Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ รอบรู้อักขรวิธี การออกเสียงภาษาบาลี โดย สมเด็จพระพุทธชินวงศ์

✍️ รอบรู้อักขรวิธี การออกเสียงภาษาบาลี โดย สมเด็จพระพุทธชินวงศ์

Description: ✍️ รอบรู้อักขรวิธี การออกเสียงภาษาบาลี โดย สมเด็จพระพุทธชินวงศ์

Search

Read the Text Version

รอบรอู กั ขรวธิ ี และ การออกเสยี งภาษาบาลี (สมศกั ดิ์ อปุ สโม ป.ธ.๙, M.A., Ph.D.) และคณะ

รอบรอู กั ขรวธิ ี และ การออกเสยี งภาษาบาลี สมเดจ็ พระพทุ ธชนิ วงศ (สมศกั ดิ์ อปุ สโม ป.ธ.๙, M.A., Ph.D.) และคณะ ISBN : 978-974-660-037-8 คอมพวิ เตอร แบบปก รปู เลม เวทย บรรณกรกลุ พมิ พค รงั้ ท่ี ๑ : ๒๓ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๕๒ จำนวน ๓,๐๐๐ เลม พมิ พค รงั้ ที่ ๒ : ๑ มถิ นุ ายน ๒๕๖๓ จำนวน ๓,๐๐๐ เลม จดั พมิ พโ ดย มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตบาฬศี กึ ษาพทุ ธโฆส นครปฐม พิมพท่ี หจก. ประยรู สาสน ไทย การพมิ พ ๔๔/๑๓๒ ถ.กำนนั แมน แขวงบางขนุ เทยี น เขตจอมทอง กทม. ๑๐๑๕๐ โทร. ๐-๒๘๐๒-๐๓๗๙, ๐๘๑-๕๖๖๒๕๔๐

คำนำ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ไดทรงเทศนาโปรดเวไนยสัตวใหได บรรลมุ รรคผลนพิ พานตลอด ๔๕ พระวสั สาดว ยภาษามคธ๑ เพราะเหตทุ ี่ พระองคท รงตรสั รอู รยิ สจั ๔ ณ แควน มคธ และพระองคท รงเสดจ็ เทย่ี วจารกิ แสดงธรรมโปรดเวไนยสตั วใ นแควน ตา งๆ นน้ั สว นมากจะเสดจ็ จารกิ อยใู น สองแควน คอื โกศลและมคธ ในสมยั นน้ั พระเจา แผน ดนิ ผปู กครองแควน มคธ กม็ พี ระเดชานภุ าพยงิ่ ใหญ ทง้ั ชาวมคธตอ งมพี นื้ ฐานความรคู วามเขา ใจภาษา มคธเปน อยา งดดี ว ย จงึ สามารถเขา ใจภาษามคธทพี่ ระองคท รงแสดงธรรมอนั เปน ภาษาทเี่ ขา ใจและใชก นั อยู ฉะนนั้ ในคมั ภรี ส มั โมหวโิ นทนอี รรถกถา และ คมั ภรี ป ฏสิ มั ภทิ าวภิ งั ค จงึ ไดแ สดงขอ ความวา สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธป เตปฏ กํ พทุ ธฺ วจนํ ตนตฺ ึ อาโรเปนโฺ ต มาคธภาสายเอว อาโรเปต.ิ (อภ.ิ อฏ. ๒.๓๗๑) แมพ ระพทุ ธองค เมอื่ ทรงตรสั พระพทุ ธพจนค อื พระไตร ปฎ กกต็ าม ระเบยี บแหง พระบาลกี ต็ าม พระองคก ท็ รง แสดงดว ยภาษามคธเทา นน้ั . ๑ ความจริงแลวยังมีภาษาอีกอยางหน่ึงที่ใกลเคียงกับภาษามคธและใชในแควนมคธ แตม เี สยี งพดู และอกั ขระไมเ หมอื นกนั บา ง ในบางแหง เรยี กวา อรรธมาคธี กลา วคอื ภาษามคธเปนภาษาแบบแผนของพระพุทธเจาทั้งหลาย สวนมาคธีเปนภาษาของ ชาวบานท่ัวไปท่ีพูดกันในแควนมคธและแควนโกศล พบในคัมภีรกาพยและนาฏย ศาสตรม ศี กนุ ตลาเปน ตน โดยเปน คำพดู ของคนชนั้ ตำ่ เชน คนขบั รถมา คนเฝา ประตู

[2] เมอื่ เปน เชน น้ี ภาษามคธจงึ ไดร บั เกยี รตแิ ละไดร บั การยกยอ งวา เปน \"สมั พทุ ธโวหาร\" (ภาษาอนั เปน โวหารของพระพทุ ธเจา ) \"อรยิ โวหาร\" (ภาษา อนั เปน โวหารของพระอรยิ ะ) \"ยถาภจุ จพรหมโวหารภาษา\" (ภาษาบนั ทกึ สภาวธรรม) สภาวนริ ตุ ต,ิ ธรรมนริ ตุ ตภิ าษา (ภาษาทก่ี ลา วดว ยสภาวะเดมิ ไมเปล่ียนแปลง) ปกติภาษา (ภาษาท่ีมีสภาวะเดิมไมเปลี่ยนแปลง) ตันติ ภาษา (ภาษามแี บบแผน) มลู ภาษา (ภาษาดง้ั เดมิ ) นอกจากนย้ี งั มคี ำเรยี ก เปน เชงิ ยกยอ งอกี คำหนงึ่ คอื ปาฬภิ าสา (ภาษาบาล)ี ซงึ่ เปน คำทนี่ ยิ มใชก นั ใน ยคุ ตอ มา พระพทุ ธองคท รงเปน อตั ถทสั สมิ า (ผทู รงมวี สิ ยั ทศั นไ กล) จงึ ทรง เลอื กเอาภาษามคธหรอื ภาษาบาลเี ปน ภาษาประจำพระพทุ ธศาสนา เพอื่ ให สามารถเผยแผค ำสอนของพระองคไ ปไดใ นชนชนั้ ทกุ วรรณะ ภาษามคธไดช อ่ื วา เปน ปจ จยั ใหบ รรลปุ ฏสิ มั ภทิ าญาณดงั ทพี่ ระอรรถ กถาจารยไ ดก ลา วไวใ นอรรถกถาปฏสิ มั ภทิ ามรรควา ปพุ พฺ โยโค พาหสุ จจฺ ํ เทสภาสา จ อาคโม ปรปิ จุ ฉฺ า อธคิ โม ครสุ นนฺ สิ สฺ โย ตถา มติ ตฺ สมปฺ ตตฺ ิ เจวาติ ปฏสิ มภฺ ทิ ปจจฺ ยา. (ปฏ.ิ ส.ํ อฏ. ๑.๗ - ๘) การเจริญวิปสสนาในกาลกอน, ความเปนพหูสูตร, ความเชย่ี วชาญในภาษาทอ งถน่ิ (โดยเฉพาะภาษา มคธ), การศึกษาพระพุทธพจน, การไตถาม, การ บรรลุธรรม, การอาศยั ครู และการคบมิตร นี้เปน ปจ จยั ของปฏสิ มั ภทิ า.

[3] ภาษามคธไดช อื่ วา เปน ภาษารกั ษาพระพทุ ธศาสนา เพราะในการทำ สงั ฆกรรมมอี ปุ สมบทและสมมตสิ มี าเปน ตน สงั ฆกรรมนน้ั ๆ จะสำเรจ็ ไดด ว ยดี กด็ ว ยผสู วดกรรมวาจาสามารถออกเสยี งสถิ ลิ ธนติ วมิ ตุ นคิ คหติ ใหถ กู ตอ ง ชดั เจน และผทู สี่ วดไดถ กู ตอ งชดั เจนจะตอ งมคี วามรแู ตกฉานในพยญั ชนะพทุ ธิ ๑๐ ประการมสี ถิ ลิ และธนติ เปน ตน ซง่ึ แสดงถงึ วธิ อี อกเสยี งภาษามคธ เมอ่ื มี ความรแู ตกฉานในพยญั ชนะพทุ ธิ ๑๐ ประการแลว จงึ จะสวดกรรมวาจาได ถกู ตอ งชดั เจน และสงั ฆกรรมยอ มสำเรจ็ สมบรู ณต ามพทุ ธประสงค เพราะ กรรมวาจานั้นตองสวดดวยภาษามคธเทาน้ัน ถาสวดดวยภาษาอื่น เชน สนั สกฤต พมา ไทย เปน ตน กรรมมอี ปุ สมบทเปน ตน กจ็ ะไมส ำเรจ็ ตามทกี่ ลา วมานี้ จะเหน็ ไดว า ความเขา ใจในอกั ษร บทและพากย มี ความสำคญั ยง่ิ นกั อนง่ึ ความเขา ใจดงั กลา วเกดิ จากการเรยี นรไู วยากรณท ี่ แสดงถงึ ความถกู ตอ งหรอื ความผดิ พลาดทางหลกั ภาษา ดงั นนั้ การศกึ ษาไวยากรณ จงึ นบั วา เปน กระบวนการทม่ี คี วามสำคญั ยงิ่ ตอ การเขา ใจภาษามคธ นกั ปราชญใ นพระพทุ ธศาสนามกั สอนวา \"ผทู ไ่ี มร ู ไวยากรณก ค็ อื ผทู ไ่ี มร หู นงั สอื \" ในสมยั โบราณนกั ปราชญไ ดใ หค วามสำคญั ตอวิชาไวยากรณมาก แมแตองคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาก็ยังตรัสถึง ความสำคญั ของหลกั ไวยากรณไ วว า อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขู ทุคฺคหิตํ สุตฺตนฺตํ ปริยาปุณนฺติ ทุนฺนิกฺขิตฺเตหิ ปทพยฺ ชฺ เนห,ิ ทนุ นฺ กิ ขฺ ติ ตฺ สสฺ ภกิ ขฺ เว ปทพยฺ ชฺ นสสฺ อตโฺ ถป ทนุ นฺ โย โหต.ิ อยํ ภกิ ขฺ เว ปฐโม สทธฺ มมฺ สสฺ สมโฺ มสาย สวํ ตตฺ ต.ิ (อง.ฺ ทกุ .๓.๑๕๗) \"ภกิ ษทุ งั้ หลาย ภกิ ษใุ นพระพทุ ธศาสนา อาจศกึ ษาเลา เรยี นพระไตร ปฎ กผดิ พลาดได หากวา ถอ ยคำภาษามคี วามพริ ธุ บกพรอ ง. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย

[4] ถอ ยคำภาษาทพี่ ริ ธุ บกพรอ งยอ มนำมาซง่ึ การตคี วามผดิ ได. ภกิ ษทุ งั้ หลาย นค้ี อื สาเหตหุ นง่ึ ทอี่ าจทำใหพ ระสทั ธรรมเลอื นหายอนั ตรธานไปจากโลกน\"้ี ดว ยเหตดุ งั กลา ว ผหู วงั ความตง้ั มน่ั ยงั่ ยนื แหง พระสทั ธรรม จงึ จำเปน ตอ งเรยี นรภู าษามคธหรอื ภาษาบาลี เพราะเมอื่ เรยี นรไู วยากรณบ าลเี ปน อยา ง ดแี ลว ยอ มจะเขา ใจบทพยญั ชนะไดถ กู ตอ ง นำมาซง่ึ ความเขา ใจอรรถของบท พยญั ชนะเหลา นน้ั ไดถ กู ตอ งตามหลกั การใชภ าษา จดั ไดว า เปน ผธู ำรงรกั ษ พระสทั ธรรมของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา สมจรงิ ดงั พระพทุ ธวจนะวา เทวฺ เม ภกิ ขฺ เว ธมมฺ า สทธฺ มมฺ สสฺ สมโฺ มสาย อนตฺ รธานาย สวํ ตตฺ นตฺ .ิ กตเม เทวฺ . นกิ ขฺ ติ ตฺ จฺ ปทพยฺ ชฺ นํ อตโฺ ถ จ ทนุ นฺ โี ต. ทนุ นฺ กิ ขฺ ติ ตฺ สสฺ ภกิ ขฺ เว ปทพยชฺ นสสฺ อตโฺ ถป ทนุ นฺ โย โหต.ิ อเิ ม โข ภกิ ขฺ เว เทวฺ ธมมฺ า สทธฺ มมฺ สสฺ สมโฺ มสาย อนตฺ รธานาย สวํ ตตฺ นตฺ .ิ (องฺ.ทุก. ๒๐.๒๐.๕๘) ดกู รภกิ ษทุ ง้ั หลาย ธรรมสองอยา งนย้ี อ มเปน ไปเพอื่ ความฟน เฟอ น เลอื นหายแหง พระสทั ธรรม ธรรมสองอยา งคอื อะไร คอื บทและพยญั ชนะทตี่ งั้ ไวไ มด ี และอรรถทน่ี ำมาไมด ี แมเ นอ้ื ความแหง บทและพยญั ชนะทตี่ ง้ั ไวไ มด ี กย็ อ มถกู นำมาไมด ี ดกู รภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมสองอยา งน้ี ยอ มเปน ไปเพอ่ื ความ ฟน เฟอ นเลอื นหายแหง พระสทั ธรรม. เทวฺ เม ภกิ ขฺ เว ธมมฺ า สทธฺ มมฺ สสฺ ฐติ ยิ า อสมโฺ มสาย อนนตฺ รธานาย สวํ ตตฺ นตฺ .ิ กตเม เทวฺ . สนุ กิ ขฺ ติ ตฺ จฺ ปทพยฺ ชฺ นํ อตโฺ ถ จ สนุ โี ต. สนุ กิ ขฺ ติ ตฺ สสฺ ภกิ ขฺ เว ปทพยชฺ นสสฺ อตโฺ ถป สนุ โย โหต.ิ อเิ ม โข ภกิ ขฺ เว เทวฺ ธมมฺ า สทธฺ มมฺ สสฺ ฐติ ยิ า อสมโฺ มสาย อนนตฺ รธานาย สวํ ตตฺ นตฺ .ิ (อง.ฺ ทกุ . ๒๐.๒๐.๕๘) ดกู รภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมสองอยา งนยี้ อ มเปน ไปเพอ่ื ความดำรงมน่ั ไม ฟนเฟอนเลือนหายแหงพระสัทธรรม ธรรมสองอยางคืออะไร คือ บทและ

