Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️การสร้างลวดลายในงานโลหะ

✍️การสร้างลวดลายในงานโลหะ

Description: ✍️การสร้างลวดลายในงานโลหะ

Search

Read the Text Version

คานา มนุษยชาติมสี ญั ชาติญาณนิยมความงามมาแต่กาเนิด ดว้ ยเหตุนมี้ นษุ ยจ์ ึงไดค้ ดิ ประดษิ ฐ์ ประดอย ความงาม เพ่ือสนองความเป็นอยู่ให้กบั ตนเอง สงั คม ศาสนา และสิง่ ท่ีตนเองและสังคมเคารพศรั ทธา ช่างผ้สู ร้างได้สงั่ สมประสบการณ์ผ่านการประดิษฐเ์ ป็นรปู ร่างที่ละเอยี ดง ดงาม ประณตี สวยงาม ได้รบั การยกย่องจากสังคมมากเท่าใดจะแสดงความสามารถที่เกิดจาดฝีมอื ความชานาญ และความคดิ ของชา่ งผู้ น้นั การสรา้ งสรรค์งานศิลปกรรมไทยมกี ารทาสืบทอด สร้างงานอย่างต่อเน่ืองจากอดีตอนั ยาวนาน จนถึงปัจจบุ ัน วฒั นธรรมและวถิ กี ารสร้างงาน เปล่ียนไปตามยุ คสมัยแตย่ ังคงความเชอ่ื ความตอ้ งการใน สงั คม และวัสดทุ ีพ่ บใหม่เข้ามาแทนทว่ี ัสดเุ ก่า ในปัจจบุ นั การสร้างงานศิลป กรรมจะถูกคดิ มลู คา่ ของงานศิลปะทผี่ ลิตออกมาในเชงิ พาณชิ ญ์ทา ให้รูปแบบการสร้างงานศลิ ปกรรมไดเ้ ปลีย่ นไปตามสภาพสงั คม ทาให้ความร้ใู นการสร้างงานศลิ ปกรรม ไทยนั้นการสอนระหวา่ งรุ่นสูร่ ุ่นขาดหายไป คนส่วนใหญ่คดิ ถงึ แต่การผลิตในแบบอตุ สาหกรรม โดย ลืมคิดไปวา่ การสร้างงานอุตสาหกรรมศิลป์นั้น ตอ้ งมีตน้ แบบท่ีเกิดจากฝมี อื ของช่างท่ดี ีก่อน จึงจะผลติ งานตามตน้ แบบท่ดี ไี ด้ การสรา้ งต้นแบบเป็นส่ิงจาเปน็ อยา่ งหน่ึงในการเรยี นรู้ การสร้ างงานศลิ ปะ แขนงหนึ่งของไทย กรมศลิ ปากรเหน็ ถึงความสาคญั ในการให้การศึกษางาน ศลิ ปกรรมจึงมอบหมายให้ กลุ่มวชิ าการด้านชา่ ง ศิลปะไทย สานักช่างสิบหมู่ จัดทาโครงการสรา้ งตน้ แบบเพือ่ จัดทาองค์ความรดู้ ้านศิลปกรรมความรู้ ดา้ นงานโลหะ ; การสรา้ งลวดลายในงาน โลหะ เพ่อื การเผยแพรค่ วามรู้ด้านศิลปกรรมใหเ้ กิดประโยชน์ ต่อประชาชนท่ัวไปไดศ้ กึ ษาหาความร้เู บือ้ งตน้ ทางด้านงานโลหะ เพือ่ นาไปขยายผลในการทางานด้าน งานชา่ งโลหะประณีตให้เกิดคุณคา่ และมูลค่าต่อสงั คมไทยตอ่ ไป อย่างไรก็ตามการทาหนงั สือการสร้างต้นแบบเพอ่ื จดั ทาองคค์ วามรู้ด้านศิลปกรรม ความรู้ ในเล่ม น้ี หากมขี อ้ บกพร่องทค่ี วรแก้ไขใหถ้ กู ต้องแลว้ ขอใหท้ ่านผ้รู โู้ ปรดชว่ ยชี้แจงใหท้ ราบดว้ ย เพ่อื จะได้ นามาปรับปรุง แกไ้ ขให้ดีต่อไป เสกสรรค์ ญาณพทิ กั ษ์ ( นักวิชาการชา่ งศิลป์ ปฏิบัติการ )

สารบัญ หน้า คานา บทที่ ๑ ความรู้ท่วั ไปเก่ียวกับโลหะ - โลหะคืออะไร - ความเปน็ มาของงานโลหะ - คณุ สมบัติของโลหะ - โลหะทองคา - โลหะเงิน - โลหะทองคาขาว - โลหะทองแดง - อลูมินัม - ทองเหลอื ง - บรอนด์ บทที่ ๒ จากอดีตสูป่ ัจจุบันของงานชา่ งโลหะ - งานสลกั ดุนโลหะ: นิยามและความหมาย - วัสดุอุปกรณท์ ่ใี ชใ้ นงานสลักดุน - การดูแลรักษาเครื่องมอื - ความปลอดภยั ในการใช้เครื่องมอื และการทางาน บทท่ี ๓ การสรา้ งลวดลายในงานโลหะ - การขน้ึ รูปโลหะ - ชันในงานโลหะ - วิธกี ารเขา้ ชันและออกชนั - วิธีการสลัก-ดุนโลหะ บทที่ ๔ กระบวนการสรา้ งชน้ิ งานเพ่อื จัดทาองคค์ วามรู้ - โต๊ะโลหะ - คนโท - เครือ่ งทรงพระ - สรปุ เปรียบเทียบขบวนการ แผนผงั ขบวนการสรา้ งงานโลหะประณตี บรรณานกุ รม

บรรณานกุ รม กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ. โลหะรูปพรรณ ศ.๐๑๑๔ . กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพค์ ุรสุ ภา ลาดพร้าว , ๒๕๒๖ กรมศลิ ปากร . ประณตี ศิลปไ์ ทย . กองพิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ . กรุงเทพฯ : ร่งุ ศลิ ปก์ ารพิมพ์ ( ๑๙๗๗) นพวฒั น์ สมพ้ืน. งานศลิ ปกรรมช่างโลหะ . กรงุ เทพ ฯ : เอ.พี. กราฟฟิค ดีไซนแ์ ละการพิมพ์ , ๒๕๔๔ วัชระ ขนิษฐบุตร. การชบุ และเคลือบผิว . กรงุ เทพฯ : สมาคมผู้ค่าอญั มณไี ทยและเคร่อื งประดับ , ๒๕๔๑ วันชัย หวลนวิ ตั วิ งษ์ . งานชา่ งโลหะในกลุ่มงานช่างสบิ หมู่ . กรุงเทพ : เอกสารประกอบคาขอประเมิน บุคคล, จีรพนั ธ์ สมประสงค์ . ศลิ ปะประจาชาติ ศป. ๒๓๑ . กรุงเทพฯ : สานกั พิมพโ์ อเดียนสโตร์ พีนาลนิ สาริยา . การออกแบบลวดลาย . กรุงเทพ ฯ : สานกั พิมพโ์ อเดยี นสโตร์ วรางคณา เอี่ยมแกว้ . การดูแลรักษาศลิ ปโบราณวตั ถุ : สานักโบราณคดีและพิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ. กรมศิลปากร , โรงพมิ พ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอกสารวิชาการ . การสลกั ดุนลายกนก หน้าพระ หน้านาง : กาญจนาภเิ ษกวิทยาลัย ชา่ งทองหลวง, ๒๕๕๑ เอกสารวชิ าการ . วิธีการทาทับทรวง : กาญจนาภิเษกวทิ ยาลยั ช่างทองหลวง , ๒๕๕๒ เอกสารวชิ าการ . งานโลหะประณีต : กลมุ่ วชิ าการดา้ นช่างศิลปะไทย สานกั ชา่ งสบิ หมู่ , ๒๕๕๓ ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ : นานมีบุคส์พับลิเคชัน่ ส์, ๒๕๔๖. ข้อมูลสมั ภาษณ์ นายธีรชยั จันทรังษี นกั วชิ าการชา่ งศลิ ป์ ชานาญการพิเศษ ( หัวหนา้ กลมุ่ งานช่างโลหะและชา่ งศริ าภรณ์ ) นางอัจฉรยิ า บญุ สุข นกั วิชาการชา่ งศลิ ป์ ปฎบิ ัติการ นายสายันต์ ยอดนวล นายช่างศิลปกรรม ชานาญงาน นายอภสิ ิทธ์ิ จุลพรรณ์ นายชา่ งศิลปกรรม ชานาญงาน นายพิษณุ ไกรสร นายชา่ งศิลปกรรม ชานาญงาน นางวรวีร์ ดวงแก้ว ชา่ งประณตี ศิลป์ชน้ั ๓ นายสมชาย ตตยิ วฒั นสิริ นายชา่ งประณตี ศลิ ป์ ชนั้ พเิ ศษเฉพาะตัว ( ลกู จ้างบาเหนจ็ รายเดอื น ) นายมนตรี ชน่ื ชว่ ย นายช่างศิลปกรรม ( พนักงานราชการ )



๑ บทท่ี ๑ ความรูท้ ว่ั ไปเกย่ี วกับโลหะ โลหะคอื อะไร จากหนงั สือพจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ .ศ. ๒๕๔๒ พมิ พค์ รั้งที่ ๑ พทุ ธศักราช ๒๕๔๖ หน้า ๑๐๔๖ ไดใ้ ห้ความหมายไวว้ ่า โลห - ,โลหะ ( โลหะ-) น. ธาตทุ ถ่ี ลุงจากแรแ่ ล้วเชน่ เหล็ก ทองแดง ทองคา ; ( วทิ ยา ) ธาตุ ซึง่ มีสมบตั สิ าคญั คอื เป็นตวั นาไฟฟา้ และความร้อนได้ดี มีขดี หลอมเหลวสงู ขดั ใหเ้ ป็นเงาได้ ตีแผ่เป็นแผน่ หรือดงึ ใหเ้ ปน็ เสน้ ลวดได้ เมื่อนามาเคาะมีเสียงดังกงั วาน เมอ่ื อยู่ ในสภาพไอออนจะเป็นไอออนบวก โลหะเจอื น. โลหะทีเ่ กดิ จากการผสมโลหะตา่ งชนิดกัน เช่น นาก ทองบรอนซ์, โลหะผสม ก็วา่ . โลหะผสม น. โลหะเจือ จากวกิ ิพีเดีย สารานกุ รมเสรี ไดใ้ หค้ วามหมายของคาว่าโลหะดังน้ี โลหะ คือ วสั ดทุ ี่ประกอบด้วยธาตุโลหะทมี่ ีอิเล็กตรอนอสิ ระอย่มู ากมาย นั่นคอื อเิ ล็กตรอนเหล่านไี้ มไ่ ด้ เป็นของอะตอมใดอะตอมหนงึ่ โดยเฉพาะ ทาให้มนั มคี ณุ สมบัติพิเศษหลายประการ เชน่  เป็นตวั นาไฟฟา้ และความร้อนไดด้ มี าก  ไม่ยอมให้แสงผา่ น  ผิวของโลหะที่ขดั เรียบจะเป็นมันวาว  โลหะมีความแขง็ แรงพอสมควรและสามารถแปรรูปได้ จึงถกู ใช้งานในดา้ นโครงสรา้ งอย่ าง กวา้ ง ขวาง ได้แก่ เหลก็ ทอง เงนิ ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี ปรอท อะลูมเิ นียม แมกนีเซยี ม โลหะบางชนดิ สามารถ หลอมรวมกับโลหะชนิดอน่ื หรือ อโลหะ ชนดิ อน่ื ได้ เชน่ เหล็กกลา้ มีสว่ นผสมของ เหลก็ กับคารบ์ อน ทองเหลือง มสี ว่ นผสมของสังกะสีกบั ทองแดง ในทางวทิ ยาศาสตรเ์ ราแบง่ วัตถธุ าตุออกเป็นองคป์ ระกอบได้ ๒ ประเภทคือ อินทรียวัตถุ หมายถงึ วตั ถทุ ่ไี ด้จากสงิ่ มชี ีวติ หรื อผลผลติ ของสงิ่ มชี วี ิต สามารถแบง่ ออกเปน็ ๓ กลุ่ม ดงั น้ี  อนิ ทรยี วตั ถทุ ่ีไดจ้ ากพชื เช่น ผ้าฝ้าย ปอ ไม้ ฯลฯ  อินทรียวัตถุทไ่ี ด้จากสัตว์ เชน่ ผ้าไหม กระดกู งา หนงั สตั ว์ ฯลฯ  อินทรยี วตั ถุทไ่ี ดจ้ ากการสงั เคราะห์ เช่นพลาสติก หนงั เทยี ม ฯลฯ อนินทรยี วตั ถุ หมายถึง วัตถุวัตถทุ ไี่ ดจ้ ากสง่ิ ที่ไม่มีชีวติ ได้แก่ หิน ดนิ แรต่ า่ ง ๆ โลหะ ดินเหนยี ว แกว้ ปนู ขาว ฯลฯ แบง่ ออกเปน็ ๒ กล่มุ คอื โลหะ กบั อโลหะ

๒ โลหะ ( metal ) คือ ของแข็งซึ่งประกอบจากอนุภาคผลกึ ซง่ึ มีการเรียงตวั กนั อยา่ งมีร ะเบยี บ มี คุณสมบตั โิ ดยทั่วไปของโลหะบรสิ ทุ ธิ์ ดังน้ี มีคา่ ความหนาแนน่ สงู มีจุดหลอมเหลวสูง เป็นตัวนาความ รอ้ นและไฟฟ้าไดด้ ี มกั จะทาปฏกิ ริ ยิ ากบั ความเปน็ กรด – ด่าง และเกลือ แตม่ ีความคงทนตอ่ แสงสว่าง ความรอ้ นได้ดแี ละยงั สามารถทาให้เปน็ โลหะผสมได้โดยการเตมิ ธาตุอื่น ๆลงไป อโลหะ ( non - metal ) ทสี่ าคัญไดแ้ ก่ อฐิ หนิ เครือ่ งป้ันดนิ เผา รปู ปน้ั แกะสลกั ภาชนะดินเผา ลกู ปดั สี ฯลฯโดยมีคุณสมบตั ติ รงข้ามกับโลหะ จากทไี่ ด้กล่าวมาแลว้ ขา้ งต้นจะเหน็ ได้วา่ โลหะนัน้ มีคุณสมบัติและลกั ษณะพิเศษเฉพาะของโลหะ โดยตรง ซ่งึ มนุษยไ์ ด้เรียน รแู้ ละเข้าใจในคุณสมบัตขิ องโลหะจึงนาเอาโลหะแต่ละชนดิ มาประยุกต์เป็น เครื่องมอื เคร่ืองใช้ เพื่ออานวยความสะดวกในการดารงชีวติ ประจาวนั และยงั นามาประดับกายเพ่อื ความ สวยงาม เช่น เคร่อื งประดับที่เปน็ สาริด เครอ่ื งเงนิ เครือ่ งทอง เครื่องทองเหลอื ง และทองแดง ความเป็นมาของงานโลหะ ยังไม่มหี ลกั ฐานเป็นท่ีแนช่ ดั ว่ามนุษย์ในยคุ ก่อนประวัติศาสตร์ หรือมนุษย์ยุคหินในสมัยก่อน พบ โลหะได้อยา่ งไร แต่มขี ้อสันนิ ษฐานวา่ มนษุ ยอ์ าจค้นพบโลหะโดยการสงั เกตจากธรรมชาติรอบกายด้วย ความบงั เอญิ จากการทม่ี นษุ ยไ์ ดอ้ อกไปล่าสัตว์ และพกั แรม กลางปา่ มนุษย์ในยุคหินใชเ้ ครือ่ งมือเคร่อื งใช้ อาวธุ และเคร่อื งประดับที่ทาดว้ ยหนิ ดนิ เผา กระดูก ไม้ เปลือกหอย เขาสัตว์ วัสดุธรรมชาติตา่ งๆ มาเปน็ เวลานานนบั หมื่นปกี ่อนที่จะรู้จักโลหะ โลหะชนิดแรกๆ ท่มี นษุ ยร์ จู้ ักเป็นโลหะทพี่ บไดใ้ นสภาพเป็น โลหะตามธรรมชาติ (native metal) ซึ่งมอี ยู่ไม่ก่ีชนดิ ที่สาคญั ไดแ้ ก่ ทองคา เงิน ทองแดง ฯลฯ การที่ชุมชน ใดจะใชโ้ ลหะชนิดใดข้ึนอย่กู ับทรพั ยากรธรรมชาตทิ มี่ อี ยู่ในบริเวณนั้น ทองแดงเป็นโลหะที่พบมากและพบ บอ่ ยในชุมชนโบราณสมัยกอ่ นประวตั ศิ าสตร์หลายแหง่ ทั่วโลก เนอ่ื งจากทองแดงเกิดขนึ้ ตามธรรมชาติ กระจดั กระจายทั่วไปในแทบทุกภมู ภิ าค ในขณะทีท่ องคาและเงิน เกิดขึน้ อยา่ งจากัดในบางภมู ภิ าคเท่านั้น หลักฐานทางโบราณคดแี สดงให้เหน็ วา่ มนษุ ยเ์ รม่ิ รู้จกั ใชท้ องแดงเมอื่ ประมาณ ๘,๐๐๐ – ๙,๐๐๐ ปี มาแลว้ แหลง่ โบราณคดียคุ หนิ ใหม่หลายแห่งในเอเซียตะวันออกกลาเงช่น ตรุ กี อะนาโตเลยี และเมโสโปเตเมีย พบเคร่ืองมือเลก็ ๆ และเครอ่ื งประดับทาด้วยโลหะทองแดงท่ีพบตามธรรมชาติ โดยระยะแรกนาทองแดง มาตหี รอื กะเทาะหรอื ฝนจนมีรูปรา่ งท่ตี อ้ งการ ต่อมาจึงนาเอาทองแดงมาเผาให้อ่อนตวั แล้วตขี ึ้นรูปเปน็ เครอื่ งมือเครอ่ื งใช้และเครอ่ื งประดบั นบั เปน็ โลหะชนิดแรกที่มนุ ษย์นามาใช้งาน นกั โบราณคดเี รียก ชว่ งเวลาท่ีมนษุ ย์ใชป้ ระโยชน์จากโลหะทองแดงว่า ยุคทองแดง (Chalcolithic Age) ซึง่ ปรากฏหลักฐานใน แหลง่ โบราณคดีหลายแหง่ ในเอเชยี ตะวันออกกลางและยุโรป ซึ่งมกี ารค้นพบและใช้ทองแดงตอ่ เนื่องกนั เปน็ เวลานานนับพันปี กอ่ นทีจ่ ะรจู้ ักผลติ โลหะผสม ของทองแดงกบั ดีบุกท่ีเรียกกันวา่ สารดิ แตใ่ นประเทศ

