Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ อนัตตลักขณสูตร พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ)รจนา

✍️ อนัตตลักขณสูตร พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ)รจนา

Description: ✍️ อนัตตลักขณสูตร พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ)รจนา

Search

Read the Text Version

๓๑๖ อนตั ตลกั ขณสูตร ดังขอความวา ตํ ตํ สภาโว ลกฺขณํ กิจฺจสมฺปตฺติโย รโส คยฺหากาโร ผลํ วาป ปจฺจุปฏานสฺิตํ. อาสนฺนการณํ ยํ ตํ ปทฏานนฺติ ตํ มตํ ธมฺมานํ ววตฺถานาย อลํ เอเต วิพุทฺธิโน. (ปรมตฺถทีปนี หนา ๑๙) “ลักษณะ คือ สภาพน้ันๆ [เหมือนความรอนของไฟ] รสะ คือ หนาที่ [เหมือนการที่ไฟทําใหสุก] หรือความ บริบูรณ [เหมือนแสงสวางของไฟ] ปจจุปฏฐาน คือ อาการ[ปรากฏ]ท่ีปญญาพึงรับรู หรือผล [เหมือนควันไฟ] ปทัฏฐาน คือ เหตุใกล [เหมือนคนกอไฟ] ธรรมเหลานั้น [ลักษณะ รสะ ปจจุปฏฐาน และปทัฏฐาน] ยอมสมควรที่บัณฑิตชนจะพึงกําหนดรู” ๑๐ ยาวกีวฺ จาหํ ภิกฺขเว อิเมสํ ฉนฺนํ อชฺฌตฺติกานํ อายตนานํ เอวํ อสฺสาทฺ จ อสฺสาทโต, อาทีนวฺ จ อาทีนวโต, นิสฺสรณฺ จ นิสฺสรณโต ยถาภูตํ นาพฺภฺ าสึ, เนว ตาวาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ ปจฺจฺาสึ. ยโต จ ขฺวาหํ

อนตั ตลักขณสูตร ๓๑๗ ภิกฺขเว อิเมสํ ฉนฺนํ อชฺฌตฺติกานํ อายตนานํ เอวํ อสฺสาทฺ จ อสฺสาทโต, อาทีนวฺ จ อาทีนวโต, นิสฺสรณฺ จ นิสฺสรณโต ยถาภูตํ อพฺภฺ าสึ, อถาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ ปจฺจฺ าสึ. (สํ.สฬา. ๑๘/๑๓/๖) “ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดเรายังไมรูคุณโดยความเปนคุณ โทษโดยความเปนโทษ และการสลัดออกโดยการสลัดออกไปจาก อายตนะภายใน ๖ ประการนี้ตามความเปนจริงอยางนี้ ตราบนั้นเรา ก็ยังไมยืนยันวา เปนผูตรัสรูสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลก พรอมท้ังเทวโลก มารโลก พรหมโลก และในหมูสัตว พรอมทั้ง สมณพราหมณ สมมติเทพและมนุษย แตเมื่อใดเรารูคุณโดยความเปนคุณ โทษโดยความเปนโทษ การสลัดออกโดยการสลัดออกไปจากอายตนะภายใน ๖ ประการนี้ ตามความเปนจริงอยางน้ี เมื่อนั้นเราจึงยืนยันวา เปนผูตรัสรูสัมมา- สัมโพธิญาณอันยอดเย่ียมในโลก พรอมท้ังเทวโลก มารโลก พรหม- โลก และในหมูสัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ สมมติเทพและมนุษย” ๑๑ ยสฺมา วาติอาทินา น เกวลํ วิปากสุขเวทนา เอว, ติสฺโสป ปน เวทนา วิปากา วิเสเสน ตณฺหาย อุปนิสฺสยปจฺจโย, อวิเสเสน อิตรา จาติ ทสฺเสติ. อุเปกฺขา ปน สนฺตตฺตา, สุขมิจฺเจว ภาสิตา.

๓๑๘ อนตั ตลักขณสูตร ตสฺมา สาป ภิยฺโย อิจฺฉนวเสน ตณฺหาย อุปนิสฺสโยติ อธิปฺปาโย. อุเปกฺขา ปน อกุสลวิปากภูตา อนิฏตฺตา ทุกฺเข อวโรเธตพฺพา, อิตรา อิฏตฺตา สุเขติ สา ทุกฺขํ วิย, สุขํ วิย จ อุปนิสฺสยปจฺจโย โหตีติ สกฺกา วตฺตํุ. (วิสุทฺธิ.ฏีกา ๒/๖๔๔/๓๖๐) “คําวา ยสฺมา วา เปนตนแสดงวา ไมเพียงสุขเวทนาท่ีเปน วิบากจะเปนอุปนิสสยปจจัยแกตัณหาอยางเดียว แตเวทนา ๓ ท่ีเปน วิบากก็เปนอุปนิสสยปจจัยแกตัณหา และเวทนาอื่น[จากวิบาก] ก็ เปนอุปนิสสยปจจัยโดยสามัญท่ัวไป ความหมายคือ อุเบกขาเวทนา กลาววาเปนสุขทีเดียว เพราะมีสภาพสงบ ดังนั้น แมอุเบกขาเวทนา นั้นก็เปนอุปนิสสยปจจัยแกตัณหาดวยความตองการย่ิงๆ ขึ้นไป อน่ึง อุเบกขาเวทนาอันเปนอกุศลวิบาก นับเขาใน ทุกขเวทนา เพราะเปนส่ิงไมนาปรารถนา อุเบกขาเวทนาอ่ืน[อันเปน กุศลวิบาก] นับเขาในสุขเวทนา เพราะเปนสิ่งนาปรารถนา ดังนั้นจึง กลาวไดวา อุเบกขาเวทนาน้ันเปนอุปนิสสยปจจัยเหมือนทุกขเวทนา และสุขเวทนา” ๑๒ ม.ม. ๒/๒๐๑/๑๘๐ ๑๓ เอตฺถ จ สสฺสตทสฺสนํ อปฺปสาวชฺชํ ทนฺธวิราคํ, อุจฺเฉท- ทสฺสนํ มหาสาวชฺชํ ขิปฺปวิราคํ. กถํ. สสฺสตวาที หิ อิธโลกํ ปรโลกฺจ อตฺถีติ ชานาติ, สุกตทุกฺกฏานํ ผลํ อตฺถีติ ชานาติ, กุสลํ กโรติ,

อนตั ตลักขณสตู ร ๓๑๙ อกุสลํ กโรนฺโต ภายติ, วฏฏํ อสฺสาเทติ, อภินนฺทติ. พุทฺธานํ วา พุทฺธสาวกานํ วา สมฺมุขีภูโต สีฆํ ลทฺธึ ชหิตุํ น สกฺโกติ, ตสฺมา ตํ สสฺสตทสฺสนํ อปฺปสาวชฺชํ ทนฺธวิราคนฺติ วุจฺจติ. อุจฺเฉทวาที ปน อิธโลกปรโลกํ อตฺถีติ น ชานาติ, สุกตทุกฺกฏานํ ผลํ อตฺถีติ น ชานาติ, กุสลํ น กโรติ, อกุสลํ กโรนฺโต น ภายติ, วฏฏํ น อสฺสาเทติ, นาภิ- นนฺทติ, พุทฺธานํ วา พุทฺธสาวกานํ วา สมฺมุขีภาเว สีฆํ ทสฺสนํ ปชหติ. ปารมิโย ปูเรตุํ สกฺโกนฺโต พุทฺโธ หุตฺวา อสกฺโกนฺโต อภินีหาร กตฺวา สาวโก หุตฺวา ปรินิพฺพายติ. ตสฺมา อุจฺเฉททสฺสนํ มหาสาวชฺชํ ขิปฺปวิราคนฺติ วุจฺจติ. (ม.ม.อ. ๓/๒๐๑/๑๕๒) “อน่ึง ในเร่ืองน้ี ความเห็นวาเท่ียง มีโทษนอย คลายไดชา ความเห็นวาขาดสูญ มีโทษมาก คลายไดเร็ว ถามวา : ขอน้ันเปนอยางไร ตอบวา : เพราะผูเปนสัสสตวาทีรูวาโลกนี้และโลกหนา มี รูวากรรมท่ีทําดีและทําชั่วมีผล จึงทํากุศล เมื่อจะทําอกุศลก็กลัว พอใจเพลิดเพลินวัฏฏะ ครั้นอยูเฉพาะหนาพระพุทธเจาหรือพุทธ- สาวก ก็ไมอาจขจัดความเห็นไดเร็ว ดังนั้น ความเห็นวาเที่ยงน้ันจึง กลาววา มีโทษนอย คลายไดชา สวนผูเปนอุจเฉทวาทีไมรูวา โลกน้ี และโลกหนามี ไมรูวากรรมท่ีทําดีและทําชั่วมีผล จึงไมทํากุศล เมื่อ จะทําอกุศลก็ไมกลัว ไมพอใจเพลิดเพลินวัฏฏะ ครั้นอยูเฉพาะหนา พระพุทธเจาหรือพุทธสาวก ก็ขจัดความเห็นไดเร็ว สามารถบําเพ็ญ