[5] พยญั ชนะทต่ี ง้ั ไวด แี ละอรรถทน่ี ำมาดี แมเ นอื้ ความแหง บทและพยญั ชนะทตี่ ง้ั ไวด กี ย็ อ มถกู นำมาดี ดกู รภกิ ษทุ ง้ั หลาย ธรรมสองอยา งนี้ ยอ มเปน ไปเพอื่ ความดำรงมนั่ ไมฟ น เฟอ นเลอื นหายแหง พระสทั ธรรม การทจ่ี ะศกึ ษาภาษาใดๆ กอ นอนื่ ผศู กึ ษาจำเปน ตอ งศกึ ษาเรอ่ื งเสยี ง ฐาน กรณ ปยตนะของอกั ษรทใ่ี ชใ นภาษานนั้ ๆ กอ น ดงั นนั้ หนงั สอื เลม นี้ จงึ เปน ตำราทเี่ รยี บเรยี งขนึ้ เพอื่ ใหช าวพทุ ธไดร เู รอ่ื งภาษามคธหรอื ภาษาบาลี อนั เปน พน้ื ฐานเบอ้ื งตน เชน อกั ษรบาลี จำนวนอกั ษรบาลี ฐาน (ตำแหนง เสยี ง) กรณ (เครอื่ งชว ยออกเสยี ง) ปยตนะ (วธิ อี อกเสยี งหรอื ความพยามในการ ออกเสยี ง) และวธิ กี ารออกเสยี งภาษาบาลี เปน ตน เมอ่ื ไดศ กึ ษาเรอ่ื งเหลา นี้ เปน ทเี่ ขา ใจดแี ลว กจ็ ะเปน เหตใุ หเ กดิ ศรทั ธาในการศกึ ษาภาษามคธในระดบั สงู จนถงึ ขน้ั สามารถแปลและวเิ คราะหว จิ ยั ไดต อ ไป ผลงานเรอ่ื ง \"รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาล\"ี นี้ สำเรจ็ ได ดว ยคณะทปี่ รกึ ษา ประกอบดว ย พระศรศี าสนวงค (มชี ยั วรี ปโฺ ญ ป.ธ.๙) พระศรศี าสนโมลี (วสิ ตู ิ ปญฺ าทโี ป ป.ธ.๙) พระศรสี ธุ รรมมนุ ี (บญุ เทยี ม ญาณนิ โฺ ท ป.ธ.๘) นายนมิ ติ ร โพธพิ ฒั น (ป.ธ.๙) ผศ.เวทย บรรณกรกลุ (ป.ธ.๙) จงึ ขออนโุ มทนาคณะทป่ี รกึ ษาดงั มรี ายนามดงั กลา วไว ณ ทน่ี ดี้ ว ย หวงั วา ตำราเลม นจ้ี ะเปน สว นหนงึ่ แหง ประกายปญ ญาทช่ี ว ยใหค ำสอน ของพระบรมศาสดาไดแ พรห ลายในวถิ ที างทถี่ กู ตอ งสบื ไป (พระพรหมโมล)ี

อกั ษรยอ ชอื่ คมั ภรี  เลขเก่ียวกับพระไตรปฎก เลขหนาเปนเลขเลม ตัวกลาง เปนเลข ขอ สว นตวั สดุ ทา ยเปน เลขหนา สว นคมั ภรี อ รรถกถา ฎกี า เปน ตน เลขตวั หนา เปน เลขเลม ตวั หลงั เปน เลขหนา วิ.มหา. วนิ ยปฏ ก มหาวคคฺ สํ.ส. สงยฺ ตุ ตฺ นกิ าย สคาถวคคฺ อง.ฺ ทกุ . องคฺ ตุ ตฺ รนกิ าย ทกุ นบิ าต อภ.ิ อฏ. อภธิ มมฺ ปฏ ก อฏฐ กถา ว.ิ อฏ. วนิ ยปฏ ก อฏฐ กถา ปฏิ.สํ.อฏ. ปฏสิ มภฺ ทิ ามคคฺ อฏฐ กถา นตี .ิ ปท. สททฺ นตี ิ ปทมาลา, นีติ.สุตฺต. สททฺ นตี ิ สตุ ตฺ มาลา นีติ.ธาตุ สททฺ นตี ิ ธาตมุ าลา รูป.ฏี. รปู สทิ ธฺ ฎิ กี า พาลา.ฏี. พาลาวตารฎีกา กา.ฏ.ี การกิ าฎกี า มหานิ.อฏ. มหานทิ เฺ ทส อฏฐ กถา ม.อฏ. จฬู นทิ เฺ ทส อฏฐ กถา วสิ ทุ ธฺ .ิ วสิ ทุ ธฺ มิ คคฺ

สารบัญ คำนำ หนา ดรรชนีคำยอ สารบัญ [๑ - ๕] [๖] ______________ [๗ - ๑๑] บทที่ ๑ ๑ อกั ขรวธิ ี ๓ ความรเู รอื่ งอกั ษรภาษาบาลี ๗ ๘ - พนื้ ฐานพระศาสนา ๙ - ความหมายของอกั ษร ๑๐ - อกั ษรภาษาบาลี ๔๑ เสยี ง ๑๐ - สระ ๘ เสยี ง ๑๐ - สวณั ณะ - สรปู ะ ๑๑ - รสั สสระ ๑๒ - ระยะการออกเสยี งรสั สสระ - ทฆี สระ - ระยะการออกเสยี งทฆี สระ

[8] ๑๒ ๑๕ - ทฆี ะออกเสยี งเปน รสั สะ ๑๖ - ครุ - ลหุ ๑๗ - พยญั ชนะ ๓๓ เสยี ง ๑๙ - พยญั ชนะวรรค - อวรรค ๒๐ - หลกั การจดั ลำดบั วรรค ๒๒ - วเิ คราะหค ำวา \"กวรรค\" ๒๓ - นคิ คหติ ๒๖ - ลกั ษณะนคิ คหติ ๒๖ - โฆสะ - อโฆสะ ๒๗ - นคิ คหติ เปน โฆสาโฆสวมิ ตุ ๒๗ - สถิ ลิ - ธนติ ๒๘ - เหตสุ ถิ ลิ และธนติ มเี สยี งตา งกนั - สถิ ลิ - ธนติ อกั ษรมคี ณุ ตอ การประพนั ธค าถา ๓๓ ๓๕ ______________ ๓๕ ๓๗ บทที่ ๒ ๓๗ ๓๘ ฐาน กรณ ปยตนะ - อปุ มาฐาน กรณ ปยตนะ - ระบบเสยี งสนั สกฤตกบั ภาษาบาลี ฐาน (สถานทเี่ กดิ - ตำแหนง เสยี ง) - ฐาน ๖ ประเภท - ฐานคอ (รปู ภาพ)

[9] ๓๙ ๓๙ - ฐานเพดาน (รปู ภาพ) ๔๐ - ฐานปมุ เหงอื ก (รปู ภาพ) ๔๐ - ฐานฟน (รปู ภาพ) ๔๑ - ฐานรมิ ฝป าก (รปู ภาพ) ๔๑ - ฐานนาสกิ (รปู ภาพ) ๔๓ - อกั ษรทเี่ กดิ ๒ ฐาน ๔๔ - ฐานพเิ ศษ (อรุ ฐาน = ฐานคอื อก) ๔๔ ๔๕ กรณ (เครอ่ื งกระทำเสยี ง) ๔๕ - กรณ ๔ ประเภท ๔๗ - ฐานกบั กรณต า งกนั ๔๘ - การเกดิ รว มกนั ระหวา งฐานกบั กรณ ๔๘ - ฐาน กรณต อ งอาศยั กนั ๕๑ ปยตนะ (วธิ กี ารออกเสยี ง) ๕๓ - ปยตนะ ๔ ประเภท ๕๕ ______________ ๕๖ บทที่ ๓ วธิ อี อกเสยี งภาษาบาลี ตารางฐาน กรณ ปยตนะ อกั ษร - วธิ อี อกเสยี งกณั ฐชอกั ษร (อ อา[เอ โอ]ก ข ค ฆ ง ห) - วธิ อี อกเสยี งตาลชุ อกั ษร (อิ อี จ ฉ ช ฌ ญ ย)

[10] ๕๗ ๕๘ - วธิ อี อกเสยี งมทุ ธชอกั ษร (ฏ ฐ ฑ ฒ ฌ ร ฬ) ๕๙ - วธิ อี อกเสยี งทนั ตชอกั ษร (ต ถ ท ธ น ล ส) ๖๐ - วธิ อี อกเสยี งโอฏฐชอกั ษร (อุ อู ป ผ พ ภ ม) ๖๑ - วธิ อี อกเสยี ง เอ อกั ษร ๖๑ - วธิ อี อกเสยี ง โอ อกั ษร ๖๒ - วธิ อี อกเสยี ง ว อกั ษร ๖๓ - วธิ อี อกเสยี งนคิ คหติ ๖๖ - วธิ อี อกเสยี งวคั คนั ตอกั ษร (ง ญ ณ น ม) - วธิ อี อกเสยี งกลำ้ ของ ห อกั ษร ๗๑ ๗๓ ______________ ๗๕ บทท่ี ๔ ๘๐ ๘๓ วธิ อี อกเสยี งสวดกรรมวาจา ๘๔ - กรรมเสยี เพราะกรรมวาจา ๔ สถาน - กรรมไมเ สยี เพราะกรรมวาจา ๖ สถาน ______________ บทพิเศษ วธิ ที ำผงอธิ ะเจ (พระมลู กจั จายนสตู ร) - กรรมวธิ กี ารทำผงอธิ ะเจ - คาถาเสกดนิ สอ

[11] ๘๕ ๘๖ - สตู รตง้ั ตวั ๘๗ - ๙๕ - คาถาเสกตวั ตงั้ ๙๖ - ขน้ั ตอนทำตวั รปู อธิ ะเจ... ๙๗ - การลบ (ขน้ั ตอนการลบ) ๙๙ - คาถาเสกนะโมพทุ ธายะ ๑๐๑ - ๑๐๗ - วธิ ลี บอกี นยั หนง่ึ - สรปุ สตู รทท่ี ำตวั รปู หรอื สาธยาย ______________

ปรยิ ตตฺ าภยิ ตุ ตฺ านํ วหิ ติ วฺ า สททฺ ลกขฺ ณํ ยสมฺ า น โหติ สมโฺ มโห อกขฺ เรสุ ปเทสุ จ อนง่ึ ผมู คี วามเพยี รเรยี นปรยิ ตั ิ รชู ดั ในกฏไวยากรณ ยอ มไมเ กดิ ความสบั สนในอกั ษรและบททง้ั หลาย ยสมฺ า จาโมหภาเวน อกขฺ เรสุ ปเทสุ จ ปาฬยิ ตถฺ ํ วชิ านนตฺ ิ วิ ฺ ู สคุ ตสาสเน เมอื่ ไมเ กดิ ความสบั สนในอกั ษรและบททง้ั หลาย ยอ ม เปน นกั ปราชญใ นคำสอนของพระสคุ ต เขา ใจอรรถ แหง พระบาลี (ไดอ ยา งลกึ ซง้ึ ) ปาฬยิ ตถฺ าวโพเธน โยนโิ ส สตถฺ สุ าสเน สปปฺ ญฺ า ปฏปิ ชชฺ นตฺ ิ ปฏปิ ตตฺ มิ ตนทฺ กิ า เมอื่ เขา ใจอรรถแหง พระบาลี (ไดอ ยา งลกึ ซง้ึ ) ถา ผนู นั้ มปี ญ ญา ไมเ กยี จครา น ยอ มจะประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ น คำสอนของพระสคุ ตไดอ ยา งถกู ตอ ง นตี .ิ ปท. คนถฺ ารมภฺ กถา

บทที่ ๑ อกั ขรวธิ ี (ความรเู รอ่ื งอกั ษรภาษาบาล)ี

2 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี พระสรุ เสยี งพระพทุ ธเจา วเิ สสโต ปน ภควโต สทโฺ ท กปปฺ สตสหสสฺ าธกิ านิ จตตฺ าริ อสงเฺ ขยฺ ยยฺ านิ ปรู ติ ทานสลี าทปิ ารมปี ุ เฺ ญน ปรโิ สธติ วตถฺ ตุ ตฺ า นาภโิ ต ปฏฐ าย สมฏุ ฐ หนโฺ ต มหา- พรฺ หมฺ โุ น สโร วยิ ปต ตฺ เสมหฺ าทหี ิ อปลพิ ทุ โฺ ธ วสิ ทุ โฺ ธ อฏฐ งคฺ สมนนฺ าคโต หตุ วฺ า สมฏุ ฐ าติ นตี .ิ สตุ .ฺ อธบิ ายคนั ถารมั ภะ วา โดยพเิ ศษ พระสรุ เสยี งของพระผมู พี ระภาค เรม่ิ แต พระนาภี ไมถ กู น้ำดแี ละเสมหะเปน ตน รบกวน ไพเราะ สมบรู ณด ว ยองค ๘[คอื สละสลวย, ไพเราะ, ชดั เจน, เสนาะโสต, ไมเ ครอื พรา , กลมกลอ ม, ลมุ ลกึ , กงั วาน] เหมอื นเสยี งทา วมหาพรหม เพราะพระสรุ เสยี งของ พระพทุ ธองคม ฐี านเสยี งอนั หมดจด ดว ยบญุ บารมี มีทาน และ ศีลเปนตน ท่ีไดทรงบำเพ็ญมาตลอด สอ่ี สงไขยแสนกปั ป

