พืชพืน้ เมือง : ป่ าชุมชนบ้านคุ้ม จังหวดั พะเยา Indigenous Plants : Ban Kum Community Forest Payao Province โดย ทรรศนีย์ พฒั นเสรี และ ชูจติ ร อนันตโชค สานักวจิ ัยการป่ าไม้กรมป่ าไม้ 2551
หนงั สือ พืชพืน้ เมือง : ป่ าชมุ ชนบ้านค้มุ จงั หวดั พะเยา รวบรวมและวิจยั ทรรศนีย์ พฒั นเสรี และ ชจู ิตร อนนั ตโชค ภาพถา่ ย ทรรศนีย์ พฒั นเสรี และ ชจู ิตร อนนั ตโชค ผลิตรูปเลม่ ทรรศนีย์ พฒั นเสรี และ วาว ธรุ ารัตน์ ปี ท่ีพมิ พ์ 2551
คานา หนงั สือ “พืชพืน้ เมือง : ป่ าชมุ ชนบ้านค้มุ จงั หวดั พะเยา” จดั ทาโดยมีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือ ศกึ ษาพืชพืน้ เมืองจากป่ าชมุ ชนบ้านค้มุ ตาบลร่มเย็น อาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา และการใช้ ประโยชน์พืชพืน้ เมืองจากป่ าชมุ ชนควบคกู่ บั การดแู ลรักษาป่ าของชมุ ชน ผลงานวิจยั นีไ้ ด้จากการ สารวจพืน้ ท่ีป่ าร่วมกบั ตวั แทนของชมุ ชน และสมั ภาษณ์หมอพืน้ บ้าน ผ้รู ู้ในท้องถ่ินด้านการใช้ ประโยชน์และภมู ปิ ัญญาด้านพืชอาหารและสมนุ ไพร เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานท่ีได้จากการ ศกึ ษาวิจยั ให้กบั ชมุ ชนและผ้สู นใจ ผ้วู ิจยั จงึ ได้รวบรวมข้อมลู ทงั้ หมดจดั ทาเป็ นเอกสารเผยแพร่ โดยแสดงภาพถา่ ยของพืช ลกั ษณะทวั่ ไปของพืช ช่ือท้องถิ่น ช่ือสามญั (พิมพ์ด้วยตวั อกั ษรหนา) ชื่อพฤกษศาสตร์ การใช้ประโยชน์ในท้องถ่ินนี ้ การใช้ประโยชน์ในท้องที่อื่นที่ได้จากการวิจยั ของผ้วู ิจยั เอง และการใช้ประโยชน์ท่ีได้จากการสืบค้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กนั ของ ชมุ ชนในแตล่ ะที่ซงึ่ มีวฒั นธรรมการใช้ประโยชน์จากพืชพืน้ เมืองท่ีแตกตา่ งกนั แตก่ ารจะนาเอา ข้อมลู เหลา่ นีไ้ ปใช้ประโยชน์ทางด้านการรักษาโรค ควรปฏิบตั โิ ดยผ้ทู ี่มีความรู้หรือหมอพืน้ บ้าน เทา่ นนั้ มิเชน่ นนั้ อาจกอ่ ให้เกิดอนั ตรายได้ ผ้วู จิ ยั ขอขอบพระคณุ หมอพืน้ บ้าน ผ้รู ู้ในท้องถิ่นทกุ ท่าน ที่ได้ให้ความชว่ ยเหลือเป็ นอยา่ งดี ในการให้ข้อมลู และเสียสละเวลาอนั มีคา่ เพื่องานวิจยั ชนิ ้ นี ้ นางทรรศนีย์ พฒั นเสรี พฤศจกิ ายน 2551
สารบัญ รายการ หน้า บทนา 1 วัตถุประสงค์ 3 วิธีการวจิ ยั 3 ผลและวิจารณ์ 4 5 กรวยป่ า กระบก 6 กระพีเ้ ขาควาย 7 กลอย กวาวเครือขาว 8 กะตงั ใบ 9 กะตงั ใบแดง 10 กาซะลอง 11 กาฝากหนามสเี ต๊าะ 12 ก๋าว 13 ก๊กุ 14 กดู คา กดู งอดแงด 15 กดู ตีนเหย่ยี ว โกสน 16 ขามควั ะ 17 ขงิ แดง ขีเ้หลก็ ป่ า 18 เข็มแมห่ ม้าย 19 คนู 20 เครือนมแน่ 21 22 เครือมนั เหลยี่ ม โคลงเคลง 23 จดั คา่ น 24 ชะเอม 25 ชาเม่ยี ง ช้าแป้ น 26 ดองดงึ ดงี หู ว้า 27 28 เดื่อปล้อง 29 ต้นกินคน 30 31 32 34 35 36
รายการ หน้า ตองสาด 37 ตะคร้ อ ต้างป่ า 38 ตวิ้ เกลยี้ ง ตวิ้ ขน 39 ตีนต่งั 40 ตนี เป็ ด เต็ง 41 เตมิ บวบป่ า 42 บอระเพ็ดตวั เมยี 43 บุกคางคก ประดู่ 44 ปอสา 45 46 ปิ ดปิ วแดง 47 ปยุ 48 เป็ งวาย 49 เปล้าตองแตก 50 เปล้าน้อย เปล้าหลวง 51 ผกั ขมหนาม 52 ผกั ตบ 53 ผกั ผีป่ ยู า่ ผกั หนาม 54 เพกา 55 มะกอก มะกอกเกิม้ 56 มะขามป้ อม มะแขวน่ 58 มะค่าโมง มะนอด 59 มะแฟน มะม่วงหวั แมงวนั 60 มะหงิ่ 61 เมา่ ควาย 62 เม่ าสร้ อย 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73
ว่านมหากาฬ 74 รายการ ส้มจ๊วั ะ หน้า ส้มป่ อย 75 สมอไทย 76 สะบ้า สะเดาดอย 77 สังกรณี 78 ส้าน 79 เสยี ้ วดอกแดง 80 หญ้าขดั 81 หญ้าคมบางเลก็ 82 หญ้าปักก่งิ หญ้าปากควาย 83 หญ้ายาง หนามมะเบน๋ 84 หนามเลบ็ เหยยี่ ว 85 ห้า 86 87 แหนต้น 88 เอือ้ งหมายนา ฮ่อสะพายควาย 89 สรุป บรรณานุกรม 90 ดชั นีภาษาไทย 91 ดัชนีภาษาองั กฤษ 92 93 110 111 112 116 สารบัญตาราง ตารางท่ี หน้า 1 แสดงการใช้ประโยชน์จากพืชพนื้ เมืองจังหวดั พะเยาในด้านต่าง ๆ 94 2 แสดงอาการของโรคต่าง ๆ ท่รี ักษาด้วยสมุนไพรจากป่ าชุมชนจังหวดั พะเยา 100
บทคัดย่อ ศกึ ษาการใช้ประโยชน์พืชพืน้ เมืองจากป่ าชมุ ชนบ้านค้มุ อาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา โดยการสมั ภาษณ์แบบเจาะลกึ จากหมอพืน้ บ้านในจงั หวดั พะเยา พบวา่ มีการใช้ประโยชน์พืช 87 ชนดิ จาก 52 วงศ์ เป็นพืชในวงศ์ Euphorbiaceae มากท่ีสดุ รองลงมาคอื วงศ์ Leguminosea-Caesalpinioideae ใช้เป็นพืชสมนุ ไพร 72 ชนดิ เป็นพืชอาหาร 46 ชนิด และ ใช้ประโยชน์ด้านอ่ืน ๆ 10 ชนดิ มีสรรพคณุ ในการรักษาโรคได้ 56 อาการ ABSTRACT Study on utilization of indigenous plants in Ban Kum community forest , Chieng Kam district , Payao province , by indepth interviewing folk healers in Payao province. The results directed that 87 species of 52 plant families were used. The most generally used family was Euphorbiaceae. The second was Leguminosea-Caesalpinioideae. 72 species were used for medical treatments which were capable to cure 56 diseases , 46 species were edible plants , and 10 species were used in other applications . คาหลกั พืชพืน้ เมือง ป่ าชมุ ชนบ้านค้มุ พะเยา Key words Indigenous plants , Ban Kum community forest , Payao.
บทนา พืชพืน้ เมือง (Indigenous Plants) เป็นพรรณพืชที่เจริญงอกงามตามธรรมชาติในท้องถิ่น หรือถูกนามาปลูกไว้เพื่อความสะดวกในการเก็บบริโภค พืชพืน้ เมืองจะมีช่ือเฉพาะของแต่ละ ท้องถิ่น มีการใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย เราสามารถจาแนกพืชพืน้ เมืองออกเป็ นกล่มุ ตาม ลกั ษณะการบริโภคหรือการใช้งานดงั นี ้ 1. พืชอาหาร หรือท่ีนิยมเรียกกนั วา่ ผกั พืน้ บ้าน เป็ นพืชท่ีนามาบริโภคในรูป ผกั สด อาหารแปรรูป หรือผลิตภณั ฑ์ที่ใช้ประกอบอาหาร 2. พืชสมุนไพร เป็ นพืชท่ีนามาใช้รักษาโรคตามวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ท้องถิ่นของแตล่ ะท้องถ่ิน 3. พืชเคร่ืองเทศ เป็ นพืชท่ีมีกล่ินฉุน รสเผ็ดร้อน ใช้เป็ นส่วนประกอบในตารา ยาไทยและใช้ปรุงแตง่ อาหาร 4. พืชที่ใช้อารักขาพืชและสัตว์ เป็ นพืชท่ีให้สารออกฤทธ์ิในการป้ องกันและ กาจดั แมลงศตั รูพืช วชั พืช หรือศตั รูสตั ว์เลีย้ ง 5. พืชท่ีใช้ประโยชน์ทางด้านอ่ืน ๆ เชน่ พืชท่ีให้เส้นใย ให้สี กลิน่ หรือพืชที่ใช้ ประดบั ตกแตง่ เพื่อความสวยงาม หรือใช้ในเครื่องสาอาง เป็นต้น เน่ืองจากประเทศไทยอยใู่ นเขตร้อน มีความหลากหลายของพรรณพืชประมาณ 15,000 ชนิด มีการใช้เป็ นยาแผนโบราณประมาณ 800-1,500 ชนิด แต่ที่นามาผลิตยาจริง ๆ มีเพียง 400 - 500 ชนิด จึงนา่ ที่เราจะให้ความสนใจตอ่ การพฒั นาพืชสมนุ ไพรที่มีศกั ยภาพในประเทศ ทกุ รูปแบบเพ่ือการแขง่ ขนั กบั ตลาดตา่ งประเทศ การใช้สมนุ ไพรรักษาโรคเป็ นภมู ิปัญญาท้องถ่ินของไทยท่ีสืบสานมายาวนาน แม้ว่าจะลด ความนิยมและแทบจะขาดหายไปช่วงหน่ึงก็ตาม แตใ่ นปัจจบุ นั การใช้สมนุ ไพรกลบั มาได้รับ ความนิยมอีกครัง้ หนงึ่ เนื่องจากกระแสโลกาภิวฒั น์หวนกลบั มานิยมสิ่งท่ีได้จากธรรมชาติมากขึน้ การใช้สมุนไพรในปัจจบุ นั ไม่ได้ม่งุ เน้นแตก่ ารใช้รักษาโรคเพียงอยา่ งเดียวเฉกเช่นเม่ือก่อน แต่มี การใช้อย่างหลากหลายขึน้ เช่น ใช้เป็ นอาหาร ใช้เป็ นอาหารเสริมสขุ ภาพ ใช้เป็ นเคร่ืองสาอาง เป็ นต้น จึงเห็นว่าผักพืน้ บ้านและพืชสมุนไพรมีความสมั พนั ธ์กันอย่างมาก ผักพืน้ บ้านหลาย ๆ ชนิดก็ใช้เป็ นสมนุ ไพรด้วยตามท่ีได้กลา่ วมาแล้ว ดงั นนั้ ควรแนะนาและสง่ เสริมให้คนไทยได้ใช้ ผกั พืน้ บ้านและพืชสมนุ ไพรซงึ่ เป็ นทรัพยากรท่ีเป็ นทนุ เดิมของเรามากย่ิงขนึ ้ ลดการนาเข้ายาจาก ตา่ งประเทศ เป็นการชว่ ยเหลือเศรษฐกิจของประเทศทางหนงึ่ ด้วย การจะสร้างศรัทธาให้ประชาชนหนั มาใช้หรือสนใจสมนุ ไพร จะต้องคานงึ ถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัยเป็ นสาคัญ ซ่ึงถ้ าทาได้ จะมีข้ อดีหลายประการ เช่น สมุนไพรเป็ น
ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอย่แู ล้ว ไม่ต้องสง่ั ซือ้ จากตา่ งประเทศ เป็ นการลดการนาเข้าสินค้าจาก ตา่ งประเทศ ปลอดภยั เหมาะกับผ้ทู ่ีอย่ใู นถ่ินทรุ กนั ดารอนั เนื่องมาจากการบริการทางการแพทย์ ปัจจบุ นั ยงั ไปไมถ่ ึง ประกอบกับในปัจจบุ นั กระทรวงสาธารณสขุ ก็ได้มีการบรรจสุ มนุ ไพรเข้าอยู่ ในบัญชียาหลักแล้วหลายชนิด มีบริษัทเอกชนหลายแห่งได้มีความต่ืนตัวในเร่ืองนีแ้ ละผลิต สมุนไพรออกมาจาหน่ายในรูปยาแผนโบราณมากมาย ในบางชุมชนที่เข้มแข็ง ชาวบ้านก็มีการ รวมตวั เป็ นกลุ่มผลิตยาสมุนไพรออกมาจาหน่าย ดงั นัน้ การส่งเสริมและเผยแพร่ให้ทราบถึง คณุ คา่ ของสมนุ ไพรจะทาให้คนในประเทศหนั มาใช้สมนุ ไพรกนั มากย่ิงขนึ ้ พืชเคร่ืองเทศ ใช้มากในการปรุงแตง่ อาหาร นอกจากจะชว่ ยให้อาหารมีรสชาตดิ ี สีสวย นา่ รับประทานแล้ว ตวั ของพืชเครื่องเทศเองก็ยงั มีส่วนในการสง่ เสริมสขุ ภาพให้แข็งแรง เชน่ ต้ม ยาก้งุ ซ่ึงเป็ นอาหารที่นิยมมากทว่ั โลกในปัจจุบนั นอกจากรสชาติท่ีอร่อยแล้ว เหตผุ ลใหญ่อีก ด้านหน่ึงก็มาจากส่วนประกอบของพืชเครื่องเทศท่ีมีส่วนในการเสริมสร้ างสุขภาพ เช่น ข่า ชว่ ยลดอาการท้องอืดเฟ้ อ แนน่ สกุ เสียด พริกท่ีใช้ก็มีสว่ นชว่ ยให้เจริญอาหาร สารcapsaicin ที่ มีอย่ใู นพริกมีผลต่อระบบความดนั โลหิตและการทางานของหวั ใจ เป็ นต้น จากรายงานพบว่า พืชในกลุ่มเคร่ืองเทศ เช่น กระวาน กานพลู ขิง ยี่หร่า โป๊ ยกัก และ อบเชย เป็ นพืชที่มี ศกั ยภาพในการสง่ ออกสตู่ ลาดตา่ งประเทศทงั้ ทวีปอเมริกา ยโุ รป และเอเชีย ในช่วงหลายปี ที่ผ่านมา เกษตรอินทรีย์ รวมทงั้ การปลกู ผกั ผลไม้ โดยวิธีปราศจาก สารเคมีได้รับความนิยมสงู มาก มีฟาร์มที่หนั มาลดและเลิกการใช้สารเคมีกาจดั ศตั รูพืช แตใ่ ช้ สารท่ีได้มาจากธรรมชาติแทนสงู ขนึ ้ เร่ือย ๆ พืชที่ให้สารออกฤทธ์ิในการป้ องกนั และกาจดั แมลง ศตั รูพืช วชั พืช หรือศตั รูสัตว์เลีย้ ง เช่น สะเดา พริก ยาสูบ ว่านนา้ ฯลฯ จึงกลบั มาอยู่ในความ สนใจของเกษตรกร พืชพวกนีบ้ างชนิดเป็ นพืชเกษตร บางชนิดก็สามารถหาได้ง่ายในชุมชน ซ่ึง นอกจากจะเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยอู่ ยา่ งยงั่ ยืนแล้ว ยงั สง่ ผลดีตอ่ สขุ ภาพอนามยั ของเกษตรกร และผ้บู ริโภคอีกด้วย ในการศึกษาวิจยั พืชพืน้ เมืองนี ้ พืน้ ท่ีศึกษาคือป่ าชุมชนบ้านค้มุ ตาบลร่มเย็น อาเภอ เชียงคา จังหวดั พะเยา มีพืน้ ท่ีประมาณ 900 ไร่ อยู่ติดกับอุทยานแห่งชาติภูซาง มีกรรมการ หมบู่ ้าน กานนั สารวตั ร และ อปพ. จดั เวรช่วยกนั ดแู ล อนญุ าตให้เก็บหาของป่ าจากป่ าชมุ ชน ได้โดยกาหนดว่า ห้ามเก็บหน่อไม้เกิน 20 ก.ก./คน/วนั เก็บไม้เล็ก ๆ ทาฟื นได้ เก็บหาของป่ ามา รับประทานได้ ขายได้บ้างเล็กน้อย สภาพพืน้ ท่ีป่ าส่วนใหญ่เป็ นท่ีสูง และเป็ นป่ าชมุ ชนประเภท ป่ าดงั้ เดิม วัฒนธรรมการดารงชีวิตของประชาชนในละแวกนีย้ งั มีการใช้สมุนไพรรักษาโรคกัน ค่อนข้างแพร่หลาย มีหมอเมืองล้านนาที่มีช่ือเสียงอย่หู ลายท่าน การรักษาโรคนอกจากต้องใช้ สมนุ ไพรเป็นหลกั แล้ว ยงั มีการรักษาโดยวิธีการอ่ืน ๆ เชน่ การตอกเส้น การนวด การย่าขาง เป็นต้น ซง่ึ ในพิธีเหลา่ นีบ้ างครัง้ ก็ต้องใช้สมนุ ไพรประกอบการรักษาด้วย ลกั ษณะการศกึ ษาวิจยั
จะเป็นการสารวจพืน้ ที่ป่ าชมุ ชนบ้านค้มุ ร่วมกบั ตวั แทนของป่ าชมุ ชนและหมอพืน้ บ้าน และสารวจ ภมู ิปัญญาด้านพืชพืน้ เมืองจากหมอพืน้ บ้าน แพทย์แผนไทย และผ้รู ู้ในท้องถิ่นในอาเภอเชียงคา และอาเภอเมืองรวมทงั้ สนิ ้ 15 คน ได้แก่ 1. นางแก้ว ใจใหญ่ 2. นายหมื่น จงนาสวน 3. นางเขียว คนงึ คิด 4.นายแก้ว ใจยืน 5. นายสขุ ใจยืน 6. นายวเิ ชียร ชานาญยา 7. นายเป็ง คาพนั ธ์ 8. นายอ้าย ทองไชย 9. นายพดั โคแพร่ 10.นายมนู ใจยืน 11.นายผา่ น ปัญญาใจ 12. นายพลวตั ร ใจใหญ่ 13. นายพทุ ธ ใจสขุ 14. นายถวลิ คาประเสริฐ 15. นายสมาน คนงึ คดิ วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย 1. เพื่อสารวจ ศกึ ษาพืชพืน้ เมืองที่มีศกั ยภาพจากป่ าชมุ ชน 2. เพื่อศกึ ษาการใช้ประโยชน์พืชพืน้ เมืองจากภมู ปิ ัญญาท้องถิ่น วธิ ีการวจิ ัย วสั ดุ 1. แผงอดั พนั ธ์ุไม้ 2. กล้องถ่ายภาพ 3. กรรไกรตดั ก่ิง กระดาษ เชือก ถงุ พลาสตกิ วิธีการ 1. หาข้อมลู เก่ียวกบั ป่ าชมุ ชนจากเอกสารของงานจดั การป่ าชมุ ชน กรมป่ าไม้ 2. ประสานงานกบั ผ้นู าชมุ ชน หมอพืน้ บ้าน และผ้รู ู้ในท้องถิ่น เก่ียวกบั พืน้ ท่ีป่ าชมุ ชน 3. พบปะผ้นู าชมุ ชน หมอพืน้ บ้าน และ ผ้รู ู้ในท้องถิ่น เพ่ือหาแนวทางในการสารวจและ เก็บข้อมลู และตวั อยา่ งพืชจากพืน้ ที่ป่ าชมุ ชน
4. สารวจ เก็บตวั อยา่ งและข้อมลู พืชพืน้ เมืองร่วมกบั ผ้แู ทนป่ าชมุ ชน หมอพืน้ บ้าน และ ผ้รู ู้ในท้องถิ่น 5. อดั ตวั อยา่ งพนั ธ์ุไม้แตล่ ะชนิดที่ได้ เพ่ือใช้ในการจาแนกชนดิ พนั ธ์ุไม้ตอ่ ไป 6. ศกึ ษาข้อมลู ภมู ปิ ัญญาเก่ียวกบั พืชพืน้ เมืองจากแพทย์แผนไทย หมอพืน้ บ้าน และผ้รู ู้ ในท้องถิ่นโดยการสมั ภาษณ์เชิงลกึ เกี่ยวกบั ชื่อพืช ชนิดพืช สรรพคณุ วธิ ีการใช้ สว่ นท่ีใช้ รวมทงั้ ข้อควรระวงั 7. ทาการตรวจสอบชนิดของพนั ธ์ุพืชท่ีได้เพื่อหาชื่อทางพฤกษศาสตร์ 8. ทาการวิเคราะห์ข้อมลู ที่ได้ เปรียบเทียบจากเอกสารอ้างอิงตา่ ง ๆ และจากหมอพืน้ บ้าน จากแหลง่ อื่นที่เคยศกึ ษามาแล้ว 9. ตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมลู ภมู ิปัญญาท้องถิ่นของพืชแตล่ ะชนิดอีกครัง้ หนงึ่ เกี่ยวกบั ช่ือพืช ชนดิ พืช สรรพคณุ วธิ ีการใช้ สว่ นที่ใช้ ของพืชแตล่ ะชนิด โดยการ ประชมุ กลมุ่ ยอ่ ยร่วมกบั ตวั แทนหมอพืน้ บ้าน แพทย์แผนไทย และผ้รู ู้ในท้องถ่ิน ผลและวิจารณ์ ผลจากการสารวจและศกึ ษาพืชพืน้ เมืองและภูมิปัญญาท้องถิ่นของพืชพืน้ เมืองจากป่ าชมุ ชน บ้านค้มุ ตาบลร่มเย็น อาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา พบพืชพืน้ เมืองท่ีมีศกั ยภาพจานวน 87 ชนิด ผ้ศู กึ ษาวจิ ยั ได้บรรยายถึงลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ของพืชแตล่ ะชนิด ชื่อพืน้ เมือง ชื่อสามญั ช่ือ พฤกษศาสตร์ ภาพถ่าย สรรพคุณที่ใช้ในท้องถิ่น สรรพคณุ จากการค้นคว้าจากเอกสารอ้างอิง และการใช้ในท้องถิ่นอื่น ๆ พร้อมระบสุ ว่ นท่ีใช้ เรียงลาดบั ตามตวั อกั ษรโดยยดึ ช่ือท้องถ่ินเป็ นหลกั ดงั นี ้
กรวยป่ า มะกาย ก้วย(เหนือ) ขนุ เหยิง บนุ เหยงิ (สกลนคร) คอแลน(นครราชสมี า) ตวยใหญ่ ตวย (เพชรบรุ ี) ตานเสยี ้ น(พษิ ณโุ ลก) ผา่ สาม(นครพนม อดุ รธานี) จะร่วย(เขมร-สรุ ินทร์) ช่ือพฤกษศาสตร์Casearia grewiifolia Vent. (Flacourtiaceae) ลกั ษณะท่วั ไป ไม้พมุ่ หรือไม้ยืนต้น ใบเดย่ี วเรียงสลบั รูปขอบขนานหรือรูปไขแ่ กมขอบขนาน ดอกช่อออกเป็ นกระจกุ ที่ ซอกใบ กลบี ดอกสีขาวหรือเหลืองแกมเขียว ผลค่อนข้างฉ่านา้ แตกได้มี 3 พู รูปกระสวย สเี หลืองเม่ือสกุ เมลด็ มเี ยื่อห้มุ สสี ้มแดง สว่ นท่ีใช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ ราก -เข้ายาแก้มะเร็ง แก้พษิ -แก้ท้องร่วง แก้ตบั พกิ าร เปลอื กต้น -อมแก้ปวดฟัน -บารุงธาตุ บารุงกาลงั ดอก -แก้ไข้ ผล -แก้บิด แก้ลงท้อง กดั เสมหะ ใบ -แก้กลาก เกลอื ้ น หิด หรือผสมกบั ใบยาสบู มวนสบู แก้ เมลด็ ริดสดี วงจมกู หรือหงุ เป็ นนา้ มนั ทาบาดแผลและ ผิวหนงั ตดิ เชือ้ -แก้ริดสดี วงทวารและเบอื่ ปลา นา้ มนั ในเมลด็ ทารักษาบาดแผลและโรค ผวิ หนงั
กระบก จะบก จาเมาะ(เขมร) ซะองั (ชอง-ตราด) ตระบก(กลาง) บก มื่น(เหนอื ) มะมน่ื มะลนื่ หมกั ลน่ื (นครราชสมี า สโุ ขทยั ) หมากบก(อีสาน) หลกั กาย(สว่ ย-สรุ ินทร์) ช่ือพฤกษศาสตร์Irvingia malayana Oliv. ex A.W.Benn. (Irvingiaceae) ลักษณะท่วั ไป ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลดั ใบแตใ่ ช้ช่วงสนั้ ลาต้นตรง โคนต้นมกั เป็ นพพู อน เปลือกสเี ทา ออ่ นปนนา้ ตาล คอ่ นข้างเรียบหรือแตกเป็ นสะเก็ด กิ่งออ่ นจะมีรอยแผลใบขวนั้ รอยตรงข้อ หใู บจะม้วนห้มุ ยอด เรียวโค้งเป็ นรูปฝักดาบ ใบเด่ยี ว เรียงสลบั ทรงใบรีแกมขอบขนาน ใบเกลยี ้ ง ดอกเล็กสีขาวอมเขียวออ่ น ๆ มี ขนน่มุ ประปราย ออกเป็ นช่อตามปลายก่ิง มีกลีบเลยี ้ งและกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกยาวกว่ากลีบเลีย้ ง ปลายพบั เข้าหาฐานผลกลมรีหรือป้ อม ผลแก่สเี หลอื ง มีเนอื ้ เละ ๆ ห้มุ เมล็ด มีเมล็ดเดียว โต แข็ง ภายในเมลด็ สขี าว รสมนั สว่ นทใี่ ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ เมลด็ -กินได้ แตถ่ ้ากินมากเกินไป -บารุงไขข้อในกระดกู แก้เส้น -บรุ ีรัมย์ใช้แกน่ กระบก ผสม จะทาให้เป็ นซาง และใช้เป็ น เอ็นพกิ าร บารุงไต แก้ข้อขดั บอระเพด็ ตบั เตา่ ต้น เตา่ รงั้ ยาถา่ ยพยาธิ รักษามะเร็งตบั -ตราด ใช้เปลอื กตาเข้า เครื่องยาวางแปะหน้าท้อง รักษาอาการท้องตงึ ท้อง แข็ง สารเคมที ่สี าคัญ Lauric acid , myristic acid , oleic acid ฤทธ์ิทางเภสชั วทิ ยา ยบั ยงั้ มาลาเรีย ยบั ยงั้ ไวรัสเอดส์
