๒๒๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ สมเดจ็ พระรามาทบี ดเิ จา้ นฤพาน จงึ สมเดจ็ พระอาทตี ยเจา้ ๑ เสวยราชสมบตั พิ ระนครศรี อยทุ ธยา ทรง พระนามสมเดจ็ บรมราชาหนอ่ พทุ งั กรู ศกั ราช ๘๙๕ มะเสง็ ศก (พ.ศ.๒๐๗๖) สมเดจ็ พระบรมราชาหนอ่ พทุ ธางกนู เจา้ นฤพาน จงึ สมเดจ็ พระราชกมุ าร ๒ ไดเ้ สวยราชสมบตั ิ ครน้ั ถงึ ศกั ราช ๘๙๖ มะเมยี ศก (พ.ศ.๒๐๗๗) พระราชกมุ ารทา่ นนน้ั เปน็ เหตุ จงึ ไดร้ าชสมบตั แิ ก่ พระไชยราชาธรี าชเจา้ ๓ ศกั ราช ๙๐๐ จอศก (พ.ศ.๒๐๘๑) แรกใหพ้ นู ดนิ ณ วดั ชเี ชยงี ๔ ในเดอื น ๖ นน้ั แรกสถาปนา พระพทุ ธเจา้ แลพระเจดยี ์ ถงึ เดอื น ๑๑ เสดจ็ ไปเชยงี ไกรเชยงี กราน ๕ ถงึ เดอื น ๔ ขน้ึ ๙ คำ่ ๖ เวลาคำ่ ประมาณยามหนึ่งเกิดลมพายุพัดหนักหนา แลคอเรืออ้อมแก้วแสนเมืองมานั้นหัก แลเรือไกรแก้วนั้นทลาย อนง่ึ เมอ่ื เสดจ็ มาแตเ่ มอื งกำแพงเพชญนั้นว่าพญานารายน์ ๗ คดิ เปน็ ขบถ แลใหก้ มุ เอาพญานารายนน์ น้ั ฆา่ เสยี ในเมอื งกำแพงเพชญ ศกั ราช ๙๐๗ มะเสง็ ศก (พ.ศ.๒๐๘๘) วนั ๔ฯ๔๗ คำ่ ๘ สมเดจ็ พระไชยราชาทรี าชเจา้ เสดจ็ ไป เชยี งไหม่ ให้พญาพศิ ณโู ลกเปน็ ทพั หนา้ แลยกพลออกตง้ั ทพั ไชยตำบลบางบาน ณ วนั ๗๑ฯ๔๗ คำ่ ๙ จงึ ยก ทพั หลวงจากทท่ี พั ชยั ไปเมอื งกำแพงเพชญ ถงึ ณ วนั ๓๙ฯ ๗ คำ่ ๑๐ เสดจ็ ออกตง้ั ทพั ชยั ณ เมอื งกำแพงเพชญ ๑ สมเดจ็ พระอาทติ ยวงศ์เมอ่ื เสวยราชย์ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาวา่ ทรงพระนามสมเดจ็ พระบรมราชาหนอ่ พทุ ธางกรู สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพทรงวนิ จิ ฉยั วา่ ควรเรยี กพระนามวา่ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๔ ๒ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า สมเด็จพระราชกุมารทรงพระนาม พระรัฏฐาธิราชกุมาร เสวยราชย์เป็นสมเด็จ พระรฏั ฐาธริ าชกมุ าร ทว่ั ไปนยิ มเรยี กวา่ สมเดจ็ พระรษั ฎาธริ าช ๓ พระไชยราชาธิราชเสวยราชย์ทรงพระนามสมเด็จพระไชยราชาธิราช ตามที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ปัจจุบันใชส้ มเดจ็ พระชยั ราชาธริ าช ๔ วดั ชเี ชยี ง สนั นิษฐานวา่ คอื วดั ที่เปน็ ที่ตงั้ วหิ ารแกลบ ซากโบราณสถานหนา้ วหิ ารวดั มงคลบพติ ร จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ๕ เมอื งเชยี งกราน มอญเรยี กเดงิ กรายน์ อังกฤษเรียกอัตรัน อยตู่ ่อแดนไทยทางดา่ นเจดยี ส์ ามองค์ พลเมืองเป็นมอญ สมเดจ็ ฯ กรม พระยาดำรงราชานภุ าพทรงสนั นษิ ฐานไวใ้ นไทยรบพมา่ ว่า เหน็ จะเป็นเมืองขนึ้ ของไทยมาแตค่ รง้ั กรงุ สโุ ขทยั เป็นราชธานี ภายหลังเปลี่ยนชื่อ เปน็ แอมเฮสิ ต์ ตามนามของ Lord Amherst ผสู้ ำเรจ็ ราชการอนิ เดยี ซ่งึ บญั ชาการรบยึดเมืองนี้ได้ ปจั จบุ นั ข้ึนแควน้ ตะนาวศรี สหภาพพมา่ ๖ วันพุธที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๐๘๑ ๗ พระยานารายณ์ ๘ ตรงกับวนั พุธที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๐๘๘ คำนวณได้เป็นวนั ขน้ึ ๓ ค่ำ ๙ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๐๘๘ คำนวณไดเ้ ป็นวนั ขน้ึ ๑๓ ค่ำ ๑๐ ตรงกบั วนั องั คารท่ี ๒ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๐๘๘ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั แรม ๘ คำ่
พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๒๑ ณทพั หลวนัวงเส๑๑ดฯ๔จ็ ๗กลบัคคำ่ น๑ื จายกกเทมพัอื งไปเชตยง้ังิ เไชหยี มง่ ทอถงงึ ๒วนั แ๕ล๑ว้ฯย๕๙กไปคำ่ต๔ง้ั ณ เมอื งเชยงี ไหม่ ถงึ ณ วนั ๑๔ฯ ๙ คำ่ ๓ ทพั หลวงถงึ เมอื งกำแพงเพชญ แลว้ จงึ เสดจ็ มา ยงั พระนครศรอี ยทุ ธยา ฝา่ ยพระนครศรอี ยทุ ธยานน้ั ในวนั ๔ ๔ฯ ๓ คำ่ ๕ เกดิ เพลงิ ไหมถ้ งึ ๓ วนั จงึ ดบั ได้ แลจึงมีบาญชีเรือนเพลิงไหม้นั้น ๑๐,๐๕๐ เรือน ณ วัน ๑๑ฯ๑๒ ค่ำ๖ สมเด็จพระพีใชยราชาทีราชเจ้า เสด็จไปเมืองเชยีงใม่ย แลให้พญาพีศณูโลกเป็นทัพหน้า แลยกทัพหลวงเสด็จไปเมืองกำแพงเพชญ แรมทพั หลวงอยู่ ณ เมอื งกำแพงเพชญนน้ั เดอื นหนง่ึ ถงึ ณ วนั ๕ ฯ๖๓ คำ่ ๗ เสดจ็ ออกตง้ั ทพั ชยั ถงึ ณ วนั ๑๙ฯ ๓ คำ่ ๘ จงึ ยกทพั หลวงเสดจ็ ไปเมอื งเชยงี ใหม่ แล ณ วนั ๓ ๓ฯ ๔ คำ่ ๙ ไดเ้ มอื งลำภนู ไชย วนั ๖๑ฯ๓๔ คำ่ ๑๐ มอี บุ าทวเ์ หน็ เลอื ดตดิ อยู่ ณ ประตบู า้ นแลเรอื นแลวดั ทง้ั ปวง ในเมอื งแลนอกเมอื ง ทว่ั ทกุ ตำบล ถงึ ณ วนั ๒๑ฯ๕๔ คำ่ ๑๑ ยกทพั หลวงเสดจ็ จากเมอื งเชยงี ใมย่ มายงั พระนครสอี ยทุ ธญา ศกั ราช ๙๐๘ มะเมยี ศก (พ.ศ.๒๐๘๙) เดอื น ๖ นน้ั สมเดจ็ พระใชยราชาทรี าชเจา้ นฤพาน จงึ สมเดจ็ พระเจา้ ยอดฟา๑๒ พระราชกมุ ารทา่ นเสวยราชสมบตั พิ ระนครศรอี ยทู ยา ในปนี น้ั แผน่ ดนิ ไหว ศกั ราช ๙๑๐ วอกศก (พ.ศ.๒๐๙๑) วนั ๗ฯ๕๕ คำ่ ๑๓ เสดจ็ ออกสนามใหช้ นชา้ ง แลงาชา้ งพญาไฟ นน้ั หกั เปน็ ๓ ทอ่ น อนง่ึ อยู่ ๒ วนั ชา้ งตน้ พระฉดั ทนั ต๑๔ ไลร่ อ้ งเปน็ เสยี งสงั ข์ อนง่ึ ประตไู พพยน๑๕ ๑ ตรงกับวันอาทติ ยท์ ่ี ๗ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๐๘๘ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั แรม ๑๓ ค่ำ ๒ เมอื งเชยี งทอง อยู่ในเขตจงั หวดั ตาก ปัจจุบันยังคงมีตำบลชื่อ เชียงทอง ในเขตอำเภอเมอื งตากจดจงั หวดั กำแพงเพชร ๓ ตรงกับวนั อาทิตย์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๐๘๘ คำนวณได้เป็นวันขึน้ ๓ คำ่ ๔ ตรงกบั วันพฤหสั บดที ่ี ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๐๘๘ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั ขึน้ ๑๔ ค่ำ ๕ วนั พุธท่ี ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๐๘๘ ๖ ตรงกบั วันอาทิตยท์ ี่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๐๘๘ คำนวณไดเ้ ป็นวนั ขน้ึ ๑๐ คำ่ ๗ ตรงกบั วนั พฤหสั บดที ่ี ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๐๘๘ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั ขน้ึ ๕ คำ่ ๘ ตรงกับวนั อาทติ ยท์ ่ี ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๐๘๘ คำนวณได้เปน็ วันข้ึน ๘ ค่ำ ๙ ตรงกับวันองั คารท่ี ๒ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๐๘๘ คำนวณไดเ้ ป็นวนั ขนึ้ ๒ คำ่ ๑๐ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๑๒ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๐๘๘ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั ขน้ึ ๑๒ คำ่ ๑๑ ตรงกบั วนั จนั ทรท์ ่ี ๑ มนี าคม พ.ศ. ๒๐๘๘ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั แรม ๑๔ คำ่ พระร๑๑าช๒๓พงสปศมีาจเวด.ดศจ็ า.พ๙รรร๑ะะ๐ยบอุเดดวฟือันนา้ เถตพล่อิงรจะศารกกาตนชรโั้นงอกอรัสบีกพวันรคะพืออฤงหเคดัส์ใือหบนญดี่ข๘อเดงปสือี มนจเ.ดศ๕จ็ .๙พแร๑ระม๐ชยั๕รปาคีช่ำจา.ธศริว.า๙ันช๐๗เ๙ก๕ฯดิ วแัน๕ตท่ ค๗้า่ำวศ๕ฯจรสี๕ึงดุนาค่าจจ่ำันะทยตังรร์เปงพก็นรับปะสวี จันน.มเศสเ.อา๙กร๐์ท๙ี่ ๑๗เนมื่อีนงาจคามก พ.ศ. ๒๐๙๐ คำนวณได้เป็นวันขึ้น ๘ ค่ำ ซึ่งผิดกันถึง ๓ วัน ถ้าเป็น จ.ศ. ๙๑๐ จะตรงกับวันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๐๙๑ คำนวณได้เป็น วันขึ้น ๔ ค่ำ ๑๔ พระฉัททันต์ ๑๕ พระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาท
๒๒๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ รอ้ งเปน็ อบุ าทว์ ถงึ วนั ๑ ๕ฯ ๘ คำ่ ๑ สมเดจ็ พระเจา้ ยอดฟาเปน็ เหตุ จงึ ขนุ ชณี ราช๒ ไดร้ าชสมบตั ิ ๔๒ วนั แลขุนชีณราชแลแม่หญัวศรีสุดาจัน๓ เป็นเหตุ จึงเชิญสมเด็จพระเทียรราชาทีราช ๔ เสวยราชสมบัติ ทรงพระนามสมเด็จพระมหาจักกรพรรดี ๕ แลครั้นเสวยราชสมบัติได้ ๗ เดือน พญาหงษาปงัเสวกี ๖ ยกพลมายงั พระนครษรอี ยทุ ญาในเดอื น ๔ นน้ั เมอ่ื สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดเี จา้ เสดจ็ ออกไปรบศกึ หงษานน้ั สมเด็จพระอัครมเหสี๗ แลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราชบุตรี๘ เสด็จทรงช้างออกไปโดยเสด็จด้วย แลเมื่อได้รบศึกหงษานั้น ทัพหน้าแตกมาปะทัพหลวงเป็นโกลาหลใหญ่ แลสมเด็จพระอัครมเหสี แลสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอพระราชบตุ รนี น้ั ไดร้ บดว้ ยขา้ ศกึ ถงึ สน้ิ พระชนมก์ บั คอชา้ งนน้ั แลศกึ หงษา ครง้ั นน้ั เสยี สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธรี าชเจา้ ๙ แลสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอพระราเมสวร๑๐ ไปแกพ่ ญาหงษา แลจงึ เอาพญาปราบ๑๑ ชา้ งตน้ พญานภุ าพ๑๒ ตามไปสง่ ใหพ้ ญาหงษาถงึ เมอื งกำแพงเพชญ แลพญาหงษา จงึ สง่ พระมหาธรรมราชาทรี าชเจา้ สมเดจ็ พระราเมศวรเจา้ มายงั พระนครศรอี ยทุ ยา ศกั ราช ๙๑๑ ระกาศก (พ.ศ. ๒๐๙๒) ณ วนั ๗๑ฯ๐๒ คำ่ ๑๓ ไดช้ า้ งเผอื กพลายตำบลปา่ ตนาวศรี ๑๔ สงู ๔ ศอกมเี ศษชอ่ื ปดั ใจยนาเคนท๑๕ครง้ั นน้ั แรกใหก้ อ่ กำแพงพระนครศรอี ยทุ ยา ศกั ราช ๙๑๒ จอศก (พ.ศ.๒๐๙๓) เดอื น ๘ ขน้ึ ๒ คำ่ ๑๖ ทำการพระราชพธิ ปี ถมกรรม สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดเี จา้ ตำบลทาแดง๑๗ พระกรรมวาจาเปน็ พฤฒบิ าศ พระพเี ชฎเี ปน็ อษั ฎาจารย์ พระอนี โทร เปน็ กรมการ ๑ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๐๙๑ ๒ ขุนชินราช เป็นชู้กับทา้ วศรสี ดุ าจนั ทร์ ไดเ้ ลอ่ื นเปน็ ขนุ วรวงศาธริ าช ๓ แมย่ ว่ั ศรสี ดุ าจนั ทร์ ตำแหนง่ พระอคั รชายา เรยี ก “แมย่ วั่ เมือง” ๔ สมเด็จพระเทียรราชา ๕ สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาใช้ สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดริ าชาธริ าช ๖ พระยาหงสาปงั เสวกี คือกษัตริย์พมา่ ซง่ึ ขณะนน้ั ตง้ั ราชธานอี ยทู่ เ่ี มอื งหงสาวดี ทรงพระนาม พระเจา้ ตเบง็ ชเวต้ี ๗ สมเดจ็ พระสรุ โิ ยทยั ๘ คำใหก้ ารชาวกรงุ เกา่ ระบพุ ระนามวา่ พระบรมดลิ ก แตพ่ ระมหาเทวผี เู้ ปน็ พระอคั รมเหสี มไิ ดเ้ สดจ็ ออกรบดว้ ย ๙ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา พระราชบตุ รเขย ๑๐ สมเดจ็ พระราเมศวร พระราชโอรสพระองคใ์ หญ่ ๑๑ พระยาปราบ ๑๒ ช้างต้นพระยานุภาพ ๑๓ ตรงกบั วันเสารท์ ี่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๐๙๒ ๑๔ ตะนาวศรี เทือกเขาพรมแดนไทย-พม่าทางทิศตะวันตก ตั้งแตจ่ ังหวัดกาญจนบุรีถึงจังหวัดชุมพร ๑๕ ปัจจัยนาเคนทร์ ๑๖ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๐๙๓ ๑๗ ตำบลท่าแดง
พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๒๓ ศกั ราช ๙๑๔ ชวดศก (พ.ศ.๒๐๙๕) ครง้ั นน้ั ใหแ้ ปลงเรอื แซ๑ เปน็ เรอื ใชย๒ แลหวั สตั ว๓ ศกั ราช ๙๑๕ ฉลศู ก (พ.ศ.๒๐๙๖) เดอื น ๗ นน้ั แรกทำการพระราชพธิ มี ทั ยมยกรรม๔ สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดตี ำบลไชยนาทบรุ ี ๕ ศกั ราช ๙๑๖ ขาลศก (พ.ศ.๒๐๙๗) เสดจ็ ไปวงั ชา้ งตำบลบางลมงุ ๖ ไดช้ า้ งพลายพงั ๖๐ ชา้ ง อนง่ึ ในเดอื น ๑๒ นน้ั ไดช้ า้ งพลายเผอื กตำบลปา่ การบรู ยี ๗ สงู ๔ ศอกมเี ศษ ชอ่ื พระคเชนโทรดม๘ ศกั ราช ๙๑๗ เถาะศก (พ.ศ.๒๐๙๘) วนั ๒ ฯ๗๗ คำ่ ๙ ไดช้ า้ งเผอื กพลายตำบลปา่ เพชบรู ร๑๐ สงู ศอกคบื มเี ศษ ชอ่ื พระแกว้ ทรงบาต๑๑ ๔ ศกั ราช ๙๑๘ มะโรงศก (พ.ศ.๒๐๙๙) เดอื น ๑๒ แตง่ ทพั ไปลแวก๑๒ พญาองคสวรั คโลก๑๓เปน็ นายกองถอื พล ๓๐,๐๐๐ ให้พระมหามลตรี ๑๔ถอื อาชญาสทิ ธ์ิ พระมหาเทพถอื ววั เกวยี น ฝา่ ยทพั เรอื ไซร้ พญาเยาว๑๕ เป็นนายกอง ครั้งนั้นลมพัดขัดทัพเรือมิทันทัพบก แลพญารามหลักษณ๑๖ ซึ่งเกณฑ์เข้า ทัพบกนั้น เข้าบุกทัพในกลางคืน แลทัพพญารามหลักษณนั้นแตกมาปะทัพใหญ่ ครั้งนั้นเสียพญา องคสวรั คโลกนายกอง แลชา้ งมา้ รพ้ี ลมาก ๑ เรือแซ เรือรบไทยโบราณ สำหรับใช้ในแม่น้ำ เป็นเรือยาวขุดจากซุงทั้งต้นอย่างที่เรียกเรือมาด พลกรรเชียงประมาณ ๒๐ คน ใชล้ ำเลยี งทหารและอาวธุ ยทุ ธภณั ฑ์ ปจั จบุ นั ไมม่ ที ใ่ี ชแ้ ลว้ ๒ เรอื ชยั ดดั แปลงจากเรอื แซ แตย่ าวกวา่ เรว็ กวา่ เพราะยาวกวา่ ๔๐ เมตร กวา้ ง ๓ เมตรเศษ ใชพ้ ลพายถงึ ๖๐-๗๐ คน ปจั จบุ นั ใช้เป็นเรอื พระราชพธิ ี เรอื พระทน่ี ง่ั ตา่ ง ๆ เปน็ เรอื ชยั ทง้ั สน้ิ ๓ เรอื รปู สตั ว์ คือเรอื ศรี ษะสตั ว์ สรา้ งแบบเรอื ชยั แตท่ ำหวั เรอื กวา้ งสำหรบั ตง้ั ปนื ใหญ่ เหนือช่องปนื ทำเปน็ รูปสตั ว์ เช่น ครฑุ กระบ่ี (ลงิ ) อนั เปน็ เครอ่ื งหมายของกองตา่ ง ๆ ในกระบวนทพั ปจั จบุ นั ใชเ้ ปน็ เรอื พระราชพธิ ี ๔ พระราชพิธีมัธยมกรรม ๕ เมอื งชยั นาท ๖ บางละมุง ๗ ป่ากาญจนบุรี ๘ พระคเชนทโรดม ๙ ตรงกบั วันจนั ทร์ท่ี ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๐๙๘ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั แรม ๖ คำ่ ๑๐ ป่าเพชรบูรณ์ ๑๑ ในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกใช้ พระแกว้ ทรงบาศ ๑๒ เมอื งละแวก ตั้งแต่สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๒ เสดจ็ ยกทพั ไปตนี ครธมได้ กมั พชู าไดย้ า้ ยราชธานใี หไ้ กลกรงุ ศรอี ยธุ ยาหลายครง้ั และยา้ ยไปอย่เู มอื งละแวกตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๐๗๑ ๑๓ พระยาองคส์ วรรคโลก พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาวา่ พระองคส์ วรรคโลก เปน็ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอบญุ ธรรม ๑๔ พระมหามนตรี ๑๕ พระยาเยาว ๑๖ พระยารามลักษณ์
๒๒๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ศกั ราช ๙๑๙ มะเสง็ ศก (พ.ศ.๒๑๐๐) วนั ๑๑ฯ ๔ คำ่ ๑ เกดิ เพลงิ ไหมใ้ นพระราชวงั มาก อนง่ึ ในเดอื น ๓ นน้ั ทำการพระราชพธิ อี าจารยี าพเิ สก๒ แลทำการพระราชพธิ อี นี ทราพเี สก๓ ในวงั ใหม่ อนง่ึ เดอื น ๔ นน้ั พระราชทานสตั สดกมหาทาน แลใหช้ า้ งเผอื กพระราชทานมกี องเชงิ เงนิ ๔ เทา้ ชา้ งนน้ั เปน็ เงนิ ๑,๖๐๐ บาท แลพระราชทานรถ ๗ รถเทยี มดว้ ยมา้ แลมนี างสำหรบั รถนน้ั เสมอรถ ๗ นาง อนง่ึ ในเดอื น ๗ นน้ั เสดจ็ ไปวงั ชา้ งตำบลโตรกพระ ไดช้ า้ งพลายพงั ๖๐ ชา้ ง ศกั ราช ๙๒๑ มะแมศก ( พ.ศ.๒๑๐๒) เสดจ็ ไปวงั ชา้ งตำบลแสนตอ๔ ไดช้ า้ งพลายพงั ๔๐ ชา้ ง ศกั ราช ๙๒๒ วอกศก (พ.ศ. ๒๑๐๓ ) เสดจ็ ไปวงั ชา้ งตำบลวดั ใก๕ ไดช้ า้ งพลายพงั ๕๐ ชา้ ง อนง่ึ อยใู่ นวนั ๗ ฯ๘๑๒ คำ่ ๖ ไดช้ า้ งเผอื ก แลตาชา้ งนน้ั มไิ ดเ้ ปน็ เผอื ก แลลกู ตดิ มาดว้ ยตวั หนง่ึ ศกั ราช ๙๒๓ ระกาศก (พ.ศ.๒๑๐๔) พระศรสี นี ๗ บวชอยวู่ ดั มหาทาตแุ ลว้ หนอี อกไปอยตู่ ำบลมวง มดแดง๘ แลพระสงั ฆราชวดั ปาแกว้ ๙ ใหฤ้ กษแ์ กพ่ ระศรสี นิ ใหเ้ ขา้ มาเขา้ พระราชวงั ณ วนั ๗๑ฯ ๙ คำ่ ๑๐ ครง้ั นน้ั พญาศรรี าชเดโช๑๑ เปน็ โทษรบั พระราชอาชญาอยู่ แลพญาศรรี าชเดโชจงึ ใหไ้ ปวา่ แกพ่ ระศรสี รี รวา่ ครน้ั พน้ วนั พระแลว้ จะใหล้ งพระราชอาชญาฆา่ พญาศรี ราชเดโชเสยี แลขอใหเ้ รง่ ยกเขา้ มาใหท้ นั แตใ่ นวนั พระน้ี แลพระศรสี นี จงึ ยกเขา้ มาแตใ่ นวนั ๕๑ฯ๔๘ คำ่ ๑๒ เวลาเยน็ นน้ั มายงั กรงุ ครน้ั รงุ่ ขน้ึ ในวนั พระนน้ั พระศรสี นื เขา้ พระราชวงั ได้ ครง้ั นน้ั ไดพ้ ระศรสี นี มรณภาพในพระราชวงั นน้ั ครน้ั แลรวู้ า่ พระสงั ฆราชปาแกว้ ใหฤ้ กษ์ แกพ่ ระศีรสีนเปน็ แมน่ แลว้ ไซร้ กใ็ หเ้ อาพระสงั ฆราชปา่ แกว้ ไปฆา่ เสยี ๑ ปี จ.ศ. ๙๑๙ วันเถลิงศกตรงกับวันอังคาร เดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ วัน ๑ ๑ฯ ๔ ค่ำ จึง๑น่า๑ฯจ๔ะยคังเ่ำป็นตปรี งจก.ับศว.๙ันอ๑า๘ทิตยเน์ทื่อี่ ง๓จ๑ากมพกรระารคามช พงศาวดารระบุเดือนต่อจากนั้นอีก คือ เดือน ๗ ของปี จ.ศ. ๙๑๙ ปี จ.ศ. ๙๑๘ วัน พ.ศ. ๒๐๙๙ คำนวณได้เป็นวันขึ้น ๒ ค่ำ ถ้าเป็น จ.ศ. ๙๑๙ จะตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๑๐๐ คำนวณได้เป็นเดือน ๓ แรม ๑๔ คำ่ ๒ พระราชพิธีอาจาริยาภิเษก ๓ พระราชพิธีอินทราภิเษก ๔ ตำบลแสนตอ ปัจจุบันคือ อำเภอขาณวุ รลกั ษบรุ ี จงั หวดั กำแพงเพชร ๕ ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑ ฉบบั พมิ พ์ครงั้ แรกใช้ วดั ไก่ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาว่า ตำบลวดั กะได ๖ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๙ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๑๐๓ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั แรม ๗ คำ่ ๗ พระศรศี ลิ ป์ พระราชโอรสพระองคน์ อ้ ยของสมเดจ็ พระชยั ราชาธริ าช เกิดแตท่ ้าวศรสี ุดาจันทรพ์ ระสนมเอก ๘ ประชุมพงศาวดารภาคท่ี ๑ ฉบับพมิ พ์ครง้ั แรกใช้ ตำบลมว่ งมดแดง ๙ พระสังฆราชวัดป่าแก้ว ๑๐ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๐๔ คำนวณไดเ้ ปน็ เดอื น ๘ แรม ๑๕ คำ่ ๑๑ พระยาสีหราชเดโช ๑๒ ตรงกบั วนั พฤหสั บดที ่ี ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๐๔ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั แรม ๑๓ คำ่
พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๒๕ ศกั ราช ๙๒๔ จอศก (พ.ศ.๒๑๐๕) เสดจ็ ไปวงั ชา้ งตำบลใทรยยอยไดช้ า้ งพลายพงั ๗๐ ชา้ ง ศกั ราช ๙๒๕ กนุ ศก (พ.ศ.๒๑๐๖) พระเจา้ หงษานพี นั ตร๑ ยกพลลงมาในเดอื น ๑๒ นน้ั ครน้ั ถงึ วนั ๑๕ฯ ๒ คำ่ ๒ พระเจา้ หงษาไดเ้ มอื งพศี ณโู ลก ครง้ั นน้ั เมอื งพศี นโู ลกขา้ วแพง ๓ สดั ๓ ตอ่ บาท อนง่ึ คน ทง้ั ปวงเกดิ ทรพษิ ตายมาก แลว้ พระเจา้ หงษาจงึ ไดเ้ มอื งฝา่ ยเหนอื ทง้ั ปวง แลว้ จงึ ยกพลลงมายงั กรงุ พระนคร ศรี อยทุ ธยา ครง้ั นน้ั ฝา่ ยกรงุ พระนครศรี อยทุ ธยาออกเปน็ พระราชไมตรี แลสมเดจ็ พระมหากษตั รยิ เ์ จา้ ทง้ั สองฝา่ ยเสดจ็ มาทำสตั ยาธษิ ฐานหลง่ั นำ้ ทกั ษโิ ณทกตำบลวดั พระเมรุ แลว้ จงึ พระเจา้ หงษาขอเอาสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอพระราเมศวรเจา้ แลชา้ งเผอื ก ๔ ชา้ งไปเมอื งหงษา ครง้ั นน้ั พญาศรี สรุ ตานพญาตาหนี ๔ มาชว่ ยการศกึ พญาตาหนนี น้ั เปน็ ขบถ แลคมุ ชาวตานที ง้ั ปวงเขา้ ในพระราชวงั ครน้ั แลเขา้ ในพระราชวงั ไดเ้ อาชา้ งเผอื กมาขย่ี นื อยู่ ณ ทอ้ งสนาม แลว้ จงึ ลงชา้ งออกไป ณ ทางตะแลงแกง๕ แลชาวพระนคร เอาพวนขงึ ไวต้ อ่ รบดว้ ยชาวตาหนี ๖ๆ นน้ั ตายมาก แลพญาตานีนน้ั ลงสำเภาหนไี ปรอด ในปเี ดยี วนน้ั พระเจา้ ลา้ นชาง๗ ให้พระราชสาสน์ มาถวายวา่ จะขอสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอพระเทพกระษตั รเจา้ ๘ แลทรง พระกรุณาพระราชทานแกพ่ ระเจ้าหล้านช้าง แลครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระเทพกระษัตรเจ้าทรง พระประชวร จงึ พระราชทานสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอพระแกว้ ฟา๙ พระราชบตุ รใี หแ้ ก่พระหลานชาง ศกั ราช ๙๒๖ ชวดศก (พ.ศ.๒๑๐๗) พระเจา้ ลา้ นชา้ งจงึ ใหเ้ ชญิ สมเดจ็ พระแกว้ ฟา้ พระราชบตุ รี ลงมาส่งยังพระนครษรีอยุทธยา แลว่าจะขอสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระเทพกระษัตรเจ้านั้น แลจึง พระราชทานสมเดจ็ พระเทพกระษตั รเจา้ ไปแกพ่ ระเจา้ ลา้ นชา้ ง ครง้ั นน้ั พระเจา้ หงษารเู้ นอ้ื ความทง้ั ปวงนน้ั จงึ แตง่ ทพั มาซมุ่ อยกู่ ลางทาง แลออกชงิ เอาสมเดจ็ พระเทพกระษตั รเจา้ ได้ ไปถวายแกพ่ ระเจา้ หงษา อนง่ึ ในปนี น้ั นำ้ ณ กรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยานน้ั นอ้ ยนกั ๑ ในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑ ฉบบั พิมพ์คร้งั แรกใช้ พระเจา้ หงษานพิ ตั ร หมายถึง พระเจา้ บเุ รงนอง ๒ ตรงกับวันอาทติ ย์ที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๑๐๖ คำนวณได้เปน็ วนั แรม ๔ ค่ำ ๓ มาตราตวงโบราณ ๑ สัด เท่ากับ ๒๐ ลิตร ๔ พระยาศรสี ลุ ตา่ นพระยาตานี พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาวา่ พระยาตานศี รสี ลุ ตา่ น คือเจา้ เมอื งปตั ตานีขณะนน้ั ๕ ทางสแ่ี พรง่ ตอ่ มาความหมายเลอื นไปหมายถงึ สถานทป่ี ระหารนกั โทษ ๖ ชาวตานี ๗ พระเจา้ ลา้ นชา้ ง หรอื พระเจา้ กรงุ ศรสี ตั นาคนหตุ ขณะนั้น คือ พระไชยเชษฐา ๘ พระเทพกษตั รี พระราชธดิ าประสตู แิ ตส่ มเดจ็ พระสรุ โิ ยทยั ๙ พระแก้วฟ้า
๒๒๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ศกั ราช ๙๓๐ มะโรงศก (พ.ศ.๒๑๑๑) ในเดอื น ๑๒ นน้ั พระเจา้ หงษายกพลมาแต่เมอื งหงษา ครน้ั ถงึ วนั ๖๑ฯ ๑ คำ่ ๑ พระเจา้ หงษามาถงึ กรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยา ตง้ั ทพั ตำบลหลมพลี ๒ แลเมอ่ื ศึก หงษาเขา้ ลอ้ มพระนครศรอี ยทุ ยานน้ั สมเดจ็ พระมหาจกั กระพรรดเี จา้ ทรงพระประชวรนฤพาน แลครง้ั นน้ั สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอพระมหนี ทราธรี าช ๓ ตรสั มไิ ดน้ ำพาการศกึ แต่พระเจา้ ลกู เธอพระศรเี สาว๔ นน้ั ตรสั เอาพระทยั ใส่ และเสดจ็ ไปบญั ชาการทจ่ี ะรกั ษาพระนครทกุ วนั ครน้ั แลสมเดจ็ พระมหนี ทราธรี าชเจา้ ตรสั รวู้ า่ พระเจา้ ลกู เธอพระศรเี สาวเสดจ็ ไปบญั ชาการศกึ ทกุ วนั ดงั นน้ั กม็ ไิ ดไ้ วพ้ ระทยั กใ็ หเ้ อาพระเจา้ ลกู เธอ พระศรเี สาวนน้ั ไปฆา่ เสยี ณ วดั พระราม ครง้ั นน้ั การศกึ ซง่ึ จะรกั ษาพระนครนน้ั กค็ ลายลง ครน้ั ถงึ ศกั ราช ๙๓๑ มะเสง็ ศก (พ.ศ.๒๑๑๒) ณ วนั ๑๑ฯ๑๙ คำ่ ๕ เวลารงุ่ แลว้ ประมาณ ๓ นาฬกิ า ๖ ก็เสยี กรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยาแกพ่ ระเจา้ หงษา ครน้ั ถงึ ณ วนั ๖๖ฯ ๑๒ คำ่ ๗ ทำการปราบดาภเิ ษกสมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธริ าชเจา้ ๘ เสวยราชสมบตั ิ กรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยา อนง่ึ เมอ่ื พระเจา้ หงษาเสดจ็ กลบั คนื ไปเมอื งหงษานน้ั พระเจา้ หงษาเอาสมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าชเจา้ ขน้ึ ไปดว้ ย ศกั ราช ๙๓๒ มะเมยี ศก (พ.ศ.๒๑๑๓) พญาละแวกยกพลมายงั พระนครศรอี ยทุ ธยา พญา ละแวกยนื ชา้ งตำบลสามพหิ าร แลไดร้ บพงุ่ กนั แลชาวในเมอื งพระนครยงิ ปนื ออกไป ตอ้ งพญาจาม ปาธรี าช ๙ ตายกบั คอชา้ ง ครง้ั นน้ั ศกึ พญาละแวกเลกิ ทพั กลบั คนื ไป ในปนี น้ั นำ้ ณ กรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยา มาก ศกั ราช ๙๓๓ มะแมศก (พ.ศ.๒๑๑๔) นำ้ นอ้ ย อนง่ึ สมเดจ็ พระณะรายบพดิ รเปน็ เจา้ ๑๐ เสดจ็ ขน้ึ ไป เสวยราชสมบตั เิ มอื งพศิ ณโู ลก ๑ ตตน้รงฉกบับบั วสันมศดุุกไรท์ทยี่ ๑เข๙ยี นพหฤลศ,มจพิกาลยีบนา้ งพล.,ศม.พ๒ล๑บี ๑า้ ๑ง คำนวณได้เป็นเดือน ๑๒ แรม ๑๕ ค่ำ เปน็ ทงุ่ กวา้ งทาง ๒ ซง่ึ ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑ ฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรกใชต้ ำบลหลม่ พลี ทศิ เหนอื ของพระนครศรอี ยธุ ยา เรียกกันในปัจจุบันว่า ทงุ่ ลมุ พลี ๓ สมเด็จพระมหินทราธิราช ๔ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาวา่ พระเจ้าลูกยาเธอพระศรีเสาวราช ๕ ตรงกบั วนั อาทติ ยท์ ่ี ๗ สงิ หาคม พ.ศ.๒๑๑๒ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั แรม ๑๐ คำ่ ๖ ประมาณ ๙ นาฬกิ า ๗ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๑๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๑๑๒ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั ขน้ึ ๕ คำ่ ๘ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั เลขาใช้ สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ่ี ๑ พระมหาธรรมราชา ทั่วไปใช้ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา ๙ พระยาจามปาธิราช ๑๐ สมเดจ็ พระนารายณ์ หมายถงึ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช เสด็จขึ้นไปครองเมอื งพษิ ณโุ ลก ในฐานะพระมหาอปุ ราช
พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๒๗ ศกั ราช ๙๓๔ วอกศก (พ.ศ.๒๑๑๕) นำ้ นอ้ ยนกั ศกั ราช ๙๓๕ ระกาศก (พ.ศ.๒๑๑๖) นำ้ นอ้ ยเปน็ มธั ยม ศกั ราช ๙๓๖ จอศก (พ.ศ.๒๑๑๗) นำ้ มากนกั ครง้ั สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ๑ ทรงพระประชวรทรพษิ ศกั ราช ๙๓๗ กนุ ศก (พ.ศ.๒๑๑๘) พญาละแวกยกทพั เรอื มายงั พระนครศรอี ยทุ ธยา ในวนั ๗๑ฯ๐๑ ค่ำ๒ นน้ั ชาวเมอื งละแวกตง้ั ทพั เรอื ตำบลพแนงเชงี ๓ แลไดร้ บพงุ่ กนั ครง้ั นน้ั ศกึ ละแวกตา้ นมไิ ด้ เลกิ ทพั กลบั ไป แลจบั เอาคน ณ เมอื งปกั ใต้ ๔ ไปครง้ั นน้ั มาก ในปนี น้ั นำ้ ณ กรงุ ศรอี ยทุ ยานอ้ ย ศกั ราช ๙๔๐ ขาลศก (พ.ศ.๒๑๒๑) พญาละแวกแตง่ ทพั ใหม้ าเอาเมอื งเพชบรุ ยี ๕ มไิ ดเ้ มอื ง แลชาวละแวกนน้ั กลบั ไป ครง้ั นน้ั พญาจนี จนั ต๖ุ หนมี าแต่เมอื งละแวกมาสพู่ ระราชสมภาร ครน้ั อยมู่ า พญาจนี จนั ตกุ ห็ นกี ลบั คนื ไปเมอื ง ศกั ราช ๙๔๒ มะโรงศก (พ.ศ.๒๑๒๓) รอ้ื กำแพงกรงุ พระนครออกไปตง้ั ถงึ รมิ แมน่ ำ้ ศกั ราช ๙๔๓ มะเสง็ ศก (พ.ศ. ๒๑๒๔) ญาณประเชยรี ๗ เรยี นสาตราคมแลคดิ เปน็ ขบถ คนทง้ั ปวง สมคั รเขา้ ดว้ ยมาก แลยกมาจากเมอื งลพบรู ยี แลยนื ชา้ งอยตู่ ำบลหวั ตรี แลบรเทศคนหนง่ึ อยใู่ นเมอื งนน้ั ยงิ ปนื ออกไปตอ้ งญาณประเชยรี ตายกบั คอชา้ ง แลในปนี น้ั มหี นงั สอื มาแตเ่ มอื งหงษาวา่ ปมี ะเสง็ ตรศี กน้ี อธกิ มาสมไิ ด้ ฝา่ ยกรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยานม้ี อี ธกิ มาส อนง่ึ ในวนั ๗๙ฯ ๒ คำ่ ๘ รขู้ า่ วมาวา่ พระหงษา นฤพาน อนึ่งในเดือน ๓ นั้น พญาลแวกยกพลมาเมืองเพชรบูรีย ครั้งนั้นเสียเมืองเพชรบูรียแก่ พญาลแวก ๑ คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ๒ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๑๑๘ ๓ ยา่ นวัดพนัญเชิง เขตอำเภอพระนครศรอี ยธุ ยา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ในปัจจุบัน ๔ ปักใต้ ในที่นี้ คือ ปักหลักหรือตั้งหลักฐานบ้านช่องทางใต้พระนครศรีอยุธยา พระราชพงศาดารฉบับพระราชหัตถเลขาบันทึกว่า พระยาละแวกเข้ามาโจมตีกรุงศรีอยุธยาหลายครั้งทุกครั้งจะกวาดต้อนผู้คนตามหัวเมืองรายทางไปด้วย ครั้งหนึ่งเข้ามาทางปากน้ำ พระประแดง ได้กวาดต้อนชาวเมืองธนบุรี และเมืองนนทบุรีไปด้วย สองเมืองนี้น่าจะตรงกับปักใต้ในพระราชพงศาวดารฉบับอยุธยานี้ สว่ นฉบบั รัชกาลที่ ๑ ใช้ ปากใต้ ๕ เมอื งเพชรบรุ ี ๖ พระยาจีนจันตุ ๗ ญาณประเชยี ร พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาใช้ ญาณพเิ ชยี ร ๘ หากตรงกับวันเสาร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๑๒๔ คำนวณได้เป็นวันขึ้น ๖ ค่ำ หรือถ้าตรงกับวันเสาร์ที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๑๒๔ คำนวณได้เป็นวันขึ้น ๑๓ ค่ำ
๒๒๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ศกั ราช ๙๔๔ มะเมยี ศก (พ.ศ.๒๑๒๕) พญาลแวกแตง่ ทพั ใหม้ าจบั คนปลายดา่ นตะวนั ออก ศกั ราช ๙๔๕ มะแมศก (พ.ศ.๒๑๒๖) ครง้ั นน้ั เกดิ เพลงิ ไหมแ้ ต่จวนกลาโหม แลเพลงิ นน้ั ลาม ไปถงึ ในพระราชวงั แลลามไหมไ้ ปเมอื งทา้ ยเมอื ง ครง้ั นน้ั รขู้ า่ วมาวา่ ขา้ งหงษาทำทางมาพระนคร ศรอี ยทุ ธยา ศกั ราช ๙๔๖ วอกศก (พ.ศ.๒๑๒๗) ครง้ั นน้ั สมเดจ็ พระนรายเปน็ เจา้ เสวยราชสมบตั ิ ณ เมอื ง พศิ ณโุ ลก รขู้ า่ วมาวา่ พระเจา้ หงษากบั พระเจา้ อางวะ๑ ผดิ กนั ครง้ั นน้ั เสดจ็ ไปชว่ ยการศกึ พระเจา้ หงษา แลอยใู่ นวนั ๕ ๓ฯ ๕ คำ่ ๒ ชา้ งตน้ พลายสวศั ดมิ งคล๓ แลชา้ งตน้ พลายแกว้ จกั รรดั ๔ ชนกนั แลงาชา้ งตน้ พลายสวศั ดมิ งคลลยุ่ ขา้ งซา้ ย แลโหรทำนายวา่ หา้ มยาตรา แลมพี ระราชโองการตรสั วา่ ไดต้ กแตง่ การนน้ั สรรพแลว้ จงึ เสดจ็ พยหุ บาตราไป ครง้ั ถงึ ณ วนั ๔ ๙ฯ ๕ คำ่ ๕ เสดจ็ ออกตง้ั ทพั ชยั ตำบลวดั ยมท้ายเมอื ง กำแพงเพช ในวนั นน้ั แผน่ ดนิ ไหว แลว้ จงึ ยกทพั หลวงเสดจ็ ไปถงึ เมอื งแครง แลว้ จงึ ทพั หลวงเสดจ็ กลบั คนื มาพระนครศรอี ยทุ ธยา ฝา่ ยเมอื งพศิ ณโุ ลกนน้ั อยใู่ นวนั ๔๘ฯ๑๐ คำ่ ๖ เกดิ อศั จรรยแ์ มน่ ำ้ ทรายหวั เมอื ง พิศณุโลกนั้นป่วนขึ้นสูงว่าพื้นน้ำนั้น ๓ ศอก๗ อนึ่งเห็นสตรีภาพผู้หนึ่งหน้าประดุจหน้าช้าง แลทรง สณั ฐานประดจุ งวงชา้ ง แลหนู น้ั ใหญ่ นง่ั อยู่ ณ วดั ประสาท๘ หวั เมอื งพศิ ณโู ลก อนง่ึ ชา้ งใหญต่ วั หนง่ึ ยนื อยู่ ณ ทอ้ งสนามนน้ั อยกู่ ล็ ม้ ลงตายกบั ทบ่ี ดั เดย๋ี วนน้ั อนง่ึ เหน็ ตก๊ั แตนบนิ มา ณ อากาศเปน็ อนั มาก แลบงั แสงพระอาทติ ยบ์ ดมาแลว้ กบ็ นิ กระจดั กระจายสญู ไป ในปเี ดยี วนน้ั ใหเ้ ทครวั เมอื งเหนอื ทง้ั ปวงลงมายงั กรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยา ในปเี ดยี วนน้ั พระเจา้ หงษาให้พระเจา้ สาวถี ๙ แลพญาพสมี ๑๐ ยกพลลงมายงั กรงุ พระนคร แล ณ วนั ๔ ๒ฯ ๒ คำ่ เวลาเทย่ี งคนื แลว้ ๒ นาฬกิ า ๙ บาท๑๑ เสดจ็ พยหุ บาตราไปตง้ั ทพั ตำบล ๑ พระเจ้าอังวะ ๒ ปี จ.ศ.๙๔๖ วันเถลิงศกตรงกับวันจันทร์ เดือน ๕ แรม ๑๔ ค่ำ วัน ๕ ๓ฯ ๕ ค่ำ จึงน่าจะยังเป็นปี จ.ศ. ๙๔๕ เนื่องจาก พระราชพงศาวดารระบุเดือนต่อจากนั้นอีก คือเดือน ๑๐ จ.ศ. ๙๔๖ ปี จ.ศ. ๙๔๕ วัน ๕ ๓ฯ ๕ ค่ำ ตรงกบั วันพฤหสั บดีท่ี ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๑๒๖ ๓ ชา้ งตน้ พลายสวสั ดมิ งคล ๔ ชา้ งตน้ พลายแกว้ จกั รรตั น์ ๕ ถ้ายังเป็นปี จ.ศ. ๙๔๕ จะตรงกับวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๑๒๗ ๖ ตรงกับวันพุธที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๑๒๗ ๗ ๑.๕๐ เมตร ( ๑ ศอก เทา่ กับ ๕๐ เซนตเิ มตร ) ๘ ฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรกวา่ วดั ปราสาท ๙ พระเจา้ สาวถี คอื พระเจา้ เชยี งใหม่ ๑๐ พระยาพสมิ ๑๑ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๑๒๗ เวลา ๒ นาฬกิ า ๕๔ นาที สมยั โบราณ ไทยขน้ึ วนั ใหมเ่ มอ่ื ๖ นาฬกิ าแลว้
พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๒๙ สามขนอน ครง้ั นน้ั ศกึ หงษาแตกพา่ ยหนไี ป อนง่ึ มา้ ตวั หนง่ึ ตกลกู แลศรี ษะมา้ นน้ั เปน็ ศรี ษะเดยี ว แตต่ วั มา้ นน้ั เปน็ ๒ ตวั แลเทา้ มา้ นน้ั ตวั ละ ๔ เทา้ ประดจุ ชงิ ศรี ษะแกก่ นั ศกั ราช ๙๔๗ ระกาศก (พ.ศ.๒๑๒๘) พระเจา้ สาวถยี กพลลงมาครง้ั หนง่ึ เลา่ ตง้ั ทพั ตำบลสะเกษ๑ แลตง้ั อยแู่ ต่ ณ เดอื นยถ่ี งึ เดอื น ๔ ครน้ั ถงึ วนั ๔๗ฯ ๕ คำ่ เวลารงุ่ แลว้ ๔ นาฬกิ าบาท๒ เสดจ็ พยหุ บาตรา ตง้ั ทพั ชยั ตำบลลมพลี แล ณ วนั ๗๑ฯ๐๕ คำ่ ๓ เสดจ็ จากทพั ชยั โดยทางชลมารคไปทางปา่ โมก๔ มนี ก กระทงุ บนิ มาทง้ั ซา้ ยขวาเปน็ อนั มาก นำหนา้ เรอื พระทน่ี ง่ั ไป ครน้ั ถงึ วนั ๕๑ฯ๔๕ คำ่ ๕ เสดจ็ ทรงชา้ งพระทน่ี ง่ั พลายมงคนทวปี ๖ ออกดาชา้ งมา้ ทง้ั ปวงอยู่ ณ รมิ นำ้ แลพระอาทติ ยท์ รงกลด แลรสั มกี ลดนน้ั สอ่ งลงมา ตอ้ งชา้ งพระทน่ี ง่ั มที รงสณั ฐานประดจุ เงากลดนน้ั มากง้ั ชา้ งพระทน่ี ง่ั ครง้ั นน้ั ตที พั พระเจา้ สาวถี ซง่ึ ตง้ั อยู่ ตำบลสะเกษนน้ั แตกพา่ ยไป ในปเี ดยี วนน้ั มหาอปุ ราชายกพลมาโดยทางกำแพงเพชญ ตง้ั ทำนาอยทู่ น่ี น่ั ศกั ราช ๙๔๘ จอศก ๒(พ.คศำ่.๙๒๑แ๒ล๙พ)ระณเจา้ วหนั งษ๒า๘ฯเข๑า้ ๒ลอ้ คมำ่ พ๗ระพนรคะรเจา้ แหลงษตง้ัาทงาพั จตสี ำะบยลาขงะ๘นอยนกปพาลกลคงมู๑๐า ถงึ กรงุ พระนคร ณ วนั ๕ ๒ฯ แลทัพมหาอุปราชตั้งขนอนบางตนาว๑๑ แลทัพทั้งปวงนั้นก็ตั้งรายกันไปล้อมพระนครอยู่ แลครั้งนั้น ไดร้ บพงุ่ กนั เปน็ สามารถ แลพระเจา้ หงษาเลกิ ทพั คนื ไป ในศกั ราช ๙๔๙ (พ.ศ. ๒๑๓๐) นน้ั วนั ๒ ๑ฯบ๔๕างคกำ่ ด๑า๒น๑เส๓ดจ็วนัโด๖ย๑ทฯ๐าง๖ชลคมำ่ ๑า๔รคไเปสดตจ็ที พพั รมะหราาอชปุดำราเนชนิา อนั ตง้ั อยขู่ นอนบางตนาวนน้ั แตกพา่ ยลงไปตง้ั อยู่ ณ ๑ พระนิพนธ์คำอธิบายในสมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า บ้านสระเกศ แขวงเมอื งอา่ งทอง ๒ ตรงกับวนั พธุ ท่ี ๒๖ มนี าคม พ.ศ. ๒๑๒๘ เวลา ๑๐ นาฬิกา ๖ นาที ๓ ตรงกับวนั เสารท์ ี่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๑๒๘ ๔ อำเภอปา่ โมก จังหวดั อา่ งทอง ในปจั จบุ ัน ๕ ขนึ้ จลุ ศกั ราช ๙๔๘ แลว้ ตรงกับวนั พฤหัสบดที ี่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๑๒๙ ๖ ช้างพระที่นั่งพลายมงคลทวีป ๗ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๑๒๙ ๘ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ๙ ตรงกบั วนั พฤหสั บดที ่ี ๑๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๑๒๙ ๑๐ ขนอนปากคู เป็นดา่ นภาษสี ำหรบั ตรวจผคู้ นและเรอื ลกู คา้ กบั เกบ็ ภาษที เ่ี ขา้ ออกทางแม่น้ำน้อย ๑๑ ขนอนบางตะนาว ขนอนบางตะนาวศรี หรือขนอนหลวง เป็นด่านภาษีใหญ่สำหรับหัวเมืองชายทะเลและต่างประเทศ ๑๒ ปี จ.ศ.๙๔๙ วนั เถลงิ ศกตรงกบั วนั ศกุ ร์ ระบุเดือนต่อจากนั้นอีก ตั้งแต่เดือน ๖ เป็นต้นไป เดอื น ๖ ขน้ึ ๓ คำ่ วนั ๒ ๑ฯ๔๕ คำ่ จงึ นา่ จะยงั เปน็ ปี จ.ศ.๙๔๘ เนอ่ื งจากพระราชพงศาวดาร ถ้าเป็น จ.ศ.๙๔๘ วัน ๒๑ฯ๔๕ ค่ำ จะตรงกับวันจันทร์ที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๑๓๐ ๑๓ บางกระดาน ๑๔ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๑๓๐ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั แรม ๙ คำ่
