สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน บริเวณเนนิ ดอนดังกลา่ วน้ี ไม่วา่ จะอยใู่ นบริเวณใดในที่นากต็ าม ชาวอีสานมักจะเรยี กวา่ “ดอนหัวนา” ดอนหัวนาจึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะที่จะสร้างท่ีพักอาศัยช่ัวคราวในระหว่างฤดูการทำนาได้เป็นอย่างดี ท้ังยังมีต้นไม้ ใหญ่ให้ร่มเงาและมีเน้ือท่ีที่จะสามารถทำประโยชน์ปลูกพืชผักสวนครัวและไม้ผลต่างๆ ตลอดจนใช้ผูกล่าม - ปล่อยสตั ว์เลย้ี งไปพร้อมๆ กันไดด้ ้วย มอี ะไรในบรเิ วณเถยี งนา? ส่ิงท่ีน่าสังเกตของบริเวณเนินดินหรือดอนหัวนาทั่วๆ ไป ก็คือ มักจะต้องมีต้นไม้ยืนต้นข้ึนอยู่เสมอ อย่างน้อยก็หนึ่งต้น ทั้งน้ีข้ึนอยู่ขนาดเล็กใหญ่ของเนินดินดอนหัวนา ถ้าเป็นเนินดินขนาดใหญ่เพราะต้องการ พื้นท่ีใช้สอยมาก หรอื มพี ืน้ ทนี่ าจบั จองกวา้ งขวางมากพอแลว้ ก็อาจจะมตี ้นไม้มากกวา่ ๑ ต้น แล้วสรา้ งเถยี งนา ไว้ใกล้ๆ ต้นไม้ หรือไมก่ ็จะสร้างไวใ้ ตร้ ม่ ไมน้ ั้นเลย บริเวณดินหัวนาที่ใช้สร้างเถียงนาหลายแห่ง โดยเฉพาะที่อยู่ห่างไกลหมู่บ้าน ซึ่งต้องยกครอบครัวไปอยู่ เถียงนาตลอดฤดทู ำนา มกั จะมีการปลูกพืชผกั สวนครวั หลายชนิดเพ่ือใชย้ งั ชพี เล้ยี งตวั เองให้ได้ เชน่ พริก ขงิ ข่า ตะไคร้ มะนาว หอม มะกรูด บวบ และผักต่างๆ ฯลฯ นอกจากน้ีก็มักจะปลูกไม้ผลและพืชท่ีกินได้ต่างๆ บางอย่างทตี่ ้องการแทรกปนไวบ้ า้ ง เช่น มะละกอ กระถิน มะยม มะขาม แค สะเดา มะกอก เป็นต้น สว่ นใคร จะปลูกตน้ ไมอ้ ะไรบ้างก็สดุ แลว้ แต่ว่าจะต้องการและพนื้ ที่จะอำนวยให้ และก็ยังมีพบอีกว่าใกล้บริเวณเถียงนาหลายๆ แห่งมีการขุดบ่อเลี้ยงปลาไว้ด้วย เพราะปรกติจะมีปลา เข้าไปอยู่เองตามธรรมชาติอยู่แล้ว ทั้งยังจะได้อาศัยน้ำใช้ไปพร้อมๆ กันด้วย ส่วนน้ำด่ืมท่ีจำเป็นนั้นส่วนหน่ึง ก็จะอาศัยน้ำฝน หรือไม่ก็ใช้น้ำสร้างหรือน้ำซับท่ีอาจจะมีอยู่ในแถบนั้นบ้างไม่เช่นนั้นก็ต้องไปอาศัยน้ำด่ืมจาก หมู่บา้ นใกล้เคยี งกไ็ ด้ สำหรับเถียงนาท่ีอยู่ใกล้ๆ ชุมชนหมู่บ้าน ส่วนใหญ่มักจะเป็นเถียงนาขนาดเล็กหรือไม่ก็จะมีลักษณะ ช่ัวคราวมากกว่าเถียงนาท่ีอยู่ไกลหมู่บ้านเพราะส่วนใหญ่จะใช้ประโยชน์เฉพาะเวลาออกไปทำนาตอนกลางวัน ต้ังแต่เช้าถึงเย็นเท่าน้ัน จึงไม่ค่อยจำเป็นท่ีจะต้องทำเหมือนเถียงนาท่ีอยู่ไกลๆ เนื่องจากขนาดเหลืออะไรที่จำเป็น กส็ ามารถกลับไปเอาจากบา้ นได้ นอกจากจะเห็นวา่ ตอ้ งการจะทำประโยชนอ์ ะไรโดยเฉพาะเท่านน้ั แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ไม่ว่าที่นาจะอยู่ใกล้หรือไกลจากหมู่บ้านก็ตาม ชาวอีสานมักจะต้องสร้างท่ีนาไว้เป็น ท่พี กั ชั่วคราวเป็นของตนเอง อย่างนอ้ ยก็ตอ้ งหนงึ่ เถยี งเสมอ ลกั ษณะและขนาดของเถียงนา ขนาดของเถียงนาท่ัวๆ ไป จะแตกต่างกันออกไปไม่ค่อยแน่นอนนัก ซ่ึงจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เชน่ ความต้องการท่จี ะใช้ประโยชน์ ความพอใจท่ีจะสรา้ งและวัสดุเท่าท่จี ะพอมีและหาได้ ฯลฯ แต่ปรกติทว่ั ไป กจ็ ะมขี นาดประมาณ ๒ X ๒ เมตร หรือ ๔ X ๔ เมตร หรอื อาจจะใหญ่กวา่ นีก้ ม็ ีอยู่ไม่นอ้ ย 51
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน สว่ นความคงทนถาวรและความประณตี กจ็ ะขนึ้ อยกู่ บั ความตอ้ งการสว่ นตวั และการใชป้ ระโยชนเ์ ชน่ กนั แต่อาจจะมีเหตุผลอื่นประกอบด้วยบ้างคือ ระยะห่างไกล - ใกล้ ระหว่างหมู่บ้านกับเถียงนา เพราะเถียงนา ท่ีอยู่ห่างไกลหมู่บ้านจะต้องใช้อาศัยอยู่กินหลับนอนค้างคืนท่ีเถียงนาเป็นเวลาต่อเน่ืองกันค่อนข้างยาวนานท้ัง ครอบครัว จึงมักจะมีความจำเป็นต้องสร้างให้มีขนาดใหญ่และมีความคงทนถาวรพอที่จะอยู่กันได้อย่างสะดวก สบายพอสมควรแก่ความจำเป็นตลอดฤดูการทำนา ซ่ึงหลายแห่งจะมีการกั้นฝาเถียงนาให้มิดชิด ด้วยเพราะ นอกจากจะคุ้มแดดโดยการมุงหลังคาแล้ว ยังจะต้องให้สามารถคุ้มฝนได้ระดับหน่ึงด้วย และถ้ายกพื้นสูงก็จำเป็น จะตอ้ งทำบนั ไดข้ึนลงเหมอื นเรอื นพกั อาศยั ท่ัวไป กรณีเช่นนล้ี ักษณะสภาพของเถียงนาก็จะเริ่มเปล่ยี นสภาพเปน็ “เหย้า” หรอื บางคร้ังบางแห่งกอ็ าจจะ เรียกว่า “เถียงเหย้า” ทพ่ี ร้อมจะอยู่อาศยั อย่างถาวรตลอดปไี ด้ และถา้ มกี ลมุ่ เถียงนาของคนอืน่ ขยับโยกย้ายมา สร้างอยู่ใกล้ๆ ร่วมกันมากขึ้น ก็จะมีการพัฒนาให้ถาวรม่ันคงมากยิ่งข้ึน จนกระท่ังมีการเปลี่ยนแปลงโดยการ ร้ือเหยา้ หรือเถียงนาเหย้าเพือ่ สรา้ งเปน็ “เรอื นใหญ่” ข้นึ ใหม่ เปน็ การเตรียมทอี่ ยอู่ าศยั เพื่อรับสภาพสงั คมการ อยรู่ ว่ มกันเป็นครอบครวั รวม (Stem - Family) จนกระทง่ั กลายเปน็ ชมุ ชนใหม่ในที่สุด จากการศึกษาสำรวจลักษณะและขนาดของเถียงนาทั่วๆ ไปในอีสานพบว่าเราอาจแบ่งเถียงนาท่ีสัมพันธ์ กับความจำเป็นเร่ืองประโยชน์ใช้สอยออกได้เป็น ๒ ลักษณะใหญ่ๆ คือ ๑. ลักษณะชั่วคราว ๒. ลักษณะ ค่อนข้างถาวร เถียงนาลักษณะช่ัวคราว มักจะพบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะในกรณีรายท่ีมีนาอยู่ใกล้บ้านสามารถเดินทางไปกลับได้ง่าย ไม่เสีย เวลามากนัก เพราะจะใช้อาศัยเฉพาะเวลากลางวันท่ีออกไปทำนา ส่วนมากมักจะมีขนาดค่อนข้างเล็กเสาหลัก ๔ ตน้ มกั ทำเป็นหอ้ งเดียวโล่งตลอด ยกพืน้ เถยี งง่ายๆ บางเถยี งกจ็ ะไม่ยกพน้ื เพราะใช้วิธีปรบั ดินใหเ้ รียบเป็นพนื้ เลยกม็ ี บางครัง้ กจ็ ะใชแ้ คร่ไมต้ ัง้ ไว้ใต้หลังคาคลมุ กม็ ีเช่นกัน สว่ นบางคนกอ็ าจจะต่อเสาแคร่ไมใ้ หส้ ูงขึน้ ทำให้เปน็ โครงสร้างหลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือหรือหญ้าแฝกตามที่หาได้ เวลาที่ต้องการใช้ก็จะช่วยกันยกออกไปหรือ ยกใส่ลอ้ รถเขน็ ไปตั้งใต้รม่ ไม้ดอนหัวนาจนเรียกกนั เล่นๆ วา่ เถียงนาเคลือ่ นทก่ี ็มี เถยี งนาลักษณะค่อนขา้ งถาวร ส่วนใหญ่มักจะสร้างในนาท่ีอยู่ไกลจากหมู่บ้านมากๆ ไม่สะดวกต่อการเดินทางไปกลับในแต่ละวัน เพราะจะมีสัมภาระและสัตว์ใช้งานไปด้วยทำให้ลำบากยุ่งยากเป็นภาระในการเดินทาง จึงมักจะสร้างค่อนข้าง ถาวรเพอ่ื ใชอ้ าศยั อยู่กินหลบั นอนตดิ ต่อกันนานๆ เกอื บตลอดฤดูทำนา หลายแหง่ ก็จะกั้นฝาค่อนขา้ งมดิ ชิดด้วย แตจ่ ะไม่ก้นั หอ้ ง เถียงนาแบบนมี้ กั จะมีขนาดเสา ๖ ตน้ คือจะม๒ี ห้องเสา มีท้ังใชไ้ มจ้ ริงเนือ้ อ่อนและเนอ้ื แข็ง ทำโครงสร้างทง้ั หมด ยกพนื้ ดว้ ยกระดานไมจ้ รงิ สว่ นหลังคาจะมุงด้วยหญ้าคา หญ้าแฝก หรือแผน่ กระเบื้องไม้ (แป้นมงุ หรอื แปน้ เกล็ด) และสงั กะสที ่ีนยิ มกันมากในภายหลัง 52
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน แต่อย่างไรก็ตาม ลักษณะเถียงนาท่ีกล่าวมาน้ี มิได้หมายความว่าจะเป็นเช่นน้ีท้ังหมด เพราะทั้งลักษณะ ช่ัวคราวและค่อนข้างถาวรที่ว่านั้น จะไม่มีข้อกำหนดแน่นอนตายตัวเสมอไป และเถียงนาจำนวนไม่น้อยก็จะมี การต่อพ้นื ลดช้นั ออกไปข้างๆ เพอ่ื ขยายพนื้ ท่ใี ช้ประโยชนเ์ พิ่มขึน้ มีการตอ่ หลงั คาหลุมดา้ นสกัดหรอื ดา้ นหน้าจ่วั ทั้งแบบชั่วคราวและแบบค่อนข้างถาวร แต่ที่พบเห็นส่วนใหญ่ของท้ังสองลักษณะคือ มักจะมีการปรับปรุง ซ่อมแซมเพ่ือที่จะใช้ในแต่ละปีเสมอ เพราะเม่ือหมดฤดูทำนาแต่ละปีแล้วเถียงนามักจะถูกบากไม้เล็กน้อยแล้ว ปลอ่ ยทง้ิ จนอยู่ในสภาพชำรุดผุพัง เนอื่ งจากใชว้ ัสดุงา่ ยๆ สร้างงา่ ยๆ แบบช่ัวคราว วัสดทุ ใ่ี ชใ้ นการสรา้ งเถียงนา ดังกล่าวแล้วว่า เถียงนาเป็นสถาปัตยกรรมแบบง่ายๆ เพื่ออยู่อาศัยชั่วคราว ดังน้ันโครงสร้างและ สว่ นประกอบของเถยี งนาจึงไม่คอ่ ยจะซับซอ้ นมากนัก ซึ่งจะมสี ่วนรายละเอยี ดและความประณีตน้อย จนเหน็ ไดว้ า่ แตกตา่ งจากเรอื นพักอาศยั ท่วั ๆ ไป มากพอสมควร คือ เสา - เสาของเถียงนาท่วั ไปจะนยิ มใช้ไม้จรงิ ทง้ั เน้ือแข็งและเน้อื ออ่ นเทา่ ทีจ่ ะทำได้ และกห็ าไมย่ ากนัก ในท้องถิ่นชนบทท่ัวไป ส่วนมากจะใช้ขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก ถ้ายกพื้นเตี้ยๆ ก็อาจจะใช้เสาค้ำหรือเสาตอม่อ ก็ได้ บางครั้งก็ใช้ปีกไม้ที่เหลือจากการแปรรูปมาทำก็มีไม่น้อย ถ้าเป็นเถียงนาช่ัวคราวขนาดเล็กๆ ก็อาจจะใช้ ก่งิ ไมม้ าทำเป็นเสากไ็ ด้ ส่วนการประกอบเข้ากบั โครงสรา้ งอน่ื คือ ขางหรอื คาน ข่ือและเสา จะมที ง้ั แบบเจาะเสา สอดคานและเสาง่ามที่มีโคนกิ่งรับคานตลอดจนแบบบากเสาตีแปะ และถ้าเป็นเถียงนาชั่วคราวขนาดเล็กที่ใช้ กง่ิ ไมแ้ ขนงไม้และไมไ้ ผส่ รา้ ง ก็อาจจะใช้วิธีบากไม้เลก็ น้อยแลว้ ตีแปะหรือผกู มดั ด้วยเครอื ไมแ้ ละเชือกก็มีบา้ ง ขาง หรือ คาน - ขางหรือคานของเถียงนาท่ีนำหน้าท่ีรองรับพ้ืนนั้นมักจะใช้ก่ิงไม้ ปีกไม้ หรือเศษไม้ ท่ีเหลือจากการสร้างเรือน สร้างเหย้ามาวางพาดง่ามเสาไม้ หรือสอดเสาเจาะหรือตีแปะเสาบาก แต่ถ้าเป็น เถยี งนาชั่วคราวขนาดเลก็ ไมย่ กพนื้ ก็จะไมม่ ีคาน เพราะปรบั พนื้ ดินให้เรียบแลว้ ปูสาด (สอื่ ) แทน หรือไมก่ ็จะเอา แคร่ไมไ้ ผ่มาวางแทนเปน็ พ้ืน ตง – เป็นโครงสร้างทใ่ี ช้กับเรือนเหยา้ และตูบ วางอยบู่ นคานเพอื่ รองรบั พน้ื ปรกติเถียงนามกั จะไมค่ อ่ ย ใช้ตงมากนัก เพราะส่วนมากมักจะมีขนาดห้องเสาแคบและมักใช้พื้นเป็นไม้จริงที่มีความแข็งอยู่แล้ว แต่ก็มีพบ อยู่บา้ งทใ่ี ชต้ งเปน็ ไมก้ ลมเพอื่ เพม่ิ ความแข็งแรงมากขน้ึ ในกรณที ี่เจา้ ของต้องการ พื้น – ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ไม้จริงเน้ืออ่อนหรือปีกไม้เน้ือแข็ง โดยมักจะวางปูหน้าเรียบไว้ข้างบนแล้ว ถากผิวโค้งด้านล่างให้พอดีกับแนวหลังคานเพ่ือให้ระดับผิวพ้ืนเสมอกัน ถ้าพอมีวัสดุก็จะใช้แผ่นไม้เรียบปูพ้ืน เหมอื นเหย้าและเรอื นท่ัวไป แตบ่ างแห่งที่สรา้ งชั่วคราวง่ายๆ ใชป้ ระโยชน์ไมม่ ากนกั กจ็ ะวางหนา้ เรียบบนหลงั คานปล่อยใหผ้ ิวพน้ื เปน็ ไปตามความโคง้ ของปกี ไม้โดยไม่ปรบั เลยก็มอี ยู่บ้าง ข่อื – จะมที ัง้ แบบสอดหวั เสาท่เี จาะและแบบบากหัวเสาแล้วเอาขอื่ ตีแปะ และแบบวางพาดตแี ปะบน ยอดหัวเสา ถ้าเป็นเถียงนาช่ัวคราวขนาดเล็กก็จะใช้ก่ิงไม้วางพาดแล้วผูกมัดด้วยเครือไม้หรือเชือก แต่เถียงนา บางหลังก็จะไม่มีข่ือรับก็มี เพราะใช้เสากลางต้ังขึ้นรับอกไก่เลย แต่ถ้าเป็นเถียงนาลักษณะค่อนข้างถาวรส่วนใหญ่ จะมีขอื่ ยึดเสาเสมอ 53
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน กอดคอเสา หรอื เส – เปน็ โครงสรา้ งทีอ่ ยู่ในแนวเดยี วกันกับขอ่ื หรืออาจจะอยูใ่ นระดบั สูง - ตำ่ ตดิ ข่อื กับได้ประกอบเข้ากับเสาเช่นเดียวกันกับขื่อมักจะมีอยู่ทุกหลังเพราะเป็นโครงสร้างที่จะรับปลายสะยัวหรือ จนั ทนั ทพ่ี าดลงมาจากอกไก่ ดงั้ – ถา้ เป็นเถียงนาลกั ษณะชัว่ คราวขนาดเล็กจะมที ้ังชนิดดง้ั ตั้งขอ่ื และดง้ั ต่อดิน ถ้าเปน็ แบบดัง้ ต่อดนิ ท่มี ขี อ่ื ก็จะบากเสาด้ังตีแนบกับข่ือข้นึ ไปรบั ยอดจวั่ สว่ นด้งั ต้ังข่อื ส่วนใหญม่ กั จะใชว้ ธิ ีเอาตนี ดัง้ ตีแนบกับข่อื เลย อกไก่ – จะมีทั้งท่ีใช้ก่ิงไม้ในกรณีที่เป็นเถียงนาช่ัวคราวขนาดเล็ก แต่ถ้าเป็นเถียงนาลักษณะค่อนข้าง ถาวรส่วนใหญ่มักจะใช้ไม้จริง การวางไม้อกไก่จะมีหลายลักษณะด้วยกันคือ ถ้ามีเสาด้ังรับก็จะวางอกไก่บน หัวเสาด้ังเหมือนเหย้าและเรือนท่ัวไป แต่ถ้าไม่มีเสาด้ังรับก็จะตีอกไก่แนบกับหัวสะยัวหรือจันทัน เหมือนจะให้ อกไก่เป็นตัวเกาะยึดของสะยัวเท่าน้ันจึงดูคล้ายกับว่าอกไก่จะลอยอยู่เฉยๆ เพราะประโยชน์ในการรับน้ำหนัก ไมม่ ากนัก สะยัว หรือ จันทัน – จะมีใช้ทั้งที่ใช้ก่ิงไม้เล็กๆ และไม้จริงและไม้ไผ่ขนาดเล็ก ส่วนมากจะมีสะยัว พรางเพราะวสั ดสุ ่วนใหญ่ไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก จงึ มกั ตอ้ งใชส้ ะยัวพรางเพ่ือความคงทนแขง็ แรงทจ่ี ะรับน้ำหนัก หลังคาถ้าเป็นเถียงนาแบบค่อนข้างถาวรมักจะใช้ไม้จริงเสมอ เพราะสามารถรับน้ำหนักหลังคาวัสดุต่างๆ ได้ หลายอย่างเกือบทกุ ชนดิ ที่ตอ้ งการจะใช้ หลังคา – เถียงนาส่วนใหญ่จะใช้วัสดุทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ และเห็นว่าจะสามารถเอามาทำได้ เช่น หญา้ คา หญา้ แฝก แปน้ มงุ หรือแป้นเกล็ด (กระเบ้อื งไม้) ตลอดจนสังกะสี และผา้ พลาสตกิ เรอ่ื งวัสดุท่ใี ชส้ รา้ งเถยี งนาน้ี บางทีก็มีการใชว้ สั ดุท่เี หลอื ใช้จากการสรา้ งบ้านเรือนทีอ่ ย่อู าศยั ในหมู่บ้าน หรอื วัสดุที่เหลอื เมือ่ มีการร้ือเรอื นเดมิ เพือ่ สร้างใหม่มาผสมกบั วัสดุที่หาเพมิ่ เตมิ ใหม่ด้วย ประโยชนแ์ ละการเปลีย่ นแปลงของเถียงนา : จดุ เร่มิ ตน้ ของชมุ ชนใหม่ จากท่ีกล่าวมาถึงแง่มุมต่างๆ ของเถียงนา ย่อมจะเห็นได้ชัดเจนว่าประโยชน์หลักของเถียงนาก็คือ ใช้ เป็นท่ีอยู่อาศัยขณะออกทำนาตลอดฤดูทำนาอย่างแน่นอน แต่เมื่อพ้นฤดูทำนาแล้วเถียงนาก็มักจะถูกปล่อยทิ้ง ร้างโดยเจ้าของส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสนใจดูแลรักษา จนกว่าใกล้จะถึงฤดูทำนาใหม่ในปีต่อไป จึงจะไปปรับปรุง ซอ่ มแซมเพื่อจะใช้ประโยชน์อกี ครงั้ จากความเป็นจริงทีพ่ บเหน็ ทัว่ ไปก็คงปฏเิ สธไม่ไดว้ ่า ตลอดเวลาทพี่ ้นหนา้ นาน้ัน แม้ว่าเถยี งนาจะไมไ่ ด้ ถูกใช้ประโยชน์โดยตรงจากเจ้าของมากนักก็ตาม แต่เถียงนาก็ยังสามารถใช้ทำประโยชน์อื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่น เป็นท่ีพักคนเดินทาง เป็นท่ีหลับนอนพักค้างคืนหรือพักชั่วคราวของชาวบ้านที่ออกหาอาหารจับปลา กบ เขียด ในเวลากลางคืน เป็นท่ีพักผ่อนขณะออกไปเลี้ยงวัว ควาย ในเวลากลางวัน เป็นสถานท่ีพักผ่อนอย่างดี ของคนว่างงานเม่ือพ้นหน้าเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เพราะเป็นสถานท่ีโล่งแจ้งสงบเงียบ เย็นสบายในเวลากลางวัน จนคนอสี านพดู กันตดิ ปากว่า “นอนโสกันเลน่ ” คือ นอนพูดคุยกนั เล่นน้ันเอง 54