๓ ไทยไมป่ รากฏหลกั ฐานทแี่ สดงใหเ้ ห็นจดุ เร่ิมต้นและหว้ งเวลาของการใชท้ องแดง พบแต่เพียงหลักฐานการ ใชส้ าริดเมอื่ ประมาณ ๔,๐๐๐ ปมี าแล้ว การค้นพบทองแดงธรรมชาตใิ นยุคหนิ คงเกิดจากเหตบุ ังเอญิ ทองแดงธรรมชาติคงถูกน้าพัดพ ามา จากตน้ กาเนดิ มาตามแมน่ า้ ลาธาร หรอื อาจพบทองแดงธรรมชาตปิ ะปนอยกู่ บั แร่ทองแดงและกอ้ นหนิ ตามแนวเชงิ เขา ลักษณะและสสี นั ของทองแดงเปน็ สแี ดงแวววาวสะดุดตาปะปนอยู่กับแรท่ องแดงที่มี สสี วยงาม โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงเมอ่ื ทองแดงสัมผัสกบั อากาศและสารประกอบตา่ งๆ ในส่งิ แวดลอ้ ม จะ เกิด สนิมของทองแดงซึ่งมสี ีต่างๆ เช่น สแี ดง เขียว ฟา้ น้าเงนิ แตกตา่ งจากก้อนกรวด ก้อนหนิ ทวั่ ๆไป จึงเ ป็นจุด ดงึ ดดู ความสนใจมนษุ ย์ยคุ น้นั ในระยะแรกคงเก็บมาใช้งานอย่างอ่นื เชน่ ทาเครื่องประดบั การขดุ ค้นทาง โบราณคดใี นอานาโตเลียพบจท้ี าด้วยแรท่ องแดงสีเขียว (มาลาไคต์ ) ในช้นั ดินท่กี าหนดอายปุ ระมาณ ๑๐,๐๐๐ ปมี าแล้ว และพบลูกปัดทาด้วยแร่ทองแดงสีเขยี ว (มาลาไคต์) และแรท่ องแดงสนี ้าเงนิ (อะซไู รต์) จากแหลง่ โบราณคดีในตรุ กที ี่กาหนดอายุ ๘,๗๕๐ – ๙,๒๕๐ ปมี าแล้ว ภายหลงั จงึ ค้นพบวา่ เมอื่ นาทองแดงธรรมชาตมิ าทุบ หรอื ฝน หรือกะเทาะจะไดโ้ ลห ะทม่ี ีความมนั วาว สามารถตใี ห้แบน แผเ่ ป็นแผ่น ทาเปน็ รปู รา่ งท่ีไม่ซับซ้อนได้ แต่มีขอ้ จา กัดทที่ องแดงธรรมชาติทผ่ี า่ น การตีจะแข็งและเปราะกว่าทองแดงธรรมชาติ ท่ีไม่ผ่านการตี จงึ ไมส่ ามารถตเี ปน็ วัตถุท่ีมีรูปทรงสามมติ ทิ ี่ ตอ้ งการได้ วัตถุทท่ี าด้วยทองแดงในยคุ แรกๆ ที่พบในเอเชยี ตะวันออกกลาง จงึ เป็นลูกปดั เข็มหมุด อปุ กรณ์ ปลายแหลมคล้ายเขม็ ขนาดใหญ่ ตอ่ มามนุษย์ พบว่า เมอ่ื เผาทองแดงท่ีผา่ นการตีข้ึนรปู แล้ว และ ให้รอ้ นประมาณ ๔๕๐ องศา เซลเซียส แล้วทิง้ ใหเ้ ย็นตัวอยา่ งชา้ ๆ จะช่วยใหท้ องแดงนั้นอ่อนตวั และเปราะน้อยลงจนสามารถตใี หแ้ บน หรือรีดไดโ้ ดยไม่แตกหกั จึงมกี ารทาเครอื่ งมอื เคร่อื งใช้และเครื่องประดับทีม่ ีขนาดใหญ่ข้นึ และมีรปู ทรง ซบั ซอ้ นขึน้ ได้ แตเ่ นื่องจากทองแดงธรรมชาติพบนอ้ ยมากไมเ่ พยี งพอตอ่ การใช้งานเปน็ จานวนมาก ประกอบกบั กระบวนการผลิตคอ่ นข้างยาก ต้องอาศัยความชานาญเฉพาะด้านและใช้เวลาย าวนานในการ ผลติ โดยจะต้องนาทองแดงมาตขี นึ้ รปู ขณะเย็นหรือร้อน ทองแดงจึงมีใช้เฉพาะชนช้ันปกครองหรอื ผ้มู ี อานาจในแต่ละชมุ ชน ในระยะต่อมา มกี ารคน้ พบวธิ แี ยกทองแดงออกจากแร่ทองแดง โดยใช้ความร้อนสูง ซึง่ เรียกว่าวิธีถลงุ (smelting) เนื่องจากในแหลง่ ท่ีมที องแดงธรรมชาติ จะ พบแรท่ องแดงปะปนอยูด่ ้วยเสมอ มนุษยย์ ุคทองแดงคงพบเหน็ คุ้นเคยกบั แรท่ องแดงท่ีมีลกั ษณะเป็ นกอ้ นหินสีแปลกๆ แลว้ ระหวา่ งที่คน้ หา ทองแดงธรรมชาติและ คงเก็ บมาสะสมไว้ แตย่ ังไมท่ ราบว่าจะนามาใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งไร คาดวา่ ในระยะ ต่อมา คงค้นพบโดยบงั เอญิ วา่ เม่อื นาแร่ทองแดงเหลา่ น้ั นมาวางรอบกองไฟ หรอื เผาดว้ ยความรอ้ นสงู จะได้ โลหะหลอมเหลว ทเ่ี มือ่ เย็นตัวแล้วจะกลายเปน็ โลหะทองแดงเหมอื นทองแดงธรรมชาติ ท่สี ามารถขนึ้ รูป โดยการตที าเปน็ เคร่อื งมือ เครือ่ งใช้ และเคร่ืองประดบั นักโบราณคดีขดุ พบตะกรัน หรือข้แี ร่ ที่เกิดจาก การถลุงทองแดงจากแหล่งโบราณคดีในอะนาโตเลยี ซึง่ กาหนดอายุประมาณ ๘,๐๐๐ ปมี าแลว้

๔ ทองแดงบริสทุ ธ์ิ เป็นโลหะทอี่ อ่ นจงึ มีข้อจากดั ในการใช้งาน ไมส่ ามารถใช้ทาเครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชท้ ี่ ตอ้ งการความแขง็ และความคมได้ นอกจากนย้ี งั ไม่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม เกดิ สนมิ ไดง้ า่ ย ต่อมามีการ ค้นพบโลหะท่ี แข็งขึ้น และทนทานต่อสภาพแวดล้อมไดด้ ีขน้ึ หลกั ฐานจากโบราณคดหี ลายแห่งในเอเชยี ตะวนั ออกกลางทก่ี าหนดอายุประมาณ ๕,๐๐๐ – ๖,๐๐๐ ปี มาแลว้ พบวัตถทุ ี่ทาจากทองแดง ที่มอี าร์ซีนคิ ปะปนอย่เู ล็กนอ้ ยไม่เกิน ๒ % จากการศกึ ษาอยา่ งละเอียดนกั วจิ ัยหลายคนมคี วามเห็นตรงกันว่า นา่ จะเปน็ การนาแรท่ องแดงทมี่ ีอาร์ซนี ิคผสมอยมู่ าเผาให้หลอมเหลว โดยไม่ไดแ้ ยกอาซีนคิ ออก ทาใหไ้ ดโ้ ลหะผสม ของทองแดงกบั อารซ์ นี คิ เรยี กว่า ทองแดงอาร์ซนี ิค (arsenical copper) จดั เปน็ โลหะผสมตามธรรมชาติ ยงั มิใช่โลหะผสมท่แี ทจ้ ริง โลหะดงั กลา่ วมีสที องสวยงามและแข็ง สามารถใช้ทาอาวุธและเคร่ืองใช้ที่ทนทาน ได้ดกี ว่าทองแดง โลหะที่ผลิตจากแรท่ องแดงทมี่ ีอารซ์ นี คิ ผสมอยู่จึงเป็นทนี่ ิยมมากในยคุ นนั้ โดยทีช่ า่ ง โลหะเหลา่ นั้นคงยงั ไม่เข้าใจเหตผุ ลท่ีแท้จรงิ วา่ อาร์ซีนคิ เป็นตน้ เหตุให้เกดิ คุณสมบตั ิดังกลา่ ว แตค่ งเขา้ ใจว่า หากต้องการโลหะที่มีคุณสมบัตเิ ช่นนตี้ อ้ งเลอื กแร่ทองแดงชนดิ นี้ โลหะผสมตามธรรมชาติอกี ชนิดหน่ึงคอื ทองเหลอื ง (brass) ซึง่ เปน็ โลหะผสมของทองแดงกับ สงั กะสี มสี ีคลา้ ยทอง เนอื่ งจากบางภมู ภิ าค แรท่ องแดงซลั ไฟด์ เกดิ ขนึ้ ร่วมกบั เหล็กซลั ไฟด์ ตะกว่ั ซัลไฟด์ และสงั กะสีซัลไฟด์ ผลการวิเคราะห์โลหะผสมของทองแดงที่ขุดค้นพบในชั้นดนิ ทกี่ าหนด อายุ ๔,๐๐๐ – ๔,๒๐๐ ปมี าแล้ว พบโลหะผสมของทองแดงทม่ี ีสังกะสปี ะปนอยเู่ ลก็ นอ้ ย เปน็ โลหะผสม ตามธรรมชาติ ทีเ่ กิดจากการใชแ้ ร่ทองแดง ทีม่ ีสงั กะสเี จอื ปน สองพนั ปตี อ่ มาจึงพบสารดิ ท่มี ี สังกะสผี สม อย่เู ลก็ นอ้ ย แสดงวา่ ได้มกี ารใชแ้ ร่ทองแดงที่มีสงั กะสีผสมอยู่ มาหลอ่ หลอมกับแรด่ บี ุก ในขณะเดยี วกนั ก็ พบสาริดทม่ี ีนกิ เกลิ ผสมอยูด่ ว้ ย เล็กนอ้ ย แสดงวา่ มีการใชแ้ รท่ องแดงอกี ชนิดหน่งึ ท่ีมนี กิ เกิลและสังกะสี เจอื ปน ในสมยั หลังๆ มีการใช้แร่ชนดิ นใ้ี นการผลิตโลหะผสมสขี าวท่ีเรียกว่า ทองเหลอื งสีขาว ลกั ษณะคล้าย ทองเหลืองที่มสี งั กะสปี ริมาณสูง มคี วามแขง็ แกรง่ และสามารถดงึ หรอื รีดได้ดี โลหะชนิดนี้ จนี ผลิตเปน็ สนิ ค้าออกสง่ ไปขายยุโรปเพอื่ ทา ชอ้ น สอ้ ม มีด และอปุ กรณบ์ นโตะ๊ อาหาร จนกระทัง่ เมื่ อ ๘๐๐ ปีมาแล้ว ชา่ งโลหะชาวจีน สามารถผลิตทองเหลอื งทีเ่ กิดจากการผสมทองแดงกับสงั กะสี ในอัตราสว่ นคงท่ี ๑๐- ๔๐% เปน็ โลหะผสมของทองแดงกับสังกะสีแท้จรงิ แสดงว่าช่างโลหะเพง่ิ ค้นพบวธิ แี ยกสงั กะสีออกมาจาก แร่สงั กะสแี ล้วนามาใช้ในลกั ษณะ สังกะสีบรสิ ุทธหิ์ รือนามาผสมกบั ทองแดง การขดุ คน้ ทางโบราณคดี แสดงหลกั ฐานการใช้สงั กะสีมากมาย เชน่ การใช้เงินตราท่ที าจากสงั กะสีในสมยั ราชวงศ์หมงิ (ค.ศ.๑๓๖๘ – ๑๖๔๔) ก้อนโลหะสงั กะสีจงึ เปน็ สินค้าออกของจนี ท่ีสง่ ไปขายในยุโรปในสมัยครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๕ – ๑๖

๕ คุณสมบตั ิของโลหะ จากที่ไดก้ ล่าวไว้ แลว้ ในหัวข้อท่ีผา่ นมา โลหะคือธาตุท่ไี ดจ้ ากการถลงุ แร่ ซ่ึงมคี ุณสมบัตสิ าคญั เป็นตัวนาไฟฟ้า และความรอ้ นท่ดี ี มจี ุดหลอมเหลวสูง เมื่อขดั ผิวจะเป็นเงา ตแี ผห่ รือดงึ เปน็ ลวดได้ และเคาะจะมเี สียงดังกงั วานโลหะส่วนมากจะอยใู่ นสถานะทีเ่ ปน็ ของแข็งในอณุ หภมู ิ ธรรมดา (ยกเว้น ปรอท) เมื่อโลหะได้รับความร้อนถงึ จุด หลอมเหลว จะกลายเปน็ ของเหลวและถา้ รอ้ นถึงจดุ เดอื ดจะระเหย กลาย เป็นไอ โลหะต่าง ๆ ที่เกดิ ขน้ึ ตามธรรมชาตนิ ั้นมีมากมายหลายชนิด แตล่ ะชนิดกม็ ีคุณสมบัติแล ะลักษณะ ที่แตกต่างกันออกไป ประโยชน์ท่ีจะไดจ้ ากโลหะเหลา่ นี้ ก็ย่อมแตกต่างกันออกไปดว้ ย นอกจากนน้ั ภาย หลงั ยคุ โลห ะกม็ กี ารนาเอาโลหะต่างชนิดมาผสมกัน เพื่อใหเ้ กิดคุณลกั ษณะพิเศษเนอื่ งจากในระยะแรกๆ นน้ั ใช้โลหะเนอ้ื บริสทุ ธิ์ โดยไม่ผา่ นการคดั แยกเอาสิง่ เจอื ปนออก มนษุ ยจ์ ะเอาแรบ่ ริสทุ ธ์ิ ดงั กล่าวมาทบุ ให้ เป็นรูปรา่ งขณะทแ่ี ร่เยน็ เพราะเป็นวิธีท่งี ่าย มาเปน็ อาวุธ เคร่อื งใชต้ ่า ง ๆ ตอ่ มามนษุ ย์เร่มิ เรียนร้กู ารทา โลหะใหเ้ ป็นรปู รา่ งต่าง ๆ โดยทบุ โลหะขณะทโ่ี ลหะยังร้อน แต่ ความรใู้ นการทาโลหะเป็ นรูปทรงต่าง ๆ มี จากดั และผลจากการใช้งานนน้ั โลหะแตกหกั ชารุดงา่ ย ตอ่ มามนษุ ย์เร่มิ เรียนรทู้ จี่ ะนา โลหะตา่ งชนดิ กนั มารวมหรอื ผสมกนั ทาใหเ้ กิดความแข็ง และความเหนยี วขนึ้ ฉะนัน้ จึงทาให้เกิดโลหะ ๒ ลกั ษณะ คอื ๑. โลหะแท้ ( บรสิ ทุ ธ์ิ ) ทีเ่ กิดจากธรรมชาติ ๒. โลหะผสม ๑. โลหะแท้ ( บริสทุ ธ์ิ ) ท่เี กิดจากธรรมชาติ โลหะแทท้ ี่เกดิ ธรรมชาติ นัน้ มีกาเนิดแตกต่างกันตามลักษณะธรณวี ิทยามีหลายประเภท เชน่ เกดิ จากแมกมา เกดิ จากนา้ ร้อน เกดิ จากการสะสม เกดิ จากน้าใต้ดิน เกดิ จากแหลง่ แรจ่ ากการผพุ งั แหล่งแร่ เหล่าน้ีจะเกิดแทรกหรอื ตกผลกึ อยู่ในหินชนดิ ต่างๆ เช่น หินอัคนี หนิ ชน้ั หินดนิ ดาน หนิ ปูน โลหะท่ี เกิดจากธรรมชาติ เหลา่ นี้ไดน้ ามาใช้งานในรูปแบบที่หลากหลา ยตามแต่ความตอ้ งการทีจ่ ะใช้ แตใ่ นทนี่ เ้ี รา จะมารจู้ กั ถงึ ประโยชน์ และที่มาของโลหะทเ่ี รานยิ มนามาใชใ้ นงานโลหะรปู พรรณ ได้แก่ ๑.๑ โลหะทองคา ๑.๒ โลหะเงนิ ๑.๓ โลหะทองคาขาว ๑.๔ โลหะทองแดง ๑.๕ ดีบกุ และกลุม่ ผสมดบี ุก ๑.๖ อลูมินัม

๖ กอ้ นแรท่ องคา ๑.๑. โลหะทองคา มชี อ่ื ภาษา อังกฤษ วา่ : gold เปน็ ธาตุเคมี ทมี่ ีหมายเลขอะตอม 79 และ สัญลกั ษณ์คอื Au (มาจากภาษาละติน ว่า aurum ) ทองคาเป็นธาตโุ ลหะทรานซชิ ัน สีเหลืองทอง มนั วาวเน้ือออ่ นนมุ่ สามารถยดื และตีเปน็ แผน่ ได้ ไมท่ าปฏิกิรยิ ากับสารเคมี สามารถทาเปน็ โลหะผสมไดห้ ลาย ชนิด เชน่ ทองแดงหรอื เงนิ การเกิดของแร่ทองคา สรปุ จากเอกสารของกรมทรพั ยากรธรณี ไดม้ ีการแบ่งการเกิดของแรท่ องคาออกเป็น 2 แบบ ตาม ลกั ษณะท่ีพบในธรรมชาตไิ ดด้ งั น้ี  แบบปฐมภูมิ คอื กระบวนการทางธรณวี ิทยา มกี ารผสมทางธรรมชาตจิ ากนา้ แร่ร้อน ผสมผสานกับ สารละลายพวก ซลิ กิ า้ ทาให้เกิดการสะสมตวั ของแร่ทองคาในหนิ ต่างๆ เช่น หินอัคนี หนิ ช้นั และ หนิ แปร มีการพบการฝงั ตวั ของแรท่ องคาในหนิ หรือสายแร่ทีแ่ ทรกอยู่ในหิน ซง่ึ สว่ นใหญจ่ ะมอง ไม่เหน็ ดว้ ยตาเปลา่  แบบทตุ ิยภมู หิ รือลานแร่ คือการทห่ี นิ ท่มี แี ร่ทองคาแบบปฐมภมู ิไดม้ ีการสึกกร่อน และถูกนา้ พัดพา ไปสะสมตัวในทแ่ี หง่ ใหม่ เช่น ตามเชิงเขา ลาห้วย หรอื ในตะกอนกรวดทรายในลานา้