๒๓๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ออกไปตที พั มหาอปุ ราชา อนั ลงไปตง้ั อยู่ ณ บางกดานนน้ั แตกพา่ ยไป วนั ๕ ๑ฯ ๗ คำ่ ๑ เสดจ็ พระราช ดำเนนิ พยหุ บาตราออกตง้ั ทพั ชยั ณ วดั เดชะ แลตง้ั คา่ ยขดุ คเู ปน็ สามารถ วนั ๕ ๘ฯ ๗ คำ่ ๒ เอาปนื ใหญล่ ง สำเภาขน้ึ ไปยงิ เอาคา่ ยพระเจา้ หงษา ๆ ตา้ นมไิ ดก้ เ็ ลกิ ทพั ไปตง้ั ณ ปาโมกใหญ่ วนั ๒๑ฯ๐๔ คำ่ ๓ เสดจ็ พระราชดำเนนิ ออกไปตที พั ขา้ ศกึ ๆ นน้ั แตกพา่ ย แลไลฟ่ นั แทงขา้ ศกึ เขา้ ไปจนคา่ ยพระเจา้ หงษานน้ั วนั ๓๑ฯ๐๔ คำ่ ๔ เสดจ็ พระราชดำเนนิ ออกตง้ั เปน็ ทพั ซมุ่ ณ ทงุ่ ลมพลี แลออกตที พั ขา้ ศกึ ครง้ั นน้ั ไดร้ บพงุ่ ตะลมุ บอนกนั กบั มา้ พระทน่ี ง่ั แลทรงพระแสงทวนแทงลาว๕ทหารตาย ครง้ั ขา้ ศกึ แตกพา่ ยเขา้ คา่ ย แลไล่ ฟนั แทงขา้ ศกึ เขา้ ไปจนถงึ หนา้ คา่ ย วนั ๒ ฯ๑๓๐ คำ่ ๖ เวลานาฬกิ าหนง่ึ จะรงุ่ ๗ เสดจ็ ยกทพั เรอื ออกไปตที พั พญาณคอร๘ ซง่ึ ตง้ั อยู่ ณ ปากนำ้ มทุ เุ ลานน้ั ครง้ั นน้ั เขา้ ตที พั ไดถ้ งึ ในคา่ ย แลขา้ ศกึ พา่ ยหนจี ากคา่ ยขา้ ศกึ เสยี สน้ิ แลพระเจา้ หงษากเ็ ลกิ ทพั คนื ไป แลพญาลแวกมาตง้ั ณ บางซาย ครง้ั นน้ั เสดจ็ ออกไปชมุ พลทง้ั ปวง ณ บางกดาน ถงึ วนั ๕ ฯ๑๓ คำ่ ๙ เวลาอษุ าโยค๑๐ เสดจ็ พยหุ บาตราจากบางกดานไปตง้ั ทพั ชยั ณ ซาย เคองี ๑๑ แลว้ เสดจ็ ไปลแวก ครง้ั นน้ั ไดช้ า้ งมา้ ผคู้ นมาก ศกั ราช ๙๕๐ ชวดศก (พ.ศ.๒๑๓๑) ณ วนั ๒ ๘ฯ ๑๒ คำ่ ๑๒ แผน่ ดนิ ไหว ศกั ราช ๙๕๑ ฉลศู ก (พ.ศ.๒๑๓๒) ขา้ วแพงเปน็ เกวยี นละสบิ ตำลงึ ๑๓ ปดิ ตราพญาณะราย๑๔ กำชบั ณ วนั ๖ ฯ๗๒ คำ่ ๑๕ แผน่ ดนิ ไหว ๑ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๑๓๐ คำนวณได้เป็นเดือน ๖ วันแรม ๑๕ ค่ำ ๒ ตรงกบั วันพฤหสั บดีท่ี ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๑๓๐ คำนวณได้เป็นวันขน้ึ ๗ คำ่ ๓ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๑๓๐ ๔ ตรงกบั วนั องั คารท่ี ๒๒ มนี าคม พ.ศ. ๒๑๓๐ ๕ ฉบบั อยธุ ยาเขยี น ลาว้ ฉบบั รชั กาลท่ี ๑ เขยี น ลาว ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑ ฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรกใช้ เหลา่ ๖ ชว่ งปลายปี จ.ศ.๙๔๙ พระราชพงศาวดารคงจะบนั ทกึ วนั และเหตกุ ารณ์สบั สน สำหรับวนั ๒๑ฯ๐๓ คำ่ ตรงกับวันที่ ๒๒ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๑๓๐ ๗ เวลา ๕ นาฬกิ า ๘ พระยานคร หมายถึงพระยานครลำปาง ๙ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๑๓๐ คำนวณได้เป็นเดือน ๒ แรม ๑๕ ค่ำ ๑๐ เวลาใกลร้ งุ่ ๑๑ ฉบบั อยุธยาลบเลอื นเห็นเพียง___เคอีง ฉบบั รชั กาลท่ี ๑ เขียน ชายเคริ ง ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑ ฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรกใช้ ซายเคอื ง ภายหลงั เรยี กกนั วา่ ทุ่งชายเคือง อยู่ในพื้นที่จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยาในปัจจุบัน ๑๒ ตรงกบั วันจันทรท์ ่ี ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๑๓๑ คำนวณไดเ้ ปน็ วันแรม ๑๒ คำ่ ๑๓ ๔๐ บาท (เงนิ ไทยโบราณ) ๑๔ ตราพระยานารายณ์ ๑๕ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๑๓๒
พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๓๑ นฤพาน ศกั ราช ๙๕๒ คขำ่า๒ลศกมห(าพอ.ปุศร.๒าช๑า๓ย๓ก)ทพั วมนั าโ๑ด๑ยฯ๓ท๘างกคาำ่ ญ๑บสรุ ยีมเดจ็ พครระง้ั พนน้ัทุ ไธดเจต้ า้ วั หพลญวงาพพรสะมี พตฤำฒบลารตาเชข้ วนั ๓๒ฯ ๑๒ สามพัน๓ ศกั ราช ๙๕๔ มะโรงศก (พ.ศ.๒๑๓๕) วนั ๖๒ฯ ๑๒ คำ่ ๔ อปุ ราชายกมาแตเ่ มอื งหงษา ณ วนั อ๗ปุ ฯ๑รา๑ชาคยำ่ ก๕มาเถพงึ ดแาดลนชเา้มงอื ตงน้สพพุ ญรราณใชบยรุ ายี ณภุ แาตพต่ ๖ง้ั ทตพั กตอำอบกลมพางัใตหรุญ๗ป่ รวะนั มา๑ณ๙ฯ ๕ องคลุ ี ครน้ั ถงึ เดอื นย่ี มหา ๒ คำ่ เวลารงุ่ แลว้ ๔ นาฬกิ า ๒ บาท๘ เสดจ็ พยหุ บาตราโดยทางชลมารค ฟนั ไมข้ ม่ นามตำบลหลมพลี ตง้ั ทพั ชยั ตำบลมวงวาน๙ แล ณ วนั ๔๑ฯ๒๒ คำ่ เวลารงุ่ แลว้ ๒ นาฬกิ า ๙ บาท๑๐ เสดจ็ พยหุ บาตราโดยทางสถลมารค อนง่ึ เมอ่ื จะใกลร้ งุ่ ขน้ึ วนั ๑๒ คำ่ นน้ั เหน็ พระสารรี กิ ธาตปุ าฏหิ ารยิ ไ์ ปโดยทางซง่ึ จะเสดจ็ นน้ั ถงึ วนั ๒ ๒ฯ ๒ คำ่ เวลารงุ่ แลว้ ๕ นาฬกิ า ๓ บาท๑๑ เสดจ็ ทรงชา้ งตน้ พญาใชยาณภุ าพ เสดจ็ ออกรบมหาอปุ ราชาตำบล หนองสราย๑๒ ครง้ั นน้ั มไิ ดต้ ามฤกษ์ แลฝาย๑๓ ฤกษห์ นอ่ ยหนง่ึ แลเมอ่ื ได้ชนชา้ งดว้ ยมหาอปุ ราชานน้ั สมเดจ็ พระณรายบพติ รเปน็ เจา้ ตอ้ งปนื ณ พระหตั ถข์ า้ งขวาหนอ่ ยหนง่ึ อนง่ึ เมอ่ื มหาอปุ ราชาขช่ี า้ งออก มายนื อยนู่ น้ั หมวกมหาอปุ ราชาใสน่ น้ั ตกลงถงึ ดนิ แลเอาคนื ขน้ึ ใสเ่ ลา่ ครง้ั นน้ั มหาอปุ ราชาขาดคอชา้ ง ตายในที่นั้น แลช้างต้นพญาใชยานุพาบซึ่งทรงแลได้ชนด้วยมหาอุปราชาแลมีชัยชนะนั้น พระราชทานให้ ชอ่ื เจา้ พญาปราบหงษา๑๔ ๑ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ นับเป็นวันทสี่ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช เสดจ็ ขน้ึ ครองราชยด์ ว้ ย ๒ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๑๓๓ ๓ ตำบลจระเขส้ ามพนั ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอพนมทวน จงั หวดั กาญจนบรุ ี ๔ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๑๓๕ ๕ ตรงกับวันเสาร์ท่ี ๑๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๑๓๕ ๖ ช้างต้นพระยาไชยานุภาพ ๗ ตำบลพงั ตรุ พงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยาหลายฉบบั วา่ ตระพังตรุ ปจั จุบนั อยูใ่ นเขตอำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ๘ ตรงกับวนั อาทติ ย์ที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๑๓๕ เวลา ๑๐ นาฬกิ า ๑๒ นาที ๙ ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑ ฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรกวา่ ตำบลมว่ งหวาน ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอบางบาล จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ๑๐ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๑๓๕ เวลา ๘ นาฬกิ า ๕๔ นาที ๑๑ ตรงกบั วนั จนั ทรท์ ่ี ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๑๓๕ เวลา ๑๑ นาฬิกา ๑๘ นาที ๑๒ ตำบลหนองสาหร่าย ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอดอนเจดีย์ จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี ๑๓ ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑ ฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรกวา่ ฝา่ ๑๔ เจ้าพระยาปราบหงสาวดี
๒๓๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ศกั ราช ๙๕๕ มะเสง็ ศก (พ.ศ.๒๑๓๖) วนั ๒ ๕ฯ ๑๐ คำ่ ๑ เสดจ็ เถลงิ พระมหาปราสาท ครง้ั นน้ั ทรงพระโกรธแกม่ อน๒ ใหเ้ อามอนเผาเสยี ประมาณ ๑๐๐ ณ วนั ๖๑ฯ๐ ๒ คำ่ ๓ เวลารงุ่ แลว้ ๓ นาฬกิ า ๖ บาท๔ เสดจ็ พยหุ บาตราไปเอาเมอื งละแวก แลตง้ั ทพั ชยั ตำบลบางขวด เสดจ็ ไปครง้ั นน้ั ไดต้ วั พญาศรี สพุ รร๕ ในวนั ๑ ๑ฯ ๔ คำ่ ๖ นน้ั ศกั ราช ๙๕๖ มะเมยี ศก (พ.ศ.๒๑๓๗) ยกทพั ไปเมอื งสะโตง ศกั ราช ๙๕๗ มะแมศก (พ.ศ.๒๑๓๘) วนั ๑ ฯ๓๑ คำ่ ๗ เวลารงุ่ แลว้ ๓ นาฬกิ า ๙ บาท๘ เสดจ็ พยหุ บาตราไปเมอื งหงษา ครง้ั กอ่ นฟนั ไมข้ ม่ นามตำบลลมพลี ตง้ั ทพั ชยั ตำบลหมวงหวาน ถงึ วนั ๒๑ฯ๓๔ คำ่ ๙ เวลาเทย่ี งคนื แลว้ เขา้ ปลน้ เมอื งหงษามไิ ด้ ทพั หลวงเสดจ็ กลบั คนื มา ศกั ราช ๙๕๘ วอกศก (พ.ศ.๒๑๓๙) วนั ๓ ๔ฯ ๖ คำ่ ๑๐ ลาวหนี ขนุ จา่ เมอื งรบลาวตำบล ตะเคยรี ดอน๑๑ แล ณ วนั ๕ ๖ฯ ๓ คำ่ ๑๒ ฝนตกหนกั หนา ๓ วนั ดจุ ฤดฝู น ศกั ราช ๙๖๑ กนุ ศก (พ.ศ.๒๑๔๒) วนั ๕๑ฯ๑๑๑ คำ่ ๑๓ เวลารงุ่ แลว้ ๒ นาฬกิ า ๘ บาท๑๔ เสดจ็ พยหุ บาตราไปเมอื งตองหอู๑๕ ฟนั ไมข้ ม่ นามตำบลลมพลี ตง้ั ทพั ชยั ตำบลวดั ตาล แลในเดอื น ๑๑ นน้ั สงกรานต์ พระเสารแ์ ตร่ าศกี นั ยไ์ ปราศตี ลุ ครน้ั ถงึ วนั ๔๑ฯ๐๔ คำ่ ๑๖ เสดจ็ พระราชดำเนนิ ถงึ เมอื งตองอหู แลทพั หลวงเขา้ ตง้ั ใกล้เมอื งตองอูประมาณ ๓๐ เสน้ ๑๗ แลตง้ั อยทู่ น่ี น้ั ๒ เดอื น ขาดอาหารพน้ กำลงั ๑ ตรงกบั วนั จนั ทรท์ ่ี ๓๐ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๑๓๖ ๒ มอญ ๓ ตรงกับวนั ศุกร์ท่ี ๓๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๑๓๖ ๔ เวลา ๙ นาฬกิ า ๓๖ นาที ๕ พระยาศรสี พุ รรณ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาวา่ พระศรสี พุ รรณมาธริ าช พระอนุชาพระยาละแวก ๖ ตรงกับวนั อาทติ ยท์ ี่ ๖ มนี าคม พ.ศ. ๒๑๓๖ ๗ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๑๓๘ ๘ เวลา ๙ นาฬิกา ๕๔ นาที ๙ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๑๓๘ ๑๐ ตรงกับวนั วันองั คารท่ี ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๑๓๙ คำนวนได้เป็นวันขึน้ ๕ คำ่ ๑๑ ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑ ฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรกวา่ ตำบลตะเคยี นดว้ น ๑๒ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๑๓๙ ๑๓ ตรงกบั วันพฤหสั บดที ่ี ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๑๔๒ ๑๔ เวลา ๘ นาฬกิ า ๔๘ นาที ๑๕ เมอื งตองอู ๑๖ ตรงกับวันพุธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๑๔๒ ๑๗ ๑,๒๐๐ เมตร
พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๓๓ ไพรพ่ ลทง้ั ปวงตายดว้ ยอดอาหารเปน็ อนั มาก ครน้ั วนั ๔ ฯ๖๖ คำ่ ๑ ทพั หลวงเสดจ็ กลบั คนื มายงั พระนคร ศรอี ยทุ ยา ศกั ราช ๙๖๓ ฉลศู ก ( พ.ศ.๒๑๔๔ ) เดอื น ๗ เดอื นเดยี วนน้ั มสี รุ ยิ ปุ ราคา ในปนี น้ั รบั พระอศิ วร แลพระนารายนเ์ ปน็ เจา้ ไปถวายพระพรพรอ้ มกนั วนั เดยี วทง้ั ๔ คานหาม ศกั ราช ๙๖๔ ขาลศก (พ.ศ.๒๑๔๕) เสดจ็ ไปประพาสลพบรุ ยิ ศกั ราช ๙๖๕ เถาะศก (พ.ศ.๒๑๔๖) ทพั พระเจา้ ฝา่ ยหนา้ ๒ เสดจ็ ไปเอาเมอื งขอมได้ ศกั ราช ๙๖๖ มะโรงศก (พ.ศ.๒๑๔๗) วนั ๕ ๓ฯ ๒ คำ่ ๓ เสดจ็ พยหุ บาตราจากปาโมกโดยทาง ชลมารค แลฟนั ไมข้ ม่ นามตำบลเอกราช ตง้ั ทพั ชยั ตำบลพระหลอ่ วนั นน้ั เปน็ วนั อนุ แลเปน็ สงกรานต์ พระเสารไ์ ปราศธี นูเปน็ องศาหนง่ึ ครง้ั นน้ั เสดจ็ พระราชดำเนนิ ถงึ เมอื งหลวง๔ตำบลทงุ่ ดอนแกว้ ๕ ๑ ตรงกับวันพุธที่ ๓ พฤษภาคม เป็นปี จ.ศ. ๙๖๒ หรือ พ.ศ. ๒๑๔๓ แล้ว ๒ หมายถึง สมเดจ็ พระเอกาทศรถ ขณะนน้ั ทรงดำรงพระอสิ รยิ ยศเปน็ พระมหาอปุ ราช ๓ ตรงกบั วนั พฤหสั บดที ่ี ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๑๔๗ คำนวณไดเ้ ปน็ วนั แรม ๒ คำ่ ๔ ๕ ๑๑ฉพ๔บระับ๙รราัชชวกันพางลศ๒ทา๑ี่ฯว๑๔ด๑าบรันฉคทบ่ำึกบั ตพต่อรรวะง่ารกาับช“วหสันตัิ้นจถฉันเบทลับรข์ทแาลี่ว๒า่้ว๔หเามธตอืัน่องวไหาปคา้ เถงมหิดพลว.ศงเข. ีย๒คนอื๓จเ๓มบ๐อื งณหคาำวงนันวอณ๒ย๑ไู่ทฯด๔ีร่ ้เฐั๑ปฉ็นาควน่ำันขศสึ้นักหร๑ภา๕าชพคพ๑่ำม๑า่ ๔๙ มะแมศก ชุมเขยี นแล” ใน จ.ศ.
๒๓๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑
๒๓๕ พระราชพงศาวดาร ความเกา่
๒๓๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑
พระราชพงศาวดาร ความเกา่ ๒๓๗ คำนำ๑ พระราชพงษาวดารฉบบั จลุ ศกั ราช ๑๑๓๖ นายเสถยี รรกั ษา (กองแกว้ มานติ ยกลุ ) ต.จ. บตุ ร เจา้ พระยานรรตั นราชมานติ ให้แกห่ อพระสมดุ ฯ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๓ ไดม้ าแตเ่ ลม่ ๓ เลม่ สมดุ ไทยเดยี ว ซ้ำตัวหนังสือในเล่มสมุดนั้นลบเลือนก็หลายแห่ง ว่าโดยเรื่องพระราชพงษาวดาร ผิดกับฉบับอื่น มีฉบับ พระราชหัดถเลขาเปนต้น แต่เล็กน้อย ข้อสำคัญของหนังสือฉบับนี้อยู่ที่สำนวนหนังสือ เปนสำนวน แต่งครั้งกรุงเก่า เปนโครงเดิมของหนังสือพระราชพงษาวดาร ที่เราได้อ่านกันในชั้นหลัง พิมพ์ไว้ให้ ผศู้ กึ ษาโบราณคดี เหน็ หลกั ฐานในทางประวตั ขิ องการแตง่ หนงั สอื พระราชพงษาวดาร วา่ เดนิ โดยอนั ดบั มา อยา่ งไร ประวตั ขิ องหนงั สอื พระราชพงษาวดาร ขา้ พเจา้ เคยไดก้ ลา่ วไวใ้ นคำนำหนงั สอื พระราชพงษาวดาร ฉบบั พระราชหดั ถเลขา เมอ่ื พมิ พค์ รง้ั แรกใน พ.ศ. ๒๔๕๕ แลเมอ่ื พมิ พเ์ ลม่ ๑ ครง้ั ท่ี ๒ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๗ ตอ่ มาขา้ พเจา้ ไดต้ รวจสอบหนงั สอื พระราชพงษาวดารตา่ ง ๆ ทม่ี อี ยใู่ นหอพระสมดุ ฯ เหน็ ความทก่ี ลา่ วไว้ แต่ก่อนจะเคลื่อนคลาศอยู่บ้าง ตามการที่ได้สอบสวนมาจนเวลานี้ เข้าใจว่าเรื่องประวัติหนังสือพระราช พงษาวดารจะมมี าเปนชน้ั ๆ ดงั น้ี คอื :- ๑. หนังสือพระราชพงษาวดารฉบับแรก แต่งในแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์มหาราช เมื่อปีวอก โทศก จลุ ศกั ราช ๑๐๔๒ พ.ศ. ๒๒๒๓ หนงั สอื พระราชพงษาวดารฉบบั น้ี เรยี กในหอพระสมดุ ฯ วา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ แลไดพ้ มิ พไ์ วใ้ นหนงั สอื ประชมุ พงษาวดารภาคท่ี ๑ แลว้ ๒. ต่อมาในชั้นกรุงเก่านั้น เข้าใจว่าเห็นจะเปนในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ มีรับสั่งให้ แต่งหนังสือพระราชพงษาวดารขึ้นอิกฉบับ ๑ คือฉบับที่พิมพ์ในหนังสือประชุมพงษาวดารภาคที่ ๔ นี้ ทร่ี ไู้ ดว้ า่ เปนหนงั สอื แตง่ ครง้ั กรงุ เกา่ เพราะสำนวนทแ่ี ตง่ เปนสำนวนเกา่ ใกลเ้ กอื บจะถงึ สำนวนทแ่ี ตง่ พระราช พงษาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ แตม่ ใิ ชฉ่ บบั เดยี วกนั ดว้ ยเรอ่ื งซำ้ กนั แลความในฉบบั หลงั พศิ ดารกวา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ หนงั สอื พระราชพงษาวดาร ๒ ฉบบั น้ี เปนหลกั ฐานใหเ้ ขา้ ใจวา่ เมอ่ื ครง้ั กรงุ เกา่ นน้ั มหี นงั สอื พระราชพงษาวดาร ๒ ฉบบั ๆ ความยอ่ แตง่ ในแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระนารายนม์ หาราชฉบบั ๑ ฉบบั ความ พิศดาร แต่งเมื่อราวแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐฉบับ ๑ ฉบับความย่อตั้งต้นเรื่องตั้งแต่ สรา้ งพระเจา้ พนญั เชงิ ฉบบั ความพศิ ดารจะตง้ั ตน้ เรอ่ื งตรงไหนรไู้ มไ่ ด้ แตฉ่ บบั ทม่ี อี ยใู่ นหอพระสมดุ ฯ เลม่ ๓ ๑ ตัดตอนจากคำนำหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๔ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๕๘ พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ คงตวั สะกด การนั ต์ ตามตน้ ฉบบั เดมิ
๒๓๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ สมุดไทย ความกล่าวในตอนแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิตอนปลาย เอาความข้อนี้เปนหลัก สนั นฐิ านวา่ ฉบบั พศิ ดารตง้ั เรอ่ื งตง้ั แตพ่ ระเจา้ อทู่ องสรา้ งกรงุ ศรอี ยทุ ธยา เหน็ จะไมผ่ ดิ ๓. เมอ่ื กรงุ เกา่ เสยี แกพ่ มา่ ขา้ ศกึ บา้ นเมอื งเปนจลาจล หนงั สอื เปนอนั ตรายหายสญู เสยี ครง้ั นน้ั มาก ครั้นพระเจ้ากรุงธนบุรกี ลับตั้งเปนอิศรได้ จึงให้รวบรวมหนังสือพระราชพงษาวดารครั้งกรุงเก่าทั้ง ๒ ฉบับ ที่กล่าวมาแล้ว ฉบับย่อที่แต่งในแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์มหาราช หาฉบับได้ในครั้งกรุงธนบุรี สิ้นเรื่องเพียงสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ความที่กล่าวข้อนี้มีหลักฐาน ด้วยหอพระสมุด ฯ ไดห้ นงั สอื พระราชพงษาวดารความยอ่ นน้ั ไว้ ๒ ฉบบั ฉบบั ๑ ฝมี อื เขยี นครง้ั กรงุ เกา่ หลวงประเสรฐิ หามาได้ อกิ ฉบบั ๑ เปนตวั ฉบบั หลวงของพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี กรมพระสมมตอมรพนั ธป์ุ ระทาน เอาหนงั สอื ๒ ฉบบั น้ี สอบกันดู ความขึ้นต้นลงท้ายเท่ากัน จึงรู้ได้เปนแน่ว่า ครั้งกรุงธนบุรีหาฉบับได้เพียงเท่านั้นเอง ส่วน ฉบับความพิศดารนั้น จะหาได้ในครั้งกรุงธนบุรีกี่เล่มทราบไม่ได้ เพราะหอพระสมุด ฯ หาได้แต่ ๓ เล่ม แต่มีหลักฐานมั่นคง รู้ได้ว่าในครั้งกรุงธนบุรีรวบรวมหนังสือพระราชพงษาวดารครั้งกรุงเก่าไม่ได้ฉบับครบ แลเข้าใจว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีเปนแต่ได้รวบรวมหนังสือพระราชพงษาวดารไว้ ถ้าจะได้แต่งเพิ่มเติม ในครง้ั กรงุ ธนบรุ บี า้ งกแ็ ตเ่ ลก็ นอ้ ย ๔. มาจนในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร เมื่อปีเถาะสัปตศกจุลศักราช ๑๑๕๗ พ.ศ. ๒๓๓๘ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก จงึ ไดท้ รงชำระหนงั สอื พระราชพงษาวดารฉบบั กรงุ เกา่ แลแตง่ เตมิ ทบ่ี กพรอ่ ง มหี นงั สอื พระราชพงษาวดารสำหรบั พระนครบรบิ รู ณข์ น้ึ ในครง้ั นน้ั หนงั สอื พระราชพงษาวดาร ชุดนี้มีบานแพนกบอกปีแลการที่ทรงชำระหนังสือพระราชพงษาวดารไว้เปนหลักฐาน การชำระหนังสือ พระราชพงษาวดารครง้ั รชั กาลท่ี ๑ เอาฉบบั ครง้ั กรงุ เกา่ ทง้ั ฉบบั ยอ่ แลฉบบั พศิ ดารเปนหลกั เหน็ จะระวงั รกั ษา เรอ่ื งของเดมิ มาก ในตอนขา้ งตน้ ทไ่ี มม่ ฉี บบั พศิ ดาร จงึ คดั เอาฉบบั ยอ่ ลงเตม็ สำนวนโดยมาก ตอนทม่ี ฉี บบั พิศดาร ก็เปนแต่เอาฉบับเดิมมาแก้ไขถ้อยคำ เพื่อจะให้เปนสำนวนเดียวกับที่ต้องแต่งใหม่ แตป่ ระโยคตอ่ ประโยคยงั คงกนั อยโู่ ดยมาก ความทก่ี ลา่ วนถ้ี า้ ผใู้ ดเอาหนงั สอื พระราชพงษาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ แลฉบบั ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงษาวดารภาคท่ี ๔ น้ี ไปสอบกบั พระราชพงษาวดารความพศิ ดาร จะเปนฉบับที่หมอบรัดเลพิมพ์ก็ตาม ฉบับพระราชหัดถเลขาก็ตาม จะแลเห็นจริงได้ดังข้าพเจ้าว่า เพราะหนังสือพระราชพงษาวดารความพิศดารที่พิมพ์ทั้ง ๒ ฉบับนั้น ที่จริงเปนแต่แก้ไขหนังสือ พระราชพงษาวดารฉบบั รชั กาลท่ี ๑ ในทบ่ี างแหง่ เทา่ นน้ั
