Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ ถกเถียงวัฒนธรรมในงานวิจัยภาคกลาง

✍️ ถกเถียงวัฒนธรรมในงานวิจัยภาคกลาง

Description: ✍️ ถกเถียงวัฒนธรรมในงานวิจัยภาคกลาง

Search

Read the Text Version

50 ถกเถียงวัฒนธรรม สำ� นกึ รว่ ม และยงั จะเพม่ิ มติ ใิ นเชงิ สถาบนั ในฐานะเปน็ ภมู ปิ ญั ญา ทซ่ี บั ซอ้ นมากขน้ึ อกี หากมองผา่ นงานวจิ ยั หลกั ๆ บางชน้ิ เชน่ งานวจิ ยั ระบบเหมอื งฝายในภาคเหนอื ของ อไุ รวรรณ ตันกิมยง ซึ่งถือเป็นงานวจิ ัยตามแนวนเิ วศวิทยาวัฒนธรรมในระยะ แรกๆ อไุ รวรรณมององคก์ รจดั การนำ้� ในฐานะทเ่ี ปน็ กลไกทางวฒั นธรรม หรอื สถาบนั ที่มีพลวัต และมีบทบาทส�ำคัญในการควบคุมทรัพยากรของท้องถ่ิน เพราะเกิด จากส�ำนกึ ร่วมกันของชุมชนท้องถิ่นในการเรียนรู้ ที่จะปรับตัวกับการเปล่ียนแปลง สภาพแวดลอ้ มทห่ี ลากหลาย ดว้ ยการสรา้ งกฎเกณฑใ์ นการจดั การและแกไ้ ขปญั หา ในการใชท้ รพั ยากร เพอื่ ชว่ ยใหร้ ะบบเหมอื งฝายยงั คงดำ� รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ทงั้ น้ี สำ� นกึ รว่ มกนั ของชมุ ชน บนพนื้ ฐานของการยงั ชพี ในลกั ษณะเฉพาะของระบบนเิ วศ หนง่ึ ๆ ท่แี ตกต่างกัน ระหว่างระบบท�ำนาหรือระบบท�ำไร่ ทอ่ี าจจะให้ความส�ำคัญ กับทรัพยากรแต่ละชนดิ ต่างกัน ยังสามารถผลิตซ้�ำและถ่ายทอดอุดมการณ์ผ่าน พิธีกรรม ที่ตอกย�้ำคุณค่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและ อำ� นาจเหนอื ธรรมชาติ จนท�ำให้เคารพธรรมชาตแิ ละสร้างความผกู พนั ในชมุ ชนให้ ร่วมมือกัน (อุไรวรรณ 2528 และ 2534) ตามแนวทางการอธิบายดงั กล่าว จะเหน็ ได้ว่า อไุ รวรรณ จะให้ความส�ำคญั กบั ศกั ยภาพและพลวัตของวฒั นธรรม ในฐานะ ทเ่ี ป็นภูมปิ ัญญา ว่ามีหน้าที่ส�ำคญั ในการปรับตวั กบั ระบบนเิ วศ ซงึ่ สะท้อนฐานคดิ แบบหน้าทีน่ ิยมอย่างชดั เจน ต่อมาเร่มิ จะมีความพยายามมองภูมปิ ัญญาในเชิงท่ีเป็นโลกทัศน์ ในฐานะ มมุ มองจากภายใน แตแ่ ทนทจ่ี ะมองโลกทศั นอ์ ยา่ งนามธรรมลว้ นๆ กจ็ ะเนน้ โลกทศั น์ ด้านนิเวศวิทยาของชมุ ชนกลุ่มชาตพิ นั ธุ์ โดยเช่ือมโยงกบั โครงสร้างสังคม และการ จัดการทรพั ยากรธรรมชาติ เพื่ออธิบายความเปล่ยี นแปลงทข่ี ัดกนั ในความสมั พนั ธ์ ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ดังตัวอย่างในงานวิจัยของ ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี (2539) เร่ือง “ภูมิปัญญา: ระบบนิเวศวิทยาชนพื้นเมือง ศึกษากรณชี ุมชน กะเหรี่ยงในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร” ซึ่งมองโลกทัศน์เป็นระบบคิดทางวัฒนธรรม ทผี่ สมผสานภมู ปิ ญั ญากบั คณุ ธรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความสมั พนั ธก์ บั ธรรมชาตเิ ขา้ ไว้ ด้วยกัน และสามารถสืบทอดต่อมา ภายใต้เงื่อนไขของระบบการผลิตแบบยังชีพ ซงึ่ จะเปล่ยี นแปลงไป หากถกู กระทบจากรัฐและระบบเศรษฐกจิ จากภายนอก

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 51 ในระยะหลังๆ ความเข้าใจวัฒนธรรม ท่ีใช้ในการวิจัยตามแนวทางนี้ได้ ปรับเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ยังคงยึดโยงอยู่กับความคิดหลักท่ัวไป ดังจะเห็นได้จาก งานวจิ ยั เรอ่ื ง ชมุ ชนหมบู่ า้ นลมุ่ นำ้� ขาน ของ พรพไิ ล เลศิ วชิ าและอรณุ รตั น์ วเิ ชยี รเขยี ว (2546) ซ่ึงมองวัฒนธรรมชุมชนในบริบทของภูมินิเวศวัฒนธรรมหนง่ึ ๆ เช่น ลุ่มน้�ำ ที่เป็นพ้ืนท่ีทางวัฒนธรรมในการปรับตัวของสถาบันและองค์กรชุมชนต่างๆ โดย ศึกษาองค์กรเหมืองฝายเช่นเดียวกับงานของอุไรวรรณ แต่จะเน้นเครือข่ายของ ความสมั พนั ธ์ระดบั ต่างๆ ทง้ั เครือญาติ ชุมชน วดั พธิ กี รรมและตลาด ในฐานะที่ ทำ� หนา้ ทตี่ อกยำ้� ความสมั พนั ธท์ เี่ ปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั และถา่ ยทอดคณุ คา่ ความรู้ ซึ่งช่วยให้ชุมชนสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ท่ีเกิดมาจากอิทธิพล ภายนอก งานวิจัยช้ินน้ีให้ความส�ำคัญกับ พื้นท่ีวัฒนธรรม ในท�ำนองใกล้เคียงกับ แนวความคดิ ของนกั มานษุ ยวทิ ยาอเมรกิ ันรุ่นบกุ เบิกในช่วงปี ค.ศ 1930-1940 เช่น A. L. Kroeber (1876-1960) แต่ Kroeber จะใช้ความคิดนเี้ ป็นพื้นฐานในการศึกษา เปรียบเทียบ ขณะท่ี พรพิไล จะใช้เป็นเพียงบริบทของพื้นท่ีศึกษาเท่านน้ั จุดเน้น ส�ำคัญอีกประการหนงึ่ ในงานของพรพิไลก็คือ การมองวัฒนธรรมในเชิงพลวัต ซ่ึง หมายถึงศักยภาพในการปรับตัวของวัฒนธรรมต่อการเปล่ียนแปลงจากภายนอก ที่ส่งผลกระทบต่อท้องถ่ิน ด้วยการธ�ำรงรักษาส�ำนึกเดิมไว้ได้ ดังน้ันจึงเกิด การเปลีย่ นแปลงเฉพาะในรูปแบบเท่านน้ั แต่ยงั รกั ษาแก่นแกนทางวฒั นธรรมไว้ งานวจิ ยั ทม่ี องวฒั นธรรมเปน็ ภมู ปิ ญั ญาระยะตอ่ ๆ มา กจ็ ะเนน้ ลกั ษณะพลวตั มากข้ึน แต่มองพลวัตแตกต่างกันไปบ้าง ตัวอย่าง เช่น งานของ อาริยา เศวตามร์ (2542) เรอื่ ง “ผา้ ปา่ ขา้ ว: บทสะทอ้ นวธิ คี ดิ ของชมุ ชน” ซงึ่ เรมิ่ จากความพยายาม มองวฒั นธรรมใหห้ ลดุ พน้ จากภาพของความกลมกลนื โดยหนั มามองกลมุ่ ทแี่ ตกตา่ ง กนั ในชมุ ชนวา่ มคี วามสามารถใชก้ ระบวนการมสี ว่ นรว่ ม ในการผลติ ความหมายใหม่ และสร้างเงื่อนไขของความสัมพันธ์อย่างใหม่ขึ้นมา ผ่านเครือข่ายผ้าป่าข้าว เพ่ือ แสดงว่าพลวัตของวัฒนธรรมไม่ได้มีอยู่และสืบทอดได้ด้วยตัวเอง แต่ข้ึนอยู่กับ เงื่อนไขในการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่จะผลิตความหมายใหม่ให้เป็นพลังในการ ปรบั ตวั กับการเปลย่ี นแปลงจากภายนอก

52 ถกเถยี งวฒั นธรรม อย่างไรก็ดี การมองวฒั นธรรมเป็นภมู ปิ ัญญาท้องถ่ินหรือชาตพิ นั ธุ์ ในแนว วัฒนธรรมชุมชนดังกล่าว มักจะเห็นภูมิปัญญาเป็นระบบคิดแบบปิด และมีนัย เปน็ เสมอื นคตู่ รงขา้ มกบั ความรภู้ ายนอกแบบอนื่ ๆ โดยเฉพาะแบบวทิ ยาศาสตร์ ซงึ่ กลายเป็นกบั ดักของความคดิ แบบคู่ตรงข้าม และข้อจำ� กัดในการศึกษาภมู ปิ ัญญา ท่ีมีความแตกต่างหลากหลาย โดยเฉพาะชุมชนที่มีผู้คนต่างวัฒนธรรมอาศัยอยู่ ร่วมกัน เพราะทำ� ให้ไม่สนใจและมองข้ามการผสมผสานความรู้ของชุมชนท้องถิ่น กับความรู้อ่ืนๆ ท่ีสามารถปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ได้ด้วย รวมท้ังไม่สนใจ ลักษณะท่ีอาจจะขดั แย้งกันเองในระบบความรู้ของท้องถน่ิ จากข้อจ�ำกดั ดังกล่าว จงึ มคี วามพยายามปรับเปลี่ยนการศกึ ษาวัฒนธรรม ไปในทิศทางอื่นๆ เพิ่มขึ้น ในกลุ่มศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นนี้เอง ซ่ึงอาจน�ำมาจัด รวมๆ กันเป็น “แนวสิทธิชุมชน” เพราะได้เปล่ียนจากการมองวัฒนธรรมในแง่ ภูมิปัญญา มาสู่การมองวัฒนธรรมในมิติของวิธีคิดมากข้ึน โดยเฉพาะวิธีคิด เก่ียวข้องกบั ความสัมพนั ธ์เชงิ อ�ำนาจในระดับต่างๆ ทง้ั ภายในท้องถนิ่ และระหว่าง ทอ้ งถน่ิ กบั สงั คมภายนอก ทเ่ี ชอ่ื มโยงกบั การใชแ้ ละการควบคมุ ทรพั ยากรธรรมชาติ จุดเร่ิมต้นของแนวสิทธิชุมชนนจี้ ะให้ความสนใจวิธีคิดในท้องถิ่นเก่ียวกับอ�ำนาจ กอ่ น แตเ่ มอื่ น�ำวธิ คี ดิ เหลา่ นน้ั มาประมวลและสงั เคราะหข์ นึ้ มาแลว้ กส็ งั เกตวา่ มนี ยั ใกล้เคยี งกับวธิ ีคดิ ทวั่ ไปในเรอ่ื ง “สิทธ”ิ ท่ีใช้กนั อยู่สังคมตะวันตก แม้ว่าในสังคม ท้องถ่นิ อาจจะไม่เคยใช้คำ� น้ีมาก่อนกต็ าม การศกึ ษาวฒั นธรรมในแนวสทิ ธชิ มุ ชนจงึ มจี ดุ เนน้ อยทู่ ่ี ความพยายามทจ่ี ะ ค้นหาวิธคี ดิ ของท้องถน่ิ ต่างๆ เกยี่ วกบั อ�ำนาจในการเข้าถึง การใช้ประโยชน์ และ การควบคมุ จดั การทรพั ยากร ทอ่ี าจเรยี กรวมๆ วา่ สทิ ธใิ นทรพั ยากรนนั่ เอง เมอ่ื แนว การศึกษานี้เปลี่ยนมุมมองทางวัฒนธรรมจากภูมิปัญญามาเป็นวิธีคิด ก็มีผลให้ เปลี่ยนแปลงการมองวัฒนธรรมในระดับของส�ำนกึ ร่วม ซึ่งเน้นความกลมกลืนกัน ในชุมชนอย่างมาก มาสู่การมองวัฒนธรรมในระดับของความสัมพันธ์ทางสังคม และกระบวนการผสมผสานวธิ คี ดิ แทน ขณะทจี่ ะเพง่ มองวธิ คี ดิ ผา่ นการปฏบิ ตั กิ าร ของผคู้ นในทอ้ งถนิ่ โดยเนน้ ถงึ ปฏบิ ตั กิ ารในความสมั พนั ธท์ แี่ ตกตา่ งหลากหลายและ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 53 ขดั แยง้ กนั มากขนึ้ ความสมั พนั ธต์ า่ งๆ เหลา่ นน้ั จะสามารถปรบั เปลยี่ นไป พรอ้ มๆ กบั กระบวนการผสมผสานวธิ คี ดิ ตา่ งๆ ทจี่ ะเกดิ ขน้ึ ทา่ มกลางการปรบั ความสมั พนั ธก์ บั สงั คมภายนอกอนื่ ๆ ซง่ึ จะแสดงถงึ ศกั ยภาพและพลวตั ของทอ้ งถนิ่ ในการสรา้ งสรรค์ วิธีคิดและความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ มากกว่าการเน้นไปท่ีการผลิตซ้�ำส�ำนึกร่วม หรือความหมาย และการสืบทอดโครงสร้างองค์กรหรือกฎเกณฑ์ ตามการศึกษา แนววฒั นธรรมชมุ ชนข้างต้น แมก้ ารศกึ ษาวฒั นธรรมในแนวสทิ ธชิ มุ ชนจะหนั มาเนน้ วธิ คี ดิ การปฏบิ ตั กิ าร และความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจมากกว่าจิตส�ำนกึ และองค์กรเชิงสถาบันแล้วก็ตาม ก็อาจจะยังจัดอยู่ในกลุ่มศึกษาวัฒนธรรมท้องถ่ินด้วย เพราะยังคงแฝงมุมมอง เชิงหน้าที่นิยมอยู่อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการมองความเช่ือมโยงระหว่างการ ปรับเปล่ียน และการผสมผสานความสมั พันธ์แบบต่างๆ ในฐานะท่เี ป็นพลังสำ� คัญ ในการต่อรอง ซ่ึงมีหน้าที่ผลักดันให้ท้องถิ่นสามารถรักษาอ�ำนาจของชุมชนไว้ได้ แต่ความเข้าใจหน้าท่ีนิยมในแนวสิทธิชุมชนนน้ั น่าจะต่างจากความเข้าใจในการ ศกึ ษาวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ แนวอนื่ ๆ ขณะทแี่ นวความคดิ เรอื่ งหนา้ ทนี่ ยิ มทว่ั ไปจะเขา้ ใจ ว่า ในจติ สำ� นกึ และโครงสร้างขององค์กรจะมีนยั ของหน้าท่ีดำ� รงอยู่ร่วมกันแล้ว ท้ังนี้เพราะแนวสิทธิชุมชนไม่ได้ยึดติดอยู่กับความเข้าใจท่ีตายตัวเช่นน้ัน หากพยายามแยกความคิดหน้าท่ีให้เป็นอิสระออกมา จากทง้ั ส�ำนกึ และโครงสร้าง ด้วยการอธิบายว่า นัยของหน้าที่นน้ั จะต้องขึ้นอยู่กับเง่ือนไขบางประการ เพราะ ไม่สามารถด�ำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง และเงื่อนไขส�ำคัญเช่นน้ันก็คือ กระบวนการ ปรบั เปลยี่ นความสมั พนั ธเ์ ชงิ อำ� นาจ เชน่ กระบวนการตอ่ รองระหวา่ งชมุ ชนทอ้ งถน่ิ กับสังคมอ่ืนๆ ภายนอก ซึ่งจะสร้างเง่ือนไขให้เกิดการผสมผสาน และการสร้าง วิธีคิด รวมทั้งความสัมพันธ์แบบใหม่ๆ ข้ึนมา เพื่อท�ำหน้าที่เสริมพลังให้ชุมชน สามารถรักษาอ�ำนาจในการควบคุมทรพั ยากรไว้ได้ ตวั อยา่ งงานวจิ ยั ตามแนวสทิ ธชิ มุ ชนทสี่ ำ� คญั ชนิ้ หนงึ่ กค็ อื งานของ ฉลาดชาย อานนั ท์ และสัณฐติ า (2536) เรอื่ ง “ป่าชมุ ชนภาคเหนอื : ศกั ยภาพขององค์กร ชาวบา้ นในการจดั การปา่ ชมุ ชน” ในงานดงั กลา่ วผเู้ ขยี นไดค้ น้ พบวา่ ชมุ ชนในปา่

54 ถกเถยี งวัฒนธรรม ภาคเหนือมีวัฒนธรรมการผลิตและการด�ำรงชีพ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิธีคิด หลายอยา่ งเกยี่ วกบั สทิ ธใิ นการเขา้ ถงึ ทรพั ยากร เชน่ สทิ ธหิ นา้ หมู่ สทิ ธติ ามธรรมชาติ และสิทธิการใช้ ซึ่งแสดงออกผ่านปฏิบัติการตามกฎเกณฑ์ของจารีตประเพณี ในการใช้และการควบคุมทรัพยากรธรรมชาติในป่า เมื่อต้องตกอยู่ในบริบทของ การเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากรัฐ ที่มีนโยบายขยายการกีดกันสิทธิในการเข้าถึง ทรัพยากรของพวกเขาเพม่ิ ข้ึน ชาวบ้านในชมุ ชนต่างเข้าร่วมในกระบวนการต่อรอง กับรัฐ ด้วยการปรับใช้วิธีคิดต่างๆ เก่ียวกับสิทธิ ท่ีอยู่ในจารีตประเพณีมาสร้าง กฎเกณฑ์ใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาของการจัดการป่า ท้ังอย่างไม่เป็นทางการ และเป็นทางการมากขึ้น เพื่อแสดงศกั ยภาพของตนในการจดั การทรพั ยากร ขณะ เดียวกนั ก็ใช้กระบวนการดังกล่าวเป็นเงือ่ นไข ในการผสมผสานวธิ คี ดิ เกี่ยวกับสิทธิ ต่างๆ ขึ้นใหม่ ตามวิธีคิดที่อาจเรียกในเชิงวิชาการว่า สิทธิเชิงซ้อน จนสามารถ หลอมรวมสิทธิต่างๆ เข้ามาซ้อนกนั ให้กลายเป็นความเข้าใจเร่อื ง สิทธชิ มุ ชน ซึง่ ช่วยเป็นเสมือนวาทกรรมทเ่ี สรมิ พลงั ให้กับองค์กรชุมชน ในการต่อรองกบั รฐั การศึกษาวัฒนธรรมในกลุ่มนจ้ี ะเน้นท้องถิ่น และความหลากหลายทาง ชาตพิ นั ธ์ุ แตม่ กั จะมองหนว่ ยทางสงั คมทเ่ี ปน็ เอกภาพและกลมกลนื ภายใน ซง่ึ ทำ� ให้ การศึกษาส่วนใหญ่จะมุ่งมองความสัมพันธ์ภายในแต่ละชุมชนหรือระหว่างชุมชน โดยไม่ได้เชอ่ื มโยงกบั บรบิ ทของความสมั พนั ธเ์ ชงิ อ�ำนาจ และการเปลยี่ นแปลงทาง เศรษฐกจิ การเมอื งภายนอก ขณะเดยี วกนั กจ็ ะไมส่ นใจทจี่ ะศกึ ษาความแตกตา่ งและ ความขัดแย้งเท่าท่ีควร จึงท�ำให้วิธีวิทยาในการศึกษามุ่งอยู่ในระดับโครงสร้างเชิง ระบบและกลไกต่างๆ ภายในหน่วยทางสังคมที่ศึกษา และการปรับตัวของระบบ และกลไก ต่อสภาวะแวดล้อมท่ีเปล่ียนแปลงไปเท่านนั้ อาจจะมีนกั วิจัยบางท่าน ท่มี คี วามคดิ แตกต่างกนั ไปบ้าง แต่กเ็ ป็นส่วนน้อยเท่านนั้ แมน้ กั วจิ ยั จำ� นวนหนงึ่ ในกลมุ่ น้ี มกั จะอา้ งความคดิ และมมุ มองจากทอ้ งถน่ิ เป็นพนื้ ฐานในการอธิบาย ซงึ่ มนี ยั ทปี่ ฏเิ สธทฤษฎแี บบตะวนั ตกเป็นกรอบความคดิ หลกั แตเ่ มอ่ื พจิ ารณาแนวทางการอธบิ ายตา่ งๆ แลว้ กจ็ ะพบวา่ เบอ้ื งหลงั การอธบิ าย เหล่านนั้ ล้วนแฝงไว้ด้วยกระบวนทัศน์ท่ีมองวัฒนธรรมเป็นตัวก�ำหนด พร้อมๆ กับ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 55 ความคิดโครงสร้างและหน้าที่นิยมอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ซึ่ง อาจจะถกู หล่อหลอมความเข้าใจดังกล่าวมาทางอ้อมก็ได้ แตข่ อ้ จำ� กดั ทส่ี ำ� คญั ของกลมุ่ ศกึ ษานก้ี ค็ อื การสรา้ งคำ� อธบิ ายแบบเหมารวม ในลักษณะท่ีเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป ด้วยการมองวัฒนธรรมว่ามีความหมายที่เป็น เอกภาพ ท้ังนี้เพราะยังไม่ได้ให้ความสนใจกับการแยกแยะตัวผู้กระท�ำการต่างๆ ในวัฒนธรรม ท่ีอาจมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย ขณะเดียวกันก็มีความ รู้สึกนกึ คิดและสามารถตีความหมายของวัฒนธรรมแตกต่างกันได้ ซึ่งจะเริ่มเห็น การปรบั เปล่ียนมุมมองเช่นนใี้ นกลุ่มต่อไปมากขึ้น 2.4 กลมุ่ ศกึ ษาวัฒนธรรมเชิงความหมายในบริบทของสงั คม สมยั ใหม่ การศึกษาวัฒนธรรมกลุ่มน้ีมีแนวทางกว้างๆ คือ การให้ความส�ำคัญกับ การถกเถียง และการอภปิ รายความหมายทางวฒั นธรรมที่ไม่ตายตวั อกี ทั้งยังมอง วัฒนธรรมเป็นระบบเปิด ผ่านการแลกเปลี่ยนและการปฏิสัมพันธ์กันหลากหลาย ลกั ษณะ ซง่ึ อาจกลา่ วไดว้ า่ มรี อ่ งรอยอยบู่ า้ งแลว้ ในสงั คมไทย มาตงั้ แตร่ ะยะแรกๆ ท่ี ตอ้ งเผชญิ หนา้ กบั การทา้ ทายจากวฒั นธรรมตะวนั ตก ดงั ตวั อยา่ งงานสำ� คญั ชนิ้ แรก ของ เจ้าพระยาทิพากรวงษ์มหาโกษาธิบดี (2513) เร่ือง “แสดงกิจจานกุ ิจ” (พิมพ์ ครงั้ แรกในปี พ.ศ.2410 ดว้ ยวธิ พี มิ พห์ นิ ) ซงึ่ ถกเถยี งความคดิ ตา่ งๆ ทเ่ี หน็ ขดั แยง้ กนั ระหว่างศาสนาคริสต์และพุทธ ด้วยการอภิปรายยกเหตุผลนานานับปการขึ้นมา สนับสนนุ ความหมายของความคดิ สำ� คญั ๆ ในพทุ ธศาสนา เช่น เรื่องกฎแห่งกรรม เป็นต้น ในระยะต่อๆ มา แนวทางเช่นนมี้ กั จะพบในงานเขียนของนกั เรยี นนอก เช่น จ�ำกัด พลางกูร (2479) และ สมัคร บุราวาศ (2513 และ 2519) เม่ือต้องเผชิญ กับความแตกต่างทางวัฒนธรรมของตนกับวัฒนธรรมตะวันตก จึงพยายามมอง