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 3 พนื้ ฐานพระศาสนา พน้ื ฐานพระศาสนามี ๓ คอื พนื้ ฐานพระปรยิ ตั ธิ รรมคอื ไวยากรณ, พน้ื ฐานไวยากรณค อื สนธ,ิ พนื้ ฐานสนธคิ อื อกั ษร ดงั นนั้ ผทู จี่ ะสามารถเขา ใจ คำสอนของพระชนิ เจา ไดอ ยา งลกึ ซง้ึ นนั้ จะตอ งอาศยั ความเชยี่ วชาญในอกั ษร คอื สระและพยญั ชนะเปน พน้ื ฐาน ดว ยเหตดุ งั กลา ว พระอาจารยก จั จายนะผเู ปน มหาสาวกในสมยั พทุ ธกาลซงึ่ ไดร บั เอตทคั คะเลศิ ในการขยายความยอ ใหพ สิ ดาร เมอ่ื จะรจนาคมั ภรี ก จั จายนไวยากรณ ไดใ หค วามสำคญั กบั อกั ษร โดยเรม่ิ ไวใ น สตู รแรกวา อตโฺ ถ อกขฺ รสญฺ าโต “เนอื้ ความยอ มหมายรไู ดด ว ยอกั ษร”๑ ๑ พระมหากัจจายนเถระวาเดิมทานเปนบุตรพราหมณ กัจจานโคตรหรือกัจจายน โคตรในกรุงอุชเชนี เมื่อโตขึ้นไดรับราชการในตำแหนงปุโรหิตของพระเจาจัณฑ ปชโชติแทนบิดาที่เสียชีวิต เมื่อพระเจาจัณฑปชโชติไดทรงทราบขาวเก่ียวกับการ เผยแผพ ระธรรมของพระพทุ ธเจา ในแถบเมอื งสาวตั ถแี ละอนื่ ๆ ทรงปรารถนาทจ่ี ะได ฟงธรรมบาง จึงมีรับส่ังใหกัจจายนะเดินทางไปนิมนตพระพุทธเจามาอุชเชนี กจั จายนะเมอื่ เดนิ ทางไปถงึ ไดฟ ง ธรรมกเ็ กดิ ความเลอ่ื มใสตดั สนิ ใจออกบวช ตอ มา ภายหลังทานไดกลับบานเมืองเดิม สามารถทำอวันตีกลายเปนศูนยกลางของ พระพทุ ธศาสนาทส่ี ำคญั แหง หนงึ่ ในประเทศอนิ เดยี และรจนาคมั ภรี ไ วยากรณ ชอื่ วา คมั ภรี ก จั จายนะ มจี ำนวนสตู รทง้ั หมด ๖๗๓ สตู รครอบคลมุ เนอื้ หาสาระในพระไตร- ปฏ กทงั้ หมด ภายหลงั โบราณาจารยน ยิ มนำสตู รในคมั ภรี ก จั จายนะมาทำผงอธิ ะเจ ซง่ึ กลา วกนั วา เปน มหาเมตตานยิ มยงิ่ นกั ดงั นนั้ ทา ยของหนงั สอื เลม น้ี จงึ ไดน ำกรรม วธิ กี ารทำผงอธิ ะเจมาแสดงไวด ว ย เพอื่ รกั ษาวฒั นธรรมประเพณสี บื ไป

4 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี โดยทวั่ ไปขอ ความในภาษาบาลมี กั มอี รรถ ๒ ประการ คอื นตี ตั ถะ (อรรถโดยตรง) และเนยยตั ถะ (อรรถโดยออ ม) นตี ตั ถะ เปน ขอ ความทก่ี ลา วไว โดยตรงตามศพั ท สว นเนยยตั ถะเปน ขอ ความทอ่ี นมุ านรไู ดโ ดยออ ม คำวา อตโฺ ถ อกขฺ รสญฺ าโต แสดงอรรถโดยตรงวา “เนอ้ื ความยอ มหมายรไู ดด ว ย อักษร” และยังแสดงอรรถโดยออมในลักษณะชักชวนใหขวนขวายศึกษา เลา เรยี นวา \"บคุ คลพงึ ยงั ความเชย่ี วชาญในอกั ษรนนั้ ใหถ งึ พรอ มเถดิ \" คำวา “เนอื้ ความยอ มหมายรไู ดด ว ยอกั ษร” นี้ แสดงประโยชนข อง อกั ษรวา ทำใหร คู วามหมายของศพั ทต า งๆ นนั่ กค็ อื บคุ คลจะเขา ใจความหมาย ตา งๆ ทพ่ี ระพทุ ธเจา สอื่ สารตั ถธรรมไดจ ะตอ งมคี วามเชย่ี วชาญไวยากรณ เสยี กอ นนนั่ เอง เพราะความเชย่ี วชาญในอกั ษรคอื สระและพยญั ชนะ พรอ มทง้ั บททผ่ี กู กนั เขา เปน ประโยค จะทำใหเ ขา ใจพระบาลอี รรถกถาไดอ ยา งชดั เจน เมอื่ เขา ใจอยา งนก้ี จ็ ะเปน เหตใุ หเ ขา ใจพระสทั ธรรมทง้ั ๓ คอื ปรยิ ตั ิ ปฏบิ ตั ิ ปฏเิ วธ และสง ผลใหบ รรลธุ รรมในทสี่ ดุ อนงึ่ ขอ ความนเ้ี ปน การกลา วแนะนำวา ผทู ต่ี อ งการศกึ ษาพระไตรปฎ ก ควรเรยี นรไู วยากรณก อ น เพราะไวยากรณเ ปน ระเบยี บทางภาษาทชี่ ว ยใหเ ขา ใจเนอื้ ความไดช ดั เจน หากไมเ รยี นรไู วยากรณก อ นแลว ไปศกึ ษาพระไตรปฎ ก ยอมจะสงสัยคำศัพทที่แสดงเนื้อความนั้นๆ เปรียบเหมือนชางตาบอด เทย่ี วไปในปา ดงั ขอ ความในโมคคลั ลานปญ จกิ า หนา ๑๖ วา โย นริ ตุ ตฺ ึ น สกิ เฺ ขยยฺ สกิ ขฺ นโฺ ต ปฏ กตตฺ ยํ ปเท ปเท วกิ งเฺ ขยยฺ วเน อนธฺ คโช ยถา.

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 5 บคุ คลศกึ ษาพระไตรปฎ กอยู แตไ มเ รยี นรไู วยากรณ เขาพงึ สงสยั ในทกุ ๆ บท เหมอื นชา งตาบอดเทย่ี วไป ในปา ฉะนน้ั . เย สนธฺ นิ ามาทปิ เภททกขฺ า หตุ วฺ า วสิ ฏิ เ ฐ ปฏ กตตฺ ยสมฺ ึ กพุ พฺ นตฺ ิ โยคํ ปรมานภุ าวา วนิ ทฺ นตฺ ิ กามํ ววิ ธิ ตถฺ สาร.ํ ๑ ชนเหลาใดฉลาดในประเภทแหงสนธิและนาม เปนตนแลวกระทำความเพียรในพระไตรปฎก อนั ประเสรฐิ ดว ยกำลงั ความรอู นั ดเี ลศิ ชนเหลา นนั้ ยอ มไดร บั อรรถอนั เปน แกน สารตา ง ๆ. เย ตปปฺ เภทมหฺ ิ อโกวทิ า เต โยคํ กโรนตฺ าป สทา มหนตฺ ํ สมมฺ ฬู หฺ ภาเวน ปเทสุ กามํ สารํ น วนิ ทฺ ํุ ปฏ กตตฺ ยสมฺ .ึ ๑ ชนเหลา ใดไมฉ ลาดในประเภทดงั กลา ว พวกเขา แมทำความเพียรอันย่ิงใหญ ก็ไมอาจไดรับ แกน สารในพระไตรปฎ กสมมโนรถ เพราะเปน ผู สงสยั ในบท. ๑ นตี ิ.สตุ ตฺ . คนถฺ ารมภฺ กถา

6 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี ถอ ยคำตา งๆ นน้ั ถา อกั ษรวปิ รติ เสยี แลว จะทำใหไ มส ามารถเขา ใจ ความหมายได หรอื ทำใหเ ขา ใจความหมายผดิ ไป เชน คำวา วภิ ตตฺ ิ (การ จำเนก) ถา ออกเสยี งผดิ หรอื เขยี นผดิ เปน วปิ ตตฺ ิ(การวบิ ตั )ิ กจ็ ะทำใหเ ขา ใจผดิ เปน อยา งอนื่ ได หรอื คำวา สงโฺ ฆ (พระสงฆ) ถา ออกเสยี งผดิ หรอื เขยี นผดิ เปน สงโฺ ค (ความผกู พนั , ความยดึ ตดิ ) กจ็ ะไมส ามารถสอ่ื ความไดต ามทป่ี ระสงค ดงั นนั้ ความเชยี่ วชาญในอกั ษรจงึ มอี ปุ การะมากในการทำความเขา ใจพระ พทุ ธพจน ขอ ความนคี้ ลอ ยตามพทุ ธวจนะวา เทวฺ เม ภกิ ขฺ เว ธมมฺ า สทธฺ มมฺ สสฺ สมโฺ มสาย อนตฺ รธานาย สวํ ตตฺ นตฺ .ิ กตเม เทวฺ . นกิ ขฺ ติ ตฺ จฺ ปทพยฺ ชฺ นํ อตโฺ ถ จ ทนุ นฺ โี ต. ทนุ นฺ กิ ขฺ ติ ตฺ สสฺ ภกิ ขฺ เว ปทพยชฺ นสสฺ อตโฺ ถป ทนุ นฺ โย โหต.ิ อเิ ม โข ภกิ ขฺ เว เทวฺ ธมมฺ า สทธฺ มมฺ สสฺ สมโฺ มสาย อนตฺ รธานาย สวํ ตตฺ นตฺ .ิ ๑ ดกู รภกิ ษทุ ง้ั หลาย ธรรมสองอยา งนยี้ อ มเปน ไปเพอื่ ความฟน เฟอ น เลอื นหายแหง พระสทั ธรรม ธรรมสองอยา งคอื อะไร คอื บทและพยญั ชนะทต่ี งั้ ไวไ มด ี และอรรถทนี่ ำมาไมด ี แมเ นอื้ ความแหง บทและพยญั ชนะทตี่ งั้ ไวไ มด ี กย็ อ มถกู นำมาไมด ี ดกู รภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมสองอยา งนี้ ยอ มเปน ไปเพอ่ื ความ ฟน เฟอ นเลอื นหายแหง พระสทั ธรรม. ๑ อง.ฺ ทุก. ๒๐.๒๐.๕๘

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 7 ความหมายของอกั ษร๑ อกั ษร หมายถงึ เสยี งทไี่ มเ สอ่ื มสน้ิ ไป กลา วคอื เปน บญั ญตั ทิ ไ่ี มเ สอ่ื มสน้ิ ไป เหมอื นสงั ขตธรรมคอื รปู นามทเี่ กดิ จากปจ จยั ปรงุ แตง อนั ไดแ ก กรรม จติ อตุ ุ และอาหาร จะเหน็ ไดว า คำบญั ญตั ทิ ก่ี ลา วถงึ ชอ่ื ของพระพทุ ธเจา และพระ สาวกยงั ปรากฏอยจู นถงึ ปจ จบุ นั แมใ นอดตี กาลตงั้ แตส มยั สเุ มธดาบส กม็ คี ำ บญั ญตั ทิ กี่ ลา วถงึ ดาบสทา นนนั้ อยู หากพระศาสนานอี้ นั ตรธานไป ชอ่ื ดงั กลา ว กจ็ ะสาบสญู ไปดว ย แตเ มอื่ มศี าสนาของพระพทุ ธเจา พระองคอ นื่ อบุ ตั ขิ น้ึ ชอื่ เหลา นน้ั กจ็ ะปรากฏขนึ้ มาอกี ดงั พระดำรสั วา รปู ํ ชรี ติ มจจฺ านํ นามโคตตฺ ํ น ชรี ต.ิ ๒ รปู ของมนษุ ยท ง้ั หลาย ยอ มเสอ่ื มสน้ิ ไป แตช อื่ และ โคตร[ของเขา]ยอ มไมเ สอ่ื มสน้ิ ไป. สรปุ วา คำวา อกั ษร หมายถงึ เสยี ง สว นตวั อกั ษรทม่ี รี ปู เปน ตา งๆ ตามภาษานนั้ ๆ เปน การกำหนดขน้ึ แทนเสยี งในภายหลงั ๑ ในคมั ภรี ป ทวจิ ารทปี นี หนา ๓ ไดแ สดงรูปวิเคราะหข องตำวา อกั ษร ไวดังนีว้ า ปฏ กตฺตยมปฺ  ปตวฺ า นกขฺ รนตฺ ตี ิ อกขฺ รา “วรรณะเหลา ใด แมจ ะถกู นำมาใชบ นั ทกึ พระไตรปฎ ก (จนจบ) กไ็ ม หมดส้นิ ไป เหตนุ ้ัน วรรณะเหลานน้ั ชือ่ วา อักขระ (อกั ษร)” ๒ ส.ํ ส. ๑๕.๗๖.๔๙

8 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี อกั ษรภาษาบาลี ๔๑ เสยี ง๑ อาจารยก จั จายนะ ไดต งั้ สตู รที่ ๒ ไวว า อกขฺ ราปาทโย เอกจตตฺ าลสี ํ \"เสยี ง ๔๑ เสยี งมี อ เปน ตน ชอื่ วา อกั ษร”. คำวา เอกจตตฺ าลสี ํ ในสตู รนี้ ได กลา วระบจุ ำนวนอกั ษรในภาษาบาลวี า มี ๔๑ เสยี งเทา นน้ั อกั ษรนอกจากนไ้ี มใ ช อกั ษรในภาษาบาลี หมายความวา สระและพยญั ชนะในภาษาสนั สกฤตทบี่ าลี ไมม ใี ช เชน ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ไอ เอา ศ ษ เปน ตน อกั ษรเหลา นี้ ไมใ ชพ ระดำรสั ของ พระพทุ ธเจา จำนวนเสยี ง ๔๑ เสยี งตามมตอิ าจารยก จั จายนะ มดี งั นี้ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ, ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ฌ ญ, ฏ ฐ ฑ ฒ ณ, ต ถ ท ธ น, ป ผ พ ภ ม, ย ร ล ว ส ห ฬ ํ ขอ สงั เกต:- การเรยี งลำดบั ของอกั ษรทก่ี ลา วไวท ง้ั ๔๑ เสยี งนี้ ทา น มไิ ดแ สดงไวต ามลำดบั ทเ่ี กดิ ขนึ้ ซงึ่ เรยี กวา อปุ ปต ตกิ มะ (ลำดบั แหง การเกดิ ขนึ้ ) ๑ กอนท่ีคัมภีรกัจจายนะจะอุบัติข้ึน มีไวยากรณที่แตงกอนคัมภีรกัจจายนะซ่ึงอางไวในคัมภีร สทั ทนตี แิ ละคมั ภรี อ น่ื ๆ กลา วคอื โพธสิ ตั ตไวยากรณ (ไวยากรณข องพระโพธสิ ตั ว) กลา วถงึ อกั ษร ๔๐ เสยี งโดยเวน ฬ วา นรวรวจโนปการานิ จตตฺ าลสี กขฺ รานิ (อกั ษรทเ่ี กอ้ื กลู แกพ ระดำรสั ของ พระชนิ เจา มี ๔๐ เสยี ง) และสพั พคณุ ากรไวยากรณ (ไวยากรณข องพระสพั พคณุ ากร) กลา วถงึ อกั ษร ๔๓ เสยี งวา สทิ ธฺ กกฺ มาทาทโย วณณฺ ากขฺ รา ตติ าลสี (เสยี ง อ เปน เสยี งแรก ๔๓ เสยี ง ชื่อวา อักษร ตามลำดบั แหง ความปรากฏ) อักษรดังกลาวเพิ่มสระสองเสียง คือ เอะ และ โอะ ซ่งึ ปรากฏใชใ นตวั อยา งทม่ี พี ยญั ชนสงั โยคอยทู า ย เอ และ โอ วา เอตถฺ , เสยโฺ ย, โอฏโ ฐ, โสตถฺ ิ ใน คมั ภรี โ มคคลั ลานไวยากรณท แี่ ตง หลงั ปทรปู สทิ ธปิ กรณไ ดก ลา วถงึ อกั ษร ๔๓ เสยี งตามมตนิ น้ั วา ออาทโย ตติ าลสี วณณฺ า (เสยี ง ๔๓ เสยี งทมี่ ี อ เปน เสยี งแรก ชอื่ วา วณั ณะ)