พระราชพงศาวดาร ความเกา่ ๒๓๙ ทข่ี า้ พเจา้ รสู้ กึ วา่ ขา้ พเจา้ พลาดไป ในความวนิ จิ ฉยั แตก่ อ่ นนน้ั คอื ทไ่ี ปเขา้ ใจวา่ ไดแ้ ตง่ หนงั สอื พระราช พงษาวดารครั้งกรุงธนบุรี เมื่อมาพิจารณาหนังสือมากเข้า เห็นว่าครั้งกรุงธนบุรีเปนแต่ได้รวมฉบับ หนังสือครั้งกรุงเก่าที่พลัดพรายเข้าไว้ในหอหลวง ที่ได้มาแต่งให้พระราชพงษาวดารมีขึ้นบริบูรณ์ สำหรับพระนครดังแต่ก่อน เปนการในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร ควรเฉลิมเปนพระเกียรติยศ ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ที่ได้ทรงรวบรวมแลชำระหนังสืออันเปนตำราสำหรับบ้านเมือง สำเร็จถึง ๓ อย่าง คือสังคายนาพระไตรปิฎกอย่าง ๑ ชำระพระราชกำหนดกฎหมายอย่าง ๑ ชำระพระราชพงษาวดารอย่าง ๑ พระราชพงษาวดารที่ชำระในรัชกาลที่ ๑ นั้น ไม่ใช่แต่ซ่อมแซมของเก่า ทฉ่ี บบั ขาดอยา่ งเดยี ว ไดแ้ ตง่ เรอ่ื งพระราชพงษาวดารตอ่ ลงมาจนถงึ เสยี กรงุ เกา่ ดว้ ยอกิ ตอน ๑ ๕. ตอ่ มาถงึ รชั กาลท่ี ๓ จะเปนในปใี ดยงั ไมพ่ บจดหมายเหตุ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงอาราธนาสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส แต่ยังดำรงพระยศเปนกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ให้ทรงชำระเรื่องพระราชพงษาวดารอิกครั้ง ๑ พระราชพงษาวดารที่สมเด็จกรมพระปรมานุชิต ชโิ นรสทรงชำระสำเรจ็ รปู เปนฉบบั ทห่ี มอบรดั เลพมิ พ์ สงั เกตดทู างสำนวนในตอนขา้ งตน้ ทแ่ี ตง่ มาแตใ่ น รชั กาล ที่ ๑ แล้วนั้น เปนแต่แก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำให้เพราะขึ้น ส่วนตัวเรื่องพระราชพงษาวดารได้แต่ง ต่อมาอิกตอน ๑ เริ่มแต่พระเจ้ากรุงธนบุรีหนีออกจากกรุงเก่า จดไว้ในหนังสือฉบับหมอบรัดเลพิมพ์ ว่าแผ่นดินพระเจ้าตาก (สิน) แต่งเรื่องตลอดรัชกาลกรุงธนบุรี แลต่อมาในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร จนถึงเจ้าพระยายมราชยกกองทัพออกไปเมืองทวาย เมื่อปีชวดจัตวาศกจุลศักราช ๑๑๕๔ พ.ศ. ๒๓๓๕ ความทก่ี ลา่ วตอนนไ้ี มต่ อ้ งอา้ งหลกั ฐาน ดว้ ยบรรดาผศู้ กึ ษาโบราณคดที ราบอยทู่ ว่ั กนั แลว้ ๖. ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๔ ราวปีเถาะสัปตศก จุลศักราช ๑๒๑๗ พ.ศ.๒๓๙๘ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กบั กรมหลวงวงษาธริ าชสนทิ ทรงชว่ ยกนั ชำระหนงั สอื พระราชพงษาวดารอกิ ครง้ั ๑ ความขอ้ นม้ี ปี รากฎในพระราชหดั ถเลขาถงึ เซอ ยอนเบารงิ ในปนี น้ั มสี ำเนาพมิ พไ์ วใ้ นหนงั สอื เรอ่ื งเมอื งไทย ที่เขาแต่งเล่ม ๒ น่า ๔๔๔ การชำระครั้งรัชกาลที่ ๔ แก้ไขถ้อยคำเรียบร้อยดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ส่วนตัว เรื่องก็ได้ทรงแก้ไขเพิ่มเติมในตอนที่แต่งมาแล้วหลายแห่ง แต่ไม่ได้ทรงแต่งเรื่องต่อสำเร็จรูปเปนหนังสือ พระราชพงษาวดารฉบับพระราชหัดถเลขา ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงษ์วรเดชทรงพิมพ์ เปนครง้ั แรก เมอ่ื ปชี วดจตั วาศก จลุ ศกั ราช ๑๒๔๗ พ.ศ. ๒๔๕๕
๒๔๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ๗. ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่านพิภพ เมื่อปีมโรง สมั ฤทธศิ ก จลุ ศกั ราช ๑๒๓๐ พ.ศ. ๒๔๑๑ ในปนี น้ั เอง มรี บั สง่ั ใหเ้ จา้ พระยาทพิ ากรวงษ์ (ขำ บนุ นาค) แตง่ หนงั สอื พระราชพงษาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร ตอ่ จากท่สี มเดจ็ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรสไดท้ รงแตง่ คา้ งไว้ เจ้าพระยาทิพากรวงษ์ท่านเก็บรวบรวมจดหมายเหตุต่าง ๆ เปนต้นว่า หมายรับสั่ง แลท้องตรา ใบบอกหัวเมือง ซึ่งมีอยู่ตามต่างกระทรวงไปรวบรวมแต่งพระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทรขึ้นทั้ง ๔ รัชกาล แต่งแล้วถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ทรงตรวจอิกชั้น ๑ แล้วจึงนำขึ้น ทลู เกลา้ ฯ ถวาย หนงั สอื พระราชพงษาวดารทเ่ี จา้ พระยาทพิ ากรวงษแ์ ตง่ ทำเรว็ เปนอศั จรรย์ หนงั สอื ราว ๑๐๐ เลม่ สมดุ ไทย แตง่ แลว้ ไดถ้ วายภายใน ๒ ปี ตอ่ มาถงึ ปฉี ลตู รศี ก จลุ ศกั ราช ๑๒๖๓ พ.ศ.๒๔๔๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์จะให้พิมพ์หนังสือพระราชพงษาวดาร กรงุ รตั นโกสนิ ทร ทรงพระราชดำรหิ ว์ า่ หนงั สอื ทเ่ี จา้ พระยาทพิ ากรวงษแ์ ตง่ ไว้ เปนดว้ ยรบี ทำ ยงั ไมเ่ รยี บรอ้ ย ควรแก่การพิมพ์ทีเดียว จึงมีรับสั่งให้ข้าพเจ้ารับน่าที่ตรวจชำระหนังสือพระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทร สำหรบั การทจ่ี ะพมิ พต์ ามพระราชประสงค์ ขา้ พเจา้ ไดต้ รวจชำระสว่ นรชั กาลท่ี ๑ สำเรจ็ แลไดพ้ มิ พแ์ ตใ่ นปนี น้ั รัชกาลที่ ๑ ครั้นตรวจมาถึงรัชกาลที่ ๒ เห็นฉบับเดิมบกพร่องมากนัก เรื่องราวเหตุการณ์ในรัชกาลที่ ๒ ยังมีอยู่ในหนังสืออื่น เปนหนังสือต่างประเทศโดยมาก ควรจะรวบรวมเรื่องตรวจเสียใหม่ แล้วจึงค่อยพิมพ์จึงจะดี ด้วยเหตุนี้ประการ ๑ ประกอบกับที่ข้าพเจ้าติดธุระในตำแหน่งราชการมาก ด้วยอิกประการ ๑ การที่จะตรวจชำระหนังสือพระราชพงษาวดารรัชกาลที่ ๒ จึงได้ค้างมา แต่ก็ มิได้เสียเวลาเปล่า ด้วยในระหว่างนั้นข้าพเจ้าได้เอาเปนธุระเสาะแสวงหา แลรวบรวมหนังสือต่าง ๆ ซง่ึ เนอ่ื งดว้ ยพระราชพงษาวดารรชั กาลท่ี ๒ มาโดยลำดบั พง่ึ มาไดล้ งมอื แตง่ เมอ่ื ปฉี ลเู บญจศก จลุ ศกั ราช ๑๒๗๕ พ.ศ.๒๔๕๖ เดย๋ี วนห้ี นงั สอื นน้ั กำลงั พมิ พอ์ ยู่ ทา่ นทง้ั หลายคงจะไดอ้ า่ นในไมช่ า้ นกั ประวตั ขิ อง หนงั สอื พระราชพงษาวดาร เทา่ ทข่ี า้ พเจา้ ทราบความมดี งั อธบิ ายมาน้ี
พระราชพงศาวดาร ความเกา่ ๒๔๑ พระราชพงศาวดาร ความเกา่ ตามตน้ ฉบบั หลวง เขยี นครง้ั กรงุ ธนบรุ ี เมอ่ื จลุ ศกั ราช ๑๑๓๖๑ ในขณะพระแกว้ ฟา้ พระราชบตุ รีพระเจา้ ชา้ งเผอื กปราสาททอง ๒ เธอสง่ ใหไ้ ปถวายแกพ่ ระยา ล้านช้างนั้น ครั้นพระแก้วฟ้าราชบุตรีไปถึงเมืองล้านช้าง พระยาล้านช้างก็ว่าเราจำเพาะใช้ให้ไปขอ พระเทพกระษตั รี แลพระแกว้ ฟา้ ราชบตุ รนี เ้ี รามไิ ดใ้ หไ้ ปขอ แลเราจะสง่ พระแกว้ ฟา้ ราชบตุ รคี นื ไปยงั พระนคร ศรอี ยทุ ธยาแลจะขอพระเทพกระษตั รซี ง่ึ จำเพาะแตก่ อ่ นนน้ั ครน้ั เสรจ็ การศกึ ชา้ งเผอื ก พระยาลา้ นชา้ ง กแ็ ตง่ พระยาแสน ๑ พระยานคร ๑ พระยาทพิ มนตรี ๑ ใหม้ าสง่ พระแกว้ ฟา้ ราชบตุ รี แลพระยา ลา้ นชา้ งใหแ้ ตง่ ราชสาสน์ มาถวายวา่ จะขอพระเทพกระษตั รี พระเจา้ ชา้ งเผอื กกต็ รสั บญั ชาตาม จงึ ตกแตง่ การทจ่ี ะสง่ พระเทพกระษตั รไี ปแกพ่ ระยาลา้ นชา้ ง ครน้ั ถงึ เดอื นหา้ ชวดศก ศกั ราช ๙๒๖ (พ.ศ. ๒๑๐๗) พระเจา้ ชา้ งเผอื กตรสั ให้พระยาแมนไปสง่ พระราชธดิ าไปแกพ่ ระยาลา้ นชา้ งอนั มานน้ั สง่ ไปโดยทางสมอสอ ขณะนน้ั รขู้ า่ วไปถงึ พระเจา้ หงษา ๆ กแ็ ตง่ พระตะบะเปน็ นายกองยกพล ๕๐๐๐ รดุ มาซมุ่ อยใู่ น ตำบลมะเริงนอกด่านเพ็ชรบูร แลสกัดออกตีทัพชาวล้านช้างซึ่งมารับพระเทพกระษัตรีนั้นแตกฉาน แลไดพ้ ระเทพกระษตั รไี ปถวายแกพ่ ระเจา้ หงษา จงึ พระยาลา้ นชา้ งบนั ดาลโกรธ วา่ ซง่ึ พระเจา้ หงษาแตง่ รพ้ี ลมาสกดั รบพงุ่ แลเสยี พระเทพกระษตั รไี ปหงษานน้ั เพราะกรงุ พศิ ณโุ ลก พระยาลา้ นชา้ งกบ็ ำรงุ ชา้ งมา้ รพ้ี ลวา่ จะยกมาเมอื งพศิ ณโุ ลกนน้ั ขณะนั้นพระเจ้าช้างเผือกก็ตรัสให้ไปห้ามพระยาล้านช้าง ๆ ก็งดตามพระราชโองการพระเจ้า ชา้ งเผอื กนน้ั ถึงปีฉลูศก ศักราช ๙๒๗ (พ.ศ. ๒๑๐๘) เดือน ๑๒ พระเจ้าช้างเผือกก็อัญเชิญสมเด็จพระ มหินทราธิราชหน่อพระพุทธเจ้า เสด็จขึ้นผ่านพิภพเสวยราชสมบัติครองแผ่นดินกรุงพระนครศรีอยุทธยา ๑ พ.ศ. ๒๓๑๗ ๒ สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ (พ.ศ.๒๐๙๑ - ๒๑๑๑)
๒๔๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ แลพระเจา้ ชา้ งเผอื กเสดจ็ ออกไปอยเู่ ปน็ วงั หลงั ขณะนน้ั พระชนมพ์ ระเจา้ ชา้ งเผอื กได้ ๕๙ พระวสั สา สมเดจ็ พระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินเมื่อเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติพระชนม์ได้ ๒๕ พระวัสสา พระเจ้า ช้างเผือก เวนราชสมบัติแล้วถึงเดือน ๓ ก็เสด็จขึ้นไปเมืองลพบุรี ตรัสให้บูรณะอารามพระมหาธาตุ ลพบรุ ใี หบ้ รบิ รู ณ์ แลแตง่ ผขาวนางชี ๒๐๐ แลขา้ พระใหอ้ ยรู่ กั ษาพระมหาธาตนุ น้ั แลว้ กเ็ สดจ็ ลงมา ในขณะนั้นเมืองเหนือทั้งปวงเป็นสิทธิ์แก่พระมหาธรรมราชา อนึ่งการแผ่นดินในกรุงพระนคร ศรีอยุทธยาพระมหาธรรมราชาก็ช่วยบำรุง แลบังคับบัญชาลงมาเป็นประการใดไซร้ สมเด็จพระ มหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินก็ตรัสให้ทำตามกฎให้ลงมานั้นทุกประการ อยู่มาก็แค้นพระราชหฤทัยพระเจ้า ช้างเผือกแลสมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดิน ในขณะนั้นพระยารามออกจากที่กำแพงเพ็ชร แลเอามาเป็นพระยาจันทบูรแลสมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินก็ตรัสคิดการทั้งปวงด้วย พระยารามเปน็ คยุ หรหสั ย์ ๑ แลว้ กส็ ง่ ขา่ วไปแกพ่ ระยาลา้ นชา้ งใหย้ กมาเอาเมอื งพศิ ณโุ ลก จงึ พระยาลา้ นชา้ ง ก็บำรุงช้างม้ารี้พลสรรพจะยกมาเอาเมืองพิศณุโลก พระมหาธรรมราชาตรัสรู้ข่าวว่าพระยาล้านช้าง จะยกทพั มา กใ็ หส้ ง่ ขา่ วลงมาทลู แกส่ มเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าชพระเจา้ แผน่ ดนิ ๆ กใ็ ห้พระยาศรรี าชเดโช แลพระท้ายน้ำขึ้นไปให้ช่วยกันเมืองพิศณุโลก ครั้นพระยาศรีราชเดโชแลพระท้ายน้ำขึ้นไปถึงเมือง พิศณุโลกพระมหาธรรมราชาก็ตรัสคิดการทั้งปวงด้วยพระยาศรีราชเดโช พระยาศรรี าชเดโชไดท้ ราบการ ซึ่งพระยารามทูลแก่สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินเป็นคุยหรหัสย์นั้น พญาศรีราชเดโชเอากิจ เนอ้ื คดที ง้ั ปวงนน้ั ทลู แถลงแกพ่ ระมหาธรรมราชาทกุ ประการ จึงพระยาล้านช้างก็ยกช้างม้ารี้พลประมาณญิบ๒แสนมาโดยทางนครไทย มายังเมืองพิศณุโลก พระมหาธรรมราชาตรสั รขู้ า่ ววา่ พระยาลา้ นชา้ งยกมา กต็ รสั ใหข้ า้ หลวงเอาขา่ วนน้ั รดุ ขน้ึ ไปทลู แกพ่ ระเจา้ หงษา แลว้ กใ็ หเ้ อาครวั เมอื งนอกทง้ั ปวงเขา้ เมอื งพระพศิ ณโุ ลก แลแตง่ การทจ่ี ะกนั เมอื ง ฝา่ ยพระยาลา้ นชา้ งกย็ กมาถงึ เมอื งพระพศิ ณโุ ลก เดอื นย่ี แรม ๑๓ คำ่ ปเี ถาะศก (พ.ศ. ๒๑๑๐) นน้ั พระยาลา้ นชา้ งกต็ ง้ั ทพั ในตำบลโพเรยี งตรงประตสู วรรคไ์ กลออกไปประมาณ ๕๐ เสน้ ทพั พระยา แสนสรุ นิ ทรควา่ งฟา้ ตง้ั ตำบลเตาไห พระยามอื ไฟตง้ั ตำบลวดั เขาพราหมณ์ ทพั พระยานครตง้ั ตำบลสระแกว้ ทพั พระยามอื เหลก็ ตง้ั ตำบลบางสแก แลทพั ทง้ั นเ้ี ปน็ ละกอง ๆ ๑ หมายถงึ ความลบั ทคี วรปดิ บงั : พจนานกุ รม ฉบบั ราชณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ ๒ ญบิ แปลวา่ สอง
พระราชพงศาวดาร ความเกา่ ๒๔๓ ขณะนน้ั สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าชเจา้ แผน่ ดนิ กรธี าพลเสดจ็ ขน้ึ ไปโดยทางเรอื ตง้ั ทพั หลวงตำบล บางพัง จึงแต่งพระยารามแลพระยาจักรี แลขุนหมื่นทั้งหลาย ยกพลขึ้นไป ๒๐๐๐ ไปถึงตำบล พงิ แลเพโทบายวา่ จะเขา้ ไปชว่ ยกนั เมอื งพระพศิ ณโุ ลก พระมหาธรรมราชาตรสั ทราบการซง่ึ เปน็ คยุ หรหสั ย์ นน้ั กต็ รสั ใหอ้ อกมาหา้ มมใิ หเ้ ขา้ ไป พระยารามแลพระยาจกั รตี ง้ั อยใู่ นตำบลแหง่ หนง่ึ ฝา่ ยพระยาลา้ นชา้ ง ก็ให้ยกเข้ามาปล้นเมืองเป็นหลายครั้ง พระมหาธรรมราชาแต่งป้องกันเป็นสามารถ แลชาวล้านช้าง ตายมากนกั จงึ พระยาลา้ นชา้ งยกพลเขา้ ยนื ชา้ งทน่ี ง่ั แฝงพระวหิ ารอยแู่ ทบรมิ คเู มอื งแลแตง่ พลทหารหม่ เสอ้ื เหลอื งสามพนั เขา้ มายนื รบพงุ่ เปน็ สามารถ แลตอ้ นพลเขา้ ไปขดุ กำแพงเมอื ง แลเอาทบุ ทบู งั ตวั ขดุ กำแพงเมอื งเกอื บหกั ผอู้ ยบู่ นกำแพงพงุ่ ศสั ตราวธุ ลงมติ อ้ งจงึ พระมหาธรรมราชากเ็ สดจ็ ไปยนื ชา้ งพระทน่ี ง่ั กต็ รสั ใหข้ นุ ศรเี อาพลอาสา ๕๐๐ ออกทะลวงฟนั จงึ ชาวลา้ นชา้ งกพ็ า่ ยออกไป พระยาลา้ นชา้ งกถ็ อย ไปยงั ทพั แตพ่ ระยาลา้ นชา้ งตง้ั ประชดิ เมอื งพระพศิ ณโุ ลกอยนู่ น้ั ไดเ้ ดอื นหนง่ึ จงึ พระเจา้ หงษาก็ใช้ท้าว พระยาจีนบกยกพลทัพม้ารุดมาช่วยกันเมืองพระพิศณุโลก พระยาภุกาม พระยาเสือหาญมาเป็น นายกอง ม้า ๑๐๐๐ พล ๑๐,๐๐๐ พระยาภุกาม พระยาเสือหาญ ก็ยกทัพม้ามาถึงเมือง พระพิศณุโลก ก็รบทัพพระยามือเหล็กซึ่งตั้งในบางสแกนั้น ได้รบพุ่งกับชาวล้านช้าง ๆ ก็พ่ายแก่ พระยาภกุ ามแลพระยาเสอื หาญ ๆ กห็ กั เขา้ ไดเ้ มอื งพระพศิ ณโุ ลก พระยาภกุ ามแลพระยาเสอื หาญแลลกู ทพั ทง้ั ปวงกเ็ ขา้ ถวายบงั คมแกพ่ ระมหาธรรมราชากต็ รสั ใหร้ างวลั แกผ่ มู้ าชว่ ยทง้ั ปวงมากนกั พระยารามแล พระยาจักรีรู้ว่าพระเจ้าหงษาแต่งมาช่วย ก็ยกทัพคืนลงมาหาทัพหลวง สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้า แผน่ ดนิ กเ็ สดจ็ คนื ลงมายงั พระนครศรอี ยทุ ธยา ฝา่ ยพระยาลา้ นชา้ งคดิ เหน็ วา่ จะเอาเมอื งพระพศิ ณโุ ลกมไิ ด้ กเ็ ลกิ ทพั จากเมอื งพระพศิ ณโุ ลกคนื ไป ลา้ นชา้ ง ครน้ั พระยาลา้ นชา้ งยกทพั คนื ไป จงึ พระยาภกุ าม พระยาเสอื หาญทลู แกพ่ ระมหาธรรมราชา ว่า ข้าพเจ้าขอยกออกไปตามตีทัพพระเจ้าล้านช้างอันเลิกไปนั้น พระมหาธรรมราชาก็ตรัสห้ามพระยา ภกุ าม แลพระยาเสอื หาญ วา่ การศกึ ใหญม่ ไิ ดพ้ า่ ยแลเลกิ ไปเอง แลจะยกไปตามทพั นน้ั หาธรรมเนยี ม มิได้ จึงพระยาทั้งสองทูลว่าพระเจ้าหงษาใช้ข้าพเจ้าทั้งปวงมาครานี้ ยังไม่ได้รบพุ่งเป็นสามารถ ครั้นข้าพเจ้าทั้งหลายแลมิยกไปตามไซร้ เห็นว่าพระเจ้าหงษาจะให้ลงโทษหนักแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย จงึ พระยาทง้ั สองถวายบงั คมลาแลว้ กย็ กทพั ไปตามขา้ ศกึ ลา้ นชา้ ง ฝ่ายพระยาล้านช้างเมื่อเลิกทัพไปนั้น ก็แต่งทัพพระยาแสนสุรินทรคว่างฟ้า พระยานคร ทัพพระยามือไฟ ทั้งสามทัพนี้ให้อยู่รั้งหลัง ครั้นถึงตำบลวารีแลทางนั้นแคบ พระยาแสนสุรินทร
๒๔๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ควา่ งฟา้ พระยานคร พระยามอื ไฟ แตง่ พลทหารซมุ่ ไวส้ องขา้ งทาง แลว้ กต็ ง้ั ชา้ งมา้ รบั อยทู่ า่ ทพั อนั ไปตามนน้ั จงึ พระยาภกุ ามแลพระยาเสอื หาญยกไปถงึ ตำบลวารี มทิ นั รวู้ า่ ชาวลา้ นชา้ งตง้ั รบั ในทน่ี น้ั เปน็ ใหญห่ ลวง ฝา่ ยชาวลา้ นชา้ งเอาพลมา้ ออกมายว่ั ชาวหงษา ๆ กย็ กพลวางไลเ่ ขา้ ไป ครน้ั เหน็ เกอื บ เข้าไปชาวล้านช้างก็ยกทัพใหญ่ทั้งช้างม้ารี้พลออกมายั่วพระยาภุกาม พระยาเสือหาญ ฝ่ายพลทหาร ชาวล้านช้างอันซุ่มไว้นั้นก็ออกโจมแทงสองข้างทัพ พระยาภุกามแลพระยาเสือหาญก็แตกฉานพ่ายแก่ พระยาล้านช้าง ชาวล้านช้างได้ฟันแทงชาวหงษาตายในที่นั้นมากนัก นายม้าผู้ขี่ตายหลายคน อนง่ึ เสยี ตวั มา้ แกช่ าวลา้ นชา้ งมากนกั พระยาทง้ั สองกพ็ า่ ยคนื มาเมอื งพศิ ณโุ ลก ครน้ั เสรจ็ การศกึ ลา้ นชา้ งนน้ั พระยาศรรี าชเดโชไซรม้ ไิ ดล้ ว่ งมา กเ็ ฝา้ พระมหาธรรมราชา แตพ่ ระทา้ ยนำ้ มไิ ดถ้ วายบงั คมลา กห็ นลี ว่ งมา ยงั พระนคร อยู่ถึงเดือน ๘ พระเจ้าช้างเผือกเสด็จทรงพระผนวชแลพระสงฆ์ทั้งปวงบริวรรตออกบวชโดยเสด็จ ครานน้ั มาก ในขณะนั้นพระมหาธรรมราชาก็ตรัสรู้ว่าสมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินคิดอ่านการทง้ั ทง้ั ปวงดว้ ยพระยารามแลพระยารามพดิ ทลู ยยุ ง แลสญั ญาแกพ่ ระยาลา้ นชา้ งใหย้ กมาเอาเมอื งพระพศิ ณโุ ลก พระมหาธรรมราชาก็ตรัสให้กฎลงมา ให้เอาพระยารามเป็นพระยาพิไชย เร่งให้พระยารามขึ้นไป แลจะมอบทีพ่ ิไชยแก่พระยาราม จึงสมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดิน ครั้นตรัสทราบซึ่งกฎลงมานั้น กแ็ คน้ พระหฤทยั ฝา่ ยพระยารามกก็ ลวั พระมหาธรรมราชาจะสง่ ตวั ไปหงษา พระยารามกท็ ลู แกส่ มเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าชเจา้ แผน่ ดนิ วา่ ขา้ พเจา้ ไดฟ้ งั ซง่ึ กจิ การในเมอื งพระพศิ ณโุ ลกนน้ั วา่ พระมหาธรรมราชา คดิ การทง้ั ปวงเปน็ ฝา่ ยขา้ งพระเจา้ หงษา แลเอาเมอื งเหนอื ทง้ั ปวงไปขน้ึ แกพ่ ระเจา้ หงษาแลว้ บดั นจ้ี ะยา้ ย เอาท้าวพระยาผู้ใหญ่ในพระนครไปยังหงษาเล่า แลซ่ึงพระมหาธรรมราชาบังคบั บัญชาลงมาเปน็ สทิ ธแิ์ ก่ พระองค์ดังนี้ ข้าพเจ้าเห็นมิควรที่จะเป็นไมตรีด้วยพระเจ้าหงษา ถ้าแลศึกหงษามาถึงพระนครก็ดี ขา้ พเจา้ ขอประกนั ตกแตง่ การปอ้ งกนั พระนครใหไ้ ด้ สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าชเจา้ แผน่ ดนิ กต็ รสั บญั ชาตาม พระยาราม ครน้ั คดิ การนน้ั เปน็ มน่ั แมน่ สรรพเสรจ็ สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าชเจา้ แผน่ ดนิ แลพระยาราม ก็เอาเนื้อคดีซึ่งคิดทั้งปวงนั้นทูลแก่พระเจ้าช้างเผือก แลอัญเชิญพระองค์เสด็จออกมาครองราชสมบัติ พระเจ้าช้างเผือกตรัสมิได้บัญชา จึงสมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินแลพระยารามก็ทูลวิงวอน เปน็ หลายครา วา่ บดั นภ้ี ยั จะมาถงึ ประชาราษฎรทง้ั หลาย แลขอทรงพระกรณุ าเสดจ็ มาครองราชสมบตั ิเอา ประชาราษฎรทง้ั หลายใหร้ อด พระเจา้ ชา้ งเผอื กกต็ รสั บญั ชาตามสมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าชพระเจา้ แผน่ ดนิ
