150 ถกเถียงวัฒนธรรม ของมานุษยวทิ ยาทเี่ รยี กว่า “มานษุ ยวทิ ยานเิ วศ” นกั มานษุ ยวทิ ยาคนส�ำคัญทนี่ ำ� มโนทศั นน์ มี้ าใชใ้ นมานษุ ยวทิ ยาสงั คมและวฒั นธรรม คอื จเู ลยี น สจว๊ ต (Julian Steward 1955) ซง่ึ เสนอวา่ มนษุ ยไ์ มเ่ หมอื นสตั วอ์ น่ื ๆ ตรงทว่ี า่ มนษุ ยไ์ มไ่ ดม้ ปี ฏกิ ริ ยิ าตอบสนอง ตอ่ สภาพแวดลอ้ มโดยสญั ชาตญิ าณซง่ึ ก�ำหนดโดยพนั ธกุ รรม แตม่ วี ฒั นธรรมซง่ึ เปน็ มรดกตกทอดกันมา เอ้ืออ�ำนวยต่อการปรับตัวกับสภาพแวดล้อม นัยยะก็คือว่า เม่ือสภาพแวดล้อมเปล่ียนแปลงไปย่อมจะส่งผลกระทบต่อสถาบันทางสังคมและ วฒั นธรรม มากกวา่ การปรบั ตวั ทางรา่ งกายของมนษุ ย์ จงึ เปน็ ทเ่ี ขา้ ใจกนั วา่ ส�ำหรบั มนษุ ยแ์ ลว้ “การปรบั ตวั ทางวฒั นธรรม” มคี วามสำ� คญั ทจี่ ะตอ้ งทำ� ความเขา้ ใจดว้ ย และหากพิจารณาจากอีกมุมหนงึ่ วัฒนธรรมย่อมเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อมได้ เช่นกัน มโนทัศน์ หรือ แนวคิด “การปรับตัวทางวัฒนธรรม” น้ีได้มีการแต่งเติม เสรมิ แตง่ กนั มาเรอ่ื ยๆ เพอื่ ประโยชนใ์ นการวเิ คราะหอ์ ยา่ งเชน่ การศกึ ษาการปรบั ตวั ทางวัฒนธรรมของกลุ่มคนต่างๆ เช่น กลุ่มชาวนาและชาวไร่ปศุสัตว์ในแคนาดา (J. Bennett 1969, 1976) หรอื งานของ C.Prachuabmoh (1985) ทวี่ เิ คราะหค์ วามสมั พนั ธ์ ระหวา่ งคา่ นยิ มทเ่ี ปลย่ี นไป ในการคา้ แบบตลาดในกรณมี ลายมู สุ ลมิ ในสามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ซงึ่ พยายามชใ้ี หเ้ หน็ วา่ “การปรบั ตวั ” มนี ยั ยะของความหลากหลาย และระบบความเช่ือและความคิดมีความส�ำคัญต่อการเข้าใจการปรับตัวพอๆ กับ การเข้าใจการจัดระเบยี บสังคม อย่างไรก็ตาม ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ (2533) ได้พยายามช้ีให้เห็นว่า ปัญหาส�ำคัญของเรื่องแนวคิด “การปรับตัว” มักจะขาดความชัดเจนไม่ว่าจะเป็น ในทางชีวภาพหรือทางวัฒนธรรม แม้ว่าจะมีความพยายามจากนกั มานุษยวิทยา หลายคนด้วยกัน เช่น Sahlin and E.Service (1970) พยายามอธบิ ายว่าการปรบั ตวั คอื ความสามารถในการควบคมุ สภาพแวดล้อม และมี 2 แง่มมุ คอื การสร้างสรรค์ และการอนุรักษ์ หรือ J.Bennett (1976) พยายามชี้ให้เห็นว่าในการปรับตัว ทางวฒั นธรรมของมนุษย์ เจตนารมณ์และความคดิ ของมนุษย์จะมบี ทบาทสำ� คญั แตน่ กั วจิ ยั ทใี่ ชม้ โนทศั นน์ ใี้ นงานศกึ ษาวฒั นธรรมภาคกลาง อาจมไิ ด้ให้ความสนใจ กับการศึกษาความหมายการปรับตัวอย่างจริงจัง ผู้เขียนจึงจะให้ความหมาย
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 151 “การปรับตัวทางวัฒนธรรม” แบบไม่เคร่งครัดเพ่ือช่วยให้ผู้เขียนสามารถ วิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัยท่ีได้กล่าวพาดพิงถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรม ท่ีอาจจะสัมพันธ์กับการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดล้อมและ ทรัพยากรของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ท่ีอยู่ในภาคกลางได้บ้าง ทั้งนคี้ วามหมายของ การเปลยี่ นแปลงทางสภาพแวดล้อมในทนี่ คี้ รอบคลุมทงั้ ท่ีเป็นธรรมชาติ และทเี่ ป็น สงั คมวฒั นธรรม เช่น การท่ีต้องมาอยู่เป็นชนกลุ่มน้อย การทอ่ี ยู่ภายใต้การพัฒนา ไปสคู่ วามทนั สมยั ในเชงิ การพฒั นาโครงสรา้ งพน้ื ฐาน การคา้ พชื พาณชิ ย์ เทคโนโลยี และการพัฒนาอุตสาหกรรม ตลอดจนระบบการศึกษาแบบทนั สมยั กระบวนการ โลกาภวิ ฒั นท์ ก่ี ารสอ่ื สาร ระบบเงนิ ตรา เทคโนโลยี และกลมุ่ คนทส่ี ามารถไหลขา้ มรฐั ไปมาเหมือนไร้พรมแดน เราอาจจะพอปะติดปะต่อภาพการปรับตัวและเปล่ียนแปลงของชุมชน ชาตพิ นั ธุ์ลาวพวน จากบางงาน เช่น รจน์ โสตศิริ (Rote Sotesiri 1982) ได้พยายาม แสดงใหเ้ หน็ วา่ เมอื่ ชมุ ชนลาวพวนทบ่ี า้ นโพธศ์ิ รตี กอยภู่ ายใตก้ ารครอบง�ำของเงนิ ตรา ฐานะทางเศรษฐกิจได้เป็นกลไกส�ำคัญในการแบ่งชนชั้นและท�ำให้คนในชุมชนมี ลักษณะ “ตัวใครตัวมัน” ซ่ึงเป็นลักษณะของปัจเจกชนนิยมมากขึ้น การศึกษา ลาวพวนทบี่ า้ นหมข่ี อง Snit Smuckarn and Kennon Breazeale (1988) ไดแ้ สดงใหเ้ หน็ วา่ ชมุ ชนบา้ นเซา่ และชมุ ชนบางกระพ้ี ซงึ่ อยไู่ มห่ า่ งจากตวั เมอื งอ�ำเภอบา้ นหมม่ี ากนกั ได้รบั ผลกระทบจากการขยายตวั ของเศรษฐกจิ ระบบตลาด ทำ� ให้พวนซง่ึ ส่วนใหญ่ เปน็ ชาวนาตอ้ งปรบั ตวั ตามกระแสการพฒั นาไปสคู่ วามทนั สมยั ทม่ี าพรอ้ มๆ กนั คอื การคมนาคม เศรษฐกจิ เงนิ ตรา และการศกึ ษาแบบทางการ ท�ำให้คนร่นุ หลงั นยิ ม ไปเรยี นในตวั เมอื ง หรอื ไปทำ� งานทอี่ น่ื และมบี างสว่ นเปลย่ี นจากอาชพี เกษตรกรรม มาท�ำงานค้าขาย นอกจากน้ีสมาชิกชุมชนยังบรโิ ภคสินค้าจากภายนอกมากข้ึน และเป็นหนี้กันมากขึ้น แต่ไม่เห็นความชัดเจนนักว่าการเปล่ียนแปลงดังกล่าว นำ� ไปสกู่ ารเปลยี่ นแปลงในการจดั ระเบยี บสงั คมและการเมอื งอยา่ งไรบา้ ง นอกจาก ระบุว่าชุมชนกลายเป็นส่วนหนง่ึ ของรัฐ ซ่ึงสะท้อนให้เห็นในการเลือกต้ังสมาชิก ผู้แทนราษฎร ที่สมาชิกชุมชนได้มีส่วนร่วม ทั้งท่ีใช้สิทธิเลือกตั้งและได้รับเลือกตั้ง
152 ถกเถียงวฒั นธรรม เป็นสมาชิกสภาฯด้วย แต่ในช่วงเวลาที่ท�ำการศึกษา การบริหารโดยคนในท้องถ่ิน จะถูกจ�ำกัดอยู่เฉพาะในเร่ืองงานด้านสาธารณูปโภคในรูปของเทศบาล ส่วนเร่ือง การเปล่ยี นแปลงทางด้านความเชอื่ ไม่มกี ารวิเคราะห์ท่ีชดั เจน เกรยี งศกั ดิ์ ออ่ นละมยั (2540) ซงึ่ ศกึ ษาหม่บู ้านหนิ ปกั อ.บา้ นหมี่ ประมาณ เกอื บ 20 ปหี ลงั จากการศกึ ษาของสนทิ สมคั รการ พบวา่ ชมุ ชนไดร้ บั ผลกระทบจาก กระแสโลภาภิวัฒน์ท่ีมีการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูงและเน้นการบรโิ ภคนิยม ทำ� ให้ สมาชิกชุมชนต้องใช้เวลาไปกับการท�ำมาหากินจนท�ำให้ไม่มีเวลา หรือมีเวลาน้อย กบั การประกอบพธิ กี รรม ประกอบกบั พวนรนุ่ หลงั ไดร้ บั การศกึ ษาแบบทางการท�ำให้ ความเชื่อถือในเร่ือง “ผี” ลดความส�ำคัญลง ซ่ึงมีผลต่อการประกอบพิธีกรรมท่ี เกยี่ วกบั เรอื่ งผโี ดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เมอื่ คา่ ใชจ้ า่ ยตา่ งๆ เพมิ่ ขนึ้ มาก นอกจากนส้ี อื่ ตา่ งๆ เชน่ โทรทศั น์ วทิ ยุ และหนงั สอื ไดเ้ ขา้ ไปทดแทนการนนั ทนาการแบบเดมิ การละเลน่ ตามประเพณจี ึงสูญหายไปจากชุมชน งานของมยุรี ใบตระกูล (2537) ได้บ่งบอก ไปในท�ำนองเดียวกันว่าท่ีบ้านพวน จ.สิงห์บุรี ได้เลิกถือปฏิบัติประเพณบี ุญข้าวจ่ี และบุญข้าวหลามกันไปหมดแล้ว งานศึกษาการปรับตัวของลาวโซ่งยังมีน้อยกว่าการปรับตัวของลาวพวน งานท่ีมีอยู่อาจจะมีการกล่าวถึงการปรับตัวบ้าง แต่ไม่ได้ศึกษาเจาะลึกมากนกั อย่างเช่นงานของฉววี รรณ ประจวบเหมาะ และวรานนั ท์ วรวศิ ร์ (2543) ได้สรปุ ใน บทสุดท้ายว่าชีวิตชุมชนชาวนาลาวโซ่งที่หนองเลาคงได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาก แต่ไม่อาจจะระบุการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้ชัดเจนได้ แต่พอจะมีหลักฐานได้ว่า อย่างน้อยชุมชนลาวโซ่งได้รับวิถีวัฒนธรรมแบบพุทธ และการศึกษาแบบทางการ เข้ามาเป็นส่วนส�ำคัญของชุมชน และจากการศึกษาในเบื้องต้นพบว่าลาวโซ่งได้ ปรบั ตวั ทางเศรษฐกจิ ทสี่ ำ� คญั คอื เปลยี่ นจากการทำ� มาหากนิ เปน็ การทำ� มาคา้ ขาย และมพี ฒั นาการในเรอ่ื งอาชพี ไปสคู่ วามหลากหลายมากขน้ึ การท�ำนาแมจ้ ะยงั เปน็ อาชพี ของคนสว่ นใหญแ่ ตไ่ ดเ้ กดิ อาชพี อนื่ ๆ ดว้ ยเชน่ รบั จา้ ง รบั ราชการ และคา้ ขาย การเปล่ียนแปลงเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบต่อเน่ืองไปถึงการจัดระเบียบสังคมด้วย เช่น ในระดับครัวเรือน ได้มีการปรับตัวอย่างหลากหลาย เช่น การเปลี่ยนแปลง
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 153 วัฏจักรหลังการแต่งงานท่ีว่าลูกเขยต้องไปอาสาท�ำงานให้พ่อตา-แม่ยาย 2-3 ปี จึง กลบั มาอยบู่ า้ นพอ่ แมต่ วั เองได้ ซง่ึ อาจถอื ปฏบิ ตั อิ ยู่ แตเ่ รมิ่ มขี อ้ ยกเวน้ บา้ งแลว้ เพราะ ลกู เขยอาจจะเปน็ ครู ไมไ่ ดท้ ำ� นา และถงึ จะเขา้ มาอยบู่ า้ นพอ่ ตา-แมย่ ายตามประเพณี แต่ลักษณะความสัมพันธ์อาจจะไม่เป็นแบบเดิม เพราะครอบครัวของลูกสาวจะมี อิสรภาพทางการเงินมากกว่าเดิม พ่อแม่ไม่อาจจะควบคุมแรงงานลูกได้เหมือนแต่ ก่อน (Prachuabmoh 2000) นอกจากน้ีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เก่ียวเน่ืองกับทางเศรษฐกิจ เช่นการ ย้ายถนิ่ ท�ำให้ระบบ “สงิ ” หรือตระกูลเริม่ คลอนแคลนลงไปบ้าง ในทำ� นองเดยี วกนั พบว่าแม้ความสัมพันธ์เครือญาติยังมีความส�ำคัญในชีวิตชุมชน แต่เมื่อการผลิต ปรับเปล่ียนไปเป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้น การระดมแรงงานในการเก็บเก่ียวและ การระดมทุนกต็ ้องอาศัยหลักการอนื่ ๆ เช่น การจ้าง หรอื ความสมั พันธ์เชงิ อุปถัมภ์ นอกเหนอื จากความเปน็ เครอื ญาติ ซงึ่ ฉววี รรณ และวรานนั ท์ (2543) ไดต้ งั้ ขอ้ สงั เกตวา่ ดูเหมือนจะไม่แตกต่างจากชาวนาในที่อ่ืนๆ เช่น ภาคกลาง ภาคใต้และภาคเหนือ แต่ท่ีต่างออกไปคือ พลังวัฒนธรรม เช่น การนับถือผีบรรพบุรุษและการท�ำพิธี เสนเรือนยังมีความส�ำคัญต่อครัวเรือนอยู่ แต่ด้วยเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ อาจจะมี การเว้นช่วงในการท�ำพิธีให้นานข้ึน ส่วนพิธีศพและพิธีเกี่ยวกับความเชื่อเร่ืองขวัญ แบบดง้ั เดมิ เรม่ิ หมดความหมายส�ำหรบั คนรนุ่ หลงั และการเนน้ การประกอบพธิ ที าง พุทธเร่ิมเป็นหลกั ปฏิบัติสำ� คญั มากขน้ึ งานศึกษาเร่ืองไทยยวนในภาคกลางมีไม่มากนัก แต่โชคดีท่ีหนึ่งในงาน เหล่าน้ีเป็นเร่ืองผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีต่อ ศิลปหตั ถกรรมพน้ื บ้านของไทยยวนที่ ต.ดอนแร่ จ.ราชบรุ ี (วริ ัตน์ หงษ์ทอง 2538) ในงานน้ีนักวิจัยพยายามแสดงให้เห็นว่าก่อนประเทศไทยจะประกาศใช้แผน พฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ชมุ ชนนม้ี ชี วี ติ อยแู่ บบพงึ่ พาตนเองและสามารถ ประดิษฐ์เคร่ืองมือเคร่ืองใช้ได้ โดยอาศัยทรัพยากรท่ีมีอยู่ในท้องถ่ินพัฒนาเป็น ศลิ ปหัตถกรรมพื้นบ้านได้ แต่การดำ� เนนิ การตามแผนพฒั นเศรษฐกจิ แห่งชาติส่งผล ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลง โดยเฉพาะการผลติ เชงิ พาณชิ ย์ การคมนาคม และสนิ คา้ จาก ภายนอกเริ่มเข้ามา ท�ำให้เป็นการทำ� ลายศิลปหตั ถกรรมพนื้ บ้านของชมุ ชน
154 ถกเถียงวฒั นธรรม แมว้ า่ งานหลายชน้ิ ไมไ่ ดศ้ กึ ษาลงลกึ ในเรอื่ งการเปลยี่ นแปลงทางวฒั นธรรม หรือการปรับตัวของมอญโดยตรง แต่ได้กล่าวพาดพิงถึงการเปล่ียนแปลงใน ชุมชนมอญ อย่างเช่น งานของสุพิศวง ธรรมพันทา และกฤช เจริญน้�ำทองค�ำ (2546) ท่ีศึกษาเร่ืองการท�ำโลงมอญท่ีพระประแดง ได้เขียนถึงการเปล่ียนแปลง ในชุมชนท่ีศึกษา ว่าชาวนาจ�ำนวนมากได้ท้ิงอาชีพการท�ำนาและขายท่ีนาไป ส่วนคนรุ่นหลังก็พูดภาษามอญได้น้อยลงและใช้ภาษาไทยกันมากข้ึน นอกจากน้ี บบุ ผา มสี ุข (2540) แสดงภาพการเปลย่ี นแปลงของชมุ ชนมอญลุ่มแม่น�้ำกลองว่า ได้รับผลกระทบจากการอยู่ใกล้พ้ืนท่ีอุตสาหกรรมท�ำให้มีปัญหากับการผลิตข้าว คนในชมุ ชนจึงออกไปหาที่ท�ำกนิ ทอ่ี ่ืน สภุ าพร มากแจ้ง (2540) ได้ให้ข้อมูลเพ่มิ เตมิ เกี่ยวกับบางกระดี่ว่า คนในชุมชนหลายคนมีการเปล่ียนอาชีพจากการจับสัตว์น�้ำ เยบ็ จาก ตัดฟืน ไปเป็นคนงานในโรงงานอตุ สาหกรรม ท�ำให้มเี วลาพบปะกนั น้อย ประเพณแี ละพธิ กี รรมตา่ งๆ กถ็ กู ละเลยไปบา้ ง เพราะไมส่ อดคลอ้ งกบั ชวี ติ เศรษฐกจิ แบบอตุ สาหกรรม ชโลใจ กลน่ั รอด (2541) มขี อ้ มลู เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั มอญบางกระดวี่ า่ วฒั นธรรมทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณข์ องมอญบางกระดไี่ ดป้ รบั เปลยี่ นไป เชน่ การแตง่ กายทไ่ี ด้ ละทง้ิ แบบมอญมาเปน็ ตามสมยั นยิ ม หรอื พธิ กี รรมหลง่ั นำ�้ “ทอ๊ บตวั ” ในวนั แตง่ งาน ซ่ึงเดิมพ่อแม่เท่านนั้ ที่ท�ำพิธีได้ ปรากฎว่าได้ปรับเปล่ียนไปให้ญาติๆ และเพื่อนๆ ทำ� พิธใี ห้ได้ หรือการเล่นทะแยมอญได้ปรบั เปลีย่ นไปสู่การเล่นเชงิ พาณชิ ย์มากขน้ึ มีงานไม่มากนกั ท่ีเจาะลึกศึกษาเรื่องการปรับตัวของ “โพล่ง” ในฐานะที่ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อยและต้องอยู่ภายใต้สงั คมใหญ่ คอื สงั คมไทยภาคกลาง และได้รับอิทธิพลจากภายนอกภายใต้กระบวนการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยซึ่ง ประกอบด้วยมิติต่างๆ เช่นการต้ังถ่ินฐาน การสร้างเขื่อน การพัฒนาพืชพาณชิ ย์ และเกษตรทันสมัย การพัฒนาอุตสาหกรรม การศึกษาแบบทางการซ่ึงเน้นภาษา และวฒั นธรรมไทยเป็นศนู ยก์ ลาง แตม่ หี ลายงานทมี่ ปี ระเดน็ พาดพงิ ถงึ การปรบั ตวั ของ “โพล่ง” บ้าง แม้จะไม่ลกึ ซึ้งนกั งานของวัลย์ลิกา สรรเสริญชูโชติ (2545) มีประเด็นใกล้เคียงกับเร่ือง “การปรับตัว” มากท่ีสุดเพราะศึกษาผลกระทบของการพัฒนาการของเศรษฐกิจ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 155 แบบทุนนิยมที่มีต่อชุมชน “โพล่ง” ท่ีบ้านทิพุเย จ.กาญจนบุรี โดยเน้นประเด็น ความสัมพันธ์ของชายหญิง ซ่ึงเงื่อนไขส�ำคัญของการกระตุ้นการเปล่ียนแปลง ในงานน้ี คอื การทม่ี คี นไทยภาคกลางเขา้ ไปอยใู่ นชมุ ชนมากขน้ึ และกฎเกณฑช์ มุ ชน ต้องอยู่ภายใต้หลักกฎหมายแห่งรฐั ซง่ึ เน้นสิทธิความเป็นบุคคลมากขึน้ ในขณะที่ ปรชั ญาเศรษฐกจิ เปลย่ี นจากการผลติ เพอื่ ยงั ชพี และพอเพยี ง ไปสกู่ ารผลติ เพอ่ื การคา้ และพ่งึ ตลาดและสังคมภายนอกมากข้ึน ส่วนงานของโกวทิ แก้วสุวรรณ ทีศ่ ึกษา บา้ นเกาะสะเดงิ่ ไลโ่ ว่ จ.กาญจนบรุ ี ดจู ะขยายภาพการเปลยี่ นแปลงใหช้ ดั เจนขนึ้ บา้ ง อกี เลก็ นอ้ ย โดยทเี่ ขาพยายามแสดงใหเ้ หน็ วา่ การประกาศใหพ้ นื้ ทป่ี า่ ทงุ่ ใหญน่ เรศวร เปน็ เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ท�ำใหร้ ฐั เขา้ มาควบคมุ การใชท้ รพั ยากรในเขตปา่ มผี ลตอ่ การหมนุ เวยี นการทำ� ไรข่ า้ ว ซงึ่ เปน็ หวั ใจสำ� คญั ของการเพาะปลกู ของ “โพลง่ ” และ ส่งผลต่อความสามารถในการพ่งึ พาตัวเอง นอกจากนี้ สรุ นิ ทร์ เหลอื ลมยั (2540) ซงึ่ ศกึ ษาประเพณี “โพลง่ ” ทวี่ ดั แจง้ เจรญิ จ.ราชบรุ ี ไดร้ ะบวุ า่ จากผลการดำ� เนนิ งานขององคก์ ารพฒั นา “โพลง่ ” มคี วามตอ้ งการ ความทันสมัยที่แตกต่างไปจากความต้องการดั้งเดิม คือ ต้องการโอกาสทาง การศึกษาในระบบโรงเรียนแบบไทย ต้องการรบั วัฒนธรรมของคนไทยไม่ว่าจะเป็น ภาษาหรือบ้านเรือนและความบันเทิง ทำ� ให้เร่ิมละท้ิงประเพณีส�ำคัญๆ อย่างเช่น งานปใี หมท่ ว่ี ดั แจง้ เจรญิ และงานของโกศล มคี ณุ (2535-36) ซงึ่ ศกึ ษาชมุ ชนสวนผง้ึ จ.ราชบรุ ี ไดช้ ใ้ี หเ้ หน็ วา่ ความสำ� คญั ของครอบครวั “โพลง่ ” เรม่ิ ถดถอยลงโดยเฉพาะใน การอบรมบม่ เพาะคนรนุ่ ใหม่ ซง่ึ มผี ลตอ่ การลดความสำ� คญั ของประเพณตี า่ งๆ ดว้ ย เราอาจจะกลา่ วไดว้ า่ งานศกึ ษากลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ ในภาคกลางในประเดน็ เรอื่ งการปรบั ตวั ทางวฒั นธรรมกบั ลกั ษณะพลวตั ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ตอ่ กระบวนการ โลกาภิวัฒน์ยังได้รับความสนใจน้อยมาก งานท่ีมีอยู่บ้างเป็นงานของ วรณัย พงศาชลากร (2538) ซ่ึงศึกษาลาวคร่ังในประเด็นเรื่อง “พืชเศรษฐกิจกับการ เปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในชุมชนลาวคร่ัง ที่บ้านโคก ต.อู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี แต่เมื่อพิจารณาแนวทางการศึกษาแล้วค่อนข้างมีปัญหาทำ� ให้เกิด ค�ำถามเกี่ยวกับข้อสรุป อีกงานหนง่ึ คือ “วิถีด�ำเนนิ ชีวิตของชาวชนบทในกระแส