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 9 เหมอื นลำดบั วา กลละ (นำ้ กลละ, น้ำใสทเี่ กดิ ในคราวปฏสิ นธ)ิ และอพั พทุ ะ (ฟองน้ำ) เปน ตน แตเ ปน การเรยี งลำดบั อกั ษรทแี่ สดงไวต ามฐาน (ทเี่ กดิ เสยี ง) เปนตนโดยนักไวยากรณมาแตบุรพกาล เรียกวา เทสนากมะ (ลำดับแหง การแสดง) เหมอื นลำดบั ขนั ธ ทพี่ ระพทุ ธองคท รงแสดงวา รปู ขนั ธ เวทนาขนั ธ สญั ญาขนั ธ สงั ขารขนั ธ และวญิ ญาณขนั ธ ______________ สระ ๘ เสยี ง สระ หมายถงึ อกั ษรทถ่ี กู ออกเสยี งไดเ องโดยไมต อ งอาศยั พยญั ชนะ หรอื อกั ษรทที่ ำพยญั ชนะใหอ อกเสยี งได หรอื อกั ษรทรี่ งุ โรจนเ อง คอื เปน ท่ี อาศยั ของพยญั ชนะ มจี ำนวน ๘ เสยี ง คอื อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ สระ ๘ ตัวน้ี ชื่อวา นิสสัย คือเปนที่อาศัยของพยัญชนะนั่นเอง อธบิ ายวา บรรดาพยญั ชนะ ตอ งอาศยั สระจงึ จะออกเสยี งได เชน พยญั ชนะ \"จ\" การทอี่ อกเสยี งวา \"จ\" ไดน น้ั ตอ งมสี ระอาศยั หาไมก จ็ ะเปน \"จ”ฺ เฉยๆ แตร ปู สระวา \"ะ\" ดงั นี้ ไมม ใี ชใ นภาษามคธ เพราะอาศยั อยกู บั ตวั พยญั ชนะแลว แมศ พั ทท ปี่ ระกอบดว ยนคิ คหติ เชน \"กจิ จฺ \"ํ มองดเู ผนิ ๆ กค็ ลา ยกบั วา ไมม ี สระเปน ทอ่ี าศยั พยญั ชนะคอื \"จ\"ํ ยงั ออกเสยี งได แตอ นั ทจี่ รงิ นคิ คหติ ตอ ง ตามสระคอื อ อิ อุ เสมอ ในคำวา \"จ\"ํ กม็ สี ระ \"อะ\" แอบอยดู ว ย เปน แตถ กู ลดรปู ลงไป สระ “ะ” จงึ ไมป รากฏใหเ หน็

10 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี สวณั ณะ - สรปู ะ ในคมั ภรี ป ทรปู สทิ ธิ กลา ววา รสสฺ สสฺ รา สกฑเี ฆหิ อญฺ มญฺ ํ สวณณฺ า นาม, เย สรปู าตปิ  วจุ จฺ นตฺ ิ \"รสั สสระ ชอื่ วา สวณั ณะ ซงึ่ กนั และกนั กบั ทฆี ะสระ ของตน ซง่ึ เรยี กวา สรปู ะบา ง\" คำวา สวณณฺ แปลวา \"สระมฐี านเสมอกนั \" กลา วคอื อ กบั อา เกดิ ทกี่ ณั ฐฐาน, อิ กบั อี เกดิ ทตี่ าลฐุ าน, อุ กบั อู เกดิ ทโ่ี อฏฐฐาน จงึ มฐี านเสมอกนั และเรยี กอกี นยั หนง่ึ วา สรปู คอื มเี สยี งเสมอกนั หมายความวา เสยี ง อ - อา, เสยี ง อิ - อ,ี เสยี ง อุ - อู คลา ยคลงึ กนั สระทเ่ี ปน สวณั ณะน้ี จำแนกเปน คไู ด ๓ คคู อื อ อา เรยี กวา อวณั ณะ, อิ อี เรยี กวา อวิ ณั ณะ, อุ อู เรยี กวา อวุ ณั ณะ สว น เอ โอ ๒ ตวั นี้ ทา น มไิ ดจ ดั เปน วณั ณะ เพราะเปน สงั ยตุ ตสระ ประกอบเสยี งสระ ๒ ตวั ใหเ ปน เสยี งเดยี วกนั คอื อ กบั อิ ผสมกนั เปน เอ, อ กบั อุ ผสมกนั เปน โอ รัสสสระ อาจารยก จั จายนะไดต ง้ั สตู รที่ ๔ วา ลหมุ ตตฺ า ตโย รสสฺ า “ในบรรดา สระ ๘ เสยี ง สระ ๓ เสยี งอนั มรี ะยะการออกเสยี งสน้ั ชอื่ วา รสั สะ” คำวา รสสฺ า ในสตู รนี้ หมายถงึ รสั สสระ ๓ เสยี ง คอื อ, อ,ิ อุ ทม่ี ี ๑ มาตรา และรสั สสระทปี่ ระกอบกบั พยญั ชนะ เชน ก (กฺ + อ), กิ (กฺ + อ)ิ , กุ (กฺ + อ)ุ เปน ตน ทม่ี มี าตราครงึ่ ซงึ่ ปรากฏใชใ นฉนั ทลกั ษณ ระยะการออกเสยี งรสั สสระ คำวา ลหมุ ตตฺ า \"มรี ะยะสน้ั ” หมายถงึ เวลาดดี นวิ้ หรอื ปด ตา กลา วคอื ระยะออกเสยี งรสั สะทงั้ ๓ เสยี ง อ อิ อุ มรี ะยะสนั้ เทยี บเทา การดดี นว้ิ และการ

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 11 ปด ตานน่ั เอง บางคมั ภรี ย งั กลา วเปรยี บวา เหมอื นการเปด ตาหรอื การแลบของ สายฟา บางคมั ภรี ก ลา ววา มรี ะยะเทา กบั มอื ทว่ี างบนเขา ซงึ่ พลกิ ใหห งาย หรอื ควำ่ ดงั มขี อ ความกลา วไวใ นวา กาเลน ยาวตา ปาณิ ปยเฺ ยติ ชานมุ ณฑฺ เล ส มตตฺ า กวภี ิ เญยยฺ า ตยฺ ตุ ตฺ จฺ ามรเวทภิ .ิ ๑ ผรู คู มั ภรี อ มระกลา ววา มอื ทวี่ างไวบ นเขา ยอ มพลกิ ดวยกาลเพียงใด กาลนั้นกวีพึงทราบวาเปนหน่ึง มาตรา. ทฆี สระ อาจารยก จั จายนะไดต ง้ั สตู รท่ี ๕ วา อเฺ ญ ทฆี า “ในบรรดาสระ ๘ เสยี งนนั้ สระ ๕ เสยี งอนั มรี ะยะการออกเสยี งยาว ชอ่ื วา ทฆี ะ” คำวา ทฆี า ในสตู รน้ี หมายถงึ ทฆี สระ ๕ เสยี ง คอื อา อี อู เอ โอ ทมี่ ี ๒ มาตรา และทฆี สระทปี่ ระกอบกบั พยญั ชนะ เชน กา กี กู เก โก เปน ตน ที่ มี ๒ มาตราครง่ึ ซงึ่ ปรากฏใชใ นฉนั ทลกั ษณ อา อี อู เอ โอ ชอื่ วา ทฆี สระ เพราะเปน สระทต่ี อ งออกเสยี งดว ยระยะ เวลาอันยาว สมดังคำที่พระอรรถกถาจารยไดกลาวไวในวินัยอรรถกถาวา ทฆี นตฺ ิ ทเี ฆน กาเลน วตตฺ พโฺ พ อาการาท๒ิ “คำวา ทฆี ะ หมายถงึ อา อกั ษร เปน ตน ทอ่ี อกเสยี งดว ยระยะเวลาอนั ยาว” ๑ มุคฺธโพธฎีกา คำอธิบายสูตรที่ ๔ ๒ ว.ิ อฏ. ๓.๕๕๒

12 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี ระยะการออกเสยี งทฆี สระ ทีฆสระน้ีมี ๒ มาตราซึ่งเทียบไดกับการดีดนิ้วมือ ๒ ครั้ง หรือ สายฟา แลบ ๒ ครงั้ , ทปี่ ระกอบพยญั ชนะ เชน กา กี กู เก โก มี ๒ มาตราครง่ึ ดังท่ีคัมภีรปทรูปสิทธิ อธิบายสูตรท่ี ๕ กลาววา อฺญคฺคหณํ ติยฑฺฒ- มตตฺ กิ านมปฺ  สงคฺ หณตถฺ ํ \"อญฺ ศพั ท มปี ระโยชนเ พอื่ รวบรวมแมซ งึ่ อกั ษร ทม่ี สี องมาตราครงึ่ \" สำหรบั ทม่ี พี ยญั ชนะสงั โยคอยหู ลงั เชน นากฺ มี ๓ มาตรา หากเสยี งยาวกวา ๓ มาตราจดั วา เปน ปลตุ อกั ษร คอื เปน อกั ษรทม่ี เี สยี งยาว กวา ทฆี สระ ซง่ึ เปน เสยี งทยี่ าวทส่ี ดุ ในการเปลง เสยี ง นยิ มใชใ นเวลาทร่ี อ งเรยี ก จากทไ่ี กล, การขบั รอ ง หรอื การครำ่ ครวญรำพนั เปน ตน ทฆี ะออกเสยี งเปน รสั สะ สำหรบั สระ เอ และ โอ ๒ เสยี งนี้ มใิ ชอ อกเสยี งเปน ทฆี ะในทกุ ทคี่ อื ทม่ี ี พยญั ชนะสงั โยคซอ นกนั อยเู บอ้ื งหลงั ใหอ อกเสยี งเหมอื นรสั สะ ดงั ทคี่ มั ภรี ป ท รปู สทิ ธิ อธบิ ายสตู รที่ ๕ กลา ววา กวฺ จิ สโํ ยคปพุ พฺ า เอกาโรการา รสสฺ า อวิ วจุ จฺ นเฺ ต \"ในบางแหง เอ อกั ษรและ โอ อกั ษร ทอ่ี ยขู า งหนา พยญั ชนะสงั โยค ยอมออกเสียงเหมือนรัสสะ\" แมในคัมภีรสัททนีติ สุตตมาลา สูตรที่ ๒๒ กไ็ ดก ลา ววา กวฺ จิ สโฺ ญคปพุ พฺ า เอกาโรการา รสสฺ าว วตตฺ พพฺ า \"บางแหง เอ โอ อกั ษรทอ่ี ยขู า งหนา พยญั ชนะสงั โยค พงึ ออกเสยี งเหมอื นรสั สะ\" สงั โยค คอื พยญั ชนะสองหรอื สามตวั ทซ่ี อ นกนั อยโู ดยไมม สี ระคน่ั ใน ระหวา งพยญั ชนะ เชน ตถฺ , ยยฺ , ฏฐ , ตถฺ ิ ทา นกลา ววา เอ และ โอ ทอี่ ยู ขา งหนา พยญั ชนะสงั โยคดงั กลา ว ไม ต อ งออกเสยี งยาว ๒ มาตราเหมอื น

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 13 ทฆี สระทวั่ ไป แตใ หอ อกเสยี งเปน ๑ มาตราเหมอื นรสั สสระ เชน เอตถฺ ,เสยโฺ ย, โอฏโ ฐ, โสตถฺ ิ เปน ตน ในตวั อยา งวา เอตถฺ ออกเสยี งเปน เอต-ฺ ถ โดยเสยี ง เอตฺ คลา ยกบั เสยี งรสั สสระทมี่ ี ๑ มาตรา ไมอ อกเสยี งเปน ทฆี สระวา เอ-ถ สว นเสยี งวา เสยโฺ ย ออกเสยี งคลา ยรสั สสระวา เสย-ฺ โย ไมอ อกเสยี งเปน ทฆี สระวา เส-โย รปู วา โอฏโ ฐ, โสตถฺ ิ กม็ นี ยั เดยี วกนั ตามมตขิ องโมคคลั ลานไวยากรณ ถอื วา เสยี ง เอ และ โอ ทอี่ ยหู นา พยญั ชนะสงั โยค จดั เปน รสั สสระ คมั ภรี น น้ั จงึ กลา วถงึ รสั สสระ ๕ เสยี ง คอื อ อิ อุ เอะ และ โอะ ดงั นน้ั จงึ กลา วถงึ สระ ๑๐ เสยี งโดยเพมิ่ สระทง้ั สองขา งตน อยา งไรกต็ าม คมั ภรี พ าลาวตารฎกี า ใหม (หนา ๓๓) มคี วามเหน็ วา เอ และ โอ ทอ่ี ยหู นา พยญั ชนะสงั โยค อาจไมอ อกเสยี งเปน รสั สะเสมอไปในกรณที เี่ ขา สนธกิ บั บทหลงั เชน ปากโฏมหฺ ิ (ปากโฏ+อมหฺ )ิ ซง่ึ ออกเสยี งยาว เปน ปา- กะ-โฏม-หิ ไมเ หมอื นกบั คำวา โสตถฺ ิ ทอ่ี อกเสยี งสระ โอ สนั้ กวา ปกติ ปจ จบุ นั มบี างทา นออกเสยี ง เสยโฺ ย เปน ไส-โย โดยอา งขอ ความ ทก่ี ลา วถงึ การออกเสยี งเปน รสั สะของคมั ภรี ป ทรปู สทิ ธิ แตท ศั นะดงั กลา ว ไมถ กู ตอ งดว ยเหตผุ ลดงั ตอ ไปนี้ ๑. เสยี งวา เส เปน เสยี งยาว สว นเสยี งวา เสยฺ เปน เสยี งสนั้ กวา เส การออกเสยี ง เสยโฺ ย เปน เสย-ฺ โย กจ็ ดั วา เปน เสยี งสน้ั (รสั สะ) อยแู ลว ไมจ ำ เปน ตอ งออกเสยี งเปน ไส-โย เพราะภาษาบาลไี มม สี ระ ไอ เหมอื นสนั สกฤต ขอ นเ้ี หมอื นกบั เสยี ง เอตถฺ ทอี่ อกเสยี งวา เอตฺ - ถ ไมอ อกเสยี งเปน ไอ - ถ