๗ คุณสมบัติของทองคา มคี วามแวววาวอยเู่ สมอ ทองคาไม่ทาปฏกิ ริ ยิ ากบั ออกซเิ จนดังนนั้ เมอื่ สมั ผสั ถูกอากาศสขี องทองจะ ไม่หมองและไมเ่ กดิ สนมิ มีความอ่อนตัว ทองคาเป็นโลหะท่ีมีความออ่ นตัวมากที่สุด เปน็ ตวั นาไฟฟ้าทีด่ ี ทองคาเป็นโลหะชนิดหนึ่งท่ีสามารถนาไฟฟ้า สะทอ้ นความรอ้ นได้ดี ทองคามีจุดหลอมเหลว 1,064 และ จุดเดอื ด 2,970 องศาเซลเซียส เป็นโลหะท่ีมีคา่ ท่ีมคี วามเหนียว (Ductility) และความสามารถในการขน้ึ รปู (Malleability) คือจะยดื ขยาย (Extend) เมอ่ื ถกู ตี หรือ รีดในทกุ ทิศทาง โดยไมเ่ กดิ การปริแต กได้สงู สุด ทองคาบรสิ ุทธิไ์ ม่ ไวต่อการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี จึง ทนต่อการผุกรอ่ น และไมเ่ กิดสนมิ เม่อื สมั ผัสอากาศ แตท่ า ปฏกิ ิรยิ ากับสารเคมีบางชนดิ เชน่ คลอรีน ฟลูออรีน หรือน้าประสานทอง ทองคาไดร้ ับความนิยมอย่างสงู สุดในวงการเครือ่ งประดบั ทองคา เพราะเปน็ โลหะมีค่าชนิดเดียวทมี่ ี คณุ สมบัติพ้ืนฐาน 4 ประการซึ่งทาใหท้ องคาโดดเด่น และเป็นทต่ี อ้ งการเหนอื บรรดาโลหะมีคา่ ทุกชนดิ ใน โลก คอื 1. งดงามมันวาว (lustre) สสี ันท่ีสวยงามตามธรรมชาติผสานกบั ความมันวาวก่อให้เกดิ ความงามอนั เป็นอมตะ ทองคาสามารถเปล่ียนเฉดสีทองโดยการนาทองคาไปผสมกบั โลหะมคี า่ อ่ืนๆ ช่วยเพิ่ม ความงดงามให้แกท่ องคาไดอ้ ีกทางหน่ึง 2. คงทน (durable) ทองคาไมข่ ึ้นสนิม ไมห่ มอง และไม่ผุกร่อน แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปก่ี ปกี ต็ าม 3. หายาก (rarity) ทองเป็นแร่ท่หี ายาก กวา่ จะไดท้ องคามาหนึ่งออนซ์ (31.167 gram) ตอ้ งถลงุ ก้อน แร่ทม่ี ีทองคาอยู่เป็นจานวนหลายตนั และตอ้ งขดุ เหมืองลึกลงไปหลายสบิ เมตร จงึ ทาให้มี ค่าใช้จ่ายทสี่ ูง เปน็ เหตุให้ทองคามรี าคาแพงตามต้นทุนในการผลิต 4. นากลับไปใชไ้ ด้ (reuseable) ทองคาเหมาะสมทส่ี ุดต่อการนามาทาเปน็ เครือ่ งประดบั เพราะมีความ เหนยี วและออ่ นนิม่ สามารถนามาทาขึน้ รปู ไดง้ า่ ย อกี ทงั้ ยงั สามารถนากลับมาใช้ใหมโ่ ดย การทา ใหบ้ รสิ ุทธ์ิ (purified) ด้วยการหลอมได้อกี โดยนับคร้งั ไมถ่ ว้ น

๘ แร่เงนิ ที่ยงั เปน็ ผลึกคริสตลั อยู่ ๑.๒. โลหะ เงิน มชี อ่ื ภาษา องั กฤษ วา่ : Silver เปน็ ธาตุทมี่ ีหมายเลขอะตอม 47 และ สญั ลกั ษณ์คือ Ag ( เปน็ ตวั ยอ่ มาจากคาในภาษาละตินวา่ Argentum ) เงินเปน็ โลหะทรานซชิ นั สีขาวเงนิ มี สมบตั ิการนาความรอ้ นแ ละไฟฟา้ ได้ดมี าก ในธรรม ชาตอิ าจ อยู่รวมในแร่อ่นื ๆ หรืออยู่อิสระ ทั่วไป แต่ มักจะมีปริมาณไม่มากนักโดยเฉพาะเงินมกั จะอยู่ในอ อกซไิ ดซ์โซนของแหลง่ แร่ ใหญๆ่ มกั จะเกดิ อยู่ ๓ แบบ คือ ๑. เกดิ ในลักษณะบริสทุ ธ์ิตามธรรมชาติ ๒. รวมกนั กบั ซลั ไฟด์ และรวมกับโคบอลต์ และนิกเกลิ ๓. รวมอยูก่ ับยูเรนิไนต์ เงนิ บริสุทธ์นิ น้ั เป็นสขี าว มลี กั ษณะออ่ นมาก นาไปใช้ ประโยชน์หลายอยา่ งในสมัยโบราณนามาผสมกบั ทองแดงเพ่อื ให้ แข็ง โดยมีส่วนผสมของเงนิ ๙๒.๕% ทองแดง ๗.๕% เราเรยี กเงนิ ผสมน้ี วา่ เงินสเตอรล์ งิ ค์ ใช้ทา เหรยี ญกษาปณ์ สาหรับใชส้ อยของประเทศตา่ ง ๆ ในดา้ นศิลปกรรม และอุตสาหกรรม น้นั ใชท้ าเคร่อื งใช้ ตา่ งๆ ทีเ่ ก่ยี วกบั ชวี ิตประจาวนั เช่น ขนั หีบบหุ รี่ พานตา่ งๆ มีด ชอ้ นส้อม สว่ นทาง ดา้ น อตุ สาหกรรม ทางเคมี นั้นใชท้ าน้ายาเคลอื บฟลิ ม์ ถา่ ยรูป น้ายาลา้ งรปู กระดาษอดั รูป ทาแบร่งิ ตลอดจนการทา อุตสาหกรรมไฟฟ้า เพราะเงินเป็นตัวนาไฟฟ้าท่ีดีที่สดุ

๙ แหลง่ กาเนดิ ในประเทศไทยพบปนอยู่กบั แรต่ ะก่วั ที่จังหวัดกาญจนบรุ ี และในแหลง่ แรต่ ะกัว่ เกอื บ ทกุ แห่ง ๑.๓. โลหะ ทองคาขาว มชี ่ือภาษาอังกฤษวา่ white gold เกดิ เป็นเกล็ดเล็กกระจดั กระจายเปน็ การเกิดในแบบ Magmatic Process โดยอยู่ในกลมุ่ หินพวก Basic Rocks หรอื Ultrabasic Rocks เมอ่ื หนิ น้ี เปอ่ื ยผพุ งั ลงไปโดย Erosion แล้วทองคาขาวจะถกู พัดพาไปรวมกันอยตู่ ามลาหว้ ย ลาธาร ทองคาขาว จะถูก วา่ ทองคาบริสทุ ธ์ เน่ืองจากมีสว่ นผสมทองคาเจือโลหะอนื่ เช่น เงิน และ แพลเลเดยี มหรอื นกิ เกิล สีปกติของ ทองคาขาวมีสเี ทาอ่อน ข้อมูลเพ่ิมเติม ทองคาขาว คือ วัสดผุ สม ของของ ทองคาและโลหะขาวอนื่ ๆ เชน่ เงิน แพลเลเดียม หรอื นิกเกลิ สปี กติของ ทองคาขาวมสี ีเทาอ่อนโดยปกติอญั มณที ี่ทาจากทองคาขาว นยิ มเคลอื บด้วย โรเดยี ม หรือ แพลตนิ ัมเพอื่ เพ่ิม ความเงางาม ทองคาขาวไมใ่ ช่แพลตนิ ัม โดยปกติจะเคลือบแพลตนิ มั ไมเ่ กนิ 1 ใน 3 กอ้ นแรด่ ีบกุ ๑.๔. โลหะดีบุก (ช่ือ มาจากภาษา กรกี Karsiterous ) หมายถึง Tin stone หรือหินแรด่ ีบุก เกดิ ในสายแร่ ควอร์ตซ์ในหนิ แกรนติ หรือเปกมาไทท์ สมี ตี ้งั แต่เทาอ่อนจนถงึ ดา แดงแก่ จนเขียว รูปรา่ งเป็ น ผลึกเน้อื แน่น เปน็ ก้อนคอ่ นขา้ งแขง็ ประโยชน์ นามาใช้ผสมกับโลหะอื่นๆ ทาใหเ้ กดิ เปน็ โลหะชนิดอ่ืนๆ ใช้ชบุ ใชเ้ คลอื บโลหะอ่นื ๆ เพื่อประโยชนท์ างด้านอุตสาหกรรม เชน่ ชุบแผ่นเหล็กบางๆ ทากระปอ๋ งบรรจุอาหารใชเ้ คลอื บวัสดุมงุ หลงั คา เคลือบถงั น้ามันและสงิ่ อื่นอกี มาก ปจั จุบนั นนี้ ามาหล่อแล้วกลึงเปน็ เคร่อื งใชส้ อย ถ้วยชาม จาน เชงิ เทียน สาหรับประเทศไทยพบกระจัดกระจายท่ัวทัง้ ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคกลางบางแหง่ มมี ากท่ี

๑๐ จงั หวัดภเู กต็ พังงา สรุ าษฏร์ธานี ชุมพร ส งขลา นครศรีธรรมราช ตรัง ยะลา ปตั ตานี นาราธวิ าส ระนอง ประจวบครี ีขนั ธ์ เพชรบรุ ี ราชบุรี อทุ ัยธานี ตาก กาญจนบุรี เชียงใหม่ เชยี งราย แมฮ่ อ่ งสอน คุณสมบัตทิ างฟสิ กิ ส์ แร่ดีบุก รูปผลกึ ระบบเตดตระโกนอล เป็นแท่งส่ีเหลย่ี มส้นั ๆ ปลายเปน็ รปู ปิระมิดข้างเดยี วหรอื ท้ังสองขา้ ง มกั พบเป็นรูปผลกึ แฝดแบบข้อศอก ความแขง็ 6-7 ถ.พ. 6.8 –7.1 มีความ วาวคล้ายเพชร มหี ลายสี เชน่ สีขาว สีนา้ ผงึ้ เขียว เหลือง แดง น้าเงนิ นา้ ตาล ดา ม่วง และ สดี อกจาปา เป็นตน้ เป็นตวั นาไฟฟา้ ได้ดี ผงละเอียดมสี ีขาว คุณสมบตั ิทางเคมี สตู รเคมี SnO2 มี Sn 78.6 % O 21.4 % อาจมธี าตุเหล็ก โคลัมเบยี ม และ แทนตาลัม ปนอยู่บา้ งเลก็ น้อย ลกั ษณะเดน่ และวธิ กี ารตรวจ สงั เกตรปู ผลึก ความแขง็ ถ .พ. ความวาวคล้ายเพชร ไม่ละลายใน กรด เมอ่ื นาไปใส่ถาดสังกะสี แล้วเทกรดเกลอื ลงไป จะเหน็ มีโลหะสีเทาดา้ น ๆ หุม้ อย่รู อบเมด็ แร่ดบี กุ ลักษณะแร่ แร่ดบี ุกสดี า คลา้ ยกบั แร่ อลิ เมไนต์ (Ilmenite) ทัวมาลนี สดี า (Tourmaline) รูไทต์ (Rutile) และ แรว่ ุลแฟรม (Wolframite ) แต่แรท่ ง้ั 4 ชนดิ ติดแม่เหลก็ ส่วนดบี ุกไม่ติดแม่แหลก็ แร่ดีบกุ สีแดง คล้ายกบั แรโ่ กเมน (garnets) แตแ่ ร่โกเมนมักกลมมนกว่าและตดิ แมเ่ หลก็ แร่ดบี กุ สีเหลือง คล้ายกับแรโ่ มนาไซต์ (monazite) และ (xenotime) แต่ดีบุกมักมขี นาดเม็ดใหญ่ กวา่ และแร่โมนาไซต์ และ ซีโนไทม์ จะติดแม่เหล็กไฟฟา้ แร่ดีบุกนา้ ผง้ึ คล้ายแร่สังกะสี (Zinc Blend : sphalerite) แต่แร่ดีบกุ แขง็ กวา่ และไม่ละลายในกรด แร่ดีบุกสีใส และสสี ม้ แดง คล้ายกบั พลอยเพทาย หรือแรเ่ ซอร์คอน (Zircon ) ยากตอ่ การจาแนก ออกจากแร่ดีบกุ แตแ่ รเ่ พทาย (Zircon) จะเบากวา่ และไม่นาไฟฟ้า

๑๑ การกาเนดิ พบในสายแร่อณุ หภูมสิ ูงในหินแกรนติ ในหินเปกมาไทต์ ในแหล่งลานแร่ (Eluvium) มกั เกิดรว่ มกับแรช่ นดิ อน่ื ๆเช่น แรท่ ังสเตน(Tungsten) แรท่ องแดง มาลาไคต์ ๑.๕. โลหะทองแดง (Copper) มีสญั ลกั ษณท์ างเคมี cu มีเลขเชงิ อะตอม ที่ 29 มคี ่าจดุ หลอมเหลว1,083 องศาเซลเซียส มคี วามสามารถทจ่ี ะถูกดงึ เปน็ เส้นได้ มคี ่าคว ามสามารถในการนาไฟฟา้ และความร้อนสงู โดยสภาวะปกตทิ องแดงสามารถทนตอ่ การเกิดสนมิ ได้ดี แร่ทองแดงทพี่ บตามธรรมชาตมิ ีมากมายหลายชนิด ซ่งึ ท่มี ีความสาคญั ในการผลติ โลหะทองแดง ส่วนมากจะเป็นแรป่ ระเภทซลั ไฟด์ มีสองชนดิ คือ แรท่ องแดง คาลโคไซต์ (chalcocite) (Cu2S) มี Cu ประมาณ 79.8% และแรท่ องแดงคาลโคไพไรต์ (chalcopyrite) (Cu FeS2) มี Cu ประมาณ 34.5% นอกจาก แร่ซลั ไฟดแ์ ลว้ ยงั มแี รท่ องแดงออกไซด์ (Cu2O) แตป่ ริมาณทพ่ี บมนี อ้ ย แรท่ องแดงอีกชนิดหนงึ่ ท่เี ปน็ แร่ ทองแดงคารบ์ อเนต CuCO3 (OH2) เรยี กกันทั่ว ๆ ไปวา่ Malachite มสี ีเขยี วสวยงามมาก สาหรบั ประเทศไทย นนั้ แรท่ องแดงพบท่จี งั หวดั เลย หนองคาย ขอนแก่น นครราชสมี า ตาก อตุ รดติ ถ์ แพร่ นา่ น ลาปาง ลาพูน เพชรบรู ณ์ ลพบรุ ี ฉะเชงิ เทรา และกาญจนบรุ ี สมบตั ิและประโยชนข์ องทองแดง  โลหะทองแดงทม่ี คี วามบริสทุ ธิ์ 99.95%ขึน้ ไป จะมีประสิทธิภาพในการนาไฟฟ้าไดด้ มี าก จึงถกู นามาใช้มากในอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์  ใช้โลหะทองแดงทาท่อในอปุ กรณต์ ู้เยน็ และเคร่อื งปรบั อากาศ  ใชท้ าอปุ กรณเ์ กย่ี วกบั รถยนต์ อาวุธ เหรยี ญกษาปณ์ และดวงตราต่างๆ

๑๒  ใชเ้ ป็นสว่ นประกอบในโลหะหลายชนิด เช่น - โลหะผสมระหวา่ งทองแดงกบั นิกเกลิ มีความเหนียว ทนตอ่ การกดั กร่อนได้ดี โดยเฉพาะในน้า ทะเลจึงใชท้ าท่อในระบบกลน่ั อปุ กรณ์ภายในเรือ แรท่ องแดงคาลโคไพไรต์ ทองแดง มีมากหลายชนดิ สเี หลอื งคลา้ ยทองเหลืองแก่ (คาลโคไพไรต์ ) เป็นแร่ทองแดงปน เหลก็ ปนกามะถัน สีทอ งเหลอื งแกเ่ กือบดา แต่สาหรับประเทศไทยมกั จะเป็นสสี นิมเสมอ สเี ขียวปน น้าเงนิ เขียวปนม่วง ลกั ษณะแร่ เปน็ ลูกกลมเกาะกันคลา้ ยพวงองุ่นประกอบดว้ ย คอปเปอร์ ๕๗.๓ % สี เขยี วสด ถพ. ๓.๙ – ๔ มกั จะพบในสายของ แร่ควอรต์ ซ์ และหินขา้ งๆ ควอร์ตซพ์ วกไดออไรต์ ซึ่งเป็น หนิ อคั นี แรท่ องแดงนัน้ มีหลายชนดิ เชน่ คาลโคไพไพต์ คาลโคไซต์ อะซไู รต์ ซ่งึ อะซไู รต์นัน้ เราพบ มากในเขตจันทกึ (ปัจจุบันคอื อาเภอสคี วิ้ ) จงั หวัดนครราชสมี าอุตรดติ ถ์ นา่ น ลาปาง ตาก ทองแดง นามาใช้ในงานโลหะรปู พรรณ โดยการนามาถลุงแ ล้วรดี เปน็ แผน่ บางๆ มคี วามหนาตามทต่ี ้องการ หรือ ชักเป็น เส้น ลวดหลายๆ ขนาดดว้ ยกัน ทางด้านอุตสาหกรรมนาไปทาสายไฟฟ้า เพราะเป็นสือ่ นา กระแสไฟฟ้าทดี่ รี องจากเงิน นาไปผสมกบั ดบี กุ หรือสังกะสีและตะก่ัวกจ็ ะเป็นทองเหลือง ทีม่ เี ปอรเ์ ซน็ ต์ แตกต่างกนั ๑.๖. อลมู ินมั เปน็ โลหะชนิดหนง่ึ ที่นามาใช้งานอตุ สาหกรรม คณุ สมบตั ิของอลูมินมั เป็น ตัวนาความรอ้ นทดี่ ี จึงนิยมนามาทาเครอื่ งครัว เชน่ ภาชนะหุงต้ม กระทะ นอกจากน้นั ยงั ใช้ทาสาย ไฟฟ้าแรงสงู เพราะเป็นตัวนาไฟฟ้าทดี่ ี มีความเหนียว ไม่ยดึ ทนความร้อนได้ดี นา้ หนกั เบา ตีแผ่หรือดงึ เป็นเส้นได้ เช่น แผน่ อลูมนิ มั เคลอื บสแี ล้วนามาแกะลายเบา หรือ แรเสน้ เปน็ ปา้ ยชือ่ ป๊มั หรอื ตดั เป็น