156 ถกเถยี งวัฒนธรรม โลกาภวิ ฒั น์ ศกึ ษากรณชี มุ ชนไทยพวน ต�ำบลหนิ ปกั อำ� เภอบา้ นหม่ี จงั หวดั ลพบรุ ”ี ของ เกรยี งศกั ด์ิ ออ่ นละมยั (2540) ซง่ึ มปี ระเดน็ ทนี่ า่ สนใจ แตม่ ปี ญั หาเรอ่ื งแนวทาง การศึกษาท�ำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการตอบโจทย์ท่ียังไม่ชัดเจนเพียงพอ ท�ำให้ องคค์ วามรเู้ กย่ี วกบั การปรบั ตวั ทางวฒั นธรรมและลกั ษณะพลวตั ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ในกระบวนการโลกาภวิ ัฒน์ยังไม่เพยี งพอท่ีจะสร้างข้อสรุปใดๆ อย่างไรก็ตาม จากงานต่างๆ ที่กล่าวพาดพิงถึงการเปลี่ยนแปลงในชุมชน ชาตพิ นั ธ์ุต่างๆ เช่นลาวพวน ลาวโซ่ง มอญ และโพล่ง พอเหน็ ภาพเลอื นๆ ลางๆ เพราะขาดหลักฐานสนับสนุนท่ีหนักแน่น ในบางกรณีเป็นเพียงข้อสังเกต ว่ามี ความคล้ายคลึงกันในแง่ท่ีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจซึ่งเน้นพืชพาณชิ ย์และ อุตสาหกรรม การพัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐาน การเข้ามาของการปกครองของรัฐ และการศึกษาแบบไทยท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในมิติต่างๆ ซ่ึงหลากหลายกันไปในแต่ละชุมชน เช่นในแง่ความสัมพันธ์ทางสังคมจะท�ำให้เกิด ความสมั พนั ธท์ ไ่ี มเ่ ทา่ เทยี มเพราะสถานภาพทางเศรษฐกจิ แตกตา่ งกนั และฝา่ ยหนง่ึ เข้าถึงทรัพยากรส�ำคัญ เช่น มีที่ดินมากกว่า หรือความผูกพันของคนในชุมชน มีน้อยลงและอาจจะไปผูกพันกับคนนอกชุมชนมากขึ้น โดยเฉพาะพวกที่ได้รับ การศกึ ษาแบบไทยในระดบั สงู มกั จะออกจากชมุ ชนไป สถาบนั สงั คมเชน่ เครอื ญาติ ครอบครวั กลมุ่ สายเลอื ด และวฒั นธรรมดงั้ เดมิ เชน่ ประเพณี พธิ กี รรมและความเชอื่ มีความส�ำคัญน้อยลงในชุมชน หรือปรับเปล่ียนไปในอีกลักษณะหนง่ึ ซึ่งลักษณะ ดังกล่าวคล้ายคลึงกบั ทีเ่ กิดข้นึ ในชุมชนชาวนาภาคกลางทัว่ ไป เพียงแต่งานศกึ ษา การปรบั ตวั ของชาตพิ นั ธใ์ุ นภาคกลางยงั ขาดการศกึ ษาทเี่ จาะลกึ และเปน็ ระบบ ซง่ึ จะช่วยให้มีข้อมูลหนกั แน่นสนบั สนนุ ข้อสรุปดงั กล่าวได้ 3.5 การศึกษาจิตสำ� นกึ และอัตลักษณช์ าตพิ นั ธุ์ หากจะนบั รวมงานทเ่ี ขา้ ขา่ ยการศกึ ษากลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ ในภาคกลางในเชงิ ชาตพิ นั ธ์ุ ซง่ึ เน้นการท�ำความเขา้ ใจเรอื่ งจติ ส�ำนกึ ของความเปน็ ชาตพิ นั ธ์ทุ แ่ี ตกต่าง
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 157 จากกลมุ่ อน่ื ๆ และพจิ ารณาวฒั นธรรมในฐานะทเ่ี ปน็ สญั ลกั ษณจ์ �ำแนกตวั เองวา่ เปน็ สมาชกิ ของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุใด ตลอดจนศกึ ษาความสัมพันธ์ทีม่ กี บั กลุ่มชาติพันธ์ุอนื่ และความหมายของชาตพิ นั ธใ์ุ นกระบวนการกอ่ ตวั เปน็ รฐั และการตอ่ ตา้ นรฐั แลว้ รวม ได้เพยี ง 25 งานเท่านน้ั ซ่ึงนบั ว่าน้อยมาก เม่อื เทียบกบั งานท้งั หมดไม่ถงึ ร้อยละ 2 และทเี่ ป็นเร่ืองชาติพนั ธ์ุกบั รัฐมเี พียง 2 เรอื่ งไม่ถงึ ร้อยละ 1 ของงานท้ังหมด อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้คงประเด็นน้ีไว้เพื่อแสดงให้เห็นสถานภาพงาน ศึกษาเชิงชาติพันธุ์ในภาคกลางว่าเป็นเช่นไร เพราะในปัจจุบันการแสดงหาความ รู้เชิงชาติพันธุ์ได้พัฒนาไปสู่ค�ำถามในเร่ืองความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นรัฐและ ความเปน็ ชาตพิ นั ธแ์ุ ลว้ การศกึ ษาเชงิ ชาตพิ นั ธใ์ุ นภาคกลางอาจจะคอ่ นขา้ งพฒั นาชา้ ด้วยเงอื่ นไขเกยี่ วกบั ลักษณะและประวัตศิ าสตร์ความหลากหลายทางชาติพันธุ์เอง งานของปราณี วงษ์เทศ (2531) ท�ำให้เราพอมองเห็นภาพว่าลาวพวนใน ชมุ ชนทศ่ี กึ ษามปี ระเพณบี อกเลา่ ทท่ี �ำใหส้ มาชกิ ชมุ ชนไดเ้ รยี นรคู้ วามเปน็ ลาวรว่ มกนั โดยเฉพาะอย่างย่ิงพิธีกรรมในการสืบทอดชาดก กลายเป็นสัญลักษณ์สำ� คัญของ ความเปน็ ลาว สนทิ สมคั รการ (Snit Smuckarn 1972) ไดศ้ กึ ษาเปรยี บเทยี บชมุ ชนพวน 2 ชุมชน ท่ีบ้านหม่ี จ.ลพบุรี ซ่งึ แสดงจิตส�ำนกึ ทางชาติพันธ์ุไม่เหมอื นกัน ลาวพวน ท่ีบางกระพี้มองว่าตัวเองเป็น “ไทย” สมบูรณ์ แต่ท่ีบ้านเซ่ามีความหลากหลาย ในเร่อื งจติ สำ� นกึ อัตลกั ษณ์ชาติพนั ธุ์ คือร้อยละ 5 ว่าเป็นลาว ร้อยละ 66 ระบวุ ่า เป็นไทย แต่ร้อยละ 26 มองว่าตนเองเป็นพวน ในอกี งานหนงึ่ ปิยะพร วามะสิงห์ (2538) ซงึ่ ศกึ ษาลาวพวนทป่ี ากพลี จ.นครนายก ชใี้ หเ้ หน็ วา่ อตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธข์ุ อง พวนได้ก่อตัวจากการท่ีถูกอพยพมาโดยไม่สมัครใจ และในระยะแรกเริ่มถูกบังคับ ให้อยู่ในพนื้ ทเ่ี ดยี วกนั ถกู สอดส่องโดยรัฐไทยและถกู เหยยี ดหยามโดยคนไทย จงึ มี ความทรงจ�ำซงึ่ สืบทอดผ่านเพลงกล่อมเด็กที่ผูกพนั กับท้องถ่ินเดมิ และการปฏบิ ัติ ตามประเพณรี ว่ มกนั ทแ่ี ตกตา่ งจากคนไทย แตเ่ มอื่ กาลเวลาผา่ นไป มกี ารตดิ ตอ่ กบั คนไทยและมกี ารแต่งงานข้ามกลุ่มกันมากข้นึ ทำ� ให้ในปัจจุบันอตั ลกั ษณ์ชาตพิ นั ธุ์ มลี กั ษณะทบั ซอ้ นระหวา่ งการเปน็ ไทยและการเปน็ พวน ความเปน็ พวนไดท้ ำ� ใหเ้ กดิ ความผูกพันระหว่างพวนที่ต่างถิ่นกันและก่อให้เกิดความร่วมมือ ส่วนความเป็น
158 ถกเถยี งวัฒนธรรม คนไทยทำ� ใหพ้ วนรสู้ กึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของสงั คมใหญแ่ ละของรฐั ไทย ซงึ่ ปยิ ะพร (2538) ได้ตัง้ ข้อสงั เกตว่า จติ ส�ำนกึ ความเป็น “พวน” ยังคงอยู่ แต่สญั ลักษณ์วฒั นธรรม ที่เคยนิยามความเป็นพวนบางอย่างเช่นภาษา อาจจะสูญหายไป และประเพณที ่ี ดำ� รงอยู่ก็อาจจะปรับเปลี่ยนไปบ้าง ส่วนงานของ ยุรี ใบตระกูล (2537) ซึ่งศกึ ษาชุมชนพวนบางนำ้� เชีย่ ว สิงห์บรุ ี แสดงวา่ วฒั นธรรมพวนไดเ้ ปลย่ี นแปลงไปมากแลว้ แต่ “พธิ บี ญุ กำ� ฟา้ ” ยงั ทำ� หนา้ ท่ี เป็นกลไกหรือเป็นพลงั ยึดเหนี่ยวพวน ที่ปัจจุบันแม้จะอยู่ต่างถน่ิ กนั ได้กลับคนื ถ่ิน เพอื่ ทำ� พธิ ซี ง่ึ เปน็ เสมอื นสญั ลกั ษณข์ องความเปน็ พวนทมี่ วี ฒั นธรรมถอื ผบี รรพบรุ ษุ ร่วมกัน ท�ำให้พิธี “บุญก�ำฟ้า” มีหน้าที่ส�ำคัญทั้งในเชิงชุมชนและชาติพันธุ์ งานลา่ สดุ คอื งานของ เจนสดุ า สมบตั ิ (2548) ซง่ึ ศกึ ษาความเปน็ พวนผา่ นการรวมกลมุ่ เพ่ือฟื้นฟูวัฒนธรรมพวน มีข้อสังเกตว่ารากเหง้า “ความเป็นพวน” แสดงออก ในบรบิ ทตา่ งๆ โดยทป่ี ระวตั ศิ าสตรบ์ อกเลา่ มคี วามสำ� คญั ในการตอกยำ�้ ความเขา้ ใจ เกย่ี วกบั ทม่ี าของพวน โดยทใี่ นแตล่ ะทอ้ งถน่ิ จะเลอื กสรรตามความตอ้ งการของตน งานศึกษาลาวโซ่งในเชิงชาติพันธุ์นับว่ามีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเน้นการ แสดงออกของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของลาวโซ่งเป็นส�ำคัญ มีบางงานกล่าว พาดพงิ อยบู่ า้ งประปราย เชน่ งานของ สมุ ติ ร ปติ พิ ฒั น์ และเสมอชยั พลู สวุ รรณ (2540)10 ซงึ่ ตง้ั ขอ้ สงั เกตวา่ สญั ลกั ษณว์ ฒั นธรรมทตี่ อกย้�ำความเปน็ พวกเดยี วกนั มหี ลายอยา่ ง เช่น ภาษา และเครอื่ งแตง่ กาย แตท่ ส่ี ำ� คญั คอื เรอื่ งความเชอ่ื ในเรอื่ ง “ผบี รรพบรุ ษุ ” และพิธีกรรมเสนเรือน ส่วนฉวีวรรณ ประจวบเหมาะและวรานนั ท์ วรวิศร์ (2543) ไดต้ ง้ั ขอ้ สงั เกตเกยี่ วกบั ความเปน็ มาและความเปน็ ไปของอตั ลกั ษณล์ าวโซง่ วา่ นา่ จะ ต้องศึกษาลงลึกไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะข้อมูลที่มีอยู่ยังมีประเด็นน่าสงสัย ไม่อาจสรุปได้อย่างชัดเจน เท่าท่ีปรากฎ ผู้รู้ลาวโซ่งได้อธิบายว่า “ลาวโซ่ง” เป็นลาวกลุ่มหนงึ่ ซ่ึงมี ภาษาพูดใกล้เคียงกับ “ลาวพวน” และ “ลาวเวียง” แต่ไม่ใช่ “พวก” เดียวกัน 10 ท่ีศกึ ษาหมบู่ ้านลาวโซง่ จ�ำนวน 10 หมบู่ ้าน ใน อ.เขาย้อย อ.หนองหญ้าปล้อง อ.เมือง และ อ.ทา่ ยาง ใน จ.เพชรบรุ ี และ อ.ด�ำเนินสะดวก จ.ราชบรุ ี
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 159 และลาวโซ่งจะมคี วามเก่าแก่มากกว่าอกี 2 กล่มุ ดงั กล่าว โดยทลี่ าวโซ่งสบื เชอ้ื สาย มาจาก “ไทด�ำ” แต่ไม่ได้เป็นพวกเดยี วกับ “ไทด�ำ” พัฒนาการความเป็นลาวโซ่ง เกดิ ข้นึ ได้อย่างไรไม่มีหลักฐานท่ีชดั เจน แต่เอกสารในสมัยรัชการที่ 5 อย่างเช่นใน “ประวัตกิ ารของจอมพลพระมหาอ�ำมาตย์เอกเจ้าพระยาสุรศกั ดมิ์ นตรี” ได้ปรากฎ ค�ำว่า “ลาวโซ่ง” แล้วพร้อมด้วยชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ลาวทรงด�ำ (หมายถึง ไทด�ำ ในเวียดนาม) และลาวสไ่ี ม้ หรือ “ผู้ไท” ทอี่ ยู่เมืองสบิ สองจไุ ท ในงานของฉวีวรรณ และวรานนั ท์ (2543) ไดส้ นั นษิ ฐานวา่ อตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธ์ุ “ลาว” คงมมี านานในหมู่ ลาวโซ่งเพราะมคี �ำพงั เพยว่า “บ่อเคยอนิ้ กอน ฟ้อนแถน บ่แม่นผู้ลาว” เพราะไทด�ำ ไดถ้ กู อพยพไปไวใ้ กลเ้ วยี งจนั ทร์ และตอ่ มาบางสว่ นถกู อพยพมาไวท้ ห่ี นองปรง ค�ำวา่ “ลาวโซ่ง” อาจมาจากการท่ี “ลาว” เห็นไทด�ำสวมใส่ชุดน�้ำเงินเข้มเกือบด�ำว่า “ลาวซงด�ำ” เพราะในภาษาลาว ค�ำ “ซง” (ทรง) มีความหมายว่า “สวมใส่” ซง่ึ ขอ้ คดิ เหน็ นแ้ี ตกตา่ งไปจากทตี่ ง้ั สนั นษิ ฐานกนั ไวก้ อ่ นวา่ “โซง่ ” มาจากคำ� “สว้ ง” ซงึ่ แปลว่า “กางเกง” (สมุ ติ ร ปติ พิ ฒั น์ 2521, เรไร สบื สขุ และคณะ 2524 และอน่ื ๆ) แต่เรื่องน้ียังไม่มีข้อยุติท่ีชัดเจน จึงยังเป็นข้อสันนิษฐานท่ีมีความ หลากหลายอยู่ ในงานศึกษาของฉวีวรรณ และวรานนั ท์ (2543) ระบุว่าลาวโซ่งท่ี “หนองเลา” เม่ืออยู่ในกลุ่มตัวเองและพูดภาษาลาวโซ่งจะเรียกตัวเองว่า “ผู้ลาว” แต่เม่ือพูดกับคนในกลุ่มอื่นจะนิยามตัวเองว่าเป็น “ลาวโซ่ง” และใช้สัญลักษณ์ วัฒนธรรมแสดงความเป็นลาวโซ่งแสดงได้ในหลายมิติ ตั้งแต่ภาษา การแต่งกาย ความเช่ือ พิธีกรรม การต้ังถ่ินฐานที่อยู่และหลักการในการดำ� รงชีวิต แต่ลาวโซ่ง ยอมรบั ว่าความเป็นลาวโซ่งมีการเปล่ยี นแปลงไป และลาวโซ่งรุ่นหลัง (อายตุ ำ่� กว่า 30 ปี) จะเรยี กตัวเองว่า “คนโซ่ง” มากกว่าทีจ่ ะเรียกตัวเองว่า “ลาวโซ่ง” อย่างไรก็ตาม งานของฉวีวรรณและวรานนั ท์ (2543) ไม่ได้ศึกษาประเด็น ทางอตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธโ์ุ ดยตรง จงึ ทำ� ใหไ้ มม่ ขี อ้ มลู สำ� คญั อน่ื ๆ เกยี่ วกบั กระบวนการ ธ�ำรงชาตพิ ันธ์ุในบรบิ ทของรัฐไทย อาระโท โอชมิ า (2536) ได้ศึกษามอญทบี่ ้านมน (บ้านม่วง) จ.ราชบรุ ี และ แสดงใหเ้ หน็ วา่ มอญบา้ นมว่ งมอี ตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธท์ุ ซ่ี บั ซอ้ น คอื มที ง้ั ความเปน็ มอญ
160 ถกเถียงวฒั นธรรม และความเปน็ ไทยควบคกู่ นั ไป ซง่ึ แสดงออกผา่ นสญั ลกั ษณว์ ฒั นธรรมในรปู ลกั ษณ์ ต่างๆ เช่น ภาษา และการแต่งกาย ชาวบ้านม่วงธ�ำรงอัตลักษณ์มอญได้โดย ผ่านการเรียนรู้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การเล้ียงผี และพิธีร�ำผี เป็นต้น แต่โอชิมา ไดต้ งั้ ขอ้ สงั เกตดว้ ยวา่ มคี วามหลากหลายในเรอื่ งการทบั ซอ้ นของอตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธ์ุ เช่น กลุ่มคนรุ่นหลังเร่ิมจะมีจิตส�ำนกึ ของความเป็นไทยมากกว่าความเป็นมอญ ด้วยอิทธิพลของการศกึ ษาทางไทยและส่อื โทรทัศน์ ส่วน จริยาพร รัศมีแพทย์ (2544) มองเห็นว่ามอญบางกระดี่ได้ธ�ำรง อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ผ่านประเพณีและความเช่ือโดยอาศัยสัญลักษณ์ส�ำคัญคือ การแตง่ กายแบบมอญไปวดั มกี ารสวดแบบมอญ และในขณะเดยี วกนั กย็ งั คงรกั ษา ความเชื่อและการถือปฏิบัติเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษซ่ึงเชื่อว่าเป็นลักษณ์ส�ำคัญของ การเป็นมอญรวมท้ังรักษาประเพณีสงกรานต์แบบมอญซึ่งสามารถรวมพลังมอญ จากต่างชมุ ชนผ่านการด�ำเนนิ การสมาคมไทย-รามัญ งานวิจัยเกี่ยวกับ “โพล่ง” หรือ กะเหร่ียงโปว์ในภาคกลางท่ีเกี่ยวกับ อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในบริบทของรัฐมีไม่มากนกั ไม่เหมือนงานศึกษาในภาคเหนือ ทใี่ ห้ความสนใจในเรอ่ื งนี้ ท่ีพอมอี ยู่บ้างก็ไม่ถงึ กบั โดยตรงนกั คอื งานของขวัญชวี นั บัวแดง (2546) ที่ศึกษากะเหรี่ยงทั้งในภาคเหนือและภาคกลางครอบคลุมพ้ืนท่ี ในประเทศไทยและพม่า ซ่ึงพยายามแสดงให้เห็นว่าการท่ีกะเหร่ียงเปล่ียนศาสนา ไปนับถือศาสนาคริสต์มีอิทธิพลต่อพัฒนาการอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยง และท�ำให้ กะเหรยี่ งคริสต์อาจมีความขดั แย้งระหว่างอัตลักษณ์ทางศาสนาและชาติพันธุ์ งานส่วนใหญ่เกี่ยวกับ “จีน” มักเป็นการศึกษาชุมชนในกรุงเทพฯ หรือ ไม่เจาะจงว่าเป็นท่ีใด ท�ำให้ไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะน�ำมาวิเคราะห์ อย่างไรก็ตาม มีงานอยู่ 2 งาน เก่ียวกับการธ�ำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของชุมชนจีนในจังหวัด ภาคกลาง คือ งานหน่ึงศึกษาชุมชนอ้อมใหญ่ จ.นครปฐม ส่วนอีกงานศึกษา ท่ีชุมชนเมือง จ.นครปฐม ซ่ึงให้ข้อมูลที่น่าสนใจพอสมควรเก่ียวกับการธ�ำรง อตั ลักษณ์ชาตพิ ันธ์ุของคนจนี
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 161 ธมลวรรณ ต้ังวงษ์เจริญ (2542) ได้ศึกษาชุมชนอ้อมใหญ่ และรายงานว่า คนไทยเชือ้ สายจีนเข้ามาอยู่ทอ่ี ้อมใหญ่ตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2400 ซึง่ มีคนไทยท�ำสวน อยใู่ นพนื้ ทอี่ ยแู่ ลว้ จากการศกึ ษาผา่ นประวตั ศิ าสตรค์ รอบครวั 10 ครอบครวั พบวา่ น่าจะเป็นการเข้ามารบั จ้างแรงงานบา้ งและมาหาทที่ ำ� กนิ บา้ ง ซงึ่ ธมลวรรณ (2542) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า คนจีนรุ่นแรกจะมีจิตส�ำนกึ ความเป็นจีนมาก และพยายามให้ ลูกๆ สืบทอดความเป็นจีนไว้ แต่ในรุ่นที่ 3 ลูกหลานได้ปรับตัวเป็นไทยมากข้ึน ผ่านการศกึ ษาระบบโรงเรยี น แต่หลงั พ.ศ.2492 การกดดนั ของรฐั บาลไทยท่ีทำ� ให้ คนจีนเป็นไทย คนจนี รุ่นหลงั จึงได้สละความเป็นจนี บางอย่าง เช่น ภาษา เพื่อมิให้ ขดั แย้งกบั มาตรการของรัฐ เมื่อพิจารณางานของสถาพร ปัทมาเจริญ (2544) ซึ่งศึกษาชุมชนเมือง นครปฐมโดยใหค้ วามสำ� คญั กบั สภาวะปจั จบุ นั มากกวา่ เราจะเหน็ ภาพความส�ำคญั ของศาลเจา้ จนี ในการธำ� รงอตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธจ์ุ นี ผา่ นสญั ลกั ษณว์ ฒั นธรรมทสี่ ำ� คญั คือ ภาษาจีนและกิจกรรมทางศาสนา เช่น ประเพณกี ารกินเจ ซ่ึงเป็นสัญลักษณ์ ส�ำคัญของความเป็นจีน อย่างไรก็ตาม สัญลักษณ์เหล่าน้ีได้รับความหมาย ใหม่ๆ ของความเป็นไทยเข้ามา เช่น ธงชาติไทย พระพทุ ธรูปแบบไทย กระถางธูป มีอักษร จปร. และต้งั ชือ่ โรงเรียนจีนเป็นภาษาไทย เป็นต้น 3.6 บทสรุป: พรมแดนและช่องวา่ งความรู้ การต่ืนตัวและเคล่ือนไหวในสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในสาขาวิชา มานุษยวิทยาในเร่ืองการศึกษาจิตส�ำนกึ ชาติพันธุ์มีมาต้ังแต่ทศวรรษ 2510 และ เฟอ่ื งฟมู ากในทศวรรษของ 2520 แตส่ �ำหรบั การศกึ ษาชาตพิ นั ธแ์ุ ละชมุ ชนชาตพิ นั ธ์ุ ในประเทศไทย โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในงานศกึ ษาภาคกลางในประเดน็ ดงั กลา่ วไดร้ บั อทิ ธพิ ลแนวคดิ ดงั กลา่ วอยา่ งลา่ ชา้ มาก พง่ึ ไดร้ บั ความสนใจหลงั พ.ศ.2530 ไปแลว้ และยังนับว่ามนี ้อยมาก