กระพเี้ ขาควาย กระพี ้ กาพี ้ กาพเี ้ขาควาย เก็ดเขาควาย จกั จนั แดงดง เวยี ด เสง่ พลั แคละ อเี มง็ ใบมน ช่ือพฤกษศาสตร์Dalbergia cultrata Graham ex Benth. (Leguminosae-Papilionoideae) ลักษณะท่วั ไป ไม้ต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ผลดั ใบ เรือนยอดเป็ นพ่มุ กลมยาว ค่อนข้างโปร่ง เปลือกสีเทานวลเรียบ หรือแตกเป็ นสะเก็ดตนื ้ ๆ กิ่งออ่ นมีขน ใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี เรียงสลบั มีใบย่อย 7 – 13 ใบ เรียงสลบั รูปไขก่ ลบั หรือรูปไขแ่ กมรูปขอบขนาน สว่ นกว้างทสี่ ดุ อย่คู อ่ นไปทางปลายใบ มนและเว้าตรงกลางเล็กน้อย โคน สอบมน ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามง่ามใบใกล้ยอด ออกดอกมากจนดูเป็ นกระจุก ดอกรูปดอกถ่ัว กลีบเลีย้ งเล็กติดกนั คล้ายรูปถ้วยตืน้ ๆ กลีบดอก 5 กลีบ สีขาวอมชมพู กลีบค่ลู า่ งติดกัน ฝักแบนคล้ายรูป กระสวย ปลายและโคนมน มกั มตี ่ิงแหลมสนั้ ๆ ท่ปี ลายฝักตรงหรือโค้งงอเลก็ น้อย ตามผนงั มีลายร่างแหชดั เจน ฝักแกไ่ มแ่ ตก เมลด็ สนี า้ ตาล คล้ายรูปไต สว่ นมากมีเพยี งเมลด็ เดยี ว ทมี่ ี 2 – 3 เมลด็ พบน้อยมาก สว่ นทีใ่ ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ -แก้พษิ ไข้ ถอนพษิ สาแดง แก้ร้อนใน แก้ -มหาสารคามใช้ทาลกู ระนาด เนอื ้ ไม้ -แก้ไข้ กระหายนา้ สารเคมที ่สี าคัญ Dalbergin , dalbergione ฤทธ์ิทางเภสชั วทิ ยา ไมม่ รี ายงานการวจิ ยั
กลอย มนั กลอย(ทวั่ ไป) กลอยข้าวเหนยี ว กลอยหวั เหนียว(นครราชสมี า) กลอยนก กอย(เหนือ) คลี ้ (แมฮ่ ่องสอน) Asiatic bitter yam , Intoxicating yam , Nami , Wild yam ช่ือพฤกษศาสตร์Dioscorea hispida Dennst. var. hispida (Dioscoreaceae) ลักษณะท่วั ไป ไม้เถาลาต้นกลมมีหนาม หวั ใต้ ดินกลมหรือเป็ นพู เปลือกสีเทา เนือ้ สี ขาวหรือเหลอื งออ่ น ใบเรียงสลบั มีใบย่อย 3 ใบ ใบย่อยใบกลางรูปรีหรือรูปรีแกมขอบ ขนาน ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ โคนใบแหลม เส้นใบเรียงตามยาว ด้านลา่ ง ตามเส้นใบใหญ่ ๆ มีหนาม ใบยอ่ ยสองข้างรูปไขห่ รือรูปไข่กลบั หรือรูปหวั ใจ ปลายแหลมสนั้ กวา่ ใบกลาง มีเส้น ใบตามยาว 4 – 6 เส้น ใบออ่ นด้านบนมขี น ใบแก่เกลยี ้ ง ดอกเล็กสเี ขียว ออกเป็ นช่อตามง่ามใบ ดอกเพศผ้แู ละ เพศเมยี อยตู่ า่ งต้นกนั ดอกเพศผ้อู อกเป็ นช่อซ้อน 2-3 ชนั้ ดอกตงั้ ขนึ ้ มีใบประดบั ติดอยทู่ ี่ฐานลกั ษณะคล้ายถงุ ปลายแหลม ด้านนอกมขี น ดอกเพศเมียออกเป็ นชอ่ ชนั้ เดยี วเดีย่ ว ๆ ดอกชีล้ งดนิ สว่ นทีใ่ ช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ หวั -เป็ นอาหาร รับประทานผสม -แก้เถาดาน ใสแ่ ผล กดั ฝ้ าหนอง กดั -มีสาร saponin glycoside ซง่ึ เป็ น รวมกบั ฝักทอง หรือกินเดยี่ วก็ได้ เสมหะและโลหิตเป็ นก้อน สามน พษิ คือ dioscorine ทาให้เกิด ต้น แตต่ ้องผา่ นการล้างเอาสารพษิ บาดแผล ขบั นา้ เหลอื งเสยี แก้ไอ มี อาการชดั และเบ่อื เมาได้ ใบ ออกก่อน พิษตอ่ ระบบประสาท และทาให้มี -บรุ ีรัมย์ใช้กลอยสดกินล้างพษิ ดอก อาการมนึ เมา เสอื กดั -รู้ตงั้ โลหติ และลม -ทาให้บพุ โพตก -ชาระลาไส้ให้บริสทุ ธ์ิ สารเคมที ่สี าคัญ Diosbulbin D , Dioscorine , Diosgenin , Prazerigenin A ฤทธ์ิทางเภสัชวทิ ยา กดระบบประสาทสว่ นกลาง เพิม่ ความดนั โลหติ เพิ่มการหายใจ เป็ นพิษ อาจทาให้ชกั และตายได้
กวาวเครือขาว กวาวเครือ ช่ือพฤกษศาสตร์Pueraria mirifica Airy-Shaw & Suvat. (Leguminosae – Papilionoideae) ลักษณะท่วั ไป ไม้เถา เนือ้ แข็ง เลอื ้ ยตามไม้ใหญ่ เถากลม เรียบสีนา้ ตาล ก่ิงและยอดอ่อนมีขนสีขาว ใบเป็ นใบ ประกอบแบบขนนกใบยอ่ ยมี 3 ใบ ออกเรียงสลบั กว้าง 8–14 ซม. ยาว 12 – 20 ซม. ปลายใบเว้าเลก็ น้อย โคน ใบมน ใบย่อยด้านข้างโคนใบเบีย้ ว แผ่นใบบาง ดอก ออกเป็ นช่อแบบช่อแยกแขนงตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อดอกยาวได้ถึง 30 ซม. ดอกสีขาวและสมี ่วงออ่ น รูปดอกถว่ั กลบี เลยี ้ งมีขนสีนา้ ตาล ผลเป็ นฝักแบน รูปขอบ ขนาน มขี นละเอียด เมลด็ รูปโล่ สมี ว่ งแกมสนี า้ ตาล มีหวั ใต้ดนิ คล้ายหวั มนั แกว เนอื ้ สขี าว สว่ นที่ใช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ หวั -ต้มนา้ กินบารุงกาลงั และบารุงเพศใน -บารุงกาลงั บารุงเนอื ้ ให้งอกงามเตง่ ตงึ รับประทานมาก สตรี ขนึ ้ ทาให้อวยั วะสบื พนั ธ์แุ ละมดลกู เตง่ โต อาจเป็ นอนั ตราย เปลอื กเถา โดยมโี ลหิตคง่ั มากขนึ ้ เนื่องจากมีฮอร์โมน ได้ ใบ เพศหญิง mirosterol เพ่ิมมากขนึ ้ -แก้พิษงู - เป็ นยาอายวุ ฒั นะ โดยใช้สมอเทศ สมอ ไทย มะขามป้ อม บดมาอยา่ งละ่ 1 สว่ น กวาวเครือขาวบด 2 สว่ น ทาเป็ น แคปซูล หรือผสมนา้ ผงึ ้ ทาเป็ นยา ลกู กลอน สารเคมที ่สี าคญั Coumestrol , daidzein , daidzin , genistein , genistin , kwakhurin , puerarin , stigmasterol ฤทธ์ิทางเภสชั วทิ ยา มฤี ทธิ์เหมอื นเอสโตรเจน ทาให้แท้ง คมุ กาเนดิ ยบั ยงั้ การฝังตวั ของตวั ออ่ น ยบั ยงั้ การสร้างอสจุ ิ ยบั ยงั้ การหลงั่ นา้ นม มผี ลตอ่ ระบบสบื พนั ธ์ุ มผี ลตอ่ ตบั มผี ลตอ่ เม็ดเลอื ด มีผลตอ่ ระบบภมู คิ ้มุ กนั ทาให้ปริมาณแคลเซยี ม ในเลอื ดสงู ทาให้การสร้างเมด็ เลอื ดแดงลดลง กินเดยี่ วไมไ่ ด้เนอื่ งจากมีสารบางชนิดที่เป็ นอนั ตราย
กะตังใบ(กรุงเทพ จนั ทบรุ ี เชียงใหม)่ คะนางใบ(ตราด) ช้างเขิง(ฉาน) ตองต้อม(เหนือ) ตองจ้วม บงั บายต้น(ตรัง) ดงั หวาย(นราธิวาส) ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Leea indica (Burm.f.) Merr. (Leeaceae) ลักษณะท่วั ไป กะตงั ใบเป็ นไม้พุ่ม สูง 1-3 เมตร แตกกิ่งก้านตงั้ แต่โคนต้น ตามก่ิงอ่อนมีขนปกคลมุ ใบเป็ นใบ ประกอบแบบขนนกปลายคีอ่ อกเรียงสลบั ใบยอ่ ยมี 3- 7ใบ รูปรียาว กว้าง 4- 6 ซม. ยาว 12 – 18 ซม. โคนใบ มน ปลายใบแหลม ขอบใบจกั เป็ นซฟ่ี ัน แผน่ ใบสเี ขยี วเป็ นแนวลอนตามแนวเส้นใบ มีหใู บเป็ นแผ่น ดอกออกเป็ น ช่อแยกแขนงตามซอกใบ ก้านดอกช่อยาว ดอกสีเขียวอ่อนจานวนมาก ดอกตมู กลม ผลรูปกลมแป้ น ผลออ่ นสี เขยี ว พอแกจ่ ดั เป็ นสแี ดงเข้มจนถงึ ดา เมลด็ เด่ียวรูปไข่ สว่ นทใ่ี ช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ ราก - มีรสเย็น เมาเบอ่ื แก้ไข้ ขบั เหง่ือ ดบั ร้อน แก้ปวดเม่อื ยตามร่างกาย และแก้คร่ันเนอื ้ ครั่น ตวั สารเคมีท่สี าคญั Myricitrin ฤทธ์ิทางเภสชั วทิ ยา ไมม่ ีรายงานการวจิ ยั
กะตงั ใบแดง เขือง(ภาคกลาง) ช่ือพฤกษศาสตร์Leea rubra Blume ex Spreng. (Leeaceae) ลักษณะท่วั ไป ไม้พ่มุ ใบประกอบรูปขนนกเรียงสลบั ใบย่อยเป็ นรูปไข่ค่อนข้างมน หรือรูปหอกแกมขอบขนาน ขอบหยกั ปลายแหลม ฐานกลม ดอกช่อออกท่ีซอกใบ ก้านและกลีบเลยี ้ งสีแดง กลบี ดอกสีเหลือง ผลสดรูป กลมเม่อื สกุ เป็ นสแี ดงเข้มหรือดา สว่ นทีใ่ ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ -แก้ไข้ แก้บิด ขบั เหง่ือ เป็ นยาระบายความร้อน แก้คร่ัน ราก -เข้ายารกั ษามะเร็ง เนอื ้ คร่ันตวั ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ระดขู าว แก้ฝี แดงและฝี กระตงั บาย รักษาคดุ ทะราด สารเคมีท่สี าคญั Myricitrin ฤทธ์ิทางเภสชั วทิ ยา ไมม่ รี ายงานการวจิ ยั
