Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือแสวงบุญในอินเดีย

คู่มือแสวงบุญในอินเดีย

Description: คู่มือแสวงบุญในอินเดีย

Search

Read the Text Version

คู่มือแสวงบญุ ๒ คำแนะนำในคู่มือแสวงบญุ เล่มนี้ เป็นคำแนะนำเบื้องต้นและ ไม่เป็นทำงกำร ซึ่งจดั ทำโดยคณุ พลเดช วรฉตั ร กรุณำมอบลิขสิทธ์ิให้ ไวเ้ ป็นธรรมทำน ไม่ใช่ใชไ้ ปเชิงพำณิชย์ หำกผูใ้ ดสนใจจดั พิมพ์เผยแพร่ รบกวนแจ้งมำทำงผูจ้ ดั ทำก่อน รำยละเอียดต่ำงๆ ควรติดต่อบริษัททวั ร์ ทีท่ ่ำนใชบ้ ริกำรหรือวดั ไทยในอินเดีย อีกประกำรหนึ่ง จุดประสงค์ของ หนงั สือเล่มนี้จดั ทำข้ึนเพือ่ เผยแพร่ข้อมูลข่ำวสำรให้แก่ผู้ที่สนใจ มิได้มี เจตนำอื่นใด เนื้อหำบำงส่วนอำจเป็ นควำมเห็นส่วนบุคคล ท่ำนไม่ จำเป็นตอ้ งเห็นดว้ ยเสมอไป

คูม่ ือแสวงบญุ ๓ พลเดช วรฉัตร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคลัมโบ ศรีลังกา เขียน Learningpune.com เรียบเรียง ยทุ ธการ ขันชัย ภาพปก / ภาพประกอบ ประเสริฐศักด์ิ แก้วสง่า ออกแบบปก / รูปเลม่ Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบง่ ปันเป็ นธรรมทาน

คมู่ อื แสวงบุญ ๔ Learningpune.com เป็นเวบ็ ไซต์ท่ีจดั ทาขนึ ้ โดยนกั ศกึ ษาไทยกล่มุ เล็กๆ กลุ่มหนึ่งในเมืองปูเณ่ ประเทศอินเดีย โดยมีวตั ถุประสงค์เพ่ือให้ ข้อมูลเกี่ยวกับการมาศึกษาต่อท่ีอินเดีย พร้ อมทัง้ ข้อมูลด้านต่างๆ ท่ี เกี่ยวกบั อินเดีย ซึ่งเป็ นการให้ภาพเบือ้ งต้นแก่ผ้ทู ี่สนใจจะมาศึกษาตอ่ ท่ีนี่ หรือผ้ทู ี่สนใจจะศกึ ษาเรียนรู้เรื่องราวตา่ งๆ เกี่ยวกบั อินเดียอยา่ งรอบด้าน พวกเราจึงเป็ นแต่เพียงส่ือกลางในการถ่ายทอดข้อมูลจากประสบการณ์ สว่ นหนง่ึ เทา่ นนั้ โดยไมค่ ดิ แสวงผลประโยชน์ใดๆ ทงั้ สนิ ้ และในการจดั ทา \"คู่มือแสวงบุญ\" ครัง้ นีก้ ็เพ่ือเผยแพร่ความรู้ให้ เป็ นวิทยาทาน (ตามปณิธานในการจดั ตงั้ เว็บไซต์ของเรา) โดยการริเริ่ม ของน้องโจ้ ประเสริฐศกั ดิ์ แก้วสงา่ ซง่ึ ได้อตุ สาหะรวบรวมข้อมลู เรียบเรียง และจดั ทารูปเลม่ จนเสร็จสิน้ สมบรู ณ์ เป็ นหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เลม่ แรกที่เผยแพร่ผา่ นทางเว็บไซต์ learningpune.com เหนือสิง่ อ่ืนใดพวกเราใคร่ขอขอบพระคณุ ท่านเอกอคั รราชทตู ไทย ณ กรุงโคลมั โบ ศรีลงั กา คณุ พลเดช วรฉัตร ที่กรุณามอบบทความท่ีท่าน ได้เขียนเผยแพร่ไว้ในเวบ็ ไซต์ของสถานทตู ไทย ณ กรุงเดลี อินเดีย เมื่อครัง้

คมู่ ือแสวงบญุ ๕ ดารงตาแหนง่ อคั รราชทตู ณ กรุงเดลี ซง่ึ เป็นเนือ้ หาสว่ นใหญ่ในเลม่ นี ้และ ท่านอ่ืนๆ ที่ได้เอือ้ เฟื ้อบทความท่ีเก่ียวข้องมารวมไว้เป็ นเล่มเดียวกัน เพื่อให้เป็ นคู่มือสาหรับคนไทยที่ประสงค์จะมาแสวงบุญ ณ สังเวชนีย สถานทงั้ ๔ ในอินเดีย จะได้รับทราบข้อมลู ที่มีประโยชน์และถกู ต้อง ท้ายท่ีสดุ นี ้ขอให้กุศลผลบุญในการจดั ทาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เล่มนีจ้ งมีแดท่ า่ นเจ้าของบทความ ทีมงาน learningpune.com และทา่ น ผ้อู า่ นทกุ ทา่ นด้วยเทอญ. poowiang 

คมู่ ือแสวงบญุ ๖ คำนยิ ม ประเทศอินเดียมีความสาคัญมาแต่อดีตและจะเป็ นประเทศ มหาอานาจหน่ึงในศตวรรษหน้า ในด้านของศาสนา เป็ นดินแดนต้น กาเนิดของหลายศาสนา พราหมณ์ ฮินดู เชน ซิกห์ รวมทงั้ พทุ ธ ทุกวนั นี ้ แม้พทุ ธศาสนาในอินเดียจะได้รับความนิยมลดน้อยลง จนเหลือคนท่ีนบั ถือพุทธศาสนาเพียงร้ อยละ 1 ของประชากรพันสองร้ อยล้านคน แต่ อินเดียก็ยงั มีความสาคญั ในฐานะเป็ นดินแดนพุทธภูมิ คือเป็ นดินแดนที่ เกิดเหตกุ ารณ์สาคญั สาหรับพทุ ธศาสนาหลายเหตกุ ารณ์สาคญั คือ องค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติที่ลุมพินี (ปัจจุบันอยู่ในประเทศ เนปาล) ตรัสรู้ที่พุทธคยา รัฐพิหาร แสดงปฐมเทศนาที่สารนาถ และ ปรินพิ พานท่ีกสุ ินารา รัฐอตุ รประเทศ สถานท่ีทงั้ 4 แห่งนี ้พระพทุ ธองค์ได้ ตรัสไว้วา่ เป็ นสถานท่ีท่ีชาวพุทธจะสามารถระลกึ ถึงพระองค์ได้ ซ่ึงต่อมา ได้กลายเป็ นสังเวชนียสถาน 4 แห่ง ท่ีชาวพุทธทั่วโลกนิยมเดินทางไป สกั การะ

คมู่ อื แสวงบุญ ๗ ในฐานะที่สังเวชนียสถานทัง้ ๔ แห่งนี ้ (๓ แห่งอยู่ในอินเดีย ๑ แห่งอยู่ในเนปาล) เป็ นที่นิยมของผู้แสวงบุญชาวไทยท่ีนิยมเดินทางมา สักการะตงั้ แต่ประมาณเดือนตุลาคมถึงมีนาคม ของทุกปี เป็ นเวลา ๖ เดือน และบริษัทการบินไทยได้เปิ ดเส้นทางบินตรง เส้นทางกรุงเทพฯ – คยา - พาราณสี - กรุงเทพฯ ในช่วงเวลา ๖ เดือน ดังกล่าว สถาน เอกอคั รราชทูตฯ จึงเห็นความจาเป็ นที่จะจดั ทาเพจ \"แสวงบญุ ในอินเดีย\" เพื่อให้คาแนะนาในการมาแสวงบุญ และให้ได้รับทราบข้อมูลท่ีถูกต้อง และที่เป็ นประโยชน์ ทงั้ ข้อมลู ที่เก่ียวกบั พทุ ธสถาน หรือข้อคิดและธรรมะ ตา่ งๆ การมาแสวงบุญในดินแดนพุทธภูมินนั้ ไม่ใช่การมาท่องเที่ยวท่ี สะดวกสบายนกั ผู้แสวงบุญต้องมีศรัทธาสูงพร้ อมท่ีจะเผชิญกับความ ลาบาก บางครัง้ ก็อาจเกิดปัญหาด้านสขุ ภาพและอุบตั เิ หตุ การเตรียมตวั ให้พร้อมทงั้ กายและใจและศกึ ษาข้อมลู คาแนะนาตา่ งๆ จึงเป็ นส่ิงท่ีจาเป็ น และจะช่วยให้การเดินทางมาแสวงบญุ ประสบสาเร็จได้ผลบุญกุศลตาม ความตงั้ ใจไว้ ข้อมูลท่ีนามาเผยแพร่ในเพจนี ้ ได้ทงั้ จากพระธรรมทูตไทยสาย อินเดยี พระนกั ศกึ ษาที่ศกึ ษาในมหาวิทยาลยั ตา่ งๆ จากประสบการณ์ของ