162 ถกเถียงวฒั นธรรม กลุ่มชาติพันธุ์หรือชุมชนชาติพันธุ์ท่ีได้รับความสนใจก็มี ลาวพวน ลาวโซ่ง มอญและจนี ในเกอื บทกุ งาน การวเิ คราะหห์ รอื กระบวนการระบอุ ตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธ์ุ ยังไม่ชัดเจน เช่นประวัติที่มาของชื่อเรียกและการนิยามตัวเองว่าเป็นใครกันแน่ ช่ือเรียก ลาวโซ่ง ลาวพวน มอญ และจีน ได้มาอย่างไร กลไกทางสังคมและ วัฒนธรรมอะไรบ้างท่ีมีบทบาทในกระบวนการเรียนรู้จิตส�ำนึกและอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ การแสดงออกของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในสถานการณ์ต่างๆ เป็นอย่างไร ด้วยเงื่อนไขอะไร หรือประเด็นในเร่ืองบทบาทของรัฐในการก�ำหนดความเป็น ชาตพิ นั ธข์ุ องกลมุ่ ตา่ งๆ ในภาคกลางเปน็ อยา่ งไรบา้ ง ยงั ไดร้ บั ความสนใจนอ้ ยมาก อย่างไรก็ตามเราพอจะมีข้อมูลในเบื้องต้นว่าพิธีกรรมและต�ำนานอาจจะมี บทบาทส�ำคัญในการสืบทอดจิตสำ� นกึ และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ อย่างเช่น ในกรณี ลาวพวนเป็น “พธิ บี ญุ กำ� ฟ้า” สว่ นในกรณี “ลาวโซ่ง” พธิ เี สนเรอื นอาจจะทำ� หนา้ ที่ อย่างเดียวกัน และส�ำหรับมอญ พิธีร�ำผีกอาจได้ท�ำหน้าที่คล้ายๆ กัน แต่ส�ำหรับ ชมุ ชนคนจนี ที่อ้อมใหญ่ จ.สมุทรสาคร และที่จ.นครปฐม ภาษาและการกนิ เจดูจะ มคี วามหมายในการสร้างจิตส�ำนกึ และเรียนรู้ความเป็นจีน ในทุกงานข้อมูลบ่งบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงจิตส�ำนึกและอัตลักษณ์ ชาตพิ นั ธ์ุ สำ� หรบั คนรนุ่ หลงั ๆ ทคี่ วามเปน็ ไทยไดเ้ ขา้ ไปอยคู่ ขู่ นานหรอื บรู ณาการกบั จติ สำ� นกึ และอตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธด์ุ งั้ เดมิ และอาจเปน็ ไปไดว้ า่ รฐั ไทยและพทุ ธศาสนา มบี ทบาทสำ� คญั ในการสรา้ งความเปน็ ไทยใหก้ บั กลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ เหลา่ น้ี แตน่ ยั ยะ เหล่านตี้ ้องการงานศึกษาท่ีต้ังโจทย์โดยตรง และมีแนวทางชัดเจนในการแสวงหา และนำ� เสนอหลกั ฐานที่หนกั แน่นเพ่อื เป็นประโยชน์ในทางวิชาการต่อไป และน่าจะ พิจารณาตัง้ ค�ำถามในเร่อื งจติ ส�ำนกึ และอตั ลักษณ์ชาติพนั ธ์ุ ในลกั ษณะท่เี ช่ือมโยง กับการปรบั ตัวทางวัฒนธรรมในบรบิ ทของรฐั ไทยด้วย งานวิจัยและศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในภาคกลางช่วยทำ� ให้เรามองเห็น ภาพประวัติความเป็นมาและการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์เกือบทุกชาติพันธุ์ ในภาคกลาง โดยที่ไม่ได้นับคนไทยภาคกลาง ซึง่ เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของภมู ภิ าค และไม่ได้นับ “คนอีสาน” “คนใต้” และ “คนเมือง” (คนไทยในภาคเหนือ) ที่มา
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 163 ตง้ั ถนิ่ ฐานในภาคกลาง แตค่ วามรทู้ เ่ี กย่ี วกบั กลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ (โดยไมน่ บั จนี และ มุสลิม รวมท้ังชวา จาม และมลายู ซ่ึงอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่) จะเข้มข้น ไมเ่ ทา่ กนั กลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ ไี่ ดร้ บั ความสนใจมากมี 4 กลมุ่ ใหญๆ่ คอื มอญ กะเหรย่ี ง (เน้น “โพล่ง”) ลาวพวน และลาวโซ่ง ส่วนกลุ่มอืน่ ๆ เช่น ลาวครง่ั ลาวตี้ ลาวแง้ว และอนื่ ๆ ไดร้ บั ความสนใจนอ้ ยมาก ซงึ่ ทงั้ นอี้ าจจะเปน็ เพราะปรมิ าณประชากรและ การกระจายตวั ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ แี่ ตกตา่ งกนั ทำ� ใหน้ กั วจิ ยั มองเหน็ ความนา่ สนใจ ของกลุ่มบางกลุ่มมากกว่ากลุ่มอื่นๆ แต่หากพิจารณาจากเหตุผลของนักวิจัย ที่ท�ำการศึกษา กลุ่มท่ีได้รับความสนใจมักมีลักษณะพิเศษทางวัฒนธรรมท่ีดึงดูด ความสนใจ เช่น ประเพณีสงกรานต์ พิธีร�ำผี (มอญ) พิธีเสนเรือน (ลาวโซ่ง) พธิ ที ำ� บุญกำ� ฟ้า (ลาวพวน) และการท�ำไร่หมนุ เวยี นและการอนุรกั ษ์ป่า (กะเหร่ียง) เป็นต้น เหตุผลส่วนใหญ่ในการเลือกศึกษากลุ่มชาติพันธุ์เหล่าน้ีมิใช่เพ่ือการ ตอบค�ำถามประเด็นทางทฤษฎี แต่เป็นความสนใจของผู้วิจัยในประเด็นเร่ือง เอกลกั ษณว์ ฒั นธรรมของกลมุ่ ชาตพิ นั ธม์ุ ากกวา่ หากพจิ ารณาในแงค่ วามครอบคลมุ กลุ่มชาติพันธุ์แล้ว นับว่าครอบคลุมเกือบท้ังหมด แต่ในทัศนะของผู้เขียนแล้ว ดวู า่ นา่ จะมกี ารศกึ ษา “ญอ้ ” “ไทยเบง้ิ ” “ลาวต”้ี “ลาวเวยี ง” และ “ลาวแงว้ ” เพม่ิ เตมิ เพราะยงั มงี านวจิ ยั อยนู่ ้อยมาก แตจ่ ะนา่ สนใจในประเดน็ ทางชาตพิ นั ธห์ุ รอื ไม่ เป็น เรื่องทต่ี ้องพจิ ารณากนั ต่อไป นอกจากน้ีเราอาจจะต้องพิจารณาในประเด็นเร่ืองพ้ืนท่ีด้วย เช่น เราอาจ ขยายไปศึกษาชุมชนชาติพันธุ์ที่ต่างท้องถ่ินกัน เพ่ือได้ให้ภาพเปรียบเทียบหรือ หากมองพ้ืนที่เป็นจงั หวดั ผู้เขยี นเหน็ ว่าไม่มีงานวิจยั กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุในจงั หวดั อยุธยา อ่างทอง สระบรุ ี ชยั นาท ระยอง และประจวบคีรีขนั ธ์ ซ่ึงน่าที่จะมกี ารสำ� รวจว่ามี กลุ่มชาติพันธุ์บ้างหรือไม่ และจะน่าสนใจศึกษาหรือไม่ จากประสบการณ์ผู้เขียน น่าจะมีกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุอยู่บ้างในจงั หวดั สระบุรี เช่น “ยวน” ใน อ.เสาไห้ เป็นต้น อยา่ งไรกต็ ามผเู้ ขยี นเหน็ วา่ ทยี่ งั มปี ญั หาคอ่ นขา้ งมาก กค็ อื แนวทางการวจิ ยั หรือวิธีวิทยาทั้งในเชิงชาติพันธุ์และวัฒนธรรมท่ียังไม่ส่งเสริมหรือเก้ือหนุน การเจาะลึกประเด็นวิจัย การเก็บข้อมูล และการตีความข้อมูล ในการศึกษา
164 ถกเถียงวฒั นธรรม ความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมอย่างท่ีควรจะเป็น เพราะขาด ความชัดเจนในการพิจารณาปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม เช่น หากเราพิจารณาองค์ความรู้ทางลึกเก่ียวกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในภาคกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องวิถีชีวิตชุมชน การปรับตัวทางวัฒนธรรมและ จิตส�ำนึกและอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในบริบทของรัฐไทย ซ่ึงเป็นค�ำถามส�ำคัญท่ี จะช่วยให้ทำ� ความเข้าใจความหลากหลายทางชาติพันธ์ุในภาคกลางได้ นอกเหนอื จากประวัติความเป็นมา ซ่ึงท�ำให้เราเข้าใจว่าความหลากหลายในเบ้ืองต้นน้ัน เกิดขึ้นจากอะไรและอย่างไร งานท่ีมีอยู่ได้เสริมกันท�ำให้เข้าใจได้เกือบสมบูรณ์ แต่เมื่อเราต้องการรู้ว่าในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมานี้ ชุมชนชาติพันธุ์มีวิถีชีวิตท่ี แตกต่างกันอย่างไร ท้ังที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันหรือต่างกลุ่มชาติพันธุ์ และเป็นการปรับตัวทางวัฒนธรรมกับสภาพแวดล้อมท่ีแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร และจะส่งผลต่อจิตส�ำนกึ และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์หรือไม่ งานเหล่านต้ี อบค�ำถาม ได้น้อยลงไปเรื่อยๆ ในแง่หนง่ึ อาจเป็นการไม่ยุติธรรมท่ีจะคาดหวังว่างานเหล่าน้ี จะต้องตอบค�ำถามของผู้เขียน เพราะผู้วิจัยย่อมมีโจทย์ของตนเองซ่ึงไม่จำ� เป็น ต้องตอบค�ำถามของผู้เขียน แต่ในอีกแง่หนงึ่ ผู้เขียนเห็นว่างานวิจัยหลายงานอาจ จะช่วยตอบคำ� ตอบได้ หากมแี นวทางการวจิ ยั ทเี่ หมาะสม (คลอบคลมุ การตงั้ โจทย์ การใช้แนวคดิ วธิ เี ก็บข้อมูล และการวเิ คราะห์) เพือ่ เป็นประโยชน์ในกาลข้างหน้า ผ้เู ขยี นจงึ ขอตง้ั ขอ้ สงั เกตเกยี่ วกบั แนวทางการวจิ ยั พอเปน็ สงั เขปโดยจะยกตวั อยา่ ง งานบางงานมาพจิ ารณา แนวทางการศึกษาส่วนใหญ่เน้นการพรรณนารายละเอียดความเช่ือและ พธิ กี รรมตา่ งๆ โดยเนน้ การพรรณนาความเชอื่ ดง้ั เดมิ ซง่ึ มกั จะมาจากการบอกเลา่ ของ ผู้ให้ข้อมูลถึงลักษณะประเพณีในอดีตมากกว่าท่ีจะได้มาจากการสังเกต ปรากฎการณ์ในขณะที่ศึกษาท�ำให้แยกไม่ออกระหว่าง “ความเป็นจริงในอดีต” กับ “ความเป็นจริงในปัจจุบัน” และมักน�ำเสนอข้อมูลเป็นส่วนๆ มากกว่าที่จะ เชอ่ื มโยงกัน
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 165 ปัญหาเหล่านี้จะน้อยลงไปหากเราอาศัยแนวทฤษฎีทางมานุษยวิทยา สังคมและวัฒนธรรม หรือแนวทฤษฎีในสาขาวิชาท่ีเกี่ยวข้อง เช่น สังคมวิทยา มาประยุกต์ใช้เพื่อตั้งค�ำถามให้ครอบคลุมขึ้น อาจช่วยให้ได้ความเข้าใจ เกี่ยวกับความหลากหลายในเร่ืองวิถีชีวิตชุมชน ชาติพันธุ์และวัฒนธรรมกับ การปรับตัวทางวัฒนธรรมได้เพิ่มมากข้ึน หรืออาจจะอาศัยแนวการศึกษา จิตส�ำนึกและอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ส�ำหรับการท�ำความเข้าใจเร่ืองชาติพันธุ์ ในบริบทของรัฐไทย11 นอกจากนี้แม้ว่าจะแสดงให้เห็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ของชุมชนชาติพันธุ์ต่างๆ ซ่ึงช่วยให้เราเห็นลักษณะเด่นของความหลากหลาย ก็มีแนวโน้มที่จะศึกษาและน�ำเสนอแบบ “แช่แข็ง” (ขาดความเป็นชีวิตที่มี การเปล่ียนแปลงและเช่ือมโยงกับมิติอ่ืนๆ) แต่บางงานก็ได้พยายามที่จะศึกษา ในลักษณะเช่ือมโยงส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน ท�ำให้พอจะเข้าใจปรากฎการณ์ ความหลากหลายทางวฒั นธรรมและชาติพนั ธุ์ในภาคกลางได้บ้าง ผู้เขียนได้พยายามประมวลประเด็นต่างๆ เพ่ือให้เห็นภาพบางส่วนของ ปัญหาในงานวิจัย12 เก่ียวกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในภาคกลาง เท่าท่ี ผู้เขียนเห็นว่าจะท�ำให้งานวิจัยของนกั วิจัยมีประโยชน์ต่อพัฒนาการของงานวิจัย ในเรอ่ื งความหลากหลายทางชาตพิ ันธ์ุ คือ 1. ความชัดเจนของโจทย์หรือประเดน็ วิจยั และแนวคดิ ในการศึกษา ทจี่ ะชว่ ยทำ� ใหเ้ หน็ ปรากฎการณท์ ส่ี นใจศกึ ษาไดร้ อบดา้ นหรอื ชดั เจนมากขนึ้ งานวจิ ยั วถิ ชี วี ติ ชมุ ชนชาตพิ นั ธใ์ุ นฐานขอ้ มลู มปี ระมาณ 33 งาน ครอบคลมุ ทกุ กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ โดยจะปรากฎคอ่ นขา้ งมากในกลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ เ่ี ปน็ ลาวพวน ลาวโซง่ มอญ และกะเหรยี่ ง งานวจิ ยั เหลา่ นม้ี คี วามหลากหลายในเรอ่ื งความแคบและกวา้ ง ของประเดน็ อย่างเช่นบางงานก็จะเน้นท่คี รอบครัว หรือค่านยิ ม แต่ส่วนใหญ่แล้ว งานวิจัยในแนววิถีชีวิตชุมชนชาติพันธุ์มักจะเน้นการให้เห็นภาพรวมๆ ของชุมชน 11 ผู้เขยี นได้สรุปและทบทวนแนวการศกึ ษาชาตพิ นั ธุ์นี้ ไว้แล้วในบทที่ 4 และได้ชี้ให้เหน็ ว่างานทีศ่ ึกษากลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ต่างๆ ในภาคกลางเกอื บท้งั หมดยงั ไม่ใคร่ได้ต้ังค�ำถามในเชงิ ชาตพิ ันธ์ุ 12 รวมรายงานวิจยั วิทยานพิ นธ์และสาระนิพนธ์
166 ถกเถยี งวฒั นธรรม ชาตพิ นั ธ์ุ เชน่ ระบบเศรษฐกจิ ความสมั พนั ธท์ างสงั คม ความเชอื่ พธิ กี รรม ประเพณี และการละเล่น โดยเน้นการพรรณนาข้อมูลที่ค้นพบเป็นส่วนๆ ซ่ึงสะท้อนให้เห็น ว่าในการตั้งโจทย์ไม่ได้เช่ือมโยงประเด็นให้ชัดเจน จึงเก็บข้อมูลและวิเคราะห์มา เปน็ สว่ นๆ เพราะขาดแนวคดิ ทใี่ ชใ้ นการตง้ั โจทย์ เกบ็ ขอ้ มลู และวเิ คราะห์ และแมว้ า่ ในงานนน้ั ๆ จะมกี ารยกแนวคดิ มาไวเ้ ปน็ จำ� นวนมาก แตไ่ มส่ มั พนั ธก์ บั โจทย์ อา่ นแลว้ กค็ งไดแ้ ตถ่ ามวา่ “แลว้ อยา่ งไรตอ่ ไป” เพราะไมไ่ ดก้ ระตนุ้ ใหค้ ดิ และตงั้ คำ� ถามตอ่ ไป ทำ� ใหร้ ายละเอยี ดทไี่ ดพ้ รรณนาไวม้ คี ณุ คา่ ตอ่ การวจิ ยั นอ้ ย เพราะไมร่ วู้ า่ รายละเอยี ด ดงั กล่าวมีความหมายอะไรบ้าง มขี ้อสรุปและหลักฐานท่ถี ูกต้องหรอื ไม่ การต้ังโจทย์ท่ีเช่ือมโยงมิติต่างๆ ของวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรม จะมีส่วนช่วย ให้เข้าใจความหมายของปรากฎการณ์ที่ศึกษาได้ชัดเจนข้ึน และก่อให้เกิดคำ� ถาม การวจิ ยั ต่อๆ ไป งานตวั อย่างที่จะแสดงให้เห็นในประเดน็ นีม้ ี 3 งาน ซ่ึงมจี ุดเน้น ท่ีแตกต่างกัน คือ ในสองงานแรกเป็นการมองวิถีชีวิตชุมชนผ่านความสัมพันธ์ ระหวา่ งความเชอ่ื พธิ กี รรม และการจดั ระเบยี บสงั คม โดยทที่ ง้ั สองงานไดใ้ ชแ้ นวคดิ โครงสร้าง – การหน้าที่เป็นกรอบในการต้ังโจทย์ เก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนอีกงานหนง่ึ มองวิถีชีวิตชุมชนผ่านความสัมพันธ์ระหว่างการจัดระเบียบสังคม และกิจกรรมทางเศรษฐกจิ ในงาน “การศึกษาโครงสร้างสังคมของ “ลาวโซ่ง” ของมยุรี วัดแก้ว (2521)13 ผู้วิจัยระบุว่า ได้ใช้แนวคิดโครงสร้าง – การหน้าท่ีของ Durkheim และ Malinowski เป็นหลักในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างพิธีกรรม และ โครงสร้างสังคม ซ่ึงที่จริงหากจะช่วยท�ำให้ประเด็นชัดเจนขึ้น หัวข้อหรือโจทย์วิจัย นา่ จะเปน็ “การศกึ ษาโครงสรา้ งสงั คมลาวโซง่ ผา่ นพธิ กี รรม” เพราะเนน้ การวเิ คราะห์ พธิ กี รรมมากกว่า อย่างไรกต็ าม ผวู้ จิ ยั ไดใ้ หข้ อ้ มลู เกยี่ วกบั “พธิ เี สนเรอื น” ทง้ั ในแง่ ความหมาย กระบวนการในการประกอบพธิ กี รรม และผรู้ ว่ มพธิ กี รรมอยา่ งละเอยี ด โดยผู้วิจัยเน้นความเป็นเอกภาพของพิธีเสนเรือน มากกว่าความแตกต่างของ พิธเี สนเรอื น ซง่ึ “หมอเสน” (ผู้ประกอบพิธ)ี มตี �ำราท่ไี ม่เหมอื นกนั นอกจากนีไ้ ด้ 13 งานนจี้ ะเก่ากว่างานอนื่ ๆ ในฐานข้อมูล ซ่ึงอยู่ระหว่าง พ.ศ.2530 – 2548 แต่จำ� เป็นที่นำ� มาใช้เป็นตวั อย่าง
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 167 พรรณนาพธิ แี ตง่ งาน ซง่ึ ครอบคลมุ ตง้ั แตก่ ารเกยี้ วพาราสี ไปจนถงึ การสขู่ อและการ แต่งงาน ต่อด้วยพิธีศพ ซ่ึงครอบคลุมต้ังแต่การแจ้งข่าวการตาย การมาร่วมงาน การทำ� ศพ ไปจนถงึ การเผาศพ และพิธบี อกทางศพ โดยอาศยั การวิเคราะห์ 3 พิธีส�ำคัญนี้ ผู้วจิ ยั แสดงให้เห็นถงึ สถานภาพของ บุคคลและกลุ่มบคุ คล เช่น ความส�ำคัญของผู้ชายในพิธกี รรม และพธิ ีกรรมต่างๆ ได้สะท้อนความส�ำคัญของความเช่ือในเร่ืองผีเดียวกัน และมีหน้าที่ส�ำคัญในการ ผูกพันเครือญาติและครัวเรือนท่ีอยู่ในตระกูลเดียวกัน แม้ว่าการวิเคราะห์ในเชิง โครงสร้าง – การหน้าที่แบบนจ้ี ะท�ำให้เห็นความสัมพันธ์แบบวนไปวนมาระหว่าง มิติทางวัฒนธรรมต่างๆ ดังที่ผู้วิจัยได้สรุปว่า “พิธีกรรมแสดงออกถึงสถานภาพ ของบุคคล” และของกลุ่มบุคคล การปฏิบัติตามสถานภาพของบุคคลในสังคม (ผ่านพิธีกรรม…ผู้เขียน) ย่อมก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของสังคม ในสว่ นทเี่ กยี่ วกบั ความรว่ มมอื … (มยรุ ี วดั แกว้ 2521) แตย่ งั ชว่ ยกระตนุ้ ใหเ้ กดิ คำ� ถาม ต่อไปว่า หากพิธีกรรมมีการเปล่ียนแปลงไปอาจจะสะท้อนให้เห็นสถานภาพของ บคุ คลและกลมุ่ บคุ คลทแี่ ตกตา่ งออกไปหรอื ไม่ นอกจากนท้ี ำ� ใหเ้ หน็ ความหมายของ พธิ ีกรรมในวิถีชีวิตทางสังคมของชมุ ชนอยู่พอสมควร งานวจิ ยั เรอื่ ง “พธิ บี ญุ กำ� ฟา้ ของลาวพวน….” ของ ยรุ ี ใบตระกลู (2537) ไดอ้ า้ งถงึ แนวคิดการหน้าที่ของ Malinowski ท่ีวิเคราะห์หน้าที่ของพิธีกรรมในเชิงให้ขวัญ ก�ำลังใจกับปัจเจกบุคคลและแนวคิดของ Durkheim ที่ว่าศาสนาและพิธีกรรม ท�ำหน้าท่ียึดเหน่ียวบุคคลให้รวมเป็นกลุ่มอย่างเป็นปึกแผ่น ซ่ึงในงานนี้ผู้วิจัย ได้พยายามวิเคราะห์ให้เห็นหน้าท่ีของพิธีบุญก�ำฟ้าในชุมชนของลาวพวนที่ บ้านพวน เมอื่ เปรียบเทยี บกับงานของ มยุรี วดั แก้ว (2521) งานนจ้ี ะให้บรบิ ทท่เี ป็น สภาพทว่ั ไปของชมุ ชนมากกวา่ เชน่ ลกั ษณะ ประวตั ศิ าสตรข์ องหมบู่ า้ น และลกั ษณะ ทางเศรษฐกจิ โดยสงั เขป หลงั จากนน้ั ไดใ้ หข้ อ้ มลู เกย่ี วกบั ความเชอื่ และการปฏบิ ตั ใิ น ศาสนาพุทธ และความเช่ือเร่ืองผีต่างๆ เช่นผีฟ้า และผีบรรพบุรุษ ซ่ึงผสมผสาน กลมกลืนอยู่ในวิถีชีวิตของพวนผ่านประเพณตี ่างๆ ที่ชุมชนบ้านพวนได้ถือปฏิบัติ ในรอบปี และวิเคราะห์พิธีบุญก�ำฟ้า ซ่ึงเป็นพิธีบวงสรวงเก่ียวกับความ