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน ประโยชน์ท่ัวไปที่พอมองเห็นได้ทางด้านสังคมตรงจุดนี้ก็คือ เป็นโอกาสท่ีจะสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว กัน และได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนทรรศนะความคิด ความรู้ประสบการณ์ท้ังทางด้าน สงั คมและส่วนตัวของกันและกนั นอกจากน้ีก็ยังมีประโยชน์อื่นๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมอีก หลายอย่างในบางโอกาส คือ ใช้เป็นสถานที่เล่นการพนันตามประสาคนว่างงาน ซึ่งเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ อยา่ งหน่ึงของชาวบ้านในชนบท และต่อมาภายหลัง เมอื่ มกี ารจัดตลาดนัดววั ควายกนั มากขน้ึ ในหลายๆ ทอ้ งถน่ิ อีสาน มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งนำควายไปเข้าตลาดนัด แล้วยังขายไม่ได้ ครั้นจะกลับบ้านก็ไม่ทัน หลายรายก็ได้ อาศัยเถียงนาเป็นที่พักผ่อนหลับนอนช่ัวคราว ด้วยเหตุน้ีเถียงนาจึงทำหน้าท่ีเป็นเสมือนบ่อนและโรงแรมไปโดย ปริยาย ส่วนในด้านการเปล่ียนแปลงด้านวัสดุและเทคโนโลยีน้ันมักจะมีความสัมพันธ์กับประโยชน์ใช้สอย เถียงนาเป็นหลัก และบางคร้ังก็จะเกี่ยวข้องกับความสามารถของเจ้าของทั้งทางด้านฝีมือ ประสบการณ์และ การหาวสั ดทุ ่ีตอ้ งการ แต่ภายหลงั ก็มีปรากฏพบอยบู่ ้างวา่ จะเกย่ี วข้องกับฐานะทางเศรษฐกจิ ด้วยคอื ผมู้ ีฐานะ ทางเศรษฐกจิ ดบี างคนจะหันมาสร้างเถียงนาด้วยอฐิ และปนู กันบ้างแล้ว การเปล่ียนแปลงที่สำคัญที่สุดที่เก่ียวข้องกับการใช้สอยเถียงนาในแง่มุมด้านพัฒนาการของการตั้ง ชุมชนหมู่บ้านก็คือ เถียงนาที่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านส่วนใหญ่มักจะมีลักษณะค่อนข้างถาวรม่ันคงและมิดชิด สามารถตอบสนองประโยชน์ใช้สอยของครอบครัวเดี่ยวได้ดีระดับหน่ึงตลอดฤดูทำนากรณีเช่นน้ีหลายแห่งจะมี การเปลี่ยนแปลงโดยการปรับปรุงเถียงนาให้ดีข้ึนประกอบกับถ้ามีปัญหาการเดินทางในแต่ละคร้ัง และมีความ จำเป็นที่จะต้องแยกครอบครัวตามประเพณีนิยมของชาวอีสานแล้ว ก็อาจจะยกและแยกครอบครัวออกไปอยู่ เถียงนาอยา่ งถาวรเลยกม็ อี ยู่ไมน่ อ้ ย ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ก็มักจะมีเถียงนาของเพื่อนบ้านหรือต่างหมู่บ้านท่ีตั้งอยู่ใกล้เคียงยกและแยกครอบครัว ออกมาอยูร่ ว่ มดว้ ยเสมอ อย่างน้อย ๒ - ๓ ครอบครัว เม่อื ถงึ ระยะเวลาหนึง่ ก็จะมกี ารแยกครอบครวั ต่อๆ กัน ออกไปอีกโดยการสร้างที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงกันมากขึ้นจนกระท้ังกลายเป็นชุมชนใหม่เกิดข้ึน เช่น บา้ นคยุ โพธ์ิ อ.โพธ์ชิ ยั จ.ร้อยเอ็ด ทเี่ กดิ เปน็ ชมุ ชนใหม่จากชาวบา้ นหนองแก่ง บ้านวงั ยาว อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด แยกออกมาตั้งเพราะยากลำบากในการเดนิ ทางที่ตอ้ งขา้ มลำชถี งึ ๒ ตอน บา้ นหนองขาม อ.สมเดจ็ จ.กาฬสนิ ธ์ุ เกิดจากชาวบ้านหมูมน่ บ้านนาทนั อ.สมเด็จ และชาวบ้านนาจารย์ อ.เมอื ง จ.กาฬสินธุ์ เพราะต้องเดนิ ทางไกลและ บา้ นเหลา่ สม้ ลม อ.นาดูน จ.มหาสารคาม เกิดจากชาวบ้านดงดวน และบ้านหนองบวั นอ้ ย อ.นาดนู จ.มหาสารคาม เปน็ ตน้ สำหรับเถียงนาทอี่ ย่ใู กลช้ ุมชนหมูบ่ า้ น แม้จะมโี อกาสเปลยี่ นแปลงพฒั นาเปน็ ชุมชนใหม่น้อยกวา่ กต็ าม แตก่ ็พอมอี ย่บู า้ งในกรณีทพ่ี ่อแม่มีบริเวณทด่ี ินในหมูบ่ ้านเหลือนอ้ ยจนไม่พอใช้สร้างเหย้า - เรือนใหม่ หรอื ขนาด พื้นที่ในหมู่บ้านเร่ิมแออัด พ่อแม่ของบางคนก็อาจจะให้ลูกหลานแยกครอบครัว โดยให้ไปปรับปรุงเถียงนาของ ตนท่อี ยใู่ กล้ๆ หม่บู า้ น ให้เปน็ เหย้าอยอู่ าศยั กนั ไปพลางๆ กอ่ น แลว้ ตอ่ มาภายหลงั ก็มกั จะมเี พอ่ื นบ้านออกไปอยู่ สมทบมากข้ึน กรณีเช่นน้ีก็จะเกิดเป็นชุมชนใหม่ในลักษณะท่ีเรียกกันว่า “คุ้มน้อย” เช่น บ้านตาอุด คุ้มน้อย อ.ธวชั บุรี จ.รอ้ ยเอด็ เปน็ ต้น 55
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน การเปลี่ยนแปลงในด้านพัฒนาการของเถียงนาในลักษณะดังกล่าวนี้ กล่าวได้ว่าเป็นผลของแรง ผลักดันอย่างหน่ึงของประเพณีความเชื่อในสังคมอีสาน ท่ีนิยมแต่งงานแล้วต้องให้ฝ่ายชายไปอยู่บ้านฝ่าย หญิงเปน็ ครอบครวั รวม (Stem - Family) และเมอ่ื ถงึ เวลาหนง่ึ ก็ต้องแยกออกไปอยู่กนั เองเปน็ ครอบครัว เด่ียว (Nuclear Family) ต่างหาก ซึ่งลักษณะขนาดเถียงนาท่ัวไปสามารถตอบสนองประโยชน์ใช้สอยของ ครอบครัวเด่ียวได้อย่างเหมาะสมพอสมควร และก็ดูจะง่ายท่ีจะปรับปรุงเพิ่มให้เป็นเหย้าที่มิดชิดย่ิงขึ้นอีกระดับ หน่งึ แม้กระท้ังจะรื้อเถียงหรือเหย้าเพื่อสร้างเรือนใหญ่ที่ม่ันคงแข็งแรงเพ่ือเป็นการเตรียมรับสภาพการอยู่ ร่วมกนั เปน็ ครอบครัวรวมต่อไปเมื่อลกู สาวแตง่ งานในอนาคต กเ็ ป็นเรอื่ งไม่ยากเลย กล่าวโดยสรุป ก็จะเห็นได้ว่าท่ีพักอาศัยหลังแรกของมนุษย์ท่ีออกมาสร้างท่ีอยู่อาศัยกันเองนอกถ้ำ เพิงผานน้ั คือ ที่พักลักษณะงา่ ยๆ ใช้วัสดุในทอ้ งถนิ่ ทพี่ อหาไดแ้ ละพอจะสามารถทำไดต้ ามขีดความสามารถดา้ น เทคนิควิทยา ซ่ึงสามารถตอบสนองประโยชน์ใช้สอยได้อย่างเหมาะสมกับการอยู่อาศัยร่วมกันของครอบครัว เดี่ยว ลกั ษณะทพี่ กั อาศยั หลงั แรกของมนษุ ยด์ งั กลา่ วน้ี นา่ จะมลี กั ษณะเชน่ เดยี วกนั กบั ทพ่ี กั อาศยั ชวั่ คราว ของชาวอสี านในปจั จบุ ันทเี่ รียกกนั วา่ “เถยี งนา” ท่ีเป็นสถาปตั ยกรรมแบบง่ายๆ ใชอ้ ยูอ่ าศัยในช่วงท่ปี ระกอบ อาชีพเกษตรกรรมทำนา ตั้งอยู่ใกล้แหล่งทำมาหากิน และมักจะออกไปอยู่กันเป็นครอบครัวเดี่ยวในช่วงฤดูการ ทำนาด้วย เมื่อบ้านหลังแรกได้เปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ทางเทคนิควิทยา เพ่ือตอบสนองประโยชน์ใช้สอย ของครอบครัวตามพัฒนาการของสังคมจนกลายเป็นชุมชนหมู่บ้านอยู่ติดท่ีถาวรมากขึ้นแล้ว ท่ีพักอาศัยจึงต้องมี การปรบั เปล่ยี นขนาดของครอบครวั ทีเ่ ป็นแบบครอบครวั รวม (Stem - Family) 56
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน สว่ นทพ่ี กั อาศยั แบบเดมิ ลกั ษณะงา่ ยๆ หรอื เถยี งนา จงึ กลายเปน็ เหมอื นบา้ นหลงั ทสี่ องไป ดงั ทเี่ หน็ กนั ในปัจจุบนั ลักษณะสภาพเถียงนา / เถียงไฮ่ ท่สี รา้ งขน้ึ ในพน้ื ท่ีทีเ่ จา้ ของสา้ วนาไว้ (สมชาย นลิ อาธิ : ขอ้ มลู /ภาพ, ๒๕๒๓) เถียงนาทีส่ ร้างแบบเรยี บง่าย เพ่อื ใชก้ ำบังแดดฝนในหมูบ่ า้ นเก่าเดื่อ ต.ท่งุ คลอง อ.คำม่วง จ.กาฬสนิ ธุ์ (ณรงคศ์ กั ด์ิ ราวะรนิ ทร์ : ข้อมลู /ภาพ, ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๕) 57
เล้าขา้ ว* ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมชาย นลิ อาธิ สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน สังคมอีสานเป็นสงั คมเกษตรกรรมทำนาเปน็ หลัก ซง่ึ จัดว่าเปน็ สังคมพง่ึ ตวั เอง ทีต่ อ้ งชว่ ยตวั เองในเกือบ ทุกดา้ นมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นดา้ นการทำมาหากนิ เคร่อื งมอื เคร่อื งใช้และเทคโนโลยีตา่ งๆ เป็นต้น ชาวอสี าน ส่วนใหญ่จึงต้องแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตในครอบครัว ในสังคมของตนตามมีตามเกิดเท่าท่ีธรรมชาติในท้องถิ่น จะอำนวยให้ ววิ ฒั นาการหรือพัฒนาการทางชีวติ และสงั คม จึงคอ่ นขา้ งจะเช่อื งชา้ อยูม่ ากพอสมควร แตน่ น่ั ก็มิใชค่ วามผดิ ของชีวติ แตล่ ะชวี ติ ที่เกิดมาในภาคอีสานมใิ ช่หรือ? แม้ว่าพนื้ ท่ที ำนาในภาคอสี านจะมีมากถงึ ๗๒.๔%๑ ของพื้นที่ถอื ครองท้ังหมดในภาคอีสานก็ตาม แตช่ าว อสี านก็ยังไม่สามารถจะเพมิ่ ผลผลิตข้าวใหส้ ูงมากขึน้ ไดเ้ พราะเหตปุ ัจจยั ทบ่ี บี บังคับหลายๆ ดา้ น โดยเฉพาะอย่างย่งิ ภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงทำให้วิถีชีวิตของชาวอีสานต้องหมดไปกับการทำนา เพื่อให้ได้ข้าวมา เลี้ยงชีวติ ไมน่ อ้ ยกว่า ๔-๕ เดอื น ในแต่ละปี ด้วยเหตนุ ี้ จึงดเู หมอื นวา่ ขา้ วจะเป็นสมบัติอันลำ้ คา่ แหง่ ชวี ติ ไปโดยไม่รู้สกึ ตัวในสำนึกของคนอสี าน การเก็บรกั ษาข้าวใหอ้ ย่ใู นสภาพดี ที่พรอ้ มจะนำมาปรุงเปน็ อาหาร และแลกเปลย่ี นหรือขายไดต้ ลอดปี จึงมคี วามสำคัญและจำเป็นย่งิ เพราะนั่นยอ่ มหมายถึงความอยรู่ อดของชวี ิตทุกคนในครอบครัว ทร่ี ่วมเหนือ่ ยยาก มาด้วยกัน ฉะน้ันจึงไม่ใช่เร่ืองที่น่าประหลาดเลย ที่ชาวอีสานจะต้องสร้างที่เก็บรักษาข้าวเปลือกที่ได้ด้วยหยาดเหง่ือ และทกุ ขย์ ากไวป้ ระจำบา้ นเปน็ ของตนเองโดยเฉพาะ แตท่ วา่ ชาวอสี านกต็ อ้ งเผชญิ กบั ปญั หาเรอ่ื งวสั ดุ เทคโนโลยี ฯลฯ อันจำกัดต่อไปอย่างไม่มีที่ส้ินสุด แต่ชาวอีสานก็ไม่เคยย่อท้อท่ีจะใช้สติปัญญาแก้ปัญหา จากประสบการณ์ตรงเท่า ที่มีและเท่าท่ีจะทำได้ดว้ ยความอดทนมาโดย ตลอด ส่ิงกอ่ สร้างเพ่ือเก็บรักษาขา้ วเปลือกดงั กล่าวน้ี ชาวอีสานทวั่ ไปเรยี กกันอย่างหนึ่งวา่ “เลา้ ข้าว” * เล้าข้าว. พมิ พเ์ ผยแพรใ่ นวารสารเมืองโบราณ ฉบบั ประติมากรรมในประเทศไทย พฤศจิกายน ๒๕๒๖ ๑ ข้อมูลจากหนังสอื ภูมิศาสตรอ์ ีสาน ของอภศิ ักด์ิ โสมอนิ ทร์ หน้า ๙๓ ว่ามพี น้ื ทีใ่ นอสี านทงั้ หมด ๑๐๖,๓๙๑,๒๕๐ ไร่ เปน็ พน้ื ท่ีถอื ครอง ๔๖,๔๓๖,๐๒๕ ไร่ และเป็นพ้นื ทีท่ ใี่ ชท้ ำนา ๓๓,๖๑๔,๗๗๑ ไร่ 58
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสานความหมายของเลา้ ข้าว ถ้าจะยึดถือพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ กันแล้วความหมายก็ย่อมจะ คลาดเคล่ือนไปจากที่ชาวอีสานเรียกกันไม่น้อยเลยทีเดียวท้ังนี้เพราะพจนานุกรมฯฉบับดังกล่าวได้ให้ความหมาย ไวว้ า่ เล้า น. คอกสำหรบั ให้สตั ว์อยู่ เช่น เป็ด และหมู แต่ในความหมายของชาวอีสานนนั้ เลา้ จะหมายถงึ สงิ่ ก่อสรา้ งท่ีใช้เปน็ ทเ่ี กบ็ รกั ษาเมล็ดขา้ วเปลอื กดว้ ย และในหลายๆ แห่งก็ยังเอาคอกสำหรับใหส้ ัตวอ์ ยมู่ าไวใ้ ตถ้ ุน หรอื ข้างๆ เล้าทเี่ ก็บข้าวอกี ด้วย และก็เรียกวา่ เลา้ เหมือนกัน จากความหมายวา่ เป็นท่ีเก็บข้าวนี้เองเลา้ ขา้ วอีสานจึงทำหน้าท่เี ชน่ เดียวกันกับ ย้งุ หรอื ฉาง ของภาค กลาง จะต่างกันอยู่บ้างก็ตรงที่ เล้าข้าวของอีสานทั่วๆ ไปอาจจะมีขนาดเล็กกว่ายุ้งหรือฉางบ้างเท่าน้ันเพราะ พจนานุกรมฉบับดงั กลา่ วไดใ้ ห้ความหมายไว้อกี วา่ ยุ้ง น. ส่ิงปลูกสรา้ งสำหรบั เก็บขา้ วเปลือก ฉาง น. โรงเก็บขา้ วหรือเกลือขนาดใหญ่ ส่วนในความหมายทางประโยชน์ใช้สอยในท้องถ่ินอีสานนั้น จะเรียกกันว่า “เล้าข้าว” ซึ่งหมายถึง สง่ิ ก่อสร้างท่ตี ้องยกพืน้ ให้สงู จากพนื้ ดนิ ประมาณ ๑-๒ เมตร หรือบางแห่งอาจจะสงู กวา่ นี้เลก็ นอ้ ยกม็ ี นยิ มสรา้ งเป็นรปู ทรงสเ่ี หลี่ยมผนื ผา้ ขนาดประมาณ ๑-๒ ถึง ๔ ห้องเสา แตถ่ า้ ยกพื้นเต้ียๆ หรือปรบั พ้นื ดินให้เรียบเป็นพน้ื แทนพน้ื ไม้ แลว้ ใชไ้ ม้ไผส่ านกันเป็นรปู วงกลม มีหลงั คาคลุม จะเรยี กกนั ว่า “ซอมขา้ ว”๒ วัสดทุ ใ่ี ช้สรา้ งกม็ ักจะใชว้ สั ดุเท่าท่ีมีอยู่ หรือเทา่ ที่พอจะหาไดใ้ นท้องถน่ิ เม่อื พจิ ารณาจากลกั ษณะของท่เี กบ็ ข้าวเปลอื กเป็นหลักแลว้ สามารถแบ่งออกได้เปน็ สองลกั ษณะ คอื ๑. เลา้ ขา้ ว ๒. ซอมขา้ ว แต่ในทีน่ ี้จะขอกลา่ วถึงเฉพาะ เลา้ ข้าว เท่าน้ัน ๒ ปัจจุบันยังมใี ช้กนั อยูใ่ นอีสาน มลี กั ษณะเปน็ ทรงกลม สานด้วยไมไ้ ผ่ บรรจขุ ้าวไดไ้ ม่มากนกั 59