ค่มู ือแสวงบุญ ๘ ผ้เู ขียนเอง และจากทางการอินเดียท่ีเก่ียวข้อง ทงั้ นีห้ วงั ว่าข้อมลู สาหรับผู้ แสวงบญุ นีจ้ ะเป็นประโยชน์กบั ผ้แู สวงบญุ ชาวไทยทกุ ทา่ น พลเดช วรฉตั ร เอกอัครรำชทูตไทย ณ กรงุ โคลัมโบ ศรลี ังกำ อดีตอัครรำชทตู ณ กรงุ เดลี, อินเดีย

คู่มอื แสวงบญุ ๙ สำรบญั การเตรียมตวั ไปแสวงบญุ ฯในอนิ เดียและเนปาล................................๑๒ ตามรอยบาทพระศาสดาสสู่ งั เวชสถาน.............................................๒๓ ลมุ พีนี : สงั เวชนียสถาน การประสตู .ิ ................................................๒๙ พทุ ธคยา : สงั เวชนียสถาน การตรัสรู้................................................๓๕ กรุงราชคฤห์ : ป้ อมปราการการเผยแผพ่ ทุ ธศาสนา............................๔๓ นาลนั ทา : มหาวิทยาลยั พระพทุ ธศาสนาแหง่ แรกของโลก..................๕๐ สารนาถ : สงั เวชนียสถาน..แสดงปฐมเทศนา....................................๕๒ กสุ ินารา : สงั เวชนียสถาน..มหาปรินิพพาน.......................................๖๑ สาวตั ถี : ดนิ แดนแหง่ มหานครแคว้นโกศล.........................................๖๙ จาณกั ยบรุ ี : เกียรตภิ มู ิ เสนาบดีแหง่ โมริยะวงศ์.................................๗๗ กาลามสตู ร : สายลมแหง่ ศานต.ิ ......................................................๘๙

คู่มอื แสวงบุญ ๑๐ พระถงั ซมั จง๋ั : บนั ทกึ เมืองพาราณสี.................................................๙๗ พระพทุ ธศาสนาในอินเดีย.............................................................๑๐๘ คาแนะนาสาหรับพระสงฆ์ไปสงั เวชนียสถาน..................................๑๑๔ วดั ไทยในอินเดีย...........................................................................๑๒๐ หนว่ ยงานที่เกี่ยวข้องของไทย........................................................๑๒๓

ค่มู อื แสวงบญุ ๑๑

คมู่ อื แสวงบญุ ๑๒ คำแนะนำ กำรเตรียมตวั ไปแสวงบุญสกั กำระสังเวชนียสถำน ในอินเดียและเนปำล

ค่มู อื แสวงบุญ ๑๓ ๑. เตรียมใจ การไปอินเดียถือว่าเป็ นการไปแสวงบุญในฐานะชาวพุทธท่ี ต้องการสกั การะและบูชาคณุ พระพุทธเจ้า ในสถานที่ท่ีพระพุทธองค์ได้ ทรงตรัสไว้ว่า เม่ือสิน้ พระองค์ไปแล้ว ชาวพุทธจะสามารถระลึกถึง พระองค์ได้ในสถานที่ตา่ งๆ ดงั นี ้ ๑. สถานที่ประสตู ิ ท่ีลมุ พนิ ี (ปัจจบุ นั อยใู่ นเนปาล) ๒. สถานที่ตรัสรู้เป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ที่พทุ ธคยา ๓. สถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนา ที่สารนาถ และ ๔. สถานที่ทรงดบั ขนั ธ์ปรินิพพาน ท่ีกสุ นิ ารา ดงั นนั้ การไปสักการะสถานท่ีดงั กล่าวเหล่านี ้ ถือว่าไประลึกถึงองค์พระ สมั มาสัมพุทธเจ้าและให้เกิดสติ ปลงธรรมสงั เวชว่าทุกอย่างย่อมมีเหตุ เกิดขนึ ้ ตงั้ อยู่ แล้วดบั ไป เป็ นของธรรมดา ในฐานะชาวพทุ ธจงึ ถือเป็ นการ สกั การะพระพทุ ธองค์ท่ีตรงจุดที่สุด ณ สถานที่จริง เป็ นการตามรอยพระ พทุ ธบาทในดนิ แดนพทุ ธภมู ิ ทงั้ นี ้เป็นที่ยอมรับกนั ว่าในฐานะพทุ ธมามกะ ควรหาโอกาสไปให้ได้สกั ครัง้ หนง่ึ ในชีวิต

คู่มอื แสวงบุญ ๑๔ นอกจากสาหรับตนเองแล้ว หากมีโอกาสได้พาบิดามารดาไป สกั การะสงั เวชนียสถานทงั้ ๔ แหง่ ได้ ก็ถือว่าเป็ นบญุ กศุ ลท่ีสมควรทาเป็ น อย่างยิ่ง ถือเป็ นการตอบแทนพระคุณของบิดามารดาที่ได้เลีย้ งดเู รามา อยา่ งไรก็ดี ต้องคานงึ ถึงโอกาส เวลา ความพร้อมของร่างกายและสุขภาพ ของบดิ ามารดาด้วยวา่ พร้อมที่จะไปหรือไม่

คู่มือแสวงบุญ ๑๕ ๒. เตรียมกำย การแสวงบุญสังเวชนียสถานทัง้ 4 แห่งโดยปรกติใช้ เวลา ประมาณ ๑๐-๑๓ วัน เดินทางโดยเครื่องบินไปได้ 2 เส้นทางคือจาก กรุงเทพฯ ไปลงที่กลั กตั ตา และนง่ั รถไปยงั สงั เวชนียสถานทงั้ ๔ แห่ง ทงั้ ใน อินเดียและเนปาลหรือจะใช้บริการสายการบนิ ไทยไปลงท่ีคยาและขากลบั ขนึ ้ เคร่ืองจากพาราณสีเพื่อกลบั กรุงเทพฯ การเดินทางโดยเครื่องบินไม่มี ปัญหาเทา่ ใดนกั แตก่ ารเดินทางโดยรถยนต์นนั้ ใช้เวลานาน ช่วงหนง่ึ ๆ ไม่ ต่ากว่า 7-8 ชั่วโมง เป็ นอย่างน้อย บางช่วงเดินทางทัง้ วัน การเตรียม สขุ ภาพให้พร้อมจงึ เป็นเร่ืองที่สาคญั ผ้ทู ี่มีโรคประจาตวั ควรหารือแพทย์ว่า จะสามารถเดินทางไกลได้หรือไม่ หรือหากเดินทางได้ ก็ควรเตรียมยา ประจาตวั และสมุดสุขภาพเป็ นภาษาองั กฤษไปด้วย เผื่อกรณีฉุกเฉิน จะ ได้มีข้อมลู สขุ ภาพท่ีถกู ต้อง ทาให้สามารถสง่ ตอ่ ให้หมออินเดียดแู ลได้ การ เตรียมกายนีเ้ป็นเรื่องสาคญั ซ่งึ ทา่ นต้องตระหนกั วา่ ท่านต้องสามารถชว่ ย ตวั เองได้ในระดบั หนงึ่ หากเป็ นผ้สู งู อายุ แม้จะมีคนดแู ลแตก่ ็ต้องสามารถ ดแู ลตวั เองได้บ้าง ทา่ นที่ทราบวา่ แพ้อะไร ก็ควรเตรียมยารักษาโรคนนั้ ไป ด้วย รวมทงั้ สขุ ภณั ฑ์พกพาประจาตวั ท่ีทา่ นต้องใช้ในระหว่างการเดนิ ทาง เพื่อรักษาความสะอาด รวมทงั้ เสือ้ ผ้าท่ีเหมาะสมสาหรับการไปแสวงบุญ

คูม่ ือแสวงบุญ ๑๖ ทงั้ นี ้ช่วงฤดกู ารแสวงบญุ จะอย่ใู นช่วงอากาศหนาว จึงต้องเตรียมเสือ้ ผ้า กนั หนาวและอปุ กรณ์ตา่ งๆ ให้พร้อม ๓. เตรียมข้อมลู สังเวชนียสถานท่ีคนนิยมไปเริ่ มต้ นการแสวงบุญคือมหา เจดี ย์ พทุ ธคยา ซงึ่ เป็ นที่ตงั้ ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งพระพทุ ธเจ้าตรัสรู้เป็ นพระ สมั มาสมั พทุ ธเจ้า และไมไ่ กลจากต้นพระศรีมหาโพธิ์มีวดั ไทยแห่งแรกใน ตา่ งประเทศคือวดั ไทยพทุ ธคยา ซง่ึ บริษัททวั ร์นิยมจดั ให้ผ้แู สวงบญุ ไปพกั ท่ีวดั นี ้ คยาหรือพุทธคยานีอ้ ยู่ในรัฐพิหารซึ่งอยู่ในเขตอาณาของสถาน กงสลุ ใหญ ณ เมืองกลั กตั ตา ในส่วนของสารนาถ สถานที่ปฐมเทศนาและ กสุ ินารา สถานที่ปรินิพพาน อยู่ในรัฐอุตตระประเทศซึ่งอย่ใู นเขตอาณา ของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ส่วนลุมพินีนัน้ อยู่ในประเทศ เนปาล อยู่ในความดูแลของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฏมัณฑุ เนปาล ดงั นนั้ หากผู้แสวงบุญต้องการติดต่อหน่วยงานไทยในระหว่าง แสวงบุญก็สามารถติดตอ่ สกญ. ณ เมืองกลั กตั ตา และ สอท. ณ กรุงนิว เดลี รวมทงั้ สอท. ณ กรุงกาฏมณั ฑไุ ด้ อยา่ งไรก็ดีพระธรรมทตู ตามวดั ไทย ตา่ งๆ ก็ถือเป็ นหน่วยงานไทยในตา่ งประเทศเชน่ กนั สถานเอกอคั รราชทตู

คมู่ ือแสวงบญุ ๑๗ ฯ และสถานกงสุลใหญ่ มีการประสานงานกับพระธรรมทูตไทยอย่าง ใกล้ชิดเพื่อให้การดแู ลผ้แู สวงบญุ ในกรณีท่ีประสบปัญหาตา่ งๆ ดงั นนั้ ผ้ทู ่ี สามารถจะชว่ ยเหลือในเบอื ้ งต้นคือพระธรรมทตู ในวดั ไทยนนั่ เอง ในปัจจบุ นั มีวดั ไทยตามเมืองตา่ งๆ ในเส้นทางแสวงบญุ มากกว่า ๑๒ วดั บริษัททวั ร์ที่คิดราคาถกู มกั นิยมจดั ให้ผ้แู สวงบญุ พกั ค้างคืนท่ีวดั ในขณะท่ีบริษัทที่คิดราคาสูงจะจัดที่พักในโรงแรม ซ่ึงก็ขึน้ อยู่กับความ ต้องการของผ้แู สวงบญุ วา่ จะเลือกแบบใด

คู่มือแสวงบญุ ๑๘ ๔. เตรียมเดินทำง การเตรียมการเดินทางก็คือการเตรียมสมั ภาระ เสือ้ ผ้า อปุ กรณ์ ตา่ งๆ รวมทงั้ ยารักษาโรค ซง่ึ มีข้อแนะนา ดงั นี ้  นาเสือ้ ผ้าที่เหมาะสมกับการเดินทางโดยรถยนต์และท่ีใส่ สบายเหมาะสาหรับการปฏิบตั ธิ รรม โดยปรกตใิ ช้สีขาว  เสือ้ ผ้าสาหรับอากาศหนาว รวมทงั้ ผ้าประกอบเช่นผ้าพนั คอ หมวกไหมพรม รองเท้าฯลฯ  อย่านาของมีค่าติดตวั ไปเกินความจาเป็ น นอกจากของที่จะ นาไปบริจาค  เตรียมแผน่ ทองคาเปลวไปด้วย เพราะไมม่ ีจาหนา่ ย  เตรียมยารักษาโรคประจาตัวและของใช้ส่วนตัวที่จาเป็ น รวมทงั้ ไฟฉายเล็กๆ รองเท้าแตะ ที่สามารถบริจาคหรือทิง้ ได้เมื่อไม่ได้ใช้ แล้ว  เตรียมนาฬิกาปลุกส่วนตัวไปด้ วยเพราะส่วนใหญ่ต้ อง เดนิ ทางเช้าตรู่  เตรียมเงินไปให้เหมาะสมและพอดีกับการเดินทาง 10 วัน รวมทงั้ สาหรับการทาบญุ ตามวดั ตา่ งๆ ซงึ่ หากเป็ นวดั ไทย สามารถทาบญุ

คู่มอื แสวงบญุ ๑๙ ด้วยเงินไทยหรือเงินเหรียญสหรัฐฯได้ นอกนัน้ เป็ นเงินรูปี อินเดีย หาก เตรียมซองเปลา่ ไปด้วยก็จะดี  มือถือควรขอใช้บริการโทรศพั ท์ระหว่างประเทศ หรือมาซือ้ ซมิ การ์ดของอนิ เดียใช้โทรกลบั ประเทศไทยจะประหยดั ได้มาก  หนงั สือเดนิ ทางควรเก็บรักษาให้ดแี ละถ่ายเอกสารทาสาเนา ไว้เก็บไว้ด้วยอยา่ งน้อย 2 ชดุ เก็บไว้ในที่ตา่ งกนั

ค่มู อื แสวงบุญ ๒๐ ๕. กำรเตรียมพร้อมระหว่ำงกำรเดินทำง ในระหวา่ งการเดนิ ทาง ส่ิงท่ีทา่ นจะต้องเจอ มีดงั นี ้  ความไมส่ ะอาดของสถานท่ีและสิ่งของในระหว่างการเดินทาง จงึ ควรเตรียมสขุ ภณั ฑ์ทาความสะอาดสว่ นตวั ไปด้วย  การด่ืมนา้ ควรซือ้ ที่เป็ นขวดที่มีมาตรฐานหรือที่เป็ นกระป๋ อง เทา่ นนั้  อาหารควรเป็ นอาหารที่ทัวร์แนะนาเท่านัน้ พยายามอย่า ทดลองทานอาหารข้างทางที่ไมถ่ กู สขุ ลกั ษณะ  คนขายของข้างทางที่จะคะยัน้ คะยอให้ซือ้ ของ ควรต่อรอง ราคาให้มากและเทา่ ท่ีจะทาได้  อย่าออกนอกกล่มุ หรือเส้นทางหรือเดินทางโดยลาพงั อย่าง น้อยควรมีเพ่ือนไป 2 คน หากเกิดปัญหาตา่ งๆ ให้รีบแจ้งหวั หน้าทวั ร์หรือ ผ้ดู แู ล  การเดนิ ทางไปตามสงั เวชนียสถานเป็นการเดนิ ทางท่ียาวนาน ระหว่างจดุ ตา่ งๆ และระหวา่ งทางก็มกั จะไม่มีจดุ จอดรถที่เหมาะสมมาก นกั  ห้องนา้ อาจ ไม่สะอาดเท่าท่ีควร ยกเว้นวดั ไทย ผ้แู สวงบญุ จึง ควรทาใจและเตรียมหาทางให้ สามารถใช้ ห้ องนา้ ต่างๆ นัน้ ได้และ

คมู่ อื แสวงบญุ ๒๑ เตรียมพร้อมสาหรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยปรึกษาหวั หน้าทวั ร์ใน ทกุ การเดนิ ทางระหวา่ งวนั  การพกั ในวดั ไทย ควรรักษากริยา มารยาทและสารวมเพราะ อยใู่ นเขตวดั และรักษาความสะอาดให้กบั สถานที่ทกุ ครัง้  การไปแสวงบญุ ท่ีอนิ เดีย ต้องพกสตไิ ปด้วย เพื่อท่ีจะให้ได้บญุ อย่างเตม็ ที่ พร้อมกบั เปิ ดใจให้กว้าง มองให้รู้ ดใู ห้เป็ น “ธรรมะ” ประกอบ กบั การสร้างบารมีในเรื่องทาน ศีล สมาธิและนามาพิจารณาเป็ นปัญญาท่ี จะเกิดขนึ ้ ในแดนพทุ ธภมู ิ ทกุ วนั ของการแสวงบญุ จงึ มีคา่ ย่งิ นกั  ในกรณีที่เกิดไม่สบาย ให้แจ้งหัวหน้าทัวร์หรือพระธรรมทูต และในวดั ไทยเช่นวดั ไทย กุสินารา เฉลิมราชย์จะมีคลินิกรักษาพยาบาล ด้วย ซง่ึ สามารถรักษาโรคทว่ั ไปได้  เก็บรักษาหนงั สือเดินทางให้ดี กรณีหนงั สือเดินทางหาย ต้อง ตดิ ตอ่ สถานกงสลุ ใหญ่ ณ เมืองกลั กตั ตา ในชว่ งขากลบั จากแสวงบญุ โดย ไปกลับทางกัลกัตตา เพ่ือให้ออกเอกสารเดินทางกลับประเทศจึงจะ สามารถเดนิ ทางกลบั ได้ *หมายเหตุ คำแนะนำนี้เป็ นคำแนะนำเบื้องต้น (จัดทำโดยพลเดช วรฉัตร) รำยละเอียดต่ำงๆ ควรติดต่อบริษัททวั ร์ทีท่ำนใช้บริกำรหรือวดั ไทยใน อินเดียทกุ แห่ง

ค่มู อื แสวงบญุ ๒๒

คมู่ อื แสวงบุญ ๒๓ ตำมรอยบำทพระศำสดำ ส.ู่ .. สงั เวชนียสถำน นักท่องเที่ยวมากมายให้มาเยือนมิได้ขาด และต่อไปนีจ้ ะได้นา ท่านทัง้ หลายไปรู้จักกับสถานท่ีต่างๆ เร่ิมตัง้ แต่สถานท่ีประสูติจนถึง สถานที่ปรินิพพานตามลาดบั ...  ตามรอยบาทพระศาสดาสู่... สังเวชนียสถาน  ลุมพนี ี : สงั เวชนียสถาน...การประสตู ิ  พทุ ธคยา : สงั เวชนียสถาน..การตรัสรู้  กรุงราชคฤห์ : ป้ อมปราการการเผยแผพ่ ทุ ธศาสนา  นาลันทา : มหาวิทยาลยั พระพทุ ธศาสนาแหง่ แรกของโลก  สารนาถ : สงั เวชนียสถาน..แสดงปฐมเทศนา  กุสินารา : สงั เวชนียสถาน..มหาปรินพิ พาน  สาวัตถี : ดนิ แดนแหง่ มหานครแคว้นโกศล