๓๒๐ อนตั ตลักขณสูตร บารมีใหบริบูรณเปนพระพุทธเจาได เมื่อไมสามารถก็ทําการส่ังสม บุญบารมีเปนพระสาวกแลวปรินิพพาน ดังน้ัน ความเห็นวาขาดสูญ จึงกลาววา มีโทษมาก คลายไดเร็ว” ๑๔ สํ.ข. ๑๗/๙๔/๑๑๐ ๑๕ สาริปุตฺโต ภิกฺขเว อทฺธมาสํ อนุปทธมฺมวิปสฺสนํ วิปสฺสติ. ตตฺริทํ ภิกฺขเว สาริปุตฺตสฺส อนุปทธมฺมวิปสฺสนาย โหติ. อิธ ภิกฺขเว สาริปุตฺโต วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปติสุขํ ปมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ. เย จ ปเม ฌาเน ธมฺมา วิตกฺโก จ วิจาโร จ ปติ จ สุขํ จ จิตฺเตกคฺคตา จ ผสฺโส เวทนา สฺ า เจตนา จิตฺตํ ฉนฺโท อธิโมกฺโข วีริยํ สติ อุเปกฺขา มนสิกาโร. ตฺยสฺส ธมฺมา อนุปทววตฺถิตา โหนฺติ. ตฺยสฺส ธมฺมา วิทิตา อุปฺปชฺชนฺติ. วิทิตา อุปฏหนฺติ, วิทิตา อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺติ. โส เอวํ ปชานาติ “เอวํ กิริเม ธมฺมา อหุตฺวา สมฺโภนฺติ, หุตฺวา ปฏิเวนฺตี”ติ. (ม.อุ. ๑๔/๙๓/๗๗) “ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรเห็นแจงธรรมตามลําดับไดเพียงกึ่ง เดือน มีลําดับในการเห็นแจงธรรมตามลําดับน้ัน ดังนี้ ภิกษุท้ังหลาย ในเรื่องนี้ สารีบุตรสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เขาปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปติและสุขเกิดแตวิเวกอยู ธรรมในปฐมฌาน ๑๖ ประการ คือ วิตก วิจาร ปติ สุข จิตเตกัคคตา ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข วิริยะ สติ อุเบกขา มนสิการ เปน

อนตั ตลักขณสตู ร ๓๒๑ อันเธอกําหนดไดตามลําดับ เปนอันเธอรูแจงแลว ทั้งท่ีเกิดขึ้น ต้ังอยู และดับไป เธอรูชัดอยางน้ีวา ธรรมเหลาน้ีมีสภาวะจริงแท อยางนี้ ไมมีมากอนแลวยอมเกิดข้ึน เกิดขึ้นแลวยอมดับไป” ๑๖ ภควา ปน อิมํ เทสนํ สูริเย ธรมาเนเยว นิฏาเปตฺวา คิชฺฌกูฏา โอรุยฺห เวฬุวนํ คนฺตฺวา สาวกสนฺนิปาตมกาสิ, จตุรงฺค- สมนฺนาคโต สนฺนิปาโต อโหสิ. ตตฺริมานิ องฺคานิมาฆนกฺขตฺเตน ยุตฺโต ปุณฺณมอุโปสถทิวโส, เกนจิ อนามนฺติตานิ หุตฺวา อตฺตโนเยว ธมฺมตาย สนฺนิปติตานิ อฑฺฒเตลสานิ ภิกฺขุสตานิ, เตสุ เอโกป ปุถุชฺชโน วา โสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามิสุกฺขวิปสฺสกอรหนฺเตสุ วา อฺ ตโร นตฺถิ, สพฺเพ ฉฬภิฺ าว, เอโกป เจตฺถ สตฺถเกน เกเส ฉินฺทิตฺวา ปพฺพชิโต นาม นตฺถิ, สพฺเพ เอหิภิกฺขุโนเยวาติ. (ม.ม.อ. ๒/๒๐๖/๑๕๔-๕๕) “อนึ่ง เมื่อดวงอาทิตยยังปรากฏอยูน่ันแล พระผูมีพระภาค ทรงแสดงเทศนาน้ีใหจบลงแลว เสด็จลงจากภูเขาคิชฌกูฏถึงพระ เวฬุวัน แลวไดทรงทําการประชุมพระสาวก ไดมีการประชุมที่ ประกอบดวยองค ๔ ในการประชุมน้ันมีองค ๔ เหลาน้ี คือ ๑. เปนวันอุโบสถพระจันทรเต็มดวง (ขึ้น ๑๕ คํ่า) ประกอบ ดวยมาฆนักษัตรฤกษ

๓๒๒ อนตั ตลกั ขณสตู ร ๒. ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ประชุมกันตามปกติของตน โดยไมมี ใครนัดหมาย ๓. บรรดาภิกษุเหลานั้นไมมีแมภิกษุรูปเดียวที่เปนปุถุชน หรือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต ผูสุกขวิปสสกะรูปใดรูปหน่ึง ภิกษุทุกรูปลวนทรงอภิญญา ๖ ๔. ในที่ประชุมน้ัน แมภิกษุรูปเดียวที่ชื่อวาใชมีดโกนปลงผม บวชไมมีเลย ทุกรูปลวนเปนเอหิภิกขุท้ังนั้น” ๑๗ นามรูป ปริคฺคยฺห ตโต ตสฺส จ ปจฺจยํ หุตฺวา อภาวโตนิจฺจา อุทยพฺพยปฬนา. ทุกฺขา อวสวตฺติตฺตา อนตฺตาติ ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวาน สงฺขาเร สมฺมสนฺโต ปุนปฺปุนํ ปาปุเณยฺยานุปุพฺเพน สพฺพสํโยชนกฺขยํ. (ขุทฺทสิกฺขา คาถา ๔๗๑-๗๒) “ผูปฏิบัติกําหนดรูปนามและปจจัยของรูปนามตอแตนั้น แลว ยกเขาสูไตรลักษณวา สังขารท้ังหลาย :- ไมเที่ยง เพราะเกิดข้ึนแลวดับไป เปนทุกข เพราะถูกบีบค้ันดวยความเกิดดับอยูเสมอ ไมใชตัวตน เพราะไมอยูในอํานาจ พึงบรรลุการส้ินสังโยชนท้ังหมดตามลําดับ”