กาซะลอง ปี ป กาดสะลอง เต็ก ตองโพ่ Cork tree , Indian cork tree (Bignoniaceae) ช่ือพฤกษศาสตร์Millingtonia hortensis L.f. ลกั ษณะท่วั ไป ไม้ยนื ต้นสงู 15 – 25 เมตร ใบประกอบแบบใบ ขนนกเรียง 2 – 3 ชนั้ เรียงตรงข้าม ใบยอ่ ยรูปไขแ่ กมรูป หอก ปลายใบแหลมขอบใบหยกั เว้า หรือหยกั กลม ๆ หรือ เรียบ โคนใบกลม มตี อ่ มขนอยตู่ รงมมุ ระหวา่ งเส้นกลางใบ และเส้นใบ ดอกออกเป็ นช่อใหญ่ตงั้ ตรง มขี นสนั้ ๆ มกี ลนิ่ หอม ดอกสขี าว กลบี ดอกเช่ือมติดกนั เป็ นทอ่ ยาว ปลาย แยกเป็ น 5 แฉก ผลเป็ นฝักแบน ภายในมเี มลด็ เป็ นจานวนมาก สว่ นที่ใช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ราก - บารุงปอด รักษาวณั โรค -ภาคอีสานใช้ยอดออ่ นกินกบั - ต้มนา้ กินแก้ร้อนใน บารุง ลาบ ดอกลวกจิม้ นา้ พริก ใบ ปอดและชว่ ยรักษาวณั โรค - ตากแห้งใช้มวนบหุ ร่ี - ยอดออ่ นและใบออ่ น ดอก ยา่ งไฟเป็นผกั กินกบั ลาบ เปลอื กต้น - รักษาริดสดี วงจมกู และโรคหดื โดย เมลด็ นามาตากแห้ง สมุ ไฟและสดู ดม หรือ ใช้เป็ นสว่ นผสมในยาหอม หรือนามา ต้มนา้ ดมื่ แก้ไอ - มวนสบู แก้ริดสีดวงจมกู - เป็ นยาอายวุ ฒั นะ สารเคมีท่สี าคัญ cirsimaritin , cornoside , p – coumaryl glucoside , dinatin , ellagic acid ,hispidulin ,lapaehol , paulownin , peetolinarigenin , verbascoside ฤทธ์ิทางเภสชั วทิ ยา ขบั ปัสสาวะ ยบั ยงั้ การเจริญเตบิ โตของพืช ยบั ยงั้ การงอกของพชื ต้านฮีสตามนี คลายกล้ามเนอื ้ เรียบ ขยาย หลอดลม ยบั ยงั้ เชือ้ รา ยบั ยงั้ แบคทีเรีย เป็ นพษิ ตอ่ เซลล์ ในดอกมสี าร hispidulin ซง่ึ ระเหยได้และมีฤทธิ์ขยาย หลอดลมได้ดีกวา่ aminophylline ซงึ่ เป็ นยาแผนปัจจบุ นั ทีใ่ ช้รักษาโรคหดื หอบ ซง่ึ ทดสอบแล้วไมพ่ บความเป็ นพษิ กาฝากหนามสเี ตาะ กาฝากคนทา คนตา คนทา กะลนั ทา สฟี ัน สฟี ันคนทา(กลาง) สฟี ันคนตาย จี ้ จี ้
หนาม สเี ตาะ หนามจี(้ เหนือ) ขตี ้ าตา(เชียงใหม)่ มชี ี(กะเหร่ียง-แมฮ่ ่องสอน) ช่ือพฤกษศาสตร์ Harrisonia perforata (Blanco) Merr. (Simaroubaceae) ลกั ษณะท่วั ไป ไม้พมุ่ ขนาดใหญ่หรือไม้ยืนต้นขนาดเลก็ ลาต้น ก่ิง ก้าน เป็นหนาม เปลอื กเป็ นสนี า้ ตาลเทา ยอดใบมีสแี ดง ใบเป็ นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียง ใบยอ่ ยมี 1 – 15 ใบ เป็ นรูปรีหรือรูปไข่ ขอบใบหยกั ออกสลบั โคนใบมน ปลาย ใบมนถงึ แหลม ดอกออกเป็ นช่อกระจกุ ตามซอกใบ แตล่ ะช่อจะประกอบด้วยดอก ยอ่ ยขนาดเลก็ 5 – 8 ดอก ดอกด้านนอกสแี ดงแกมมว่ ง ด้านในสนี วล ภายในมี แป้ นรองดอก กลบี รองดอก และ กลบี ดอก อยา่ งละ 4 – 5 กลบี เป็ นรูปขอบขนาน ออกดอกเกือบทงั้ ปี ผลเป็ นผลสดคอ่ นข้างกลม ผิวนอกคล้ายแผน่ หนงั ภายในมี เมลด็ แขง็ โต สว่ นท่ีใช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ ราก -ตาใสผ่ มแก้เชือ้ ราบนหนงั ศีรษะ -แก้บวม แก้ไข้ สมานแผล แก้ไข้ -บรุ ีรัมย์ใช้ก่งิ ก้านทา เรียกแมงแคงกินหวั เป็ นยาร้อน จบั สน่ั รักษาลาไส้ ขบั ลม ความสะอาดฟันโดยเหลา ต้น -มรี สเฝื่ อนขม ต้มนา้ กินแก้ปวดเอว -แก้บิด ท้องร่วง แก้ไข้ แก้ร้อนใน เป็ นแทง่ ทบุ ปลายเป็ นภู่ ฟอกโลหิต แบนๆ เปลอื กต้น -มีรสเฝื่ อนขม ใช้สฟี ันรักษาฟัน -แก้ไข้ รักษาลาไส้ แก้ท้องร่วง -มหาสารคามใช้ราก ใบ -แก้ปวด กาฝากหนามสเี ตาะผสม ดอก -แก้พษิ แตนตอ่ ย กบั รากดคี น แก้ลมพษิ กิ่งก้าน -ทาเป็ นไม้สฟี ันโดยตดั เป็ นทอ่ นพอ มือจบั ทบุ ปลายให้เป็ นพคู่ ล้ายแปรง สฟี ัน นาไปสฟี ันทาให้ฟันแข็งแรง ทนทาน สารเคมีท่สี าคญั Heteropeucenin , obacunone , perforatic acid , perforatin A , perforatin B , -sitosterol ฤทธ์ิทางเภสชั วทิ ยา แก้แพ้ ยบั ยงั้ การเจริญเติบโตของเชือ้ มาลาเรีย ยบั ยงั้ เอน็ ไซม์ reverse transcriptase
ก๋าว ทองกวาวต้น ทองกวาว กวาว ทองธรรมชาติ ทองพรมชาติ (กลาง) จอมทอง(ใต้) จาน(อบุ ลราชธานี) จ้า(เขมร- สรุ ินทร์) ทองต้น(ราชบรุ ี) Bastard teak , Bengal kino , Flame of the forest ช่ือพฤกษศาสตร์Butea monosperma (Lam.) Taub. (Leguminosae-Papilionoideae) ลักษณะท่วั ไป ไม้ยืนต้นสงู 8- 15 เมตร พบตามป่ าผลดั ใบ ท่ีระดบั ความสงู ไม่เกิน 5 00เมตร กิ่งออ่ นมีขนละเอียดสี นา้ ตาลหนาแน่น ใบประกอบแบบใบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลบั ใบ ยอ่ ยมีปลายรูปไขก่ ลบั แกมสเี่ หลย่ี มขนมเปี ยกปนู กว้าง ใบย่อยด้านข้างรูป ไขเ่ บยี ้ วกว้าง 8 – 15 ซม. ยาว 9 – 17 ซม. ดอกชอ่ กระจะออกทีซ่ อกใบและ ปลายกิ่ง ดอกย่อยหลายดอก กลบี ดอกสสี ้มสด รูปดอกถวั่ มีขนหนาแนน่ ผลเป็ นฝักด้านลา่ งแบน ไมแ่ ตก ด้านบนหนาแตกเป็ น 2 ซกี มีเมลด็ เดียว สว่ นทใ่ี ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ดอก -ย้อมผ้าให้สเี หลอื ง - ดอกสดต้มนา้ รับประทานแก้ถอนพษิ ไข้ ช่วยขบั ใบสด -ต้มนา้ กินแก้ปวด ปัสสาวะ หยอดตาแก้ตาแดง -พบ Butin ในเมลด็ มี ฝัก -ขบั พยาธิ - ต้มนา้ กินแก้ปวด ขบั พยาธิ หรือตาให้ละเอียดพอกสวิ ฤทธ์ิคล้ายเอสโตรเจน เมลด็ และฝี มีผลเสยี ต่อสตรีท่ี -แก้ออ่ นเพลยี บารุง - ต้มนา้ ดมื่ ชว่ ยขบั พยาธิ ต้องการตงั้ ครรภ์ รากสด กาลงั - ตาให้ละเอยี ดแล้วผสมกบั นา้ มะนาวทาบริเวณทเี่ ป็ น ยาง ผื่นคนั หรือ แผลอกั เสบจากโรคผวิ หนงั หรือ นา เปลอื ก เมลด็ มาต้มนา้ ดม่ื เพ่ือขบั พยาธิตวั กลม - ต้มนา้ ดมื่ แก้โรคประสาทและบารุงธาตุ - แก้ท้องร่วง - เข้าเคร่ืองยาแก้ตานซางในเด็กเลก็ สารเคมที ่สี าคัญ Butin ฤทธ์ิทางเภสัชวทิ ยา มี butin ในเมลด็ มีฤทธ์ิคล้ายเอสโตรเจน มีผลเสยี ตอ่ สตรีทต่ี ้องการตงั้ ครรภ์ สว่ นผสมของทองกวาวและดปี ลี สามารถกระต้นุ ให้สตั ว์ทดลองสร้างภมู คิ ้มุ กนั อาการท้องเสยี จากเชอื ้ Giardia lamblia โดยไมม่ ฤี ทธ์ิฆา่ เชือ้
ก๊กุ กาก๊กุ ช่ือพฤกษศาสตร์Alpinia blepharocalyx K.Schum. (Zingiberaceae) ลกั ษณะท่วั ไป ลาต้นและใบคล้ายขา่ หน่อท่ีแทงขนึ ้ มาจากพนื ้ ใหมจ่ ะมสี แี ดง หนอ่ ออ่ นข้างในมีสขี าว กลน่ิ หอม รับประทานได้ สว่ นที่ใช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ดอกออ่ นและฝัก -กินเป็ นผกั กินกบั นา้ พริกปลาร้า -รักษาโรคผิวหนงั ดอก ใสแ่ กงแค - ขบั ลมในลาไส้ ชว่ ยยอ่ ยอาหาร เหง้า แก้ท้องเฟ้ อ ท้องอืด -เข้าเคร่ืองยาแก้ปวดเขา่ ต้มนา้ กินแก้แนน่ ท้อง
กูดคา ผกั กดู (กลาง) กดู กิน(เหนือ) กดู นา้ (แมฮ่ อ่ งสอน) ผกั กดู ขาว(ชลบรุ ี) กดู อ้อม ช่อื พฤกษศาสตร์ Diplazium esculentum (Retz.) Swastz (Athyriaceae) ลกั ษณะท่วั ไป ไม้จาพวกเฟิ ร์น เป็ นเหง้าตงั้ ตรง สงู มากกว่า 1 เมตร มีเกล็ดสนี า้ ตาลเข้ม ขอบเกล็ดหยกั ซ่ีฟัน ใบ ประกอบแบบใบขนนก 2 ชนั้ แผน่ ใบมขี นาดตา่ งกนั มกั ยาวกวา่ 1 เมตร ก้านใบยาว 70 ซม. กลมุ่ ใบยอ่ ยคลู่ า่ งมกั ลดขนาดลง ปลายใบเรียวแหลม โคนรูปหวั ใจหรือรูปติง่ หู ขอบหยกั เว้าลกึ เป็ นแฉกเกือบทงั้ เส้นกลาง ใบยอ่ ยแฉก ปลายมน ขอบหยกั ซฟ่ี ัน แผน่ ใบบาง กลมุ่ อบั สปอร์อยตู่ ามความยาวของเส้นใบย่อย มกั เชื่ออย่กู บั อบั กลมุ่ สปอร์ ทอ่ี ยใู่ นแฉกติดกนั ซงึ่ มีเส้นใบมาสานกนั สว่ นทใ่ี ช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ ยอดสด -กินกบั นา้ พริก ใบ -แก้ไข้ตวั ร้อน แก้พษิ อกั เสบ บารุง สายตา บารุงโลหิต ป้ องกนั เลอื ดออกตามไรฟัน ขบั ปัสสาวะ ราก -ผสมตวั ยาอ่นื รักษามะเร็ง สารเคมที ่สี าคญั ไมม่ ีรายงานการวจิ ยั ฤทธ์ิทางเภสชั วทิ ยา ไมม่ ีรายงานการวจิ ยั
กูดงอดแงด ย่านลิเภา ลิเภาใหญ่ กะฉอด หญ้ ายายเภา(ตะวันออกเฉียงใต้) กูดคือ อู่ตะเภา (ตะวนั ตกเฉียงใต้) หมอยแมม่ า่ ย(กลาง ตะวนั ออกเฉียงเหนือ) ตีนตะขาบ(เหนือ) ลเิ ภา(ใต้) ลิบบู ือชา(มลาย-ู นราธิวาส) กดู ฆ้อง ช่ือพฤกษศาสตร์Lygodium salicifolium Persl (Schizaeaceae) ลกั ษณะท่วั ไป เป็ นพชื จาพวกเฟิน ลาต้นเลอื ้ ยใต้ดิน เถาใหญ่ แขง็ กรอบ ไม่นิยมทาเคร่ืองจกั สาน แทงใบขนึ ้ เหนือดิน เป็ นระยะ ใบเป็ นใบประกอบ 4 ชนั้ ก้านแขนงแรกสนั้ มาก แตกก้านแขนงคู่ท่ีสองชิดหรือเกือบชิดกบั ก้านใบ ก้าน ชนั้ ที่สองแตกแขนงเป็ นก้านชอ่ ใบประกอบยอ่ ยเรียงสลบั ปลายใบมนถึงแหลม โคนหยกั เว้าหรือหยกั ลกึ คล้าย หวั ลกู ศร สว่ นท่ีใช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ยอดออ่ น -เป็ นผกั สด หรือนามาปรุงอาหารได้ -ตราด ใช้เถาเข้าเครื่อง ราก -ต้มนา้ กินแก้ปวดเขา่ - แก้ไข้ ตวั ร้อน แก้พิษอกั เสบ บารุง ยา ต้มนา้ อาบแก้คนั ใบ สายตา บารุงโลหิต ป้ องกนั แก้แพ้ เลอื ดออกตามไรฟัน ขบั ปัสสาวะ -นราธิวาส ใช้ใบสดเข้า เครื่องยา ต้มนา้ ดมื่ รักษามะเร็ง