คมู่ ือแสวงบญุ ๒๔ ตำมรอยพระศำสดำสู่…สังเวชนยี สถำน. องค์สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าได้ทรงประทบั รอยพระบาทของ พระองคไ์ ว้บนพืน้ แผน่ ดินอินเดีย และในขณะเดียวกนั ก็ได้ทรงประทบั รอย จารึกไว้ในดวงใจของมนุษยชาติ พระองค์ทรงประทับอยู่ในสถานท่ีใด สถานท่ีนนั้ ก็กลายเป็นสถานที่ศกั ดิส์ ิทธิ์ ได้รับความเคารพศรัทธาจากปวง ชน ก่อนจะเด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน พระองค์ได้ตรัสถึงสงั เวชนียสถาน ๔ ตาบลว่า “บุคคลควรไปเพื่อทัศนา เคารพกราบไหว้บูชา ให้เกิดความ สงั เวช สงั เวชนียสถาน ๔ ตาบลนนั้ คือ ลมุ พินีวนั สถานที่พระตถาคตเจ้า ประสตู ิ, พทุ ธคยา สถานที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้, สารนาถ สถานท่ีพระ ตถาคตเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา, กสุ ินารา สถานที่พระตถาคตเจ้าเสด็จ ดบั ขนั ธปรินิพพาน” สถานท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิเหล่านีไ้ ด้เป็ นแหล่งดึงพุทธศาสนิกชนผู้ใจบุญ และนกั จาริกแสวงบญุ ให้มานมสั การเป็ นอนั มาก พระเจ้าอโศกทรงเรียน การจาริกนีว้ ่า “ธรรมยาตรา” หรือการจาริกแสวงบญุ ในท่ีอื่นๆ อีกหลาย

คูม่ อื แสวงบญุ ๒๕ แหง่ ได้กลายเป็ นสถานท่ีเดน่ ขึน้ ก็เพราะอิทธิพลของพระพทุ ธสาสนาที่แผ่ ไปในประเทศอนิ เดยี สถานที่เกี่ยวกบั พทุ ธศาสนามีมาก ในสมัยท่ียังเจริญรุ่งเรือง ความศักดิ์สิทธ์ิและความโอ่โถงของ สถานท่ีเหล่านนั้ ได้กลายเป็ นมนต์เสนห่ ์ดงึ ดดู นกั ทอ่ งเท่ียวมากมายให้มา เยือนมิได้ขาด และต่อไปนีจ้ ะได้นาท่านทงั้ หลายไปรู้จกั กบั สถานท่ีต่างๆ เริ่มตงั้ แตส่ ถานท่ีประสตู จิ นถงึ สถานที่ปรินิพพานตามลาดบั สังเวชนียสถำน ๔ ตำบล กลา่ วตามมหาปรินิพพานสตู รวา่ ในวนั เพ็ญเดือน ๖ ณ กาลนนั้ พระพทุ ธเจ้าทรงมีพระชนมายไุ ด้ ๘๐ พรรษา พระบรมศาสดาทรงตรัสแก่ พระอานนท์วา่ “อานนท์ ในยามที่สุดแห่ งราตรี วันนี้แหละ ตถาคตจะ ปรินิพพาน ณ สาลวันแห่งมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา” ครัน้ พระพทุ ธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ได้เสดจ็ พทุ ธดาเนินข้าม แมน่ า้ หริ ัญญวดีไปเมืองกสุ ินารา โปรดให้พระอานนท์ปลู าดเตียงท่ีบรรทม ณ ระหว่างไม้สาละทงั้ คู่ และเสด็จขึน้ บรรทมสีหไสยาสน์ (เป็ นการนอน อยา่ งราชสีห์ คือ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าเหล่ือมเท้า มือซ้ายพาดไปตาม ลาตวั มือขวาซ้อนศีรษะไม่พลิกกลบั ไปมา มีสติสมั ปัญชญั ญะกาหนดใจ

คู่มือแสวงบญุ ๒๖ ถึงการลกุ ขนึ ้ ไว้) แตพ่ ระบรมศาสดามิได้มีอฏุ ฐาน-สญั ญามนสิการ คือไม่ คิดจะลุกขนึ ้ อีกแล้ว เพราะเป็ นเหตไุ สยาอวสาน คือ การนอนครัง้ สดุ ท้าย (หรือ อนุฏฐำนฐิตสีหไสยำสน์ คือการนอนไม่ลุก) ลาดับต่อมา พระ อานนท์เถระได้กราบทลู วา่ “ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อนภิกษุทง้ั หลำยผูจ้ ำกพรรษำในทิศ ทง้ั หลำย มำเฝ้ ำพระตถำคต ข้ำพระองค์ทงั้ หลำยย่อมไม่พบ ได้ใกล้ชิด ภิกษุทง้ั หลำยผู้ที่เป็นทีเ่ จริญใจ ก็เมื่อพระผู้มีพระภำคเสด็จล่วงลบั ไป ข้ำ พระองค์ทงั้ หลำยจะไม่ได้พบ ไม่ได้ใกล้ชิดภิกษุทงั้ หลำยผู้เป็นที่เจริญใจ (อีก)” พระพทุ ธเจ้าตรัสวา่ “อานนท์ สงั เวชนียสถาน ๔ ตาบลนี ้คอื ๑. สถานท่ีพระตถาคตเจ้าบังเกิดแล้ว คือ ท่ีประสูติจากพระ ครรภ์ (คืออทุ ยานลมุ พินี กึ่งกลางระหว่างกรุงกบิลพสั ด์แุ ละกรุงเทวทหะ กรุงกบลิ พสั ดเ์ุ มืองหลวงของแคว้นสกั กะ กรุงเทวทหะเมืองหลวงของแคว้น โกลียะ ปัจจุบนั อยใู่ นเขตของประเทศเนปาล หา่ งจากชายแดนภาคเหนือ ของอนิ เดีย ๖ กิโลเมตรคร่ึง บดั นีเ้รียกวา่ ลมุ มนิ เด) ๒. สถานท่ีพระตถาคตเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (คือใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธ์ิ ภายในป่ าสาละ ใกล้แม่นา้ เนรัญชรา ตาบลอุรุ

คมู่ ือแสวงบญุ ๒๗ เวลาเสนานคิ ม แคว้นมคธ ปัจจบุ นั คือ ควงโพธ์ิ ท่ีตาบลพทุ ธคยา รัฐพิหาร ประเทศอนิ เดยี ) ๓. สถานท่ีพระตถาคตเจ้าแสดงธรรมจักรกัปวตนสูตร (คือ สถานท่ีซึ่งพระพุทธเจ้าแสดงธรรมปฐมเทศนา โปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่ า อสิ ิปตนมฤคทายวนั ทางทศิ เหนือของเมืองพาราณสี แคว้นกาสี ปัจจบุ นั นี ้ เรียกวา่ สารนาถพาราณสี บดั นีเ้รียกวา่ วาราณสี หรือ บานาราส) ๔. สถานท่ีพระตถาคตเจ้าปรินิพพาน (คือท่ีสาลวโนทยาน เมืองกสุ นิ ารา แคว้นมลั ละ ปัจจบุ นั นีเ้รียกเมืองกาเชีย จงั หวดั โครักขปรุ ะ) สถานท่ีทัง้ ๔ ตาบลนีแ้ ล ควรที่พุทธบริษัท คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อบุ าสิกา ผู้มีความเช่ือความเลื่อมใสในพระตถาคตเจ้า จะดจู ะ เห็นและควรจะให้เกิดความสงั เวชทว่ั กนั “อำนนท์ ชนทง้ั หลำยเหล่ำใดเหล่ำหน่ึงได้เทีย่ วไปยงั เจดีย์สงั เวช นียสถำนเหล่ำนี้ ด้วยควำมเลื่อมใส ชนเหล่ำนนั้ คร้ันทำกำลกิริยำลงจัก เข้ำถึงสคุ ติโลกสวรรค์” อนงึ่ สงั เวชนียสถาน หมายถงึ สถานเป็นที่ตงั้ แห่งความสงั เวช แต่ คาดว่าสงั เวชในทางธรรมนนั้ มีความหมายลึกซงึ ้ กว่าความหมายของคา ว่าสังเวชท่ีพบเห็นกันทว่ั ๆ ไป กล่าวคือ ในทางธรรมหมายถึงความรู้สึก

ค่มู ือแสวงบุญ ๒๘ สลดใจท่ีทาให้คิดได้ ทาให้จิตใจหันมานึกถึงส่ิงที่ดีงาม เกิดความไม่ ประมาท เพียรพยายามทาสิ่งท่ีเป็ นกุศลต่อไป จึงจะเรียกว่า สังเวช ความสลดใจและหงอยหรือหดหเู่ สีย ไมเ่ รียกวา่ เป็นความสงั เวช

คมู่ ือแสวงบญุ ๒๙ ลุมพนิ ี : สงั เวชนียสถำน..กำรประสูติ ลุมพินีหรืออุทยานลุมพินี เดี๋ยวนีเ้ รียกว่า รุมมินเด เม่ือครัง้ พทุ ธกาลยงั เป็นเขตแดนดนิ อินเดีย เด๋ียวนีถ้ กู ตดั ออกไปอยปู่ ระเทศเนปาล หรือชมพทู วีปด้านตะวนั ออกเฉียงเหนือ หา่ งจากดนิ แดนชมพูทวีปไปทาง ทิศเดยี วกนั ประมาณ ๑๒-๑๔ ไมล์ คมั ภีร์พระพทุ ธศาสนาพรรณนาว่าอุทยานลุมพินีตงั้ อยู่ก่ึงกลาง ระหวา่ งกรุงกบลิ พสั ดอ์ุ นั เป็นเมืองของพระเจ้าสทุ โธทนะ พระราชบดิ าของ พระพทุ ธเจ้า กบั กรุงเทวทหะเมืองของพระเจ้าชนาธิป ซ่งึ เป็ นเผ่าศากยะ พระชนกของพระนางมหามายาเทวี พระราชมารดาของพระพุทธเจ้า ใน อดีตกาลอุทยานลุมพินีมีหมู่ไม้ นานาพรรณ มีโขดเขา สระนา้ และ บรรณศาลา เป็ นท่ีพกั อาศยั เป็ นท่ีสวยงามมาก ในฤดใู บไม้ผลิ ชาวเมือง กบลิ พสั ดแ์ุ ละเทวทหะใช้พกั ผอ่ นหยอ่ นใจในเวลาวา่ งงาน

