเปนสิ่งมีชีวิต เปนการเช่ือวามี วิญญาณหรือชีวะอยูในรางกายของคน ความเช่ืออยางน้ีจัดเปน ความเห็นผิดเก่ียวกับอัตตา เรียกวา อัตตทิฏฐิ ปุถุชนท่ัวไปยังไมหลุดพนจากอัตตทิฏฐิ จะแตกตางกันบาง ก็ท่ีความมากนอย และการแสดงออกเทาน้ัน บางคนเช่ือในอัตต- ทิฏฐิมากและยึดถือเหนียวแนนมาก บางคนมีความเช่ือที่เบาบาง บางคนแสดงออกชัดเจนมาก บางคนจะไมแสดงออกชัดเจนนัก ผูมี ความรูเร่ืองรูปนามเปนอยางดีก็จะมีอัตตทิฏฐิที่เบาบาง แตก็ยังไม จัดวาหลุดพนจากอัตตทิฏฐิ เพราะยังมีความเห็นผิดอยูวา มีวิญญาณ หรืออัตตา ท่ีทําหนาท่ีคิด ทํา พูด และรับรูอารมณท่ีนาพอใจตางๆ อยู นักปฏิบัติท่ีพัฒนาวิปสสนาปญญาโดยการกําหนดรูสภาวธรรม จะรูไดวา ไมมีอัตตา มีเพียงความเปนไปของรูปนามเทานั้น จึงเปน
อนัตตลกั ขณสูตร ๗ อิสระจากอัตตทิฏฐิ แตก็ไดเฉพาะชวงที่เจริญวิปสสนาอยูเทานั้น เม่ือใดที่เลิกกําหนดรูการเกิดดับของรูปนาม อัตตทิฏฐิก็จะกลับมา ครอบงําอีก เพราะยังรูสึกวามีตัวเราที่เคลื่อนไหวรางกาย กระทํา อากัปกิริยาตางๆ อยู เพื่อใหพระปญจวัคคียละทิ้งความเห็นผิดเรื่องอัตตา และ มีความเขาใจชัดวา ไมมีส่ิงท่ีเรียกวา วิญญาณ หรือตัวตน อาศัย อยูในรูปนามท่ีประกอบกันเปนรางกายของคน พระพุทธองคจึง ทรงเร่ิมตนพระธรรมเทศนาดวยการประกาศวา รูป ภิกฺขเว อนตฺตา (ภิกษุทั้งหลาย รูปมิใชอัตตา) ความเห็นผิดวารูปเปนอัตตา รูปท่ีคนทั่วไปเขาใจผิดกันวาเปนอัตตาตัวตน คืออะไรเลา คือ ปสาทรูปตางๆ ไดแก จักขุปสาทรูปที่ทําใหเห็น โสตปสาทรูปที่ ทําใหไดยินเสียง ฆานปสาทรูปท่ีทําใหรูกลิ่น ชิวหาปสาทรูปที่ทําให รูรส กายปสาทรูปที่ทําใหไดรับรูสัมผัสทางกาย ปสาทรูปเหลานี้ เปนฐานท่ีต้ังของการรับรู (วิญญาณ) และเปนที่ตั้งของพลังชีวิต (ชีวิตินทรีย)
๘ อนัตตลักขณสูตร ดวยเหตุท่ีมีจักขุปสาทรูป จึงเกิดการรับรูรูปทางตา (จักขุ- วิญญาณ) และเมื่อมีจักขุวิญญาณก็ยอมมีความเห็นผิดวามีอัตตา ตัวตนที่เปนผูเห็น ในทํานองเดียวกัน การมีโสตปสาทรูป ฆาน- ปสาทรูป ชิวหาปสาทรูป และกายปสาทรูป จึงทําใหเกิดการรับรู เสียงทางหู (โสตวิญญาณ) มีการรับรูกลิ่นทางจมูก (ฆานวิญญาณ) มีการรับรูรสทางลิ้น (ชิวหาวิญญาณ) และมีการรับรูสัมผัสทาง กาย (กายวิญญาณ) ปสาทรูปเหลาน้ีทําหนาที่เปนฐานที่เกิดของ วิญญาณ จึงเปนเหตุใหเกิดความเขาใจผิดวารูปเปนอัตตาตัวตน รูปชีวิตินทรียเปนพลังชีวิตที่รักษารางกายไมใหเนาเปอยผุพังจึง ทําใหเกิดความเขาใจผิดวารูปเปนอัตตาตัวตน ถาขาดปสาทรูป เชน จักขุปสาทรูป เปนตน ก็ยอมไมมีส่ิง ท่ีเรียกไดวาเปนวิญญาณ ยกตัวอยางเชน ทอนไมท่ีแกะสลักเปน รูปคน แมจะมีลักษณะคลายคนแตทอนไมก็ไมมีปสาทรูปท่ีจะทําให เกิดการเห็นและการรับรู ดังน้ัน จึงไมมีการเขาใจผิดวา รูปสลักไม นั้นมีชีวิต หรือมีอัตตาตัวตน ในกรณีของคนที่ตายแลวก็เชนกัน ไมมีการเขาใจผิดวา รางคนที่เพิ่งตายนั้นเปนสิ่งมีอัตตาตัวตน ท้ังนี้เพราะในรางคนตาย แลวไมมีปสาทรูปตางๆ เชน จักขุปสาทรูปเปนตน ดังน้ันตราบใด ที่ยังมีปสาทรูปตางๆ ก็ยังเขาใจผิดวาส่ิงที่รับรูโดยอาศัยปสาทรูป เชน รูปท่ีเห็น เสียงท่ีไดยิน กลิ่นที่ไดรับ รสที่ไดล้ิม และ
อนตั ตลักขณสูตร ๙ สัมผัสทางกาย (ไดแก ปฐวี, เตโช, วาโย) ตลอดจนอิตถีภาวรูป (รูป ที่แสดงความเปนหญิง) และปุริสภาวรูป (รูปที่แสดงความเปนชาย) เปนอัตตาตัวตนของเราดวย ดังนั้น เม่ือเห็นรูปารมณ (สีตางๆ), ไดยินสัททารมณ (เสียงตางๆ) ท่ีเกี่ยวกับจักขุปสาทรูป เปนตน คนทั่วไปจึงเขาใจผิดวาอารมณเหลาน้ีเปนอัตตาตัวตนอีกดวย สรุปไดวา คนเรามักเห็นวารางกายทั้งหมดที่เกิดมาพรอม กับตาและหูเปนตนน้ัน เปนอัตตาตัวตน เมื่อพูดตามแบบชาวโลก ทั่วไป เราเรียกรางกายท้ังหมดที่ประกอบดวยตา หู เปนตนวาเปน ตัวเรา เปนวิญญาณของเรา การเรียกเชนน้ีไมใชมุสาวาท แตเปนการ เรียกตามสมมุติบัญญัติที่ชาวโลกใชเรียกเพื่อสื่อความกัน แตเม่ือวา โดยสภาวะปรมัตถแลว รางกายท้ังหมดเปนเพียงองครวมท่ีประกอบ ดวยรูปและนามเทานั้น ดวยเหตุน้ี พระพุทธองคจึงทรงประกาศออก มาตรงๆ อยางแจมแจงวา “แมวาบุคคลทั้งหลายจะเห็นวารูปขันธ เปนตัวตน แตความจริงรูปขันธไมใชอัตตา ไมใชตัวตน แตเปนเพียง รูปซ่ึงเปนสภาวธรรมอยางหนึ่งเทานั้น” สวนผูท่ีนับถือลัทธิอัตตวาทจะเช่ือวา รูปขันธ ซ่ึงไดแก รางกายของเขานั้นเปนอัตตาตัวตน และจะตองต้ังคําถามขึ้นวา “เหตุใดรูปจึงไมใชอัตตา” ดังนั้น พระผูมีพระภาคจึงไดทรงช้ีแจงวา เหตุใดรูปจึงไมใชอัตตา