อนัตตลักขณสูตร ๓๒๓ ๑๘ สงฺขตมภิสงฺขโรนฺตีติ โข ภิกฺขเว ตสฺมา สงฺขาราติ วุจฺจติ. (สํ.ข. ๑๗/๗๙/๗๑) “ภิกษุท้ังหลาย เพราะปรุงแตงสังขตธรรมจึงเรียกวา สังขาร” ๑๙ ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตรการแพทยเราพบวา แตละวัน สมองของเราจะมี “ความคิด” ผานหัวของเราประมาณ ๔๕,๐๐๐- ๖๐,๐๐๐ เร่ือง หมายความวา ในเวลาท่ีเราตื่นอยู เราจะมีความคิด ผานหัวของเราหลายสิบเร่ือง ที่นาหวงก็คือ ๙๕% ของความคิด เหลานี้เปนความคิดเกาๆ ความคิดซ้ําๆ ซากๆ ท่ีเราเคยคิดมา เมื่อวานนี้ เม่ือหลายวันกอน หลายเดือนกอน หรือหลายปกอน ๘๐% ของความคิดเหลานี้เปน “ความคิดดานลบ” ท่ีทําให เราไมสบายใจ ความคิดลบนําไปสูอารมณดานลบและนําไปสูความ ทุกขใจ ที่นาหวงมากที่สุดก็คือ งานวิจัยนี้พบวา อารมณความสุขน้ัน เปนโมเลกุลของอารมณที่ “หลุดงาย” ไปจากความรูสึกของมนุษย แตโมเลกุลของอารมณดานลบนั้นสามารถ “เกาะติด” แนนกับความ รูสึกและความทรงจําไดดีกวาหลายเทา นี่อาจเปนสาเหตุหนึ่งที่ มนุษยจึงมีความทุกขไดงาย (นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ, มหัศจรรยแหงการเขียน, สํานัก พิมพศยาม : กรุงเทพฯ ๒๕๕๔, หนา ๖๐)

๓๒๔ อนตั ตลักขณสูตร ๒๐ ม.มู. ๑๒/๓๙๖/๓๕๗ ๒๑ เผณปณฺฑูปมํ รูป เวทนา ปุพฺพุฬูปมา มรีจิกูปมา สฺ า สงฺขารา กทลูปมา มายูปมฺ จ วิฺ าณํ เทสิตาทิจฺจพนฺธุนา. (สํ.ข. ๑๗/๙๕/๑๑๓) “รูปเหมือนฟองนํ้า เวทนาเหมือนตอมนํ้า สัญญาเหมือน พยับแดด สังขารเหมือนปลีกลวย วิญญาณเหมือนมายากล พระผูมีพระภาคทรงแสดงไว” ๒๒ ภนฺเต เอกสฺมึ วมฺมิเก ฉ ฉิทฺทานิ. ตตฺถ เอเกน ฉิทฺเทน โคธา อนฺโต ปวิฏา. ตํ คณฺหิตุกาโม อิตรานิ ปฺ จ ฉิทฺทานิ ถเกตฺวา ฉฏํ ภินฺทิตฺวา ปวิฏฉิทฺเทเนว คณฺหาติ, เอวํ ตุมฺเหป ฉทฺวาริเกสุ อารมฺมเณสุ เสสานิ ปฺ จ ทฺวารานิ ปธาย มโนทฺวาเร กมฺมํ ปฏเปถ. (ขุ.ธ.อ. ๒/๒๘๒/๓๐๙) “ทานขอรับ จอมปลวกแหงหน่ึงมีรู ๖ แหง เหี้ยเขาไป ภายในทางชองหนึ่งในรูเหลาน้ัน ผูที่ตองการจะจับเห้ียน้ันตองปดรู ๕ แหงแลวจับทางรูท่ีทําลายรูท่ี ๖ เขาไป ฉันใด ในอารมณท่ีปรากฏ ทางทวาร ๖ แมทานก็จงปดทวาร ๕ ที่เหลือ (คือ ไมใหเกิดชวนจิต ทางทวารเหลาน้ัน) แลวปฏิบัติกรรมฐานทางมโนทวาร”

อนตั ตลกั ขณสูตร ๓๒๕ ๒๓ วจีโฆสานุสาเรน โสตวิฺ าณวีถิยา ปวตฺตานนฺตรุปฺปนฺน- มโนทฺวารสฺส โคจรา. อตฺถา ยสฺสานุสาเรน วิฺ ายนฺติ ตโต ปรํ สายํ ปฺ ตฺติ วิฺ เยฺยา โลกสงฺเกตนิมฺมิตา. (สงฺคห. หนา ๕๕) “อรรถบญั ญตั ทิ ง้ั หลายยอ มปรากฏหลงั จากการเกดิ ขน้ึ ของ มโนทวารวิถีจิตน้ัน โดยคลอยตามนามบัญญัติใด นามบัญญัติน้ันซึ่ง เปนอารมณของมโนทวารวิถีที่เกิดขึ้นตอเน่ืองในลําดับความเปนไป แหงโสตวิญญาณวิถี โดยคลอยตามเสียงพูด พึงทราบวา คือสิ่งท่ี ชาวโลกสรางขึ้นเปนเคร่ืองสังเกต” ๒๔ ขุ. อุ. ๒๕/๑๐/๑๐๒ ๒๕ ขุ.ธ. ๒๕/๑๘๓/๔๙, ที.ม. ๑๐/๙๐/๔๓ ๒๕ สจิตฺตปริโยทปนนฺติ อตฺตโน จิตฺตโชตนํ, ตํ ปน อรหตฺเตน โหติ. อิติ สีลสํวเรน สพฺพปาป ปหาย สมถวิปสฺสนาหิ กุสลํ สมฺปาเทตฺวา อรหตฺตผเลน จิตฺตํ ปริโยทาเปตพฺพนฺติ เอตํ พุทฺธานํ สาสนํ โอวาโท อนุสิฏตี ิ. (ที.ม.อ. ๒/๙๐/๗๖) “คําวา สจิตฺตปริโยทปนํ (ทําจิตของตนใหบริสุทธ์ิ) มี ความหมายวา การทําจิตของตนใหสวาง อนึ่ง การทําจิตของตน ใหสวางนั้นยอมมีไดดวยความเปนพระอรหันต โดยประการดังน้ี

๓๒๖ อนตั ตลักขณสตู ร บรรพชิตควรละบาปท้ังปวงดวยศีลสังวร ยังกุศลใหถึงพรอมดวย สมถะและวิปสสนา ทําจิตใหบริสุทธ์ิดวยอรหัตตผล นี้เปนคําสอน คือ โอวาท กลาวคือ คําพรํ่าสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย” ๒๗ หตฺถโต หิ ตฏฏเก วา สรเก วา กิสฺมิฺ จิเทว วา ปติตฺวา ภินฺเน “อโห อนิจฺจนฺ”ติ วทนฺติ. เอวํ อนิจฺจํ ปากฏํ นาม. อตฺต- ภาวสฺมึ ปน คณฺฑปฬกาทีสุ วา อุฏิตาสุ ขาณุกณฺฏกาทีหิ วา วิทฺธาสุ “อโห ทุกฺขนฺ”ติ วทนฺติ. เอวํ ทุกฺขํ ปากฏํ นาม. อนตฺตลกฺขณํ อปากฏํ อนฺธการํ อวิภูตํ ทุปฺปฏิวิชฺฌํ ทุทฺทีปนํ ทุปฺปฺ าปนํ. (อภิ. วิ.อ. ๒/๑๕๔/๕๕) “กลาวโดยละเอียดวา เมื่อถวยชาม ขัน หรือวัตถุอะไรๆ ตกจากมือแตกแลว ชนทั้งหลายยอมพูดวา โอ! มันไมเที่ยง ความ ไมเท่ียงช่ือวาปรากฏแลวอยางน้ี แตเมื่อฝหรือตอมเปนตนเกิดข้ึน ในสรีระ หรือถูกตอหรือหนามเปนตนท่ิมแลว ก็ยอมพูดวา โอ! เปน ทุกข ทุกขชื่อวาปรากฏแลวอยางน้ี อนัตตลักษณะไมปรากฏ มืดมน ไมแจมแจง แทงตลอดไดยาก แสดงไดยาก ทําใหเขาใจไดยาก” ๒๘ อนตฺตลกฺขณปฺ าปนฺ หิ อฺ สฺส กสฺสจิ อวิสโย, สพฺพฺ ุ พุทฺธานเมว วิสโย. เอวเมตํ อนตฺตลกฺขณํ อปากฏํ. ตสฺมา สตฺถา อนตฺตลกฺขณํ ทสฺเสนฺโต อนิจฺเจน วา ทสฺเสสิ ทุกฺเขน วา อนิจฺจทุกฺเขหิ วา. (อภิ.วิ.อ. ๒/๑๕๔/๕๕)