14 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี ๒. สระ ไอ ในภาษาสันสกฤตนั้นจัดเปนทีฆสระเทาน้ัน การออก เสยี งเปน ไสโย จงึ ไมส อดคลอ งกบั สนั สกฤตทอี่ า นเปน เสยี งยาววา สาย - โย (เสยี งของภาษาไทยแยกสระ ไอ เปน เสยี งสน้ั สระ อาย เปน เสยี งยาว แตใ น ภาษาสนั สกฤต เสยี ง ไอ ออกเสยี งเปน อาย แมใ นภาษาองั กฤษกม็ สี ระ I ทอ่ี อกเสยี งเปน อาย เชน กนั ) ก็การออกเสียงดังท่ีกลาวมาขางตนน้ี ทานกลาววา ใชเฉพาะกับ เอกปทสังโยค คือ สังโยคที่อยูในบทเดียวกัน แตในบางแหงมีสังโยค คนละบทกันที่เรียกวา นานาปทสังโยค คือสังโยคท่ีเกิดจากบทตางกัน ในประโยค สงั โยคประเภทนไี้ มต อ งออกเสยี ง เอ โอ ใหเ หมอื นเสยี งรสั สสระ แตอ อกเสียงเปน ทฆี สระตามปกติ เชน มํ เจ ตวฺ ํ นกิ ขฺ ณํ วเน \"ถาทาน ฝง เราไวใ นปา \" ปตุ โฺ ตตยฺ าหํมหาราช \"ขา แตม หาราช หมอ มฉนั เปน บตุ รของ พระองค\" อธบิ ายวา ในคำวา เจ ตวฺ ํ แม ตวฺ ํ จะเปน พยญั ชนะสงั โยค แตบ ทวา เจ กบั ตวฺ ํ เปน คนละบทกนั จงึ ออกเสยี งตดิ กนั เปน เจตฺ - วํ ไมไ ด ตอ งออกเสยี งแยกกนั เปน สองบทวา เจ กบั ตวฺ ํ สว นในคำวา ปตุ โฺ ต ตยฺ าหํ สระ โอ ในคำวา ปตุ โฺ ต ทต่ี ามดว ยพยญั ชนะสงั โยค ตยฺ าหํ ซงึ่ เปน อกี บทหนง่ึ กอ็ อกเสยี งเปน เสยี งยาวเชน เดยี วกบั ตวั อยา งแรก ถาม. เอ โอ หากมพี ยญั ชนะสงั โยคอยหู ลงั กลายเปน รสั สะ เมอ่ื เปน เชน นี้ อา อี อู หากมพี ยญั ชนะสงั โยคอยหู ลงั จะมกิ ลายเปน รสั สะไปดว ยหรอื ตอบ. ไมเ ปน เพราะ อา อี อู นนั้ แมจ ะมพี ยญั ชนะสงั โยคอยหู ลงั ก็ออกเสียงเปนรัสสะไมได คงตองออกเสียงเปนทีฆะอยางเดิม อธิบายวา การท่ีจะไดช่ือวารัสสะไดนั้น จะตองมีเสียงสั้นกะทัดรัด ท้ัง อา อี อู อัน ประกอบดวยพยัญชนะสังโยคก็มีเปนจำนวนนอย นึกไดแต อา เชน

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 15 เวทนากขฺ นโฺ ธ, อาขยฺ าต.ํ ปญฺ าวาสสฺ สระ อา ทอี่ ยขู า งหนา สงั โยค คอื กขฺ , ขยฺ สสฺ ไมต อ งออกเสยี งเปน รสั สะวา เวทนกขฺ นโฺ ธ, อขยฺ าตํ ปญฺ าวสสฺ ใหอ อกเสยี งเปน ทฆี ะตามปกติ สว น อี อู ยงั นกึ ไมเ หน็ จงึ เปน อนั วา อา อี อู แมป ระกอบดว ยพยญั ชนะสงั โยคกค็ งเปน ทฆี ะอยเู หมอื นเดมิ นน่ั เอง ครุ - ลหุ ในคมั ภรี ป ทรปู สทิ ธิ ไดแ สดงครุ (เสยี งหนกั ) ไวเ พยี ง ๒ ประการ คอื สระทเี่ ปน ทฆี ะลว น คอื อา อี อ,ู เอ, โอ , ทฆี สระทผ่ี สมกบั พยญั ชนะ เชน นาวา (เรอื ), นที (แมน ำ้ ), วธู (ผหู ญงิ ), เทวฺ (สอง), ตโย (สาม) และรสั สสระ ทอี่ ยหู นา สงั โยค เชน ทตวฺ า (ใหแ ลว ), หติ วฺ า (สละแลว ) ภตุ วฺ า (บรโิ ภคแลว ) พยางคแ รกในคำเหลา น้ี ถา ไมม พี ยญั ชนะสงั โยคตามมาแลว จะเปน ลหุ (อ อิ อ)ุ แตใ นทนี่ ม้ี พี ยญั ชนะสงั โยคคอื ตวฺ ตามมา จงึ จดั เปน ครุ โดยออกเสยี ง หนกั กล้ำอกั ษรวา ทดั ตวฺ า, หดิ ตวฺ า, ภดุ ตวฺ า ไมอ อกเปน เสยี งเบาวา ทะ- ตวฺ า, ห-ิ ตวฺ า, ภ-ุ ตวฺ า ครชุ นดิ นเ้ี รยี กวา สงั โยคาทคิ รุ (ครขุ า งหนา สงั โยค) ในคมั ภรี ส ทั ทนตี ิ สตุ ตมาลา สตู รท่ี ๑๒ ไดแ สดงสาระเพม่ิ อกี วา รัสสสระที่มีนิคคหิตอยูหลัง เชน กํ กึ กุํ เรียกวาครุ, ในคัมภีรวุตโตทัย ไดแ สดงสาระเพม่ิ อกี วา รสั สสระทอ่ี ยทู า ยบาทคาถา เรยี กวา คร.ุ สระทเี่ ปน รสั สะลว น (ไมน บั เอ โอ ซง่ึ มพี ยญั ชนะสงั โยคอยหู ลงั ) ประสงคเ ฉพาะทเี่ ปน รสั สระแทๆ ไมม พี ยญั ชนะสงั โยคและนคิ คหติ อยเู บอื้ งหลงั เชน อ อิ อุ ปติ มนุ ิ ชอื่ วา ลหุ (มเี สยี งเบา) ______________

16 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี พยญั ชนะ ๓๓ เสยี ง พยัญชนะ คือ หนวยเสียงท่ีทำความหมายใหแจมแจง ไดแกทำ ความหมายใหป รากฏชดั โดยอาศยั สระ เชน ธี (ปญ ญา), ภู (แผน ดนิ ), โค (ววั ) หรอื โดยอาศยั การรวมตวั กนั ของพยญั ชนะกบั สระ เชน พทุ โฺ ธ ภควา (พระผมู พี ระภาคพทุ ธเจา ). อนงึ่ นกั ไวยากรณฝ า ยศาสนา กลา ววา พยญั ชนะ คอื หนว ยเสยี งทที่ ำความหมายของสระใหป รากฏ สว นนกั ไวยากรณส นั สกฤต กลา ววา พยญั ชนะคอื หนว ยเสยี งทผ่ี นั เสยี งไปตามสระ อนงึ่ พยญั ชนะเหลา นน้ั เมอ่ื ตงั้ อยโู ดดๆ มคี รงึ่ มาตรา แตถ า ประกอบ กับสระก็ใหนับมาตราของสระเพิ่มเขาไปดวย เชน ในกรณีที่ประกอบ กบั รสั สสระ ใหน บั พยญั ชนะนนั้ เปน ๑ มาตราครงึ่ ถา ประกอบกบั ทฆี สระ ใหน บั เปน ๒ มาตราครง่ึ ในภาษาบาลกี ำหนดจำนวนไว ๓๓ เสยี ง คอื ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ฌ ญ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ, ต ถ ท ธ น ปผพภม ย ร ล ว ส ห ฬ อํ ในคมั ภรี ป ทรปู สทิ ธิ กลา ววา กการาทสี วฺ กาโร อจุ จฺ ารตโฺ ถ “เสยี ง อ อกั ษรใน กฺ เปน ตน มปี ระโยชนต อ การออกเสยี ง” ตวั อยา งของพยญั ชนะ ทกี่ ลา วไวข า งตน วา ก ข ค เปน ตน แมท า นจะแสดงสระไวร ว มกบั พยญั ชนะ กห็ มายความถงึ พยญั ชนะลว นๆ อนั ไดแ ก กฺ ขฺ คฺ เปน ตน สระ อ ทกี่ ลา ว ไวรวมกับพยัญชนะเหลานั้น ชวยใหออกเสียงไดสะดวกข้ึน ทั้งนี้มิได

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 17 หมายความวา ถา ไมม สี ระแลว พยญั ชนะจะออกเสยี งไมไ ดเ ลย เพราะพยญั ชนะ สามารถออกเสียงไดคร่ึงมาตราเหมือน ตฺ อักษรในคำวา กตฺวา ดังท่ี ไวยากรณสันสกฤตช่ือสารัสวตะ สูตร ๑๑ กลาววา เอเตสฺวกาโร สโุ ขจจฺ ารณตถฺ ตตฺ า \"อ อกั ษรในพยญั ชนะเหลา นนั้ ยอ มกลา วไว เพราะมี ประโยชนเ พอ่ื ใหอ อกเสยี งไดง า ย\" ดงั นนั้ สระ อ อิ อุ ใน ปรุ สิ เปน ตน จงึ เปน เหตใุ หอ อกเสยี งได แตใ หร ู ความหมายไมไ ด แมพ ยญั ชนะตอ งอาศยั สระจงึ จะออกเสยี งไดอ ยา งสมบรู ณ ก็จริง แตก็ทำเน้ือความใหปรากฏชัดจนถึงเขาใจความได ลำพังสระเอง แมถ งึ ออกเสยี งได ถา พยญั ชนะไมอ าศยั กจ็ ะมเี สยี งเหมอื นกนั ไปหมดบง ความ ไมช ดั ยากทจ่ี ะสงั เกตได เชน จะถามวา “ทำอะไร” ถา พยญั ชนะไมอ าศยั สำเนยี งกจ็ ะเปน ตวั \"อ\" ไปเหมอื นกนั หมดวา อำ อะ ไอ ตอ เมอ่ื พยญั ชนะ เขา อาศยั จงึ สามารถออกสำเนยี งชดั เจนวา \"ทำอะไร\" พยญั ชนะวรรค - อวรรค อาจารยก จั จายนะไดต ง้ั สตู รที่ ๗ วา วคคฺ า ปจฺ ปจฺ โส มนตฺ า “พยญั ชนะทมี่ ี ม อกั ษรเปน ทสี่ ดุ ชอ่ื วา วรรค โดยแบง กลมุ ละ ๕ ๆ\" พยญั ชนะ ๓๓ ตวั นแี้ บง เปน ๒ พวกคอื วรรค ๑ อวรรค ๑, วรรค คอื พยญั ชนะทเี่ ปน กลมุ อกั ษรทเี่ กดิ ฐานเดยี วกนั ๑ และมเี สยี งคลา ยคลงึ กนั โดยความเปน สถิ ลิ ธนติ โฆสะ และอโฆสะ อกี ดว ย เชน ในคำวา ก ข ค ฆ ง ก เปนอักษรแรก ข มีเสียงคลาย ก แตมีเสียงหนักกวาเพราะเปนธนิต ๑ เกี่ยวกับเรื่องฐาน (ที่เกิดของเสียง) จะไดอธิบายในบทที่ ๒

18 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี ตอ งออกเสยี ง ก ใหเ กดิ ทอ่ี ก เปน เสยี งวา กหฺ =ข, ค กม็ เี สยี งคลา ย ก แตต อ ง เปด ปากใหก วา งเพราะเปน โฆสะ, ฆ มเี สยี งคลา ย ค แตอ อกเสยี งใหเ กดิ ท่ี อก เปน เสยี งวา คหฺ =ฆ สว น ง อกั ษรเปน กณั ฐฐานและนาสกิ ฐาน ๒ ฐาน จงึ ออกเสยี งแตกตา งจาก ก บา ง. พยญั ชนวรรคนี้ แบง เปน ๕ กลมุ คอื ๑. กวรรค กลมุ ก อกั ษร มี ๕ ตวั คอื ก ข ค ฆ ง ๒. จวรรค กลมุ จ อกั ษร มี ๕ ตวั คอื จ ฉ ช ฌ ญ ๓. ฏวรรค กลมุ ฏ อกั ษร มี ๕ ตวั คอื ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ๔. ตวรรค กลมุ ต อกั ษร มี ๕ ตวั คอื ต ถ ท ธ น ๕. ปวรรค กลมุ ป อกั ษร มี ๕ ตวั คอื ป ผ พ ภ ม สว นพยญั ชนะ ๘ เสยี ง คอื ย ร ล ว ส ห ฬ อํ ชอ่ื วา อวรรค (อกั ษร นอกกลมุ ) เพราะ ย อกั ษรเปน ตน มกี ารออกเสยี งแตกตา งจากกลมุ อกั ษร ทกี่ ลา วมาแลว อยา งชดั เจน ไมเ ปน พวกเปน หมตู ามฐานกรณท เ่ี กดิ เชน ย อกั ษรเกดิ ทเี่ พดาน (ตาลฐุ าน), ร อกั ษรเกดิ ทป่ี มุ เหงอื ก (มทุ ธฐาน), ล อกั ษร เกดิ ทฟ่ี น (ทนั ตฐาน), ห อกั ษรเกดิ ทคี่ อ (กณั ฐฐาน), ฬ อกั ษรเกดิ ทป่ี มุ เหงอื ก (มทุ ธฐาน) นคิ คหติ เกดิ ทจ่ี มกู (นาสกิ าฐาน)๑ สำหรบั ห อกั ษรนน้ั เกดิ ทกี่ ณั ฐฐาน อนั ทจ่ี รงิ ควรจะจดั เขา ในกลมุ ของ กวรรค เปน อกั ษรสดุ ทา ยได แตท า นจดั เปน อวรรคกเ็ พอ่ื แสดงการจดั ลำดบั ๑ ดูรายละเอียดเกย่ี วกบั เร่ืองนี้ บทท่ี ๒ หนา ๓๗ - ๔๓