168 ถกเถียงวฒั นธรรม อุดมสมบูรณ์ เพราะนักวิจัยคิดว่ามีความส�ำคัญต่อวิถีชีวิตลาวพวน และเป็น เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของลาวพวน โดยที่นักวิจัยพยายามน�ำเสนอข้อมูล อย่างรอบด้าน เช่น ความหมาย ประวัติความเป็นมา กระบวนการประกอบพิธี เช่น การแห่แม่โพสพ การบวงสรวงเทวดา การท�ำพิธีจุดไฟเผาข้าวหลามทิพย์ การตักบาตรข้าวหลาม และชี้ให้เห็นว่าพิธีบุญก�ำฟ้าในขณะที่ศึกษานั้นได้ เปล่ียนแปลงจากเดิมในขั้นตอนท่ีส�ำคัญ คือ พิธีดั้งเดิมไม่มีการบวงสรวงเทวดา มี แต่การบอกกล่าวส่ิงศักด์ิสิทธ์ิเท่านนั้ เมื่อผู้น�ำในการประกอบพิธีคนเดิมเสียชีวิต ลงไป ชุมชนก็ไม่ได้ประกอบพิธีอีก จนเม่ือการท่องเท่ียวแห่งประเทศไทยเข้ามา ฟื้นฟูประเพณี จึงช่วยกันแต่งเติมโดยดูจากพิธีจรดพระนงั คัล เช่น เสริมการตั้ง ศาลเพียงตาเข้ามา และมีการสวดชุมนุมเทวดาเป็นต้น อย่างไรก็ตามความเช่ือถือ และการประกอบพิธีบุญก�ำฟ้าได้ลดลงไป เพราะขาดความเช่ือมโยงกับวิถีชีวิต ทางเศรษฐกิจที่เปล่ียนไป เพราะพิธีบุญก�ำฟ้าส�ำคัญส�ำหรับการท�ำนา (ท้ังในแง่ เจตนารมณ์และสัญลักษณ์ท่ีใช้ในพิธีกรรม) และชาวบ้านพวนได้ท�ำนากันน้อยลงๆ และหนั ไปประกอบอาชพี อ่นื เช่น ท�ำงานโรงงาน เป็นต้น ในขน้ั สดุ ทา้ ยผวู้ จิ ยั ไดพ้ ยายามวเิ คราะหใ์ หเ้ หน็ วา่ พธิ กี รรมสะทอ้ นใหเ้ หน็ ภาพ โครงสรา้ งการจดั ระเบยี บสงั คมของชมุ ชนลาวพวนทเี่ นน้ การตง้ั ถนิ่ ฐานขา้ งฝา่ ยหญงิ และการให้ความส�ำคัญของญาติฝ่ายหญิง ซ่ึงปรากฎในชีวิตประจ�ำวันท่ีผู้หญิง มีบทบาทส�ำคัญ และมีผลต่อปัจเจกบุคคลในยามวิกฤต การวิเคราะห์ดังกล่าวมี ปัญหาบา้ ง อนั เกดิ จากการทนี่ กั วจิ ยั ไม่ไดใ้ ช้แนวคดิ ทก่ี ลา่ วอ้างเป็นกรอบในการเกบ็ ข้อมูล เช่น ขาดหลกั ฐานเชิงประจักษ์ว่า ชาวบ้านรู้สกึ มัน่ คงขน้ึ จริงๆ หรือไม่ในการ ท�ำพิธีก�ำฟ้า นอกจากนี้ผู้วิจัยยังมีข้อสรุปที่ขัดแย้งกันเองด้วย เพราะพิธีบุญกำ� ฟ้า มคี วามสำ� คญั ตอ่ วถิ ชี วี ติ ชมุ ชน จงึ ยงั ถอื ปฏบิ ตั กิ นั เรอ่ื ยมา ทง้ั ทไี่ ดม้ หี ลกั ฐานมากอ่ น หน้านี้แล้วว่าถูกฟื้นฟูขึ้นมาด้วยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย งานนจ้ี ึงมีข้อด้อย ไปบ้าง ท�ำให้เกิดความไม่ชัดเจนในเรื่องการวิเคราะห์ เพราะความไม่ชัดเจน ระหว่างโจทย์ แนวคิดและการวเิ คราะห์ งานสุดท้ายท่ีจะน�ำมาเป็นตัวอย่างเก่ียวกับประโยชน์ของความชัดเจนใน เรื่องโจทย์ แนวคิดและการวิเคราะห์ คือ “ชีวิตลาวโซ่งเม่ือวันวาน” โดยฉวีวรรณ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 169 ประจวบเหมาะ และ วรานนั ท์ วรวิศว์ (2543)14 ซึ่งได้เขียนในบทท่ี 1 (หน้า 3) ถึงการพานักศึกษาออกภาคสนามเพื่อฝึกการวิจัยโดยต้องการจะไปศึกษาเร่ือง “การใชท้ รพั ยากรปา่ ” แตใ่ นกระบวนการออกสำ� รวจ15 กพ็ บวา่ การใชท้ รพั ยากรปา่ มี นอ้ ยลง และชาวบา้ นเองซงึ่ มปี ระสบการณก์ บั นกั วจิ ยั มาหลายคนทม่ี กั จะสนใจเรอื่ ง ประเพณีพิธีกรรมก็ชอบที่จะคุยเรื่องประเพณี พิธีกรรมมากกว่าคุยเรื่องป่า ในท่สี ดุ ทีมวจิ ยั ก็ตกลงกนั ว่า จะพยายามเข้าใจวถิ ชี ีวิตชมุ ชนในเบื้องต้นโดยเฉพาะ มิติที่ชาวบ้านเห็นสำ� คัญคือครอบคลุมชีวิตทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ทางสังคม ความเชอ่ื และพธิ กี รรมทส่ี �ำคญั ตา่ งๆ งานนจ้ี งึ ไมไ่ ดเ้ นน้ การตอบค�ำถามทางทฤษฎี เปน็ สำ� คญั แตเ่ นน้ ภาพชวี ติ ชมุ ชนลาวโซง่ หนองเลา เปน็ หลกั และไมไ่ ดร้ ะบแุ นวคดิ โดยตรง ในตอนแรก หากพอจะมองเห็นในตอนท้ายก็คือ พิจารณาความสัมพันธ์ ระหวา่ งกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ เชน่ การระดมแรงงานและระดมทนุ กบั การจดั ระเบยี บ สังคมผ่านมโนทัศน์การปรับตัว ท�ำให้งานศึกษาวิถีชีวิตชุมชนนี้มีลักษณะเป็น พลวตั มากกวา่ งานขา้ งตน้ 2 งาน (ซงึ่ มองผา่ นมโนทศั นโ์ ครงสรา้ งสงั คม และการหนา้ ท)่ี และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของมิติที่แตกต่างออกไป ในงานนจี้ ึงพยายามแสดง หลกั ฐานใหเ้ หน็ ความแตกตา่ งในความสำ� คญั ของการเปน็ ญาติ และความสมั พนั ธท์ ี่ มใิ ชญ่ าติ ในแบบแผนการระดมแรงงาน และทนุ ของกลมุ่ ชาวนาทมี่ ฐี านะแตกตา่ งกนั ซ่ึงท�ำให้เห็นความซับซ้อนของการปฏิบัติการภายใต้อิทธิพลการเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจที่กดดันจากภายนอก นอกจากนี้งานนี้ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพลัง วฒั นธรรมดงั้ เดมิ เชน่ พธิ เี สนเรอื น การแตง่ กาย และภาษา ซงึ่ มผี ลตอ่ คนตา่ งรนุ่ ใน ลกั ษณะทแ่ี ตกตา่ งกนั ระหวา่ งคนรนุ่ กอ่ นกบั คนรนุ่ หลงั แตป่ ญั หากค็ อื วา่ มหี ลกั ฐาน เกยี่ วกบั คนรนุ่ หลงั นอ้ ย ฉะนน้ั วถิ ชี วี ติ ชมุ ชนในงานนก้ี เ็ หมอื นกบั 2 งานแรก คอื แสดง วถิ ชี วี ติ ของคนรนุ่ กอ่ น ซงึ่ ใกลจ้ ะเปน็ อดตี และใหค้ วามสนใจนอ้ ยกบั วถิ ชี วี ติ ของคน รนุ่ หลงั ซงึ่ จะเปน็ อนาคต ทำ� ใหภ้ าพวถิ ชี วี ติ ชมุ ชนอาจจะแสดงเพยี งครง่ึ เดยี ว หรอื อาจ จะบิดเบ้ียวไป ในแง่นี้อาจจะประเมินได้ว่า โจทย์อาจจะยงั ไม่ชดั เจนอย่างสมบูรณ์ ท่ีจะแสดงวถิ ชี วี ติ ชมุ ชน ท�ำให้เกิด “ภาพลวงตา” การแช่แขง็ ทางวฒั นธรรมข้นึ 14 งานน้ีไม่ใช่เป็นงานวิจัยโดยตรง แต่เป็นผลจากการฝึกนกั ศึกษาปฏิบัติงานวิจัยภาคสนาม ซึ่ง ฉวีวรรณ และ วรานนั ท์ ช่วยกันเขยี นให้ออกเป็นรายงานการวิจัย – ดคู �ำแถลง 15 พ้นื ทีน่ เ้ี ป็นบริเวณเดียวกบั ที่ มยรุ ี วดั แก้ว (2521) ได้ศึกษา งานน้เี กบ็ ข้อมลู ประมาณ 10 ปี หลงั จากนน้ั
170 ถกเถยี งวัฒนธรรม 2. ความเหมาะสมของแนวคดิ และวธิ กี ารศกึ ษาในการตอบโจทยว์ จิ ยั ในประเด็นน้ีจะอาศัยตัวอย่างงานจาก 2 แนวเรื่อง คือ การศึกษาการ เปลี่ยนแปลงและการปรบั ตวั ทางวัฒนธรรม กับการศกึ ษาจิตส�ำนกึ และอัตลักษณ์ ชาตพิ นั ธ์ุในบริบทของรัฐไทย โดยทีใ่ นแนวเร่อื งหลงั จะให้ข้อคิดเหน็ แบบรวมๆ งานวิจัยการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวทางวัฒนธรรมอาจจะนับได้ มากกว่า 10 งาน ซ่ึงครอบคลุมชุมชนชาติพันธุ์หลายชุมชนและในหลายกลุ่ม ชาติพันธุ์ ลาวโซ่ง ลาวพวน ไทยยวน ไทยเบ้ิง และลาวครั่ง ซ่ึงส่วนใหญ่จะเน้น ใหเ้ หน็ ความสมั พนั ธข์ องการเปลย่ี นแปลงในมติ ขิ องเศรษฐกจิ และมติ ทิ างวฒั นธรรม (ซึ่งมักจะขาดการให้ความหมายท่ีชัดเจน) งานเหล่านี้มีประเด็นหรือโจทย์ที่ชัดเจน และตรงประเด็นกับที่ผู้เขียนต้องการจะสังเคราะห์ แต่ผู้เขียนกลับใช้ประโยชน์ ข้อมูลได้ไม่มากเท่าทคี่ วร เพราะงานมีแนวคดิ และวิธีการเกบ็ และวิเคราะห์ข้อมูลที่ ไม่เหมาะสม ทำ� ให้ข้อมลู ท่ไี ด้มามสี ภาวะ “ไม่เกี่ยวข้อง” หรือไม่ตรงประเดน็ หรือ ความหมายไม่ชัดเจน และในหลายๆ กรณีอาจจะไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งในที่นจ้ี ะยกมา เป็นตัวอย่างเพียง 2 งาน คือ 1. “การเข้าสู่ชุมชนชนบทของกระบวนการโลกาภิวัฒน์: ศึกษากรณี ชมุ ชนไทพวน ตำ� บลหนิ ปัก อ�ำเภอบ้านหมี่ จงั หวดั ลพบรุ ี” (บดี พงษท์ อง 2538) ในงานนี้ผู้วิจัยได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนว่า ต้องการศึกษา ความตระหนกั ในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของไทพวน โดยเปรียบเทียบหัวหน้า ครวั เรอื นกบั ผนู้ ำ� โดยใชแ้ บบสมั ภาษณ์ และการวเิ คราะหเ์ ชงิ สถติ ิ และศกึ ษาปจั จยั และความสัมพันธ์ของปัจจัยท่ีมีผลต่อการผลักดัน “กระบวนการโลกาภิวัฒน์เข้าสู่ ชุมชนชนบท” โดยพิจารณาตัวแปรที่จะบ่งช้ีภาวะโลกาภิวัฒน์ คือ บทบาทของ ข่าวสาร ความคดิ เรอื่ งสทิ ธเิ สรภี าพและการยอมรบั ศกั ยภาพทเ่ี ทา่ เทียมของมนษุ ย์ ปัจจัยทางเศรษฐกจิ ความสมั พันธ์ส่วนบุคคล การจดั ระเบยี บโลก และระยะความ สมั พนั ธท์ างสงั คม ซงึ่ ตวั แปรทง้ั 6 นี้ ถกู จดั วา่ เปน็ ตวั แปรตาม สว่ นตวั แปรอสิ ระ คอื
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 171 ตวั แปรทเ่ี ปน็ ปจั จยั ผลกั ดนั หรอื นำ� กระบวนโลกาภวิ ฒั นเ์ ขา้ สชู่ นบท เชน่ สถานภาพ ของประชาชน การแพร่กระจายทางวฒั นธรรม บทบาทของผู้นำ� การได้รับข่าวสาร และวิถีการด�ำเนินชีวิต ทั้งน้ีผู้วิจัยได้อธิบายฐานที่มาของกรอบแนวคิดและ ตัวช้ีวัดต่างๆ ซึ่งพิจารณาแล้วดูไม่ชอบด้วยหลักเหตุผลและหลักฐานเชิงประจักษ์ กรอบคิดนี้จึงเล่ือนลอยจากปรากฎการณ์ในชุมชน ตัวเลขท่ีได้มาจากการชี้วัด ดงั กลา่ วจงึ ไมม่ รี ากฐานจากเหตกุ ารณห์ รอื กระบวนการเปลย่ี นแปลงในชมุ ชน เพราะ เรอื่ งของการเปลยี่ นแปลงเปน็ เรอื่ งของเหตกุ ารณแ์ ละกระบวนการทเี่ กดิ ขนึ้ ในชมุ ชน หากไมม่ ขี อ้ มลู ดงั กลา่ วกย็ ากทจี่ ะนำ� ตวั เลขทเี่ กดิ จากการวเิ คราะหท์ างสถติ ไิ ปใชไ้ ด้ หรอื มีความหมายต่อการเข้าใจการเปลยี่ นแปลง 2. “พชื เศรษฐกจิ กบั การเปลย่ี นแปลงทางวฒั นธรรมในชมุ ชนลาวครง่ั : ศึกษากรณบี ้านโคกต�ำบลอู่ทอง อ�ำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี” (วรณัย พงศาชลากร 2538) งานนี้มีการเริ่มต้นที่ดีที่มีความชัดเจนในประเด็นวิจัยว่า ต้องการศึกษา กระบวนการเปลยี่ นแปลงของระบบผลติ ทเ่ี นน้ พชื เศรษฐกจิ การผลติ เพอื่ การคา้ และ ผลกระทบของการเปลย่ี นแปลงนตี้ อ่ ระบบวฒั นธรรมของชมุ ชน แมว้ า่ จะมโี จทยย์ อ่ ย ที่ดูรุงรังไม่แสดงความเก่ียวข้องกับโจทย์หลักบ้าง แต่นับว่ายังชัดเจนในโจทย์หลัก โดยมีการอ้างว่าจะใช้แนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมือง แนวทฤษฎีนิเวศวัฒนธรรม และแนวทฤษฎีโครงสร้างการหน้าที่ แม้ว่าอาจจะมีความสับสนในเร่ืองแนวคิดบ้าง คือไม่น่าจะใช้แนวคิด โครงสร้างการหน้าท่ี ซ่ึงเน้นความพยายามในการอธิบายการด�ำรงอยู่ของสถาบัน สังคมและวัฒนธรรมมากกว่า แต่ 2 แนวคิดแรกเป็นการตั้งค�ำถามและแสวงหา ความรู้ท่ีจะอธิบายการเปล่ียนแปลง โดยแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองอาจจะ เป็นการต้ังค�ำถามเกี่ยวกับผลกระทบของระบบตลาดหรือเกษตรกรรมเชิงพาณชิ ย์ และการขยายตัวของความเจริญท่ีมีต่อสถาบันสังคมและวัฒนธรรม ในขณะที่ แนวทฤษฎีนิเวศวัฒนธรรมเน้นการอธิบายการปรับตัวของสถาบันสังคมและ วัฒนธรรมท่ีมีต่อการเปล่ียนแปลงในลักษณะการใช้ทรัพยากร นับว่าแนวคิดทั้ง
172 ถกเถียงวฒั นธรรม สองน่าจะเหมาะสมแล้วกับประเด็นศึกษา นอกจากนงี้ านนี้ยังใช้วิธีเก็บข้อมูลท่ี หลากหลาย คอื เกบ็ ขอ้ มลู จากเอกสาร การสงั เกตและสมั ภาษณแ์ บบไมเ่ ปน็ ทางการ ในการน�ำเสนอภาพความสัมพันธ์ของการเปล่ียนแปลงดังกล่าว ผู้วิจัยได้ นำ� เสนอบรบิ ทของการเปลยี่ นแปลงโดยรวม คอื สภาพพน้ื ทแี่ ละประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ ของจงั หวดั อำ� เภอ ตำ� บล และหมบู่ า้ น โดยชใ้ี หเ้ หน็ วา่ ลาวครง่ั เปน็ ประชากรสว่ นใหญ่ ของบ้านโคก และได้น�ำเสนอความเป็นมาของลาวคร่ังท่ีบ้านโคก ซ่ึงได้ให้ รายละเอียดเป็นอย่างดี มีประโยชน์ต่อการเข้าใจลาวครั่งบ้านโคก ในบริบทที่เป็น หมุ่บ้านหนงึ่ ภายใต้การปกครองของรัฐไทย นอกจากนก้ี ็น�ำเสนอการจัดระเบียบ สงั คมภายในชมุ ชน เชน่ ลกั ษณะครอบครวั และเครอื ญาติ การแตง่ งาน การสบื ทอด มรดก การแบ่งแรงงานในครัวเรือน กลุ่มสังคมต่างๆ เช่นกลุ่มแลกเปลี่ยนแรงงาน และกรรมการวัด และชนชั้นทางสังคม ท่ีสำ� คัญได้น�ำเสนอระบบความเชื่อ และ พิธีกรรมของชุมชนซ่ึงมีทั้งความเช่ือและพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ กับความเช่ือ และพธิ กี รรมทางผซี งึ่ เปน็ ความเชอื่ ดงั้ เดมิ โดยมรี ายละเอยี ดทท่ี ำ� ใหเ้ ขา้ ใจความคดิ และชีวิตลาวคร่ังเป็นอย่างดี และในบทส�ำคัญก็ได้น�ำเสนอการเปล่ียนแปลงของ ระบบเศรษฐกิจ ซ่ึงจัดแบ่งออกเป็นสามช่วงเวลา ในแง่ของข้อมูลแล้วงานนน้ี ับว่า ดีมาก แต่ปรากฎว่ายังไม่ได้ตอบโจทย์ของตัวเองอย่างสมบูรณ์เก่ียวกับผลกระทบ ของพชื เศรษฐกจิ และการผลติ ทางการค้าท่มี ีต่อระบบวัฒนธรรมของชมุ ชน ทำ� ให้ น�ำมาใช้ประโยชน์ในการสังเคราะห์ประเด็นเรื่องการเปล่ียนแปลงและการปรับ ตัวทางวัฒนธรรมได้น้อย หากใช้งานน้ีในประเด็นเร่ืองวิถีชีวิตชุมชนงานนน้ี ับว่า สมบรู ณแ์ บบ เพราะเพยี บพรอ้ มดว้ ยขอ้ มลู ทช่ี ว่ ยใหเ้ ขา้ ใจชวี ติ ชมุ ชนลาวครงั่ ทบี่ า้ นโคก ปัญหาส�ำคัญของงานก็คือไม่ได้ใช้แนวคิดท่ีกล่าวอ้างมาเป็นกรอบในการ เก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล กลับใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมเพื่อตอบโจทย์วิจัย กล่าวคือ พยายามตอบตามสมมุติฐาน 9 ข้อ ที่น�ำไปสู่การเกิดพืชพาณชิ ย์ เช่น สนธิสัญญาบาวร่งิ ทุนนิยม แผนพฒั นาสังคม และเศรษฐกิจสงั คมแห่งชาติ และ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เป็นต้น โดยท่ีไม่มีการอภิปราย หลักเหตุผลท่ีน�ำไปสู่ข้อสมมุติฐานดังกล่าว และสมมุติฐานก็ไม่ได้น�ำไปสู่
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 173 การวเิ คราะหก์ ารปรบั ตวั ทางวฒั นธรรมดว้ ย ทำ� ใหง้ านซง่ึ มคี ณุ ภาพดใี นความหมาย หนงึ่ ใชป้ ระโยชนไ์ ดไ้ มม่ ากในประเดน็ เรอื่ งการปรบั ตวั ทางวฒั นธรรม ทงั้ นเี้ ปน็ เพราะ ไม่ได้ใช้แนวคิดเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลตามท่ีกล่าวอ้าง กลับใช้วิธีวิเคราะห์ ท่ีไม่เหมาะสมกับประเด็นทศ่ี ึกษา งานทถ่ี กู จดั วา่ เกย่ี วกบั จติ ส�ำนกึ และอตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธใ์ุ นบรบิ ทของรฐั ไทย ก็มักจะมีปัญหา ในเร่ืองแนวทางวิจัยแบบใดแบบหนง่ึ ดังที่ได้ยกตัวอย่างให้เห็น ในแนวเรอ่ื งการปรบั ตวั ทจี่ รงิ อาจกลา่ วไดว้ า่ งานวจิ ยั กลมุ่ ชาตพิ นั ธใ์ุ นภาคกลางเกนิ กวา่ ครง่ึ มปี ญั หาอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ เชน่ ไมไ่ ดต้ งั้ คำ� ถามเกยี่ วกบั ความเปน็ ชาตพิ นั ธ์ุ ค�ำถามเป็นเร่ืองของวัฒนธรรม แต่มีปัญหาในเร่ืองแนวทางวิจัยแบบใดแบบหนงึ่ หรอื หลายๆ งานมคี ุณภาพดีแต่ไม่ได้ตอบโจทย์ให้ตรงประเด็นและสมบรู ณ์ เพราะ ไม่ได้มหี รือใช้แนวคิดเป็นกรอบในการเกบ็ ข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล ในการประมวลและสังเคราะห์งานวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ใน ภาคกลาง เพอ่ื ทำ� ความเข้าใจ เรอื่ ง “ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ใุ นภาคกลาง” ผู้เขียนได้พิจารณางานผ่านแนวเรื่อง 4 แนวเร่ือง คอื ประวัติการตั้งถ่นิ ฐาน ซง่ึ จะ ชว่ ยทำ� ใหเ้ หน็ ภาพวา่ ความหลากหลายของกลมุ่ ชาตพิ นั ธใ์ุ นภาคกลางเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ไร อยา่ งไร ในชว่ งเวลาใด และดว้ ยสาเหตใุ ด สว่ นแนวเรอ่ื งทสี่ องเปน็ เรอ่ื งวถิ ชี วี ติ ชมุ ชน และวฒั นธรรม ซง่ึ ผเู้ ขยี นตอ้ งการใหเ้ หน็ สภาวะความหลากหลายทางวฒั นธรรมของ ชุมชน เนอ่ื งจากงานส่วนใหญ่จะเน้นการศกึ ษาวัฒนธรรมของ “ชุมชน” ชาตพิ ันธ์ุ มากกว่าความเป็น “กลุ่ม” ชาติพันธุ์ ส่วนแนวเร่ืองท่ีสามเป็นเร่ืองการปรับตัว ทางวัฒนธรรม ที่จะช่วยให้เห็นภาพความหลากหลายที่เก่ียวกับการเปล่ียนแปลง ทางสังคมและวัฒนธรรม ส่วนในแนวเร่ืองสุดท้าย ผู้เขียนอยากให้เห็นภาพความ หลากหลายที่เกี่ยวเนื่องกับจิตส�ำนกึ และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในบริบทของรัฐไทย ในส่ีแนวเร่ืองน้ีเร่ืองแรกเป็นเร่ืองท่ีได้ค�ำตอบชัดเจนที่สุด ส่วนอีกสามแนวเรื่อง มีปัญหาในการใช้ประโยชน์จากงานที่มีอยู่ ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ทำ� ให้มีช่องว่างอยู่มากมายในคำ� ตอบ