อนัตตลักขณสูตร ๓๒๗ “โดยแทจริงแลว การประกาศใหรูอนัตตลักษณะไมใช วิสัยของใครๆ อ่ืน แตเปนวิสัยของพระสัพพัญูพุทธเจาเทานั้น อนัตตลักษณะนี้จึงไมปรากฏดวยประการฉะนี้ ดังน้ัน พระศาสดาจะ ทรงแสดงอนัตตลักษณะ จึงแสดงดวยความไมเท่ียงบาง ดวยความ เปนทุกขบาง ดวยทั้งความไมเท่ียงและความเปนทุกขบาง” ๒๙ อนตฺตลกฺขณทีปกานนฺติ อนตฺตตาปฺาปนสฺส โชตกานํ อุปายภูตานํ. น หิ ฆฏเภทกณฺฏกเวธาทิวเสน ลพฺภมานา อนิจฺจ- ทุกฺขตา สตฺตานํ เอกนฺตโต อนตฺตตาธิคมเหตู โหนฺติ. ปจฺจยปฏิ- พทฺธตา อภิณฺหสมฺปฏิปฬนาทิวเสน ปน ลพฺภมานา โหนฺติ. ตถา หิ จกฺขาทีนิ กมฺมาทิมหาภูตาทิปจฺจยปฏิพทฺธวุตฺตีนิ, ตโต เอว อหุตฺวา สมฺภวนฺติ, หุตฺวา ปฏิเวนฺตีติ อนิจฺจานิ, อภิณฺหสมฺปฏิปฬตตฺตา ทุกฺขานิ, เอวํภูตานิ จ อวสวตฺตนโต อนตฺตกานีติ ปริคฺคเห เิ ตหิ สมุปจิตาณสมฺภาเรหิ ปสฺสิตุํ สกฺกา. (อภิ.วิ.อนุฏีกา ๒/๑๕๔/๔๖) “คําวา อนตฺตลกฺขณทีปกานํ (แสดงอนัตตลักษณะ) หมายความวา แสดง คือ เปนเหตุใหเขาใจวาเปนอนัตตา เพราะ ความไมเที่ยงและความทุกขที่ปรากฏดวยการท่ีหมอแตกหรือหนาม ตําเปนตนไมเปนเหตุใหหย่ังรูความเปนอนัตตาของเหลาสัตวโดยแท แตความไมเที่ยงและความทุกขที่ปรากฏดวยการเน่ืองดวยเหตุปจจัย และการบีบคั้นเสมอเปนตนจึงเปนเหตุใหใหหย่ังรูได กลาวคือ จักษุ

๓๒๘ อนัตตลกั ขณสตู ร เปนตนเนื่องดวยเหตุปจจัยมีกรรมเปนตนและมหาภูตรูป เปนตน ดังน้ัน จึงไมเท่ียง เพราะไมเคยเกิดข้ึนแลวมีขึ้น และเกิดข้ึนแลวเส่ือม สูญไป และเปนทุกข เพราะถูก[ความเกิดขึ้นและดับไป]บีบค้ันอยู เสมอ อนึ่ง จักษุเปนตนท่ีเปนเชนน้ัน [คือ เปนส่ิงไมเท่ียงและเปน ทุกข] เปนอนัตตา เพราะไมอยูในบังคับบัญชา ดังนั้น ผูท่ีไดส่ังสม ปญญาไวดํารงอยูในการกําหนดรูจึงสามารถหย่ังเห็นได” ๓๐ ม.อุ. ๑๔/๔๒๐/๓๖๕ ๓๑ เวทิตพฺพานีติ สหวิปสฺสเนน มคฺเคน ชานิตพฺพานิ. (ม.อุ.อ. ๔/๔๒๐/๒๕๐) “คําวา เวทิตพฺพานิ (พึงรู) หมายความวา พึงรูดวยมรรค พรอมทั้งวิปสสนา” ๓๒ ม.อุ. ๑๔/๔๒๒/๓๖๗ ๓๓ อิมินา จ นิคณฺเน อาหฏโอปมฺมํ นิยตเมว, สพฺพฺุ- พุทฺธโต อฺโ ตสฺส กถํ ฉินฺทิตฺวา วาเท โทสํ ทาตุํ สมตฺโถ นาม นตฺถิ. (ม.มู.อ. ๒/๓๕๖/๑๘๓) “อน่ึง คําเปรียบท่ีนิครนถน้ีนํามากลาวเปนส่ิงแนนอน

อนัตตลักขณสตู ร ๓๒๙ ทีเดียว ไมมีคนอ่ืนจากสัพพัญูพุทธเจาท่ีจะหักลางถอยคําของเขา แลวใหเห็นความผิดพลาดในความเห็นได” ๓๔ ยกฺโขติ น โย วา โส วา ยกฺโข, สกฺโก เทวราชาติ เวทิตพฺโพ. (ม.มู.อ. ๒/๓๕๗/๑๘๕) “คําวา ยกฺโข (ยักษ) พึงทราบวาเปนทาวสักกเทวราช ไมใชยักษตนใดตนหนึ่ง” ๓๕ วาโยธาตุ วิตฺถมฺภนลกฺขณา, สมุทีรณรสา, อภินีหาร- ปจฺจุปฏานาติ เอวํ ลกฺขณาทิโต มนสิกาตพฺพา. (วิสุทฺธิ. ๑/๓๕๐/๔๐๕) “วาโยธาตุมีลักษณะหยอน-ตึง มีหนาที่เคลื่อนไหว มีการ ผลักดันเปนอาการปรากฏ พึงกําหนดโดยลักษณะเปนตนอยางนี้” ๓๖ วิสุทฺธิ. ๑/๖๙๔/๒๗๔ ๓๗ ขุทฺทสิกฺขา คาถา ๔๗๑ ๓๘ อภิ.วิ.อ. ๒/๑๘๐/๑๓๙ ๓๙ วิสุทฺธิ. ๒/๖๙๔/๒๗๔ ๔๐ คําวา ทุกข มีความหมาย ๓ ประการ คือ ๑. สภาวะทนไดยาก หมายถึง ทุกขเวทนา โดยมาจาก ทุ

๓๓๐ อนัตตลักขณสูตร บทหนา + ขมุ ธาตุ (ขนฺติยํ = ทน) + กฺวิ ปจจัยในกรรมสาธนะ มี รูปวิเคราะหวา ทุกฺเขน ขมิตพฺพนฺติ ทุกฺขํ (สภาวะทนไดยาก ชื่อวา ทุกข) ดังขอความวา ทุกฺขานนฺติ ทุกฺขมานํ. (วิ.มหา.อ. ๒/๔๐๓/๔๑๕, องฺ.ติก.อ. ๒/๕๐/๑๕๕, องฺ.ปฺจก.อ. ๓/๑๔๐/๕๔) “คําวา ทุกฺขานํ หมายความวา ทนไดยาก” ๒. สภาวะนากลัว หรือ สภาวะถูกบีบค้ัน หมายถึง ทุกขใน ไตรลักษณ มาจาก ทุกฺข ธาตุ (ภยปฏิปฬเน = นากลัว, บีบค้ัน) + อ ปจจัยในอปาทานสาธนะหรือกรรมสาธนะ มีรูปวิเคราะหวา ทุกฺขติ ภายติ เอตสฺมาติ ทุกฺขํ (สภาวะนากลัว ชื่อวา ทุกข) หรือ ทุกฺขียติ ปฏิปฬยตีติ ทุกฺขํ (สภาวะถูกบีบค้ัน ช่ือวา ทุกข) ดังขอความวา อภิณฺหปฏิปฬนากาโร ทุกฺขลกฺขณํ. (วิสุทฺธิ. ๒/๗๔๐/๓๑๓) “ลักษณะที่บีบค้ันอยูเสมอ เปนลักษณะของทุกข” ทกุ ขฺ ฏเ นาติ ภยฏเ น, ปฏปิ ฬ นฏเ น วา. (ปฏสิ .ํ อ. ๒/๑๘๑/๑๔๐) “คําวา ทุกฺขฏเน แปลวา โดยสภาวะนากลัว หรือโดย สภาวะถูกบีบคั้น” ๓. สภาวะวางเปลาอันนารังเกียจ หมายถึง ทุกขในอริยสัจ มาจาก ทุ (นารังเกียจ) + ข (วางเปลา, ไรแกนสาร) มีรูปวิเคราะห วา กุจฺฉิตํ ขํ ทุกฺขํ (สภาวะวางเปลาอันนารังเกียจ ชื่อวา ทุกข) ดังขอความวา