๑๐ อนตั ตลกั ขณสูตร เหตุท่ีรูปไมใชอัตตา รูปฺจ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส, นยิทํ รูป อาพาธาย สํวตฺเตยฺย. ลพฺเภถ จ รูเป “เอวํ เม รูป โหตุ, เอวํ เม รูป มา อโหสี”ติ. “ภิกษุท้ังหลาย ถารูปน้ีเปนอัตตาแลว รูปนี้ คงไมเปนไปเพ่ือเบียดเบียน และบุคคลคงได การจัดแจงในรูปวา รูปของเราจงเปนอยางนี้เถิด (จงอยูในสภาพดี) รูปของเราอยาไดเปนอยางน้ัน เลย (จงอยามีสภาพไมดี)” รูปกอใหเกิดทุกขอยางไร ถารูปเปนอัตตาแลว รูปนี้คงไดเปนไปเพื่อเบียดเบียนเรา แตในความจริงรูปเปนไปสูความเจ็บปวย ไมคงความเปนหนุมสาว และความแข็งแรง จึงทําใหเกิดทุกขดวยการแกชรา การเส่ือมโทรม และการตาย ถาไมมีรูป ก็จะไมมีผมหงอก ฟนหัก หลังโกง หูตึง ตา ฝาฟาง หนังเหี่ยวยน และความเจ็บปวย ดังน้ันจึงกลาวไดวา รูปเปน เหตุใหเกิดทุกข เหตุที่มีรูป เราจึงเปนทุกขเพราะปวดตา ปวดหู ปวดฟน ปวดหลัง ทองอืด รอน หนาว ปวดเจ็บ คัน และทุกขเพราะโรค
อนัตตลกั ขณสูตร ๑๑ ที่เกี่ยวกับเลือด ผิวหนัง กระเพาะอาหาร ปสสาวะ ความดันโลหิต เปนตน อาการเหลานี้เกิดขึ้นไดเพราะมีรูปเปนที่ปรากฏของอาการ เจ็บปวยท้ังหลาย นอกจากน้ีรูปทําใหเราเปนทุกขเพราะความหิว ความกระหาย ถูกยุงกัด ถูกแมลงและส่ิงอ่ืนๆ รบกวน ความทุกข และความลําบากทั้งหลายเกิดข้ึนเพราะมีรูป ดังน้ัน รูปซ่ึงมีหนาท่ี ทําใหกายของเราเปนทุกขจึงเปนสิ่งท่ีนําความทุกขมาให นอกจากน้ัน รูปยังทําใหเกิดการตายขึ้นอีกดวย เม่ือรูป ทรุดโทรมและผุพังลง ความตายก็เกิดตามมา จึงอาจกลาวไดวารูป ทําใหเปนทุกขเพราะทําใหเราตองตาย ดังน้ัน เราควรพิจารณาวา ถารูปเปนตัวตนของเราจริง ก็คง ไดเปนไปเพื่อความแก ความเจ็บ และความตาย เราอาจทําใหคนอื่นๆ เปนทุกข แตไมมีใครที่จะพยายามทําใหตนเองเปนทุกข ในเม่ือรูป เปนตัวตนของเรา รูปก็ไมควรทําใหตนเองเปนทุกขดวยการแก เจ็บ และตาย แมในเวลากอนที่จะแก เจ็บ และตาย รูปก็ยังอาจทําใหเรา ทุกขดวยการปวยเปนโรคตางๆ คนท่ีอายุนอยถึงแมจะมีสุขภาพ แข็งแรงไมมีโรคภัยไขเจ็บ แตถาดํารงอยูในอิริยาบถเดียว เชน นั่ง ยืน หรือเดินเปนเวลานานๆ ก็จําเปนตองเปลี่ยนอิริยาบถบอยๆ ไมสามารถทนอยูในอิริยาบถใดได เพราะความรูสึกเม่ือยหรือรอน