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสานพัฒนาการของเลา้ ข้าว ถ้าพจิ ารณากนั โดยทว่ั ไปเรอื่ งสถานท่เี ก็บข้าวเปลอื กทเ่ี รียกกนั ว่าย้งุ น้นั นา่ จะมขี ึน้ มาพรอ้ มๆ กับคนรู้จัก ปลูกข้าวเก็บไว้กินน้ันเอง แต่การท่ีจะกำหนดอายุเล้าข้าวในอีสานให้แน่นอนลงไปในท่ีนี้ ก็เป็นเร่ืองที่ค่อนข้าง ยากอยูไ่ ม่นอ้ ยเหมอื นกัน เท่าท่ีพอมีหลักฐานปรากฏในวรรณคดีเก่า ประกอบกับท่ีใช้เรียกกันอยู่ในอีสานปัจจุบันนั้นพอจะ สนั นษิ ฐานเปน็ เบอ้ื งตน้ ไดว้ า่ จะใชป้ ระโยชนเ์ ชน่ เดยี วกนั กบั “เยยี ”๓ และ “ซอมขา้ ว” คอื ใชเ้ ปน็ สถานทเี่ กบ็ รกั ษา ข้าวเปลือกเหมอื นกบั “ยงุ้ ” และ “ฉาง” นนั่ เอง คำวา่ “เยยี ” น่าจะเป็นคำท่ใี ช้เรียกส่ิงกอ่ สรา้ งสำหรบั เก็บขา้ ว มาก่อนคำอืน่ เพราะมปี รากฏอยูใ่ นศลิ า จารกึ ของพอ่ ขนุ รามคำแหง แห่งกรุงสโุ ขทัย ว่า “ชา้ งขอลกู เมยี เยยี ข้าว”๔ และในวรรณคดเี ร่ือง ท้าวฮ่งุ ท้าวเจือง ซงึ่ เปน็ วรรณคดพี ืน้ บา้ นรนุ่ เก่าของอีสาน กม็ ีคำวา่ เยีย ใชอ้ ย่ดู ว้ ย คือ “เงนิ คำล้นเยยี กอง ไวล้ า่ ง” และ “ฝงู นั้นของแพงไวใ้ นเยีย เอาอาชญ”์ ๕ เม่ือประกอบกับค่านิยมรุ่นเก่าของอีสานแล้ว ก็ยิ่งน่าเช่ือว่าจะเป็นคำเก่าดั้งเดิมท่ีใช้เรียกกันอยู่จริงๆ เพราะในอดตี ของสงั คมอสี านนน้ั เคยมปี รากฏเรอ่ื งความเชอ่ื ทางสงั คมอยา่ งหนง่ึ วา่ ถา้ หญงิ -ชายคใู่ ดเมอื่ แตง่ งาน กันแลว้ มกั นยิ มใหฝ้ ่ายชายไปอยกู่ ับฝา่ ยหญงิ คอื อยู่ทบ่ี า้ นพอ่ ตา แม่ยายเสมอ ซ่งึ ยึดถอื ปฏิบตั ิกันมานาน แมใ้ น ปัจจุบันน้กี ็ยงั มีปฏบิ ัติกนั อยู่ไมน่ ้อย จนมกี ลา่ วเกีย่ วกบั เรื่องตกทอดกนั มาวา่ “เอาลกู เขยมาเลยี้ งพ่อเฒ่าแมเ่ ฒา่ ปานได้ข้าวมาใสเ่ ลา้ ใสเ่ ยยี เอาลกู ใภม้ าเลยี้ งปู่ เล้ยี ง ย่า ปานเอา ผหี ่ามาใสเ่ ฮอื น ใสช่ าน” จะเหน็ ได้วา่ มคี ำวา่ เล้า เขา้ มาใชร้ ่วมอยดู่ ้วย จงึ นา่ จะเปน็ คำกล่าวในระยะหลงั ๆ ที่มคี ำว่าเลา้ ใช้กันแล้ว แต่ขณะเดยี วกนั คำว่าเยียก็คงมีใชก้ ันอยดู่ ว้ ย แต่ในปัจจบุ ันคำว่า เยีย เรม่ิ จะเลือนหายไปจากสังคมอีสานมากแล้วส่วนคำว่า เล้า นนั้ ยังมีใช้กนั อยู่จน ปัจจุบันน้ี เข้าใจว่าคงจะมาใช้กันภายหลังเป็นแน่เพราะมีหลักฐานปรากฏอยู่ในโองการแช่งน้ำโคลงห้า สมัยพระเจ้า อูท่ องแห่งกรงุ ศรีอยธุ ยา วา่ ๓ ในชนบทอีสานยังมีคำนี้ใช้เรียกกันอยู่บ้าง แต่ลักษณะรายละเอียดท่ีแท้จริงของเยีย ยังไม่มีใครอธิบายได้ เพยี งแต่รู้แลว้ เขา้ ใจกันทัว่ ๆ ไปวา่ มปี ระโยชนใ์ ชส้ อยเหมอื นกบั เล้าข้าวในปัจจุบนั ๔ ชัยสทิ ธิ์ เศรษฐบปุ ผา, ภาษาถ่นิ ในวรรณคดี, โรงพมิ พม์ ิตรสยาม, ๒๕๑๔ หนา้ ๖ ๕ เล่มเดมิ , หน้าเดิม 60
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน “บซ่ อื่ มล้าง เอาใส่เล้า”๖ แต่อยา่ งไรก็ดี น่ีก็เป็นเพียงขอ้ สันนิษฐานเท่าท่ีพบแลว้ ในอดีตเทา่ น้ัน ซง่ึ อาจจะยังไมส่ ามารถจะยืนยัน ไดว้ า่ เลา้ ข้าวในอสี านปัจจบุ นั จะตอ้ งสบื ทอดมาแตค่ รัง้ น้ันเสมอไป ฉะนั้นจงึ จำเป็นจะต้องมีการศึกษาหาหลกั ฐานด้านอื่นๆ มาสนับสนุน สำหรับเล้าข้าวท่ีพบเห็นและมีปรากฏใช้กันอยู่ในอีสานปัจจุบันนี้นั้นส่วนใหญ่มีลักษณะรูปร่าง รูปทรง ตลอดจนโครงสรา้ งหลกั ทางสถาปตั ยกรรมคล้ายคลงึ กนั ท่พี อจะเหน็ ว่าต่างกนั บา้ งก็ที่ ฝาเลา้ และหลงั คาเล้าเท่านั้น ในทน่ี ี้ จะพจิ ารณาวัสดทุ ่ใี ชท้ ำฝาเลา้ เปน็ ตวั กำหนดความต่างของอายุ ก่อน-หลัง เปน็ หลักทัง้ น้ีเพราะ ฝาเลา้ ขา้ วจะเปน็ ส่วนประกอบท่ีมคี วามสำคญั ตอ่ การรับน้ำหนัก หรอื แรงผลกั ดนั จากน้ำหนกั ภายในท้งั หมด และกส็ ่ิงนแี้ หละท่เี ปน็ ประโยชน์ใช้สอยโดยตรงของเลา้ ข้าวท่วั ไป จากการพิจารณาวัสดุที่ใช้ทำฝาเล้าข้าวเป็นหลัก เราอาจแบ่งอายุของเล้าข้าว เป็นพ้ืนฐานเบื้องต้น ไดส้ องรนุ่ คอื ๑. รุ่นแรก จะเป็นเลา้ ขา้ วฝาขดั แตะ ๒. รุ่นหลงั จะเปน็ เลา้ ขา้ วฝาไม้จริง ลกั ษณะและขนาดของเล้าข้าว เมื่อเปรยี บเทียบกันโดยท่ัวไปแลว้ ลักษณะของเล้าขา้ วอสี านจะมีขนาดค่อนขา้ งเล็กกวา่ ของท้องถน่ิ อืน่ ๆ รูปทรงเป็นส่ีเหลย่ี มผืนผา้ บางแห่งอาจจะมีขนาดเล็ก-ใหญต่ า่ งกันไปบา้ ง ข้ึนอยู่กบั กำลงั ความสามารถของเจา้ ของและฐานะทาง เศรษฐกิจ ซึง่ มักจะเก่ียวพันกับจำนวนพ้ืนทท่ี ำนาและปรมิ าณผลผลิตทีท่ ำได้ในแตล่ ะปีด้วย ขนาดท่ีนิยมสร้างและพบกันทั่วๆ ไป คือ ขนาดประมาณ ๒-๔ ห้องโดยส่วนใหญ่จะถือช่วงเสาเป็น เกณฑก์ ำหนดความกวา้ งยาวโดยประมาณ ดงั นี้คอื ความสูงจากพนื้ ดินถึงตงหรือพืน้ เล้าประมาณ ๑-๒ เมตร ความสงู จากพื้นเล้าถึงขือ่ ประมาณ ๒ เมตร ความกวา้ งดา้ นหน้าประมาณ ๒.๕ เมตร ความยาวของห้องเสา (ด้านขา้ ง) ประมาณ ๑.๕-๒ เมตร (สดุ แล้วแต่วา่ ใครจะสรา้ งขนาดกี่หอ้ งเสา) ๖ เลม่ เดมิ , หนา้ ๑๑ 61
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน เล้าข้าวขนาดหนง่ึ หอ้ งเสานี้ จะมีความจขุ ้าวเปลือกได้ประมาณ ๓๐๐-๕๐๐ ถัง หรอื ประมาณ ๕๐-๖๐ กระสอบ แตเ่ ม่อื กอ่ นชาวอีสานมักจะใชก้ ระบงุ ตวงข้าวกนั กอ็ าจจะบรรจุไดป้ ระมาณ ๒๐๐-๒๕๐ กระบุง วสั ดุท่ใี ชส้ ร้างเลา้ ข้าว ในส่วนโครงสรา้ งท้ังหมดจะนิยมใช้ไมเ้ นอ้ื แขง็ สร้าง เช่น เสา, ขาง (คาน), ตง, ครา่ ว, ข่ือ, สะยวั (จนั ทนั ), ดง้ั ตลอดจนกะทอด (พรึง), แป, กลอน และวงกบประตู เปน็ ตน้ ท้งั นีก้ เ็ พอื่ ความคงทนแขง็ แรงในการรบั น้ำหนกั อนั เป็นหน้าท่หี ลกั ของเล้าขา้ วนัน่ เอง สำหรับเล้านั้น มีทั้งท่ีใช้ไม้ง่ามเพ่ือวางขาง (คาน) และต้นตรงแล้วเจาะเสาสอดคาน ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับว่า จะหาวัสดุลักษณะไหนได้ แต่ปัจจุบันมักจะพบว่าใช้วิธีเจาะเสากันเป็นส่วนมาก และรวมท้ังการประกอบ โครงสรา้ งอน่ื ๆ ก็จะใชว้ ิธีเจาะเขา้ ไมท้ ้ังหมดด้วยเชน่ กนั ส่วน ตง นั้นจะมีหรือไม่ก็ได้ ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับวัสดุคือไม้ และความต้องการในเร่ืองความคงทนแข็งแรง เพราะถ้าใช้ตงวางบนคานก็จะช่วยทำให้การรับน้ำหนักของพ้ืนเล้ามีมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าจะมีแต่คานโดยไม่มีตง กส็ ามารถจะรบั น้ำหนักได้อยู่แล้ว ในสว่ นเครอ่ื งประกอบเล้าขา้ วนัน้ จะใช้วัสดุต่างๆ กันตามความจำเปน็ ดงั น้ี หลังคา จะมีรูปทรงเป็นหน้าจั่วในรุ่นแรกจะนิยมใช้หญ้าแฝก, หญ้าคามุงกันมาก ต่อมาในรุ่นหลังจึงมี การใช้แผ่นไมม้ ุง (แปน้ มงุ -แผ่นไม้จรงิ ทีเ่ อามาตดั หรือถากใหเ้ ป็นรูปคล้ายกระเบอื้ งดินขอ) และสงั กะสี เป็นตน้ หน้าจ่ัว ท้ังสองรุ่นมักจะใช้หญ้าแฝก, หญ้าคา ตลอดจนไม้ไผ่สานก็มีบ้าง แต่ไม่มากนักจุดประสงค์ ก็เพื่อกันฝนสาดเข้าไปถกู ข้าวเปลอื กทเี่ กบ็ ไว้ในเลา้ พื้น ท้ังสองรุ่นจะใช้ไม้จริงเนื้อแข็งเหมือนกัน เพราะเป็นส่วนท่ีต้องรับเช่นเดียวกันกับฝาเล้า แต่เม่ือ ปูพื้นด้วยไมจ้ ริงแลว้ จะทำให้เกดิ รอ่ งระหว่างแผน่ ซ่งึ อาจจะทำให้ข้าวเปลือกร่ัวออกไดง้ ่าย ชาวอีสานจึงใชไ้ ม้ไผ่ ผ่าเป็นชิ้นกว้างประมาณ ๒ ซ.ม. เศษๆ หรือบางคร้ังก็อาจจะใช้ไม้จริงตีทับตามแนวร่องปิดไว้ไม้ช้ินท่ีตีปิดร่อง ดงั กล่าวนเี้ รียกวา่ “ลกี ” หรอื “ลกี ไม้” ฝา จัดว่าเป็นเคร่ืองประกอบเล้าท่ีมีความสำคัญมาก ในแง่ประโยชน์ใช้สอย ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของ เลา้ ขา้ ว ในรุ่นแรกๆ จะนิยมใช้ไม้แซง (ลำแซง), ไม้แขม(ลำแขม) และไม้ไผ่จักเป็นเส้นขนาดประมาณ ๑ ซ.ม. มาสานเป็นลายขดั ธรรมดางา่ ยๆ แลว้ เปย๋ี ๗ (ทาอดุ ) ดว้ ยข้วี วั ขี้ควาย ผสมน้ำและดนิ โคลนตามความเหมาะสม เพื่ออุดรอยร่ัวของลายขดั ของฝาขดั แตะ ๗ การทำเป๋ีย คือการทาอุดฝาเล้าข้าวด้วยส่วนผสม ขี้วัวหรือข้ีควาย, ดินโคลน, แกลบ, น้ำ, โดยการขุดหลุมดิน ผสมให้เขา้ กันคอ่ นข้างเหนยี วสักเล็กน้อย เมือ่ นำไปทาชาวอสี านจะเรยี กวา่ “เปีย๋ เล้าข้าว” 62
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน ในระยะแรก ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ไม้แซงมากกว่าไม้แขม เพราะไม้แซงมีความคงทนมากกว่า แต่มัก จะตอ้ งเดินทางไปตดั ในทไ่ี กลๆ จากหมบู่ ้านกท็ ำใหล้ ำบากบา้ งเปน็ ธรรมดา พวกท่ีชอบสะดวกและง่ายๆ ก็มักจะใช้ไม้แขม เพราะเป็นไม้ท่ีชอบขึ้นอยู่ตามบริเวณหนองน้ำใกล้ๆ หมู่บา้ น ในระยะหลัง ทงั้ ไม้แซงและไม้แขมหายากขึ้น จงึ หนั มาใช้ไม้ไผจ่ ักเป็นเสน้ มาสานทำเปน็ ฝาแทน ซ่งึ กม็ ี ความคงทนพอๆ กันกับไม้แซงเหมือนกนั ตกมาถึงรุ่นหลัง จึงมีการใช้ไม้จริงมาทำเป็นฝากันมากข้ึนเพราะมีความคงทนถาวรมากกว่าแต่ก็ต้องตี “ลีกไม้” ทับตามแนวร่องระหว่างรอยตอ่ ทด่ี ้านในของแตล่ ะแผน่ ดว้ ย เชน่ เดียวกันกับพืน้ เลา้ ปจั จบุ นั อาจจะพบเลา้ ขา้ วทใี่ ชส้ ังกะสมี าทำเป็นฝาเลา้ บา้ งพอสมควร ประตู ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ไม้จริงเป็นแผ่นๆ ใส่จากด้านบนของวงกบทีละแผ่นโดยทำวงกบเป็นร่อง ตามแนวต้ังทั้งสองข้างเพ่ือใส่แผ่นไม้จริงท่ีทำประตู แต่ที่ใช้เป็นบานเปิด-ปิดแบบเรือนพักอาศัยก็มีอยู่ไม่น้อย แตจ่ ะเก็บขา้ วเปลอื กได้น้อยกวา่ แบบแรก กะทอด (พรึง) อาจกล่าวได้ว่า กะทอดเป็นได้ทั้งโครงสร้างและเคร่ืองประกอบ เพราะกะทอด ก็คือ แผน่ ไมจ้ รงิ หนาแข็ง ทำหนา้ ทีเ่ ปน็ เสมอื นเขม็ ขัดรัด ตรงส่วนกลางของเรือน ปิดรอบฝาเรือนตามแนวฝาท่ีจดกับพื้น แต่เม่ือใช้กับเล้าข้าว ก็ยังคงทำหน้าที่ เชน่ เดยี วกนั คอื ตีรัดฝาเล้าขา้ วไว้ กรณีท่ีใช้กับเล้าข้าวน้ี เม่ือมองทางด้านข้างจะเห็นอยู่ในแนวเดียวกันกับค่าวจนดูเหมือนว่าจะเป็นค่าว ตัวล่างสดุ ก็ได้เพราะจะอยู่ดา้ นในของเสาเลา้ เช่นเดียวกนั ลกั ษณะพเิ ศษของเลา้ ข้าว การพิจารณาลักษณะพิเศษของเล้าข้าวในที่นี้ เป็นการพิจารณาเปรียบเทียบกับเรือนพักอาศัย ซึ่งเป็น ส่งิ ก่อสรา้ งทางสถาปตั ยกรรมทค่ี ่อนข้างจะคลา้ ยคลงึ กันมากพอสมควร และมบี างส่วนทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไปบา้ ง จนกลายเปน็ ลกั ษณะพิเศษเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ เช่น โครงสร้างของเล้าข้าว อาจกล่าวได้ว่าโครงสร้างของเล้าข้าวมีความแตกต่างกับเรือนพักอาศัยอย่างชนิด ทเี่ รยี กวา่ ตรงข้ามเลยทีเดยี ว โดยมีเสาอย่ขู า้ งนอกเป็นตวั รัดโครงสรา้ งอืน่ ๆ ไว้ภายใน และฝาเลา้ จะอยใู่ นโครงสร้าง ทั้งหมดอกี ทีหนง่ึ น้ันคือ เสา, คา่ ว, ฝา จะอยู่ในตำแหน่งทีต่ รงขา้ มกันโดยมคี า่ วอยกู่ ลาง ทีม่ ีความแตกต่างกนั เช่นน้ี ก็พอจะมองเหน็ เหตุผลไดใ้ นแง่ของประโยชน์ใชส้ อยได้คอื เล้าข้าวนั้นถูกสร้างข้ึนมาเพื่อการรับน้ำหนักโดยตรง ข้าวเปลือกท่ีบรรจุอยู่ภายในประมาณ ๓๐๐- ๕๐๐ ถัง ต่อ ๑ ห้องเสาของเล้าน้ันย่อมจะต้องมีแรงกดลงที่พ้ืนและแรงผลักออกด้านข้างท่ีฝาทั้ง ๔ ด้าน มากพอสมควร จึงมคี วามจำเปน็ อย่างยิ่งที่จะตอ้ งเอาโครงสรา้ งรัดฝาไวภ้ ายใน เพือ่ ผลในการรบั น้ำหนักดังกลา่ ว 63
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสานถ้าไม่ทำเช่นนั้นแล้วอาจจะทำให้ฝาเล้าหลุดพังเสียหายได้ง่ายท่ีสุดและยิ่งเม่ือพิจารณาวัสดุท่ีใช้ทำฝาในสมัยก่อน ด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีความจำเป็นมากย่ิงขึ้น เพราะแต่ก่อนมีใช้กันแต่วัสดุที่พอหาได้ง่ายๆ ในท้องถ่ิน ซึ่งไม่ค่อยจะมี ความคงทนแข็งแรงมากนัก และแม้ว่าในภายหลังหรือในปัจจุบันนี้จะมีวัสดุท่ีดีกว่ามาใช้แทนมากแล้วก็ตาม แตก่ ็ยงั ไม่สามารถจะหาวสั ดอุ ื่นมาตีฝาให้ติดกบั โครงสร้างไดด้ เี ท่ากบั การใช้โครงสร้างของตัวเองรัด ฉะนนั้ แม้วา่ จะดูไมส่ วยงาม และไม่เรียบร้อยเลยกต็ าม แต่ประโยชนใ์ ชส้ อยหลักในการรับ นำ้ หนกั กย็ อ่ มมีความจำเป็นท่ีต้องมากอ่ นอยา่ งละเลยไม่ไดเ้ ปน็ อันขาด ประตูเล้าข้าว เป็นอีกส่วนหนึ่งท่ีมีลักษณะพิเศษของตัวเอง โดยมีประโยชน์ใช้สอยเป็นตัวกำหนดให้ ต้องทำเช่นนั้น คือ จะใช้บานเปิด-ปิดเหมือนกับเรือนพักอาศัยไม่ค่อยได้ เพราะถ้าใช้บานเปิด-ปิดแล้วจะทำให้ ใชส้ อยเก็บขา้ วไม่สะดวก และยังจะทำใหข้ ้าวไหลออกจนเสยี หายไดง้ ่าย แตถ่ า้ จะใชก้ ม็ กั จะยกระดบั ประตใู ห้สงู จากพ้ืนเล้าไม่น้อยกว่า ๕๐ ซ.ม. โดยประมาณ ประตูเล้าข้าวจะทำด้วยไม้จริงเป็นแผ่นๆ เพื่อสอดเข้าร่อง ๒ ขา้ งทางแนวตง้ั (แนวยืน) ของวงกบ โดยจะตดั สนั ร่องวงกบตอนบนทงั้ สองข้าง ให้พอท่ีจะเอาไมบ้ านประตสู อด เข้ารอ่ งได้ ปกติจะตดั ไวไ้ มน่ ้อยกวา่ ความกวา้ งของไมบ้ านประตูแตล่ ะแผ่น เม่อื ใส่ขา้ วเปลอื กเขา้ เล้าสงู ขึ้น ก็จะปดิ ทลี ะแผ่น เม่อื เวลาจะเอาขา้ วออก ก็จะทำเชน่ เดยี วกันคือ ค่อยเอาออกทีละแผ่น แต่ถ้าจะต้องทำเป็นประตูบานเปิด-ปิด ก็มักจะทำบาน ขนาดไม่ใหญ่มากนัก และมักจะต้องอยู่ใน ระดบั ค่อนขา้ งสูงเสมอ กเ็ พือ่ ความสะดวกสบายในการขนขา้ วเข้า-ออก และสามารถเกบ็ ข้าวได้มากๆ น่นั เอง พ้ืนเล้า ดังได้กล่าวแล้วว่าพื้นเล้าจะต้องตีลีกไม้ทับแนวร่อง จะปล่อยเว้นร่องอย่างเรือนพักอาศัยไม่ได้ แม้ว่าจะปูพ้ืนชิดกันแล้วก็ยังไม่เพียงพอ และอาจจะทำได้ยาก แต่ถ้าจะใช้วิธีเข้าล้ินก็จะเป็นเร่ืองยากส้ินเปลือง ไมค่ ุม้ คา่ จึงตอ้ งใช้วิธีเอาลีกไมต้ ที บั รอ่ ง สว่ นระดับพ้นื เลา้ นั้นแตก่ อ่ นจะทำพนื้ ดา้ นหลังให้สงู กวา่ ดา้ นหน้าเสมอ - ฝาเล้า เป็นความจำเปน็ เช่นเดียวกันกบั พ้ืนเลา้ แต่การตลี กี ไม้ทีฝ่ านนั้ นอกจากจะกนั ไม่ให้ข้าวร่ัวไหล ออกแล้ว ยังต้องกันน้ำฝนไม่ให้ไหลร่ัวเข้าด้วยฉะน้ันฝาเล้าข้าวจึงจำเป็นต้องตีตามแนวต้ังเสมอ สำหรับฝาเล้าข้าวในรุ่นแรกก็จะทำในแนวต้ังเช่นเดียวกัน แต่จะเพื่อผลในเรื่องความคงทนแข็งแรง มากกวา่ เพราะจะทำให้ฝาเขา้ แนวไขว้ ขวางกบั ค่าวทร่ี ดั อยู่ข้างนอกนัน่ เอง - ภายในเล้าข้าว ตรงส่วนที่ฝาด้านล่างจดกับพื้น จะเป็นส่วนท่ีกันข้าวออกและกันฝนไหลเข้าได้ยาก ส่วนใหญ่จึงมักจะป้องกันโดยใช้เศษฟางข้าวมัดรวมกันเป็นท่อนกลมๆ ยาวๆ วางปิดมุมไว้โดยรอบ หรือไมก่ ็จะใช้วิธเี ปยี๋ ดว้ ย ขว้ี ัว ข้ีควาย ดังกล่าวแลว้ แต่บางครั้งกใ็ ช้สังกะสตี ปี ิดไว้ก็มีบ้างเหมือนกนั - บนั ได ปกตแิ ลว้ เลา้ ขา้ วจะไมม่ บี นั ไดขนึ้ -ลง แตถ่ า้ จำเปน็ จะตอ้ งมตี อ้ งใชก้ นั จรงิ ๆ กม็ กั จะใชไ้ มก้ ระดาน วางทอดให้มีความลาดมากๆ เพื่อขนข้าวขึ้น-ลง แต่ถ้ากระดานมีความลื่นก็จะใช้ไม้ชิ้นเล็กๆ ตีเป็น ขั้นๆ กันไว้ จะไม่ใช้บันไดเป็นขั้นๆ แบบของเรือนพักอาศัยแต่ที่สำคัญคือจะต้องวางพาดให้ลาดชัน นอ้ ยกวา่ ของเรอื นพักอาศยั แต่ ในรนุ่ เกา่ จรงิ ๆ จะนิยมใชไ้ ม่ไผล่ ำใหญๆ่ มาตัดใหเ้ หลอื แขนงวางพาด ขา้ งเสาดา้ นเปน็ เหมอื นพะอง สำหรับปีนขนึ้ -ลง ซึง่ ชาวอีสานเรยี กวา่ “เกิน” 64