กดู ตีนเหยย่ี ว กดู ตีนกวาง กดู ตนี ฮ้งุ ผกั ตนี กวาง(ภาคเหนือ) ผกั นกยงู (นครราชสมี า) ตนี นกยงู (เพนนิลซลู า , จนั ทบรุ ี) กดู จ๊อง กดู ซาง ตยู ลุ างิ(มาเลย-์ นราธิวาส) ช่ือพฤกษศาสตร์Helminthostachys zeylanica (L.) Hook (Ophioglossaceae) ลกั ษณะท่วั ไป ผกั กดู ท่ีอาศยั อยตู่ ามพืน้ ดนิ ใบออกตรงข้าม ใบแยกแฉกเป็ น 2 ใบตอ่ 1 กิ่ง ขอบใบหยกั เลก็ น้อย สว่ นทีใ่ ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ยอดออ่ น เป็ นผกั ประกอบอาหาร แกงกบั หนอ่ ไม้
โกสน กรีกะสม กรีสาเก โกรตน๋ (ทวั่ ไป) ช่ือวทิ ยาศาสตร์Codiaeum variegatum Blume (Euphorbiaceae) ลกั ษณะท่วั ไป เป็ นไม้พมุ่ สงู 2 – 3 ม. เปลอื กต้นสนี า้ ตาล มรี อยแผลใบชดั เจน ใบเป็ นใบเด่ียวเรียงสลบั มีรูปร่าง หลายแบบเช่น รูปไขก่ ลบั แกมรูปหอก รูปขอบขนานถงึ รูปยาวแคบบิดเป็ นเกลยี ว ใบกลมหรือเว้าลกึ โคนใบมน หรือแหลม ปลายใบแหลมหรือมน ขอบใบเรียบเป็ นคล่นื แผ่นใบมีหลายสี เช่น เขียว แดง เหลือง ขาว ส้ม ชมพู มว่ ง หรือเป็ นลาย ก้านใบยาว 3 – 5 ซม. ดอกแยกเพศผ้อู ยบู่ นต้นเดียวกนั ออกเป็ นกระจะตามซอกใบหรือปลายยอด ช่อ ดอกเพศผ้มู ีดอกย่อย 30 – 60 ดอก กลีบเลยี ้ งมี 3 – 6 กลบี กลบี ดอกมี 3- 6 กลีบ เกสรเพศผ้มู ี 30 อนั ช่อดอกตวั เมีย ตงั้ ตรง มีดอกย่อย 10 – 20 ดอก ไมม่ ีกลบี ดอก กลีบเลยี ้ งแนบกบั รังไข่ เกสรเพศเมียปลายแยกเป็ น 3 แฉก ผล รูปทรงคอ่ นข้างกลม เส้นผา่ ศนู ย์กลาง 1 ซม. ผลแกแ่ ตกออกได้ 2 ซีก เมลด็ มสี นี า้ ตาล มี 2 เมลด็ สว่ นทีใ่ ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ใบ -ตาพอกแก้ท้องเสยี แก้โรคระบบ ทางเดินปัสสาวะผิดปกติ ยอดออ่ น -เป็ นอาหาร กินจิม้ นา้ พริก ลาบ และใสแ่ กงโฮะ
ขามคัวะ หาฮอก หาขวั ะ กะหนาน ขนาน ช่ือพฤกษศาสตร์Pterospermum semisagittatum Buch – Ham. ex Roxb. (Sterculiaceae) ลักษณะท่วั ไป ไม้ต้นผลดั ใบ สงู 8–15 ม. ใบเดี่ยวเรียงสลบั รูปขอบขนานกว้าง 2–6 ซม. ยาว 6–20 ซม. โคนใบเว้า และเบีย้ ว ดอกสีขาวขนาดใหญ่ ออกดอกเด่ียว ๆ ที่ปลายก่ิงหรือใกล้ก่ิง ใบประดบั 3 – 5 กลีบ เป็ นเส้นแตกแขนงสี เขียว กลีบเลีย้ ง 5 กลีบ รูปขอบขนานยาว 4 – 6 ซม. กลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่กลบั กว้าง 1 –3 ซม. ยาว 5 –8 ซม. แข็งเหมอื นเนอื ้ ไม้ ผวิ มขี นสนี า้ ตาลปกคลมุ หนาแน่นคล้ายกามะหยี่ พบตามป่ าเบญจพรรณมีระดบั ความสงู ไม่เกิน 700 เมตร ออกดอกเดือน พ.ค. ผลแกเ่ ดอื น พ.ย. เนอื ้ ไม้ใช้ทาเชือ้ เพลงิ สว่ นท่ีใช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ เปลือก - ใช้เคยี ้ วกินกบั หมากพลู - ทาเชือ้ เพลิง เนือ้ ไม้ ทาให้ฟันแข็งแรง - ทาไม้ประดบั แห้ง ใบและผล - ทาเชือ้ เพลิง
ขงิ แดง ขิงดา ขิงแมงดา ขงิ แคลง ดอกแดง ดอกขาว ดอกร่วง กาบแดง ช่ือพฤกษศาสตร์Zingiber kerrii Craib ลกั ษณะท่วั ไป (Zingiberaceae) ไม้ล้มลกุ เนอื ้ ออ่ น ใบเลก็ ยาวแหลม มกี ลน่ิ หอม หวั ดอก ใบ คล้ายขงิ มาก กาบมสี แี ดง ดอกสแี ดง และจะเปลยี่ นเป็ นสขี าวกอ่ นจะร่วงโรย สว่ นท่ีใช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้าคว้า หมายเหตุ ใบ -ใสแ่ กง ทาให้มีกลน่ิ หอม เหง้า -ขบั ลม แก้ท้องเสยี แก้ธาตุ พิการ ช่วยยอ่ ยอาหาร ฤทธ์ิทางเภสชั วทิ ยา ไมม่ ีรายงานการวจิ ยั
ขเี ้หลก็ ป่ า ขเี ้หลก็ โคก ขเี ้หลก็ แพะ ขเี ้หลก็ สาร แสมสาร ช่ือพฤกษศาสตร์Senna garrettiana (Graib)Irwin&Barneby (Leguminosae – Caesalpinioideae) ลักษณะท่วั ไป ไม้ยนื ต้นสงู ได้ถงึ 10 เมตร ใบประกอบแบบขนนกเรียงสลบั ใบยอ่ ยรูปใบหอก หรือรูปไขก่ ว้าง มขี นาด กว้าง 3- 5 ซม. ผวิ ใบมนั ดอกช่ออกทป่ี ลายกงิ่ กลบี ดอกสเี หลอื ง ผลเป็ นฝักแบน เป็ นมนั มกั จะบดิ เบยี ้ ว สว่ นท่ีใช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ เมล็ด -กินเมล็ดในฝักเชน่ เดียวกบั -เป็นยาระบาย ขบั เสมหะ มีสารกลมุ่ กระถิน แตต่ ้องเผาไฟกอ่ น ขบั ระดู anthraquinone หลาย ไมก่ ินใบ ชนิดได้แก่ แก่น chrysophanol และ casialoin
เข็มแมห่ ม้าย ปื นนกไส้ กี่นกไส้ หญ้าก้นจา้ ขาว(สระบรุ ี) ช่ือพฤกษศาสตร์Bidens pilosa L. (Compositae) ลักษณะท่วั ไป เป็ นไม้ล้มลกุ ลาต้นตรง แตกกิ่งก้านมาก ใบประกอบแบบขนนกเรียงตรงข้าม ใบยอ่ ยรูปไขแ่ กมขอบ ขนาน ใบยอ่ ยด้านลา่ งรูปไข่ ด้านบนรูปหอก ดอกชอ่ ออกที่ซอกใบและปลายกิ่ง ดอกยอ่ ย 20 -40 ดอก มชี นั้ ใบ ประดบั กลบี ดอกสเี หลอื งหรือสคี รีม ผลแห้งไมแ่ ตก แบน สนี า้ ตาลเข้มดอกมีขนาดเลก็ สเี หลอื ง สว่ นที่ใช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ราก -ต้มนา้ กินรักษาฝี -ต้มนา้ ดืม่ แก้หวดั ทงั้ ต้น -ผสมตวั อน่ื ต้มนา้ ดม่ื แก้ไอมีนา้ มกู ข้น
คนู ลมแล้ง(เหนือ) ราชพฤกษ์(ใต้) ชยั พฤกษ์ (กลาง) กเุ พยะ(กะเหร่ียง- กาญจนบรุ ี) ปื อยู ปโู ย แมะห ลา่ หย(ู่ กะเหร่ียง-แมฮ่ อ่ งสอน) Golden shower , Indian laburnum , Pudding-pine tree ช่ือพฤกษศาสตร์ Cassia fistula Linn. (Leguminosae-Caesalpinioideae) ลกั ษณะท่วั ไป ไม้ยืนต้นขนาดกลางเปลอื กแข็งผิวเรียบ ใบประกอบแบบขนนกชัน้ เดียว เรียงสลบั ใบยอ่ ยรูปไขห่ รือรูปวงรี ดอกชอ่ ออกท่ีปลายก่ิง ห้อยเป็ นโคมระย้า กลีบ ดอกสีเหลือง ผลเป็ นฝักกลมสีนา้ ตาลหรือสดี า ภายในมีผนงั กนั้ เป็ นห้องแต่ละ ห้องมีเมลด็ 1 เมลด็ ห้มุ ด้วยเนอื ้ เหนียวสดี า สว่ นทใ่ี ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ - แก้ร้อนใน แก้กระหายนา้ แก้ปวดเมื่อยตาม เนอื ้ ในฝัก - เป็ นยาระบาย ร่างกาย ชว่ ยระบายท้อง สตรีมคี รรภ์ก็ใช้ได้ -เนอื ้ ในฝักมีสาร - กินกบั หมาก ขบั พยาธิไส้เดอื น แกน่ - แก้รามะนาด แก้ปวดฟัน anthraquinone กระพี ้ - เป็ นยาระบาย แก้ไข้ ราก - แก้ท้องเสยี สมานแผล glycoside มฤี ทธ์ิ ชว่ ย เปลอื ก - ถอนพษิ เบอื่ เมา ทาให้อาเจียน ระบาย เปลอื กฝัก - ขบั พยาธิผวิ หนงั ระบายท้อง แก้ฝี และเม็ดผ่ืน -เปลอื ก ใบ ดอก แกน่ ใบ ตามร่างกาย มี anthraquinones คอื - แก้ไข้ เป็ นยาระบาย แก้ปวดแผลเรือ้ รัง พพุ อง ดอก - เป็ นยาระบาย แก้ขกี ้ ลาก rhein , senoside A , เปลอื ก ใบ ดอก senoside B มีฤทธ์ิชว่ ย แกน่ ระบายท้องและมี เปลอื กราก chrysophanic acid แก้ ขกี ้ ลาก - มี flavonoid glycoside มฤี ทธิ์ฆา่ เชือ้ รา สารเคมที ่สี าคญั anthraquinones , arachidonic acid , arginine , aspartic acid , astragalin , betulinic acid , steroid glycoside , catechin , chrysophanic acid , coumavic acid , kaempferol , myristoleic acid , aloe emodin , rhein , tryptophan , stigmasterol
เครือนมแน่ หนามแน่ (เหนือ) รางจืด กาลงั ช้างเผือก ขอบชะนาง รางเย็น คาย (ยะลา) เครือเขาเขยี ว ยาเขยี ว ดเุ หวา่ (ปัตตาน)ี ทิดพดุ (นครราชสมี า) นา้ นอง(สระบรุ ี) แอดแอ(เพชรบรู ณ์) ช่ือพฤกษศาสตร์ Thunbergia laurifolia Lindl. (Acanthaceae) ลกั ษณะท่วั ไป ไม้เถาเนือ้ แข็ง ใบเด่ียวออกตรง ข้ามรูปขอบขนานหรือรูปไขป่ ลายเรียวแหลม โคนเว้า เรียบหรือหยกั เลก็ น้อย ดอกสมี ว่ งอมฟ้ าหรือขาว ออกเป็ นช่อตามซอกใบ ห้อยลง ผลเป็ นฝักกลม ปลายเป็ นจะงอยเมอื่ แกแ่ ตก เป็ น 2 ซีก ออกดอกเดอื น พ.ย – ม.ค สว่ นท่ีใช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ทงั้ ต้น - นามาต้มนา้ ดื่มแก้พิษสรุ าเรือ้ รัง - แก้ซางขโมย ขบั ปัสสาวะ แก้ -บรุ ีรัมย์ ใช้เถาและใบตาก ราก หรือเคยี ้ วกินสด ๆ ถ้าต้องการแก้ นา้ เหลอื งเสยี แก้เมด็ ผ่ืนตามตวั แห้ง ต้มนา้ ดืม่ ถอนพิษ เถา พิษอยา่ งรวดเร็ว ลดปริมาณสารพษิ ใน - แก้ร้อนในกระหายนา้ ถอนพษิ เบ่อื ร่างกาย ใบ -ต้มกบั ข้าวจ้าวเปลอื ก กินแก้ เมา ถอนพษิ ไข้ ไซนสั - ทาให้เจริญอาหาร แก้ร้อนใน ปม ใช้รัดเหนือแผลที่ถกู งกู ดั เพอื่ กระหายนา้ ถอนพิษของเบอื่ เมา ป้ องกนั พิษเข้าสหู่ วั ใจ ถอนพิษปวดแสบปวดร้ อน -เข้ายาเคย่ี วกบั นา้ มนั งา ทาแก้ พิษแมลงสตั ว์กดั ตอ่ ย - รักษามะเร็งลาม แก้นา้ ร้อนลวก แก้ ผนื่ แพ้ตา่ ง ๆ ขบั พยาธิ นา้ คนั้ จากใบ สดใช้แก้ไข้ ถอนพิษไข้ -ต้มกบั ข้าวจ้าวเปลอื ก กินแก้โรค เก๊าท์