๑๒ อนัตตลักขณสตู ร ตามแขนขาจากการอยูในอิริยาบถทาเดียวนานๆ ความทุกขเหลานี้ เกิดขึ้นเพราะมีรูปเปนตนเหตุ ดังนั้น จึงอาจพิจารณาไดวา ถารูปเปนอัตตาของเราแลว ก็ไมควรนําความทุกขมาใหเรา รูปจึงไมเปนไปตามความประสงค ของเรา นอกจากนี้ พระพุทธองคไดตรัสตอไปวา “ถารูปเปนอัตตา ของเราแลวไซร เราคงไดการจัดแจงในรูปวา รูปของเราจงเปนอยาง นี้เถิด (จงอยูในสภาพดี) รูปของเราอยาไดเปนอยางนั้นเลย (จงอยา มีสภาพไมดี)” หมายความวา หากรูปเปนอัตตาของเราจริง เราตอง สามารถบังคับบัญชารูปใหเปนไปตามความประสงคของเรา ทุกคน ยอมตองการใหรางกายเปนหนุมเปนสาวอยูเสมอ ไมอยากแกชรา เจบ็ ปว ย แลวตายไป แตร ูปไมเคยเชื่อฟง ไมยอมทําตามความประสงค ของเรา ความสดช่ืนของรูปในวัยหนุมสาวคอยๆ กลายเปนความ เส่ือมโทรมแหงวัยชรา สุขภาพที่แข็งแรงคอยๆ ออนแอลง แมวาเรา จะไมตองการใหเปนอยางน้ัน ทําใหเกิดโรคภัยไขเจ็บและจบลงดวย ความตาย เราไมสามารถบังคับบัญชาใหรูปเปนไปตามความตองการ ได ดังน้ัน พระพุทธองคจึงทรงช้ีใหเห็นวา รูปไมใชอัตตาตัวตนของ เรา ดวยขอความวา
อนัตตลักขณสตู ร ๑๓ “รูปมิใชอัตตา ถารูปนี้เปนอัตตาแลว รูปน้ีคงไมเปนไป เพื่อเบียดเบียน และบุคคลคงไดการจัดแจงในรูปวา รูป ของเราจงเปนอยางนี้เถิด (จงอยูในสภาพดี) รูปของเรา อยาไดเปนอยางนั้นเลย (จงอยามีสภาพไมดี)” ถารูปน้ีเปนอัตตา ก็จะไมนําความทุกขมาให และเรายอม จะบังคับบัญชาใหรูปเปนอยางท่ีเราตองการได แมวาเราจะไม สามารถทําใหคนอ่ืนเชื่อฟงคําส่ังของเรา แตเราควรจะสามารถบังคับ หรือจัดการกับตัวของเราเองใหเปนไปตามความตองการได แต เน่ืองจากรูปไมใชอัตตาตัวตนของเรา มันจึงนําความทุกขมาใหเรา และไมอยูในบังคับบัญชาของเรา หลักฐานท่ีช้ีชัดวารูปไมใชอัตตา ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว รูป อนตฺตา, ตสฺมา รูป อาพาธาย สํ- วตฺตติ. น จ ลพฺภติ รูเป “เอวํ เม รูป โหตุ, เอวํ เม รูป มา อโหสี”ติ. “แตเพราะรูปเปนอนัตตา จึงเปนไปเพื่อเบียดเบียน และ บุคคลยอมไมไดการจัดแจงในรูปวา รูปของเราจงเปนอยางนี้เถิด (จงอยูในสภาพดี) รูปของเราอยาไดเปนอยางน้ันเลย (จงอยามีสภาพ ไมดี)”
