Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑

ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑

Description: ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑

Search

Read the Text Version

๒๗๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ทรงมพี ระทยั อยา่ งแรงกลา้ ทจ่ี ะคบคา้ กบั ประชาชาตติ า่ งประเทศ และทรงโปรดปรานชาวฮอลนั ดามากกว่า ชาวปอตุเกส กษัตริย์พระองค์ก่อนได้ทรงแสดงน้ำพระทัยให้ประจักษ์อย่างสุดซึ้งด้วยการมีพระดำรัสสั่ง ใหใ้ ชก้ ำลงั เขา้ ยดึ เรอื สเปน ซง่ึ มีดอน เฟอนานโด เดอซลิ วา เปน็ ผบู้ งั คบั การ ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทน ในการที่สเปนได้ยึดเรือฮอลันดาในลำแม่น้ำของไทย พวกสเปนได้ถูกลงโทษ เนื่องจากทิ้งเรือหนีเอา ตวั รอด สว่ นเรอื และสนิ คา้ ในเรอื ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหค้ นื แกบ่ รษิ ทั ฮอลนั ดาไปตามเดมิ ผลแหง่ การกระทำทั้งนี้เป็นเหตุให้เกิดสงครามขึ้นกับมะนิลา ( ที่อยู่ในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ซึ่งตกเป็นของชาวสเปน ) และทำใหก้ ารเดนิ เรอื ระหวา่ งกรงุ สยามกบั ประเทศจนี ไดร้ บั ความเสยี หายมากมาย เนอ่ื งจากเหตนุ ช้ี าวฮอลนั ดา จงึ ซาบซง้ึ ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และประชาชนทั่วไปและเพื่อเป็นการสนองพระมหา กรุณาธิคุณ ในปี ค.ศ. ๑๖๓๕ ฮอลันดาจึงได้ส่งเรอื รบ ๖ ลำ เขา้ มาชว่ ยไทยปราบปรามพวกกบฏชาว ปตั ตานี เรื่องช้างและการคล้องช้าง ทั่วพระราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์ทรงมีช้างที่ฝึกให้เชื่องแล้วมากกว่า ๓,๐๐๐ เชือก แต่ละเชือกมีคนคอยปรนนิบัติให้อาหาร อาบน้ำ และทำความสะอาดสองหรือสามคน เนื่องจากช้าง เป็นสัตว์ที่ได้รับความนิยมนับถืออย่างสูงในเกาะสุมาตราและชวา ซึ่งรวมเรียกว่าเกาะอินเดียตะวันออก ช้างเหล่านี้จึงเป็นส่วนประกอบในการส่งเสริมพระบรมเดชานุภาพของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยไม่น้อย หลายรอ้ ยเชอื กไดร้ บั การฝกึ ปรอื เพอ่ื ใชใ้ นการรบ สว่ นตวั อน่ื ๆ ทง้ั ชา้ งพงั และชา้ งพลาย กใ็ ชท้ ำประโยชน์ ในการลากปืนใหญ่ ขนเตน็ ท์หีบห่อสัมภาระ และเสบียงอาหารที่ใช้ในการตั้งค่าย ในปัจจุบันช้าง ซง่ึ ใหญโ่ ตแขง็ แรง กลา้ และฉลาดแกมโกงจะถกู จบั จากทต่ี า่ ง ๆ ทว่ั ประเทศมาหดั ใหเ้ ชอ่ื งและมวี ธิ กี าร จับดังต่อไปนี้ เขาเอาช้างพังเชื่อง ๆ ฝูงหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนตั้งแต่ ๒๐ ถึง ๓๐ เชือก ( เกือบทั้งหมด ถูกจับมาตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ ) ต้อนเข้าไปในป่า โดยมีคนคอยดูแลเพียงสองหรือสามคน ช้างเหล่านี้ จะเป็นช้างต่อล่อให้ช้างป่าตัวหนึ่งหรือหลายตัวตามมา ครั้นแล้วจะถูกต้อนไปถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งล้อมรั้วไว้ ทั้งสี่ด้าน รายรอบด้วยกำแพงสูงก่อด้วยหิน ๑ ด้านนอกมีต้นไม้ปกปิดมิดชิด ใช้เป็นที่สำหรับจับช้าง ช้างทั้งฝูงจะค่อย ๆ ถูกต้อนให้เดินไปข้างหน้าจนกว่าจะผ่านเข้าไปในประตูรั้วและถูกล้อมไว้ ตอ่ จากนน้ั ก็จะถูกต้อนให้ผ่านประตูแห่งหนึ่งเข้าไปอยู่ในบริเวณที่สี่เหลี่ยม ซึ่งประตูจะปิดทันที ลั่นดานมั่นคง ๑ ต้นฉบับใช้ “ a square enclosure which is surrounded by high stone walls ” แต่น่าจะเป็นก่อด้วยอิฐหนามากกว่า เนื่องจากยังไม่เคยพบหลักฐานการก่อกำแพงด้วยหินในจังหวัดพระนครอยุธยาเลย ในภาษาฮอลันดา “steen” แปลว่า “อิฐ” และ “หิน” ในกรณีนี้น่าจะเป็น “อิฐ”

จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๗๑ ถึงสองชั้น ทางด้านอื่นมีประตูแบบเดียวกันอีกสองประตู เป็นที่สำหรับให้ช้างต่อออก ในที่สุดช้างป่า จะถกู จบั และถกู ทง้ิ ไวต้ ามลำพงั หา่ งจากทก่ี น้ั บรเิ วณสเ่ี หลย่ี มไปเลก็ นอ้ ย มเี สาใหญส่ งู เกอื บเจด็ ฟตุ ครง่ึ ปกั เรยี งรายไวโ้ ดยรอบ เวน้ ระยะหา่ งกนั พอตวั คนลอดเขา้ ออกไดโ้ ดยงา่ ย ทต่ี รงกลางเปน็ พน้ื ทส่ี เ่ี หลย่ี มเลก็ ลอ้ มดว้ ยเสาแบบเดยี วกนั และมเี สาอกี หกหรอื เจด็ ตน้ เสย้ี มปลายปกั ตะแคงระหวา่ งเสาระเนยี ดเปน็ งาแซง และมีพลับพลาหลังเล็ก ๆ กับที่นั่งสำหรับพระเจ้าแผ่นดินและอัฒจันทร์ สำหรับพวกขุนนางปลูกสร้าง ไว้ในที่ใกล้ ๆ สำหรับทอดพระเนตรและดกู ารคล้องช้าง หลังจากมีการยั่วเย้าด้วยประการต่าง ๆ ให้ช้าง เกดิ โมโหขน้ึ แลว้ มนั กจ็ ะออกวง่ิ ไลค่ นทแ่ี กลง้ ทรมานมนั ( ซง่ึ ตา่ งคนตา่ งกห็ นหี ลบเขา้ ไปอยขู่ า้ งหลงั เสา ) และพยายามที่จะกระโดดข้ามเครื่องกีดขวางไปให้ได้ แต่ก็ไม่เป็นผล ในที่สุดเมื่อช้างเหนื่อยอ่อนลง ประตทู างดา้ นหนง่ึ กจ็ ะเปดิ ออก ซง่ึ ชา้ งจะวง่ิ พรวดเขา้ ไป ครน้ั แลว้ ประตกู จ็ ะปดิ ลน่ั ดานสนทิ อกี ครง้ั หนง่ึ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ต่อจากนั้นเขาจะนำช้างที่เชื่องแล้วสองหรือสามเชือกผูกไว้กับช้างป่า ต่อมา เขาจะนำช้างที่จับได้เข้าไปไว้ในโรงที่มีหลังคาและเอาเชือกมัดลอดใต้ท้องไปผูกไว้กับเสาหมอ โยงไว้ใน ลกั ษณะครง่ึ แขวนและทง้ิ ไวเ้ ชน่ นน้ั เปน็ เวลาหลาย ๆ วนั และเมอ่ื ไดร้ บั การฝกึ จากชา้ งทเ่ี ชอ่ื งแลว้ เปน็ เวลา สามหรือสี่เดือนมันก็จะกลายเป็นช้างเชื่อง และพร้อมที่จะปฏิบัติงานให้แก่คนได้ต่อไป ส่วนวิธีการ จับโดยปล่อยออกไปในที่แจ้ง เขาจะใช้ช้างที่เชื่องล้อมช้างป่า และเอาเชือกมัดเท้ามันไว้ ซึ่งมันก็จะต่อ สดู้ น้ิ รนเพอ่ื หลบหนแี ทบทกุ ครง้ั และดว้ ยวธิ นี เ้ี ปน็ วธิ ที เ่ี ขาจบั ชา้ งกนั ในประเทศสยามและประเทศใกลเ้ คยี ง จากนจ้ี งึ เปน็ ทเ่ี หน็ ประจกั ษว์ า่ ตามทม่ี ผี เู้ ขยี นกนั ทว่ั ไปถงึ เรอ่ื งชา้ งนน้ั เปน็ การเขยี นขน้ึ อยา่ งทไ่ี ดร้ บั การ บอกเล่ามาอย่างผิดพลาด ในประเทศสยามประเทศเดียวเท่านั้น ที่มีการจับช้างเผือกได้เป็นครั้งคราว และเนื่องจากเป็นสิ่งที่ผิดแปลกจากธรรมชาติ ชาวอินเดียทั้งหมด และโดยเฉพาะคนไทยและชาว ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงจึงพากันคิดว่ามันเป็นพญาช้าง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงสยามมักจะมี ช้างเผือกไว้ชา้ งหนึ่งประจำราชสำนักของพระองค์ เจ้าสัตว์ตัวนี้จะมีที่อยู่อย่างกับเจ้าในห้องอันโอ่โถง ซึ่งแต่งไว้อย่างวิจิตร และได้รับการเลี้ยงดูอย่างหรูหราที่สุด มีคนคอยปรนนิบัติอย่างวิเศษ พระเจา้ แผน่ ดนิ จะเสดจ็ มาทอดพระเนตรบอ่ ย ๆ และไดร้ บั การยกยอ่ งจากขา้ ราชบรพิ ารอยา่ งสงู การให้ อาหารกใ็ สไ่ วใ้ นภาชนะทท่ี ำดว้ ยทองบรสิ ทุ ธ์ิ ในสมยั โบราณชา้ งเผอื กเหลา่ นเ้ี คยเปน็ มลู เหตใุ หป้ ระเทศสยาม ต้องทำสงครามหลายครั้ง และครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อประมาณหกสิบปีที่แล้วมานี่เอง คือสงครามกับ พระเจา้ หงสาวดซี ง่ึ ไมแ่ ตจ่ ะมชี ยั และยดึ เอาชา้ งเผอื กไปไดเ้ ทา่ นน้ั แตย่ งั ทำใหก้ ษตั รยิ ไ์ ทยตอ้ งยอมพา่ ยแพ้ และตกเปน็ ประเทศราชอกี ดว้ ย กษตั รยิ ผ์ สู้ บื ราชสมบตั อิ งคต์ อ่ มา ๑ ไดท้ รงปลดแอกนอ้ี อกได้ ซง่ึ ทำให้ ๑ หมายถงึ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช พระราชโอรสสมเดจ็ พระมหาธรรมราชา ครองราชยร์ ะหวา่ ง พ.ศ. ๒๑๓๓ - ๒๑๔๘

๒๗๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระนามของพระองคเ์ ปน็ ทเ่ี กรงขามแกช่ าวหงสาวดี เมอ่ื ขา้ พเจา้ ไปพำนกั อยใู่ นประเทศสยามเปน็ ครง้ั แรก กษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่ในขณะนั้นทรงมีบุญญาธิการจับลูกช้างเผือกได้สองช้าง แต่ต่อมาช้างทั้งสอง ไดต้ ายลงยงั ความโทมนสั ใหบ้ งั เกดิ แกพ่ ระเจา้ แผน่ ดนิ อยา่ งใหญห่ ลวง ประชาชาตนิ ม้ี คี วามเหน็ ยดึ ถอื ทว่ั ไป ว่าสัตว์นี้เป็นสัตว์ประเสริฐและมีค่ายิ่งกับมีคุณลักษณะพิเศษอันควรแก่การนับถือ เขามีนิยายมากมาย ที่จะเลา่ สกู่ นั ฟงั ถงึ เรอ่ื งชา้ ง ทง้ั ยงั ยนื ยนั วา่ ทเ่ี ขายกยอ่ งนบั ถอื ชา้ ง มใิ ชเ่ นอ่ื งจากวา่ มนั เปน็ ชา้ งเผอื กเทา่ นน้ั แตเ่ พราะเหตทุ ม่ี นั มคี วามเขา้ ใจภาษามนษุ ยไ์ ดอ้ ยา่ งประหลาด ชา้ งเผอื กจงึ ไดม้ โี อกาสเขา้ รว่ มงานพระราช พธิ ตี า่ ง ๆ ดว้ ย และครง้ั ใดทไ่ี มไ่ ดร้ บั การปฏบิ ตั เิ ชน่ นน้ั และไมไ่ ดร้ บั เกยี รตใิ หเ้ หน็ ถงึ ความแตกตา่ ง ระหว่างช้างเผือกกับช้างธรรมดาแล้วมันก็จะรู้สึกหดหู่และเศร้าหมอง แม้ว่าคำกล่าวเช่นนี้ดูค่อนข้าง จะเปน็ เทจ็ และเหลอื เชอ่ื แตใ่ นฐานะทไ่ี ดป้ ระสบมาดว้ ยตนเองอยชู่ า้ นาน จงึ ตอ้ งยนื ยนั วา่ เปน็ ความจรงิ ในประเทศสยามและเป็นที่เชื่อถือกันอย่างจริงจัง เรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกบั ศาสนา งานสาธารณะ และวดั วาอาราม ในเรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกบั ศาสนาแลว้ สำหรบั คนไทยและประชาชาตใิ กลเ้ คยี งทง้ั หลายเปน็ พวกทไ่ี มน่ บั ถอื พระเจา้ เคารพแตใ่ นรปู ทถ่ี อื วา่ ศกั ดส์ิ ทิ ธแ์ิ ละถอื ผถี อื ลาง ทกุ หนทกุ แหง่ ทว่ั ไปทง้ั ประเทศจะเหน็ มวี ดั วา อารามใหญ่น้อยตั้งอยู่ทั่วไป เพื่อใช้เป็นที่ประกอบพิธีการตามความเชื่อถือ และเป็นที่อยู่อาศัยของ พระภกิ ษุ วดั วาอารามเหลา่ นส้ี รา้ งดว้ ยอฐิ ๑ และไมด้ ว้ ยฝมี อื นายชา่ งผชู้ ำนาญ มสี ถปู และเจดยี อ์ นั มคี า่ ปิดทองงามระยับประดับเรียงราย ตามโบสถ์และวัดเหล่านี้ มีพระพุทธรูปมากล้นคณนาสร้างด้วยวัตถุ และมีขนาดต่าง ๆ กัน พระพุทธรูปเหล่านี้ปิดทองไว้ด้วยฝีมืออันประณีต และตกแต่งประดับประดา ไวอ้ ยา่ งวจิ ติ รตระการตา พระพทุ ธรปู บางองคม์ ขี นาดหนา้ ตกั ตง้ั แต่ ๔, ๖, ๘ และ ๑๐ เอล ๒ ( มาตรา วัดความยาวที่ใช้ในยุโรปครั้งโบราณ ๑ เอล ยาวเท่ากับ ๔๕ นิ้วฟุต ) และมีอยู่องค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูป นั่งขนาดมหมึ า ซง่ึ ถา้ วดั ความสงู ขน้ึ ไปแลว้ จะสงู ถงึ ๒๐ ฟาธอม หรอื ๑๒๐ ฟตุ ๓ ในวดั ทก่ี ลา่ ว ข้างต้นนั้น มีพระสงฆ์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความสงบเสงี่ยมและมีระเบียบอันงาม ตามวิถีทางแห่งพระ พระสงฆ์ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ปฏิบัติกิจทางศาสนาและมีชีวิตอยู่ด้วยการรักษา ๑ ต้นฉบบั ใชว้ า่ “ They are skilfully built of stone and wood ” ซึ่งนา่ จะหมายถึงกอ้ นอิฐ เน่ืองจากคำภาษาฮอลนั ดาวา่ “steen” อาจหมายถึงทั้ง “หนิ ” และ “อิฐ” ๒ ฉบับของ Manley ใช้หน่วยวัดเป็นฟาธอม ๑ ฟาธอม เท่ากับ ๖ ฟุต ๓ หมายถึง พระเจา้ พนญั เชิง เปน็ พระประธานในพระวหิ ารวดั พนญั เชงิ ไมป่ รากฏหลกั ฐานผสู้ รา้ งทราบเพยี งแตส่ รา้ งขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๑๘๖๗ ต่อมา พ.ศ. ๒๓๙๗ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงบรู ณะใหมท่ ง้ั องคแ์ ละถวายพระนามวา่ “พระพทุ ธไตรรตั นนายก” เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยที่มีอายุมากที่สุดและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๗๓ พรตพรหมจรรย์ รักษาศีลอันบริสุทธิ์ทั้งจะต้ออยู่ในโอวาทของเจ้าวัดและเจ้าหน้าที่ฝ่ายศาสนจักรอื่นๆ พระสงฆ์ทั้งหมดขึ้นอยู่ในความดูแลของพระราชาคณะเจ้าอาวาสวัดสำคัญในกรุงศรีอยุธยาซึ่งทำหน้าที่ เปน็ สงั ฆนายก พระสงฆท์ ง้ั หมด ( เฉพาะในอยธุ ยาแหง่ เดยี ว มมี ากกวา่ ๓ หมน่ื รปู ) แตง่ กายดว้ ยการ ห่มผ้าสีเหลืองที่ดูน่าสบายเหมือนกันหมด ไม่ผิดแผกแตกต่างกัน และโกนผมหมด คนที่คงแก่เรียน โดยมากมกั ใหบ้ วชเปน็ พระ และเลอื กเจา้ อาวาสขน้ึ จากพระผคู้ งแกเ่ รยี นเหลา่ น้ี เจา้ อาวาสเหลา่ นเ้ี ปน็ ท่ี นับถืออย่างสูงสุดของคฤหัสถ์ทั่วไป พระสงฆ์จะต้องแสดงธรรมเทศนาในวันพระและในวันอื่น ๆ สุดแต่ จะกำหนดกนั ขน้ึ ทง้ั ทำการสง่ั สอนและประพฤตติ นเสยี สละเพอ่ื การพระศาสนา พระสงฆซ์ ง่ึ ถกู เทดิ ทนู ให้เป็นผู้มีฐานันดรศักดิ์สูงกว่าคนสามัญเหล่านี้ จะทำการร่วมประเวณีกับหญิงมิได้ตามบทบัญญัติ ทห่ี า้ มไวอ้ ยา่ งเดด็ ขาดและมบี ทลงโทษถงึ ขน้ั ถกู เผาทง้ั เปน็ แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี เมอ่ื พระสงฆร์ สู้ กึ วา่ ไมส่ ามารถ จะปฏบิ ตั ติ ามพระวนิ ยั ไดต้ อ่ ไปอกี แลว้ กม็ สี ทิ ธท์ิ จ่ี ะลาสมณเพศและผา้ เหลอื งเสยี ไดซ้ ง่ึ กม็ บี อ่ ย ๆ และมเี ปน็ จำนวนมากที่สึกออกมาด้วยเหตุอื่นที่มิใช่เพราะความยั่วเย้าจากกามารมณ์ ในกุฏิทั้งหมดเหล่านี้ (ซึ่ง ปลูกอยู่ใกล้ ๆ โบสถ์ ) เป็นที่พำนักของพระสงฆ์ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดในตอนเช้าและตอนเย็นจะมีการ สวดมนต์ ซง่ึ มที ง้ั พระสงฆแ์ ละฆราวาสผไู้ ดร้ บั มอบหมายเพอ่ื การนเ้ี ปน็ ผดู้ แู ลจดั แจง พระสงฆท์ ง้ั หมด ยงั ชพี อยไู่ ดด้ ว้ ยเงนิ รายไดท้ ไ่ี ดม้ าจากทด่ี นิ ของวดั แตส่ ว่ นใหญไ่ ดม้ าจากการทำบญุ ของชาวบา้ น ซง่ึ ได้ พากเพยี รอยา่ งหนกั จดั หาอาหารและของจำเปน็ อน่ื ๆ มาถวายพระ ทกุ ๆ เวลาเชา้ พระสงฆจ์ ะออกจาก วัดไปเที่ยวรับอาหารบิณฑบาต โดยมีย่ามถือติดมือไปด้วย นอกจากพระสงฆ์ที่เป็นผู้ชายแล้วตาม วัดใหญ่สำคัญ ๆ ยังมีชีแก่อยู่อีกไม่น้อย ชีเหล่านี้โกนหัวนุ่งห่มผ้าขาวและอยู่ในที่ ๆ กำหนดไว้ให้อยู่ ตามธรรมดาชจี ะอยทู่ น่ี น่ั เสมอ เพอ่ื บำเพญ็ ศลี ภาวนาใหอ้ ม่ิ ใจ และอทุ ศิ เวลาเพอ่ื ประกอบศาสนกจิ ตา่ ง ๆ มกี ารฟงั เทศน์ สวดมนต์ และประกอบกศุ ลสาธารณกจิ อน่ื ๆ ทง้ั นด้ี ว้ ยความตง้ั ใจและเตม็ ใจของบรรดาชี ทง้ั หลาย และไมผ่ กู พนั อยกู่ บั กำหนดกฎเกณฑห์ รอื ขอ้ บงั คบั อนั ใดเปน็ พเิ ศษ พวกนอกศาสนาคริสต์เหล่านี้ เชื่อกันโดยทั่วไปว่า มีเทพเจ้าสูงสุดและเทพยดาชั้นรองอยู่ บนสวรรค์ ทรงบนั ดาลใหเ้ กดิ สง่ิ ตา่ ง ๆ (แมว้ า่ มหี ลายอยา่ งทเ่ี ขาเชอ่ื ถอื จะขดั กนั กบั ความคดิ เหน็ ) เขาเชอ่ื เหมอื นกนั วา่ วญิ ญาณของมนษุ ยเ์ ปน็ สง่ิ ไมต่ าย และเมอ่ื ออกจากรา่ งไปแลว้ จะตอ้ งไดร้ บั ผลตอบแทน ซึง่ อาจเปน็ คุณหรือโทษ สดุ แลว้ แตก่ รรมดหี รอื ชว่ั ทไ่ี ดก้ ระทำไว้ ผทู้ ก่ี ระทำกรรมดกี จ็ ะไปอยกู่ บั เทพยดา ด้วยความอิ่มเอมเปรมใจ แต่ผู้ที่กระทำกรรมชั่วจะต้องรับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจากปีศาจร้าย ศาสนาของเขาสว่ นใหญส่ ง่ั สอนใหเ้ ชอ่ื ถอื กนั ในหลกั เกณฑเ์ หลา่ น้ี และตามประเพณที ส่ี บื ตอ่ กนั มา หลกั

๒๗๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ แหง่ ความเชอ่ื ถอื ของเขาไดร้ วบรวมและเขยี นขน้ึ ไวใ้ นคมั ภรี ์อนั มมี าหลายรอ้ ยปแี ลว้ และมพี ระสงฆซ์ ง่ึ เปน็ ท่ี นบั ถอื ใหค้ ำรบั รองสนบั สนนุ เขาไดส้ รา้ งพระพทุ ธรปู ขน้ึ ไวส้ กั การะบชู า และไดท้ ำบญุ ใหท้ านถวายสง่ิ ของ แก่วัด แก่พระสงฆ์ และคนยากจน กับประกอบกุศลกรรมแสดงความเมตตาแก่สิ่งที่มีชีวิตทุกอย่าง ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์และพ้นจากความทุกข์ทรมานของปีศาจร้าย ในวันพระผู้ใจบุญทั้งหลายก็จะพา กนั ไปวดั เพอ่ื ประกอบการกศุ ล ทำการปลอ่ ยนกปลอ่ ยปลาดว้ ยความศรทั ธา ทง้ั นโ้ี ดยมคี นเอานกและ ปลามาขายเป็นจำนวนมากมาย เขาถือกันว่า มันเป็นบาปที่จะทำการฆ่าสัตว์และมนุษย์ และเชื่อกัน โดยทว่ั ไปวา่ วญิ ญาณของคนตายจะออกจากรา่ งเดมิ ไปสงิ อยใู่ นตวั สตั วต์ า่ ง ๆ เขาเชอ่ื วา่ กรรมอนั ใดทแ่ี สดง ออกในตวั ของมนั เองวา่ เปน็ ความชว่ั และอยตุ ธิ รรมแลว้ ยอ่ มถอื วา่ เปน็ บาป แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี กย็ งั มคี นทำ ความชว่ั ตา่ ง ๆ อนั เปน็ การฝา่ ฝนื ตอ่ คำทพ่ี ระทา่ นเทศนาสง่ั สอนอยบู่ อ่ ย ๆ พิธีสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติศาสนกิจทั่วไป มีดังกล่าวแล้วบางประการข้างต้น คือการ เทศนาสง่ั สอน การสวดมนตอ์ นั เปน็ วตั รปฏบิ ตั ใิ นเวลาเชา้ และเยน็ และการเสยี สละตา่ ง ๆ ของพระสงฆ์ พิธีเหล่านี้จะกระทำกันต่อหน้าพระพุทธรูปที่ในโบสถ์ มีการตามประทีป จุดธูปเทียน จัดดอกไม้เป็น พทุ ธบชู า เขาเชอ่ื กนั วา่ พวกเทวดาชน้ั รองและพระอรหนั ตท์ ง้ั หลายจะนำความเกย่ี วกบั การปฏบิ ตั เิ หลา่ น้ี ไปทูลพระพุทธองค์ให้ทรงทราบ เขาคิดว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการกระทำตามที่พระพุทธองค์ทรง บญั ญตั ไิ วใ้ นพระธรรมคำสง่ั สอนและดว้ ยการประกอบกศุ ลกรรม เขาคดิ วา่ อาจเปน็ การชดใชก้ ารกระทำบาป ของเขาเสียได้ และเป็นการป้องกันมิให้เทพเจ้าทรงกริ้วโกรธ เพื่อประกอบพิธีกุศล เขาจะถือเอาวัน พระจนั ทรข์ า้ งขน้ึ วนั พระจนั ทรเ์ ตม็ ดวง และวนั พระจนั ทรค์ รง่ึ เสย้ี ว ๑ เปน็ วนั หยดุ งาน นอกจากนก้ี ม็ ี วนั นกั ขตั ฤกษต์ า่ ง ๆ ประจำปตี ามแตจ่ ะกำหนดกนั ขน้ึ ซง่ึ ในวนั เหลา่ น้ี คนจะมาชมุ นมุ กนั เปน็ จำนวนมาก เพอ่ื ทำการฉลองในพธิ มี โหฬารนน้ั ๆ เขามกี ารอดอาหารประจำปดี ว้ ยเปน็ เวลาสามเดอื น ๒ ตลอดเวลาน้ี จะงดเวน้ กนิ อาหารทป่ี ระกอบดว้ ยเนอ้ื สตั วเ์ ขาสวดมนตใ์ หแ้ กค่ นเจบ็ และคนตายดว้ ย เมอ่ื ตายแลว้ กโ็ กนหวั ห่อศพแลว้ ทำบญุ ใหท้ านไปตามความเชอ่ื ถอื และแลว้ กเ็ อาไปเผาในบรเิ วณวดั นอกจากนก้ี ม็ พี ธิ อี น่ื ๆ อกี เช่น มีการร้องไห้อาลัยกัน ส่วนพวกญาติสนิทจะตัดผมของตน ทำบุญเลี้ยงพระสวดมนต์ มีมโหรี ปี่พาทย์ มีละครลเิ กจุดดอกไม้ไฟ ทั้งนี้จะหรูหราใหญ่โตเพียงไรย่อมแล้วแต่ฐานะและความเป็นอยู่ของ ผตู้ าย สว่ นทเ่ี ปน็ องั คารเถา้ ถา่ นเหลอื จากไฟเผามอดแลว้ กเ็ กบ็ เอาใสห่ อ่ ไปฝงั ไวใ้ กล้ ๆ โบสถ์ สำหรบั ๑ หมายถึงทุกวันพระ ๒ ระยะเวลาท่ีเขา้ พรรษาซงึ่ ตามปกติจะอย่รู ะหวา่ งแรม ๑ ค่ำ เดอื น ๘ ถงึ แรม ๑๕ คำ่ เดือน ๑๑

จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๗๕ คนที่มั่งมีหน่อยก็ก่อเจดีย์งามไว้ ณ ที่ฝัง รวมเงินที่ต้องใช้จ่ายสิ้นเปลืองในการประกอบพิธีเหล่านี้เป็น จำนวนไมใ่ ชน่ อ้ ย สำหรบั คนทถ่ี อื ศาสนาอน่ื คนไทยทง้ั ฆราวาสและพระสงฆม์ ไิ ดแ้ สดงความรงั เกยี จเดยี ดฉนั ทห์ รอื แกล้งรบกวนประการใด ทั้งนี้เนื่องจากเขามีความคิดว่าการทำความดีย่อมไปสู่สวรรค์ได้ ไม่ว่าจะถือ ศาสนาแตกต่างกันอย่างไร เขามีความเชื่อว่า การประกอบพิธีกรรมทุกชนิดย่อมเป็นที่โปรดปรานของ เทพเจา้ แตเ่ ขากป็ ระกอบพธิ กี รรมตามลทั ธปิ ระเพณที เ่ี ขานบั ถอื เทา่ นน้ั เขาใหค้ ำอธบิ ายวา่ เขาไดร้ บั นบั ถอื มาจากพระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจากเหตุนั้น เขาจึงไม่เปลี่ยนไปถือ ศาสนาครสิ เตยี นหรือศาสนามะหะหมดั ไดง้ า่ ย ๆ ขอ้ นเ้ี ปน็ ความจรงิ ทเ่ี หน็ ประจกั ษจ์ ากการท่ีพวกปอรต์ เุ กส ไดพ้ ยายามมาหลายปแี ลว้ โดยใหบ้ าทหลวงในศาสนาโรมนั คาธอลคิ มาทำการชกั ชวนและเผยแพรศ่ าสนา ในดนิ แดนเหลา่ นน้ั แตจ่ นกระทง่ั บดั น้ี คงไดผ้ ลเลก็ นอ้ ยหรอื แทบจะไมไ่ ดผ้ ลเลย ในทำนองเดยี วกนั คนที่นำเอาคัมภีร์โกหร่านมาเผยแพร่เป็นเวลาหลายต่อหลายปีแล้วก็ยังหาความสำเร็จมิได้ แม้ว่าผู้ที่ถือ ศาสนาคริสต์และศาสนามะหะหมัดจะได้รับอนุญาตให้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้โดยอิสระก็ตาม พวกนอกคริสต์ศาสนาเหล่านี้ ๑ ถึงแม้จะเป็นผู้เคร่งครัดต่อศาสนาและเกรงกลัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาก็ยังมีความยำเกรงและนับถือภูตผีปีศาจในนรกอยู่อีกอย่างเปิดเผย อันเป็นการขัดต่อหลักธรรม และความคิดเห็นของพวกพระสงฆ์ของเขาเอง เขาเชื่อว่าภูตผีเหล่านี้จะบันดาลให้เกิดเหตุภัยขึ้นได้ เชน่ เดยี วกบั ทเ่ี ชอ่ื วา่ เทพเจา้ ทรงเปน็ ผบู้ นั ดาลความดที ง้ั ปวง ขณะทม่ี กี ารเจบ็ ไขห้ รอื มที กุ ขร์ อ้ นประการใด เกิดขึ้น เขาก็จะจัดหาผลไม้และเป็ดไก่มาบวงสรวง กับทำพิธีแปลก ๆ อีกมากมายหลายอย่าง มกี ารแสดงเลน่ กลและการละเลน่ ตา่ ง ๆ ในการบวงสรวงดว้ ยการประกอบพธิ แี ปลก ๆ ๒ อนั เปน็ ทน่ี า่ รงั เกยี จ เหล่านั้น ไม่สมควรที่พวกคริสเตียนจะไปดูเลย เพราะเป็นการกระทำของพวกหลงผิดที่น่าสงสารที่ พยายามจะปลอบใจเจ้าขุนมูลนายด้วยการเลิกรับนับถือพระเจ้าและกลับไปบูชาภูตผีปีศาจเหล่านั้น บางครั้งก็มีพิธีการที่พิสดารและน่ารังเกียจยิ่ง ซึ่งเราชาวคริสต์ไม่ควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย การที่ ต้องมาเซ่นสรวงภูตผีปีศาจเช่นนี้เพราะเขาเข้าใจว่าพระเป็นเจ้าได้ละทิ้งเขาเสียแล้วเขาจึงต้องหันมาเอาใจ ประจบพวกผปี ศี าจ ๑ หมายถงึ คนไทย ๒ นา่ จะหมายถงึ พธิ เี ซน่ ผีโดยจดั เครอ่ื งเซน่ ใสภ่ าชนะพรอ้ มดว้ ยตกุ๊ ตาแลว้ นำไปทง้ิ ทท่ี างสามแพรง่ และตอ่ ยหวั ตกุ๊ ตาเสยี เรยี กวา่ พธิ เี สยี กบาล

๒๗๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ การแต่งกายและบ้านเรือน ชาวสยามมรี า่ งกายสมสว่ น ผวิ คอ่ นขา้ งจะนำ้ ตาลระหวา่ งดำกบั เหลอื ง ชาวสยามเปน็ ทหารทด่ี ี ไมไ่ ด้ และมกั จะโหดรา้ ยทารณุ กบั พวกเชลยศกึ ชาวสยามมที า่ ทางหยง่ิ จองหองแตเ่ มอ่ื มกี จิ ธรุ ะตอ้ งตดิ ตอ่ กนั กส็ ภุ าพเรยี บรอ้ ย และมกี ริ ยิ าอชั ฌาสยั คนพวกนต้ี ามธรรมชาตชิ อบสนกุ เปน็ คนขลาด ขร้ี ะแวง มีนิสัยประจบ ชอบหลอกลวงและพูดไม่จริงอย่างที่สุด ชายชาวสยามมีนิสัยเกียจคร้านไม่ชอบทำงาน ดงั นน้ั งานการทง้ั หลายทง้ั ปวง จงึ เปน็ หนา้ ทข่ี องฝา่ ยหญงิ ซง่ึ มรี า่ งกายแขง็ แรง มคี วามสวยงามไมม่ ากนกั งานในนากด็ ี หรอื ในบา้ นกด็ ี หญงิ สยามทำดว้ ยความขยนั ขนั แขง็ อยา่ งยง่ิ และมกั จะทำรว่ มกบั ขา้ ทาส บรวิ าร (ตรงขา้ มกบั ขนบธรรมเนยี มของชาตอิ น่ื ๆ) สว่ นชายนน้ั ไมค่ อ่ ยไดท้ ำอะไร นอกจากราชการงานทหาร และกอ็ อกไปเดนิ เลน่ หาความเพลดิ เพลนิ เทา่ นน้ั ทง้ั หญงิ ชายแตง่ ตวั ดว้ ยผา้ ผอ่ นนอ้ ยชน้ิ เพราะประเทศนเ้ี ปน็ ประเทศรอ้ น เขาชอบผา้ สตี า่ ง ๆ นงุ่ สำหรับส่วนล่างของร่างกาย ส่วนบนนั้นชายใส่เสื้อชั้นใน แขนครึ่งท่อน ส่วนหญิงนั้นมีผ้าบาง ๆ พาดไหล่ หรอื ปดิ หนา้ อก บนศรี ษะมกั จะมปี น่ิ ทองปกั ผมไว้ และสวมแหวนทองทน่ี ว้ิ มอื การแตง่ กาย เช่นนี้แต่งด้วยกันทั้งคนจนคนมี จึงยากที่จะรู้ว่าใครรวยใครจน นอกจากจะรู้ราคาชนิดผ้าที่นุ่งห่มนั้น วธิ สี งั เกตคนมง่ั มแี ละมอี ำนาจราชศกั ด์ิ สงั เกตไดง้ า่ ยจากผคู้ นในขบวนทห่ี อ้ มลอ้ มเจา้ นายของเขา ราษฎร สามญั เดนิ ไปตามถนนจะมขี า้ ทาสชายหญงิ คนหนง่ึ หรอื สองคนตดิ ตามมา คนมง่ั มขี า้ ทาสบรวิ ารมากกวา่ น้ี สว่ นผยู้ ง่ิ ใหญม่ อี ำนาจราชศกั ดม์ิ กั จะมบี รวิ ารตดิ ตามมาดว้ ยประมาณ ๑๐,๒๐ ถงึ ๓๐ คน หรอื มากกวา่ กม็ ี บา้ นของชาวสยามสรา้ งดว้ ยไมห้ รอื ไมไ้ ผต่ ามแบบชาวอนิ เดยี หลงั คาบา้ นนน้ั มงุ ดว้ ยจากหรอื กระเบอ้ื ง เขามักยกพื้นบ้านให้สูงกว่าพื้นดินราว ๓ ถึง ๔ ฟุต บ้านหนึ่ง ๆ มีประตู ๑ บาน หน้าต่างบานเล็ก ๆ หลายบาน เครอ่ื งแตง่ บา้ นนน้ั มนี อ้ ย มเี ทา่ ทจ่ี ำเปน็ สำหรบั การหลบั นอน บรโิ ภคอาหาร และการหงุ ตม้ เทา่ นน้ั อาหารของชาวสยามไมฟ่ มุ่ เฟอื ยและมนี อ้ ยสง่ิ ตามปกตมิ ีขา้ ว ปลา และผกั สว่ นเครอ่ื งดม่ื ตาม ปกตินั้น เขาดื่มแต่น้ำธรรมดาอย่างเดียว แต่ในวันหยุดชาวสยามกินอาหารกันอย่างฟุ่มเฟือย และ ชาวบา้ นกด็ ม่ื สรุ า๑ อยา่ งเมามายดว้ ย การแต่งงานและการเลี้ยงดูลูก ชาวสยามมพี ธิ แี ตง่ งานหลายอยา่ ง สำหรบั ผมู้ ง่ั มมี หี นา้ มตี า การแตง่ งานจะตอ้ งไดร้ บั ความเหน็ ๑ ตน้ ฉบบั ใชว้ า่ arrack or brandy หมายถงึ นำ้ ตาลเมา หรือ สุรา

จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๗๗ ชอบจากพอ่ แม่ เพอ่ื นฝงู และตอ้ งมกี ารแลกของมคี า่ กนั ๑ พธิ แี ตง่ งานนน้ั แมจ้ ะมกี ารละเลน่ สนกุ สนาน และมีการเลี้ยงดูกันอย่างครึกครื้นแต่ไม่มีพิธีศาสนามาเกี่ยวข้อง คู่สมรสย่อมมีสิทธิ์จะแยกจากกันได้ ทุกเมื่อถ้ามีเหตุผลพอเพียง แบ่งทรัพย์สมบัติและลูก และเมื่อหย่าร้างแล้วจะทำการสมรสใหม่ก็ได้ โดยไม่เสียเกียรติหรือโดนบ้านเมืองลงโทษแต่ประการใด จะมีผิดก็ต่อเมื่อแยกกันโดยไม่มีเหตุผล สามีนั้นถึงแม้จะมีภรรยาแล้วจะมีนางบำเรอจำนวนอีกกี่คนก็ย่อมทำได้ โดยไม่ต้องได้รับฉันทะจากใคร แตจ่ ะตอ้ งยกยอ่ งเชอ่ื ฟงั ภรรยาหลวง เมอ่ื ภรรยาหลวงไดร้ บั การยกยอ่ ง และบตุ รหญงิ ชายของนางเปน็ ผู้รับมรดกโดยชอบธรรมของสามีเช่นนี้แล้ว นางจะไม่ขัดขวางการที่สามีจะมีนางบำเรอ บุตรที่เกิดจาก นางบำเรอมสี ทิ ธไ์ิ ดร้ บั มรดกเหมอื นกนั แตก่ ไ็ ดน้ อ้ ย เมื่อผู้มีบรรดาศักดิ์ถึงแก่กรรม ทรัพย์สมบัติย่อมแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของหลวง สว่ นหนง่ึ สำหรบั คา่ ใชจ้ า่ ยในการจดั งานศพ สว่ นทเ่ี หลอื นน้ั เปน็ ของบตุ ร ธดิ า แตส่ ำหรบั บคุ คลทว่ั ไป จะเปน็ ไปตามธรรมเนยี มทเ่ี คยปฏบิ ตั ิ พธิ กี ารแตง่ งานสำหรบั คนสามญั นน้ั มหี ลายวธิ ี เชน่ ถา้ เจา้ บา่ วออกเงนิ ซอ้ื เจา้ สาว พอ่ แมเ่ จา้ สาว ต้องจัดการเลี้ยง และมอบเจ้าสาวไป วิธีนี้การสมรสจะเลิกได้ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันในเรื่องการ แบ่งลูกกันแล้ว แต่การหย่าขาดจากสามีภรรยามักจะไม่ค่อยเกิดขึ้น เพราะถ้ายังขืนแยกกันโดยที่ไม่มี สาเหตเุ พยี งพอ ญาตทิ างฝา่ ยชายและหญงิ กจ็ ะแตกกนั ไมเ่ ปน็ มติ รกนั อกี ตอ่ ไป เมอ่ื สามภี รรยาตายลง ทรพั ยส์ มบตั จิ ะแบง่ เปน็ สว่ น ๆ ตามจำนวนลกู แตล่ กู ชายคนสดุ ทอ้ งจะไดม้ ากเปน็ พเิ ศษ ยงั มวี ธิ อี น่ื ๆ อกี มากหลายเกย่ี วกบั การแตง่ งาน การแบง่ แยกมรดก แตข่ า้ พเจา้ จะไมข่ อนำมากลา่ ว เพราะเกรงวา่ ทา่ นผอู้ า่ นจะเบอ่ื หนา่ ยเสยี กอ่ น การเลย้ี งดเู ดก็ กม็ วี ธิ กี ารมากหลายเชน่ เดยี วกนั แตข่ า้ พเจา้ จะเลา่ เฉพาะครอบครวั ทเ่ี ปน็ หลกั ฐาน คอื เขาจะปลอ่ ยใหเ้ ดก็ วง่ิ เลน่ ตามอำเภอใจไปจนอายุ ๕ ถงึ ๖ ขวบ แลว้ จงึ นำไปมอบไวท้ ว่ี ดั ใหพ้ ระทา่ น อบรมสง่ั สอนจนอา่ นออกเขยี นได้ และมคี วามรใู้ นหตั ถกรรมตา่ ง ๆ พวกลกู ศษิ ยว์ ดั นน้ี าน ๆ จะกลบั บา้ น สกั หนหนง่ึ จนกวา่ จะเรยี นสำเรจ็ ครน้ั เรยี นหนงั สอื จนอา่ นออกเขยี นไดค้ ลอ่ งแลว้ พอ่ แมจ่ ะนำไปฝากใหเ้ รยี น วิชาชีพหรือทำงานอย่างอื่นเลย พวกที่ได้เรียนต่อมักจะเป็นเด็กมีสติปัญญา การที่เด็กไปอยู่วัดนั้น พระทา่ นสอนทง้ั ทางหนงั สอื และทางธรรม จนมคี วามรอบรเู้ ขา้ รบั ราชการได้ เมอ่ื อายคุ รบบวช เดก็ พวกน้ี ๑ ฉบับของ Manley ไมม่ ขี อ้ ความ “ตอ้ งมกี ารแลกเปลย่ี นของมคี า่ กนั ”

๒๗๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ กจ็ ะบวชกอ่ นแลว้ จงึ สกึ ออกมาเขา้ รบั ราชการ แตเ่ ดก็ บางคนทม่ี สี ตปิ ญั ญาเฉยี บแหลมอาจจะครองสมณเพศ อยตู่ อ่ ไปจนไดเ้ ปน็ เจา้ อาวาส หรอื ไดต้ ำแหนง่ สมณศกั ดส์ิ งู ๆ กม็ ี การคา้ ขายและวธิ กี ารเลย้ี งชพี ในหัวเมืองใหญ่ๆ ชาวสยามเลี้ยงชีพด้วยการค้าขายหรือรับราชการ หรือทำการประมง ส่วนพวกชาวนาซึ่งมีจำนวนมากมักเป็นพวกหาเลี้ยงชีพด้วยการไถนาและปลูกพืชนานาชนิด แต่ส่วนใหญ่ ปลูกข้าว ซึ่งมีปลูกกันมากหลายในประเทศนี้ บางคนหาเลี้ยงชีพทางทำสวนผลไม้ โดยเฉพาะสวน มะพร้าวและสวนเงาะ ซง่ึ นยิ มปลกู กนั มาก บางคนเลย้ี งมา้ ววั หมู แพะ หา่ น นกยงู เปด็ ไก่ นกพริ าบและสตั วอ์ น่ื ๆ อาหารบรโิ ภคทกุ ชนดิ จงึ ถกู มาก และยงั มเี หลอื ทจ่ี ะสง่ ไปขายยงั หวั เมอื งขา้ งเคยี งดว้ ย เครอ่ื งกอ่ สรา้ งเชน่ กระเบอ้ื ง ปนู ขาว ไม้ สำหรบั สรา้ งวดั วาอาราม สรา้ งปอ้ ม ปลกู บา้ นชอ่ งตอ่ เรอื แพ และเรอื สำเภา มมี ากมายในราชอาณาจกั รน้ี ตลอดจนพวกชา่ งไมช้ า่ งฝมี อื กม็ อี ยทู่ ว่ั ไป ตามธรรมดาหัวเมืองต่าง ๆ จะมีการซื้อขายสินค้าทั้งพวกผลไม้พื้นเมืองและต่างประเทศ แต่ใน กรุงศรีอยุธยา สินค้าที่ขึ้นหน้าขึ้นตาค้าขายกันมาก คือผ้าฝ้ายมาจาก โจฬมณฑล๑ และเมืองสุรัต เครอ่ื งถว้ ยชามจนี เพชรพลอย ทอง เครอ่ื งหอม กาว ขผ้ี ง้ึ ไมฝ้ าง ไมส้ กั ๒ ดบี กุ ตะกว่ั หนงั สตั ว์ และหนงั ปลากระเบน เฉพาะหนงั กวางนน้ั ปหี นง่ึ ๆ เขาฆา่ กวางประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ ตวั และสง่ หนงั ไปขายยังประเทศญี่ปุ่นได้กำไรดี ส่วนข้าวสารนั้นก็เป็นสินค้าสำคัญ ส่งไปขายยังประเทศข้างเคียง ปลี ะมาก ๆ จงึ มพี อ่ คา้ นานาชาตซิ ง่ึ มพี มา่ มอญ ทง้ั แขกฝรง่ั เขา้ มาคา้ ขายยงั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเปน็ จำนวนมาก พระมหากษัตริย์เองก็เป็นพ่อค้าคนสำคัญ พระองค์มีเรือสำเภาและมีทุนรอนที่จะส่งสินค้าไปยัง ประเทศอินเดียและประเทศจีน ด้วยเหตุนี้พระเจ้ากรุงจีนจึงให้สิทธิพิเศษแก่พระองค์ ตามบรรดาเมือง คา้ ขายใหญ่ ๆ เชน่ หงสาวดี องั วะ เชยี งใหม่ ลา้ นชา้ ง และหวั เมอื งใกลเ้ คยี งอน่ื ๆ นอกเหนอื จาก กรุงศรีอยุธยา พระองค์ก็มีตัวแทนทำการค้าขายให้ เพราะฉะนั้นปีหนึ่ง ๆ พระองค์ทรงได้กำไรเป็น อันมาก เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงค้าขายเสียเองเช่นนี้พ่อค้าอื่น ๆ จึงทำการค้าได้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ แตเ่ พราะราชอาณาจกั รนอ้ี ดุ มสมบรู ณ์ การคา้ ขายนานาชนดิ จงึ ทำกนั อยา่ งมากมายทเี ดยี ว ๑ หมายถึงประเทศฝั่งโคโรมันเดล ๒ ฉบบั ของ Manley แปลวา่ ไมก้ ฤษณา (Agerwood) ซึง่ นา่ จะถูกต้องกว่า สมัยน้ันไทยสง่ ออกไมก้ ฤษณามากกวา่ ไม้สัก

จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๗๙ เงนิ ตราที่ใช้ในการค้าขาย เงินตราที่ใช้ในการค้าขายเป็นเงินตราทำด้วยเงินแท้ รูปร่างกลมมีน้ำหนักเที่ยงตรง และมี เครื่องหมายพระเจ้าแผ่นดินประทับ เงินตรานั้นมีอยู่ ๓ ชนิด คือ เงินบาท เงินสลึง และเงินเฟื้อง ประชาชนนยิ มใชเ้ งนิ ตราบาท โดยมอี ตั ราเทยี บดงั ตอ่ ไปน้ี เงนิ ตราบาท ๑ ชง่ั เทา่ กบั ๒๐ ตำลงึ เทา่ กบั ๖ กลิ เดอร์ (Guilders เงินฮอลันดา) เท่ากับ ๔๘ รลิ ส์ (Reals เงินปอร์ตุเกส) ๔ บาท เท่ากับ ๑ ตำลึง ๔ สลึง เทา่ กบั ๘ เฟอ้ื ง เทา่ กบั ๑ บาท การคา้ ทกุ ชนดิ ใชเ้ งนิ ตราชำระกนั แตเ่ พอ่ื ความสะดวกแกป่ ระชาชนคนสามญั ยงั มเี งนิ ตราอกี ชนดิ หนง่ึ คือ ใช้หอยทะเลแทน ที่เราเรียกว่า เบี้ยซึ่งนำมาจากมะนิลาหรือเกาะบอร์เนียวและริวกิว เบี้ยเหล่านี้ ๘,๐๐๐ หรือ ๙,๐๐๐ เบี้ย จึงมีราคาเท่ากับ ๑ เฟื้อง ประชาชนใช้เบี้ยซื้ออาหารและสิ่งจำเป็นอื่นๆ ผคู้ นจะไปจา่ ยตลาดโดยพกเบย้ี ไปเพยี ง ๒๐ หรอื ๑๐ หรอื แมแ้ ต่ ๕ เบย้ี หรอื อาจนอ้ ยกวา่ นน้ั กจ็ ะพอเพยี ง ในการจบั จา่ ยซอ้ื อาหารหรอื ของจำเปน็ ไปวนั หนง่ึ ๆ ชาวปอร์ตุเกสและชาวฮอลันดาในราชอาณาจักรสยาม ชาวปอร์ตุเกสคุ้นเคยกับราชอาณาจักรสยามนี้ด้วยฉันมิตรและมีเสรีภาพในการค้าขายมาช้านาน กอ่ นทช่ี าวฮอลนั ดาจะเขา้ มาในแถบนข้ี องโลก ราชทตู ของปอรต์ เุ กสไดเ้ ขา้ เฝา้ พระมหากษตั รยิ เ์ ปน็ ครง้ั คราว ซึ่งอุปราชจากอินเดียหรือสังฆราชแห่งมะละกาจัดส่งให้เข้ามา ราชทูตเหล่านี้ไม่เพียงแต่ได้รับการต้อนรับ เป็นอย่างดี และได้รับพระราชทานสิ่งของเสมอ ๆ เท่านั้น แต่พระมหากษัตริย์ยังพระราชทานยศขุนนาง แกช่ าวปอรต์ เุ กสซง่ึ ประจำอยู่ ณ กรงุ ศรอี ยธุ ยา พรอ้ มทง้ั พระราชานมุ ตั ทิ จ่ี ะนบั ถอื ศาสนาของตนไดโ้ ดยเสรี อกี ดว้ ย ยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังโปรดพระราชทานเงินเดือนให้แก่บาทหลวงปอร์ตุเกสเป็นเบี้ยเลี้ยงชีพ แล้วทรงอนุมัติให้พ่อค้าในราชอาณาจักรนี้นำเรือสำเภาบรรทุกสินค้าไปขายยังเมืองมะละกาเนือง ๆ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ชาวปอร์ตุเกสจึงได้รับประโยชน์เป็นอันมากจากราชอาณา จกั รสยาม จนเมอ่ื พวกเราชาวฮอลนั ดาไดเ้ ขา้ มาถงึ ทน่ี ่ี พวกเราจงึ คอ่ ย ๆ บน่ั ทอนผลประโยชนเ์ หลา่ น้ี ของชาวปอร์ตุเกสเช่น ยึดเรือสินค้าของเขา และก่ออุปสรรคขัดขวางการค้าโดยทั่ว ๆ ไปของ ปอรต์ เุ กสทีเ่ มืองซานโทเมและเนวิกาตัม จนทำให้พวกปอร์ตุเกสยากจนลงเป็นอันมากเมื่อ ค.ศ. ๑๖๒๔ (รัชกาลสมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม) เรอื สำเภาฮอลนั ดาลำหนง่ึ ไดถ้ กู เรอื สำเภาสเปนยดึ เอาไปในนา่ นนำ้ สยาม

๒๘๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ เมอ่ื พระมหากษตั รยิ ท์ รงทราบกท็ รงกรว้ิ เปน็ กำลงั โปรดฯ ใหใ้ ชก้ ำลงั ยดึ เรอื สำเภาสเปนนน้ั เปน็ การตอบแทน ดว้ ยเหตนุ เ้ี องจงึ เกดิ ภาวะสงครามขน้ึ ระหวา่ งกรงุ ศรอี ยธุ ยาและกรงุ มะนลิ า ในขณะนี้ถึงแม้ว่าชาวปอร์ตุเกสไม่สามารถที่จะรักษาเกียรติและการค้าของตนให้รุ่งเรืองคงที่ดังแต่ กอ่ นไดก้ จ็ รงิ แตช่ าวปอรต์ เุ กสกย็ งั คงอาศยั อยใู่ นกรงุ สยามดว้ ยความสงบสขุ พระมหากษตั รยิ แ์ ละบรรดา เสนาบดีไม่โปรดปรานพวกนี้เหมือนแต่ก่อน รวมทั้งตัวแทนสังฆราชเมืองมะละกาด้วย ในปัจจุบัน ชาวปอรต์ เุ กสยากจนลง พวกทย่ี งั คงอยอู่ าศยั ในกรงุ กเ็ ปน็ พวกมตี ำแหนง่ ฐานะการคา้ ขายเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ และ ยังมีพวกลูกครึ่งปอร์ตุเกสซึ่งมีพ่อเป็นปอร์ตุเกสและแม่เป็นชาวอินเดียผิวกายเป็นผิวผสม เมื่อก่อนพวก ลูกครึ่งมีฐานะตำแหน่งใหญ่โตเป็นที่นับถือแก่ปวงชนทั่วไป๑ แต่ครั้นใน ค.ศ.๑๖๓๑ ๒ พวกปอร์ตุเกสใช้ กำลังหักหาญพ่อค้าชาวสยามในทะเลหลวง พระมหากษัตริย์จึงทรงตอบโต้โดยยึดเรือปอร์ตุเกสไว้ ลำหนง่ึ และโปรดใหจ้ บั ชาวปอรต์ เุ กสทพ่ี ำนกั อยใู่ นกรงุ ศรอี ยธุ ยาทกุ คนเขา้ ขงั คกุ ภายหลังจากเหตุการณ์ นั้นได้ ๒ ปี ชาวปอร์ตุเกสที่ถูกคุมขังได้ใช้กลอุบายหนีออกจากคุกไปได้ พระมหากษัตริย์ทรงกริ้วเป็น อันมาก โปรดให้ยึดเรือสเปน ๑ ลำซึ่งจอดอยู่ ณ ท่าเมืองนครศรีธรรมราชและเรือปอร์ตุเกสอีก ๑ ลำ ที่เมืองตะนาวศรี ผู้คนบนเรือทั้งสองได้ถูกจำคุกไว้ ๒ ปี แล้วจึงพระราชทานอภัยโทษให้และส่งเขา เหล่านั้นกลับไปพร้อมพระราชสาส์นของพระองค์ไปยังผู้ว่าการเมอื งมะนลิ าและเมอื งมะละกาแจ้งเหตุการณ์ ทั้งหลายทั้งปวงให้ทราบความในพระราชสาส์นนั้นจบลงด้วยความว่าพระองค์ทรงขอให้ผู้ว่าราชการเมือง ทั้งสองลืมเรื่องร้าย ๆ เหล่านั้นเสีย เพื่อความสงบสุขและการค้าขายระหว่างกรุงศรีอยุธยากบั เมอื งนน้ั ๆ จะไดม้ ขี น้ึ ใหม่ เมอ่ื พจิ ารณาเหตกุ ารณท์ ง้ั หลายทง้ั ปวงแลว้ ขา้ พเจา้ เชอ่ื วา่ พวกปอรต์ เุ กสคงจะกลบั เขา้ มา อยู่ ณ กรุงศรีอยุธยานี้ดังแต่ก่อนได้ แต่คราวนี้ฐานะของพวกเขาเหล่านั้นจะกระเตื้องดีขึ้นหรืออย่างไร ยงั ไมแ่ นช่ ดั พวกเราชาวฮอลันดาได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรสยามได้ ๓๐ ปีแล้ว และได้รับการต้อนรับ อย่างดีจากพระมหากษัตริย์ตลอดมา บริษัทของเราจึงได้ตกลงตั้งสำนักงานการค้าขึ้น ณ กรุงศรีอยุธยา นี้เพื่อจะดำเนินการค้าขายและเจริญสัมพันธไมตรีกับพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้ เราได้สร้าง โรงเก็บสินค้าเป็นเรือนไม้ขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา และได้สั่งผ้าเข้ามาขายเป็นอันมาก เราได้ซื้อหนังกวาง และไม้ฝางเพื่อส่งไปขายต่อยังประเทศญี่ปุ่นทุกปี แม้ว่าการค้าขายของเราถึงจะไม่ได้กำไรมากมาย ๑ ขอ้ ความตง้ั แต่ “ และยงั มพี วกลกู ครง่ึ ปอรต์ เุ กส………เปน็ ทน่ี บั ถอื แกป่ วงชนทว่ั ไป ” ไมป่ รากฏในฉบบั ของ Manley ๒ ตรงกับรัชสมัยสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. ๑๖๓๐ - ๑๖๕๕

จดหมายเหตขุ องโยสต์ สเคาเตน็ ๒๘๑ จนเกินไปสมกับความเสียหายที่บรรดาพวกพ่อค้าของเราได้รับ แต่กระนั้นพวกเราก็ยังได้รับพระราชทาน ไมตรีจิตมิตรภาพจากพระมหากษัตริย์ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งมากกว่าชาวยุโรปชาติอื่น ๆ เคยได้รับ และทรงอนญุ าตใหเ้ ราสง่ อาหารและสนิ คา้ อน่ื ๆ ไปยงั ปตั ตาเวยี (ในหมเู่ กาะชวา) อยเู่ สมอ ประเทศนี้ได้มีการผลัดเปลี่ยนกษัตริย์ก็จริง แต่ไมตรีจิตมิตรภาพระหว่างพระมหากษัตริย์และ บริษัทของเราก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม การทีพ่ ระมหากษัตริย์สยามทรงโปรดชาวฮอลันดานั้นข้าพเจ้าเชื่อว่า เปน็ เพราะพวกเราอยใู่ นฐานะทจ่ี ะทำการคา้ ขายแลกเปลย่ี นสนิ คา้ ใหเ้ ปน็ ประโยชนต์ อ่ ราชอาณาจกั รไดเ้ ปน็ อนั มาก และเพราะพระองค์ไม่โปรดชาวสเปนและปอร์ตุเกสด้วยอีกโสดหนึ่ง ดังนั้นเพื่อประโยชน์แก่บริษัทของเรา และเพื่อเกียรติยศต่อประเทศฮอลันดาจึงเป็นหน้าที่ของบริษัทที่จะรักษามิตรภาพนั้นให้สนิทแน่นแฟ้น ต่อไป มีเหตุผลอีกประการหนึ่งที่เราต้องยึดมั่นในมิตรภาพนี้ คือว่า เมื่อบริษัทการค้าของเราได้มา ทำการเปิดสำนักงานขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ค.ศ. ๑๖๓๑ ๑ การค้าขายใน ๔ ปี ภายใต้การจัดการ ของข้าพเจ้าได้แผ่ขยายออกไปกว้างขวางยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก และบริษัทก็ได้กำไรอย่าง มหาศาลดว้ ย จงึ เปน็ ความเชอ่ื มน่ั ของขา้ พเจา้ วา่ ถา้ เราดำเนนิ การคา้ ขายดว้ ยความระมดั ระวงั สบื ตอ่ ไป เรากย็ งั จะไดก้ ำไรจากการคา้ ขายเพม่ิ ขน้ึ ไปอกี ดว้ ยความเชอ่ื มน่ั ดงั นข้ี า้ หลวงใหญแ่ ละกรรมการบรษิ ทั แหง่ อินเดีย จึงได้อนุมัติให้ข้าพเจ้าสร้างตึกอันหรูหราขึ้น ณ กรุงศรีอยุธยานี้ใน ค.ศ. ๑๖๓๔ ตึกหลังนี้ ประกอบด้วยโรงเก็บสินค้า ห้องอยู่อาศัย ห้องโถงต่าง ๆ และให้ขุดคลองแยกจากแม่น้ำเข้ามายังที่ของ บรษิ ทั ดว้ ย ๒ สำนกั งานของเราในเวลานจ้ี งึ เปน็ ทเ่ี หมาะดว้ ยประการทง้ั ปวงในการคา้ ขาย ซง่ึ ขา้ พเจา้ เชอ่ื วา่ บรษิ ทั ของเราไมม่ ที เ่ี หมาะ ๆ เชน่ นท้ี ไ่ี หนอกี ทว่ั ภาคตะวนั ออก๓ ข้าพเจ้าบรรยายสถานการณ์ และขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศสยามดังได้กล่าวมานี้ โดยสงั เขปเทา่ นน้ั แตไ่ ดก้ ลา่ วตามความเปน็ จรงิ และตามความรทู้ ข่ี า้ พเจา้ มอี ยู่ ตลอดเวลา ๘ ปที ข่ี า้ พเจา้ เขา้ มาอยใู่ นกรงุ ศรอี ยธุ ยา ขา้ พเจา้ ไดพ้ ากเพยี รพยายามแสวงหาความรดู้ ว้ ยการไตถ่ าม และดว้ ยการพบ เหน็ ดว้ ยตนเอง ในทส่ี ดุ น้ี ถา้ ผอู้ า่ นยงั ปรารถนาทจ่ี ะทราบรายละเอยี ดยง่ิ ไปกวา่ นอ้ี กี กข็ อไดโ้ ปรดหาอา่ น จากผทู้ เ่ี ขยี นไดก้ ระจา่ งกวา่ และยาวกวา่ ขา้ พเจา้ ๑ ตน้ ฉบบั ของ Manley ไดแ้ ปลไวว้ า่ “ finally our factory established there in the year 1633” ๒ ตน้ ฉบบั ของ Manley ไมป่ รากฏขอ้ ความ “ใหข้ ดุ คลองแยกจากแมน่ ำ้ เขา้ มายงั ทข่ี องบรษิ ทั ดว้ ย” ๓ หมายถงึ สถานทซ่ี ง่ึ พวกฮอลนั ดาไดร้ บั พระราชทานใหก้ อ่ สรา้ งทพ่ี กั อาศยั และโกดงั สนิ คา้ ตั้งอยู่บริเวณหมบู่ า้ นฮอลนั ดา ทางฝัง่ ซ้าย ของแมน่ ำ้ เจา้ พระยา ปัจจบุ นั เป็นทีต่ งั้ ของอซู่ อ่ มเรอื ศรีเจริญ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา

๒๘๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑

๒๘๓ จดหมายเหตฟุ านฟลตี

๒๘๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๒๘๕ คำชแ้ี จงเฉพาะเรอ่ื ง จดหมายเหตุฟานฟลีต ในการจัดพิมพ์ครั้งก่อน ๆ เรียกว่า จดหมายเหตุวันวลิต คือเรื่องราวที่ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias van Vliet) ได้เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๑๘๓ ตั้งชื่อเรื่องตามที่แปลเป็น ภาษาอังกฤษว่า The Historical Account of the War of Succession following the death of King Pra Interajasia, 22 nd King of Ayuthian Dynasty ต้นฉบับที่ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต เขียนขึ้นเป็น ภาษาฮอลนั ดาแตป่ รากฏวา่ ไดส้ ญู หายไปกวา่ ๓๐๐ ปี จนกระทง่ั สงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ ไดเ้ สรจ็ สน้ิ ลงแลว้ ศาสตราจารย์ญี่ปุ่นประจำมหาวิทยาลัยโตเกียว ชื่อ ไซอิชิ อิวาโอะ (Sei-ichi Iwao) ได้ไปทำการตรวจค้น เอกสารทก่ี รงุ เฮก ประเทศฮอลนั ดา จงึ ไดพ้ บตน้ ฉบบั ภาษาฮอลนั ดาฉบบั นน้ั เขา้ นายอับราฮัม เดอ วิเกอร์ฟอร์ต (Abraham de Wiquefort) นักประวัติศาสตร์และผู้เขียน ประวตั ศิ าสตรป์ ระเทศฮอลนั ดา ไดแ้ ปลจากภาษาฮอลนั ดา เปน็ ภาษาฝรง่ั เศส และนำออกตพี มิ พท์ ก่ี รงุ ปารสี เมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๖ แต่ต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสที่นายอับราฮัม เดอ วิเกอร์ฟอร์ต แปลนั้น ศาสตราจารย์ไซอิชิ อวิ าโอะ ไดเ้ ปรยี บเทยี บกบั ตน้ ฉบบั ภาษาฮอลนั ดาแลว้ ปรากฏวา่ มขี อ้ ผดิ แผกแตกตา่ งกนั ไปหลายประการ เชน่ ปที เ่ี ขยี นเรอ่ื งกจ็ ะผดิ ไปถงึ ๗ ปี คอื ในฉบบั ภาษาฮอลนั ดาลง ค.ศ. ๑๖๔๗ (พ.ศ. ๒๑๙๐) ทผ่ี ดิ กนั ไป เช่นนี้ จะเป็นด้วยความพลั้งเผลอของโรงพิมพ์หรือของผู้แปล ไม่สามารถจะทราบได้ ซึ่งศาสตราจารย์ อวิ าโอะ ไดน้ ำขอ้ ผดิ เพย้ี นมาพมิ พเ์ ปรยี บเทยี บไวใ้ นหนงั สอื The Toyo Bunko Sokan เลม่ ๑๔ ภาคผนวก พเิ ศษ พมิ พท์ ก่ี รงุ โตเกยี ว เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๐๑ แลว้ ตอ่ มาเมอ่ื ค.ศ. ๑๙๐๔ (พ.ศ. ๒๔๔๗) นายดบั บลวิ . เอช. มนั ดี (W.H. Mundie, M.A.) เจา้ ของโรงพมิ พแ์ ละหนงั สอื บางกอกไทมส์ ไดแ้ ปลจากฉบบั ภาษาฝรง่ั เศสเปน็ ภาษาอังกฤษอีกทอดหนึ่ง และตั้งชื่อเรื่องเป็นภาษาอังกฤษว่า Historical Account of Siam in The 17th Century แล้วจัดพิมพ์ขึ้นที่กรุงเทพฯ ตามรับสั่งของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง- ราชานภุ าพ ตอ่ มาสยามสมาคมไดน้ ำไปตพี มิ พใ์ นวารสารของสมาคม เลม่ ท่ี ๓ ภาค ๒ ประจำเดอื นเมษายน พ.ศ. ๒๔๘๑ อกี ครง้ั โดยเฉพาะฉบบั ทแ่ี ปลออกเปน็ ภาษาไทยนน้ั สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ เมอ่ื ทรงดำรงตำแหนง่ นายกราชบณั ฑติ ยสภา ไดโ้ ปรดใหข้ นุ วจิ ติ รมาตรา (สงา่ กาญจนาคพนั ธ)์ุ แปลจากฉบบั ภาษาองั กฤษของนายดบั บลวิ . เอช. มนั ดี แตข่ นุ วจิ ติ รมาตรา ตดิ งานอยา่ งอน่ื จงึ แปลไมจ่ บคงแปลไดเ้ พยี ง ๙ หน้าเท่านั้น เรื่องที่ขุนวิจิตรมาตราแปลออกเป็นภาษาไทยนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ โปรดให้ตั้งชื่อสั้น ๆ เพื่อให้จดจำได้ง่ายว่า “จดหมายเหตุวันวลิต” ซึ่งได้เรียกติดปาก

๒๘๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ กันมาจนถึงเวลาปัจจุบัน จดหมายเหตุดังกล่าวนี้ได้นำออกตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในงานศพคุณหญิงทิพย์ สรุ พนั ธพ์ุ สิ ทุ ธิ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๗๗ เปน็ หนงั สอื ขนาด ๑๖ หนา้ ยก รวม ๓๑ หนา้ และตอ่ มาไดพ้ มิ พอ์ กี เปน็ ครง้ั ทส่ี อง เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๐ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๗ นายตรี อมาตยกุล ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองวรรณคดีและ ประวัติศาสตร์ในสมัยนั้น (ปัจจุบัน คือ กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์) ได้มอบหมายให้นางนันทา วรเนตวิ งศ์ ศ.บ. (โบราณคด)ี แปลออกเปน็ ภาษาไทยตง้ั แตต่ น้ จนจบ และไดร้ บั ความอนเุ คราะหจ์ ากนางชศู รี สวสั ดสิ งคราม อ.บ. ป.ม. M.A. หวั หนา้ กองจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ ซง่ึ เคยดำรงตำแหนง่ หวั หนา้ แผนกแปล กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ ช่วยตรวจแก้และได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายสงัด จนั ทราภยั ตอ่ มาเมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๘ ศาสตราจารยข์ จร สขุ พานชิ ไดต้ รวจแกไ้ ขอกี ครง้ั หนง่ึ โดยเฉพาะ การอ่านชื่อบุคคลและสถานที่ ที่ฉบับแปลภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษเขียนเพี้ยนไปจากต้นฉบับเดิม ภาษา ฮอลันดาของฟานฟลีต ดังได้ทำเชิงอรรถ ชี้แจงไว้ในตัวเรื่องแล้วได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในงานฌาปนกิจศพ นายเสงย่ี ม บรรหารวรพจน์ พ.ศ. ๒๕๐๘ ตอ่ จากนน้ั ไดต้ พี มิ พอ์ กี หลายครง้ั ใน พ.ศ. ๒๕๑๒ พ.ศ. ๒๕๑๓ พ.ศ. ๒๕๑๕ พ.ศ. ๒๕๑๖ และในครง้ั นน้ี บั เปน็ ครง้ั ท่ี ๗ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต ผู้เขียนจดหมายเหตุฟานฟลีตนี้ เกิดทีเ่ มอื งสคดี มั (Schiedam) ประเทศ ฮอลนั ดา เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๔๕ ในขณะทเ่ี ปน็ หนมุ่ ไดเ้ ขา้ ทำงานอยใู่ นบรษิ ทั อสี ตอ์ นิ เดยี ของฮอลนั ดาทเ่ี มอื ง รอตเตอรด์ มั รวมทง้ั พน่ี อ้ งของเขาอกี ๒ คนดว้ ย ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๑๗๑ บรษิ ทั อสี ตอ์ นิ เดยี ไดส้ ง่ ฟาน ฟลตี ไปประจำที่เมืองปัตตาเวีย (ปัจจุบัน คือ จาร์กาตา) บนเกาะชวา ในตำแหน่งผู้ช่วยการงานในบริษัทนั้น ฟาน ฟลีต ทำงานอยู่ที่เมืองปัตตาเวียได้ประมาณปีเศษผู้อำนวยการบริษัทอีสต์อินเดียจึงได้ส่งไปประจำ ณ สำนกั งานของบรษิ ทั ทป่ี ระเทศญป่ี นุ่ เปน็ เวลา ๓ ปคี รง่ึ จนถงึ พ.ศ. ๒๑๗๖ จงึ ไดย้ า้ ยเขา้ มาประจำ อยู่ ณ กรงุ ศรอี ยธุ ยา ในตำแหนง่ ผชู้ ว่ ยของโยสต์ สเคาเตน็ ซง่ึ เปน็ ผจู้ ดั การหา้ งขายสนิ คา้ ของบรษิ ทั อสี ตอ์ นิ เดยี ทก่ี รงุ ศรอี ยธุ ยา เมื่อโยสต์ สเคาเต็น พ้นจากตำแหน่งผู้จัดการห้างฮอลันดาประจำกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๑๗๙ ฟาน ฟลีต จึงไดร้ บั แตง่ ตั้งจากบริษัทอีสต์อินเดยี ให้เป็นผูจ้ ัดการแทน และในปนี ั้น ฟาน ฟลีต ได้เขยี น หนงั สอื เรอ่ื งการพรรณนาเรอ่ื งราชอาณาจกั รสยาม (Description of the Kingdom of Siam) แลว้ นำไปมอบ อุทิศให้แก่ ฟิลลิป ลูคัส (Philips Lucasz) ผู้อำนวยการใหญ่บริษัทอีสต์อินเดียตะวันออก ประจำกรุง

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๒๘๗ ปัตตาเวีย ประเทศชวา หนังสือเรื่องนี้มีพิมพ์ทีเ่ มืองเลเดน ประเทศฮอลันดา (หรือเนเธอร์แลนด์ ในปจั จบุ นั ) เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๓๕ คอื หลงั จากท่ฟี าน ฟลตี ไดถ้ งึ แกก่ รรมไปแลว้ เปน็ เวลา ๒๙ ปี เมื่ออยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ฟาน ฟลีต ได้เขียนหนังสือสำคัญเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยา อีก ๒ เรื่อง คือ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (Chronicles of the Ayuthian Dynasty) ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๑๘๓ เรอ่ื งหนง่ึ และในปลาย พ.ศ. ๒๑๘๓ นน้ั ฟาน ฟลตี กไ็ ดเ้ ขยี นเรอ่ื งจดหมายเหตวุ นั วลติ (The Historical Account of the War of Succession following the death of King Pra Interajatsia, 22 nd King of Ayuthian Dynasty) อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ฟาน ฟลีต ได้นำไปมอบให้แก่ผู้อำนวยการใหญ่ บรษิ ทั อสี ตอ์ นิ เดยี ณ กรงุ ปตั ตาเวยี แลว้ เขยี นคำอทุ ศิ ใหไ้ วใ้ นหนงั สอื นน้ั ดว้ ย ฟาน ฟลีต เป็นผู้จัดการห้างฮอลันดาประจำอยู่ ณ กรุงศรีอยุธยา เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. ๒๑๘๕ จงึ ไดเ้ ลอ่ื นขน้ึ ไปรบั ตำแหนง่ ผวู้ า่ ราชการเมอื งมะละกา และไดด้ ำรงตำแหนง่ นต้ี อ่ มาจนถงึ พ.ศ. ๒๑๘๙ จงึ ได้ รับหน้าที่ให้ควบคุมขบวนเรือเดินทางกลับประเทศฮอลันดา เมื่อจะได้รับตำแหน่งใหม่ที่เมืองมะละกานั้น ฟาน ฟลตี ไดเ้ ขา้ เฝา้ สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง ถวายบงั คมลา แลว้ นำเดก็ ฮอลนั ดา ๔ คน เขา้ ถวายตวั เป็นมหาดเล็กของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และได้กราบทูลขอให้เด็กฮอลันดาทั้ง ๔ คนนั้น รับการ ศึกษาภาษาและขนบธรรมเนียมของไทยด้วย แต่เด็กทั้ง ๔ คนนี้ จะได้รับราชการอยู่ในแผ่นดินสมเด็จ พระเจา้ ปราสาททองตอ่ มาอกี นานเพยี งไร หรอื ไมน่ น้ั ยงั ไมพ่ บหลกั ฐานทส่ี อบคน้ ได้ เนอ้ื ความในจดหมายเหตฟุ านฟลตี กลา่ วถงึ ความเปน็ ไปตอนปลายรชั สมยั สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม และการจลาจลซง่ึ เกดิ ขน้ึ ในกรงุ ศรอี ยธุ ยาตลอดมาจนถงึ พระองคศ์ รี ( คอื พระเจา้ ปราสาททอง ) ไดร้ าชสมบตั ิ ในจดหมายเหตุนี้เรียกสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเมื่อก่อนได้รับราชสมบัติว่า พระองค์ศรี และกล่าวว่า พระองค์ศรีเป็นบุตรออกญาศรีธรรมาธิราช ซึ่งเป็นภาดาของพระชนนีสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระองค์ ศรรี บั ราชการในกรมมหาดเลก็ ไดเ้ ปน็ ท่หี มน่ื สรรเพธภกั ดี แลว้ เลอ่ื นเปน็ ออกญาศรวี รวงศ์ จางวางมหาดเลก็ เมอ่ื สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรมสวรรคตแลว้ จงึ ไดเ้ ลอ่ื นขน้ึ เปน็ ทส่ี มหุ พระกลาโหม แลว้ ตอ่ มาจงึ ไดป้ ราบดาภเิ ษก เป็นพระมหากษัตริย์ครองราชสมบัติสืบต่อไป (พระนามเดิมของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนี้ ฉบับ ภาษาฮอลนั ดา เขยี นวา่ Pra Ongh Srij ฉบบั ภาษาองั กฤษเขยี นเปน็ Pra Ongly ) เรื่องราวก่อนที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจะได้ราชสมบัติ จดหมายเหตุนี้ก็เขียนไว้โดยละเอียด พิสดาร ซึ่งเป็นเรื่องน่ารู้น่าฟังอยู่มาก แต่เป็นธรรมดาของการจดเรื่องราวอันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของ

๒๘๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ บา้ นเมอื ง คอื ผจู้ ดยอมเขยี นไปตามความรคู้ วามเหน็ ของตน ฉะนน้ั ขอ้ ความบางตอนจงึ ผดิ เพย้ี นจากทอ่ี น่ื ไปบ้าง ถึงกระนั้นก็ดจี ดหมายเหตุฉบับนี้ก็ยังเป็นหนังสือที่ช่วยให้เกิดแสงสว่างในการศึกษาประวัติศาสตร์ ในสมยั นน้ั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี เพราะเรอ่ื งนเ้ี ปน็ เรอ่ื งทผ่ี จู้ ดไดย้ นิ ดว้ ยหแู ละรดู้ ว้ ยตา ซง่ึ อาจเปน็ เรอ่ื งทใ่ี กลค้ วามจรงิ สว่ นมากกเ็ ปน็ ได้ ในการจัดพิมพ์ครั้งนี้ อยู่ในโครงการชำระและจัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือชุดประชุมพงศาวดารฉบับ กาญจนาภิเษก ได้ดำเนินการตรวจสอบชำระต้นฉบับประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๙ จดหมายเหตุวันวลิต (ฉบับสมบูรณ์) ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๐๗ รวมทั้งฉบับพิมพ์ครั้งต่อมา พ.ศ. ๒๕๐๘ - ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๑๖ กับต้นฉบับแปลภาษาอังกฤษ เรื่อง Historical Account of Siam in The 17th Century ฉบบั พ.ศ. ๒๕๐๒ และตน้ ฉบบั ภาษาฮอลนั ดา เรอ่ื ง Historiael Verhael der Sieckte Ende Doot Van Pra Interra Tsia 22en Coninck in Siam & Den Regherende Pra Onghsry 1640 ฉบบั พมิ พ์ ค.ศ.๑๙๕๖ และยงั ใชเ้ อกสารชน้ั ตน้ ชน้ั รองอน่ื ๆ อาทิ The Short History of The Kings of Siam ของเยเรเมยี ส ฟาน ฟลีต สังคีติยวงศ์ กฎหมายตามสามดวง ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อศึกษาเปรียบเทียบ ปรับปรุง แก้ไข เนื้อความ ให้ถูกต้องสมบูรณ์จากเดิมมากที่สุด โดยมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชำระและจัดพิมพ์หนังสือประชุม พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พลตรี ม.ร.ว.ศภุ วฒั ย์ เกษมศรี และนายธรี วตั ณ ปอ้ มเพชร ใหค้ ำ ปรกึ ษาแนะนำ การตรวจสอบชำระครั้งนี้ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงชื่อเรื่องจากเดิม คอื จดหมายเหตวุ นั วลติ เปน็ จดหมายเหตฟุ านฟลตี ใหถ้ กู ตอ้ งตรงตามฮอลนั ดา ในสว่ นของเชงิ อรรถ เดิมได้มีการคงไว้ตลอดเรื่องโดยใช้เครื่องหมายดอกจันกำกับ และได้มีการเพิ่มเติมเชิงอรรถสำหรับเนื้อหา ทต่ี อ้ งอธบิ ายเพม่ิ เตมิ โดยใชต้ วั เลขกำกบั

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๒๘๙ จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๑ (ฉบับสมบูรณ์) เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เกย่ี วกบั การประชวรและการสวรรคตของพระอนิ ทรราชา เจา้ ชา้ งเผอื ก (Pra-Inter-Va-Tsia-thiant- Siangh-pheevgk) พระมหากษตั รยิ ท์ รงธรรม เจา้ ชา้ งเผอื ก๒ และเกย่ี วกบั การจลาจลซง่ึ เกดิ ขน้ึ ในอาณาจกั ร สยาม๓ ตลอดมาจนถงึ การเถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ขิ องพระองคศ์ รี * ผซู้ ง่ึ ไดค้ รองราชยใ์ นเวลานน้ั และทรง พระนามว่า พระเจ้าปราสาททอง๔ (Pra tjawo Pra-sathongh Pra Tiaueo tsiangh Pceuek, Pra tjaeueo tsiangh thongh dengh Pra tjaeueo tsiangh Chobolt)๕ ที่เรียกกันว่า พระเจ้าบัลลังก์ทอง พระเจา้ ชา้ งเผอื กแดงหางขอด ๑ ตรวจสอบชำระกบั ต้นฉบับ ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๗๙ จดหมายเหตวุ นั วลติ (ฉบบั สมบรู ณ์ ) ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๐๗ และฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๘, ๒๕๑๒, ๒๕๑๓, ๒๕๑๕, ๒๕๑๖ กับต้นฉบับภาษาองั กฤษเรื่อง Historical Account of Siam in The 17 th Century ฉบับ พ.ศ.๒๕๐๒ ตลอดจนต้นฉบับภาษาฮอลนั ดา เรอ่ื ง Historiael Verhael der Sieckte Ende Doot Van Pra Interra Tsia 22en Coninck in Siam & Den Reaherende Pra Onghsry 1640 ฉบบั พมิ พ์ ค.ศ.๑๙๕๖ ต้งั แต่ฉบบั พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. ๒๕๐๗ - ฉบับพมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๑๖ ใช้ชือ่ วา่ \"จดหมายเหตวุ นั วลติ \" คำวา่ \"วนั วลติ \" นั้น เป็นชื่อเรียกที่ ออกเสยี งตามสำเนยี งคนไทยในสมยั กอ่ น ๒ หมายถงึ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ราชวงศ์สุโขทัย ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๕๓-๒๑๗๑ (ที่มา : คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) ๓ หมายถงึ กรงุ ศรอี ยธุ ยา ในขณะนั้น * พระนามเดมิ ของสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง ฉบบั ภาษาฮอลนั ดา เรยี กวา่ Pra Ongh Srij ฉบบั ภาษาองั กฤษและ ฉบบั แปลภาษาไทย ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๗๙ จดหมายเหตวุ นั วลติ ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ เปน็ ตน้ มา เขยี นเปน็ Pra Ongly หรือ พระองคไ์ ล เราเลยเขา้ ใจวา่ พระนามเดมิ คอื \"พระองคไ์ ล\" ๔ สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง กษตั รยิ ก์ รงุ ศรอี ยธุ ยา ราชวงศป์ ราสาททอง ทรงครองราชย์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๒- ๒๑๙๙ (ที่มา: คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย ) ๕ ตัวกำกับในวงเล็บนี้ เป็นภาษาฮอลันดา เมื่ออ่านตามตัวอักษรแล้วได้ความว่า พระเจ้าปราสาททอง พระเจ้าช้างเผือก พระเจ้าช้างทองแดง พระเจ้าช้างโคบุตร คำว่า โคบุตร เป็นชื่อของลักษณะช้างประเภทหนึ่ง ซึ่งมีผิวพรรณเหลืองดังหนังโค มีเสียงดุจโค ขนหางขน้ึ รอบดจุ หางโค งางอนน้อย คุม้ โทษอนั ตรายทัง้ ปวงได้ แตใ่ นตน้ ฉบบั ภาษาองั กฤษระบุชอื่ ในวงเลบ็ น้ีวา่ Pra-Tiavw, Pra Sathovgh, Pratiavw Tsangh, Pra Tiavw Isi angh Ihon-Dengh Pra Thiangh Choboa

๒๙๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ เขยี นขน้ึ ในปี ค.ศ. ๑๖๔๐* โดย เยเรมี ฟานฟลตี ๑ (Ieremie van Vliet) อุทิศแด่ อนั ตวั น์ วนั ดเี มน๒, ผสู้ ำเรจ็ ราชการรฐั ของสหรัฐเนเธอร์แลนด์ ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก เพื่อความแจ่มกระจ่างของเรื่องที่ข้าพเจ้า** จะกล่าวในหัวข้อว่าด้วยการจลาจลซึ่งได้เกิดขึ้นใน อาณาจักรสยามชั่วระยะเวลาหนึ่ง ควรบรรยายถึงสภาพความเป็นไปของอาณาจักร ประชาชนในชาติ ศาสนา และการปกครองบา้ นเมอื งตามนโยบายของอาณาจกั ร แตด่ ว้ ยเหตทุ ม่ี หี ลายคนไดเ้ ขยี นเรอ่ื งนไ้ี วแ้ ลว้ และใน ค.ศ.๑๖๓๘*** ระหวา่ งทข่ี า้ พเจา้ อยทู่ ป่ี ตั ตาเวยี ๓ กไ็ ดเ้ ขยี นเรอ่ื งราวทง้ั หมดไวต้ ามคำสง่ั ของนายฟลิ ปิ ป์ ลคู สั ๔ ผอู้ ำนวยการคนกอ่ น ดงั นน้ั ขา้ พเจา้ จงึ พอใจจะกลา่ วแตเ่ พยี งวา่ ในอาณาจกั รสยามมกี ฎหมายสำคญั บทหนง่ึ ซง่ึ บง่ วา่ พระอนชุ าธริ าชของพระเจา้ แผน่ ดนิ ทส่ี วรรคตตอ้ งไดค้ รองราชบลั ลงั ก์ และใหต้ ดั สทิ ธพ์ิ ระ โอรสออกไป การฝ่าฝืนกฎหมายนี้ได้เกิดขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ทรงธรรมเจ้าช้างเผือก พระเจ้าแผ่นดิน อาณาจักรสยาม ได้ทรงแต่งตั้งพระราชโอรสของพระองค์ให้สืบสันตติวงศ์ครองอาณาจักรแทนพระอนุชา ซง่ึ ควรจะไดร้ บั มงกฎุ ตอ่ ไป การเปลย่ี นแปลงนเ้ี ปน็ ไปโดยความพอพระทยั เปน็ สว่ นพระองคม์ ากกวา่ ทพ่ี ระองค์ จะทรงเหน็ แกบ่ า้ นเมอื ง * ตามฉบับแปลภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลจากฉบับภาษาฝรั่งเศส และฉบับแปลภาษาไทย คือ ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๙ จดหมายเหตวุ นั วลติ (ฉบบั สมบรู ณ์) ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ - ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๑๖ ลงศักราช ๑๖๔๗ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๙๐ แต่ฉบับ ภาษาฮอลนั ดา ลง ค.ศ. ๑๖๔๐ (พ.ศ. ๒๑๘๓ ) ๑ หรือ Jeremias van Vliet เป็นชาวฮอลนั ดา เกิดทเี่ มอื งซดี มั (Schiedam) ตอ่ มาไดเ้ ปน็ ผจู้ ดั การบริษัทอีสต์อินเดียของฮอลันดา ประจำก๒รุงศAรnีอtยonุธiยoา (ประวัติดูในคำชี้แจงประจำเรื่อง) Van Diemen ** ขา้ พเจา้ ในทน่ี ค้ี อื ฟานฟลตี หรือ วนั วลติ ผเู้ ขยี นจดหมายเหตนุ ้ี *** พ.ศ. ๒๑๘๑ ๓ คอื เมอื งจารก์ าตา ประเทศอนิ โดนีเซยี ๔ Philips Lucasz เป็นผอู้ ำนวยการใหญ่บรษิ ัทอสี ตอ์ ินเดียตะวนั ออกของฮอลันดา ประจำกรงุ ปตั ตาเวยี ประเทศชวา (ปัจจุบันคือ อินโดนีเซีย)

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๒๙๑ การเปลี่ยนแปลงบางอย่างในพระอนามัยของพระเจ้าแผ่นดิน เริ่มสังเกตได้จากการเปลี่ยนในพระ อารมณท์ เ่ี หน็ ไดช้ ดั แตก่ อ่ นพระองคม์ พี ระอารมณด์ แี ละทรงเบกิ บานอยใู่ นหมขู่ า้ ราชบรพิ าร ทรงโอบออ้ มอารี ตอ่ ไพรฟ่ า้ ขา้ แผน่ ดนิ และเหลา่ มหาดเลก็ ความเกรย้ี วกราดเกดิ ขน้ึ ตอนปลายปเี ถาะ* ขา้ งแรม เดอื น ๑๑ พระ อารมณฉ์ นุ เฉยี วของพระองคร์ นุ แรงเหลอื จะทนทาน จนกระทง่ั มขุ อำมาตยแ์ ละบรรดาขนุ นางแหง่ ราชสำนกั ไม่ กลา้ เขา้ เฝา้ เพอ่ื กราบทลู ขอ้ ราชการสำคญั และจำเปน็ แกบ่ า้ นเมอื ง ครน้ั เรม่ิ เดอื น ๑๒ และปลายเดอื นของปนี น้ั เอง พระเจา้ แผน่ ดนิ มพี ระอาการออ่ นกำลงั พระอาการประชวรของพระองคเ์ ปน็ ทป่ี ระจกั ษช์ ดั วา่ ไมม่ หี วงั หายได้ ฉะนน้ั พระองคจ์ งึ ทรงแสดงพระราชประสงคท์ จ่ี ะสงวนมงกฎุ ไวใ้ นวงั หลวง เพอ่ื พระราชโอรสของ พระองคจ์ ะไดส้ บื ราชสมบตั แิ ละเพอ่ื กดี กนั พระอนชุ าผทู้ รงเปน็ รชั ทายาททถ่ี กู ตอ้ งตามกฎหมาย เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ไป ตามความมงุ่ หมายน้ี พระองคจ์ งึ ทรงปรกึ ษาหารอื ออกญาศรวี รวงศ์ ** เสนาบดผี นู้ ต้ี ง้ั ใจทจ่ี ะชว่ งชงิ ราชสมบตั ิ มาเปน็ ของตนเองใหไ้ ด้ โดยแยง่ จากเจา้ ชายผเู้ ยาวพ์ ระชนั ษา ซง่ึ มพี ระชนมเ์ พยี ง ๑๕ พรรษา เจา้ ชายพระองค์ นท้ี รงมอี ปุ นสิ ยั ตำ่ ทรามมาก จนออกญาศรวี รวงศ์ ๑มน่ั ใจวา่ พระองคจ์ ะตอ้ งเปน็ ทร่ี งั เกยี จของไพรฟ่ า้ ขา้ แผน่ ดนิ ถงึ กระนน้ั เพอ่ื ใหป้ รากฏหลกั ฐานความยตุ ธิ รรมแกก่ ารสบื ราชสมบตั ใิ หมน่ ้ี ดว้ ยเหตทุ เ่ี ปน็ การฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย สำคญั ของบา้ นเมอื ง พระเจา้ แผน่ ดนิ และออกญาศรวี รวงศจ์ งึ ตอ้ งการหยง่ั ความคดิ ของบรรดาเสวกามาตย์ และได้เรียกประชุมขุนนางโดยด่วนเพื่อขอความเห็น แต่ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอย่างเต็มปาก บางคนก็กล่าว ออ้ มแอม้ ๆ สว่ นคนอน่ื ๆ ไมพ่ ดู อะไรเลย จนกระทง่ั เสนาบดเี จาะจงตวั บงั คบั ใหพ้ ดู ขนุ นางทง้ั หลายจงึ กลา่ ววา่ พวกตนเชอ่ื วา่ เจา้ ชายทรงเจรญิ วยั พอสมควรจะครองบา้ นเมอื งและสบื ราชสมบตั ไิ ด้ และกลา่ ววา่ พระอนชุ าธริ าช ของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งมีพระโอรสเช่นกัน ก็สามารถให้สืบตำแหน่งในวังหน้าได้ ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินคงจะ พระราช ทานโอกาสให้ในคราวนี้ แต่คนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งออกญากลาโหม (Oya Calahom) ออกญา Kheeu (Kien)๒ ออกพระท้ายน้ำ (Opera Taynam) ออกพระศรีเสาวราช (Opera Seray Anerat ) ออกพระจุฬา (Opera Tiula) และออกหลวงธรรมไตรโลก๓ (Oloangh Thamtraylocq) * ตรงกับ พ.ศ.๒๑๗๐ ** Oya Siworrawongh ๑ ตอ่ มาไดเ้ สดจ็ ขน้ึ ครองราชยเ์ ปน็ กษตั รยิ แ์ หง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา ทรงพระนามวา่ สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง ๒ คำนย้ี งั เปน็ ทส่ี งสยั และยงั หาขอ้ สรปุ ไมไ่ ด้ แตส่ นั นษิ ฐานวา่ นา่ จะเปน็ ออกญาเกยี น เจา้ กรมดง้ั ทองซา้ ย เมอ่ื พจิ ารณาจากพระไอยการ ตำแหนง่ นาทหารหวั เมอื ง หรืออาจจะเป็น ออกญาขา้ ว (ออกญาพลเทพ เสนาบดกี รมนา) ๓ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์และ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ไดท้ รง วนิ จิ ฉยั ถงึ คำวา่ \"ออก\" ซึ่งใช้นำหน้ายศ เห็นจะมาทางเขมร นา่ สงสัยวา่ ออกพระ ออกหลวง ออกขุน จะเป็นยศใหญ่กว่า พระ หลวง ขุน ดว้ ยใชป้ ะปนอยใู่ นสมยั อนั เดยี วกนั แตค่ ำ ออกญา นน้ั ประหลาดกวา่ เพอ่ื น ทค่ี ำ ออก เขา้ ไปแทน \"พ\" หรอื \"พระ\" เสยี ทเี ดยี ว คดั เอาคำ \"พ\" หรอื \"พระ\" กระเดน็ หายไป (สาสน์ สมเดจ็ ภาค ๒๓)

๒๙๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ มีความเห็นว่าพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินทรงมีสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์ และคนเหล่านี้กล้ากล่าว ออกมาวา่ ไมค่ วรฝา่ ฝนื กฎหมายดง้ั เดมิ ของบา้ นเมอื งดว้ ยการกระทำเยย่ี งน้ี ขนุ นาง คนอน่ื ๆ อา้ งวา่ แลว้ แต่ พระราชวนิ จิ ฉยั โดยกลา่ ววา่ ทง้ั สองพระองคท์ รงมคี ณุ สมบตั คิ รบถว้ นเหมาะสม ทจ่ี ะเปน็ กษตั รยิ ท์ ด่ี ที ง้ั นน้ั และพวกตนจะยอมจงรักภักดีต่อกษัตริย์ ไม่ว่าองค์ใดที่พระเจ้าแผ่นดินทรงแต่งตั้งให้สืบราชสมบัติ ตอ่ จากพระองค์ พระเจ้าแผ่นดินทรงคล้อยตามคำแนะนำของออกญาศรีวรวงศ์โดยมิได้พะวงถึงกฎหมายบ้านเมือง ทรงเลอื กพระราชโอรสองคใ์ หญใ่ หเ้ ปน็ รชั ทายาทครองราชบลั ลงั ก์ และในชว่ั โมงทจ่ี ะสวรรคต มรี บั สง่ั ใหอ้ อกญา ศรวี รวงศ์ แจง้ ใหบ้ รรดาเสนาบดที ราบถงึ พระราชประสงคค์ รง้ั สดุ ทา้ ยของพระองคโ์ ดยทนั ที ภายหลงั ทเ่ี สดจ็ สวรรคตแลว้ ทรงขอใหเ้ สนาบดผี นู้ ช้ี ว่ ยเหลอื พระราชโอรสใหไ้ ดค้ รองราชสมบตั ิ ขอใหด้ แู ลการกระทำของ เจา้ ชาย และขอใหเ้ อาใจใสร่ ะมดั ระวงั เพอ่ื ความสงบสขุ ของอาณาจกั รดว้ ย ในระหวา่ งทพ่ี ระเจา้ แผน่ ดนิ ทรง พระประชวร ออกญาศรวี รวงศส์ ง่ั ใหก้ วดขนั ระวงั ทางเขา้ ออกพระราชวงั ทกุ ดา้ นโดยเครง่ ครดั ซง่ึ ไมม่ ผี ใู้ ดสามารถ เขา้ ไปในพระราชวงั ไดโ้ ดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตจากตน ไมม่ ขี นุ นางแมแ้ ตค่ นเดยี วทจ่ี ะสามารถเขา้ เฝา้ ดพู ระอาการ ของพระเจา้ แผน่ ดนิ ได้ ในระหวา่ งเวลานน้ั เสนาบดผี นู้ ค้ี นเดยี วเปน็ ผรู้ บั สนองคำสง่ั และพระราชโองการ แลว้ นำมาแจ้งต่อที่ประชุมเสนาบดีและที่ประชุมขุนนาง เพื่อที่จะพรางพระอนุชาธิราช๑ และเหล่าขุนนางซึ่ง ปรารถนาให้การเป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง ออกญาศรีวรวงศ์ได้แสร้งกระจายข่าวว่า พระเจ้าอยู่หัวมี พระอาการดขี น้ึ และมเี หตผุ ลควรหวงั ไดว้ า่ การประชวรของพระองคไ์ มน่ า่ วติ กอนั ใด พระเจ้าแผ่นดินมีพระทัยขุ่นเคืองขุนนางบางคนที่คัดค้านเจตจำนงของพระองค์ และยิ่งกว่านั้น ออกญาศรวี รวงศไ์ ดก้ ราบทลู เตอื นวา่ ออกญากลาโหม แมท่ พั ชา้ งและแมท่ พั ทหารราบของอาณาจกั รสนบั สนนุ พระอนชุ าธริ าช ฉะนน้ั เพอ่ื ขจดั อปุ สรรคทง้ั ปวงซง่ึ อาจกดี ขวางการสบื ราชสมบตั ขิ องพระราชโอรส พระองค์ จึงทรงปรารถนาให้ออกญาศรีวรวงศร์ ่วมมือเกลีย้ กล่อมออกญาเสนาภิมุข (Oya Senaphimoc)๒ แม่กอง อาสาญป่ี นุ่ ซง่ึ ไดร้ บั แตง่ ตง้ั จากพระเจา้ แผน่ ดนิ องคก์ อ่ น ใหค้ มุ ทหารจำนวน ๖๐๐ คน ออกญาศรวี รวงศ์ ไดท้ ำการเกลย้ี กลอ่ มจนออกญาเสนาภมิ ขุ ตกลงใหส้ ญั ญา และใหส้ ตั ยส์ าบานวา่ จะชว่ ยเหลอื ใหพ้ ระราชโอรส ได้ครองราชบัลลังก์ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นความภักดีของตน ออกญาเสนาภิมุขจึงได้ลอบนำทหารญี่ปุ่น ๑ ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๙ จดหมายเหตุวันวลิต (ฉบับสมบูรณ์) ที่พิมพ์ใน พ.ศ. ๒๕๐๗ และฉบับที่พิมพ์ต่อ ๆ มา ใช้ว่า \"พระมหาอุปราชพระอนุชา\" หรือ \"พระมหาอุปราช\" เมื่อพิจารณาต้นฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งใช้คำว่า The Prince, his brother แล้ว ไมม่ คี ำใดหมายถงึ หรอื ระบวุ า่ พระองคเ์ ปน็ พระมหาอปุ ราช ดงั นน้ั จงึ ตดั คำวา่ \"พระมหาอปุ ราช\" แลว้ เปลย่ี นเปน็ \" พระอนชุ าธริ าช\" แทน ๒ เปน็ แม่กองอาสาชาวญี่ปุ่น มีชื่อว่า ยามาดา นากามาซา

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๒๙๓ จำนวนมากเข้าไปในพระราชวังและบริเวณพระราชฐาน ส่วนออกญากลาโหมนั้นเกรงการหายประชวรของ พระเจา้ อยหู่ วั มากกวา่ การสวรรคต ทง้ั น้ี ดว้ ยเหตทุ ต่ี นไดเ้ สนอคดั คา้ นการสบื ราชสมบตั ขิ องพระราชโอรส จงึ พยายามหวา่ นลอ้ มออกญาเสนาภมิ ขุ และพรรคพวกใหด้ ำเนนิ การรว่ มมอื เพอ่ื พระอนชุ าธริ าช๑ จะไดข้ น้ึ ครอง ราชบลั ลงั ก์ แต่ขนุ นางญป่ี นุ่ ไดร้ บั คำออกญาศรวี รวงศไ์ วแ้ ลว้ จงึ ใชป้ ฏภิ าณหลกี เลย่ี งไมย่ อมใหส้ ญั ญาดว้ ย แตถ่ งึ กระนน้ั กม็ ไิ ดต้ ดั ความหวงั ของผทู้ ไ่ี ดข้ อรอ้ งใหต้ นเขา้ เปน็ พวกเสยี ทเี ดยี ว ยง่ิ กวา่ นน้ั ออกญาศรวี รวงศ์ ยังไม่มั่นใจในการให้ความคุ้มครองของทหารญี่ปุ่นเหล่านี้ จึงได้ลอบนำทหารเข้ามาไว้ในพระราชวัง ๔,๐๐๐ คนและจดั ทหารอน่ื ๆ อกี ๑๐,๐๐๐ คน ใหม้ าตง้ั อยใู่ นบรเิ วณตวั เมอื ง เขาไดแ้ ถลงวา่ พระเจา้ แผ่นดินมีพระราชประสงค์ใช้ทหารในการเสด็จประพาส ซึ่งพระองค์ทรงตั้งพระทัยจะเสด็จในทันทีที่ พระองคห์ ายประชวร เรอ่ื งนอ้ี อกญาศรวี รวงศส์ รา้ งขา่ วขน้ึ เพอ่ื ลวงคนอน่ื ๆ ออกญาศรวี รวงศม์ เี วลาพอในการเตรยี มงานทง้ั ปวงและจดั การปอ้ งกนั ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งกอ่ นพระเจา้ แผน่ ดนิ สวรรคต พระองคเ์ สดจ็ สวรรคตในวนั ท่ี ๒๒ เดอื นอา้ ย ปมี ะโรง* ไดย้ งั ความวปิ โยคอยา่ งใหญห่ ลวงแก่ บรรดาไพรฟ่ า้ ประชาชน ซง่ึ ไดอ้ ยเู่ ยน็ เปน็ สขุ มาเปน็ เวลานานในระหวา่ งรชั กาลของพระองค์ พระเจา้ อยหู่ วั ใน พระโกศมพี ระชนมายไุ ด้ ๓๘ พรรษา** นบั วา่ พระองคส์ วรรคตในวยั ทย่ี งั แขง็ แรง หลงั จากทไ่ี ดค้ รองราชย์ มาเป็นเวลา ๑๙ ปี๒ ด้วยความสันติสุขเกือบตลอดรัชกาล พระองค์มีมเหสีหลายองค์ มีพระราชโอรส ๙ องค์ พระราชธดิ า ๘ องค์ สว่ นมากยงั ทรงพระเยาวอ์ ยใู่ นขณะทพ่ี ระราชบดิ าสวรรคต พระองคม์ พี ระ อธั ยาศยั ดแี ละโอบออ้ มอารี ทรงเปน็ นกั ปราชญม์ ใิ ชเ่ ปน็ นกั รบ แตท่ รงเลอ่ื มใสในพระศาสนา ทรงบำเพญ็ พระราชกศุ ลเปน็ ลำดบั มาอยา่ งมากมายพอ ๆ กบั ทท่ี รงเอาพระทยั ใสใ่ นพระธรรมวนิ ยั และกฎหมายบา้ นเมอื ง พระองค์ทรงบริจาคพระราชทรัพย์แด่พระภิกษุสงฆ์และยาจกผู้ยากไร้ ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดวา *๑ เปลี่ยนจาก \"พระมหาอปุ ราช\" เป็น \"พระอนชุ าธริ าช\" เช่นเดียวกบั เชิงอรรถที่ ๑ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๗๑ ** สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรมประสูติ พ.ศ. ๒๑๓๔ เสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๖๓ เสด็จสวรรคต พ.ศ. ๒๑๗๑ ๒ ในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๗๙ จดหมายเหตวุ นั วลติ (ฉบบั สมบรู ณ)์ ทพ่ี มิ พใ์ นพ.ศ. ๒๕๐๗ ทแ่ี ปลตามคำแปลจากฉบบั ภาษาองั กฤษ และแปลจากภาษาฝรั่งเศสอีกต่อหนึ่ง และฉบับอื่น ที่พิมพ์ในปีต่อ ๆ มา ระบุว่าได้ครองราชย์เป็นเวลา ๙ ปี แต่ตามต้นฉบับเดิม ภาษาฮอลนั ดามขี อ้ ความวา่ \"หลงั จากทไ่ี ดค้ รองราชยม์ าเปน็ เวลาสบิ เกา้ ป\"ี เขยี นเปน็ ตวั หนงั สอื ไมใ่ ชต่ วั เลข รวมทง้ั หลกั ฐานจาก สงั คตี ยิ วงศ์ ซึ่งสมเด็จพระวันรัตน วัดพระเชตุพนในรัชกาลที่ ๑ แต่งภาษามคธและแปลเป็นภาษาไทยโดยพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาลลักษมณ) เปรียญ ตลอดจนเรื่อง The Short History of The Kings of Siam แต่งโดย Jeremias van Vliet ระบุตรงกันว่าทรงครองราชย์เป็นเวลา ๑๙ ปี ถ้าเราจะเชื่อตามหลักฐานนี้ปีเริ่มครองราชย์จะเปลี่ยนไป โดยไปกระทบจำนวนปีครองราชย์ของสมเด็จพระเอกาทศรถด้วย (ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช) นอกจากนี้คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย สำนักนายกรัฐมนตรี ได้ประชุมเพื่อพิจารณา ข้อเสนอแก้ไขปีรัชกาล ตั้งแต่สมเด็จพระเอกาทศรถ จนถึง สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ตามที่ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช ได้นำเสนอนั้น และมมี ตใิ หป้ รบั แก้ โดยเฉพาะปเี สวยราชยข์ องสมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม คอื พ.ศ. ๒๑๕๓ และปสี วรรคต คอื พ.ศ. ๒๑๗๑

๒๙๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ อารามพระเจดีย์และพระบรมมหาราชวัง กับบรรดาสิ่งประดับสวยงามของพระนคร พระองค์ทรงเบิกบาน พระทัยเมื่อทรงทราบว่า มุขอำมาตย์มั่งคั่งร่ำรวย ทรงพอพระทัยที่ได้เห็นบุคคลเหล่านั้นแต่งกายงามสง่า เคหสถานบ้านเรือนโอ่โถงเรียบร้อย โปรดให้สร้างเรือนหลวงขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อให้บรรดาข้าราชสำนัก ได้อยู่อาศัย พระองค์ทรงรักความยุติธรรม รักความเที่ยงตรงและโปรดปรานคนดีทั้งปวง และทรงเอา พระทัยใส่ดูแลไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์อย่างเต็มที่ ตลอดไปจนถึงชาวต่างประเทศซึ่งเข้ามาพำนัก อยู่ในพระราชอาณาจักร ดังนั้นพระองค์จึงได้รับสมญาว่าเป็นพระโพธิสัตว์ และชาวประเทศใกล้เคียง ถวายความเคารพเป็นอย่างสูง อริราชศัตรูไม่หาญกล้ามารุกรานได้ เหตุนี้จึงไม่แปลกประหลาดในเมื่อ พระองคท์ รงไดร้ บั ยกยอ่ งวา่ เปน็ พระมหากษตั รยิ ท์ รงธรรม ในทนั ทที พ่ี ระเจา้ อยหู่ วั สวรรคต ออกญาศรวี รวงศม์ คี ำสง่ั ใหข้ นุ นางทง้ั ปวงมาทพ่ี ระราชวงั ขนุ นาง เหลา่ นน้ั เชอ่ื วา่ เปน็ รบั สง่ั ของพระเจา้ อยหู่ วั ดว้ ยปรากฏวา่ ไมม่ ใี ครสกั คนเดยี วทไ่ี มไ่ ดม้ า ออกญาศรวี รวงศบ์ อก ขนุ นางทง้ั หลายวา่ พระเจา้ แผน่ ดนิ เพง่ิ สวรรคตกอ่ นหนา้ นส้ี กั ชว่ั โมงหนง่ึ แตก่ ระนน้ั ขนุ นางสว่ นมากกเ็ ชอ่ื วา่ พระองคส์ วรรคตนานแลว้ แตอ่ อกญาศรวี รวงศป์ ดิ บงั ไว้ และเสนาบดผี นู้ ก้ี ลา่ ววา่ กอ่ นสวรรคต พระเจา้ อยหู่ วั ไดแ้ สดงความตง้ั พระทยั วา่ พระราชโอรสองคใ์ หญส่ มควรไดส้ บื ราชสมบตั ิ นอกจากนน้ั พระองคย์ งั ทรงตอ้ งการ ใหอ้ อกญาศรวี รวงศช์ ว่ ยเหลอื พระราชโอรส และแนะนำในการบรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื ง แลว้ พระราชโอรสเสดจ็ ขน้ึ ประทบั เหนอื ราชบลั ลงั ก์ ในฐานะกษตั รยิ แ์ ละผรู้ บั ราชสมบตั ติ ามกฎหมาย ตอ่ หนา้ เหลา่ เสวกามาตยท์ ง้ั ปวง ออกญาศรวี รวงศไ์ ดร้ บั รองใหเ้ ปน็ ไปตามพระราชประสงคข์ องพระเจา้ อยหู่ วั ในพระโกศ๑ ดว้ ยเหตนุ น้ั มขุ มนตรี ทง้ั มวลจงึ จำตอ้ งยอมรบั พระองคเ์ ปน็ กษตั รยิ ์ ซง่ึ บางคนกเ็ ตม็ ใจ บางคนกค็ ลอ้ ยตามไป และสว่ นคนอน่ื ๆ นน้ั ยอมรบั ดว้ ยความเกรงกลวั ศตั รแู ละกองทหารซง่ึ ทา่ นเสนาบดไี ดน้ ำเขา้ มาในพระราชวงั ขุนนางที่แสดงออกนอกหน้าว่าฝักใฝ่อยู่กับพระอนุชาธิราชของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อน หรือ ผทู้ ไ่ี มป่ ระกาศออกมาอยา่ งชดั เจนวา่ เปน็ พวกใด เมอ่ื คราวทพ่ี ระเจา้ อยหู่ วั ในพระโกศทรงประสงคจ์ ะทราบ ความรู้สึกในเรื่องนี้ ต่างถูกจับกุมทันที และถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา บ้านเรือนตลอดจนทรัพย์ สมบตั ถิ กู ปลน้ สะดม ขา้ ทาสบรวิ ารถกู ครา่ เอาไปสน้ิ ในเวลาเดยี วกนั พระเจา้ แผน่ ดนิ องคใ์ หมท่ รงรบั สง่ั ใหน้ ำ นกั โทษตวั การสำคญั ทง้ั สามออกมาจากคกุ และใหส้ บั ออกเปน็ ทอ่ น ๆ ทท่ี า่ ชา้ ง (Thacham หรอื Sachem) คอื ทวารหนง่ึ ของพระราชวงั ในฐานะทเ่ี ปน็ ผรู้ บกวนความสงบสขุ ของประชาชนและในฐานะทร่ี ว่ มกนั ตอ่ ตา้ น ผู้สืบราชสมบัติที่แท้จริงและถูกต้องตามกฎหมาย ศีรษะและร่างกายส่วนอื่น ๆ ของคนเหล่านั้นถูกเสียบ ๑ หมายถงึ สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๒๙๕ ประจานไวต้ ามทส่ี งู ในเมอื งหลายแหง่ เพอ่ื เปน็ เครอ่ื งเตอื นใจคนทง้ั หลาย ซง่ึ อาจตอ้ งการขดั ขวางตอ่ ตา้ น การสืบราชสมบัตินอกกฎหมายนี้ ส่วนทรัพย์สมบัติของคนเหล่านั้นทั้งหมดถูกริบราชบาตรและพระเจ้า แผน่ ดนิ ไดพ้ ระราชทานทรพั ยเ์ หลา่ นเ้ี ฉลย่ี กนั ไปในบรรดาคนโปรดของพระองค์ ขุนนางทั้งสามคนซึ่งถูกประหารชีวิต เป็นผู้ที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุด มีตำแหน่งราชการสูงที่สุดใน อาณาจักร และเป็นที่เคารพอย่างสูงของประชาชน ทั้งเป็นที่โปรดปรานยิ่งนักของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาล กอ่ น คนหนง่ึ คอื ออกญากลาโหมแมท่ พั ชา้ ง ผเู้ ปน็ คนหนง่ึ ในบรรดาขนุ นางสำคญั ๖ คน และรำ่ รวยทส่ี ดุ ในประเทศ มขี า้ ทาสมากกวา่ ๒,๐๐๐ คน ชา้ ง ๒๐๐ เชอื ก และมา้ งาม ๆ อกี เปน็ จำนวนมาก คนทส่ี องคอื ออกพระทา้ ยนำ้ แมท่ พั มา้ เปน็ ออกญาพระคลงั มากอ่ นเปน็ เวลา ๕ ปี กบั ๒ เดอื น ในขณะทอ่ี ยใู่ นตำแหนง่ นน้ั ได้รวบรวมทรัพย์สินเงินทองไว้มากมาย พระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนทรงยกย่องและโปรดปรานเป็นพิเศษ เพราะเปน็ ผสู้ ามารถในราชการและชา่ งเจรจา คนทส่ี ามคอื ออกหลวงธรรมไตรโลก เจา้ เมอื งตะนาวศรี เป็นขุนนางสูงอายุ และได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงจากบรรดาขุนนาง เพราะความจงเกลียดจงชัง ของออกญาศรวี รวงศ์ ขนุ นางเหลา่ นจ้ี งึ ตอ้ งถกู ลงทณั ฑแ์ ละสน้ิ ชวี ติ อยา่ งนา่ เวทนายง่ิ โดยไมส่ มควรเลย ขนุ นางอกี ๒ คนถกู นำออกมาจากคกุ พาไปยงั ประตพู ระราชวงั เพอ่ื ประหารชวี ติ ขนุ นางสองคนน้ี คือ ออกพระศรีเสาวราช และออกพระจุฬา ทั้งสองถูกมัดมือไพล่หลัง ออกญาเสนาภิมุข ไดช้ ว่ ยชวี ติ ไวโ้ ดยเอาตวั คลอ่ มบงั ขนุ นางทง้ั สอง ฉะนน้ั ดาบเพชฌฆาตจงึ ไมอ่ าจฟนั ตวั นกั โทษได้ ในขณะ เดียวกันออกญาเสนาภิมุขได้ยื่นอุทธรณ์ไปยังออกญาศรีวรวงศ์ ขอให้อภัยโทษแก่ขุนนางทั้งสองนี้ด้วยการ ยื่นมือเข้าไปขอร้องอย่างอาจหาญ ประกอบกับบรรดาพระภิกษุสงฆ์ได้ช่วยกันอ้อนวอน ขุนนางทั้งสองจึง รอดชวี ติ แตต่ อ้ งถกู ถอดออกจากตำแหนง่ ทรพั ยส์ มบตั ถิ กู รบิ ถกู ถอดยศถาบรรดาศกั ด์ิ และหมดสน้ิ อิสรภาพ เขาถูกขังอยู่ในคุกมืดตั้งแต่นั้นมา จนกระทั่งถึงคราวปฏิวัติการปกครอง บางคนถูกลงโทษ บา้ งกถ็ กู เนรเทศ และบางคนไดร้ บั การปลดปลอ่ ยเปน็ อสิ ระ สว่ นคนทไ่ี มแ่ สดงตนโดยเปดิ เผยในเรอ่ื งการสบื ราชสมบัติ และคนที่พูดกำกวมเป็นสองนัย กับผู้ที่อ้างว่าแล้วแต่พระเจ้าแผ่นดินจะทรงพอพระทัยแต่งตั้ง องคใ์ ดขน้ึ ครองบลั ลงั กน์ น้ั ไดถ้ กู จำคกุ หมดและถกู รบิ ทรพั ยส์ มบตั ิ ตอ่ มาเมอ่ื พระเจา้ แผน่ ดนิ มพี ระทยั สงสาร จงึ โปรดใหป้ ลอ่ ยตวั ไป วนั รงุ่ ขน้ึ ภายหลงั ทพ่ี ระเจา้ แผน่ ดนิ สวรรคตแลว้ พระโอรสาธริ าชผสู้ บื ราชสมบตั มิ พี ระราชโองการ ให้บรรดาเสวกามาตย์และเจ้าเมืองน้อยใหญ่ ตลอดจนมหาดเล็กของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อนมาเฝ้ายัง พระราชวัง ให้ถวายบังคมทั้งให้ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาถวายสัตย์สาบาน ทรงเฉลิมพระนามพระองค์

๒๙๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ เองวา่ พระเชษฐราชา* (Thit Terrastia) พระเจา้ อยหู่ วั องคน์ ้ี ๑ ทรงสบื ราชสมบตั โิ ดยผดิ ระเบยี บประเพณี และขัดต่อกฎมนเทียรบาล กล่าวได้ว่า เสียเลือดเนื้อแต่น้อยและไม่ปรากฏว่ามีการต้านทานขัดขวาง พระองค์ทรงขึ้นเสวยราชย์แล้วเป็นเวลาหลายวัน จึงได้ให้อิสรภาพและปลดปล่อยขุนนางจำนวนมาก ซง่ึ ถกู จำคกุ หรอื ถกู เนรเทศ นกั โทษเหลา่ นถ้ี กู จองจำพนั ธนาการไวต้ ง้ั แตร่ ชั กาลของพระราชบดิ าของพระองค์ ทง้ั นเ้ี ปน็ การเฉลมิ พระเกยี รตใิ นการขน้ึ ครองราชย์ เยาวกษตั รยิ ไ์ ดส้ วมมงกฎุ และเสดจ็ ขน้ึ สรู่ าชบลั ลงั ก์ ออกญาศรวี รวงศ์ไดแ้ นะนำใหพ้ ระองคแ์ ตง่ ตง้ั ผทู้ ่ี มคี วามดคี วามชอบ และเปน็ ผมู้ คี ณุ สมบตั เิ ปน็ ทป่ี ระจกั ษ์ และเปน็ ผทู้ ไ่ี ดร้ บั ความเคารพอยา่ งสงู ของประชาชน เข้าในตำแหน่งที่ว่างของขุนนางซึ่งถูกประหารชีวิตไป ออกญาศรีวรวงศ์ปรารถนาให้พระเจ้าแผ่นดินทรง พระเมตตาตอ่ เสนาอำมาตยท์ ม่ี คี วามดคี วามชอบเปน็ พเิ ศษ หรอื ผทู้ ป่ี ฏบิ ตั หิ นา้ ทถ่ี วายความจงรกั ภกั ดโี ดย น้ำใสใจจริง ด้วยการพระราชทานยศศักดิ์ให้เหมาะสมกับฐานะ แต่เหนืออื่นใดทั้งสิ้น ออกญาศรีวรวงศ์ ตอ้ งการใหพ้ ระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงพนิ จิ พเิ คราะหโ์ ดยถถ่ี ว้ นถงึ อปุ นสิ ยั ความจงรกั ภกั ดี คณุ สมบตั ิ ชวี ติ และ การกระทำทแ่ี ลว้ ๆ มาของตวั ออกญาศรวี รวงศ์ ซง่ึ จะไดร้ บั เกยี รตดิ ำรงตำแหนง่ ออกญากลาโหมเพราะวา่ ได้ มอบหมายความสำคญั และอำนาจใหใ้ นตำแหนง่ นอ้ี ยแู่ ลว้ เนอ่ื งจากในระยะนค้ี วรจะมคี วามหวน่ั วติ กในความ ไมซ่ อ่ื สตั ยข์ องฝา่ ยเสนาบดใี นการแตง่ ตง้ั ทง้ั ปวง โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในกรณนี ย้ี อ่ มเปน็ อนั ตรายรา้ ยแรงทส่ี ดุ ดว้ ยตำแหนง่ เสนาบดกี ลาโหมนน้ั ควบคมุ ทหารทง้ั กองทพั ออกญาศรวี รวงศก์ ราบทลู ใหท้ รงทราบอยา่ งชดั แจง้ วา่ แมต้ ำแหนง่ ทเ่ี ขาไดร้ บั แลว้ นอ้ี ำนวยประโยชนแ์ กเ่ ขามากกต็ าม เขากจ็ ะไมป่ ฏเิ สธหากจะตอ้ งรบั ตำแหนง่ ท่ี ดอ้ ยกวา่ ทง้ั นเ้ี พอ่ื ความปลอดภยั ทม่ี น่ั คงกวา่ ขององคพ์ ระมหากษตั รยิ ์ และเพอ่ื ความยนื ยงของอาณาจกั ร พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงคลอ้ ยตามคำแนะนำน้ี และพระราชทานทรพั ยส์ มบตั บิ รรดาทร่ี บิ เอามาจากขนุ นางทถ่ี กู ลงอาญา ถูกเนรเทศ หรือถูกถอด ให้แก่ขุนนางซึ่งออกญาศรีวรวงศ์เสนอชื่อ ซึ่งส่วนมากนั้นเป็นผู้ที่ขึ้น อยกู่ บั ออกญาศรวี รวงศเ์ อง มากกวา่ ทข่ี น้ึ อยกู่ บั พระเจา้ อยหู่ วั ทรพั ยส์ นิ สว่ นใหญแ่ ละตำแหนง่ ออกญากลาโหม๒ นั้น พระราชทานแก่เสนาบดีผู้นี้ ส่วนตำแหน่งออกญาศรีวรวงศ์ได้พระราชทานให้แก่น้องชายของ ออกญากลาโหมคนใหม่ ดว้ ยเหตนุ เ้ี ขาจงึ กลายเปน็ แมท่ พั ใหญ่ นอ้ งชายของเขาเปน็ เสนาบดจี ตสุ ดมภว์ งั * คือสมเด็จพระเชษฐาธิราช ๑ ตน้ ฉบบั ภาษาฮอลนั ดา เขยี นวา่ Thit Terrae Tsiae หรือ ในหนังสือ The Short History of The Kings of Siam แต่งโดย Jeremias van Vliet ออกพระนามว่า Phra-ong Chettharacha (ช่วงที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ) ส่วนในสังคีติยวงศ์ ระบุพระนามว่า \"พระเชษฐราชา\" ซง่ึ อา่ นออกเสยี งไดต้ รงกนั หรอื สมเดจ็ พระเชษฐาธริ าช กษตั รยิ ก์ รงุ ศรอี ยธุ ยา ราชวงศส์ โุ ขทยั ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๑ - ๒๑๗๒ (ที่มา : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๒ คือ ตำแหนง่ สมหุ กลาโหม

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๒๙๗ และหัวหน้าที่ประชุมขุนนาง คนทั้งสองกราบทูลรับรองพระเจ้าแผ่นดินว่า พระองค์ไม่มีสิ่งใดอีกแล้ว ทจ่ี ะตอ้ งทรงเกรง ภายหลงั ทไ่ี ดพ้ ระราชทานตำแหนง่ สำคญั สองตำแหนง่ นใ้ี หอ้ ยใู่ นมอื ของเขาทง้ั สองคนพน่ี อ้ ง ดเู หมอื นพระมหากษตั รยิ แ์ ละออกญากลาโหมยงั ไมอ่ าจวางใจในความปลอดภยั ได้ ในเมอ่ื พระปติ ลุ า* ของพระเจา้ อยหู่ วั ๑ยงั ทรงพระชนมชพี อยู่ พระองคท์ รงกอ่ ใหเ้ กดิ ความวติ ก เพราะทรงปฏเิ สธไมย่ อมเสดจ็ มาวงั หลวง แมจ้ ะไดเ้ ชญิ เสดจ็ หลายครง้ั แลว้ กต็ าม เรอ่ื งนท้ี ำใหอ้ อกญากลาโหมยงุ่ ยากใจ จงึ เกลย้ี กลอ่ ม ออกญาเสนาภิมุขโดยการขอร้องและให้ของกำนัล ออกญาเสนาภิมุขยอมรับสัญญาและให้สาบานว่า จะนำเสดจ็ พระปติ ลุ า๒ ไปสรู่ าชสำนกั ในฉลองพระองคแ์ บบฆราวาสใหไ้ ด้ เพราะถา้ ยงั ทรงอยใู่ นสมณเพศแลว้ จะไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปทำร้ายพระองค์ ออกญาเสนาภิมุขรับสัญญาแล้วก็ไปเฝ้าพระปิตุลา เสแสร้งแสดงความเศร้าเสียใจที่ทราบว่าพระองค์ท่านถูกแย่งชิงมงกุฎไปภายหลังที่พระเชษฐาสวรรคต โดยพดู อยา่ งโผงผางไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั การประหาร การเนรเทศ และการจองจำคนดี ๆ และขนุ นางจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้นยังพูดถึงความเข้มงวดกวดขัน การก่อกรรมทำเข็ญและความโหดร้ายทางฝ่ายปกครองของ พระเจา้ อยหู่ วั และพดู ถงึ อำนาจหนา้ ทซ่ี ง่ึ ใหญโ่ ตเกนิ ขนาดของออกญากลาโหม เขากราบทลู ตอ่ พระปติ ลุ าวา่ ตัวเขาและขุนนางอื่น ๆ อีกมากหลายได้รับความเดือดร้อนมากในเรื่องนี้ และได้ปรึกษาหารือกันเนือง ๆ ถงึ ลทู่ างทจ่ี ะทำการปลงพระชนมพ์ ระเจา้ แผน่ ดนิ กบั ออกญากลาโหมเสยี แลว้ เชญิ เสดจ็ พระปติ ลุ าขน้ึ ครอง ราชบลั ลงั ก์ และกราบทลู สบื ไปวา่ ถา้ พระปติ ลุ ายนิ ยอมเสดจ็ ไปยงั วงั หลวงกบั ตนแลว้ กจ็ ะใช้ทหารญป่ี นุ่ และพรรคพวกของตนถอดพระเจ้าแผ่นดินและจะขับไล่พระองค์กับขุนนางคนโปรดออกเสียจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้พระปิตุลาได้สืบราชบัลลังก์ แม้ว่าจะมีผู้กราบทูลแนะนำตักเตือนพระองค์อย่างแข็งขัน พระปิตุลาก็ยังหลวมตัว หลงเชื่อคำพูดของออกญาเสนาภิมุข ทรงเตรียมพระองค์และเสด็จไปกับคน ทรยศผนู้ ต้ี รงไปยงั วงั หลวง เมอ่ื ทรงทอดพระเนตรเหน็ ทหารญป่ี นุ่ รกั ษาการอยทู่ ป่ี ระตวู งั ยง่ิ ทรงเพม่ิ ความแน่ พระทัยในความจงรักภักดีของออกญาเสนาภิมุขมากขึ้น แต่คนคดผู้นั้นได้เริ่มดำเนินตามแผนการ ทไ่ี ดส้ ญั ญาไวแ้ กอ่ อกญากลาโหม กราบทลู พระปติ ลุ าวา่ สมคั รพรรคพวกทพ่ี ระองคจ์ ะทรงพบในวงั ลว้ นถอื อาวธุ พรอ้ มเพอ่ื จะไดล้ งมอื ทำการ เพยี งแตค่ อยการเสดจ็ มาของพระปติ ลุ าเทา่ นน้ั จงึ สมควรทพ่ี ระปติ ลุ า * ตามพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา กล่าวถึงชื่อพระพนั ปศี รศี ลิ ป์ ผู้เป็นพระอนุชาเสดจ็ หนีไปอยเู่ มอื งเพชรบรุ ี ๑ ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๙ จดหมายเหตุวันวลิต (ฉบับสมบูรณ์) ที่พิมพ์ในพ.ศ. ๒๕๐๗ และฉบับที่พิมพ์ต่อ ๆ มา ใช้ว่า \"พระมหาอปุ ราชพระปติ ลุ า\" ในขณะที่ต้นฉบับภาษาองั กฤษใช้คำว่า \"the Prince\" หรือ \" his Highness\" ดังนั้นจึงตัดคำว่า \"พระมหาอปุ ราช\" ออก เหลอื เพียง \" พระปิตุลา \" ๒ เปลย่ี นจาก \"พระมหาอปุ ราช\" เปน็ \" พระปิตุลา \" ตอ่ จากนีท้ กุ คำทพ่ี บ

๒๙๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ จะกระทำพระองค์ให้อยู่ในลักษณะเดียวกับคนเหล่านั้น และทูลว่าเพื่อแสดงพระองค์เยี่ยงชายชาตรี และเพอ่ื สะดวกในการกระทำการ พระองคค์ วรเปลอ้ื งผา้ กาสาวพสั ตรอ์ อก เพราะผา้ นจ้ี ะไมเ่ ปน็ ประโยชน์ อันใดแก่พระองค์อีกแล้ว พระปิตุลามิได้ทรงระแวงสงสัย ทรงปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ ทรงเปลื้องผ้าจีวร ออกและแสดงพระองค์อย่างฐานะพระปิตุลา แต่ครั้นพระองค์ย่างเข้าเขตพระราชวังในลักษณะเช่นนี้ กบั ออกญาเสนาภมิ ขุ และทหารญป่ี นุ่ พระองคก์ ถ็ กู จบั มดั และถกู นำตวั ไปเฝา้ พระเจา้ แผน่ ดนิ ในสภาพทถ่ี กู มดั ออกญากลาโหมเห็นว่าตนหมดศัตรูที่ต้องกลัวแล้ว เพราะว่าขณะนี้ก็ได้ศัตรูมาไว้ในกำมือ เป็นศัตรู ซึ่งอาจก่อการกบฏและจลาจลได้และเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่อาจก่อความยุ่งยากให้แก่ตน ออกญา กลาโหมขอบใจออกญาเสนา ภมิ ขุ เปน็ อยา่ งยง่ิ ทช่ี ว่ ยทำงานสำคญั ชน้ิ นแ้ี ละใหร้ างวลั เปน็ อนั มาก พระปติ ลุ า ถูกตัดสินประหารชีวิต แต่พระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงประสงค์ให้โลหิตของพระปิตุลาเปื้อนพระหัตถ์ ที่ประชุม ขุนนางจึงเห็นชอบพร้อมกันให้ส่งพระปิตุลาไปเมืองเพชรบุรี (Pipry)* แล้วจับพระองค์หย่อนลงในบ่อ ที่ลึกและแห้ง ถวายอาหารให้น้อยลง ๆ ทุกวัน เพื่อให้พระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยความหิว หลุมลึกนี้มี เครื่องคุ้มกันแข็งแรงและแต่งตั้งคนมาเฝ้าดูพระปิตุลาวันละ ๓ ครั้ง เพื่อนำเรื่องราวกราบทูลถึงความ เปน็ อยู่ และทส่ี ำคญั กเ็ พอ่ื เปน็ พยานรเู้ หน็ วาระสดุ ทา้ ยของพระปติ ลุ า ในเวลาเดยี วกบั ทพ่ี ระปติ ลุ าถกู ตดั สนิ ลงทณั ฑท์ รมานใหส้ น้ิ พระชนมชพี นน้ั มญี าตสิ นทิ ของพระองค์ คนหนง่ึ ชอ่ื ออกหลวงมงคล (Oloangh Mancough) ได้หนีเร้นออกจากราชสำนักและเร่งร้อนเดินทางไป เพชรบรุ ีกับนอ้ งชายของเขา เม่อื ไปถึงไดเ้ ลา่ เร่ืองให้พระภิกษุทงั้ หลายทราบถึงความอยตุ ธิ รรมที่พระปติ ลุ า ไดร้ บั และขอรอ้ งใหพ้ ระภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ชว่ ยเหลอื ตามแผนการซง่ึ ตนไดเ้ ตรยี มมาเพอ่ื ชงิ พระปติ ลุ าจากมอื ของ เพชฌฆาตเหลา่ นน้ั แตเ่ หลา่ ภกิ ษกุ ลวั พระเจา้ แผน่ ดนิ จะกรว้ิ และเหน็ วา่ พระปติ ลุ ามโี อกาส รอดพน้ ไดน้ อ้ ย เพราะมีผู้คุมและทหารหลายคนเฝ้าอยู่แข็งขัน จึงไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้โดยเปิดเผย ถึงกระนั้น พระภิกษุทั้งหลายยังมีความรักในพระปิตุลาองค์นี้ เพราะว่าพระองค์ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ เพอ่ื วา่ ทางวงั หลวงไมอ่ าจหาเหตวุ า่ พระองคท์ รงทะเยอทะยานรษิ ยาในฐานะทเ่ี ปน็ ผสู้ บื ราชสมบตั ทิ แ่ี ทจ้ รงิ ได้ และเพื่อป้องกันรักษาพระชนมชีพของพระองค์เอง ทั้งพระองค์ได้หมั่นลงอุโบสถเป็นประจำ แสดงศรัทธา แรงกล้ายึดมั่นเคารพต่อสมณเพศ ฉะนั้น เหล่าภิกษุจึงได้ช่วยออกหลวงมงคลกับน้องชายและข้าทาส ขดุ บอ่ ขน้ึ อกี บอ่ หนง่ึ ทำอโุ มงคใ์ ตด้ นิ คลา้ ยเหมอื งถา่ นหนิ ไปยงั บอ่ ซง่ึ พระปติ ลุ าถกู จบั หยอ่ นลงไป งานดำเนนิ ไปด้วยความภักดีและรีบเร่งเพื่ออิสรภาพของพระปิตุลา ในคืนหนึ่งออกหลวงมงคลได้เข้าไปในอุโมงค์ * เดมิ เรยี กชอ่ื เมอื งนว้ี า่ พรบิ พรี

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๒๙๙ ตามลำพังและทำงานต่อไป จนกระทั่งได้ยินเสียงพระปิตุลาถอนพระทัยลึกและตรัสว่า \"อนิจจาเอ๋ย เขาจะให้น้ำฉันกินสักจอกหนึ่ง ก่อนวาระสุดท้ายซึ่งใกล้เข้ามาแล้วหรือไม่หนอ\" เสียงนี้เป็นแรงหนุนให้ ออกหลวงมงคลทำงานดว้ ยความมานะยง่ิ ขน้ึ และยนื ยนั แกพ่ รรคพวกของตนวา่ พระปติ ลุ ายงั มพี ระชนมชพี อยู่ เมอ่ื ไดป้ รกึ ษาหารอื กนั อยคู่ รหู่ นง่ึ ถงึ เหตกุ ารณค์ บั ขนั ซง่ึ จะมวั ชา้ ลงั เลอยมู่ ไิ ดแ้ ลว้ พระภกิ ษกุ แ็ นะนำให้ ออกหลวงมงคลบีบคอทาสคนหนึ่งด้วยมือของตนเอง แล้วนำร่างนั้นไปทางอุโมงค์เข้าไปในบ่อที่พระปิตุลา ถูกขังอยู่ แล้วถอดฉลองพระองค์ของพระปิตุลามาสวมให้ เมื่อทำเช่นนี้แล้ว ผู้คุมซึ่งเห็นพระปิตุลามี พระอาการหนักอยู่เมื่อเย็นวาน จึงไม่สงสัยเลยว่าร่างคนตายที่ก้นบ่อซึ่งเห็นในเช้าวันรุ่งขึ้นจะไม่ใช่องค์ พระปิตุลา ดังนั้นเมื่อได้กลบบ่อโดยมิได้แตะต้องศพและไม่ได้ถวายความเคารพครั้งสุดท้ายให้สม พระเกยี รตแิ ลว้ กม็ งุ่ นำขา่ วการสน้ิ พระชนมข์ องพระปติ ลุ าไปสรู่ าชสำนกั ขา่ วนเ้ี ปน็ ทย่ี นิ ดปี รดี ากนั ทว่ั ไป พระเจา้ แผน่ ดนิ และบรรดาเสนาบดกี ค็ ดิ วา่ บา้ นเมอื งปราศจากเสย้ี นหนาม และคดิ วา่ พวกตนปลอดภยั แลว้ บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายได้เอาใจใส่เยียวยาพระปิตุลาอย่างดียิ่ง ไม่นานพระองค์ก็ทรงแข็งแรง สมบูรณ์ดังแต่ก่อน บรรดาสมัครพรรคพวกของพระองค์และเหล่าราษฎรพากันปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง มี พระภิกษุสงฆ์จำนวนมากและเจ้านายบางองค์ได้ล่วงรู้ว่าพระปิตุลาทรงหลุดพ้นออกมาจากหลุมอย่าง มหัศจรรย์เพียงไร และพระองค์มีพระชนม์อยู่และมีอิสรภาพที่แท้จริงเพียงไร พระปิตุลาจะทรงพอพระทัย กวา่ น้ี ถา้ หากวา่ บคุ คลเหลา่ นน้ั รกั ษาเรอ่ื งนไ้ี วเ้ ปน็ ความลบั จนกวา่ ระบอบการปกครองแบบทรราชของพระเจา้ แผ่นดินจะได้รับผลสนองจากความชั่วซึ่งขุนนางได้กระทำต่อราษฎรและเจ้านายชั้นสูง เพราะจะช่วยให้ สมคั รพรรคพวกของพระองคม์ กี ำลงั เขม้ แขง็ ทง้ั นอ้ี อกหลวงมงคลเปน็ ผสู้ มควรไดร้ บั ความสรรเสรญิ อยา่ งยง่ิ แต่คนเหล่านั้นซึ่งชอบเข้าพัวพันกับเรื่องของบ้านเมืองและคนซึ่งยึดถือหลักตามความจริง คงจะทำเรื่อง ให้เป็นอย่างอื่น ข่าวเล่าลือเรื่องความปลอดภัยเป็นอิสระของพระปิตุลา ได้รับความสนใจจากข้าราชการ ทเ่ี พชรบุรเี ป็นอันมาก พร้อมกันนั้นออกหลวงมงคลซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วประเทศ เพราะเขามีร่างกาย แข็งแรงและกล้าหาญ ได้เดินทางไปตามเมืองใกล้เคียงด้วยตนเองและส่งม้าเร็วไปยังมิตรสหาย เพอ่ื พยายามสรา้ งเสรมิ ชมุ นมุ ใหเ้ ขม้ แขง็ อนั ทจ่ี รงิ พระองคท์ รงมกี ำลงั พอเพยี งเพอ่ื จดั ตง้ั กองทพั อนั มที หาร ๒๐,๐๐๐ คน มีขุนนางมียศตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาหลายคน พระปิตุลาทรงสถาปนาพระองค์เอง เปน็ กษตั รยิ ข์ องประเทศสยาม ไดท้ รงราชาภเิ ษกและวางองคอ์ ยใู่ นฐานะเชน่ น้ี เมอื งเพชรบรุ ไี ดย้ อมออ่ นนอ้ ม ต่อพระองค์ ๆ ทรงจัดแบ่งหน้าที่การงานของราชสำนัก ตั้งตำแหน่งอันมีเกียรติให้แก่สมัครพรรคพวก ในชมุ นมุ ของพระองค์ พระราชทานตำแหนง่ จอมทพั ใหแ้ กอ่ อกหลวงมงคล ดว้ ยเหตทุ พ่ี ระองคท์ รงเปน็ หนช้ี วี ติ

๓๐๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ของพระองค์ต่อนายทัพผู้นี้ ทั้งเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ หรือมิฉะนั้นก็เป็นผู้ได้รับการยกย่องสรรเสริญว่า เปน็ คนทก่ี ลา้ หาญทส่ี ดุ ของประเทศสยาม นอกจากน้ี ยงั เปน็ ผอู้ ยยู่ งคงกระพนั ไมม่ ปี ลายแหลมของเหลก็ กลา้ ตะกั่วและดีบุกจะแทงทะลุเข้าผิวหนังของเขาได้ และไม่มีอาวุธของคนใดสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ ในเวลาอันสั้นพระองค์ทรงเป็นเจ้าปกครองเมืองหลายเมือง มีทีท่าว่าจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินของทั้ง อาณาจกั ร แตอ่ ำนาจสว่ นใหญท่ ส่ี ำคญั นน้ั ตกอยแู่ กฝ่ า่ ยศตั รู เมอ่ื พระเจา้ อยหู่ วั ทรงทราบวา่ พระปติ ลุ ายงั ทรงพระชนมอ์ ยแู่ ละมอี สิ รภาพ ทง้ั ยงั สถาปนาพระองคเ์ อง ขึ้นเป็นกษัตริย์และหลายเมืองได้ตั้งแข็งเมืองขึ้น จึงโปรดให้ปิดกั้นทางและถนนทุกสายที่อาจจะเป็นทางให้ กองทพั ของพระปติ ลุ าเพม่ิ พนู กำลงั นน้ั เสยี ขณะเดยี วกนั พระองคก์ ส็ ง่ กองทพั มกี ำลงั ทหาร ๑๕,๐๐๐ คน หรอื ๒๐,๐๐๐ คน และทหารญป่ี นุ่ ๗๐๐ หรอื ๘๐๐ คนไปเพชรบรุ ี มีออกญากำแหง๑ (Oya Capheim) เปน็ แมท่ พั และออกญาเสนาภมิ ขุ เปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชากองทหารญป่ี นุ่ เมอ่ื เดนิ ทางมาถงึ ใกลเ้ พชรบรุ กี ท็ ราบวา่ ข้าศึกป้องกันบ้านเมืองอย่างแข็งแรง จึงไม่กล้าเข้าโจมตีในตอนแรก แต่ส่งคนไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อขอกำลังเพิ่มเติม กองทัพทั้งสองได้เข้ารบกันประปรายหลายครั้ง ซึ่งไม่เกิดผลแต่ประการใด ต่อมา ออกญากลาโหมไดอ้ อกอบุ ายแนะนำและออกญากำแหงยนิ ยอม ออกญาเสนาภมิ ขุ จงึ พดู จาทำความตกลง เปน็ สว่ นตวั กบั แมท่ พั ของพระปติ ลุ า เขาตกลงกบั แมท่ พั ฝา่ ยนน้ั วา่ ตนมแี ผนการทจ่ี ะนำทหารญป่ี นุ่ มาสมทบ กับกองทัพของพระปิตุลาและขอรวมกำลังด้วย เพื่อให้การลุล่วงไป ทั้งสองฝ่ายจะนำทหารเข้าสู่สนามรบ เป็นทำนองว่าจะรบกัน แต่ทว่าทหารจะไม่บรรจุลูกปืนในเวลารบ เพื่อจะได้ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย และในขณะที่รบ ออกญาเสนาภิมุขจะแสร้งทำเป็นแพ้และยอมให้จับเป็นเชลย ข้อตกลงนี้ได้ทำกับ ออกหลวงมงคล ได้ให้สัตย์สาบานต่อกันโดยคนทั้งสองดื่มเลือดกันคนละครั้ง พระปิตุลาและสมัคร พรรคพวกมิได้ลังเล รีบให้ความไว้วางใจในข้อสัญญานี้ แต่กลับพบว่าพวกตนถูกหลอกลวงเป็นแน่แท้ เพราะเมอ่ื กองทพั ของทง้ั สองฝา่ ยมาสสู่ นามรบตามวนั ทน่ี ดั หมายและเรม่ิ สรู้ บกนั ทหารญป่ี นุ่ อนั มที หารไทย หนุนเนื่องเข้ามา ได้กระโจนเข้าใส่ข้าศึกอย่างดุเดือด จนออกหลวงมงคลต้องหนีเอาตัวรอด ยิ่งกว่านั้น พระเจา้ แผน่ ดนิ ไดส้ ง่ ทหารเพม่ิ เตมิ มาทเ่ี พชรบรุ เี รอ่ื ย ๆ สองสามวนั ตอ่ มากองทพั ของพระองคก์ เ็ ขม้ แขง็ มาก จนพระปิตุลาไม่กล้าเสี่ยงเข้ารบด้วยเป็นครั้งที่สอง ทรงตัดสินพระทัยจะออกเดินทางไปนครศรีธรรมราช (Ligoor) ทรงคดิ วา่ พระองคอ์ าจรอดพน้ ไปถงึ เมอื งนน้ั ไดโ้ ดยปลอดภยั แตอ่ อกญากำแหงรเู้ รอ่ื งนจ้ี ากทหารยาม ๑ สนั นิษฐานวา่ นา่ จะเปน็ \"ออกญากำแพง\" เน่ืองจากคำวา่ \"Capheim\" มักจะหมายถงึ \"กำแพงเพชร\" -: (นายธีรวตั ณ ปอ้ มเพชร)

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๓๐๑ จึงออกติดตามพระองค์ไปโดยเร็ว ออกหลวงมงคลเข้าขัดขวางการติดตามนี้ไว้ ทั้งสองทัพจึงเข้ารบกัน ประปราย การสรู้ บไดล้ กุ ลามไปจนถงึ ขน้ั แตกหกั ออกหลวงมงคลแพ้ สญู เสยี ขนุ นางทเ่ี กง่ ทส่ี ดุ และทหาร ที่ดีที่สุดของกองทัพไปเป็นจำนวนมาก ชัยชนะครั้งนี้ทำใหอ้ อกญากำแหงสามารถติดตามพระปิตุลาไปได้ และจบั พระองคเ์ ปน็ เชลยกอ่ นทจ่ี ะไปถงึ เมอื งนครศรธี รรมราช พระปติ ลุ าถกู นำตวั มากรงุ ศรอี ยธุ ยา ถกู ตดั สนิ ใหส้ ำเรจ็ โทษโดยเรว็ เมอ่ื พระองคท์ รงทราบคำตดั สนิ พระองค์ทรงขอร้องโดยทันทีว่า ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ ขอให้ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทูลข้อราชการ สำคญั หลายประการ พระองคท์ รงไดร้ บั อนญุ าต พระองคต์ รสั แกพ่ ระเจา้ แผน่ ดนิ ดงั น้ี :- \"หม่อมฉันยืนอยู่ที่นี่ เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ในฐานะที่เป็นพระปิตุลาแท้ ๆ ของพระองค์ และเป็นผู้สืบราชสมบัติที่ถูกต้องของอาณาจักรนี้ แต่แล้วเทพเจ้ากลับทรงหยิบยื่นเคราะห์กรรมมาให้ พระปติ ลุ าผพู้ า่ ยแพแ้ ละเสอ่ื มสน้ิ พระเกยี รติ ซง่ึ กำลงั รอคอยเวลาแหง่ ความตายทห่ี ลกี หนไี มพ่ น้ คนกลา้ หาญ ย่อมไม่ชิงชังชีวิตที่ยืนยาว ตราบเท่าที่ตนสามารถครองชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่หวาดหวั่นต่อ ความตายในเมื่อถึงเวลาแล้ว เพราะความตายเป็นด่านซึ่งคนได้ปิดกั้นความทุกข์ยากทั้งมวล เหตุผลข้อนี้ แหละทำให้หม่อมฉันตัดขาดจากอุปาทานยึดมั่นกับชีวิตและไม่กลัวความตาย แม้ว่าสายสัมพันธ์ในฐานะ เป็นพระญาติสนิทกับพระเจ้าแผ่นดินได้ส่งผลอันเหี้ยมโหดและทารุณแก่หม่อมฉันก็ตาม หม่อมฉันยินดี พ่ายแพ้ในลักษณะเช่นนี้ ยิ่งกว่าจะเป็นผู้ชนะและทำกับพระองค์เช่นกับที่พระองค์ทรงทำกับหม่อมฉัน ขอพระองค์เพียงแต่ทรงใคร่ครวญถึงภาวะที่หม่อมฉันได้รับอยู่และขอให้ทรงได้ประโยชน์จากการเสื่อมสิ้น ยศศักดิ์ของหม่อมฉันเถิด การกระทำที่ดีที่สุดซึ่งคนสามารถให้แก่มิตร นั้นคือให้คำแนะนำที่ซื่อสัตย์ ในเมื่อมิตรต้องการ หากแม้พระองค์ปรารถนามีชื่อเสียงดีงามและอยากให้รัชสมัยของพระองค์ได้รับผล เชน่ เดยี วกนั แลว้ จงอยา่ ประมาท หลกี เลย่ี งความเสเพล ตง้ั มน่ั อยใู่ นความยตุ ธิ รรม จงตระหนกั วา่ คณุ งาม ความดีเป็นเกราะคุ้มกันภัยที่ไม่แตกสลาย เป็นน้ำพุธรรมชาติที่ไม่เคยเหือดแห้ง เป็นเพลิงซึ่งไม่เคยดับ เป็นของหนักซึ่งไม่เคยทำความลำบากให้แก่ผู้ถือ เป็นสมบัติซึ่งไม่ลดจำนวนลงไป เป็นกองทัพที่ไม่มีใคร เอาชนะได้ เปน็ ผชู้ ท้ี างซง่ึ ไมน่ ำไปในทางทผ่ี ดิ และเปน็ ชอ่ื เสยี งเกยี รตคิ ณุ ทไ่ี มก่ ลบั มวั หมอง เพอ่ื ถวายขอ้ พิสูจน์อันแท้จริงและบริสุทธิ์ใจ พร้อมทั้งถวายพระหฤทัยที่สัตย์ซื่อตอบแทนแด่เทพเจ้าที่เคารพสักการะ และแด่ราชตระกูลของพระราชบิดาซึ่งพระองค์ทรงสืบสันตติวงศ์มา ขอพระองค์จงบรรลุชื่อเสียง เกียรติคุณอันดีงาม จงให้ความชื่นบานแก่มิตร จงพยายามปลูกฝังความจงรักภักดีจากมิตร และแล้ว คนดกี จ็ ะรบั ใชพ้ ระองคด์ ว้ ยความสามภิ กั ดแ์ิ ละกระตอื รอื รน้ อยา่ งแทจ้ รงิ ขณะเดยี วกนั คนชว่ั กจ็ ะตตี วั ออกหา่ ง

๓๐๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินทรงปฏิบัติพระองค์ให้ราษฎรรักใคร่ในคุณงามความดี หวาดเกรงต่อพระราชอาญาของ พระองคแ์ ลว้ ยอ่ มจะเปน็ ประโยชนย์ ง่ิ แกพ่ ระเจา้ แผน่ ดนิ เอง สดุ ทา้ ยนห้ี มอ่ มฉนั ขอแนะนำใหพ้ ระองคท์ รงถอื ความอับโชคของหม่อมฉันเป็นเครื่องเตือนพระทัยและให้เกิดประโยชน์ด้วย ตัวหม่อมฉันนั้นพร้อมแล้ว ที่จะพบกันวาระสุดท้ายซึ่งหม่อมฉันมิได้คาดคิดมาก่อน และไม่อาจแก้แค้นทดแทนได้ หม่อมฉัน ควรเป็นทุกข์ในความตาย แต่กลับยินดีถ้าได้รู้ว่าการประหัตประหารร่างของหม่อมฉันสามารถสร้าง ความมั่นคงให้แก่ฐานะของพระองค์และความสงบสุขของอาณาจักรนี้ แต่หม่อมฉันคาดการณ์ล่วงหน้าว่า วาระสุดท้ายเช่นกับที่พระองค์ได้ทรงทำความทุกข์ทรมานให้แก่หม่อมฉัน ก็จะมาถึงพระองค์เองในไม่ช้า ถา้ พระองคป์ รารถนาจะหนเี คราะหก์ รรมซง่ึ จะบบี คน้ั พระองค์ จงทรงระมดั ระวงั ออกญากลาโหม เพราะคน ผู้นี้เป็นคนชั่วมีสันดานทรยศมาตั้งแต่หนุ่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงถูกลงพระอาญาอย่างหนักบ่อยครั้ง ด้วยพระราชโองการของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน เขาจะใช้เล่ห์กระเท่ห์อย่างเฉลียวฉลาดและ จะชิงมงกุฎจากพระเศียรของพระองค์ ทั้งจะนำพระองค์ไปสู่ความตาย ตลอดจนเชื้อพระวงศ์ทุก ๆ พระองค์ของพระเจ้าอยู่หัวในพระโกศ ซึ่งทรงเป็นพระเชษฐาของหม่อมฉันและพระราชบิดาของพระองค์ เพอ่ื ตง้ั ตวั เองเปน็ กษตั รยิ ค์ รองบลั ลงั กต์ อ่ ไป\" พระเจ้าแผ่นดินมิได้มีความซาบซึ้งในคำแนะนำ ทั้งมิได้เกิดความสมเพทเวทนาเลย พระองค์ไม่ ยอมเปลี่ยนแปลงความตั้งพระทัยซึ่งได้ยึดมั่นอยู่ ตรงกันข้ามมีรับสั่งให้นำพระปิตุลาไปสำเร็จโทษโดยเร็ว พระปิตุลาจึงถูกนำตัวไปที่วัดชื่อพระเมรุโคกพญา (Watprahimin Khopirja) ตรงข้ามกับพระราชวัง เพชฌฆาตให้พระองค์นอนลงบนผ้าแดงและทุบพระองค์ที่พระนาภีด้วยท่อนจันทน์ นี้เป็นวิธีสำเร็จโทษที่ ใช้กันในประเทศสยาม ซึ่งใช้กับเจ้านายในราชตระกูลเท่านั้น เสร็จแล้วเขาก็ใช้ผ้านั้นห่อพระสรีระและ ไมจ้ นั ทน์ แลว้ โยนลงไปในบอ่ ทง้ิ ใหพ้ ระศพเนา่ เปอ่ื ยไป นเ่ี ปน็ วาระสดุ ทา้ ยอนั นา่ เศรา้ สลดของพระปติ ลุ า ผู้ไร้สุข ซึ่งสิ้นพระชนม์ลงเพราะทรงกล้าอ้างสิทธิ์ในมงกุฎ ซึ่งเป็นสิทธิ์ตามกฎหมายของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นเจ้านาย๑ ที่ทรงมีความหวังอย่างยิ่งและทรงมีคุณสมบัติดีงามหลายประการ ถ้าหาก พระองค์ทรงได้ครองราชบัลลังก์แล้ว พระองค์คงได้รับความเคารพเทิดทูนไม่น้อยกว่าพระเชษฐาธิราช ของพระองค์ ๑ ในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๗๙ จดหมายเหตวุ นั วลติ (ฉบบั สมบรู ณ์) ที่พิมพ์ใน พ.ศ. ๒๕๐๗ และฉบับที่พิมพ์ต่อ ๆ มา ใช้คำว่า \"พระมหาอุปราช\"

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๓๐๓ เกือบไม่มีผู้ใดเลยที่จะไม่โศกเศร้าในการสิ้นพระชนม์ของพระปิตุลา แต่ไม่มีใครกล้าแสดงอาการ เศร้าสลดได้ เพราะเมื่อผู้ใดมีใจฝักใฝ่หรือเห็นว่าการสิ้นพระชนม์ของพระปิตุลาเป็นเรื่องสำคัญแล้ว ไมว่ า่ เขาจะเปน็ คนชน้ั ใดกต็ าม คนผนู้ น้ั จะถกู ประหารและทรพั ยส์ นิ จะตอ้ งถกู รบิ มขุ อำมาตยแ์ ละทหารทม่ี ใี จ ฝกั ใฝถ่ กู ถอดลงเปน็ ไพรแ่ ละถกู กระทำอยา่ งโหดเหย้ี ม ภายในเวลาอนั สน้ั ผทู้ เ่ี ปน็ มติ รและสมคั รพรรคพวก ทง้ั ปวงของพระปติ ลุ ากส็ น้ิ สญู ไป การพ่ายแพ้สงครามและการสิ้นพระชนม์ของเจ้านาย ทำให้ออกหลวงมงคลแม่ทัพของพระปิตุลา สิ้นความหวัง มีผู้ตักเตือนว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงค้นหาตัวเขาทุกหนทุกแห่ง เขาจึงหนีเตลิดเรื่อยไป เมื่อ ไมร่ วู้ า่ จะซอ่ นตวั อยทู่ ใ่ี ดดแี ลว้ กไ็ ดห้ ลบเขา้ มากรงุ ศรอี ยธุ ยาในเวลาคำ่ คนื เพอ่ื มงุ่ ตดิ ตามออกญากลาโหม ถึงในบ้าน หวังจะฆ่าเขาเสีย แต่บังเอิญคืนนั้นออกญากลาโหมถูกหน่วงเหนี่ยวไว้ในพระราชวัง แผนการ ของออกหลวงมงคลจึงล้มเหลว ดังนั้น ออกหลวงมงคลจึงไปบ้านของตน และได้พาภรรยาหลวงกับ อนภุ รรยาอกี คนหนง่ึ หนไี ปดว้ ยกนั ไปถงึ ประสบสะแกกรงั (Pra Sop Sacce Gram) ชายเขตแดนมอญ ได้พำนักอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่ง ใช้ชีวิตอยู่กับป่าเขาอย่างไร้จุดหมาย ในที่สุดมีผู้พบที่ซ่อนตัว เจ้าหน้าที่ผู้ปกครองท้องที่นี้ ได้ถือโอกาสตอนที่ออกหลวงมงคลไปล่าสัตว์ ไปที่บ้านและพาภรรยามาเสีย ออกหลวงมงคลโกรธแคน้ มาก หมดสน้ิ ความสขุ ทกุ ประการและหมดอาลยั ในชวี ติ จงึ ไปมอบตวั แกเ่ จา้ หนา้ ท่ี ฝา่ ยบา้ นเมอื ง ขอรอ้ งใหน้ ำตวั ไปกรงุ ศรอี ยธุ ยา เจา้ หนา้ ทพ่ี นั ธนาการเขาดว้ ยโซต่ รวน ใสข่ า มอื แขน คอ และทุก ๆ ส่วนของร่างกายเพราะได้รับคำตักเตือนมาก่อนในเรื่องพละกำลังมากมายผิดธรรมดาและเรื่อง วิทยาคุณตามหลักไสยศาสตร์ ออกหลวงมงคลจึงหัวเราะขบขันคนเหล่านั้น และบอกว่าไม่มีประโยชน์ อนั ใดทใ่ี สโ่ ซต่ รวนคนซง่ึ ยอมมอบตวั เปน็ นกั โทษโดยสมคั รใจ เขากลา่ ววา่ \"ถา้ หากขา้ พเจา้ ตอ้ งการมชี วี ติ อยตู่ อ่ ไป กจ็ ะไมย่ อมอยใู่ นอำนาจของทา่ น จะไมใ่ หจ้ บั หรอื คมุ ขงั ขา้ พเจา้ ไดเ้ ลย\" กลา่ วดงั นน้ั แลว้ กห็ กั โซต่ รวนออก โดยง่ายดายเหมือนดึงเศษเชือกหรือด้ายเปื่อย ๆ แล้วก็พูดต่อไปว่า \"ถ้าข้าพเจ้าต้องการพิสูจน์พละกำลัง และวิชาความรู้ของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็สามารถฆ่าท่านได้หลายคนทีเดียว แต่ข้าพเจ้าต้องการตาย ฉะนั้นจงนำข้าพเจ้าไปกรุงศรีอยุธยาโดยอิสระ เพื่อว่าออกญากลาโหมผู้โหดเหี้ยมซึ่งปลงพระชนม์ พระปติ ลุ าอาจพงึ พอใจในเลอื ดของขา้ พเจา้ เพราะเขากระหายมานานแลว้ \" พระเจ้าแผ่นดินทรงยินดีมากเมื่อทราบว่าออกหลวงมงคลมาถึงกรุงศรีอยุธยาแล้ว เพราะ พระองค์โปรดคน ๆ นี้เนื่องจากเป็นผู้มีวิทยาคมและกล้าหาญ พระองค์มีพระประสงค์จะไว้ชีวิต จึงได้ส่ง ออกญากลาโหมไปพูดจาเกลี้ยกล่อม ถ้าออกหลวงมงคลตัดสินใจถวายความจงรักภักดีแก่พระเจ้าอยู่หัว

๓๐๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ขอใหแ้ จง้ ใหอ้ อกญากลาโหมทราบ ถา้ หากออกญากลาโหมนำคำสตั ยป์ ฏญิ าณของออกหลวงมงคลไปกราบทลู พระเจ้าแผ่นดินแล้ว ออกหลวงมงคลก็จะรอดชีวิต แต่ออกญากลาโหมกลับพบว่า ออกหลวงมงคล เย่อหยิ่งทรนงมาก โต้ตอบแต่เพียงว่า \"ข้าพเจ้าไม่มีพระเจ้าอยู่หัวที่เคารพอีกแล้ว พระเจ้าอยู่หัวผิด กฎหมายที่ท่านพูดถึง ทั้งตัวของท่านเองก็ได้ร่วมมือกันปลงพระชนม์ผู้สืบราชสมบัติที่ถูกต้อง ตามกฎหมายเสียแล้ว เหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงอยากตายมากกว่าที่จะเชื่อฟังคนใจโหด ฆาตกร คนกบฏ และคนกอ่ กวนความสงบสขุ ของบา้ นเมอื งเชน่ พวกทา่ น ทา่ นอยา่ หวงั เลยวา่ ขา้ พเจา้ จะยอมใหส้ ตั ยส์ าบาน แกค่ นซง่ึ ขา้ พเจา้ ไมข่ อเกย่ี วขอ้ งใหม้ าเปน็ นายของขา้ พเจา้ \" ออกญากลาโหมไดก้ ราบทลู ผลการเกลย้ี กลอ่ มของตนใหพ้ ระเจา้ อยหู่ วั ทรงทราบ ออกหลวงมงคลจงึ ถกู ตัดสนิ ประหารชีวิตด้วยดาบ ก่อนจะตายเขาได้แนะนำชี้แจงให้ราษฎรเห็นว่าบ้านเมืองตกอยู่ในอันตราย และทำนายล่วงหน้าว่า เคราะห์กรรมจะตามมาครอบคลุมบ้านเมืองในภายหลัง ในที่สุดเขาพูดถึงความ กลา้ หาญของตนเองและวทิ ยาคณุ ทางไสยศาสตร์ กบั กลา่ วเพม่ิ เตมิ วา่ ถา้ หากใครคนใดยงั สงสยั เรอ่ื งทเ่ี ขา พดู น้ี เขาจะพสิ จู นใ์ หเ้ หน็ จรงิ ตอ่ หนา้ คนทง้ั หลาย อนั ทจ่ี รงิ เมอ่ื เขาอยใู่ นอาการสงบเพอ่ื รบั ดาบทฟ่ี นั ลงมา เพชฌฆาตกไ็ มส่ ามารถทำใหเ้ กดิ บาดแผลในรา่ งกายของเขาได้ แมจ้ ะไดฟ้ นั เตม็ แรงจนใบดาบชนดิ โคง้ นน้ั คดไปกต็ าม ทกุ ครงั ทเ่ี พชฌฆาตฟนั กเ็ กดิ เสยี งดงั เหมอื นคมดาบกระทบทง่ั ตเี หลก็ หลงั จากนน้ั ออกหลวง มงคลก็ลุกขึ้นดึงเชือกที่มัดตัวออก จับเพชฌฆาตไว้และบีบคอจนตาย เสร็จแล้วก็ขอน้ำ เขาเสกคาถา ลงไปในนำ้ แลว้ ดม่ื ไปสว่ นหนง่ึ ทเ่ี หลอื ใชล้ บู ไลร้ า่ งกาย เอานว้ิ ขวาจมุ่ ลงไปในนำ้ มนตแ์ ลว้ ทำเครอ่ื งหมาย ลงบนลำตัวด้านซ้ายใต้ซี่โครง ในประเทศสยามถ้าผู้ใดถูกตัดสินให้ตายด้วยคมดาบ จะต้องถูกฟันตรงนั้น ซง่ึ ไจ้ ะไหลออกมาอยา่ งเรว็ ทส่ี ดุ แลว้ ออกหลวงมงคลกน็ อนลง แลว้ สง่ั ใหเ้ พชฌฆาตอกี คนหนง่ึ ซง่ึ ถกู นำตวั มาใหมใ่ หฟ้ นั เขาตรงท่ี ๆ เขาทำเครอ่ื งหมายเอาไว้ ถา้ หากฟนั พลาด ออกหลวงมงคลจะบบี คอใหเ้ หมอื นกบั ที่ทำกับเพื่อนเขาคนก่อน เพชฌฆาตฟันดาบลงไป แต่ด้วยความกลัวพลดจึงทำให้ฟันผิด ฟันไม่ถึงตาย ออกหลวงมงคลร้องดังลน่ั และสง่ั ใหฟ้ ันตรงหวั ใจ มิฉะนน้ั จะบีบคอเพชฌฆาตนีเ้ สยี อีกคนหนึง่ น่ีคอื วาระ สุดท้ายของออกหลวงมงคล บุคคลผู้น่าเกรงขาม ผู้ทำให้พระเจ้าแผ่นดินและทุกคนในราชสำนักตกอยู่ใน ความกลัว เมื่อออกหลวงมงคลสิ้นชีวิตแล้ว พระเจ้าแผ่นดินและออกญากลาโหมได้กล่าวอย่างเปิดเผยว่า พระปิตุลาและสมัครพรรคพวกสิ้นสูญพินาศไปด้วยความตายของออกหลวงมงคล แต่ตราบใดที่เขา (ออกหลวงมงคล) ยงั มชี วี ติ อยู่ ความแคน้ เคอื งและความจองลา้ งของพระปติ ลุ ากย็ งั คงคกุ รนุ่ อยเู่ รอ่ื ยไป

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๓๐๕ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงเหน็ วา่ พระองคท์ รงรอดพน้ จากศตั รทู น่ี า่ สะพงึ กลวั คนนแ้ี ลว้ กท็ รงปลอ่ ยพระองค์ ให้หลงระเริงกับความชั่วและของมึนเมาทุกชนิด บรรดาขุนนางเหลือที่จะทัดทานความทระนงและความ น่าเกรงขามของพระองค์ได้ ประชาชนต่างเหลือระอาในความเหี้ยมโหดของพระองค์ พระองค์ไม่มี จริยาวัตรดีงามเหมือนพระราชบิดา ไม่อจหวังสิ่งใดจากพระองค์ได้เลยนอกจากความทารุณ และความเข้มงวดกวดขัน เพราะว่าพระองค์ประพฤติองค์โดยเห็นแก่ความสนุกสนานทั้งมวล ทรงพอ พระทัยทอดพระเนตรการชนช้าง โปรดการขี่ม้าและฟันดาบ พระสุรเสียงขุ่นและพระพักตร์เคร่งอยู่เสมอ ประการฉะนี้จึงทำให้ความจงรักภักดีของไพร่ฟ้าประชาชนที่มีต่อพระองค์เสื่อมคลายลง แม้กระนั้นก็ไม่มี ใครกลา้ แสดงความไมพ่ อใจออกมา พระองคแ์ ทบจะไมท่ รงมสี ว่ นในการบรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื ง ทรงไวว้ าง พระทัยให้เป็นไปตามคำแนะนำของออกญากลาโหม พระองค์ไม่ทรงทราบเรื่องคณะกบฏลับซึ่งเหล่า เสวกามาตย์ได้ก่อตั้งขึ้น ไม่ทรงคิดว่าจะมีคนกล้าขับไล่พระองค์ออกจากราชบัลลังก์ หรือพยายามแย่งชิง มงกุฎของพระองค์ ออกญากลาโหมจึงสบโอาสอันเหมาะที่สุด จึงพร่ำบรรยายในสภาขุนนางถึง พระอารมณ์ร้ายของพระเจ้าแผ่นดิน ความเสเพลและมึนเมา แม้กระทั่งเรื่องความโหดเหี้ยมของพระองค์ ออกญากลาโหมแจ้งแก่เหล่าขุนนางว่า ตนเองต้องปฏิบัติภารกิจของบ้านเมืองทั้งปวงเป็นที่ยุ่งยากมาก แต่ตนก็ยังยึดมั่นในพระราชโองการครั้งสุดท้ายของพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน๑ ด้วยมีภาระรับผิดชอบ ทง้ั มวลทส่ี มุ ตวั อยู่ ในสว่ นทเ่ี ปน็ หนา้ ทข่ี องตนกจ็ ะปฏบิ ตั ไิ ปเรอ่ื ย ๆ โดยเตม็ ความสามารถเพอ่ื รกั ษาชอ่ื เสยี ง เกียรติคุณของพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง คำบรรยายในเรื่องวิธีการทำงานและ ความตั้งใจดีที่ออกญากลาโหมแสดงให้ทุก ๆ คนทราบ ทำให้ได้รับความรักของประชาชน และขุนนาง ก็นิยมเขาโดยไม่ยากนัก ผลที่ได้รับคืออกญากลาโมกลายเป็นคนสำคัญ มีความยิ่งใหญ่เหนือ กิจการงานเมืองทั้งปวง ทุกคนหันมาแสวงหาความโปรดปรานและซื้อหาเอาโดยให้ทรัพย์สินเป็นกำนัล ในงานฉลองหรอื วนั งานพธิ มี คี นตดิ ตามออกญากลาโหมคบั คง่ั ยง่ิ กวา่ เวลาพระเจา้ แผน่ ดนิ เสดจ็ ฯ เสยี อกี เพื่อจะมิให้มีข้อบกพร่องในเรื่องราวเหล่านี้ ทั้งจะได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในเรื่องที่จะกล่าวถึงใน ภายหลัง จึงคงจะไม่เป็นการนอกเรื่องหากจะพูดถึงอดีตของออกญากลาโหมเกี่ยวกับชาติกำเนิดและ ชีวิต ตลอดจนความวุ่นวายต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากความเกเรในวัยหนุ่ม บิดาของออกญากลาโหมเป็น พี่ชายคนใหญ่ของพระชนนีของพระเจ้าทรงธรรม (The Great King)๒ ชื่อว่าออกญาศรีธรรมาธิราช ๑ หมายถงึ สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม ๒ ในพระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ และฉบบั พระจกั รพรรดพิ งศ์ (จาด) ออกพระนามวา่ \"สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ทรงธรรมอันมหาประเสริฐ\" หรือ \"พระพทุ ธเจา้ หลวง\"

๓๐๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ (Oya Sidarma Thyra) ท่านผู้นี้มียศบรรดาศักดิ์แต่พ้นราชการ ไม่มีส่วนในกิจการบ้านเมืองเลย ถึงกระนั้นก็มิได้เป็นข้อกีดขวางมิให้ได้ความโปรดปราน ทั้งนี้เพราะความมีอารมณ์ดีและความโอบอ้อม ออ่ นโยนในการสนทนาปราศรยั พระเจา้ อยหู่ วั ในพระโกศ๑ทรงใหค้ วามนบั ถอื เขาในฐานะเปน็ ลงุ และโปรดปรานเขามาก แต่ออกญา ศรีธรรมาธิราชต้องถูกจำคุกบ่อยครั้งเพราะการกระทำความผิดและความชั่วร้ายต่าง ๆ ของบุตรชาย เขาได้นำออกญากลาโหมมาถวายไว้ในพระราชวังตั้งแต่ยังเยาว์วัย ครั้งแรกได้เป็นมหาดเล็กของพระเจ้า แผ่นดิน ครั้นอายุ ๑๓ ปีได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้ามหาดเล็ก ตั้งแต่นั้นมาก็แสดงให้เห็นน้ำใจและความ กล้าหาญ แต่ออกญากลาโหมใช้ชีวิตอย่างเลวทรามมาก มีความสนุกเพลิดเพลินจากการดื่มสุรา และสมรรู้ ว่ มคดิ ในการลกั ทรพั ย์ ทง้ั น้ี เนอ่ื งจากถกู ตง้ั ใหเ้ ปน็ หวั หนา้ ไปกบั พวกปลน้ ทำการปลน้ ในเวลาคำ่ คนื บ่อย ๆ เรื่องนี้เป็นเหตุให้พระเจ้าแผ่นดินต้องทรงสั่งสอน โดยใช้ดาบใหญ่ฟันศีรษะหลายทีด้ยพระหัตถ์ ของพระองคเ์ อง และสง่ ไปจำขงั ในคกุ มดื แตอ่ อกญากลาโหมกพ็ น้ โทษออกมาและไดร้ บั ความโปดปรานอกี ทั้งนี้เพราะความช่วยเหลือของอาหญิง คือพระชนนีของพระเจ้าอยู่หัว เมื่ออายุ ๑๖ ปี ก็ได้เป็นที่ พระหมื่น๒ศรีสรรักษ์ (Pramonsy Saropha) หรือผู้บังคับกองทหารมหาดเล็ก แต่ทว่าปฏิบัติหน้าที่ ในตำแหนง่ นไ้ี มด่ เี ทา่ ทเ่ี คยทำมากอ่ น ครน้ั อายุ ๑๘ ปี ไดท้ ำผดิ ซง่ึ มโี ทษถงึ ตาย แตก่ ม็ เี หตทุ ท่ี ำใหร้ อดชวี ติ มาได้ เรอ่ื งราวมดี งั น้ี ในอาณาจักรสยามมีประเพณีโบราณตั้งขึ้นมาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว คือเมื่อถึงฤดูเกี่ยวข้าว เมื่อเก็บข้าวเสร็จแล้วต้องทำความสะอาดพื้นดินเป็นการกำจัดแมลงและสิ่งปฏิกูลอื่น ๆ ด้วยการจุดไฟ ที่กอต้นข้าวที่เกี่ยวแล้ว ก่อนการหว่านต้องไถพื้นดินเสียก่อน พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกไปยังชนบทใน พระอริ ยิ าบถสงา่ งาม พรง่ั พรอ้ มดว้ ยขา้ ราชบรพิ ารจำนวนมาก เพอ่ื ทำพธิ แี รกนาขวญั ปลดปลอ่ ยพระธรณใี ห้ รอดพ้นจากภูตผีซึ่งจะได้ไม่เข้าไปปะปนกับเมล็ดข้าวและต้นข้าว ถ้าพระเจ้าแผ่นดินไม่เสด็จในงานพิธีนี้ การเพาะปลูกจะไม่เป็นผลเลย และถ้าหากพระองค์ทรงทำพิธีนี้เอง พระองค์จะดำรงพระชนมชีพไปได้ ไม่เกิน ๓ ปี อาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณในแถบนี้ของโลกซึ่งสดับเรื่องราวสำคัญนี้ได้กล่าวว่า ตนได้ตรวจ ๑ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ๒ ในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๗๙ จดหมายเหตวุ นั วลติ (ฉบบั สมบรู ณ์) ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ และฉบับท่พี มิ พ์ต่อ ๆ มา เป็นคำว่า \"จมน่ื \" คำนเ้ี รม่ิ มใี ชส้ มยั รตั นโกสนิ ทร์ (ดเู รอ่ื ง มหาดเลก็ ของกรมศลิ ปากร) นอกจากนใ้ี นจดหมายเหตลุ าลแู บร์ พระนพิ นธใ์ นพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระนราธปิ ประพนั ธพ์ งศ์ ได้ทรงอธิบายคำว่า \"หมน่ื \" ในสมยั อยธุ ยา ใช้คำนำหน้าหมื่นได้ทั้ง \"พระ\" และ \"ออก\" นั้นคือ \"ออกหมน่ื \" และ \"พระหมน่ื \" ฉะนั้นจึงเปลี่ยนจาก \"จมื่น\" เป็น \"พระหมน่ื ศรสี รรกั ษ์\" ต่อจากนี้ทุกคำที่พบ

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๓๐๗ เห็นในวิถีโคจรของดวงดาวว่า ถ้าพระเจ้าแผ่นดินไม่เปลี่ยนประเพณี และไม่มอบหน้าที่นี้ให้แก่ขุนนาง แล้ว พระราชวงศ์จะสิ้นสูญไปในไม่ช้า ฉะนั้นจึงทรงมอบหมายหน้าที่ให้แก่เจ้านายคนหนึ่งของราชสำนัก ซึ่งมีตำแหน่งเป็นสมุหนายก แต่คนผู้นี้ไม่สามารถทำพิธีนี้ได้เพราะได้สิ้นชีวิตลงอย่างกระทันหัน ทรงขอความเห็นในเรื่องเหตุบังเอิญนี้ อาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณได้ทูลตอบว่า ดาวต่าง ๆ เป็นเหตุ ให้เกิดโชคร้ายทำนองนี้แก่ผู้ได้รับมอบหน้าที่จากพระองค์ทุกคน เพื่อรักษาพิธีนี้ไว้ จำเป็นต้องมอบ หนา้ ทแ่ี กข่ นุ นางทม่ี ยี ศตำ่ โดยใหเ้ หตผุ ลวา่ เหลา่ ภตู ผพี ากนั กำเรบิ ยะโส เพราะผมู้ เี กยี รตยิ ศสงู มาทำพธิ ขี บั ไล่ และเทพเจา้ ทรงไมพ่ อพระทยั ทก่ี ษตั รยิ แ์ ละสมหุ นายกถอ่ มตนมากเกนิ ไป โดยมารว่ มในการขบั ไลภ่ ตู ผี พระเจา้ แผน่ ดนิ และทป่ี ระชมุ เสนาบดีเหน็ วา่ สมควรทจ่ี ะเหน็ ดว้ ยกบั ความคดิ อนั เปน็ ไปตามหลกั การ ของโหราจารยแ์ ละพระภกิ ษสุ งฆ์ จงึ ทรงแตง่ ตง้ั ผมู้ ตี ำแหนง่ เปน็ ออกญาขา้ ว* (Oya Khauw) เปน็ พระยา แรกนา เมอ่ื ไดร้ บั เลอื กใหท้ ำพธิ ี ออกญาขา้ วกถ็ กู สง่ ไปอยตู่ ามลำพงั ในท่ี ๆ หา่ งไกลพระนคร และไมอ่ อก จากทพ่ี กั หรอื บรเิ วณรอบ ๆ บา้ นดว้ ย จนกระทง่ั ถงึ วนั กำหนดทำความสะอาดประเทศ จงึ ไดก้ ลบั ไปยงั ราชสำนกั เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์พระราชทานพระภูษาใหม่อันเป็นฉลององค์ของกษัตริย์และให้สวมมงกุฎ รปู กรวยแหลมลงบนศรี ษะ ออกญาขา้ วตอ้ งนง่ั ในบษุ บกเลก็ ๆ ทรงพรี ะมดิ มคี น ๘ คนหาม ออกเดนิ จาก พระราชวังไปตามถนน มีบริวารล้นหลามพร้อมด้วยเครื่องดีดสีตีเป่าติดตามไปยังชนบท ทุก ๆ คนแม้แต่ เสวกามาตย์และชาววังคนอื่น ๆ ถวายเกียรติยศทำนองเดียวกับที่ถวายพระเกียรติยศแก่พระเจ้าแผ่นดิน ทั้งนี้ เพราะเขาได้ถูกสมมติให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ออกญาข้าวไม่ได้รับค่าตอบแทนอื่นใดนอกจาก เงนิ ทเ่ี กบ็ จากคา่ ปรบั ไหมจากคนทพ่ี บกลางทาง และคนทไ่ี มป่ ดิ ประตบู า้ นเมอ่ื ขบวนผา่ นมา หรอื คนทเ่ี ปดิ รา้ นหรอื แผงลอยในถนนโลง่ ๆ จา่ ยให้ เพราะเขามสี ทิ ธแิ ยง่ ยอ้ื เอาจนกวา่ คนเหลา่ นน้ั จะยอมจา่ ยเงนิ ชดเชย ให้ ทง้ั น้ี เขาไดร้ บั เงนิ รวม ๓ ชง่ั เปน็ เงนิ สยาม มคี า่ มากกวา่ ๔๐ เหรยี ญโบราณของสเปนเลก็ นอ้ ย สำหรบั วันนั้น ในทันทีที่ออกจากพระราชวังก็มีอำนาจและเกียรติยศเช่นเดียวกับพระเจ้าอยู่หัว ยิ่งกว่านั้นเพื่อให้ สมเหตุสมผล พระเจ้าแผ่นดินเองจะไม่เสด็จจากพระราชวังเลย และไม่ปรากฏองค์ให้ใครเห็นด้วย พระยาแรกนาเมื่อมาถึงโรงพิธี ก็อนุญาตให้ทุก ๆ คน เข้าโจมตีต่อสู้กับพรรคพวกและบริวารผู้ติดตาม มีกฎอยู่ว่า ผู้ที่เข้าโจมตีจะแตะต้องตัวหรือองครักษ์ของพระยาแรกนาไม่ได้ ถ้าหากพระยาแรกนาได้ ชยั ชนะในการตอ่ สกู้ บั ฝงู ชนแลว้ จะเปน็ สญั ลกั ษณว์ า่ ปนี น้ั ขา้ วจะอดุ มสมบรู ณ์ และถา้ การกลบั ตรงกนั ขา้ ม พระยาแรกนาต้องหนีกระเจิง ก็ทำนายได้ว่าเป็นลางร้ายและเกรงว่าภูตผีจะทำลายพืชผลของแผ่นดิน * คงจะเป็นออกญาพลเทพ ซง่ึ เปน็ อธบิ ดกี รมนา

๓๐๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พิธีขำ ๆ เหล่านี้จบลงอย่างง่าย ๆ แต่มีบ่อยครั้งที่การต่อสู้รุนแรงถึงมีผู้เสียชีวิตหลายคน สุดท้ายของพิธีนี้ พระเจ้าแผ่นดินปลอมได้กลับไปยังพระราชวังในเวลาเย็น เพื่อถอดมงกุฎและเครื่องทรงกษัตริย์ออก กลับมียศตำแหน่งสามัญดังเดิม ตลอดปีนั้นเขาจะอยู่เย็นเป็นสุขหรือว่าเจ็บไข้ ก็แล้วแต่โชคดีร้ายและ คา่ ปรบั สนิ ไหมทไ่ี ดร้ บั ในวนั นน้ั ขณะนั้นออกญากลาโหมเพิ่งมียศเป็นพระหมื่นศรีสรรักษ์ และมีอายุประมาณ ๑๘ ปี วันหนึ่ง เมื่อมีการทำพิธีนี้ เขาได้อยู่ที่ชนบทนั้นด้วย โดยมากับน้องชายซึ่งบัดนี้เป็นฝ่ายหน้าหรือมหาอุปราช ทั้ง ๒ คนขี่ช้างมีบ่าวไพร่ติดตามมาหลายคน และได้เข้าโจมตีพระยาแรกนาอย่างดุเดือด ดูเหมือนว่า มีเจตนาจะฆ่าพระยาแรกนาและกลุ่มผู้ติดตามทั้งหมดด้วย ฝ่ายองครักษ์เห็นดังนั้นก็เข้าต่อสู้ป้องกัน พระเจ้าแผ่นดินปลอม ต่อต้านสองขุนนางหนุ่ม และขว้างก้อนหินไปถูกน้องชายได้รับบาดเจ็บ พระหมื่น ศรสี รรกั ษก์ ถ็ อดดาบและโถมเขา้ สอู้ ยา่ งดเุ ดอื ด จนพระยาแรกนาและองครกั ษจ์ ำตอ้ งถอยหนี พระยาแรกนา กลับมายังพระราชวังและนำความกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นโดยพระหมื่น ศรสี รรกั ษเ์ ปน็ ผกู้ อ่ พระเจ้าอยู่หัวกริ้วเป็นกำลังถึงเรื่องความชั่วร้ายที่ได้เกิดขึ้น พระองค์รับสั่งให้ค้นหาตัวพระหมื่น ศรีสรรักษ์ และให้นำมายังพระราชวัง แต่คนชั่วผู้นี้รู้ตัวดีว่ามีผู้ติดตามจับ จึงซ่อนตัวอยู่ในโบสถ์กับ บรรดาพระสงฆ์ และไม่กล้าเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินในขณะที่ทรงพิโรธหนัก เมื่อพระเจ้าแผ่นดินไม่อาจ ลงโทษให้สมกับพระอารมณ์ขุ่นเคืองได้ ออกญาศรีธรรมาธิราชจำต้องได้รับผลการกระทำนี้ พระองค์ รับสั่งว่าจะประหารชีวิตเขาถ้าหากไม่นำตัวบุตรชายมาเฝ้า พระหมื่นศรีสรรักษ์เมื่อทราบข่าว จึงออกจาก ทห่ี ลบซอ่ นมาเฝา้ พระเจา้ อยหู่ วั และทลู ขอพระราชทานอภยั โทษ แตถ่ กู มหาดเลก็ จบั ตวั ไว้ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงฟันเขา ๓ ทีที่ขาทั้ง ๒ ข้าง จากหัวเข่าลงมาถึงข้อเท้า แล้วพระองค์จับเขาโยนเข้าไปในคุกใต้ดิน รบั สง่ั ใหพ้ นั ธนาการไวด้ ว้ ยโซต่ รวนทส่ี ว่ นทง้ั ๕ ของรา่ งกาย พระหมน่ื ศรสี รรกั ษถ์ กู จำขงั อยใู่ นคกุ มดื เปน็ เวลา ๕ เดอื น จนกระทง่ั เจา้ ขรวั มณจี นั ทร์ (Zian Croa Mady Tjan)* ชายามา่ ยของพระเจา้ อยหู่ วั ในพระโกศ คอื พระ Marit หรอื พระองคด์ ำ๑ไดท้ ลู ขอ จงึ ไดก้ ลบั เปน็ ทโ่ี ปรดปรานอกี * พระชายาสมเด็จพระนเรศวร ฉบับภาษาฮอลันดา เขียนว่า Tjau Croa Mahadijtjan ไม่ใช่ Zian Croa Madi Tjan ดงั คำแปลฉบบั ภาษาองั กฤษและฝรง่ั เศส พระนามจรงิ จะเปน็ เจา้ ขรวั มหา… ไมใ่ ช่ เจา้ ขรวั มณจี นั ทรด์ งั เขา้ ใจกนั ๑ หมายถึง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๓๐๙ พระหมื่นศรีสรรักษไ์ ม่อาจลืมการลงอาญาที่โหดร้ายทารุณนี้ได้ แม้ว่าตนสมควรจะได้รับโทษนั้น นบั แตน่ น้ั มา กก็ ระหายทจ่ี ะแกแ้ คน้ ทดแทน ทส่ี ำคญั กค็ อื ตอ้ งการทำลายลา้ งพระองคท์ อง (Phra Onthong) และพระศรีสิน๑ (Phra Sysingh)* พระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นที่โปรดปรานรักใคร่เหนือสิ่งอื่น พระหมน่ื ศรสี รรกั ษเ์ ชญิ สหายสค่ี นมาเลย้ี งอาหารเยน็ ทบ่ี า้ น เพอ่ื ดำเนนิ การแผนการชว่ั รา้ ยน้ี คนทง้ั ๔ คอื ออกหลวงพบิ ลู (Oloangh Pibon) ซง่ึ เปน็ ออกญานครราชสมี า (Oya Carassima) แตเ่ สยี ชวี ติ ตง้ั แตย่ งั หนมุ่ จงใจภกั ด์ิ (Choen Choenpra) ซง่ึ ตอ่ มาไดเ้ ปน็ ออกพระจฬุ า (Opra Tiula) อภยั รณรงค์ (Eptiongh Omongh) ตอ่ มาไดเ้ ปน็ ออกญาพษิ ณโุ ลก (Oya Poucelouck) และจางใหม่ จางวาง (Tiongh Maytiau Wangh) ต่อมาได้เป็นออกญาพระคลัง (Oya Berckelangh) เมื่อพระหมื่นศรีสรรักษ์ได้เกลี้ยกล่อมคน เหล่านั้นเป็นอย่างดี และครั้นผีร้ายได้เข้าสิงความคิดของคนพวกนั้นแล้ว พระหมื่นศรีสรรักษ์จึงขยายให้รู้ ถึงแผนการแก้แค้นเจ้านายด้วยความอาฆาตพยาบาท โดยอ้างเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินลงพระอาญาเขา ในความผิดหนหลัง ฉะนั้น ต่างคนจึงให้สัตย์สาบานไว้ต่อกันเป็นมั่นคง ด้วยการดื่มเลือดของแต่ละคน อันเป็นพิธีที่เคยปฏิบัติกันมา ขุนนางทั้ง ๔ คนนี้สัญญาจะช่วยเหลือสนับสนุนพระหมื่นศรีสรรักษ์ และในที่สุดได้ลงความเห็นว่า สมควรบุกเข้าไปในปราสาทซึ่งเจ้าชายทั้งสองประทับอยู่เข้าไปในห้อง และปลงพระชนมเ์ สยี ภายหลงั ทว่ี างแผนแลว้ ๔ หรอื ๕ วนั ทาสคนหนง่ึ ของพระหมน่ื ศรสี รรกั ษก์ เ็ ผย อุบายนั้น พระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้หาตัวเขามาเฝ้า และตรัสถามถึงสาเหตุที่เขาคิดการรุนแรงร้ายกาจ ต่อพระอนุชาทั้งสองของพระองค์ พระหมื่นศรีสรรักษ์ทูลปฏิเสธและสาบานอย่างน่ากลัว เพื่อยืนยัน คำปฏิเสธของตน แต่พระเจ้าอยู่หัวแน่พระทัยในความจริงของข้อกล่าวหานี้ พระองค์พิโรธหนักและคง จะฆ่าเขาเสียแล้วด้วยดาบญี่ปุ่น ถ้าหากดาบไม่ติดสายสะพายซึ่งทำให้ทรงฟันพลาด พระหมื่นศรีสรรักษ์ หาที่หลบซ่อนตัว แต่พระเจ้าแผ่นดินทรงจับเขาได้และฟันลงที่บ่าและหลังด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แล้วพระองค์รับสั่งให้ขังพระหมื่นศรีสรรักษ์และสมัครพรรคพวกไว้ในคุกมืด รวมกับพวกหัวขโมยและ ฆาตกร พระเจ้าแผ่นดินทรงขังออกญาศรีธรรมาธิราช บิดาของพระหมื่นศรีสรรักษ์ไว้ด้วย แต่ออกญา ผนู้ ไ้ี มม่ คี วามผดิ พระองคจ์ งึ ปลอ่ ยใหเ้ ปน็ อสิ ระ ๑ ในประชุมพระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนาสมัยอยุธยาภาค ๑ ซึ่งได้กล่าวถึงการกัลปนาที่ดิน ผู้คนถวายแก่พระอารามเมือง นครศรธี รรมราช และพทั ลงุ ในรชั สมยั สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม ศกั ราช ๙๗๒ หรอื พ.ศ. ๒๑๕๓ ไดร้ ะบพุ ระนาม \"สมเดจ็ บรมบพติ ร พระพทุ ธศรสี งิ ห\"์ สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะเป็นพระองค์เดยี วกนั น้ี หรอื ในพระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ระบพุ ระนามวา่ \"พระศรศี ลิ ป\"์ * พระอนชุ าสมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม ทรงพระนามพระองคท์ อง และพระศรสี นิ โดยเฉพาะพระศรสี นิ ไมใ่ ช่ พระราชบตุ ร ดงั ทป่ี รากฏ ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา

๓๑๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ หลายปีต่อมาพระเจ้าอยู่หัวทรงเตรียมกองทัพที่แข็งแกร่งยิ่ง ๒ ทัพ ทรงมุ่งทำสงครามในประเทศ เขมรเพอ่ื ทวงความสวามภิ กั ดข์ิ องประเทศนน้ั พระหมน่ื ศรสี รรกั ษถ์ อื โอกาสอนั เหมาะนอ้ี อ้ นวอนออกญาอปุ ราช* ให้ทูลขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระเจ้าแผ่นดิน เพราะว่าเมื่อพ้นจากคุกแล้ว เขาจะไถ่โทษด้วยการ ทำการรบอยา่ งกลา้ หาญ โดยใหส้ ญั ญาวา่ จะตง้ั ใจทำการสรู้ บ ออกญาอปุ ราชเปน็ หวั หนา้ ขนุ นางในประเทศ และได้คุมกองทัพเรือร่วมกับออกญาพระคลัง เพราะพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชประสงค์คุมกองทัพบก ไปด้วยพระองค์เอง เมื่อได้สดับคำทูลอ้อนวอนของขุนนางเหล่านี้ พระเจ้าแผ่นดินจึงทรงปล่อยพระหมื่น ศรีสรรักษ์พร้อมด้วยสมัครพรรคพวกเป็นอิสระ ภายหลังที่ติดคุกอยู่เป็นเวลากว่า ๓ ปี และส่งตัวไปรบ เขมรทางทะเล อันที่จริงแม้สงครามครั้งนี้ไม่สำเร็จดังที่พวกตนได้สัญญาไว้ แต่พระหมื่นศรีสรรักษ์ ก็ทำการรบอย่างเข้มแข็ง แม่ทัพทั้งหลายได้เสนอความดีความชอบให้ พระหมื่นศรีสรรักษ์จึงกลับเป็นที่ โปรดปรานของพระเจา้ แผน่ ดนิ อกี ครง้ั หนง่ึ ทรงใหเ้ ขากลบั เขา้ รบั ราชการในราชสำนกั ได้ และพระราชทาน ตำแหนง่ ใหเ้ ปน็ จมน่ื สรรเพธภกั ดี๑ (Sompan Meon) แมก้ ระนน้ั กด็ ี พระหมน่ื ศรสี รรกั ษก์ ไ็ มเ่ ปลย่ี นแปลง อปุ นสิ ยั สนั ดาน เพราะมาเปน็ ชกู้ บั พระชายาและสนมของเจา้ ชายพระอนชุ าของพระเจา้ แผน่ ดนิ พระอนชุ าได้ กราบทูลร้องทุกข์อย่างขมขื่นในเรื่องนี้ พระเจ้าแผ่นดินทรงกริ้วมากถึงกับตัดสินลงโทษให้ประหารชีวิต ด้วยเห็นแก่คำอ้อนวอนของพระราชมารดา และออกญาศรีธรรมาธิราชบิดาของเขา จึงทรงลดโทษลงเป็น จำคุกตลอดชีวิต พระหมื่นศรีสรรักษ์ติดคุกอีก ๓ ปี เกิดความรู้สึกสำนึกตน จากนั้นมาก็ประพฤติตน เป็นที่นิยมของผู้คน และได้แสดงให้เห็นถึงน้ำใจและความแคล่วคล่องในการงาน จนพระเจ้าแผ่นดิน พระราชทานตำแหน่งออกญาศรีวรวงศ์ มีหน้าที่ควบคุมดูแลพระราชวัง อาจกล่าวได้ว่าระหว่างปีท้าย ๆ ในรัชกาลของกษัตริย์องค์นี้ ออกญาศรีวรวงศ์เท่านั้นที่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าแผ่นดิน ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยในระหว่างประชวรครั้งสุดท้าย เมื่อเขาจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นไปตาม แผนการชั่วของตนแล้ว ตอนเริ่มรัชกาลใหม่ ก็ได้เป็นออกญากลาโหม เกียรติยศซึ่งได้รับอยู่ขณะนี้เป็น เสมือนขั้นที่ก้าวไปสู่ตำแหน่งกษัตริย์ โดยการยึดบ้านเมืองมาจากพระเจ้าแผ่นดิน และกำจัดราชตระกูล ใหส้ ญู สน้ิ ไป ได้กล่าวมาแล้วถึงสาเหตุที่ทำให้ออกญาศรีวรวงศ์ได้เป็นออกญากลาโหมผู้ก่อความยุ่งยากขึ้นเพื่อ กวาดล้างขุนนางที่มีอำนาจสูงสุด ร่ำรวยที่สุด และสำคัญที่สุด โดยกล่าวหาว่าคนเหล่านั้นเกลียดชัง * Oya Ombrat ๑ สนั นษิ ฐานวา่ ชอ่ื ตำแหนง่ นม้ี คี วามสบั สน และยงั หาขอ้ สรปุ ทแ่ี นช่ ดั ไมไ่ ด้

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๓๑๑ พระเจา้ แผน่ ดนิ เปน็ สมคั รพรรคพวกของพระปติ ลุ า ขนุ นางบางคนถกู ประหารชวี ติ คนอน่ื ๆ ถกู เนรเทศหรอื จำคุก ตำแหน่งราชการที่ว่างลงก็มอบให้แก่คนของออกญากลาโหม ทรัพย์สมบัติของผู้ที่ถูกประหารและ ผู้ที่ถูกถอดซึ่งริบเอามานั้น ได้แจกจ่ายให้แก่บรรดาคนโปรดซึ่งตนหมายจะใช้ประโยชน์ในโอกาส ซง่ึ จะมาถงึ ในไมช่ า้ ดงั จะไดเ้ หน็ ตอ่ ไป การบรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื งทง้ั ปวงซง่ึ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงปลอ่ ยใหเ้ ขารบั ภาระได้อำนวยประโยชน์ให้เขามากในการผูกมิตรไมตรี และด้วยอำนาจหน้าที่ ทำให้ออกญากลาโหม เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป ออกญาศรีธรรมาธิราชถึงแก่กรรมก่อนพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตไม่นาน และน้องชายก็สิ้นชีวิตในเวลาต่อมา ในการจัดงานปลงศพน้องชาย ออกญากลาโหมได้นำอัฐิของบิดาซึ่ง ฌาปนกิจเรียบร้อยแล้วโดยถูกต้องตามประเพณีมาเผาใหม่อีกครั้งหนึ่ง การกระทำเยี่ยงนี้เป็นเกียรติ ซึ่งใช้เฉพาะพระเจ้าแผ่นดินหรือพระมหาอุปราชซึ่งสืบราชบัลลังก์ เมื่อเจ้านายในราชตระกูลได้พ่ายแพ้ไป ไม่ว่าโดยปราบดาภิเษกหรือโดยได้รับเลือกก็ตาม พระองค์อาจขุดอัฐิของพระราชบิดาหรือพระประยูรญาติ ขึ้นมาเผาตามพระราชพิธีได้ เหล่าเสวกามาตย์และขุนนางผู้ใหญ่อื่น ๆ จำนวนมาก ได้ไปในงานเผาศพ น้องชายและเผากระดูกบิดาของออกญากลาโหมอย่างคับคั่ง ทั้งนี้ เพื่อเป็นเกียรติแก่ออกญากลาโหม พธิ นี ท้ี ำอยู่ ๓ วนั และทำอยา่ งโออ่ า่ หรหู ราซง่ึ ไมม่ ขี นุ นางคนใดเคยทำไดเ้ หมอื น ซง่ึ เปน็ การผดิ ประเพณไี ทย พระราชมารดาของพระเจา้ แผน่ ดนิ ๑นน้ั ทรงขนุ่ เคอื งออกญากลาโหมอยแู่ ลว้ ทใ่ี หต้ ำแหนง่ สำคญั ๆ ของบ้านเมืองแก่คนและสมัครพรรคพวกของตนเอง จึงทรงฉวยโอกาสเพ็ดทูลพระเจ้าแผ่นดินให้เกิดความ ระแวงสงสยั และใหเ้ ปน็ ทเ่ี กลยี ดชงั ดว้ ย พระนางทรงปรกึ ษาหารอื และคบคดิ กบั เหลา่ ศตั รขู องออกญากลาโหม ทรงชี้แจงถึงความประพฤติชั่วร้ายต่าง ๆ ของออกญากลาโหม ซึ่งไม่ยากเลยที่พระเจ้าแผ่นดินจะเพ่งเล็ง สงสัยขุนนางเหล่านั้น และทรงคิดกำจัดเสนาบดีคนโปรดผู้นี้เสีย แต่ทรงสำนึกได้ว่าพระองค์ไม่อาจแก้ไข อำนาจของพระองค์ที่อยู่หลังอำนาจของเสนาบดีผู้นี้ได้ พระองค์ตัดสินพระทัยอย่างกะทันหันและทรง ตัดสินโทษออกญากลาโหมอย่างไม่รอบคอบและหุนหันพลันแล่น โดยทรงต้องการให้ออกญากลาโหมถึง พนิ าศไปดงั เชน่ ทไ่ี ดท้ ำแกค่ นอน่ื ๆ ในวันที่สามของงานปลงศพน้องชายออกญากลาโหม พระองค์เสด็จขึ้นประทับเหนือราชบัลลังก์ ทรงบรภิ าษดว้ ยความแคน้ เคอื งจดั วา่ ขนุ นางทกุ คนเปน็ อะไรไป ทำไมไมม่ าสพู่ ระราชวงั และหมอบเฝา้ ตาม ที่ของตนในเวลาเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ดังเช่นเคย ออกญาพระคลังซึ่งเป็นสมัครพรรคพวก และเป็นคนของออกญากลาโหมได้มายังพระราชวังเนือง ๆ เพื่อสังเกตพระอารมณ์ของพระเจ้าแผ่นดิน ๑ หมายถงึ สมเดจ็ พระเชษฐาธริ าช

๓๑๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ และเพื่อดูว่าพระองค์จะทำประการใด เขากราบทูลว่าออกญากลาโหมติดธุระในการเผาศพน้องชาย และกระดกู บดิ า ทง้ั เพด็ ทลู วา่ ขนุ นางทง้ั หลายไดร้ บั เชญิ ใหไ้ ปรว่ มในพธิ เี ผาศพน้ี ฉะนน้ั พระเจา้ แผน่ ดนิ จงึ ทรง ระบายความกรว้ิ ออกมาอยา่ งโงเ่ ขลา ตรสั ยอ้ นวา่ \"ขา้ คดิ วา่ อาณาจกั รไทยมพี ระเจา้ แผน่ ดนิ เพยี งองคเ์ ดยี ว และคิดว่าตัวข้าเองเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ราชาภิเษกตามกฎหมายจริง ๆ ไพร่ฟ้าประชาชนไม่ว่าจะอยู่ใน ชั้นใดตำแหน่งใดก็ตาม ต้องให้เกียรติยศเคารพและเชื่อฟังข้า แต่ข้าเห็นว่าข้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินแต่ชื่อ อันที่จริงออกญากลาโหมนั่นแหละคือพระเจ้าแผ่นดิน ขุนนางทุกคนพากันหยุดงานที่ต้องปฏิบัติต่อข้า ทอดทิ้งข้าไป และฝักใฝ่อยู่แก่ออกญากลาโหม ข้าจะจัดการให้สาสมทีเดียว เมื่อออกญากลาโหมเข้ามา ในวงั กบั พรรคพวก ขา้ จะทำกบั มนั นใ้ี หส้ มกบั ทล่ี ะเลยตอ่ หนา้ ท่ี โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ตวั ออกญากลาโหมเอง ข้าจะขัดขวางทุกทางไม่ให้มันมีบริวารมากมายในกาลข้างหน้า ไม่ให้มีเกียรติยศที่สร้างให้แก่ตัวเอง โดยเอาพอ่ และนอ้ งชายมาบงั หนา้ \" ออกญาพระคลงั ตอ้ งการขอพระราชทานอภยั โทษใหแ้ กอ่ อกญากลาโหม และเพื่อแสดงให้พระเจ้าแผ่นดินทรงเห็นว่าความรักและเคารพที่มีต่อบิดาเป็นเหตุชักจูงให้ออกญากลาโหม กระทำไปเช่นนั้น แต่พระเจ้าแผ่นดินทรงตระหนักดีว่าออกญาพระคลังเป็นพรรคพวกคนหนึ่งของออกญา กลาโหม พระองค์ทรงตัดสินลงโทษออกญากลาโหมอย่างโหดร้ายและสั่งให้ประหารชีวิตเสีย กับรับสั่ง ให้ราชองครักษ์และเหล่าทหารเตรียมพร้อม แล้วพระองค์เสด็จขึ้นด้วยความพิโรธหนัก ซึ่งทำให้ขาด การไตรต่ รองโดยรอบคอบวา่ ออกญากลาโหมอาจจะไมเ่ ลกิ ชมุ นมุ พรรคพวกทเ่ี ขม้ แขง็ กไ็ ด้ ในเมอ่ื ไดล้ ว่ งรถู้ งึ การกระทำซง่ึ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงแสดงออกมา ออกญาพระคลังหนีพ้นภาวะยุ่งยากไปได้อย่างลอยนวล เมื่อออกจากพระราชวังก็รีบร้อนไปพบ ออกญากลาโหม และเล่าให้ออกญากลาโหมฟังถึงข้อความที่เขาได้ยินจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าแผ่นดิน รวมทง้ั การกระทำและผลเสยี ทต่ี นและมติ รสหายหวน่ั วา่ จะไดร้ บั ออกญากลาโหมแสดงความประหลาดใจ อยา่ งใหญห่ ลวง มอี าการถอนใจ โศกเศรา้ จนบรรดาขนุ นางทอ่ี ยใู่ กล้ ๆ ไตถ่ ามถงึ สาเหตขุ องการเปลย่ี นแปลง โดยกะทันหันที่พวกตนได้เห็น ออกญากลาโหมเล่าให้ขุนนางเหล่านั้นฟังถึงเรื่องที่ออกญาพระคลัง เพง่ิ แจง้ ใหท้ ราบ เขาพดู ดว้ ยถอ้ ยคำทจ่ี บั ใจและคาดคะเนวา่ พระเจา้ แผน่ ดนิ คงจะทรงขดั เคอื งพวกเขาเหลา่ นน้ั ออกญากลาโหมได้กล่าวเสริมว่า ตนพร้อมที่จะตาย ถ้าหากเลือดของตนสามารถดับเพลิงพิโรธที่รุมล้อม พระเจ้าแผ่นดินและสามารถทำให้พระองค์คืนดีกับขุนนางทั้งปวง \"แต่เมื่อพระเจ้าอยู่หัวสั่งประหาร ข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนที่พระองค์พระราชทานความโปรดปรานอย่างลึกซึ้งและเป็นถึงหัวหน้าเสนาบดีแล้ว ท่านทั้งหลายจะไม่หวาดหวั่นต่อความพินาศทั้งนี้หรือ ท่านจะรักษาตัวให้พ้นจากเงื้อมมือของ

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๓๑๓ คนใจโหดผู้นี้ได้อย่างไร แล้วใครจะอยู่ในพระราชวังคอยขัดขวางมิให้พระองค์ทรงกระทำไปตาม แผนการอันชั่วร้ายของพระองค์ ข้อสำคัญ ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหลายคิดดูเถิดว่าสถานการณ์บ้านเมือง นี้จะเป็นอย่างไร ภายหลังที่พระองค์ทรงประหารชีวิตพวกเราทุกคนแล้ว เพราะท่านย่อมทราบดีอยู่แล้วถึง พระชนมายุของพระองค์ ท่านย่อมรู้ถึงพระราชประสงค์อันเป็นไปตามพระนิสัยที่เลวร้าย ตลอดจน พระอารมณ์ ความมีอคติหลงมัวเมาและความโหดร้ายของพระองค์ได้ดีกว่าข้าพเจ้า ถ้าหากสิ่งนี้ เป็นความประพฤติของพระองค์ในขณะนี้ พระองค์จะเป็นเช่นไรเมื่อพระองค์ได้ประหารชีวิตมุขมนตรี ส่วนใหญ่เสีย และไม่ได้รับความช่วยเหลืออีกต่อไปจากเหล่าเสนาบดีที่ปรึกษาซึ่งแวดล้อมพระองค์อยู่ใน ขณะนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อเหตุการณ์เหล่านั้นได้เกิดขึ้นแล้ว บ้านเมืองของเราจะไม่ยุ่งเหยิงอยู่ใน ภาวะสงครามกลางเมือง บางทีอาจต้องทำสงครามกับต่างชาติก็ได้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้เราต้องอยู่ใต้ การปกครองของประเทศเพอ่ื นบา้ น และประเทศบา้ นเมอื งกอ็ าจจะสน้ิ สดุ ลงอยา่ งนา่ เศรา้ สลด\" สุนทรพจน์ที่ออกญากลาโหมกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นแสดงอาการโศกาดูรนี้ บีบคั้นจิตใจบรรดา ขุนนางทหารอย่างยิ่ง จนคนเหล่านั้นยินยอมผูกมัดตนเองเข้าเป็นมิตรเพื่อผลประโยชน์ของออกญา กลาโหมอีกครั้งหนึ่ง ต่างทำสัญญากันในระหว่างพวกตนกำชับรับรองกันด้วยการสาบานอย่างมั่นเหมาะ โดยดื่มโลหิตซึ่งกันและกัน คนพวกนี้ทำสัญญากับตนเองว่า จะไม่ยอมให้พระเจ้าแผ่นดินจับพวกตน คนใดคนหนง่ึ ไป และจะรว่ มกนั กบั พวกพอ้ งตอ่ ตา้ นปฏกิ ริ ยิ าทพ่ี ระเจา้ แผน่ ดนิ ปรารถนาจะกระทำตอ่ พวกตน เพอ่ื ใหแ้ นใ่ จในความตง้ั พระทยั มน่ั ของพระเจา้ แผน่ ดนิ และเพอ่ื จะไดท้ ราบวา่ พระองคท์ รงหายกรว้ิ แลว้ หรอื ยงั หรอื พระองคท์ รงตดั สนิ พระทยั เดด็ เดย่ี วทจ่ี ะตอ่ ตา้ นออกญากลาโหมและขนุ นางคนอน่ื ๆ อยา่ งไรบา้ ง ออกญากลาโหมจึงให้ออกญาพระคลังไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินเพื่อฟังความคิดเห็นของพระองค์ และให้ พยายามทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ตนและมิตรสหายด้วย ออกญาพระคลังผู้นี้เป็นคนบึกบึนช่าง เจรจา อันเป็นนิสัยที่เกิดขึ้นตั้งแต่หนุ่มเมื่อครั้งอยู่ในราชสำนัก ในฐานะที่เป็นแม่กองมหาดเล็กของ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน ในการมาพระราชวังครั้งนี้ออกญาพระคลังกล้ากราบบังคมทูลถึง ความมุ่งหมายที่ตนมา และหาวิธีหว่านล้อมพระเจ้าแผ่นดินว่า พระองค์ทรงรับฟังคำเพ็ดทูลที่ต่ำช้าใน เรื่องเจตนาและความประพฤติของออกญากลาโหมและขุนนางอื่น ๆ แต่กลับได้เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพิโรธมากขึ้นเป็นทวีคูณ ถึงกับทรงห้ามออกญาพระคลังกราบทูลเรื่องนี้แก่พระองค์อีก และตรัสว่า ออกญาพระคลังเป็นพรรคพวกคนหนึ่งของออกญากลาโหมด้วยเหมือนกัน พระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้ ออกญาพระคลังไปให้พ้นจากราชสำนัก ให้กลับไปหาพวกตนซึ่งเป็นคนทรยศต่อพระองค์เช่นเดียวกัน

๓๑๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ แล้วพระองค์ทรงดำเนินการเป็นปรปักษ์ต่อออกญากลาโหมและพรรคพวกต่อไปอีก เมื่อเห็น พระเจา้ แผน่ ดนิ มพี ระอารมณเ์ ชน่ น้ี ออกญาพระคลงั กห็ วาดกลวั และออกจากพระราชวงั ไป และรายงานให้ ออกญากลาโหมและขุนนางทั้งปวงทราบเรื่องตามที่ได้ประสบมา ออกญาพระคลังแนะนำให้ขุนนาง ทั้งหลายกลับไปยังบ้านเรือนของตนเพื่อนำอาวุธ แล้วจึงกลับมาชุมนุมกันใหม่ตามเวลาที่กำหนดไว้ เพื่อจะได้มุ่งตรงไปยังพระราชวังเข้าจู่โจมและคุมอำนาจไว้ทั้งหมด จะจับพระเจ้าแผ่นดินมาเป็นนักโทษ ทุกคนเห็นพ้องกับคำแนะนำนี้ ต่างแยกย้ายกันกลับไปบ้านเรือนเพื่อเตรียมอาวุธและบ่าวไพร่ จะได้ กลับมาพบกันอีกตามเวลาที่นัดหมายกันไว้ อย่างไรก็ตามออกญาพระคลังกล้ากลับไปที่พระราชวังอีก เป็นครั้งที่สาม ดูเผิน ๆ ก็เพื่อไปทูลอ้อนวอนต่อพระเจ้าแผ่นดินซ้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อออกญากลาโหม แต่ความจริงแล้วต้องการจะสืบดูว่าเหตุการณ์ที่พระราชวังเป็นเช่นไร และเพื่อกันมิให้พระเจ้าแผ่นดิน สงสัยในเจตนารมณ์ของบรรดาขุนนาง และเพื่อจะเตือนให้ขุนนางเตรียมพร้อมที่จะรับการต่อต้านขัดขวาง ถา้ หากวา่ แผนการของตนรว่ั ไหลออกไป ขณะนน้ั ออกญากำแหง เปน็ คนหนง่ึ ในบรรดาขนุ นางทม่ี อี ำนาจมากทส่ี ดุ ในอาณาจกั ร เปน็ ทเ่ี คารพ ยำเกรงอย่างยิ่ง โดยชาติกำเนิด ความจงรักภักดี และทรัพย์สมบัติ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเขามีช้าง มากกว่า ๒๐๐ เชือก มีข้าทาส ๒,๐๐๐ คน และมีม้าอีกเป็นจำนวนมาก ออกญากำแหงมิได้มา ร่วมในพิธีเผาศพน้องชายของออกญากลาโหม และไม่มีส่วนสมรู้ร่วมคิดในแผนอุบายนี้ มีเหตุผล ควรกลัวเกรงได้ทีเดียว เพราะออกญากำแหงเป็นคนที่ภักดีต่อราชสำนัก คงจะเข้าฝ่ายพระเจ้าแผ่นดิน ต่อต้านขัดขวางพวกขุนนางร่วมกับพระองค์ ออกญากลาโหมกับออกญาศรีวรวงศ์น้องชาย จึงไปหา ออกญากำแหงที่บ้าน ออกญากลาโหมคร่ำครวญอย่างขมขื่นถึงเรื่องที่พระเจ้าอยู่หัวกำลังแสดงพระองค์ เปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ ตนและบรรดามขุ มนตรผี มู้ ารว่ มงานอยา่ งบรสิ ทุ ธใ์ิ จในพธิ เี ผาศพซง่ึ พระองคท์ รงอนญุ าตแลว้ และพูดเสริมว่าตนพร้อมที่จะตายอย่างทรมานไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ๆ ที่พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชประสงค์ แต่ตนรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างยิ่งที่ขุนนางจำนวนมากจะถูกลงพระราชอาญาเพราะมีความนิยมชมชอบ ในตน ทั้งนี้ เป็นการโหดร้ายมากและกล่าวว่าพระราชประสงค์อันเลวร้ายของพระเจ้าแผ่นดินครั้งนี้ ไม่อาจหลีกพ้นจากการต่อสู้ขัดขวางอย่างกล้าหาญเสียได้ ออกญากลาโหมมิได้ปิดบังเรื่องความจำเป็น ที่ได้บีบคั้นให้ตนตัดสินใจต่อต้านพระเจ้าอยู่หัวในเมื่อไม่เห็นประโยชน์ทางอื่นที่จะรักษาชีวิตพวกตนไว้ได้ ทั้งหมดนี้ออกญากลาโหมพูดอย่างแสดงความภักดีและมีไมตรีอย่างยิ่ง เมื่อเห็นออกญากำแหงซาบซึ้งใน ถ้อยคำแล้ว ตนและน้องชายก็หมอบลงแทบเท้าของออกญากำแหง แสดงความเคารพเช่นกับเป็นบิดา

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๓๑๕ ของตนทั้งสอง ทั้งขอร้องให้ออกญากำแหงรับเขาไว้ในฐานะบุตรบุญธรรม ขอให้ช่วยคุ้มครองชีวิตของตน ให้พ้นจากความโหดเหี้ยมของกษัตริย์ชั่วร้ายพระองค์นี้ ออกญากลาโหมสัญญาว่าจะพยายามต่อสู้ เพื่อยกออกญากำแหงขึ้นสู่ราชบัลลังก์ และตนจะให้ความเคารพเชื่อฟังออกญากำแหงโดยแท้จริง เยี่ยงคนใช้และทาสของเขา และกล่าวว่าเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะรักษาประเทศสยามเอาไว้ได้ มิฉะนั้น กจ็ ะตอ้ งชะตารา้ ยเนอ่ื งจากความหนุ หนั ขาดสตสิ มั ปชญั ญะของพระเจา้ แผน่ ดนิ ออกญากำแหงไมเ่ ฉลยี วใจใน แผนการของออกญากลาโหมซึ่งสองพี่น้องแสร้งทำขึ้น ออกญากำแหงจึงเข้าสวมกอดคนทั้งสอง และรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม ฉะนั้น จึงมีการกระทำสัตย์ปฏิญาณต่อกันโดยการดื่มโลหิตของกันและกัน เมื่อประสบผลดีแน่นอนในตัวขุนนางผู้นี้แล้ว ออกญากลาโหมก็กลับบ้านเพื่อเตรียมข้าทาส ศัสตราวุธ แลว้ ไปยงั ทซ่ี ง่ึ กำหนดนดั หมายไวก้ บั สมคั รพรรคพวกของตน ขณะที่ออกญาพระคลังกำลังหลอกลวงพระเจ้าแผ่นดินอยู่โดยเพ็ดทูลอ้อนวอนขอพระราชทาน อภยั โทษใหแ้ กอ่ อกญากลาโหม หรอื กราบทลู ใหเ้ หตผุ ลถงึ ความจำเปน็ ของออกญากลาโหมอยนู่ น้ั ออกญา กลาโหมไดช้ มุ นมุ ทหารอนั มมี ติ รสหายของตนเปน็ กำลงั สำคญั แลว้ มงุ่ ตรงมายงั พระราชวงั พรอ้ มพรง่ั ดว้ ย ชา้ งมา้ และแมก้ ระทง่ั ทหารซง่ึ ตนมอี ำนาจบงั คบั บญั ชาในฐานะเปน็ แมท่ พั ชา้ งและแมท่ พั มา้ เมอ่ื ทอดพระเนตร เห็นคนเหล่านั้นพระเจ้าแผ่นดินทรงฉงนพระทัยและไม่ทรงทราบต้นสายปลายเหตุ จึงตรัสถามออกญา พระคลงั วา่ ออกญากลาโหมกำลงั จะเขา้ โจมตพี ระราชวงั ใชห่ รอื ไม่ แตอ่ อกญาพระคลงั ตอ้ งการใหพ้ ระเจา้ แผ่นดินมั่นพระทัยไปในทางตรงกันข้ามกับความเป็นจริง และเพื่อขจัดความระแวงทั้งมวล เขาจึงทูล พระเจ้าอยู่หัวว่า เขาขอเอาชีวิตเป็นประกันในเรื่องความซื่อสัตย์จงรักภักดีของออกญากลาโหม ถ้าแม้ ออกญากลาโหมทำการสิ่งใดแม้เพียงเล็กน้อยที่สุดให้เป็นการเสื่อมพระราชอำนาจของพระองค์แล้ว เขาปรารถนาให้พระองค์ลงพระอาญาฟันร่างของเขาออกเป็นชิ้น ๆ ทิ้งให้สัตว์ร้ายกิน ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าแผ่นดินจึงทรงวางพระทัยในความปลอดภัยของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง จนมิได้ตรัสสั่งให้ทหารของ พระองค์เข้าต่อสู้ป้องกันสถานการณ์แต่ประการใด อย่างไรก็ตาม ออกญากลาโหมได้เข้าโจมตีพระราชวัง อยา่ งดเุ ดอื ด จนพระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงตระหนกั วา่ พระองคถ์ กู หลอกลวงและหมดสน้ิ อำนาจวาสนาเปน็ แนแ่ ท้ พระองค์หมดความกล้าหาญอย่างน่าประหลาดเกือบไม่มีพระหฤทัยที่จะสั่งให้ทหารองครักษ์เข้าต่อสู้และ ป้องกันพระทวารวังไว้อย่างเข้มแข็ง ออกญาพระคลังรู้เรื่องที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าคนอื่น ๆ และเห็นว่าตนเอง อยู่ในห้วงอันตรายถึงชีวิต จึงกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่าตัวเขาจะไปดูเหตุการณ์และจะกลับมา กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินมิได้ทรงระแวงสงสัยในความทรยศของคนผู้นี้ จงึ ทรงอนญุ าตใหไ้ ป

๓๑๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ เมื่อออกจากที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ออกญาพระคลังก็ตรงไปที่ประตูใหญ่ของพระราชวัง ซง่ึ เขารวู้ า่ ออกญากลาโหมอยทู่ น่ี น่ั พรอ้ มดว้ ยขนุ นางคนอน่ื ๆ สมคั รพรรคพวก ขา้ ทาส และเหลา่ ทหารญป่ี นุ่ ออกญาพระคลังได้เปิดประตูบานนี้ เมื่อรับพวกกบฏเข้ามาข้างในแล้ว ก็นำคนเหล่านั้นตรงไปยังพระราช มนเทียรซึ่งพระเจ้าแผ่นดินประทับอยู่ก่อนที่เขาจะออกไป ทั้งนี้ด้วยความตั้งใจจะจับกุมพระองค์ แต่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าพระราชฐานชั้นในตั้งแต่ขณะที่ออกญาพระคลังปล่อยพระองค์ไว้ตามลำพัง ทั้งนี้เป็นการดำเนินการพลาดเป้าหมาย อย่างไรก็ตามทหารคนอื่น ๆ ไม่ทราบว่าประตูใหญ่ถูกเปิดรับ ออกญากลาโหมแล้ว จึงได้เข้าโจมตีพระราชวังจากด้านอื่นและฆ่าฟันทุกคนที่เขาพบ ด้วยเหตุนี้ การฆ่ากันครั้งใหญ่และการนองเลือดอย่างน่ากลัวจึงเกิดขึ้นในคืนนั้น พระเจ้าแผ่นดินทรงต่อสู้ขัดขวาง รว่ มกบั เหลา่ ทหารองครกั ษแ์ ละบรรดาขา้ ราชสำนกั ของพระองค์ ฉะนน้ั การสรู้ บจงึ ดำเนนิ ไปจนกระทง่ั รงุ่ เชา้ แต่ทรงเห็นว่าออกญาพระคลังได้หลอกลวงพระองค์ และพระองค์รู้สึกหมดความหวังใด ๆ ที่จะสามารถ ต้านทานความดุเดือดของทหารญี่ปุ่นไว้ได้ เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าสายจนเกินที่จะสู้รบต่อไปแล้ว จึงทรง ทิ้งพระราชวัง เสด็จทรงช้างหนีข้ามแม่น้ำซึ่งเป็นคูเมืองไปโดยปราศจากบริวารติดตาม ทรงหลบซ่อนองค์ อยใู่ นวดั บางพลมี ะขามหยอ่ ง* (Monply Mecangh Jongh) ซง่ึ อยทู่ างดา้ นเหนอื ของตวั เมอื ง วดั นเ้ี ปน็ วัดมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธา บรรดาภิกษุสงฆ์ซึ่งได้พำนักอยู่ในวัดนั้นได้สงเคราะห์ช่วยเหลือ พระองคต์ ามมตี ามเกดิ อยหู่ ลายวนั ในวนั รงุ่ ขน้ึ เมอ่ื ออกญากลาโหมเหน็ วา่ ตนเปน็ ใหญอ่ ยใู่ นพระราชวงั แลว้ กจ็ ดั การรวบรวมเพชรนลิ จนิ ดาและพระราชทรพั ยไ์ วเ้ ปน็ ของตน เขาแจกจา่ ยทองเงนิ เปน็ ถงุ ๆ และดาบดา้ มทองฝงั เพชรใหแ้ กบ่ รรดา สมคั รพรรคพวก เฉพาะอยา่ งยง่ิ ไดป้ นู บำเหนจ็ รางวลั แกค่ นซง่ึ พสิ จู นใ์ หเ้ หน็ ความสามารถและความจงรกั ภกั ดี ในการปฏบิ ตั งิ านครง้ั น้ี ดว้ ยเหตนุ ผ้ี คู้ นจำนวนมากจงึ มง่ั คง่ั รำ่ รวยขน้ึ และเปลย่ี นแปลงฐานะความเปน็ อยู่ จากบา่ วไพรม่ าเปน็ ขนุ นาง หรอื จากขนุ นางมาเปน็ เสนาบดี ออกญากำแหงรู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินหายสาบสูญไป พระองค์อาจสิ้นพระชนม์หรือมิฉะนั้นก็อาจ หลบหนไี ป และออกญากำแหงรสู้ กึ มน่ั ใจในคำมน่ั สญั ญาทอ่ี อกญากลาโหมไดใ้ หไ้ วว้ า่ จะแตง่ ตง้ั ใหต้ นเปน็ กษัตริย์ ออกญากำแหงจึงขึ้นนั่งบนราชบัลลังก์ สวมมงกุฎกษัตริย์ไว้บนศีรษะ แขนพาดเหนือหมอนอิง ดาบอาชญาสิทธิ์วางอยู่ข้าง ๆ และมือถือพัดวิชนีทอง ทั้งยกตนขึ้นในตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดิน และได้ กลา่ วแกอ่ อกญากลาโหมวา่ \"ลกู เอย๋ โชคไดเ้ ขา้ ขา้ งเราแลว้ ในวนั น้ี จงมาอวยพรใหแ้ กผ่ ทู้ เ่ี จา้ เลอื กใหเ้ ปน็ * พงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาวา่ พระองคเ์ สดจ็ หนไี ป ณ ปากโมกนอ้ ย แล้วถูกล้อมจับได้

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๓๑๗ บิดาและผู้ซึ่งรับเจ้าไว้เป็นบุตรบุญธรรมเถิด จงให้เกียรติยศแก่พ่อซึ่งเจ้าสมควรให้แก่พ่อในฐานะเป็น พระเจ้าแผ่นดินของเจ้า เพื่อว่าขุนนางคนอื่น ๆ จะได้ทำตัวอย่างของเจ้าและให้เกียรติยศแก่พ่อตามที่ควร จะได้รับจากคนเหล่านั้น ซึ่งอาจเคารพพ่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินและรับรองอำนาจของพ่อ ถ้าเจ้าทำดังนี้แล้ว พอ่ จะยกเจา้ เปน็ เจา้ นายและประกาศตง้ั เจา้ เปน็ รชั ทายาทของอาณาจกั รสยาม\" ออกญากลาโหมประหลาดใจมากที่เห็นออกญากำแหงขึ้นนั่งบนบัลลังก์ สวมมงกุฎกษัตริย์ สวม ฉลององค์และเครื่องทรงของพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งรบเร้าให้ตนเคารพอย่างกษัตริย์ ทั้งนี้ เพราะเป็นเจตนา ของตวั ออกญากลาโหมเองในอนั ทจ่ี ะเขา้ สวมหนา้ ทน่ี แ้ี ละสถาปนาตนเองขน้ึ เปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ อยา่ งไรกด็ ี ออกญากลาโหมไดซ้ อ่ นความไมพ่ อใจเอาไวแ้ ละกลา่ วแกอ่ อกญากำแหงวา่ ยงั ไมถ่ งึ เวลาทจ่ี ะขน้ึ ครองบลั ลงั ก์ และประกาศตวั ออกญากำแหงขน้ึ เปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ เพราะยงั ไมท่ ราบแนว่ า่ พระเจา้ แผน่ ดนิ เปน็ ประการใด ยงั ดำรงชวี ติ อยหู่ รอื ไม่ เขากลา่ วตอ่ ไปวา่ ยง่ิ กวา่ นน้ั ยงั มเี จา้ ชายอกี หลายองคซ์ ง่ึ เปน็ โอรสของพระเจา้ แผน่ ดนิ องค์ก่อน เจ้าชายองค์หนึ่งมีพระชนม์ ๑๑ พรรษาและการยกเจ้าชายองค์นี้ขึ้นเป็นกษัตริย์ คนทั้งปวง กจ็ ะไมต่ ำหนติ เิ ตยี นในการกระทำของตน ไมม่ ใี ครจะกลา้ กลา่ วโทษไดว้ า่ พวกตนนำทหารเขา้ แยง่ ชงิ มงกฎุ ขององค์รัชทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมาย ออกญากำแหงคัดค้านว่า บัลลังก์สยามเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยง่ิ และเปน็ ทเ่ี คารพ ยอ่ มไมบ่ งั ควรทจ่ี ะใหเ้ จา้ ชายผเู้ ยาวช์ นั ษาขน้ึ ปกครอง ทง้ั ไมค่ วรใหแ้ ผน่ ดนิ วา่ งกษตั รยิ ์ อยู่นานไป เพื่อว่าความเที่ยงธรรมจะได้ไม่ขาดไปในการบังคับบัญชาบ้านเมือง เขากล่าวต่อไปว่า \"ถ้าอย่างนั้นหากเจ้าไม่ประสงค์ที่จะสวมมงกุฎให้แก่ข้า หรือนับถือข้าซึ่งเป็นบิดาของเจ้าในฐานะพระเจ้า แผน่ ดนิ จงเขา้ มาใกล้ ๆ และจงรบั เกยี รตยิ ศนจ้ี ากมอื ของขา้ ขา้ จะสวมมงกฎุ ลงบนศรี ษะของเจา้ จะยก เจ้าขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน\" แต่ออกญากลาโหมปฏิเสธเกียรติยศนี้ แสร้งทำเป็นไม่พอใจที่เห็นขุนนาง เสนอตนขึ้นครองราชบัลลังก์ โดยที่ตนมิได้มีสิทธิจะทำเช่นนั้น จึงขอร้องให้ออกญากำแหงลงมาเสียจาก บัลลังก์ เพื่อป้องกันการครหาติเตียนและเคราะห์กรรมซึ่งอาจเกิดขึ้น และเพื่อที่จะให้บรรดาขุนนาง ปฏิบัติงานร่วมกันเพื่อความมั่นคงเรียบร้อยของกิจการงาน และเพื่อค้นหาพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงหลบซ่อน อยู่ เมื่อเห็นว่าจะทำไปไม่สำเร็จ ออกญากำแหงจึงลงจากบัลลังก์และปฏิบัติตามความประสงค์ของ ออกญากลาโหม อยา่ งไรกต็ าม การคน้ หาพระเจา้ แผน่ ดนิ ไดก้ ระทำอยา่ งเขม้ งวดกวดขนั มาก ผลทส่ี ดุ จงึ รวู้ า่ พระองค์ หลบซอ่ นอยทู่ ว่ี ดั บางพลมี ะขามหยอ่ ง พระองคถ์ กู นำตวั มาจากวดั นน้ั อยา่ งนกั โทษ และถกู พาไปยงั พระราชวงั ณ ที่นั้น ขุนนางทั้งหลายร่วมกันประกาศว่าพระองค์ไร้คุณสมบัติที่จะครองราชสมบัติ คำประกาศนี้

๓๑๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ เป็นไปตามข้ออ้างที่ออกญากลาโหมทำขึ้น ประเด็นสำคัญก็คือ ข้อที่พระองค์ทรงหนีออกจากพระราชวัง ซึ่งเป็นประหนึ่งว่าทรงสละราชอาณาจักรแล้ว อันที่จริงด้วยเหตุที่พระองค์เสด็จหนีไปนี้ พระองค์จึงถูก ประกาศวา่ ไรค้ ณุ สมบตั ใิ นการครองราชยห์ รอื ในการทจ่ี ะดำรงพระชนมอ์ ยู่ ที่ประชุมทั้งหมดลงความเห็นให้ปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดินเสีย ออกญากลาโหมคัดค้านและ แสรง้ ทำเปน็ วา่ ตอ้ งการรกั ษาพระชนมชพี ของพระองคไ์ ว้ แตใ่ นทส่ี ดุ ทำเปน็ ยอมตามความเหน็ ของคนหมมู่ าก เมอ่ื ทรงทราบวา่ พระองคจ์ ะตอ้ งสวรรคต พระเจา้ แผน่ ดนิ มไิ ดท้ รงแสดงความประหลาดพระทยั หรอื มีอาการกระสับกระส่ายเลย แต่ตรัสว่าพระองค์มิได้มุ่งหวังอะไรจากเหล่าเสวกามาตย์ผู้ซึ่งเป็นคนทรยศ และก่อการกบฏ พระองค์ประนามออกญาพระคลังในความผิดฐานทรยศ และประนามขุนนางทุกคน ในความผดิ ฐานกอ่ การกบฏ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ พระองคท์ รงตเิ ตยี นคำแนะนำอนั เลวรา้ ย ซง่ึ ออกญากลาโหม ได้กราบทูลแนะนำแก่พระเจ้าแผ่นดินพระราชบิดาของพระองค์ในเรื่องการสืบราชบัลลังก์ แล้ว พระองคต์ รสั แกอ่ อกญากลาโหมโดยเฉพาะวา่ \"เจา้ เกดิ มาในโลกนเ้ี พอ่ื ทำลายลา้ งประเทศบา้ นเมอื ง เจา้ ปลง พระชนม์พระชนก๑ ของข้าด้วยการวางยาพิษและด้วยอุบายชั่วร้ายของเจ้า เจ้าเป็นต้นเหตุให้พระปิตุลา ของข้าต้องสิ้นพระชนม์อย่างน่าสังเวช ขณะนี้เจ้ากำลังจะล้างเลือดกษัตริย์ของข้า๒ และข้าขอสาบานว่า ขา้ จะตายโดยไมเ่ สยี ใจเลย ถา้ หากการหลง่ั เลอื ดของขา้ สามารถทำใหท้ กุ สง่ิ ทกุ อยา่ งจบสน้ิ กนั ที และถา้ หากวา่ การฆ่าฟันที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ เข้าใจกันว่าเนื่องมาจากตัวข้า แต่เจ้าจะเป็นผู้นำความพินาศมาสู่ บ้านเมืองและราษฎร ข้าจะอ้อนวอนต่อปวงเทพเจ้าให้ทรงแก้แค้นทดแทนในความตายของข้า และขอให้ ปศี าจจงมาจกิ หวั ของเจา้ ไป ตามทเ่ี จา้ ไดท้ ำกรรมไวแ้ ละซง่ึ เจา้ จะทำตอ่ ไปอกี \" หลังจากนั้น พระองค์ทรงขอร้องเหล่าขุนนางให้ไว้ชีวิตพระราชมารดา และทรงขออนุญาตตรัส กับพระราชมารดาก่อนที่พระองค์จะสวรรคต ออกญากลาโหมระงับความโกรธแค้นไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะ ทำได้ และไดอ้ า้ งเหตใุ หพ้ ระองคอ์ มั ฤทธ์ิ (Praongo Marit)๓ พระราชชนนขี องพระเจา้ แผน่ ดนิ ตดิ รา่ งแหไปดว้ ย โดยกลา่ วตำหนพิ ระนางอยา่ งรา้ ยกาจยง่ิ และลงความเหน็ วา่ พระนางเปน็ ตน้ เหตสุ ำคญั ของการใสร่ า้ ยอยา่ ง ไมเ่ ปน็ ธรรมในเรอ่ื งการนองเลอื ดครง้ั ใหญแ่ ละความยงุ่ ยากทง้ั หลายซง่ึ เปน็ อยใู่ นอาณาจกั ร อกี ประการหนง่ึ ๑ หมายถงึ สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม ๒ หมายถึง สมเดจ็ พระเชษฐาธริ าช ๓ ในตน้ ฉบบั แปลภาษาองั กฤษ มวี งเลบ็ ชอ่ื (ซง่ึ เปน็ คำอา่ น) กำกบั วา่ ( Pha Ong Amararit ) อีกต่อหนึ่งจากคำ ( Praongo Marit ) นอกจากนี้คำว่า Marit ยังแปลว่า \"ดำ\" หรือ \"เมืองมะริด\" ได้ด้วย ในที่นี้สันนิษฐานว่า พระนามพระราชชนนีในสมเด็จพระเชษฐาธิราช คงอา่ นออกเสยี งเปน็ พระองคอ์ มั ฤทธ์ิ ซง่ึ คลาดเคลอ่ื นกบั ชอ่ื ในวงเลบ็ ทก่ี ำกบั อยนู่ ้ี

จดหมายเหตฟุ านฟลตี ๓๑๙ เนอ่ื งจากวา่ พระนางทรงใหก้ ำเนดิ พระโอรสทเ่ี ลว และพระนางมสี ว่ นทำใหพ้ ระโอรสกลา้ แขง็ โหดรา้ ย ทง้ั น้ี ดว้ ยคำแนะนำของพระนาง เขากลา่ วตอ่ ไปวา่ พระนางไมส่ มควรดำรงพระชนมชพี อยตู่ อ่ ไป แตเ่ ขาเสรมิ วา่ ถ้าหากพระนางสมัครใจปฏิเสธพระโอรสของพระนาง สะกดกลั้นความรักของแม่ที่มีต่อลูกเสีย และแสดง ความพอใจในความตายซึ่งจะมาถึงพระโอรสแล้ว พวกตนทั้งหลายจะสงวนพระชนมชีพของพระนางไว้ จะให้ดำรงอยู่ในอิสริยยศตามตำแหน่งของพระนาง พระพันปีหลวงมิได้ทรงแสดงอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ทรงตอบอย่างสงบเยือกเย็นว่า \"การที่พระเจ้าอยู่หัวต้องทรงประสบกับวาระสุดท้ายในขณะที่ยัง ทรงพระเยาว์นั้น เนื่องมาจากความชั่วและคำแนะนำที่ผิดทำนองคลองธรรม ซึ่งเจ้าชักจูงพระเจ้าอยู่หัว ในพระโกศ เพื่อให้พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงกฎของการสืบราชสมบัติซึ่งจารึกไว้ในกฎหมายบ้านเมือง แต่ด้วยความโหดร้ายและความทะเยอทะยานของเจ้า ต้องการปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัว ข้าก็ประสงค์ จะตายกับพระองค์ยิ่งกว่าจะต้องการได้รับเลี้ยงดูจากมือที่เปื้อนเลือดของเจ้า ความกลัวความเจ็บปวด จากความตายนน้ั ไมอ่ าจบงั คบั ขา้ ใหป้ ฏเิ สธโอรสซง่ึ ขา้ ไดใ้ หก้ ำเนดิ มาในอทุ รของขา้ และขา้ ไดถ้ นอมเลย้ี งมา ดว้ ยความเอาใจใสท่ กุ ประการได้ ขา้ ไมอ่ าจสะกดกลน้ั ความรกั ของมารดา ซง่ึ ธรรมชาตไิ ดป้ ลกู ฝงั ไวใ้ นตวั ของข้า แม้ว่าข้าจะตายไปสักกี่สิบกี่ร้อยชาติก็ตาม เพราะถ้าหากข้าถึงกับลืมตัวเองปฏิเสธโอรสได้ ขา้ กค็ วรจะเขา้ สมคั รพรรคพวกกบั ผโู้ หดรา้ ยของเจา้ เสยี แลว้ และไมช่ า้ เจา้ จะพาลหาเหตฆุ า่ เสยี ในฐานะคนผดิ ฉะนั้นข้าจะขอตายอย่างคนบริสุทธิ์ในขณะนี้ อายุข้าไม่ยืนนักดอก แต่ก็มากพอที่จะรู้สึกถึงความทุกข์ ระทมและได้ลิ้มรสความขมขื่นของชีวิตแล้ว ฉะนั้นความตายจึงไม่เป็นของน่ากลัวสำหรับข้า ในเมื่อ ข้ารู้สึกว่ามันจะเป็นการเริ่มต้นของความสงบของข้า ข้าอุทิศชีวิตให้แก่โอรสของข้า คือข้าต้องการจบชีวิต ไปกบั โอรสของขา้ ดว้ ย\" หลังจากนั้นพระเจ้าแผ่นดินและพระราชมารดาก็ถูกนำตัวไปยังวัดปรักหักพังรกร้างวัดหนึ่งชื่อว่า วัดพระเมรุโคกพญา เพชฌฆาตให้พระองค์นอนลงบนพรมสีแดง และทุบพระองค์ด้วยท่อนไม้จันทน์ที่ พระนาภี และโยนพระสรีระของทั้งสองพระองค์ลงในบ่อ ซึ่งพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ที่นั่น เมื่อมาถึง สถานทส่ี ำเรจ็ โทษ พระเจา้ แผน่ ดนิ ผซู้ ง่ึ ครองราชสมบตั เิ พยี ง ๘ เดอื น ทรงครำ่ ครวญดว้ ยพระสรุ เสยี งดงั ในเคราะห์กรรมของพระราชมารดาผู้บริสุทธิ์ ซึ่งจะต้องมาสิ้นพระชนม์เพราะความรักพระองค์ พระองค์ ทรงรำลึกถึงคำตักเตือนที่พระปิตุลาตรัสประทานไว้ เมื่อพระองค์มีรับสั่งให้นำพระปิตุลาไปสำเร็จโทษ และถูกสำเร็จโทษในสถานที่เดียวกันและในลักษณะเดียวกันกับที่พระองค์เองถูกสำเร็จโทษ* อยู่ในขณะนี้ * สมเด็จพระเชษฐาธิราช ราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๗๑ เสด็จสวรรคต พ.ศ. ๒๑๗๓ อยู่ในราชสมบัติ ๑ ปี ๖ เดือน