อนัตตลกั ขณสตู ร ๓๓๑ นิพฺพจนลกฺขณาทิปฺปเภทโตติ เอตฺถ ปน นิพฺพจนโต ตาว อิธ ทุ-อิติ อยํ สทฺโท กุจฺฉิเต ทิสฺสติ. กุจฺฉิตํ หิ ปุตฺตํ ทุปฺปุตฺโตติ วทนฺติ. ขํ-สทฺโท ปน ตุจฺเฉ. ตุจฺฉํ หิ อากาสํ “ขนฺ”ติ วุจฺจติ. อิทฺ จ ปมสจฺจํ กุจฺฉิตํ อเนกอุปทฺทวาธิฏานโต. ตุจฺฉํ พาลชนปริกปฺปต- ธุวสุภสุขตฺตภาววิรหิตโต. ตสฺมา กุจฺฉิตตฺตา ตุจฺฉตฺตา จ ทุกฺขนฺติ วุจฺจติ. (วิสุทฺธิ. ๒/๕๓๐/๑๔๐) “สวนในคําวา นิพฺพจนลกฺขณาทิปฺปเภทโต (โดยประเภท มีรูปวิเคราะห และลักษณะเปนตน) ลําดับแรกโดยรูปวิเคราะห คือ ศัพทวา ทุ ในคําวา ทุกฺข น้ียอมปรากฏในความหมายวา นารังเกียจ ดังจะเห็นไดวา ชาวโลกเรียกบุตรท่ีนารังเกียจ (ชั่ว) วา “ทุรบุตร, บุตรช่ัว” สวนศัพทวา ขํ ปรากฏในความหมายวา วางเปลา ดังจะเห็นไดวา อากาศอันวางเปลาเรียกวา ขํ อนึ่ง สัจจะแรกน้ีเปนส่ิงนารังเกียจ เพราะเปนท่ีตั้งของ อุปทวะมากมาย และวางเปลา เพราะปราศจากความยั่งยืน ความ งาม ความสุข และความเปนตัวตนที่คนเขลาคาดหมายไว ดังน้ัน จึงไดชื่อวา ทุกข เพราะเปนสภาวะวางเปลาอันนารังเกียจ” กุจฺฉิตํ ขํ ทุกฺขํ, คารยฺหํ หุตฺวา อสารนฺติ อตฺโถ. (วิสุทฺธิ.ฏีกา ๒/๕๓๐/๒๑๒) “สภาวะวางเปลาอันนารังเกียจ ชื่อวา ทุกข หมายความ วา นาตําหนิไรแกนสาร”

๓๓๒ อนัตตลักขณสตู ร ๔๑ อภิ.วิ.อ. ๒/๑๕๔/๕๖ ๔๒ สํ.สฬา. ๑๘/๒๕๓/๑๙๓ ๔๓ ม.มู. ๑๒/๒๐๔/๑๗๓ ๔๔ คําวา ตสฺมาติห ตัดบทเปน ตสฺมา + อิห ซอน ตฺ อักษร ดวยสูตรในกัจจายนไวยากรณ (สูตร ๓๔) วา ยวมทนตรลา จาคมา (ลง ย ว ม ท น ต ร ล อักษร และอ่ืนๆ เปนอาคมในเพราะสระ หลังตามสมควร) ทั้งนี้เพราะสันสกฤตมีรูปเดิมวา ตสฺมาตฺ + อิห ใน ภาษาบาลีจึงซอน ตฺ เปนอาคมเพ่ือใหมีรูปคลายคลึงกัน เน่ืองจาก ภาษาบาลีและสันสกฤตมีลักษณะใกลเคียงกันมาก ๔๕ ในประโยควา ตสฺมาติห ภิกฺขเว ยํ กิฺจิ รูป อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ, อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา, วา โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา, หีนํ วา ปณีตํ วา, ยํ ทูเร สนฺติเก วา. “ภิกษุท้ังหลาย เพราะเหตุนั้น รูปอยางใดอยางหนึ่งในโลก นี้ ท้ังที่เปนอดีต อนาคต และปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบ หรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกลก็ตาม” คําวา ยํ ทูเร สนฺติเก วา พบในพระไตรปฎกฉบับตางๆ คือ

อนตั ตลักขณสูตร ๓๓๓ - ฉบับฉัฏฐสังคีติ เลม ๑๒ ขอ ๒๔๔ หนา ๑๙๒ - ฉบับมหาจุฬาฯ เลม ๑๒ ขอ ๒๔๔ หนา ๒๐๖ - ฉบับมหามกุฏฯ เลม ๑๒ ขอ ๒๘๔ หนา ๒๗๖ - ฉบับ สงฺคีติเตปฏกํ เลม ๑๒ ขอ ๒๔๔ หนา ๒๔๗ นอกจากนั้น แมในหนังสือสวดมนตฉบับหลวง (หนา ๗๐) ก็พบรูปวา ยนฺทูเร สนฺติเก วา แตภิกษุทั่วไปในปจจุบันมักสาธยาย วา ยํ ทูเร วา สนฺติเก วา หรือ ยนฺทูเร สนฺติเก วา (แปลงนิคคหิตทาย ยํ เปน นฺ) โดยมี วา ศัพทสองศัพททาย ทูเร และ สนฺติเก ในเร่ืองน้ีขอชี้แจงวา วา ศัพทในท่ีน้ีประกอบรวมกับคําวา ยํ จึงควรมีบทเดียววา ยํ ทูเร สนฺติเก วา เพราะถามี วา สองศัพท เปนรูปวา ยํ ทูเร วา สนฺติเก วา เพ่ือใหประกอบกับ ทูเร และ สนฺติเก ก็ตองมี วา ศัพทอีกบทหน่ึงเพื่อใหประกอบกับ ยํ เปนรูป วา ยํ วา ทูเร วา สนฺติเก วา แตถาเปนเชนน้ันก็จะทําใหคํายาว เกินไป ดังนั้น ควรมี วา ศัพทเพียงบทเดียววา ยํ ทูเร สนฺติเก วา ตามพระไตรปฎกทุกฉบับ ๔๖ มหาโมคฺคลฺลานตฺเถโร หิ สาวกานํ สมฺมสนจารํ ยฏ-ิ โกฏิยา อุปฺปเฬนฺโต วิย เอกเทสเมว สมฺมสนฺโต สตฺต ทิวเส วายมิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺโต. สาริปุตฺตตฺเถโร เปตฺวา พุทฺธานํ ปจฺเจกพุทฺธานฺ จ สมฺมสนจารํ สาวกานํ สมฺมสนจารํ นิปฺปเทสํ สมฺมสิ. เอวํ สมฺมสนฺโต