๑๓ รปู รา่ งตา่ งๆ ได้ แต่ไมส่ ะดวกในการนามาทาเปน็ โลหะรปู พรรณ แต่นามาใช้ในงานตกแตง่ บางส่งิ บาง อย่างเช่น หล่อเป็นลวดลายตา่ ง ๆ ๒. โลหะผสม โลหะผสมแตล่ ะชนดิ มีคณุ สมบัติแตกต่างกนั ไป เพราะโลหะแท้ ไม่มคี ุณสมบตั คิ รบถ้วนตามทเ่ี รา ต้องการใช้งานเลย ดงั น้นั มนษุ ย์จงึ ได้หาทางผสมโลหะ เพอ่ื จะไดโ้ ลหะทแี่ ขง็ แรงและทนทานไม่ขึ้นสนมิ หรอื ผพุ ังงา่ ย โลหะผสมจงึ มีประ โยชน์มากกว่าโลหะบริสทุ ธิ์ เพราะโลหะผสม สว่ นใหญม่ รี าคาถกู กวา่ สวยงามกวา่ ทนทานแขง็ แรงกว่า นามาผสมกันเรียกวา่ โลหะผสม แมเ้ หล็กกล้าเองกถ็ อื ว่าเปน็ โลหะผสม ของเหลก็ กบั ธาตคุ ารบ์ อน หรอื อน่ื ๆ เช่น ผสมนเิ กลิ โครเม่ยี ม ใชท้ าเหลก็ กล้าไม่ข้นึ สนมิ โลหะผสม หมายถึง สารซงึ่ มคี ุณสมบตั ิของโลหะ เกอื บทกุ ประการ สารน้ันจึงประกอบตงั้ แต่ ๒ ชนดิ ขึ้นไป หรือโลหะกับโลหะซงึ่ จะสามารถจะสลายเข้าอยูด่ ว้ ยกันไดเ้ ม่อื ในภาวะของ เหลวหรอื ของแขง็ เช่น ตะกั่วกั บอลูมเิ นยี ม การทโี่ ลหะผสมกนั ไดเ้ ป็นเนือ้ เดียวกันหรอื ไม่น้ัน ขนึ้ อย่กู ับปจั จัยหลายดา้ น ด้วยกนั อย่างไร กด็ ีปรากฏการณ์ของการแขง็ ตวั ของโลหะผสมจะไมเ่ หมอื นกับโลหะบริสุทธิ์เพราะมี กระบวนท่ีเปลย่ี นแปลงและซบั ซอ้ นมาก จะต้องศกึ ษากนั ในรายละเอยี ดกันไปอกี ทางหนึ่งโดยเฉพาะ โลหะผสม ในงานโลหะรปู พรรณนนั้ ก็มอี ยไู่ ม่กชี่ นิด เทา่ ที่ปรากฏนั้นได้แก่ ทองเหลืองและ บรอนซ์ สาหรั บบรอนซ์น้นั มมี านานแลว้ ถือกนั วา่ เปน็ ยคุ หนึ่งของประวัติศาสตรท์ เี่ ดียวเพราะมบี ทบาท ตอ่ ชีวติ และความเป็นอยูข่ องคนในยคุ น้ันมาก และสามารถจาแนกโลหะผสมทส่ี าคัญ ๆ ๒ ลกั ษณะ คือ ๒.๑. โลหะผสม ทองเหลือง นั้นเกิดขนึ้ จากกา รผสมโลหะทองแดง กบั โลหะสังกะสี และดีบุก หรอื ตะก่ัวอีกเลก็ นอ้ ย จะไดท้ องเหลอื ง ถ้าต้องการทองเหลอื ที่เหมาะตอ่ การหลอ่ ตอ้ งผสมมีสังกะสี ประมาณ ๔๕% ถา้ ตอ้ งการความออ่ นปานกลางทนต่อการ ตี รงั้ กจ็ ะใช้สว่ นผสมของสงั กะสปี ระมาณ ๓๐% หรือ Cu๗๐ + Z๓๐ ทองเหลอื งน้ันเหมาะสาหรบั ทาเคร่อื งเสยี งต่างๆ ท่ีเรา เรยี กว่า (Brass)หรือ (Tombak) เช่นแตรวง บางทกี ็นาไปชบุ นกิ เกลิ หรือเงนิ ทองเหลืองมีคุณลกั ษณะคลา้ ยกับทองแดงแตม่ ี ความแขง็ กวา่ ยึดได้น้อยกวา่ ทองแดง นามาทางานโลหะรปู พรรณไดดพี อๆ กับทองแดง ๒.๒. โลหะผสม บรอนซ์ เปน็ โลหะผสมระหว่าง แร่ทองแดง กับดีบกุ เ ราเรยี กวา่ ทองลงหนิ หรือทองมา้ ลอ่ ส่วนผสมน้นั ไม่คงที่ ในสมยั ก่อนนิยมซ้อื มาจากจนี และมาหลอ่ เองเปน็ รูปร่างตา่ งๆ หมู่บา้ นที่ทาเครือ่ งลงหนิ น้ีมีอยแู่ ถวบางกอกน้อยท่เี รียกว่า บา้ นบบุ รอนซ์ นนั้ นามาหล่อเครอ่ื งดนตรี

๑๔ ประเภทเครือ่ งตี ใหเ้ สียงกังวานสดใสมากเช่ น ฉาบ ฉิ่ง โหมง่ ฆอ้ ง ฯลฯ นามาหลอ่ เคร่อื งรปู พรรณบาง ประเภท เช่น ชอ้ นส้อม กาไล ขันน้า พานรอง นามาลงยาสี เพ่มิ สวยงามพอสมควรเปน็ ที่นิยมของชาว ตา่ งประเทศ เพราะราคาคา่ วสั ดทุ ท่ี าไม่สงู นัก

๑๕ บทที่ ๒ จากอดีตสปู่ จั จบุ นั ของงานช่างโลหะ ประเทศไทยในปจั จุบนั ได้มีการคน้ พบว่ามนุษยส์ มัยหินอยอู่ าศยั และสัญจรไปมาระหวา่ งจงั หวัด ประจวบครี ขี ันธ์และพมา่ ตอนใต้ ซ่งึ เป็นเส้นทางเดนิ ผา่ นจงั หวดั เพชรบุรีและจงั หวัดกาญจนบรุ ี โดยมีอาวุธ และเครื่องมือเคร่อื งใช้สมัยหนิ ตลอดจนโครงกระดกู ของมนุษยส์ มยั นนั้ ที่ ได้ขุดพบเปน็ หลกั ฐานในบรเิ วณ ดงั กล่าว ประมาณ 2,000 ปเี ศษท่ีแลว้ มา คอื ราว พ.ศ. 350 แหลมทองเรม่ิ ฟื้นฟู มีแคว้นทวารวดเี กดิ ข้ึน โดยมี อาณาเขตทางเหนอื จดจังหวัดนครราชสมี าในปจั จุบนั ทางใตจ้ ดจังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี ซึ่งมรี า ชธานตี ั้งอยทู่ ี่ จังหวดั นครปฐม ในสมยั นน้ั เครือ่ งมือเครอื่ งใชโ้ ดยมากยังคงเปน็ ศลิ าตา่ งชนิด แต่ถงึ กระน้นั โลหะกไ็ ดม้ ใี ช้ มากขึน้ สว่ นใหญ่เป็นพวกเครื่องประดบั และเคร่ืองใชท้ ีท่ าด้วยโลหะ ตลอดจนพระพุทธรปู ปางต่างๆ กท็ า ขึ้นด้วยโลหะเชน่ กนั ราว พ.ศ. 1200 ความเจริญเกดิ ขน้ึ ทางอาณาจักรศรวี ชิ ัย ซ่ึงมีอาณาเขตตัง้ แต่ไชยาจนถึงหมเู่ กาะ อนิ โดนเี ซยี สมัยศรวี ชิ ยั งานโลหะเจรญิ ขน้ึ มากมีทองคาสมั ฤทธิ์ เหล็ก ในรูปของประตมิ ากรรมและ เคร่ืองประดับตา่ งๆ ฝมี อื ในการประดษิ ฐค์ ่อนข้างประณตี ความเจริญของสมยั นม้ี ีอยู่จนถงึ พ .ศ. 1800 ใน ระหว่าง พ .ศ. 1500 ถงึ พ.ศ. 1800 ขอมมอี านาจแผเ่ ขา้ มาจนถงึ ลุ่มแมน่ า้ เจ้าพระยา มีราชธานีของอปุ ราช ต้งั อยทู่ ีล่ พบุรี ร่องรอยการใชโ้ ลหะปรากฏอยมู่ าก จะเหน็ ไดว้ ่ามีการทาแหวนในรูปต่างๆ เช่น แหวนตรา แหวนที่มหี ัวแหวนเปน็ ลวดลาย แหวนที่มีหัวแหวนเป็นรปู สตั ว์ และกาไ ลขอ้ มอื ซ่งึ ทาดว้ ยเคร่อื งสา ริด นอกจากนยี้ งั ไดพ้ บวัตถุทหี่ ล่อดว้ ย ทอง เงิน และทองแดง ซง่ึ ทาเป็นเคร่อื งใช้ต่างๆ จากหลกั ฐานทีพ่ บ

๑๖ แสดงวา่ ศูนย์กลางแห่งความเจริญอยู่ทเี่ ชียงแสนเกา่ อันเปน็ ถนิ่ ท่ีเจรญิ ไปดว้ ยทองคา ชา่ งโลหะสมัยเชียง แสนได้สร้างพระพุทธรปู ด้วยฝมี ือประณีต อย่างมากมาย จนถึงสมยั สุโขทัย อนั เป็นสมัยทไี่ ทยเรมิ่ มีอิสรภาพ มอี าณาเขตเปน็ ของตนเอง เริ่มตน้ ราว พ .ศ. 1700 เศษความเจรญิ กา้ วหนา้ ในดา้ นโลหะไมป่ รากฏใหเ้ ห็นมากนกั ส่วนใหญจ่ ะเปน็ เคร่อื งมือเคร่ืองใช้เลก็ ๆ น้อยๆ ถ้าไมม่ ี การสร้างพระพทุ ธรปู ความเจริญก้าวหน้าในเร่ืองโลหะยิ่งไ มม่ ปี รากฏ พระพุทธรูปท่ีสรา้ ง ขนึ้ สมัยน้ี มีลกั ษณะ งดงามมาก โดยเฉพาะอย่างยง่ิ พระพทุ ธรูป ปางมารวชิ ัย ซ่ึงได้สร้างข้ึนด้วยความ ประณีตของคนสมยั นน้ั ต่อมา เมือ่ สโุ ขทัยเรมิ่ เสื่อมอานาจลง เป็นเหตใุ หก้ รงุ ศรีอยธุ ยาเฟ่ืองฟู จนถงึ ได้เปน็ ราชธานีในท่ีสดุ กรงุ ศรอี ยุธยาไดก้ ลายเป็นเมอื งท่ีเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกจิ ท่สี าคัญของเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ และเปน็ แหล่งติดตอ่ ซื้อขายและแลกเปลยี่ นสนิ คา้ ของบรรดาพอ่ คา้ ทีเ่ ดนิ ทางมาจากดินแดนซง่ึ ห่างไกล ทงั้ จากซกี โลกตะวนั ออก และซีกโลกตะวนั ตก ความมนั่ คงสมบูรณใ์ นดา้ นโ ลหะมหี ลักฐานปรา กฏอยูม่ ากมาย เช่น การขุดพบเคร่อื งทองในกรพุ ระปรางคว์ ัดราชบูรณะ หรือจากจดหมายเหตขุ องจนี ซง่ึ เรยี บเรยี งข้ึนในปี พ .ศ. 2320 กลา่ วถึงกรุงศรอี ยธุ ยาว่า “ พระทนี่ ั่งเขยี นภาพลายทอง หลงั คามุงกระเบอ้ื งทองเหลือง ตาหนกั มงุ กระเบื้องตะก่ัว เคยเอาตะก่วั หุ้มอิฐ ลกู กรงเอา ทองเหลอื งหุ้มไม้ พระราช านั้นไว้พระเกศายาวสวมมงกุฎทา ด้วยทองคาประดับเพชรพลอย รูปคลา้ ยหมวกยอดแหลมที่นายทหารจีนสวมเมื่อเวลาออกรบ มีอาพนั ทอง ไม้หอม งาช้าง กระวาน พริกไทย ทองคา หนิ สตี ่างๆ ทองคากอ้ น ทองคาทราย พลอยหนิ ตา่ งๆ และตะก่วั ”แข็ง

๑๗ ลว่ งมาจนถงึ กรุงศรีอยธุ ยาตอนปลาย บ้านเมอื งไม่เปน็ ปกติสุข คน ไทยต้องทาสงครามกบั พมา่ เรอื่ ยมาจนกระทั่งเสียกรงุ ศรีอยธุ ยาแกพ่ ม่า เมอ่ื พ.ศ. 2310 ทาให้งานโลหะของไทยเริ่มเสอื่ มลง แตก่ เ็ พียงไม่นานสมเดจ็ พระ เจา้ ตากสินมหาราช ทรงกอบกเู้ อกราชได้สาเร็จ พระองค์ทรงสถาปนากรุง ธนบรุ ี ทางฝงั่ ตะวันตก ของแม่น้าเจา้ พระยาเปน็ เมอื งหลวง ช่วงระยะเวลา 15 ปี แห่งการครองราชยข์ องพระองค์ บา้ นเมอื งอยูใ่ นสภาวะสงครามมาโดย ตลอด จนถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก มหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชจกั รีวงศ์ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสนิ ทร์ หรือ กรุงเพทมหานครในปัจจุบนั ข้ึนเปน็ ราชธานแี หง่ ใหม่ เมื่อ พ .ศ. 2325 นบั จากนั้นเปน็ ตน้ มาราชอาณาจักรสยามก็เป็นศูนย์กลางความเจริญจนถึงทกุ วนั นี้ งานโลหะก็มีความเจรญิ ขึ้นอยา่ งมากมายในสมยั รัชกาลท่ี 1 – 4 จะ เหน็ ได้วา่ ชาวต่างชาตทิ ่ีเดินทางมาประเทศไทยสมัยหนงึ่ ถงึ กับกลา่ วชมว่า ช่าง เงนิ ช่างทองของไทยมฝี ีมือทางศิลปะและเปน็ อาชีพของชาวสยามเลยทีเดยี ว ในสมัยรชั กาลที่ 5 ได้ทรงตัง้ โรงงานช่างทองข้ึนในวงั กรมหลวง สรรพศาสตร์ ถนนตะนาว และไดร้ วบรวมชา่ งทีม่ ีความชานาญ ทางด้าน เครื่องทองและเคร่อื ง เงินขน้ึ ซ่ึงพระองค์ไดส้ ั่งจ้างชา่ งชาวเยอรมนั มาเป็น ผสู้ อน การ ฝงั เพชร และพลอย แบบตา่ งๆ ชาวเยอรมนั ผู้นช้ี ือ่ “ มสิ เตอร์ แกร เลอร์” ไดน้ าเครื่องมือและเทคนคิ ทท่ี ันสมยั มาสอนคนไทยให้รู้หลกั การ ปฏิบตั ิในหลกั วิชาต่างๆ ทเี่ กย่ี วกบั การออกแบบและการทาเครอื่ งประดบั เชน่ สอนการแกะโลหะดว้ ยเคร่ืองมอื การลงยาสี เปน็ ตน้ จะเห็นไดว้ า่ การววิ ัฒนาการขอ งงานโลหะน้ันมกี ารพฒั นาเรือ่ ยมา งานโลหะในยุคปจั จุบนั นไ้ี ดถ้ กู รวบรวมและก่อตัง้ ให้ เป็นหนว่ ยงานหน่งึ ซึง่ ข้นึ ตรงกบั งานชา่ งโลหะและช่างศิราภรณ์ กลุม่ ประณตี ศลิ ป์และการชา่ ง ไทย สั งกัดสานัก ช่างสิบหมู่ มีหน้าทแ่ี ละขอบเขตความรบั ผิดชอบในการ ปฏบิ ัติหนา้ ทเี่ ก่ียวกับงานโลหะ ไม่วา่ จะเป็นการซ่อมหรือการสร้างงาน ประเภทประณตี ศลิ ปต์ า่ งๆ ให้คงสภาพดงั เดมิ เม่ือเกิดชารุดเสยี หายหรอื สร้างขึน้ ใหม่ เปน็ ศิลป ในสมัยปัจจุบันกว็ า่ ได้ เพื่อสบื ทอดละพฒั นางา น โลหะ ในอดตี สปู่ จั จบุ ันให้คนรุน่ ใหม่ไดศ้ ึกษาเปน็ แนวทางการพัฒนาในอนาคตต่อไป ลกั ษณะการทางานของงานช่างโลหะในปัจจบุ ัน เม่ือทราบว่าจะตอ้ งทางานทเี่ กี่ยวขอ้ งกับงานโลหะ จาเปน็ จะตอ้ งมกี ารออกแบบและคน้ ควา้ หาข้อมลู ในงานนัน้ ๆ อยา่ งถีถ่ ว้ นเสยี ก่อน เพ่อื ทจี่ ะได้มาซึ่ ง

๑๘ รปู แบบท่สี มบรู ณ์ แลว้ จึงเลอื กวสั ดุที่นามาใชใ้ นงานใหส้ มั พนั ธก์ บั การออกแบบ และความเป็นไปไดใ้ น การนาชิ้นงานนัน้ มาขึ้นตามแบบ มใิ ชว่ ่าแบบออกมาสวยแตเ่ วลาทาจริงน้นั ทาไมไ่ ด้ เม่ือไดแ้ บบท่ีสมบูรณแ์ ล้ว จึงประชมุ ปรึกษากับช่างใน กลมุ่ งานโลหะ ถงึ ขนั้ ตอนในการปฏบิ ตั ิ งาน ว่าลักษณะงานนัน้ ต้องอาศยั ความประณตี มากน้อยเพียงใด ความยากงา่ ยหรือซับซอ้ น ในงานทจ่ี ะปฏิบตั ิ บางอย่างของชิน้ งานจนต้องขึ้นรูป หรอื สลัก-ดนุ ให้เกดิ ลวดลายอันสวยงาม แตใ่ นบางกรณกี อ็ าจจะตอ้ ง ใช้เทคนิคหรอื เครอื่ งทุ่นแรง ทางด้านอุตสาหกรรมเข้ามาชว่ ย เพราะงานชิ้นน้ันๆ จะตอ้ งทาเปน็ จานวนมาก เพื่อใหส้ าเรจ็ ลุลว่ งตามเปา้ หมายทก่ี าหนด แลว้ จึงประมาณการในการจัดทาเพื่อเบกิ วสั ดุและอปุ กรณ์ เพอ่ื เตรียมพรอ้ มในการทางานชิ้นนนั้ ผลงานโลหะในปัจจบุ นั ได้จดั ทาไปแล้วเป็นจานวนมาก เชน่ สร้างฉัตรทองคา และพานพ่มุ ดอกไม้ เงนิ ดอกไม้ทอง เน่ื องในวโรกาสทพี่ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ฯ มพี ระชนมายคุ รบ 5 รอบ สร้างพระ เกย้ี วจุฬาของ มหาวิทยาลัย จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย สรา้ งตราเครอ่ื งหมายมหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ สร้างนพรตั น์ศิราภรณม์ งคล เนอ่ื งในมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 5 รอบ สมเดจ็ พ ระนางเจ้าสิรกิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ เปน็ ตน้ จะเห็นได้วา่ งานชา่ งโลหะประดิษฐ์ แมจ้ ะเป็นหนว่ ยงานทีไ่ ม่ใหญ่ มีช่างทางานเพยี งไม่กค่ี น แตก่ ็ สามารถทางานชนิ้ สาคญั ๆ ของชาติได้ ซ่ึงงานในลักษณะเชน่ นน้ี บั วันจะหาช่างทีม่ คี วามชานาญน้อยเตม็ ที แต่ก็เป็นแคเ่ พียงหวังไวว้ า่ ในอนาคตคงจะมี ผู้บริหารทีม่ วี สิ ยั ทรรศ เล็ง เห็นความสาคัญของ ศลิ ปวัฒนธรรม ของชาติกลับมา ให้การสนบั สนุน และพฒั นา ตลอดจนผลติ ชา่ ง ขน้ึ มารบั ใชส้ งั คมได้ทนั ทว่ งที