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสานความเชอ่ื ในการสร้างเล้าข้าว อาจจะด้วยเหตุที่ข้าวเป็นปัจจัยที่สำคัญย่ิงต่อการดำรงชีวิตของคนอีสานมากตามประสาสังคมท่ีต้อง ช่วยตัวเองนี้กระมังที่ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างท่ีเก่ียวข้องกับข้าวต้องพลอยมีความสำคัญตามไปด้วยจนกระทั่ง มีความเช่ือต่างๆ เข้าไปเก่ียวข้องอยู่ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นพฤติกรรมทางสังคมท่ียึดถือปฏิบัติกัน เรือ่ ยมาซงึ่ อาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ มรดกทางสังคมและวัฒนธรรมของอสี านในลักษณะขอ้ หา้ มตา่ งๆ เชน่ ๑. ห้ามหันประตูเล้าข้าว (หันด้านหน้า) ไปทางทิศดาวช้าง (ดาวจระเข้) ปรกติดาวจระเข้จะข้ึนทาง ทิศเหนือเสมอ น่ันก็คือห้ามสร้างเล้าข้าวหันหน้าไปทางทิศเหนือน่ันเอง เพราะเช่ือกันว่าถ้าสร้างเช่นน้ันแล้ว จะเป็นการหันประตูไปทางปากช้าง (เล้าข้าวจะมีประตูอยู่ทางด้านหน้าเพียงช่องเดียวและด้านเดียวเท่าน้ัน) แล้วช้างจะกินขา้ วอันจะเป็นเหตใุ หส้ ญู เสียขา้ วอยู่เร่ือยๆ จนตอ้ งหมดไปเรว็ กว่าทคี่ วร แมว้ ่าเจ้าของจะพยายาม ใชท้ ลี ะเลก็ ทีละนอ้ ยกต็ าม แตจ่ ะไม่ค่อยเหลือเกบ็ นั่นคอื จะสรา้ งตัวไมไ่ ดน้ ่นั เอง ๒. ห้ามหันประตูเล้าข้าวเข้าหาเรือนน่ันคือห้ามไม่ให้สร้างเล้าข้าวและเรือนพักอาศัยของตนประจัน หน้ากนั ทั้งนอี้ าจจะเปน็ เพราะเหตุผลเรอื่ งความสะดวกสบายในการขนข้าวเขา้ -ออกเป็นสำคัญกไ็ ด้ ๓. ไม่นิยมสร้างเล้าไว้ในตำแหน่งทิศหัวนอนของเรือนพักอาศัย ทั้งน้ีเพราะเช่ือกันว่าจะเป็นการนอน หนนุ ข้าว และจะเป็นเหตใุ ห้สมาชกิ ในครอบครวั ตอ้ งเจ็บป่วยไมส่ บาย มภี ัยพบิ ตั ิจนหาความสงบสุขไดย้ าก ๔. ห้ามย้ายเล้าข้าวไปสร้างในทิศตรงกันข้าม คือถ้าได้มีการสร้างเล้าข้าวไว้ท่ีทิศใดทิศหนึ่งของเรือน พักอาศัยแล้ว หากจะต้องการสร้างใหม่ หรือต้องการจะโยกย้ายเล้าข้าว ห้ามไม่ให้ย้ายไปสร้างใหม่ในทิศท่ี ตรงกันข้ามกับที่เคยสร้างไว้เดิมเป็นอันขาด ทั้งน้ีเพราะเชื่อกันว่า จะทำให้ครอบครัวนั้นทำมาหากินลำบาก มีแต่ความทุกข์ยาก หาได้ไม่ค่อยจะพอกิน จะมีความขัดสนในการสร้างตัว ตลอดจนอาจจะเป็นเหตุให้สมาชิก ในครอบครวั เกดิ เจ็บป่วยไดอ้ ีกดว้ ย ๕. เล้าขา้ วที่ถกู รือ้ แลว้ หา้ มนำไม้ไปสรา้ งเรอื นพกั อาศยั ฯลฯ ข้อห้ามต่างๆ ดังกล่าวมาน้ี มิได้หมายความว่าชาวอีสานจะต้องปฏิบัติและเช่ือถือตามน้ีทั้งหมด แต่เปน็ ข้อหา้ มที่ยังมีหลงเหลืออยใู่ นอีสานปจั จุบันบ้างเทา่ นนั้ แม้ว่าข้อห้ามท่ีแฝงอยู่ในลักษณะความเชื่อเหล่าน้ี จะมีเหลืออยู่เพียงบางท้องท่ีในอีสานและบางคร้ัง อาจจะดูเหมือนว่าเป็นเร่ืองท่ีไร้เหตุผลในสังคมปัจจุบันก็ตามแต่ก็เป็นเรื่องท่ีไม่ควรละเลยหรือมองข้ามไป ในการศึกษาอดีตของสังคม-วัฒนธรรมพ้ืนบ้าน เนื่องจากความเชื่อดังกล่าวอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างท่ีเป็นสาร ประโยชน์แอบแฝงอยู่ด้วยก็ได้ และอาจจะสามารถสะท้อนให้เห็นความจำเป็นท่ีจะต้องแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อให้ เกิดความเหมาะสม สอดคล้องกบั สภาพการดำรงชีวิตในสังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ของตนเองกไ็ ด้ เพราะการศึกษาหาเหตุผลทางสังคม-วัฒนธรรมท้องถ่ินจะเป็นพ้ืนฐานอันม่ันคงท่ีจะช่วยช้ีนำหรือ กำหนดแนวทางในการพัฒนาใหถ้ กู ตอ้ ง เหมาะสมยงิ่ ข้นึ แต่ท้ังน้ีก็ย่อมจะข้ึนอยู่กับผู้ศึกษาและนักพัฒนาว่า จะมีสติปัญญามองเห็นเหตุและผลของส่ิงเหล่าน้ัน หรือไม่เพยี งใด 65
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน เลา้ ขา้ ว ลกั ษณะท่ีจัดเกบ็ เมลด็ พืชพรรณของชาวอสี าน (ณรงคศ์ ักด์ิ ราวะรนิ ทร์ : ขอ้ มูล/ภาพ) ใบคนู ใบยอ พลังใจในการตอ่ สู้ชวี ติ ของชาวนาอีสาน (สมชาย นิลอาธิ : ข้อมลู /ภาพ) 66
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน บญุ ชำฮะ-เบกิ บ้าน : พิธกี รรมสรา้ งความบริสุทธ์ิเพอ่ื ชีวติ ท่ีสมบูรณ*์ ผู้ช่วยศาสตราจารยส์ มชาย นลิ อาธิ งานบุญพิธีกรรมในอีสานเกี่ยวกับเรื่องน้ำที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั่วไปก็คือ บุญบ้ังไฟ ซ่ึงเป็น บญุ เดอื น ๖ ตามฮีต อนั เป็นช่วงต้นฤดฝู นตามปกติ แต่ก็มีหลายชุมชนท่ียืดเวลาออกไปจัดในเดือนเจ็ด บางคร้ังก็จัดในเดือนแปดก็มีข้ึนอยู่กับความปกติ หรือแปรปรวนของธรรมชาติเป็นสำคญั รวมทัง้ ความพรอ้ มและความต้องการของชุมชนด้วย ส่วนบุญซำฮะ หรือบุญเบิกบ้าน ของชาวอีสานจัดเป็นบุญประจำเดือนเจ็ดตามฮีตก็จริง แต่นิยม จดั พธิ กี รรมกนั ในเดอื นหก (บางแหง่ จดั ในชว่ งเดอื นสามถงึ เดอื นหา้ ) ทบี่ รเิ วณ “หลกั บอื บา้ น” (หลกั บา้ น/บอื บา้ น) ซง่ึ เปน็ บริเวณลานสาธารณะในหมู่บ้านทม่ี กั เรียกกันไปทั่วไปวา่ “กลางบา้ น” ที่นิยมจัดในเดือนหกก็เพราะจะไปเก่ียวข้องกับการทำพิธีเลี้ยงผีปู่ตาซึ่งเป็นผี “อาฮักบ้าน” คือผี ที่ปกปักรักษาหมู่บ้าน ท่ีต้องทำพิธีเลี้ยงในวันพุธของเดือนหกเป็นประจำทุกปีก่อนท่ีจะลงทำนา จนหลายแห่ง กป็ รบั เอาไปจัดต่อเนอื่ งรวมเป็นงานเดียวกันเลยกม็ ี ทั้งๆ ท่ีเป็นบุญประจำเดือน ๗ แต่ส่วนใหญ่กลับไปนิยมจัดในเดือน ๖ ก็เพราะความเช่ือเร่ืองผีปู่ตา หรือผีอาฮักบ้าน ทีต่ ้องเลี้ยงบอกกล่าวก่อนเริ่มประกอบอาชีพทำนาในปนี ้นั ๆ อยา่ งหน่งึ แตท่ สี่ ำคญั กค็ อื บญุ ซำฮะหรอื บญุ เบกิ บา้ นจะผกู พนั ตอ่ เนอ่ื งกบั พธิ กี รรมอนื่ ๆ ทเี่ กยี่ วกบั การทำนา ทมี่ กั เร่ิมในช่วงปลายเดือนหกต่อเดือนเจ็ด คือ พิธีเลี้ยงผีตาแฮก ซึ่งเป็นผีอาฮักนาและการปักกกแฮก ก่อนดำนา และใช้เปน็ ขวัญในพธิ ปี ลงข้าวใหเ้ ปน็ มงคลตามความเชอ่ื ต่อไป หลกั บือบ้านและผาม สถานทที่ ำบุญซำฮะ-เบิกบ้าน หลักบือบ้านส่วนใหญ่จะเป็นเสาไม้จริง เสาไม้แก่น ท่ีมีความแข็งทนทาน และถ้าเป็นไปได้ก็จะใช้ แก่นไม้ท่ีเป็นมงคลตามความเชอื่ ด้วย เชน่ แก่นไมค้ ูณ แก่นไม้ยอป่า ฯลฯ มกั ตงั้ อยู่บรเิ วณที่เป็นศนู ยก์ ลางชมุ ชน หมบู่ า้ นซึง่ เปน็ เดิน่ บ้าน คือลานดินสาธารณะที่เปน็ สมบตั ิสว่ นรวมของชมุ ชน และมักจะตงั้ อยใู่ กลๆ้ ทางแยกที่เปน็ สามแยก หรอื ส่ีแยก ย่านกลางหมู่บา้ นเป็นส่วนใหญเ่ ป็นสถานท่ี สำคัญในแต่ละชุมชนอีกแห่งหนึ่งที่ใช้ทำพิธี ซำฮะ-เบิกบ้าน ที่ต้องเกี่ยวข้องกับพิธีเล้ียงผีปู่ตาหรืออาฮักบ้าน (ผีอารักษ์) ก่อนลงทำนาเสมอ จนมีคำกล่าวของชาวอีสานรุ่นเก่าที่เหมือนจะกำหนดให้ต้องปฏิบัติสืบทอดกัน ตอ่ ๆ มาว่า “ขน้ึ ให้ปลง ลงให้เล้ียง” กล่าวคือ ก่อน “ลงทำนา” แต่ละปีต้องทำพิธีเลี้ยงผีปู่ตาหรืออาฮักบ้านและเล้ียงผีตาแฮกหรืออาฮัก นาก่อน และเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวรวมลานแล้ว ก่อนจะตีข้าวหรือฟาดข้าวในลานก็ต้องทำพิธี “ปลงข้าว” ก่อน นัน่ เอง * พมิ พ์เผยแพรใ่ นศลิ ปวฒั นธรรม ฉบบั ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๓๕ 67
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน หลักบือบ้านเป็นเสมือน “สัญลักษณ์” ของส่ิงต่างๆ ท่ีสังคมชาวบ้านคิดเห็นว่าเป็นหลักของชุมชน ทั้งระดับครอบครัวและสังคมหมู่บ้านที่ยึดเหน่ียวร่วมกันสี่จำพวกด้วยกันคือ “ผู้ใหญ่ ไม้สูงเจ้าบ้าน สะพาน เมือง” โดยชาวบ้านมักจะมองความเท่ียงตรงของหลักบ้านสัมพันธ์กับพฤติกรรมของหลักบ้านสี่จำพวกดังกล่าว คือถ้าเกิดปัญหาความเดือดร้อนข้ึนในหม่บู ้านหรือเกิดความขัดแย้งขึ้นในกลุ่มผู้นำแล้วชาวบ้านมักจะเพ่งมอง ไปที่หลกั บือบ้านว่ายงั ต้ังมั่นเที่ยงตรงดอี ยหู่ รือไม่ หรอื ว่าหลกั บือบ้านมันเง่ียงหงว่ ย/เหงย่ี งหงว่ ย คือเอยี งเอนไป จากเดิม ซ่ึงถ้าเป็นเช่นน้ันชาวบ้านก็มักจะคิดหมายกันว่าเป็นเพราะดินไม่ดี ไม่สมบูรณ์ ผู้เป็นหลักบ้านจึงไม่ดี ขัดแย้งแย่งอำนาจกัน ก็จะพากันเชิญหมอสูตรทำพิธี “ถอดถอน” หลักบือบ้านก่อน เพื่อจะทำพิธี “ตอกหลัก บือบ้าน” ใหม่ให้เท่ียงตรงดังเดิมเหมือนเป็นเคล็ดพิธีกรรมท่ีจะขจัดปัดเป่าความเดือดร้อนและความขัดแย้ง ที่เกิดข้ึนให้หมดไปและเหมือนจะเป็นการเตือนสติผู้ท่ีเป็นหลักของบ้านไปในที เพ่ือสร้างความหวังความมั่นใจ ในการอย่รู ่วมกันอยา่ งสงบสขุ ตอ่ ไป ก่อนถึงวันงาน ชาวบ้านจะช่วยกันสร้าง “ผาม” หรือปะรำพิธีลักษณะช่ัวคราวไว้ในบริเวณลานกลาง บ้านใกล้ๆ หลักบือบ้าน เพ่ือใช้เป็นท่ีพักช่ัวคราวระหว่างทำพิธีกรรม เช่นเดียวกันกับการสร้างผามในงานบุญ เข้ากรรม เดือนอ้ายและบุญมหาชาติ เดือนส่ีที่สร้างอยู่ในวัด แต่ผามในงานบุญซำฮะ - เบิกบ้านจะต้องทำ ยกระดับใหพ้ ระสงฆอ์ ยสู่ งู กวา่ ไวด้ ว้ ย เมอ่ื ทำพิธสี งฆ์สวดมงุ คนุ (สวดมงคล) ตอนเยน็ สามวนั และทำพธิ สี งฆต์ อนเช้าวันทส่ี แี่ ลว้ กจ็ ะรือ้ ออก เหมือนการสรา้ งผามทั่วไป แต่ท่ีสังเกตเห็นผามท่ัวไปในอีสานพบว่าในบริเวณหลักบือบ้านมักจะมีส่ิงก่อสร้างท่ีกึ่งถาวรและถาวร ขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันอยู่ด้วยเสมอ เรียกกันทั่วไป “ศาลากลางบ้าน” ยกพื้นต่างระดับใช้ประกอบพิธีสงฆ์ 68
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสานและอ่ืนๆร่วมกัน เมื่อพ้นช่วงเวลาการทำพิธีกรรมแล้ว ผามจะถูกรื้อทิ้งเหลือแต่ลานดินและหลักบือบ้าน เมื่อมี การสร้างผามถาวรท่ีเรียกว่า “ศาลากลางบ้าน” ภายหลังแล้วจึงสามารถใช้ประโยชน์ท้ังทำพิธีกรรม และใช้ เป็นที่ทำงานน่ังเล่นในยามว่างเหมือนเป็น “ศาลาประชาคม” ของชุมชนหมู่บ้านโดยปริยาย ภายหลังได้มี การปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่เป็นสถานท่ีประชุมชาวบ้านของหน่วยงานรัฐและเอกชนบ้าง หลายแห่งใช้ ประโยชน์ใหม่เปน็ ที่ตั้งสหกรณ์รา้ นค้าและอน่ื ๆ จากองคก์ รพัฒนาตา่ งๆ ต้งั มุงคุนเบกิ บ้านเล้ียงผีปตู่ า กอ่ นเร่ิมพธิ ซี ำฮะ-เบกิ บ้านในวนั แรกกวานจ้ำ (เฒา่ กวาน/เฒา่ จ้ำ) ซง่ึ เป็นผนู้ ำในการทำพิธกี รรมจะเอา ขัน ๕ (เทียน ๕ คู่ และดอกไม้ ๕ ค่)ู ไปบอกกล่าวเชญิ เจ้าป่มู ารว่ มพธิ ีเหมอื นเปน็ ประธานพธิ ใี หเ้ ป็นเปน็ มงคล กับงานดว้ ยหวังความสงบสุขอุดมสมบูรณ์ โดยกวานจำ้ จะนำขันกะยอง (กะหย่อง) จากศาลปู่ตามาต้ังไว้ท่ีหลัก บอื บา้ นเป็นสญั ลกั ษณเ์ จ้าปู่ และเพอ่ื จะไดใ้ ช้วางเครื่องบชู าทีช่ าวบา้ นเตรียมไปร่วมพิธีดว้ ย ต้ังมุงคุนด้วยการนิมนต์พระสวดเจริญพระพุทธมนต์เพ่ือความเป็นมงคลในตอนเย็น-ค่ำเป็น เวลา ๓ วันติดต่อกัน โดยผ่านฝ้ายสายสิญจน์ที่โยงจากหลักบือบ้านไปยังบ้านเรือนทุกหลังคาเรือน เพื่อเป็นสิริมงคล ร่วมกัน รุง่ เช้าวันท่ีสีช่ าวบ้านจะนำเคร่อื งพิธที เี่ ตรียมไวไ้ ปเข้ารว่ มพธิ ี เช่น กระทงกาบกลว้ ยใส่อาหารการกนิ ท้งั คาว-หวาน และอ่ืนๆ อย่างละเล็กละน้อย มี ปลาแดก พริก ข้าว เกลือ ขันน้ำทำน้ำมนต์ หิน-กรวด-ทราย- ขา้ วสาร ฝ้ายไน-ไหมหลอด, ฝ้ายผกู แขน ฯลฯ ทำพธิ ีถวายสงั ฆทาน พระฉนั จงั หัน รับพร กรวดน้ำ เสรจ็ พธิ แี ลว้ กวานจำ้ จะบอกกลา่ วเชญิ ปตู่ ากลบั หอ ดว้ ยการนำขนั กะยองกลบั ไปไวบ้ นศาลปตู่ า จากนนั้ จึงเป็นพิธีเลี้ยงผีปู่ตาและเสี่ยงทายฟ้าฝนและอ่ืนๆ ด้วยวิธีการแตกต่างกันไป เช่นจุดบั้งไปถวายหรือบั้งไฟ เบิกบ้าน (บ้ังไฟเสี่ยงทาย) ถอดคางไก่ หรือแทกวัดไม้วา เป็นต้น โดยเสี่ยงทายฟ้าฝนในปีน้ันเป็นหลักก่อน แต่บางแห่งก็จะจัดเป็น ๓ ชุด คอื เส่ยี งฝน เสยี่ งคน และเสีย่ งควาย/สัตวเ์ ล้ยี ง ในพิธีซำฮะ-เบิกบ้านนี้ หลายหมู่บ้านชาวบ้านมักจะนำหิน กรวด ทราย และข้าวสาร ท่ีเอาเข้าร่วม พิธีมงคลไปหว่านตามบ้านเรือนของตนหรือเพ่ือนบ้านบ้าง โดยจะหว่านตามชายคาเรือนรอบๆ บริเวณบ้าน ชานเรือน นัยว่าเป็นการปัดรังควานเสนียดจัญไร ผีร้ายหรือสิ่งอันอัปมงคลท้ังหลายให้ออกไปให้พ้นจากบ้านเรือน และกาย-ใจ ของคน และสตั วเ์ ลยี้ งตามความเช่ือ บางรายก็จะเอาหิน กรวด ทราย และข้าวสาร วางโรยอัดประตูร้ัวทางเข้าบ้านเรือน ด้วยความเช่ือว่า เป็นการป้องกันภัยพิบัติ ส่ิงอัปมงคลท่ีมองไม่เห็นจากภายนอกไม่ให้เข้ามาสู่ครอบครัวได้ จะทำให้ทุกชีวิตใน ครอบครัวมีแตค่ วามร่มเยน็ ผาสกุ เลยี้ งผตี าแฮก ปักกกแฮก เสร็จงานบุญซำฮะ-เบิกบ้านท่ีหลักบือบ้านและพิธีเลี้ยงผีปู่ตาที่ศาลในดอนปู่ตาแล้วต่อจากนั้นคือ เวลาที่ทุกคนเร่ิมลงทำนาตามฤดูกาลปกติได้แล้วแต่ใครจะเริ่มลงนากันวันไหนนั้นขึ้นอยู่กับน้ำฝนตามธรรมชาติ และความเชื่อเรื่องผีตาแฮก/ผีอาฮักนาด้วย เพราะเช่ือว่าเป็นผีท่ีอยู่ประจำนา เป็นผีรักษานาโดยเจ้าของนาจะตั้ง ศาลไว้ท่ีใดท่ีหนึ่งในนาที่เห็นว่าน้ำท่วมไม่ถึงท่ีตรงนี้แหละที่เจ้าของนาจะต้องทำพิธีเลี้ยงผีตาแฮกก่อนลงทำนา ดังคำกล่าวกนั มาวา่ “ลงให้เลยี้ ง” 69