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 19 อกั ษรโดยผดิ ลำดบั บา ง ทง้ั นเี้ พอ่ื เปน นยั ใหร วู า กฎไวยากรณไ มใ ชส จั จธรรม ที่แนนอน มีการแปรเปล่ียนไดตามความตองการของบุคคลผูบัญญัติคือ นกั ไวยากรณ แทจ รงิ หลกั การใชใ นพระไตรปฎ ก, อรรถกถาหรอื ฎกี าตา งหาก เปน หลกั ทแ่ี นน อน ดงั นน้ั การทจ่ี ะเอากฎไวยากรณม าตรวจสอบพระพทุ ธพจน แลว กลา ววา “พระพทุ ธเจา ตรสั ผดิ ” อยา งนเี้ ปน เรอ่ื งทไ่ี มส มควรเปน อยา งยงิ่ . อีกนัยหนึ่ง กฎไวยากรณนั้น เปนบัญญัติที่นักปราชญรุนหลังตั้งขึ้นตาม อทุ าหรณ จงึ มกี ฎบางอยา งไมแ นน อน เนอื่ งจากความนยิ มใชภ าษาในแตล ะ ทอ งถนิ่ มคี วามแตกตา งกนั ทา นจงึ เปรยี บไวยากรณว า เหมอื นแกม ของนกั เปา ขลยุ ทย่ี บุ บา งพองบา งไมแ นน อน อกี นยั หนง่ึ ทา นเปรยี บไวยากรณว า เหมอื น บุคคลผูเปดเผยโคมประทีปที่ถูกปดคลุมไว เพ่ือใหบุคคลรอบขางไดรับ แสงสวา งจากโคมประทปี นนั้ โคมประทปี ทถ่ี กู ปด คลมุ ในทนี่ เี้ ปรยี บเหมอื น คำบัญญัติท่ีถูกปดบังความหมาย แทที่จริงไวยากรณเปนประดุจกุญแจไข ความหมายของศพั ทท กุ ศพั ทโ ดยแท หลกั การจดั ลำดบั วรรค การที่รวมอักษรเขาเปนกลุมเดียวกันนี้ ไดอาศัยกลุมอักษรฐาน เดยี วกนั ทจี่ ำแนกตามคอ เพดาน ปมุ เหงอื ก ฟน และรมิ ฝป าก เชน ก ข ค ฆ ง เกดิ ทก่ี ณั ฐฐานเหมอื นกนั จงึ จดั เปน กลมุ เดยี วกนั เรยี กชอ่ื วา กวรรค, จ ฉ ช ฌ ญ เกดิ ทต่ี าลฐุ านเหมอื นกนั จงึ จดั เปน จวรรคเปน ตน สว นอกั ษร ๘ เสยี ง คอื ย ร ล ว ส ห ฬ อํ ไมจ ดั เปน วรรค เพราะ เกดิ คนละฐานกนั จงึ รวมเปน กลมุ ไมไ ด หากจะมคี ำถามวา เมอื่ ไมใ ชอ กั ษรวรรคแลว ควรมชี อ่ื วา อะไร ตอบวา ควรใหช่ือวาอวรรค คือไมใชวรรคนั่นเองซ่ึงเปนวิธีท่ีรูไดโดยไมตองกลาว สำนวนเชน นี้ เรยี กวา อวตุ ตสทิ ธนิ ยั คอื นยั สำเรจ็ ไดโ ดยไมก ลา วไวโ ดยตรง

20 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี หรอื พยตเิ รกนยั คอื นยั ตรงกนั ขา มกบั ขอ ความทก่ี ลา วไวแ ลว ความขอ นมี้ ี ปรากฏในคมั ภรี ก จั จายนสตุ ตตั ถะ อธบิ ายสตู รที่ ๕ วา เต เตตตฺ สึ กขฺ รา กึ พยฺ ชฺ นสญฺ าเยวาติ ปจุ ฉฺ าย สติ เตสํ เตตตฺ สึ ก-ฺ ขรานํ วคฺคสฺญาป. อวุตฺตสิทฺธินยโต อวคฺคสฺญาปติ ทสฺเสนฺโต วคฺคา ปจฺ ปจฺ โส มนตฺ าติ วตุ ตฺ .ํ วตุ ตฺ จฺ การกิ ายํ ตโต อเฺ ญ อวคคฺ าติ อวตุ ตฺ สทิ ธฺ ิ ญายเต วคคฺ สญฺ กิ สตุ เฺ ตน อวคคฺ าป กถยี เร. เมอ่ื มคี ำถามวา “อกั ษร ๓๓ ตวั มชี อื่ วา พยญั ชนะเทา นนั้ หรอื , แมอ กั ษร ๓๓ ตวั เหลา นน้ั กย็ งั มชี อ่ื วา วรรค พระอาจารยก จั จายนะ เมอ่ื จะแสดงวา อกั ษร ๓๓ ตวั เหลา นนั้ ยงั มชี อื่ วา อวรรคไดโ ดยอวตุ ตสทิ ธนิ ยั จงึ ไดก ลา วสตู รวา วคคฺ า ปจฺ ปจฺ โส มนตฺ า สมจรงิ ดงั คำทท่ี า นกลา วไวใ นคมั ภรี ก ารกิ าวา บัณฑิต ทราบความสำเร็จ (แหงเน้ือความ) ทไ่ี มม ี กลา วไวโ ดยตรงวา พยญั ชนะอน่ื จากวรรค พยัญชนะนั้น ช่ือวาอวรรค แมพระอาจารย กัจจายนเถระ ไดกลาว อวรรคไวโดยออม ดว ยสตู รทต่ี งั้ ชอื่ วรรค. วเิ คราะหค ำวา “กวคคฺ ” [อาทยฺ กขฺ รภเู ตน] เกน อปุ ลกขฺ โิ ต วคโฺ ค กวคโฺ ค “กลมุ อกั ษรทถ่ี กู กำหนดดว ย ก อกั ษร[ทเ่ี ปน อกั ษรตวั แรก] ชอื่ วา ก วรรค” แมค ำวา จวรรค ฏวรรค ตวรรค ปวรรค กพ็ งึ ทราบวา มวี เิ คราะหต ามนยั นเี้ ชน กนั

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 21 คำวา อาทยฺ กขฺ รภเู ตน แสดงใหท ราบถงึ การตง้ั ชอ่ื โดยใชอ กั ษรตวั แรก ของวรรคนน้ั ๆ เปน ตวั กำหนด คอื ก ข ค ฆ ง ชอ่ื วา กวรรค, จ ฉ ช ฌ ญ ช่ือวาจวรรค นัยที่เหลือก็เหมือนกัน การตั้งชื่อส่ิงท่ีอยูกลุมเดียวกันโดย อาศัยเพียงช่ือของช่ือทั้งหมดในกลุมน้ัน ก็เพื่อใหจำไดงายและสะดวกใน การแสดง อนงึ่ คำวา กวรรค, จวรรค เปน ตน น้ี ทา นกลา ววา เปน อาทลิ ทั ธ- นาม ระเบยี บการตงั้ ชอื่ ในคมั ภรี ท างศาสนามี ๓ อยา ง คอื อาทลิ ทั ธนาม ชอื่ ทไ่ี ดร บั โดยอกั ษรตวั แรก เชน กวคคฺ , จวคคฺ อนั ตลทั ธนาม ชอื่ ทไี่ ดร บั จากชอื่ ทา ย เชน ตจปจฺ ก (หมวด กรรมฐาน ๕ มหี นงั เปน ทสี่ ดุ [ในคำวา เกสา โลมา นขา ทนตฺ า ตโจ] สพั พลทั ธนาม ช่ือท่ีไดรับโดยศัพทท่ีประกอบท้ังหมด เชน เวทนาตตฺ กิ ํ (หมวด ๓ แหง เวทนา) ______________

22 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี นคิ คหติ บรรดาพยญั ชนะ ๓๓ ตวั เหลา นนั้ พนิ ทุ คอื อํ ชอ่ื วา นคิ คหติ ดงั ที่ คมั ภรี ก จั จายนะ สตู รท่ี ๘ กลา ววา อํ อติ ิ นคิ คฺ หติ ํ (พนิ ทุ คอื อํ ชอื่ วา นคิ คหติ ) เสยี ง อ ใน อํ ไมใ ชร ปู นคิ คหติ ทา นใสเ ขา มาเพอ่ื ชว ยในการออกเสยี ง เทา นน้ั เพราะพนิ ทตุ อ งออกเสยี งโดยอาศยั รสั สสระ ๓ เสยี ง คอื อ อิ อุ เปน รปู วา อํ อึ อุํ ลำพงั พนิ ทอุ ยา งเดยี วออกเสยี งไมไ ด ในสมยั พทุ ธกาลแมม อี กั ษรสอ่ื ภาษากนั แลว กไ็ มเ ปน ทนี่ ยิ มมากนกั ตอ มาเมอ่ื การสอ่ื ภาษาดว ยอกั ษรแพรห ลายขนึ้ ในประเทศตา งๆ จงึ บญั ญตั ิ อกั ษรทใ่ี ชส อื่ แทนเสยี งพดู อกั ษรทใี่ ชส อ่ื แทนนคิ คหติ นเ้ี ปน จดุ กลมๆ ทเ่ี รยี กวา พนิ ทุ ปรากฏในอกั ษรเทวนาครแี ละเบงกาลี แมอ กั ษรทใี่ ชใ นประเทศไทย พมา และลงั การ กเ็ ปน พนิ ทเุ ชน กนั แตโ รมนั ใช mฺ แทนนคิ คหติ จงึ ไมใ ชร ปู พนิ ทุ คมั ภรี พ าลาวตาร หนา ๒ กลา วถงึ นคิ คหติ วา พนิ ทฺ ๑ุ จฬู ามณากาโร นคิ คฺ หตี นตฺ ิ วจุ จฺ เต เกวลสสฺ าปโยคตตฺ า อกาโร สนนฺ ธิ ยี เต. ๑ จุดหรือพินทุนั้น ในคัมภีรฝายศาสนา เรียกวา นิคคหิต สวนในคัมภีรไวยากรณสันสกฤต อาจารยท้ังหลายเรียกนิคคหิตนั้นวา “อนุสฺวาร” (ไปตามสระ) อนึ่ง อนุสาร (อนุสฺวร) น้ัน ยังมี ชอื่ เรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา “อนนุ าสกิ า” (อกั ษร ทเี่ กดิ ขนึ้ ในนาสกิ าฐานในภายหลงั ) ในทน่ี บ้ี ทวา อนุ ในคำวา อนนุ าสกิ า ในคมั ภรี ก าตนั ตรฎกี าไดพ รรณาวา มอี รรถ ปจฉฺ า (ในภายหลงั ) หมายความวา เสียงจะตองเกิดที่ลำคอกอน แลวจึงข้ึนสูจมูกในภายหลัง

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 23 พนิ ททุ ม่ี ลี กั ษณะคลา ยแกว มณบี นยอด[มงกฏุ ] ทา นเรยี กวา นคิ คหติ เสยี ง อ (ในคำวา อ) ยอ ม ตงั้ อยใู กลพ นิ ทุ เพราะพนิ ทลุ ว นๆ ประกอบไว ไมไ ด. ลกั ษณะนคิ คหติ ในคมั ภรี ป ทรปู สทิ ธิ ไดแ สดงความหมายของนคิ คหติ ไว ๒ นยั ดงั นวี้ า รสสฺ สสฺ รํ นสิ สฺ าย คยหฺ ต,ิ กรณํ นคิ คฺ เหตวฺ า คยหฺ ตตี ิ วา นคิ คฺ หตี ํ \"พนิ ทใุ ด อาศยั รสั สสระแลว อนั บคุ คลยอ มออกเสยี งได หรอื พนิ ทใุ ดขม ฐานกรณไ วแ ลว อนั บคุ คลยอ มออกเสยี งได เหตนุ น้ั พนิ ทนุ นั้ ชอ่ื วา นคิ คหติ \" หากถอื ตามมติ คมั ภรี ร ปู สทิ ธิ คำวา นคิ คฺ หตี จะมรี ปู วเิ คราะห ๒ นยั ดงั นี้ -รสสฺ สสฺ รํ นสิ สฺ าย คยหฺ ตตี ิ นคิ คฺ หตี ํ \"พนิ ททุ อี่ อกเสยี งอาศยั รสั สสระ ชอ่ื วา นคิ คหติ \" ตามนยั นี้ นิ อปุ สรรคมอี รรถวา นสิ สฺ าย (อาศยั ) หมายความวา นิคคหิตตองประกอบรวมกับรัสสสระ ๓ เสียงจึงจะออกเสียงได คือตอง เปลง เสยี งสระ อ อิ หรอื อุ กอ น แลว จงึ ออกเสยี งนคิ คหติ ใหเ กดิ ทจี่ มกู ตอ มา ทา นเปรยี บนคิ หติ อาศยั สระนน้ั เหมอื นกบั นกจบั ตน ไม ถา ตน ไมเ ปน ตน ซง่ึ เปนท่ีจับไมมีแลว นกก็จับไมไดฉะนั้น ดังที่คัมภีรสัททนีติ สุตตมาลา อธบิ ายสตู รท่ี ๘ ไดก ลา วไวด งั นวี้ า ยํ สททฺ รปู ํ อํ อึ อมุ ติ ิ สรโต ปรํ หตุ วฺ า สยุ ยฺ ต;ิ ตํ นคิ คฺ หตี ํ นาม ภวติ. เสยฺยถิทํ ? “อหํ เกวฏฏคามสฺมึ; อหํุ เกวฏฏทารโกติ อาทีสุ รสสฺ ตตฺ ยโต ปรํ พนิ ทฺ ุ นคิ คฺ หตี ํ นามาติ ทฏฐ พพฺ .ํ

24 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี \"เสยี งใดทบี่ คุ คลไดย นิ เบอ้ื งหลงั จากสระวา อํ อึ อ,ุํ เสยี งนน้ั ชอ่ื วา นคิ คหติ , เชน “อหํ เกวฏฏ คามสมฺ ;ึ อหํุ เกวฏฏ ทารโก “เราไดเ ปน เดก็ ชาวประมงทห่ี มบู า นชาวประมง” ในตวั อยา งนี้ พงึ ทราบวา พนิ ทุ ทอ่ี ยขู า งบน หลงั สระ อ คอื อห,ํ อิ คอื เกฏวฏฏ คามสมฺ ึ และ อุ คอื อหํุ ชอื่ วา นคิ คหติ \" -กรณํ นคิ คฺ เหตวฺ า คยหฺ ตตี ิ นคิ คฺ หตี ํ \"พนิ ททุ อ่ี อกเสยี งโดยขม ฐาน และกรณไ ว ชอ่ื วา นคิ คหติ \" ตามนยั นี้ นิ อปุ สรรคมอี รรถวา นคิ คฺ เหตวฺ า (ขม ) หมายความวา กดฐานและกรณไวโดยเปลงเสียงออกทางจมูกเหมือนนก ที่เกาะอยูบนยอดไม เมื่อจะบินข้ึนไดกดก่ิงไมที่มันอาศัยอยูแลวบินข้ึนไป ตวั อยา งเชน การออกเสยี ง กํ ตอ งกดฐานและกรณข อง กํ คอื กณั ฐฐานและ กณั ฐกรณะ โดยไมเ ปลง เสยี งออกทางปาก แตใ หเ สยี งขนึ้ ไปทางจมกู แลว เปลง ออกทางชอ งจมกู ดงั นเ้ี ปน ตน อนงึ่ นคิ คหติ เปน เสยี งตรงกนั ขา มกบั เสยี ง วมิ ตุ ตะทอี่ อกเสยี งทางปากตามปกติ การขม ฐานและกรณ จงึ หมายถงึ การไม ปลอ ยเสยี งออกจากปากตามฐานและกรณป กตนิ น่ั เอง รปู วเิ คราะหแ รกนน้ั กลา วตามคำอธบิ ายในไวยากรณส นั สกฤต สว นรปู วเิ คราะหต อ มากลา วตามคำอธบิ ายในอรรถกถาพระวนิ ยั วา นคิ คฺ หตี นตฺ ิ ยํ กรณานิ นคิ คฺ เหตวฺ า อวสิ สฺ ชเฺ ชตวฺ า อววิ เฏน มเุ ขน สานนุ าสกิ ํ กตวฺ า วตตฺ พพฺ ๑ํ \"พินทุที่บุคคลขมคือไมปลอยฐานและกรณไวแลวกลาวโดยทำใหมีเสียง ขน้ึ จมกู ดว ยปากอนั ไมเ ปด ชอ่ื วา นคิ คหติ \" ๑ วิ.อฏ. ๓.๕๕๒

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 25 กรณํ นคิ คฺ เหตวฺ าน มเุ ขนาววิ เฏน ยํ วจุ จฺ เต นคิ คฺ หตี นตฺ ิ วตุ ตฺ ํ พนิ ทฺ ุ สรานคุ .ํ ๑ พินทุใดที่ผูพูดกดฐานและกรณไวแลว ออกเสียงโดยไมเปดปาก พินทุที่ตามหลัง สระนนั้ ชอ่ื วา นคิ คหติ . คาถาน้ี แสดงลกั ษณะของนคิ คหติ วา พนิ ททุ ก่ี ดฐานและกรณไ วแ ลว ออกเสยี งโดยไมเ ปด ปาก กลา วคอื ถา เปด ปากออกเสยี งจะทำใหม ลี มออก จากปากแลว กลายเปน วมิ ตุ ตะ แตถ า ไมเ ปด ปากออกเสยี งกจ็ ะมเี สยี งขนึ้ จมกู . คำวา กรณํ นคิ คฺ เหตวฺ า (ขม ฐานและกรณ) คอื ไมป ลอ ยเสยี งออกมา ตามฐานและกรณป กติ หมายถงึ การปด ปากนนั่ เอง ดงั คำอธบิ ายในคมั ภรี  การกิ าฏกี าวา นคิ คฺ เหตวฺ านาติ นปิ ปฺ เ ฬตวฺ า. มขุ ํ ปท หติ วฺ าติ วตุ ตฺ ํ โหติ๒ \"คำวา นคิ คฺ เหตวฺ าน แปลวา ขม แลว ความหมายกค็ อื ปด ปากแลว อยา งไรกต็ าม ขอ นไ้ี มไ ดห มายความวา การออกเสยี งนคิ คหติ จะตอ ง ปดปากใหสนิท แตหมายถึงการเปดปากไมกวางและไมใหลมผานปากไป เทา นนั้ ถา ปด ปากสนทิ จะเกดิ เปน เสยี งทม่ี ี มฺ อกั ษรอยทู า ย เชน พทุ ธฺ มฺ สรณม,ฺ ธมมฺ มฺ สรณมฺ เปน ตน ซงึ่ ไมใ ชเ สยี งนคิ คหติ ๑ ปทรปู สทิ ธมิ ญั ชรี หนา ๖๕ ๒ กา.ฎ.ี คำอธบิ ายคาถา ๑๐๕

26 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี โฆสะ - อโฆสะ พยญั ชนะ ๒๑ เสยี ง คอื ค, ช. ฑ, ท, พ, ฆ, ฌ, ฒ, ธ, ภ, ง, ญ, ณ, น, ม, ย ร ล ว ห ฬ ชอ่ื วา โฆสะ (เสยี งกอ ง) พยญั ชนะ ๑๑ เสยี ง คอื ก, ข. จ, ฉ. ฏ, ฐ. ต, ถ. ป, ผ, ส ชอ่ื วา อโฆสะ (เสยี งไมก อ ง) เสยี งโฆสะ (voiced sounds) เกดิ จากการทเ่ี สน เสยี งวางตวั ประชดิ กนั แตไ มต ดิ สนทิ กนั ลมจากปอดผา นชอ งระหวา งเสน เสยี งขนึ้ มาได ทำให เสน เสยี งสน่ั เสยี งอโฆสะ (voiceless sounds) เกดิ จากการทเ่ี สน เสยี งวางตวั หา ง ออกจากกนั ลมจากปอดผา นชอ งระหวา งเสน เสยี งสชู อ งคอโดยอสิ ระ เสน เสยี ง ไมม กี ารเคลอื่ นไหวแตอ ยา งใด นคิ คหติ เปน โฆสาโฆสวมิ ตุ สำหรบั อนสุ วฺ รพยญั ชนะกลา วคอื นคิ คหติ นนั้ นกั ไวยากรณท ง้ั หลาย ประสงคใ หเ ปน โฆสะ แตอ าจารยท างฝา ยศาสนา ประสงคใ หเ ปน โฆสาโฆสวมิ ตุ ดงั ทค่ี มั ภรี ส ทั ทนตี ิ สตุ ตมาลา อธบิ ายสตู รที่ ๑๘ กลา ววา สททฺ สตถฺ วทิ โุ น นคิ คฺ หตี สงขฺ าตสสฺ อนสุ วฺ ารสสฺ าป โฆสวนตฺ ตตฺ ํ อจิ ฉฺ นตฺ .ิ สาสนกิ า ปน ตสสฺ โฆสาโฆสวนิ มิ ตุ ตฺ ตตฺ เํ ยว อจิ ฉฺ นตฺ .ิ \"นักไวยากรณฝายสันสกฤต ถือวาอนุสฺวารพยัญชนะกลาวคือ นคิ คหติ นน้ั เปน พยญั ชนะโฆสะ สว นนกั วชิ าการทางฝา ยพระศาสนา ถอื วา นคิ คหติ นน้ั เปน โฆสาโฆสวมิ ตุ (อกั ษรทพี่ น จากเสยี งกอ งและเสยี งไมก อ ง) ”

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 27 สถิ ลิ - ธนติ พยญั ชนะ ๑๐ เสยี ง คอื ก จ ฏ ต ป, ค ช ท ฑ พ ชอ่ื วา สถิ ลิ (เสยี งหยอ น, เสยี งเพลา) พยญั ชนะ ๑๐ เสยี ง คอื ข ฉ ฐ ถ ผ, ฆ ฌ ฒ ธ ภ ชอื่ วา ธนติ (เสยี งแขง็ ) ดงั ทอ่ี รรถกถาปรวิ ารกลา ววา สถิ ลิ ํ นาม ปจฺ สุ วคเฺ คสุ ปฐมตตยิ ,ํ ธนติ ํ นาม เตเสวฺ ว ทตุ ยิ จตตุ ถฺ ํ (อกั ษรที่ ๑ และที่ ๓ ในวรรคทง้ั ๕ ชอ่ื วา สถิ ลิ อกั ษรที่ ๒ และที่ ๔ ในวรรคเหลา นนั้ ชอ่ื วา ธนติ ) เหตสุ ถิ ลิ และธนติ มเี สยี งตา งกนั พยญั ชนะตวั ที่ ๑ กบั พยญั ชนะตวั ที่ ๒, พยญั ชนะตวั ท่ี ๓ กบั พยญั ชนะ ตวั ที่ ๔ มลี กั ษณะการออกเสยี งคลา ยกนั ดงั นนั้ ทา นจงึ กำหนดใหพ ยญั ชนะตวั ที่ ๒ กบั พยญั ชนะตวั ที่ ๔ เปน ธนติ มเี สยี งดงั กวา พยญั ชนะตวั ท่ี ๑ และพยญั ชนะ ตวั ท่ี ๒ หากไมจ ำแนกใหต า งกนั แลว ในขณะออกเสยี งวา สงโฺ ฆ หรอื สงโฺ ค, ภนเฺ ต หรอื พนเฺ ต ผฟู ง จะไมส ามารถรไู ดว า เปน คำไหน ดว ยเหตดุ งั กลา วนกั ไวยากรณ จงึ ไดจ ำแนกใหส ถิ ลิ อกั ษรกบั ธนติ อกั ษรมเี สยี งตา งกนั สำหรบั พยญั ชนะทสี่ ดุ วรรค ๕ เสยี ง คอื ง, ญ, ณ, น ม และพยญั ชนะ อวรรค ๘ เสยี ง คอื ย ร ล ว ส ห ฬ อํ หากถอื เอาตามมตขิ องพระอรรถ- กถาจารยท ก่ี ลา ววา \"อกั ษรที่ ๑ และท่ี ๓ ในวรรคทงั้ ๕ ชอื่ วา สถิ ลิ อกั ษรที่ ๒ และที่ ๔ ในวรรคเหลา นน้ั ชอื่ วา ธนติ \" กค็ วรเปน ไดท ง้ั สถิ ลิ และธนติ จะออก เสยี งหยอ นหรอื เสยี งหนกั ไมถ อื วา กรรมวาจาเสยี เพราะพยญั ชนะเหลา นนั้ มี เสยี งไมเ หมอื นกนั จงึ ไมจ ำเปน ตอ งจำแนกเปน สถิ ลิ และธนติ ดงั นน้ั เวลาออก เสยี งพยญั ชนะเหลา นนั้ ในการสวดกรรมวาจาจะออกเสยี งดงั หรอื เบากไ็ มม ี โทษแตอ ยา งใด สรปุ วา พยญั ชนะในภาษาบาลจี ำแนกเปน ๔ ประเภท คอื

28 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี โฆสะ เสยี งกอ ง มี ๒๑ เสยี งคอื ค, ช. ฑ, ท, พ, ฆ, ฌ, ฒ, ธ, ภ, ง, ญ, ณ, น, ม, ย ร ล ว ห ฬ อโฆสะ เสยี งไมก อ ง มี ๑๑ เสยี งคอื ก, ข, จ, ฉ, ฏ, ฐ, ต, ถ, ป, ผ, ส สถิ ลิ เสยี งหยอ น มี ๑๐ เสยี งคอื ก, จ, ฏ, ต, ป, ค, ช, ท, ฑ, พ ธนติ เสยี งแขง็ มี ๑๐ เสยี งคอื ข, ฉ, ฐ, ถ, ผ, ฆ, ฌ, ฒ, ธ, ภ หมายเหต:ุ - โฆสะเปน เสยี งทสี่ ำเรจ็ โดยปกติ เวลาออกเสยี งโฆสะ จะเปด ปากเปลง เสยี งอยา งชดั เจน จงึ เรยี กวา สภาวสทิ ธะ คอื สำเรจ็ มาโดย สภาวะ (ธรรมชาต)ิ สว นธนติ ตอ งพยายามเปลง เสยี งใหม ลี มผา นขน้ึ มากกวา ปกติท่ีคอ โดยมีความกองบริเวณลูกกระเดือกเม่ือใชมือสัมผัส จึงเรียกวา ปโยคสทิ ธะ สำเรจ็ มาโดยความเพยี รพยายาม ความจรงิ แลว เสยี งธนติ กค็ อื เสยี งสถิ ลิ ทเี่ พม่ิ ห อกั ษรซงึ่ เกดิ ทฐ่ี านเสน เสยี งนนั่ เอง จงึ ทำใหม คี วามกอ ง บรเิ วณลกู กระเดอื ก โดยเสยี ง ข เทยี บไดก บั กหฺ และเสยี ง ฆ เทยี บไดก บั เสยี ง คหฺ จะเหน็ ไดว า อกั ษรโรมนั แสดงขอ นไี้ วอ ยา งชดั เจนเปน รปู วา KA KHA GA GHA ดงั นเ้ี ปน ตน สถิ ลิ - ธนติ อกั ษรมคี ณุ ตอ การประพนั ธค าถา ในคมั ภรี ส โุ พธาลงั การ คาถา ๑๓๓ - ๑๓๔ ไดแ สดงลกั ษณะการ ประพนั ธค าถาดว ยการใชส ถิ ลิ อกั ษรและธนติ อกั ษร อนั จดั วา เปน คณุ ประเภท หนง่ึ คอื สมตาคณุ (คณุ คอื ความสม่ำเสมอของเสยี ง) หมายความวา มเี สยี ง สมำ่ เสมอดว ยพยญั ชนะเสยี งออ นจำนวนมากบา ง พยญั ชนะเสยี งแขง็ จำนวน มากบา ง หรอื พยญั ชนะเสยี งออ นผสมเสยี งแขง็ บา ง ซงึ่ พยญั ชนะเหลา นนั้ ตอ งมฐี านเหมอื นกนั จะขอยกตวั อยา ง ดงั นี้