๑๙ งานสลัก -ดุนโลหะ งานสลักดนุ เดมิ เรยี กว่างานบุดุน เพราะจะใชโ้ ลหะเป็นแผ่นบางๆ แลว้ ไปหุ้มบนวสั ดทุ ีม่ รี ปู ทรงแล้ว กล่าวคือห้มุ ข้างนอกวตั ถเุ ดมิ เพือ่ ใหเ้ กิดความพเิ ศษ เปน็ เอกลักษณเ์ ฉพาะ เชน่ การบทุ องคาบนขันเงนิ พาน เงินหรอื พระพทุ ธรูป เปน็ ตน้ แต่ปจั จุบัน ไม่ค่อยนิยมเพราะความบางของเนือ้ โลหะจะชารุดหรอื ฉกี ขาดได้ ง่ายกวา่ โลหะท่ีมคี วามหนามากกวา่ ฉะนัน้ ช่างบุดุนปจั จบุ นั จึงพฒั นาเทคนิคจากงานบุดุนมาเปน็ การสลกั ดุน ซ่ึงสามารถใชส้ ิ่วสลักตอกลงไปบนแผน่ โลหะและดนุ ขึ้นใหส้ งู หรอื สรา้ งสรรค์งานไดต้ ามความต้องการโดย ไม่ต้องคานงึ ถึงวา่ เนื้อโลหะจะฉกี ขาดหรอื ชารดุ ไดง้ ่าย นยิ ามความหมายของงานสลักดนุ จากหนังสือพจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ไดอ้ ธิบายความของคา สลัก – ดุน ไวด้ ังนี้ สลกั ( สะหลกั ) ก. ทาให้เป็นลวดลายหรือรปู ภาพ ดว้ ยวธิ ีใชส้ ่ิวสกดั ตัด ตอก ดุน เปน็ ตน้ เชน่ สลกั ไม้ สลักลูกนิมติ หรอื ใช้ส่ิงอน่ื ขูด ขีด ให้เปน็ ตัวหนังสอื เป็นตน้ เชน่ สลักชอ่ื บนหีบบหุ รี่. ดุน ก. รุน , ทาใหเ้ คลื่อนที่ไปเรือ่ ย ๆ ด้วยแรงดนั ; ทาใหล้ วดลายบางอย่างนนู ขึน้ เชน่ ดนุ ลาย. ว. เรียกลวดลายทีม่ ีลกั ษณะเช่นน้นั ว่า ลายดนุ . ช่างสลักดนุ ช่างฝมี อื ประเภทหนง่ึ ทางานสลักดนุ โลหะแผ่นเรยี บให้ส่วนพืน้ ลึกตา่ ลง หรือดุน สว่ นลวดลายให้นนู สงู ขน้ึ โดยทว่ั ไปใชแ้ ผ่นโลหะเงิน ทอง ทองแดง ฯลฯ ดังตวั อย่างเครือ่ งทองที่พบใน กรพุ ระปรางค์วัดราชบูรณะ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ( จากพจนานุกรมศพั ทศ์ ิลปกรรม ฉบับบัณฑิตยสถาน อกั ษร ฉ – ช. พ.ศ. ๒๕๓๙ ) การสลัก หมายถงึ ทาให้เป็นลวดลายหรือตัวหนังสือด้วยเครอ่ื งมือ โดยการใช้สว่ิ หรือเครอื่ งมือสลกั ตอกด้วยค้อนลงไปบนแผน่ โลหะใหเ้ ป็นรอ่ งลกึ เพือ่ ใหเ้ หน็ ลวดลายหรอื ภาพชดั เจนโดยไมต่ ้อง ให้เนือ้ ของ โลหะนั้นๆ หลุด หรือสึกออกไป การดนุ หมายถงึ การทาให้โลหะต่าง ๆ ให้เป็นรอยนูน ให้สงู ขึ้น คล้ายๆ กรรมวิธีการปัม๊ หรอื ดุน ลาย งานสลัด – ดุน จดั เป็นกรรมวิธพี เิ ศษทตี่ ้องอาศยั ความชานาญ ความสามารถเฉพาะตอ้ งใชเ้ ทคนิค ของช่างแต่ละคน และต้องทุมเทการปฏบิ ตั ิงาน ทงั้ แรงกายและแรงใจอยา่ งจรงิ จัง เพอื่ เกิดความงามมีคณุ ค่า และเกิดการยอมรับในฝีมือ เพราะการทางานกับโลหะ นั้นจะเกดิ ความผิดพลาดขนึ้ ได้ง่าย และแก้ไขยาก

๒๐ ในสมัยโบราณ ราชสานักใหค้ วามสาคัญกับงานชา่ งแขนงนี้ไมน่ ้อยไปกว่าช่างแขนงอ่ืนๆ งาน ชา่ ง บุ – ดนุ หรอื ช่างสลกั - ดุน ไดส้ รา้ งสรรคผ์ ลงานอนั เป็นส่งิ ทีส่ งู คา่ ย่ิง โดยเฉพาะเครอ่ื งราชูปโภค เครื่องทอง เครอื่ งประดบั ตกแตง่ และเครอ่ื งประกอบพระราชพิธี ของพระมหากษตั ริยม์ านาน ดงั จะเห็นได้จาก ศลิ ปวตั ถุอนั ลา้ คา่ ยิ่งทีพ่ บภายในกรุพระปรางคว์ ัดราชบรู ณะ จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา บางส่วนมีผลงาน ศลิ ปกรรมท่แี สดงความ เป็นอจั ฉริยะความสามารถในทางสร้างสรรคผ์ ลงานศิลปกรรมทเี่ ก่ียวเนอ่ื งกบั พระราชสานกั อยา่ งหาทีเ่ ปรียบมไิ ด้ บ่งบอก ถึงความนยิ มและโปรดให้ชา่ งไดส้ รา้ งผลงานท่ีเปน็ มรดกไวใ้ ห้ ชนื่ ชมจนทกุ วนั น้ี วัสดทุ นี่ ยิ มนามาใชใ้ นงานสลกั - ดุนไดแ้ ก่ ทองคา เงนิ ทองแดง สว่ นอปุ กรณ์และเครื่องมอื ท่ีใชใ้ นงานสลัก ดุนประกอบดว้ ย แผน่ โลหะท่ีจะนามาสลักดนุ แผ่นชนั แกว้ ใช้รองรบั ช้ินงานโลหะ ขณะสลกั - ดุนจะชว่ ย ใหไ้ ม่เสียรปู ทรง เครื่องมอื สลัก - ดนุ ประกอบด้วย คอ้ น และสิ่วสลกั ดุน ขนาดตา่ งๆ กรดกามะถันเจื อจาง ตะเกียงเป่าแล่นหรือตะเกียงฟแู่ บบใชแ้ กส๊ คบี จับร้อน ปากกาจบั ร้อน แปรงทองเหลือง กาว ส่ิวตอก ขาด หรอื ส่ิวสกัด กรรไกรตดั โลหะ ตะไบ และแท่งเหล็กหรือไม้ ไวท้ บั ชิ้นงานกับชนั แก้ว เปน็ ต้น วัสดุ อปุ กรณ์ ท่ใี ชใ้ นการสลัก – ดนุ โลหะ วสั ดุ อปุ กรณ์ เคร่ืองมือ ทีใ่ ช้ในการทางานสลัก – ดนุ นบั เปน็ ปจั จยั สาคญั อย่าง หนึง่ รองจากทักษะ ในการปฏบิ ัติ งาน เพราะการทจี่ ะ ตอก- ดนุ ลายให้ ได้ความ สวยงามนั้น นอกจากต้องอาศัยประสบการณ์ แล้ว ยังต้องขนึ้ อปุ กรณ์ทพ่ี ร้อม มีสภาพดี และสมบูรณด์ ้วย โดยเฉพาะผทู้ เ่ี ริม่ ทาการตอก ดุ นลายใหม่ ๆ อาจพบปัญหาในการเลือกใช้เครื่องมือทีไ่ มพ่ ร้อมแลว้ อาจทาให้เกิดความท้อในการฝึกฝน จงึ หมดโ อกาสท่ี

๒๑ จะสรา้ งความชานาญได้ ฉะน้ันการทจี่ ะเรียนรจู้ ักเคร่อื งมือ และรกั ษาเครือ่ งมอื นั้นเป็นส่งิ จาเปน็ ในท่นี ี้จะ ขอแบ่งเครื่องมือตามลกั ษณะการปฏบิ ัติงานสลกั – ดนุ นน้ั ออกเป็น ๗ ส่วนใหญ่ ๆ ดว้ ยกัน คือ ๑. เครอื่ งมอื สาหรบั วดั ขีด และเขียนแบบงาน ๒. ค้อนชนิดตา่ งๆ และเหลก็ สาหรบั เคาะขึ้นรูป ๓. เครอ่ื งมอื สาหรับตดั โลหะ ๔. เครอื่ งมอื สาหรับให้ความร้อน ๕. เคร่ืองมอื สาหรบั ขัดตกแตง่ ผวิ และทาความสะอาด ๖. เคร่ืองมือสาหรับสลกั ดนุ ๗. ชันรองสลกั ๑. เคร่อื งมือสาหรบั วดั ขดี และเขียนแบบงาน

๒๒ ๑.๑ เหล็กขีด ปลายแหลมทาด้วยเหลก็ กลา้ สาหรับทาเคร่ืองมือใชเ้ ขยี นเสน้ บนโลหะโดย มี รูปร่างและขนาดแตกต่างกนั ดา้ มทาดว้ ยไม้ ๑.๒ เหล็กนาศูนย์ ทาจากเหลก็ กล้าสาหรบั ทาเครอ่ื งมอื เครือ่ งใช้ทาเคร่ืองหมายหรอื ให้เกดิ รอยลง บนโลหะหรอื เปิดศนู ย์กลางเวลาใชว้ งเวยี น ๑.๓ ไมบ้ รรทดั ทาจากเหล็กกลา้ ที่ชุบแข็ง มีหน่วยวดั เปน็ น้วิ ในหน่ึงนิ้วแบง่ เปน็ ๘, ๑๖, ๓๒ และ ๖๔ ส่วน ใชส้ าหรบั งานท่ัวไปควรใชช้ นดิ ทีม่ ีขนาด ๑๖ นิ้ว ๑.๔ ฉากเหล็ก ใชเ้ ขยี นเส้นและตดั ใหไ้ ดจ้ าก มีชนดิ ต่างกนั โดยทั่วไปมีขนาด ๑๒ น้วิ เพราะมีหัว ทีป่ รบั ทามมุ ตา่ งๆ ไดต้ ลอดจนใช้เขียนเส้นขนานหรือทดสอบมุมตา่ งๆ ฉากเหล็กขนาด ๒๔ นว้ิ ใชก้ บั งานขนาดใหญ่หรอื จากใช้ทดสอบมุมฉากได้ ๑.๕ วงเวียน ใช้ทาวงกลม สว่ นโค้งหรอื แบ่งสว่ นต่างๆ ให้ มีขนาดตา่ งกนั เช่น ๖ น้ิวจะสามารถ ทาวงกลมได้ ๑๒ น้ิว ๑.๖ เขาควาย ใช้วัดเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางของทรงกลม มีลักษณะแบบเดยี วกบั วงเวยี นซง่ึ ใชใ้ นการ เขียนและทดสอบ ๒. คอ้ นชนิดต่าง ๆ และเหลก็ สาหรับเคาะข้นึ รูป

๒๓ ๒.๑ ค้อนเหล็กและค้อนออ่ น เปน็ เครือ่ งมือทใ่ี ช้มากกับงานโลหะ เช่น ใชต้ ีโลหะหรือเคร่อื งมอื อ่ืน หรอื ใช้ในการข้นึ รูป ๒.๒ คอ้ นหวั กลม เป็นคอ้ นทีใ่ ชท้ ่วั ๆ ไป ทาจากเหลก็ กลา้ สาหรับทาเครอื่ งมือข้างหน่ึงเปน็ รูปทรงกลม และอีกขา้ งหนงึ่ มหี น้าเรยี บโค้งเล็กน้อย ใช้ตีเหล็ก สกัด หรอื เคาะโลหะ มีขนาด แตกต่างกัน ตัง้ แต่ ๘ – ๑๖ ออนซ์ ซงึ่ เป็นขนาดทใ่ี ชม้ ากทส่ี ดุ ๒.๓ ค้อนย้า มีดา้ มหนึ่งตดั ปลายแหลม ใช้สาหรับหมดุ ขนาดทใ่ี ชม้ ากทสี่ ดุ คอื ต้ังแต่ ๔ ถึง ๑๒ ออนซ์ ๒.๔ ค้อนพเิ ศษสาหรับลบลอย ใช้สาหรบั ลบลอยมีลักษณะคล้ายค้อนขึ้น รูป แตม่ ีหนา้ ตดั ทม่ี นั เงามากกวา่ ใช้สาหรับขดั พ้นื โลหะให้มเี งามนั และเรียบทารูปรา่ งต่างๆ กนั มักใชก้ ับทงั่ พเิ ศษหรอื ท่งั สาหรับเคาะโลหะ ๒.๕ คอ้ นพิเศษสาหรบั ขึน้ รูป มีรปู ร่างตา่ งกัน คอ้ นขึ้นรูปมหี น้าค้อนคอ่ นขา้ งโคง้ กลม เพื่อ ป้องกนั ไมใ่ ห้เกิดรอยคอ้ นบนโลหะขณะที่ใช้ ๒.๖ ค้อนสาหรับทารอย เหมอื นคอ้ นลบรอยแตม่ หี วั ทเี่ ล็กกว่า ใชส้ าหรบั ทารอยบนโลหะ ๒.๗ คอ้ นพิเศษ สาหรบั เครื่องมอื ทาลวดลาย ใช้กับเครือ่ งมือสาหรบั ทาลวดลายต่างๆ ๒.๘ ค้อนอ่อน ใช้สาหรบั ข้ึนรปู ตดั พบั งอ โลหะทาด้วยไมเ้ นอื้ แข็ง ตะก่วั เปน็ รูปร่างตา่ งๆ กัน หรอื ทาด้วยเขาสัตวเ์ รียกวา่ คอ้ นเขาควาย บางชนิดมแี ผน่ หนังปิดรอบอาจทาจากหนงั หรอื พลาสติกก็ ได้

๒๔ ๒.๙ ปากกางานโลหะ ใช้สาหรบั ยดึ งานหรือเคร่ืองมอื ให้งานสะดวกย่งิ ขึน้ มขี นาดตา่ งกนั เวลาใช้ ควรใช้แผ่นทองแดงครอบปากเสยี เพือ่ ปอ้ งกนั การเกดิ รอย ๒.๑๐ ปากกาจับงาน ใช้สาหรบั ยึดของหลายๆ ส่ิงเข้าดว้ ยกัน เชน่ แบบตวั C แบบสปริง ๒.๑๑ กญุ แจเลือ่ น เป็นเครอ่ื งมอื ทใี่ ชม้ าก มขี นาด ๖ นวิ้ - ๑๒ นว้ิ เปน็ ขนาดท่ีเหมาะสมกับการ ใช้งาน ๒.๑๒ คมี ใชส้ าหรบั ตัด ยึด จับ ข้ึนรปู งาน มีขนาดและชนิดต่างกั น เช่น แบบตัดดา้ นขา้ งใช้ ทั้งจบั ยดึ ช้นิ งานและตัด มีขนาด ๖ นว้ิ - ๘ นว้ิ เป็นขนาดท่ใี ช้มาก และแบบหวั กลมแหลม แบบหวั แบน ๒.๑๓ แบบสาหรับงอโลหะ ใชง้ อโลหะเส้นโดยประกอบดว้ ยแท่งโลหะหรือไม้ มีสลกั โลหะ สาหรบั ใช้งอโลหะ ใหเ้ ปน็ รปู รา่ งต่าง ๆ กัน ๒.๑๔ คีมสาหรับจบั งาน ใช้จับงานรอ้ นๆ หรืองานท่อี ยู่ในนา้ กรด น้ายาเคมี มีรูปรา่ งตา่ งกนั ๒.๑๕ ท่งั แผร่ ดี เป็นเหล็กมีน้าหนกั มาก ใช้สาหรับรองรับโลหะเพ่ือจะตีแผ่ หรอื รีดโลหะใหย้ ื ด และเรยี บ ๒.๑๖ เหลก็ แบบชนิดตา่ งๆ จะมรี ูปแบบที่เข้ากบั ลักษณะตา่ งๆ กันจะมหี ลายลักษณะ เช่นรปู โคง้ รปู กลม รูปสามเหลยี่ ม รูปกรวย ฯลฯ

๒๕ ๒.๑๗ หลมุ ไม้แบบ จะมีลกั ษณะเป็นไมเ้ น้อื แข็ง ขดุ เปน็ หลมุ โคง้ เหมอื นรปู กระทะมขี นาดตา่ งๆ กนั ทัง้ เล็กและใหญ่ กน้ หลมุ มที ง้ั ตน้ื และลกึ ขน้ึ อยกู่ ับการใชส้ อย มหี นา้ ที่ใช้สาหรบั เคาะขน้ึ โครง ขั้นแรก ของการขึน้ รปู ให้เป็นทรงโค้งของงานโลหะรปู พรรณ ๑. เคร่ืองมือสาหรบั ตดั โลหะ ๓.๑ ใบเลอ่ื ยตดั โลหะ ลักษณะคล้ายเลื่อยฉลุไม้ แตม่ ฟี นั ถีก่ ว่า เปลย่ี นใบเลอ่ื นได้เมือ่ หมดคม