เครือมนั เหลยี่ ม ช่ือพฤกษศาสตร์Dioscorea sp. (Dioscoreaceae) ลักษณะท่วั ไป ลาต้นเป็ นสีเหล่ียม หวั เหมือนบกุ มีขนาดใหญ่อยใู่ นแนวลกึ กินได้ สว่ นท่ใี ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ -ลาพนู ใช้หวั เป็ นอาหาร หวั - เป็ นอาหาร
โคลงเคลง มงั เคร่ มงั เร้ สาเร สาเร อ้า อ้าหลวง(เหนือ) โคลงเคลงขีน้ ก โคลงเคลงขีห้ มา Indian rhododendron , Malabar melastome ช่ือพฤกษศาสตร์Melastoma malabathricum L. subp. malabathricum (Melastomataceae) ลกั ษณะท่วั ไป เป็ นไม้พ่มุ ขนาดเลก็ สงู 1-2 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามเป็ นค่สู ลบั แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปรี ถึงรูป ขอบขนานแกมรูปหอก ยาว 7 – 10 ซม. กว้าง 3 – 4 ซม. ผิวใบมีเกลด็ เล็กแหลมสนั้ ๆ ปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม โคนใบแหลม มีเส้นใบ 3 เส้นเด่นออกจากโคนใบจรดปลายใบ ก้านใบยาว 1-2 ซม. มีเกล็ดเรียบและขนสนั้ ดอกสชี มพแู กมมว่ งสด มีเส้นผ่าศนู ย์กลางประมาณ 5 ซม. ถ้วยรองดอกมีเกลด็ เลด็ เรียวแหลมสีม่วงคอ่ นข้างเรียบ ผลรูปถ้วยปากผายกว้างประมาณ 1.5 ซม. มีเมลด็ เลก็ ๆ จานวนมาก รับประทานได้ เนอื ้ สดี า สว่ นทใ่ี ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ใบ -นราธิวาสใช้ใบสดผสมกบั ชนิดอน่ื ขบั นา้ คาวปลาหลงั ราก คลอด และป้ องกนั มดลกู ลอย ลาต้น -ผสมกบั ต้นเสมดั ต้มนา้ กินแก้ ใช้ใบออ่ นรักษาแผลสด ใช้รากเข้าเคร่ืองยาแก้ท้องเสยี ปวดข้อ
จดั คา่ น จะขดั สะค้าน ช่ือพฤกษศาสตร์Piper ribesioides Wall. (Piperaceae) ลักษณะท่วั ไป เป็ นไม้เถาเลอื ้ ยขนาดกลาง พาดพนั ตามต้นไม้ใหญ่ เส้นผา่ ศนู ย์กลาง 4 -5 ซม. เถายาวราว 5 - 6 ม. เนือ้ เถามีหน้าตดั เป็ นรัศมี เปลือกค่อนข้างออ่ นเนือ้ สีขาว ใบเป็ นใบเด่ียวรูปหอก ปลายแหลมสเี ขียวเข้ม ยาว 3 - 4 นวิ ้ กว้าง 2 นวิ ้ สว่ นที่ใช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ เถา -เข้ายาปรับธาตุ และใสแ่ กงแคเป็ นเครื่องชู -ขบั ลมในลาไส้ แก้แนน่ จกุ รส โดยลอกเปลอื กออกหรือหน่ั เป็ นแวน่ เสยี ด ใบออ่ นสด บาง หรือใสแ่ กงขนนุ ออ่ น -รับประทานเป็ นผกั แกล้มกบั ลาบก้อย -ขบั ลมในลาไส้ แก้แนน่ จกุ ดอก เสยี ด ผล -แก้ลมอมั พฤกต์ ราก -แก้ลมในทรวงอก -แก้ไข้ แก้หืด แก้จกุ เสยี ด รักษาธาตุ
ชะเอม ข้าวสาร เครือเขาขมหลวง(ภาคกลาง) อ้อยสามสวน อ้อยแสนสวน(เหนือ) ขมเหลอื ง(เชียงใหม)่ ป้ างไม้(ลาปาง) สอ่ื กี่ปอบอ(กะเหร่ียง – แมฮ่ อ่ งสอน) กอน(เงยี ้ ว – แมฮ่ อ่ งสอน) ช่ือพฤกษศาสตร์Myriopteron extensum (Wight) K. Schum. (Asclepiadaceae) ลักษณะท่วั ไป เป็ นไม้เถาเลอื ้ ยพาดพนั ต้นอื่น เถากลม เขียว มียางขาว ใบเด่ียวออกตรงข้ามกนั ปลายใบแหลม โคนใบ มน ขอบใบเรียบ สเี ขียว ดอกออกเป็ นช่อแบบแยกแขนงตามซอกใบ ดอกสขี าวนวล กลบี ดอกรูปใบหอก 5 กลบี กลบี เลยี ้ งขนาดเลก็ รูปไข่ ผลเป็ นฝักคู่ รูปกระสวย โคนตดิ กนั ผลเป็ นรูปพู เป็ นสนั แหลมถี่ สีเขียว ผลแก่ แตกแนวเดียว เมล็ดแบบรูปไข่ มีขนสีขาวติดท่ีปลายเมล็ด สว่ นทใ่ี ช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ รากสด -ต้มนา้ ดื่ม แก้ปวดเอว เป็ นยาบารุงธาตุ กิน -มหาสารคามใช้ -รสหวาน แก้ไอ เข้าเครื่องยาต้ม เป็ นยาแก้ขบั เสมหะ แก้ไอ แก้เยอ่ื ออ่ นใน เคีย้ วกินสด ๆ แก้ เถา นา้ กินแก้ออ่ นเพลยี บารุงกาลงั ลาคออกั เสบ กระหายนา้ ผล และใช้เข้ายาแก้พษิ -มรี สหวาน ตดั เป็ นทอ่ นให้เดก็ เคยี ้ ว เพ่อื ให้ ชมุ่ คอ แก้เจ็บคอ -กินเป็ นยาทาให้จติ ใจชมุ่ ช่ืน แก้กระหาย
ชาเม่ียง ชา(ภาคกลาง) เมย่ี งดอย(ภาคเหนอื ) Tea plant (Theaceae) ช่ือวทิ ยาศาสตร์Camellia sinensis (L.) Kuntze var. assamica (Mast.) Kitam. ลักษณะท่วั ไป เป็ นไม้ต้นขนาดเลก็ สงู 2 – 3 ม. แตกกิ่งก้านไมเ่ ป็ นระเบียบ เปลอื กต้นเรียบสนี า้ ตาลปนเทา ใบเป็ นใบเด่ียว ออกเรียงสลบั รูปใบ หอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบจกั เป็ นฟัน เลื่อย แผ่นใบเรียบ สีเขียว ดอกออกเป็ นดอกเด่ียวหรือออกเป็ น กระจุก 2- 3 ดอกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง ดอกมีสีขาว มีกล่ินหอม เลก็ น้อย กลบี ดอกรูปไขก่ ลบั 5 – 8 กลบี เกสรเพศผู้ สเี หลอื ง เกสรเพศเมีย ปลายแยกเป็ น 2 – 3แฉก กลบี เลยี ้ งสเี ขียว 5 กลีบ ผลรูปทรงกลม ผิว เรียบ แบง่ เป็ น 3 พู ผลแห้งแตกเป็ นแฉก 2 – 3 ซกี เมลด็ กลมใหญ่มีหลายเมลด็ สว่ นทใี่ ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ใบ -ใช้ควั่ หรือดองเคีย้ วกินหรือ -มีรสฝาดชมุ่ ทาให้หายเหน่ือย ไมง่ ่วงนอน ตากแห้งชงกิน ชว่ ยล้างพิษ กากใบชา หรือ ใช้ใบออ่ นตากแห้ง ชงกิน แก้บิด ปิ ดธาตุ แก้ท้องร่วง ขบั ปัสสาวะ สมาน ดอก เป็ นนา้ ชา ราก แผล แก้กระหายนา้ ทาให้ชมุ่ คอ กระต้นุ หวั ใจ เปลอื ก ยาง ทาให้ชมุ่ ช่ืนหวั ใจ แก้ปวดเมือ่ ยตามร่างกาย -ใช้พอกแผลถกู นา้ ร้อนลวกไฟไหม้ -แก้ปวด แก้คนั แก้ร้อนในกระหายนา้ -ทาให้อาเจียน ขบั ปัสสาวะ บารุงกาลงั -แก้ท้องเสยี -สมานแผล ขบั นา้ เหลอื ง บารุงกาลงั สารเคมที ่สี าคัญ Amyrin , apigenin , astragalin , benzothiazole , brassicasterol , caffeine , cresol , catechin , camellia galactoglucan , camellianinA , camellianin B , gallic acid , lupeol , kaempferol , eugenol , quercetin , naringenin , jasmome ฤทธ์ิทางเภสชั วทิ ยา กระต้นุ ระบบประสาทสว่ นกลาง ปรับปรุงความจา แก้อาการซมึ เศร้า ต้านไวรัส แบคทเี รีย เชือ้ รา และยสี ต์ ฆา่ หอย ใช้เบ่ือปลา ยบั ยยั้ ออกซิเดชนั่ จบั อนมุ ลู อิสระ ต้านการอกั เสบ
ช้าแป้ น ไม้แป้ ง ขากะอ้าย ขาตาย ฉนั แป้ ง ดนั ยาง ผา่ แป้ ง มะเขือดง มง่ั โพะไป ลมิ ้ เมอ่ เจ้อ สา่ งโมง หคุ วาย ช่ือพฤกษศาสตร์Solanum verbascifolium Linn. (Solanaceae) ลกั ษณะท่วั ไป ไม้พมุ่ สงู 2–4 เมตร ใบเดีย่ ว เรียงสลบั รูปไข่ กว้าง8–13ซม.ยาว10–25ซม.มดี อกเป็ นชอ่ ออกที่ ปลายกิ่ง กลบี ดอกสขี าว หรือสฟี ้ าออ่ น ผลเป็ นผลสด รูปกลมมีสเี ขียวหรือเหลอื งออ่ น เมด็ มขี ีดประเลก็ ๆ สว่ นทใ่ี ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ - แก้โรคมตุ กิต เป็ นหนอง ตก -มสี เตอรอยด์ช่ือ ราก -ผสมรากรางแดงเข้ายามะโหก นา้ คาวปลา solasodine ใน - รักษาโรคผวิ หนงั ปริมาณสงู สามารถ เปลอื ก - พอกแผลนา้ ร้อนรวก รักษา ใช้สงั เคราะห์เป็ นยา ใบ -ทาลกู แป้ ง แผลในจมกู ทาให้แท้งลกู ได้ คมุ กาเนดิ ได้ แก้ปวดศรี ษะ สารเคมที ่สี าคญั diosgenin , solamargine , solasodine , solasonine , solaverine I , solaverine II , solverine III , solaverbascine , tomatidenol , tomatidine ฤทธ์ิทางเภสชั วทิ ยา ต้านเชือ้ แบคทเี รีย ต้านมาลาเรีย ทาให้กล้ามเนอื ้ มดลกู บีบตวั ลดนา้ ตาลในเลอื ด ฆา่ แมลง มฤี ทธ์ิเหมอื นวติ ามนิ ดี