๑๔ อนัตตลกั ขณสตู ร ในความเปนจริง รูปไมใชอัตตา จึงเบียดเบียนเราดวยความ แกและความเจ็บปวย นอกจากน้ี รูปยังไมเชื่อฟงคําส่ังหรือเปนไป ตามการจัดแจงของเรา รูปจึงไมใชอัตตาของเรา และเพราะรูปไมใช อัตตาของเรา เราจึงไมสามารถบอกกับรูปวา จงเปนอยางน้ี (จงอยู ในสภาพดี) จงอยาเปนอยางนั้น (จงอยามีสภาพไมดี) ชีวอัตตะ และปรมอัตตะ ตามความเชื่อของพวกอัตตวาท กลาววา อัตตะ มี ๒ ชนิด คือ ชีวอัตตะ และ ปรมอัตตะ พวกเขาเช่ือวา สัตวโลกทุกชนิด ไม วาจะเปนมนุษย เทวดา หรือสัตวเดรัจฉานก็ตาม ยอมมีตัวตน หรือวิญญาณอยูภายใน เรียกวา ชีวอัตตะ โดยวิญญาณหรือชีวะน้ี เชื่อกันวาเกิดจากการสรางสรรคของพระผูเปนเจา บางพวกก็เชื่อวา ชีวอัตตะนี้ เปนสวนยอยๆ ท่ีแยกออกมาจากปรมอัตตะ ซ่ึงเปนอัตตะ ที่ย่ิงใหญของพระผูเปนเจา ปรมอัตตะ คืออัตตะของพระผูเปนเจาผูสรางโลกพรอม ทั้งสัตวโลกทั้งหมด บางเช่ือวาปรมอัตตะนี้สถิตอยูทุกหนทุกแหง ในโลก แตบางก็เช่ือวาปรมอัตตะนี้สถิตอยูในสวรรค ไมมีใครเคยพบเห็นพระผูเปนเจาหรือปรมอัตตะ ดวยเหตุนั้น ความเช่ือในชีวอัตตะ ปรมอัตตะ และเร่ืองพระผูเปนเจาเปนผูสราง
อนัตตลกั ขณสูตร ๑๕ โลกจึงเปนเพียงการคาดคะเนของคนสมัยกอนพระพุทธเจาเสด็จ มาอุบัติข้ึนในโลก ดังจะเขาใจไดอยางแจมแจงจากคําสรรเสริญของ พกพรหม คําสรรเสริญของพกพรหม สมยั หนงึ่ พระพทุ ธองคไ ดเ สดจ็ ไปยงั พรหมโลกเพอ่ื ขจดั ความ เห็นผิดของพกพรหม ในคร้ังน้ัน พกพรหมเห็นพระพุทธเจาเสด็จมา ก็กราบทูลพระพุทธองควา “ทานผูนิรทุกข ทานเสด็จมาดีแลว แม วาทานนาจะมาต้ังนานแลว พรหมโลกน้ีเที่ยง ม่ันคง ยั่งยืน ดีเลิศ ไมมีการตายจากพรหมโลกน้ี”๔ พระพุทธองคตรัสตอบวา “พกพรหมกําลังหลงอยูในอวิชชา หนอ ทานกลาวส่ิงที่ไมเท่ียงวาเที่ยง กลาวส่ิงท่ีไมยั่งยืนวายั่งยืน”๕ เมื่อพรหมบริวารตนหน่ึงของพกพรหมไดยินดังนั้นไดกลาว กับพระพุทธเจาวา ขาแตพระโคดม ทานอยารุกรานพกพรหมเลย พกพรหมผูนี้เปนมหาพรหม เปนใหญในพรหมโลกนี้ เปนผูเห็น ทุกอยาง มีอํานาจเหนือสรรพสัตว เปนผูสรางโลกและสรรพสัตว ท้ังหลายในโลก เปนผูประเสริฐสูงสุด เปนผูแตงต้ังกษัตริย พราหมณ มนุษย และสัตวทั้งหลาย เปนบิดาของสรรพส่ิงท้ังอดีตและอนาคต ดังน้ันทานจงสรรเสริญพกพรหม๖
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384