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 29 โกกลิ าลาปสวํ าที มนุ นิ ทฺ าลาปวพิ ภฺ โม หทยงคฺ มตํ ยาติ สตํ เทติ จ นพิ พฺ ตุ .ึ ความไพเราะแหง พระสรุ เสยี งของพระจอมมนุ ี เปรยี บดงั่ เสยี งนกโกกลิ า ยอ มถงึ ความจบั ใจ และอำนวยความดบั สนทิ แกส าธชุ นทงั้ หลาย. คาถานก้ี ลา วสดดุ พี ระสรุ เสยี งของพระพทุ ธเจา วา เหมอื นดงั่ นกโกกลิ า ยอ มเปน ทจ่ี บั ใจของสาธชุ นผฟู ง ทงั้ อำนวยผลคอื ความดบั กเิ ลสใหแ กส าธชุ น เหลา นน้ั จะเหน็ ไดว า คาถานปี้ ระกอบดว ยพยญั ชนะเสยี งออ นฐานเดยี วกนั จำนวนมาก คอื ทนั ตฐาน (เกดิ ทฟ่ี น ) คอื ลาลา, ส,ํ ท,ี นนิ ทฺ าลา, ท, ต,ํ ต,ิ สต,ํ เทต,ิ น,ิ ต.ึ โอฏฐฐาน (เกดิ ทรี่ มิ ฝป าก) คอื ป, ม,ุ โม, ม, พุ ดงั นน้ั จงึ จดั เปน เกวลมทุ สุ มตาคณุ (คณุ คอื ความสม่ำเสมอดว ย พยญั ชนะเสยี งออ นทงั้ สน้ิ ทำใหเ กดิ ความไพเราะดว ยเสยี งออ น) แม ภ อกั ษร ในบาทท่ี ๒ จะเปน ธนติ อกั ษร กไ็ มผ ดิ ตามเกวลสมตาคณุ เพราะธนติ อกั ษรนน้ั ชว ยใหไ มข ดั แยง กบั สเิ ลสคณุ (ความมเี สยี งกลมกลนื กนั ) สมภฺ าวนยี สมภฺ าวํ ภควนตฺ ํ ภวนตฺ คุํ ภวนตฺ สาธนากงขฺ ี โก น สมภฺ าวเย วภิ .ุํ ใครเ ลา ผปู รารถนาบรรลพุ ระนพิ พาน จะไมพ งึ สรรเสรญิ พระผมู พี ระภาคผมู พี ระปณธิ านดงี าม นา สรรเสรญิ ดำเนนิ ถงึ ทสี่ ดุ แหง ภพ และทรง เปน ใหญ[ ในไตรโลก]

30 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี คาถานเี้ ปน ตวั อยา งของเกลวผฏุ ฐสมตาคณุ คอื ความสม่ำเสมอของ พยญั ชนะเสยี งแขง็ ทง้ั สนิ้ อาจเหน็ วา คาถาขา งตน นมี้ เี สยี งธนติ อกั ษรรบั สมั ผสั กนั ในแตล ะบาท โดยบาทแรกมี ภ อกั ษร ๒ พยางค บาทท่ี ๒ มี ภ อกั ษร ๒ พยางค บาทท่ี ๓ มี ภ, ธ, ข อกั ษร ๓ พยางค สว นบาทท่ี ๔ มี ภ อกั ษร ๒ พยางค คาถานมี้ ธี นติ อกั ษร ๙ พยางค มพี ยญั ชนะเสยี งออ น ๒๓ พยางค แต เสยี งธนติ สามารถทำใหเ สยี งของตนเดน ชดั กวา เสยี งออ นเหลา นน้ั เปรยี งดง่ั ขณะบรรเลงดนตรี แมเ สยี งกลองสน้ั จะดงั เสมอ แตเ สยี งกลองยาวทด่ี ใี นบาง คราวมักจะเดนชัดกวาเสียงกลองส้ัน ดังน้ัน ทานจึงจำแนกเปนเกวลผุฏฐ สมตาคณุ ในกรณทม่ี เี สยี งธนติ อกั ษรชดั เจน ปนเฺ ถ ทสิ วฺ าน กาสาวํ ฉฑฑฺ ติ ํ มฬี หฺ มกขฺ ติ ํ สริ สมฺ ึ อชฺ ลึ กตวฺ าห วนทฺ ติ พพฺ ํ อสิ ทิ ธฺ ช.ํ ทา นทงั้ หลายไดพ บผา กาสาวะอนั เปน ธงชยั ของ พระอรยิ เจา ซง่ึ เปอ นคถู ถกู ทง้ิ ไวข า งทาง กพ็ งึ ประนมมอื เหนอื ศรี ษะ แลว ไหวเ ถดิ . คาถาน้ีเปนตัวอยางของมิสสกสมตาคุณ คือ ความสม่ำเสมอของ พยญั ชนะเสยี งออ นและเสยี งแขง็ ผสมกนั จะเหน็ ไดว า บาทแรกมธี นติ อกั ษร คอื ถ ใน ปนเฺ ถ บาทท่ี ๒ คอื ฉ ใน ฉฑฑฺ ติ ํ และ ข ใน มกขฺ ติ ํ บาทท่ี ๓ ไมม ี ธนติ อกั ษร สว นบาทท่ี ๔ คอื ธ ใน ธชํ แมพ ยญั ชนะเสยี งออ นอนื่ ๆ กม็ ฐี าน เดยี วกนั จำนวนมาก คอื ทนั ตฐานอนั ไดแ ก นเฺ ถ, ทสิ ,ฺ น, สา, ตํ ๒ พยางค, ส,ิ ล,ึ นทฺ ติ , สทิ ธฺ ดงั นน้ั คาถานี้ จงึ ประดบั ดว ยมสิ สกสมตาคณุ ______________

บทท่ี ๒ ฐาน กรณ ปยตนะ

ตำแหนง เสยี งอกั ษร เอวํ ตสี ุ ฐาเนสุ อปุ ปฺ นโฺ น โส จติ ตฺ ชสทโฺ ท กณฐฺ ตาลุ มทุ ธฺ ทนโฺ ตฏฐ สงขฺ าตานิ ปจฺ ฐานานิ ฆฏเ ฏตวฺ า วณฺณตฺตมุปคจฺฉติ. “อิทํ วกฺขามี”ติ หิ วิตกฺกยโต วจิ ารยโต เตสุ เตสุ ฐาเนสุ อปุ ปฺ นนฺ าย จติ ตฺ ชปถวี ธาตยุ า อปุ าทนิ นฺ กปถวธี าตฆุ ฏฏ เนน สทโฺ ท ชายต.ิ เสยี งทเี่ กดิ เพราะจติ ซง่ึ เกดิ ขนึ้ ทฐ่ี าน ๓ ฐานดงั กลา ว ถงึ ความเปน อกั ษรได โดยการกระทบฐาน ๕ ฐานคอื กณั ฐฐาน, ตาลฐุ าน, มทุ ธฐาน, ทนั ตฐาน และโอฏฐฐาน อธบิ ายวา เมอื่ บคุ คลตรกึ ตรองอยวู า “เราจกั พดู คำน”ี้ เสยี ง (มี อ อา ก ข ค ฆ ง เปน ตน ) ยอ มเกดิ ขนึ้ เพราะจติ ตชปถวธี าตทุ เี่ กดิ ในฐานนนั้ ๆ กระทบกบั กมั มชปถวธี าตุ๓

ฐาน, กรณ, ปยตนะ ธรรมชาตขิ องการออกเสยี งโดยทวั่ ๆ ไป ขน้ึ ชอ่ื วา ภาษาคำพดู กไ็ ดแ ก เสยี งทมี่ นษุ ยท ว่ั ๆ ไปใชพ ดู ในการสอื่ สาร อกั ษรตา งๆ ทใี่ ชเ ขยี นนนั้ เปน เพยี ง เคร่ืองหมายที่เลียนแบบเสียงแลวประดิษฐทำข้ึนมา กลาวไดวาเปนเพียง สญั ญลกั ษณข องเสยี งเทา นน้ั เพราะฉะนนั้ ถา บคุ คลประสงคจ ะศกึ ษาคน ควา เรอ่ื งภาษาใดภาษาหนงึ่ ในเบอ้ื งตน จำเปน ตอ งศกึ ษาเรอื่ งเสยี งทใ่ี ชใ นภาษานน้ั ๆ กอ น กเ็ สยี งทใ่ี ชใ น ภาษานนั้ แหละ ทา นเรยี กวา “อกั ขระหรอื อกั ษร” ดงั ทไี่ ดก ลา วอธบิ ายมาแลว ในตอนตน ขน้ึ ชอ่ื วา อกั ษรมไิ ดม จี ำนวนเทา กนั ในแตล ะภาษา ดว ยวา จำนวน ของอกั ษรยอ มมมี ากบา ง นอ ยบา งแตกตา งกนั ไป ขนึ้ อยกู บั บคุ คลผพู ดู ขนึ้ อยู กบั ภมู ปิ ระเทศอนั เปน ทอ่ี ยอู าศยั ในถนิ่ ฐานนนั้ ๆ ในภาษาหนง่ึ ๆ การทสี่ ามารถ คำนวนออกมาไดวา ภาษาน้ีมีจำนวนอักษรเทานี้นั้น เปนหนาท่ีของ นกั ไวยากรณ หรอื นกั อกั ษรศาสตร นักไวยากรณหรือนักอักษรศาสตรนี้ ไดทำการศึกษาคนควาจน สามารถสรุปภาษานั้นๆ โดยมีจุดมุงหมายเพ่ือท่ีจะรูเก่ียวกับเรื่องเสียง ทกุ หนว ยเสยี งทใี่ ชใ นภาษานน้ั ๆ เมอ่ื นกั ไวยากรณศ กึ ษาคน ควา สรปุ ไดแ ลว จงึ จะสามารถกำหนดออกมาไดว า ในภาษานนั้ ๆ มอี กั ษรหรอื มจี ำนวนเสยี งอยู จำนวนเทา ไร ซง่ึ นบั วา เปน ภารกจิ ทคี่ อ นขา งหนกั มากทเี ดยี ว ภายหลงั จาก

34 รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี ทนี่ กั ไวยากรณไ ดล งแรงทำการคน ควา รวบรวมแลว จงึ สามารถนำออกมา เผยแผไ ดว า ในภาษานนั้ มจี ำนวนอกั ษรเทา ใด ในภาษาท่ีมีอักษรน้ัน เมื่อไดกำหนดวา ภาษาใดมีอักษรจำนวน เทา ใดแลว จะตอ งทำการกำหนดระบบหรอื วธิ กี ารออกเสยี งอกั ษรเหลา นน้ั ใหถ กู ตอ ง กใ็ นการวางระบบการออกเสยี งนนั้ ผวู างจะตอ งคำนงึ ถงึ ธรรมชาติ ของการออกเสยี งวา เปน สง่ิ ทมี่ าจากคำพดู ของคน หรอื มาจากปากของคน เปน สง่ิ ทเี่ นอื่ งมาจากแรงของลมทขี่ บั ออกมา เพราะฉะนน้ั ภายในปากของคน เกอื บทว่ั ทง้ั ปากจงึ ถกู กำหนดใหเ ปน ฐาน (สถานทเ่ี กดิ เสยี ง) แมใ นสว นประกอบทม่ี อี ยใู นภายในปากของคนนน้ั กเ็ ปน สว นทเี่ กดิ ของเสยี งทย่ี งั ไมม กี ารเคลอ่ื นไหวใดๆ หากไมม อี ปุ กรณม าชว ยทำใหเ คลอื่ นไหว เพอื่ ใหเ สยี งเกดิ ขน้ึ จงึ จำเปน ตอ งมกี ารกำหนดปจ จยั อกี อยา งหนงึ่ คอื อปุ กรณ ในการทำใหเ สยี งเกดิ ทฐี่ านซง่ึ เรยี กวา กรณ (เครอื่ งกระทำเสยี ง) แมจ ะมกี ารกำหนดปจ จยั ทท่ี ำใหเ กดิ เสยี งคอื ฐานและกรณแ ลว กต็ าม แตถ งึ กระนนั้ แคเ พยี งอาศยั ปจ จยั ๒ อยา งน้ี ยงั ไมส ามารถทำใหเ สยี งเกดิ ได หากไมอ าศยั การออกแรงขบั หรอื ทเ่ี รยี กวา ความพยายามทจี่ ะทำใหเ สยี งนนั้ เกดิ ขน้ึ โดยการปด และเปด ฐานกรณเ ปน ตน ซงึ่ เรยี กวา ปยตนะ (วธิ อี อกเสยี ง) ดงั นนั้ ปจ จยั ในการทำใหเ สยี งเกดิ จงึ มี ๓ ประการ คอื ฐาน, กรณ และปยตนะ ปจ จยั ทงั้ ๓ นี้ มใี ชใ นการออกเสยี งภาษาทกุ ภาษากว็ า ได เกย่ี วกบั กระบวนการในการออกเสยี งนนั้ วา โดยโลกปู มา เปรยี บเทยี บไดด งั น้ี

รอบรอู กั ขรวธิ แี ละการออกเสยี งภาษาบาลี 35 อปุ มาฐาน, กรณ, ปยตนะ ฐาน กรณ ปยตนะทง้ั ๓ ประการนเ้ี ปน องคป ระกอบทที่ ำใหเ ปลง เสยี ง ออกมาได หากขาดอยางใดอยางหนึ่งก็ไมสามารถเปลงเสียงออกมาได เหมือนเสียงของระฆังที่ดังกังวานออกมาได ก็เพราะประกอบดวยองค ๓ ประการ คอื ตวั ระฆงั , ลกู ตมุ และความพยายามของผตู ี เมอื่ องคป ระกอบทงั้ ๓ บรบิ รู ณพ รอ มเพรยี งกนั กท็ ำใหเ กดิ เสยี งระฆงั ได ฉนั ใด การเปลง เสยี ง ออกมากต็ อ งประกอบดว ยองค ๓ คอื ฐาน,กรณ และปยตนะ ฉนั นน้ั เหมอื นกนั ฐานเปรยี บเหมอื นตวั ระฆงั กรณเ ปรยี บเหมอื นลกู ตมุ ปยตนะเปรยี บเหมอื น ความพยายามของผตู ี พงึ ทราบอปุ มาของฐาน กรณ ปยตนะ ฉะนแี้ ล การตรี ะฆงั = การออกเสยี ง ระฆงั = ฐาน ไมต ี = กรณ ความพยายาม = ปยตนะ ระบบเสยี งสนั สกฤตกบั บาลี ในโลกนม้ี ภี าษาโบราณทเ่ี กา แกม ากมาย ในภาษาโบราณทเี่ กา แกท สี่ ดุ นนั้ ภาษาสนั สกฤตถอื วา เปน ภาษาหนง่ึ ทอี่ ยใู นจำนวนนน้ั แตใ นภาษาเกา แก เหลา นนั้ นอกจากภาษาสนั สกฤตแลว ยงั ไมป รากฏวา มภี าษาใดทม่ี คี มั ภรี  ไวยากรณท ส่ี มบรู ณ ภาษาสนั สกฤตเปน ภาษาหนง่ึ ทม่ี ที งั้ คมั ภรี ไ วยากรณ และ คมั ภรี ท แี่ สดงการออกเสยี งอกั ษรอยา งสมบรู ณ การทมี่ คี มั ภรี เ กา ๆ โบราณ