174 ถกเถยี งวัฒนธรรม ข้อเสนอแนะโดยรวม นักวิจัยควรมีความชัดเจนในการเลือกโจทย์ และแนวคิดให้สอดคล้องกัน และควรใช้ประโยชน์จากแนวคิดในการเก็บข้อมูล และวิเคราะห์โดยที่พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ให้ชัดเจน แต่ไม่ยึดติดกับแนวคิดจนเกินไปจนกระทั่งน�ำมาเป็นค�ำตอบ เพราะ ปรากฎการณ์ในภาคสนามอาจจะมีความซับซ้อนและหลากหลาย จึงจ�ำเป็นต้อง พฒั นาแนวคดิ ของตนเองในการวเิ คราะหด์ ว้ ย นอกจากนกี้ ารเลอื กแนวทางการวจิ ยั ท่ีเหมาะกับโจทย์ก็มีความส�ำคัญด้วยอย่างย่ิง นกั วิจัยจึงควรติดตามอ่านแนวคิด และงานวจิ ัยใหม่ๆ ทจี่ ะช่วยให้นกั วิจยั ได้ตง้ั ค�ำถามท่ีน่าสนใจ มีประโยชน์ ในการ ทำ� ความเข้าใจประเด็นวจิ ัยได้อย่างลกึ ซ้งึ ในเร่ืองทต่ี ้องการหาค�ำตอบต่อไป โดยภาพรวมแล้วงานวิจัยภาคกลางได้ให้ความรู้ที่ค่อนข้างแน่นเก่ียวกับ สาเหตุของการมีกลุ่มชาติพันธุ์ท่ีหลากหลายในภาคกลาง ในประวัติศาสตร์ อันยาวนานเก่ียวกับสงครามในสมัยปลายพระเจ้ากรุงธนบุรีจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ แต่ยังให้ความสนใจน้อยกับสาเหตุใหม่ๆ เช่นการย้ายถิ่น การแสวงหาอาชีพใหม่ หรอื สงครามสมยั ใหมท่ ที่ ำ� ใหม้ กี ลมุ่ ใหมๆ่ ขนึ้ และแมว้ า่ บางกลมุ่ เปน็ เพยี ง “ผลู้ ภ้ี ยั ” หรอื “ผู้พลดั ถิ่น” กอ็ าจน่าสนใจที่ท�ำการศึกษา นอกจากนใี้ นการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรก์ ารตง้ั ถน่ิ ฐาน นกั วจิ ยั มกั ศกึ ษาเฉพาะ ชมุ ชน ทำ� ให้ไม่เห็นภาพรวมและความสอดคล้องกับข้อมลู ในบางกรณี การร่วมมือ ของนักประวัติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ และนักมานุษยวิทยาที่พินิจพิเคราะห์ เกี่ยวกบั กลุ่มต่างๆ ที่เกย่ี วข้อง เช่นกลุ่มใช้ภาษาตระกลู ไท โดยพจิ ารณาหลักฐาน ร่วมกนั อาจจะท�ำให้มคี วามน่าเชอื่ ถือในข้อสรปุ มากขนึ้ และประเดน็ บางประเดน็ อาจจะกระจ่างข้ึน ส่วนแนวคิดเร่ืองความหลากหลายชีวิตชุมชนชาติพันธุ์มีข้อมูลมาก พอสมควร แต่เน้นการพรรณนากันเป็นส่วนใหญ่ ท�ำให้เอามาใช้ประโยชน์ในเชิง ทฤษฎีไม่ได้มากเท่าที่ควร นกั วิจัยรุ่นต่อไปน่าจะศึกษาโดยมีการตั้งประเด็นโจทย์ ที่เช่ือมโยงระบบย่อยของวัฒนธรรมให้เหมาะกับปรากฎการณ์ท่ีตนเองสนใจ อาจจะชว่ ยทำ� ใหง้ านวจิ ยั มคี วามหมายตอ่ นกั วจิ ยั คนอน่ื มากขน้ึ และพยายามใชว้ ธิ ี
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 175 สงั เกตประกอบการสมั ภาษณ์ จะท�ำให้เห็นพฤติกรรมทเ่ี ป็นจริงมากข้นึ นอกจากน้ี ในปัจจุบันการเอาชุมชนเป็นหน่วยวิเคราะห์ท่ีตายตัวอาจจะไม่เหมาะสมกับความ ลนื่ ไหลของผคู้ น และการแสวงหาแบบแผนและเอกภาพของชมุ ชนมากไปกอ็ าจจะ ท�ำให้เกดิ “ภาพลวงตา” ได้ น่าจะพจิ ารณาความหลากหลายในชุมชนด้วย แม้ว่าเริ่มมีงานศึกษาการปรับตัวทางวัฒนธรรมบ้างแล้วแต่ยังไม่มาก เพียงพอ เร่ืองน้ีเป็นเรื่องส�ำคัญเพราะชุมชนชาติพันธุ์ส่วนใหญ่เหล่านี้เผชิญหน้า กับกระแสโลกาภิวัฒน์ ท้ังในฐานะที่เป็นสังคมชาวนาและเป็น “กลุ่มชาติพันธุ์” ซ่ึงแตกต่างจากสังคมใหญ่ ท�ำให้มีประเด็นน่าสนใจว่า แล้วกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ จะมีความแตกต่างมากน้อยเพียงใด ในเรื่องกลไกทางวัฒนธรรมท่ีจะปรับตัว กบั การเปลีย่ นแปลงท่ีเกดิ ขึน้ จงึ เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ ประเดน็ จติ ส�ำนกึ และอตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธใ์ุ นบรบิ ทของ รฐั ไทยดจู ะยงั ไมเ่ ปน็ ทสี่ นใจของนกั วจิ ยั นกั ซงึ่ อาจจะเปน็ เพราะวา่ ไมม่ ปี รากฎการณ์ โดดเด่นในภาคกลาง อย่างไรก็ตามก็ควรมีการศึกษาความเป็นชาติพันธุ์ของกลุ่ม ต่างๆ ซึ่งเป็นพ้ืนฐานท่ีส�ำคัญในการเข้าใจกลุ่มชาติพันธุ์เพ่ิมเติมไปจากการศึกษา แตช่ มุ ชนชาตพิ นั ธด์ุ ว้ ย นอกจากนค้ี วามหลากหลายในเรอ่ื งจติ ส�ำนกึ และอตั ลกั ษณ์ ชาติพันธ์ุควรได้รบั การพจิ ารณาอย่างถ่องแท้ต่อไป
176 ถกเถยี งวฒั นธรรม เอกสารอ้างองิ เกรียงศกั ดิ์ อ่อนละมยั (2540) ‘วิถีการด�ำเนินชีวิตของชาวชนบทในกระแสโลกาภิวตั น์: ศึกษา เฉพาะกรณีชุมชนไทพวน ต�ำบลหินปัก อ�ำเภอบ้านหม่ี จังหวัดลพบุรี’ วิทยานิพนธ์ มหาบณั ฑิต สาขาวชิ า การจดั การพฒั นาสงั คม สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์ โกวิท แก้วสวุ รรณ (2542) “ดทู หุ ลา่ ” ในพิธีเรียกวีหลา่ ของชาวกะเหร่ียงโป: ‘กรณีศกึ ษากะเหรี่ยงโป บ้านเกาะสะเดิ่ง ต�ำบลไล่โว่ อ�ำเภอสงั ขละบุรี จังหวดั กาญจนบุรี’ วิทยานิพนธ์ปริญญา ศลิ ปศาสตร์ มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าวฒั นธรรมศกึ ษา บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั มหิดล โกศล มีคณุ (2536) สภาพสงั คมวฒั นธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของชาวกะเหรี่ยง อ�ำเภอสวนผึง้ จงั หวดั ราชบรุ ี สำ� นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ ขวญั ชีวนั บวั แดง (2546) ศาสนาและอตั ลกั ษณ์ของกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ: ศกึ ษากรณีกลมุ่ ชนกะเหร่ียง ในประเทศไทยและประเทศพมา่ รายงานวิจยั สถาบนั วจิ ยั สงั คม มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ จริยาพร รัศมีแพทย์ (2544) ‘รูปแบบการตัง้ ถิ่นฐานบ้านเรือนของชุมชนมอญบางกะดี่ กรุงเทพมหานคร’ วทิ ยานิพนธ์ ภาควชิ าการวางแผนภาคและเมือง จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั จารุวรรณ พมุ่ พฤกษ์ (2536) ชาตพิ นั ธ์วุ ทิ ยาในจงั หวดั ลพบรุ ี เอกสารประกอบการประชมุ ทางวชิ าการ เน่ืองในงาน สมเด็จพระนารายณ์มหาราช คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ วิทยาลยั ครูเทพสตรี ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ (2525) กล่มุ ชาติพนั ธ์ุ เอกสารการสอนชุดวิชาสังคมศาสตร์ 4 กรุงเทพ:มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ และ ม.ล.วลั ย์วิภา บรุ ุษรัตนพนั ธ์ุ (2532) จีนและมสุ ลิมในสงั คมไทย เอกสารการสอนชุดวชิ าสังคมและวัฒนธรรม กรุงเทพ: มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ (2544) เอกลกั ษณ์และพฒั นาการของระเบียบวิธีวิจยั ในมานษุ ยวิทยา จุลสารไทยคดศี กึ ษา 18 (1): 13-24 ------- (2547) ทบทวนแนวทางการศกึ ษาชาติพนั ธ์ุข้ามยคุ สมยั กบั การศกึ ษาในสงั คมไทย ว่าด้วย แนวทางการศกึ ษาชาตพิ นั ธ์ุ กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ ินธร ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะและวรานนั ท์ วรวิศว์ (2543) ชีวิตลาวโซ่งเมื่อวนั วาน รายงานการฝึ ก นกั ศกึ ษาปฏิบตั งิ านวิจยั ภาคสนาม คณะสงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวิทยา มหาลยั ธรรมศาสตร์ ฉววี รรณ ประจวบเหมาะ และคณะ (2549) รายงานการประเมนิ และสงั เคราะห์สถานภาพองคค์ วามรู้ การวิจยั วฒั นธรรม ภาคกลาง เรื่อง ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ สำ� นกั งานคณะกรรมการ วฒั นธรรมแหง่ ชาติ ชนิกา วฒั นคีรี (2537) ‘จากสงั คมชาวนาส่สู งั คมอตุ สาหกรรม: การเปล่ียนแปลงที่เกิดขึน้ ใน ชมุ ชนไทยเบิง้ บ้าน ดีลงั จงั หวดั ลพบรุ ี’ วิทยานิพนธ์ภาควิชามานษุ ยวิทยา บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 177 ชโลมใจ กลน่ั ลอด (2541) ‘ทะแยมอญ: วฒั นธรรมการดนตรีของชาวมอญชมุ ชนวดั บางกะด่ี’ วทิ ยานิพนธ์ ปริญญาศลิ ปศาสตร์ มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าวฒั นธรรมศกึ ษา บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหิดล ธมลวรรณ ตงั้ วงษ์เจริญ (2542) ‘เอกลกั ษณ์ชาติพนั ธ์ุของคนไทยเชือ้ สายจีนในชมุ ชนอ้อมใหญ่’ วิทยานิพนธ์ มานษุ ยวิทยามหาบณั ฑิต สาขาวิชามานษุ ยวิทยา ภาควิชาสงั คมวิทยาและ มานษุ ยวิทยา บณั ฑิตวิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ธิดา สาระยา (2532) ประวตั ศิ าสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ กรุงเทพ: สำ� นกั พมิ พ์เมืองโบราณ ฐนันดร์ศักดิ์ เวียงสารวิน (2533) ‘จู่ต่าเอาะ: ความเช่ือเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคของ ชาวกะเหรี่ยง ศึกษาเฉพาะกรณี ชุมชนบ้านกล้วย อ�ำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี’ วทิ ยานิพนธ์ ภาควิชา มานษุ ยวิทยา บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร ดวงเดือน ศาสตรภัทร (2533) ‘ไทพวน: การศึกษาเชิงวิเคราะห์วิถีชีวิตพฤติกรรมส่งเสริม จิต-พุทธพิสยั และปัญหาการ ใช้ภาษา’ วิทยานิพนธ์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ นกุ ลู ชมภนู ิช (2538) ประเพณีชาวไทยโซง่ กรมการฝึกหดั ครู กระทรวงศกึ ษาธิการ น�ำพวลั ย์ กิจรักษ์กลุ (2536) การศกึ ษารูปแบบการตงั้ ถิ่นฐาน ประชากร เศรษฐกิจ และวฒั นธรรม ของลาวโซง่ จงั หวดั นครปฐม สถาบนั วจิ ยั และพฒั นา มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร บดี พงษ์ทอง (2538) ‘การเข้าสชู่ มุ ชนชนบทของกระบวนการโลกาภวิ ฒั น์: ศกึ ษากรณีชมุ ชนไทพวน ต�ำบล หินปัก อ�ำเภอบ้านหม่ี จงั หวดั ลพบรุ ี’ วทิ ยานิพนธ์ สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์ บงั อร ปิยะพนั ธ์ุ (2541) ลาวในกรุงรัตนโกสนิ ทร์ กรุงเทพฯ: สำ� นกั กองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั และ มลู นิธิ โครงการต�ำราสงั คมศาสตร์ และมนษุ ยศาสตร์ บปุ ผา ดีสขุ (2540) สภาพสงั คมวฒั นธรรมของชมุ ชนไทยเชือ้ สายมอญลมุ่ แมน่ �ำ้ แมก่ ลอง จงั หวดั ราชบรุ ี ศลิ ปวัฒนธรรมท้องถ่นิ ราชบุรี 1: 55-67 ปรานี วงษ์เทศ (2531) นทิ านชาดกกบั โลกทศั น์ของลาวพวน พนื้ ถ่นิ พนื้ ฐาน: มติ ใิ หม่ของคตชิ น วทิ ยาและวถิ ี ชีวติ สามัญของ”พนื้ บ้านพนื้ เมือง” (132-143) กรุงเทพฯ: ศลิ ปวฒั นธรรม ปิ ยะพร วามะสิงห์ (2538) ‘ความส�ำนึกในชาติพันธ์ุของลาวพวน’ วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์ มหาบณั ฑิต สาขา มานษุ ยวทิ ยา มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร เปรมทิพย์ พงษ์นิล (2547) เพลงในประเพณีก�ำฟ้ า: กรณีศกึ ษาชาวพวนจงั หวดั ลพบรุ ี ปริญญา นิพนธ์ มานษุ ยดรุ ิยางควทิ ยา มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ เพ็ญศรี ด๊กุ และนารี สาริกภตู ิ (2529) ประวตั ิศาสตร์ท้องถิ่นของชาวลาวเวียงและลาวพวนใน อ�ำเภอพนมสารคามและอ�ำเภอสนามชยั เขต ฉะเชิงเทรา รายงานวิจยั โครงการไทยศึกษา จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ภธู ร ภมู ะธน (2542) มรดกวัฒนธรรมไทยเบงิ้ ลุ่มแม่น�ำ้ ป่ าสักในเขตท่ไี ด้รับผลกระทบจาก การสร้างเข่ือนป่ าสัก กรุงเทพฯ: ศนู ย์ศลิ ปวฒั นธรรม สถาบนั ราชภฏั เทพสตรี
178 ถกเถยี งวัฒนธรรม มยรุ ี วดั แก้ว (2521) ‘การศกึ ษาโครงสร้างสงั คมของลาวโซง่ ’ วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบณั ฑิต สาขา พฒั นาสงั คม บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ยุรี ใบตระกูล (2537) ‘พิธีบุญก�ำฟ้ าของลาวพวน: กรณีศึกษาหม่บู ้านพวน ต�ำบลบางน�ำ้ เช่ียว อ�ำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี’ วิทยานิพนธ์หลักสูตรมานุษยวิทยามหาบัณฑิต บณั ฑิตวทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั เรณู เหมือนจนั ทร์เชย (2541) ‘การศกึ ษาอิทธิพลความเช่ือ ประเพณี และพิธีกรรมของชาวไทยโซง่ ที่มีผลตอ่ ตอ่ พฒั นา คณุ ภาพชีวติ : กรณีศกึ ษาบ้านแหลมกะเจา 2 ต�ำบลลำ� บวั อ�ำเภอดอนตมู จงั หวดั นครปฐม’ วทิ ยานิพนธ์ปริญญาศลิ ปศาสตร์ มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าพฒั นาชนบทศกึ ษา บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหิดล เรไร สบื สขุ และ คณะ(2523) วรรณกรรมพนื ้ บ้านไทยทรงดำ� รายงานวจิ ยั เสนอตอ่ วทิ ยาลยั ครูเพชรบรุ ี วรณยั พงศาชลากร (2538) ‘พืชเศรษฐกิจกบั การเปล่ียนแปลงทางวฒั นธรรมในชมุ ชนลาวคร่ัง: ศกึ ษากรณีบ้านโคก ต�ำบลอทู่ อง อ�ำเภออทู่ อง จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี’ วิทยานิพนธ์มานษุ ยวิทยา มหาบณั ฑิต บณั ฑิตวทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั วาสนา อรุณกจิ (2529) พธิ ีกรรมและโครงสร้างสงั คมของลาวโซง่ วทิ ยานพิ นธ์ตามหลกั สตู รปริญญา สงั คมวิทยามหาบณั ฑิต จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั วิรัตน์ พงษ์ทอง (2538) ‘การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมท่ีมีผลกระทบต่อ การด�ำรงอย่แู ละการเส่ือม สลายของศิลปหตั ถกรรมพืน้ บ้านไทย: กรณีศกึ ษาหมบู่ ้านไทยวน ต�ำบลดอนแร่ จังหวัด ราชบุรี’ วิทยานิพนธ์มานุษยวิทยามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั วลั ย์ลกิ า สรรเสริญชโู ชติ (2545) ‘การศกึ ษาการเปลย่ี นแปลงในวถิ ีการผลติ และระบบความสมั พนั ธ์ ทางสงั คมในมติ หิ ญิงชายของ ชมุ ชนกะเหรี่ยง: ศกึ ษาเฉพาะกรณีบ้านทพิ เุ ย หมทู่ ่ี 3 ตำ� บลชะแล อำ� เภอทองผาภมู ิ จงั หวดั กาญจนบรุ ี’ วทิ ยานพิ นธ์หลกั สตู รพฒั นาชมุ ชนมหาบณั ฑติ คณะสงั คม สงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ สมเกียรติ จ�ำลอง และ จันทบูรณ์ สุทธิ (2539) วนั เดือนปี ชาวเขา (กะเหรี่ยงโปว์): กรณี จังหวดั อุทยั ธานี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี สถาบนั วิจัยชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวสั ดกิ ารสงั คม สมพงษ์ แสงอร่ามรุ่งโรจน์ (2537) เรือนไทยยวนท่ีบ้านห้วย ไฮ-คลาส:136-40 สดุ แดน วิสทุ ธิลกั ษณ์ (2536) พวนบ้านหาดเสีย้ ว ความค�ำนึงถึงเมื่อสามปี ให้หลงั เมืองโบราณ 4:100:111 สพุ ิศวง ธรรมพนั ทา และ กฤช เจริญน�ำ้ ทองค�ำ (2546) วฒั นธรรมมอญพระประแดง: กรณีศกึ ษา ศิลปหตั ถกรรมพืน้ บ้านการท�ำโลงมอญ พระประแดง สมทุ รปราการ รายงานการวิจยั สาขา สงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวทิ ยา คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ สถาบนั ราชภฏั บ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 179 สภุ รณ์ โอเจริญ (2541) มอญในเมืองไทย กรุงเทพฯ: มลู นิธิโครงการต�ำราและมนษุ ยศาสตร์ สภุ ลกั ษณ์ โทณลกั ษณ์ (2542) การนบั ถือผีบรรพบรุ ุษของชาวกะเหรี่ยงโปว์: บทบาท ความสำ� คญั และการ เปล่ยี นแปลง กรณีศกึ ษาท่ีหมบู่ ้านดงเสลาเก่า ต�ำบลดา่ นแมแ่ ฉลบ อ�ำเภอศรีสวสั ดิ์ จงั หวดั กาญจนบรุ ี สารนพิ นธ์ปริญญาศลิ ปศาสตร์บณั ฑติ สาขามานษุ ยวทิ ยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร สภุ าพรมากแจ้ง(2540)การศกึ ษาวถิ ชี วี ติ มอญบางขนุ เทยี น“มอญบางกะด”่ี ศนู ยศ์ กึ ษาและปฏบิ ตั กิ าร อดุ มศกึ ษาพ่ือพฒั นาท้องถ่ิน ภาควชิ าภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์สถาบนั ราชภฎั ธนบรุ ี สมุ ิตร ปิ ตพิ ฒั น์ และคณะ (2521) ลาวโซง่ รายงานวจิ ยั แผนกอิสระสงั คมวิทยาและมานษุ ยวทิ ยา มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ สมุ ิตร ปิ ติพฒั น์ และเสมอชยั พลู สวุ รรณ (2540) ลาวโซ่ง: พลวตั ของระบบวฒั นธรรมในรอบ สองศตวรรษ โครงการศกึ ษาวจิ ยั วฒั นธรรมชนชาตไิ ทย ส�ำนกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรม แหง่ ชาติ สรุ ิชยั หวนั แก้ว (2543) กระบวนการท�ำให้เป็นชายขอบ (marginalization) ฉบบั ร่าง บทความเสนอ เอกสารประกอบการประชมุ วิชาการ ระดบั ชาติ สาขาสงั คมวิทยา ครัง้ ที่ 1 (15-16 ธนั วาคม 2543) สรุ ินทร์ เหลอื ลมยั และ คณะ (2546) ความหลากหลายทางวฒั นธรรม: กรณศี กึ ษากลมุ่ มอญ-กะเหร่ียง ตะวนั ตก ศลิ ปวฒั นธรรม ศรีศกั ร วลั ลโิ ภดม (2539) สยามประเทศ กรุงเทพ: ส�ำนกั พิมพ์มตชิ น ศริ ิกมล สายสร้อย (2547) ชมุ ชนชาวญ้อในอรัญประเทศ เมืองโบราณ 4: 53-60 อภิญญา เฟื่ องฟสู กลุ (2543) อตั ลกั ษณ์ (identity) ฉบบั ร่างบทความเสนอ เอกสารประกอบการ ประชมุ วชิ าการ ระดบั ชาติ สาขาสงั คมวิทยา ครัง้ ที่1(15-16 ธนั วาคม) อะระโท โอชิมา (2536) ชีวิต พิธีกรรม และเอกลกั ษณ์ทางชาติพนั ธ์ุของคนมอญในเมืองไทย: กรณีศกึ ษาในเขตอ�ำเภอบ้านโป่ ง จงั หวดั ราชบรุ ี วิทยานิพนธ์ สงั คมวิทยาและมานษุ ยวิทยา มหาบณั ฑิต คณะสงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวิทยา มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ (2538) วฒั นธรรมกบั การพฒั นา: มิติของพลังท่ีสร้างสรรค์ กรุงเทพ: สำ� นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ ------ (2545) คนชายขอบ: วฒั นธรรมแห่งการเรียนรู้ของคนไทย กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั นเรศวร อบุ ลทิพย์ จนั ทรเนตร, (2537) ความสมั พนั ธ์ระหว่างเพลงกล่อมเด็กกบั โลกทศั น์ของลาวพวน: กรณีศกึ ษาหม่บู ้านวดั กฎุ ีทอง จงั หวดั สิงห์บรุ ี วิทยานิพนธ์หลกั สตู รสงั คมวิทยามหาบณั ฑิต ภาควิชาสงั คมวิทยามานษุ ยวทิ ยา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั อำ� พร ขนุ เนียม, (2546) พธิ ีกรรมและประเพณีของชาวไทยวน บ้านทา่ เสา อ�ำเภอก�ำแพงแสน จงั หวดั นครปฐม วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตร์มหาบณั ฑิต สถาบนั ราชภฏั นครปฐม
180 ถกเถียงวัฒนธรรม Alonso, Ana Maria (1994) The political of space, time, and substance: state formation, nationalism, and ethnicity. Annual Review of Anthropology 23: 379-405. Baffie, Jean (2003) Ethnic Groups in the Central Plain of Thailand: The Setting of a Mosaic. Thailand Rice Bowl. ed. by Francois Molle and Thippawat Srijantr. Chiangmai: White Lotus. Banks, Marcus (1996) Ethnicity: Anthropological Constructions. New York, Routledge. Barth, Fredrik (1969) Introduction. Ethnic Groups and Boundaries. Boston: Little, Brown and Company. ----- (1969) Pathan Identity and Its Maintenance. Ethnic Groups and Boundaries. Boston. Little, Brown and Company. Bauzon, Kenneth E. (1991) The Quest for Islamic Identity in the Philippines: Formation of the Ummah in the Philippines. Philippines, Manila University Press. Bennett,John (1969)Northern Plainsmen.America:AHMPublishingCorporation.Anticipation, Adaptation, and the Concept of Culture in Anthropology. Science 192: 4242. Brown, David (1992) The State and Ethnic Politics in Southeast Asia: Politics in Asia Series. London and New York, Routledge. Brown, Richard Harvey Cultural representation and state formation: discourses of ethnicity, nationality, and political community. Dialectical Anthropology 21: 265-297. Netherlands, Kluwer Academic Publishers. Bunnayodhayana, Boonsanong (1971) Chinese-Thai Assimilation in Bangkok. Ithaca: New York: Cornell University Press. Campbell, Donald T. (1967) Stereotypes and the perception of group differences: American Psychologist Vol. 22. Cohen, Abner (1974) Introduction: the Lessen of ethnicity. Urban Ethnicity. A. Cohen,ed. London: Tavistock. Cohen, Ronald (1997) Ethnicity: problem and focus in anthropology: Annual Review of Anthropology V.7: 379-403. Coughlin, Richard (1960). Double Identity: the Chinese in Modern Thailand. Hong Kong: Hong Kong Univesity Press. Despres, Leo A. (1975) Toward a theory of ethnic phenomena. Ethnicity and Resource Competition in Plural Societies. The Hague: Mouton. Eriksen, Thomas H. (1997) Ethnicity and Nationalism, Anthropological Perspectives. Virginia, Pluto Press. Featherstone, Mike (1990) Global Culture. London: Sage Publications.
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 181 Foster, Brian L (1974) Ethnicity and commerce. American Ethnologist, 1(3): 437-448. ------ (1977) Mon commerce and the dynamics of ethnic relations. Southeast Asian Journal of Social Science Vol. 5, nos. 1-2 Foster, Robert (1991) Making National Cultures in the Global Ecumene. Annual Review of Anthropology 20: 235-60. Fox, Richard (ed.) (1991) Recapturing Anthropology. Santa Fe: School of American Research Fraser, Thomas (1960) Rusembilan: A Malay Fishing Village in Southern Thailand. Ithaca, New York: Cornell University Press. Friedman, Jonathan (1994) Cultural Identity & Global Process. London: Sage Publications. Geertz, Clifford (1963) The integrative revolution: primordial sentiments and civil politics in the new states. The Interpretation of Cultures. C. Geertz,ed. New York: Basic Books, Inc. Glazer, Nathan and Daniel Moynhan (1975) Introduction. Ethnicity. N.Glazer and D. Moynhan, eds. Cambridge, Mass.: Harvard University Press. Golomb, Louis (1978) Brokers of Morality: Thai Ethnic Adaptation in a Rural Malaysian Setting. Honolulu: The University of Hawaii Press. Gordon, Milton (1964) Assimilation in American Life. New York: Oxford University Press. ----- (1975) Toward a general theory of racial and ethnic group relations. Ethnicity. N. Glazer and D. Moynhan,eds. Harvard University Press. Guibernau, Montserrat and Rex John (1991) Ethnicity Reader: Nationalism, Multiculturalism, and Migration. Oxford: Polity Press. Haaland,G.(1969)Economicdeterminantsinethnicprocesses. Ethnic Groups and Boundaries. F.Barth,ed. Boston: Little, Brown and Company. Hanita, F-B. (1977) The Maintenance of Ethnic Identity among Jewish Women in Urban Setting. Ph.D. dissertation submitted to the American University Hoffman, Diane M. (1996) Collectivism, individualism, and the self: issues in Asian ethnicity in a global context. Presented at the Second International Conference on Contemporary Diaspora, Tsukuba University, Japan. Horowitz, Donald (1975) Ethnic identity. Ethnicity. N. Glazer and D. Moynhan, eds. Cambridge: Harvard University Press. Hutchinson, John and Smith, Anthony D. (1994) Nationalism. New York, Oxford University Press.
182 ถกเถยี งวฒั นธรรม ----- (1996) Ethnicity. New York, Oxford University Press. Isaacs, Harold (1975) Basic group identity: the idols of the tribe. Ethnicity. N. Glazer and D. Moynhan,eds. Cambridge: Harvard University Press. Isajew, Wsevolod (1972) Definition of Ethnicity. Ethnicity 1: 111-124 Kahn, Joel (ed.) (1996) Southeast Asian Identities: Culture and the Politics of Representation in Indonesia, Singapore, and Thailand. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies. Kammerer, Cornelia Ann. (1992). Descent, alliance, and political order among Akha: American Ethnologist 25(4): 659-674 Kaplan, David and Robert Manners (1972) Culture Theory. New Jersey: Prentice Hall, Inc. Keesing, Robert (1972) Theories of culture. Annual Review of Anthropology, vol.3, 73-97. Keyes, Charles F. (1979) The Karen in Thai history and the history of the Karen in Thailand. : Ethnic Adaption and Identity. Pennsylvania, Institute for the Study of Human Issues. ----- (1979) The Karen on the Thai frontier with Burma: Ethnic Adaptation and Identity. Pennsylvania, Institute for the Study of Human Issues ----- (2003) Ethnicity and the nation-State: Asian perspectives: Empire to States. Kunstadter, Peter (1979) Ethnic group, category, and identity: Karen in Northern Thailand. Ethnic Adaptation and Identity. Pennsylvania: Institute for the Study of Human Issue. Leach, Edmund (1964) Political Systems of Highland Burma. London: The Athlone Press. Lehman, F. K. (1967) Ethnic categories in Burma and the theory of social system. Southeast Asian Tribes, Minorities, and Nations. Peter Kunstadter, ed. Princeton, New Jersey: Princeton University Press. ----- (1979) Who are the Karen? And if so, why?: Karen ethnohistory and a formal theory of ethnicity. Ethnic Adaptation and Identity. Charles Keyes,ed. Philadelphia: Institute for the Study of Human Issues. Levine, Robert A. and Donald Campbell (1972) Ethnocentrism: Theories of Conflict, Ethnic Attitudes, and Group Behavior. New York, John Wiley & Sons Inc. Li, Tania Murray (1998) Working separately but eating together: personhood, property, and power in conjugal relations: American Ethnologist 25(4): 675-694 Mitchell, J.C. (1974) Perception of ethnicity and ethnic behavior: an empirical exploration. Urban Ethnicity. A.Cohen, ed. London: Tavistock. Moerman, Michael (1967) Ethnic identification in a complex civilization: who are the Lue?. American Anthropologist 67(5): (1215-1230). Montagu, Ashley (1965) Man’s Most Dangerous Myth: The Fallacy of Race. Cleveland: the World Publishing Company.
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 183 ------ (1972) Statement on Race. London: Oxford University Press. Naroll, Raoul (1964) On ethnic unit classification. Current Anthropology 5(4):283-291, 306-312 Noble, Lela Garner and Suhrke, Astri. (1978). Muslims in the Philippines and Thailand: Ethnic Conflict in International Relations. New York, Praeger Publishers. Ortner, Sherry (1984) Theory in anthropology since the sixties. Comparative Studies in Society and History 26:1,126-166. Pongsapich, Amara et al. (1993) Socio-Cultural Change and Political Development in Central Thailand, (1950-1990). Background Report, the (1993) Year-End Conference, Who Gets What and How ? : Challenges for the Future. Chon Buri, Thailand: TDRI. Potter, Jack (1976) Thai Peasant Social Structure. Chicago: The University of Chicago Press. Prachuabmoh, Chavivun (1980) The Role of Women in Maintaining Ethnic Identity and Boundaries: A Case of Thai-Muslims (The Malay Speaking Group) in Southern Thailand. PhD dissertation submitted to the Graduate Division of the University of Hawaii. ----- (1998) Life, Rituals an Beliefs among Lao Song in Central Thailand. A Research Report, submitted to Japan Society of the Promotion of Science. ----- (2000) Modernization and Family Strategies: The Case of Lao Song in Central Thailand. Family, Community, and Modernization in Asian Countries. Fukuoka: Asia Pacific Center. Rajah, Ananda (1990) Ethnicity, nationalism, and the nation-state: the Karen in Burma and Thailand. Ethnic Groups and Boundaries in Mainland Southeast Asia. G. Wijeyewardene,ed. Singapore: Institute of Southeast Asia Studies. Sahlin, Marshall (1968) Tribesmen. New Jersey: Prentice Hall. Sahlin, Marshall and Elman Service,eds. (1970) Evolution and Culture. Ann Arbor: The University of Michigan Press. Schein, Muriel (1975) When is ethnic group? Ecology and class structure in northern Greece. American Ethnologist. Smuckarn, Snit (1972) Peasantry and Modernization. A Study of the Phuan in Central Thailand. Gruadate Division of the University of Hawaii (Ph.D. in Anthropology). Smuckarn, Snit and Kannon Breazeale (1988) Culture in Search of Survival: The Phuan of Thailand and Laos. New Haven: Yale University Press. Soontornpasuch, Suthep (1997) Islamic Identity in Chiangmai City: A Historical and Structural and Structural Comparison of Two Communities. Ph.D. dissertation, University of California. Berkeley.
184 ถกเถยี งวัฒนธรรม Sotesiri, Roj (1982) The Study of Puan Community, Pho Si Village, Tambon Bangplama, Suphanburi. The Office of the National Culture Commission, Ministry of Education. Steward, Julian and Louis Faron (1955) Theory of Culture Change. Urbana: University of Illinois Press. Thompson, Richard H. (1989) A Critical Appraisal, Theories of Ethnicity. Connecticut, Greenwood Press. Toland, Judith D.(1993) Ethnicity and the State: Political and Legal Anthropology Volume 9. London, Transaction Publishers Toyota , Mika (2000) Does an Akha ethnic group boundary really exist?: The Urban Migration of Highlander. A paper presented in Seminar on thai Studies. Chiangmai. Van de Berhes, Pierre (1981) The Ethnic Phenomenon. New York: Elsevier Press. Wallman, Sandra (1986) Ethnicity and the boundary process in context: Theories of Race and Ethnic Relations. Cambridge, Cambridge University Press. Wijeyewardene, Gehan (1990) Ethnic Groups across National Boundaries in Mainland Southeast Asia. Singapore, Institute of Southeast Asian Studies Wu, David Y.H. (1982) Ethnicity and Interpersonal Interaction. Hong Kong, Maruzen Asia. Zenner, Walter (1995) Ethnicity. Encyclopedia of Cultural Anthropology. New York: Henry Halt and Company.
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 185
บทที่ 4 วฒั นธรรม กับการพฒั นาทางเลือก อมรา พงศาพิชญ์, กนกรัตน์ กิตติวิวัฒน์ ธนภมู ิ อติเวทิน 4.1 บทนำ� บทความน้ีเป็นส่วนหน่ึงของงานวิจัยเรื่อง “การประเมินและสังเคราะห์ องค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรม ในประเด็นว่าด้วยวัฒนธรรมกับการพัฒนาภาค กลาง” ซึ่งเป็นการทบทวนองค์ความรู้ในมิติดังกล่าวผ่านงานวิจัยในสังคมไทย ช่วงระยะเวลา 10 ปี ต้ังแต่ พ.ศ.2537-2547 โดยใช้แหล่งข้อมูลจากวิทยานิพนธ์ รายงานการวจิ ยั หนงั สอื และบทความ ทง้ั สน้ิ 224 ชนิ้ ซงึ่ อาจมขี อ้ จำ� กดั ในการนยิ าม ความหมายของ “วัฒนธรรม” และ “การพัฒนา” ร่วมกนั ในการนำ� ไปใช้ในแวดวง และสาขาวชิ าตา่ งๆ อยา่ งหลากหลาย เชน่ สงั คมวทิ ยา มานษุ ยวทิ ยา ประวตั ศิ าสตร์ สังคมสงเคราะห์ งานด้านการพัฒนาชนบท งานศึกษาทางสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง งานวิจัยเชิงปฏิบัติการหลายพื้นท่ี ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นในการน�ำเสนอบางส่วน ผา่ นบทความชน้ิ นี้ ทไี่ ด้แบง่ เนอื้ หาออกเป็นสองสว่ น ส่วนแรกคอื ภาพรวมของงาน ศึกษาและการสังเคราะห์ในด้านเชิงเน้ือหา เชิงแนวคิด และว่าด้วยวิธีวิทยา และ ส่วนท่สี อง ว่าด้วยข้อสงั เกตต่องานศึกษาและการวจิ ัยในอนาคต
188 ถกเถยี งวัฒนธรรม ในขั้นตอนน้ี ขอกล่าวถึงการใช้ค�ำว่า “พัฒนา” (development) ที่ปรากฏ ให้เห็นผ่านงานศึกษาประเภทต่างๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการทำ� หน้าท่ีเป็นแนวคิด เชิงปฏิบัติการ ซึ่งเริ่มต้ังแต่ระดับปัจเจกเป็นต้นไป เช่น การพัฒนาบุคลิกภาพ การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ การพฒั นาคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในกลมุ่ คนตา่ งๆ ตลอดทง้ั การพฒั นาจติ ใจ หรอื การนำ� ไปใชใ้ นระดบั ชมุ ชนเชน่ การพฒั นาทอี่ ยอู่ าศยั การพฒั นา ชมุ ชน การพฒั นาจติ สำ� นกึ ทอ้ งถน่ิ หรอื การนำ� ไปใชใ้ นเชงิ นโยบาย เชน่ การพฒั นา ต�ำบล หมู่บ้าน หรือส่วนท้องถิ่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาชนบท การพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ตลอดทั้งการเคลื่อนไปสู่การสร้างค�ำนิยามระดับ ประเทศ เช่น ประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศก�ำลังพฒั นา และประเทศด้อยพฒั นา อยา่ งไรกต็ ามแมว้ า่ คำ� วา่ การพฒั นาทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ จะทำ� ใหเ้ หน็ ปฏบิ ตั กิ าร ทกี่ วา้ งขวางและคอ่ นขา้ งหลากหลาย ขณะเดยี วกนั กลบั สะทอ้ นมมุ มองทน่ี า่ สนใจวา่ แทท้ จี่ รงิ แลว้ คำ� ทเ่ี ราใชอ้ ยอู่ ยา่ งสะดวกปาก และมอื (ปากกา) อาจไมไ่ ดม้ คี วามหมาย แท้จริงตายตัว หากแต่ข้ึนอยู่กับบริบทการใช้งานนน่ั ประการหนงึ่ ประการท่ีสอง จากปฏิบัติการข้างต้นของการพัฒนา สะท้อนถึงพลังและอ�ำนาจท่ีจะน�ำไปสู่ การปรบั เปลย่ี นคา่ นยิ มรวมทงั้ พฤตกิ รรมทสี่ ง่ ผลอยา่ งสำ� คญั ต่อวถิ ชี วี ติ ของผ้คู นใน พ้ืนที่ต่างๆ อย่างหลากหลาย เช่นเดียวกับ ค�ำว่า “วัฒนธรรม” ท่ีปรากฏอยู่ใน งานศึกษาที่ทำ� การรวบรวมมาในครงั้ น้ี มกี ารกล่าวถึงตัง้ แต่ความหมายเชงิ วถิ ชี ีวติ ทด่ี งี ามคนไทยในอดตี ซงึ่ เปน็ งานศกึ ษาเชงิ การอนรุ กั ษเ์ พอื่ การทอ่ งเทยี่ วและกลวั วา่ จะสญู หายไป เชน่ ดนตรพี นื้ บา้ น ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นในมติ ติ า่ งๆ รวมถงึ วฒั นธรรม ในความหมายปฏบิ ตั กิ ารในชวี ติ ประจำ� วนั ของผคู้ นหลากหลายกลมุ่ ไมว่ า่ จะเปน็ เดก็ เยาวชน เกษตรกร แรงงานรบั จา้ งในภาคอตุ สาหกรรม แรงงานขา้ มชาติ รวมถงึ ผคู้ น ในพ้นื ท่ตี ่างๆ ทีไ่ ด้รบั ผลกระทบจากโครงการพัฒนาภาครัฐ เมอื่ นำ� การพฒั นาและวฒั นธรรมมาพจิ ารณารวมกนั ในความหมายทพี่ บใน งานศกึ ษาทถี่ กู หยบิ ยกมากลา่ วถงึ ในครง้ั นม้ี ากทสี่ ดุ คอื ความหมายของการพฒั นา ในฐานะปฏิบัติการของการพัฒนาท่ีเกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผ่าน
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 189 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยเชื่อมโยงประเด็นวัฒนธรรมกับการ พฒั นาใน 3 มิติ คอื มติ แิ รก การให้ความส�ำคญั กับการพฒั นาไปสู่ความทนั สมยั (modernization) น�ำมาซ่ึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของผู้คนในบริบทต่างๆ ไมว่ า่ จะเปน็ เยาวชนกบั วฒั นธรรมตะวนั ตก ชมุ ชนกบั การกลายเปน็ เมอื ง หรอื ชนบท กับการกลายเป็นอุตสาหกรรม รวมถึงงานศึกษาที่กล่าวถึงผลพวงจากสภาวะ ดงั กลา่ ว เชน่ ปญั หาแรงงานในดา้ นตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ลกั ษณะการจา้ งงานทก่ี ลา่ วถงึ ความไม่เป็นธรรม ประเดน็ สขุ ภาพ สวสั ดิการและสง่ิ แวดล้อม หรอื ปัญหาผลจาก โครงการพัฒนาของรฐั ทีส่ ่งผลต่อผู้คนในท้องถิ่น มติ ิที่สอง ได้แก่ งานศกึ ษาเร่อื ง วัฒนธรรมกับการพัฒนาที่เร่ิมให้ความสนใจวิถีชีวิตผู้คนในท้องถ่ินโดยเช่ือมโยง เขา้ กบั แนวคดิ ภมู ปิ ญั ญาโดยใหค้ วามสำ� คญั ในฐานะอดุ มการณก์ ารพฒั นา เปน็ การ กล่าวถึงภมู ปิ ัญญา ในฐานะทีเ่ ป็นกระบวนการสร้างองค์ความรู้และขบวนการเพอื่ เปลี่ยนแปลงสังคม ซึง่ เกิดขึ้นเป็นกระแสในสังคมไทย ตั้งแต่ปี 2524 หรอื ก่อนหน้า โดยก่อตัวข้ึนจากการเคลื่อนไหวทางสังคมหลายส่วน โดยเฉพาะนกั พัฒนาองค์กร พัฒนาเอกชน (ปรติ ตา เฉลิมเผ่า กออนนั ตกูล อ้างใน ศูนย์มานุษยวทิ ยาสิรนิ ธร, 2548) มติ ทิ สี่ าม การศกึ ษาเชงิ วาทกรรมโดยการกลา่ วถงึ วฒั นธรรมและการพฒั นา ในความหมายปฏิบัติการเชิงความรู้และอ�ำนาจท่ีสะท้อนการปะทะกันระหว่าง ความรู้ท้องถิ่นและความรู้ของผู้เช่ียวชาญ โดยส่วนหนึ่งได้จากการศึกษาวิจัย เชิงปฏิบตั ิการ ซ่งึ ท�ำให้เข้าใจมติ ิท่ีซบั ซ้อนได้ชดั เจนข้นึ การท�ำงานส�ำรวจงานเขียนในประเด็นวัฒนธรรมกับการพัฒนาเฉพาะ พื้นท่ีภาคกลาง (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร) เร่ิมต้นจากน�ำมาจัดแบ่งประเภท และ สังเคราะห์ในมิตติ ่างๆ ดงั ต่อไปนี้ 1. การพฒั นากบั การเปลย่ี นแปลงวถิ ชี ีวิต วัฒนธรรมของกลุ่มคน 2. วฒั นธรรมในฐานะเป็นอุดมการณ์การพัฒนาแบบทางเลือก 3. วฒั นธรรมและการจดั การทรัพยากร และสงิ่ แวดล้อม 4. บทบาทของวัฒนธรรมในการจัดการท่องเท่ยี ว
190 ถกเถยี งวัฒนธรรม 4.2 การพฒั นากบั การเปล่ียนแปลงวิถชี วี ติ /วฒั นธรรม ของกลมุ่ คน งานศึกษากลุ่มน้ีปรากฏในงานประเภทวิทยานิพนธ์เป็นส่วนใหญ่ โดยมอง วา่ กระบวนการพฒั นานำ� มาซงึ่ การเปลย่ี นแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรมซงึ่ ลกั ษณะ งานยังคงจ�ำกัดอยู่กับการอธิบายเชิงบรรยายปรากฏการณ์ก่อนหน้าและสภาพ ท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบันมีลักษณะของการแบ่งคู่ตรงข้ามเมืองกับชนบท วัฒนธรรม ในความหมายของกลุ่มงานศึกษานี้ให้คุณค่ากับความดีงามในอดีตซ่ึงภายหลัง ถูกแทนท่ดี ้วยส่งิ ที่เรียกว่า ทุนนยิ ม วัตถุนิยมทม่ี ากับกระบวนการพัฒนา งานศกึ ษาตงั้ แตป่ ี พ.ศ.2537-2547 เปน็ การศกึ ษาภายใตแ้ นวคดิ การวเิ คราะห์ การเปลย่ี นแปลงเชงิ เดยี่ ว (linear perspective) คอื การมองไปในทศิ ทางใดทศิ ทางหนง่ึ ในงานศึกษาสะท้อนการบรรยายสภาพสังคมก่อนทุนนิยม ทั้งด้านชีวิตและ ความเป็นอยู่ ความเช่ือ การผลิต และเม่ือการพัฒนาเข้าสู่ชุมชนทำ� ให้สภาพเดิม ของชุมชนหมดไป น�ำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต สภาพสังคม ชุมชน ที่เกิด จากการรับเอาค่านิยมความทันสมัย ความเป็นเมือง เข้าไปแทนท่ีวิถีชีวิตดั้งเดิม โดยกระบวนการดังกล่าวเริ่มต้นจากการพัฒนาน�ำโดยรัฐภายใต้แผนพัฒนา เศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ซง่ึ ดำ� เนนิ การในลกั ษณะพมิ พเ์ ขยี ว เนน้ ความทนั สมยั อย่างตะวันตก เป็นเสมอื นเครื่องมือหลกั ทีท่ �ำให้วัฒนธรรมของชุมชนภาคกลางซง่ึ มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมถูกท�ำลายลง งานศึกษาเหล่าน้ีมักใช้กรอบการ วิเคราะห์ในทางเดียวกนั ว่า แผนพฒั นาทเี่ น้นการปลกู พืชเศรษฐกิจเชิงเดีย่ วรวมถงึ แผนการพัฒนาอุตสาหกรรมในหลายพ้ืนที่ได้ละเลยความแตกต่างหลากหลาย ทางวัฒนธรรมของประชาชน ท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่านิยม ความเช่ือของ ชุมชนให้สอดคล้องรับกับนโยบายการพัฒนา เช่นการพ่ึงพาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มผลผลิต ท�ำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เกษตรกรท่ีสามารถปรับตัวต่อระบบ ดังกล่าวได้ ก็เข้าสู่การเป็นแรงงานงานรับจ้างหรือเปล่ียนอาชีพเข้าสู่ ภาคอุตสาหกรรม พวกที่ปรับตัวพอได้กลายเป็นผู้ผลิตรายใหม่ท่ีผูกโยงกับกลไกล
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 191 ตลาด (แต่งานศกึ ษาไม่ได้กล่าวถงึ กลุ่มหลังน้มี ากนกั ) ตวั อย่างงานศกึ ษาในกลุ่มนี้ เชน่ มนตรี คงเจรญิ (2536) ศกึ ษาผลกระทบของการเปลย่ี นแปลงทางสงั คม เศรษฐกจิ ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ประมงชายฝง่ั ศกึ ษาชมุ ชนคลองดา่ น1 พบวา่ การตดิ ตอ่ กบั สงั คมเมอื ง มีผลต่อการเติบโตของอาชีพประมง เช่นเดียวกับงานศึกษาของ ชนกิ า วัฒนะคีรี (2537) เรอ่ื ง จากสงั คมชาวนาสสู่ งั คมอตุ สาหกรรม ศกึ ษาการเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชุมชนไทเบิ้ง จ.ลพบุรี2 พบว่าการที่ชุมชนไทเบ้ิงซ่ึงให้ภาพว่าเป็นชุมชนดั้งเดิม ผูกพันด้วยเครือญาติ เกิดการเปล่ียนแปลงเนื่องจากรัฐต้องการพัฒนาประเทศ สู่ความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม ชุมชนต้องปรับเปลี่ยนอาชีพจากการทำ� นามา เป็นคนงานโรงงานอุตสาหกรรม หรืองานศึกษาของ วรณัย พงศาชลากร (2538) เรื่องพืชเศรษฐกิจกับการเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรม ศึกษาที่บ้านโคก ต.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี3 โดยวิเคราะห์ปัจจัยท่ีมีผลต่อการเปล่ียนแปลงพืชเศรษฐกิจและ อทิ ธพิ ลการค้าแบบทนุ นิยม นอกจากนี้ สมคดิ จ�ำนงศร (2544) ได้ศกึ ษาเกี่ยวกบั การเปล่ียนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนรอบสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยธุ ยา4 สะท้อนถึงผลการศึกษาทำ� นองเดยี วกันว่า การเปลี่ยนแปลง ทางสงั คมและวฒั นธรรมทเี่ กดิ ขนึ้ เนอื่ งมาจากสภาพพน้ื ทท่ี เี่ ปลย่ี นจากเกษตรกรรม เป็นอุตสาหกรรมตามนโยบายการพัฒนา ท�ำให้มีโรงงานอุตสาหกรรมเกิดข้ึน ในชมุ ชนส่งผลต่อการเปลยี่ นแปลงของชมุ ชนในหลากหลายมิติ งานศึกษาบางส่วนทไี่ ด้น�ำเสนอข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่ามลี กั ษณะท�ำนอง เดยี วกนั คอื การวเิ คราะห์ภายใต้กรอบคดิ เรอื่ ง การเปล่ยี นแปลงทางวฒั นธรรมของ ทอ้ งถน่ิ เกดิ จากการเตบิ โตของเมอื ง นโยบายและการพฒั นาอตุ สาหกรรม ตลอดทง้ั การเรง่ รดั พฒั นาชนบท ซง่ึ เนน้ การบรรยายเชงิ โครงสรา้ งทเ่ี ปน็ แบบแผนเดยี วกนั ใน แทบทกุ พน้ื ท่ี กลา่ วคอื การสะทอ้ นภาพเดยี วกนั ทแ่ี สดงถงึ คลน่ื แหง่ การพฒั นาจาก ภายนอกทถี่ าโถมเขา้ สชู่ มุ ชนและทำ� ลายของวถิ ชี วี ติ ชมุ ชนลง ซงึ่ อาจจะขาดมติ ขิ อง 1 วทิ ยานิพนธ์มหาบณั ฑิต บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร 2 วิทยานิพน์มหาบณั ฑิต บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ 3 วทิ ยานิพนธ์มหาบณั ฑิต บณั ฑิตวิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั 4 วทิ ยานิพนธ์มหาบณั ฑิต ศิลปะศาสตร์มหาบณั ฑิต (สาขาวิชาพฒั นาชนบท) มหาวิทยาลยั มหิดล
192 ถกเถียงวัฒนธรรม การตอ่ รองของชมุ ชน กลา่ วคอื งานศกึ ษาในชว่ งนย้ี งั มองไมเ่ หน็ ตวั ผกู้ ระท�ำการทาง สังคม (social actor) ท่ีมีความหลากหลาย จึงขาดการมองมิติการปะทะประสาน ทางวฒั นธรรม นอกจากน้ีมีหลายงานที่ให้ความสนใจวิถีชีวิตของกลุ่มแรงงานรับจ้างเช่น งานศกึ ษาของ กรรณกิ า เรืองเดช5 ศกึ ษาเก่ยี วกบั สขุ ภาพแรงงานหญงิ ที่ทำ� งานใน โรงงานอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ พบวา่ รปู แบบของการทำ� งานเชน่ ทำ� งานเปน็ กะ (เพอ่ื ใหค้ นงาน มชี ว่ั โมงทำ� งานมากทสี่ ดุ ) เบย้ี ขยนั โบนสั หรอื การจดั เกรดขน้ึ เงนิ เดอื นเปน็ แรงจงู ใจ ประกอบด้วยการอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับเคร่ืองจักรและสารเคมี ล้วนสง่ ผลใหแ้ รงงานหญงิ ประสบกบั ปญั หาสขุ ภาพ หรอื บางงานกส็ นใจศกึ ษาการ รวมตัวทางสังคม เศรษฐกิจอันเกิดจากผลกระทบการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม อย่างเช่น งานศึกษาเรื่อง กลุ่มสหกรณ์ชาวไร่สับปะรดสามร้อยยอดจ�ำกัด ของ สุวัชชัย โอกาส (2543) เป็นงานศึกษาที่เน้นการรวมตัวของเกษตรกรในรูปของ สหกรณ์ เพื่อน�ำไปสู่การเพิ่มอ�ำนาจต่อรองและขยายไปสู่การท�ำกิจกรรมร่วมกัน ในด้านต่างๆ พิจารณาทั้งในระดับของการบริหารจัดการเชิงธุรกิจและการจัด ความสัมพนั ธ์ของสมาชิกที่เอือ้ ต่อการด�ำเนนิ งาน 4.3 วฒั นธรรมในฐานะเป็นอดุ มการณก์ ารพฒั นาแบบทางเลอื ก งานหลายงานในชว่ งเวลาดงั กลา่ วไดส้ ะทอ้ นความสนใจและการพยายามที่ จะท�ำความเข้าใจและส่งเสริมการปฏบิ ัติการของชุมชนในเร่อื งของการพัฒนาแบบ ทางเลอื กทใี่ ห้ความส�ำคญั กบั การอนรุ กั ษ์ หรอื ประยกุ ต์กบั วฒั นธรรมดงั้ เดมิ โดยใช้ กระบวนการวิจัยท่ีเรียกว่า “การวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยชุมชนมีส่วนร่วม” ภายใต้ มโนทศั น์สำ� คัญที่เรยี กว่า “ประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน” บ้าง “ภมู ิปัญญาดงั้ เดมิ ” บ้าง ซ่ึงอาจจะมีความแตกต่างกันบ้างในเชิงจุดเน้นแต่ร่วมกันในการท่ีเป็นปฏิกิริยาใน การหาทางเลือก การพัฒนาท่ีเหมาะสมส�ำหรบั ชมุ ชน 5 กรรณิกา เรืองเดช สุขภาพแรงงานหญิงในบริบทของกระบวนการแรงงาน บทบาททางเพศและ ความสัมพันธ์หญิงชาย : ศึกษาเฉพาะกรณีโรงงานอิเลคทรอนิกส์แห่งหน่ึงในเขตจังหวัดภาคกลาง, วทิ ยานิพนธ์, สาขาวชิ าสงั คมศาสตร์การแพทย์และสาธารณสขุ มหาวิทยาลยั มหิดล 2539
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 193 ก. งานวิจัยในแนวภมู ปิ ญั ญาดัง้ เดิมหรอื วัฒนธรรมชมุ ชน ความน่าสนใจของงานศึกษาในกลุ่มนี้อยู่ท่ีมิติการมองปรากฏการณ์และ การหยิบยกชุมชนหรือกลุ่มคนที่พยายามใช้วัฒนธรรมเดิมของตนมาปรับเข้ากับ กระบวนการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนนับตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา งานกลุ่มน้ีปรากฏ มากข้ึนเป็นล�ำดับ ซ่ึงอาจจะเกี่ยวข้องอย่างส�ำคัญกับการเกิดข้ึนของแนวคิด วัฒนธรรมชุมชน/กระแสชุมชนเข้มแข็งและการตั้งค�ำถามกับนโยบายการพัฒนา ที่ผ่านมาตลอดทั้งการหันกลับมาสนใจองค์ความรู้ท้องถ่ินดังเช่น งานศึกษา ของสัมฤทธ์ิ ผิวน่ิม (2545) เร่ือง ภูมิปัญญาชาวบ้านในการประกอบอาชีพกรณี ศึกษาเครือข่ายวนเกษตรและป่าชุมชนภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา6 พบว่า การประกอบอาชีพทางการเกษตรไม่สามารถแยกออกจากการส่ังสมและถ่ายทอด ภมู ปิ ญั ญาซง่ึ อาศยั ระยะเวลายาวนานและมกี ารตอ่ ยอด นอกจากนย้ี งั มงี านศกึ ษา ทกี่ ลา่ วถงึ ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นในฐานะของการแกไ้ ขปญั หาของชมุ ชนเรอื่ งศกั ยภาพ ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการแก้ปัญหาชุมชนโดยนฤมล บรรจงจิตร์และคณะ (2547) ศึกษาจากเครือข่ายชุมชนและการรวมกลุ่มของชาวบ้านในจังหวัดฉะเชิงเทรา 1 เครือข่าย 4 กลุ่ม7 ส�ำหรับประเด็นทางเลือกการพัฒนางานศึกษาของอุศนีย์ ธูปทอง (2543) เร่ืองศักยภาพของพ้ืนที่และทัศนคติท่ีมีต่อการท�ำการเกษตรแนวทฤษฎีใหม่ศึกษา ต.ผึ้งหลวง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี เน้นศึกษาเรื่องทัศนคติ และปัจจัยท่ี เกย่ี วข้องงานศกึ ษาของฉตั ตรนิ บุญเกิด (2544) เรอ่ื งการศึกษาเรื่องการพ่ึงตนเอง ของกลุ่มเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพิษ ต.ห้วยพระ จ.นครปฐม เป็นการศึกษา ความสามารถที่จะพ่ึงตนเองให้ได้ในทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้ประกอบ อาชีพทางการเกษตรผ่านการรวมกลุ่มเพื่อเพ่ิมอ�ำนาจการต่อรอง อย่างไรก็ตาม เนือ่ งจากการขยายตวั ของงานศึกษาในกลุ่มน้ีมีเพมิ่ มากขน้ึ จากการเป็นกระแสรอง จนเรียกได้ว่าเป็นกระแสหลักของการพัฒนาในปัจจุบัน ท้ังน้ี ในการประชุมทาง 6 วทิ ยานิพนธ์มหาบณั ฑิต (สงั คมสงเคราะห์ศาสตร์) บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ 7 นฤมล บรรจงจติ ร์ (2547) ศกั ยภาพภมู ปิ ัญญาท้องถิ่นในการแก้ไขปัญหาชมุ ชน กรุงเทพฯ. : สถาบนั วจิ ยั สงั คม จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั
194 ถกเถยี งวฒั นธรรม มานุษยวิทยาประจ�ำปี 2547 ภายใต้หัวข้อ “ทบทวนภูมิปัญญา ท้าทายความรู้” ปรติ ตา เฉลมิ เผา่ กออนนั ตกลู ไดต้ งั้ ขอ้ นา่ สงั เกตไวอ้ ยา่ งนา่ สนใจวา่ “ในแวดวงการ พฒั นาของไทยเดมิ ทค่ี วามรเู้ รอ่ื ง “ภมู ปิ ญั ญา” เคยเปน็ เพยี งกระแสรอง/กระแสตา้ น แต่ค่อยๆ ถกู กลืนเข้าเป็นส่วนหนงึ่ ของกระแสหลัก และทสี่ �ำคัญ ภมู ปิ ัญญากลาย เป็นส่ิงท่ีเรียกว่า “สัญญะที่ไร้ราก” (Floating signiifffiier) คือการถูกนำ� ไปใช้ในกลุ่ม สังคมท่ีแตกต่างกันออกไป ด้วยความหมายต่างๆ กันจนกระท่ังไม่สามารถจำ� กัด ความหมายที่แน่นอนได้อีก8 นอกจากน้ี จามะรี เชียงทอง ได้กล่าวถึงกระแส การพัฒนาทางเลือกว่า “การแสดงทางเลือกหรือความหลากหลายน้ี อาจนำ� ไปสู่ การถูกฉกฉวยบางลักษณะของการพัฒนาทางเลือก เข้าผนวกกับกระแสหลักของ รฐั และตลาด เช่น เลือกหยบิ เอาชุมชนเข้าเป็นส่วนหนง่ึ ของนโยบายการพัฒนาแต่ ยังคงไว้ซ่ึงระบบตลาดและอ�ำนาจรัฐหรือหยิบเอากระแสอนุรักษ์สภาพแวดล้อม แต่ไม่ปฏิเสธระบบตลาด ซึ่งอาจน�ำสู่ทางเลือกการพัฒนาท่ีผิดเพี้ยนไป”9 อย่างไร กต็ ามประเดน็ เหล่าน้ลี ้วนแต่ท้าทายต่อการศึกษาอย่างลึกซึ้งต่อไป ข. งานในกลุ่มจิตสำ� นกึ ทอ้ งถน่ิ /ประวัติศาสตรท์ อ้ งถิน่ ส�ำหรับกลุ่มน้ีพบได้ในงานของส�ำนกั งานกองทุนสนับสนนุ การวิจัย (สกว.) ภายใต้ชุดโครงการวิจัยประวัติศาสตร์วัฒนธรรมท้องถ่ินภาคกลาง โดยเน้นที่ กระบวนการสร้างนกั วิจัยท้องถิ่นและใช้การวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมพร้อม เน้นกับการสร้างจิตส�ำนกึ ท้องถิ่นผ่านงานศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างเช่น การวิจัยเร่ือง การสืบสร้างประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอัมพวา ต.บางนางล่ี (2545)10 งานชิ้นน้ีกล่าวถึงท่ีมาและวิธีการศึกษาว่า ถึงแม้ชุมชนชาวสวนอัมพวาจะมี ประวัติศาสตร์ที่ยาวนานไม่ต่างจากชุมชนอ่ืน ทว่าเงื่อนไขเชิงภูมิศาสตร์กายภาพ 8 อ้างในยกุ ติ มกุ ดาวจิ ิตร (2548).อา่ น “วฒั นธรรม” วาทศลิ ป์ การเมืองของชาตพิ นั ธ์นุ ิพนธ์แนววฒั นธรรม ชมุ ชน.กรุงเทพฯ: ฟ้ าเดียวกนั . 9 จามะรี เชียงทอง (2549).สงั คมวทิ ยาการพฒั นา.กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พริต้ ตงิ ้ เฮ้าส์. 10 โครงการวิจยั สืบสานสร้างประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมอมั พวาสวนนอก ต�ำบลนางล่ี.กรุงเทพฯ:ส�ำนกั งาน กองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 195 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐและการขยายตัวของ ภาคอตุ สาหกรรมท�ำให้ประวัตศิ าสตร์ท้องถิ่นลดพลงั และลดความส�ำคญั ลงเร่ือยๆ จนไม่สามารถร้อยรัดชุมชนเข้าด้วยกัน ประกอบกับคนรุ่นใหม่ขาดความรู้และ จิตส�ำนึกทางประวัติศาสตร์จึงน�ำไปสู่การอ่อนแอลงของชุมชน ดังน้ันวิธีการ ศึกษาจึงให้ความส�ำคัญกับกระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นผ่านการวิจัย เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม (Participatory Action Research) คอื ไมไ่ ดม้ องวา่ ชมุ ชน เปน็ วตั ถแุ หง่ การศกึ ษาหรอื ผใู้ หข้ อ้ มลู เทา่ นนั้ หากแตป่ รบั สถานะมาเปน็ ผศู้ กึ ษารว่ ม (co-author) ท้ังนี้วิธีการดังกล่าวเป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนได้เป็นผู้ก�ำหนด ความหมาย เร่ืองราว อันเป็นสิ่งสะท้อนวฒั นธรรมทีแ่ สดงถึงเอกลักษณ์ของตนเอง นอกจากจะท�ำให้เกิดความเข้าใจและภาคภูมิใจร่วมกันแล้วยังน�ำไปสู่การเพิ่ม อ�ำนาจในการสร้างและก�ำหนดความหมายซึง่ มคี วามส�ำคญั กับชมุ ชนอกี ด้วย งานศึกษาเร่ือง วิถีคนป่าตะวันออกผืนสุดท้าย (2548)11เป็นการศึกษา แนวประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ บรเิ วณชมุ ชนบา้ นตน้ นำ�้ คลองระบบ-สยี ดั มวี ตั ถปุ ระสงค์ เพื่อให้ชุมชนได้ทบทวนถึงความเป็นมาของชุมชนที่มีการเคลื่อนย้ายของกลุ่ม ชาติพันธุ์ต่างๆ เข้า-ออก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของชุมชนอันสืบเน่ืองจากการ ท�ำสัมปทานป่าไม้และการสร้างอ่างเก็บนำ้� ขนาดใหญ่ กระบวนการศึกษาเน้นการ สร้างกระบวนการเรียนรู้ของนักวิจัยพร้อมกับการสร้างสัมพันธ์ระหว่างทีมวิจัย และชุมชนผ่านการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชุมชน การสัมภาษณ์เชิงลึก และ การจัดเวทีเยาวชน เป้าหมายของงานศึกษาวิจัยนอกจากจะได้ผลการศึกษาเป็น องค์ความรู้ของท้องถิ่นแล้วยังเป็นการสร้างส�ำนึกอันเกิดจากการเรียนรู้และ ทบทวนอดตี เพือ่ ใช้เป็นการวางแผนร่วมกันในอนาคต งานศกึ ษาภายใตโ้ ครงการวจิ ยั พลวตั ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ ทา่ มกลางกระแส การเปลีย่ นแปลง ตำ� บลคลองด่าน จงั หวัดสมุทรปราการ (2546)12 งานศึกษาช้ินนี้ 11 วบิ ลู ย์ เขม็ เฉลมิ และคณะ. วถิ คี นบนป่ าตะวนั ออกผนื สดุ ท้าย(2548).กรุงเทพฯ:ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั 12 เรวดี ประเสริฐเจริญสุขและคณะ.โครงการวิจัยพลวัตประวัติศาสตร์ท้องถ่ินท่ามกลางกระแส การเปลี่ยนแปลง:ต�ำบลคลองดา่ น (2546),ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั .
196 ถกเถียงวฒั นธรรม เร่ิมต้นจากการท�ำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นในจังหวัดผ่านนโยบาย พัฒนาประเทศและแผนพัฒนาระดับจังหวัด โดยเร่ิมจากการถูกก�ำหนดให้เป็น ศูนย์กลางความเจริญและพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ต่อมาเป็นพ้ืนท่ีรองรับ การเจริญเติบโตของกรุงเทพมหานครท้ังด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรมและ ด้านประชากร แรงงาน (แผนพัฒนาฯฉบับท่ี 4-5) ท้ังนงี้ านศกึ ษาได้ชีใ้ ห้เหน็ ว่าเป็น พน้ื ทที่ เ่ี หมาะสมกบั การเกษตรมากกวา่ อตุ สาหกรรม โดยเฉพาะต�ำบลคลองดา่ นซง่ึ เปน็ ทรี่ จู้ กั ของสงั คมในฐานะเปน็ กรณกี ารเคลอ่ื นไหวคดั คา้ นโครงการสรา้ งโรงบำ� บดั น้�ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามงานศึกษาชิ้นน้ีได้สะท้อนมุมมองที่ น่าสนใจเร่ืองการศึกษาประวัติศาสตร์กระแสหลัก (ประวัติศาสตร์ชาติและผู้นำ� ) กับการพัฒนากระแสหลักท่ีเน้นการเติบโตของอุตสาหกรรมและภาคเมือง ดังนี้ งานศกึ ษาในกลมุ่ ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ เรม่ิ ตน้ ทก่ี ารทำ� ความเขา้ ใจกบั กระบวนการ พัฒนาโดยเชื่อมโยงกับงานศึกษาประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาว่าให้ความส�ำคัญ แต่เฉพาะประวัติศาสตร์กระแสหลัก (ประเทศชาติ) เป็นผลให้การด�ำเนนิ โครงการ พฒั นาตา่ งๆ ของรฐั ทงั้ สว่ นกลางและภมู ภิ าค ไมไ่ ดส้ นใจหรอื คำ� นงึ ถงึ ชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ซงึ่ สว่ นหนง่ึ เปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ (เชน่ คลองดา่ น จงั หวดั สมทุ รปราการ ประกอบดว้ ย มอญ จนี ไทย มุสลิม) งานศึกษาแนวนมี้ องว่าการพฒั นาทผ่ี ่านมาเป็นการพฒั นา ภายใตข้ อ้ อา้ งการใชท้ รพั ยากรไปเพอื่ พฒั นาประเทศ ความเปน็ ทอ้ งถนิ่ จงึ ไมไ่ ดม้ อี ยู่ ในวธิ คี ดิ ดงั กลา่ ว ซงึ่ ประเดน็ นเ้ี ปน็ ทม่ี าของการปลกู สำ� นกึ ทอ้ งถนิ่ ผา่ นการวจิ ยั /ฟน้ื ฟู ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นเสมือนหน่ึงการเตรียมชุมชนต่อ สภาพการณ์ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต 4.4 วฒั นธรรมและการจดั การทรพั ยากรในบรบิ ทของการพฒั นา งานศึกษาประเด็นการจัดการทรัพยากร ปรากฏในงานศึกษาสาขา สง่ิ แวดลอ้ ม มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล ซงึ่ มที งั้ งานศกึ ษาในระดบั พฤตกิ รรมของประชาชน ในการรักษาแม่น้�ำ เช่น งานศึกษาเรื่อง พฤติกรรมประชาชนในการแก้ไขปัญหา
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 197 แม่น้�ำท่าจีนเน่าเสีย13และงานศึกษาเรื่องพฤติกรรมของประชาชนในการอนุรักษ์ แมน่ ำ้� แมก่ ลอง14สะทอ้ นการศกึ ษาระดบั ปรากฏการณเ์ นน้ ทพ่ี ฤตกิ รรมของประชาชน ในพน้ื ท่ี โดยการสำ� รวจจากแบบสอบถาม วเิ คราะหจ์ ากตวั แปร เพศ อายุ การศกึ ษา และอาชพี ร่วมกบั พฤตกิ รรมการใช้นำ้� งานศึกษาลกั ษณะนี้ไม่ได้ทำ� ให้เห็นลกั ษณะ เฉพาะทางสังคมวัฒนธรรมกับสิ่งแวดล้อม/ทรัพยากร กับสังคมที่พบมักปรากฏ ในทำ� นองเดียวกันซ่งึ ขาดการเช่ือมโยงเชงิ บริบทของพน้ื ทน่ี น้ั ๆ นอกจากน้ีมีงานท่ีศึกษาปรากฏการณ์เดียวกันแต่ได้ค�ำตอบท่ีแตกต่างกัน ซ่ึงอาจจะพบมากในเชิงส�ำรวจของหน่วยงาน/บริษัทท่ีปรึกษา กับงานศึกษาของ นักวิจัยท้องถิ่น กรณีท่ีจะยกตัวอย่าง ได้แก่ กรณีการจัดการน้�ำในต�ำบล แพรกหนามแดง ดังปรากฏในงานศกึ ษาของ สกล เท่ียงจิตร (2537)15 เรื่องศึกษา โครงการก่อสร้างเพ่ือป้องกันน้�ำเค็มไม่ให้บุกรุกเข้าท�ำความเสียหายในพื้นท่ี ชายฝง่ั ทะเลบรเิ วณจงั หวดั สมทุ รสาครและสมทุ รสงคราม โดยงานศกึ ษาวจิ ยั ก�ำหนด วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และ ทัศนะคติของประชาชนท่ีมีต่อการด�ำเนนิ งานของโครงการใช้การเก็บข้อมูลจาก แบบสอบถาม จำ� นวน 226 ครวั เรอื น ไดผ้ ลการศกึ ษาวา่ การมโี ครงการกอ่ สรา้ งระบบ ป้องกันน้�ำเค็มดังกล่าว ส่งผลต่อเศรษฐกิจสังคม และส่ิงแวดล้อม ในทางที่ดีข้ึน ขณะท่ีอีก 9 ปีต่อมา ชุดงานวิจัยท้องถิ่น เร่ืองโครงการรูปแบบการจัดการน้�ำใน คลองแพรกหนามแดง อ�ำเภออัมพวา จังหวดั สมทุ รสงคราม (2546)16กลับกล่าวถงึ 13 สชุ าดา บญุ ประสพ.ร้อยตำ� รวจเอก.พฤตกิ รรมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาแมน่ �ำ้ ทา่ จนี เนา่ เสยี :ศกึ ษา กรณีอ�ำเภอสามพราน จงั หวดั นครปฐม. วิทยานิพนธ์.สาขาสง่ิ แวดล้อม มหาวทิ ยาลยั มหิดล.2539. 14 ปรีชา มาเจริญ.พันต�ำรวจโท.พฤติกรรมของประชาชนในการอนุรักษ์แม่น�ำ้ แม่กลอง:ศึกษากรณี อ�ำเภอโพธาราม จงั หวดั ราชบรุ ี.วทิ ยานิพนธ์.สาขาสง่ิ แวดล้อม.มหาวทิ ยาลยั มหิดล, 2539. 15 สกล เท่ียงจิต,การเปล่ียนแปลงสภาพเศรษฐกิจ สงั คมและสิ่งแวดล้อมของประชาชนท่ีอาศยั อย่ใู น บริเวณโครงการก่อสร้ างระบบป้ องกันน�ำ้ เค็ม:ศึกษาเฉพาะกรณีต�ำบลแพรกหนามแดง อ�ำเภออัมพวา จงั วหดั สมทุ รสาคร.วิทยานิพนธ์.สาขาสงิ่ แวดล้อม มหาวทิ ยาลยั มหิดล, 2537 16 เกศสดุ า สทิ ธิสนั ติกลุ (บรรณาธิการ).ประสบการณ์จากพืน้ ท่ี เลม่ ที่ 2:น�ำ้ ความขดั แย้ง การคลี่คลาย ปัญหา ของชุมชนแพรกหนามแดง.เชียงใหม่:ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ส�ำนักงานภาค ชัน้ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ 2546.
198 ถกเถยี งวฒั นธรรม โครงการดังกล่าวว่าน�ำมาสู่ความขัดแย้งเรื่องการจัดการน้�ำระหว่างชาวบ้านใน พื้นท่ี ซงึ่ มีท้งั กลุ่มชาวนาทต่ี ้องการน้�ำจดื และกลุ่มผู้เลย้ี งกุ้งทต่ี ้องการนำ้� เค็ม และ ความขัดแย้งคล่ีคลายด้วยการแก้ไขปัญหาร่วมกันของชาวบ้านผ่านการวิจัย ปฏบิ ัติการของชาวบ้านโดยมเี จ้าหน้าท่ีส�ำนกั งานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ยั (สกว.) เป็นพ่ีเล้ียงโดยให้ชาวบ้านร่วมปรึกษาหารือ และลงมือศึกษาเร่ืองการไหลของน�้ำ จากคนรนุ่ กอ่ นและสรา้ งประตขู นึ้ มาใหม่ แทนประตนู ำ้� ทส่ี รา้ งโดยกรมชลประทานที่ ชาวบ้านกล่าวว่าไม่สามารถใช้การได้ อย่างไรก็ตามมีงานบางงานที่สนใจศึกษาการจัดการทรัพยากรในบริบท ของการเปลี่ยนแปลงที่วิถีชีวิตชุมชนเดิมได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐอย่างเช่น งานศึกษาเรอื่ งเอกลกั ษณ์ปรงุ แต่งกบั การจัดการทรัพยากรท้องถ่ิน จงั หวัดเพชรบรุ ี (2545)17งานศึกษาช้ินน้ีก�ำหนดวัตถุประสงค์ว่าเพ่ือหาแนวทางในการจัดการ ทรัพยากรท้องถ่ินโดยเริ่มต้นจากการถามหาวิถีชีวิตชาวสวนท่ีผูกโยงกับต้นตาล ในอดีตและถูกท�ำลายด้วยนโยบายการพัฒนาของรัฐท่ีเน้นการปลูกพืชเศรษฐกิจ และพัฒนาอุตสาหกรรม งานศึกษาใช้กรอบนิเวศวิทยาการเมือง โดยกล่าวถึง นโยบายด้านการเกษตรเมื่อปี 2530 เร่ิมส่งเสริมการท�ำนาปีละสองครั้ง ส่งผล ต่อระบบนิเวศผืนนาและต้นตาลลดความส�ำคัญลง ประกอบกับนโยบายพัฒนา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการเติบโตของเมืองเพชรบุรีมีส่วนอย่างส�ำคัญที่ท�ำให้ อาชีพท�ำตาลซึ่งผู้ศึกษาถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของท้องถ่ินสูญหายไป พร้อมกับ ถูกแทนที่ด้วยนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวท่ีไร้ทิศทาง ขาดจุดเด่นท่ีเป็นลักษณะ เฉพาะของท้องถิ่นในระยะยาวอาจท�ำให้เกดิ ปัญหาได้ ดงั นนั้ งานศกึ ษาจึงเสนอว่า นโยบายที่ส่งผลถึงชุมชนไม่ควรมีแบบเดียวแต่ต้องสร้างทางเลือกให้กับชุมชนโดย คำ� นงึ ถงึ บรบิ ทของชมุ ชนทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป รวมทงั้ เปน็ การพฒั นาแบบเพมิ่ ศกั ยภาพ ในการพงึ่ พาตนเองไมผ่ กู ตดิ กบั การทอ่ งเทยี่ วจนเกนิ ไป พรอ้ มกบั เรง่ สนบั สนนุ ใหเ้ กดิ การฟื้นฟทู รัพยากรท้องถนิ่ เพือ่ ประโยชน์ของชมุ ชนในระยะยาวต่อไป 17 ปิยนชุ ผ้ทู รงธรรม เอกลกั ษณ์ปรุงแตง่ กบั การจดั การทรัพยากรท้องถ่ิน จงั หวดั เพชรบรุ ี วทิ ยานิพนธ์ สาขา วิชาเทคโนโลยีการวางแผนสงิ่ แวดล้อมเพื่อพฒั นาชนบท มหาวทิ ยาลยั มหิดล.2545
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 199 นอกจากนี้ปรากฏงานศึกษาเรื่อง ความสามารถของชุมชนในการจัดการ ทรพั ยากรท้องถน่ิ ศกึ ษากรณเี ฉพาะดอนหอยหลอด ตำ� บลบางจะเกรง็ อำ� เภอเมอื ง จังหวัดสมุทรสงคราม (2546)18 วัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาพัฒนาการทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่มีผลต่อทรัพยากรท้องถ่ินของชุมชน โดยศึกษากระบวนการ ในการจัดการทรัพยากรท้องถ่ินของชุมชน วิเคราะห์ถึงปัจจัย เงื่อนไขส�ำคัญ ท่ีส่งผลต่อกระบวนการจัดการทรัพยากรท้องถิ่น เนื่องจากคนในชุมชนเห็นถึง การเปล่ียนแปลงการใช้ประโยชน์จากดอนหอยหลอดท่ีมุ่งเน้นการค้ามากข้ึน อาจน�ำไปสู่ความเสื่อมโทรมของพ้ืนที่และอาจจะทำ� ให้การใช้ประโยชน์หมดลงใน ระยะสนั้ ผวู้ จิ ยั วางกรอบการศกึ ษาวา่ “การพฒั นาพนื้ ทใ่ี นดา้ นตา่ งๆ เชน่ โครงสรา้ ง พนื้ ฐาน การทอ่ งเทยี่ ว การเปลย่ี นแปลงทางธรรมชาติ ตลอดจนการจบั หอยหลอดแบบ มุ่งเน้นปริมาณ ท�ำให้สภาพของดอนหอยหลอดเปล่ียนแปลงไปส่งผลท้ังด้านบวก และลบกบั คนในพนื้ ท”่ี จงึ เกดิ การรวมกลมุ่ ขน้ึ ในชมุ ชน งานศกึ ษาไดว้ เิ คราะหค์ วาม สามารถของชมุ ชนในการจดั การทรพั ยากรใน 3 ดา้ นคอื การพฒั นาจติ ส�ำนกึ องคก์ ร ชมุ ชนและกระบวนการจดั การเทคนคิ วธิ ี ผวู้ จิ ยั สรปุ วา่ แมใ้ นเบอื้ งตน้ การด�ำเนนิ งาน ของกลุ่มจะบรรลุตามวัตถปุ ระสงค์ เนือ่ งจากชาวบ้านเป็นกลุ่มคนดัง้ เดิมในพ้นื ท่มี ี ความผกู พนั และเหน็ ถงึ คณุ คา่ ของทรพั ยากรทอ้ งถนิ่ แตว่ า่ กระบวนการมสี ว่ นรว่ มยงั จำ� กดั อยเู่ ฉพาะแกนนำ� และชาวบา้ นจำ� นวนหนงึ่ เทา่ นน้ั ยงั ไมส่ ามารถขยายเครอื ขา่ ย ออกไปยงั หมบู่ า้ นอน่ื สำ� หรบั การใชว้ ธิ ดี งั้ เดมิ เพอื่ เปน็ การเวน้ ระยะใหด้ อนหอยหลอด ไดฟ้ น้ื ตวั งานศกึ ษาวเิ คราะหถ์ งึ เงอื่ นไขตา่ งๆ ในการเออื้ /ไมเ่ ออ้ื ตอ่ การรวมกลมุ่ อยา่ ง ชดั เจน ซงึ่ มปี ระโยชนใ์ นการนำ� ไปสกู่ ารแลกเปลย่ี นเรยี นรกู้ ารดำ� เนนิ งาน/ศกึ ษาวจิ ยั ระหว่างผู้สนใจประเดน็ การจัดทรพั ยากรของชุมชนท้องถนิ่ ต่อไป 18 ณฐั กานต์ สวุ รรณะ.ความสามารถของชมุ ชนในการจดั การทรัพยากรท้องถ่ิน:ศกึ ษาเฉพาะกรณีดอนหอย หลอด ต�ำบลบางจะเกร็ง อ�ำเภอเมือง จงั หวดั สมทุ รสงคราม.วิทยานิพนธ์.สาขาวิชาการวางแผนสง่ิ แวดล้อม เพ่ือชมุ ชนและชนบท มหาวิทยาลยั มหิดล 2546.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237