56 ถกเถียงวฒั นธรรม วัฒนธรรมไทยผ่านการผสมผสานข้ึนมาจากวัฒนธรรมต่างๆ มากกว่ามาจาก รากเหงา้ ดงั้ เดมิ ของตนเอง ขณะเดยี วกนั กพ็ ยายามตคี วามหมายในวฒั นธรรมไทย บนพ้นื ฐานของเหตผุ ลแบบวิทยาศาสตร์ แม้แต่พระยาอนุมานราชธนเอง ท่านก็ปรับเปลี่ยนความเข้าใจวัฒนธรรม ของท่านอยู่เสมอ เพราะท่านอ่านหนังสือภาษาอังกฤษด้านต่างๆ รวมท้ังด้าน มานุษยวิทยาร่วมสมัยอย่างกว้างขวาง จนสามารถผสมผสานความคิดข้ึนมาเป็น ของตนเอง บางครง้ั ความเขา้ ใจของทา่ นกใ็ กลเ้ คยี งกบั ความคดิ ของกลมุ่ น้ี ดงั ขอ้ เขยี น ของท่านเรอื่ ง “วัฒนธรรมคอื อะไร” ใน วัฒนธรรมและประเพณตี ่างๆ ของไทย ท่านกล่าวไว้ว่า “วัฒนธรรมเดิมของเรา ไม่ใช่ว่าจะกระด้างตายตัวเปลี่ยนไม่ได้ ใจของคนเปลย่ี นได้ วฒั นธรรมกเ็ ปลย่ี นได้ เพราะคนสรา้ ง” (อนมุ านราชธน 2516: 18) ซงึ่ อาจจะหมายความวา่ ทา่ นกเ็ หน็ ดว้ ยกบั ความคดิ ทม่ี องคนเปน็ ผสู้ รา้ งความเขา้ ใจ หรือความหมายทางวัฒนธรรมด้วยเช่นเดยี วกัน ในปัจจุบันนักวิจัยในกลุ่มนี้ ล้วนได้รับการอบรมบ่มเพาะจากการศึกษา เลา่ เรยี นในสงั คมตะวนั ตกทงั้ สน้ิ จงึ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากแนวคดิ ตะวนั ตกหลายประการ ท่ีมีผลต่อความเข้าใจวัฒนธรรมท่ีเปล่ียนแปลงไปจากสองกลุ่มแรก ในระยะแรกๆ จะรับอิทธิพลของความคิดแบบวฒั นธรรมสัมพัทธ์นยิ ม (Cultural Relativism) ซึ่งให้ ความส�ำคัญกับการศึกษาวัฒนธรรมในเชิงความหมาย แต่เน้นว่าความหมาย ดังกล่าวจะเข้าใจได้เฉพาะในบริบทของวัฒนธรรมนนั้ ๆ เอง กล่าวอีกนัยหนง่ึ ก็คือ ความหมายในความเขา้ ใจของคนในวฒั นธรรม ความคดิ ดงั กลา่ ว มกั แพรห่ ลายอยใู่ น การศึกษาสาขามานุษยวิทยาในตะวันตก ในช่วงทศวรรษท่ี 1960-1970 ด้านหนงึ่ กเ็ พราะไดอ้ ทิ ธพิ ลจากกระแสความคดิ แบบปรากฏการณน์ ยิ ม (Phenomenology) สว่ น อกี ด้านหนงึ่ ก็ได้รบั ความคดิ วัฒนธรรมสัมพทั ธ์นิยมของ Peter Winch (1958) ด้วย จากอิทธิพลดังกล่าว การศึกษาวัฒนธรรมในสังคมไทยช่วงปลายทศวรรษ ท่ี 2510 จงึ เรม่ิ หนั ไปให้ความสนใจบรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรมมากขึ้น แทนท่ี จะมองวฒั นธรรมเปน็ ความคดิ และความสมั พนั ธใ์ นลกั ษณะทวั่ ไปแบบเหมารวม ซง่ึ ทำ� ให้มองวฒั นธรรมเสมอื นหนงึ่ มคี วามหมายเดยี วอย่างหยดุ นงิ่ และตายตวั เกนิ ไป

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 57 จนกลายเป็นข้อจ�ำกัดในการศึกษาวัฒนธรรมของกลุ่มก่อนหน้านดี้ ังกล่าวไปแล้ว จากความสนใจในบริบทเช่นนี้เอง นักวิจัยวัฒนธรรมของไทย จึงเริ่มมองเห็น การเปล่ียนแปลงความหมายในวัฒนธรรมมากขึ้น เม่ือประกอบกับการผสมผสาน ความคดิ ของ Max Weber เสรมิ เข้าไปอีก ก็ยิ่งทำ� ให้เข้าใจความหมายในลักษณะ ทีส่ ามารถลื่นไหลไปได้ตามบรบิ ทอกี ด้วย ท้ังน้เี พราะ Max Weber (1958) จะเน้น ความส�ำคัญของผู้คนในวัฒนธรรม ในฐานะผู้กระท�ำการซึ่งมีความรู้สึกนกึ คิด จงึ สามารถตคี วามหมายวฒั นธรรมให้ปรับเปลีย่ นไป ตามบรบิ ทของความสมั พนั ธ์ ท่เี ปลีย่ นแปลงได้ งานวิจยั ชน้ิ แรกๆ ของนกั วจิ ัยชาวไทย ท่ตี ระหนกั ถงึ ความสำ� คัญของบริบท ทางสังคมก็คือ งานของ ม.ร.ว อคิน รพีพัฒน์ (2518) เรื่อง สังคมไทยในสมัย ต้นรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2325-2416 ซึ่งเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาโทในช่วงปี พ.ศ.2510 และมาแปลและพมิ พ์เปน็ ภาษาไทยในปี 2518 งานชน้ิ นเี้ สนอขอ้ ถกเถยี ง ที่สำ� คญั เก่ียวกับ การวิเคราะห์การเปลย่ี นแปลงระบบอุปถัมภ์และโครงสร้างชนชนั้ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้วยการอธิบายว่า การจัดระเบียบทางสังคมอย่าง เป็นทางการในยุคนนั้ ต้ังอยู่บนพื้นฐานความคิดและการให้ความหมายในสังคม ที่ยึดโยงอยู่กับความคิดเรื่องบุญบารมีและยศถาบรรดาศักดิ์ ซ่ึงสะท้อนให้เห็นถึง ล�ำดบั ช้นั ทางศีลธรรม ที่ด�ำรงอยู่ภายใต้บริบทของการควบคมุ ก�ำลงั คน เม่อื บริบท เปลย่ี นแปลงไปจากการขยายตวั ของการคา้ ระหวา่ งประเทศ จนมชี าวจนี อพยพเขา้ มามากขน้ึ กจ็ ะมผี ลใหร้ ะบบอปุ ถมั ภเ์ ปลยี่ นแปลงไปสแู่ บบทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการมากขนึ้ และไม่ยึดติดอยู่กับล�ำดับช้ันทางศีลธรรมอีกต่อไป แต่กลับน�ำไปสู่การช่วงชิง อ�ำนาจในหมู่ชนชั้นขุนนางแทน งานชิ้นน้ีได้ยืนยันให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนใน สังคมสามารถตีความหมายของความสัมพันธ์ทางสังคมเปล่ียนแปลงไปได้ ตาม การเปล่ียนแปลงของบริบทในสงั คมนนั้ เอง ในปี พ.ศ.2527 นธิ ิ เอียวศรีวงศ์ กใ็ ช้ แนวทางเดียวกันนี้วิเคราะห์ระบบคุณค่าในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ว่าก่อตัวขึ้น มาจากบรบิ ทของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกจิ จึงอาจถอื ได้ว่า งานท้งั สองชิน้ นี้ เป็นผลงานท่ีบกุ เบิกความเข้าใจความหมายของวัฒนธรรมท่ยี ึดโยงอยู่กับบริบทใน ช่วงแรกๆ

58 ถกเถยี งวัฒนธรรม ในช่วงทศวรรษที่ 2520 จะมีแนวความคิดของนกั มานุษยวิทยาคนส�ำคัญ อกี อย่างนอ้ ย 3 คน ทม่ี สี ่วนช่วยเสรมิ สร้างความเข้าใจวฒั นธรรมเพมิ่ เตมิ ด้วยการ ผสมผสานกระแสความคิดต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น จนมีอิทธิพลต่อความเข้าใจ วฒั นธรรมของนกั วจิ ยั ชาวไทยดว้ ย คนแรกคอื Claude Levis-Strauss นกั มานษุ ยวทิ ยา ชาวฝรง่ั เศส ผเู้ สนอใหว้ เิ คราะหว์ ฒั นธรรมจากความหมายเชงิ สญั ลกั ษณ์ ซงึ่ แฝงตรรก แบบคู่ตรงข้ามเอาไว้เบือ้ งหลัง แม้ความคดิ ของ Levis-Strauss (1967) จะมีลักษณะ เป็นความคิดแบบวัฒนธรรมสากลนิยมก็ตาม แต่การเน้นให้มองคนในวัฒนธรรม ว่าเป็นผู้ผลิตความหมายและสญั ลกั ษณ์ท่ีซบั ซ้อน กช็ ่วยให้ความเข้าใจวัฒนธรรม หลดุ ออกมาจากความคดิ นามธรรมทเ่ี ลอ่ื นลอยได้ ความคดิ ดงั กลา่ วไดถ้ กู ถา่ ยทอด ให้กับสงั คมไทยผ่านงาน 2 ช้นิ ของ ปรติ ตา เฉลิมเผ่า กออนนั ตกูล (2527, 2533) นกั มานุษยวิทยาคนต่อมาเป็นชาวอังกฤษ แต่ส่วนใหญ่จะสอนหนงั สืออยู่ ในอเมริกาคือ Victor Turner (1969) ซ่ึงมองวัฒนธรรมผ่านกระบวนการ ท่ีเปิดให้ ผ้มู สี ว่ นรว่ มสามารถปรบั เปลย่ี นความหมายไปได้ ในชว่ งเปลยี่ นผา่ น แทนทจี่ ะมอง วัฒนธรรมว่าเป็นตัวก�ำหนดแต่เพียงด้านเดียว ส่วนคนสุดท้ายเป็นชาวอเมริกันคือ Clifford Geertz (1973) ซงึ่ สมาทานความคดิ แบบวฒั นธรรมสมั พทั ธน์ ยิ มอยา่ งชดั เจน ดังจะเห็นได้จากข้อเสนอให้มองวัฒนธรรมจากมุมมองของคนในวัฒนธรรม แต่ก็ ขยายความออกไปอกี ว่า คนในวฒั นธรรมสามารถให้ความหมายวฒั นธรรม ในเชงิ สัญลักษณ์ได้หลายระดับอย่างซับซ้อน จากระดับพนื้ ผวิ จนถงึ ระดับลึก ซง่ึ อาจจะ แตกตา่ งและขดั แย้งกนั เองกไ็ ด้ ซงึ่ ชว่ ยเปลย่ี นแปลงความเขา้ ใจวฒั นธรรมจากเดมิ ทเ่ี คยยดึ ติดอยู่กบั ความเป็นเอกภาพของวัฒนธรรมเท่านนั้ อทิ ธพิ ลทางความคดิ ตา่ งๆ เหลา่ นลี้ ว้ นมบี ทบาทส�ำคญั ในการเปดิ พรมแดน ทางความคดิ ใหน้ กั วจิ ยั วฒั นธรรมของไทยดน้ิ รน และแสวงหาแนวทางใหมๆ่ ในการ ศกึ ษาวจิ ยั มากขนึ้ ในขณะทส่ี งั คมไทยตอ้ งเผชญิ หน้ากบั ปญั หาตา่ งๆ ในการถกู ดงึ ใหเ้ ขา้ มาอยใู่ นกระบวนการโลกาภวิ ตั น์ ซง่ึ มผี ลใหเ้ กดิ การกอ่ ตวั ของแนวทางการวจิ ยั วัฒนธรรมเชิงความหมาย ทส่ี นใจศกึ ษาประเดน็ ต่างๆ อย่างหลากหลาย

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 59 การศึกษาความหมายเชิงสัญลักษณ์ในบริบททางสังคม แนวทางนี้มี ความเข้าใจวัฒนธรรมร่วมกันในแง่ของความหมายเชิงสัญลักษณ์ ที่แฝงอยู่ใน ความคดิ พธิ กี รรม และกระบวนการทางวฒั นธรรมตา่ งๆ ซงึ่ มกั จะปรบั เปลย่ี นไปได้ ตามบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม แต่จะมีความเข้าใจในความหมายทาง วัฒนธรรมแตกต่างกันไป ตามความหลากหลายของแนวความคิดและทฤษฏีที่ ใช้ในการวิเคราะห์ และความหลากหลายของเน้ือหาทางวัฒนธรรมที่ศึกษาด้วย ส่วนใหญ่แล้วการศึกษาจะเน้นเนื้อหาหลักเกี่ยวกับความเชื่อและพิธีกรรม ขณะท่ี บางส่วนจะหนั ไปสนใจศกึ ษาศลิ ปะการแสดง การศกึ ษาตามแนวทางน้เี ร่มิ ปรากฏชดั เจนข้นึ ในช่วงปลายทศวรรษท่ี 2520 เมือ่ ฉลาดชาย รมิตานนท์ ได้น�ำเสนอผลงานวจิ ัยชิ้นส�ำคัญเรื่อง ผีเจา้ นาย ในปี พ.ศ.2527 ด้วยการวิเคราะห์ความหมายของวฒั นธรรมความเชอื่ ในสังคมเชยี งใหม่ เกี่ยวข้องกับการนับถือผีประเภทหนง่ึ ซ่ึงเป็นความเชื่อด้ังเดิมในท้องถ่ินภาคเหนือ ที่เรียกว่า “ผีเจ้านาย” ความเช่ือนี้มีลักษณะท่ัวไปของการนับถือสิ่งศักด์ิสิทธิ์ เหนือธรรมชาติ ท่มี บี ทบาทเก่ียวข้องกบั การอารักษ์ดูแลในพืน้ ที่ใดพ้ืนทห่ี นงึ่ และมี การทรงเจา้ เขา้ ผเี ปน็ องคป์ ระกอบเชงิ พธิ กี รรมส�ำหรบั เชอ่ื มโยงผคู้ นกบั ความเชอื่ นน้ั ในการศึกษาคร้ังนี้ ฉลาดชาย จะเน้นการวิเคราะห์ความเชื่อและพิธีกรรม เฉพาะดา้ นของความหมาย ในความรสู้ กึ นกึ คดิ ของผคู้ น ทย่ี งั คงศรทั ธาความเชอ่ื น้ี อยู่ในปัจจุบัน ด้วยการใช้แนวความคิดการหน้าที่นิยมมาช่วยในการอธิบาย ซึ่ง ชว่ ยใหฉ้ ลาดชายสามารถสรปุ ไดว้ า่ ผคู้ นทง้ั หลายทย่ี งั คงมศี รทั ธาตอ่ ความเชอื่ และ พธิ ีกรรมนไี้ ม่ได้งมงาย แต่มีความเช่ือท่ยี ดื หยุ่น เพราะการทรงเจ้ามีบทบาทหน้าที่ เป็นเพียงทางเลือกหนึ่ง ท่ีเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความวิตกกังวลของปัจเจกชน ทั้งหลาย ในการเผชิญกับปัญหาเกี่ยวกับช่องว่างต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะปญั หาความเหลอ่ื มลำ้� ในการเขา้ ถงึ ทรพั ยากรทางเศรษฐกจิ และการรกั ษา พยาบาล ตลอดจนความขดั แยง้ ในครอบครวั ซง่ึ เกดิ ขน้ึ ทา่ มกลางการเปลย่ี นแปลง ทางสงั คมและเศรษฐกิจ

60 ถกเถยี งวัฒนธรรม การมงุ่ ใชแ้ นวความคดิ การหนา้ ทนี่ ยิ ม เพอื่ อธบิ ายความหมายของความเชอ่ื และพิธีกรรมดังกล่าว อาจจะยังมีข้อจ�ำกัดอยู่บ้าง เพราะท�ำให้ฉลาดชายมุ่ง ความสนใจเฉพาะการเชอ่ื มโยงความหมายกบั การเปลยี่ นแปลงบรบิ ทเทา่ นน้ั แตจ่ ะ ยงั ไม่สนใจศึกษาความหมายในเชิงสญั ลักษณ์ ขณะเดียวกนั ก็ยงั ไม่ได้สนใจศกึ ษา การเปลย่ี นแปลงใดๆ ทอี่ าจจะเกดิ ขนึ้ ในโครงสรา้ งของระบบความเชอ่ื และพธิ กี รรม เอง เพราะผลจากการเปลยี่ นแปลงบรบิ ทตา่ งๆทเี่ กยี่ วข้อง ซง่ึ จะพบความพยายาม เพิม่ เตมิ มิติเหล่าน้มี ากขึ้น ในการศึกษาระยะต่อๆ มา ในปี พ.ศ.2527 นนั้ เองผู้เขียนก็ได้เสนอบทความเก่ียวกับการนับถือผีใน ภาคเหนืออีกประเภทหนง่ึ คือ “ผีกะ” (อานนั ท์ 2527) ซง่ึ เป็นเร่อื งของการกล่าวหา ในเชิงการควบคุมทางสงั คม (Witchcraft) โดยผู้เขียนได้ศึกษาการกล่าวหากลุ่มคน บางกลมุ่ วา่ เปน็ ผกี ะ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในบรบิ ทของการเปลย่ี นแปลงเขา้ สคู่ รสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 ซึ่งเริ่มเกิดการแย่งชิงและการกระจุกตัวของการถือครองที่นาขึ้น เม่ือมีการผลิต ข้าวขายได้ ชาวนาที่มีท่ีนาขนาดใหญ่จึงใช้การกล่าวหากลุ่มชาวนาขนาดเล็กและ ชาวนาไรท้ ดี่ นิ วา่ เปน็ ผกี ะ เพอ่ื ปดิ กนั้ ไมใ่ หช้ าวนาเหลา่ นนั้ สามารถเขา้ ถงึ ทนี่ าของตน ผ่านการแต่งงาน ด้วยการให้ความหมายผีกะว่าเป็นผีของตระกูลท่ีลูกหลานไม่ เลี้ยงดู จนต้องไปเข้าสงิ อยู่ในร่างคนอืน่ จากกรณีของการกล่าวหาด้วยความเช่ือดังกล่าว ผู้เขียนพบว่า ระบบ ความเช่ือเร่ืองผีกะในบริบทของสังคมยุคน้ันก�ำลังถูกปรับเปลี่ยนความหมาย ไปจากเดิม เพอื่ ให้ไปเก่ียวข้องกบั การจดั ความสมั พนั ธ์เชงิ อ�ำนาจในสังคมหมู่บ้าน มากขึ้น เช่น อ�ำนาจในการเข้าถึงทน่ี า จนทำ� ให้ความคดิ เร่อื งผกี ะกลายเป็นภาษา หรอื คตทิ อ้ งถนิ่ เชงิ สญั ลกั ษณ์ ในการแสดงความคดิ ทางชนชนั้ ของชาวนาขนาดใหญ่ ซงึ่ แสดงวา่ ความเชอื่ เรอื่ งผกี ะไมไ่ ดม้ คี วามหมายเชงิ สญั ลกั ษณอ์ ยา่ งตายตวั แตอ่ าจ ผันแปรไปได้อย่างหลากหลายและซับซ้อน ตามบริบททางสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงไป ขอ้ คน้ พบเชน่ นชี้ ว่ ยขยายความเขา้ ใจวฒั นธรรมเพมิ่ เตมิ ออกไปอกี นอกจากการมอง ความหมายในเชงิ การหนา้ ทแี่ ลว้ ยงั สามารถมองระบบความเชอื่ เองวา่ ถกู ปรบั เปลย่ี น ความหมายไปได้ตามบริบท และมีความสัมพันธ์เช่อื มโยงกับอำ� นาจอกี ด้วย

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 61 เม่ือได้ศึกษาพิธีกรรมและความเชื่อล้านนาเพ่ิมเติมต่อมา อานันท์และ ฉลาดชาย (2533) พบความเข้าใจวัฒนธรรมอีกประการหนึ่งว่า ในบริบทของ การเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ระบบทุนนิยมมากขึ้น ความเช่ือในการนับถือผีกลับถูก ร้ือฟื้นขึน้ มาในสงั คมเมือง แทนท่จี ะผกู ติดอยู่กับสังคมชนบทเท่านน้ั ซ่งึ บ่งช้ีว่าคติ ความเชื่อท้องถ่ินก�ำลังถูกดึงให้เข้ามาอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่มากขึ้น ขณะเดยี วกนั กแ็ สดงวา่ คตคิ วามเชอื่ ตา่ งๆ ยงั มอี ำ� นาจหรอื ศกั ยภาพในตวั เอง ในการ ผลิตความหมายข้นึ มาใหม่ได้ ผ่านกระบวนการทางพิธีกรรมต่างๆ ทงั้ การเข้าทรง และการฟอ้ นผใี นพธิ ไี หวผ้ ปี ยู่ า่ โดยเฉพาะความหมายทางศลี ธรรมทอ่ี าจขดั กนั และ ตอบโต้กันอยู่ตลอดเวลา ในด้านหนง่ึ จะตอกยำ้� และให้ความส�ำคัญกับความเป็น ปจั เจกชนมากขน้ึ แตใ่ นอกี ดา้ นหนง่ึ กย็ งั เนน้ เครอื ญาตแิ ละความเปน็ ชมุ ชน ขอ้ คน้ พบ ดังกล่าวช่วยขยายความเข้าใจวัฒนธรรมให้ขยายออกไปอีกว่า ความเช่ือเร่ือง การนับถือผีไม่ได้มีเพียงนัยของคติท้องถ่ินเชิงสัญลักษณ์เท่านน้ั แต่ยังแฝงพลัง อ�ำนาจบางอย่างในการผลิตความหมายใหม่ซ้อนเอาไว้ด้วย เม่ือปฏิบัติการผ่าน กระบวนการของพิธีกรรม ซ่ึงช่วยยืนยันอีกครั้งหนงึ่ ว่า คติความเชื่อจะมีมิติของ อ�ำนาจที่อาจขดั แย้งกนั รวมอยู่ด้วยก็ได้ ในช่วงปลายทศวรรษที่ 2530 และต้นทศวรรษที่ 2540 งานวิจยั วัฒนธรรม ไดค้ กึ คกั มากขน้ึ เปน็ พเิ ศษ เมอื่ มงี านศกึ ษาหลายชน้ิ สนใจความเคลอ่ื นไหวเกย่ี วกบั พิธีกรรมและความเช่ือ ทั้งลักษณะใหม่ๆ และความเช่ือเดิมแต่เปล่ียนรูปไปบ้าง ในรปู แบบของลัทธิพิธตี ่างๆ อาทงิ านของ นธิ ิ เอยี วศรีวงศ์ (2536ก, 2536ข, 2537) งานของสรุ ยิ า สมทุ คปุ ตแิ์ ละคณะ (2539) และงานของ ม.ร.ว อคนิ รพพี ฒั น์ (2540) รวมทั้งงานของอานนั ท์ กาญจนพันธุ์ (2542) (Anan 2003) และงานของอภิญญา (Apinya 1993) ซงึ่ ศกึ ษาความเคล่อื นไหวของกลุ่มพทุ ธศาสนาในเมือง เป็นต้น งานวจิ ยั เหลา่ นช้ี ว่ ยเสรมิ สรา้ งความเขา้ ใจวฒั นธรรม ในเชงิ ความหมายและ สญั ลกั ษณ์ ทมี่ นี ยั ของการวพิ ากษว์ จิ ารณค์ วามเขา้ ใจวฒั นธรรมกอ่ นหนา้ นม้ี ากขนึ้ ดว้ ยการชใี้ หเ้ หน็ วา่ ความหมายในความเชอื่ นน้ั ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งยดึ ตดิ อยกู่ บั คตแิ บบใด แบบหนงึ่ แต่สามารถผสมผสานคตติ ่างๆ ทอี่ าจจะขัดกันเข้าไว้ด้วยกันได้ ท้ังพุทธ

62 ถกเถียงวฒั นธรรม ผี และความเช่ืออื่นๆ พร้อมๆ กับผลิตคติความเชื่อข้ึนมาใหม่ได้ด้วย ท่ามกลาง ความเคลอื่ นไหวในการรอ้ื ฟน้ื ความเชอ่ื ตา่ งๆ และยงั มจี ดุ เดน่ อยทู่ กี่ ารตอกย�้ำใหเ้ หน็ ความเชอ่ื มโยง ระหวา่ งความหมายกบั อำ� นาจอย่างชดั เจนมากยงิ่ ขนึ้ ทง้ั อำ� นาจใน การผลิตความหมายใหม่ และอ�ำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ นอกจากนน้ั ยัง พยายามอธบิ ายความหมายของลทั ธพิ ธิ ี ในบรบิ ทของสงั คมบรโิ ภคนยิ มและทนุ นยิ ม โลกาภิวัตน์ ซึ่งขยายวงผู้เข้าร่วมออกไปในสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกลุ่ม ชนช้นั กลางในสงั คมเมือง ทีไ่ ด้รับประโยชน์จากระบบเศรษฐกจิ สมยั ใหม่ หากน�ำเอาตัวอย่างของกรณีศึกษาบางกรณีข้ึนมาพิจารณาขยายความ กจ็ ะชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจความเปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั ความเขา้ ใจวฒั นธรรมมากขน้ึ เชน่ การศึกษาของนธิ ิในเร่ืองลัทธิพิธีเสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 และลัทธิพิธีเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งนิธิพบว่า ลัทธิพิธีทั้งสองนี้มีชนชั้นกลางในสังคมเมืองเลื่อมใสและเข้าร่วม จ�ำนวนมาก จนถือเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมท่ีส�ำคัญในช่วงเวลาหนงึ่ กลุ่มคน เหลา่ นส้ี ว่ นมากเปน็ ลกู หลานจนี ซงึ่ ประสบความสำ� เรจ็ ทางเศรษฐกจิ และสามารถ บรโิ ภคความมงั่ คง่ั ทางวตั ถไุ ดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี แตก่ ลบั รสู้ กึ สบั สนในดา้ นของจติ วญิ ญาณ ขณะทม่ี คี วามรสู้ กึ เป็นปัจเจกชนมากขน้ึ ชวี ติ ประจ�ำวนั กลบั หลดุ ลอยห่างออกจาก รากเหงา้ ของความเปน็ คนจนี ทเ่ี ปน็ ภมู หิ ลงั มาแตเ่ ดมิ เมอื่ ถกู ดงึ เขา้ สสู่ งั คมทนุ นยิ ม สมัยใหม่มากขึ้น จึงต้องการแสดงตัวตนเชื่อมโยงกับรัฐไทย เพราะถึงอย่างไร กย็ งั รสู้ กึ วา่ มอี ำ� นาจอยอู่ ยา่ งจำ� กดั ภายใตร้ ฐั ไทยทรี่ วมศนู ยอ์ ำ� นาจมาก (นธิ ิ 2536ก) ในบริบทดังกล่าว นธิ ิได้วิเคราะห์ให้เห็นถึงความเช่ือมโยงระหว่างลัทธิพิธี การปรับเปลี่ยนความหมาย ทั้งระดับพื้นผิวและระดับลึก อ�ำนาจในการสร้าง อัตลักษณ์ และบริบทของสังคมสมัยใหม่ ดังนนั้ การเข้าร่วมในลัทธิพิธีต่างๆ จึง เท่ากับเปิดช่องให้ชนช้ันกลางมีอ�ำนาจในการแสดงตัวตนได้อย่างหลากหลาย ส�ำหรับกรณีของลัทธิพิธีเสด็จพ่อรัชกาลท่ี 5 จะมีความหมายในระดับพ้ืนผิว ในฐานะเป็นเคร่ืองรางของขลังท่ีช่วยให้ท�ำมาค้าขึ้น แต่ส�ำหรับความหมายใน ระดับลึกแล้วจะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ ซึ่งช่วยให้ชนชั้นกลางสามารถแสดง อตั ลกั ษณ์ ทเ่ี ปน็ ไดท้ งั้ คนทนั สมยั และเปน็ สว่ นหนงึ่ ของรฐั ไทยดว้ ย เพราะรชั กาลที่ 5

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 63 ถือเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความทันสมัยและภาพลักษณ์ของรัฐไทย ซึ่งท�ำให้ชนชั้น กลางรู้สึกมนั่ คงในชวี ิต โดยไม่ต้องกลัวถูกกล่าวหาว่าต่อต้านรฐั (นธิ ิ 2536ก) ขณะที่ลทั ธพิ ิธีเสดจ็ พ่อรชั กาลที่ 5 จะเก่ยี วข้องกับปัญหาในชวี ติ ประจ�ำวนั ลัทธิพิธีเจ้าแม่กวนอิมจะสัมพันธ์กับความพยายามของชนช้ันกลาง ที่จะสร้าง ความหมายทางศีลธรรมของตนข้ึนใหม่ ให้แตกต่างออกไปจากศีลธรรมใน พุทธศาสนา ซึ่งถูกรัฐควบคุมมากข้ึนในปัจจุบัน จนไม่สามารถตอบสนอง ความตอ้ งการของชนชน้ั กลางไดอ้ กี ตอ่ ไป ตรงจดุ นน้ี ธิ ไิ ดเ้ สนอแนวทางการวเิ คราะห์ ไว้อย่างน่าสนใจ โดยอธบิ ายว่า การปฏิรูปพุทธศาสนาในปัจจุบันมกั จะเน้นเหตุผล แยกออกจากไสยศาสตร์ ท้ังๆ ที่ไสยศาสตร์เคยเป็นองค์ประกอบส�ำคัญของ พุทธศาสนาแบบชาวบ้าน จึงท�ำให้ชนช้ันกลางรู้สึกแปลกแยกจากพุทธศาสนา เพราะไสยศาสตร์ท่ีเคยเป็นส่วนหนงึ่ ของพุทธศาสนา จะเก่ียวข้องกับคุณค่าของ ความซือ่ สตั ย์และความเป็นธรรมด้วย (นธิ ิ 2537) ดว้ ยเหตนุ เี้ อง ชนชนั้ กลางจงึ หนั มานบั ถอื ลทั ธพิ ธิ เี จ้าแมก่ วนอมิ แทน เพราะ ลัทธิพิธีดังกล่าวช่วยตอกย้�ำให้เห็นเอกภาพ ระหว่างไสยศาสตร์กับคุณธรรมใน พทุ ธศาสนาอกี ครง้ั หนงึ่ โดยเฉพาะเมตตาธรรม ในแงน่ เี้ ทา่ กบั วา่ ในดา้ นหนง่ึ ลทั ธพิ ธิ ี เจา้ แมก่ วนอมิ ชว่ ยใหช้ นชนั้ กลางสรา้ งคณุ ธรรมของตนเองขน้ึ มา เพอ่ื ตอ่ สกู้ บั คณุ คา่ แบบวัตถุนิยมและบรโิ ภคนิยม ขณะท่ีในอีกด้านหนง่ึ ชนช้ันกลางก็สามารถสร้าง ศีลธรรมขึ้นมาเพื่อควบคุมความหมกมุ่นอยู่กับไสยศาสตร์ไปด้วย (นธิ ิ 2537) ซ่ึง แสดงให้เห็นว่า การเข้าร่วมกับการเคล่ือนไหวของลัทธิพิธี ในบริบทของสังคม สมัยใหม่ ชนช้ันกลางสามารถสร้างความหมายและอัตลักษณ์อย่างหลากหลาย ที่อาจขัดแย้งกันเองก็ได้ เพราะก�ำลังอยู่ในช่วงของการเปล่ียนผ่าน ซ่ึงแตกต่าง อย่างมากจากความเข้าใจวัฒนธรรม ตามแนวทางท่ีผ่านๆ มาก่อนหน้าน้ี ที่มกั จะ เน้นคุณค่าและส�ำนกึ ร่วม ซึ่งมีเอกภาพและตายตัวอย่างมาก จนมองไม่เห็นการ เปลยี่ นแปลงและการขัดแย้งกันเองของความหมายต่างๆ ในวัฒนธรรม การศกึ ษาประเพณบี ญุ บง้ั ไฟในภาคอสี านกบั การทอ่ งเทย่ี ว ทง้ั ของ ม.ร.ว อคนิ รพพี ฒั น์ (2540) และนธิ ิ เอยี วศรวี งศ์ (2536ข) ซงึ่ ศกึ ษารว่ มกนั กเ็ ปน็ อกี ตวั อยา่ งหนงึ่

64 ถกเถยี งวัฒนธรรม ท่ีช่วยขยายความเข้าใจวัฒนธรรม ในแง่ความหมายและสัญลักษณ์ ภายใต้ บริบทของเศรษฐกิจสมัยใหม่เพ่ิมเติม ด้วยการเน้นความสัมพันธ์เช่ือมโยงระหว่าง ความหมายเชงิ สญั ลกั ษณแ์ ละอ�ำนาจอยา่ งชดั เจนมากขน้ึ จากเดมิ ทเ่ี คยเนน้ เฉพาะ อ�ำนาจในแง่ของการสร้างอัตลักษณ์และคุณธรรม ก็หันมาสนใจความสัมพันธ์ เชงิ อำ� นาจ ระหวา่ งรฐั และทอ้ งถนิ่ ดว้ ย โดย ม.ร.ว อคนิ ไดต้ ง้ั ขอ้ สงั เกตวา่ งานบญุ บง้ั ไฟ ในปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมมากขึ้น ท้ังชาวบ้านกลุ่มต่างๆ พ่อค้า และข้าราชการ และ ก�ำลังตกอยู่ในกระบวนการเปล่ยี นผ่าน ทีเ่ รยี กว่าสภาวะหัวเลย้ี วหวั ต่อ (Liminality) จึงมีการผสมผสานสญั ลักษณ์ต่างๆ ทข่ี ดั กันเอง แต่ดำ� รงอยู่ร่วมกนั ได้ ซ่ึงสะท้อน อทิ ธพิ ลทางความคิดของ Victor Turner อย่างชดั เจน จากขอ้ สงั เกตเบอื้ งตน้ ดงั กลา่ ว ม.ร.ว อคนิ พยายามวเิ คราะหว์ า่ งานบญุ บง้ั ไฟ ได้ค่อยๆ ถูกเปล่ียนความหมายไป จากพิธีกรรมในท้องถ่ินให้กลายเป็นเพียง งานประเพณีของจังหวัด เมื่อรัฐให้ความส�ำคัญกับการจัดงานเพ่ือส่งเสริม การท่องเท่ียวเป็นหลัก ซ่ึงแสดงให้เห็นถึงการปรับเปล่ียนความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจ ระหว่างรัฐและท้องถ่ิน ที่รัฐเข้ามาอุปถัมภ์ค้�ำชูและแทรกแซงการให้ความหมาย ในพิธีกรรมมากข้ึน จนท�ำให้งานบุญบง้ั ไฟเพิม่ สัญลักษณ์ของพทุ ธศาสนา ขณะท่ี ลดความเชื่อเก่ียวกับผีหมู่บ้านลงไป แต่ในขณะที่งานบุญบั้งไฟยังอยู่ในสภาวะ หวั เลย้ี วหวั ตอ่ พธิ กี รรมและความเชอ่ื ทอ้ งถน่ิ ผา่ นคนทรงในกลมุ่ มเหสกั ขย์ งั คงด�ำรง อยู่ได้ ในฐานะเป็นสญั ลกั ษณ์ของความเป็นครึง่ ๆ กลางๆ ทส่ี ามารถเชอื่ มโยงพุทธ ผี และส่งิ ศกั ดิ์สทิ ธิ์ของรฐั เข้าด้วยกัน (อคนิ 2540: 139-140) ในชว่ งทศวรรษที่ 2540 ยงั มงี านศกึ ษาในแนวแรกนเี้ พมิ่ เตมิ อกี แตห่ นั ไปสนใจ ด้านศิลปะแทนความเชือ่ และพธิ ีกรรม เช่น ศลิ ปะการแสดง หรอื ศิลปะบนร่างกาย ตัวอย่างส�ำคัญตวั อย่างหนงึ่ ของงานประเภทนคี้ อื บทความของ ปรติ ตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล (2541) เรื่อง “ร่างในละครชาวบ้าน” ซึ่งศึกษาละครชาตรีแก้บน หนา้ ศาลหลกั เมอื งในกรงุ เทพฯ โดยมงุ่ เนน้ ไปทป่ี ระเดน็ ปญั หา ในการใหค้ วามหมาย ของนกั แสดงละครตอ่ รา่ งกายของตวั ละคร ในบรบิ ทของการแสดงทเ่ี ปลย่ี นแปลงมาสู่ การแสดงเพ่ือการแก้บนมากขึ้น ก่อนหน้าน้ีปริตตาเคยศึกษาหนงั ตะลุงในภาคใต้

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 65 มาแล้ว (Paritta 1989) ด้วยการวเิ คราะห์การปรบั เปลย่ี นความหมายทเ่ี ชอ่ื มโยงกับ บริบทของการเปลี่ยนแปลงสังคมสมัยใหม่ แมป้ รติ ตาจะพบวา่ ละครแกบ้ นยงั คงสบื ทอดขนบการแสดงหลายอยา่ งเกย่ี ว กับร่างกาย ท่ีอาจแยกออกเป็นส่วนของร่างศักดิ์สิทธ์ิและร่างอุจาด แต่ก็เกิดการ ต่อรองกนั ขึ้นระหว่างมุมมองเกย่ี วกบั ร่างกายตามแบบดง้ั เดมิ กบั ทศั นะอืน่ ๆ ของ วัฒนธรรมคนเมอื งสมยั ใหม่ จนมลี กั ษณะท่ีหลากหลายและอาจขัดแย้งกนั เอง ซ่ึง ไมอ่ าจสรปุ แบบเหมารวมไดจ้ ากความคดิ เดยี ว ปรติ ตาวเิ คราะหว์ า่ สาเหตทุ เี่ ปน็ เชน่ นน้ั เพราะทัศนะในการให้ความหมายต่อร่างกายของตัวละคร มักจะเก่ยี วข้องกับ การแสดงอัตลักษณ์และคุณค่าต่างๆ ของนกั แสดง ตามเง่ือนไขของการแสดงว่า เปน็ แบบสมมตุ หิ รอื เหมอื นจรงิ และตามยคุ ตามสมยั ทผี่ คู้ นจะใหค้ วามหมายกบั รา่ ง ของตัวละครต่างๆ กันไป ซ่ึงนกั แสดงกส็ ามารถเลือกหยบิ มาใช้ปรงุ แต่งความเป็น ตวั ตนของพวกเขา เพอื่ ใหส้ ามารถแสดงไดอ้ ยา่ งมชี วี ติ ชวี า (ปรติ ตา 2541: 154-160) จากกรณศี ึกษาต่างๆ ดงั กล่าวได้แสดงให้เหน็ ว่า ความเข้าใจวัฒนธรรมได้ เปลย่ี นแปลงไปอย่างมาก จากแนวทางต่างๆ ของกลุ่มศึกษาก่อนหน้าน้ี กล่าวคือ แทนที่แนวทางนจี้ ะมองวัฒนธรรมในเชิงคุณค่าและจิตส�ำนึกท่ีเป็นเอกภาพและ กลมกลนื กห็ นั มามองวฒั นธรรมในเชงิ ความหมายเชงิ สญั ลกั ษณ์ ทผ่ี สมผสานอยา่ ง ซบั ซอ้ นและขดั แยง้ กนั เองได้ นอกจากนน้ั ยงั เชอื่ มโยงความคดิ กบั ความสมั พนั ธเ์ ชงิ อำ� นาจตา่ งๆ และการสรา้ งอตั ลกั ษณข์ องผคู้ นในวฒั นธรรมนน้ั ๆ ดว้ ย ภายใตบ้ รบิ ท ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจของสงั คมสมยั ใหม่ แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม การมองความขดั แยง้ ในความหมายนนั้ ยงั คงจำ� กดั อยใู่ นเชงิ ความคดิ และเปน็ ความขดั แยง้ ทส่ี ามารถดำ� รงอยรู่ ว่ มกนั ได้ มากกวา่ เปน็ ความขดั แยง้ เชิงวาทกรรมอย่างชัดเจน แม้จะเรมิ่ มีการใช้ค�ำว่าวาทกรรมบ้างแล้วในงานบางชน้ิ เชน่ สรุ ยิ าและคณะ (2539) และ ปรติ ตา (2541) แตน่ า่ จะยงั คงใชใ้ นนยั ของการนยิ าม ความหมายเชิงสัญลักษณ์ ท่ีเก่ียวพันกับความสัมพันธ์เชิงอำ� นาจ และการสร้าง อัตลักษณ์เท่านน้ั ยังไม่ครอบคลุมถึงนัยทางการเมืองของวัฒนธรรมในการสร้าง ความจริงเพอ่ื การครอบง�ำ ตามแนวความคดิ ของ Foucault อย่างชัดเจนนกั ทัง้ ๆ ท่ี

66 ถกเถยี งวฒั นธรรม อ้างถึงความคิดของ Foucault บ้างแล้วก็ตาม ส�ำหรับความเข้าใจวัฒนธรรมเชิง วาทกรรมจะค่อยๆ ปรากฏชดั เจนมากขน้ึ ในกลุ่มศึกษาวฒั นธรรมกลุ่มต่อไป 2.5 กล่มุ ศึกษาวาทกรรมในบรบิ ทของการบรโิ ภคและ การชว่ งชิงความหมาย การศึกษาตามแนวทางของกลุ่มน้ี เร่ิมต้นจากการมองวัฒนธรรมในเชิง การเมืองมากข้นึ กว่ากลุ่มอ่ืนๆ โดยสามารถสาวกลบั ไปหาร่องรอยทางความคดิ ใน สงั คมไทย ย้อนหลังกลบั ไปได้เกอื บร้อยปีมาแล้ว ซงึ่ แสดงว่าสงั คมไทยมีความคิด วพิ ากษว์ จิ ารณแ์ ฝงอยบู่ า้ งแลว้ ดงั ปรากฏหลกั ฐานครง้ั แรกๆ ในงานของ ก.ศ.ร กหุ ลาบ (2377-2464) เรอื่ ง อายะตวิ ฒั น์ (2538) (พมิ พค์ รงั้ แรกในปี พ.ศ.2454) ซงึ่ ใหค้ วามสนใจ กับ “ธรรมเนียมราชการ” ในความหมายของวัฒนธรรมราชการ โดยเฉพาะ เครอ่ื งหมายแสดงอ�ำนาจต่างๆ เช่น ธง ตรา และเคร่ืองแต่งกาย ด้วยการวิพากษ์ วิจารณ์การเปล่ียนแปลงเครื่องหมายเหล่านนั้ เก่ียวพันกับตำ� แหน่งราชการต่างๆ ในลกั ษณะที่เป็นประเด็นปัญหาของวัฒนธรรมการเมอื งในยคุ นนั้ นอกจาก ก.ศ.ร กุหลาบ แล้ว ยังมปี ัญญาชนร่วมสมัยอกี คนหนงึ่ คอื ต.ว.ส วรรณาโภ หรือ เทียนวรรณ (2385-2458) ซึ่งแสดงความคิดเห็นในเชิงการวิพากษ์ วจิ ารณส์ งั คมและการเมอื งไทย เพอื่ เสนอแนะแนวทางในการสรา้ งความเจรญิ ดว้ ย การเปล่ียนแปลงวัฒนธรรมการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยมากข้ึน และสร้างความ เป็นธรรมให้กลุ่มชนต่างๆ ในสังคมไทย ผ่านการเขียนบทความในหนงั สือพิมพ์ รายเดือนของเขาชื่อว่า “ตุลยวิภาคพจนกิจ” (ระหว่าง 2443-2449) และหนงั สือ ชุดมี 12 เล่มช่ือว่า “ศิริพจนภาค” (2450) ซ่ึงประมวลความคิดด้านวัฒนธรรม การเมืองไว้อย่างกว้างขวาง (สงบ สุรยิ นิ ทร์ 2510) ปัญญาชนรุ่นต่อมาคือ นรินทร์ ภาษิต หรือ นรินทร์ กลึง (2417-2493) ก็จัดได้ว่ามีความคิดในเชิงวัฒนธรรมการเมืองเช่นเดียวกัน เขาได้เขียนหนงั สือชื่อ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 67 “วตั ร์นารวี งศ์” (นรินทร์ ภาษติ 2544, พิมพ์ครงั้ แรก 2471) เพอ่ื ผลักดันให้ยอมรบั การบวชผู้หญิงเป็นสามเณรี ด้วยการหยบิ ยกเหตุผลต่างๆ มาสนับสนนุ พร้อมท้ัง วิพากษ์วิจารณ์ความคิดครอบง�ำต่างๆ ในศาสนาและสงั คมไทย ในช่วงหลังจากปี พ.ศ.2490 เป็นต้นมา ความสนใจถกเถียงวัฒนธรรม การเมืองจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะเร่ิมรับความคิดวิพากษ์วิจารณ์จากตะวันตก มากข้ึน ซ่ึงเห็นได้ชัดเจน ในแวดวงของปัญญาชนฝ่ายซ้าย เพราะจะมุ่งตอบโต้ กับวัฒนธรรมครอบง�ำในแง่มุมต่างๆ ของชนช้ันปกครอง ผลงานส่วนใหญ่ในช่วง นจ้ี ะเป็นงานวรรณกรรมและบทความในหนังสือพิมพ์ ดังตัวอย่างบทความของ ศรี-อินทรายุทธ (อัศนี พลจนั ทร) เรือ่ ง “อุตรคุรทุ วีป” (2491) ซง่ึ เกษยี ร เตชะพีระ ได้เคยต้ังข้อสังเกตไว้ว่า เป็นตัวอย่างส�ำคัญของงานเขียนแนววัฒนธรรมการเมือง เพอื่ ตอบโตก้ ารปลกุ ผคี อมมวิ นสิ ต์ ดว้ ยการตคี วามหมายใหมใ่ นปรมั ปรานยิ ายเรอ่ื ง อุตรคุรุ ของศาสนาฮนิ ดู แทนการพูดตรงๆ ด้วยภาษาของลัทธมิ าร์กซ์ ที่อาจจะไม่ ปลอดภยั สำ� หรบั ตวั ผเู้ ขยี น ในบรบิ ททางการเมอื งของยคุ นน้ั พรอ้ มๆ กนั นนั้ กส็ ามารถ สะทอ้ นนยั โตแ้ ยง้ อยา่ งแยบยล ตอ่ ความคดิ เหน็ ของสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทที่ รงเคยใชป้ รมั ปรานยิ ายเรอ่ื งเดยี วกนั นมี้ ากอ่ น เพอื่ ชใี้ หเ้ หน็ วา่ ความคดิ สงั คมนยิ ม เป็นเพียงอุดมคติท่ีไม่สามารถเกิดข้ึนจริงได้ แต่อัศนี พลจันทร พยายามโน้มน้าว ให้เห็นว่า สงั คมอุดมคตเิ ช่นน้เี กดิ ข้ึนได้แล้วจริงๆ ในดนิ แดนที่อยู่เหนอื ประเทศไทย ข้นึ ไปนนั่ เอง (Kasian 1992: 297-302) ในชว่ งทศวรรษท่ี 2500 งานศกึ ษาเชงิ วฒั นธรรมการเมอื งของปญั ญาชนฝา่ ย ซา้ ยไดพ้ ยายามปรบั ใชท้ ฤษฎมี ารก์ ซสิ ต์ ใหส้ ามารถศกึ ษาสงั คมและวฒั นธรรมไทย ได้อย่างละเอียดลึกซึ้งมากข้ึน ดังปรากฏในผลงานชิ้นส�ำคัญของ จิตร ภูมิศักดิ์ เรอื่ ง โฉมหน้าศกั ดนิ าไทย (2517, พมิ พ์ครั้งแรก ปี 2500) ซ่ึงนอกจากจะวิเคราะห์ โครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองของสังคมไทยในอดีตแล้ว ยังเน้นการวิพากษ์ วจิ ารณว์ ฒั นธรรมการเมอื งของระบอบศกั ดนิ าดว้ ย ในฐานะทเ่ี ปน็ อดุ มการณค์ รอบงำ� (จติ ร ภูมิศกั ดิ์ 2517: 60-75) จนท�ำให้งานชิ้นนีม้ ลี กั ษณะ ที่มาเข้าใจกันในภายหลัง ว่า “การวพิ ากษ์วาทกรรม” และน่าจะสร้างผลสะเทอื นในช่วงนน้ั อยู่บ้าง เพราะใน

68 ถกเถยี งวัฒนธรรม ปลายปี พ.ศ.2500 นน้ั เอง ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ต้องถึงกับลุกข้นึ มาเขียนเร่อื ง ฝรง่ั ศักดินา (2511) เป็นตอนๆ ลงพมิ พ์ในหนงั สือพิมพ์สยามรัฐรายวัน เพอื่ เน้นยำ้� ใหเ้ หน็ ถงึ อดุ มคตขิ องวฒั นธรรมศกั ดนิ าของตะวนั ตก และอาจจะเปน็ ความพยายาม โต้แย้งอ้อมๆ กับความคิดต่างๆ ใน โฉมหน้าศกั ดินาไทย กเ็ ป็นได้ นอกจาก โฉมหนา้ ศกั ดนิ าไทย แลว้ ในชว่ งทศวรรษท่ี 2500 ยงั มงี านเขยี น ดว้ ยทฤษฎมี ารก์ ซสิ ตข์ องฝา่ ยซา้ ยเกยี่ วกบั สงั คมไทยอกี หลายชนิ้ เชน่ ววิ ฒั นาการ แหง่ สังคมสยาม ของ สรรค์ รังสฤษฎ์ิ (2518, พมิ พ์คร้ังแรก 2504) แต่ไม่ได้เน้นมิติ ทางวฒั นธรรมการเมือง จนกระทัง่ หลงั เหตุการณ์ 14 ตลุ าคม 2516 จงึ มีงานศึกษา เชงิ วฒั นธรรมการเมอื งแนวมารก์ ซสิ ตเ์ พม่ิ มากขนึ้ โดยเฉพาะงานศกึ ษาวรรณกรรม เช่น วรรณคดขี องปวงชน ของ ชลธริ า กลดั อยู่ (2517) เป็นต้น แต่หลงั จากนนั้ แนวความคดิ ของทฤษฎตี ะวนั ตกกระแสหลกั อน่ื ๆ จะเขา้ มามอี ทิ ธพิ ลตอ่ การศกึ ษา วฒั นธรรมในสงั คมไทยแทนที่ โดยเฉพาะการศึกษาวัฒนธรรมในแนวของกลุ่มที่ 2 และ 3 ดงั กล่าวไปแล้วข้างต้น ตลอดช่วงทศวรรษที่ 2520 และ 2530 จนกระท่งั แนวความคดิ ทางวัฒนธรรมจากตะวนั ตกเหล่านนั้ เริ่มถูกท้าทาย จากการศึกษาวัฒนธรรมการเมือง ซึ่งถูกรื้อฟื้นข้ึนมาใหม่ ในช่วงหลังทศวรรษ ที่ 2530 เม่ือมีความพยายามปรับเปล่ียนความเข้าใจวัฒนธรรม จากความหมาย เชิงสัญลักษณ์มาเป็นวาทกรรมมากขึ้น หลังจากการน�ำเสนอแนวความคิดเร่ือง วาทกรรมของ Michel Foucault (1972) ต่อวงวิชาการไทย ซ่ึงค่อยๆ เริ่มมาตั้งแต่ ชว่ งกลางทศวรรษท่ี 2520 แตก่ วา่ จะมกี ารน�ำมาใชว้ จิ ยั สงั คมไทยอยา่ งจรงิ จงั กต็ อ้ ง ใชเ้ วลาอกี 10 ปตี อ่ มา ซงึ่ สะทอ้ นใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจนวา่ ความเขา้ ใจวฒั นธรรมของกลมุ่ ศกึ ษากอ่ นหนา้ น้ี ยงั คงมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การวจิ ยั วฒั นธรรมกระแสหลกั อยอู่ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง และสามารถทนทานต่อการท้าทายใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนนั้ แนวความคดิ ของ Foucault ยังค่อนข้างซับซ้อน จึงมักจ�ำกัดอยู่เฉพาะในวงการศึกษา เพื่อท�ำ วทิ ยานพิ นธ์ระดับบัณฑิตศกึ ษาเป็นส่วนใหญ่ Michel Foucault เป็นนกั คิดชาวฝรง่ั เศส และเป็นผู้บุกเบกิ กระบวนทัศน์ใหม่ ทเี่ รยี กว่าความคิดแบบวฒั นธรรมการสร้างนยิ ม (Cultural Constructivism) ด้วยการ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 69 ทา้ ทายและโตแ้ ยง้ ความคดิ ทม่ี องวฒั นธรรมแบบแกน่ สารนยิ ม (Essentialism) ซง่ึ เชอื่ ในการด�ำรงอยู่ของความหมายหรือคุณค่าในวฒั นธรรมได้ด้วยตัวเอง โดยเสนอว่า ความหมายทงั้ หลายนนั้ ลว้ นถกู สรา้ งขน้ึ ในบรบิ ทของความสมั พนั ธเ์ ชงิ อ�ำนาจ ซงึ่ เปน็ ความพยายามทจ่ี ะเชอ่ื มโยงความหมาย ความรู้ กบั อำ� นาจและความจรงิ ผา่ นแนว ความคิดว่าด้วย วาทกรรม ในฐานะที่เป็นความคิดเกย่ี วกับการสร้างความหมาย เพ่ือนิยามให้เป็นความจริง จนมีอ�ำนาจครอบง�ำให้คนยอมรับได้ การท้าทายของ Foucault ดงั กลา่ วนน้ั อาจจะเขา้ ใจยาก จงึ ตอ้ งผา่ นการทดสอบ ในการนำ� มาปรบั ใช้ กับการศึกษาสงั คมไทยระยะหนงึ่ ก่อน ในกรณขี องสงั คมไทย ความคดิ ของ Foucault เรม่ิ มผี นู้ �ำมาเผยแพรค่ รง้ั แรกใน ชว่ งกลางทศวรรษที่ 2520 โดยนกั รฐั ศาสตร์ เชน่ ชยั วฒั น์ สถาอานนั ท์ (2525, 2533) และ ธเนศ วงสย์ านนาวา (2528, 2529) เปน็ ตน้ ขณะทนี่ กั ประวตั ศิ าสตร์ อาทิ ธงชยั วนิ จิ จะกลุ (2530, 2532) ไดน้ ำ� เอาความคดิ ของ Foucault มาใชใ้ นการศกึ ษาวจิ ยั เพอื่ เขยี น วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาเอกเปน็ คนแรกๆ ตอ่ จากนนั้ กม็ กี ารน�ำมาใชศ้ กึ ษาวทิ ยานพิ นธ์ ปริญญาโทเพิ่มข้ึน ที่ส�ำคัญก็คือ งานของ สายพิณ ศุพุทธมงคล (2543) เรื่อง “คนกบั คุก อ�ำนาจและการต่อต้านขดั ขืน” เป็นต้น งานวจิ ยั ช้นิ บุกเบิก ที่นำ� แนวความคดิ ของ Foucault มาใช้เป็นงานช้ินแรกๆ นน้ั น่าจะปรากฏอยู่ในบทความเร่ือง “ประวัตศิ าสตร์การสร้างตวั ตน” ของ ธงชยั วนิ จิ จะกุล (2530) ซง่ึ มองประวัติศาสตร์ว่าเป็นวาทกรรม แต่ในบทความนนั้ ธงชัย จะเลยี่ งใชค้ ำ� วา่ วาทกรรมตรงๆ กลบั ใชก้ ารอธบิ ายแทนวา่ หมายถงึ ระบอบของการ คดิ และการปฏบิ ตั ทิ จ่ี ดั ว่าเป็นความจรงิ ซงึ่ ใหค้ วามหมายด้วยระบบสญั ลกั ษณ์ ใน ความเขา้ ใจวฒั นธรรมวา่ เปน็ วาทกรรมเชน่ นเ้ี อง ทำ� ใหธ้ งชยั มองวฒั นธรรม โดยเนน้ เฉพาะเร่ืองความเป็นชาติ หรือ “ตัวตนของประเทศ” ว่าไม่ใช่ความว่างเปล่าหรือ อปุ าทานภายในจิตใจของเราเอง แต่เป็นการก�ำหนดสร้างข้ึนมาของมนษุ ย์ (ธงชยั 2530: 176-177) ด้วยการใช้ทัง้ ประวตั ิศาสตร์และแผนท่ีเป็นระบอบของการคดิ และ การปฏิบตั ิ เพ่ือสร้างให้เกดิ ความเข้าใจว่าเป็นจรงิ เช่นนนั้

70 ถกเถียงวฒั นธรรม ความเข้าใจวัฒนธรรมในเชิงวาทกรรม มีนัยส�ำคัญต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ความเขา้ ใจวฒั นธรรมแบบแกน่ สารนยิ ม ทค่ี รอบง�ำอยใู่ นสงั คมไทยตลอดมา ขณะ ที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจวัฒนธรรมว่า มีนัยทางการเมืองของความรู้แฝงอยู่ ด้วย โดยเฉพาะการเมอื งของรฐั ในการนิยามความรู้และความจรงิ ในเรอ่ื งต่างๆ ซึง่ ยุกติ มุกดาวิจิตร (2537) ได้หยิบยกประเด็นนขี้ ้ึนมาถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์ ในบทความเรือ่ ง “การเมอื งเรือ่ งวัฒนธรรมในสังคมไทย พ.ศ.2501-2537” ด้วยการ ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวมีวาทกรรมวัฒนธรรมถูกสร้างขึ้นมาอย่าง หลากหลาย และชว่ งชงิ ความหมายของความรทู้ เี่ กย่ี วกบั ทศิ ทางในการพฒั นาสงั คม ไทยท่ีแตกต่างกัน เช่น วาทกรรมวฒั นธรรมแบบลทั ธิมาร์กซ์ วาทกรรมวัฒนธรรม แบบสังคมศาสตร์ปริทศั น์ วาทกรรมวัฒนธรรมแบบศิลปวฒั นธรรม และวาทกรรม วฒั นธรรมชมุ ชนเปน็ ตน้ เพอื่ ทา้ ทายและชว่ งชงิ ความหมายกบั วาทกรรมวฒั นธรรม แบบรัฐนิยม และในภายหลังก็มีการสร้างวาทกรรมวัฒนธรรมแบบทุนนิยมขึ้นมา ครอบง�ำเพ่มิ เตมิ อีก หลงั จากถกเถยี งนยั ทางการเมอื งของวฒั นธรรมแลว้ ในปี พ.ศ.2538 ยกุ ตไิ ด้ เขยี นวทิ ยานพิ นธ์ปริญญาโท ซง่ึ อกี 10 ปีต่อมาก็ได้ตีพิมพ์เป็นหนงั สอื เพอื่ ศึกษา การเมอื งในงานการผลติ ความรแู้ บบหนง่ึ ทเ่ี รยี กวา่ ชาตพิ นั ธน์ุ พิ นธ์ (Ethnography) ใน แนววฒั นธรรมชมุ ชน (ยกุ ติ 2548) ทง้ั นเี้ พราะเขาเหน็ วา่ งานวจิ ยั ในแนวนม้ี อี ทิ ธพิ ล ต่อท้ังนกั พัฒนาเอกชนและนกั วิชาการ ในฐานะท่ีเป็นการวิพากษ์วิจารณ์แนวทาง การพัฒนาของรฐั และการเสนอทางเลือกในการพฒั นา บนพ้ืนฐานของศกั ยภาพ ของชาวบ้าน ดังน้ันยุกติจึงพยายามจะตั้งค�ำถาม และตรวจสอบงานศึกษาประเภท ดงั กลา่ ว ซงึ่ อา้ งทม่ี าของความรจู้ ากความจรงิ เชงิ ประจกั ษ์ โดยยกุ ตวิ เิ คราะหว์ า่ การ ผลิตความรู้แนววัฒนธรรมชุมชนมีลักษณะเป็นเพียงความพยายามนิยามความรู้ ว่าเป็นความจรงิ บนพืน้ ฐานของการสร้าง “ภาพแทนความจริง” (Representation) ข้ึนมา ด้วยความคิดแบบคู่ตรงข้ามระหว่างเมืองกับชนบทอย่างตายตัว ที่เกิดข้ึน ในบริบทของการช่วงชิงความหมายของการพัฒนาระหว่างชนช้ันกลางกับรัฐและ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 71 วาทกรรมกระแสหลกั และสรปุ ทงิ้ ทา้ ยไวว้ า่ ความรเู้ ชน่ นอ้ี าจจะกลายเปน็ วาทกรรม ครอบงำ� ไปได้เช่นกัน หากไม่เปิดกว้างยอมรบั ความแตกต่างและความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม ท่เี กดิ ข้ึนในหมู่ชาวบ้านเอง (ยกุ ติ 2548: 171-180) ในช่วงทศวรรษท่ี 2530 และ 2540 การศึกษาสังคมไทยบนความเข้าใจ วัฒนธรรมเชิงวาทกรรมได้ขยายตัวออกไปอีกอย่างกว้างขวาง ซึ่งอาจจะจ�ำแนก ออกได้อย่างน้อย 3 ประเด็นใหญ่ๆ คอื ประเด็นแรก วาทกรรมของระบอบความรู้ ประเดน็ ทีส่ อง วาทกรรมของวฒั นธรรมบรโิ ภคนยิ ม และประเด็นท่ีสาม วาทกรรม วัฒนธรรมพหุนยิ ม ส�ำหรับประเด็นแรกน้ันจะมุ่งศึกษา วาทกรรมของระบอบความรู้ ใน ลักษณะท่ีเป็นการเมืองของความรู้ โดยเฉพาะความรู้เก่ียวกับทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การนิยามความหมายของป่า บนพ้ืนฐานของการผูกขาดความรู้แบบ วทิ ยาศาสตรเ์ ขา้ กบั อำ� นาจรฐั และการกกั ขงั อตั ลกั ษณข์ องคนทอ่ี าศยั อยกู่ บั ปา่ งาน วจิ ยั ในประเดน็ นจี้ งึ มกั จะเปน็ การวจิ ยั เชงิ วพิ ากษ์ เพอ่ื วเิ คราะหใ์ หเ้ หน็ เบอื้ งหลงั ของ วาทกรรม ว่าขัดแย้งในตัวเองมากกว่าเป็นความจริง และเก่ยี วพนั กบั การเมอื งของ การกดี กนั กลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น ชาวเขา เพอ่ื ไม่ให้เข้าถึงทรพั ยากรเหล่านน้ั พร้อม ทง้ั การสรา้ งความเปน็ อนื่ ใหเ้ กดิ ขนึ้ ด้วย ซง่ึ น�ำไปส่กู ารลดทอนความเปน็ มนษุ ยข์ อง กลุ่มคนเหล่านน้ั (สมบัติ 2541, ปิ่นแก้ว 2548) ในบางกรณวี าทกรรมของระบอบความรู้ กอ็ าจจะปรากฏในลกั ษณะทเี่ รยี กวา่ การเมอื งของการอนรุ กั ษ์ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากงานของผเู้ ขยี นเอง (Anan 1998) ซงึ่ ศกึ ษา นโยบายในการอนรุ กั ษป์ า่ ของรฐั ดว้ ยการประกาศเปน็ อทุ ยานแหง่ ชาติ วา่ เปน็ เพยี ง วาทกรรมครอบงำ� บนพน้ื ฐานของการอา้ งความรแู้ บบวทิ ยาศาสตร์ แตเ่ มอ่ื วเิ คราะห์ ลงไปภายใต้บริบทของการช่วงชิงความหมาย ก็จะพบว่านโยบายและวาทกรรม ดังกล่าวขัดแย้งในตัวเอง เพราะในด้านหนง่ึ จะกีดกันกลุ่มชายขอบจากการเข้าถึง ทรพั ยากร ดว้ ยการกลา่ วหาวา่ กลมุ่ ชนเหลา่ นใี้ ชท้ รพั ยากรทท่ี ำ� ลายธรรมชาติ ทงั้ ๆ ที่ พวกเขามคี วามรใู้ นการใชแ้ ละการจดั การทรพั ยากรอยา่ งซบั ซอ้ น ขณะทใ่ี นอกี ดา้ น หนง่ึ เปดิ ใหก้ ลมุ่ ชนภายนอกเขตอนรุ กั ษส์ ามารถเขา้ มาใชท้ รพั ยากรในเชงิ พาณชิ ยไ์ ด้

72 ถกเถียงวัฒนธรรม ควบคู่ไปกับการศึกษาความรู้เก่ียวกับทรัพยากรธรรมชาติ ก็ยังมีงานวิจัย อีกจ�ำนวนมากท่ีศึกษาวาทกรรมของความรู้เก่ียวกับโรคและความเจ็บป่วย ซึ่งมี ลักษณะในการวิเคราะห์ไม่แตกต่างกันมากนกั เพราะจะมีลักษณะของการกีดกัน ผปู้ ว่ ยบางกลมุ่ เชน่ เดยี วกนั เพอื่ ไมใ่ หเ้ ขา้ ถงึ การรกั ษาหรอื การชดเชยผลกระทบจาก ความเสยี หายต่างๆ (มาลี 2548, ธวัช 2548) การศึกษาวัฒนธรรมเชิงวาทกรรม มักจะไม่ได้จ�ำกัดอยู่เฉพาะในด้านการ ครอบงำ� ของความรดู้ า้ นเดยี วเทา่ นน้ั แตจ่ ะครอบคลมุ ดา้ นของการชว่ งชงิ ความหมาย และการตอ่ รองความรู้ หรอื ดา้ นของการสรา้ งวาทกรรมตา้ น ซง่ึ งานวจิ ยั เหลา่ นน้ั จะ พยายามวิเคราะห์ให้เห็นความเช่ือมโยงขององค์ประกอบส�ำคัญๆ หลายประการ ด้วยกัน (อะภัย 2548, มธรุ ส 2544, ธวัช 2548) ประการแรกจะไมม่ องความรวู้ า่ มเี อกภาพลอยอยไู่ ดอ้ ยา่ งอสิ ระและตายตวั แต่จะเชื่อมโยงความรู้กับบรบิ ทและตวั ผู้กระท�ำการเสมอ ประการทส่ี องจะพยายามหลกี เลย่ี งการมองความรแู้ บบคตู่ รงขา้ ม ดว้ ยการ แสวงหาพื้นที่ท่ีสาม ซึ่งจะทำ� ให้เห็นความรู้ว่ามีท้ังความหลากหลาย ซับซ้อนและ ขัดแย้งกันเอง ที่ผู้กระท�ำการจะเลือกผสมผสานได้แตกต่างกันไปตามบริบทของ สถานการณ์ โดยไม่ปิดกนั้ ความรู้ใดความรู้หนงึ่ ประการทส่ี ามจะมองความรใู้ นฐานะกระบวนการเคลอ่ื นไหว เพอื่ สร้างและ ช่วงชิงความหมาย พร้อมๆ การปรับเปลย่ี นความสัมพนั ธ์เชิงอ�ำนาจ ในประการสุดท้าย จะมองความรู้เช่ือมโยงกับการสร้างอัตลักษณ์ของ ผู้กระท�ำการด้วย ในความพยายามท่จี ะตอบโต้การถูกกระทำ� ให้เป็นอ่ืน โดยแสดง ให้เหน็ อตั ลกั ษณ์ทห่ี ลากหลาย การศึกษาวาทกรรมของระบอบความรู้ส่วนใหญ่ มักจะเน้นการช่วงชิง ความหมาย ส่วนการศึกษาวาทกรรมครอบง�ำนน้ั มักจะอยู่ในงานของธงชัยใน ระยะแรกๆ โดยเฉพาะการศึกษาวาทกรรม ว่าด้วยการนิยาม “ความเป็นไทย” แต่ ในระยะหลงั ๆ จงึ เรม่ิ มคี วามสนใจกลบั มาศกึ ษาวาทกรรมครอบง�ำอกี ครงั้ ทสี่ �ำคญั

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 73 คืองานการศกึ ษาทางประวัตศิ าสตร์ของ สายชล สัตยานรุ ักษ์ (2548) ซง่ึ พยายาม รอ้ื ถอนความคดิ ทอ่ี ยใู่ นวาทกรรม เกย่ี วกบั การสรา้ งความเปน็ ไทยกระแสหลกั เพอ่ื เข้าใจความจริง ทคี่ วามเป็นไทยพยายามสร้างข้ึน และพบว่า การสร้างความเป็น ไทยกระแสหลกั จะมลี กั ษณะของการนยิ ามความหมายทคี่ บั แคบมาอย่างต่อเนอ่ื ง ตงั้ แตย่ คุ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ จนการเมอื งถกู ผกู ขาดอยใู่ นกลมุ่ ชนชน้ั น�ำ ขณะท่ี กดี กนั กลมุ่ ชนระดบั ลา่ งและกลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ ใหข้ าดการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง แต่การให้ความส�ำคัญกับความต่อเนื่องของวาทกรรมครอบง�ำเช่นนี้ อาจ มองข้ามความสนใจศึกษา การช่วงชิงการนิยามความหมายของความเป็นไทย ระหว่างกลุ่มชนต่างๆ ในสังคมไทยไปบ้าง ซึ่งมักมีอยู่ในงานเขียนระดับท้องถิ่น จ�ำนวนมาก และงานนอกวงวชิ าการท่ีแพร่หลายในวงกว้าง ตลอดจนงานบางส่วน ในกลุ่มศึกษาแบบท่ีสอง จึงอาจเป็นไปได้ว่า การสร้างความเป็นไทยกระแสหลัก อาจจะรวมถึงความพยายามช่วงชิงความหมายกับกระแสท้องถ่ินด้วย นอกจาก จะเปน็ การปรบั เปลยี่ นความหมายไปตามบรบิ ททางการเมอื ง ตามความเขา้ ใจของ ชนช้ันนำ� ท่สี ายชลพยายามศกึ ษาแล้ว การศึกษาวาทกรรมประเด็นท่ีสอง คือ วาทกรรมวัฒธรรมบรโิ ภคนิยมนน้ั เร่ิมขึ้นหลังจากมีการน�ำแนวความคิดของนกั คิดชาวฝร่ังเศสเข้ามาในสังคมไทยอีก นอกเหนอื จาก Michel Foucault ตงั้ แตช่ ่วงปลายทศวรรษที่ 2520 โดยเฉพาะนกั คดิ ส�ำนักหลังสมัยใหม่นิยม เช่น Jean Baudrillard (1998) ซึ่งเสนอความคิดเรื่อง การบรโิ ภคความหมายและสญั ญะ ในฐานะทเี่ ปน็ วฒั นธรรมบรโิ ภคนยิ ม ซงึ่ กลายเปน็ พลงั ขบั เคลอื่ นสำ� คญั ในระบบทนุ นยิ มยคุ โลกาภวิ ตั น์ แทนระบบการผลติ (สทุ ธพิ นั ธ์ และจรี ติ 2528) และความคดิ ของนกั คดิ สำ� นกั หลงั โครงสรา้ งนยิ ม เชน่ Roland Barthes (1972) เกยี่ วกบั การวเิ คราะหส์ ญั ญะ ในช่วงตน้ ทศวรรษที่ 2540 (ชศู กั ด์ิ 2539, จรญู 2540, ไชยรตั น์ 2545) ซ่ึงช่วยกระตุ้นให้เกิดความสนใจศกึ ษาวฒั นธรรมการบรโิ ภค ทมี่ กั เชอ่ื มโยงกบั การเมอื งของการสรา้ งมายาคตใิ นเชงิ ความหมายและสญั ญะตา่ งๆ หลังจากนนั้ ก็ยังมีการน�ำเข้าแนวความคิดตะวันตกอื่นๆ อีกอย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะแนวความคิดจากส�ำนกั วัฒนธรรมศึกษาของอังกฤษ ซ่ึงได้รับอิทธิพล

74 ถกเถยี งวฒั นธรรม ทางความคิดของนกั คิดชาวอิตาลคี อื Antonio Gramsci (1971) อย่างชดั เจน ด้วย การเสนอข้อถกเถียงที่ไม่ยอมรับการครอบง�ำของความหมายใดความหมายหนงึ่ อย่างเบ็ดเสร็จ ท้ังนี้เพราะกลุ่มคนต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนท่ีอยู่ก้นบ้ึง ของสังคมสักเพียงใดก็ตาม ก็ยังสามารถช่วงชิงและต่อรองกับความหมายต่างๆ ที่พยายามเข้ามาครอบง�ำได้ ขอ้ ถกเถยี งดงั กลา่ วชว่ ยเปดิ ประเดน็ และพน้ื ทใี่ หมๆ่ ในการสรา้ งความเขา้ ใจ ทางวฒั นธรรม ทชี่ ว่ ยใหม้ องเหน็ ความหลากหลาย และความซบั ซอ้ นของความหมาย มากข้ึน ขณะเดียวกันก็ช่วยให้มองเห็นพลวัตของวัฒนธรรม ที่หลุดออกไปจาก กรอบของรฐั ชาตไิ ด้ เพราะไมไ่ ดม้ องวฒั นธรรมเปน็ เอกภาพของระบบคณุ คา่ แตเ่ ปน็ ความหมายทห่ี ลากหลายและเชอื่ มโยงอยกู่ บั ความสมั พนั ธท์ ซ่ี บั ซอ้ นและไรพ้ รมแดน ส�ำหรับนักวิชาการไทยคนแรกๆ ท่ีได้ทดลองน�ำแนวความคิดวัฒนธรรม บรโิ ภคนิยมมาใช้ศึกษาสังคมไทยในเชิงวาทกรรมคือ ยศ สันตสมบัติ (2535) ในหนงั สอื เรอื่ ง “แมห่ ญงิ สขิ ายตวั ชมุ ชนและการคา้ ประเวณใี นสงั คมไทย” ซง่ึ ยศ สามารถใชแ้ นวความคดิ ดงั กลา่ วมาโตเ้ ถยี งกบั ความเขา้ ใจทวั่ ไป ทม่ี กั จะอธบิ าย การคา้ ประเวณขี องหญงิ ชาวบา้ นอยา่ งงา่ ยๆ วา่ มสี าเหตมุ าจากปญั หาความยากจน ทางเศรษฐกิจ ด้วยการวิพากษ์ระบบทุนนิยมและวาทกรรมของวัฒนธรรม บรโิ ภคนิยมว่า เป็นต้นเหตุที่แท้จริง เพราะการค้าประเวณีน้ันเป็นปัญหาทาง วัฒนธรรม และการถูกครอบง�ำทางวาทกรรม ที่มาจากการเปล่ียนแปลงทาง เศรษฐกิจแบบทุนนิยมในปัจจุบัน ซึ่งก�ำลังอยู่ในกระบวนการเปล่ียนให้วัฒนธรรม เป็นสินค้ามากขึ้น ควบคู่ไปกับการขยายตัวของวัฒนธรรมบรโิ ภคนิยม และเม่ือ เศรษฐกิจชนบทถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนงึ่ ของระบบทุนนิยมมากขึ้น ชาวบ้านก็จะ ซมึ ซบั และรบั วาทกรรมวฒั นธรรมบรโิ ภคนยิ มตามมา จนเหน็ คลอ้ ยไปกบั การเปลย่ี น ให้เพศกลายเป็นสินค้าด้วย ซึ่งค่อยๆ ขยายตัวกลายไปเป็นวัฒนธรรมการขายตัว ในท่ีสดุ หลงั จากนน้ั เกษยี ร เตชะพรี ะ (2539) กไ็ ดน้ �ำความคดิ บรโิ ภคนยิ มมาอธบิ าย ผลที่เกิดขึ้นจากการ “บรโิ ภคความเป็นไทย” ด้วยการศึกษาจากส่ือโมษณาต่างๆ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 75 เพื่อวิพากษ์และรื้อถอนความคิดชาตินิยมในความเป็นไทย ซ่ึงยังคงเป็นวาทกรรม ครอบง�ำกระแสหลักในสังคมไทย โดยวิเคราะห์ให้เห็นถึงมิติทางการเมืองของ วฒั นธรรม เพราะในระบบทนุ นยิ มโลกาภวิ ตั นน์ น้ั แมแ้ ตว่ ฒั นธรรมกอ็ าจถกู เปลย่ี นให้ กลายเปน็ สนิ คา้ ได้ เนอื่ งจากระบบเชน่ นกี้ ำ� ลงั เปลย่ี นมาใชว้ ฒั นธรรมบรโิ ภคนยิ มเปน็ พลังขับเคลื่อนหลัก ในการแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแทนระบบการผลิต ด้วยการส่งเสรมิ ให้ผู้คนหนั มาบรโิ ภคความหมายหรอื สญั ญะมากข้นึ ภายใต้ระบบทุนนิยมในปัจจุบันดังกล่าว ความเป็นไทยจึงถูกเปล่ียนให้ กลายเป็นเพียงสินค้า ที่ใครๆ ก็สามารถบรโิ ภคได้ โดยไม่เก่ียวข้องกับอัตลักษณ์ แห่งชาติของผู้บรโิ ภคเลยก็ได้ เพราะความเป็นไทยกเ็ ป็นเพียงสนิ ค้าชนดิ หนง่ึ ผลที่ ตามมาก็คอื ความพยายามใดๆ ที่จะสร้างความเป็นแก่นสารให้กบั ความเป็นไทย อาจจะท�ำได้อย่างมากก็เพียงท�ำให้ความเป็นไทยเป็นสินค้าที่มีราคาสูงข้ึนเท่านนั้ แต่คนในชาติพันธุ์ไทยจะไม่สามารถควบคุมความเป็นไทย ที่เป็นเพียงสินค้านี้ได้ อกี ตอ่ ไป เมอื่ ความเปน็ ไทยกลายเปน็ เพยี งสนิ คา้ แลว้ เรอ่ื งจติ วญิ ญาณของความเปน็ ไทยจึงเป็นเพยี งนามธรรมทวี่ ่างเปล่า ซึง่ อาจจะเก็บเอาไว้ช่นื ชม หรืออาจจะถกู ใช้ เป็นการเมืองวัฒนธรรม หรือวาทกรรมเพอ่ื ครอบง�ำได้ หากยังไม่เข้าใจการท�ำงาน ของระบบทนุ นิยมดงั กล่าวไปแล้ว การปรบั ใชแ้ นวความคดิ วฒั นธรรมบรโิ ภคนยิ ม และการเปลยี่ นวฒั นธรรมให้ เปน็ สนิ คา้ ในงานศกึ ษานำ� รอ่ ง 2 ชนิ้ แรกนี้ ไดช้ ว่ ยขยายความเขา้ ใจวฒั นธรรม ในแง่ การเมอื งของวฒั นธรรมหรอื ลกั ษณะครอบงำ� ของวฒั นธรรมเพม่ิ เตมิ อกี ดงั จะเหน็ ได้ อย่างชดั เจนในวาทกรรมของการบรโิ ภคความหมาย เพราะมีการตอกยำ้� ความเป็น แก่นสารของความหมายในวฒั นธรรมอย่างต่อเนือ่ ง ซ่งึ มงี านวจิ ยั ในแนวนเ้ี พิม่ เติม อีกจ�ำนวนหนงึ่ ในช่วงทศวรรษท่ี 2540 ในระยะแรกๆ การศึกษาวัฒนธรรมบรโิ ภคนิยมส่วนใหญ่ มักจะเน้นไป ในทิศทางท่ีมองบรโิ ภคนิยมเป็นวาทกรรม ในการครอบง�ำทางความคิดเพียง ทิศทางเดยี ว เพ่อื วิพากษ์ผลกระทบทีม่ ีต่อการลดทอนความเป็นมนุษย์ ทง้ั ๆ ทใี่ น ความจรงิ แลว้ วฒั นธรรมดงั กลา่ วกม็ ลี กั ษณะทงั้ ทสี่ อดคลอ้ ง แตกตา่ ง ขดั แยง้ กนั เอง

76 ถกเถียงวัฒนธรรม และหลากหลายซบั ซอ้ นอยา่ งมาก โดยไมไ่ ดม้ คี วามหมายไปในทางใดทางหนง่ึ ทาง เดยี วเสมอไป ความเขา้ ใจวฒั นธรรมบรโิ ภคนยิ มทำ� นองนจ้ี ะเพงิ่ เรม่ิ ปรากฏชดั เจนขนึ้ ในงานวิจยั ช่วงหลงั ของทศวรรษท่ี 2540 ไปแล้ว งานวจิ ยั ของ ปราโมทย์ ภกั ดณี รงค์ (2548) เรอ่ื ง “การเมอื งของสนุ ทรยี ภาพ ผ้าซ่นิ ตนี จกแม่แจ่ม” น่าจะเป็นตัวอย่างท่ีดีชน้ิ หนง่ึ ของช่วงเวลาดังกล่าว งานช้ินนี้ พยายามถกเถยี งวา่ วฒั นธรรมการบรโิ ภคสนิ คา้ วฒั นธรรม ในกรณนี ก้ี ค็ อื ผา้ ซนิ่ ตนี จก ของอ�ำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการเมืองของการบรโิ ภควัตถุสินค้า ผ่านคุณค่าเชิงสัญญะ เพราะมีรหัสทางวัฒนธรรมหรือความหมายในการส่ือสาร ที่ไม่จ�ำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มหรือชนชั้นทางสังคมของผู้บรโิ ภคเท่านน้ั จึงเก่ียวข้อง กับการช่วงชิงความหมาย ด้วยการสร้างวาทกรรม หรือ “ชุดความรู้” เกี่ยวกับ ผ้าซ่นิ ตนี จกแตกต่างกัน ท่เี ป็นเสมอื นพื้นทข่ี องการนิยามตวั ตน ในสงั คมของกลุ่ม คนต่างๆ ที่มีส่วนร่วมอยู่ในวัฒนธรรมการบรโิ ภคสินค้าวัฒนธรรมน้ี ท้ังภายนอก และภายในชุมชนท้องถน่ิ เอง การศึกษาดังกล่าววิเคราะห์การช่วงชิงความหมายที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นว่า เป็นการต่อรองในเชิงวาทกรรม เกีย่ วกบั การบรโิ ภคสินค้าวฒั นธรรม ซ่งึ ไม่ได้ผูกตดิ อยู่กับคู่ตรงข้ามเท่านั้น เพราะยังมีกลุ่มคนที่หลากหลายในชุมชนท้องถิ่นเอง เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างชุดความรู้อ่ืนๆ ขึ้นมาช่วงชิงความหมายด้วย แม้จะ ยังไม่มีพลงั มากนกั ก็ตาม ส�ำหรับวาทกรรมหลักนน้ั ในด้านหนง่ึ จะแสดงออกผ่าน หนว่ ยราชการทอ้ งถน่ิ ทพ่ี ยายามสง่ เสรมิ ใหผ้ า้ ซนิ่ ตจี กเปน็ สนิ คา้ วฒั นธรรมเชงิ การคา้ เตม็ รปู แบบ ขณะทใ่ี นอกี ดา้ นหนงึ่ นกั วชิ าการและสอ่ื มวลชนจะตอบโตว้ าทกรรมแรก ผา่ นการนยิ ามผา้ ซนิ่ ในเชงิ “คณุ คา่ วฒั นธรรมทแี่ ทจ้ รงิ ” หรอื “วฒั นธรรมประชาชน” ทม่ี รี หสั ทางวฒั นธรรมเปน็ สากล เชน่ อดุ มการณพ์ ทุ ธศาสนา พนื้ ทเี่ ฉพาะของผหู้ ญงิ และวิถีชวี ติ ไทย เป็นต้น แม้จะมีกลุ่มคนในท้องถ่ินยอมรับวาทกรรมหลักท้ังสองชุดแตกต่างกันไป แต่บางส่วนยังไม่ยอมรับ เพราะมีความทรงจ�ำในท้องถ่ินท่ีแตกต่างออกไป เนื่องจากวาทกรรมหลักจะมีลักษณะสากลและหลุดออกไปจากบริบทของท้องถ่ิน

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 77 ขณะเดียวกันก็เน้นตัวสัญญะมากกว่าตัวชาวบ้าน ซึ่งท�ำให้ชาวบ้านไร้พลังในการ ก�ำหนดทิศทางการอธบิ าย ชาวบ้านบางส่วนจึงพยายามเข้ามาต่อรองความหมาย ด้วยการสร้างตัวตนในทางประวัติศาสตร์จากความทรงจ�ำ ซ่ึงก็จะแตกต่างกันไป ตามฐานะบทบาทและอ�ำนาจในสังคม ท่ียังไม่มั่นคงและยังไม่เท่าเทียมกัน แต่ก็ ทำ� ใหเ้ กดิ ชดุ ความรทู้ หี่ ลากหลายมากขนึ้ กวา่ ทมี่ อี ยใู่ นวาทกรรมกระแสหลกั เทา่ นนั้ (ปราโมทย์ 2548: 208-218) ประเด็นท่ีสาม การศึกษาวาทกรรมวัฒนธรรมพหุนิยม อาจจะถือได้ว่า เป็นการสานต่อแนวความคิดเร่ืองความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ท่ีเร่ิมศึกษา กันมาแล้วในกลุ่มท่ีสอง แต่ความเข้าใจชาติพันธุ์ในกลุ่มที่สอง ยังคงยึดติดอยู่กับ ความคิดแบบแก่นสารนิยม กล่าวคือเช่ือในการด�ำรงอยู่ด้วยตัวเองของความเป็น ชาติพันธุ์ ซ่งึ ในระยะหลังท้งั รฐั ชาตแิ ละระบบตลาดได้น�ำมาใช้เป็นพื้นฐาน ในการ ครอบงำ� และกกั ขงั ภาพลกั ษณข์ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ ใหถ้ าวรและตายตวั ทง้ั ภาพ เชงิ ลบ เพอื่ การควบคมุ และกดี กนั กลมุ่ ชาตพิ นั ธเ์ุ หลา่ นน้ั และภาพเชงิ บวก เพอ่ื การขาย เป็นสินค้าวัฒนธรรม ซึ่งน�ำไปสู่การลดทอนความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชาติพันธุ์ ทงั้ หลายมากขนึ้ เม่ือความเข้าใจชาติพันธุ์ ในทางมานุษยวิทยาค่อยๆ พัฒนาและ เปล่ียนแปลงไป หลังจากได้รับอิทธิพลทางความคิดจากนกั มานุษยวิทยาที่ส�ำคัญ 2 คนคือ Edmund Leach (1954) และ Fredrik Barth (1969) ในกรณขี อง Leach ได้ เสนอใหม้ องชาตพิ นั ธเ์ุ ปน็ เสมอื นบทบาท ทสี่ ามารถปรบั แปลงไปไดต้ ามเงอ่ื นไขของ บริบทแวดล้อม และไม่ใช่ลักษณะทางวัฒนธรรมที่ด�ำรงอยู่อย่างตายตัว ขณะท่ี Barth ได้ชใ้ี หเ้ หน็ ว่า ชาตพิ นั ธ์เุ ปน็ คณุ สมบตั ทิ างวฒั นธรรมทห่ี ลากหลาย และไมใ่ ช่ ความเชอ่ื หรอื แบบแผนทส่ี บื ทอดกนั มา ซงึ่ คนในกลมุ่ ชาตพิ นั ธส์ุ ามารถเลอื กนำ� มาใช้ เพื่อนิยามความเป็นสมาชิกภาพของตนเองในกลุ่ม และในความสัมพันธ์กับกลุ่ม อื่นๆ เพราะสามารถปรับเปล่ียนและล่ืนไหลไปมาได้ การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์จึง หนั มาสนใจการสรา้ งและนยิ ามความเปน็ ชาตพิ นั ธ์ุ ในเชงิ กระบวนการทเ่ี ปลยี่ นแปลง ได้มากข้ึน

78 ถกเถียงวัฒนธรรม ในกรณขี องสงั คมไทย การรบั ความคดิ และความเขา้ ใจชาตพิ นั ธด์ุ งั กลา่ วเรมิ่ ปรากฏชัดมากข้ึนในช่วงต้นทศวรรษท่ี 2540 ดังจะพบข้อถกเถียงเก่ียวกับมุมมอง เช่นนใ้ี นงานของอานนั ท์ (2541ข) และต่อมาเมื่อได้ผสมผสานกับแนวความคิดเร่อื ง วาทกรรมและอตั ลกั ษณ์ (อภญิ ญา 2546) เพม่ิ เติมอกี กย็ ง่ิ ช่วยเสรมิ ให้ความเขา้ ใจ ชาติพันธุ์เชิงวาทกรรมมีพลังในการวิเคราะห์มากข้ึน ซ่ึงน�ำไปสู่การขยายตัวของ การวิจยั ชาติพนั ธ์ุ ในมิตขิ องวาทกรรมวัฒนธรรมพหุนิยมตามมา ในระยะแรกๆ วาทกรรมวัฒนธรรมพหุนิยมท่ีส�ำคัญ จึงแสดงออกมาใน ประเดน็ การเมอื งของอตั ลกั ษณท์ างชาตพิ นั ธ์ุ ซง่ึ มงี านวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งมากมาย เชน่ งานวิจัยของ อรัญญา ศริ ผิ ล (2546) ศกึ ษาการตอบโต้ของชาวม้งต่อการถูกกักขัง อตั ลักษณ์ไว้กับฝิ่น ด้วยการแสดงอัตลักษณ์ออกมาอย่างหลากหลาย ท้งั ในระดับ ปจั เจกชนและระดบั ชมุ ชน เพอ่ื ปรบั เปลย่ี นความสมั พนั ธก์ บั วาทกรรมครอบงำ� ตา่ งๆ ของรฐั ไมว่ า่ จะเปน็ การสรา้ งภาพลกั ษณข์ องชมุ ชนปลอดยาเสพตดิ หรอื ชมุ ชนของ ผู้ประสพความส�ำเร็จทางเศรษฐกจิ เป็นต้น นอกจากนน้ั ยังมีการศึกษากระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ ต่างๆ ในลักษณะอ่ืนๆ อีก เช่น งานวิจัยของขวัญชีวัน บัวแดง (2546) ศึกษา การปรับเปล่ียนศาสนาของชาวกะเหร่ียง ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงระบบ ความสัมพันธ์ในการผลิตและความสัมพันธ์กับคนภายนอกชุมชนมากขึ้น ด้วย การผสมผสานความเช่ือทั้งศาสนาเดิมกับศาสนาคริสต์และพุทธ เพื่อปรับ ความสมั พันธ์เชงิ อำ� นาจให้ตนเองมสี ถานภาพทางสงั คมสงู ข้นึ ในกระบวนการสรา้ งอตั ลกั ษณน์ น้ั อาจจะไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งเกย่ี วกบั การตอบโต้ หรอื การยกสถานภาพทางสงั คมเทา่ นนั้ ในบางกรณอี าจจะเปน็ การสรา้ งการยอมรบั กไ็ ด้ เชน่ กรณขี องชาวไตหรอื ไทใหญ่ ทแี่ มฮ่ อ่ งสอน ซง่ึ นติ ิ ภวคั รพนั ธ์ุ (2547) ศกึ ษา และพบว่า ชาวไตใช้การปรับเปลี่ยนความทรงจ�ำของตน ในกระบวนการสร้าง ความเป็นไทย เพอ่ื การในชีวติ อยู่ในรัฐไทย ดังนนั้ กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ในวาทกรรมวัฒนธรรมพหุนิยม จึงเป็น กระบวนการที่หลากหลายและซับซ้อน ซ่ึงไม่ได้ปรับเปล่ียนไปในทิศทางเดียวกัน

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 79 ทั้งหมด แต่อาจจะผสมผสานและดำ� รงอยู่ร่วมกันก็ได้ ในกรณีศึกษากระบวนการ ร้ือฟื้นอักษรไทในเวียดนาม ยุกติ มุกดาวิจิตร (2548) ได้พบว่าเป็นกระบวนการ ตอ่ รองของชมุ ชนในหลายระดบั และหลากลกั ษณะ ในฐานะทเ่ี ปน็ ความเคลอ่ื นไหวที่ ซับซ้อน เพื่อปรับความสมั พันธ์ต่างๆ ทงั้ ภายในและภายนอกท้องถนิ่ ในบริบทของ รัฐชาตทิ ี่ก�ำลังเปลย่ี นแปลงไป อย่างไรก็ตาม กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ในวาทกรรมวัฒนธรรมพหุนิยม ไม่ได้จ�ำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์เท่านนั้ ที่จริงแล้วยังมีกรณีศึกษาท่ีเก่ียวข้อง กับความหลากหลายทางวัฒนธรรมในลักษณะอื่นๆ อีก ที่ด�ำรงอยู่ร่วมกันอย่าง ซบั ซอ้ นในสงั คมไทย ไมว่ า่ จะเปน็ การเมอื งของอตั ลกั ษณท์ างเพศ ศาสนา และแมแ้ ต่ อตั ลกั ษณข์ องกลมุ่ ชายขอบอนื่ ๆ เชน่ กลมุ่ วฒั นธรรมยอ่ ย และกลมุ่ ทอ่ี ยกู่ น้ บง้ึ ของ สงั คม เชน่ คนไรบ้ า้ น (บญุ เลศิ 2546) ซงึ่ มจี ำ� นวนมาก จงึ ไมส่ ามารถจะประมวลมา ให้เห็นเป็นตัวอย่างได้ทัง้ หมดในบทสังเคราะห์ส้นั ๆ ชน้ิ นี้ ในระยะหลงั ๆ กระบวนการสรา้ งอตั ลกั ษณ์ ในวาทกรรมวฒั นธรรมพหนุ ยิ ม ทน่ี า่ สนใจ จะเรมิ่ หนั มามองการสรา้ งอตั ลกั ษณล์ อดรฐั ชาตมิ ากขน้ึ ดงั จะเหน็ ไดจ้ าก ความสนใจศึกษาคนพลัดถ่ิน (ฐริ วฒุ ิ 2547) และกรณีศึกษาต่างๆ เช่น งานศกึ ษา ของปิ่นแก้ว เหลอื งอร่ามศรี (2549) เรอ่ื งหญิงพลดั ถิน่ ไทใหญ่ในพืน้ ทชี่ ายขอบของ รัฐชาติ ซ่ึงสร้างวาทกรรมคนพลัดถ่ิน ผ่านการวิพากษ์วาทกรรมรัฐชาติ ท่ีกระทำ� ความรุนแรงต่อร่างกายผู้หญิง ในความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เชื่อมโยงระดับ ท้องถิน่ ชาติและโลกเข้าไว้ด้วยกนั กรณีศึกษาวัฒนธรรมของคนพลัดถ่ินส่วนใหญ่จะให้ความส�ำคัญกับ การเมืองของอัตลักษณ์ที่ลอดรัฐ ส่วนในเชิงวิธีวิทยาก็จะเน้น การมองวัฒนธรรม บรโิ ภคนยิ ม ในเชงิ ทเี่ ปน็ กระบวนการปรบั ความสมั พนั ธเ์ ชงิ อ�ำนาจมากขนึ้ แทนทจี่ ะ มองในด้านของการครอบงำ� ด้านเดยี ว เช่น กรณีศึกษา คนไทใหญ่พลัดถ่นิ ในไทย ของ Amporn Jirattikorn (2007) ซึ่งพบว่ามีอัตลกั ษณ์ทีซ่ บั ซ้อนและลื่นไหล เพอื่ การ ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเชียงใหม่ โดยที่บางส่วนจะนิยมบรโิ ภคเพลงไทใหญ่สมัยนิยม จากพมา่ ในการสรา้ งอตั ลกั ษณข์ า้ มพรมแดน ทเี่ ชอื่ มโยงกบั การบรโิ ภคความทรงจ�ำ

80 ถกเถยี งวัฒนธรรม เกี่ยวกับบ้านเกิดและความเป็นชาติ พร้อมๆ กับการบรโิ ภคความเป็นสมัยใหม่ ขณะเดียวกันบางส่วนก็ยังจัดงานประเพณี ในฐานะพ้ืนที่สาธารณะและชีวิต ทางสงั คมของพวกเขา เพื่อปรับพลวตั ของความสัมพนั ธ์กบั รฐั และระบบทนุ ความเข้าใจวัฒนธรรม ในมิติของวาทกรรม ได้ขยายพรมแดนความรู้ ที่ช่วยให้มองเห็นปัญหาของความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจระหว่างกลุ่มชนต่างๆ ทั้ง กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ กลมุ่ ทางศาสนา กลมุ่ ทางเพศ กลมุ่ วฒั นธรรมยอ่ ย และกลมุ่ ชายขอบ อื่นๆ ในรัฐชาติและข้ามรัฐมากขึ้น ซึ่งมีเกี่ยวพันกับกระบวนการต่างๆ มากมาย ไมว่ า่ จะเปน็ การครอบงำ� ความขดั แยง้ ความซบั ซอ้ น และการตอ่ รองกนั อยตู่ ลอดเวลา เม่ือเชื่อมโยงกับบริบทและเงื่อนไขของความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ เช่น วาทกรรม ความรู้ วัฒนธรรมบรโิ ภคนิยม อัตลักษณ์ วัฒนธรรมพหุนิยม ความเป็นพลเมือง และความเป็นสมยั ใหม่ เป็นต้น แต่ความเข้าใจวัฒนธรรมเช่นน้ี ก็อาจจะยังไม่ได้ให้ความส�ำคัญกับ ความเคล่ือนไหวทางสังคมวัฒนธรรม ที่เกิดข้ึนในบริบทเชิงโครงสร้างและ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ก�ำลังเปลี่ยนแปลง แม้จะมีความสนใจ ความเคลอื่ นไหวอยบู่ า้ งแลว้ จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งปรบั ความเขา้ ใจวฒั นธรรมเพม่ิ เตมิ ตอ่ ไป 2.6 กลมุ่ ศกึ ษาวัฒนธรรมปฏิบตั กิ ารและความเคล่อื นไหว ในบริบทของความขดั แยง้ ทางเศรษฐกิจการเมือง แนวทางในการศึกษาของกลุ่มน้ี อาจจะถือว่ายังอยู่ในข้ันแรกเร่ิมของ การก่อตัวขึ้นมาใหม่ จึงยังไม่มีปรากฏแนวทางชัดเจนเช่นเดียวกับกลุ่มอ่ืนๆ ก่อนหน้านี้ และบางส่วนก็อาจจะมีลักษณะใกล้เคียงกับแนวทางของกลุ่มศึกษา วาทกรรม โดยเฉพาะการมองวัฒนธรรมในเชิงปฏิบัติการคล้ายคลึงกัน แต่ แนวทางของกลุ่มศกึ ษาวาทกรรมจะเน้น การปฏิบัตกิ ารของการช่วงชงิ และต่อรอง ในดา้ นของความหมาย ความรู้ และอตั ลกั ษณ์ มากกวา่ การตอ่ รองเพอื่ ปรบั เปลย่ี น ความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจ และยังอาจจะให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวทาง

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 81 สงั คมไมม่ ากนกั ขณะทยี่ งั ไมไ่ ดส้ นใจบรบิ ทของความขดั แยง้ ทางเศรษฐกจิ การเมอื ง ดงั นนั้ แนวทางการศกึ ษาของกลมุ่ นี้ จงึ มนี ยั ของการเพมิ่ เตมิ เสรมิ ตอ่ สว่ นทย่ี งั อาจจะ ขาดหายไปเหล่าน้ี เพ่อื ช่วยให้ความเข้าใจวฒั นธรรมมีความซบั ซ้อน และสามารถ ครอบคลมุ ประเดน็ ต่างๆ อย่างรอบด้านมากขึน้ ตามท่ีได้เกริ่นน�ำไว้แล้วว่า การศึกษากลุ่มนกี้ �ำลังก่อตัวข้ึนมาใหม่ เพราะ การศึกษาวัฒนธรรมปฏิบัติการและความเคล่ือนไหวเช่นนี้ เคยมีผู้ทดลอง นำ� เสนอมากอ่ นแลว้ ตง้ั แตช่ ว่ งทศวรรษที่ 2520 แตก่ ารศกึ ษาครงั้ นนั้ ขาดการสบื สาน อย่างต่อเน่ืองไปช่วงเวลาหน่ึง และเพ่ิงจะมีความพยายามพัฒนาขึ้นมาใหม่ ในช่วงหลงั ของทศวรรษท่ี 2540 นเ้ี อง สำ� หรบั การศกึ ษาในช่วงทศวรรษท่ี 2520 นน้ั เร่ิมต้นจากความสนใจศึกษา ประวัตศิ าสตร์ของขบวนการเคลอื่ นไหวของชาวนา ทเ่ี รยี กกนั ว่า กบฏผู้มีบุญหรือ ขบวนการพระศรอี าริย์ ซึ่งเกิดข้นึ ในหลายภมู ิภาคของประเทศไทย และหลายครงั้ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ดังปรากฏในงานของฉตั รทิพย์ นาถสุภา เรื่อง “เจ้าผู้มี บุญหนองหมากแก้ว” ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ.2523 และ เรือ่ ง อดุ มการณ์ขบถ ผู้มีบุญอีสาน ซึ่งตีพิมพ์คร้ังแรกในปี พ.ศ.2527 ต่อมาท้ังสองบทความถูกน�ำมา ตีพิมพ์รวมกันในหนงั สือ “วัฒนธรรมไทยกับขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคม” (ฉตั รทิพย์ 2534) แนวทางการศึกษาในบทความท้ังสองได้วิเคราะห์ให้เห็นว่า การ เคลอ่ื นไหวของชาวนามกั จะกอ่ ตวั ขนึ้ มา จากพลงั อำ� นาจของการตคี วามอดุ มการณ์ พระศรอี ารยิ ์ และสำ� นกึ ทางประวตั ศิ าสตรข์ องชาวบา้ น จนกลายเปน็ การปฏบิ ตั กิ าร ในบรบิ ทของความขดั แยง้ ทางเศรษฐกจิ การเมอื ง ซง่ึ ถกู มองวา่ เปน็ วกิ ฤตทางศลี ธรรม ที่เกิดจากการที่รัฐเข้ามาเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการเมืองใน ท้องถิ่น พลังอ�ำนาจดังกล่าวจึงเป็นพื้นฐานทางอุดมการณ์ ที่ช่วยให้ชาวบ้าน รวมตัวกันต่อต้านรัฐ เพอ่ื จะได้มอี ิสระจากรฐั นอกจากนกั วชิ าการชาวไทยแลว้ ในชว่ งนน้ั ยงั มนี กั วชิ าการชาวตา่ งประเทศ ทสี่ นใจประเดน็ การศกึ ษาความเคลอ่ื นไหวของชาวนาเชน่ เดยี วกนั แตข่ ยายชว่ งเวลา มาสู่กรณีศกึ ษา ทเี่ กดิ ขนึ้ ในปัจจบุ ันสมยั มากข้ึน เริ่มจากงานของนกั มานษุ ยวทิ ยา

82 ถกเถียงวฒั นธรรม ชาวองั กฤษชอ่ื Andrew Turton ในบทความเร่ือง “Limits of Ideological Domination and the Formation of Social Consciousness” (Turton 1984) ซ่ึงเพิ่งจะมกี ารแปล เป็นไทยและตีพิมพ์ในปี พ.ศ.2551 น้ีเอง ในช่ือภาษาไทยว่า “การครอบงำ� และ ความหวาดกลวั ในสงั คมไทย” (อ่ทู อง ผแู้ ปล 2551) นอกจากจะศกึ ษาการตอ่ สขู้ อง ชาวนาในช่วงระหว่าง พ.ศ.2516-2519 และการปราบปรามความเคลื่อนไหวของ ประชาชนหลงั เหตกุ ารณ์ 6 ตลุ าคม 2519 แลว้ งานชน้ิ นย้ี งั เปน็ งานชนิ้ แรกๆ ทเ่ี สนอ ความเขา้ ใจวฒั นธรรมดว้ ยแนวคดิ อดุ มการณป์ ฏบิ ตั กิ าร ตามกรอบแนวคดิ ในทฤษฏี มารก์ ซสิ ต์ ทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลเพม่ิ เตมิ จากความคดิ ของ Antonio Gramsci (1971) ซง่ึ เปน็ นกั คดิ ชาวอติ าเลยี น และ Raymond Williams (1958) นกั คิดชาวอังกฤษ ในการเสนอแนวคิดอุดมการณ์ปฏิบัติการนนั้ Andrew Turton ต้องการจะ ท้าทายความเข้าใจอุดมการณ์วัฒนธรรม ที่เคยเชอื่ สืบๆ กนั มาว่า วัฒนธรรมเป็น ตัวก�ำหนดการกระท�ำต่างๆ เพราะเป็นความคิดที่ด�ำรงอยู่และสืบทอดได้อย่าง ตอ่ เนอ่ื ง หรอื เปน็ ระบบความหมาย โครงสรา้ ง และวถิ ปี ฏบิ ตั ทิ ต่ี ายตวั โดยเสนอใหม้ อง อดุ มการณแ์ ละความรู้ ทงั้ ในลกั ษณะทเี่ ปน็ วาทกรรม และในลกั ษณะของปฏบิ ตั กิ าร ของตวั ผกู้ ระทำ� การทางสงั คม ในกระบวนการตา่ งๆ ทมี่ ปี ฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั และกนั ซึ่งเปรียบเสมือนพ้ืนท่ีของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มอ�ำนาจทางสังคมต่างๆ ที่ซับซ้อน เพราะไม่ใช่เป็นเพียงการช่วงชงิ ความหมายเชงิ วาทกรรมเท่านนั้ แต่ยังเกยี่ วพนั กับ การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจทางเศรษฐกิจการเมือง ที่เป็นบริบทของ การต่อสู้ดงั กล่าวด้วย (อู่ทอง (แปล) 2551: 4-9) ความคดิ ของ Andrew Turton ดังกล่าวข้างต้นนนั้ ตงั้ อยู่บนสมมุติฐาน ท่ีได้ รับอิทธิพลจากความคดิ ของ Gramsci อย่างชัดเจน ซ่ึงได้อธิบายไว้ว่า การครอบงำ� ทางอดุ มการณ์ (Hegemony) นน้ั ไมว่ า่ จะมอี �ำนาจและความรนุ แรงสกั เพยี งใดกต็ าม กย็ งั มขี ดี จำ� กดั เพราะจะเกดิ การตอ่ สใู้ นความสมั พนั ธเ์ ชงิ อำ� นาจทซี่ บั ซอ้ น จนทำ� ให้ เกิดพ้ืนที่ของสภาวะที่อยู่ระหว่างกลางข้ัวอ�ำนาจ (in-between space) ซ่ึงเอ้ือ ต่อการปฏบิ ตั กิ ารตา่ งๆ ทสี่ ร้างสรรค์ ในการปรบั เปลย่ี นความสมั พนั ธเ์ ชงิ อำ� นาจได้ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพ้ืนท่ีของการต่อรองอ�ำนาจ โดยปฏิบัติการเหล่านั้นจะ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 83 มีลักษณะแตกต่างกันอย่างหลากหลาย และครอบคลุมการกระท�ำต่างๆ ต้ังแต่ การรวมตัวกันเพ่ือวิพากษ์ ปฏิเสธ การตีความอุดมการณ์ใหม่ และการสร้าง ความทรงจ�ำทางประวตั ิศาสตร์ขึน้ ตลอดจนการต่อต้านในชวี ิตประจ�ำวนั เป็นต้น ในปี พ.ศ.2529 นักวิชาการชาวญี่ปุ่นชื่อ ชิเกฮารุ ทานาเบ ก็ได้น�ำ แนวความคิดอุดมการณ์ปฏิบัติการ มาใช้ศึกษาการต่อสู้ของผู้น�ำชาวนาใน ภาคเหนือ ในหนังสือเรื่อง “นุ่งเหลือง-นุ่งด�ำ: ต�ำนานของผู้น�ำชาวนาแห่ง ล้านนาไทย” (ทานาเบ 2529) ซึ่งพยายามวิเคราะห์กระบวนการเปล่ียนอำ� นาจ ศักดิ์สิทธิ์ไปสู่อ�ำนาจการเมือง ผ่านการตีความอุดมการณ์ตนบุญ ในบริบทของ การต่อสู้เพอ่ื ความเป็นธรรมในการจดั การน้�ำของชาวบ้าน ท่ีจรงิ แล้ว การอธิบายแนวคิดอดุ มการณ์ปฏบิ ัติการ ซง่ึ มักจะยดึ โยงอยู่กับ ความคิดเรื่องพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรม ในการปรับความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจ ดว้ ยเสมอนน้ั อาจกลา่ วไดว้ า่ มพี นื้ ฐานอยใู่ นความคดิ ทางมานษุ ยวทิ ยามานานแลว้ เช่นเดยี วกนั ดงั จะเหน็ ได้จากความคิดของ Victor Turner (1969) ทม่ี องอุดมการณ์ เป็นปฏิบัติการอยู่ในกระบวนการทางพิธีกรรม ซ่ึงมักจะเปิดให้มีช่วงเปล่ียนผ่านที่ ไม่ผกู ตดิ อยู่กับโครงสร้าง หรอื ที่เรียกว่า สภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อ (Liminality) ในการ ผสมผสานความคิด ท่ีอาจจะขดั แย้งกนั ข้ึนใหม่อย่างสร้างสรรค์ได้ ในภายหลงั ความคิดเร่อื งพ้นื ทท่ี างสงั คมและวฒั นธรรมทำ� นองน้ี ยงั ได้รับ การพัฒนาและขยายความเพ่ิมเติมออกไปอีกอย่างซับซ้อน ในงานของ Henri Lefebrve เรื่อง “The Production of Space” (Lefebrve 1991) และเมอื่ นำ� มาปรบั ใช้ ควบคกู่ บั แนวความคดิ วฒั นธรรมปฏบิ ตั กิ ารในงานของนกั มานษุ ยวทิ ยา เชน่ หนงั สอื เร่อื ง “Outline of a Theory of Practice” ของ Pierre Bourdieu (1977) และ หนงั สือเรอื่ ง “The Practice of Everyday Life” ของ Michel de Certeau (1984) แล้ว ก็จะมีพลังในการวิเคราะห์ความเคล่ือนไหวทางวัฒนธรรมต่างๆ อย่างมาก แต่ในปัจจุบันนี้ นกั วิชาการไทยยังรับแนวความคิดเหล่านี้มาปรับใช้ในการศึกษา อย่างค่อนข้างจ�ำกดั อยู่มาก

84 ถกเถยี งวัฒนธรรม ในจำ� นวนงานศกึ ษาปจั จบุ นั ทม่ี อี ยอู่ ยา่ งจ�ำกดั นน้ั งานชนิ้ ใหมข่ องขวญั ชวี นั บัวแดง (Kwanchewan 2008) นับเป็นตัวอย่างหนง่ึ ที่พยายามสืบทอดประเด็น การศกึ ษาความเคลอ่ื นไหวของผู้มบี ุญมาจากช่วงทศวรรษที่ 2520 โดยศกึ ษากรณี ของชุมชนผู้มีบุญของชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ตามชายแดนระหว่างไทยกับพม่า ซึ่งเคยเคล่ือนไหวต่อสู้กับรัฐบาลต่างๆ มาตั้งแต่สมัยอาณานิคมอังกฤษจนถึง รฐั บาลพมา่ ในปจั จบุ นั ดว้ ยการสรา้ งและรกั ษานกิ ายทางศาสนาแบบพระศรอี ารยิ ไ์ ว้ ตลอดระยะเวลา 4 ทศวรรษทผี่ ่านมา ในฐานะที่เป็นการปฏิบัตกิ ารในการตคี วาม อดุ มการณ์ ตามนยั ในความคดิ Habitus ของ Bourdieu ทอี่ าจขดั แยง้ และปรบั เปลย่ี น อยู่ตลอดเวลา ในบริบทของการต่อรองกบั กลุ่มอ�ำนาจต่างๆ จากภายนอก ส�ำหรับผู้เขียนเอง ได้พยายามปรับการวิเคราะห์งานวิจัยที่ผ่านๆ มา ด้วยการเปลี่ยนมามองวัฒนธรรมในเชิงปฏิบัตกิ ารมากข้ึน ดังตวั อย่างในบทความ (Anan 2007) ที่พยายามวิเคราะห์ขบวนการเคล่ือนไหวป่าชุมชนของชาวเขาใน ภาคเหนือ โดยอาศัยแนวคิดเร่ือง “พ้ืนที่ความรู้” (Knowledge Space) ในฐานะ ทเี่ ปน็ พน้ื ทข่ี องการปฏบิ ตั กิ าร ในการสรา้ งความรแู้ ละตอ่ รองอ�ำนาจ ในบรบิ ทของการ ช่วงชิงอานาจในการจดั การทรพั ยากรกับรัฐ แนวความคิด “พื้นท่ีความรู้” น้ี David Turnbull ไดท้ ดลองนำ� เสนอในมติ ทิ างสงั คมและวฒั นธรรมในปี 1997 และตอ่ มา Sarah Wright (2005) ก็น�ำมาขยายความให้ชัดเจนข้ึน เม่ือผู้เขียนน�ำความคิดน้ี มาวิเคราะห์ขบวนการเคล่ือนไหวป่าชุมชน ก็พบว่าชาวเขาได้ปฏิบัติการอย่าง ซบั ซอ้ น ในกระบวนการสรา้ งความรแู้ ละอำ� นาจ ซง่ึ เกดิ ขนึ้ ในพนื้ ทร่ี ะหวา่ งคตู่ รงขา้ ม ต่างๆ เช่น ระหว่างป่าและการเกษตร ระหว่างการอนุรกั ษ์และการพัฒนา เพราะ ชาวเขาสามารถผสมผสานความรู้ต่างๆ เพื่อการต่อรอง เช่น ผ่านพิธีบวชป่า ซึ่ง ผสมผสานความเชอื่ จากหลายทางศาสนา ในความพยายามจะสอ่ื สารเชงิ วาทกรรม กบั ทง้ั ภายในและภายนอกชมุ ชน ขณะเดยี วกนั กม็ กี ารปรบั ความคดิ เรอื่ งสทิ ธดิ ว้ ย จากสทิ ธชิ มุ ชนซง่ึ มนี ยั ของ ความเป็นอันหนง่ึ อันเดียวกัน ก็เปลี่ยนมาสร้างความหมายของสิทธิเชิงซ้อนแทน เพราะการจัดการป่าจะเก่ียวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย ที่ต้องเข้ามามี

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 85 สว่ นรว่ มในการจดั การ จงึ ตอ้ งมกี ารตอ่ รอง เพอ่ื ปรบั ความสมั พนั ธเ์ ชงิ อำ� นาจระหวา่ ง กันและกันใหม่ ความคิดสิทธิเชิงซ้อนจึงช่วยเปิดพื้นท่ีให้กับการต่อรองอ�ำนาจใน การจดั การ ทม่ี คี วามยดื หยนุ่ และเปน็ จรงิ ไดม้ ากขน้ึ แทนทจี่ ะยดึ ตดิ อยกู่ บั คตู่ รงขา้ ม ขั้วใดข้ัวหนงึ่ อย่างตายตัว (Anan 2007) ในบทความชนิ้ ลา่ สดุ ของผเู้ ขยี น เรอื่ ง “Transforming Agrarian Transformation in the Globalizing Economy of Neoliberalism” (Anan 2008) ซึง่ ผู้เขยี นพยายาม จะวิเคราะห์ประเด็นปัญหาของกระบวนการเปลี่ยนแปลง ที่กำ� ลังเกิดข้ึนกับสังคม เกษตรกรรม ในบริบทของกระบวนการโลกาภิวัตน์ ท่ีมีท้ังการครอบง�ำความรู้ และการกีดกันผู้คนออกจากการเข้าถึงทรัพยากร ผู้เขียนเองก็พยายามจะมองให้ ทะลุคู่ตรงข้ามระหว่างท้องถ่ินและโลกาภิวัตน์ ด้วยการวิเคราะห์ว่ากระบวนการ เปลยี่ นแปลงดงั กลา่ วเปน็ การเมอื งของการตอ่ รองอำ� นาจทซ่ี บั ซอ้ น ซงึ่ ตอ่ สกู้ นั อยา่ ง เข้มข้นใน “พื้นท่ีความรู้” ท่ีไม่ใช่ท้ังภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือความรู้จากภายนอก ด้านใดด้านหนง่ึ เท่านน้ั ผเู้ ขยี นเรมิ่ มองวฒั นธรรมปฏบิ ตั กิ ารในมติ ขิ อง “พนื้ ทคี่ วามร”ู้ ดว้ ยการปรบั ใช้ ความคิดของ Andrew Turton ที่มองความรู้ว่าเป็นท้ังวาทกรรมและปฏิบัติการ ดังนนั้ “พ้ืนท่ีความรู้” จึงเป็นพื้นที่ต่อรองความหมายและอ�ำนาจ ที่อยู่ระหว่าง คู่ตรงข้าม หรืออาจเรียกว่าเป็นพนื้ ท่ที ่ีสาม เพราะสามารถผสมผสานความรู้ต่างๆ อย่างหลากหลาย ท่ีอาจจะขัดแย้งกันเอง ในความพยายามของท้องถิ่นท่ีจะเลือก กลยุทธ์ในการพัฒนา สร้างเครือข่าย หรือสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพ่ือมาต่อรอง ในการดำ� รงชวี ติ ในสถานการณด์ งั กลา่ ว การเปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสงั คมเกษตรในปจั จบุ นั จึงไม่ได้ถูกก�ำหนดจากโลกาภิวัตน์ด้านเดียว ตามท่ีมักจะเข้าใจกัน แต่ท้องถิ่นก็ มสี ว่ นในการตอ่ รองและปรบั เปลยี่ นตวั เองดว้ ย จากปฏบิ ตั กิ ารของการสรา้ งความรู้ ที่ผสมผสานขึ้นมาใน “พ้ืนท่ีความรู้” นนั่ เอง ซ่ึงมีส่วนอย่างส�ำคัญในการผลักดัน ไปสู่ การพัฒนาแบบมีส่วนร่วมมากขึ้น พร้อมๆ กับการปรับเปลี่ยนพื้นที่ของ การต่อสู้ใหม่ๆ ด้วย

86 ถกเถียงวัฒนธรรม 2.7 บทสรุป ความเขา้ ใจวฒั นธรรมตา่ งๆ ในงานวจิ ยั สงั คมไทยนนั้ อาจจะแยกแยะออกได้ ตามกลมุ่ การศกึ ษาอยา่ งนอ้ ย 5 กลมุ่ ดงั ไดท้ บทวนและสงั เคราะหใ์ หเ้ หน็ แลว้ ขา้ งตน้ แต่ความเข้าใจเหล่านน้ั ท้ังหมด ก็ยังคงยืนหยัดอยู่อย่างครบถ้วน และพร้อมหน้า พรอ้ มตากนั ในปจั จบุ นั แมว้ า่ จะเรมิ่ กอ่ ตวั ขนึ้ มาตา่ งเวลากนั กต็ าม ซง่ึ หมายความวา่ ความเข้าใจท่ีเกิดข้ึนใหม่ก็ยังไม่สามารถแทนท่ีความเข้าใจที่มีมาก่อนหน้านน้ั ได้ และความเข้าใจที่เกิดมาก่อน ก็ยังไม่ได้สูญส้ินพลังไปท้ังหมด ในการจูงใจให้เกิด การศึกษาวิจัยใหม่ๆ ทั้งนคี้ งจะเป็นเพราะ ความเข้าใจวัฒนธรรมตามความคิด ในแต่ละกลุ่มการศึกษา ต่างก็มีนัยท่ีต้องการตั้งค�ำถามและแสวงหาค�ำตอบ ต่อประเด็นต่างๆ ในเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป ดังปรากฏว่า นกั วิจัยหลายคนก็มี ความเข้าใจวัฒนธรรมอยู่ในหลายกลุ่มการศึกษา ขึ้นอยู่กับประเด็นของการวิจัย ทีแ่ ตกต่างกนั ไปในแต่ละช่วงเวลา ด้วยเหตุน้ีเอง จึงอาจกล่าวได้ว่าความเข้าใจวัฒนธรรม ในลักษณะต่างๆ น้ันไม่ใช่ค�ำตอบส�ำเร็จรูปที่สมบูรณ์ในตัวเอง หากเป็นแต่เพียงแนวคิดท่ีช่วย ในการตง้ั ค�ำถาม หรือการวเิ คราะห์ประเดน็ ปัญหาทแ่ี ตกต่างกันไป ตามเป้าหมาย ในการศึกษาวิจัยต่างๆ ซ่ึงยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันไม่ตกฝาก ระหว่างการ ด�ำรงอยู่และเอกภาพของรัฐชาติ กับการวิพากษ์แนวทางการเปล่ียนแปลงสังคม และการเสนอทางเลอื กทศิ ทางใหม่ๆ แต่ก็เป็นท่ีน่าสังเกตเช่นกันว่า ความเข้าใจวัฒนธรรมใหม่ๆ นน้ั จะมีนัยเชิง วพิ ากษว์ จิ ารณล์ กั ษณะ ทเ่ี ปน็ เอกภาพและการเปน็ ตวั ก�ำหนดของวฒั นธรรมมากขน้ึ พร้อมๆ กับการหันมาให้ความส�ำคัญกับมุมมองท่ีหลากหลาย และการกระท�ำ ของผู้คนในวัฒนธรรมแทนท่ี ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มองวัฒนธรรมอย่างอิสระและ ตงั้ อยใู่ นความวา่ งเปลา่ แตม่ องวฒั นธรรมอยา่ งยดึ โยงอยกู่ บั บรบิ ทในความสมั พนั ธ์ ทางสังคมอ่ืนๆ ด้วย

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 87 ในสภาวะท่ี ความเข้าใจวัฒนธรรมก�ำลังเปล่ียนแปลงไป อย่างรวดเร็ว ในปจั จบุ นั การยดึ ตดิ อยกู่ บั ความเขา้ ใจวฒั นธรรมลกั ษณะใดลกั ษณะหนง่ึ อยา่ งเดยี ว จนยึดไว้เป็นเสมือนค�ำตอบส�ำเรจ็ รูป ก็อาจจะท�ำให้ตดิ กบั ดักของกระบวนทศั น์นน้ั แทนทจี่ ะใชค้ วามเขา้ ใจวฒั นธรรมในการชว่ ยตงั้ คำ� ถามใหมๆ่ กก็ ลบั จะถกู ปดิ หปู ดิ ตา แทนได้ ดงั นน้ั การวจิ ยั วฒั นธรรมทจ่ี ะมพี ลงั ในการวเิ คราะหส์ งู จงึ ขน้ึ อยกู่ บั ตง้ั ค�ำถาม กบั มโนทศั น์ ทอี่ ยใู่ นความเขา้ ใจวฒั นธรรมแตล่ ะลกั ษณะใหม้ ากขน้ึ แทนการยดึ ตดิ กบั กระบวนทศั นใ์ ดกระบวนทศั นห์ นง่ึ ขณะเดยี วกนั กค็ วรจะวพิ ากษว์ จิ ารณค์ วามคดิ ความเขา้ ใจตา่ งๆ กอ่ นทจ่ี ะประยกุ ตใ์ ชใ้ นการวจิ ยั ดว้ ย และพรอ้ มทจ่ี ะเลอื กผสมผสาน ความคิด ที่แตกต่างกันให้ทันกับการต้ังค�ำถามใหม่ๆ ซ่ึงมักจะผันแปรไปตาม การเปลี่ยนแปลงรอบๆ ตัว ที่ก�ำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากข้ึน และเช่ือมโยงกับ บรบิ ทที่มีความหลากหลายและไร้พรมแดนมากขน้ึ ด้วย

88 ถกเถียงวฒั นธรรม เอกสารอ้างองิ ก.ศ.ร กหุ ลาบ (กหุ ลาบ ตฤษณานนท์) (2538) อายะตวิ ัฒน์ (พิมพ์ครัง้ แรก 2454) กรุงเทพฯ: สมาคมมิตรภาพญี่ป่ นุ -ไทย เกษียร เตชะพีระ (2539) “บริโภคความเป็ นไทย” ใน ชยั วฒั น์ สถาอานนั ท์ (บก) จนิ ตนาการ สู่ปี 2000: นวกรรมเชิงกระบวนทัศน์ด้านไทยศึกษา กรุงเทพฯ: ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั แก้วมงคลชยั สรุ ิยนั ต์(2486) ผขี องชาวลานนาไทยโบราณ(พมิ พแ์ จกในงานศพนางถมยาอทิ รงั ส)ี กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์พระจนั ท์ ขวญั ชีวนั บวั แดง (2546) “การเปลยี่ นศาสนา: ความซบั ซ้อนของการแสดงตวั ตนของคนกะเหร่ียง ทางภาคเหนอื ของประเทศไทย” ใน ปิ่นแก้ว เหลอื งอร่ามศรี (บก) อตั ลกั ษณ์ ชาตพิ นั ธ์ุ และ ความเป็ นชายขอบ กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสริ ินธร คกึ ฤทธิ์ ปราโมช (ม.ร.ว) (2511) ฝร่ังศกั ดนิ า (พมิ พ์ครัง้ แรก 2504) กรุงเทพฯ: สำ� นกั พมิ พ์ก้าวหน้า จรูญ เบญจเจริญกลุ (2540) “โรลอง บาร์ท: The Text of Life, Life of Text” วารสารร่มพฤกษ์ 16(2): 21-32 จารุวรรณ ธรรมวตั ร (2523) โลกทศั น์ทางการเมืองจากวรรณกรรมอีสาน กรุงเทพฯ: สมาคม สงั คมศาสตร์แหง่ ประเทศไทย (2536) ภมู ปิ ัญญาอีสาน 2 อบุ ลราชธานี: ศริ ิธรรมออฟเซท็ จิตร ภูมิศกั ดิ์ (2517) โฉมหน้าศักดินาไทย กรุงเทพฯ: ชมรมหนังสือแสงตะวนั (2519) ความเป็ นมาของคำ� สยาม ไทย ลาว และลกั ษณะทางสงั คมของช่อื ชนชาติ กรุงเทพฯ: กรุงสยามการพิมพ์ จรุ ี วจิ ิตรวาทการ (2527) “ภาพยนต์ไทยและสงั คมไทย” วารสารธรรมศาสตร์ 13 (3): 54-66 จ�ำกดั พลางกรู (2479) ปรัชญาของสยามใหม่ กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพบรรณาคาร ฉลาดชาย รมิตานนท์ (2527) ผีเจ้านาย เชียงใหม:่ โครงการต�ำรามหาวทิ ยาลยั ส�ำนกั หอสมดุ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ฉลาดชาย รมติ านนท์ และ วารุณี ภรู ิสนิ สทิ ธ์ิ (บก.) (2529) สงั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยาไทย: สถานภาพและทศิ ทาง เชียงใหม:่ ภาควิชาสงั คมวิทยาและมานษุ ยวิทยา มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ฉลาดชาย รมิตานนท์ อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ และสณั ฐิตา กาญจนพนั ธ์ุ (2536) ป่ าชุมชน ภาคเหนือ: ศักยภาพขององค์กรชาวบ้านในการจดั การป่ าชุมชน กรุงเทพฯ: สถาบนั ชมุ ชนท้องถ่ินพฒั นา ฉัตรทิพย์ นาถสภุ า (2534) วัฒนธรรมไทยกับขบวนการเปล่ียนแปลงสังคม กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั (2540) ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมชุมชนและ ชนชาตไิ ท กรุงเทพฯ: สำ� นกั พิมพ์จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 89 ชลธิรา กลดั อยู่ (2517) วรรณคดขี องปวงชน กรุงเทพฯ: อกั ษรสาส์น ชลธิรา สตั ยาวฒั นา (2530) ลัวะเมืองน่าน กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พิมพ์เมืองโบราณ ชศู กั ด์ิ ภทั รกลุ วณิชย์ (2539) เชิงอรรถวัฒนธรรม กรุงเทพฯ: มตชิ น ชยนั ต์ วรรธนะภตู ิ (2542) “เผยร่างสร้างตวั ตน: การเคล่ือนไหวทางสงั คมของผ้ตู ิดเชือ้ เอดส์” เอกสารประกอบการสมั มนา : สถานภาพและทิศทางองค์ความรู้ทางสงั คมศาสตร์ คณะ สงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ชยั วฒั น์ สถาอานนั ท์ (2525) “บทวิจารณ์หนงั สือ The History of Sexuality ของ Michel Foucault” วารสารธรรมศาสตร์ 11 (2) :179-182 ------ (2533) “เทววทิ ยาแหง่ วาทกรรม: ทำ� ความเข้าใจอำ� นาจแหง่ วาทกรรม ด้วยนารายณ์สบิ ปาง” สมุดสังคมศาสตร์ 12 (3-4) :175-191 ไชยรัตน์ เจริญสนิ โอฬาร 2543 วาทกรรมการพฒั นา: อำ� นาจ ความรู้ ความจริง เอกลักษณ์ และความเป็ นอ่ืน กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พิมพ์วภิ าษา ------ (2545) สัญวิทยา โครงสร้างนิยม และหลังโครงสร้างนิยมกับการศึกษารัฐศาสตร์ กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พิมพ์วภิ าษา ฐิรวฒุ ิ เสนาคำ� (2547) “แนวคดิ คนพลดั ถ่ินกบั การศกึ ษาชาตพิ นั ธ์”ุ ใน ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ ินธร ว่าด้วยแนวทางการศกึ ษาชาตพิ นั ธ์ุ กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสริ ินธร ด�ำรงราชานภุ าพ (สมเดจ็ กรมพระยา) (2514) นิทานโบราณคดี กรุงเทพฯ: แพร่พิทยา ทานาเบ้, ชเิ กฮารุ (2529ก) “ปฏบิ ตั กิ ารด้านอดุ มการณ์ในกบฎชาวนา: ศกึ ษาจากกรณีของสยาม ระหว่างช่วงระยะเข้าสศู่ ตวรรษที่ 20” (กาญจนา แก้วเทพ แปล) วารสารธรรมศาสตร์ 15 (1): 129-150 ------ (2529ข) นุ่งเหลือง นุ่งด�ำ ต�ำนานของผู้น�ำชาวนาแห่งล้านนาไทย กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พิมพ์สร้างสรรค์ ทพิ ากรวงษ์มหาโกษาธิบดี (เจ้าพระยา) (2513) แสดงกจิ จานุกจิ (พมิ พ์ครัง้ แรก 2410) เชยี งใหม:่ สกุ ิจ นิมมานเหมินทร์ พิมพ์ในงานทอดกฐินสามคั คี ณ วดั เกตการาม ธงชยั วินิจจะกลุ (2529) “ประวตั ิศาสตร์การสร้างตวั ตน” ใน สมบตั ิ จนั ทรวงศ์ และชยั วฒั น์ สถาอานนั ท์ (บ.ก.) อย่เู มืองไทย: รวมบทความทางสังคมการเมืองเพ่อื เป็ นเกียรตแิ ด่ ศาสตราจารย์ เสน่ห์ จามริก (129-182) กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ------ (2532) “ความเป็นไทย ผลผลติ ของการนิยาม” จดหมายข่าวสังคมศาสตร์ 11: 68-76 ธเนศ วงศ์ยานนาวา (2528) “อา่ นงานฟโู ก้” วารสารธรรมศาสตร์ 14 (3): 36-57 ------ 2528 “มิเชล ฟโู กต์: ปัญญาชน ความจริงและอ�ำนาจ” วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง 5 (1-2): 142-153 ธวชั มณีผ่อง (2548) “ความรู้ชายขอบ: อ�ำนาจและปฏิบตั ิการของส�ำนกั ทรงในผู้ป่ วยจาก โรงพยาบาล” ใน ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสริ ินธร ภมู ปิ ัญญาสุขภาพ ปฏบิ ัตกิ ารต่อรองของ ความรู้ท้องถ่นิ กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสริ ินธร

90 ถกเถยี งวัฒนธรรม นราธิปประพนั ธ์พงศ์ (พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่ืน) (2544) วทิ ยทศั น์พระองค์วรรณ กรุงเทพฯ: มลู นิธินราธิปประพนั ธ์พงศ์-วรวรรณ นรินทร์ ภาษิต (นรินทร์ กลงึ ) (2544) วัตร์นารีวงศ์ (พิมพ์ครัง้ แรก 2471) กรุงเทพฯ: สมาคม มิตรภาพญี่ป่ นุ -ไทย นิติ ภวคั รพนั ธ์ุ (2541ก) “บางครัง้ เป็ นคนไทย บางครัง้ ไม่ใช่ อตั ลกั ษณ์แห่งตวั ตนที่ผนั แปรได้” รัฐศาสตร์สาร 20 (3): 215-248 ------(2541ข)รอยสกั กบั การสร้างตวั ตนในปริตตาเฉลมิ เผา่ กออนนั ตกลู (บ.ก.)เผยร่าง-พรางกาย ทดลองมองร่างกายในศาสนา ปรัชญาการเมอื ง ประวตั ศิ าสตร์ ศลิ ปะ และมานุษวทิ ยา กรุงเทพฯ: โครงการจดั พิมพ์คบไฟ ------ (2547) “แปลงความทรงจ�ำ “ไต” สร้างความเป็ น “ไทย” ใน ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ความเป็ นไทย/ความเป็ นไท กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสริ ินธร นิธิ เเออียียววศศรรีวีวงงศศ์ ์ป(า2ก5ไ2ก7่แ)ละ“ใวบัฒเรนือธ:รรรมวมกคระวฎามุมเพรีกียับงวว่ารดร้ณวยกวรรรรมณตก้นรรรัตมนแโลกะสปินรทะรว์”ตั ศิในาสตนิรธ์ิ ต้นรัตนโกสนิ ทร์ (1-234) กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์ ------ (2536ก)“ลทั ธิพิธีเสดจ็ พอ่ ร 5” ศลิ ปวัฒนธรรม 14(10): 76-98 ------ (2536ข) ท่องเท่ยี วบญุ บงั้ ไฟในอสี าน: บญุ บงั้ ไฟต้องรับใช้ชาวยโสธรไม่ใช่ชาวยโสธร รับใช้บุญบงั้ ไฟ กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พิมพ์มตชิ น ------ (2537) “ลทั ธิพิธีเจ้าแมก่ วนอิม” ศลิ ปวัฒนธรรม 15(10): 79-106 บรรจบ พนั ธเุ มธา (2526)(2504) กาเลหม่านไต กรุงเทพฯ: องค์การค้าของครุ ุสภา บญุ ชว่ ย ศรีสวสั ดิ์ (2493) สามสิบชาตใิ นเขียงราย กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อทุ ยั ------ (2498) ไทยสิบสองปันนา กรุงเทพฯ: คลงั วทิ ยา บญุ ยงค์ เกศเทศ (2532) คำ� ตี่-อีสาน: ชนเผา่ ไทสายเลอื ดเดยี วกนั รวมบทความประวตั ศิ าสตร์ 11: 123-79 บญุ เลศิ วิเศษปรีชา (2546) โลกของคนไร้บ้าน กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ ินธร ประชาคดกี ิจ (ขนุ ) (2428) “วา่ ด้วยประเภทคนป่ าหรือข้าฝ่ ายเหนือ” วชริ ญาณวเิ ศษ 1(9): 164-6 ปริตตา เฉลมิ เผา่ กออนนั ตกลู (2527) “ไมม่ ีสงั คมใดเหนือกวา่ สงั คมอื่น ทรรศนะในการศกึ ษา มานษุ ยวทิ ยาของ Claude Levi-Strauss” วารสารสงั คมวทิ ยามานุษยวทิ ยา 2 (2): 60-76 ------ (2533) “เค้าโครงความคดิ เร่ืองโครงสร้างในการศกึ ษานทิ านปรัมปราของโคลด เลวี่ สเตราส”์ วารสารธรรมศาสตร์ 17 (1): 45-70 ------ (2541) ร่างในละครชาวบ้าน ใน ปริตตา เฉลมิ เผา่ กออนนั ตกลู (บ.ก.) เผยร่าง-พรางกาย ทดลองมองร่างกายในศาสนา ปรัชญาการเมอื ง ประวตั ศิ าสตร์ ศลิ ปะ และมานุษวทิ ยา กรุงเทพฯ: โครงการจดั พิมพ์คบไฟ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 91 ------ (2548) “ทบทวนภมู ปิ ัญญา ท้าทายความรู้” ใน ภมู ปิ ัญญาไทย ภมู ปิ ัญญาเทศ กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ ินธร ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนนั ตกลู (บ.ก.) (2541) เผยร่าง-พรางกาย ทดลองมองร่างกายใน ศาสนา ปรัชญาการเมือง ประวัตศิ าสตร์ ศลิ ปะ และมานุษวทิ ยา กรุงเทพฯ: โครงการ จดั พิมพ์คบไฟ ปราณี วงษ์เทศ (2525) พนื้ บ้านพนื้ เมือง กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์ ------ (2544) เพศและวัฒนธรรม กรุงเทพฯ: บริษัท ศลิ ปวฒั นธรรม จ�ำกดั ปราโมทย์ ภกั ดณี รงค์ (2548) “การเมอื งของสนุ ทรีภาพผ้าซนิ่ ตนี จกแมแ่ จม่ ” ใน ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยา สริ ินธร เพลง ดนตรี ปริศนา ผ้าทอ ภมู ิปัญญาด้านการเล่นและการช่าง กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสริ ินธร ปิ่ นแก้ว เหลอื งอร่ามศรี (2539) ภมู ปิ ัญญา ระบบนิเวศวทิ ยาชนพนื้ เมือง: ศกึ ษากรณีชุมชน กะเหร่ียงในป่ าท่งุ ใหญ่นเรศวร นนทบรุ ี: โครงการฟื น้ ฟชู ีวิตและธรรมชาติ ------ (2541) “วาทกรรมวา่ ด้วยชาวเขา” สังคมศาสตร์ (ม.ช) 11 (1): 92-135 ------ (2548) “ความจริง วฒั นธรรมและความเช่ือ: การเมืองและการผลติ ความรู้ป่ าไม้เมืองไทย” ใน ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ความรู้กับการเมือง เร่ืองทรัพยากร กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ ินธร ------ (2549) “ร่างกายอันแปลกแยก ชาติอันรุนแรง และการเคล่ือนไหวข้ามชาติของ ผ้หู ญิงไทใหญ”่ ใน ศนู ยม์ านษุ ยวทิ ยาสริ ินธร วฒั นธรรมไร้อคติ ชวี ติ ไร้ความรุนแรง เล่ม 1 กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ ินธร พรพิไล เลิศวิชา และอรุณรัตน์ วิเชียรเขียว (2546) ชุมชนหมู่บ้านลุ่มน�ำ้ ขาน กรุงเทพฯ: ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั พฒั นา กิติอาสา (2543ก) ท้องถ่ินนิยม รายงานการวิจยั เสนอต่อส�ำนกั งานคณะกรรมการ สภาวิจยั แหง่ ชาติ สาขาสงั คมวทิ ยา (2543ข) “วาทกรรมของความงมงาย: ความคดิ ค�ำนงึ วา่ ด้วยคนทรงและนกั มานษุ ยวทิ ยา” สังคมศาสตร์ (ม.ช) 12 (1): 146-168 พทั ยาสายหู (2514)“การใช้ความคดิ เร่ือง“วฒั นธรรม”ในการพฒั นาประเทศ”ในวรรณไวทยากร: ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม (1-22) กรุงเทพฯ: โครงการต�ำราสงั คมศาสตร์และ มนษุ ยศาสตร์ สมาคมสงั คมศาสตร์แหง่ ประเทศไทย ------ (2516) ความเข้าใจเก่ียวกับกลไกของสังคม กรุงเทพฯ: สำ� นกั พิมพ์เคลด็ ไทย พทิ ยาลงกรณ์ (กรมหมน่ื ) (2513) ประชมุ ปาฐกถากรมหม่นื พทิ ยาลงกรณ์ กรุงเทพฯ: รวมสาสน์ โพธิวงศาจารย์ (พระ) (2515) “วา่ ด้วยชนชาตผิ ้ไู ทและชาตโิ ย้และเรื่องอนื่ ” ลทั ธธิ รรมเนียมต่างๆ เล่ม 2 ภาค 18 กรุงเทพฯ: คลงั วิทยา มธุรส ศิริสถิตกลุ (2544) ‘การเมืองในอตั ลกั ษณ์ของกลมุ่ ผ้ตู ิดเชือ้ เอชไอวีในจงั หวดั เชียงใหม่’ วทิ ยานิพนธ์ศลิ ปศาสตร์มหาบญั ฑิต สาขาพฒั นาสงั คม มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่

92 ถกเถยี งวฒั นธรรม มาลี สิทธิเกรียงไกร (2548) “ระบาดวิทยากบั ความเจ็บป่ วยและความทกุ ข์ของชาวคลิตี”้ ใน ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสิรินธร ภูมิปัญญาสุขภาพ ปฏิบัติการต่อรองของความรู้ท้องถ่ิน กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ ินธร ยศ สนั ตสมบตั ิ (2527) “วตั ถุนิยมวฒั นธรรม: วิวฒั นาการสมยั ใหม่ตามแนวความคิดทาง มานษุ ยวิทยา” วารสารสังคมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา 3 (1): 1-15 ------ (2535) แม่หญิงสขิ ายตวั : ชุมชนและการค้าประเวณีในสังคมไทย กรุงเทพฯ: สถาบนั ชมุ ชนท้องถิ่นพฒั นา ยกุ ติ มกุ ดาวิจิตร (2537) “การเมืองเรื่องวฒั นธรรมในสงั คมไทย พ.ศ.2501-2537” วารสาร ธรรมศาสตร์ 20 (3): 20-41 ------ (2548ก) อ่านวัฒนธรรมชุมชน: วาทศิลป์ และการเมืองของชาติพันธ์ุนิพนธ์แนว วัฒนธรรมชุมชน กรุงเทพฯ: ฟ้ าเดียวกนั ------ (2548ข) “ความรู้ของท้องถน่ิ ท้องถน่ิ ของความรู้: การตอ่ รองของท้องถนิ่ ในกระบวนการรือ้ ฟืน้ อกั ษรไท (สอื ไต๊) ในเวยี ดนาม” ใน ศนู ยม์ านษุ ยวทิ ยาสริ ินธร ภมู ปิ ัญญาไทย ภมู ปิ ัญญาเทศ กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสริ ินธร วไิ ลวรรณ ขนิษฐานนั ท์ (2519) เชือ้ สายไทยในอสั สมั วารสารโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร 6(4): 96-101 ศรีศกั ร วลั ลิโภดม (2533) แอ่งอารยธรรมอีสาน แฉหลักฐานโบราณคดี พลิกโฉมหน้า ประวัตศิ าสตร์ไทย กรุงเทพฯ: มตชิ น ------ (2544) พฒั นาการทางสังคม-วัฒนธรรมไทย กรุงเทพฯ: สำ� นกั พิมพ์อมรินทร์ ศรี-อินทรายทุ ธ (อศั นี พลจนั ทร) (2491) “อตุ รครุ ุทวีป” การเมือง 4 (21 สงิ หาคม): 3 ศริ าพร ณ ถลาง (2545) ชนชาตไิ ทในนิทาน: แลลอดแว่นคตชิ นและวรรณกรรมพนื้ บ้าน กรุงเทพฯ: มตชิ น สงบ สรุ ิยินทร์ (2510) เทยี นวรรณ กรุงเทพฯ: สำ� นกั พิมพ์สรุ ิยินทร์ สมบตั ิ บุญค�ำเยือง (2541) การพฒั นาพืน้ ที่สูงและการอนุรักษ์ธรรมชาติในภาคเหนือของ ประเทศไทย: การนิยามความหมายของป่ า อำ� นาจ และความจริงของใคร สังคมศาสตร์ (ม.ช) 11 (1): 166-198 สมคั ร บรุ าวาศ ------ (2513) วทิ ยาศาสตร์ใหม่และพระศรีอารย์ (พิมพ์ครัง้ แรก 2498) กรุงเทพฯ: สำ� นกั พิมพ์ แพร่พิทยา ------ (2519) วัฒนธรรมไต-จนี กรุงเทพฯ: สำ� นกั พิมพ์แพร่พิทยา สรรค์ รังสฤษฎ์ (เริง เมฆไพบรู ณ์) (2518) ววิ ัฒนาการแห่งสังคมสยาม (พิมพ์ครัง้ แรก 2504) กรุงเทพฯ: ชมรมหนงั สอื แสงตะวนั สนิท สมคั รการ (2519) มีเงนิ กน็ ับว่าน้อง มีทองกน็ ับว่าพ่:ี ระบบครอบครัวและเครือญาติ ของไทย กรุงเทพฯ: บรรณกิจ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 93 ศ.สายชลสตั ยานรุ กั ษ์ (2544)การสร้างอตั ลกั ษณ์ไทยโดยหลวงวจิ ติ รวาทการในกาญจนีละอองศรี และธเนศ อาภรณ์สวุ รรณ (บก) ลืมโคตรเหง้ากเ็ ผาแผ่นดนิ กรุงเทพ: มตชิ น ------ (2548) “การสร้าง ‘ความเป็ นไทย’ กระแสหลกั และ ‘ความจริง’ ท่ี ‘ความเป็ นไทย’ สร้าง ฟ้ าเดยี วกัน 3(4): 40-67 ------ (2550) รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ โครงการ ประวตั ศิ าสตร์วธิ ีคดิ เกย่ี วกบั สงั คมและวฒั นธรรม ไทยของปัญญาชน (พ.ศ.2435-2535) เสนอตอ่ สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั สายพิณ ศพุ ทุ ธมงคล (2543) คุกกับคน:อำ� นาจและการต่อต้านขัดขืน กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พิมพ์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ สิริพร สมบูรณ์บูรณะ (บ.ก.) (2538) วัฒนธรรมการบริโภค: แนวคิดและการวิเคราะห์ กรุงเทพฯ: ศนู ย์วจิ ยั และผลติ ต�ำรา มหาวทิ ยาลยั เกริก สทิ ธ์ิ บตุ รอินทร์ (2523) โลกทศั น์ชาวไทยลานนา เชียงใหม:่ ศนู ย์หนงั สือเชียงใหม่ สทุ ธิพนั ธ์ จิราธิวฒั น์ และ จีรติ ติงศภทั ิย์ (ผ้แู ปล) (2528) “โบดริยารด์ นกั คิดท่ีมองเจาะลกึ ถงึ ความเป็ นไปของสงั คมแห่งการบริโภค” จดหมายข่าวสังคมศาสตร์ 10(4): 57-74, 12(1): 58-82 สธุ ิวงศ์ พงษ์ไพบลู ย์ (2525) วัฒนธรรมพืน้ บ้านและแนวปฏบิ ัตภิ าคใต้ กรุงเทพฯ: สถาบนั ทกั ษินศกึ ษา ------ (2544) โครงสร้างและพลวัตวัฒนธรรมภาคใต้กับการพัฒนา กรุงเทพฯ: ส�ำนกั งาน กองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั สรุ สงิ ห์สำ� รวม ฉิมพะเนาว์ และคณะ (2526) โลกทศั น์ชาวลานนา: อดตี -ปัจจบุ นั เอกสารประกอบ การสมั มนา คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ สุภางค์ จันทวนิช (2527) “บทบาทของวัฒนธรรมพืน้ บ้านในสังคมสมัยใหม่” วารสาร ธรรมศาสตร์ 13 (3): 38-52 สเุ ทพ สนุ ทรเภสชั (2511) สังคมวิทยาของหมู่บ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ: คณะรัฐศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ------ (2540) มานุษยวิทยากับประวัติศาสตร์: รวมความเรียงว่าด้วยการประยุกต์ใช้ แนวความคิดและทฤษฎีทางมานุษยวิทยาในการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ สมุ ิตร ปิ ตพิ ฒั น์ (2545) ศาสนาและความเช่ือไทดำ� ในสิบสองจุไท สาธารณรัฐสังคมนิยม เวียดนาม กรุงเทพฯ: สถาบนั ไทยคดี มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ สรุ ิยา สมทุ คปุ ติ์ และคณะ (2539) ทรงเจ้าเข้าผ:ี วาทกรรมของลทั ธพิ ธิ ีและวกิ ฤตการณ์ของ ความทนั สมัยในสังคมไทย กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ ินธร สรุ ิยา สมทุ คปุ ติ์ และ พฒั นา กิตอิ าสา (2542) มานุษยวทิ ยากับโลกาภวิ ัตน์: รวมบทความ นครราชสีมา: เอกสารทางวิชาการ ห้องไทยศึกษานิทศั น์ ส�ำนกั วิชาเทคโนโลยีสงั คม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีสรุ นารี ส�ำนกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ

94 ถกเถียงวฒั นธรรม ------ (2531) 100 ปี พระยาอนุมานราชธน กรุงเทพฯ: ส�ำนกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรม แหง่ ชาติ อมรา พงศาพิชญ์ ------ (2541) วัฒนธรรม ศาสนาและชาติพันธ์ุ: วิเคราะห์สังคมไทยแนวมานุษยวิทยา กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ------ (2545) ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: กระบวนทศั น์และบทบาทในประชาสังคม กรุงเทพฯ: สำ� นกั พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั อคนิ รพพี ฒั น์, ม.ร.ว. (2518) สงั คมไทยในสมยั ต้นรัตนโกสนิ ทร์ พ.ศ.(2325-2416) กรุงเทพฯ: มลู นิธิโครงการต�ำราสงั คมศาตร์และมนษุ ยศาสตร์ ------ (2540) “การทอ่ งเทย่ี วกบั วฒั นธรรม: ประเพณีบญุ บงั้ ไฟในภาคอสี าน” ใน ปริตตา เฉลมิ เผา่ กออนนั ตกลู (บ.ก.) เจ้าชาวบ้าน เล่ม 2 รวมบทความ ม.ร.ว. อคนิ รพพี ฒั น์ (106-152) กรุงเทพฯ: สถาบนั ไทยคดีศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ อรัญญา ศริ ิผล (2546) “ฝ่ิ นกบั คนม้ง: พลวตั ความหลากหลายและความซบั ซ้อนแหง่ อตั ลกั ษณ์ ของคนชายขอบ” ใน ปิ่ นแก้ว เหลอื งอร่ามศรี (บก) อัตลักษณ์ ชาตพิ นั ธ์ุ และความเป็ น ชายขอบ กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ ินธร อภญิ ญา เฟื่องฟสู กลุ (2543ก) “พนื ้ ทใี่ นทฤษฎสี งั คมศาสตร์” สงั คมศาสตร์ (ม.ช) 12 (2): 65-101 ------ (2543ข) อัตลักษณ์: การทบทวนทฤษฎีและกรอบแนวคิด รายงานการวิจยั เสนอตอ่ สำ� นกั งานคณะกรรมการสภาวิจยั แหง่ ชาติ สาขาสงั คมวิทยา อนมุ านราชธน (พระยา) (2491) ประเพณีเก่าของไทย ประเพณีเน่ืองในการตาย กรุงเทพฯ: อกั ษรนิติ ------ (2505) การศกึ ษาเร่ืองประเพณีไทย กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑิตสถาน ------ (2510) ชีวติ ชาวไทยสมัยก่อน กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พิมพ์บรรณาคาร ------ (2515) เร่ืองวัฒนธรรม กรุงเทพฯ: สำ� นกั พิมพ์บรรณาคาร ------ (2516) วัฒนธรรมและประเพณีต่างๆของไทย กรุงเทพฯ: สำ� นกั พิมพ์คลงั วทิ ยา ------ (2531) งานนิพนธ์ชุดสมบูรณ์ของศาสตรจารย์พระยาอนุมานราชธน หมวด วัฒนธรรม กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร อะภยั วาณิชประดิษฐ์ (2548) พลวตั ของความรู้ท้องถ่ินกบั ทางเลือกในการจดั การทรัพยากร บนทสี่ งู : กรณีศกึ ษาชมุ ชนม้งบ้านแมส่ าใหม่ อำ� เภอแมร่ ิม จงั หวดั เชียงใหม่ ใน ศนู ย์มานษุ ย วิทยาสริ ินธร ความรู้กับการเมือง เร่ืองทรัพยากร กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสริ ินธร อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ (2527) “ผีกะ: ความคิดทางชนชนั้ ของชาวนาภาคเหนือ” ใน อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ พัฒนาการของชีวิตและวัฒนธรรมล้านนา เชียงใหม่: โครงการต�ำรา มหาวิทยาลยั สำ� นกั หอสมดุ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 95 ------ (2541ก) “สถานภาพและทศิ ทางของมานษุ ยวทิ ยาไทย” สงั คมศาสตร์ (ม.ช) 11 (1): 26-53 ------ (2541ข) รายงานการวิจยั เร่ือง สถานภาพไทศกึ ษา: กรณีการผสมผสานทางชาตพิ นั ธ์แุ ละ การแลกเปลีย่ นทางวฒั นธรรม เสนอตอ่ กองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั ------ (2541) “พิธีไหว้ผีเมืองและอ�ำนาจรัฐในล้านนา” ใน ปราณี วงษ์เทศ (บก.) สังคมและ วัฒนธรรมในประเทศไทย (149-161) กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ ินธร ------ (2544ก) มิตชิ ุมชน: วิธีคดิ ท้องถ่นิ ว่าด้วย สิทธิ อำ� นาจ และการจัดการทรัพยากร กรุงเทพฯ: สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั ------ (2544ข) วิธีคิดเชิงซ้อนในการวิจัยชุมชน: พลวัตและศักยภาพของชุมชนในการ พฒั นา กรุงเทพฯ: ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั ------(2544ง)สงั คมไทยตามความคดิ และความใฝ่ฝันในงานของอาจารยฉ์ ตั รทพิ ย์นาถสภุ าใน60ปี ฉตั รทพิ ย์ นาถสภุ า กรุงเทพฯ: ศนู ย์ศกึ ษาเศรษฐศาสตร์การเมือง จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุและฉลาดชายรมติ านนท์ 2533“พธิ ีกรรมและความเชอื่ ล้านนา:การผลติ ใหม่ ของอ�ำนาจทางศีลธรรม” สมุดสังคมศาสตร์ 12(2): 123-139 อาริยา เศวตาม์ (2542) ผ้าป่ าข้าว: บทสะท้อนวธิ ีคดิ ของชุมชน กรุงเทพฯ: ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั เอกวทิ ย์ ณ ถลาง (2540) ภมู ปิ ัญญาชาวบ้าน 4 ภาค กรุงเทพฯ: อมรินทร์ อไุ รวรรณ ตนั กมิ ยง (2528) “องคก์ รสงั คมในระบบชลประทานเหมอื งฝายและการระดมทรัพยากร: เปรียบเทียบระหว่างชุมชนบนที่สูงและชุมชนพืน้ ราบในภาคเหนือของประเทศไทย” วารสารสังคมศาสตร์ 7(1-2): 158-194 ------ (2536) “เหมืองฝายเพ่ือการพฒั นาชมุ ชนและนิเวศสคู่ วามยง่ั ยืน” ใน ววิ ฒั น์ คตธิ รรมนิตย์ (บก.) สิทธิชุมชน: การกระจายอ�ำนาจจัดการทรัยากร (หน้า 339-353) กรุงเทพฯ: สถาบนั ชมุ ชนท้องถิ่นพฒั นา อ่ทู อง ประศาสนวินิจฉยั (ผ้แู ปล) (2551) การครอบงำ� และความหวาดกลัวในสังคมไทย นครปฐม: คณะบคุ คลบ้านเรียนน�ำ้ ริน Amara Pongsapitch (et. al.) (1985) Traditional and Changing Thai World View. Bangkok: Social Research Institute, Chulalongkorn University. Amporn Jirattikorn (2007) Living on Both Sides of the Border: Transnational Migrants, Pop Music and Nation of the Shan in Thailand. Working Paper Series No. 7 RCSD, Faculty of Social Sciences, Chiang Mai University. Anan Ganjanapan, (1998) “The Politics of Conservation and the Complexity of Local Control of Forests in the Northern Thai Highlands”, Mountain Research and Development 18(1): 71-82.

96 ถกเถียงวฒั นธรรม ------ (2000) Local Control of Land and Forest: Cultural Dimension of Resource Management in Northern Thailand. Chiang Mai: Regional Center for Social Science and Sustainable Development, Faculty of Social Sciences, Chiang Mai University. ------ (2003) “Globalization and the Dynamics of Culture in Thailand”, in Shinji Yamashita and J.S. Eades (eds.) Globalization in Southeast Asia: Local, National and Transnational Perspectives. New York: Berghahn Books. ------ (2007) “Multiplicity of Community Forestry as Knowledge Space in Northern Thai Highlands”, A paper presented at International Symposium on Forest Stewardship and Community Empowerment: Local Commons in Global Context. Kyoto International Community House, October 11-12 , (2007). ------ (2008) “Transforming Agrarian Transformation in the Globalizing Economy of Neoliberalism”, A paper presented at the 10th International Conference on Thai Studies, Thammasat University, Bangkok, 9-11 January (2008). Appadurai, Arjun (ed.), (1986) The Social Life of Things: Commodities in Cultural Perspective. Cambridge: Cambridge University Press. Apinya Feungfusakul, (1993) ‘Buddhist Reform Movement in Contemporary Thai Urban Context: Dhammakay and Santi Asok.’ Ph.D. Dissertation, University of Bielefeld. Appadurai, Arjun, (1988) “Introduction to Place and Voice in Anthropological Theory,” Cultural Anthropology 3 (1): 16-49. Bakhtin, Mikhail M., (1981) The Dialogic Imagination. Austin, TX: University of Texas Press. Barnard, Alan, (2000) History and Theory in Anthropology. Cambridge: Cambridge University Press. Barth, Fredrik, (1969) Ethnic Groups and Boundaries: The Social Organization of Cultural Difference. Boston: Little, Brown and Company. Barthes, Roland, (1972) Mythologies. New York: Hill and Wang Baudrillard,Jean,(1998)The Consumer Society: Myths &Structures.London:SageBenjamin, Walter, (1969) Illuminations: Essays and Reflections. New York: Schocken Books Bernatzik, Hugo Adolf, (1958) The Spirit of the Yellow Leaves. London: Robert Hale. Boas, Franz, (1940) Race, Language and Culture. New York: Macmillan Boriphanthurarat, Luang, (1923) “Chat Meo (The Hmong Race)”, Journal of Siam Society (XVIII)3: 175-200. Bourdieu, Pierre, (1977) Outline of a Theory of Practice. Translated by Richard Nice. Cambridge: Cambridge University Press. (Original, 1972).

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 97 Clifford, James and George E. Marcus (eds.) (1986) Writing Culture: The Poetics and Politics of Ethnography. Berkeley: University of California Press. De Certeau, Michel (1984) The Practice of Everyday Life. Berkeley: University of California Press. Durkheim, Emile (1964) The Division of Labor in Society. New York: Free Press. Evans-Pritchard, E. E. 1951 Social Anthropology. Glencoe: Free Press. Foucault, Michel (1972) The Archaeology of Knowledge and the Discourse on Language. New York: Pantheon. ------ (1980) Power/Knowledge: Selected Interviews and Other Writings, (1972-1977), edited by Colin Gordon. New York: Pantheon. Frazer, James (1911-1915) The Golden Bough. (Originally 1890) London: Macmillan. Geertz, Clifford (1973) The Interpretation of Cultures. New York: Basic Books ------ (1983) Local Knowledge: Further Essays in Interpretive Anthropology. New York: Basic Book. ------ (1983) “Anti Anti-relativism”, American Anthropologist 86: 263-78. Gramsci, Antonio (1971) Selections from the Prison Notebooks of Antonio Gramsci, edited by Quintin Hoare and Geoffrey Nowell-Smith. New York: International Publishers. ------ (1985) Antonio Gramsci: Selections from Cultural Writings, edited by David Forgacs and Geoffrey Nowell-Smith. Cambridge, MA: Harvard University Press. Gupta, Akhil and James Ferguson (ed.)(1997) Culture, Power and Place: Explorations in Critical Anthropology. Durham: Duke University Press. Hall, Stuart (ed.) ------ (1997) Representation: Cultural Representations and Signifying Practices. London: Sage Publications. Herskovits, Melville J. (1948) Man and His Works: The Science of Cultural Anthropology. New York: Knopf. Inglis, Fred (2004) Culture. Cambridge, UK: Polity Kasian Tejapira (1992) ‘Commodifying Marxism: The Formation of Modern Thai Radical Culture, (1927-1958).’ Ph.D. Dissertation, Cornell University. Kroeber, Alfred L.(1948) Anthropology. New York: Harcourt, Brace ___(1952) The Nature of Culture. Chicago: University of Chicago Press. Knauft, Bruce M. (1996) Genealogies for the Present in Cultural Anthropology. London: Routledge

98 ถกเถียงวัฒนธรรม Kuper, Adam (1996) Anthropologist and Anthropology: The Modern British School. (Third Edition) London: Routledge. Kwanchewan Buadaeng (2008) “Constructing and Maintaining the Ta-la-ku Community: The Karen along the Thai-Myanmar Border”, in Shigeharu Tanabe (ed.) Imagining Communities in Thailand.: Ethnographic Approaches. Chiang Mai: Mekong Press. Leach, Edmund R. (1954) Political Systems of Highland Burma: A Case Study of Kachin Social Structure. Boston: Beacon Press. Lefebvre, Henri (1991) The Production of Space. Oxford: Basil Blackwell. Levi-Strauss, Claude (1967) Structural Anthropology. New York: Anchor. Manners, Robert A. and David Kaplan (eds.) (1968) Theory in Anthropology: A Source Book. Chicago: Aldine Publishing Company. Marcus, George E. and Michael M. J. Fisher (1986) Anthropology as Cultural Critique: An Experimental Moment in the Human Sciences. Chicago: University of Chicago Press. Moore, Henrietta L. (ed.) (1996) The Future of Anthropological Knowledge. London: Routledge ------ (1999) Anthropological Theory Today. Oxford: Polity Press. Ortner, Sherry (1984) “Theory in Anthropology Since the Sixties,” Comparative Studies in Society and History 26: 126-166. Paritta Chalermpow Koanantakool (1989) “Relevance of the Textual and Contextual Analyses in Understanding Folk Performance in Modern Society: A Case of Southern Thai Shadow Puppet Theatre”, Asian Folklore Studies 48(1): 31-57. Radcliffe-Brown, A.R.(1952) Structure and Function in Primitive Society. London: Oxford University Press. Sivaramakrishnan, K. (1994) “Situating the Subaltern: History and Anthropology in the Subaltern Studies Project,” Journal of Historical Sociology 8 (4): 395-429. Spiro, Melford E. (1992) “Cultural Relativism and the Future of Anthropology”, in George E. Marcus (ed.) Rereading Cultural Anthropology. (124-51) Durham, NC: Duke University Press. Steinmann, Alfred and Sanidh Rangsit (1939) “Monument Forms and Sacrificial Sites of the Lawa”, Zeitschrift fur Ethnologie 71: 163-174. Thongchai Winichakul (2000) “The Others Within: Travel and Ethno-Spatial Differentiation of Siamese Subjects (1885-1910)”, in Andrew Turton ed. Civility and Savagery: Social Identity in Tai States (38-62) Surrey, UK: Curzon.

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 99 Turner, Victor (1968) Ritual Process: Structure and Anti-Structure. Chicago: Aldine Turton, Andrew (1984) “Limits of Ideological Domination and the Formation of Social Consciousness”, in Shigeharu Tanabe and Andrew Turton eds. History and Peasant Consciousness in South East Asia. Seri Ethnological Studies No. 13. Osaka: National Museum of Ethnology. Turnbull, David (1997). “Reframing Science and Other Local Knowledge Traditions”, Futures 29(6): 551-562. Walker, Andrew (2001) “The ‘Karen Consensus’, Ethnic Politics and Resource-Use Legitimacy in Northern Thailand”, Asian Ethnicity 2(2): 145-162. Wasan Panyagaew (2007). “Re-Emplacing Homeland: Mobility, Locality, a Returned Exile and a Thai Restaurant in Southwest China”, The Asia Pacific Journal of Anthropology 8(2): 117-135. Weber, Max (1958) The Protestant Ethic and the Spirit of Capitalism. New York: Scribner’s. Williams, Raymond (1958) Culture and Society: (1780-1950). New York: Columbia University Press. Winch, Peter (1958) The Idea of a Social Science and Its Relation to Philosophy. London: Routledge and Kegan Paul. Wright, Sarah. (2005) “Knowing Scale: Intellectual Property Rights, Knowledge Spaces and the Production of the Global”, Social and Cultural Geography 6(6): 903-921. Yos Santasombat (2004) “Karen Cultural Capital and Political Economy of Symbolic Power”, Asian Ethnicity 5(1): 105-120.