คูม่ อื แสวงบญุ ๓๐ เรื่องราวของเจ้าชายสิทธัตถะ คมั ภีร์พรรณนาถึงมหาบารมีท่ีทรง บาเพ็ญไว้ในชาติปางก่อนว่า ครัง้ สดุ ท้ายพระโพธิสตั ว์ อบุ ตั ิเป็ นเทพบุตร ประจาอย่ใู นสวรรค์ชนั้ ดสุ ิต ก่อนเสด็จอบุ ตั ิมาท่ีมนษุ ย์โลก ทรงพิจารณา ถึงความควรและไม่ควรว่า จกั เสด็จไปประสูติกาล ณ สถานท่ีใด ตระกูล ใด การพจิ ารณาอยา่ งนีเ้รียกวา่ ปัญจมหาวิโลกนะ คือ การพิจารณาถึงส่ิง ท่ีสาคญั ๕ ประการ ได้แก่ กาล คอื เวลาอนั ควรอบุ ตั ิ ทวีป คือ ชมพทู วีป (มนษุ ย์โลก) ประเทศ คือ บริเวณเอเชียใต้ ตระกูล คอื ที่ได้รับการยกยอ่ งสงู สดุ ขณะนนั้ พระชนนี คือ พระนางสริ ิมหามายา ทรงพิจารณาเห็นว่าชมพูทวีปในตระกูลศากยะ ผู้ครองนคร กบลิ พสั ด์เุ ป็ นสถานท่ีจกั เสด็จมาอบุ ตั ิได้ และผ้ทู ่ีจะรองรับการกาเนิด คือ พระนางมายาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้ าสุทโธทนะ ซึ่งพระนาง ประกอบด้วยธรรม มีศีลบริสทุ ธิ์ จงึ ตดั สินพระทยั เสด็จมายงั โลกมนษุ ย์ ลง สพู่ ระครรภ์ของพระนาง

คมู่ ือแสวงบญุ ๓๑ พระนางเม่ือรู้สกึ วา่ ตงั้ ครรภ์ ก็ทรงบาเพ็ญศีล ๕ และบาเพ็ญทาน ไม่ขาด จนครบถ้วนทศมาสใกล้ประสตู ิ พระนางขอพระบรมราชานญุ าต ตอ่ พระราชสวามี เพ่ือเสด็จไปประสตู ิ ณ กรุงเทวทหะ อนั เป็ นตระกลู เดิม ของพระนางตามธรรมเนียมประเพณีพราหมณ์ พระเจ้าสุทโธทนะทรง อนุญาตรับส่ังให้จัดขบวนนางสนมกานลั และข้าราชบริพารใกล้ชิดให้ ติดตามพระมเหสีไป เมื่อขบวนผ่านมาถึงอทุ ยานลมุ พินีอนั ตงั้ อย่รู ะหว่าง นครทงั้ สอง พระนางรู้สกึ ปวดพระครรภ์ จึงรับสง่ั ให้หยดุ ขบวนประทบั พกั บรรดานางสนมกานลั ก็รีบจดั ที่ประสตู ถิ วาย เวลานนั้ แดดอ่อน ดวงตะวนั ยงั ไม่ขนึ ้ ตรงศีรษะ เป็ นวนั ศกุ ร์ เพ็ญ เดือน ๖ ชมพทู วีปเร่ิมมีฝน หม่ไู ม้กาลงั ผลิดอกออกใบ อากาศโปร่ง ดอก รัง ดอกอโศก ดอกจาปา และดอกไม้นานาพรรณกาลงั เบ่งบานส่งกลิ่น เป็ นท่ีจาเริญใจ สถานที่ประสูติซ่ึงนางกานลั จดั ถวายอย่ภู ายใต้ต้นสาละใหญ่ต้น หนึง่ พระนางประทบั ยืน พระหตั ถ์ขวาเหน่ียวรัง้ กิ่งไม้สาละ พระหตั ถ์ซ้าย ปล่อยตก ประสตู ิพระโอรสได้สะดวก นางกานลั รับพระโอรสออกไปชาระ ล้างที่สระนา้ พระนางและพระโอรส ได้รับพยาบาลด้วยวิธีท่ีดีที่สดุ พวกข้า ราชบริพารหมหู่ นงึ่ พากนั กลบั ไปกราบทลู พระเจ้าสทุ โธทนะ

คมู่ ือแสวงบุญ ๓๒ เมื่อพระองค์ทราบ ทรงพระปรีดาปราโมทย์ รับส่ังให้จัดขบวน ยิง่ ใหญ่ออกไปรับกลบั พระนคร ตอ่ มาหลงั จากประสตู ไิ ด้ ๕ วนั พระราชกมุ ารได้รับการขนานพระ นามวา่ “สิทธัตถะ” ด้วยเหตเุ ป็ นท่ีรักใคร่ของคนทงั้ หลาย จะปรารถนาสิ่ง ใดก็เป็ นอันสาเร็จหมด และในวันที่ประสูติวันแรก เจ้าชายสิทธัตถะก็ สามารถเสด็จพระราชดาเนินไปข้างหน้าได้ ๗ ก้าว อนั เป็ นนิมิตหมายว่า พระองคจ์ ะสามารถเผยแผพ่ ระศาสนาไปถงึ ๗ แคว้น ในอนาคตกาล ลุมพินปี ัจจบุ ัน ลกั ษณะของอทุ ยานลมุ พินี เดี๋ยวนีท้ ี่เป็ นปริมณฑลจริง ๆ ราว ๕๐ ไร่ เป็นท่ีลาดลมุ่ มีสระนา้ กว้าง ๑ สระ ซ่งึ เป็ นสระนา้ ที่ใช้สาหรับชาระล้าง และทรงสนานของเจ้าชายสิทธตั ถะในวนั ประสตู ิวนั แรก ถดั จากสระนา้ มี เสาหินสงู ใหญ่ตงั้ อยใู่ นวงล้อมรัว้ เหล็ก คือ เสาหินของพระเจ้าอโศก (The Stone Pillar of Ashoka) พระเจ้าอโศกมหาราช ผ้คู รองกรุงปาฏลีบตุ ร เม่ือได้ประกาศเป็ นพุทธศาสนูปถัมภก ได้เสด็จบูชาแสวงบุญ ไปตาม สถานที่สาคัญของพระพุธศาสนาทงั้ หมด เม่ือขึน้ ครองราชย์ปี ที่๒๐ ได้

คมู่ อื แสวงบุญ ๓๓ เสดจ็ ถึงอทุ ยานลมุ พินี จงึ มีพระบญั ชาให้สลักหินตงั้ ขนึ ้ เพ่ือแสดงสถานที่ ประสตู ิของสมเดจ็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า เสาหินนนั้ คานวณว่า ลงรากอยู่ ในพืน้ ดินประมาณ ๑๐ ฟุต และสูงมาเหนือดินประมาณ ๑๓ ฟุต ๗ นิว้ บริเวณสว่ นยอดของเสาหินมีรอยแตก คาดวา่ ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ๑) อสนุ ีบาต ๒) การกระทาของพวกนอกศาสนา นกั โบราณคดีวิจัยว่า ตามธรรมดาเสาหินอโศก มกั มีส่วนสูงไม่ น้อยกว่า ๓๐ ฟตุ ที่ปลายเสามกั จะแกะสลกั เป็ นรูปสตั ว์ และมีสว่ นสงู ไม่ เกินขนาดนนั้ จงึ สนั นษิ ฐานวา่ ถกู ทาลาย คำจำรกึ บนหลกั ศลิ ำ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้รับสงั่ ให้นายช่างสลกั หินจารึกอกั ษรไว้ ทุกแห่งที่เสด็จไปที่อุทยานลุมพินีก็รับสั่งให้สกัดอักษรจารึกเป็ นภาษา มาคธีมีดงั นี ้ “เทวำน ปิ เยน ปิ ยทสินำ รำชินำ วีสติวสำภิสเตน อตน อำคำฉ มหียิเต หิทพเุ ย ชำเต สกยมนีติ สิลำวคฑภีจำกำลำปิ ต สิลำถเภ จ อสุ ปำปิ เต

คมู่ ือแสวงบญุ ๓๔ หิทภคว ชำเตติล มินิคำเม อตุ ลิเกกเฏ อถ ภำคิเยจำ” ความวา่ เทวานมั ปิยตสิ สะ (พระเจ้าอโศกมหาราช) ได้เสดจ็ มาทา สักการบูชา ณ สถานที่ประสูติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ณ สถานท่ีนี ้โปรดให้หมู่บ้านลุมพินีเป็ นสถานที่ได้รับส่วนลดอากรหลวง ๘ สว่ น เสาหินนี ้ เชอร์ อเลกซานเดอร์ คันน่ิงแฮม (Sir Alexander Sunningham) นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ได้ขุดค้นขึน้ เม่ือ พ.ศ.๒๔๓๙ ด้านหลงั เสาหิน เป็นรูปของพระมหาวิหารมายาเทวี ซงึ่ เป็นวหิ ารที่สร้างขนึ ้ ไว้แสดงให้รู้วา่ เป็นที่ประสตู ขิ ององค์สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ภายใน วิหารมีรูปสลกั หินแสดงการกาเนิดของมหาบรุ ุษ ขณะนีว้ ิหารกาลงั อย่ใู น ระหว่างการบูรณะ จึงได้ย้ายรูปสลักนนั้ ไปรักษา ณ วิหารชว่ั คราว ก่อน ทางออกจากอทุ ยานลมุ พินีวนั ด้านซ้ายมือ