๓๓๔ อนตั ตลักขณสูตร อทฺธมาสํ วายมิ. อรหตฺตฺ จ กิร ปตฺวา อฺ าสิ “เปตฺวา พุทฺเธ จ ปจฺเจกพุทฺเธ จ อฺ โ สาวโก นาม ปฺ าย มยา ปตฺตพฺพํ ปตฺตุํ สมตฺโถ นาม น ภวิสฺสตี”ติ. (ม.อุ.อ. ๔/๙๓/๕๙) “ความโดยละเอียดวา พระมหาโมคคัลลานเถระกําหนดรู อารมณที่ควรกําหนดของสาวกเพียงบางสวนเหมือนใชปลายไมเทา คํ้าไว พากเพียรอยูตลอด ๗ วันจึงบรรลุอรหัตตผล แตพระสารีบุตร กําหนดรูอารมณที่ควรกําหนดของสาวกโดยส้ินเชิง ยกเวนอารมณ ท่ีควรกําหนดของพระพุทธเจาและพระปจเจกพุทธเจา เมื่อทาน พระสารีบุตรกําหนดรูอยูอยางน้ี พากเพียรตลอดกึ่งเดือนแลวจึง บรรลุอรหัตตผล คร้ันแลวไดดําริวา ‘ธรรมดาวาสาวกอื่นยกเวน พระพุทธเจาและพระปจเจกพุทธเจาผูที่สามารถบรรลุธรรมอันเรา พึงบรรลุดวยปญญา จักไมมี’” คําวา สมฺมสนจาร (อารมณที่ควรกําหนด) คือ ธรรมภายใน ที่เรยี กวา อัชฌตั ตธรรม ซ่ึงสาวกรบั รูโดยประจักษ และธรรมภายนอก ที่เรียกวา พหิทธธรรม ท่ีสาวกรับรูโดยอนุมาน ดังขอความในคัมภีรฎีกาวา พุทฺธานํ สมฺมสนจาโร ทสสหสฺสิโลกธาตุยํ สตฺตสนฺตาน- คตา, อนินฺทฺริยพทฺธา จ สงฺขาราติ วทนฺติ, โกฏิสตสหสฺสจกฺก- วาเฬสูติ อปเร. ตถา หิ อทฺธตฺตยวเสน ปฏิจฺจสมุปฺปาทนยํ โอสริตฺวา ฉตฺตึสโกฏิสตสหสฺสมุเขน พุทฺธานํ มหาวชิราณํ

อนัตตลกั ขณสตู ร ๓๓๕ ปวตฺตํ. ปจฺเจกพุทฺธานํ สสนฺตานคเตหิ สทฺธึ มชฺฌิมเทสวาสิ- สตฺตสนฺตานคตา อนินฺทฺริยพทฺธา จ สมฺมสนจาโรติ วทนฺติ, ชมฺพุทีปวาสิสตฺตสนฺตานคตาติ เกจิ. ธมฺมเสนาปติโนป ยถาวุตฺต- สาวกานํ วิปสฺสนาภูมิเยว สมฺมสนจาโร. (ม.อุ.ฏีกา ๔/๙๓/๓๒๗) “อาจารยทั้งหลายกลาววา ‘อารมณที่ควรกําหนดของ พระพุทธเจาคือสังขาร (รูปนาม) ที่อยูในกระแสรูปนามของเหลา สัตวในหมื่นจักรวาล และที่ไมเน่ืองดวยอินทรีย (ไมมีชีวิต)’ อาจารย อีกพวกหนึ่งกลาววา ‘เปนสังขารที่มีในแสนโกฏิจักรวาล’ กลาวคือ อาจารยท้ังหลายกลาววา ‘มหาวชิรญาณของพระพุทธเจาดําเนิน ไปโดยหยั่งลงสูปฏิจจสมุปบาทนัยเนื่องดวยกาล ๓ มีญาณ ๓๖ แสนโกฏิขณะเปนประธาน สวนสังขารที่ไมเนื่องดวยอินทรียซ่ึงมี ในกระแสรูปนามของเหลาสัตวชาวมัชฌิมประเทศ (ภาคกลางของ อินเดีย) พรอมกับสังขารที่อยูในกระแสรูปนามของตน เปนอารมณ ท่ีควรกําหนดของพระปจเจกพุทธเจา’ บางคนกลาววา ‘เปนสังขาร ที่มีในกระแสรูปนามของเหลาสัตวชาวชมพูทวีป’ สวนวิปสสนาภูมิ (อารมณของวิปสสนาคือสังขาร) เทานั้นเปนอารมณที่ควรกําหนด ของสาวกดังกลาวแมกระท่ังพระธรรมเสนาบดี” ๔๗ อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ยทตีตํ ปหีนํ ตํ อปฺปตฺตฺจ อนาคตํ.

๓๓๖ อนตั ตลกั ขณสตู ร ปจฺจุปฺปนฺนฺจ ยํ ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ อสํหีรํ อสํกุปฺป ตํ วิทฺวา อนุพฺรูหเย. (ม.อุ. ๑๔/๒๗๒/๒๔๑) “อดีตดับไปแลว อนาคตยังมาไมถึง จึงไมควรคํานึงถึง อดีต ไมมุงหวังอนาคต พึงเจริญวิปสสนาญาณใหรูแจงสภาวธรรม ที่เกิดขึ้นอยูในปจจุบันขณะนั้นๆ อันตัณหาทิฏฐิไมอาจฉุดร้ัง และ ทําใหวิบัติได” ๔๘ ปุน จปรํ ภิกฺขเว ภิกฺขุ คจฺฉนฺโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ. โิ ต วา โิ ตมฺหีติ ปชานาติ. นิสินฺโน วา นิสินฺโนมฺหีติ ปชานาติ. สยาโน วา สยาโนมฺหีติ ปชานาติ. ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ, ตถา ตถา นํ ปชานาติ. (ที.ม. ๑๐/๓๗๕/๒๕๙) “ภิกษุทั้งหลาย ขอปฏิบัติอีกอยางหน่ึง คือ ภิกษุ :- ๑. เมื่อเดินอยูก็รูวากําลังเดินอยู ๒. เม่ือยืนอยูก็รูวากําลังยืนอยู ๓. เม่ือน่ังอยูก็รูวากําลังน่ังอยู ๔. เมื่อนอนอยูก็รูวากําลังนอนอยู ๕. หรือเธอตั้งกายไวดวยกิริยาทาทางอยางใดๆ ก็รูกิริยา ทาทางอยางน้ันๆ”

อนตั ตลกั ขณสูตร ๓๓๗ ๔๙ เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตาติ สมนุปสฺสสิ. (สํ.สฬา. ๑๘/๘๗/๕๗) ๕๐ เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตาติ สมนุปสฺสามิ. (สํ.สฬา. ๑๘/๘๗/๕๘) ๕๑ เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตาติ สมนุปสฺสามีติ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ สมนุปสฺสามิ. (สํ.สฬา.อ. ๓/๘๗/๒๑) “คําวา เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตาติ สมนุ- ปสฺสามิ (กระผมรูเห็นวา ส่ิงนี้มิใชของเรา สิ่งน้ีมิใชเรา ส่ิงน้ีมิใช อัตตาของเรา) หมายความวา กระผมรูเห็นวา ไมเท่ียง เปนทุกข ไมใชตัวตน” ๕๒ วิปลฺลาเสสุ อนิจฺเจ นิจฺจํ, อนตฺตนิ อตฺตาติ จ สฺ า- จิตฺตทิฏวิ ิปลฺลาสา, ทุกฺเข สุขํ, อสุเภ สุภนฺติ ทิฏวิ ิปลฺลาโส จาติ อิเม ปมาณวชฺฌา, อสุเภ สุภนฺติ สฺ าจิตฺตวิปลฺลาสาตติย- าณวชฺฌา, ทุกฺเข สุขนฺติ สฺ าจิตฺตวิปลฺลาสา จตุตฺถาณวชฺฌา. (วิสุทฺธิ. ๒/๘๓๐/๓๖๘) ในบรรดาวิปลลาส สัญญาวิปลลาส (ความสําคัญผิด) จิตตวิปลลาส (ความเขาใจผิด) และทิฏฐิวิปลลาส (ความเห็นผิด) ในส่ิงไมเที่ยงวาเที่ยง ในสิ่งมิใชอัตตาวาเปนอัตตา พรอมท้ังทิฏฐิ-