๒๖ ๓.๒ เล่อื ยตดั โลหะ โครงตวั เลอื่ นปรับความยาวของใบเลอื่ ยได้ มมี ือจบั แบบปนื พกใบเลอ่ื ยขนาด ๘ นวิ้ - ๑๐ นิ้ว และฟัน ๑๘ - ๓๒ ซ่ี ใน ๑ นวิ้ ใบเลือ่ ยทาด้วยเหล็กกลา้ ปกตจิ ะกว้าง ๗/๑๐ น้วิ และ หนา ๐.๒๕ น้ิว เวลาใส่ใบเลอ่ื ยใหฟ้ นั ชีอ้ อกจากด้าม ๓.๓ เลื่อยชา่ งทอง ใชฉ้ ลุโลหะแผ่นบางๆ มขี นาดตา่ งกันตง้ั แต่ ๒.๕ นว้ิ ถึง ๑๒ นว้ิ และมี ขนาดต่างกันจากละเอยี ดจนถงึ หยาบมาก (เบอร์ ๘/๐ ถงึ เบอร์ ๑๔) ๓.๔ เหล็กสกดั ทาจากเหล็กกลา้ มีรูปร่างและขนาดตา่ งกนั ตามงานท่จี ะทา ๓.๕ กรรไกร ใช้ตัดโลหะแผน่ ทเี่ ปน็ เสน้ ตรงและส่วนโคง้ มขี นาดตา่ งกัน ชนิดที่ใช้มากคอื ขนาด ๘ นวิ้ ถงึ ๑๒ นิ้ว นอกจากกรรไกรแล้วยังมเี ครอ่ื งตัดโลหะทตี่ ิดกับโต๊ะทางานซึ่งมขี นาดตา่ งกัน ด้วย ๔. เคร่ืองมอื สาหรบั ใหค้ วามร้อน ๔.๑ ชุดตะเกียงเป่าแลน่ ประกอบดว้ ย ๑. ตัวปัม๊ ลมเรยี กว่า “ตะพาบ”

๒๗ ๒. ตะเกียงสาหรับใชน้ า้ มันเชื้อเพลิง ใช้นา้ มันเช้อื เพลงิ ออกเทน ๙๑ ๓. สายยาง ๔. หวั แร้งสาหรบั ใหค้ วามรอ้ นมคี ุณสมบตั ใิ ห้ความรอ้ นโลหะมขี นาดไม่ใหญม่ ากนกั เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางไมเ่ กิน ๕ นว้ิ ๔.๒ ชดุ กา๊ ซใหค้ วามร้อน ประกอบดว้ ย ๑. ถังกา๊ ซ (ใช้ก๊าซหุงตม้ ) ๒. ชุดหัวเป่าสาหรบั ให้ความร้อนพร้อมสายยาง ใช้สาหรบั ใหค้ วามรอ้ นโลหะทมี่ ขี นาด ๕ นิว้ ขึ้น ไป แตไ่ ม่ควรเกิน ๑๕ นว้ิ ๔.๓ ชดุ เตาเผา ใช้ใหค้ วามรอ้ นโลหะทีมีขนาดใหญม่ ากใช้ วธิ กี ารสมุ ไฟแลว้ เผาแบบโบราณ ๔.๔ แผน่ กระดานทนไฟ อาจทาดว้ ยแกลบอดั กระดาษอดั แข็ง แท่งถา่ น หรือเปน็ อิฐเผากไ็ ด้ใช้ รองรับโลหะในขณะที่กาลังให้ความร้อน

๒๘ ๔.๕ คีมจับรอ้ น และปากกาจับร้อน จะมหี ลายขนาด และมีความยาวมากนอ้ ยไมเ่ ทา่ กันข้นึ อย่กู บั ลักษณะของงาน ๕. เคร่อื งมอื สาหรบั ขัดตกแต่งผิวและทาความสะอาด ๕.๑ ตะไบขนาดต่างๆ ใชส้ าหรับตะไบเก็บผวิ รปู พรรณใหเ้ รียบไมม่ รี อยขรุขระของคอ้ น ๕.๒ กระดาษทรายหยาบและละเอยี ด ใช้ขดั ผวิ รูปพรรณซา้ อีกคร้งั เพ่อื ลบรอยตะใบ

๒๙ ๕.๓ ยาดิน เปน็ สารเคมีชนดิ หน่งึ ใช้สาหรับขดั ผวิ โลหะใหเ้ ป็นมนั เงาโดยใชผ้ าชุบยาดนิ แล้วนามา ขัดผวิ รูปพรรณ ๕.๔ กรดกามะถนั เจือจาง ใช้ทาความสะอาดรปู พรรณดา้ นในและดา้ นนอก ๕.๕ แปรงทองเหลอื ง ใช้แปรงรูปพรรณตามซอกเลก็ ๆ ท่อี ปุ กรณ์อ่ืนเข้าไปทาความสะอาดไมไ่ ด้ ๖. เคร่อื งมอื สาหรับสลัก - ดุน สาหรบั การทางานสลัก – ดนุ ผู้เป็นช่างมคี วามจาเป็นต้องเลือกใชส้ ิ่ว สลกั ลายเส้นให้เหมาะสมกับ ตัวลายและขั้นตอนการดุนนูน โดยเลือกใชส้ ่ิวอกี ชดุ หนง่ึ คอื ส่ิวดนุ จะมปี ากหนาและมน ซ่งึ เป็นคนละชุด กบั สิ่วสลกั ลายเดนิ เสน้ และหลังจากดุนนนู แล้วก็ต้องตกแต่งพื้นผวิ และใช้เครอ่ื งมือดุนอีกแบบหน่งึ เพ่ือให้ เหมาะสมกบั พื้นผิวของตัวลายหรอื ภาพทจี่ ะสลกั – ดนุ สิว่ สลัก – ดุน ทสี่ าคัญและจาเปน็ มอี ยู่ ๑๙ ตัว ซ่ึงมลี ักษณะของปากสิ่วทีแ่ ตกตา่ งกันตามหนา้ ที่ซ่งึ พอจะจาแนกลักษณะไดด้ ังน้ี ๑. สว่ิ ปากโค้ง มี ๓ ขนาด คือ เล็ก กลาง ใหญ่ ๒. สว่ิ ปากตรง มี ๓ ขนาด คือ เลก็ กลาง ใหญ่ ๓. สวิ่ ปากกลม มี ๓ ขนาด คอื เลก็ กลาง ใหญ่ ๔. สวิ่ ปากสีเ่ หลย่ี มผนื ผา้ และหนา้ เรียบ มี ๓ ขนาด คือ เล็ก กลาง ใหญ่ ๕. ส่วิ ปากหวั หมอก มี ๓ ขนาด คือ เลก็ กลาง ใหญ่ ๖. สวิ่ ปากแหลมเล็ก ๑ ตวั

๓๐ ๖.๑. ส่วิ สลกั มีลักษณะเปน็ แท่ง ทาด้วย เหล็กสปริง กลมหรอื เหลยี่ มความยาวประมาณ 3-4 น้ิว สว่ นปลายแบนเป็น เส้นตรง เส้น โค้ง หรอื วง กลม อาจใชต้ ุ๊ดตมู่ าลบคม หรอื ทาข้ึนมาเองเพือ่ ให้ไดข้ นาดต่างๆ ตามตอ้ ง การ ใช้ในการเดนิ เสน้ ตาม แบบลาย ๖.๒. สวิ่ ดุน มีลักษณะเป็น แท่งทาด้วยเหล็ก สปริง กลมหรือเหลี่ยมความยาว ประมาณ 3-4 น้ิว ส่วนปลายของสว่ิ มี ลกั ษณะ โคง้ มน ใช้ในการดนุ ลายจาก ด้านใน เพือ่ ให้เกิดความนูนของตัวลาย ๖.๓. ส่วิ เกบ็ สนั หรือสว่ิ ลูบตวั ลาย มลี กั ษณะเป็ นสว่ิ หน้าตดั ผวิ เรี ยบ มี ท้งั หนา้ สเ่ี หลีย่ ม วง กลม และคร่ึง วงกลมขนาดตา่ งๆ ใชใ้ นการตกแต่ง สนั ลายให้ลวดลายมีความคมชดั

๓๑ ๖.๔. ส่วิ ย้าพ้ืนทราย มลี ักษณะหนา้ สิ่วเปน็ ลายตารางข้าวหลาม ตดั มที ้ัง หนา้ สเ่ี หลี่ยม วง กลม และครึง่ วงกลมขนาดตา่ งๆ ใชใ้ นการย้าพื้น สว่ นท่ไี ม่ใชต่ ัวลาย เพื่อแยกส่ วน เปน็ พื้นกบั ตวั ลาย ให้มีความคมชดั ขึ้น ๖.๕. เหลก็ เจาะทรงกลม ( ตดุ๊ ตู่ ) มลี ักษณะเป็นเหล็กทรงกลม กลวง ตรงปลายเป็นรูวงกลม สาหรับใช้ เจาะรบู นชนิ้ งาน มีหลายขนาด ๗. ชนั รองสลัก เปน็ ยางไม้ชนดิ หนึง่ นามาเคยี่ วผสมกับนา้ มันมะพรา้ ว ดินสอพอง เคีย่ วดว้ ยไฟออ่ นใหเ้ ข้ากนั อตั ราส่วนข้นึ อยกู่ ับความต้องการของช่างแบ่งเป็นสองประเภทดงั น้ี ๗.๑. ชันน่มิ คอื ชันที่ผสมให้มคี วามอ่อนตัว เพราะมี ส่วนผสมของน้ามนั มากกวา่ ชนั สลกั ใช้เพือ่ รองรบั ใน ข้นั ตอนการดนุ ลาย

๓๒ ๗.๒. ชนั สลกั คอื ชันทผ่ี สมใหม้ ลี ักษณะแข็ง เวลาใช้ งานต้องใช้ความร้อนละลาย และนาช้ินงานมาผนึก หรอื กรอกลงไปในตวั งาน ใช้ในการรองรบั ตัวลาย ใน การสลักลาย เพ่ือใหล้ วดลายไมเ่ สียรูปทรง การดแู ลรักษาเคร่อื งมือ เครื่องมือต่างๆ ในการทางานโลหะรปู พรรณดงั กลา่ วนั้น เป็นเพยี งเคร่ื องมือสว่ นย่อยทพ่ี อจะหา ไวไ้ ดภ้ ายในโรงงาน ส่วนทเ่ี ป็นเครื่องมอื หนักนน้ั ยงั มอี ีก มาก แต่เหมาะสาหรบั โรงงานอตุ สาหกรรม เช่น เคร่ืองชกั เส้นลวด เคร่อื งรดี แผ่นโลหะ เคร่ืองขัดโลหะ ฯลฯ ซึ่งในที่น้จี ะไมก่ ลา่ วถงึ เครอ่ื งมอื ตา่ งๆ นน้ั ตอ้ งระวังรักษาให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ อยู่ในสภาพดี เก็บใหถ้ กู ที่ และควรมี ตแู้ ขวนเครื่องมือให้เรียบรอ้ ย เครื่องมือทกุ ชน้ิ ตอ้ งระวังอย่าให้หลน่ เพราะอาจทาให้ หกั บน่ิ ได้งา่ ยทส่ี ุด การใชเ้ คร่ืองให้ความร้อน ชา่ งต้องเปน็ ผเู้ ตรยี มและระวงั ในการใชใ้ หม้ าก เตาไฟ ถ้านาออกใชแ้ ล้วตอ้ งรอ ใหเ้ ย็นจึงเก็บเขา้ ท่ี มิฉะนั้นจะเกิดอคั คีภัย ในโรงงานควรมคี ีบเหลก็ สาหรบั ไวจ้ ับแผ่นโลหะเผาไฟ แช่ น้ากรด ต้องมีผูส้ าธิต การใช้เครอื่ งมืออย่างถกู ต้อง เพื่อความปลอดภยั ของผู้ฝึกและตัวของชา่ งเอง ความปลอดภัยในการใชเ้ ครื่องมือและการทางาน ในการปฏบิ ัติงานในโรงงาน ความปลอดภยั จากการใช้เครื่องมอื ตลอดจนอุบัติเหตุเปน็ เรือ่ งสาคญั อนั ดับแรก การรกั ษาความปลอดภยั คือ การปฏิบตั ิตามกฎการใช้เคร่อื งมือการทางาน ตอ้ งทาตามขั้นตอน ใชค้ วามคิด มีความรัดกมุ ไม่ประมาท งานโลหะรูปพรรณน้ันตอ้ งใชค้ อ้ นเหล็กที่มีนา้ หนกั ม าก ต้องมกี าร ใชก้ รดกัด และใช้ ไฟให้ความร้อน โลหะแผ่นเวลาตดั จะมคี วามคม ควรป้องกันอุบตั เิ หตเุ พ่ือความ ปลอดภัย ดังน้ี ๑. เวลาปฏบิ ัตงิ านตอ้ งแต่งกายให้รดั กุม ๒. ตอ้ งระลกึ เสมอ การใช้เครอ่ื งมืออาจเกดิ อันตรายได้ ๓. ศกึ ษาใหร้ ูจ้ ักวิธกี ารใช้เครื่องมือตา่ งๆ หน้าทีแ่ ละประโยชน์ใชส้ อยของเคร่อื งมอื ใหแ้ มน่ ยา ๔. อย่าจับโลหะทีย่ ังรอ้ น หรอื ขณะนาไปแช่น้ากรดดว้ ยมือเปล่า

๓๓ ๕. เม่อื เวลาตัดแผ่นโลหะ อย่าเอามอื ปดั หรอื ลูบ ควรใชต้ ะไบแต่งขอบให้เรยี บร้อยเสียกอ่ น แลว้ ปัดด้วยแปรงให้หมดผงตะไบ ๖. การจบั แผน่ โลหะและเครื่องมื อต่างๆ ต้งั จบั ให้มัน่ คง อย่าจับแบบหลวมๆ จะทาให้เกิด อันตรายได้ ๗. อย่าทางานในท่ี ทมี่ ีแสงสว่างไม่เพียงพอ ๘. ขณะทางานตอ้ งนกึ ถึงเพ่อื นขา้ งเคยี งเสมอ ต้องคานึงถึงความปลอดภัย ๙. เม่ือจวนจะหมดเวลาเรียนตอ้ งเกบ็ เครอ่ื งมอื อปุ กรณ์ตลอดจนวสั ดุให้เรียบรอ้ ย ๑๐. เม่อื ทางานสาเรจ็ รปู เสรจ็ แลว้ ต้องทาความสะอาดเครอ่ื งมือ สารวจดูความบกพร่องเพ่ือ ซอ่ มแซมแก้ไข แล้วเกบ็ ตามทีใ่ หเ้ รียบรอ้ ย

๓๔ บทท่ี ๓ การสร้างลวดลายในงานโลหะ ลวดลายท่ีมนุษย์ประดิษฐค์ ิดข้นึ มาน้ัน นบั เปน็ ความคดิ ของมนษุ ย์ ทแี่ ฝงไวด้ ว้ ยศิลปวฒั นธรรมอนั ประณตี งดงาม ละเอยี ดอ่อน บง่ บอกถงึ ประสบการณ์ สง่ิ แวดล้อมอนั กอ่ ให้เกิดเอกลักษณข์ องชมุ ชน เชอ้ื ชาตขิ องบุ คคลในแตล่ ะสังคม และเป็นส่อื ทสี่ ามารถศึกษาถงึ ชีวิต วัฒนธรรมประเพณี ในเชิง ประวตั ิศาสตรไ์ ดท้ างหน่ึง ถงึ จะมคี วามแตกต่างในเร่ืองขนบธรรมเนียมประเพณี และคณุ ลักษณะของ ลวดลายท่แี ตกต่างกนั ในชว่ งเวลา ยุคสมัยและสมยั นิยมก็ตาม ตวั ลวดลายเองก็สามารถบ่งบอกถึงวถิ ีชีวิต ชุมชนนนั้ ๆ ได้ ความหมายของลวดลาย ลวดลาย หมายถึง การกาหนดองค์ประกอบให้เกิดเป็นภาพตามความคิดสร้างสรรคข์ องผ้สู รา้ ง ผลงานมาจัดวางอยา่ งเหมาะสมเพอ่ื ประโยชนใ์ ช้สอย ความงาม รู้จกั วางแผน กาหนดรปู รา่ ง รปู ทรง สี ให้มี ความแปลกใหม่ เหมาะสมกบั ชน้ิ งานนั้น ๆ ถ้าเป็นความหมายของการออกแบบลวดลาย หมายถึง การกาหนดความนกึ คิด ( Idea ) ด้วยจุด เส้น รูปรา่ ง และสี เพือ่ สร้างสรรคผ์ ลงาน ประกอบการสร้างสรรค์ผลงานประเภทต่าง ๆ การออกแบบลวดลายที่พบเห็นโดยท่วั ไป ตง้ั แตอ่ ดีตถงึ ปจั จบุ นั นัน้ แบง่ ออกเปน็ ประเภทของ ลวดลายตามลกั ษณะได้ดงั นี้ - ประเภทลวดลายตามลกั ษณะรูปแบบการจดั วาง - ประเภทลวดลายตามลกั ษณะรูปแบบพนื้ ท่ี - ประเภทลวดลายตามลักษณะรูปแบบแนวความคิดการสร้างงาน - ประเภทลวดลายตามลักษณะรปู แบบงานท่ีนาไปใช้ การสร้างลวดลายในงานโลหะประณตี น้ี ถอื เป็นลวดลายบนภาชนะ จุดเปน็ การเขียนลวดลาย ลงบน งาน ๓ มิติ สามารถมองเหน็ ได้รอบดา้ น แตถ่ กู จากัดดว้ ยขนาดรูปทรงของภาชนะ กรรมวธิ ีการสรา้ งงานให้ เกิดลวดลายบนภาชนะจึงมีความแตกตา่ งกันไป เช่น ลวดลายบนเครือ่ งปัน้ ดินเผา ไม้ สารดิ ทองเหลือง เงนิ ซึง่ จะมกี ารสรา้ งลายที่มีกรรมวิธีแตกตา่ งกันออกไป แตแ่ มแ่ บบหรื อลายจะมาจากทเี่ ดียวกนั คอื ลาย ไทย