คู่มอื แสวงบุญ ๓๕ พทุ ธคยำ : สังเวชนิยสถำน..กำรตรสั รู้ พทุ ธคยา อย่ใู นแคว้นมคธ มีเมืองหลวงช่ือ ราชคฤห์ เป็ นแคว้น มหาอานาจหนงึ่ ในสี่ของชมพทู วีป อนั มี แคว้นโกศล วงั สะ และอวนั ตี ซึง่ มี เมืองหลวงคือ สาวตั ถี โกสมั พี และอชุ เชนีตามลาดบั พทุ ธคยา ตงั้ อย่รู ิมฝั่งแม่นา้ เนรัญชรา เดิมเรียกว่า ตาบลอรุ ุเวลา เสนานิคม ปัจจบุ นั เรียกว่า “อเุ รล” พทุ ธคยา (Buddha-gaya) หรือโบธค ยา (Bodh gaya) อย่หู ่างจากตวั เมืองคยาไปทางทิศใต้ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร ห่างจากเมืองกลั กตั ตา ๔๕๘ กม. (โดยทางรถไฟ) และห่างจาก กรุงเดลีไปทางตะวนั ออกประมาณ ๙๘๕ กม. (โดยทางรถไฟ) พุทธคยา ถือเป็ นสถานท่ีศักดิ์สิทธิ์ท่ีสุดหน่ึงในสี่ของชาว พุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็ นสถานท่ีท่ีเจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้ อนตุ ตรสมั มาสมั โพธิญาณ เป็ นพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ณ สถานที่นี ้จึงได้

คู่มือแสวงบุญ ๓๖ กลายเป็ นศนู ย์รวมของการจาริกแสวงบญุ ของผู้มีศรัทธาทว่ั โลก ทุก ๆ ปี จะมีผ้แู สวงบญุ เดินทางมากนั อย่างมากมาย มีศนู ย์ปฏิบตั ธิ รรม วิปัสสนา กรรมฐานไมน่ ้อยกวา่ ๕ แหง่ พุทธสถำนที่สำคญั ๑. ตน้ พระศรีมหำโพธิ์ ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ ปัจจุบนั ตัง้ อยู่ด้านหลังของพระเจดีย์ ซึ่งมี แทน่ วชั รอาสน์ (รัตนบลั ลงั ก์) คน่ั อยรู่ ะหวา่ งกลาง ดงั มีตานาน ตอ่ ไปนี ้ ต้นท่ี ๑ เกิดร่วมกาลกับวันที่เจ้าขายสิทธัตถะประสูติ เรียกว่า “สหชาต”ิ อยมู่ าจนถงึ สมยั พระเจ้าอโศกมหาราย นบั อายไุ ด้ ๓๕๒ ปี ต้นท่ี ๒ เริ่มจากสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชมาจนถึงสมัยของ กษัตริย์ฮินดู แคว้นเบงกอลพระนามว่า สาสังกา ได้เข้ายึดและทาลาย ประมาณปี พ.ศ.๑๑๔๓-๑๑๖๓ นบั อายไุ ด้ประมาณ ๘๗๑-๘๙๑ ต้นท่ี ๓ พระเจ้าปรู ณวรมา ได้ตงั้ จิตอธิษฐานแล้วรดนา้ นมจาก แมว่ วั ๑,๐๐๐ ตวั แล้วกลนั่ ให้ข้นเหลือ ๘ ตวั ลงตรงหลมุ บริเวณต้นพระศรี มหาโพธ์ิ แล้วต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็งอกขึน้ มา เจริญเติบโตมีอายุได้

คู่มือแสวงบญุ ๓๗ ประมาณ ๑,๒๕๘-๑,๒๗๕ ปี ครัง้ สดุ ท้าย พ.ศ.๒๔๒๑ ท่านนายพลคนั นิ่ง แฮม ได้เห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ซงึ่ แก่มากแล้วได้ถกู ลมพดั ล้มลง ต้นท่ี ๔ (ต้นปัจจุบนั ) เซอร์ อเลกซานเดอร์ คนั นิ่งแฮม (Sir Alexander Cunningham) ได้ปลูกขึน้ แทนต้นท่ี ๓ เมื่อพ.ศ.๒๔๒๓ จนถึงปัจจุบนั (๒๕๔๗) รวมอายไุ ด้ ๑๒๔ ปี ๒. พระเจดยี ศ์ รีมหำโพธ์ิ พระเจดีย์ศรีมหาโพธ์ิ สร้างขึน้ ในพทุ ธศตวรรษที่ ๗ ในราว พ.ศ.๖๙๔ หลงั จากสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ประมาณ ๔๙๕ ปี ได้มีกษัตริย์ พระนามว่า หุวิชกะ มีพระราชดาริว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็ นต้นไม้ ธรรมดาสามารถตายได้ ทรงเห็นควรสร้างถาวรวตั ถขุ ึน้ ไว้เพื่อให้อนชุ นรุ่น หลงั ได้รู้จกั สถานที่ตรัสรู้ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า จงึ ได้จดั สร้างพระเจดีย์ ขนึ ้ ในสมยั ของพระองค์ พระเจดีย์มหาโพธ์ิ มีลกั ษณะเป็ นรูป ๔ เหลี่ยมทรงกรวยสงู ประมาณ ๑๗๐ ฟตุ ฐานขององคพ์ ระเจดยี ์วดั ได้ประมาณ ๘๕-๖๗ เมตร มีพระเจดีย์ เล็ก ๔ องค์แวดล้อม สร้างเป็ นแบบ ๒ ชนั้ ชนั้ ล่างห้องโถงมีพระพุทธรูป ปางมารวิชยั ประดิษฐานอยู่ สร้างในสมยั ปาละมีอายปุ ระมาณ ๑,๔๐๐ ปี

คู่มือแสวงบุญ ๓๘ สว่ นห้องโถงชนั้ บน ยาวประมาณ ๖ เมตรเศษ กว้างประมาณ ๕.๔๗ เมตร มีพระพุทธรูปแบบทรงเครื่องปางประทานพรประทบั ยืน สร้างในสมยั ปา ละเชน่ กนั ห้องโถงนีน้ ยิ มเรียกวา่ “หอ้ งภำวนำ” พระเจดีย์มหาโพธิ์ได้รับการบูรณะซ่อมแซมอยู่หลายครัง้ จนถึง ปัจจบุ นั เมื่อครัง้ ที่พระเดชพระคณุ พระสเุ มธาธิบดี ดารงสมณศกั ดิท์ ่ี พระ ธรรมมหาวีรานุวัตร ปฏิบัติหน้าท่ีเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ได้สร้ าง กาแพงแก้วประมาณ ๘๐ ช่อง พร้ อมซุ้มประตูศิลปะแบบอโศก ๒ ซุ้ม โดยรอบองค์พระเจดีย์ ในนามของพุทธบริษัทชาวไทยและชาวพุทธ นานาชาติ ๓. พระแทน่ วัชรอำสน์ พระแทน่ วชั รอาสน์ หรือพระตาหนกั เพชร มีความหมายว่า “พระที่นง่ั แห่งมหาบุรุษผู้ใจเพชร” แกะสลักด้วยแผ่นหินทราย เป็ นรูปหวั เพชร ลกั ษณะเป็ นรูปสี่เหล่ียมด้านขนานกว้าง ๔.๑๐ นิว้ ยาว ๗.๖ นิว้ ความ หนา ๕ นิว้ คร่ึง ประดิษฐานไว้ใต้โคนต้นพระศรีมหาโพธ์ิ บนพืน้ ผิว ด้านหน้าแกะสลักเป็ นรูปหัวแหวนเพชร และมีเพชรซีกประดับอยู่โดย ด้านข้างทิศเหนือและทิศใต้แกะสลกั เป็ นรูปดอกบวั และรูปหา่ น หรือพญา หงส์ ด้านต้นพระศรีมหาโพธิ์ แกะสลกั เป็นรูปดอกมณฑารพ

คูม่ อื แสวงบญุ ๓๙ ๔. สถำนที่เสวยวิมตุ ตสิ ขุ ๗ สัปดำห์ หลงั จากได้ตรัสรู้เป็ นพระสมั มาสมั พุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ทรง ประทบั เสวยวิมตุ ตสิ ขุ อยู่ ๗ แหง่ ตลอด ๗ สปั ดาห์ ดงั นี ้ สัปดาห์ท่ี ๑ ประทบั นงั่ ท่ีพระแท่นวชั รอาสน์ พระองค์ได้ประทบั นงั่ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ พิจารณาปฏิจจสมปุ บาท โดยอนโุ ลมและปฏิโลม ตลอดสปั ดาห์ สัปดาห์ ท่ี ๒ ที่อนิมิสเจดีย์ พระองค์ทรงดาเนินไปทางทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงยืนพิจารณาโดย ทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบพระเนตรตลอด ๗ วนั ระลกึ ถงึ อดตี ที่ทรงชาระกิเลสหมดสนิ ้ เองได้ สัปดาห์ท่ี ๓ ท่ีรัตนจงกรมเจดีย์ พระองค์เสด็จเดนิ จงกรมอยทู่ าง ทศิ เหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ตลอด ๗ วนั (ปัจจบุ นั อยขู่ ้างพระเจดยี ์) สัปดาห์ท่ี ๔ ที่รัตนฆรเจดีย์ พระองค์ประทบั นงั่ บนบลั ลงั ก์เรือน แก้วที่เทวดาเนรมิตขึน้ ทางทิศเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ พิจารณา อภิธรรม อนั ลกึ ซงึ ้ ตลอดเวลา ๗ วนั