พระราชพงศาวดาร ความเกา่ ๒๔๕ ทลู นน้ั กเ็ สดจ็ ลาพระผนวชในเดอื น ๕ แรม ๑๓ คำ่ ศกั ราชได้ ๙๓๐ ปมี ะโรงศก (พ.ศ. ๒๑๑๐) นน้ั ขณะนน้ั จงึ พระยาภกุ ามแลพระยาเสอื หาญ อนั พระเจา้ หงษาใชม้ าใหช้ ว่ ยกนั เมอื งพระพศิ ณโุ ลก เมื่อศึกล้านช้างยกไป แลพระยาภุกามพระยาเสือหาญยกออกตามแลพ่ายแก่ชาวล้านช้าง แลเสียม้า เสยี ผดู้ แี ลไพรพ่ ลเปน็ อนั มาก จงึ รขู้ า่ วไปถงึ พระเจา้ หงษา ๆ กท็ รงพระโกรธ แลใหม้ าหาพระยาภกุ าม แลพระยาเสอื หาญไปจะลงโทษ จงึ พระมหาธรรมราชากท็ รงพระกรณุ าแกพ่ ระยาภกุ ามแลพระยาเสอื หาญ ก็เอาพระยาทั้งสองนั้นเสด็จขึ้นไปถึงเมืองหงษา ขอโทษพระยาภุกามแลพระยาเสือหาญทั้งสองนั้นแก่ พระเจา้ หงษา ๆ จงึ มไิ ดล้ งโทษแกพ่ ระยาภกุ ามแลพระยาเสอื หาญทง้ั สองนน้ั แล ( ฉบบั ขาด ) ขนุ อนิ ทเ์ สนา แลขนุ ตา่ งใจขา้ หลวงซง่ึ ตง้ั ไปแตพ่ ระพศิ ณโุ ลกนน้ั กต็ รวจจดั รพ้ี ลแตง่ คนเมอื งกำแพงเพช็ ร ขนุ อนิ ทเ์ สนา แลขุนต่างใจก็แต่งพล ( ฉบับลบ ) ออกหักค่ายพระยาศรี ๆ ก็พ่ายแก่ชาวเมืองกำแพงเพ็ชร จึงพระยา ศรีราชเดโชก็แต่งการที่จะปล้นเมืองกำแพงเพ็ชร ก็จัดคนชาวอาสาในหมวดพันตรีไชยศักดิพันหนึ่ง ตกแตง่ การสรรพกใ็ หย้ กเขา้ ปลน้ เมอื ง เมอ่ื แรกยกเขา้ ไปนน้ั ชาวในเมอื งสงบอยแู่ ลละใหเ้ ขา้ ไปถงึ กำแพงเมอื ง ครน้ั เหน็ เขา้ ไปตโี อบชาวกำแพงเพช็ รกว็ างปนื ไฟแล (ฉบบั ลบ) ศสั ตราวธุ มาตอ้ งชาวอาสาขา้ งนอก (ฉบับลบ) ก็พ่ายออกมา แล (ฉบับลบ ) เข้าปล้นนั้นถึงสามวันรี้พลตายมาก แลปล้นเอาเมืองกำแพงเพ็ชรมิได้ สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินก็เลิกทัพหลวงคืนลงมายังนครสวรรค์ พระเจ้าช้างเผือกแลสมเด็จ พระมหนิ ทราธริ าชเจา้ แผน่ ดนิ เสดจ็ ลว่ งลงมายงั พระนครศรอี ยทุ ธยา สว่ นพระยารามอยรู่ ง้ั พระนครกแ็ ตง่ การทง้ั ปวงซง่ึ จะกนั พระนครนน้ั สรรพ แลในหนา้ ทก่ี ำแพงรอบ พระนครพระยารามให้แต่งป้อมเพ็ชรแลหอรบระยะไกลกันแต่เส้นหนึ่ง วางปืนใหญ่ใส่ไว้ระยะแต่สิบวา ปนื บะเรยี มจา่ รงคม์ ณฑกใสร่ ะยะไกลกนั แตห่ า้ วา แลตง้ั สบิ ซอ่ งสบิ ปนื ใหญ่ ( ฉบบั ลบ ) เปน็ ชอ่ งสามชน้ั อนง่ึ กำแพงพระนครขณะนน้ั ตง้ั โดยขบวนเกา่ แลยงั ไปม่ ริ อ้ื ลงตง้ั ในรมิ นำ้ พระยารามกใ็ หต้ ง้ั คา่ ยในรมิ นำ้ เป็นชั้นหนึ่งมีแลแห่งเป็นเชิงจำบังมีฝาหับฝาเผย แลไว้ปืนจ่ารงค์มณฑกสำหรับค่ายนั้นก็มาก แล้ว พระยารามก็ให้ตั้งหอโทนในกลางน้ำไกลริมฝั่งออกไป ๕ วารอบพระนคร มิให้ข้าศึกเอาเรือเข้ามาตีริม พระนครได้ จงึ พระเจา้ หงษารขู้ า่ วไปวา่ พระเจา้ อยหู่ วั ทง้ั สองพระองค์ ๑ เสดจ็ ขน้ึ ไปเอาเมอื งเหนอื แลแตง่ การ ทจ่ี ะกนั พระนคร พระเจา้ หงษากใ็ หบ้ ำรงุ ชา้ งมา้ รพ้ี ลสรรพ ถงึ เดอื น ๑๒ ปมี ะโรงศกนน้ั พระเจา้ หงษา ๑ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิและสมเด็จพระมหินทราธิราช
๒๔๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ กย็ กชา้ งมา้ รพ้ี ลมาโดยทางกำแพงเพช็ ร แลให้พระเจา้ แปรเปน็ นายกองทพั เรอื แลยกลงมาทั้งบกทั้งเรือ ชมุ พลทง้ั ปวงในพระนครสวรรค์ แลพลพระเจา้ หงษายกมาครานน้ั คอื พลพมา่ มอญใน หงษา, อังวะ, ตองอู, เมอื งปรวนแลไทยใหญ่ แลเมอื งปแสนวิ เมอื งกอง, เมอื งยาง, เมอื งมดิ , เมอื งตาละ, เมอื งนา่ ย, เมืองอุมวง, เมืองสพัวบัวแสแลสรอพเมืองไทยใหญ่ ๑ อนึ่งเชียงใหม่หาตัวมหาราชพระยาเชียงใหม่มิได้ แลพระแสนหลวงพงิ ไชยเปน็ นายกองถอื พลลาวเชยี งใหมท่ ง้ั ปวงมาด้วยพระเจ้าหงษาเป็นทัพหนึ่ง แลพล พระเจ้าหงษาอันยกมาครานั้นมีบัญชีเก้าแสนสมเด็จพระมหาธรรมราชาธริ าชเจา้ เปน็ นายกอง ถอื พลเมอื ง เหนือทั้ง ๗ เมืองมาด้วย พระเจ้าหงษาเป็นทัพหนึ่ง พระเจ้าหงษายกพลทั้งปวงลงมายังพระนคร ศรีอยุทธยา พระเจ้าช้างเผือกแลสมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจา้ แผน่ ดนิ กใ็ หข้ บั พลเมอื งนอกทง้ั ปวงเขา้ พระนคร แลได้แต่ในแขวงจังหวัดซึ่งอยู่ใกล้พระนครทั้งสี่แขวงนั้นได้แต่ส่วนหนึ่งเข้ามายังพระนคร แลซง่ึ มไิ ดเ้ ขา้ มายงั พระนคร และเขาออกอยปู่ า่ มากนกั อนง่ึ พลเมืองเล็กน้อยทั้งปวงไซร้มิได้เข้าพระนคร แลเขาออกอยู่ป่า แลได้แต่ตัวเจ้าเมือง (ฉบับลบ) เจ้าเมืองนั้นเข้ามาพระนคร พระเจ้าอยู่หัวทั้งสอง พระองค์ก็ให้พระยารามตรวจจัดทั้งปวงขึ้นประจำหน้าที่กำแพงรอบพระนครแลหน้าค่ายริมทั้งปวงเป็น หนน่ั หนานกั แลว้ กแ็ ตง่ กองแลน่ ไวท้ ง้ั ๔ ดา้ น รอบพระนครนน้ั ดา้ นละหา้ กอง สว่ นพระยารามไซร้ ตั้งทัพในท้องสนามหลวงเป็นกองกลางซึ่งจะยกไปช่วยทั้ง ๔ ด้านนั้น อนึ่งหน้าที่ใดซึ่งเป็นหน้าที่กวดขัน พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็ไว้พระกลาโหมและพระพลเทพ เมืองไชยนาท , เมืองสุพรรณบุรี, เมือง ลพบุรี , เมืองอินทบุรี , เมือ๒งเพ็ชรบุรี , เมืองราชบุรี , เมืองนครนายก , เมืองสระบุรี , เมอื งพรหมบรุ ,ี เมอื งสรรคบรุ ี , เมอื งสงิ คบรุ ี , เมืองนครไชยศรี , เมืองธนบุรี , เมืองมฤท , ทั้งนี้อยู่ประจำหน้าที่ แต่ มุมหอรัตนไชยลงไปเกาะแก้ว ซึ่งมีแต่คูหาแม่น้ำกั้นมิได้ แลหน้าที่ทั้งสามด้านไซร้แต่ในค่ายไปถึง ประตูไชย ขุนหลวงพระคลังเป็นนายกองใหญ่ แต่ประตูไชยไปถึงวังไชย พระอินทรานครบาล เป็นนายกองใหญ่ แต่มุมวังไชยไปถึงประตูชีขัน พระท้ายน้ำเป็นนายกองใหญ่ แต่ประตูชีขันไปถึงมุม ศาลหลวง พระยาศรรี าชเดโชเปน็ นายกองใหญแ่ ตม่ มุ ศาลหลวงมาพระราชวงั แตพ่ ระราชวงั ไปถงึ ขอ่ื หนา้ พระยาธรรมาเปน็ นายกองถอื พลทหารในทง้ั ปวงรกั ษาหนา้ ทท่ี ง้ั ปวง พระเจา้ หงษายกทพั มาถงึ กรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยาในวนั ๒ ๑ คำ่ ตง้ั ทพั มน่ั ในตำบลลมุ พลี จงึ พระยารามกใ็ ห้ ( ฉบบั ลบ ) ดงั นก้ี แ็ ตง่ การทจ่ี ะปา่ ยปนี ปลน้ เอาใหไ้ ดด้ ว้ ยฉบั พลนั แลแผน่ ดนิ ( ฉบบั ลบ ) ๑ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาวา่ เมืองสรอบ เมืองไทยใหญ่ ๒ คือ สงิ หบ์ รุ ี
พระราชพงศาวดาร ความเกา่ ๒๔๗ ราชธานใี หญห่ ลวง แลเอาสมทุ ร ( ฉบบั ลบ ) หนา้ ดา้ นเดยี ว แลเราจะแตง่ การปลน้ ( ฉบบั ลบ ) เหมือน เมืองทุกแห่งนั้นมิได้ แลซึ่งจะเอาอยุทธยา ( ฉบับลบ ) แต่งการเป็นงานปี จึงจะปล้นเอาอยุทธยาได้ แลให้พระยาทั้งหลายกำหนดให้แก่นายทัพนายกองทั้งหลายกำหนดให ้(ฉบับลบ) ทั้งปวงอย่าเพ่อออก รบพงุ่ ใหแ้ ตง่ กนั (ฉบบั ลบ) ไวเ้ ปน็ เสบยี งไพรพ่ ลทง้ั ปวงใหค้ รบปหี นง่ึ แลจะใหส้ ำรวจเอาให้ถ้วนตัวคนจงทุก หมู่ทุกกอง ถ้านายทัพนายกองผู้ใดเสบียงพลนั้นมิครบถึงปีไซร้ จะให้ลงโทษแก่นายทัพนายกองผู้นั้น ถึงสิ้นชีวิต จึงท้าวพระยาทั้งหลายก็แต่งพลไว้ประจำค่ายทั้งปวงแต่พอรบพุ่งป้องกันหน้าค่ายนั้น กแ็ ตง่ พลออกไปลาดหาขา้ วทกุ หมทู่ กุ กองตามกำหนดพระเจา้ หงษาสง่ั นน้ั กป็ ลกู ยงุ้ ฉางใสเ่ สบยี งทง้ั ปวงนน้ั ไว้ ครั้นถึงกำหนดที่จะสำรวจ พระเจ้าหงษาแต่งให้สำรวจทุกทัพทุกกอง แลเสบียงพลทั้งปวงนั้นก็ครบ กำหนดปี ๑ ดุจกำหนดพระเจ้าหงษาสั่งนั้น แต่ทัพผู้ใดเสบียงพลซึ่งลาดได้มานั้นมิครบปี พระเจ้า หงษาก็ให้ลงโทษถึงสิ้นชีวิต ครั้นพระเจ้าหงษาให้สำรวจเสบียงพลทั้งปวงสรรพแล้วพระเจ้าหงษาให้แต่ง การทจ่ี ะเขา้ ปลน้ พระนคร ใหพ้ นู ถนนเขา้ มาในขอ่ื หนา้ เปน็ สามแหง่ หนา้ ทพ่ี ระอปุ ราชาพนู เขา้ มาถงึ วดั ฝาง แหง่ หนง่ึ บางเอยี นแหง่ หนง่ึ หนา้ ทพ่ี ระเจา้ องั วะพนู เขา้ มาในมมุ เกาะแกว้ แหง่ หนง่ึ พนู ดนิ เขา้ มานน้ั ชาวหงษาทำเป็นทุบทู ๑ ตั้งเข้ามากันปืนไฟ ซัดดินข้ามทุบทูเข้ามา ชาวในพระนครเอาปืนใหญ่ ทแยงยงิ ตอ้ งทบุ ททู ลาย แลพลอนั เขา้ มานน้ั ตายมากนกั ชาวหงษาเอาโตนดแตง่ ทบุ ทู เปน็ ดาดฟา้ มาตง้ั เป็นหลายชั้น แลซัดดินเข้ามา แลชาวพระนครยิงปืนออกไปต้องทุบทูเป็นดาดฟ้านั้นเตลิดขึ้นไป แลต้องพลนั้นเป็นอันน้อยจึงชาวในพระนครแต่งพลทหารออกมาทะลวงฟันแลลักเอาดินซึ่งซัดเข้ามานั้น เป็นหลายครั้ง แลพลซึ่งซัดดินออกมานอกทุบทูมิได้ ก็ตั้งทุบทูออกมาให้ไกล แลซัดดินแต่ในทุบทู แล้วแต่งพลรบเอาทุบทูออกมาตั้งแซงสองข้างที่ถมนั้นกันพลทั้งปวงให้พูนถนนเข้ามา ในขณะนน้ั พระเจา้ ชา้ งเผอื กทรงพระประชวรหนกั ประมาณ ๒๕ วนั กส็ วรรคตในวนั ศกั ราช ๙๓๑ ปี (พ.ศ. ๒๑๑๒) เมื่อพระเจ้าช้างเผือกสวรรคตแล้ว สมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดิน มิได้นำพาซึ่งการศึก แลเสด็จอยู่แต่ในพระราชวัง แลไว้การทั้งปวงแก่พระยารามให้บังคับบัญชาตรวจ ทหารทง้ั ปวง ผรู้ กั ษาหนา้ ทร่ี อบพระนคร ขณะนน้ั พระยารามขค่ี านหามทองเลยี บหนา้ ท่ี มมี ยรุ ฉตั รประดบั ซา้ ยขวา แลธงชยั กระบอ่ี าวธุ แหห่ นา้ แลพลทหารอาสาแหห่ นา้ หลงั เปน็ หนน่ั หนา แลพลถอื ปนื นกสบั นน้ั ๗๐๐ แลพระยารามเลยี บหนา้ ทท่ี กุ วนั กเ็ หน็ พลทหารออกรบชาวหงษาซง่ึ พากนั เขา้ มานน้ั ๑ ทุบทู พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ว่า น.เครื่องบงั ตวั ปอ้ งกันอาวุธของโบราณชนดิ หนงึ่
๒๔๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ขณะนน้ั พระยาจกั รรตั นถอื พลทหารออกไปหกั คา่ ยขา้ ศกึ ในทา้ ยคู แลเผาคา่ ยหนา้ ทพ่ี ระยาเกยี รดิ ได้ประมาณเส้นหนึ่งพลศึกอันประจำหน้าค่ายพ่ายลงไป จึงพระยาเกียรดิยกพลออกมารบพระยาจักรรัตน เสียตัวพระยาจักรรัตนแลชาวอาสาทั้งปวงก็พ่ายเข้ามา พระยาเกียรดิจับเอาพระยาจักรรัตนไปถวายแก่ พระเจา้ หงษา ๆ ทรงพระโกรธแกพ่ ระยาเกยี รดวิ า่ ชาวพระนครออกเผาคา่ ยได้ พระเจา้ หงษาตรสั แก่ พระอปุ ราชาวา่ ซง่ึ พระยาเกยี รดอิ เุ บกษามไิ ดป้ อ้ งกนั หนา้ คา่ ย ใหช้ าวพระนครออกเผาคา่ ยได้ มิลงโทษ พระยาเกียรดิด้วยประการใด จึงพระอุปราชาทูลแก่พระเจ้าหงษาว่า ซึ่งพระยาเกียรดิได้นายกองซึ่งถือ พลออกมาเผาค่ายนั้นเห็นว่าโทษพระยาเกียรดิแต่พอ (ฉบับลบ ) มิได้ลงโทษแก่พระยาเกียรดิ พระเจ้า หงษาทรงพระโกรธ ( ฉบับลบ ) พระอุปราชา ( ฉบับลบ ) ได้นายกองก็ดี ( ฉบับลบ ) แลซึ่งว่าชาวพระนคร ออกมาเผาค่าย ( ฉบับลบ ) พระอุปราชาว่า พระยาเกียรดิเป็นโทษแล้ว แลมิได้ลงโทษพระยาเกียรดิ แลเห็นว่าพระอุปราชามิได้เอาใจใส่ลงในการศึก แลอย่าให้พระอุปราชาอยู่บังคับการศึกในทัพนั้นเลย แลพระอปุ ราชาจะไปแหง่ ใดไซรใ้ หไ้ ปตามใจ ใหพ้ ระอปุ ราชาเอาแตช่ า้ งตวั หนง่ึ คนขท่ี า้ ยกลางไปดว้ ยกนั กว่านั้นอย่าให้เอาไป พระเจ้าหงษาก็ให้ขับพระอุปราชาเสียแล้วก็ให้ลงโทษแก่พระยาเกียรดิถึงสิ้นชีวิต พระอุปราชามายังทัพ พระเจ้าหงษาก็ใช้สนองพระโอษฐ์มาขับพระอุปราชาเร่งให้ไปจากทัพจงพลัน ขณะนั้นพระเจ้าแปร พระเจ้าอังวะกลัวอาญาพระเจ้าหงษามิอาจทูลขอโทษพระอุปราชาแก่พระเจ้าหงษา พระอปุ ราชากใ็ หม้ าทลู แกพ่ ระมหาธรรมราชาวา่ พระเจา้ หงษาทรงพระโกรธขบั เสยี จากทพั แลพระเจา้ แปร พระเจ้าอังวะจะทูลขอโทษแก่พระเจ้าหงษาไซร้พ้นกำลังพระเจ้าแปร พระเจ้าอังวะจะทูลมิได้ แลซึ่งจะ ช่วยเราครานี้เห็นแต่พระเจ้าพี่เราเอง เห็นจะทูลแก่พระเจ้าหงษาขอโทษเราได้ เมอ่ื พระอปุ ราชาใหม้ าทลู แก่พระมหาธรรมราชานั้นสนองพระโอษฐ์พระเจ้าหงษาใช้ซ้ำมาเล่าว่า ให้เร่งพระอุปราชาไปจงพลัน จงึ พระอปุ ราชาแตง่ ตวั ทจ่ี ะไป แลจะขน้ึ ชา้ งจะออกจากทพั ตามอาญาพระเจ้าหงษา จึงพระมหาธรรมราชา ตรัสให้ข้าหลวงไปห้ามพระมหาอุปราชาว่าให้งดอยู่ แลจะไปขอโทษแก่พระเจ้าหงษาก่อน พระมหา ธรรมราชาก็เสด็จมายังพระเจ้าหงษา ก็ทูลขอโทษพระอุปราชาแก่พระเจ้าหงษา ๆ ก็ให้โทษพระอุปราชา แกพ่ ระมหาธรรมราชา ขณะนั้นพระเจ้าหงษาก็ให้พระเจ้าแปรยกทัพเรือลงไปโดยคลองสะพานขายเข้าไปออกบางไทร แลขน้ึ มาตง้ั ทา้ ยคกู นั มใิ หเ้ รอื ขน้ึ ลอ่ งเขา้ ยงั พระนคร แลว้ พระเจา้ แปรกแ็ บง่ ทพั เรอื ลงไปลาดถงึ เมอื งนนทบรุ ี เมืองธนบุรี เมืองสาครบุรี จึงสำเภาจีนจังจิวมิทันรู้ว่าศึกหงษาเข้ามาล้อมพระนคร จีนจังจิวก็ใช้ สำเภาเขา้ มาถงึ หลงั เตา่ ในปากนำ้ พระประแดง จงึ พระเจา้ แปรยกทพั เรอื ออกไปเอาสำเภาจนี จงั จวิ ๆ กร็ ขู้ า่ ว
พระราชพงศาวดาร ความเกา่ ๒๔๙ ดว้ ยชาวปากนำ้ บอกวา่ ศกึ มาลอ้ มพระนคร แตง่ ทพั เรอื ลงมาลาด จนี จงั จวิ กใ็ ชส้ ำเภาออกไป แลทพั เรอื พระเจา้ แปรยกออกไปไซร้ สำเภาจีนจังจิวคลาดออกไปลึกแล้ว จะตามเอามิได้ พระเจ้าแปรยกทัพ คืนมา จึงพระเจ้าหงษาก็โกรธแก่พระเจ้าแปรว่าสำเภาจีนเข้ามาถึงปากน้ำแล้ว แลมิได้ติดตามออกไป เอาจงฉับพลัน แลให้สำเภาจีนหนีรอดไป พระเจ้าหงษาก็ว่าบรรดาจะลงโทษแก่พระเจ้าแปรโดย อาญาศึก แลครั้งนี้งดไว้แลแต่เอาตัวตระเวนนั้นก่อน แลพระเจ้าหงษาให้เอาตัวพระเจ้าแปรไปตระเวน รอบทัพแลยกให้เป็นนายกองทพั เรอื ดจุ เกา่ ในขณะนั้นพลศึกหงษาพูนถนนเข้ามาเป็นช้านาน พระยารามแลพระกลาโหม พระอินทรา พระมหาเทพ พระมหามนตรี แลพระหวั เมอื งขนุ หมน่ื ทง้ั หลาย ชว่ ยกนั เอาใจลงในราชการรบพงุ่ ปอ้ งกนั มิให้ชาวหงษาพูนถนนเข้ามาได้ แลพระมหาเทพแต่งพลอาสาออกทะลวงฟันชาวหงษาซึ่งเข้ามาพูนดิน แตกฉานเป็นหลายครั้ง แล้วพระมหาเทพแต่งให้ออกไปลักเอาดินซึ่งชาวหงษาพูนนั้น แลการซึ่งพูน ถนนนั้นมิเปลือง จึงพระเจ้าหงษาทรงพระโกรธ ก็ให้เอานายทัพ นายกอง ซึ่งพูนถนนนั้นลงโทษ จงหนัก พระเจ้าหงษาก็ว่าซึ่งการศึกแลเป็นอันแหล้ดังนี้อันใด พระเจ้าแปรเป็นน้องก็ดี พระอปุ ราชา เองกด็ ี พระเจา้ องั วะอนั เปน็ ลกู เขยกด็ ี ทง้ั สามนจ้ี ะลงอาญาถงึ สน้ิ ชวี ติ คนหนง่ึ จงึ จะไดแ้ ผน่ ดนิ อยทุ ธยา พระเจา้ หงษากเ็ รง่ ใหพ้ ระยาเกยี รดิ แลแตง่ การทจ่ี ะปลน้ นน้ั จงฉบั พลนั จงึ พระอปุ ราชา พระเจา้ องั วะ พระเจ้าแปร แลท้าวพระยาผู้ใหญ่มายืนบังคับบัญชาเอง แลต้อนพลทั้งปวงเอาทุบทูดาดฟ้ามาตั้งเป็น หลายชน้ั แลว้ แตง่ พลทหารแซงสองขา้ งถนนเขา้ มารบพงุ่ ปอ้ งกนั ให้พูนถนนนั้นเข้ามาให้ได้ ฝ่ายชาว ในพระนครเอาปืนใหญ่มาตั้งจังก้าไว้ ซึ่งถนนอันพูนเข้ามาทั้งสามแห่งนั้นแลวางปืนใหญ่ออกไปต้องพล หงษาอันพูนถนนเข้ามานั้นตายก่ายกองอยู่ที่พูนถนนทั้งสามแห่งนั้น แลชาวหงษาก็เร่งขับกันเข้ามาพูน ถนนนั้น แลพูนถนนนั้นทำถึงสามเดือนจึงถึงชานกำแพงเสมอกำแพงพระนคร แลถนนซง่ึ พนู นน้ั (ฉบบั ลบ ) จึงพระยาราม พระกลาโหม พระมหาเทพ ก็ให้ตั้งค่ายในกำแพงพระนครเป็นวงพาด ก็เอา ปืนใหญ่ ปืนมณฑกมาตั้งดาไว้ในหน้าค่ายนั้นฝ่ายพลอันอยู่หน้าที่กำแพงเชิงเทินนั้นก็รบพุ่งป้องกันอยู่ จึงพระเจ้าหงษา ให้ยกพลเข้ามาโดยถนนมุมเกาะแก้วนั้นแลเอาทัพเรือมากระหนาบ เอาปืนจ่ารงค์ มณฑกนกสบั รมุ ยงิ ทง้ั ทพั บกทพั เรอื ชงิ เอามมุ เกาะแกว้ นน้ั จงึ ชาวทหารอาสาซง่ึ อยหู่ นา้ ทม่ี มุ เกาะแกว้ นน้ั จะยิงรบพุ่งป้องกันมิได้ ก็พ่ายลงมายังค่ายซึ่งตั้งไว้นั้น ชาวหงษารุกเข้ามาทลายกำแพงมุมเกาะแก้ว นน้ั ได้ ครน้ั เสยี มมุ เกาะแกว้ นน้ั พระยารามกส็ ลดใจ จะบังคับบัญชาการศึกนั้นมิเป็นสิทธิดุจก่อน ก็คิดด้วยท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายว่าจะป้องกันสืบไปเห็นพ้นกำลัง แลจะแต่งออกเจรจาเป็นไมตรี
๒๕๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ทา้ วพระยามขุ มนตรที ง้ั หลายกว็ า่ ซง่ึ จะเปน็ ไมตรไี ซร้ แตย่ งั มไิ ดร้ บกนั เปน็ สามารถแลซง่ึ ไดร้ บพงุ่ เปน็ สามารถ แลเสยี รพ้ี ลพระเจา้ หงษาเปน็ อนั มากแลว้ ดงั น้ี พระเจา้ หงษายงั จะรบั เปน็ ไมตรหี รอื ทา้ วพระยาทง้ั หลาย ก็มิฟังพระยาราม ซึ่งจะชวนเป็นไมตรีนั้น แต่นั้นไปท้าวพระยามุขลูกขุนผู้ทหารทั้งปวงมิฟังบังคับ บัญชาพระยาราม แลต่างคนต่างรบพุ่งข้าศึก สมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินก็มิเอาพระทัย ลงในการศกึ แลละใหแ้ ตม่ ขุ มนตรที ง้ั หลายรบพงุ่ ขณะนั้นพระมหาเทพถือพลอาสาอยู่รักษาหน้าค่าย ในมุมเกาะแก้วกำแพงซึ่งทลายนั้น ข้าศึกหงษายกเขา้ มาปลน้ คา่ ยนน้ั เปน็ หลายครง้ั แลพระมหาเทพ ป้องกันเป็นสามารถ อนึ่งพระเจ้าลูกเธอพระศรีเสา ๑ ยกพลอาสามายืนช้างที่นั่งให้พลอาสาช่วย พระมหาเทพรบพงุ่ แลแตง่ พลอาสาออกทะลวงฟนั แล้วก็วางปืนใหญ่ยิงทแยงออกไปต้องข้าศึกหงษา ตายมากนัก ข้าศึกจะปล้นเอาค่ายนั้นมิได้ก็ตั้งประชิดกันอยู่ อนง่ึ จวนเทศกาลฟา้ ฝน พระเจา้ หงษา ก็คิดด้วยพระมหาธรรมราชา ซึ่งจะเพโทบายเอาตัวพระยารามผู้เป็นเจ้าการป้องกันพระนครนั้นแล้ว แลจะปล้นเอาพระนครจงได้ จึงพระมหาธรรมราชาแต่งนายก้อนทองข้าเดิมให้ถือหนังสือลอบเข้ามาถึง ขุนสนมข้าหลวงซึ่งเขาลงมาแตพ่ ิศณุโลกนั้น ขุนสนมก็ส่งหนังสือนั้นเข้าไปถวายแก่พระเจ้าอยู่หัวฝ่ายใน ลักษณะหนังสือนั้นว่า พระเจ้าช้างเผือกตรัสคิดด้วยพระยาราม จึงแต่งการรบพุ่งป้องกันพระนคร ละให้เสียสัตย์คลองพระราชไมตรีนั้น บัดนี้พระเจ้าช้างเผือกเสด็จสวรรคตแล้วแลยังแต่พระยาราม แลพระทัยพระเจ้าหงษาไซร้ ยังไป่เสียคลองพระราชไมตรีนั้น แลพระเจ้าหงษาตรัสว่า ถ้าแลพระเจ้า แผ่นดินส่งตัวพระยารามผู้ก่อให้เป็นเภทนั้นออกไปถวายแก่พระเจ้าหงษาไซร้ พระเจ้าหงษาก็จะเป็นไมตรี มิให้ยากแก่สมณพราหมณาจารย์ประชาราษฎรทั้งหลาย ครั้นพระเจ้าหงษาได้ตัวพระยารามแล้ว พระเจ้าหงษาก็จะเลิกทัพทั้งปวงคืนไปเมืองหงษา จึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฝ่ายในก็เอาหนังสือนั้นมา แถลงแก่สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดิน ๆ ได้ฟังโดยลักษณะหนังสือนั้น ก็ให้หาท้าวพระยา พฤฒามาตยแ์ ลพระสงฆม์ หานาคทง้ั ปวงมาชมุ กนั พพิ ากษาวา่ ซง่ึ พระเจา้ หงษาวา่ ใหส้ ง่ พระยารามออกไป แลจะเป็นไมตรีนั้น ยังเห็นควรที่จะส่งพระยารามออกไปหรือ ๆ มิชอบส่ง จึงพระสงฆ์มหานาคแล ทา้ วพระยาพฤฒามาตยท์ ง้ั ปวงพพิ ากษาวา่ ถ้าพระเจ้าหงษาจะเป็นพระราชไมตรีเป็นมั่นแม่นไซร้ เห็น ควรที่จะส่งพระยารามออกไปแก่พระเจ้าหงษาอย่าให้ได้ยากแก่ประชาราษฎรทั้งหลาย สมเด็จ พระมหนิ ทราธริ าชพระเจา้ แผน่ ดนิ กต็ รสั ใหแ้ ตง่ หนงั สอื ตอบออกไปวา่ ถา้ พระเจา้ หงษาจะเปน็ ไมตรเี ปน็ สตั ย์ ดุจให้เข้ามานี้ไซร้ ก็จะส่งพระยารามออกไป จึงนายก้อนทองเอาหนังสือออกไปถวายแด่พระมหา ธรรมราชา ๆ ก็ตรัสใช้นายก้อนทองเข้ามาเล่าว่าพระเจ้าหงษาจะเปน็ พระราชไมตรเี ปน็ มน่ั แมน่ แลจะเปน็ ๑ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาวา่ “ พระศรเี สาวราช ”