๓๕ ทม่ี าของศิลปะลายไทย ความเปน็ มาของศลิ ปะไทยหรือลวดลายไทย น้นั มบี อ่ เกดิ มาจากการอาศัยรากฐานจากธรรมชาติมา ดัดแปลง ไม่ได้เป็นงานทล่ี อกเลยี นแบบธรรมชาตโิ ดยตรง และดว้ ยการที่ช่างคดิ ดดั แปลงลวดลายจาก ธรรมชาตนิ ัน้ ทาให้ศิลปะไทยหรื อลวดลายไทยเป็นศิลปะแบบอุดมคติการดัดแปลงจากธรรมชาตนิ ชี้ ่างจะ เลือกใชจ้ ากส่งิ ท่ีพบเห็นไดบ้ อ่ ยในธรรมชาติรอบ ๆ ตัวเป็นสว่ นใหญ่ เช่น ดอกบวั ต่าง ๆ ดอกมะลิ ดอก ชยั พฤกษ์ ดอกลาดวน ดอกจอก ใบเทศ รวงข้าว เปลวไฟ รังผึ้ง ฟนั ปลา ฯลฯ กนก มรี ปู ลักษณะเปน็ กอ กาบ ก่ิง กา้ นใบ จดั เป็นศลิ ปะช้นั สูงในสมยั ก่อนนนั้ ถ้ามอื ไมถ่ งึ ขนาด ชัน้ ครู แล้วยากทจี่ ะผกู ตัวกนกให้มีความสวยงามได้ เพราะกนกนัน้ จะงามตอ้ งเขียนตวั ลาย กับชอ่ งไฟหรือ พน้ื ใหพ้ อดีกันหรอื พูดงา่ ย ๆ ว่า กนกจะงามนน้ั ตอ้ งดูตัวและพ้นื วา่ งามหรอื ไม่ สว่ นลายน้ันจะตา่ งกั บกนก คอื ลายจะหมายถงึ ลวดลายดอกไม้ หรอื ลายเครือเถา มีรูปร่างเป็น ดอกไม้ ใบไม้ หรอื ถกู ดัดแปลงเป็นตวั เทศ ใบเทศ นามาเขาทรงสมมตุ ิเป็นรปู ดอก ใบ ลายเพดาน ลาย ผนงั ลายฐานปทั ม์ ฯลฯ ลวดลายท่ีนามาใช้ในงานโลหะประณีต ลายและลวดลายทีน่ ามาใช้ในการสร้างงานดลหะประณี ตน้ัน จะขึ้นอยกู่ บั ลักษณะงานทใี่ ช้ เช่น รูปทรงของวัตถเุ ปน็ รูปทรงอย่างใด ใช้งานอะไร หรือสาหรับบคุ คลว่าเป็นบุคคลใดมีความสาคญั อยา่ งไร เช่นถา้ เป็นของใช้ กอ็ าจใชล้ กั ษณะเป็นลายดอกไม้ ใบเทศ รปู เทพนม หรือรปู สัตว์ในวรรณคดีเป็นต้น ถ้าเป็นของทร่ี ะลึกอาจใชล้ กั ษณ ะสาคญั ของตัวบคุ คล เช่น เกิดปีกลุ อาจใช้รปู หมู ประกอบกบั ลวดลายใบ เทศ เปน็ ต้น หรอื อาจเปน็ ภาพเลา่ เรือ่ งราวธรรมชาติทีช่ ่างประทับใจกไ็ ด้ไม่จากัด แตเ่ ท่าทพ่ี บลักษณะ ลวดลายท่ีนามาใช้ในการสรา้ งงานโลหะนั้นมักจะประกอบไปดว้ ย ลายกระจงั ต่าง ๆ เช่น กระจงั ตาออ้ ย กระจงั เจิม กระจังใบเทศ กระจังปฏญิ าณ ( กระจังหู ) กระจงั รวน กลุม่ ลายบวั ลายไทยแตโ่ บราณนั้นนยิ มเอารูปทรงของดอกบวั มาสรา้ งสรรค์เปน็ ตัวลาย เนอื่ งจาก เหตผุ ลทวี่ า่ ดอกบัวน้ันมีลกั ษณะเส้นรอบนอกที่โอนออ่ นงดงาม นามาประดิษฐใ์ ชก้ บั งานชนดิ ตา่ ง ๆ ตาม รูปรา่ งรูปทรง และ เรียกช่ือตามรูปทรงและลวดลายประดษิ ฐน์ ้ัน ๆ เช่น ตาออ้ ย โดยการการตัดตอนข้วั ของ ดอกบวั ออกแลว้ เพ่มิ เติมทรงดอกบวั เฉพาะตอนขวั้ ของดอกให้วิจติ รขน้ึ เรยี กช่อื ใหมว่ ่าทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เปน็ ต้น ลายในกลุ่มลายบัวทน่ี ินมนามาใช้ในการสรา้ งงานโลหะไดแ้ ก่ ลายบวั หงาย-บัวคว่า บัวปากฐาน หรอื บวั กลมุ่ บวั ปากปลงิ บัว รวน บัวปากพาน บวั กาบขนุน บวั กานขนนุ กลบี ซ้อน บวั ลกู แก้ว บัวหลงั

๓๖ สงิ ห์ บัวแวง บวั ฟันยกั ษ์ ลายหนา้ กระดานประจายามก้ามปู ลายหน้ากระดานประจายามลกู ฝกั ก้ามปู ลาย เกลียวกนก ลายใบเทศ ลายเกลยี วมงั กรคาบแกว้ ลายก้านตอ่ ดอกก้ามปู กา้ นต่อใบเทศ ก้านต่อพุ่มทรงขา้ ว บณิ ฑ์ ฯลฯ นอกจาดลายทก่ี ลา่ วมาน้ยี งั มีการสอดใสใ่ ส้ลายเปน็ รปู ต่าง ๆ เชน่ รูปเทพ รปู เทพนม รูปสัตว์ จาพวกกระบี่ ยักษ์ สตั ว์หมิ พานตจ์ าพวกจตบุ าท ทวิบาท ชลบาทและสตั วใ์ นเทพนิยายประกอบอีกดว้ ย การขนึ้ รูปโลหะ นบั จากอดีตการสร้างงานโลหะรปู พรรณจะทาขนึ้ จากวัสดุท่มี คี า่ เชน่ ทองคา เงนิ ซึ่งลว้ นแตเ่ ปน็ วัสดุทม่ี ีค่า ขบวนการขน้ั ตอนการสรา้ งทใี่ ชเ้ วลานาน คนสามัญทวั่ ไปไม่อาจนามาใช้งานไดเ้ พราะเป็นของ หายาก และมรี าคาแพง ดังนน้ั ช่างทสี่ ร้างงานโลหะรูปพรรณจงึ ต้องมี ความชานาญในการทา แต่ปจั จุบัน งานโลหะรูปพรรณได้ววิ ฒั นาการจากวสั ดุทีม่ คี า่ เป็นวัสดทุ ี่หาไดง้ า่ ยขน้ึ แตก่ ระนัน้ ข้ันตอนการทากย็ งั มี ความยุ่งยากและใชเ้ วลาในการทา จนทาใหผ้ ู้มีความชานาญน้ันลดน้อยลง จาก ขอ้ มลู ของชา่ งท่ที างานของ กรมศลิ ปากรทางดา้ นงานโลหะจงึ พอสรุปกรรมวธิ กี ารสร้างงานขึน้ รปู โลหะ ดงั นี้

๓๗ วธิ ีการขน้ึ รูปโลหะ กรรมวิธีการข้ึนรปู งานโลหะแบ่งออกเป็นประเภทไดด้ ังนี้ การหล่อ ตอ้ งทาหุ่นก่อนแลว้ ถอดพมิ พ์ เทเน้อื โลหะท่ีหลอมละลายลงพมิ พ์ แมพ่ มิ พ์จะบงั คบั ให้ เป็นรูปที่ตอ้ งการ เชน่ การหล่อพระพุทธรปู การทบุ ใช้คอ้ นขนาดตา่ งๆ ทบุ แท่งโลหะท่ีหลอมแลว้ ให้เปน็ รปู ทต่ี อ้ งการ เชน่ เหรยี ญ ขัน ถาด บางทขี ้นึ รปู เป็นสว่ นๆ แลว้ นามาประกอบกนั อีกที เช่น พาน คนโท ฯลฯ การตดั ต่อ รีดโลหะใหเ้ ปน็ แผ่นบาง ตัดเปน็ ช้นิ แลว้ บดั กรีต่อเป็นรูปที่ตอ้ งการ เชน่ กลอ่ ง หบี กรอบรปู การสาน รดี โลหะเป็นแผ่นบางแล้วตัดเปน็ เสน้ แบบตอกไมไ้ ผ่ นามาสานเป็นรูปทรงต่างๆ เชน่ ตลบั จอก กระบุง เสอ่ื การบุ นาโลหะมาตีใหบ้ าง ตัดให้ไดข้ นาดแล้วนาไปหมุ้ กับหนุ่ ทอี่ าจเป็นโลหะอืน่ หรือไม้ เชน่ พระพทุ ธรูป เจดีย์ ตวั สตั วจ์ าลอง หรืออื่นๆ การกลงึ คือการนาโลหะมาเฉอื นเอาเน้ือหรือผวิ ออก โดยการใช้ใบมดี กลึงตามลักษณะงานซ่งึ จะมี แกนเหลก็ และปากกาจบั ยึดไวต้ รงกึ่งกลางตรงหวั และท้ายโดยหมุนไปรอบๆ สว่ นใหญจ่ ะเปน็ การ กลึงโลหะแบบทรงกระบอก ทรงกลม และทรงกรวย การชักลวด นาโลหะมาตเี ป็นเสน้ ยาว รดี ให้เป็นเสน้ ลวดขนาดทีต่ ้องการ ตัดเปน็ ท่อนแลว้ ทาเปน็ หว่ งร้อยต่อกันเป็นเสน้ เป็นสายด้วยวิธตี า่ งๆ กันตามลวดลายที่ตอ้ งการ เชน่ พวกสรอ้ ยต่างๆ การเกี่ยวโยง วธิ นี ้แี ยกออกได้อกี หลายชนดิ เช่น ชนิดใช้หว่ งเก่ยี วระหว่างโลหะต่อโลหะ ชนดิ พับ เม้มดา้ นต่อดา้ น หรอื ใชห้ มดุ เปน็ ตวั ชว่ ยในการพบั เม้มระหวา่ งโลหะตอ่ โลหะ เป็นตน้ การปมั๊ ขึ้นรูป วิธีน้ีใชแ้ พรห่ ลายกนั การผลติ จานวนมากๆ โดยมแี ม่พิมพ์รับและตวั แมพ่ มิ พ์กด วิธี ทากใ็ สแ่ ผ่นโลหะเข้าไปตรงกลางระหวา่ งแมพ่ ิมพร์ ับกบั แมพ่ มิ พก์ ด และปั๊มให้เกิดเปน็ รปู นูนหรอื ลวดลายนูนขึ้น การติดกาว เปน็ วธิ กี ารตัดตอ่ ข้นึ รูปอย่างงา่ ยเน่ืองจากในปจั จบุ ันมีกาวสาหรับใชต้ ดิ เหลก็ โดยเฉพาะ จึงทาใหส้ ะดวกทีจ่ ะนากาวตดิ เหล็กมาใชส้ าหรบั การติดต่อขึ้นรูปโลหะ ตอ่ มาเม่อื สังคมเจริญก้าวหนา้ ทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยมี ากข้นึ วิธีการขนึ้ รูปโลหะ รปู พรรณสว่ นใหญ่มกั ใชเ้ ทคโนโลยีเข้ามาชว่ ย เพราะประหยดั เวลา และแรงงาน รวมทงั้ ยงั ไดป้ ระหยดั คา่ ใช้จ่ายของชนิ้ งานนนั้ อกี ดว้ ย แตม่ ไิ ด้ถา่ ยทอดหรือรกั ษาไว้ซงึ่ คณุ คา่ ของงานชา่ งฝีมอื หรอื งานประณีต ศลิ ปแ์ ต่อยา่ งใด คงมีอกี วิธหี นึง่ ที่ยังรกั ษาคุณคา่ ดังกลา่ วไว้ คือการขนึ้ รปู พรรณแบบวธิ ีขนึ้ รปู ด้วยค้อนที่

๓๘ ตอ้ งอาศัยมือเปน็ หลกั ซึ่งเป็นวธิ ที ่บี รรพบรุ ษุ ถ่ายทอดสืบตอ่ ลกู หลานชา่ งกันมาและวิธีนี้ ทยี่ งั รักษาคุณค่า ทางงานประณีตศลิ ป์อยู่จนถึงปัจจุบัน ชา่ งทจ่ี ะฝึกหัดเป็นช่างขึ้นรปู โลหะรูปพรรณดว้ ยคอ้ น จะต้องมีคณุ สมบตั ิดงั ต่อไปน้ี ๑. ควรศึกษาคุณสมบัติหรอื คณุ ลกั ษณะของโลหะแต่ละชนิด เพอ่ื ท่จี ะทราบวา่ โลหะชนิดหรือ ประเภทไหนเหมาะสมกบั งานในลกั ษณะใดบ้าง ๒. ควรศึกษาหลักการเขยี นแบบ เพ่ือที่จะไดอ้ า่ นแบบและคานวณขนาด น้าหนัก วสั ดุตา่ งๆ ให้ เหมาะสมกบั งานรวมถึงการวางแผน ปฏิบัติงานตามขนั้ ตอนไดถ้ ูกตอ้ ง ๓. ควรศึกษาหลกั ของเรขาคณติ เพราะงานข้นึ รูปด้วยคอ้ นนั้น จาเปน็ จะต้องใช้รปู ทรงของ เรขาคณติ เปน็ หลักสาคญั และเป็นพน้ื ฐานไม่ว่าจะเปน็ รปู ทรงกลม หรอื รูปกรวยเป็นตน้ ๔. ศึกษาใหร้ จู้ ักวิธีใช้เครื่องมอื วสั ดุ อปุ กรณ์ รวมทัง้ การเก็บรักษาอย่างถูกต้อง ๕. จะตอ้ งมคี วามขยัน และอดทน ไม่ทอ้ แทง้ า่ ย ๖. รู้จกั เป็นคนสังเกต และมีความคดิ สร้างสรรค์ ๗. มคี วามรอบคอบ และเปน็ คนใจเย็น วิธกี ารแผ่รีดโลหะ หลงั จาการหลอมโลหะแลว้ ทาความสะอาดในกรดครง้ั แรก แลว้ กน็ าโลหะขึ้นจากกรดล้างดว้ ยนา้ ธรรมดา แล้วไปเช็ดใหแ้ ห้งต่อไปนาไปแผร่ ีด ๑. การแผร่ ดี คร้งั แรกนนั้ ใหใ้ ชค้ ้อนหน้ากลางตีตบใหท้ ั่วผวิ ของโลหะทุกๆด้านเพอื่ ให้โลหะที่ ไดร้ ับการขยายตวั จากหลอมจะได้หดตัวกลบั ทาให้โลหะมลี ักษณะเน้ือแนน่ ละเอียดจะเป็น ประโยชน์ในการแผ่รีดครั้งต่อไป ๒. หลังจากการตีตบ ครง้ั แรกได้สิน้ สุดลงแล้วให้นาโลหะไปใหค้ วามร้อนเผาไฟจนถงึ จดุ ออ่ นตัว ของโลหะ ท่เี รยี กทัว่ ไปว่า \" โลหะสุก\" เมื่อเห็นวา่ โลหะไดร้ บั ความรอ้ น ถงึ จุดออ่ นดีแล้วให้ นาโลหะออกจากการให้ความรอ้ นวางไวจ้ นเกอื บเย็นหรอื เย็นแลน้ าไปใสก่ รด กามะถันเจอื จาง เพ่ือไปทาความสะอาดและปฏิบัติต่อกอ่ นทจี่ ะแผ่เหมอื นครัง้ แรกการแผค่ ร้งั ตอ่ ไปสังเกตเนอื้ โลหะจากการแผ่ตีครั้งแรกวา่ มหี น้าเรียบมากนอ้ ยเพียงใด การแผร่ ดี ครั้งแรกๆ ไมค่ วรใช้แรง มากเกินไปเพราะอาจจะทาให้โลหะเกิดการแตกได้ ๓. การแผ่ทุกคร้งั โลหะจะต้องได้รับการผา่ นความรอ้ น หรือ เผาถงึ จุดอ่อนตัวมาแลว้ และจะต้อง ใช้ค้อนหน้าปราบตหี วั ท้ายและด้านข้างเสียกอ่ น ๔. การแผย่ ่อมขน้ึ อยู่กับรูปพรรณ ที่จะแผ่ ใหม้ ีความหนาบางและกว้างยาวมากนอ้ ยแคไ่ หน ใหม้ ี ลกั ษณะอย่างไรนน้ั เราต้องทราบเช่นเดียวกัน การหลอมท่ีเราจะเทลงในรางเทชนิดใด เพ่อื ประโยชนก์ บั การแผย่ อ่ มขึน้ อยูก่ บั รปู พรรณท้งั ส้ิน

๓๙ ๕. ขณะท่กี าลงั แผ่ ถ้าหากว่าโลหะมรี อยแตก หรอื ฉีกขาดก็ควรหยุดแผ่ถา้ มีรอยฉีกขาดหรอื แตก ไมม่ ากจนเกนิ ไปกอ็ าจจะแก้ไขได้ โดยนาไปทาให้เกดิ การขยายใหมห่ รือถงึ จดุ อ่อนตวั น่นั เอง แล้วกใ็ ชห้ นา้ ปราบตตี บอกี คร้ังหลังจากน้นั ก็ใช้คอ้ นหนา้ หวีตตี ่อไป ถ้าหากรอยแตกไม่หายก็ ใหน้ ามาบักกรโี ดยให้ความร้อนและใช้นา้ ประสานทองทต่ี ้มสกุ แลว้ ทาตรงรอยแตก โดยให้ ความร้อนตอ่ ไปจนถึงจุดหลอมละลายของโลหะ กท็ าใหร้ อยแตกเปน็ เน้อื เดยี วกนั แลว้ จงึ นามาแผ่รดี ต่อไป ๖. เมอ่ื ทาการแผร่ ีดจนโลหะมคี วามหนาบางกวา้ งยาว ไดค้ วามตอ้ งการและนาไปให้ความ ร้อย เช่นเดียวกับครั้งก่อนๆ จะนาลงทาความสะอาดในกรดหรือไมก่ ต็ ้องสงั เกตดวู า่ สีของโลหะ ที่ ผิวหน้าทคี วามสะอาดมากนอ้ ยเพยี งใด แล้วตอ่ ไปใช้คอ้ นหน้าปราบทาใหร้ อยหน้าหมดนัน้ เมื่อทา การปราบไดล้ ักษณะเรียบร้อยแล้ว กน็ าไปให้ความรอ้ นพอควรจึงนาไปแช่น้ากรดพอประมาณ ๑๕ - ๒๐ นาทเี พือ่ ทาความสะอาดผิวของโลหะจะได้เปน็ การสะดวกแก่การทารปู พรรณต่างๆ ตอ่ ไป ข้ันตอนในการข้ึนรูปโลหะรูปพรรณ เมอื่ ไดเ้ นอ้ื โลหะหรือแผ่นโลหะทท่ี าการแผร่ ดี ตามขนาดที่ตอ้ งการแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คอื นามา ข้นึ รปู ใหเ้ ป็นรปู ทรงตา่ งๆ ตามแบบทก่ี าหนดไว้ ๑. ควรจะมกี ารวางแผนการปฏบิ ตั งิ านในเรอื่ งของการ ใชอ้ ุปกรณ์,เคร่ืองมอื ทจ่ี ะเป็นและเหมาะสมกับงาน ๒. งานข้ึนรปู นี้จะมีวธิ ีการและขนั้ ตอนคลา้ ย กบั การ แผ่รีด แต่การขึน้ รูปนจ้ี ะตอ้ งทาเนื้อโลหะหรือแผ่น โลหะน้นั ใหเ้ ปน็ รูปทรงตามแบบ ท่สี าคญั ทีส่ ดุ ควร จะใหค้ วามรอ้ นชิ้นงานบอ่ ยๆ เพ่อื มใิ ห้เกิดการฉกี ขาดไดง้ า่ ย ในขณะทก่ี าลงั ขนึ้ รูป (การให้ความ ร้อนจะเป็นลกั ษณะเดียวกับการแผ่รดี ) ๓. เครื่องมือท่ีใช้เป็นหลักคือ ค้อนขึน้ รูป อนั ไดแ้ ก่ คอ้ นหัวมน ค้อนหน้าราบ และท่สี าคัญที่สุดคอื ค้อนเขา ( ทาดว้ ยเขาควาย ) จะมีคุณสมบัตเิ มอื่ เคาะ ขน้ึ รูปแลว้ โลหะจะไม่เปน็ รอยชา้ และไมต่ อ้ งการทีจ่ ะให้โลหะยืดตัวมาก ค้อนอกี อย่างหนง่ึ คือคอ้ นตะก่ัว ใช้สาหรบั ตีโลหะให้รัดตัวเข้าหากัน ไมท่ าใหโ้ ลหะฉกี ขาดง่าย ทส่ี าคญั คือ คอ้ นขึน้ รูปแต่ละชนดิ จะต้องมหี วั คอ้ นเปน็ มันเงา ประโยชน์ก็คอื จะทาใหเ้ นื้อโลหะเรียบผิวตึง งา่ ยแกก่ ารเกบ็ ผิวรปู พรรณโดยใชต้ ะใบและกระดาษทราย ซงึ่ จะไมม่ รี อยคอ้ นทาใหผ้ ิวขรุขระ มากนกั

๔๐ ๔. การขึ้นรปู ด้วยค้อนนน้ั ควรนาแผน่ โลหะท่ีแผร่ ีดไดต้ ามขนาดแล้วมาวดั และใชว้ งเวียนหาจดุ ศนู ย์กลาง แล้วขดี วงกลมโดยรอบตามเสน้ ผา่ ศนู ย์กลางของแบบท่กี าหนดไว้ ๕. ตดั โลหะสว่ นทไ่ี ม่ตอ้ งการออกตามรอยวงเวียนดว้ ยกรรไกรตัดโลหะ ๖. เคาะไลใ่ หท้ ว่ั ทั้งแผน่ จนรอบโดยใชค้ ้อนหัวมน และไม้แบบท่เี ป็นรูปครง่ึ วงกลม แล้วนาไป ใหค้ วามรอ้ น ๗. เคาะไล่อีกครัง้ ใหไ้ ด้รปู ทรงโดยใชค้ อ้ นข้นึ รูปทีเ่ หมาะกับงาน ทส่ี าคัญจะตอ้ งใช้วงเวียนจบั เสน้ โดยรอบตามแบบเสมอเพอื่ เป็นแนวไม่ให้โลหะเสยี รปู ทรง และบิดเบย้ี ว แล้วนาไปให้ ความร้อน ๘. ทาตามขนั้ ตอนในข้อที่ ๗ จนไดโ้ ลหะรูปพรรณตามแบบทก่ี าหนด ๙. เกบ็ ผิวรปู พรรณท่ไี ด้รปู ทรงแล้วดว้ ยค้อนเก็บผวิ ให้เรยี บตงึ ๑๐. เก็บผิวใหเ้ รียบอีกครง้ั ด้วยตะไบละเอยี ด และกระดาษทรายตามลาดับ ๑๑. นาไปให้ความร้อนจนรูปพรรณสุกดีแล้ว นาไปแชใ่ นน้ากรดกามะถันเจือจางประมาณ ๑๕ - ๒๐ นาท่ี ๑๒.นาโลหะรูปพรรณจากนา้ กรดกามะถันเจือจาง มาล้างดว้ ยน้าสะอาดแลว้ แปรงทาความสะอาด ดว้ ยแปรงทองเหลือง เพื่อนาความสะอาดในหรือชอกทลี่ า้ งไม่สะอาดแล้วลา้ งดว้ ยน้าสะอาด อีกครัง้ เชด็ ดว้ ยผา้ ให้แหง้ เป็นอนั วา่ เสร็จขัน้ ตอนในการข้ึนรปู พรรณโลหะด้วยค้อน พรอ้ มท่ี จะนาไปปฏิบัติในขน้ั ตอนตอ่ ไป คือขน้ั ตอนการเขยี นลวดลาย และแกะสลักลวดลายต่อไป ชนั ในงานโลหะ จากพจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ กล่าวไว้วา่ ชนั น. ยางไม้สาหรบั ยา เรอื เป็นต้น. ชันพอน น. ชันชนดิ หน่ึง มีสีเหลอื งนวล สาหรบั ใช้พอนเรอื เป็นตน้ , ลาพอนก็ว่า

๔๑ ชัน เปน็ สว่ นประกอบหน่งึ ท่สี าคัญในการรองรับวัสดุท่ีจะนามาทาการสลัก - ดุนโลหะ ชนั ท่ีใช้รองรับ การสลกั - ดนุ โลหะนี้ ปจั จุบนั นิยมใช้มี ๒ ชนดิ ประกอบด้วย ชนั แกว้ และชนั เพชร ชันแกว้ ประกอบดว้ ย น้ามนั มะพร้าว ยางสน ดินสอพองเปน็ ทนี่ ยิ มใชใ้ นกลมุ่ ชา่ งทางเมืองหลวง หรอื ภาคกลางเป็นการรบั สืบทอดกนั มาจากจีนกวางตุ้ง ชันเพชร ประกอบด้วย ผงชนั กบั นา้ มันพชื ( ปัจจุบันใชน้ า้ มนั เคร่ือง หรือน้ามันขี้โล้ ) นิยมใชก้ ัน ในกลุ่มช่างทางภาคไต้ นอกจากชันทง้ั สองชนิดนแ้ี ล้วเรายงั สามารถใช้ครัง่ ได้อกี แตค่ ณุ สมบัติของคร่งั คอื ติดไฟงา่ ยจึงไม่ เหมาะกับงานชิน้ ใหญ่ การเตรยี มชัน การเคี่ยวชนั ชนั ทใี่ ชใ้ นการทางานสลักดุนมีอยู่ ๒ ประเภท แบ่งตามลกั ษณะการใชง้ าน คือ ชันทใี่ ชใ้ นการสลกั ลายเส้นยา้ พ้ืน กบั ชันท่ีใชใ้ นการสลักดนุ ๑ . การเค่ียวชนั เพือ่ ใช้ในการสลักลายเดินเสน้ / ย้าพ้นื เพอื่ ใช้ในงานลงยาถมและงานสลัก ลายเบา จะทาการเคี่ยวชันคอ่ นขา้ งแขง็ แต่มีความยดื หยุ่นในตวั ตลอดจนความเหนยี วเพอ่ื ใชใ้ นการยึดเกาะ แผ่นโลหะได้ดี ๒. การเคี่ยวชนั เพ่อื ใชใ้ นงานสลกั -ดุน ลักษณะของชันจะอ่อนกวา่ ชันสลกั โดยมขี ัน้ ตอนดงั น้ี วัสดุ ที่เตรยี มคอื ผงชัน น้ามันพืช เตาแก็ส กระทะ ไม้พาย กระบะใส่ชนั ส่วนผสมของชัน - ผงชนั ทใ่ี ช้ในการยาเรือ - น้ามนั พชื ( นา้ มนั มะพร้าว ) - วัสดเุ พิม่ เนื้อ (ผงอิฐตาละเอยี ด ดินสอผอง ทรายละเอยี ด .........................................) การทาชนั อ่อนหรือชันสาหรับสลกั – ดนุ ใชอ้ ตั ราสว่ น ๑ : ๕ คือ น้ามันพชื ๑ ส่วน ชัน ๕ สว่ น และการทาชันแข็งหรอื ชนั ทใ่ี ชส้ ลักเดินเสน้ ให้นาชนั ออ่ นมาผสมวสั ดุเพิม่ เนอ้ื ( แล้วแตส่ ูตรของ ชา่ งแตล่ ะคน ) ในอตั ราส่วน ๑ : ๕ คอื นาชนั อ่อน ๑ ส่วน ผสมผงอิฐ ๕ ส่วน

๔๒ วิธีการผสมชัน นาน้ามันพชื ใส่กระทะพอประมาณเพือ่ ปอ้ งกนั ไม่ให้ผงชนั ไหม้ ตดิ กระทะ เตมิ ผงชนั ใส่ใน กระทะตามความตอ้ งการในปริมาณทเ่ี หมาะสมกับการใช้งานคลุกเคา้ ให้ผงชันผสมกบั น้า มันเปน็ เนอ้ื เดยี วกนั โดยใช้ความรอ้ นอ่อน ๆ ใช้ไม้พายคนสกั คร่จู นไดค้ วามเหนียว นาชันทไี่ ดไ้ ปหยดลงในนา้ ปล่อย ใหเ้ ย็น แลว้ บีบดู หรือใช้เล็บจกิ ดู ถ้าชันท่ไี ด้มคี วามแขง็ มากเกินไปใหผ้ สมนา้ มันพชื เตมิ ลงไปทีละน้อย ๆ แล้วทดสอบดู ถา้ ชนั ท่ีไดอ้ อ่ นเกนิ ไปใหผ้ สมผงชนั เ ติมไปทล่ี ะนอ้ ย จนกวา่ จะไดช้ ันทีม่ คี วามเหนียวท่ี เหมาะสมกับความตอ้ งการ แลว้ จงึ นาชนั มาเทใสก่ ระบะไม้ที่เตรียมไว้ เพอ่ื นาไปใช้สลกั – ดุนต่อไป วธิ กี ารเข้าชนั และออกชนั * การเขา้ ชนั คอื การนา แผน่ ชน้ิ งาน ( ในทีน่ ้ีคือทองแดง ) ท่ลี า้ งทาความสะอาด โดยการแชน่ ้า กรด กามะถนั ( กรดซันฟุรกิ ) เจอื จางใน นา้ สะอาดในอัตราสว่ น ๑ ตอ่ ๔ สว่ น สักครู่ แลว้ นามาลา้ งด้วยนา้ สะอาดและขัดดว้ ยแปรงทองเหลอื ง แลว้ จึง ลา้ งน้าสะอาดอีกครั้ง เช็ดใหแ้ หง้ ดว้ ยผ้าสะอาด ทานา้ มนั มะพร้าวให้ทวั่ ช้นิ งานทางดา้ นทีจ่ ะป ระกบตดิ กับชนั ( ดา้ นหลงั ) ชันทใี่ ชจ้ ะต้องนามาใหค้ วามรอ้ นจน หนา้ ชนั ออ่ นเยม้ิ แล้วจึงนาชน้ิ งานมาวางแปะทับบนแผ่นชัน นาวัสดุทม่ี ีน้าหนักมาวางทับ เพ่อื ต้องการให้ ชนิ้ งานติดแนน่ กับแผ่นชนั ปลอ่ ยไว้จนเย็น ** การออกชัน คือ การนาช้นิ งาน ท่ที าการสลกั – ดนุ เสรจ็ ในแต่ละขัน้ ตอนนามารนไฟใหช้ นิ้ งา นร้อน และหน้าชันละลาย เพ่ือนาเอาชนิ้ งานออก โดยใชค้ มี จบั ชิน้ งานมาวางบนตะแกรงเหลก็ แลว้ เพิ่มไฟใหแ้ รง ข้นึ เพื่อเผาเศษชันทต่ี ดิ ชนิ้ งานอยูจ่ นไหม้เป็นขีเ้ ถา้ จนหมดทั้งชิน้ งาน ปลอ่ ยใหช้ ้นิ งานเย็นตัวลง ใชค้ มี จั บ ชนิ้ งานไปแช่น้ากรดกามะถัน ( กรดซนั ฟรุ ิก ) เจือจาง ๑ : ๔ สกั ครู่ แลว้ นามาลา้ งด้วยน้าสะอาด ขัดด้วย แปรงทองเหลอื ง และล้างดว้ ยน้าสะอาดอกี ครัง้ เชด็ ใหแ้ หง้ ด้วยผา้ สะอาด

๔๓ การสลัก - ดุนโลหะ ขัน้ ตอนการ สลัก-ดนุ โดยท่ัวไปมี ๖ ขั้นตอนดังนี้ ๑. การออกแบบลวดลาย ๒. การเตรียมชัน ( ชันมี ๒ ชนิด คอื ชนั แขง็ และ ชนั น่มิ ) ๓. การสลกั ลายเดินเสน้ ๔. การสลักดนุ นนู ๕. การย้าลายเสน้ และการตกแตง่ ผิวหน้า - สลกั ดุนย้าลาย - สลักดุนย้าลายเส้น - สลกั ดนุ ยา้ ลายเสน้ รอยเดิม - สลกั ย้าลายให้นูนขึน้ - สลกั ยา้ ลายเรียบหรอื ลบู ปาดย้าลาย - สลักดุนย้าร่องเส้น ๖. สลกั ดนุ ลบู ตกแต่งผวิ วธิ กี ารสลัก-ดนุ งานโลหะ การสลัก – ดนุ ลวดลายบนงานโลหะนัน้ จาแนกได้เป็นสองลักษณะ งานด้วยกนั คอื การสลกั – ดนุ ลวดลายลงไปบนตัวชน้ิ งานหรือตวั ภาชนะโดยตรง เชน่ ลวดลายบนพานตา่ ง ๆ โต๊ะ หรอื โตกกลม ขันนา้ กระโถน คนโท หบี กลอ่ งตา่ งๆ ที่มีรูปทรงสามมิติ คือมคี วามกวา้ ง ความยาว ความสูง เปน็ งานลอ ยตัว กบั ลวดลายประดบั ชนิ้ งาน หมายถึง การสลกั - ดุน บนวสั ดแุ ผ่นเรยี บแลว้ จงึ นาไปประกอบเปน็ ทรง หรือ ประดบั ตกแต่งเปน็ สว่ นประกอบกับงานอ่นื เช่น ลวดลายนมตาลปตั รพัดยศ ฉัตรโลหะ เปน็ ตน้ ซง่ึ ท้งั สอง อยา่ งนั้นจะมีกรรมวิธกี ารสรา้ งท่ตี ่างกนั ตรงการขนึ้ รูปเทา่ นั้น ส่วนการสรา้ งลวดลาย ( สลกั – ดุน ) จะ เหมือนกนั ซงึ่ มีกระบวนการและขนั้ ตอนปฏบิ ตั ิ พอท่ีจะสรุปไดด้ งั น้ี หลังจากได้ออกแบบลวดลายดุนเรยี บรอ้ ยแล้วกน็ าแบบไปทาบและวดั บนแผ่นโลหะและตัดแบง่ มา ตามขนาดของแบบ ตอ่ จากนั้น กเ็ ตรียมวัสดุอุปกรณต์ ่างๆ รวมทั้งเครื่องมือที่จาเป็ นในการทางานสลักดนุ ทาการเค่ยี วชัน เทลงในภาชนะ( กรณีสรา้ งงานในตวั ช้นิ งาน ) หรือกระบะ ตดิ โลหะ ตดิ แบบลายด้วยกาว เม่ือกาวแหง้ ก็ลงมอื สลกั ลายเส้น เ มือ่ สลกั ลายเส้นเสรจ็ กใ็ ช้ความร้อน เผาแผน่ โลหะออกจากชัน (** การ ออกชนั ) ตอ่ จากนน้ั กน็ าแผน่ โลหะไปลา้ ง ทาความสะอาด ด้วยน้ากรด เจือจาง และล้างน้าธรรมดา แล้ว นามาเช็ดด้วยผา้ สะอาดใหแ้ หง้ ต่อจากนัน้ กน็ าไปเข้ าชัน ( * การเขา้ ชัน ) ใหมอ่ ีกครั้งโดยการพลิ กด้านตรง ขา้ มกบั การสลักครง้ั แรก แลว้ ลงมือดนุ นูนตามรอ่ งลายเสน้ จนท่ัวท้งั ตัวลาย เผาออกจากแผน่ ชัน (**การออก

๔๔ ชนั ) ทาเหมอื นครง้ั แรกทุกขั้นตอน ตอ่ จากนน้ั ก็นามาเคาะเก็บพน้ื ให้เรียบร้อยด้วย ส่วิ และค้อนเกบ็ รปู และ นาไปเขา้ ชัน ( *การเขา้ ชัน ) อีกครงั้ โดยการพลิกด้านทีด่ ุ นนูนขึ้นดา้ นบนแลว้ ใช้ ส่วิ ยา้ เส้นและลูบลายตก แต่งตัวลายและผิวของตวั ลายให้เรยี บรอ้ ยถ้าลายท่ดี นุ นนู รูปโครงสร้างยังไม่ดหี รือยงั ไม่ถูกตอ้ งตามลักษณะ ของรปู แบบ ก็ให้ทากลบั ไปกลับมา ตามข้นั ตอนท่กี ล่าวมาแลว้ ข้างตน้ จนกว่าได้ลายที่ ดีพรอ้ มตามรปู แบบ ท่ตี อ้ งการ จึงทากรรมวธิ ีการออกชัน ( **การออกชัน ) ทาตามข้ันตอนเหมอื นตอนแรก และนามาเชด็ ด้วยผ้า สะอาดให้แห้งแลว้ จึงนามาเคาะเก็บพน้ื ผวิ ให้เรียบรอ้ ยอกี คร้ัง ก็เปน็ อันว่าเสรจ็ ขั้นตอนการดุนนูน

๔๕ บทที่ ๔ กระบวนการสร้างชิน้ งานเพ่ือจดั ทาองค์ความรู้ การสร้างตน้ แบบเพ่ือจัดทาองคค์ วามรู้ด้านศิลปกรรม ความรดู้ ้านงานโลหะ การสรา้ งลวดลายใน งานโลหะช้นิ นไ้ี ด้จดั สรา้ งลวดลายบนงานโลหะในรูปแบบของโต๊ะ ( โตกกลม) คนโท ( หม้อน้า ) และ เครอ่ื งทรงพระ ซึ่งท้งั สามสิ่งน้ีจะมีกรรมวิธกี าร สลกั – ดนุ ลวดลายทเี่ หมือน จะตา่ งกนั ในสว่ นของการขึน้ รปู ทรงของชิน้ งาน ซ่งึ พอจาแนกได้ดงั นี้ โต๊ะ ( โตกกลม ) โตะ๊ หรอื โตกทรงกลมนี้ เป็นภาชนะมีเชงิ สงู รูปคล้ายพาน มพี นื้ ตื้นสาหรับวาง หรอื ใสส่ ่งิ ของ ประกอบด้วยถาด ( ส่วนบน) สลกั – ดุนเปน็ ลายกลีบขนุน ขาลักษณะคู้ แบบเดยี วกับขา สิงห์ สลกั - ดุนลวดลายดอกพุดตาน และฐานรองรบั สลัก – ดุนลวดลายกระจงั ตาอ้อยและลายประจายาม บนโลหะทองแดง ชุบทอง ปากถาดบนกว้าง ๑๘ เซนตเิ มตร มีความสงู ๑๒ เซนตเิ มตร ฐานกวา้ ง ๑๔ เซนติเมตร วตั ถุประสงค์การใช้ “แต่เดิมเข้าใจกันวา่ ใชเ้ ป็นถาดล้างหน้าเพอ่ื รองรบั นา้ ลา้ งหน้า ของเชือ้ พระวงศ์ หรือเจา้ นายชัน้ สูง โดยจะวางไวบ้ นโต๊ะเคยี งคูก่ ับคันฉอ่ ง ” โดยตกแตง่ ลวดลายดว้ ยกรรมวธิ ีการถมทอง