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน การเล้ียงผีตาแฮก จะกำหนดทำในวันพุธเช่นเดียวกับการเลี้ยงผีปู่ตาแต่ต้องหลังจากงานบุญซำฮะ- เบิกบ้านและการเล้ียงผีปู่ตาแล้วเท่าน้ัน ซ่ึงจะตกประมาณปลายเดือนหกต่อเดือนเจ็ด คนทำพิธีก็คือเจ้าของนา นน่ั เอง หรอื จะเปน็ ใครในครอบครัวนั้นกไ็ ด้ โดยมกั จะเลีย้ งดว้ ยเครื่อง “พาหวาน” มีหมากสองคำ ยาสองกอก (มวน) เปน็ หลัก นอกน้ันจะจดั เคร่อื งพิธีอยา่ งอ่ืนเพม่ิ เตมิ อกี ก็ไดต้ ามตอ้ งการ เช่น ขา้ วป้นุ พริก เกลือ ปลาแดก แจ่ว ไขต่ ม้ ไกต่ ้ม เหลา้ เป็นตน้ จุดประสงค์กเ็ พอ่ื เปน็ การบอกล่าวผปี ระจำนากอ่ นทจ่ี ะเริม่ ทำนาในปนี ั้นๆ ขอให้ ช่วยปกปักรกั ษาขา้ วใหไ้ ดผ้ ลดีมีความอดุ มสมบรู ณ์ เมอ่ื ขา้ วกลา้ งอกงามพอจะปกั ดำไดแ้ ลว้ ความเช่ือเดิมของชาวอีสานจะ “ปกั กกแฮก” ใน “นาตาแฮก” กอ่ น ซึ่งนาตาแฮกดังกล่าวน้ี ดไู ปกค็ ล้ายกบั เปน็ การสร้าง “นาจำลอง” หรอื นาเสยี่ งทาย นน่ั เอง เพราะจะเป็น นาขนาดเล็ก ลักษณะสี่เหล่ียมจัตุรัสประมาณ ๕๐-๑๐๐ ซ.ม. อยู่บริเวณริมดอนของศาลผีตาแฮก หรือบางที ก็จะไว้บนกลางแยกตัดของคันแทนา (คันนา) โดยขุดพรวนดินป้ันคันแทนาขึ้นเพื่อกักน้ำไว้ปักกกแฮก แล้วปัก ขอบร้วั กน้ั ดูแลรกั ษาขา้ วตาแฮกไปพร้อมๆ กัน ซงึ่ ส่วนมากมักจะใชเ้ วลาเพียงไม่เกินหน่ึงสปั ดาห์ เพราะสปั ดาห์ ต่อไปก็ปักดำจริงได้แต่ปัจจุบันหลายแห่งก็จะเล้ียงผีตาแฮกวันพุธ แล้วรุ่งขึ้นวันพฤหัสบดีหรืออาจจะวันศุกร์ กป็ ักดำจรงิ ต่อไปเลย เร่ืองผีตาแฮกและการปักกกแฮกน้ี ปัจจุบันเหลือคนทำอยู่น้อยมากแล้วเพราะการเปล่ียนแปลงทาง สังคมและวัฒนธรรมหลายดา้ น พิธีเลี้ยงผปี ูต่ า ประจำปใี นเดอื น ๖ ที่บ้านหนองตาไก้ ต.หนองตาไก้ อ.หนองบุนนาก จ.นครราชสีมา (สมชาย นลิ อาธิ : ขอ้ มลู /ภาพ) 70
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน ภาคที่ ๒ เฮือนผ้ไู ทแดง ราชันย์ นิลวรรณาภา 71
72 สถาบนั วิจยั ศลิ ปะและวฒั นธรรมอสี าน
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน เรือนผ้ไู ทแดง : ลกั ษณะทอี่ ยอู่ าศัยและการใช้พนื้ ที่ในเรอื นกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุผไู้ ทแดง บ้านสบฮาว เมอื งสบเบา แขวงหัวพัน สปป.ลาว ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ราชันย์ นิลวรรณาภา แผนทีแ่ สดงที่ตัง้ บ้านสบฮาว บ้านสบฮาว อยูใ่ นเขตสบฮาว เมอื งสบเบา แขวงหวั พนั ต้งั อยู่ทางทศิ ตะวันออกเฉยี งเหนอื ของประเทศ ลาว มีชายแดนติดกับประเทศเวียดนาม ปัจจุบันบ้านสบฮาว มีประชาชนอาศัยอยู่ท้ังสิ้น ๑๒๕ ครัวเรือน ประชาชนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเป็นผู้ไทแดง นับถือศาสนาผี ห่างจากชายแดนเวียดนามประมาณ ๖ กิโลเมตร โดยมีเส้นทางเช่ือมต่อกับบ้านแกนต๊ัด แขวงแทงห์ฮวา ภูมิประเทศของบ้านสบฮาวน้ัน มีลักษณะเป็นที่ราบเชิงเขา ติดแม่น้ำ โดยมีแม่น้ำ ๒ สายไหลผ่าน คือแม่น้ำม่าท่ีไหลลงมาจากเมืองเซียงค้อทางทิศเหนือและแม่น้ำฮาว ท่ีไหลข้ึนมาจากทางเมืองเวียงไซด้านทิศใต้ แม่น้ำทั้งสองสายนี้ไหลมาบรรจบกันบริเวณภูหาดหลี่ อันเป็นท่ีตั้ง ของบ้านสบฮาวแล้วไหลผ่านประเทศเวียดนามลงสู่ทะเล บริเวณที่แม่น้ำม่ากับแม่น้ำฮาวมาบรรจบกันน้ีเรียกว่า “สบฮาว” ซึง่ เป็นทม่ี าของช่อื หมูบ่ า้ น 73
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน คำให้สัมภาษณ์ของชาวไทแดงเอง จากการเก็บข้อมูลภาคสนามท่ีบ้านสบฮาว นายบุนสี ชาวไทแดง บ้านสบฮาว อายุ ๖๒ ปี กล่าวว่า ชุมชนไทแดงบ้านสบฮาวนี้ ต้ังข้ึนประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๘๙ นับถึงปัจจุบัน ก็เป็นระยะเวลากว่า ๑๖๔ ปี โดยกลุ่มคนที่มาต้ังหมู่บ้านในยุคแรกน้ันอพยพมาจากเมืองแดง ผ่านเข้ามาทาง เมอื งโสย และมาตงั้ บ้านอยู่ในพน้ื ทบี่ รเิ วณบ้านสบฮาวปจั จบุ ัน กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุผไู้ ทแดง มีเอกลักษณ์สำคัญทางวฒั นธรรมหลายประการ ทนี่ ่าสนใจ และเปน็ ข้อมลู ทจ่ี ะ ช่วยใหเ้ ข้าใจถึงอตั ลกั ษณท์ างชาติพันธุ์ ลักษณะอยา่ งหน่ึงที่ควรจะได้ทำการศึกษาวเิ คราะห์ เน่อื งมคี วามสำคัญ เกี่ยวเน่ืองกับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของกลุ่มชนโดยตรงคือลักษณะของ เรือนท่ีอยู่อาศัย ซ่ึงจากการศึกษา ขอ้ มูลเกย่ี วกบั เรือนของกลุม่ ชาติพันธผุ์ ู้ไทแดง บา้ นสบฮาว มลี กั ษณะ และรายละเอยี ดต่างๆ กลา่ วคือ ลักษณะโดยรวมของเรือนผู้ไทแดง มีหลังคาทรงจั่วแคบ และเปิดปีกหลังคาทั้งสองด้านให้ลาดลงมา คลุมตัวเรือนทั้งหลังจนเกือบจะถึงพื้นเรือน มุงหลังด้วยหญ้าคา จะทำตัวเรือนเป็นรูปส่ีเหล่ียมยาว ตัวเรือนยก พ้ืนสูง เสาเรือนทำจากไม้เนื้อแข็งถากให้กลมวางบนแผ่นหินหรือก้อนหิน ใช้คานไม้ว่ิงตามแป โดยเจาะสอดใส่ ในเสา และใช้ตงไม้จริงต่อจากตัวเรือนออกมาด้านหน้าจะมีระเบียงที่ทำราวก้ันเรียกว่า “เซีย” ทำหลังคามุง ครอบลงมา เป็นที่สำหรับทอผ้า หรือน่ังทำงานจักสาน ส่วนด้านหลัง หรือด้านข้างนิยมทำเป็นชานต่อยื่นออก จากตัวเรือน บริเวณส่วนน้ีจะไม่มุงหลังคา เน่ืองจากเป็นพื้นท่ีใช้สำหรับการประกอบอาหาร และทำเป็นท่ีตากผ้า หรอื เกบ็ ภาชนะ วัสดุ และเคร่อื งมอื ใช้สอยชนดิ ต่างๆ เช่น ตงั้ โอ่งน้ำ, ค,ุ เคร่อื งมือจับสัตว์ ดว้ ยแต่เดมิ นั้นเรือน ผไู้ ทแดงไมม่ ีครัว จะประกอบอาหารกันบนเรอื น ฝาเรือนผู้ไทแดงในอดีตนิยมทำจากไม้ไผ่สับฟาก หรือไม้ไผ่สานขัดแตะ พื้นเรือนปูด้วยไม้ไผ่สับฟาก ส่วนครอบครัวท่ีมีฐานะดี หรือมีแรงงานครอบครัวจำนวนมาก จะใช้กระดานไม้เน้ือแข็งมาทำฝาเรือนและปูพ้ืน เรือน แต่เดิมนั้นเรือนผู้ไทแดงจะมีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงสถานภาพของผู้เป็นเจ้าของเรือน โดยสังเกตได้จาก แปหลงั คาซ่ึงจะมแี ปหลบด้วยแตะไมแ้ ละปกั แหลง่ ด้วยไมแ้ หลมเสียบเรยี กวา่ “ซองแมว” ขดั ไว้ ถ้าหากเจ้าของ เรือนเป็นบุคคลธรรมดาท่ัวไปจะใส่กลอนแหล่งอันเดียว แต่ถ้าหากเจ้าของเรือนเป็นอาชญา เจ้านาย หรือเป็น ผู้ปกครองจะใส่กลอนแหล่งคู่ หากผใู้ ดละเมดิ กฎเกณฑ์นจี้ ะถูกลงโทษ ด้านในตัวเรือนจะแบง่ เป็นหอ้ งนอนตามชว่ งเสา แต่ละห้องกัน้ ด้วยผ้าฝา้ ยสดี ำ ปัจจุบันบางแห่งมกี ารใช้ ตูเ้ สือ้ ผา้ กั้นแทน ห้องแรกจะเป็นห้องนอนของเจา้ เรือนคอื ปู่ยา่ ในกรณที ป่ี ู่ยา่ อยดู่ ้วยกนั ซง่ึ เปน็ ห้องท่ตี ดิ กบั ห้อง รับแขกถ้าหากไม่มปี ยู่ ่าอยู่ดว้ ยหอ้ งนีจ้ ะเปน็ ห้องของพ่อแม่ หอ้ งถัดไปจะเป็นห้องนอนของพ่อแม่ และห้องนอน ของลูกตามลำดับ ลูกชายที่ยังเล็กจะนอนห้องติดกับพ่อแม่ เมื่อโตแล้วจะได้ไปนอนท่ีบริเวณห้องรับแขก ส่วน ลูกสาวจะนอนห้องท่ีติดกับชานเรือน หากมีห้องเหลือก็จะทำเป็นห้องสำหรับเก็บของ นอกจากน้ีในเรือนผู้ไทแดง จะมหี อ้ งสำหรบั ตง้ั หงิ้ ผเี รอื นเรยี กวา่ “หอผเี รอื น” ซง่ึ จะเปน็ หอ้ งแรกของเรอื นทต่ี ดิ กบั หอ้ งนอนของผเู้ ปน็ เจา้ เรอื น ในครอบครัวท่ีมีเรือนขนาดเล็กมีจำนวนห้องไม่พอ ก็จะนำหอผีเรือนเข้าไปไว้ในห้องนอนของเจ้าเรือน ห้อง ผเี รือนนีจ้ ะหา้ มไม่ใหล้ ูกสะใภ้เขา้ ไปโดยเดด็ ขาด 74
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน หอผเี รือนแบบตดิ กับหัวเสา มุมห้อง หอผเี รือนแบบตดิ กับหวั เสา วางบนข่อื หอผเี รือนแบบหอ้ ยกบั ฝาเรือน 75
สถา ับนวิ ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน เน่ืองจากการไม่มีห้องครัวแยกเฉพาะ ทำให้ในเรือนผู้ไทแดงมีเตาไฟอยู่บนเรือนสำหรับการประกอบ อาหารโดยตั้งไว้ท่ีมุมด้านหลังเรือนติดกับชาน สำหรับครอบครัวท่ีมีขนาดใหญ่หรือมีฐานะดีจะมีเตาไฟสองเตา คือนอกจากเตาท่ีใช้ประกอบอาหารแล้วจะมีอีกเตาหนึ่งตั้งอยู่กลางเรือน หรือค่อนมาทางบันไดขึ้นเรือนด้านหน้า ถดั จากห้องรับแขกทำไวส้ ำหรับให้ปู่ พอ่ และผูอ้ าวโุ สฝ่ายชายในเรอื น นั่งหรือนอนผิงไฟ และดม่ื นำ้ ชา ซึง่ ขา้ งเตา จะมีเตียงทมี่ ลี ักษณะติดกับพนื้ เรือนเรยี กวา่ “สะแนน” และมีหมอนเต้าอยู่ (ส.สีนนทอง และ บ.เจือง มะนีวง, ๒๐๐๗, หน้า ๔๒-๔๕, ศรสี มพร สขุ วงศา, ๒๕๕๑, หนา้ ๖๓-๖๔) เตาไฟสำหรบั ประกอบอาหารในเรอื น การปลูกเรือนของผู้ไทแดงน้ันมักจะปลูกเรือนอยู่ใกล้ๆ กัน ในกลุ่มจาวของตน และลูกแต่ละคนเม่ือ แยกเรือนออกไปก็จะสร้างเรือนใหม่รอบๆ เรือนของพ่อแม่ ลักษณะเรือน ของผู้ไทแดงบ้านสบฮาวในปัจจุบัน จากการเก็บข้อมูลสนามพบว่ามีท้ังเรือนท่ีเป็นรูปแบบด้ังเดิมและเรือนท่ีมีการประยุกต์ โดยประสมประสาน รปู แบบและวัสดสุ มยั ใหมเ่ ขา้ ไป สว่ นขนาดของเรอื นน้นั ขน้ึ อยูก่ บั ฐานะทางเศรษฐกจิ และจำนวนสมาชิกในเรือน ลกั ษณะเรอื นผู้ไทแดง บ้านสบฮาว ในปัจจุบัน จากการสังเกต และสำรวจข้อมลู ในหมบู่ า้ น มีรปู แบบ การสรา้ งเรอื นทม่ี ีความหลากหลาย ดงั น้ี 76
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน ๑. เรือนไทแดง หลังคามุงหญ้า ฝาเรือนทำด้วยฟากไม้ไผ่ พื้นเรือนปูด้วยฟากไม้ไผ่ ต่อเซียแบบง่ายๆ ย่ืนออกมาด้านหน้า และต่อชานขนาดเล็กออกด้านข้างตัวเรือน เป็นเรือนขนาดสามห้อง รูปแบบเรือน เหมาะสำหรับครอบครวั เดี่ยว มีสมาชิกจำนวนไมม่ าก เรอื นไทแดงมงุ หญ้า ฝาไมไ้ ผข่ ดั แตะ ปฟู ากไม้ไผ่ ๒. เรือนไทแดง หลังคามุงหญ้า ฝาเรือนทำด้วยแผ่นไม้กระดาน ปูพื้นด้วยฟากไม้ไผ่ต่อเซียแบบง่ายๆ ยน่ื ออกมาด้านหนา้ และตอ่ ชานขนาดเล็กออกดา้ นข้างตวั เรอื น เป็นเรือนขนาดสองห้อง 77
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน เรอื นไทแดงมงุ หญา้ ฝาไม้แผ่นกระดาน ปฟู ากไม้ไผ่ ๓. เรือนไทแดง หลงั คามุงหญา้ ฝาเรือนทำดว้ ยแผน่ ไมก้ ระดาน ปพู ้นื ดว้ ยฟากไมไ้ ผต่ อ่ เซยี แบบเปิดโลง่ ย่นื ออกมาดา้ นหนา้ และตอ่ ชานขนาดเล็กออกด้านข้างฝัง่ ขวาของตวั เรือน เป็นเรือนขนาดสี่ห้อง เหมาะสำหรบั ครอบครวั ขนาดกลาง มสี มาชิกประมาณส่ีถงึ หา้ คน เรือนไทแดงมงุ หญ้า ฝาไมก้ ระดาน ปฟู ากไมไ้ ผ่ 78
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน ๔. เรือนไทแดงประยุกต์ หลังคามุงแป้นเกล็ด ฝาเรือนทำด้วยแผ่นไม้กระดาน ปูพื้นด้วยฟากไม้ไผ่ ต่อเซียขนาดใหญ่มีหลังคาคลุมออกมาด้านหน้า และต่อชานออกด้านข้างฝั่งซ้ายของตัวเรือนทำหลังคาคลุม ปรบั ทำเป็นหอ้ งครวั เป็นเรอื นขนาดสห่ี ้อง เหมาะสำหรับครอบครวั ขนาดกลาง เรือนไทแดงมงุ แป้นเกลด็ ฝาไม้แผ่นกระดาน ปฟู ากไมไ้ ผ่ ๕. เรือนไทแดงประยุกต์ หลังคามุงแผ่นสังกะสี ฝาเรือนทำด้วยแผ่นไม้กระดาน ปูพื้นด้วยฟากไม้ไผ่ ต่อเซียเปิดโล่งออกมาด้านหน้า ไม่มีการต่อชานเน่ืองจากมีการสร้างเรือนแบบสมัยปัจจุบันต่อออกไปด้านข้าง เป็นเรอื นขนาดสองหอ้ ง 79
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน เรือนไทแดงมุงสังกะสี ฝาไม้แผ่นกระดาน ปูฟากไม้ไผ่ ๖. เรอื นไทแดงประยุกต์ หลังคามงุ แผ่นกระเบ้ือง ฝาเรือนทำด้วยแผ่นไม้กระดาน ปพู นื้ ดว้ ยฟากไมไ้ ผ่ ตอ่ เซียเปิดโลง่ ออกมาด้านหน้า ตอ่ ชานออกไปดา้ นข้างฝ่งั ขวามุงหลงั คาทำเปน็ หอ้ งครัว เป็นเรอื นขนาดสามหอ้ ง เรอื นไทแดงมงุ กระเบ้ือง ฝาไม้แผ่นกระดาน ปฟู ากไม้ไผ่ 80
สถา ับนวิ ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน ๗. เรือนไทแดงประยกุ ต์ หลงั คามุงสังกะสี ฝาเรอื นทำดว้ ยแผ่นไมก้ ระดาน ปพู ้ืนด้วยแผ่นไมก้ ระดาน ตอ่ เซยี ออกมาดา้ นหนา้ และทำหลังคาครอบ ไม่มีชาน เป็นเรอื นขนาดสามห้อง ซึง่ ทางราชการสร้างเพอื่ อนุรักษ์ รปู แบบบ้านของผ้ไู ทแดงเอาไว้ ตั้งเป็นศูนยอ์ นรุ ักษว์ ฒั นธรรมบา้ นสบฮาว เรอื นไทแดงมุงสงั กะสี ฝาไมแ้ ผ่นกระดาน ปูไม้แผน่ กระดาน แม้ว่ารูปแบบ และวัสดุในการสร้างเรือนของผู้ไทแดงบ้านสบฮาวจะเปลี่ยนแปลง แต่พ้ืนท่ีใช้สอยน้ัน ยังคงรักษาไว้ตามแบบแผนด้ังเดิม กล่าวคือ ในเรือนมีส่วนท่ีเป็นที่อยู่ของผีบรรพชน คือห้องผี และตั้งห้ิงผีไว้ เพื่อเป็นที่สิงสถิตของผีเรือน และมีการแบ่งพ้ืนที่ในส่วนของสมาชิกในเรือนตามสถานภาพและเพศของสมาชิก ซึง่ ความเปน็ ไปทุกส่งิ ทกุ อย่างในเรอื นน้นั อยภู่ ายใต้การควบคุมดแู ลของ “ผเี รือน” โดยมีกฎเกณฑ์ในการควบคมุ เรียกว่า “คะลำ” ด้วยการที่ผีบรรพชนมาอาศัยอยู่ร่วมกันกับลูกหลานในเรือนเดียวกันน้ี ทำให้เห็นระบบความ สัมพันธ์ของชาวผู้ไทแดงกับบรรพชน ท่ีมีความผูกพันใกล้ชิด และให้ความสำคัญกับบรรพชนของตน แม้ว่า จะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม ดังนั้นไม่ว่าจะมีอะไรหรือจะกระทำอะไรในเรือนผู้ไทแดงจะบอกกล่าวให้ผีเรือนได้รับรู้ ทุกคร้ัง และมีประเพณีการเซ่นไหว้ผีเรือนและผีบรรพชนทุกปี แสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยของผู้ที่มีความกตัญญู ร้คู ุณ การเชิญขวัญของบรรพชนให้มาเป็นผีเรือนเพ่ือช่วยปกป้องคุ้มครองและดูแลลูกหลานนี้ ทำให้สมาชิก ในเรือนมีขวัญกำลังใจ และเกิดความรู้สึกม่ันคงในชีวิต นอกจากน้ีผีเรอื นยงั เปน็ พลังอำนาจในการควบคมุ สมาชกิ ในเรอื นให้ประพฤตปิ ฏิบัติตามจารีตประเพณี รวมถงึ จริยธรรมอนั เปน็ ขอ้ ยดึ ถอื ในสังคม ดังนัน้ หากมผี ูใ้ ดกระทำ ผิดหรือกระทำการละเมิดข้อยึดถือดังกล่าวก็จะถูกผีเรือนลงโทษโดยการทำให้เกิดความเจ็บป่วยท้ังทางร่างกาย และจิตใจ หรอื อาจจะทำใหไ้ ดร้ บั อนั ตรายในรูปแบบต่างๆ ทั้งตอ่ ตัวผู้กระทำผดิ เองหรือเกดิ กับครอบครวั ซง่ึ เรยี กว่า “ผดิ ผ”ี วธิ กี ารแกไ้ ขคอื ตอ้ งกระทำพธิ “ี เสน” เพอ่ื เปน็ การขอขมา ตอ้ งนำเครอื่ งเซน่ ซงึ่ อาจจะเปน็ ไก่ หมู หรอื ควาย แล้วแตค่ วามหนกั เบาของความผดิ ทกี่ ระทำ ระบบความเช่ือใน “ผเี รอื น” จงึ ถือเป็น “กฎหมายครวั เรือน” ของ ผไู้ ทแดง ทยี่ ึดถือกนั มาแต่อดีตจนถึงปจั จุบนั 81
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน อัตลักษณ์ของเรือนผู้ไทแดง บ้านสบฮาว วิเคราะห์ข้อมูลจากการสำรวจและลงพื้นท่ี สามารถสรุปได้ ดงั นี้ ๑. หลังคาเป็นทรงจ่ัวแคบ มุงหลังคาด้วยหญ้าคา เปิดปีกหลังคาทั้งสองด้านให้ลาดลงมาปกคลุม ตัวเรือนทั้งหลัง จนเกือบถึงพ้ืนเรือน การทำหลังคาแบบนี้จะทำให้ป้องกันความหนาวเย็นได้ดีช่วยให้ภายในเรือน เกิดความอบอุ่นเน่ืองจากการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มผู้ไทแดงน้ีมักจะอยู่ตามหุบเขาหรือที่ราบเชิงเขาริมน้ำซ่ึงเป็น พ้นื ท่ีท่มี อี ากาศหนาวเย็นเกอื บตลอดท้งั ปี ๒. ตัวเรือนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นเรือนยาว เนื่องจากลักษณะครอบครัวผู้ไทแดงน้ันนิยมอยู่กัน เป็นครอบครัวใหญ่ ประกอบกับธรรมเนียมการแต่งงานที่ลูกสะใภ้ต้องไปอยู่เรือนสามี ทำให้เรือนหลังหน่ึง อาจจะมสี มาชกิ อยรู่ ่วมกันเปน็ จำนวนมาก และมีคูส่ ามีภรรยาหรือครอบครอบเลก็ ๆ อยู่ร่วมกันหลายครอบครวั ในเรือนหลังเดียวกัน ทำให้การสรา้ งเรอื นจะต้องใหม้ จี ำนวนห้องเพียงพอกับสมาชิกทอ่ี าศยั อยู่ และการอย่รู ว่ มกัน ในลักษณะนี้ทำให้สมาชิกในตระกูลมีความสนิทสนมรักใคร่กันดี นอกจากน้ันยังส่งผลต่อพลังอำนาจทางสังคม และเศรษฐกจิ ของครอบครวั อีกดว้ ย ๓. ลักษณะเรือนยกพ้ืนใต้ถุนสูง เน่ืองจากพ้ืนที่บริเวณใต้ถุนบ้านน้ันใช้สำหรับการเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู วัว หรือควาย นอกจากนั้นยังใช้เป็นที่ตั้งก่ีทอผ้า และต้ังครกมองสำหรับตำข้าวอีกด้วย เหตุผลอีกอย่างหนึ่ง สำหรับการทำเรือนใต้ถุนสูง ก็เพื่อเป็นการป้องกันสัตว์ร้ายท่ีจะเข้ามาทำอันตรายในยามค่ำคืนพื้นเรือนปูด้วย ไม้ไผ่สับฟาก หรือกระดานไม้ ฝาเรอื นทำด้วยไม้ขัดแตะ ไม้ไผส่ บั ฟาก หรอื แผ่นไม้กระดาน เสาไม้เนอ้ื แขง็ กลม วางบนกอ้ นหินเพ่ือป้องกันปลวก ๔. เรือนผู้ไทแดงทุกหลังจะมีหอผีเรือน โดยจะต้ังภายในตัวเรือน มีอยู่สองลักษณะคือ ตั้งไว้ในห้อง ผีเรือนโดยเฉพาะ ซ่ึงเป็นบริเวณห้องแรกท่ีติดกับห้องนอนของเจ้าเรือน และอีกลักษณะหนึ่งคือต้ังห้ิงผีไว้ใน ห้องนอนของผู้เป็นเจ้าเรือน แต่เดิมนั้นห้ิงผีจะต้ังไว้กับพ้ืนเรือนบริเวณโคนเสามุมทิศตะวันตกสุดซึ่งเชื่อว่า เป็นเสาท่ีเชื่อมต่อระหว่างเรือนของลูกหลานในโลกมนุษย์กับผีบรรพชน ต่อมามีการย้ายหอผีขึ้นไปไว้บนหัวเสา ใกลๆ้ กบั เสาดังกล่าวนี้จะเจาะผนังเปน็ ชอ่ งเลก็ ๆ เอาไวส้ ำหรบั สง่ อาหารใหผ้ ีบรรพชนในพิธเี สนผเี รือนประจำปี เมอ่ื จะกระทำการสง่ิ ใดทสี่ ำคญั ในเรอื นจะตอ้ งมกี ารบอกกลา่ วผเี รอื นใหร้ บั รทู้ กุ ครง้ั ผเี รอื นนเี้ ปน็ ขวญั ของบรรพชน ท่ีเสียชีวิตแล้วและถูกเชิญให้มาอยู่ในเรือนร่วมกับลูกหลานเพ่ือทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครอง ดูแลสมาชิกทุกคน ในเรือนให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ให้กระทำส่ิงที่ผิดจารีตประเพณีท่ียึดถือปฏิบัติในสังคม หากมีผู้ใดกระทำผิดหรือ ละเมิดจารีตประเพณี จะทำให้ผีเรือนไม่พอใจ และจะดลบันดาลให้เกิดสิ่งที่ไม่ดี หรือเป็นอันตรายต่อตัวผู้กระทำ เอง หรอื ตอ่ ครอบครัวซึ่งเรยี กว่าผดิ ผี โดยมวี ธิ แี ก้ไขคือการ “เสน” เพือ่ เซ่นไหวข้ อขมา ดังนั้นจึงไดม้ กี ารกำหนด สิง่ ท่ีเป็นขอ้ ห้ามสำหรับสมาชิกในเรอื นเรยี กวา่ “คะลำ” เพอ่ื ป้องกนั การกระทำผดิ จารตี ประเพณีดังกล่าว ๕. บันไดเรือนผู้ไทแดง มีสองด้าน คือบันไดด้านหน้าข้ึนทางด้านเซีย เป็นบันไดสำหรับสมาชิกท่ีเป็น เพศชายใช้ในการข้ึนลงเรือน ส่วนบันด้านหลังท่ีข้ึนทางชานเรือน เป็นบันไดสำหรับสมาชิกเพศหญิงใช้ในการ ขนึ้ ลงเรอื น การแยกบันไดเรือนและกำหนดเพศในการใชบ้ นั ไดในการข้ึนลงเรือนนเี้ นอื่ งจากเหตผุ ลดงั นี้ 82
สถา ับนวิ ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน - ผู้หญิงจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการประกอบอาหาร ดังน้ันจึงให้ผู้หญิงขึ้นลงบันไดด้านหลังซ่ึงใกล้ กบั เตาไฟทใ่ี ชป้ ระกอบอาหาร และบรเิ วณชานเรอื นกเ็ ปน็ ทส่ี ำหรบั จดั เตรยี มวสั ดอุ ปุ กรณเ์ ครอ่ื งทำอาหาร รวมถงึ การลา้ งทำความสะอาดภาชนะตา่ งๆ ด้วย การขึน้ บนั ไดด้านหลังจึงสะดวกและรวดเร็วในการปฏิบัตภิ ารกจิ มาก กวา่ ทีจ่ ะขึ้นบนั ไดดา้ นหน้า ยง่ิ หากเปน็ เรือนท่มี ีความยาวมากๆ กจ็ ะยิง่ ลำบาก - กลุ่มผู้หญิงในเรือนจะน่ังผิงไฟและนั่งเย็บปักถักร้อยใกล้ๆ เตาไฟท่ีใช้ประกอบอาหารในช่วง ฤดูหนาวส่วนกลุ่มผอู้ าวุโสฝา่ ยชายจะมาน่งั หรือนอนผงิ ไฟ และดื่มนำ้ ชาท่สี ะแนนรอบๆ เตาไฟใกลบ้ ริเวณห้องท่ี รับแขกจึงไม่สมควรทจี่ ะใหผ้ ้หู ญิงเดนิ ผ่านไปผ่านมา - มีข้อคะลำ ห้ามผู้หญิงโดยเฉพาะอย่างย่ิงลูกสะใภ้ผ่านหน้าห้องผีเรือน ดังนั้นการข้ึนบันได ด้านหนา้ จะต้องเดินผ่านห้องผเี รอื นไป จึงจะถงึ ชานเรือน ซึ่งถือว่าคะลำ - ผู้ไทแดงบางแห่งมีข้อคะลำ ห้ามไม่ให้พ่อสามีพูดกับลูกสะใภ้ ห้ามพี่สามีพูดกับน้องสะใภ้ และห้ามน้องสามีพูดกับพี่สะใภ้ โดยไม่จำเป็น เพ่ือป้องกันการเกิดปัญหาทางชู้สาวเน่ืองจากมีการอยู่ร่วมกัน เปน็ จำนวนมาก ดังน้นั การกำหนดให้ขน้ึ บันไดคนละดา้ นก็เปน็ การป้องกันข้อคะลำอกี ทางหน่งึ ดว้ ย ๖. มกี ารแบ่งแยกพน้ื ทใ่ี ช้สอยภายในตัวเรอื นอย่างชดั เจน กล่าวคือ ในเรอื นจะแบ่งออกเปน็ ห้องผีเรอื น อันเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจ ในการควบคุม และขัดเกลาสมาชิกในเรือน อีกทั้งเป็นพื้นท่ีในการประกอบ พิธีกรรมต่างๆ ในเรือนซึ่งเก่ียวพันกับระบบความเชื่อในผีบรรพชน และพ้ืนที่ดังกล่าวน้ีถูกกำหนดให้เป็นพ้ืนที่ ศักด์ิสิทธิ์ที่ทุกคนต้องยำเกรง นอกจากน้ียังมีการกำหนดพื้นที่สำหรับกลุ่มผู้ชายโดยเฉพาะกลุ่มผู้ท่ีอาวุโส คือ บริเวณเตาไฟที่อยู่กลางเรือน หรือบางแห่งอาจจะอยู่ค่อนมาทางด้านบริเวณห้องรับแขกบริเวณดังกล่าวนี้เอาไว้ สำหรับผู้อาวุโสชายนงั่ หรอื นอนผิงไฟ และนั่งกินน้ำชากนั ส่วนพื้นท่เี ตาไฟด้านหลัง และบรเิ วณโดยรอบๆ เตา เป็นพ้ืนท่ีของกลุ่มผู้หญิงสำหรับทำกับข้าว ผิงไฟ และนั่งทำงานเย็บปักถักร้อย รวมถึงการอยู่ไฟเวลาคลอดลูก ดว้ ย โดยทผ่ี ู้ชายจะไมเ่ ขา้ ไปยงุ่ เกย่ี วในบรเิ วณนน้ั หากไมจ่ ำเปน็ จรงิ ๆ อย่างไรก็ตาม การศึกษาเก่ียวกับลักษณะเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทแดงนี้ เป็นส่วนหน่ึงของวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมเท่านั้น แม้จะเป็นลักษณะท่ีเห็นได้ในเชิงประจักษ์ แต่หากจะให้เข้าใจอย่างลึกซ้ึง แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องเชื่อมโยงกับข้อมูลวัฒนธรรม และวิถีชีวิตด้านอื่นๆ ด้วย จึงจะทำให้ได้ข้อมูลท่ีมี ความถกู ต้องสมบูรณ์ 83
สถา ับนวิ ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน บรรณานกุ รม กัญญา ลีลาลัย. (๒๕๔๕). ประวัติศาสตร์ชนชาติไท. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชช่ิงจำกัด (มหาชน). งามพศิ สัตยส์ งวน. (๒๕๔๒). การวจิ ัยทางมานุษยวิทยา. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . จติ ร ภมู ศิ กั ด.์ิ (๒๕๑๙). ความเปน็ มาของคำสยาม, ไทย, ลาว และขอม และลกั ษณะทางสงั คมของชอื่ ชนชาต.ิ กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์เรอื นแกว้ . เจยี แยนจอง. (๒๕๓๐). “ชนเผา่ ตระกลู ภาษาไทยในประเทศจนี ” คนไทยอยทู่ ไ่ี หนบา้ ง?. กรงุ เทพ: ศลิ ปวฒั นธรรม. หนา้ ๓๖-๔๑. ฉลาดชาย รมติ านนท์ และคณะ (บรรณาธิการ). (๒๕๔๑). ไท. เชียงใหม่ : โรงพิมพ์มง่ิ เมอื ง. ฉววี รรณ ประจวบเหมาะ.(๒๕๒๕). “กลมุ่ ชาตพิ นั ธ.ุ์ ” เอกสารของชดุ วชิ าสงั คมศกึ ษา ๔. นนทบรุ :ี มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. (๒๕๔๐). ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมชุมชนและชนชาติไท. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . ชยันต์ วรรธนะภูติ. (๒๕๓๒). “พัฒนาการศึกษาสังคมและวัฒนธรรมไทย.” เอกสารการสอนหน่วยท่ี ๒ สงั คมและวฒั นธรรมไทย. นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช. ธวัช ปณุ โณทก และคณะ (บรรณาธิการ). (๒๕๔๙). มมุ มองสังคมไทยแบบบรู ณาการ. กรงุ เทพฯ : เวิลด์เทรด ประเทศไทย. นเิ พทย์นิตสิ รรค,์ หลวง. (แปล). (๒๕๑๘). ชนชาติไท. แปลจาก The Tai Race The Elder Brother of the Chinese ของ William Clifton Dodd. บรรจบ พนั ธุเมธา. (๒๕๔๙). กาเลหม่านไต. กรงุ เทพฯ : เรอื งแสงการพิมพ.์ บญุ ยงค์ เกศเทศ. (๒๕๔๖). สบื สานวฒั นธรรม ชาตพิ ันธ์ุไท สายใยจิตวิญญาณ : ลมุ่ นำ้ ดำ-แดง. กรงุ เทพฯ : หลกั พิมพ์. . (๒๕๔๘). อรุณร่งุ ฟ้าฉานเลา่ ตำนานคนไท. กรุงเทพฯ : หลักพิมพ์. ปนดั ดา บณุ ยสาระนยั . (ปน่ิ แกว้ เหลอื งอรา่ มศรี บรรณาธกิ าร) (๒๕๔๖). “ชนเผา่ อาขา่ : ภาพลกั ษณท์ ถ่ี กู สรา้ งให้ สกปรก ล้าหลงั แต่ดงึ ดดู ใจ.” ใน อัตลกั ษณ์ ชาตพิ นั ธุ์ และความเป็นชายขอบ. กรุงเทพฯ :ศนู ย์ มานุษยวทิ ยาสริ ินธร. ประคอง นมิ มานเหมนิ ท์ และเรอื งวิทย์ ลิ่มปนาท (บรรณาธิการ). (๒๕๓๘). คนไทใต้คง : ไทใหญ่ในยนู นาน. กรุงเทพฯ : สถาบันไทศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรม แหง่ ชาติ ประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๑๕ ภาคที่ ๒๒-๒๕. (๒๕๐๗). กรงุ เทพฯ : องค์การคา้ ครุ ุสภา. ป่ินแก้ว เหลืองอร่ามศรี. (๒๕๓๙). ภูมิปัญญานิเวศวิทยาชนพื้นเมือง. กรุงเทพ : โครงการฟ้ืนฟูชีวิตและ ธรรมชาต.ิ พิเชษ สายพันธ์. (๒๕๔๗). “การแปลงผ่านอัตลักษณ์ชาติพันธ์ุ ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม” ใน ความเป็นไทย/ความเปน็ ไท. กรงุ เทพฯ : ศูนยม์ านุษยวิทยาสริ นิ ธร. 84
สถา ับนวิ ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสานภทั ทยิ า ยิมเรวัต. (๒๕๔๔). ประวัตศิ าสตรส์ ิบสองจไุ ท. กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพส์ ร้างสรรคจ์ ำกดั มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (๒๕๓๓). เอกสารการสอนชุดวิชา ๑๑๑๑๑ สังคมและวัฒนธรรมไทย หน่วยท่ี ๑-๗. นนทบรุ ี : มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช. ยศ สันตสมบัต.ิ (๒๕๕๑). หลกั ช้าง : การสร้างใหมข่ องอตั ลักษณ์ไทในใตค้ ง. กรุงเทพฯ : วถิ ีทรรศน์. . (๒๕๕๑). อำนาจ พ้นื ที่ และอตั ลักษณท์ างชาติพันธ์ุ : การเมอื งวัฒนธรรมของรฐั ชาตใิ นสงั คมไทย. กรงุ เทพฯ : ศนู ย์มานุษยวทิ ยาสิรินธร. รณี เลิศเล่ือมใส. (๒๕๓๙). ฟ้า-ขวัญ-เมือง จักรวาลทัศน์ดั้งเดิมของไท : ศึกษาจากคัมภีร์โบราณของไท อาหม. กรุงเทพฯ : วิถีทรรศน์. วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ และคณะ. (๒๕๔๕). รายงานการวิจัย คนไทในเวียดนาม : ภาษาและวัฒนธรรม. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์ ศรีศักร วัลลิโภดม. “การนบั ถอื ผใี นเมอื งไทย”, เมอื งโบราณ, ๕(๗) : ๕๔ ; กันยายน-ตลุ าคม, ๒๕๒๒. ศรสี มพร สุขวง. (๒๕๕๑). การปรบั ตัวทางวฒั นธรรมของกลุม่ ชาติพันธ์ุไทแดง บ้านโพนทองเมืองนาทรายทอง นะคอนหลวงเวยี งจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว. วิทยานพิ นธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . ขอนแก่น. สทุ ิน สนองผนั . “ผีเสือ้ หรือ ผเี ชอ้ื สาย” ศลิ ปวัฒนธรรม. ๑๒(๓) : ๑๓๔-๑๓๕. มกราคม. ๒๕๓๔. สุเทพ สุนทรเภสัช. (๒๕๓๕). สังคมวิทยาหมู่บ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. พระนคร: สมาคมสังคมศาสตร์ แหง่ ประเทศไทย. สเุ ทพ สุนทรเภสัช. (๒๕๔๘). ชาติพันธ์สุ ัมพนั ธ.์ กรงุ เทพฯ : เมอื งโบราณ. สุภางค์ จันทวานิช. (บรรณาธิการ). (๒๕๔๙). รวมบทความทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ปี ๒๕๔๙ เนอ่ื งในโอกาสเกษยี ณอายรุ าชการของ ศ.ดร.อมรา พงศาพชิ ญ.์ กรงุ เทพฯ : หจก.ศรบี รณค์ อมพวิ เตอร-์ การพมิ พ.์ สุมิตร ปิติพัฒน์และคณะ. (๒๕๔๖) คนไทแดงในแขวงหัวพันสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว. กรงุ เทพฯ. สถาบนั ไทยคดศี ึกษา มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ สมุ ติ ร ปติ พิ ฒั นแ์ ละฮว่ ง เลอื ง. (๒๕๔๓ ). คนไทเมอื งกวา่ : ไทแถงและไทเมอื งในประเทศเวยี ดนาม. กรงุ เทพฯ: สถาบนั ไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. (๒๕๓๘). การศึกษาวัฒนธรรมชนชาติไท. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ คุรุสภาลาดพรา้ ว. อภญิ ญา เฟ่ืองฟสู กุล. (๒๕๔๖). อตั ลกั ษณ์. กรุงเทพ:คณะกรรมการวิจัยแหง่ ชาติ สาขาสงั คมวทิ ยาสำนกั งาน คณะกรรมการวิจับแห่งชาติ. อรรถ นันทจักร. “วิธีคิดว่าด้วยจักรวาลวิทยาของกลุ่มคนไทในเวียดนาม” วารสารคณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ปที ่ี ๑๕ ฉบับท่ี ๑ พฤษภาคม-ตุลาคม ๒๕๓๙. อานันท์ กาญจนพนั ธ.์ุ (๒๕๓๘). สถานะภาพการวจิ ัยพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมไทใหญ่. กรุงเทพ : สำนักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ. Dau Tuan Nam. (พรเพ็ญ ฮ่ันตระกูล, เก็บความ). “ระบบผีของกลุ่มคนไทยในเขตกวี่โจว จังหวัดเหงะอัน” ศลิ ปวัฒนธรรม. ปีท่ี ๒๙ ฉบบั ท่ี ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑ หน้า ๑๔๒-๑๕๗ 85
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสานAlonso, Ana Maria. “The political of space, time, and substance: state formation, Nationalism, and ethnicity. Annual Review of Anthropology. Vol. 23 (1994) : 379-405 Banks, Marcus. Ethnicity: Anthropological Constructions ( New York, Routledge, 1996). Chamberlain, James R. (1975). A New Look at the History and Classification of Tai Language. Studies in Tai Linguistics in Honor of Wiliam J. Gedney. . (1983). The Tai Dialects of Khammouan Province: Their Diversity and Origins, 16th International Conference on Sino-Tibetan Language snd Linguistics, 16-18 September, Seattle, Washington. Embree, John F.,Thomas, William L. (1983). Ethnic Groups of Northern Southeast Asia. Southeast Asia Studies, Yale University, New Haven. Gedney, William J. (1989). A Comparative Sketch of White, Black and Red Tai. In Selected Papers on Comparative Tai Studies, p. 415-463. Michigan Papers on South and Southeast Asia. Center for South and Southeast Asian Studies. No.29. Michigan University. Kunstadter, Petre. (๑๙๖๗). Southeast Asia Tribes, Minorities and Nations (vol. 2). Princeton University. Press. Schliesinger, Joachim. (2000). Non-Tai-Speaking Peoples : Ethnic Groups of Thailand. Bangkok : White Lotus Co.,Ltd. Robert, R. (1941). Notes ser les Tay Deng de Lang Chanh. Hanoi : Imprimerie d’ Extreme Orient. Robinson, Edward Raymond. 1994. Further classification of Southwestern Tai “P” group languages. M.A. thesis. Chulalongkorn University. 86
ภาคท่ี ๓สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน คติความเช่ือเฮือนอสี านในใบลาน ณรงคศ์ ักดิ์ ราวะรินทร์ 87
88 สถาบนั วิจยั ศลิ ปะและวฒั นธรรมอสี าน
บทสู่ขวญั ข้นึ เรือนใหม่ ณรงค์ศกั ดิ์ ราวะรินทร์ ศรีศรี สิทธไิ ชยยะตุ พาวัง ไชยยะมัง คาลัง พุทธงั ธมั มัง สงั ฆัง สะระณัง คสั ฉามิสถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน อิตปิ โิ สภะคะวา อาระหงั สัมมาสมั พทุ โธ ภะคะวา พิราดังนี้เป็นเค้า กดเข้าห้องฏีกา ในบาลีบทละกดปาปังนิกาย ผาบมารหลายพังพ่ายกับท่อช้างใหญ่ ฮา้ ยเมคคัลลาหลวง งวงหักลงล้มท่าว บ่ต่าวหน้าคืนมา บดั น้ยี งั มพี ญาตนหนง่ึ ลุกมาแตเ่ มอื งหม้นั คำทอง มาแสวงหาคองเมืองดีตงั้ บา้ น หาบอ่ นสรา้ งเมืองบ้านชมุ่ เยน็ บ่อนเขด็ ขวางจกั ให้เว้นหนหี ลีกแวน่ ไกล พระเมตตไตยเพ่ินว่าดีบ่อนนี้ ปางก่อนก้ีพระเจ้ากอ่ แผน่ ดิน พญาอินทร์เปน็ ผกู้ ่อแมน่ ำ้ นางเมคคลาซ้ำรกั ษา นางธรณีเอาคำ้ พระแก่นไธเ้ จา้ บอกบ่อนดี อยสู่ รา้ งหมนื่ พนั ปี บ่มีโพยภัยมาถืกต้อง พยาธิค่อนสนั ตามารแสนกอื แผ่นติออ่ นโยมพังพา่ ย อยูท่ า่ งเจ้าซ้อื น้นั จ่ายแต่แก้วแหวนเงินคำ เพน่ิ สนิ ั่งปัวนางหม่ืนคนมาให้ ข้อยช่วยใช้พอพนั คำตนั ตัง้ แตง่ พอลา้ น เจา้ สิไดเ้ ป็นเจ้าช้างสารใหญพ่ ังคี สมบตั ิมมี ูลมาก พ่นี ้องอยตู่ ่างบา้ นยงั สไิ ด้ของหลากมาหา เจ้าแลว้ กับทั้งภารยิ าเมยี งามหนุ่มน้อย เนือ้ ซาบซ้อยอยใู่ สสี 89
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสานเปน็ ดอกนารีบานงาม ผ่องเพย้ี งส้วยแอวกลม เตา้ นมงามคือสงิ่ จมู ดอกซ้อน บาดวา่ เจา้ สิไดเ้ ขา้ ต่อยตอ้ ง บบี หน่วงคัน้ หวั ส่นั คล้อย คล้อย สองปานแกม้ โสดแดงงาม คอื ส่งิ ชาวซา่ งยอ้ ม ค้ิวกอ่ งคาดคอ้ ม หนา้ ผอ่ งเพียงบวั บาน บัดนเ้ี จา้ เฮือนจง่ิ พิจารจาพากยแ์ ลว้ จง่ิ แต่งถงหมาก กบั นำ้ เต้าทอง ควั คหี าขวานโคมแลมดี พร้า แบกเข้าป่าดงดอน จงไปหาหลายเช้าคำ่ ตาวันตกค่ำคล้อย เมอ่ื แลงแดดอ่อน แล้วเลา่ มาเสพสรุ าแกม้ ขา้ ว วนั หนา้ เช้าสวายแล้วเล่าไป จงใจหาซกั ไซย้ ังเหลา่ ได้ลำ ๑ ยาวฮี (รี) ลำนเี้ ปน็ ไมด้ สี ดุ ขนาด ถกื บาทคาถา ไม้แกน่ หนาเก่งเกด็ กาจ ลำน้ีตง้ั กอ่ แฮก เสาขวญั บอระบวนถากแลว้ ตัดลำแผ้วสนิ ปลาย ข้ขี อนยายเดียระดาษ ไม้ลำน้ธี รรมชาตไิ มแ้ ก่นแกว้ คะเคยี มพาคาแก่นไมส้ ะแบงลำยาว ฮม่ กว้างอยู่ยายขา้ งตนี โคกหวั นา ภาษาคนวา่ ดลี ้ำเลศิ ลำนี้ต้งั หากแวน่ ประเสริฐแท้ หอมกลนิ่ จวงจนั ทน์ 90
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน บดั นีย้ ังเสาขวญั พากันเปน็ คู่อยทู่ างไกล ลำ้ กวา่ ไม้ยาวถืกโสก ลำน้อี ย่โู คกคล้อยแคมปา่ ตีนดง ไมค้ ะยอมลำยาว ถืกดา้ มขวานเข้าเสาคำ ฟนั ล้มลา่ วลงจงใจฟนั เลยแลว้ ตัดลำแลว้ แผว้ สนิ ปลาย ข้ีขอนยายเดียระดาษ มาลำบากเจ้าหนหวย สวายพองายอยากข้าว ลำบากเจ้าหลายมือ้ ออ่ นแฮง ลางมอ้ื ฮามแลงขา้ ว หิวแฮงเจา้ นอนอยู่ วันหนา้ เซางายแลว้ เล่าไป จงใจเขา้ ดงดอนดัน้ ป่า มานัน้ เหน็ หม่นู กฮ่ำฮอ้ งปลายไมฮ้ ำไฮ ตาไนฮ้องเสียงดังในโคก โพนดก ฮอ้ งปลายไม้ ฮ่ำคอน สดุ ท่อี าวรณ์ ฮอ้ นไฟลามไหม้ปา่ มานั้น เจา้ ก็ขึน้ ค่วั โคกกวา้ งหลายชน้ั ซอ่ งซัน พอเม่ือตาเว็นข้ึนสวายพองายแดดแก่ มาแลว้ เหอ่ื หยาดยอ้ ยฮำหนา้ เจ้าหลั่งไหล สดุ ท่ีวสิ ัยฮอ้ นคางแคลนคามเมื่อย คดึ อยากนำ้ คอแหง้ ไคลยอ้ ย แดดแฮง่ ไหม้ แมงไมแ้ ฮง่ ตอม สุดทอ่ี าวรณฮ์ อ้ นเซซนหาฮม่ เขา้ ฮม่ ไม้ลม้ ลมต้องเป่าเบ้อื งเบกิ เปา่ เย็น พอเมอื่ ตาวนั คล้อยเมอื แฮงแดดออ่ น มาน้ัน ฟังยนิ ได้เซาแคน้ ฟังอยู่แล้วเลาคึดฮอดช้เู กา่ เยอื้ นคนงิ หาเจ้าภายหลงั บ้านเกา่ อยแู่ ลว้ แลว้ จึงคึดได้ ฮขู้ นั เขา้ ตอ่ เฮอื น ปีเดอื นนบั มื้อคอ่ น วนั ยามนบั มอ้ื ถา่ ย มาแล้ว วนั สบื มอ้ื วันหน้าฮอดเถงิ มาแล้ว ฟ้าฮอ้ งขวา้ มสังขารปีใหม่ มาแลว้ 91
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสานเหิงนานล้ำ ฝนฮำเฮือนเกา่ ฝนฮัว่ ยอ้ ย ฮำผา้ เจ้าชุม่ เลงิ แล้วจึงควั คีฟา้ วบายค้อน เขา้ ปา่ ขัดขวาง พาค้อนเขา้ ผา่ ดง จงใจเข้าดงดอนดัน้ เถิงพอ้ หน้าไม้ถือดา้ มฟันล้มล่าวลง แปวบน ไดล้ ำยาวฮลี ำซ่อื ข่ือ คา่ วไดด้ อนหั่นป่าหัน ฟนั ไม้ลม้ แปพา่ งยาวฮี เจา้ หากไดโ้ คกกว้างทางคล้อยแค่ดอน ฟังยินขอนขอนฮอ้ งสงั กาโพนโดก เป้าปา่ ไม้ ลังล้าว บา่ งบง แลว้ เล่าสนไซข้อง คนงิ คองแคนคึด พุ้นพี้หลงั หนา้ แฮงกระสัน พอเม่ือตาเวน็ คล้อยเมือแฮงแดดออ่ น มาน้นั หอมดอกไมย้ ามแล้งใจเจ้าวีว่ อน แล้วเล่าคึดฮุ่งฮ้ขู นั เขา้ ต่อเฮอื น ปเี ดอื นนบั มื้อฮอดวนั ยาม นบั ม้อื ถา่ ยมาแล้ว เปน็ ออนซอนกาเหวา่ ฮ่ำฮอ้ ง แดดแหง้ ข้อนคราวนำ้ แฮ่งไกล สุดท่ีวิสยั เยอ้ื นคราวไกลยากย่ิง ขวา้ มป่าไม้หลายหลิ่งเหวซนั ภผู าหนาตันคราวเดินยากลำบากฮ้อนหิว แดดเดอื น ๓ ไมบ้ ่งามคั่วดงเดินยาก เหลียวเห็นเจือกเบ้ืองไม้ เลียนลำหลายส่ำ ตน้ ต่ำเบ้อื ลำสนั้ เจา้ บเ่ อา แล้วเล่าเซาแฮงฮอ้ นมีแฮงหาฤกษ์ ลางตน้ ถากเปลือกแล้ว ใจหาวโกลนกลาง ลางตน้ งามแต่ลำ ใจแมงโกลนนอก ลางตน้ ถากมอกแล้วใจหาวโกลนใน ไม้จงั ไร ฝงู นีบ้ ด่ ี บ่ควรทีเ่ อาเขา้ มาในเขต 92
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสานบใ่ ชไ่ มว้ เิ ศษ มงุ คุน เปน็ เฮอื นเพนิ่ บก่ ลวั ย้อง มันมนั จกั เปน็ เหตตุ ้อง ภายหน้าเมือ่ ลุน บ่ฮู้หลายวันลนุ ฮุง่ เชา้ จงิ คอยตงั้ ตอ่ เข้ามื้อใหม่ หาฤกษย์ ามดี วันดิถีวันดมี ือ้ ชอบ จิงสไิ ด้ไมป้ ลอดแก่นแก้วแกน่ คาถา ลำดีไม้ยาวฮเี หลอื เหลอ่ื ม เฮอื นหลายหม่องตุ้มพ่ีน้องโคตรเช้ือฝงู หมวู่ งศา ท้ังปิตตา มารดา พอ่ แม่ ทัง้ เฒา่ แกแ่ ม่ปา้ อาว อา ทง้ั ตา นาย แลพ่นี ้อง เข้าหวา่ มห้องเฮอื นกวา้ ง อยู่ดี สมบตั บิ ่ไฮ้ ขอ้ ย(ขา้ )ส่วงใชพ้ อพัน สะยวั กลอน ข่อื ดง้ั แป คา่ ว หวายผูก อาว ลงิ ลม ถากเกล้ียงกลมไม้ เสาดง้ั อกไก่ พรอ้ มแปวบน สบั ลงิ ลายวงวาด กอดทอด คาดขบตง ฝา เซน ซงแมน้ ทอ้ ง แปน้ อดั ป่องเบ็งชร ไม้กลอนยาวๆ ศอกตอกก้วิ หญ้าคาผกู ไมต้ าหนแู ทงหล่อไว้ ไม้ฝูงนวี้ เิ ศษท้งั มวล บระบวรพอแล้ว บดั น้ขี อ้ ยสแิ ปงเชิงเชิดแกว้ ฮากแก่ เอามากอ่ นเนอ้ มาเยอขวญั เฮย เข้าฟันตกตอ่ เจ้า อยา่ ได้หกั เข้าฟนั ตกหลักเจา้ อย่าไดค้ ้าง ใหเ้ จ้ามาอยูส่ รา้ งเฮือนกว้างอยดู่ ี เคราะห์เดือนอย่าใหม้ ี เคราะหป์ อี ยา่ ให้ฮมเฮ้า (รุมเร้า) เคราะห์ม้ือเซา อย่าใหเ้ หน็ เคราะห์กลางเว็นอย่าให้มาใกล้ 93
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน ขวัญเสาแฮก เจ้าอยู่ป่าดอนหั้นก็ใหม้ ามอ้ื น้ี วันน้ี ขวัญเสาขวัญอยดู่ อนแคมนำ้ ขวญั เสาค้ำอยูแ่ คมเหล่าตนี ดง ขวัญแปวบนอยู่ดอนช้างน้าว ขวญั ขื่อ ค่าว โอยอาวกนั มา มาเยอขวญั เอย เจ้าบม่ าเขาสิแกเ่ จ้าข้ามป่าไมด้ งหนามาแล้ว เจา้ บม่ าเขาสิแก่เจา้ สิขา้ มป่าคาดงกว้างมาแลว้ ไม้ลม้ ขวางขนิ ไขว่ตนั ทาง เขาสแิ ก่เจา้ ขา้ มดงยางหลายยา่ น มาแลว้ ฮ่อมห้วยหาดตันข้อง คีงหมน่ หมองเกลา้ เศร้า ฮามอยากขา้ วแลงงาย เนอ้ื คีงลายกลว้ั ฝนุ่ อาบน้ำขุ่นเสียผวิ จงู ควายเลยแก่มาผ่าแดด แดดแฮ่งฮอ้ นคาวนำ้ แฮ่งไกล สดุ ท่ีวิสยั เยอ้ื นคาวไกลยากยิ่ง มาฮอดบา้ นพอแล้วใจเจ้าจงิ ดี การเฮอื นได้มีพอครบเครอ่ื ง บัดน้ีเจ้าจงิ ไปหาชา่ งยายเยื้องมาดุสิ่วฮู เสาขางซอด เสาเกล้ียงปลอดยาวฮี เสาเฮอื นดีถกื โสก เสานี้งามลน้ โลกกวา่ เพน่ิ ทั้งหลาย ใผมากลายเหลยี วเหน็ กย็ ่อมยอ้ ง กับท้ังฝูงพีน่ อ้ ง ชาวบา้ นชื่นชม เปน็ ทีอ่ ดุ มดีโฮมซาวหั้น บ่อน ๑ ปุนไว้ ถา้ ผูกช้างสารใหญเ่ ฮียงเกย ห้อง ๑ ไว้ถา้ ให้ลูกเขย ลูกสาวผ้ดู ีมาซ่วงใซ้ ห้อง ๑ ไว้ถ้าให้ลูกชาย สะใภ้ หลาน ส่ำมาแยงลกู ชายแพงเคอื งคำพอฮอ้ ย หลอนวา่ เจา้ สไิ ด้ลกู สะใภ้น้อยๆ มาอีกจ่มใจ บ่ฮู้ ห้อง ๑ ไว้ถ้าหลาไนแล แข่งมอ้ น 94
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสานหอ้ ง ๑ ไวถ้ ้าใหพ้ ีน่ ้องหลายแห่งมาหา ห้อง ๑ ไวถ้ า้ ทาสาขอ้ ยข้า หอ้ ง ๑ ไว้ถ้าแม่ปา้ ฝงู หมลู่ ุงตา ห้อง ๑ ไว้ใหถ้ ้าบิดามาดา พอ่ แม่ หอ้ ง ๑ ไวถ้ ้าเถ้าแก่หลายบ้านมาชุม หอ้ ง ๑ ไวถ้ า้ ใหเ้ จ้าขุนหลายทางมาเฝา้ ห้อง ๑ ไว้ถา้ สังฆเจ้ามาเทศนาธรรม ห้อง ๑ ไว้ถา้ เงนิ คำแล เสอ้ื ผา้ ห้อง ๑ ไวถ้ า้ ผกู ชา้ งม้าสัตวส์ ิ่งงวั ควาย หอ้ ง ๑ ไว้ถา้ พี่น้องตานาย มาสู่ หอ้ ง ๑ ไวถ้ า้ ชูเ้ กา่ ฮ้างแต่งแลหม้ายมาซู หอ้ ง ๑ ไวถ้ ้าแปงปอ่ งปกั ตขู ายของเงนิ คำพอฮอ้ ย หอ้ ง ๑ ไวถ้ า้ แปงสวา้ ม(ส่วม)น้อยๆ ให้ลกู สาวนอน ห้อง ๑ ไว้ถา้ แปงเบ็งชรแลปอ่ งเอ้ียม หอ้ ง ๑ ไว้ถ้าเจ้าวเิ ศษ สพั พะเทวดา ฝงู เพ่ินยงั รกั ษาค้มุ ครอง หม่เู ก่า มูลตอ่ เท่าเถงิ เฒ่าช่วั (เวลา)ทัง้ มวล บอระบวนสู่อัน ครบคู่ อันนี้ข้อยสิไดไ้ ปเอา พ่ีน้องกำ้ ปู่ย่า มาหากอ่ นแล้ว ขอ้ ยสิไดไ้ ปเอาพน่ี ้องตานายมาช่อยคำ้ คูนขึ้นให้ฮ่งุ เฮือง มาซ่อยยอเฮือนกว้าง โฮงหลวงหลังใหญ่ ทั้งไพร่น้อยแลขนุ กวาน ทัง้ อาจารย์แลนักปราชญ์ ฝงู ฉลาด ด้วยโวหาร ทง้ั หลานเหลนแลลูกเต้า ทง้ั ผเู้ ฒา่ แลปานกลาง ทัง้ สาวฮามแลหม้ายฮ้าง ฝูงพ่นี ้องอยตู่ า่ งบ้าน ยังบ่ทันมา ตานายอย่บู ้านใกล้ยังไปทนั มา ฮอดแลว้ พญาเจ้าจงิ่ พรอ้ มกนั มา มายอขึ้นให้สงู มาจงู ขึน้ ใหก้ ว้าง ฝูงฮา้ งหมา้ ยฮ้างตกแตง่ แลงงาย ต้มสู่เลย้ี งแขกปานโฮมเฮา้ แต่งการ 95
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสานมขี องหวานแซบซ้อย แต่งย่นื ใหก้ ินแลว้ เลา่ นอน บางพ่องมัวเมาเหลา้ สรุ าฮอ้ งโฮ บางพอ่ งเตอะปากก้องเฟือนฟนื้ มีน้ัน มที ั้งพลูวนั กอ้ น ยาเมาหมากออ่ น บ่ห่อนหิวหอดไฮม้ ีพร้อมสูอ่ ัน ม้ือนี้แมน่ มื้อสนั วันดี ว่าแม่นมื้อเฮา้ บัดน้ีข้อยจกั ยอเสาแฮกขึ้นแลว้ ให้ได้งวั แมล่ าย ขอ้ ยสิยอเสาขวัญขึน้ แล้วขอให้ไดค้ วายเขาชอ้ งแม่ใหญ่ บดั นี้ข้อยจักยอเสา เฮือนอันน้ี หลงั นข้ี ้ึนแล้วให้อยู่สวัสดี ๑๐ หมอดลี ุกมา แต่เมอื งคาม มาคนู มายอ ๓๐ หมอลุกมาแตพ่ ุน้ มาคนู มายอ ๖๐ หมอลุกมาแต่พุ้น มาคนู มายอ ๗๐ หมอเถา้ ลุกมาแต่ภูหอ หมอนบ้ี ่ใชห่ มอธรรมดา คาถานแ้ี มน่ คาถาแตเ่ กา่ หมอเฒ่าแต่บรู าณ ๗ ใบยอ ขอ้ ยสเิ อามาหนุน ๗ ใบคนู ขอ้ ยสิเอามาคำ้ ใหน้ ำ้ ออกบ่อกนิ เย็น กเ็ ป็นดหี ลี เหมือนดังพระรัสสนี ารอดฟ้า ให้เจา้ มีขอ้ ยขา้ หลวงหลาย งวั ควายหนาคบั คอก ช้างมา้ พร้อมเนอื งนันต์ แก้วแหวนคำวิเศษ หมอกแกว้ เกศเมือ่ เมือง คำเหลอื งพระไชยศรี ไม้แมน่ แปน้ แวนหนาอยู่ ผู้แกน่ กล้าหรุ ามาน (หนุมาน) เป็นคนหาญเจา้ สงั คบี (สคุ รีพ) บบี เสาค้ำอย่าให้ตกแตก เสาแฮกให้เท่ยี งซนั เสาขวัญใหห้ มัน้ แก่น ใหเ้ จ้าหมนั้ ปานแทน่ ธรณี แล้วจิงจบั ข่อื หยั่งข้ึนใสส่ ุบดวด เลยลวดผกู กับแปวบน 96
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน บางพอ่ งจบั ขางแนเอาใส่ ตงลำใหญ่ ไขว่ขึ้นเมื่อบน ลางคนคาดขางแห้ง บางพอ่ งจับแกง่ หญา้ เอาขน้ึ มามุง บน่ านเลยแลว้ แผส่ ่ิน(ซนิ่ ) เสื้อ ลางคนจบั ฝามาแอ้ม แต้มฝา ใสล่ ายจำ้ ลายจวร บอระบวนงามแล้วจงิ ขึน้ อยู่หอ้ งแอ้ม ออ่ งต่องถืกแตบ่ อ่ นปวั นางทง้ั มวลในจวน ยังมนี ้ำบ่อแกว้ นางอาบแลว้ สรงสี ผู้ดีสทุ ธะยงิ่ มาเปน็ ม่ิงเม่ือขวญั ไชยะตุ ภวังคไชยยะ มัง คะลงั บัดนเ้ี อาเสาแฮก ให้เจา้ เกิดเป็นคหู่ อมชั่วซาววัน เสาขวัญใหเ้ จ้าเกดิ เปน็ แกน่ จันทน์หอมชวั่ คราวมือ้ เพ่นิ มาซ้ือของใหแ้ ก่นเจ้าไดง้ า่ ย เพิ่นมาขายของใหเ้ จ้าได้จา่ ย แต่พาเงิน พาคำเตม็ ครอบ ใหเ้ จา้ ไดห้ อบเอา แตแ่ ก้วแหวนทัง้ มวล บระบวรทุกสิ่ง บัดนี้ ขอ้ ยสิยอเสาเฮือน ผทู้ ุกข์ใหไ้ ดเ้ กดิ เป็นดี ขอ้ ยสิยอเสาเฮอื นเศรษฐขี นึ้ ใหไ้ ดเ้ ป็นเจา้ ขอ้ ยจักยอผาสารท ก็ขน้ึ ใหเ้ ป็นหอราชยอดจอมธรรม ข้อยสยิ อแต่เตียงคำขน้ึ ใหแ้ ตเ่ ตยี งคำ ก็ได้เปน็ รถแก้ว บัดน้ขี อ้ ยสยิ อเจ้าตงั้ ขน้ึ แล้วใหเ้ จ้าเหย้าเจา้ เฮือน อันน้อี ยู่สวัสดี ทีฆายโุ ก สขุ งั พะลัง อุ อะ มุ มะ มรู มา มีมาก บัดนขี้ ้อยสเิ ชิญขวัญเจ้าอย่ฟู ากฟ้าโฮงหลวงหลังใหญ่ ก็ให้มามอ้ื นี้ วันน้ี ขวัญเจา้ ไปอยู่กอ่ สร้างหอราชโฮงทองก็ใหม้ าม้ือนี้ วนั น้ี ขวญั เจ้าไปฟนั ตงขึ้นแป ดงกว้างกใ็ หม้ ามื้อนี้ วนั น้ี ขวญั เจ้าไปตดั ไมค้ ั่วกลางดงกใ็ ห้มาม้อื น้ี วันนี้ ขวญั เจา้ ไปฟนั กลอนแปกลางปา่ กใ็ ห้มามื้อนี้ วันน้ี ขวญั เจ้าไปเลยี บโคกคอยฟันขื่อตีนภู ไม้แทงตาหนู ใหเ้ จา้ มาเอาบานฮ่มใหญ่กวา้ ง พอแลว้ ซู่อนั 97
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน ม้ือนี้แมน่ ม้อื สนั วนั ดี จิงได้ยอยกเจา้ ขึน้ มาเยอ ขวญั เฮย ยะถาวารีวาโหปโุ ลสพั พาพาลงั นักขกิ ยันติ ดังน้เี ปน็ เคา้ ตราบต่อเทา่ ๕ พันพระวสั สา นพิ พานะ ปจั จะโย โหตุ ชะนัง ฯฯ อันน้ีบาศรีเฮือนแล เจ้าเฮย สังกาศล่วงไปปีใดให้บาศรีจิงเป็นมังคละแลจำเริญแก่เจ้าเหย้า เจ้าเฮือน อยูส่ วสั สดี หายโพยภยั พยาธแิ ล ฯฯ 98
มลู ขึด : ความเชื่อโบราณอีสาน ณรงค์ศักดิ์ ราวะรนิ ทร์ อาหํ นมามิ รตตฺ นเตยยํ นมามหิ ํ นมการา นพุ าเวน สพเฺ พสงคฺ บเฺ ปา นสิ มชิ ชฺ นตฺ ุ อาหํ อนั ว่าผ้ขู า้สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน รตฺตนเตยฺยํ แก้วเจ้า ๓ ประการน้ี นมามิ ข้าก็น้อมไหว้บัดน้ีแล้ว นมการานุภาเวนะ ด้วยเตชาอานุภาพ แกว้ ๓ ประการ น้ี สพฺเพ สํกบฺเปา อันว่าคึดคำ่ ๆ คนงิ ท้ังมวลฝงู น้ี สมชิ ฺชนตฺ ุ กจ็ งสมฤทธี ซ่ปู ระการเถิด ส่วนอันว่าภัทรกัปเรานี้เม่ือตั้งกัปหัวทีวันน้ัน ส่วนอันว่าหน่อพระโคตมะเจ้าเราน้ีก็ได้มาเกิดเป็นพระยา สมนั ตราชาพรหม อันลกู แตอ่ คนถิ าพรหม มา ๘ ชัน้ นนั้ ลงมากินยงั แผ่นดนิ อันนกี้ ็มแี ล เถิงกาลเมอื่ มนื นานมา อันวา่ ลูกพรหมทัง้ หลายแผผ่ อกออกมาเป็นอันมากหลายนักสนั น้นั กแ็ ต่งแปงบา้ นเรือนอยู่ดว้ ยเลว(เรว็ ) แลว้ แต่ง ให้ออกไปสร้างแปงยังเมืองใหญ่ๆ หัวเมืองอยู่ท่ีนั้นแล ส่วนคนท้ังหลายอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เมืองนั้น ริกขาดิจจ อนั ควรกระทำ อันว่า กรดมงั คลกมั มวัด อันควรกับตามนั้นกด็ ี เป็นกบั ดว้ ยสตู รมังคละน้นั กด็ ี พระยาสมนั ตราชา มหาพรหมหากต้งั แต่งแปงมาสันน้ัน เมื่อนัน้ ยังมกี าลตราบท่อวนั น้ัน ส่วนว่าคนอนั อยใู่ นเมืองใหญ่ๆ หัวเมอื งนนั้ ยังมคี นฝูงอันตำ่ ยอ่ ม ๖ คน อันเขาหากไดก้ ระทำอันผดิ แผก อนั ใดอนั หนึง่ แลว้ เขายินลกั อายนัก เขาจงิ กลา่ วว่ากรยิ าอนั ตายนี้แควนประเสรฐิ กว่าอนั อยูเ่ ป็นคนนี้แล ว่าดังน้ัน ก็ลวดปรารถนาเอาความตายอยู่ห้ันแล ในเม่ือเขาทั้งหลายปรารถนาสันนั้น ส่วนว่าสมันตราชาก็ได้ยินรู้กล่าว เขาท้ังหลายหมู่นบี้ ฮ่ ู้เลยดายบร่ ักษาชวี ิตแหง่ ตนแล มกั ตายสันนี้กเ็ ปน็ อันงดึ ง้ออัศจรรยค์ วรยกยอแกท่ ้าวพระยา ทั้งหลายแท้แล เขาท้ังหลายได้ยินพระยาสมนั ตราชากล่าวดงั นัน้ เขากป็ รารถนาเอาความอยูไ่ จวๆ้ หนั้ แล ผู้ ๑ กป็ รารถนามกั ใคร่ตายไหลนำ้ หัน้ แล ผู้ ๑ ก็ปรารถนาตายฟา้ ผ่าแล วา่ ดังนั้น ผู้ ๑ น้ันกป็ รารถนาขา้ ใครต่ ายเสอื ขบแล วา่ ดงั นน้ั ผู้ ๑ ปรารถนาวา่ ข้าใคร่ตายตกไม้แล วา่ ดงั น้นั ผู้ ๑ กป็ รารถนาขา้ ใครต่ ายดว้ ยเชือกผกู คอแล ผู้ ๑ ก็ใคร่ตายตามปกตดิ ้วยไขด้ ้วยหนาวนน้ั แล วา่ ดังนีก้ ็มีแล เขาทงั้ หลาย ๖ คนนนั้ กไ็ ดต้ ายตามคำปรารถนาแห่งเขาหน้ั แล บคุ คลผู้ ๑ น้ันก็ตายไหลน้ำแท้ ครั้นตายไหลน้ำแท้ พระยาก็แต่งให้คนทั้งหลายเอาเข้าหม้ินสุรกับ ดว้ ยดินฝ่นุ ดนิ ผงแท้ด้วยนำ้ แล้วจงทาหวั มนั มาลบู ขนึ้ ๗ ที แล้วลบู ลง ๗ ที แล้วจคิ วรส่งสะกานด้วยไฟแล คร้นั บ่ กระทำสันน้ันก็บ่ควรส่งสะกานด้วยไฟแลคุณรู้ดังนั้นแลก็บ่ควรรับวัตถุแห่งท่านอันมาค้ำชูก็บ่ควรไว้แฮมคืน บ่ควร ทานเข้าสงั บ่ควรสังคหธรรม บ่ควรเอาพุทธรปู นำหนา้ ไปกอ่ นใดแล ถดั นั้นผู้ ๑ ก็ตายฟ้าผ่าหน้ั แล พระยากใ็ หค้ นท้ังหลายเอาตัง้ เหนอื รางหมู แล้วกใ็ ห้ชกั ชันชู ๓ ที แลว้ ก็ ให้อาบน้ำอุ่นแล้วจิงเอาไปฝังดินแล คร้ันบ่กระทำสันน้ันบ่อาบน้ำอุ่นนั้นบ่ฝังดินได้บ่ควรรับของแห่งท่านอันมา ค้ำชูน้ันแล บ่ควรไว้แฮมคืนแล บ่ควรเอาพระเจ้านำหน้าบ่ควรสังคหาสูตรธรรม บ่ควรป่ันสรณคมน์ทานเข้าสัง บ่ควรแล ทอ่ ควรทานเข้าสานกับทนี่ ั้นแล 99
สถาบัน ิว ัจย ิศลปะและ ัวฒนธรรม ีอสาน ภายลุนผู้ ๑ เล่าตายเสือขบหั้นแล พระยาก็ให้เขาเอาน้ำอุ่นตั้งท่ีเจ็บน้ันแล้วจิงควรส่งสะกานด้วยไฟ แลครนั้ บอ่ าบนำ้ อนุ่ ดงั นน้ั กบ็ ค่ วรเผาไฟแล บค่ วรรบั เขา้ ของแหง่ ทานอนั มาคำ้ ชนู นั้ บค่ วรเอาพระนำหนา้ บค่ วรไว้ แฮมคนื เทา่ ควรแตป่ ่นั สรณคมน์ แลให้ทานขา้ วดบิ ไว้วันนน้ั เม่ือภายลนุ แตน่ ั้น เล่าผู้ ๑ ตกต้นไม้ตายหั้นแล พระยาก็ให้คนเป็นพ่อแม่พี่น้องญาติกา วงศา ก็ดี ผู้เฒ่า ผู้แก่ ก็ดี ผา้ ขาว ดาวบส ก็ดี ใหข้ า้ มไปข้ามมา ๓ ที แล้วจิงควรส่งสะกานด้วยไฟแล บค่ วรไวแ้ ฮมคืน บค่ วรรบั ทานมาคำ้ ชู น้ันบ่ควรทานข้าวสัง บ่ควรสูตรสังคหธรรม บ่ควรเอาพระเจ้าไปนำหน้าเท่าควรทานข้าวสารดิบน้ันแลภายลุน แต่นน้ั ผู้ ๑ ก็เอาเชือกผูกคอตายหั้นแล พระยาก็ให้เขาเอาไม้แทกยาวตนมันนั้นแล้ว ให้เอาตัวมันฝังยืน ป่ินหน้าไปวันออกชวายใต้ แล้วให้เหยิบผมมันเสียแล้วจิงฝัง แล้วจิงให้ผ้าขาวดาวบสอันตัวผู้เดียวน้ันแล้วให้ ปนั่ คา...แกผ่ ู้น้ันแล้วเอาเชอื กอันมี ๗ สง่ิ น้ันมายาดมา ๗ ที แลว้ ออกปากวา่ จงใหฝ้ นรนิ น้ำไหลลอ่ ง วา่ ดงั น้ีเทิน ครั้นบ่กระทำดังน้ันก็บ่ควรฝืนใดแลมักจิบหายตายต่อเท่าเซ่นหลานแลก็บ่ส่งสะกานด้วยไฟใดแล ด้วยกล่าวแล้ว แต่ภายหลังนนั้ แล เทา่ ควรทานข้าวสารดบิ นน้ั แล ภายลุนมาแต่นน้ั ผู้ ๑ ก็ตายด้วยอันเจ็บไข้ตามปกติห้ันแล เมื่อน้ันพระยาก็แต่งว่าให้คนท้ังหลายอาบน้ำอุ่นโตมันแล้ว ให้ป้อนข้าวกุมนั้นแก่มันแล้วจิงให้ส่งสะกานด้วยไฟแล แม่นวัตถุแห่งทานมาค้ำชูก็ควรรับไว้แฮมคืนก็ควรแล เขาสงฆ์ก็ควรทานธรรม ก็ควรสังคหสูตรแล พระเจ้าก็ควรเอาไปนำหน้าบุคคลผู้นั้นแล มหาสมันตราชาก็หาก ต้งั แต่งส่งสะกานคนทงั้ หลายดงั นี้โลกทงั้ หลายจงิ กระทำกับตามฮีต คอง อันนน้ั มาตราบต่อเท่าเถงิ กาลบดั นี้แล คนผู้ใดกระทำผิดแผกจากคองอันน้ีสันน้ันโทษท้ังหลาย ภัยทั้งมวลฝูงน้ันก็มาเถิงบุคคลละทั้งหลาย ห้ันแลพระยามหาสมันตราชาเจ้ามักให้พ้นจากภัยแล โทษแก่คนท้ังหลายก็จิงแต่งแปงนิยายไว้โดยดังมหาสมุ พระยาพรหมหากแต่งไว้เม่ือตั้งกัปหัวทีน้ันแลเพื่อให้คนทั้งหลายได้กระทำตามฮีตคองอันเป็นเค้าแห่งมังคละนั้น ดังนี้แล ๑) ประการ ๑ มหาสมันตราชาแต่งแปงดังนี้แลอันเป็นฮีตคองบุราณแห่งคนทั้งหลายอันเป็นลูกเป็น หลานญาติพ่ีน้องก็ดีลูกหญิง ลูกหญิงชายแห่งคนทั้งหลายฝูงอันอ่ืนก็ดีอันได้เอามาเลี้ยงไว้เป็นลูกเป็นเต้าสันน้ัน ครั้นว่าจักกระทำมังคละเมื่อจักตัดผมมันนั้นให้ไปกระทำยังเฮือนพ่อแม่เป็นเค้าแห่งเขาน้ันแล บ่ควรกระทำ มงั คละ (กระทำมงั คละขา้ หญงิ อยหู่ นา้ น)ี้ กรรมเฮอื นพอ่ แมเ่ ลยี้ งสกั อนั แล ครนั้ วา่ พอ่ แมบ่ ม่ แี ลว้ นน้ั กค็ วรไปกระทำ มังคลกรรมยังท่ีมหาธาตุแล ท่ีเค้าไม้ใหญ่แล ใกล้เมื่อลูกเล้ียงนั้นเถิงกาลเมื่อควรเป็นเฮือนสันนั้นส่วนคนมา ไคว่หมากไคว่เหม้ียงก็ดี ก็บ่ควรให้มากล่าวยอคำอันน้ันที่เฮือนพ่อเล้ียงสักอันแลก็บ่ควรรับเอาหมากเหม้ียง อันนั้นได้แลก็ควรไปกระทำยังเฮือนพ่อเก่าแม่เก่านั้นแล คร้ันว่าพ่อแม่บ่มีดังนั้นก็ควรให้แปงตูบแปงเฮือนท่ีหน่ึง แล้วจิงกระทำมังคละในตูบใหม่นั้นเทิน คร้ันว่ากระทำในเฮือนพ่อแม่เล้ียงน้ันก็บ่หมั้นก็บ่ยืนแลอันว่าคนผู้ไป ไคว่หมากน้ันก็ควรไปเส็งสานกับด้วยพ่อแม่เล้ียงยามเม่ือมาปลูกแปงนั้นแลบ่ควรให้ห่อหมากเข้าฮ่มเฮือนพ่อแม่ แล ชำลองสดุ ไปบค่ วรใหถ้ กื ต้องสกั จกั อันแลแตน่ ำ้ ก็บค่ วรให้กินแล บัดน้ีจักกระทำข้าหญิง ข้าชายฝูงได้ไถ่ได้ซ้ือถอนค่าตัวมันน้ันเมื่อกระทำมังคละนั้นก็ควรให้แปงตูบพอ เขาอยู่แล้วจิงควรกระทำมังคละท่ีนั้นอันหนึ่งข้าหญิงเฮือนนั้นไปท่องค้าเที่ยวขายอยู่แฮมวันเฮมคืนแล้วมันหลิ่น ชู้สู่กันแล มีคัพภะมาดังน้ันก็บ่ควรให้ข้ึนเฮือนเทื่อเท่าก่อนแปงเฮือนให้อยู่พอเขาที ๑ แลแล้วคร้ันประสูติพ้น เดือนแล้วจิงควรให้ขึ้นอยู่เฮือนดังเก่าแล ข้าวของมีแก่ผู้มาเอาหนีน้ันคนผู้ใดทรงคัพภ์น้ันก็บ่ควรให้ยาดเอาใน 100
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176