พระราชพงศาวดาร ความเกา่ ๒๕๑ ได้แก่พระยารามผู้เดียวนั้น ซึ่งจะเอาพระยารามไว้จะให้ได้ยากแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงดูมิควร แลเรง่ สง่ พระยารามออกไปถวายแกพ่ ระเจา้ หงษาอยา่ ใหไ้ ดย้ ากแกอ่ าณาประชาราษฎรทง้ั หลาย ทา้ วพระยา มขุ มนตรที ง้ั หลายรมู้ ถิ งึ การซง่ึ พระเจา้ หงษาแตง่ สารเพโทบายนน้ั ยนิ ดวี า่ พระเจา้ หงษาจะเอาแตต่ วั พระยา รามผู้ก่อการให้เป็นเหตุนั้นแล้วจะยกทัพคืนไป ท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลาย ก็ทูลแก่สมเด็จ พระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินให้ส่งพระยารามออกไปแก่พระเจ้าหงษา จงึ สง่ั นายกอ้ นทองออกไปทลู แด่พระมหาธรรมราชาว่าจะส่งพระยารามออกไปเป็นมั่นแม่น แลให้แต่งข้าหลวงมารับเอาในหน้าค่าย แลพระสังฆราชในพระศรีรัตนมหาธาตุ แลภิกษุอันดับ ๔ องค์ เอาพระยารามออกไปถวายแดพ่ ระมหา ธรรมราชาถงึ ในพระตำหนกั ในวดั ชา้ ง สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาก็ตรัสให้ถอดจำคงพระยาราม แลเอา พระยารามไปถวายบังคมแก่พระเจ้าหงษา ๆ ก็ให้เบิกพระสังฆราชเข้าไป (ฉบับลบ) จึงพระเจ้าหงษา ให้หาพระอุปราชา แลท้าวพระยาผู้ใหญ่ทั้งปวงมาชุมในหน้าพลับพลา พระเจ้าหงษาก็ตรัสแก่ท้าว พระยาทั้งหลายว่า พระเจ้ากรุงเทพพระมหานครศรีอยุทธยาให้พระสังฆราชเอาพระยารามผู้ก่อให้เป็น เภทแข็งเมืองนั้นมาส่งแก่เราแลว่าจะขอเป็นพระราชไมตรีด้วยเราดุจก่อน แลให้ท้าวพระยาทั้งหลาย จงพิพากษายังจะชอบรับเป็นพระราชไมตรีหรือมิชอบเป็นไมตรี ท้าวพระยาทั้งหลายก็ทูลแด่พระเจ้า หงษาวา่ ซง่ึ ไดพ้ ระยารามออกมาแลว้ ดงั น้ี เสมอไดแ้ ผน่ ดนิ อยทุ ธยา แลขอพระเจา้ รบั เปน็ พระราชไมตรี ตามพระเจา้ กรงุ เทพพระมหานครศรอี ยทุ ธยาใหพ้ ระสงั ฆราชมานน้ั จงึ พระเจา้ หงษาสง่ั ใหห้ า้ มพลรบทง้ั ปวง พลศึกทั้งปวงมิได้รบพุ่งมิได้ยิงปืน อนึ่งพลทหารข้างในพระนครก็มิได้ออกรบพุ่งมิได้วางปืนใหญ่ออกไป ต่างคนต่างสงบทั้งสองฝ่ายถึง ๗ วัน จึงพระเจ้าหงษาก็ส่งพระสังฆราชเข้ามา แลสั่งพระสังฆราชว่าถ้า พระเจ้ากรุงพระนครศรีอยุทธยาจะเป็นพระราชไมตรีด้วยเราไซร้ ให้พระเจ้าแผ่นดินแลท้าวพระยาผู้ใหญ่ ทั้งปวงมาถวายบังคม จึงจะรับเป็นพระราชไมตรีด้วย ครั้นพระสังฆราชเข้าถึงกรุงถวายพระพรแก่ สมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดิน โดยคำพระเจ้าหงษาสั่งเข้ามานั้น จึงท้าวพระยาทั้งหลายทูล แกพ่ ระมหนิ ทราธริ าชพระเจา้ แผน่ ดนิ วา่ การทง้ั นพ้ี ระเจา้ หงษากเ็ พโทบายลอ่ ลวงใหอ้ อกไปแลว้ จะกมุ เอา ท้าวพระยาผู้ใหญ่ทั้งปวงไว้ แล้วพระเจ้าหงษาก็จะให้เข้ามาเทเอาครัวอาณาประชาราษฎรทั้งหลาย อพยพไปเปน็ เชลย แลศกึ ครง้ั นข้ี า้ พเจา้ ทง้ั หลายขอถวายชวี ติ รบพงุ่ ปอ้ งกนั จนถงึ ขนาด เมอ่ื พระสังฆราช เขา้ มานน้ั จงึ สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าชพระเจา้ แผน่ ดนิ กต็ รสั ใหท้ า้ วพระยาทั้งหลายพิพากษาเป็นหลาย ยกหลายเกน แลทา้ วพระยาทง้ั ปวงลงดว้ ยกนั เปน็ คำเดยี ววา่ อาสาจะรบพงุ่ แตพ่ ระยาธรรมา ๑ ไซรม้ ไิ ด้ ลงดว้ ยทา้ วพระยาทง้ั ปวง ๑ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหัตถเลขาว่า พระยาธารมา
๒๕๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ฝา่ ยพระเจา้ หงษากท็ า่ ฟงั ทตู ซง่ึ จะออกไปแตพ่ ระนครกช็ า้ อยถู่ งึ สามวนั พระเจา้ หงษาคดิ ดว้ ยสมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธริ าชเจา้ วา่ กรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยามใิ หท้ ตู ออกมาเจรจาดว้ ยความเมอื งใหช้ า้ อยดู่ งั น้ี กเ็ หน็ วา่ มเิ ปน็ พระราชไมตรี แลเราจะใหแ้ ตง่ การทจ่ี ะปลน้ เมอื งนน้ั ดจุ เกา่ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธริ าช ก็ทูลแก่พระเจ้าหงษาว่าขอพระเจ้าให้งดก่อน แลจะขอเข้าไปเอง จะแถลงการทั้งปวงให้พระเจ้า แผน่ ดนิ แลทา้ วพระยาผใู้ หญเ่ หน็ ซง่ึ จะเปน็ ไมตรี อยา่ ใหย้ ากแกก่ ารสมณพราหมณป์ ระชาราษฎรทง้ั หลาย พระเจา้ หงษากต็ รสั บญั ชาโดยสมเดจ็ พระมหาธรรมราชาเจา้ ๆ กเ็ สดจ็ ดว้ ยพระราชยานเขา้ มาโดยถนน
๒๕๓ จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็
๒๕๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑
จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๕๕ คำชแ้ี จงเฉพาะเรอ่ื ง เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ราชอาณาจกั รสยามในแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรมและสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง ฉบับนี้ นายโยสต์ สเคาเต็น ผู้จัดการทางการค้า บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาซึ่งได้เข้ามา ประจำอยกู่ รงุ ศรอี ยธุ ยาในรชั สมยั สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรมและสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง รวมระยะเวลา ที่อยู่ ณ กรุงศรีอยุธยานานถึง ๘ ปี เป็นผู้บันทึกรายละเอียดเรื่องราวต่าง ๆ และเหตุการณ์สำคัญ ๆ ทไ่ี ดพ้ บเหน็ ตามความเปน็ จรงิ เอกสารฉบบั นไ้ี ดร้ บั ความสนใจจากผศู้ กึ ษาคน้ ควา้ ทางประวตั ศิ าสตรไ์ ทย จำนวนมาก เนอ่ื งจากเปน็ บนั ทกึ ของชาตติ ะวนั ตกทเ่ี กา่ ทส่ี ดุ ฉบบั หนง่ึ บนั ทกึ ตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั เรอ่ื งราว สมัยอยุธยาของพวกตะวันตก เท่าที่พบส่วนมากล้วนเป็นเหตุการณ์ในสมัยหลังคือสมัยสมเด็จ พระนารายณ์มหาราชแทบทั้งสิ้นซึ่งมีระยะเวลาห่างจากเรื่องนี้ประมาณเกือบ ๔๐ ปี ต้นฉบับเดิมบันทึก เปน็ ภาษาฮอลนั ดา ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๑๗๙ ตอ่ มา Captain Roger Manley ไดแ้ ปลเปน็ ภาษาองั กฤษ โดยใหช้ อ่ื วา่ “A True Description of the Mighty Kingdom of Siam” และพมิ พเ์ ผยแพรท่ ก่ี รงุ ลอนดอน เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๐๖ (ซง่ึ กองวรรณกรรมและประวตั ศิ าสตรไ์ ดม้ อบให้ นางสมศรี เอย่ี มธรรม นกั อกั ษรศาสตร์ ๘ กลมุ่ งานแปลและเรยี บเรยี งดำเนนิ การแปลโดยละเอยี ด และพมิ พเ์ ผยแพรร่ วมอยใู่ นหนงั สอื “รวมเรอ่ื ง แปลหนงั สอื และเอกสารทางประวตั ศิ าสตร์ ชดุ ท่ี ๔ ” กรมศลิ ปากร จดั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๔๑) ต่อมา พ.ศ. ๒๔๓๒ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการแปล เรอ่ื งนเ้ี ปน็ ภาษาองั กฤษอกี สำนวนหนง่ึ และใหช้ อ่ื ใหมว่ า่ “ Siam 250 years ago, A Description of the Kingdom of Siam, written in 1636 by Joost Schouten ” เพื่อลงพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ สยามเมอแคนไทล์ กาเซตต์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่พิมพ์ออกจำหน่ายในเมืองไทย ภาษาองั กฤษสำนวนใหมฉ่ บบั น้ี นายถม โสภณจติ ร ไดแ้ ปลเปน็ ภาษาไทยโดยละเอยี ดลงเผยแพรใ่ นวารสาร ศลิ ปากรปที ่ี ๘ เลม่ ท่ี ๙–๑๑ ตง้ั แตพ่ .ศ. ๒๔๙๘ และนายขจร สขุ พานชิ ไดแ้ ปลสรปุ เรอ่ื งนแ้ี ละใหช้ อ่ื วา่ “ จดหมายเหตุของโยส เซาเต็น พ่อค้าฮอลันดาผู้เข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้า ทรงธรรมและสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง ดงั ปรากฏอยใู่ นประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๗๖ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๓ ส่วนการตรวจสอบชำระประชุมพงศาวดารตามโครงการชำระและจัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือชุด ประชุมพงศาวดารครั้งนี้ ได้ตรวจสอบสำนวนการแปลของนายถม โสภณจิตร และนายขจร สุขพานิช กบั ตน้ ฉบบั ภาษาองั กฤษเรอ่ื ง “ Siam 250 years ago, A Description of the Kingdom of Siam,….”
๒๕๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พร้อมทั้งจัดทำเชิงอรรถอธิบายความเพื่อให้เกิดความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น เนื้อหาสาระที่สำคัญ ๆ ของ ทั้งสองสำนวนมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ส่วนรายละเอียดอาจจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยซึ่งได้จัดทำ คำอธิบายในรูปของเชิงอรรถไว้แล้ว โดยเชงิ อรรถเดมิ ไดใ้ หเ้ ครอ่ื งหมายกำกบั เปน็ รปู ดอกจนั (*) สว่ นเชงิ อรรถ ทจ่ี ดั ทำขน้ึ ใหม่ ใชต้ วั เลขกำกบั อย่างไรก็ตามเนื่องจากผู้บันทึกเรื่องนี้เป็นชาวต่างชาติ ดังนั้นความ คิดเห็นหรือทัศนคติต่าง ๆ อาจจะดูแปลกไปบ้าง ขอท่านได้โปรดใช้วิจารณญานในการศึกษาเรื่องนี้ ดว้ ย
จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๕๗ จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ในรชั สมยั สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรมและสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง วา่ ดว้ ยการปกครอง อำนาจ ศาสนา ประเพณี การคา้ ขายและสง่ิ สำคญั อน่ื ๆ ของสยาม นายโยสต์ สเคาเตน็ ผจู้ ดั การบรษิ ทั การคา้ ของฮอลนั ดา ประจำกรงุ ศรอี ยธุ ยาอยหู่ ลายปเี ปน็ ผเู้ รยี บเรยี งขน้ึ เมอ่ื ค.ศ. ๑๖๓๖ ( พ.ศ. ๒๑๗๙ ) ที่ตั้งของประเทศสยาม สยามเป็นราชอาณาจักรใหญ่ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียทางตอนเหนือ ของเส้นศูนย์สูตรเรื่อยขึ้นไปจนถึงเส้นรุ้งที่ ๑๔ ซึ่งอยู่แนวเดียวกับเมืองหงสาวดี (พะโค) และเมืองอังวะ ซง่ึ ลอื ชอ่ื ทศิ ตะวนั ตกจดทะเลเบงกอลหรอื ตรงอา่ วเมาะตะมะจนถงึ เสน้ รงุ้ ท่ี ๗ แลว้ วกลงใตจ้ นถงึ เมอื ง ปัตตานแี ละไทรบุรี อาณาเขตของเมืองทั้งสองอยู่ระหว่างทะเลเบงกอลกับทะเลปัตตานแี ล้วชายฝั่งตอนนี้ *วกขน้ึ เหนอื จนถงึ เสน้ รงุ้ ท่ี ๑๓ ๑/๒ จงึ โอบโคง้ เปน็ อา่ วสยาม ตอ่ จากนช้ี ายฝง่ั จะแผล่ งทางใตจ้ นถงึ เสน้ รงุ้ ที่ ๑๒ แล้วเส้นเขตแดนจึงย้อนขึ้นบกจดราชอาณาจักรกัมพูชา เมืองเชียงของ (Jangonia)๑ เมืองตังเกี๋ย และราชอาณาจักรลาว (ล้านช้าง) จนถึงเมืองอังวะและเมืองหงสาวดีตรงเส้นรุ้งที่ ๑๘ ๒ เพราะฉะนั้น ราชอาณาจกั รสยามจงึ มรี ปู รา่ งเหมอื นกบั ดวงจนั ทรค์ รง่ึ ดวง วดั อาณาเขตโดยรอบไดไ้ มน่ อ้ ยกวา่ ๔๕๐ ไมล์ เยอรมัน ๓ ราชอาณาจักรสยามอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าเขาจำนวนมาก บริเวณใกล้ทะเลเป็นที่ราบลุ่ม แตโ่ ดยทว่ั ไปเปน็ ทร่ี าบ มสี ตั วป์ า่ และนกหลายชนดิ ในแมน่ ำ้ ลำธารซง่ึ มมี ากมายหลายสายอดุ มไปดว้ ย ปลานานาชนิด ด้านชายฝั่งทะเลเบงกอลและอ่าวสยาม มีเกาะและอ่าวสำหรับจอดเรือหลายแห่ง บรเิ วณปากนำ้ ตา่ ง ๆ เรือทุกขนาดจะสามารถเข้าออกได้โดยสะดวก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีและมีปรากฏอยู่ * นายโยสต์ สเคาเตน็ ไดอ้ ธบิ ายเกย่ี วกบั อาณาเขตของราชอาณาจกั รสยามในคาบสมทุ รมาเลยใ์ นสมยั นน้ั ไวเ้ ปน็ ครง้ั แรกแตไ่ มค่ อ่ ย จะชดั เจนนกั ๑ นา่ จะเปน็ เชียงใหมม่ ากกวา่ ๒ เรื่องที่ตั้งของเมอื งพะโคและเมอื งองั วะต้นฉบับนี้ใช้ต่างกัน คือเส้นรุ้งที่ ๑๔ กับเส้นรุ้งที่ ๑๘ ที่ถูกน่าจะเป็นเส้นรุ้งที่ ๑๘ เนื่อง จากตรงกบั ตน้ ฉบบั แปลของ Captain Roger Manley ทแ่ี ปลไวว้ ่า “ ราชอาณาจักรสยามตั้งอย่ทู ี่เส้นรงุ้ ที่ ๑๘ องศาเหนือ ชายเขตแดน ตดิ ตอ่ กบั เมอื งพะโคและอังวะ “ และตรงกบั แผนทป่ี จั จบุ นั ดว้ ย ๓ ๑ ไมล์ ของเยอรมันเท่ากับ ๔ ไมล์ครึ่งของอังกฤษ หรือ ๒๐๐ โยชน์เศษ
๒๕๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ในแผนที่เดินเรือแล้วเหตุนี้ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวให้ถี่ถ้วนนัก จะขอชี้แจงแต่เพียงสังเขปถึงแม่น้ำ และอ่าวที่สำคัญของประเทศที่ชาวต่างประเทศมักเข้ามาบ่อย ๆ แมน่ ำ้ ทช่ี าวสยามเรยี กกนั วา่ “ แมน่ ำ้ ” ๑ นน้ั หมายถงึ แมข่ องนำ้ เปน็ แมน่ ำ้ ทก่ี วา้ งใหญแ่ ละยาวมาก ต้นน้ำไหลมาจากที่ใดชาวสยามไม่ทราบไหลจากทางเหนือลงใต้ กระแสน้ำไหลเชี่ยว ผ่านเมืองอังวะ และเมืองหงสาวดี (พะโค) และมณฑลต่าง ๆ ของสยามแลว้ แยกออกเปน็ ๓ สายไหลลงอา่ วสยาม ธรรมชาตขิ องแมน่ ำ้ นค้ี ลา้ ยคลงึ กบั ลกั ษณะของแม่น้ำคงคาในประเทศอินเดียและแม่น้ำไนล์ของอียิปต์ คือ เมอ่ื ถงึ ฤดนู ำ้ หลากนำ้ จะไหลลน้ ฝง่ั ทกุ ปี ในปหี นง่ึ ๆ ในบรเิ วณทร่ี าบจะมนี ำ้ นองถงึ ๔-๕ เดอื น เปน็ ผลให้ พน้ื ดนิ มคี วามอดุ มสมบรู ณอ์ ยา่ งยง่ิ เหมาะแกก่ ารเพาะปลกู ขา้ ว ทง้ั ชะลา้ งสง่ิ โสโครกตา่ ง ๆ ซง่ึ อาจทำให้ เกิดโรคติดต่อไปหมด ลำน้ำที่แยกออกเป็น ๓ สายนน้ั สายตะวนั ออก ซง่ึ กวา้ งใหญท่ ส่ี ดุ อยตู่ รงเสน้ รงุ้ ท่ี๑๓ และ ๑๔๒ บริเวณปากแม่น้ำสายนี้มักมีเรือกำปั่นและสำเภาเข้าออกเสมอ ที่บริเวณปากอ่าวสยาม มีสันดอนยาวราว ๑ ไมล์ ๓ เวลาน้ำลงมักมีน้ำลึกเพียง ๕-๖ ฟุต และขึ้นสูงประมาณ ๑๕-๑๖ ฟุต แต่เมื่อถึงฤดูน้ำหลากในเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ระดับน้ำจะสูงถึง ๑๗-๑๘ ฟุต นอกสันดอนหรือ สันทรายนหี้ ่างจากฝั่งราว ๒ ไมล์ เรือขนาดใหญ่หรือเรือที่ไม่ต้องการเข้าไปในแม่น้ำ อาจจะทอดสมอ อยู่ได้ในนำ้ ลกึ ราว ๔,๕ หรอื ๖ ฟาธอม ๔ ถา้ ตอ้ งการเขา้ ไปในแมน่ ำ้ จะตอ้ งรอใหน้ ำ้ บรเิ วณสนั ดอนลกึ พอ เสยี กอ่ น แล้วจึงจะสามารถผ่านขึ้นไปได้ไกลจนถึงหมู่บ้านบางกอกโดยไม่มีบริเวณที่ตื้นเขินเป็นระยะทาง ประมาณ ๖ ไมล์ ถัดขึ้นไปแม่น้ำจะแคบและตื้นเขิน มีสันดอนอันตรายอยู่ ๓ แห่ง แต่เรือกินน้ำลึก ไมเ่ กนิ ๑๑ หรอื ๑๒ ฟตุ สามารถแลน่ ผา่ นขน้ึ ไปได้ และภายใน ๕-๖ วนั กจ็ ะถงึ เมอื งอยธุ ยา หรอื กรงุ ศรอี ยธุ ยา ๕ ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลประมาณ ๒๔ ไมล์ แต่ถ้าระหว่างเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน การเดนิ เรอื จะตอ้ งใชเ้ วลานาน ๓-๔ เดอื น เพราะนำ้ มากและไหลเชย่ี ว พื้นดินทั่วไปอุดมสมบูรณ์ แต่บริเวณที่มีพลเมืองอยู่หนาแน่นมักจะอยู่ริมแม่น้ำและบริเวณที่ราบ ในเมืองมีเมืองต่าง ๆ หลายเมือง สถานที่ที่เป็นตลาดและหมู่บ้านต่าง ๆ มากมาย ซง่ึ เปน็ การยากที่จะบอกจำนวนให้ชัดเจน เมืองที่มีความสำคัญที่สุด ได้แก่เมืองต่าง ๆ ต่อไปนี้ ๑ ชาวตา่ งชาตมิ กั จะเรยี กแมน่ ำ้ เจา้ พระยาวา่ “ The Menam ” เสมอ ๒ ฉบับของ Manley เสน้ รงุ้ ท่ี ๑๓ ๑/๒ ๓ ๑ ไมล์ = ๑.๖ กม. ๔ ๑ ฟาธอม = ๖ ฟตุ ๕ ตน้ ฉบบั ใชว้ า่ Odia หรือ Juthia
จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๕๙ อยุธยา พษิ ณโุ ลก สวรรคโลก ระแหง ๑ สโุ ขทยั กำแพงเพชร นครสวรรค์ พชิ ยั พจิ ติ ร ลพบรุ ี ตองอู เมาะลำเลงิ เมาะตะมะ นครศรธี รรมราช พทั ลงุ ตะนาวศรี บางกอก เพชรบรุ ี ราชบรุ ี มะริดเมืองอื่น ๆ อีก * เมืองสำคัญเหล่านี้ต่างมีความสำคัญต่าง ๆ กัน นอกจากนี้ยังมีเมือง ชุมชนค้า ขายและบรเิ วณทม่ี พี ลเมอื งอาศยั อยหู่ นาแนน่ อกี หลายแหง่ ทว่ั ทง้ั ประเทศซง่ึ ยากทจ่ี ะคำนวณได้ ณ ทน่ี ้ี กรงุ ศรอี ยธุ ยา เมอื งหลวงของราชอาณาจกั รสยาม ตง้ั อยบู่ นเกาะเลก็ ๆ พน้ื ทโ่ี ดยรอบเปน็ ทร่ี าบ มีกำแพงก่อด้วยอิฐหนาล้อมรอบ๒ วัดโดยรอบได้ประมาณ ๒ ไมล์ฮอลันดา ๓ เพราะฉะนั้นเมืองนี้ จึงดูกว้างขวางใหญ่โต เป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน และบรรดาเสนาอำมาตย์ข้าราชบริพารของ พระองค์ ส่วนทั้งสองฟากฝั่งพระนคร และแม่น้ำก็คับคั่งไปด้วยหมู่บ้านราษฎร โบสถ์ วิหารและ อารามสงฆ์ ตั้งอยู่เบียดเสียดติด ๆ กัน มีถนนและคลองที่กว้างยาวหลายสาย แต่ที่เป็นลำรางและ คลองซอยเลก็ ๆ นน้ั มมี าก เมอ่ื ถงึ ฤดนู ำ้ นำ้ ในแมน่ ำ้ จะเออ่ ขน้ึ มาทว่ มถนนหนทาง อาจใชเ้ รอื เลก็ ๆ พายขึ้นล่องไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้โดยสะดวกบ้านเรือนทำอย่างแบบอินเดีย หลังคามุงด้วยกระเบื้อง ภายในพระนครนน้ั งดงามยง่ิ มวี ดั วาอารามมากกวา่ ๓๐๐ วดั และเนอื งแนน่ ดว้ ยโบสถว์ หิ ารการเปรยี ญ พระพุทธรูป สถูปเจดีย์ที่ปิดทองและรูปซึ่งหล่อจากโลหะธาตุต่าง ๆ ซึ่งนายช่างได้สถาปนาก่อสร้างขึ้น อยา่ งประณตี ดวู จิ ติ รพสิ ดารยง่ิ นกั สว่ นพระราชวงั กก็ อ่ สรา้ งขน้ึ อยา่ งวจิ ติ รบรรจง และใหญโ่ ตรโหฐานมาก ปราสาทราชมนเทยี ร มียอดซึ่งเลื่อมระยับไปด้วยทองแลดูประดุจเมืองเล็ก ๆ อีกเมืองหนึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำซึ่งเป็นที่รู้จักคุ้นเคย ของชาวตา่ งชาตวิ า่ เปน็ เมอื งทอ่ี ดุ มสมบรู ณด์ ว้ ยเครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภคหลากหลายชนดิ ทม่ี าจากดนิ แดน ต่างๆ ซึ่งไม่เคยปรากฏว่าพระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้านายพระองค์ใดในหมู่เกาะอินดีสทั้งหมดจะมีพระนคร *๑ ปัจจุบันคือจังหวัดตาก ชอ่ื เมอื งในสมยั สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรมทป่ี รากฏขา้ งบนน้ี เมอ่ื เทยี บกบั ปจั จบุ นั (สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) Picelouck - Pitsanooloke Sourckelouck - Sawarkaloke Capheng - Kampang Kephinpet - Kampangpet Consevan - Naconsawan Pitsidi - Peechil Lygor - Ligor Tannassary - Tenasserim Pripry - Petchaburee Rapry - Ratburi Mergy - Mergui สว่ นคำอน่ื ไมเ่ ปน็ ทร่ี จู้ กั ดใี นหมชู่ าวตา่ งประเทศ จงึ แปลตามความใกลเ้ คยี งของเสยี งซง่ึ อาจเพย้ี นไปบา้ งและยงั ไมช่ ดั เจน ๒ ต้นฉบับใช้ว่า “ It is enclosed by a thick stone wall ” แต่เท่าที่ปรากฏยังไม่เคยค้นพบกำแพงเมืองอยุธยาสร้างด้วยศิลาเลย ในภาษาฮอลนั ดาคำว่า “steen” อาจแปลว่า “อิฐ” หรือ “หิน” ก็ได้ ๓ ต้นฉบับของ Manley วา่ “ วดั โดยรอบไดป้ ระมาณ ๖ ไมลอ์ งั กฤษ ”
๒๖๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ งดงามดังเช่น กรุงศรีอยุธยานี้เลย ในเรื่องของทำเลที่ตั้งและกำลังกองทัพกรุงศรีอยุธยานับได้ว่า ตง้ั อยใู่ นทม่ี น่ั คงแขง็ แรงแหง่ หนง่ึ ซง่ึ ขา้ ศกึ สามารถลอ้ มพระนครไวอ้ ยา่ งชา้ ทส่ี ดุ ประมาณ ๖ เดอื นเทา่ นน้ั ก็ต้องล่าทัพกลับด้วย เมื่อถึงฤดูน้ำหลากน้ำในแม่น้ำจะไหลบ่าเข้ามาท่วมฐานทัพข้าศึกจนไม่สามารถ จะตง้ั มน่ั อยไู่ ด้ การปกครอง การปกครองของราชอาณาจกั รสยาม เปน็ แบบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยม์ าแตโ่ บราณนบั เปน็ รอ้ ย ๆ ปี ขน้ึ ไป พระมหากษตั รยิ ป์ กครองบา้ นเมอื งโดยสทิ ธข์ิ าด พระองคม์ พี ระราชอำนาจ ทจ่ี ะทำศกึ สงคราม ทำไมตรี ลงโทษหรือประทานอภัยอย่างใดอย่างหนึ่งกับใครก็ได้ทั้งนั้น พระองค์จึงมีพระราชอำนาจที่จะ ออกกฎหมายข้อบังคับตามใจชอบโดยไม่ต้องขอคำแนะนำหรือความเห็นชอบจากเจ้านายขุนนางผู้ใดเลย ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งจะเปน็ ไปตามแตพ่ ระองคจ์ ะพงึ ประสงค์ แตม่ ปี ระเพณโี บราณอยสู่ ง่ิ หนง่ึ คอื ทป่ี ระชมุ เสนาบดี ที่ปรึกษาจะทูลแนะนำในเรื่องสลักสำคัญก็ย่อมทำได้ แต่พระมหากษัตริย์ก็ยังมีพระราชอำนาจ ทจ่ี ะรบั หรือไม่รับคำแนะนำนั้น ด้วยเหตุนี้สิ่งใดที่พระองค์ทรงพิจารณาว่าเป็นทางที่ดีที่สุด สิ่งนั้นประชาชน พลเมอื งกจ็ ะตอ้ งยดึ ถอื ปฏบิ ตั ติ าม ตำแหน่งขุนนาง ตำแหน่งขุนนางที่มีเกียรติทั้งหลายทั้งปวง ย่อมสุดแล้วแต่พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้ง ผใู้ ด ในราชอาณาจกั รนไ้ี มม่ กี ารแบง่ ชน้ั วรรณะระหวา่ งขนุ นาง ผดู้ หี รอื ไพรส่ ถลุ สกลุ ตำ่ แตอ่ ยา่ งใด ทง้ั ไพร่ทั้งผู้ดีย่อมอยู่ในข่ายที่จะได้รับพระกรุณาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ได้ทั่วกัน พระมหากษัตริย์ จะโปรดเกล้าฯ ให้ปลดขุนนางผู้ใดโดยมีความผิดเพียงเล็กน้อยก็ย่อมทำได้ ผู้ที่มีอำนาจราชศักดิ์ใหญ่โต อาจจะถูกปลด ลงโทษเหยียดหยามได้ง่าย ๆ ด้วยว่าประชาชนทุกรูปทุกนาม เป็นข้าทาสของแผ่นดิน คำวา่ ” ขา้ ทาส ” ในราชอาณาจกั รนม้ี ไิ ดเ้ ปน็ คำเหยยี ดหยามแตป่ ระการใด ขนุ นางผใู้ หญผ่ มู้ บี รรดาศกั ด์ิ สูงหรือใคร ๆ ก็ตาม ต่างก็เป็นข้าทาสของแผ่นดินด้วยกันทั้งนั้น ในราชอาณาจักรนี้มีจารีตประเพณี แต่โบราณมีพระราชกำหนดกฎหมาย ทั้งในทางพุทธจักรและศาสนจักรก็จริงอยู่ แต่พระมหากษัตริย์ กท็ รงไวซ้ ง่ึ พระราชอำนาจโดยสทิ ธข์ิ าดทจ่ี ะตคี วามหมายเอาเองไดต้ ามทพ่ี ระองคจ์ ะพงึ ประสงค์ พระอจั ฉรยิ ภาพ พระราชกจิ วตั ร และราชสำนกั ของพระเจา้ แผน่ ดนิ สยาม ราชสำนกั ของพระเจา้ แผน่ ดนิ นน้ั กวา้ งใหญไ่ พศาลดสู งา่ งามยง่ิ มขี า้ ราชบรพิ ารมากมาย พระองค์ ไม่ใคร่จะเสด็จออกให้สามัญชนได้แลเห็น แม้แต่ข้าราชการทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ก็ยังมีโอกาสที่จะพบเห็น
จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๖๑ พระองคน์ อ้ ยครง้ั เหมอื นกนั พระองคม์ กี ำหนดเสดจ็ ออกขนุ นาง เพอ่ื ใหข้ า้ ราชบรพิ ารไดเ้ ฝา้ แหน ณ ทอ้ ง พระโรง และปราสาทราชมนเทยี รภายในพระราชสำนกั แตเ่ พยี งบางครง้ั บางคราว เวลาเสดจ็ ออกขนุ นาง ทรงฉลองพระองค์อันมีค่า สวมมงกุฎสำหรับกษัตริย์ ประทับเหนือพระราชบัลลังก์ซึ่งคร่ำทองไว้อย่าง งดงาม ขุนนางข้าราชการและตำรวจที่คุมอาวุธต่างคุกเข่าหมอบอยู่ด้วยความเคารพแทบเบื้องพระบาท นอกจากนย้ี งั มที หารรกั ษาพระองคร์ าว ๓๐๐ คนยนื คมุ อาวธุ ลอ้ มรกั ษาการณอ์ ยโู่ ดยรอบพระองค์ ชาวตา่ ง ประเทศที่เข้าเฝ้า จะต้องคุกเข่าประสานมือทั้งสองน้อมศีรษะและหมอบลงด้วยอาการที่เคารพอย่างยิ่ง เมื่อจะกราบทูลข้อความใด ๆ จะต้องกล่าวคำนำพระนาม และสรรเสริญพระบารมีเสียก่อน กระแส พระราชโองการของพระองคเ์ ฉยี บขาด เปรยี บประดจุ โองการแหง่ พระผเู้ ปน็ เจา้ ซง่ึ ขา้ ราชบรพิ ารจะตอ้ ง ปฏิบัติและดำเนินตาม ทั้งนี้ย่อมจักเห็นได้ว่า พระองค์ทรงพระเกษมสำราญและบันเทิงพระราชหฤทัย ในสริ ริ าชสมบตั ทิ กุ อยา่ งทกุ ประการ แมพ้ ระราชวงั อนั งดงาม รมณยี สถาน พลบั พลา และราชอทุ ยาน ก็มีบริบูรณ์พร้อมเพรียงอยู่ทั่วพระราชอาณาจักร นอกจากพระราชินี หรือเอกอัครมเหสี พระองค์ยังมี พระสนมที่ได้ทรงเลือกสรรเอาแต่ที่รุ่น ๆ รูปโฉมงดงามกำเนิดในตระกูลอันสูงศักดิ์ ๑ พระองค์เสวย พระกระยาหารอันโอชารสทรงดื่มแต่น้ำบริสุทธิ์ หรือน้ำมะพร้าวอ่อนส่วนน้ำจัณฑ์หรือเครื่องมึนเมาอื่นๆ นน้ั เปน็ ของทต่ี อ้ งหา้ มอยา่ งกวดขนั ทง้ั ทางโลกและทางธรรม เจา้ นายหรอื ขา้ ราชการถา้ เสวยหรอื เสพยอ่ ม เปน็ เครอ่ื งเยย้ หยนั ของชนทว่ั ไป เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาสในลำแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรือที่ได้ตกแต่งไว้อย่างงดงาม โดยเสด็จพระราชดำเนินราว ๘ ลำ หรือ ๑๐ ลำก็มี แต่ละลำบรรจุฝีพายตั้งแต่ ๘๐ คนขึ้นไป จนถึง ๑๐๐ คน พระเจ้าแผ่นดินประทับในเรือพระที่นั่งลำงามที่สุด มีประทุนฉาบทอง๒และมีมหาดเล็ก แวดล้อมอยู่สะพรั่ง นอกจากนี้ยังมีเรือขบวนอีกหลายลำ เป็นเรือทหารรักษาพระองค์จำนวน ราว ๓๐๐ - ๔๐๐ - ๕๐๐ คน และเรือเจ้านายข้าราชการชั้นผู้ใหญ่โดยเสด็จด้วย เจ้านายข้าราชการ เหลา่ น้ี ตา่ งนง่ั ในเรอื คนละลำ ๆ มปี ระทนุ ฉาบทองยอ่ ม ๆ ฉะนใ้ี นการเสดจ็ พระราชดำเนนิ ทางชลมารค ครง้ั หนง่ึ ๆ จงึ ตอ้ งมขี า้ ราชบรพิ ารรวมทง้ั สน้ิ ราว ๑๒,๐๐๐ ถงึ ๑๕,๐๐๐ คน ๓ ถงึ แมใ้ นการเสดจ็ ๑ ตน้ ฉบบั ทแ่ี ปลโดย Manley ไม่ปรากฏขอ้ ความต้งั แต่ “ นอกจากพระราชิน…ี ..ในตระกลู อันสูงศกั ด์ิ ” ๒ บลั ลงั คก์ ญั ญา ๓ ตน้ ฉบบั Manley แปลไว้วา่ ๑๒,๐๐๐ - ๑๔,๐๐๐ คน
๒๖๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ทางสถลมารคกด็ ี นอกจากบรรดามหาดเลก็ ขนุ นางขา้ ราชการ ตำรวจหลวง ทหารรกั ษาพระองค์ มา้ และชา้ งแลว้ ยงั มขี า้ ราชการอน่ื ๆ โดยเสดจ็ อกี มาก ส่วนพระเจ้าแผ่นดินประทับบนเสลี่ยงทอง มีคนหามรวมจำนวนคนในขบวนเสด็จทางสถลมารค เชน่ นร้ี าว ๘๐๐ - ๙๐๐ คน๑ และเคลอ่ื นขบวนไปโดยเรยี บรอ้ ยเปน็ ทวิ แถวสงา่ งามนา่ ดมู าก ในขณะเสดจ็ พระราชดำเนินนี้บรรดาราษฎรที่เฝ้าอยู่ตามระยะทางต่างก็พนมมือหมอบราบอยู่บนพื้นดินราวกับกระทำ ความเคารพบชู าพระผเู้ ปน็ เจา้ ฉะนน้ั ในตอนเดอื นตลุ าคม พระเจา้ แผน่ ดนิ เคยเสดจ็ พระราชดำเนนิ ใหร้ าษฎร พลเมอื งไดเ้ ชยชมพระบรมโพธสิ มภาร อนั เปน็ โบราณราชประเพณเี สมอมาทกุ ๆ ปี มเี จา้ นายขา้ ราชการ ทง้ั ผใู้ หญแ่ ละผนู้ อ้ ยเศรษฐคี ฤหบดโี ดยเสดจ็ ทง้ั ทางนำ้ และทางบก เปน็ ขบวนอยา่ งสงา่ งาม ประดจุ มพี ธิ ี แห่ในวันฉลองชัยชนะ พระองค์พร้อมด้วยข้าราชบริพารเหล่านี้ได้เสด็จสู่พระอุโบสถในพระอารามใหญ่ๆ แลว้ ทรงอาราธนาพระสงฆก์ ระทำพทุ ธกจิ เพอ่ื ยงั ความเจรญิ รงุ่ เรอื งใหแ้ กป่ ระเทศ และเพอ่ื ความยง่ั ยนื ของ พระองค์ ขบวนเสดจ็ พระราชดำเนนิ ไดจ้ ดั ดงั นค้ี อื ทวิ ทห่ี นง่ึ ชา้ ง ๒๐๐ เชอื ก มคี นขข่ี บั เชอื กละ ๓ นาย ถือศัสตราวุธพร้อม เดินจากพระบรมมหาราชวังบ่ายหน้าไปทางพระอุโบสถ ทิวที่ ๒ ขบวนฆ้องกลอง มโหระทกึ และกระจบั ป่ี กบั ทหารอกี หนง่ึ พนั ถอื อาวธุ งดงามและธงทวิ ตา่ ง ๆ ทวิ ท่ี ๓ ขบวนเจา้ นายทกุ ๆ พระองค์ทรงม้า เจ้านายเหล่านี้หลายพระองค์สวมชฎาทองคำ องค์หนึ่ง ๆ มีคนเดินตามตั้งแต่ ๖๐ ถึง ๑๐๐ คน ทิวที่ ๔ มีกองทหารญี่ปุ่น ๒๐๐ คน ถือศัสตราวุธและธงทิวอย่างงดงาม ทิวที่ ๕ ขบวนดุริยางค์ดนตรีเดินเป็น ๒ แถวขนาบ มีทหารรักษาพระองค์เดินอยู่ภายใน ส่วนช้างม้าพาหนะ กต็ กแตง่ ดว้ ยเครอ่ื งทองและพลอยสี ๒ ตอ่ ไปเปน็ พวกขา้ ราชบรพิ ารมากหนา้ หลายตาขนสรรพผลไมน้ านาชนดิ และเครอ่ื งไทยธรรมสำหรบั ถวายพระทว่ี ดั รว่ มมากบั วงดนตรอี นั ไพเราะ พวกผชู้ ายทเ่ี ปน็ หวั หนา้ บางคนสวมหมวกทรงประพาส ๓ คนหนึ่งเชิญธงมหาราช และอีกคนหนึ่งเชิญพระแสงดาบเดินนำหน้า กระบวนเดินเท้าที่เดิน พนมมือ ถัดมาก็ถึงองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องต้นเสด็จประทับมาบนหลังช้างพระที่นั่งอันมี ๑ จำนวนผคู้ นตามเสดจ็ ไมป่ รากฏในฉบบั ของ Manley ๒ ฉบบั Manley แปลไวว้ า่ มกี องทหารญป่ี นุ่ จำนวน ๒๐๐ คน พรอ้ มดว้ ยอาวธุ ทเ่ี ปน็ มนั วาวหลากหลายชนดิ เวลาเดนิ จะไดย้ นิ เสยี งอาวธุ กระทบกนั ดงั มาก ตอ่ จากนน้ั เปน็ ขบวนทหารรกั ษาพระองคพ์ รอ้ มดว้ ยมา้ ทรงและชา้ งทรงของพระเจา้ แผน่ ดนิ ซง่ึ ประดบั ตกแตง่ ดว้ ย เครอ่ื งทองและพลอยสตี า่ ง ๆ ๓ ตน้ ฉบบั ใชว้ า่ “ Many leading men, some of them crowned ”
จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๖๓ เครื่องประดับงดงามหรือมิฉะนั้นก็บนพระเสลี่ยงทองมีคนหาม ห้อมล้อมไปด้วยหมู่เสวกามาตย์และ ราชบรพิ ารชน้ั ผใู้ หญ่ ตามเสดจ็ ดว้ ยองค์รชั ทายาทพระสนมกำนลั และนางพนกั งานขา้ หลวงมาบนหลงั ชา้ ง (สำหรับช้างทรงฝ่ายในมีบุษบกปิดมิดชิด ) ขบวนหลังเป็นเหล่าข้าราชสำนักและทหารถืออาวุธ ๖๐๐ คน เบ็ดเสร็จขบวนเสด็จมีกำลังพลจากหมื่นห้าถึงหมื่นหกพันคน แต่ถ้าเป็นการเสด็จโดยกระบวนชลมารค ริ้วขบวนจะมีเป็นลำดับดังนี้ ลำดับแรกเป็นขบวน เหล่าขุนนางมีจำนวนประมาณ ๒๐๐ คน แต่ละคนนั่งมาในเรอื บษุ บกเลก็ ๆ ปดิ ทอง มฝี พี ายลำละ ๖๐ ถงึ ๘๐ คน ตามดว้ ยเรอื บรรเลงเครอ่ื งดดี สตี เี ปา่ สี่ลำ ถัดมาเป็นเรอื กระบวนราชพิธี ๕๐ ลำประดับด้วย บุษบกและทองทา ๑ มีฝีพายประจำลำละ ๘๐ หรือ ๙๐ คน ต่อจากนั้นเป็นขบวนเรือสร้างตามแบบ พื้นเมืองอันมีค่าสูงยิ่งสิบลำ ทั้งตัวเรือและพายปดิ ทองเหลอื งอรา่ ม แตล่ ะลำมฝี พี ายประจำ ๙๐ ถงึ ๑๐๐ คน เรือลำที่สวยที่สุดเป็นเรือพระที่นั่งทรงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับอยู่ภายใต้บุษบกปิดทอง งามประหนึ่งเทวรูป มีขุนนางผู้ใหญ่หมอบเฝ้าอยู่รายรอบพระยุคลบาท ส่วนพนักงานผู้เชิญธงมหาราช อยู่ในลำดับเหนือถัดออกไป ต่อมาเป็นเรือของพระอนุชา ทรงประทับเป็นสง่าอยู่ภายใต้บุษบกปิดทอง ดาดด้วยผ้าไหม ครั้นแล้วก็ถึงเรือพระสนมกำนลั ใน แยกกนั ลงเปน็ ลำ ๆ พรอ้ มกบั นางขา้ หลวง ขบวน สุดท้ายเป็นเรือจำนวนมากมายของข้าราชสำนักและขุนนาง เมื่อรวมกันเข้าทั้งหมดจะมีถึง ๔๕๐ ลำ และมีคนโดยเสด็จในกระบวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นห้าพันถึงสามหมื่นคน๒ ทั้งสองฝั่งแม่น้ำที่กระบวนเรือ พระที่นั่งผ่านไปแออัดด้วยเรือและฝูงชนนับจำนวนมิได้ ต่างก้มศีรษะลงกราบถวายบังคมด้วยความ นอบนอ้ มในพระมหากรณุ าธคิ ณุ อยา่ งลน้ เกลา้ รายได้จากภาษีอากรและโภคทรัพย์ของพระมหากษัตริย์ ค่าธรรมเนียมและภาษีอากรอันเป็นรายได้แต่ละปีมีจำนวนมหาศาล คิดเป็นเงินหลายล้าน กิลเดอร์ ๓ ส่วนใหญ่ได้มาจากข้าวซึ่งพื้นดินมีความเหมาะสมแก่การปลูกเป็นพิเศษ ฝาง ดีบุก ตะกั่ว ดินประสิว และอื่น ๆ ซึ่งตัวแทนของพระมหากษัตริย์ขายให้แก่พ่อค้าชาวต่างประเทศได้แต่ผู้เดียว ก็ทำเงินให้ไม่น้อย นอกจากนี้ยังมีกำไรจากทองคำที่หาได้ตามทรายและที่ขุดได้จากเหมืองทองอีกด้วย ภาษที เ่ี กบ็ จากสนิ คา้ ตา่ งประเทศ ของถวายและเครอ่ื งบรรณาการทป่ี ระมขุ ของคนในบงั คบั เจา้ ประเทศราช ๑ ฉบบั ของ Manley ไมป่ รากฏขอ้ ความตง้ั แต่ \" ตามดว้ ยเรอื บรรเลงเครอ่ื ง ดดี สตี เี ปา่ …..และทองทา \" ๒ ฉบับของ Manley แปลไว้ว่า ๒๕,๐๐๐ - ๒๖,๐๐๐ คน ( five or six and twenty thousand persons ) ๓ หนว่ ยเงนิ ของประเทศฮอลแลนด์
๒๖๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ และเจ้าเมืองต่าง ๆ ถวายเป็นส่วนช่วยเหลือในการภาษีอย่างหนึ่ง นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ยังทรงมี ผลกำไรอย่างใหญ่หลวงจากการค้าที่ใช้ทุนส่วนพระองค์ จงึ ตกเปน็ เงินถึงปีละ ๒,๐๐๐ ชั่ง ๑ หรือ แสนทาเลอร์ ๒ ฉะนั้นจึงเป็นที่เห็นประจักษ์ว่าพระเจ้ากรุงสยามทรงเป็นผู้มั่งคั่งที่สุดในบรรดาแคว้น ประจิมทิศนี้ พระองค์ทรงแต่งตั้งข้าราชการเป็นจำนวนมากสำหรับเก็บภาษีอากร กับทำบัญชี รายละเอียดประจำปี เงินจำนวนนี้พระองค์ทรงใช้ไปในการก่อสร้างวัดวาอารามเสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนก้ี พ็ ระราชทานใหเ้ ปน็ รางวลั แกผ่ ปู้ ฏบิ ตั ริ าชการดว้ ยความจงรกั ภกั ดี และทรงจา่ ยเปน็ คา่ ทะนบุ ำรงุ บ้านเมืองที่จำเป็น ตลอดจนรายจ่ายแห่งราชสำนัก ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้ในท้องพระคลังส่วนพระองค์ ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ กลา่ วไดอ้ ยา่ งแนน่ อนวา่ พระมหากษตั รยิ ท์ รงมที รพั ยส์ มบตั มิ หาศาล การสืบราชสมบัติ กฎหมายและขนบประเพณีของประเทศ กำหนดการสืบราชสมบัติไว้อย่างน่าพิศวง แต่ก็ยัง ถือเป็นหลักปฏิบัติกันมาอย่างสม่ำเสมอ สำหรับการสืบราชบัลลังก์นั้น เมื่อพระเจ้าแผ่นดินสวรรคต พระอนชุ าทม่ี พี ระชนมายมุ ากกวา่ องคอ์ น่ื ๆ จะทรงไดร้ าชสมบตั ิ แตถ่ า้ พระอนชุ าหาไมแ่ ลว้ ราชสมบตั ิ จึงจะตกทอดไปยังพระราชโอรสองค์ใหญ่ และพระอนุชาของพระราชโอรสองค์นั้น สุดแต่ว่าจะมี พระอนุชาที่ยังดำรงพระชนม์อยู่กี่พระองค์ ในที่สุดโดยระเบียบแบบแผนอย่างเดียวกันนี้โอรสทั้งหมดของ พระอนุชาองค์ใหญ่ที่ได้ครองราชสมบัติมาก่อน ก็จะได้รับราชสมบัติต่อเนื่องกันไป ส่วนพระราชธิดานั้น กฎหมายไมอ่ นญุ าตใหข้ น้ึ ครองราชสมบตั ิ และดว้ ยประการฉะน้ี ราชตระกลู อนั เกา่ แกจ่ งึ สบื เนอ่ื งตอ่ กนั ไป โดยยากทจ่ี ะสน้ิ สดุ แตว่ ธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นการสบื ราชสมบตั นิ น้ั เปน็ อกี เรอ่ื งหนง่ึ ไมค่ อ่ ยจะปฏบิ ตั ใิ หเ้ ปน็ ไปตามตวั บทกฎหมายนัก มีบ่อย ๆ ที่ราชสมบัติมักจะตกทอดแก่ผู้ที่มีอำนาจที่สุด หรือไม่ก็ได้แก่ผู้ที่เป็นที่ โปรดปรานทส่ี ดุ ในพระราชวงศ์ อยา่ งเชน่ ทพ่ี ระเจา้ แผน่ ดนิ องคป์ จั จบุ นั ๓ ทรงกระทำมา เพอ่ื ทจ่ี ะรกั ษา ตำแหน่งของพระองค์ไว้ให้มั่นคงพระองค์ได้ฆ่าเจ้านายองค์อื่น ๆ กับบริวารเสียสิ้น ทั้งนี้เพื่อครอง ราชสมบัติต่อไปโดยปราศจากเสี้ยนหนาม และเพื่อราชสมบัติจะได้ตกทอดไปโดยสันติสุขยังพระอนุชา หรอื พระโอรสของพระองคต์ อ่ ไป ๑ หนว่ ยเงนิ ตราของไทยในสมยั นั้น ๑ ชง่ั มีคา่ เท่ากับ ๘๐ บาท ๒ หนว่ ยเงนิ ตราของประเทศเยอรมนใี นสมยั นน้ั มลี กั ษณะเปน็ เหรยี ญเงนิ คลา้ ยชลิ ลงิ ขอ้ ความตง้ั แต่ \" รายไดป้ ระจำปสี ว่ นพระองค์ จึงตกเป็นเงินถึงปีละ ๒,๐๐๐ ชั่ง หรือ ๑๐๐,๐๐๐ ทาเลอร์ \" ไม่ปรากฏในฉบับของ Manley ๓ หมายถงึ สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง ทรงครองราชยร์ ะหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๓ - ๒๑๙๘
จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๖๕ ศาลสถิตยุติธรรม ศาลแพง่ เชน่ เดยี วกนั กบั ศาลอาญาตลอดทว่ั ทง้ั ประเทศ มีผพู้ พิ ากษาจำนวนหนง่ึ ประกอบเปน็ องค์คณะ ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีความให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมายและจารีตประเพณี ในกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นเมืองหลวง นอกจากจะมีศาลต่าง ๆ และผู้พิพากษาธรรมดาสามัญแล้ว ยงั มศี าลสถติ ยตุ ธิ รรมชน้ั สงู ประกอบดว้ ยคณะกรรมการ ๑๒ นาย มผี ทู้ รงคณุ วฒุ นิ ายหนง่ึ เปน็ ประธาน ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีแพ่งทั้งปวงและคดีสำคัญ ๆ ทั้งหลายที่คู่ความหรือศาลชั้นต้นเสนอขึ้นมา เพื่อรับการพิจารณาพิพากษาเป็นชั้นสุด เมื่อศาลชั้นสูงพิจารณาพิพากษาแล้ว คดีเป็นอันถึงที่สุด ไม่มีอุทธรณ์ต่อไปอีกเว้นแต่จะได้ถวายฎีกาต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง และเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน จำนวนมาก และก็มีเป็นบางครั้งบางคราวที่คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้รับการพิจารณาแก้ไขใหม่จาก พระองค์เอง หรือจากที่ปรึกษาที่ทรงแต่งตั้งขึ้นเพื่อกรณีนั้น แต่ตามธรรมดาแล้ว มักจะยึดตาม คำพพิ ากษาเดมิ และมคี ำสง่ั กำชบั เพม่ิ เตมิ ไปวา่ ใหป้ ฏบิ ตั กิ ารใหเ้ ปน็ ไปตามคำพพิ ากษานน้ั โดยเรว็ ในการพิจารณาคดีต่อหน้าศาลชั้นสูงและศาลชั้นต้น คำกล่าวหาฟ้องร้องและแก้คดีของคู่กรณี จะทำด้วยปากเปล่าหรือทำเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีทนายความช่วยเหลือก็ได้ โจทก์จำเลยและ พยานจะถกู ซกั ถามตามกระบวนการพจิ ารณา และมเี สมยี นเปน็ ผจู้ ดบนั ทกึ ไวโ้ ดยถกู ตอ้ ง สว่ นสำนวนนน้ั คู่กรณีจะเป็นผู้ลงนามและประทับตราด้วยตนเอง หรือจะให้ทนายความของตนปฏิบัติแทนก็ได้แล้ว นำไปมอบใหผ้ พู้ พิ ากษาเกบ็ ไวจ้ นกวา่ จะถงึ กำหนดนดั พจิ ารณาในคราวหนา้ จงึ จะนำมาเปดิ อกี ครง้ั หนึ่งต่อหน้า โจทก์จำเลย เมื่อมีการพิจารณาคดีข้อพิพาทนั้นอีกก็จดเอาไว้เป็นหลักฐานเช่นครั้งก่อนและประทบั ตราเก็บไว้เช่นเคย การพิจารณาคดีดำเนินไปด้วยความยืดเยื้อเนื่องจากมีการนัดเลื่อนกันบ่อย ๆ มีการ คดั คา้ นใชเ้ ลห่ ก์ ระเทเ่ พทบุ าย ตลอดทง้ั ผพู้ พิ ากษาเองกม็ คี วามขเ้ี กยี จเปน็ ประจำอยดู่ ว้ ย มีคดีเป็นจำนวน ไม่น้อยที่พิพาทกันอยู่เป็นเวลาตั้งหลายปี ทำให้คู่ความต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายไปคนละมาก ๆ และคดี ก็ยังไม่ได้ตัดสิน ในที่สุดหลังจากที่ได้วิงวอนและอ้อนวอนกันมากมายหลายครั้งแล้ว คณะผู้พิพากษา จึงนัดพิจารณาคดีดำเนินการสืบพยานหลักฐานตลอดจนทำคำพิพากษา ในคดีอาญา เช่นหมิ่นประมาท ๑ ปล้นฆ่าคนตาย กบฏ และความผิดทางอาญาอื่น ๆ ทำนองเดยี วกนั ผตู้ อ้ งหาหรอื บคุ คลทม่ี พี ยานหลกั ฐานเพยี งพอระบวุ า่ เปน็ ผกู้ ระทำผดิ หวั หนา้ กรมการ ๑ ตน้ ฉบบั นภ้ี าษาองั กฤษใชว้ า่ “slander (หมน่ิ ประมาท)” แตฉ่ บบั ของ Manley ใชว้ า่ “injuries” injury อาจแปลวา่ “ความเสยี หาย” ก็ได้ เช่นในกรณนี ี้
๒๖๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะทำการจับกุมคุมขังไว้ แล้วนำตัวขึ้นฟ้องศาล ในการพิจารณาคดี ผู้ต้องหา ไดร้ บั อนญุ าตใหน้ ำพยานหลกั ฐานเขา้ สบื หกั ลา้ งขอ้ หาได้ แตถ่ า้ โจทก์มพี ยานหลกั ฐานเพยี งพอวา่ เปน็ ผู้ กระทำผิด แล้วยังคงยืนกรานปฏิเสธความผิดอยู่อีก ผู้ต้องหาจะต้องถูกทรมานอย่างร้ายแรงให้ๆ การตามความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องบันทึกไว้อย่างถูกต้องและนำมาพิจารณาต่อหน้าที่ประชุม ผู้พิพากษา ซึ่งจะได้ทำคำพิพากษาอย่างรวดเร็ว และจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นโดยทันที แตค่ ดรี า้ ยแรงทอ่ี าจลงโทษถงึ ขน้ั ประหารชวี ติ ไดน้ น้ั มรี ะเบยี บแตกตา่ งออกไปเปน็ ขอ้ ยกเวน้ คดเี หลา่ น้ี อยู่ในพระราชวินิจฉัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณา ผู้ต้องคำพิพากษาให้ ประหารชีวิตนั้นอาจได้รับพระราชทาน อภัยโทษเสียทั้งหมด หรืออาจลดโทษลงมาเหลือเพียงจำคุก ตลอดชวี ติ หรอื ใหป้ ระหารชวี ติ ยนื ตามคำพพิ ากษานน้ั สว่ นโทษทจ่ี ะลงแกผ่ กู้ ระทำความผดิ นน้ั ยอ่ มหนกั เบาแลว้ แตก่ ารกระทำผดิ ซง่ึ อาจเปน็ ปรบั ใหเ้ สยี สนิ ไหม ปลดออกจากตำแหนง่ หนา้ ท่ี เนรเทศใหไ้ ปอยยู่ งั ทร่ี กรา้ งวา่ งเปลา่ หรอื เอาตวั ลงเปน็ ทาสรบิ ทรพั ย์ ตัดมือและเท้า หรือเอาตัวผู้ประกอบการร้ายลงต้มในน้ำมัน ตัดแขนตัดขาหรือประหารชีวิตด้วยวิธีการ อย่างทารุณ ส่วนทรัพย์สมบัติของผู้ถูกประหารก็ถูกริบราชบาตรเข้าเป็นของหลวงและพระราชทาน แกข่ า้ ราชบรพิ ารของพระองค์ ๑ จารีตนครบาล ในการพิจารณาคดีทั้งคดีอาญาและแพ่ง เมื่อผู้พิพากษาไม่สามารถวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้โดย ถูกต้อง หรือขาดพยานหลักฐานก็ให้ใช้วิธีพิจารณาโดยจารีตนครบาล คือผู้พิพากษายินยอมอนุญาต ใหค้ คู่ วามพสิ จู นค์ วามบรสิ ทุ ธข์ิ องตนดว้ ยการดำนำ้ เอามอื จมุ่ ลงไปในนำ้ มนั รอ้ น ๆ เดนิ ลยุ ไฟดว้ ยเทา้ เปลา่ หรอื ใหก้ นิ ขา้ วเสก วธิ กี ารเหลา่ นก้ี ระทำโดยเปดิ เผยตอ่ หนา้ ผพู้ พิ ากษาและประชาชนทว่ั ไป การดำนำ้ นน้ั มวี ธิ ดี งั ตอ่ ไปน้ี คอื ปกั หลกั สองตน้ ลงไปในนำ้ แลว้ กใ็ หค้ คู่ วามดำนำ้ ลงไปพรอ้ ม ๆ กนั ใครดำอยใู่ นนำ้ ไดน้ านกวา่ กเ็ ปน็ ผชู้ นะคดี คนทด่ี ำสไู้ มไ่ ด้ กแ็ พค้ ดไี ป สว่ นการทำโดยวธิ อี น่ื กม็ ลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กนั คนทเ่ี อามอื จมุ่ ลงไปในนำ้ มนั ทก่ี ำลงั เดอื ดและพองนอ้ ยทส่ี ดุ คนทเ่ี ดนิ ลยุ ไฟโดยมคี นคอยกดบา่ ทง้ั สองขา้ ง ไปได้โดยไม่บาดเจ็บ ส่วนข้าวก็มีพิธีเสกเป่าลงอาถรรพณ์กันอย่างมากมาย และมีพระสงฆ์เป็นผู้ให้ คู่ความคนใดที่กลืนข้าวลงไปโดยไม่อาเจียนก็จะเป็นผู้ชนะคดี ผู้พิพากษาจะตัดสินให้ชนะคดีโดยรวดเร็ว ๑ ไมป่ รากฏขอ้ ความ “ สว่ นทรพั ยส์ มบตั ขิ องผถู้ กู ประหารจะถกู รบิ เขา้ เปน็ ของหลวงและพระราชทานแกข่ า้ ราชบรพิ ารของพระองค์” ในฉบับของ Manley
จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๖๗ และจะมีเพื่อนฝูงห้อมล้อมแสดงชัยชนะอย่างมโหฬารพากลับไปส่งบ้าน ส่วนอีกข้างหนึ่งที่ผิดหวัง หรอื ปฏเิ สธความผดิ ถา้ เปน็ คดอี าญากจ็ ะถกู ลงโทษตามความผดิ แตถ่ า้ เปน็ กรณที พ่ี พิ าทกนั ในทางแพง่ กจ็ ะถกู ปรบั หรอื ถกู เอาตวั ไปจำขงั กไ็ ด้ * กิจการทหาร กำลงั ทหารอนั เขม้ แขง็ ของพระเจา้ แผน่ ดนิ ทง้ั ทางบกและทางทะเลประกอบดว้ ยพวกขา้ ทาสหรอื เชลย ศึกและพลเมอื งของประเทศ นอกจากนย้ี งั มีคนตา่ งชาตไิ ดแ้ ก่พวกเงาะ๑ แขกมลายแู ละคนชาตอิ น่ื ๆ อกี ในจำนวนทหารเหลา่ น้ี ทม่ี ชี อ่ื เดน่ ทส่ี ดุ ไดแ้ กท่ หารชาวญป่ี นุ่ ซง่ึ มอี ยู่ ๕๐๐ หรอื ๖๐๐ คน เปน็ ทหาร ทข่ี น้ึ ชอ่ื ลอื นามกระเดอ่ื งไปถงึ ประเทศใกลเ้ คยี ง วา่ เปน็ ทหารทก่ี ลา้ หาญอยา่ งยอดเยย่ี ม และเพราะเหตนุ น้ั พระเจา้ แผน่ ดนิ จงึ ทรงโปรดปรานมากตลอดมา แตใ่ นรชั กาลของกษตั รยิ อ์ งคป์ จั จบุ นั ทหารญป่ี นุ่ เหลา่ น้ี ไดถ้ กู ฆา่ ตายหรอื ไมก่ ถ็ กู ขบั ออกจากประเทศ แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี ในปัจจุบันทหารญี่ปุ่นได้กลับมาอีก** ดว้ ยเหตนุ ้ี กำลงั ทหารของพระเจา้ แผน่ ดนิ แมว้ า่ จะมคี นตา่ งชาตอิ ยบู่ า้ งแตส่ ว่ นใหญป่ ระกอบไป ดว้ ยคนไทย ซง่ึ เมอ่ื มคี ำสง่ั เรยี กตวั เมอ่ื ใด กจ็ ะมาประจำการทนั ทโี ดยไมม่ สี นิ จา้ ง และไปทำการรบ * การพิจารณาคดีโดยใช้จารีตนครบาลตามที่ทราบกันดีอยู่แล้ว เป็นวิธีการที่ใช้กันมาตลอดทุกสมัยและในประเทศต่างๆ อย่าง แพร่หลาย ชนชาติยิวครั้งโบราณก็ได้เคยใช้วิธีนี้มาเช่นเดียวกับชนชาติกรีก ส่วนชนชาติฮินดูมีวิธีการเกี่ยวกับจารีตนครบาลถึงเก้าวิธี ต่าง ๆ กัน ในปัจจุบัน คนเผ่าต่าง ๆ ที่อยู่ในใจกลางทวปี แอฟรกิ าก็ยังใช้กันอยู่ทั่วไป ในประเทศองั กฤษการใชจ้ ารตี นครบาลประกอบ การพจิ ารณาคดเี พง่ิ จะมาเลกิ สน้ิ สดุ ลงเมอ่ื กลางศตวรรษท่ี ๑๓ แทนทจ่ี ะเปน็ ขา้ วเสกอยา่ งไทย เขาใชข้ นมปงั กบั เนยแขง็ ใหก้ นิ และจนถงึ กลาง ศตวรรษที่ ๑๗ คือในขณะที่ต้นฉบับหนังสือนี้พิมพ์ออกจำหน่าย การพิจารณาคดีข้างเดียวโดยใช้จารีตนครบาลสำหรับคดีที่เกี่ยวกับแม่มด ยงั คงเปน็ ทน่ี ยิ มกนั อยใู่ นประเทศองั กฤษ คนทถ่ี กู สมมตวิ า่ เปน็ แมม่ ดโดยปรกตเิ ปน็ หญงิ แก่ จะถกู มดั มอื ไขวห้ ลงั จบั ตวั โยนลงไปในบอ่ นำ้ หรอื ลำธาร ถา้ หญงิ นน้ั ลอยขน้ึ มา กจ็ ะถกู วนิ จิ ฉยั วา่ เปน็ ผดิ และถกู ลากขน้ึ มาจากนำ้ เอาตวั ไปเผาไฟ แตถ่ า้ หญงิ นน้ั จมนำ้ กจ็ ะวนิ จิ ฉยั วา่ ไมม่ คี วามผดิ ผลทส่ี ดุ ไมว่ า่ จะเปน็ ประการใดยอ่ มเปน็ ทพ่ี อใจแกโ่ จทก์เปน็ ทย่ี ง่ิ เกย่ี วกบั การเชอ่ื ถอื ไสยศาสตร์ เวทมนตข์ องขลงั ของคนไทย ในปจั จบุ นั ทำใหไ้ มอ่ าจงดเวน้ ทจ่ี ะกลา่ วถงึ การปฏบิ ตั กิ ารตามกฎหมายเกย่ี วกบั แมม่ ดในประเทศองั กฤษ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ทหี ลงั เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๐๖ ซ่ึงเปน็ อ๑กี เรอื่ตงน้ หฉนบึง่ บั ใชทว้ ฝ่ีา่ ูง“ชfoนrกeลigุ้มnรeุมrsกันaจsบั Nตeัวgแrมoม่esด”ช่ือนดา่ งัจคะนหหมนาง่ึยโถยงึ นพลวงกไแปขในกมบวั่อรท์ เี่ (ฮMดoงิ แoฮrsม)เอไสดเแ้ สกก่ ซพ์วกแอลนิ ะเดจยีมนอ้ำหิ ตรา่ายน อาหรับ เตอรก์ ที่นับถือ ศาสนาอิสลาม ** เยเรเมยี ส ฟาน ฟลตี (วนั วลติ ) ผจู้ ดั การการคา้ ของฮอลนั ดาตอ่ จากนายโยสต์ สเคาเตน็ ผเู้ ขยี นเรอ่ื งเกย่ี วกบั ประเทศสยามในปี ค.ศ. ๑๖๓๘ (พ.ศ.๒๑๘๑) ได้กล่าวว่า “ ทหารญี่ปุ่นซึ่งมีความเย่อหยิ่งและอวดดีเป็นสันดาน ได้เข้าโจมตพี ระราชวังและยึดองค์สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว แล้วบังคับให้พระองค์ทรงยอมรับเอาทหารญี่ปุ่นไว้เป็นทหารรักษาพระองค์ อย่างไรก็ดี เจตนาของทหารญี่ปุ่นเป็นความ ทะเยอทะยานถงึ ขนาด จงึ เปน็ เหตใุ หส้ มเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงใชว้ ธิ กี ารกำจดั ทหารญป่ี นุ่ เสยี ดว้ ยอบุ ายและกำลงั ขบั พวกทเ่ี หลอื ออกไปเสยี จากประเทศ ” จากจำนวนทหารญปี่ นุ่ ๖๐๐ คน มเี หลอื กลับไปถึงประเทศญป่ี นุ่ เพียง ๖๐ หรือ ๗๐ คน แต่แลว้ ต่อมากโ็ ปรดเกล้าฯ ใหเ้ รยี กกลบั มาอกี ทรงพระราชทานทด่ี นิ ใหป้ ลกู สรา้ งบา้ นเรอื น แตง่ ตง้ั ใหม้ บี รรดาศกั ดแ์ิ ละชบุ เลย้ี งดว้ ยประการอน่ื ๆ อกี โดยเหน็ ไดช้ ดั วา่ มไิ ดท้ รงกลวั เกรงความพยาบาทของทหารญป่ี นุ่ เลย \" ฟานฟลตี เขยี นไวเ้ ชน่ นน้ั ดหู นงั สอื เรอ่ื งทางพระราชไมตรรี ะหวา่ งประเทศญป่ี นุ่ กบั กรงุ สยาม ของ Satow หน้า ๑๗๗
๒๖๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ การเรียกเข้าเป็นทหารย่อมแล้วแต่ความต้องการของบ้านเมืองซึ่งอาจเกณฑ์เอาตามความจำเป็น ๑๐๐ คน ๕๐ คน ๑๐ คน หรือ ๕ คน จากตำบลต่าง ๆ หรืออาจเรียกคราวเดียวกันทั่วทั้งประเทศก็ได้ ทหาร เหล่านี้จะเข้าอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายทหารในการสงครามร่วมกับพระมหากษัตริย์หรืออัครมหา เสนาบดีของพระองค์ พวกขุนนางและพวกผู้ดีทั้งหลายก็เช่นกัน โดยปรกติมีทหารใช้การได้อยู่คนละ หลายรอ้ ย และพรอ้ มทจ่ี ะตดิ ตามเจา้ นายผบู้ งั คบั บญั ชาไปในการรบไดด้ ว้ ยประการฉะน้ี พระเจา้ แผน่ ดนิ จึงอาจทรงเรียกชุมนุมกำลังพลเพื่อทำสงครามได้โดยมีรี้พลหลายแสนพรั่งพร้อมไปด้วยช้างอีก ๒๐๐ ถึง ๓๐๐ เชอื ก แตล่ ะเชอื กลว้ นฝกึ มาดว้ ยความชำนาญเพอ่ื การรบ ขนเสบยี งอาหารยทุ ธสมั ภาระและปนื ใหญ่ บรรดารพ้ี ลมากกวา่ แสนคน ตามปรกตทิ หารตง้ั แต่ ๒ หมน่ื ๓ หมน่ื ๔ หมน่ื ถงึ ๕ หมน่ื คน จะมาชุมนุมกันในทุ่ง วางแผนให้รู้ว่าจะทำการตั้งรับหรือจะเป็นฝ่ายรุก ดังนั้นเกี่ยวกับเรื่องค่ายที่พัก จงึ ไมค่ อ่ ยจะไดจ้ ดั ทำกนั เลย ทหารราบจดั ไดเ้ ปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยดพี อใชแ้ มว้ า่ จะถอื อาวธุ เลวมธี นกู บั ลกู ศร โล่ ดาบ หอก และกระบอง สว่ นทหารมา้ กจ็ ดั ไดไ้ มด่ กี วา่ มากนกั ตามปรกตสิ ะพายดาบ กับมีโล่ ธนูและทวนเป็นอาวุธ กำลังสำคัญนั้นอยู่ที่ช้างศึก ซึ่งมีหลายร้อยเชือก แต่ละเชือกมีคนขส่ี ามคน ถืออาวุธครบมือ ทั้งยังมีปืนใหญ่หนักอีกเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ยังไม่รู้จักวิธีใช้ที่ถูกต้องนัก ส่วนกองทัพเรือของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประกอบด้วยเรือโบราณใช้ฝีพายและเรือใบแล่นเร็วเป็นจำนวนมาก ในเรือมีปืนใหญ่หนัก แต่ลูกเรือและทหารขาดสมรรถภาพ พระมหากษัตริย์ทรงมีเรือพายสำหรับใช้ใน ลำแม่น้ำเป็นจำนวนมากมายอย่างไม่น่าเชื่อและเป็น เรือซึ่งคนไทยมีความชำนาญในการใช้เป็นอย่างยิ่ง แต่เรือทุกลำมีเครื่องประกอบอยู่ในสภาพล้าสมัยไม่ สามารถจะใช้เป็นพาหนะต่อสู้กับกองทัพเรือ และทหารของชาวยุโรปได้ แต่ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน มีทหารไม่ดีกว่า ซ้ำยังมีอาวุธเลวกว่าอีก ทหารไทยจึงเป็นทหารที่สามารถในการสงครามผจญกับการรบ ที่ยิ่งใหญ่และมีชัยชนะและทำลายล้าง ประเทศอน่ื แหลกลาญ ดงั เคยมเี หตกุ ารณป์ รากฏมาหลายครง้ั แลว้ ในรชั สมยั ทก่ี ษตั รยิ ท์ รงพอพระทยั ในการรบ โดยเหตุที่พระองค์มีพระราชอำนาจสิทธิ์ขาดทรงมีการปกครองอันเข้มแข็ง จึงทรงคัดเลือก ทหารดี ๆ มฝี มี อื ไดจ้ ากไพรฟ่ า้ ขา้ แผน่ ดนิ ของพระองค์ ซง่ึ โดยปรกตนิ สิ ยั แลว้ ทหารเหลา่ นน้ั กเ็ ปน็ คนขลาด และไมช่ อบการรบทพั จบั ศกึ อะไรเลย เพราะฉะนน้ั จงึ ปรากฏหลายครง้ั วา่ พระเจา้ กรงุ สยามทรงเปน็ กษตั รยิ ์ ครอบครองประเทศใกล้เคียงและทรงปกครองประชาชาติอื่นที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าแผ่นดิน ที่รักสงบจนเลยมีนิสัยกระเดียดไปข้างสตรีแต่ทว่าเมื่อพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดทรงโหดร้ายทารุณไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดินก็จะลุกขึ้นเป็นกบฏต่อผู้ปกครองจนกว่า จะมคี นอน่ื มาปราบใหส้ งบตอ่ ไปอกี
จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๖๙ ในสมัยโบราณ พระเจ้ากรุงหงสาวดีและพระเจ้ากรุงสยาม มักจะทำศึกสงครามกันบ่อย ๆ ยงั ผลใหเ้ กดิ ความพนิ าศอยา่ งใหญห่ ลวง ไพรพ่ ลลม้ ตายลงมากมาย ทง้ั นเ้ี ปน็ เพราะตา่ งฝา่ ย (โดยเฉพาะ พระเจ้ากรงุ หงสาวดแี ละกรุงอังวะ) ตา่ งกถ็ อื สทิ ธเ์ิ ขา้ ครอบครองดนิ แดนของประเทศเพอ่ื นบา้ นอยเู่ ปน็ เวลา ตั้งหลาย ๆ ปี และคงมีดินแดนบางส่วนตกทอดสืบมาจนบัดนี้ ตามหัวเมืองชายอาณาเขตเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นป่ารกร้างว่างเปล่า ในระหว่างหลายปีที่ล่วงมานี้ ไม่มีสงครามที่รบกันอย่างจริงจังเลย จะมีบ้างก็แต่การปะทะกันโดยมิได้คาดหมายจากฝ่ายหนึ่งกระทำกับอีกฝ่ายหนึ่งห่าง ๆ กันในระยะเวลา สองปี สามปี หรือมากกว่านั้น และก่อให้เกิดความเสียหายไม่น้อย และเพื่อที่จะปราบปรามพวก มอญ หรอื นยั หนง่ึ เพอ่ื ประกาศการเปน็ ปรปกั ษโ์ ดยเปดิ เผย กองทพั ไทยมจี ำนวนรพ้ี ลสองหมน่ื ถงึ สามหมน่ื คน จะถกู สง่ ไปประจำอยทู่ ช่ี ายแดน เมื่อก่อนนี้เคยมีการรบกันกับหัวเมืองเชียงใหม่ ตองอู ล้านช้าง และประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ ห่างไกลออกไปอีก เนื่องจากมีกรณีพิพาทกันขึ้นและเพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศไว้ การสงครามครั้ง สุดท้ายได้เกิดขึ้นกับพระเจ้ากรุงกัมพูชา ซึ่งในฐานะที่ทรงเป็นเจ้าประเทศราช ได้ก่อการเป็นกบฏต่อ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงสยาม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงต่อสู้อย่างกล้าหาญกับกองทัพมหึมา ของข้าศึก และทรงได้ชัยชนะ ตั้งแต่นั้นมาประเทศบ้านเมืองก็มีแต่ความร่มเย็นสันติสุขสืบมา จนถึงแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อน (ซึ่งครองราชย์ก่อนหน้ากษัตริย์องค์ปัจจุบัน) ได้ทรงก่อ ประทษุ กรรมจบั เอารชั ทายาทอนั ถกู ตอ้ งตามกฎหมายฆา่ เสยี และเนอ่ื งจากเหตนุ น้ั พระโอรสของพระองค์ จึงได้ครองราชสมบัติ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อขนบประเพณีของประเทศโดยสิ้นเชิง แต่ในที่สุดพระองค์ ก็ได้ถูกจับประหารรวมทั้งพระอนุชาและพระญาติวงศ์ของพระองค์ทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมาราชสมบัติ จงึ ตกทอดสบื กนั มาในราชวงศเ์ ดยี วกนั ซง่ึ ไดร้ าชสมบตั มิ าดว้ ยการใชก้ ำลงั และหลงั จากไดท้ รงทำสงคราม ปราบอริราชศัตรูทั้งภายในและภายนอกสงบราบคาบแล้ว ก็ได้ครองราชอาณาจักรสืบมาโดยปราศจาก เสี้ยนหนาม ราษฎรมีความจงรักภักดีทั่วกัน หากจะมีศัตรูก็เป็นศัตรูเก่า คือ พระเจ้ากรุงอังวะกับ หงสาวดแี ละกมั พชู าทเ่ี ปน็ กบฏ พระมหากรุณาธิคุณและพระราชไมตรีกับชาวต่างประเทศ กษัตริย์พระองค์นี้ ๑ ก็เช่นเดียวกับกษัตริย์องค์ก่อน ๆ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพระองค์ พระองค์ ๑ หมายถงึ สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง ขุนนางผู้ใหญ่ครั้งสมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๓ - ๒๑๙๘
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432