ดองดึง ก้ามปู คมขวาน ดองดงึ หวั ขวาน ดาวดงึ ส์ บ้องขวาน พนั มหา มะขาโค้ง วา่ นก้ามปู หมอยหียา่ หวั ขวาน Climbing lily , Superb lily , Turk’s cap ช่ือพฤกษศาสตร์Gloriosa superba Linn. (Colchicaceae) ลกั ษณะท่วั ไป ไม้ล้มลกุ เกาะต้นไม้อ่ืน ลาต้นใต้ดินรูปทรงกระบอก ใบเดี่ยวเรียงสลบั รูปใบหอก ปลายใบ ยืดยาว ออกทาเป็ นรูปมอื เกาะ ดอกเด่ียว มสี สี วยสะดดุ ตามาก ลกั ษณะของดอกจะบดิ กลบี ดอกจะบิดเป็ นเส้นยาวหยิก ออกท่ีซอกใบใกล้ปลายเถา ก้านดอกยาว กลีบดอกสีเหลืองปลายกลีบสีแดง เม่ือแก่ จะเปลีย่ นเป็ นสีแดงทงั้ ดอก ขอบกลบี เป็ นคลน่ื ผลเป็ นผลแห้ง แตกได้ รูปทรงกระบอกมี 3 พู เมลด็ กลม สสี ้มแกมนา้ ตาล สว่ นทีใ่ ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ -มรี สร้อนเมาแก้โรคเรือ้ น แก้โรคผิวหนงั แก้ -เหง้าข้างในของดองดงึ มี หวั -ใช้ผสมในแป้ งหวั เชือ้ หมกั มะเร็ง ขบั ลมในท้อง แก้ปวดเมอื่ ย ปวดข้อ สารโคลชิซินท่มี พี ษิ ถ้าใช้ แก้พษิ งู แมลงป่ อง พิษตะขาบ มากเกินไปจะทาให้เกิดโทษ เหล้า ตอ่ ร่างกายได้ แตถ่ ้าใช้ใน -ตาพอกหวั เขา่ แก้ปวดข้อ แก้ปวดกล้ามเนอื ้ ปริมาณตา่ ใช้รกั ษาโรค หวั สด ฟกบวม เก๊าท์ ปวดตามข้อ สารเคมีท่สี าคญั Aporphine , benzoic acid , chelidonic acid , colchicamide , colchicine , colchicoside , daucosterol , linoleic acid , lumicolehieine , luteoline , oleic acid , praline , Stigmasterol , -sitosterol ฤทธ์ิทางเภสัชวทิ ยา ลดไข้ เป็ นพษิ ตอ่ เซลล์ ยบั ยงั้ แบคทีเรียและเชือ้ รา กระต้นุ การแบง่ ตวั ของเซลล์ มีรายงานวา่ มผี ู้ รับประทานดองดงึ แล้วเสยี ชีวิต สตั ว์ที่กินใบและรากก็ตาย ทาให้ผมร่วง เป็ นพิษ หวั ใต้ดนิ และเมล็ด มสี ารอลั คา ลอยด์ช่ือ cochicine , superbine , gloriosine , methyl cochicine รับประทานมาก จะคลน่ื ไส้ อาเจียน หมดสติ และตายได้ ตารายาไทยเคยใช้เหง้าเป็นยาแก้ปวดตามข้อ พบวา่ ในเหง้าและเมลด็ มอี ลั คาลอยด์ colchicines ซงึ่ ปัจจบุ นั สกดั เป็ นสารบริสทุ ธิ์ ทาเป็ นยาเม็ดรักษาโรคข้อ (เกาต์) จดั เป็ นสารท่มี คี วามเป็ นพิษสงู ควรใช้อยใู่ นความควบคมุ
ของแพทย์นอกจากนยี ้ งั มีประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรม คอื เป็ นสารท่ใี ช้เพม่ิ จานวนโครโมโซมของพชื ทาให้ได้พชื พนั ธ์ใุ หม่ ดองดงึ จงึ เป็ นพชื เศรษฐกจิ ที่สาคญั และมีความต้องการในตลาดโลกสงู ชนิดหนึ่ง การใช้ดองดึง รักษาโรคเกาต์ ไม่ควรใช้เหง้าต้มกินหรือปรุงกินโดยวิธีอื่น อาจเป็ นพษิ ถึงตายได้ เพราะขนาดรักษาใช้ ปริมาณน้อยมากและใกล้เคียงกบั ขนาดทที่ าให้เป็ นพษิ ควรใช้ในรูปยาเมด็ แผนปัจจบุ นั ซง่ึ สามารถกาหนดขนาดที่ ถกู ต้องได้จะปลอดภยั กวา่ อาการเป็ นพิษคือ เจ็บปวดตามตวั เหมอื นถกู เขม็ ทิ่ม ปากและผวิ หนงั ชา คลน่ื ไส้รุนแรง ตามด้วยท้องเสยี มีเลอื ดปน หายใจลาบาก ชกั ไมร่ ู้สกึ ตวั ตวั เย็น อาจตายได้ภายใน 3 ชม. ถึง 20 ชม เหง้าของ ดองดงึ มสี ารอลั คาลอยด์อยหู่ ลายชนิด โดยเฉพาะ colchicines อยสู่ งู มาก มฤี ทธิ์ในการบาบดั โรคปวดข้อ หรือโรค เกาต์ และตอ่ มาได้มกี ารค้นพบว่าเป็ นสารทีเ่ ป็ นพษิ ต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ (cytotoxic) จึงมีการนามา รักษาโรคมะเร็ง และยงั ทาให้พชื เปลย่ี นแปลงทางโครโมโซม ทาให้เกิดพนั ธ์ใุ หม่
ดงี หู ว้า ค้างคาวดา เนระพสู ไี ทย คล้มุ เลยี วา่ นหวั เลยี วา่ นหวั ลา (จนั ทบรุ ี) ดปี ลาชอ่ น (ตราด) นิลพู (ตรัง) มงั กรดา (กทม.) ม้าถอนหลกั (ชมุ พร) วา่ นพงั พอน (ยะลา) Bat Flower ช่ือพฤกษศาสตร์Tacca chantrieri Andre (Taccaceae) ลักษณะท่วั ไป ไม้ล้มลกุ อายหุ ลายปี มีเหง้าใต้ดนิ ลกู ทรงกระบอกสงู 30 – 50 ซม. ใบเดี่ยวเรียงสลบั เวียนออกเป็ นรัศมี รูปวงรี รูปขอบขนานถึงรูปใบหอก กว้าง 6 – 18 ซม. ยาว 25 – 60 ซม. ก้านใบแผเ่ ป็ นครีบ ดอกช่อซ่ีร่ม มีดอกย่อย 4 – 6 ดอก กลีบดอกสีม่วงแกมเขียวถึงสีม่วงดา ใบประดบั 2 คู่ สีเขียวถึงสี ม่วงดา เรียงตงั้ ฉากกัน ผลสดรูปขอบขนานแกมสามเหล่ียม มีสนั เป็ นคล่ืน ตามยาว เมลด็ รูปไต สว่ นทใี่ ช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ ทงั้ ต้น -ตากแห้ง บด ต้มนา้ ดมื่ แก้ปวดเอว นา้ มีรส -อาบรักษาอาการคนั ขม ผสมสมนุ ไพรอน่ื ฝนรวมกนั กินแก้เบ่อื ใบออ่ น เมา ราก -กินได้ มีรสขม -เอามาหน่ั เป็ นแวน่ ๆ ตากแดดให้แห้ง ต้ม -แก้ซาง แก้ไข้ แก้ท้องเสยี แก้โรคปาก ราก ต้น เหง้า นา้ กินแก้ปวด 5 ต้น(แก้ปวดท้อง) หรือเข้ายา ในคอ แก้ไอ แก้ปวด และ ใบ ฝน กินแก้ลมผิดเดือน เนอื ้ ไม้ -ต้มนา้ ดื่มหรือกินแก้ปวดข้อ มะเร็ง ปอด อาหารไมย่ อ่ ย อาหารเป็ นพิษ โรคกระเพาะอาหาร บารุงร่างกาย - แก้ท้องเสยี ดบั พษิ ไข้ แก้ผดิ มกู เลอื ด แก้โรคไข้รากสาด สารเคมีท่สี าคญั daucosterol , stigmasterol ฤทธ์ิทางเภสัชวทิ ยา ไมม่ รี ายงานการวจิ ยั
เด่อื ปล้อง(สระบรุ ี เหนือ นครศรีธรรมราช) เดื่อสาย (เชยี งใหม)่ มะเด่อื ปล้อง เดอ่ื ป่ อง (กทม.) ช่ือพฤกษศาสตร์Ficus hispida Linn. f. (Moraceae) ลักษณะท่วั ไป ไม้ยืนต้นมีนา้ ยางขาว สงู ได้ถึง 10 เมตร ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปไขแ่ กมขอบขนาน หรือรูปขอบขนาน แกมไข่กลบั กว้าง 6 – 10 ซม. ยาว 12 – 20 ซม. ผิวใบสากมือ มีขนนาบใบกับแผ่นใบ ดอกช่อเจริญอยู่ใน ฐานรองดอกกลมกลองรูปลกู แพร์แกมไขก่ ลบั กว้าง สเี หลืองแกมเขียว ดอกย่อยแยกเพศผ้อู ย่บู นต้นเดียวกันสี ชมพอู อ่ น ผลสดขนาดเลก็ มสี เี ขยี ว พอสกุ เป็ นสเี หลอื ง สว่ นท่ีใช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ ใบ ผสมสมนุ ไพรอื่น เตมิ นา้ เอาขาง -ต้มนา้ ด่มื รกั ษาอาการม้ามโต มีไข้ -ตราด ใช้รากต้มนา้ กิน เผาไฟ ให้แดงแชล่ งไป ดม่ื นา้ ที่ได้ หนาวสน่ั ปัสสาวะเป็ นเลอื ดหรือเหลอื ง รักษามะเร็งลาไส้ ราก ลาต้น แก้ซาง แก้ปวดเมอ่ื ย จดั มะเร็งมดลกู รากและ -บรุ ีรัมย์ ใช้เปลอื กแช่ เปลอื กต้น -ผสมสมนุ ไพรอ่นื ต้มนา้ อาบแก้ -กระต้นุ การหลงั่ นา้ นม แก้หวดั นา้ ดม่ื ขบั นวิ่ แก้ไข้ คนั -ชยั ภมู ิ ใช้นา้ จากหน้า ก่ิง ใบและ -มีรสฝาดเฝ่ื อน ใช้ตาทาแก้ฝี แก้เม็ดผืน่ ตดั รากฝอยรักษาโรค เปลอื กต้น คนั ตามผวิ หนงั กินแก้พษิ ในกระดกู แก้ ซาง จดั เป็ นยาเยน็ ท้องเสยี แก้ประดง ต้มกบั กล้วยนา้ ว้า เอาผ้าชบุ นา้ พนั รอบตวั แก้อาการบวม ทงั้ ตวั -ใช้รักษาโรคเอดส์
ต้นกินคน ซู ซู้(กระเหรียง-แม่ฮ่องสอน) รัก รักใหญ่(กลาง) ฮักหลวง (เหนือ) มะเรียะ(เขมร) Red zebra wood , Vanish tree ช่ือพฤษศาสตร์Gluta usitata (Wall.) Ding Hou (Anacardiaceae) ลักษณะท่วั ไป ไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 25 เมตร ต้นมียางใส ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปขอบขนาน ผิวใบมีขนทัง้ สองด้าน โดยเฉพาะเม่ือยงั เป็ นใบอ่อนมีขนปกคลมุ หนาแน่น ดอกช่อแยกแขนงออกท่ีปลายก่ิง ดอกย่อยจานวนมาก กลบี ดอกสีขาวมีแถบสเี หลอื งแกมเขียวอย่ตู รงกลาง ผลสดรูปทรงกลมสแี ดงเข้มมี 5 ปี ก สว่ นทใี่ ช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ ยาง -เป็ นพษิ ทาให้คนั และ ใช้ - เป็ นยาถ่ายอยา่ งแรง ผสมนา้ ยางสลดั ได -คนที่แพ้ยางรักไปยืนอยทู่ ใี่ ต้ ในอตุ สาหกรรมเคร่ืองเขนิ รักษาโรคผวิ หนงั แห้ง กลาก ริดสดี วงทวาร ต้นจะทาให้เป็ นผืน่ คนั เป็ น ลาต้นและ แก้ปวดฟัน รักษาโรคตบั มาก ๆ อาจตายได้ จงึ เรียก ราก ต้นนวี ้ า่ ต้นกินคน แกน่ - ผสมกบั มะคา่ โมง ต้มนา้ ดมื่ แก้อาเจียน เปลอื กและ เป็ นเลอื ด ใบ - ต้มนา้ อาบรักษาโรคผิวหนงั ผ่ืนคนั เปลอื กราก - ผสมสมนุ ไพรอ่นื ต้มนา้ ดื่ม แก้นา้ เหลอื ง เสยี แผลเป่ื อย ตารายาไทยใช้เปลอื กต้น ต้มนา้ ด่ืม แก้กามโรค บดิ ท้องร่วง ปวดข้อ เรือ้ รัง เข้ายาบารุงกาลงั ขบั เหง่ือ ชว่ ยให้ อาเจียน - แก้ไอ ท้องมาน พยาธิลาไส้ รักษาโรค ผิวหนงั
ตองสาด (Marantaceae) ช่ือพฤกษศาสตร์Phrynium sp. ลักษณะท่วั ไป ใบเดยี่ วเรียงตรงข้าม มดี อกสชี มพอู มมว่ งออ่ นอยซู่ อกก้านใบบริเวณโคนต้น สว่ นที่ใช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ ใบ -ใช้หอ่ อาหาร เหง้า -ต้มเข้ายาแก้ปวดขา