คมู่ ือแสวงบุญ ๔๐ สัปดาห์ท่ี ๕ ที่ต้นอชั ปาลนิโครธ พระองค์เสดจ็ ไปใกล้ต้นอชั ปาล นิโครธ (ต้นไทร) อยู่ทางทิศตะวันออกมีธิดามาร ๓ นาง คือ นางตณั หา นางอรดี และนางราคา มาแสดงอาการยว่ั ยวนพระพทุ ธองค์ ทางเอาชนะ ด้วยพระพทุ ธบารมี สัปดาห์ท่ี ๖ ที่สระมุจลินท์ พระองค์ประทบั นั่งใกล้สระมจุ ลินท์ ทางทิศตะวนั ออกเฉียงใต้ ริมฝ่ังแม่นา้ เนรัญชรา ห่างจากต้นพระศรีมหา โพธิ์ราว ๔ กิโลเมตร ประทบั นง่ั อย่ตู ลาดเวลา ๗ วนั เม่ือมีฝนอนั เจือด้วย ลมหนาวพัดผ่าน ฝ่ ายพญานาคราชได้มาแผ่พังพานถวายอารักขาพระ พทุ ธองค์ สัปดาห์ท่ี ๗ ที่ต้นราชายตนะ พระองค์ทรงประทบั เสวยวิมตุ ตสิ ขุ ใต้ต้นราชายตนะ (ไม้เกต)ุ เป็ นสปั ดาห์สดุ ท้าย มีพอ่ ค้า ๒ คน คือ ตปสุ สะ และภลั ลิกะ ได้มาพบและเกิดความเล่ือมใสและถวายข้าวสตั ตกุ ้อน สตั ตุ ผงแดพ่ ระพทุ ธองค์พร้อมแสดงตนเป็ นอบุ าสกถึงพระพุทธ และพระธรรม เป็นสรณะ คแู่ รกในพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธองค์จึงได้ประทานพระเกศา เป็ นที่ระลกึ

คู่มือแสวงบุญ ๔๑ ๕. แม่นำเนรัญชรำ แม่นา้ เนรัญชรา หรือที่ชาวบ้านแถวนนั้ เรียกว่า “ลิลาจนั ” ซึ่ง เป็ นคาเพีย้ นมาจากคาในสนั สกฤตคือ “ไนยรุ ัญจนะ” แปลว่าแมน่ ้าที่มีสี ใส บริสุทธิ์สะอาด แม่น้าสายนีไ้ หลมาจากเมืองฮาชารบดั ซ่ึงอย่ทู างใต้ ของเมืองคยา ไหลคดเคีย้ วมาบรรจบกับแม่น้าโมหนี ห่างจากท่ีตรัสรู้ ประมาณ ๒ ไมล์ครึ่ง ที่บรรจบของแม่น้าทงั้ สอง ปัจจบุ นั เรียกว่า “แม่นา้ ฟันกุ” แล้วไหลผ่านตัวเมืองคยา รวมความยาวของแม่นา้ เนรัญชรา ประมาณ ๑๕๐ ไมล์ ๖. บำ้ นนำงสุชำดำ ข้ามสะพานแม่นา้ เนรัญชรา ไปฝ่ังตรงข้ามของพระเจดีย์ จากฝ่ัง แม่น้าไปประมาณ ๒๐๐ เมตร จะมองเห็นเนินดินสงู กว้างใหญ่ ซึ่งมีอิฐท่ี ปรักหักพงั ทับถมพืน้ ดินอยู่ ตามหลักฐานยืนยันว่า ณ บริเวณนีค้ ือบ้าน ของนางสชุ าดา ธิดากฏุ ุมพีแห่งอรุ ุเวลาเสนานิคม ผู้ถวายข้าวมธุปายาส แดพ่ ระมหาบรุ ุษ ในตอนเช้าของวนั ตรัสรู้ ถ้าเดนิ ย้อนกลับทางแม่น้าจะพบ ต้นโพธ์ิ และเทวาลยั ของฮินดู ตรงนีเ้ องคือท่ีพระมหาบุรุษทรงอธิษฐาน ลอยถาดทองคา

ค่มู อื แสวงบุญ ๔๒ ๗. ภูเขำดงคสริ ิ ภเู ขาดงคสิริ คือสถานที่พระพุทธมหาบรุ ุษทรงบาเพ็ญทุกรกิริยา ทรมานพระวรกายอยู่นานถึง ๖ ปี โดยมีปัญจวัคคีย์ คือ โกณฑัญญะ วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานามะ และอสั สชิ คอยดูแลรับใช้ ปัจจบุ นั มีวดั ธิเบต ตงั้ อย่ตู รงปากถา้ พอดี เขาดงคสิริ ตงั้ อยทู่ างทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือของ พระเจดีย์ อยหู่ า่ งกนั ประมาณ ๗ กิโลเมตร ๘. วัดนำนำชำติ ในมณฑลพทุ ธคยำ ก. ฝ่ ายเถรวาท - วดั ไทยพทุ ธคยา, วดั ศรีลงั กา, วดั สงฆ์อินเดีย, วดั พมา่ , วดั โพธ์ิดา (ชาวพทุ ธรัฐอสั สมั ), วดั สงฆ์บงั คลาเทศ ข. ฝ่ ายมหายาน - วดั จีน, วดั ญ่ีป่ นุ (มี ๒ วดั ), วดั สิกขิม, วดั ธิ เบต (มี ๓ วดั ), วดั ภฐู าน, วดั เกาหลี, วดั เวียดนาม

คมู่ ือแสวงบญุ ๔๓ กรงุ รำชคฤห์ : ปอ้ มปรำกำรกำรเผยแผพ่ ทุ ธศำสนำ กรุงราชคฤห์ คือ มหานครของแคว้นมคธตงั้ อยทู่ างทิศบรุ พาแห่ง ชมพทู วีป เป็นแหลง่ รุ่งเรืองด้วยอานาจ และการค้าขาย ตลอดพระชนม์ชีพ ของพระพุทธเจ้า ได้เสด็จแวะเวียนมาประทับ ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร หลายพรรษา มีเร่ืองราวปรากฏอย่ใู นประวตั ิศาสตร์ของพระพุทธศาสนา อยมู่ าก กรุงราชคฤห์ ล้อมรอบด้วยกาแพงธรรมชาตคิ ือ “เบญจคีรี” หรือ ภเู ขา ๕ ลกู อนั ประกอบด้วย เวภาระ, เวปลุ ละ, คชิ ฌกฏู , อสิ ิคลิ ิ และ ปัณฑวะ ในสมยั พทุ ธกาลนนั้ มีพระราชาผ้ปู กครองนครนี ้คอื พระเจ้าพิม พสิ าร และชว่ งท้ายพระพทุ ธกาล คือ พระเจ้าอชาตศิ ตั รู ผ้เู ป็นโอรสของ พระเจ้าพิมพสิ าร

คมู่ ือแสวงบญุ ๔๔ สถำนที่สำคญั ทำงประวัติศำสตร์ ๑. วัดเวฬวุ นั มหำวิหำร วดั เวฬวุ นั มหาวิหาร คือวดั แรกในพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ พระเจ้าพิม พิสาร เม่ือได้สดบั พระธรรมเทศนาแล้ว ทรงเล่ือมใสพร้ อมแสดงตน เป็ นพทุ ธมามกะ จากนนั้ ได้อาราธนา พระผ้มู ีพระภาคเจ้าพร้อมด้วย ภิกษุทงั้ หลายเข้าไปยังพระราชนิเวศน์ แล้วทรงถวายสวนเวฬุวนั ให้ เป็นพระอารามหลวงแหง่ แรกในพระพทุ ธศาสนา พระพุทธองค์ทรงประทับจาพรรษาอย่ถู ึง ๖ พรรษา และที่นีเ้ อง พระพทุ ธองคไ์ ด้อคั รสาวก ทงั้ ๒ คอื พระมหาโมคคลั ลานะ กบั พระสา รีบตุ ร ที่เป็นกาลงั สาคญั ยิง่ ใหญ่ในการเผยแผพ่ ระศาสนา และสถานท่ี แหง่ นีเ้ป็นท่ีพระอรหนั ต์ ๑,๒๕๐ องค์ มาประชมุ กนั โดยมีได้นดั หมาย ในวนั มาฆบชู า เรียกวา่ “วนั จาตรุ งคสนั นิบาต” ซง่ึ พระสมั มาสมั พทุ ธ เจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่ภิกษุทงั้ หลายด้วย