๓๓๘ อนัตตลกั ขณสูตร วิปลลาสในทุกขวาสุข ในสิ่งไมงามวางาม เหลานี้ถูกขจัดดวยญาณ ท่ี ๑ สัญญาวิปลลาส จิตตวิปลลาส และทิฏฐิวิปลลาส ในส่ิงไมงาม วางาม ถูกขจัดดวยญาณที่ ๓ สัญญาวิปลลาส และจิตตวิปลลาส ในทุกขวาสุข ถูกขจัดดวยญาณท่ี ๔” ๕๓ อรหตาป โข อาวุโส โกฏกิ อิเม ปฺจุปาทานกฺขนฺเธ อนิจฺจโต ทุกฺขโต โรคโต คณฺฑโต สลฺลโต อฆโต อาพาธโต ปรโต ปโลกโต สุฺโต อนตฺตโต โยนิโส มนสิ กาตพฺพา. (สํ.ข. ๑๗/๑๒๒/๑๓๓) “ทานโกฏฐิกะ แมพระอรหันตก็ควรหยั่งเห็นดวยปญญา ในอุปาทานขันธ ๕ เหลาน้ีวา ไมเท่ียง เปนทุกข เปนโรค เปนดุจ หัวฝ เปนดุจหนาม เปนของลําบาก เปนอาพาธ เปนอยางอื่น ทรุดโทรม วางเปลา มิใชอัตตา” ๕๔ ปฺ จิเม อาวุโส อุปาทานกฺขนฺธา วุตฺตา ภควตา. เสยฺยถิทํ. รูปุปาทานกฺขนฺโธ ฯเปฯ วิฺ าณุปาทานกฺขนฺโธ. อิเมสุ ขฺวาหํ อาวุโส ปฺ จสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ น กิฺ จิ อตฺตํ วา อตฺตนิยํ วา สมนุปสฺสามิ, น จมฺหิ อรหํ ขีณาสโว, อป จ เม อาวุโส ปฺ จสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ อสฺมีติ อธิคตํ, อยมหมสฺมีติ น จ สมนุปสฺสามิ. (สํ.ข. ๑๗/๘๙/๑๐๒) “ทานผูมีอายุ อุปาทานขันธ ๕ เหลาน้ี ท่ีพระผูมี- พระภาคตรัสไวแลว คือ อุปาทานขันธที่เปนรูป เวทนา สัญญา

อนัตตลักขณสูตร ๓๓๙ สังขาร และวิญญาณ ผมไมรูเห็นอัตตาหรือส่ิงที่เนื่องดวยอัตตา อะไรๆ ในอุปาทานขันธ ๕ เหลานี้ และผมก็ไมไดเปนพระอรหันต ผูสิ้นอาสวะแลว แตผมยังเขาใจวาเปนเรา[ผูดีเลิศหรือประเสริฐกวา คนอ่ืน]ในอุปาทานขันธ ๕ เพียงแตผมไมรูเห็นวารูปเปนตนน้ีเปน เรา” เถรสฺส ปน สมูหโต ปฺจสุป ขนฺเธสุ อสฺมีติ อธิคโต, ตสฺมา เอวมาห. (สํ.ข.อ. ๒/๘๙/๓๔๕) “พระเถระเขาใจวาเปนตัวเราในขันธทั้ง ๕ โดยรวม ดังนั้น จึงกลาวอยางนี้” ๕๕ วิสุทฺธิ. ๒/๖๙๕/๒๗๖ ๕๖ ตมฺป ตตฺเถว ขียติ, น ทูรภาวํ คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยฏเนาติ สมฺมสติ. (วิสุทฺธิ. ๒/๖๙๕/๒๗๖) “แมรูปใกลน้ันก็หมดสิ้นไปในที่ใกลนั้นทีเดียว ไมไปสูท่ี ไกล ดังนั้นผูปฏิบัติจึงพิจารณาวา ไมเที่ยงเพราะหมดส้ินไป” ๕๗ วิสุทฺธิ. ๒/๔๙๘/๑๑๗ ๕๘ ตสฺเสวํ กมฺมวฏฏวิปากวฏฏวเสน นามรูปสฺส ปจฺจย- ปริคฺคหํ กตฺวา ตีสุ อทฺธาสุ ปหีนวิจิกิจฺฉสฺส สพฺเพ อตีตานาคต-

๓๔๐ อนตั ตลกั ขณสตู ร ปจฺจุปฺปนฺนธมฺมา จุติปฏิสนฺธิวเสน วิทิตา โหนฺติ, สาสฺส โหติ าตปริฺ า. (วิสุทฺธิ. ๒/๖๙๐/๒๖๙) “เม่ือภิกษุนั้นกระทําการกําหนดรูปจจัยของรูปนามทาง กรรมวัฏและวิปากวัฏแลวขจัดความสงสัยในกาล ๓ อยางน้ีแลว ก็เปนอันรูเห็นธรรมท้ังที่เปนอดีต อนาคต และปจจุบันทั้งปวงแลว โดยทางจุติและปฏิสนธิ ความรูเห็นเชนน้ันของเธอเปนญาตปริญญา (การหย่ังเห็นดวยการกําหนด)” ๕๙ ที.ม. ๑๐/๓๘๑/๒๖๕ ๖๐ ที.ม. ๑๐/๓๘๑/๒๖๕ ๖๑ ตตฺถ สราคนฺติ อฏวิธโลภสหคตํ. (ที.ม.อ. ๑๐/๓๘๑/๓๙๑) “ในพากยนั้น คําวา สราคํ (จิตท่ีมีราคะ) คือ จิตท่ีประกอบ ดวยโลภะ ๘ ดวง” ๖๒ วีตราคนฺติ โลกิยกุสลาพฺยากตํ. (ที.ม.อ. ๑๐/๓๘๑/๓๙๑) “คําวา วีตราคํ (จิตท่ีไมมีราคะ) คือ โลกียกุศลจิต และ อัพยากตจิต” ๖๓ อถสฺส อิมาย ตรุณวิปสฺสนาย อารทฺธวิปสฺสกสฺส ทส วิปสฺสนุปกฺกิเลสา อุปฺปชฺชนฺติ. วิปสฺสนุปกฺกิเลสา หิ ปฏิเวธปฺปตฺตสฺส

อนัตตลักขณสตู ร ๓๔๑ อริยสาวกสฺส เจว วิปฺปฏิปนฺนกสฺส จ นิกฺขิตฺตกมฺมฏานสฺส กุสีตปุคฺคลสฺส นุปฺปชฺชนฺติ. สมฺมาปฏิปนฺนกสฺส ปน ยุตฺตปยุตฺตสฺส อารทฺธวิปสฺสกสฺส กุลปุตฺตสฺส อุปฺปชฺชนฺติเยว. (วิสุทฺธิ. ๒/๗๓๒/๓๐๔) “ในระยะน้ัน วิปสสนูปกิเลส ๑๐ ประการ (สภาพท่ีทําให วิปสสนาหมนหมอง) ยอมเกิดข้ึนแกโยคีนั้นผูเริ่มบําเพ็ญวิปสสนาดวย ตรุณวิปสสนานี้ กลาวคือ วิปสสนูปกิเลสจะไมเกิดข้ึนแก :- ๑. พระอริยสาวกผูบรรลุปฏิเวธแลว ๒. ผูปฏิบัติผิด (เร่ิมตนมาแตศีลวิบัติ) ๓. ผูละท้ิงกัมมัฏฐาน ๔. ผูเกียจคราน (แมปฏิบัติถูกตองมาแตเร่ิมตน) แตจะเกิดข้ึน แกกุลบุตรผูปฏิบัติโดยชอบ ประกอบความเพียรแลวประกอบเลา ผูเริ่มตนบําเพ็ญวิปสสนาแลวเทานั้น” ๖๔ ปจฺจุปฺปนฺนฺจ ยํ ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ. (ม.อุ. ๑๔/๒๗๒/๒๔๑) “พึงเจริญวิปสสนาญาณใหรูแจงสภาวธรรมท่ีเกิดขึ้นอยูใน ปจจุบันขณะน้ันๆ” ๖๕ ขุ.ธ. ๒๕/๒๗๗/๖๔ ๖๖ ขุ.ธ. ๒๕/๒๗๘/๖๔

๓๔๒ อนตั ตลกั ขณสูตร ๖๗ สํ.สฬา. ๑๘/๒๕๓/๑๙๓ ๖๘ ขุ.ธ. ๒๕/๒๗๙/๖๔ ๖๙ ตตฺถ สพฺเพ ธมฺมาติ ปฺจกฺขนฺธา เอว อธิปฺเปตา. (ขุ.ธ.อ. ๒/๒๗๙/๓๐๑) “ในคาถานั้น คําวา สพฺเพ ธมฺมา (สภาวธรรมทั้งปวง) หมายถึงขันธ ๕ เทาน้ัน” ๗๐ ม.มู.อ. ๒/๒๔๕/๒๑ ๗๑ ขุ.ปฏิ. ๓๑/๒๒๖/๒๘๑ ๗๒ วิสุทฺธิ. ๒/๗๕๕/๓๒๖ ๗๓ วิสุทฺธิ. ๒/๗๖๖/๓๓๒ ๗๔ ที.ปา. ๑๑/๓๒๘/๒๒๐ ๗๕ ฉฬงฺคุเปกฺขา เจสา ขีณาสวสฺส อุเปกฺขาสทิสา, น ปน ขีณาสวุเปกฺขา. (องฺ.ปฺจก.อ. ๓/๑๔๔/๕๖) “อน่ึง ฉฬงคุเปกขาน้ีเปนเชนกับอุเบกขาของพระขีณาสพ แตไมใชอุเบกขาของพระขีณาสพ”

อนตั ตลักขณสตู ร ๓๔๓ ๗๖ วิสุทฺธิ. ๒/๗๖๗/๓๓๔ ๗๗ วิสุทฺธิ.ฏีกา ๒/๗๖๗/๕๐๘ ๗๘ มุฺจิตุกมฺยตาปฏิสงฺขาสนฺติฏนา ปฺา สงฺขารุเปกฺขาสุ าณํ. (ขุ.ปฏิ. ๓๑/๙/๑) “ปญญาท่ีตองการจะสละไป อันกําหนดรูอีก และต้ังอยู ไดดี ช่ือวา สังขารุเปกขาญาณ (ปญญาวางเฉยตอสังขาร)” ๗๙ ยาว นิพฺพานสมฺปกฺขนฺทนา น อิชฺฌติ, ตาว วิจินเนป อุทาสีนตาย าณสฺส สนฺตานวเสน ปวตฺตึ สนฺธายาห “อชฺฌุเปกฺขนํ สนฺติฏนา”ติ. (วิสุทฺธิ.ฏีกา ๒/๗๘๐/๕๑๘) “ทานกลาววา อชฺฌุเปกฺขนํ สนฺติฏนา (การวางเฉย ช่ือ วา การตั้งอยูไดดี) โดยหมายเอาการดําเนินไปของญาณดวยความ ตอเนื่อง เพราะมีความวางเฉยแมในการพิจารณาจวบจนกระทั่งการ แลนสูพระนิพพานยังไมสําเร็จ” ๘๐ วิสุทฺธิ. ๒/๗๙๖/๓๔๕ ๘๑ ขุ.ปฏิ. ๓๑/๕๙/๖๘ ๘๒ ขุ.ปฏิ. ๓๑/๕๙/๖๘ ๘๓ มิลินฺท. หนา ๓๓๕

ดัชนีคนคํา กรรมชรูป ก ๗๙ การกอัตตา ข ๒๔ ขณปจจุบัน ค ๑๗๔ โคตรภูญาณ จ ๒๘๕ จักขุทวารวิถี ๑๒๖, ๑๒๗ จาตุรงคสันนิบาต ฉ ๖๘ จิตตชรูป ๗๙, ๘๐ จุติจิต ๒๔๑ ฉฉักกสูตร ๑๓๖, ๑๓๘ ฉฬงคุเปกขา ๒๗๙

อนตั ตลกั ขณสูตร ๓๔๕ ชีวอัตตะ ช ๑๔ ๑๓๕ ไตรลักษณะ ต ๕๔ ๑๖๔ ทีฆนขสูตร ท ๑๖๕ ๓๑ ทุกข ๒ ชนิด ๑๖๕ ทุกขลักษณะ ๓๓ ทุกขเวทนา ๒๕๗, ๒๖๒ ทุกขานุปสสนาญาณ ๒๗๒ โทมนัสเวทนา ๒๓ ๒๐, ๒๔๐ นิพพิทาญาณ น ๒๗๒, ๒๗๕ ๑๔ นิพพิทาญาณ ๗ ประเภท ๒๙๐ นิวาสีอัตตา ๖๕ ๑๑๕ ปฏิสนธิจิต ป ปฏิสังขาญาณ ผ ปรมอัตตะ ปจจเวกขณญาณ ปุปผสูตร เผณปณฑูปมสูตร

๓๔๖ อนัตตลักขณสตู ร พกพรหม พ ๑๕ พรหมจรรย ๒๙๑ พระโมคคัลลานเถระ ภ ๔๘, ๕๓ พระสารีบุตรเถระ ม ๔๘, ๕๓ พระอัสชิเถระ ร ๔๘ ภยญาณ ว ๒๖๒ ภวังคจิต ๒๐ ภังคญาณ ๑๕๙ มโนทวารวิถี ๑๒๖, ๑๒๘ มรณาสันนวิถี ๑๙, ๒๓๘ มหาพรหม ๑๖ รูป ๑๑ อยาง ๒๐๕ รูปขันธ ๘๒ รูปารมณ ๑๒๙ วิจิกิจฉา ๒๒ วิญญาณ ๙๙, ๑๘๗ วิญญาณขันธ ๘๓ วิบากสังขาร ๗๙, ๘๐ วิมุตตะ ๒๔๙

อนตั ตลกั ขณสูตร ๓๔๗ วีตโมหะ ส ๒๔๘ วีตราคะ ๒๔๗ เวทกอัตตา ๒๕ เวทนา ๓๑ เวทนาขันธ ๘๓ สกทาคามิมรรค ๒๘๙ สักกายทิฏฐิ ๒๒ สังขาร ๘๕, ๑๘๓ สังขาร ๒ อยาง ๗๙ สังขารขันธ ๘๒ สังขารุเปกขาญาณ ๒๗๖ สัจจกนิครนถ ๑๔๒ สัญชัยปริพาชก ๕๒ สัญญา ๖ อยาง ๑๘๐ สัญญาขันธ ๘๓ สันตติปจจุบัน ๑๗๓ สัมมสนญาณ ๑๕๗ สัสสตทิฏฐิ ๑๘, ๕๔, ๕๕ สาติภิกษุ ๑๐๘, ๑๐๙ สามีอัตตา ๒๒ สาวกสันนิบาต ๖๘ สีลัพพตปรามาส ๒๒ สุขเวทนา ๓๑

๓๔๘ อนัตตลักขณสูตร โสดาปตติมรรค ๒๘๙ โสมนัสเวทนา ๓๒ ๑๓๖ อ ๒๘๙ ๑๖๒ อนัตตลักษณะ ๑๕๗ อนาคามิมรรค ๑๖๓ อนิจจลักษณะ ๖๗ อนิจจานุปสสนา ๖๖ อนิจจานุปสสนาญาณ ๒๘๙ อนุปทธัมมวิปสสนา ๒๑ อนุปทสูตร ๒๕๐ อรหัตตมรรค ๒, ๖ อรูปพรหม ๑๘, ๒๐, ๒๑ อวิมุตตะ ๒๒ อัตตทิฏฐิ ๒๖๒ อัตตวาทุปาทาน ๑๘, ๒๓, ๕๔, ๕๕ อัสมิมานะ ๔๖, ๑๕๘ อาทีนวญาณ ๓๒ อุจเฉททิฏฐิ ๒๕ อุทยัพพยญาณ ๑๖ อุเบกขาเวทนา อุปาทานขันธ เอกัจจสัสสตทิฏฐิ