ตะคร้อ กาซ้อ กาซ้อง ค้อ(กาญจนบรุ ี) เคาะ(นครพนม พิษณโุ ลก) เคาะจ้ก มะเคาะ ค้ยุ (กระเหรี่ยง- กาญจนบรุ ี) ซะอเู่ สก่ (กระเหรียง-แมฮ่ ่องสอน) ตะคร้อไข(่ กลาง) มะโจ้ก(เหนือ) มะจ้ก ปัน้ รัว้ (เขมร-สรุ ินทร์) ปัน้ โรง(เขมร-บรุ ีรัมย์) Ceylon oak ช่ือพฤกษศาสตร์Schleichera oleosa (Lour.) Oken (Sapindaceae) ลกั ษณะท่วั ไป ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สงู 10 – 15 เมตร ผลดั ใบแต่ ผลใิ บใหมไ่ ว ลาต้นสว่ นมากคดงอและเป็ นป่ มุ ปม แตกกิ่งต่า เปลอื ก สนี า้ ตาลอมเทา แตกเป็ นสะเก็ดหนา ๆ โตน้อยย้อยลง เปลือกใน สี นา้ ตาลแดง เรือนยอดเป็ นพุ่มแผ่กว้างรูปกรวยหรือรูปร่ม กิ่งอ่อน และยอดอ่อนมีขนสีเทา ใบอ่อนสีแดงเรื่อๆ ใบเป็ นช่อออกเรียงเวียน สลบั ดเู ป็ นกลมุ่ ตามปลายกิ่ง ช่อยาว 20 – 40 ซม. แต่ละช่อมีใบย่อย รูปรี รูปขอบขนาน แกมรูปไข่กลบั ติดกันตรงข้ามหรือเยือ้ งกัน เล็กน้อย 1 – 4 คู่ คู่ปลายสุดของช่อจะมีขนาดยาวและใหญ่สุด โคนใบสอบ ปลายใบมนหรือหยักสนั้ ๆ เนือ้ ใบ คอ่ นข้างหนา ใบออ่ นมีขนตามเส้นใบ ใบแก่เกลยี ้ งหลงั ใบสเี ขียวเข้มกวา่ ท้องใบ ขอบใบมกั เป็ นคลน่ื ดอกขนาดเลก็ สเี หลืองอ่อน ออกรวมกนั เป็ นช่อเหมือนหางกระรอก ช่อจะห้อยย้อยลง ผลกลมหรือผลรี ผิวสีนา้ ตาลอมเขียว ผิว เกลยี ้ ง ปลายผลเป็ นจะงอย แหลมแข็ง สว่ นท่ใี ช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ ผล -ลกู แกก่ ินเป็ นผลไม้ มีรสชาตเิ ปรีย้ ว ลกู -กินได้ มีรสเปรีย้ ว หรือหวานอมเปรีย้ ว รับประทานมาก ดบิ ใช้ตาส้มตา หรือนาลกู แกม่ าปอกแช่ จะทาให้ท้องเสยี เปลอื กผลเปลอื ก กบั ซีอวิ ้ กินกบั ข้าวต้ม -เป็ นยาสมานแผลในลาไส้ ต้น -บดละเอยี ดเป็ นยาสมานแผล ห้ามเลอื ด แกน่ -ต้มเป็ นยาแก้ปวดหลงั ใบ -ขยพี ้ อกหวั หลงั เท้า แก้ปวดหวั นา้ มนั ในเมลด็ -แก้ผมร่วง สารเคมีท่สี าคญั ขนาดท่ีทาให้ Betulin , betulinic acid , lupeol , lupel acetate , scopoletin , tannin , -sitosterol ฤทธ์ิทางเภสัชวทิ ยา เม่อื ฉีดสารสกดั สว่ นที่อยเู่ หนือดนิ ของพชื ด้วยเอทธานอลและนา้ (1:1) เข้าชอ่ งท้องของหนถู ีบจกั ร สตั ว์ทดลองตายคร่ึงหนง่ึ คือ 750 มก. / ก.ก
ต้างป่ า ต้างผา ต้างหลวง(เหนอื ) ช่ือวทิ ยาศาสตร์Trevesia palmata (Roxb.ex Lindl.) Vis. (Araliaceae) ลักษณะท่วั ไป เป็ นไม้ต้นขนาดเล็ก เปลอื กต้นสีนา้ ตาล มีหนามแหลมสนั้ แตกกิ่งก้านน้อย ใบเป็ นใบเดี่ยว ออก เรียงเวียนหนาแน่นที่ปลายยอด รูปโล่ ขนาด 30 – 60 ซม. ขอบใบหยกั เว้าลกึ 5- 9 หยกั แผน่ ใบสีเขียวแกมนา้ ตาลมี ขนละเอียด ด้านลา่ งมีขนละเอียดสนี า้ ตาล ก้านใบยาว 20 – 90 ซม. ดอกออกเป็ นช่อใกล้ปลายยอด ดอกช่อมี รูปร่างกลมรีติดกนั เป็ นกระจุกกลม กระจุกละ 30 – 50 ดอก ช่อหนงึ่ อาจมีหลายกระจุก เส้นผา่ ศนู ย์กลาง 0.5 – 0.8 ซม. กลีบดอกสีเหลืองอมขาว มีเกสรตวั ผ้เู ป็ นเส้นยาว ผลเป็ นผลสีเนือ้ รูปกรวยคว่ามี 3 พู รวมกนั เป็ น กระจุกกลมเช่นเดียวกบั ดอก มีสีเขียวและมีขยุ สีนา้ ตาลปกคลมุ อยู่ ยาวประมาณ 1- 7 ซม. ปลายผลมีก้าน ยอดเกสรเพศเมยี ตดิ อยู่ เมลด็ แบน สว่ นที่ใช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ดอกออ่ นและลกู -กินเป็ นอาหาร -เป็ นอาหาร ช่วยเจริญอาหาร แก้ ไข้ตวั ร้อน กระหายนา้ บารุง ร่างกาย
ติว้ เกลีย้ ง ติว้ ใบเลื่อม (เหนือ) ก่ยุ ฉ่องบ้าง (กะเหร่ียง – ลาปาง) ขีต้ ิว้ ติว้ แดง(สรุ าษฎร์ธานี) ช่ือพฤกษศาสตร์Cratoxylum cochinchinense (Lour.) Blume (Guttiferae) ลักษณะท่วั ไป ไม้ต้นขนาดเลก็ ถึงขนาดใหญ่ เรือนยอดเป็ นรูปกรวยคว่า กิ่งอ่อนเกลยี ้ ง เปลือกนอกสเี ทาเรียบและแตก เป็ นสะเก็ดไปตามความยาวของลาต้น นา้ ยางเหนียวสีเหลืองอมแดงซึมออกมาเมื่อถกู ตดั ใหม่ ๆ ใบเดี่ยวติดตรง ข้ามกนั เป็ นคู่ ๆ ทรงใบรูปรีหรือรูปหอก โคนและปลายใบสอบ ใบออ่ นออกสีชมพเู ร่ือ ๆ ใบแก่จดั จะออกสีแดง ดอกออกเป็ นดอกเด่ียว ๆ หรือเป็ นกระจุก กระจุกละ 2 – 5 ดอกตามง่ามใบ รูประฆงั สีแดง มีกล่ินหอมอ่อน ๆ ผลรูปรีและแข็ง แห้งแตกเป็ น 3 กลบี ออกดอกตลอดปี และออกผลในเวลาเดยี วกนั สว่ นทใ่ี ช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ใบและยอดออ่ น -แกงกบั หนอ่ ไม้ รับประทาน -รับประทานระบายท้อง -บรุ ีรัมย์ใช้ยอดออ่ นใสแ่ กงเหด็ ใช้ เป็ นผกั มีรสเปรีย้ ว หรือฝาด ยางทาแก้นา้ กดั เท้า ต้นและราก เลก็ น้อย -ผสมกาแพงเจ็ดชนั้ ต้มนา้ ดมื่ แก้กระษัยเส้น เป็ นยาระบาย ยอดออ่ น -รับประทานเป็ นผกั กาฝากติว้ เกลยี ้ ง -เข้ายา 108
ตวิ้ ขน ติว้ ขาว (กทม.) ตวิ ้ แดง ติว้ ยาง ติว้ เลอื ด (พายพั ) เตา (เลย) มโู ต๊ะ (นราธิวาส) ตาว ขตี ้ ิว้ (สตลู ) แต้วหอม(พษิ ณโุ ลก) ติว้ ส้ม(นครราชสมี า) แต้วหิน(ลาปาง) กยุ ฉ่องเซ้า (กะเหรี่ยง – ลาปาง) กวยโชง (กะเหรี่ยง – กาญจนบรุ ี) ช่ือพฤกษศาสตร์Cratoxylum formosum ( Jack) Dyer ssp. pruniflorum (Kwrz.) Gogel. (Guttiferae) ลกั ษณะท่วั ไป ไม้ต้นขนาดเลก็ ถงึ ขนาดกลาง เรือนยอดเป็ นพมุ่ โปร่ง ก่ิงอ่อนมีขนน่มุ ทว่ั ไป ก่ิงเล็กและกิ่งใหญ่ตามลา ต้นมกั กลายสภาพเป็ นหนามแข็ง ๆ เปลือกนอกสีนา้ ตาลปนดาแตกเป็ นสะเก็ดเล็ก ๆ ห้อยย้อยลง เปลือกข้างในสี นา้ ตาลแกมเหลอื ง และมีนา้ ยางเหลืองปนแดงซมึ ออกมาเมื่อตดั ใหม่ ๆ ใบเดี่ยวติดตรงข้ามเป็ นคู่ ๆ ทรงใบรูป แกมรูปไข่กลบั และรูปขอบขนานโคนสอบเรียบ ใบอ่อนออกสีชมพูเร่ือ ๆ ใบแก่ก่อนผลดั ใบจะมีสีแดง ดอก ออกเป็ นกลมุ่ ตามงา่ มใบ ดอกสขี าวหรือสชี มพอู อ่ น ๆ ผลแห้งแตกได้รูปไขแ่ กมกระสวย สว่ นท่ีใช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ใบและยอดออ่ น -รับประทานเป็ นผกั มีรสขม หรือฝาด -ผสมกบั หวั แห้วหมแู ละราก ราก ปลาไหลเผอื ก ต้มนา้ ดมื่ วนั ละ 3 ครัง้ ขบั -ต้มนา้ กินแก้ปวดท้อง ปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขดั รากและใบ -ตาผสมกบั นา้ มะพร้าวทาแก้ เปลอื กและใบ โรคผวิ หนงั -ใช้รักษาบาดแผล นา้ ยางจากลาต้น -เข้ายากาฝาก 108 กาฝากติว้ ขน
ตนี ต่งั สงั ขยาขาว(สโุ ขทยั ) ประโยด (ตราด) มนั เครือ (นครราชสมี า) มนั แดง (กระบี่) ตีนตงั่ ตวั ผ้(ู เหนือ) กรูด (สรุ าษฎร์ธาน)ี งวงชมุ (ขอนแกน่ ) งวงสมุ่ (อีสาน) เถาวลั ย์นวล (ราชบรุ ี) ช่ือพฤกษศาสตร์ Getonia floribunda (Roxb). Lam. (Combretaceae) ลักษณะท่วั ไป ไม้ต้นรอเลอื ้ ยขนาดกลาง ก่ิงออ่ นเป็ นสนั สเี่ หลย่ี ม มีขนสนี า้ ตาลแกมแดงปกคลมุ ใบเดย่ี วออกตรง ข้ามกนั รูปรี ท้องใบมีขนสนี า้ ตาล ดอกออกเป็ นชอ่ ขนาดใหญ่ ดอกยอ่ ยสเี ขยี วอมเหลอื ง ผลรูปทรงรี สว่ นท่ีใช้ การใช้ในท้องถ่ิน จากการค้นคว้า หมายเหตุ ใบ -ผสมกบั ใบเถาคนั ขาว ตา ทา - มีรสเฝื่ อน ชว่ ยเจริญอาหาร ระบายท้อง แก้พิษจากโดนนา้ ท่ไี ม่ สะอาด แก้บดิ ทาแผลเรือ้ รัง ขบั พยาธิ แก้อาการจกุ ราก เสยี ด ไข้ป่ า เนอื ้ ไม้ -แก้ปวดข้อ ตาพอกข้อ - แก้พิษไข้เดก็ - แก้เบื่อเมา แก้ปัสสาวะดา หรือปัสสาวะ เปลอื กต้น -เข้าเคร่ืองยา ต้มนา้ กินแก้ เป็ นเลอื ด ยอด ท้องเดนิ - บารุงหวั ใจ แก้นว่ิ ในทางเดินปัสสาวะ
ตีนเป็ ด กะโน้ะ จะบัน ชบา ยางขาว สัตบรรณ หัสบรรณ พญาสัตตบรรณ Blackboand , Divil tree, Divil , s bark tree, White cheesewood , Ditta bark ช่ือพฤกษศาสตร์Alstonia scholaris (L.) R. Br. (Apocynaceae) ลักษณะท่วั ไป ไม้ยืนต้นสงู ถึง 30 เมตร เปลือกต้นสีเทา มียางขาวมาก ก่ิงแตกออกรอบข้อ ใบเด่ียวเรียงรอบข้อ ๆ ละ 6 – 9 ใบ รูปขอบขนาน แกมใบหอกกลบั หรือรูปไข่กลบั กว้าง 2 – 6 ซม. ยาว 5 – 18 ซม. ปลายทู่กลม หรือเว้าเล็กน้อย ดอกช่อออกเป็ นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาวแกมเหลือง ผลเป็ นฝั กออกเป็ นคู่กลมยาว สว่ นท่ีใช้ การใช้ในท้องถิ่น จากการค้นคว้า หมายเหตุ ราก -ขบั ผายลม เปลอื ก -สมานลาไส้ แก้บิด ขบั พยาธิไส้เดอื น แก้ หลอดลมอกั เสบ ขบั นา้ นม ใบ ขบั นา้ เหลอื งเสยี รักษาเบาหวาน ดอก -แก้ไข้หวดั พอกดบั พิษตา่ ง ๆ กระพี ้ -แก้ไข้ตวั ร้อน ยาง -หยอดหู แก้หนู า้ หนวก รักษาฝี หนอง ต้น -แก้มะโหก(ริดสดี วงทวาร) เข้าเครื่องยาต้ม -ขบั โลหิต นา้ กินแก้ปวดหลงั ปวดเอว -รักษาแผลเนา่ เป่ื อย แก้ปวดหู สารเคมีท่สี าคญั Akuammadine , akuammicine , alanine , alschonine , alstonine , alstoniline ,alstonia seholaris , alkaloid arginine , betulni , betulinic acid , caffeic acid , mystenie ฤทธ์ิทางเภสัชวทิ ยา ยบั ยงั้ พยาธิไส้เดือน ยบั ยงั้ โรคที่เกิดจากเชื่อรา Leishmania ต้านมาลาเรีย แบคทีเรียและรา กระต้นุ การ หดตวั ของกล้ามเนอื ้ เรียบมฤี ทธิ์เหมอื นฮีสตามนี ลดความดนั โลหติ ลดนา้ ตาลในเลอื ด ยบั ยงั้ การเติบโตของพชื การทดสอบความเป็ นพษิ สารสกดั เปลอื กต้นด้วย 50 % เอทธานอล เม่ือป้ อนหรือฉีดเข้าใต้ผวิ หนงั หนกู ีบจกั ร ขนาด 10 ก / กก. และ 3 ก / กก. ตามลาดบั ไมเ่ ป็ นพษิ ขนาดทีท่ นได้สงู สดุ ก่อนที่มอี าการเป็ นพิษคอื 1 ก / กก.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140