ค่มู ือแสวงบุญ ๔๕ ๒. ตโปทำรำม อยตู่ ดิ กบั สวนเวฬวุ นั “ตโปทา” คือ บอ่ น้าร้อนอยเู่ ชิงเขาเวภาระ เป็ นที่บัญญัติให้พระภิกษุสรงนา้ ได้ ๑๕ วันต่อครัง้ ปัจจุบันเป็ นที่ บาเพ็ญบุญของชาวฮินดู ข้างในจะมีชนั้ ช่องอาบนา้ ตามฐานะแห่ง วรรณะของตน ทกุ วนั จะมีชาวอินเดียมาอาบนา้ อยา่ งมากมาย เพราะ เขาเชื่อกนั วา่ สามารถรักษาโรคภยั ให้ทเุ ลาและหายได้ ๓. ถำปปิ ผลิและถำสัตบรรณคูหำ สงู ขึน้ ไปเหนือบอ่ นา้ ร้อน จะมองเห็นถา้ แห่งหน่ึง ซึ่งเรียกว่า “ถ้า ปิ ปผลคิ ูหา” ที่พระมหากสั สปะเถระเคยพานกั อยุ่ ท่านเป็ นพระสาวก ท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงยกยอ่ งวา่ เลศิ กวา่ ภิกษุทงั้ หลายด้วยคณุ แห่งการถือ ธุดงค์ ๑๓ ข้อตลอดชีวิตและเลยขึน้ ไปตามทางสู่ยอดเขาเยือ้ งทาง หน้าผา จะมีอีกถา้ เรียกว่า สัตตบรรณคูหา ท่ีซ่ึงเป็ นสถานท่ีทา สังคายนาครัง้ แรกในพระพุทธศาสนาประมาณ ๓ เดือน หลังพุทธ ปรินพิ พาน ซง่ึ ถา้ นีต้ งั้ อยเู่ ชิงเขาเวภาระ

คู่มือแสวงบญุ ๔๖ ๔. เรือนคุมขงั พระเจ้ำพมิ พิสำร เป็นท่ีพระเจ้าอชาติศตั รู ผ้เู ป็ นพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร เอง ได้จบั พระราชบิดา มาคมุ ขงั ไว้ตรงนีเ้ พื่อตนเองจะได้ครองราชย์ สมบตั ิแทน จนสุดท้ายพระเจ้าพิมพิสารถึงแก่สวรรคตเพราะแรงแห่ง กรรมที่ตวั เองได้เคยทาไว้ในอดีตนนั้ เอง ปัจจบุ นั เหลือซากกาแพงหิน หนาประมาณ ๖ ฟุต ล้อมรอบบริเวณ ณ จุดนีจ้ ะสามารถมองเห็น เขาคิชฌกฏู ได้ ซึ่งพระเจ้าพิมพิสารเคยประทบั ยืนทอดพระเนตรชาย จีวรของพระพทุ ธองคพ์ ร้อมเสดจ็ เดนิ จงกรมจนสิน้ พระชนม์ ๕. วัดชวี กมั พวนั คือสถานที่หมอชีวกโกมารภัจจ์ นายแพทย์ผู้มีชื่อเสียง จบ การศึกษาจากตกั ศิลา เป็ นแพทย์หลวงประจาพระองค์พระเจ้าพิม พิสารและได้รับความไว้วางใจจากแพทย์สภา ให้เป็ นแพทย์ประจา องค์สมั มาสมั พุทธเจ้าด้วย มีศรัทธาถวายป่ ามะม่วงให้เป็ นท่ีอาราม หลวง หรือเรียกว่า ชีวการาม ถือว่าเป็ นโรงพยาบาลแห่งแรกใน พระพทุ ธศาสนาด้วย เพราะเคยเป็นท่ีปฐมพยาบาลพระพทุ ธองค์

ค่มู อื แสวงบุญ ๔๗ เมื่อครัง้ ถกู สะเก็ดหินที่พระเทวทตั ต์ลอบทาโหลิตปุ บาทที่บริเวณทาง ขึน้ เขาคิชฌกูฏ ปัจจุบัน จะเห็นวัตถุก่อสร้ างเป็ นโครงสร้ างซากหินมีรัว้ ล้อมรอบอยรู่ ิมทางเชงิ เขาคชิ ฌกฏู ๖. ถำสกุ รขำตำ ก่อนจะถึงยอดเขาคิชฌกูฏ จะพบถ้ามีหินชะโงกเป็ นง่อนผา สามารถหลบแดด หลบฝนได้ ลักษณะเหมือนคางหมู ในสมัย พทุ ธกาล เรียกว่า “สุกรขาตา” ที่พระพุทธองค์ทรงใช้เป็ นที่แสดง ธรรมโปรด ฑีฆนขปริพาชก หลานของทา่ นพระสารีบตุ ร ในขณะท่ีพระ สารีบตุ ร กาลงั ถวายงานพดั อยดู่ ้วยนนั้ ทา่ นได้ฟังธรรมและสาเร็จเป็ น พระอรหันต์ในขณะนนั้ เอง หลังจากอุปสมบทแล้ว ๑๕ วนั ระหว่าง ทางก่อนจะถงึ ถ้าสกุ รขาตา จะผา่ นสถานที่ที่พกั ของไพร่พลทหาร และ สถานท่ีที่พระเจ้าพิมพิสารลงจากช้าง สถานท่ีท่ีเปลือ้ งเคร่ืองทรงของ กษัตริย์ออก กอ่ นจะเข้าเฝ้ าพระพทุ ธเจ้าทกุ ครัง้

คมู่ ือแสวงบุญ ๔๘ ๗. มลู คันธกุฏี มูลคนั ธกุฏี อยู่บนยอดเขาคิชฌกฏู จากถา้ สุกรขาตาจะมีบนั ได เดนิ ขนึ ้ ไปแล้วจะพบกฏุ ีของพระอานนท์พทุ ธอปุ ัฏฐาก อยทู่ างขวามือ ถัดไป คือ มูลคนั ธกุฏี มูลคนั ธกุฏี ตงั้ อยู่บนชะง่อนผาท่ีสูงชนั มี ความกว้างประมาณ ๗ คณู ๑๒ ฟุต ปัจจุบนั จะเหลือเป็ นซากกาแพงอิฐ เท่านนั้ นน่ั แหละคือมลู คนั ธกุฏีท่ีองค์พระสมั มาสมั พุทธเจ้าได้ประทบั อยู่ และได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนา จนมนั่ คงในแคว้นมคธ โดยมีกรุงรา ชคฤห์เป็นศนู ย์กลาง ๘. วิศวะศำนตสิ ถูป เป็ นสถูปที่สร้างโดยพทุ ธศาสนิกชนชาวญี่ป่ นุ ตงั้ อย่บู นยอดเขา รัตนคีรี องค์สถูปสีขาว มีพระพุทธรูปแบบญ่ีป่ ุนประดิษฐานอยู่ และมี สานักสงฆ์ของญ่ีป่ ุนตงั้ อยู่ด้วย ทุกวันนีม้ ีกระเช้าไฟฟ้ าขึน้ ลงได้อย่าง สะดวก

ค่มู อื แสวงบุญ ๔๙ ๙. ลฎั ฐิวโนทยำน คือสวนตาลหนุ่ม ซ่ึงเป็ นสถานท่ีพระบรมศาสดาได้พบกับพระ เจ้าพิมพิสารและได้แสดงธรรมโปรดจนพระเจ้าพิมพิสาร ได้สาเร็จพระ โสดาบนั พร้อมทงั้ ด้วยบริวารเป็ นจานวนมาก ปัจจบุ นั จะเป็ นต้นตาลอยู่ ประปราย หา่ งจากตวั เมืองประมาณ ๖ กิโลเมตร ท่ีมาภาพ : http://dhammaweekly.com

คูม่ ือแสวงบุญ ๕๐ นำลนั ทำ : มหำวิทยำลัยพระพทุ ธศำสนำแห่งแรกของโลก นาลันทา เป็ นเขตคามบ้านเกิดของพระอัครสาวกเบือ้ งซ้าย – ขวา ของพระพทุ ธองค์อนั ได้แก่ พระสารีบตุ ร ผ้เู รืองด้วยปัญญา และพระ มหาโมคคลั ลานะ ผู้เลิศด้วยฤทธิ์ และเป็ นอนุสรณ์สถานท่ี ปาวาระกิ เศรษฐี ถวายสวนมะม่วงเป็ นพระอารามหลวงท่ีพานกั ของพระพทุ ธองค์ ครัง้ เสดจ็ มาแสดงธรรม และเสดจ็ ผา่ นเพ่ือไปเมืองเวสาลี นาลนั ทา เป็นที่ตงั้ ของมหาวทิ ยาลยั สงฆ์แหง่ แรกของโลก ปัจจบุ นั คงเหลือแตซ่ ากปรักหกั พงั ของความยิ่งใหญ่เกรียงไกรในอดีต ซึ่งพระเจ้า อโศกมหาราช ได้สร้ างไว้เพ่ือเป็ นมหาวิทยาลัยศึกษาธรรมและเป็ น อนุสรณ์สาหรับอัครสาวก คือพระสารีบุตร ซึ่งเกิด ณ สถานท่ีนีห้ รือ เรียกวา่ หมบู่ ้านสารีจกั ร ในปัจจบุ นั มหาวิทยาลัยนาลันทาปัจจุบนั นี ้ รัฐบาลทาการขุดค้นในเนือ้ ท่ี ๒๓๑ ไร่ หรือ๙๓ เอเคอร์ ครัง้ อดีตมหาวิทยาลัยแห่งนี ้ ประกอบด้วย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook