189 กติ ก์ ว่าด้วยการสรา้ งคำ�ศพั ท์นามกิตก์และกิรยิ ากติ ก์ วิ. ภาวยตตี ิ ภาวยํ (ภู สตตฺ ายํ ในความม-ี ความเป็น + ณย + อนตฺ ) (กัตตุสาธนะ) (ปงุ ลิงค)์ (ยงั ...) ใหเ้ จริญอยู่ เพราะเหตุนัน้ ชื่อวา่ ภาวยนฺต (ให้เจรญิ อยู่) (เหตุกัตตวุ าจก) วิ. ภาวยตีติ ภาวยนตฺ ี (ภู สตตฺ ายํ ในความม,ี เปน็ + ณย + อนฺต + อ)ี (กตั ตสุ าธนะ) (อติ ถลี งิ ค์) (ยงั ...) ใหเ้ จริญอยู่ เพราะเหตนุ ้นั ชื่อว่า ภาวยนตฺ ี (ใหเ้ จรญิ อย)ู่ (เหตกุ ตั ตุวาจก) วิ. ภาวยตตี ิ ภาวยนตฺ ํ (ภู สตตฺ ายํ ในความม-ี ความเปน็ + ณย + อนตฺ ) (กตั ตสุ าธนะ) (นปงุ สกลงิ ค)์ (ยัง...) ให้เจรญิ อยู่ เพราะเหตนุ นั้ ช่อื ว่า ภาวยนตฺ (ให้เจรญิ อย)ู่ (เหตกุ ตั ตวุ าจก) ว.ิ ภาวยตตี ิ ภาวยมาโน (ภู สตตฺ ายํ ในความม-ี ความเปน็ + ณย + มาน) (กตั ตสุ าธนะ) (ปงุ ลงิ ค)์ (ยัง...) ให้เจรญิ อยู่ เพราะเหตนุ ้นั ชือ่ วา่ ภาวยมาน (ใหเ้ จริญอย)ู่ (เหตุกตั ตวุ าจก) ว.ิ ภาวียตตี ิ ภาวียมาโน (ภู สตตฺ ายํ ในความมี,เปน็ +เณ+อี+ย+มาน) (กัมมสาธนะ) (ปงุ ลงิ ค์) ถกู ให้เจริญอยู่ เพราะเหตุนั้น ช่อื ว่า ภาวียมาน (ถกู ให้เจรญิ อยู)่ (เหตุกมั มวาจก) ว.ิ กาเรตตี ิ กาเรนฺโต (กร กรเณ ในการกระทำ� + เณ + อนฺต) (กัตตสุ าธนะ) (ปุงลิงค)์ (วทุ ธ)ิ (ยงั ...) ใหก้ ระทำ� อยู่ เพราะเหตนุ ัน้ ชื่อวา่ กาเรนตฺ (ผใู้ ห้กระท�ำอย่)ู (เหตุกตั ตวุ าจก) ว.ิ กาเรตีติ กาเรนตฺ ี (กร กรเณ ในการกระท�ำ + เณ + อนตฺ + อ)ี (กตั ตสุ าธนะ) (อิตถีลิงค)์ (ยงั ...) ให้กระท�ำอยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื ว่า กาเรนฺตี (ผู้ใหก้ ระท�ำอย)ู่ (เหตุกตั ตุวาจก) ว.ิ กาเรตีติ กาเรนฺตํ (กร กรเณ ในการกระท�ำ + เณ + อนตฺ ) (กัตตุสาธนะ) (นปุงสกลิงค)์ (ยัง...) ให้กระท�ำอยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ กาเรนตฺ (ผู้ใหก้ ระทำ� อย่)ู (เหตุกัตตุวาจก) วิ. การยตตี ิ การยํ (กร กรเณ ในการกระทำ� + ณย + อนฺต) (กตั ตสุ าธนะ) (ปงุ ลิงค์) (ยงั ...) ให้กระท�ำอยู่ เพราะเหตุนั้น ชอ่ื ว่า การยนฺต (ผ้ใู ห้กระท�ำอย)ู่ (เหตกุ ตั ตวุ าจก) วิ. การยตตี ิ การยนฺตี (กร กรเณ ในการกระทำ� + ณย + อนตฺ + อ)ี (กตั ตุสาธนะ) (อิตถลี ิงค์) (ยัง...) ให้กระท�ำอยู่ เพราะเหตุนน้ั ชอ่ื วา่ การยนฺตี (ผใู้ ห้กระทำ� อย)ู่ (เหตกุ ัตตวุ าจก) ว.ิ การยตตี ิ การยนฺตํ (กร กรเณ ในการกระทำ� + ณย + อนตฺ ) (กัตตุสาธนะ) (นปงุ สกลิงค)์ (ยงั ...) ให้กระท�ำอยู่ เพราะเหตนุ ั้น ช่ือว่า การยนตฺ (ผู้ใหก้ ระทำ� อยู่) (เหตกุ ตั ตวุ าจก) วิ. การยตีติ การยมาโน (กร กรเณ ในการกระท�ำ + ณย + มาน) (กตั ตสุ าธนะ) (ปงุ ลิงค์) (ยงั ...) ให้กระทำ� อยู่ เพราะเหตุน้นั ช่อื วา่ การยมาน (ผ้ใู หก้ ระทำ� อย)ู่ (เหตุกตั ตวุ าจก) วิ. การยี ตตี ิ การยี มาโน (กร กรเณ ในการกระทำ� + เณ + อี + ย + มาน) (กมั มสาธนะ) (ปงุ ลงิ ค)์ ถูกให้กระท�ำอยู่ เพราะเหตุน้ัน ชือ่ ว่า การียมาน (ผู้ถกู ให้กระทำ� อย)ู่ (เหตุกัมมวาจก) วิ. การาเปตตี ิ การาเปนฺโต (กร กรเณ ในการกระทำ� + ณาเป + อนฺต) (กตั ตสุ าธนะ) (ปุงลงิ ค)์ (ยัง...) ให้กระทำ� อยู่ เพราะเหตนุ น้ั ช่ือว่า การาเปนฺต (ผูใ้ หก้ ระทำ� อย)ู่ (เหตุกัตตวุ าจก) ว.ิ การาเปตตี ิ การาเปนตฺ ี (กร กรเณ ในการกระทำ� +ณาเป+อนตฺ +อ)ี (กตั ตสุ าธนะ) (อติ ถลี งิ ค)์ (ยัง...) ใหก้ ระทำ� อยู่ เพราะเหตุนั้น ชื่อวา่ การาเปนฺตี (ผูใ้ หก้ ระท�ำอย)ู่ (เหตกุ ตั ตุวาจก) ว.ิ การาเปตตี ิ การาเปนตฺ ํ (กร กรเณ ในการกระทำ� + ณาเป + อนตฺ ) (กตั ตสุ าธนะ) (นปงุ สกลงิ ค)์ (ยัง...) ใหก้ ระทำ� อยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชือ่ วา่ การาเปนตฺ (ผใู้ ห้กระทำ� อย)ู่ (เหตกุ ัตตวุ าจก)
190 ไวยากรณ์บาลเี บอื้ งต้น วิ. การาปยตตี ิ การาปยํ (กร กรเณ ในการกระทำ� + ณาปย + อนฺต) (กตั ตุสาธนะ) (ปุงลงิ ค์) (ยัง...) ให้กระทำ� อยู่ เพราะเหตุนนั้ ชอ่ื วา่ การาปยนตฺ (ผู้ใหก้ ระท�ำอยู)่ (เหตกุ ัตตวุ าจก) ว.ิ การาปยตตี ิ การาปยนตฺ ี (กร กรเณ ในการกระทำ� +ณาปย+อนตฺ +อ)ี (กตั ตสุ าธนะ) (อติ ถลี งิ ค)์ (ยงั ...) ใหก้ ระทำ� อยู่ เพราะเหตนุ นั้ ชื่อวา่ การาปยนตฺ ี (ผใู้ ห้กระทำ� อยู่) (เหตกุ ตั ตุวาจก) ว.ิ การาปยตตี ิ การาปยนตฺ ํ (กร กรเณ ในการกระทำ� + ณาปย + อนตฺ ) (กตั ตสุ าธนะ) (นปงุ สกลงิ ค)์ (ยงั ...) ใหก้ ระทำ� อยู่ เพราะเหตุน้ัน ชือ่ วา่ การาปยนตฺ (ผใู้ หก้ ระท�ำอยู)่ (เหตกุ ตั ตวุ าจก) ว.ิ การาปยตตี ิ การาปยมาโน (กร กรเณ ในการกระทำ� + ณาปย + มาน) (กตั ตสุ าธนะ) (ปงุ ลงิ ค)์ (ยัง...) ให้กระท�ำอยู่ เพราะเหตุนนั้ ชือ่ ว่า การาปยมาน (ผูใ้ ห้กระท�ำอยู่) (เหตกุ ัตตวุ าจก) ว.ิ การาปยี ตตี ิ การาปยี มาโน (กร กรเณ ในการกระทำ� +ณาเป+อ+ี ย+มาน) (กมั มสาธนะ) (ปงุ ลงิ ค)์ ถกู ให้กระท�ำอยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื ว่า การาปยี มาน (ถกู ใหก้ ระท�ำอย)ู่ (เหตกุ ัมมวาจก) ๕.๖ อนาคตกาลกิ ปัจจยั ปัจจัยที่ลงในอนาคตกาล มี ๙ ตัว คือ ณี, ฆิณฺ, ตุ, ณฺวุ, ณ, สฺสํ, นฺตุ, มาน และ อาน ปัจจัย รูปส�ำเร็จเป็นกิริยากิตก์ก็มี เป็นนามกิตก์ก็มี เป็นกิริยากิตก์ ท�ำหน้าท่ีเป็นกิริยา ในระหว่าง แปลว่า “จะ...” เปน็ นามกติ ก์ ท�ำหนา้ ที่เป็นบทนาม แปลว่า “ผู้จะ...” ว.ิ อายติ คมนํ สีลมสฺสาติ คามี (คมุ คตมิ ฺหิ ในการไป + ณี) (ตัสสีลสาธนะ) อ.การไป ในกาลตอ่ ไป เปน็ ปกติ ของบคุ คลนน้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ คามี (ผมู้ ปี กตจิ ะไป) ว.ิ อายติ อาคมนํ สลี มสฺสาติ อาคามี (อาปุพพฺ + คมุ คตมิ หฺ ิ ในการไป + ณี) (ตสั สลี สาธนะ) อ.การมา ในกาลตอ่ ไป เปน็ ปกติ ของบคุ คลนนั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ อาคามี (ผมู้ ปี กตจิ ะมา) ว.ิ อายติ คมนํ สลี มสสฺ าติ คามิ (คมุ คติมฺหิ ในการไป + ฆณิ )ฺ (ตสั สลี สาธนะ) (ลบ ฆฺอนุพันธ์) อ.การไป ในกาลตอ่ ไป เปน็ ปกติ ของบคุ คลนน้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ คามิ (ผมู้ ปี กตจิ ะไป) อุ. - กริสสฺ ํ วชตตี ิ การโก (กร กรเณ ในการกระท�ำ + ณฺว)ุ (กตั ตุสาธนะ) คดิ ว่า จักท�ำแล้ว จะไป เพราะเหตุนัน้ ชือ่ ว่า การก (ผ้จู ะทำ� ) อุ. - กรสิ สฺ ํ วชตตี ิ กตตฺ า (กร กรเณ ในการกระทำ� + ต)ุ (แปลงพยัญชนะทีส่ ุดธาตุ เปน็ ต) คดิ วา่ จกั ทำ� แลว้ จะไป เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ กตตฺ ุ (ผจู้ ะกระทำ� ) (แปลง อุ เปน็ อา และลบสิ ) ว.ิ นครํ กรสิ ฺสตตี ิ นครกาโร (นครสทฺทูปปท + กร กรเณ ในการกระทำ� + ณ) (กตั ตุสาธนะ) จักสร้าง ซึ่งเมือง เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า นครการ (ผู้จะสร้างเมือง) (ทุติยาตัปปุริสสมาส) (กติ นั ตสมาส) วิ. โภคํ ททสิ สฺ ตตี ิ โภคทาโย (โภคสททฺ ูปปท + ทา ทาเน ในการให้ + ณ) (กตั ตุสาธนะ) จกั ให้ ซ่งึ โภคะ เพราะเหตุน้นั ชอ่ื ว่า โภคทาย (ผจู้ ะให้โภคทรัพย์) (แปลง อา เปน็ อาย)
191 กติ ก์ วา่ ดว้ ยการสรา้ งค�ำ ศัพทน์ ามกิตก์และกริ ิยากิตก์ ว.ิ - กมมฺ ํ กริสฺสตีติ กมมฺ ํ กริสฺสํ วชติ (กร กรเณ ในการกระท�ำ + อิ + สสฺ )ํ (กัตตุสาธนะ) จักกระทำ� ซึ่งการงาน เพราะเหตนุ น้ั ช่ือว่า กรสิ ฺสํ (ผจู้ ะท�ำ) (ลง สิวภิ ตั ติ, ลบ สวิ ิภัตติ) - กมมฺ ํ กรสิ สฺ ตตี ิ กมมฺ ํ กโรนโฺ ต วชติ (กร กรเณ... + โอ + นตฺ )ุ (แปลงทสี่ ดุ ของ นตฺ ุ เปน็ อ) จักกระทำ� ซ่งึ การงาน เพราะเหตุนัน้ ชื่อวา่ กโรนตฺ (ผู้จะท�ำ) (กตั ตุสาธนะ) - กมฺมํ กรสิ ฺสตีติ กมฺมํ กรุ ุมาโน วชติ (กร กรเณ ในการกระทำ� + โอ + มาน) (กัตตุสาธนะ) จกั กระทำ� ซงึ่ การงาน เพราะเหตุนัน้ ช่อื ว่า กรุ ุมาน (ผู้จะทำ� ) - กมฺมํ กริสฺสตีติ กมฺมํ กราโน วชติ (กร กรเณ ในการกระทำ� + โอ + อาน) (กัตตุสาธนะ) จกั กระท�ำ ซึ่งการงาน เพราะเหตนุ ้ัน ช่ือว่า กราน (ผจู้ ะท�ำ) ๕.๗ อณุ าทปิ จั จยันตนัย ค�ำว่า “อณุ าทิปจจฺ ยนฺตนย” หมายถงึ นยั แหง่ ปัจจัยมี ณุ เป็นตน้ เป็นที่สดุ มีปจั จัย ๔๓ ตวั คือ ณ,ุ ย,ุ กตฺ , มิ, มน,ฺ ถ, ม, ล, ย, ยาณ, ลาณ, ณ,ี ฉ, ตยฺ , ตยฺ ,ุ ถ,ุ ตฺติม, ณิม, อานิ, ต, ตรฺ ณฺ, ณติ ตฺ , ตตฺ ิ, ต,ิ ฒ, , ธ, ท, อิทฺท, ก, อิร, อล, อม, ต,ุ ท,ุ อวี ร, อิ, อรู , น,ุ อุสฺส, นสุ , อิส และ การ ปจั จยั รูปสำ� เร็จเป็นนามกิตก์ ทำ� หน้าทีเ่ ปน็ บทนาม ว.ิ จกขฺ ตีติ จกฺขุ (จกฺข วิยตฺตยิ ํ วาจายํ ในการพดู ชดั + ณ)ุ (กตั ตสุ าธนะ) ย่อมบอก เพราะเหตนุ นั้ ช่อื วา่ จกฺขุ (ตา) ว.ิ เอนฺติ คจฉฺ นตฺ ิ ปวตตฺ นตฺ ิ สตฺตา เอเตนาติ อายุ (อิ คตมิ หฺ ิ ในการไป + ณ)ุ (กรณสาธนะ) อ.สัตว์ ท. ย่อมเป็นไป ด้วยสง่ิ น้ี เพราะเหตุนั้น ชือ่ ว่า อายุ (อายเุ ปน็ เครอ่ื งเปน็ ไป, ชวี ิต) วิ. สสิ ฺเสสุ สิเนหํ ครติ สญิ ฺจตีติ คร,ุ อาจรโิ ย (คร เสจเน ในการรด + ณ)ุ (กัตตุสาธนะ) ย่อมรด ซึง่ ความรัก ในศษิ ย์ ท. เพราะเหตนุ ัน้ ชื่อวา่ คร,ุ ได้แกอ่ าจารย์ (ครู) วิ. ภวติ เอตถฺ าติ ภุวนํ (ภู สตตฺ ายํ ในความม-ี ความเปน็ + ยุ) (อธิกรณสาธนะ) ยอ่ มมี ในทนี่ ี้ เพราะเหตนุ ั้น ช่ือวา่ ภวุ น (โลก, แผน่ ดิน) (แปลง อู เป็น อุว) ว.ิ วิเสเสน จกฺขตตี ิ วิจกขฺ โณ (วิปพุ ฺพ + จกฺข วยิ ตฺติยํ วาจายํ ในการพูดชดั + ยุ) (กตั ตุสาธนะ) ย่อมบอก โดยพิเศษ เพราะเหตุน้ัน ชื่อว่า วจิ กขฺ ณ (บณั ฑิต) ว.ิ กมฺปนํ กโรตีติ กรุณา (กร กรเณ ในการกระทำ� + ยุ + อา) (กตั ตุสาธนะ) ยอ่ มท�ำ ซงึ่ ความหวนั่ ไหว เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ กรณุ า (ธรรมชาตผิ ทู้ �ำความหวน่ั ไหว, กรณุ า) วิ. วายตีติ วาโต (วา คตพิ นธฺ คนฺเธสุ ในการไป การผูกและการเบยี ดเบยี น + กตฺ ) (กตั ตุสาธนะ) ย่อมพดั ไป เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า วาต (ลม) วิ. ตายตีติ ตาโต (ตา ปาลเน ในการรกั ษา + กตฺ ) (กตั ตุสาธนะ) ยอ่ มรกั ษา เพราะเหตนุ นั้ ช่ือว่า ตาต (พ่อ) ว.ิ ภวนตฺ ิ เอตฺถาติ ภมู ิ (ภู สตฺตายํ ในความม-ี ความเปน็ + ม)ิ (อธกิ รณสาธนะ) อ.สัตว์ ท. ย่อมเป็นอยู่ บนแผน่ ดนิ นี้ เพราะเหตุนน้ั ชอ่ื วา่ ภมู ิ (แผน่ ดนิ )
192 ไวยากรณบ์ าลีเบ้ืองต้น ว.ิ ปีณนํ เปโม (ปี ตปฺปเน ในความอมิ่ + มน)ฺ (ภาวสาธนะ) (วทุ ธิ อี เปน็ เอ) อ.ความอม่ิ เอบิ ชือ่ ว่า เปม (ความรัก) วิ. สุขทุกฺขํ อทติ ภกขฺ ตีติ อตฺตา (อท ภกขฺ เณ ในการกิน + มน)ฺ (กัตตุสาธนะ) ย่อมกนิ ซ่งึ สุขและทุกข์ เพราะเหตนุ ้ัน ชือ่ ว่า อตฺต (ตน) (แปลง ม เปน็ ต, แปลง ท เป็น ต) วิ. สขุ ทุกขฺ ํ อทติ ภกขฺ ตตี ิ อาตุมา (อท ภกฺขเณ ในการกิน + มน)ฺ (กตั ตุสาธนะ) ยอ่ มกิน ซงึ่ สุขและทุกข์ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื ว่า อาตุม (ตน) วิ. ชาติชรามรณาทีหิ อทียติ ภกขฺ ยี ตตี ิ อตฺตา, อาตมุ า (กัมมสาธนะ) อันทุกข์ ท.มี ชาติ ชรา และมรณะเป็นต้น ย่อมกิน เพราะเหตุน้ัน ชื่อว่า อตฺต, อาตุม (ถูกทกุ ขม์ ีชาติเปน็ ตน้ กิน) วิ. กเิ ลเส สเมตีติ สมโถ, สมาธิ (สม อปุ สเม ในความสงบ + ถ) (กตั ตุสาธนะ) ยังกิเลส ท. ย่อมให้สงบ เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า สมถ, ได้แก่สมาธิ (สมาธิที่ยังกิเลสให้สงบ, สมถะ) ว.ิ ทมนํ ทมโถ (ทม ทมเน ในการฝกึ + ถ) (ภาวสาธนะ) อ.การฝึก ชื่อว่า ทมถ (การฝกึ ) (จิตฺตสสฺ ทมโถ สาธุ จิตฺตํ ทนตฺ ํ สขุ าวห)ํ วิ. สยี ตตี ิ สีมา (สิ พนฺธเน ในการผูก + ม + อา) (กัมมสาธนะ) (ทีฆะ) ยอ่ มถกู ผกู เพราะเหตนุ น้ั ชือ่ ว่า สมี า (สงิ่ ท่ีถกู ผูก, ขอบเขต, สมี า) วิ. พฺรหฺติ วทุ ฺธึ คจฺฉตีติ พฺรหฺมา (พห วทุ ฺธมิ ฺหิ ในความเจรญิ + ม) (กตั ตุสาธนะ) ยอ่ มถึง ซ่ึงความเจรญิ เพราะเหตนุ ้นั ชอ่ื ว่า พรฺ หมฺ (พรหม) (แปลง พ เป็น พฺร = “พรฺ หฺม” นปิ าตนะ) ว.ิ สลติ คจฉฺ ติ ปวสิ ตีติ สลลฺ ,ํ สลยฺ ํ (สล คติมฺหิ ในการไป + ล, ย) (กัตตสุ าธนะ) ยอ่ มเข้าไป เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ สลลฺ , สลยฺ (ลกู ศร, หลาว) วิ. กลิตพพฺ ํ สงขฺ ฺยาตพพฺ นตฺ ิ กลฺยาณํ (กล สงขฺ ยฺ าเน ในการนับ + ยาณ) (กัมมสาธนะ) พงึ ถูกนบั เพราะเหตนุ ้ัน ชื่อวา่ กลยฺ าณ (งาม) ว.ิ คณโต ปฏกิ ฺกมติ ฺวา สลตตี ิ ปฏิสลลฺ าโณ (ปตปิ ุพพฺ + สล คตมิ ฺหิ ในการไป + ลาณ) (กตั ต)ุ อ.บุคคลใด หลีกแล้ว จากหมู่ ย่อมเข้าไป เพราะเหตุนั้น อ.บุคคลน้ัน ชื่อว่า ปฏิสลฺลาณ (ผูห้ ลกี เรน้ ) ว.ิ มถติ วโิ ลฬตีติ มลโฺ ล, มลฺลโก (มถ วิโลฬเน ในการกวน + ล) ย่อมกวน (ซง่ึ กันและกนั ) เพราะเหตนุ ัน้ ชื่อวา่ มลฺล, มลฺลก (นกั มวยปล้�ำ) (กตั ตุสาธนะ) ว.ิ ปมเมว วชิตพฺพนตฺ ิ ปพฺพชชฺ า (ปปพุ พฺ + วช คตมิ ฺหิ ในการไป + ณฺย + อา) (กัมมสาธนะ) อนั บุคคล พึงถึง ก่อนน่ันเทยี ว เพราะเหตุน้นั ชอ่ื วา่ ปพฺพชฺชา (บรรพชา) ว.ิ สมชชฺ นฺติ สงฺคจฉฺ นตฺ ิ อสฺสนตฺ ิ สมชฺชา (สํปุพฺพ + อช คตมิ ฺหิ ในการไป +ณยฺ +อา) (อธิกรณะ) ย่อมประชุมรวมกนั ในท่นี ี้ เพราะเหตนุ นั้ ชือ่ วา่ สมชฺชา (ที่เปน็ ทปี่ ระชุมรวมกัน) วิ. วชิ านนํ วชิ ชฺ า (วทิ าเณ ในการรู้ + ณยฺ + อา) (ภาวสาธนะ) อ.ความรู้ ช่ือวา่ วชิ ชฺ า (ความรู้)
193 กติ ก์ วา่ ดว้ ยการสร้างคำ�ศัพทน์ ามกิตกแ์ ละกิรยิ ากติ ก์ วิ. สมฺมา จติ ตฺ ํ นิเธติ เอตายาติ สทธฺ า (สปํ ุพฺพ + ธา ธารเณ ในการทรงไว้ + อ + อา) (กรณะ) ยอ่ มตงั้ ไว้ ซึง่ จติ ด้วยดี ดว้ ยธรรมนี้ เพราะเหตนุ ้นั ชอื่ วา่ สทธฺ า (เป็นเคร่ืองตั้งจติ ไวด้ ้วยดี, ศรัทธา) วิ. สยํ สททฺ หตีติ สทฺธา (สปํ ุพฺพ + ธา ธารเณ ในการทรงไว้ + อ + อา) (กตั ตุสาธนะ) ยอ่ มเชอื่ เอง เพราะเหตนุ น้ั ชื่อว่า สทฺธา (ศรัทธา, ความเช่ือ) วิ. จรณํ จริยา (จร จรเณ ในความประพฤติ + ณฺย + อา) (ภาวสาธนะ) อ.ความประพฤติ ชื่อว่า จรยิ า (ความประพฤติ) ว.ิ สทฺธึ กถนํ สากจฉฺ า (สปํ ุพพฺ + กถ กถเน ในการกล่าว + ณยฺ + อา) (ภาวสาธนะ) อ.การกล่าว พร้อมกัน ชอื่ วา่ สากจฉฺ า (การสนทนา) (แปลง ถยฺ เปน็ จฉฺ , แปลง สํ เป็น สา) วิ. พยฺ าปชชฺ นํ พฺยาปชฺชา (ว+ิ อาปพุ ฺพ + ปท คติมฺหิ ในการไป + ณยฺ + อา) (ภาวสาธนะ) อ.การปองร้าย ชอื่ ว่า พฺยาปชชฺ า (การปองรา้ ย) (แปลง อิ เป็น ยฺ, วทุ ธิ อ เปน็ อา, รสั สะ) ว.ิ มรตตี ิ มจฺจุ (มร ปาณจาเค ในการสละชีวิต + ตยฺ )ุ (กตั ตสุ าธนะ) ย่อมตาย เพราะเหตนุ ้ัน ชอ่ื ว่า มจฺจุ (สตั ว์ผู้จะตาย, สตั ว์) วิ. มรณํ มจฺจุ (มร ปาณจาเค ในการสละชวี ติ + ตฺย)ุ (ภาวสาธนะ) อ.ความตาย ชอื่ ว่า มจฺจุ (ความตาย) (แปลง ตฺย เป็น จจฺ ) ว.ิ สตนํ สจจฺ ํ (สต สาตจฺเจ ในความเปน็ จริง + ย) (ภาวสาธนะ) อ.ความเป็นจรงิ ช่อื ว่า สจจฺ (ความจรงิ , ความสัตย์) ว.ิ นตนํ นจฺจํ (นต คตตฺ วินาเม ในการนอ้ มกาย + ย) (ภาวสาธนะ) อ.การน้อมไป ชื่อว่า นจฺจ (การฟ้อนร�ำ) วิ. นิตนํ นจิ จฺ ํ (นิต นจิ เฺ จ ในความแนน่ อน + ย) (ภาวสาธนะ) อ.ความแนน่ อน ชื่อว่า นจิ จฺ (ความแน่นอน) วิ. กนติ ทพิ พฺ ตตี ิ กฺ า (กน ทติ ฺตกิ นตฺ ีสุ ในความรุ่งเรอื งและนา่ ใคร่ + ย + อา) (กัตตสุ าธนะ) ย่อมรุง่ เรือง เพราะเหตุนัน้ ช่อื ว่า กฺา (สาวน้อย) ว.ิ กนียเต กนฺตียเตติ กฺา (กน ทิตฺติกนฺตีสุ ในความรุ่งเรืองและน่าใคร่ + ย + อา) (กมั มสาธนะ) ยอ่ มถูกปรารถนา เพราะเหตุนนั้ ช่ือวา่ กฺา (สาวน้อย) วิ. ธนนํ ธฺ ํ (ธน ธฺเ ในความบริบูรณ์ด้วยสิริและปญั ญา + ย) (ภาวสาธนะ) อ.ความบรบิ ูรณ์ด้วยสิรแิ ละปัญญา ช่อื วา่ ธฺ (ความมีบุญ) วิ. ปุนาตีติ ปฺุํ (ปุ ปวเน ในการชำ� ระ + ย) (ลง นอฺ าคม) (กัตตสุ าธนะ) ยอ่ มช�ำระ เพราะเหตุนัน้ ชอื่ ว่า ปฺุ (บญุ ) วิ. จนิ ฺเตตตี ิ จิตฺตํ (จินฺ จนิ ฺตายํ ในความคิด + ต) (กตั ตุสาธนะ) (แปลง น เปน็ นคิ หติ ) ยอ่ มคิด เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื ว่า จิตตฺ (จติ ) (ลบนิคหิต) ว.ิ จนิ เฺ ตตตี ิ จิตรฺ ํ (จนิ ตฺ จินตฺ ายํ ในความคดิ + ตรฺ ณฺ) (กตั ตสุ าธนะ) (แปลง น เป็น นคิ หิต) ย่อมคดิ เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า จติ ฺร (จิต) (ลบนคิ หิต, ลบพยญั ชนะสังโยคตัวหนา้ )
194 ไวยากรณ์บาลเี บือ้ งตน้ ว.ิ อตเฺ ถ อภสิ เวตีติ สุตฺตํ (สุ อภิสเว ในการไหล + ต) (กตั ตสุ าธนะ) (ตฺ สทสิ เทวภาวะ) ยังอรรถ ท. (ประโยชน์) ย่อมให้ไหลออก เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า สุตฺต (ได้แก่สุตตันตปิฎก และสูตร ไวยากรณ์เป็นต้น) ว.ิ มิชชฺ ติ สนิ ิยฺหตตี ิ เมตฺติ (มทิ สิเนหเน ในความรกั + ตตฺ )ิ (กัตตสุ าธนะ) ย่อมรัก เพราะเหตุนั้น ชอ่ื วา่ เมตฺติ (ไมตร)ี วิ. รนฺชนฺติ เอตถฺ าติ รฏฺํ (รนชฺ ราเค ในความก�ำหนดั + ) (อธกิ รณสาธนะ) อ.ชาวแว่นแควน้ ท. ย่อมยินดี ในแวน่ แคว้นน้ี เพราะเหตนุ นั้ ช่ือว่า รฏฺ (แว่นแคว้น, รัฐ) วิ. สวติ หสึ ติ เอเตนาติ สตฺถํ (สู หึสายํ ในความเบยี ดเบยี น + ถ) (กรณสาธนะ) ย่อมเบยี ดเบียน ดว้ ยอาวธุ นี้ เพราะเหตนุ ้ัน ชือ่ ว่า สตถฺ (ศาตรา, อาวุธ) ว.ิ วณุ าตีติ วตฺถํ (วุ สํวรเณ ในการปอ้ งกนั + ถ) (กตั ตสุ าธนะ) ย่อมป้องกนั เพราะเหตนุ น้ั ชื่อวา่ วตถฺ (ผา้ ) ว.ิ สทฺทานรุ ปู ํ อสติ ภวตตี ิ อตฺโถ (อส ภวุ ิ ในความม-ี ความเป็น + ถ) (กตั ตสุ าธนะ) ยอ่ มมีอยู่ ตามสมควรแกศ่ ัพท์ เพราะเหตุนน้ั ช่ือวา่ อตถฺ (อรรถ, เน้อื ความ) ว.ิ มจฉฺ มกรานํ ปตี โิ สมนสสฺ ํ อนุ ทฺ ติ ปสสฺ วติ ชเนตตี ิ สมทุ โฺ ท (สปํ พุ พฺ + อทุ ิ ปสวเนในการไหล +ท) ยงั ปตี แิ ละโสมนสั ยอ่ มใหเ้ กดิ ขนึ้ แกป่ ลาและมงั กร ท. เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ สมทุ ทฺ (มหาสมทุ ร) ว.ิ รุทติ หสึ ตตี ิ รุทโฺ ท, ลทุ โฺ ท (รุทิ หสึ ายํ ในความเบียดเบียน + ท) (กัตตสุ าธนะ) ย่อมเบยี ดเบียน เพราะเหตนุ ้ัน ช่อื ว่า รุทฺท, ลทุ ฺท (นายพราน) ว.ิ ภนฺทติ กลฺยาโณ ภวตตี ิ ภทโฺ ท (ภทิ กลฺยาเณ ในความดี-ความงาม + ท) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มเปน็ คนดี เพราะเหตุนั้น ชือ่ วา่ ภทฺท (ผูเ้ จริญ, คนดี) ว.ิ นินทฺ ียเตติ นทิ ฺทา (นทิ ิ กจุ ฉฺ ายํ ในความเกลยี ด + ท + อา) (กัมมสาธนะ) ย่อมถูกติเตียน เพราะเหตุน้นั ช่อื ว่า นทิ ฺทา (การนอนหลบั ) ว.ิ ทลติ ทคุ คฺ ตภาวํ คจฺฉตตี ิ ทลิทฺโท (ทล ทคุ คฺ ติมหฺ ิ ในความทกุ ข์ยาก + อิทฺท) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มถึง ซง่ึ ความเปน็ ผู้ตกยาก เพราะเหตนุ น้ั ชื่อว่า ทลทิ ฺท (ผูข้ ดั สน, ผทู้ ุกข์ยาก) วิ. อปปฺ ฏหิ ตํ วชตีติ วชริ ํ (วช คตมิ ฺหิ ในการไป + อิร) (กัตตุสาธนะ) ไมถ่ กู ขวางก้นั แลว้ ยอ่ มไป เพราะเหตุน้ัน ชอ่ื ว่า วชิร (เพชร, อาวธุ ของพระอนิ ทร)์ ว.ิ กสุ มุ าทหี ิ สยี ติ เสวยี ตีติ สิโร (สิ เสวายํ ในการเสพ + อริ ) (กมั มสาธนะ) อันวัตถทุ งั้ หลายมีดอกไมเ้ ปน็ ต้น ยอ่ มเสพ เพราะเหตนุ นั้ ชื่อว่า สิร (หวั ) ว.ิ อกฏุ ิ กฏุ ลิ ตตฺ ํ อคมตี ิ กฏุ โิ ล (กฏุ โกฏลิ เฺ ล ในความคด + อริ ) (กตั ตสุ าธนะ) (แปลง ร เปน็ ล) ไมเ่ คยคดมากอ่ น ได้ถึงแลว้ ซ่ึงความเปน็ ของคด เพราะเหตนุ น้ั ชื่อวา่ กุฏลิ (คด) ว.ิ ปฏิปกฺเข หรตตี ิ ปาฏิหารยิ ํ (ปตปิ ุพฺพ + หร หรเณ ในการนำ� ไป + ณฺย) (กตั ตสุ าธนะ) ย่อมน�ำออก(ก�ำจัด) ซึ่งฝ่ายตรงกันข้าม ท. เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า ปาฏิหาริย (ปาฏิหาริย์) (วุทธธิ าต)ุ วิ. กณฺฑยติ ฉินทฺ ตีติ กณโฺ ฑ, อสุ ุ (กฑิ เฉทเน ในการตัด + ก) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มสามารถตัด เพราะเหตุนนั้ ช่ือวา่ กณฑฺ (ลกู ศร) (ลบ กฺอนุพันธ์ = กฺวจิ ธาตวุ ภิ ตตฺ ฯิ )
195 กิตก์ ว่าดว้ ยการสร้างค�ำ ศัพท์นามกิตก์และกริ ยิ ากติ ก์ วิ. กณฺฑยี ติ ฉนิ ฺทียตตี ิ กณโฺ ฑ, ปริมาณํ (กฑิ เฉทเน ในการตดั + ก) (กมั มสาธนะ) ย่อมถกู กำ� หนด เพราะเหตนุ ัน้ ช่ือว่า กณฑฺ , ไดแ้ กป่ รมิ าณ (กัณฑ์) ว.ิ สณฑฺ นฺติ คมุ พฺ นตฺ ิ เอตถฺ าติ สณฺโฑ, วนสณโฺ ฑ (สฑิ คุมพฺ ตเฺ ถ ในอรรถคือหมู่ + ก) (อธิกรณะ) อ.ต้นไม้ ท. ย่อมรวมกัน ในท่ีน้ี เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า สณฺฑ, ได้แก่ไพรสณฑ์, ชัฏแห่งป่า (หม,ู่ ชฏั ) ว.ิ ภณฑฺ นตฺ ิ ปรภิ าสนตฺ ิ เอเตนาติ ภณฑฺ ํ (ภฑิ ภณฑฺ ตเฺ ถ ในอรรถคอื การทะเลาะกนั +ก) (กรณะ) อ.ชน ท. ย่อมด่ากัน ด้วยส่ิงของน้ี เพราะเหตุน้ัน ชื่อว่า ภณฺฑ (ส่ิงของเป็นเคร่ืองด่ากัน, ภัณฑ์) วิ. ทณฺฑยติ อเนนาติ ทณฺโฑ (ทฑิ อาณายํ ในการส่งั -บงั คับ + ก) (กรณสาธนะ) ย่อมลงอาชญา ด้วยสนิ ไหมนี้ เพราะเหตนุ น้ั ช่อื ว่า ทณฑฺ (คา่ ปรับ, สินไหม) ว.ิ มนทฺ ติ อปสํสติ พฺพมปฺ ิ โมทตีติ มนฺโท (มทิ หาเส ในการหัวเราะ + ก) (กตั ตสุ าธนะ) อ.บคุ คลใด ย่อมยินดี แม้ซ่งึ เรือ่ งอนั ไมน่ ่าสรรเสรญิ เพราะเหตุน้นั อ.บคุ คลน้นั ชือ่ ว่า มนทฺ (คนมีปัญญาไม่ด)ี วิ. ชาติชรามรณาทีหิ สสํ ารทกุ เฺ ขหิ ขชชฺ ตีติ ขนฺโธ, ขนธฺ โก (ขาท ภกขฺ เณ ในการกิน +ก) (กมั .) อนั สังสารทกุ ข์ ท. มีชาติ ชรา และมรณะเป็นตน้ ย่อมกนิ เพราะเหตุน้ัน ชอ่ื วา่ ขนฺธ (ได้แก่ ขันธ์ ๕) วิ. จกฺขุนา อมติ รชุ ชฺ ตีติ อนโฺ ธ, อนฺธโก (อม โรเค ในความเสียดแทง + ก) (กตั ตุสาธนะ) ย่อมเสยี ดแทง ด้วยนยั นต์ า เพราะเหตุนน้ั ชื่อวา่ อนฺธ, อนฺธก (คนตาบอด) (ลบ กฺอนุพันธ์) วิ. วาเตน นยี มาโน หตุ วฺ า คจฺฉตตี ิ คนฺโธ, คนฺธโก (คมุ คตมิ ฺหิ ในการไป + ก) (กัตตุสาธนะ) อันลม น�ำไปอยู่ เป็น ย่อมพัดไป เพราะเหตุน้ัน ชอ่ื วา่ คนธฺ , คนฺธก (กลนิ่ ) วิ. กสุ ติ ฉนิ ฺทติ ปาปเก ธมเฺ มติ กุสลํ (กสุ เฉทเน ในการตดั + อล) (กัตตุสาธนะ) ย่อมตดั ซ่ึงธรรม ท. อนั ช่ัว เพราะเหตุน้ัน ชื่อวา่ กสุ ล (กศุ ล) ว.ิ กุจฺฉิเต สลยนฺติ จลยนฺติ เอเตนาติ กุสลํ (กุสทฺทูปปท + สล จลเน ในการหว่ันไหว + อ) (กรณะ) ยังอกุศลธรรม ท. อันน่าเกลียด ย่อมให้หวั่นไหว ด้วยธรรมน้ี เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า กุสล (กศุ ล) ว.ิ กุจฉฺ ิตํ สลนฺติ สํวรนตฺ ิ เอเตนาติ กสุ ลํ (กสุ ททฺ ปู ปท + สล สํวรเณ ในการส�ำรวม + อ) ยอ่ มปดิ ซง่ึ ประตูอบาย อันนา่ เกลียด ดว้ ยธรรมนี้ เพราะเหตนุ น้ั ชื่อว่า กสุ ล (กศุ ล) ว.ิ กเุ ส ลนุ าติ ฉนิ ทฺ ตตี ิ กุสลํ (กุสสทฺทปู ปท + ลู เฉทเน ในการตัด + อ) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มตดั ซงึ่ อกุศลธรรม ท. เพราะเหตนุ ้นั ชือ่ ว่า กสุ ล (กศุ ล) (ทตุ ยิ าตปั ปุริสสมาส) ว.ิ กุโส วิย ลุนาติ ฉนิ ทฺ ตีติ กสุ ลํ (กสุ สททฺ ูปปท + ลู เฉทเน ในการตัด + อ) (รสั สะ) ย่อมตัด ซึง่ กเิ ลส ท. ราวกะ อ.หญา้ คา เพราะเหตุน้นั ชือ่ วา่ กสุ ล (กุศล) (กตั ตสุ าธนะ)
196 ไวยากรณ์บาลเี บอ้ื งตน้ ว.ิ กเุ สน าเณน ลาตพพฺ นตฺ ิ กสุ ลํ (กสุ สททฺ ปู ปท + ลา อาทาเน ในการถอื เอา + อ) (ตตยิ าตปั ปรุ สิ ะ) อันญาณ พึงถอื เอา เพราะเหตุนัน้ ชือ่ ว่า กสุ ล (กุศล) (กัมมสาธนะ) ว.ิ สสติ หสึ ตีติ สตตฺ ุ (สสุ หึสาคตสี ุ ในการเบยี ดเบียนและการไป + ต)ุ (กัตตสุ าธนะ) ยอ่ มเบียดเบียน เพราะเหตนุ ้ัน ช่อื ว่า สตตฺ ุ (ศตั ร)ู ว.ิ จียตตี ิ จวี รํ (จิ จเย ในการสัง่ สม + อีวร) (กมั มสาธนะ) ย่อมถกู สั่งสม เพราะเหตุน้นั ช่ือว่า จวี ร (ผา้ ทีถ่ ูกส่ังสม, จีวร) วิ. มนุ าตตี ิ มนุ ิ (มุน าเณ ในความรู้ + อ)ิ (กตั ตุสาธนะ) ย่อมรู้ เพราะเหตนุ ้นั ชื่อวา่ มนุ ิ (พระภิกษ,ุ พระพทุ ธเจา้ ) วิ. มยติ คจฺฉตีติ มยูโร (มย คติมฺหิ ในการไป + อูร) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มไป เพราะเหตนุ น้ั ช่ือวา่ มยูร (นกยูง) วิ. กรฺ ิยํ ลกฺขณํ วา ธาเรตตี ิ ธาตุ (ธา ธารเณ ในการทรงไว้ + ต)ุ (กัตตุสาธนะ) ย่อมทรงไว้ ซงึ่ กริ ิยา หรอื ซ่งึ ลักษณะ เพราะเหตุนั้น ชือ่ วา่ ธาตุ (ธาตุ) ว.ิ ชายตีติ ชนฺตุ (ชน ชนเน ในการเกดิ + ตุ) (กตั ตสุ าธนะ) ย่อมเกิด เพราะเหตุนน้ั ชอ่ื วา่ ชนตฺ ุ (สัตว์ผเู้ กดิ , สัตว์) วิ. กฏุ ติ ฉินฺทตตี ิ กฏุ โฺ , พยฺ าธิ (กุฏ เฉทเน ในการตดั + ) (กัตตสุ าธนะ) ย่อมตัด เพราะเหตุนัน้ ชือ่ วา่ กุฏฺ , ได้แก่โรค (โรคเร้อื น) วิ. กฏติ มทฺทตีติ กฏฺ ํ (กฏ มททฺ เน ในการย�ำ่ ยี + ) (กตั ตุสาธนะ) ยอ่ มเหยยี บย่�ำ เพระเหตนุ น้ั ชอ่ื ว่า กฏฺ (ไม,้ ฟืน) ว.ิ กํ สสี ํ าติ ตฏิ ฺ ติ เอตถฺ าติ กณโฺ (กสททฺ ปู ปท + า คตนิ วิ ตตฺ มิ หฺ ิ ในการหา้ มการไป + อ) อ.ศีรษะ ยอ่ มตง้ั อยู่ บนคอนี้ เพราะเหตนุ น้ั ชื่อว่า กณฺ (คอ) (อธิกรณสาธนะ) วิ. (หติ าหติ ํ) มนเต ชานาตตี ิ มนสุ โฺ ส (มนุ โพธเน ในการรู้ + อุสสฺ ) (กัตตสุ าธนะ) ย่อมรู้ (ซ่ึงส่งิ ท่ีเป็นประโยชน์และไมเ่ ปน็ ประโยชน์) เพราะเหตนุ ัน้ ชอ่ื ว่ามนุสฺส (มนุษย์) ว.ิ มนเต ชานาตีติ มานุโส (มนุ โพธเน ในการรู้ + นสุ ) (แปลงพยญั ชนะทีส่ ดุ ธาตุเป็น อา) ยอ่ มรู้ เพราะเหตนุ นั้ ช่อื วา่ มานุส (มนษุ ย์) (กัตตุสาธนะ) วิ. มาตาปติ ูนํ หทยํ ปูเรตตี ิ ปรุ โิ ส (ปรู ทานปูรเณสุ ในการใหแ้ ละการเตม็ + อสิ ) (กตั ตสุ าธนะ) ยังใจ ของมารดาและบดิ า ท. ยอ่ มให้เตม็ เพราะเหตุน้นั ช่ือว่า ปุรสิ (บุรุษ)
บทท่ี ๖ สมาส ว่าด้วยการย่อบทต้ังแต่สองบทขึน้ ไปเข้าด้วยกนั ความหมายของสมาส สมาส คือ การยอ่ บทตงั้ แตส่ องบทข้ึนไปเข้าเปน็ บทเดียวกัน (Compound) มวี ิเคราะห์ ว่า “สมสสฺ เตติ สมาโส” หมู่บทใด ย่อมถูกยอ่ เพราะเหตนุ ั้น หมบู่ ทนั้น ชื่อว่าสมาส (สํ + อส สงฺฆาเต ในอรรถการรวมกัน + ณ) ได้แก่ การย่อนามบทกับนามบท อุปสัคบทกับนามบท นิบาตบทกับนามบท และนิบาตบทกับนิบาตบท เข้าเป็นบทเดียวกัน รูปส�ำเร็จเป็นสมาสนาม เฉพาะนบิ าตบทกับนิบาตบท รูปสำ� เร็จเป็นอพั ยยศพั ท์ (ข้อสังเกต : บท + บท = สมาส, บท + ปจั จัย = ตทั ธติ , ธาตุ + ปัจจยั = กติ ก์) ลักษณะของสมาส มี ๓ อย่าง คือ ๑. เอกปท มบี ทเดียวกนั “บท” ในทนี่ ้ี หมายเอาบททีม่ ีวภิ ตั ตเิ ปน็ ทสี่ ดุ จะเปน็ สมาสที่ ยาว มากนอ้ ยแคไ่ หน กน็ บั เปน็ เพยี งบทเดยี วเทา่ นน้ั เชน่ ราชปรุ โิ ส เปน็ หนงึ่ บท พยฺ าลมพฺ มพฺ ธุ ร- พินทฺ จุ ุมพฺ ิตกูโฏ เปน็ หนงึ่ บท เป็นต้น ๒. เอโกจฺจารณ สวดเป็นบทเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียง ต้องอ่านเป็นบทเดียวกัน เชน่ ราชปรุ ิโส ๓. เอกวิภตฺติ มีวิภัตติเดียวกัน ก่อนส�ำเร็จเป็นสมาสจะมีกี่วิภัตติก็ได้ แต่เมื่อย่อเข้า เป็นสมาสแล้ว ตอ้ งมีวภิ ตั ติตัวเดยี วกัน ตวั สดุ ท้ายเท่านน้ั เชน่ ราชปรุ ิโส กอ่ นสำ� เร็จเปน็ สมาส มี ๒ วภิ ตั ติ คอื “รฺโ” เป็นฉฏั ฐีวิภตั ติ “ปรุ ิโส” เป็นปฐมาวภิ ตั ติ เมอ่ื สำ� เร็จเป็นสมาสมีรูปว่า “ราชปุรโิ ส” มวี ภิ ตั ตเิ ดยี ว คือปฐมาวภิ ตั ติ สมาส ว่าโดยชือ่ มี ๖ ประเภท คือ ๑. อพยฺ ยภี าวสมาส คอื สมาสท่ีมอี ุปสัคหรือนบิ าต (ศัพท์ท่ีไมเ่ ปลย่ี นไปเพราะการลง วภิ ัตติ) อยู่ข้างหนา้ และแปลเปน็ ประธาน มี ๒ ประการ คอื ๑.๑ อุปสคฺคปุพฺพกอพฺยยีภาว อัพยยีภาวสมาสที่มีอุปสัคอยู่หน้าและแปลเป็น ประธาน ๑.๒ นิปาตปุพฺพกอพฺยยีภาว อัพยยีภาวสมาสท่ีมีนิบาตอยู่หน้าและแปลเป็น ประธาน
198 ไวยากรณบ์ าลีเบ้ืองต้น ๒. กมฺมธารยสมาส คือ สมาสทีท่ รงไว้ซ่ึงชอื่ ๒ อยา่ งเพียงดังกรรม กัมมธารยสมาสน้ี มี ๙ ประการ คือ ๒.๑ วเิ สสนปุพพฺ ปท คือ กมั มธารยสมาสที่มีบทวเิ สสนะ (ตัวขยาย) อยู่หนา้ ๒.๒ วเิ สสนุตตฺ รปท คอื กัมมธารยสมาสทมี่ ีบทวิเสสนะ (ตวั ขยาย) อยหู่ ลัง ๒.๓ วเิ สสโนภยปท คอื กมั มธารยสมาสทม่ี บี ททงั้ สองเปน็ วเิ สสนะ (ทำ� หนา้ ทข่ี ยาย บทอ่นื ทงั้ สองศัพท)์ ๒.๔ อุปมานุตฺตรปท คอื กมั มธารยสมาสท่มี บี ทหลงั เปน็ บทเปรยี บเทียบ ๒.๕ สมฺภาวนาปพุ ฺพปท คือ กัมมธารยสมาสทมี่ บี ทแสดงการยกยอ่ งอยขู่ า้ งหนา้ ๒.๖ อวธารณปพุ ฺพปท คือ กัมมธารยสมาสทมี่ บี ทแสดงการก�ำหนดอยู่ข้างหน้า ๒.๗ นนิปาตปุพพฺ ปท คอื กัมมธารยสมาสทมี่ ี น นบิ าตเป็นบทหน้า (ปฏเิ สธ) ๒.๘ กุปุพฺพปท คอื กัมมธารยสมาสที่มี กุ นบิ าต (น่ารงั เกียจ) เปน็ บทหนา้ ๒.๙ ปาทปิ ุพฺพปท คอื กมั มธารยสมาสท่ีมี ป อุปสัคเปน็ ต้นเปน็ บทหนา้ ๓. ทิคสุ มาส คือ กมั มธารยสมาสทป่ี กติสังขยาเปน็ บทหน้า มี ๒ ประการ คือ ๓.๑ สมาหารทคิ ุสมาส คือ ทิคุสมาสทม่ี อี รรถรวบรวม ๓.๒ อสมาหารทิคสุ มาส คอื ทิคุสมาสทม่ี ีอรรถไมร่ วบรวม ๔. ตปปฺ ุริสสมาส คอื สมาสท่ีมีอรรถของบทหลังเปน็ ประธาน มี ๘ ประการ คือ ๔.๑ ทุติยาตปฺปรุ ิส คือ ตปั ปุริสสมาสทมี่ ีบทหนา้ ประกอบดว้ ยทุตยิ าวิภตั ติ ๔.๒ ตติยาตปฺปุรสิ คือ ตปั ปุรสิ สมาสทมี่ บี ทหน้าประกอบดว้ ยตตยิ าวิภตั ติ ๔.๓ จตุตถฺ ีตปฺปรุ ิส คือ ตปั ปรุ สิ สมาสที่มบี ทหนา้ ประกอบด้วยจตุตถีวภิ ตั ติ ๔.๔ ปญจฺ มตี ปปฺ ุรสิ คือ ตัปปุริสสมาสทม่ี บี ทหน้าประกอบดว้ ยปญั จมีวภิ ตั ติ ๔.๕ ฉฏฺีตปปฺ ุริส คอื ตปั ปุรสิ สมาสที่มบี ทหนา้ ประกอบดว้ ยฉฏั ฐวี ภิ ตั ติ ๔.๖ สตฺตมตี ปฺปรุ ิส คอื ตปั ปุริสสมาสทมี่ ีบทหนา้ ประกอบดว้ ยสตั ตมวี ิภัตติ ๔.๗ อมาทปิ รตปปฺ รุ สิ สมาส คอื ตปั ปรุ สิ สมาสทมี่ บี ทหนา้ ประกอบดว้ ยทตุ ยิ าวภิ ตั ติ เปน็ ตน้ นั้น เมอื่ รูปสำ� เร็จจะมกี ารสลบั ตำ� แหน่งที่ต้งั ของบท ๔.๘ อโลปตปฺปุริสสมาส คือ ตัปปุริสสมาสท่ีมีบทหน้าประกอบด้วยทุติยาวิภัตติ เปน็ ต้นนน้ั แต่เม่อื รูปส�ำเรจ็ จะไมม่ กี ารลบวิภตั ติของบทหน้า เป็นประเภทอลุตตสมาส ๕. พหพุ พฺ หี สิ มาส คอื สมาสท่ีมีอรรถของบทอื่นเป็นประธาน (อญั ญปทตั ถะ) รปู สำ� เร็จ เป็น คุณศพั ท์ พหุพพหี สิ มาสน้นั มี ๙ ประการ คือ ๕.๑ ทฺวิปทตุลฺยาธิกรณพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสที่มีอรรถของบท ทง้ั สอง มที ตี่ งั้ เหมอื นกนั หมายความวา่ มวี ภิ ตั ติ และวจนะเหมอื นกนั สว่ นลงิ คน์ น้ั จะเหมอื นกนั หรอื ต่างกนั ก็ได้ และมอี ญั ญบทเปน็ ตวั กำ� หนดวภิ ตั ติ ให้มีช่ือเรียกแตกตา่ งกนั ไปตามวภิ ตั ตนิ ้นั ๆ ๕.๑.๑ ทุตยิ าทวฺ ิปทตุลฺยาธกิ รณพหพุ พฺ ีหสิ มาส
199 สมาส วา่ ดว้ ยการยอ่ บทตงั้ แตส่ องบทขน้ึ ไปเขา้ ด้วยกนั ๕.๑.๒ ตติยาทฺวปิ ทตุลฺยาธิกรณ พหพุ พฺ หี สิ มาส ๕.๑.๓ จตตุ ฺถีทฺวิปทตุลฺยาธกิ รณพหพุ ฺพหี สิ มาส ๕.๑.๔ ปญฺจมที ฺวิปทตลุ ยฺ าธิกรณ พหุพฺพหี ิสมาส ๕.๑.๕ ฉฏฺ ที วฺ ิปทตลุ ฺยาธกิ รณพหพุ พฺ ีหสิ มาส ๕.๑.๖ สตตฺ มที ฺวิปทตุลยฺ าธิกรณพหุพฺพีหสิ มาส ๕.๒ ทวฺ ปิ ทภนิ นฺ าธกิ รณพหพุ พฺ หี สิ มาส คอื พหพุ พหี สิ มาสทม่ี อี รรถของบททงั้ สอง มีทต่ี ้ังแตกตา่ งกนั หมายความวา่ มวี ภิ ตั ตทิ ี่แตกตา่ งกนั ส่วนลิงค์จะเหมือนกนั หรือต่างกนั กไ็ ด้ ๕.๓ ตปิ ทพหุพพฺ ีหสิ มาส คือ พหพุ พหี ิสมาสที่มีสามบทมายอ่ เขา้ เปน็ บทเดยี วกัน โดยมอี ัญญบทเป็นประธาน ๕.๔ นนิปาตปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสที่มีนนิบาตอยู่หน้า แปลวา่ “ไม่ม.ี ..” โดยมีอญั ญบทเป็นประธาน ๕.๕ [ปมายตฺถ] สหปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสที่มีสหนิบาต อยหู่ น้า ในอรรถปฐมาวภิ ัตติ ๕.๖ อุปมานปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสท่ีมีบทหน้าเป็นบท เปรียบเทยี บ มี ๒ วิภัตติ คอื ๕.๖.๑ ปมายตฺถ อุปมานปพุ พฺ ปทพหุพฺพีหิสมาส ๕.๖.๒ ฉฏฺ ิยตฺถ อปุ มานปุพพฺ ปทพหพุ พฺ หี ิสมาส ๕.๗ วาสทฺทตฺถ สงฺขฺโยภยปทพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสที่บททั้งสอง เป็น สังขยาในอรรถของ วา ศพั ท์ แสดงความไมแ่ น่นอน ๕.๘ ทิสนฺตราฬตฺถพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสท่ีใช้ในอรรถระหว่าง ทศิ ทัง้ สอง ได้แกก่ ารพดู ถงึ ทศิ เฉียงตา่ งๆ น่ันเอง ๕.๙ พยฺ ตหิ ารลกขฺ ณพหพุ พฺ หี สิ มาส คอื พหพุ พหี สิ มาสทล่ี กั ษณะแผข่ ยายออกไป หมายความว่า ลุกลามไปสู่กริ ยิ าการกระท�ำอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ๖. ทวฺ นทฺ สมาส คอื สมาสทยี่ อ่ นามบทตงั้ แตส่ องบทขน้ึ ไป อนั มอี รรถรวบรวมซง่ึ กนั และ กนั และมวี ิภตั ตเิ หมือนกนั คำ� แปลของทวนั ทสมาสแปลว่า “และ” มี ๒ ประการ คอื ๖.๑ อิตรีตรโยคทฺวนฺท (อสมาหาร) ได้แก่ ทวันทสมาสที่มีอรรถของแต่ละบท เป็นประธานเสมอกัน ฉะนัน้ จึงมีรปู เปน็ พหุวจนะเทา่ นั้น ส่วนลงิ ค์ มลี งิ ค์ตามบทหลัง ๖.๒ สมาหารทฺวนฺท ได้แก่ การรวบรวมอรรถทั้งหลายให้เป็นอันเดียวกัน รปู ส�ำเร็จจะเปน็ นปุงสกลงิ ค์ เอกวจนะเทา่ นน้ั
200 ไวยากรณบ์ าลเี บ้ืองต้น สมาสวา่ โดยอรรถมี ๔ ประเภท คือ ๑. ปุพฺพปทตฺถปธานสมาส คือ สมาสท่ีมีอรรถของบทหน้าเป็นประธาน ได้แก่ อัพยยีภาวสมาส เช่น ปาสาทสฺส อนฺโต อนฺโตปาสาทํ ในภายใน แห่งปราสาท ชื่อว่า อนฺโตปาสาท (ในภายในแห่งปราสาท), นครสฺส สมีปํ อุปนครํ อ.ท่ีใกล้ แห่งเมือง ช่ือว่า อปุ นคร (ใกล้แหง่ เมือง) ๒. อุตฺตรปทตฺถปธานสมาส คือ สมาสท่ีมีอรรถของบทหลังเป็นประธาน ได้แก่ กมั มธารยสมาส, ทิคสุ มาส และตปั ปรุ ิสสมาส ๒.๑ กมั มธารยสมาส เช่น มหนโฺ ต จ โส ปุริโส จาติ มหาปรุ โิ ส อ.ผปู้ ระเสริฐดว้ ย อ.ผปู้ ระเสรฐิ นน้ั เปน็ บรุ ษุ ดว้ ย เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ มหาปรุ สิ (บรุ ษุ ผปู้ ระเสรฐิ ) ในกมั มธารยสมาส ๙ ประเภทน้ัน ยกเว้นวิเสสนุตตรบท วิเสสโนภยบท และอุปมานุตตรบท ท่ีเหลือมีอรรถของ บทหลงั เป็นประธานทงั้ หมด ๒.๒ ทิคุสมาส เช่น ตโย โลกา ตโิ ลกํ อ.โลก ท. สาม ชอ่ื ว่า ตโิ ลก (โลกทงั้ สาม) ๒.๓ ตัปปุริสสมาส เช่น ธมฺมํ นิสฺสิโต ธมฺมนิสฺสิโต อ.ผู้อาศัยแล้ว ซ่ึงธรรม ชือ่ ว่า ธมมฺ นสิ ฺสิต (ผู้อาศยั ธรรม) ๓. อุภยปทตฺถปธานสมาส คือ สมาสที่มีอรรถของบททั้งสองเป็นประธาน ได้แก่ ทวันทสมาส เช่น สมโถ จ วิปสฺสนา จ สมถวิปสฺสนํ อ.สมถะด้วย อ.วิปัสสนาด้วย ชื่อว่า สมถวิปสสฺ น (สมถะและวปิ ัสสนา) ๔. อฺปทตฺถปธานสมาส คือ สมาสที่มีอรรถของบทอ่ืนเป็นประธาน ได้แก่ พหุพพีหิสมาส เช่น กตํ กิจฺจํ เยน สมเณน โสยํ กตกิจฺโจ, สมโณ อ.กิจ อันพระสมณะใด กระท�ำแล้ว มีอยู่ อ.พระสมณะน้ัน ชื่อว่า กตกิจฺจ, ได้แก่พระสมณะ (ผู้มีกิจอันกระทำ� แล้ว) ในตัวอย่างน้ี บทว่า “กตกิจฺโจ” เป็นพหุพพีหิสมาส เป็นวิเสสนะ บทว่า “เยน” เป็นอัญญบท สว่ นบทวา่ “สมโณ” เปน็ อญั ญปทตั ถะ ท�ำหน้าที่ เปน็ ประธาน (วิเสสยะ) สมาสว่าโดยกิจหรือหนา้ ที่ของสมาส มี ๒ ประเภท คอื ๑. ลุตฺตสมาส คือ สมาสท่ีลบวิภัตติของบททั้งหมด เช่น รญฺโ ปุริโส ราชปุริโส ในท่ีน้ี เมื่อเป็นรูปส�ำเร็จว่า “ราชปุริโส” มีการลบ ส ฉัฏฐีวิภัตติ แต่อรรถของวิภัตติยังอยู่ โดยแปลว่า “อ.บุรุษ ของพระราชา” ลุตตสมาสน้ี สามารถเป็นได้ท้ัง สทฺทสมสน การย่อศัพท์ และ อตถฺ สมสน การย่ออรรถ ลตุ ตสมาสน้ี มีได้ในสมาสทงั้ ๖ ประเภท ๒. อลุตฺตสมาส คือ สมาสที่ไม่ลบวิภัตติของบทหน้า หรือคงวิภัตติของบทหน้าไว้ เช่น มนสิ กรณํ มนสิกาโร การกระท�ำไว้ ในใจ ช่ือว่า มนสิการ ในท่ีนี้ ค�ำว่า “มนสิ” ลง
201 สมาส ว่าด้วยการยอ่ บทต้ังแต่สองบทข้ึนไปเข้าดว้ ยกนั สฺมึ สัตตมีวิภัตติ เมื่อรูปส�ำเร็จเป็นสมาสแล้ว ก็ยังคงวิภัตติไว้ตามเดิม แต่ต้องเขียนติดกันถึง จะเป็นสมาส ถ้าเขียนแยกหรืออ่านออกเสียงแยกจากกัน ก็จะกลายเป็นคนละบทกัน ซ่ึงไม่ใช่ สมาส อลตุ ตสมาสนี้ มไี ด้ ๒ นัย คอื (๑) นยั แรก เป็นได้เพยี ง อตถฺ สมสน การย่ออรรถเทา่ นั้น เพราะไม่ได้ลบวิภัตติของบทหน้า (๒) นัยที่สอง เป็นได้ทั้ง สทฺทสมสน การย่อศัพท์ และ อตถฺ สมสน การยอ่ อรรถ เพราะเมื่อสำ� เรจ็ เปน็ สมาสแลว้ ตอ้ งอ่านติดกันเขยี นตดิ เป็นบทเดียวกนั อลุตตสมาสนี้ มีได้ในสมาสเดียว คือ ตัปปุริสสมาสเท่านั้น (หมายเหตุ : เฉพาะ ตัปปุรสิ สมาส เปน็ ได้ท้ัง ลุตตสมาส และอลุตตสมาส) การยอ่ ของสมาส มี ๒ อย่าง คอื ๑. สททฺ สมสน คอื การยอ่ ศพั ทเ์ พยี งอยา่ งเดยี ว เชน่ สมโถ จ วปิ สสฺ นา จ สมถวปิ สสฺ นํ สมถะด้วย วิปัสสนาด้วย ช่ือว่าสมถวิปสฺสน การย่อน้ี เป็นเพียงการย่อศัพท์ โดยมีวิภัตติ เปน็ ท่สี ุด สว่ นอรรถหรือความหมาย ยังคงอยู่เท่าเดมิ ๒. อตฺถสมสน คือ การย่อทัง้ ศพั ท์ทัง้ อรรถ เช่น รฺโ ปรุ ิโส ราชปุริโส บรุ ษุ ของ พระราชา ช่ือว่า ราชปุรสิ ในรปู วิเคราะห์นี้ ค�ำว่า “รฺโ” หมายถึง พระราชา เปน็ คนๆ หนง่ึ ค�ำว่า “ปุริโส” หมายถึง บุรุษ เป็นอีกคนหนึ่ง เมื่อน�ำมารวมกัน จะได้รูปส�ำเร็จว่า “ราชปุริโส” ซ่งึ ไดแ้ ก่บคุ คลคนเดียว คอื ราชบรุ ุษ ฉะนัน้ จึงเปน็ ทงั้ การย่อศัพท์ โดยมวี ภิ ตั ติเปน็ ตัวเดียวกนั และเป็นการย่ออรรถ โดยกอ่ นจะเป็นสมาส มีบุคคล ๒ คน แต่เม่อื ส�ำเร็จเปน็ สมาสแลว้ หมายเอา บคุ คลๆ คนเดยี ว คอื ราชบรุ ุษเทา่ นนั้ บททน่ี �ำมายอ่ เป็นสมาส บททีน่ ำ� มาย่อเป็นสมาสได้ มี ๓ บท คอื นามบท อุปสัคบท และ นิบาตบท มีตัวอยา่ งดงั น้ี ๑. นามบท กบั นามบท เชน่ รฺโ ปรุ โิ ส ราชปุริโส (ราช + ปรุ สิ ) ๒. อปุ สคั บท กับ นามบท เชน่ นครสสฺ สมีปํ อปุ นครํ (อปุ + นคร) ๓. นบิ าตบท กับ นามบท เชน่ ปาสาทสฺส อนโฺ ต อนฺโตปาสาทํ (อนโฺ ต + ปาสาท) ๔. นบิ าตบท กบั นบิ าตบท เชน่ น กตฺวา อกตวฺ า (น + กตฺวา), น อาทาย อนาทาย (น + อาทาย) หมายเหตุ : บทที่นำ� มาย่อเป็นสมาสทั้ง ๓ บทน้ัน ทุกบทท่ีย่อเข้าเป็นสมาส บทหลัง ต้องเป็นบทนามเท่านั้น เพราะรูปส�ำเร็จเป็นสมาสนาม จะต้องน�ำไปแจกปทมาลาด้วยวิภัตติ นามเสมอ ยกเวน้ “นบพุ พบทกมั มธารยสมาส” ประเภทเดียว เฉพาะทใ่ี ช้กิรยิ ากิตกท์ ีม่ ี ตเว, ตํุ, ตุน, ตฺวาน และ ตฺวา ปัจจัย น�ำมาท�ำเป็นสมาส โดยเป็นการย่อนิบาตกับนิบาตเข้าด้วยกัน รปู สำ� เรจ็ ถอื วา่ เป็นนบิ าต
202 ไวยากรณบ์ าลเี บอ้ื งต้น ประโยชน์ของสมาส มี ๒ อยา่ ง คอื ๑. เอกปทตฺต ความเป็นบทเดียวกัน เช่น “ราชปุริโส” มาจาก “ราช + ปุริส” วิเคราะห์ว่า “รฺโ ปุริโส ราชปุริโส” ในรูปวิเคราะห์นี้ มี ๒ บท คือ “รฺโ” กับ “ปุริโส” เม่อื ยอ่ เขา้ เปน็ สมาสแลว้ เหลือบทเดยี ว คอื “ราชปุรโิ ส” ๒. เอกวิภตฺติตฺต ความมีวิภัตติเดียวกัน เช่น “ราชปุริโส” มาจาก “ราช + ปุริส” วิเคราะห์ว่า “รฺโ ปุริโส ราชปุริโส” ในรูปวิเคราะห์นี้ มี ๒ บท มี ๒ วิภัตติ คือบทว่า “รฺโ” เป็น ฉัฏฐีวิภัตติ กับบทว่า “ปุริโส” เป็นปฐมาวิภัตติ เมื่อย่อเข้าเป็นสมาสแล้ว เหลือ บทเดยี วและมวี ภิ ัตติเดยี วกนั คือ“ราชปรุ โิ ส” มี สิ ปฐมาวิภัตตติ ัวเดยี ว การก�ำหนดลงิ คข์ องสมาส (๑) กัมมธารยสมาส, อสมาหารทิค,ุ ตัปปุริสสมาส และอิตรีตรทวนั ทสมาส ไดล้ งิ คข์ อง บทหลงั ๑.๑ กัมมธารยสมาส เชน่ อวิชฺชา จ สา ปจจฺ โย จาติ อวิชชฺ าปจฺจโย (อวิชชฺ า + ปจฺจย) ในตัวอย่างนี้ บทว่า “อวิชฺชา” เป็นบทหน้า เป็นอิตถีลิงค์ บทว่า “ปจฺจโย” เป็น บทหลัง เป็นปุงลิงค์ เม่ือส�ำเร็จเป็นสมาสแล้ว มีรูปว่า “อวิชฺชาปจฺจโย” เป็นปุงลิงค์ ฉะน้ัน ขอให้สังเกตว่า บทหลังเป็นลิงค์อะไรในรูปวิเคราะห์ เมื่อส�ำเร็จเป็นสมาสแล้ว ก็จะมีลิงค์ตาม บทหลงั ไป ๑.๒ อสมาหารทิคุสมาส เช่น ตโย ภวา ติภวา (ติ + ภว) ในตัวอย่างน้ี บทว่า “ตโย” เป็นปุงลิงค์ ส่วนบทว่า “ภวา” ซ่ึงเป็นบทหลัง เป็นปุงลิงค์ เมื่อส�ำเร็จเป็นสมาสแล้ว เป็นปงุ ลงิ ค์ ๑.๓ ตปั ปรุ สิ สมาส เชน่ ปกตยิ า เมธาวี ปกตเิ มธาวี (ปกติ + เมธาว)ี ในตวั อยา่ งน้ี บทว่า “ปกติยา” เปน็ บทหน้า เปน็ อติ ถีลิงค์ บทว่า “เมธาว”ี เป็นบทหลัง เปน็ ปงุ ลงิ ค์ เมอื่ สำ� เรจ็ เป็นสมาส มีรูปวา่ “ปกตเิ มธาวี” เปน็ ปุงลิงค์ ตามบทหลงั ๑.๔ อสมาหารทวันทสมาส เช่น มาตา จ ปิตา จ มาตาปิตโร (มาตุ + ปิตุ) ในตัวอย่างน้ี บทว่า “มาตา” เป็นบทหน้า เป็นอิตถีลิงค์ บทว่า “ปิตา” เป็นบทหลัง เป็น ปุงลิงค์ เม่ือส�ำเร็จเป็นสมาสแล้ว มีรูปว่า “มาตาปิตโร” เป็นปุงลิงค์ ฉะน้ัน ขอให้สังเกตลิงค์ ของบทหลงั วา่ เป็นลงิ ค์อะไร เมือ่ ส�ำเรจ็ เปน็ สมาส กจ็ ะเป็นลงิ คต์ ามบทหลัง (๒) พหพุ พหี ิสมาส ได้ลงิ ค์ตามอรรถของบทอน่ื (อญั ญปทตั ถะ) ๒.๑ อาคตสมโณ สฆํ าราโม ในตวั อยา่ งน้ี บทวา่ “อาคตสมโณ” เปน็ พหพุ พหี สิ มาส เปน็ ปงุ ลิงค์ เพราะอญั ญปทัตถะ คอื บทว่า “สฆํ าราโม” เปน็ ปุงลิงค์ ได้ลิงค์ตามอรรถของบทอ่ืน คอื “สํฆาราโม”
203 สมาส ว่าด้วยการย่อบทตัง้ แตส่ องบทขึน้ ไปเข้าดว้ ยกัน ๒.๒ อาคตสมณา สาวตฺถิ ในตัวอยา่ งน้ี บทว่า “อาคตสมณา” เปน็ พหุพพีหสิ มาส เป็นอติ ถลี งิ ค์ เพราะอญั ญปทัตถะ อรรถของบทอื่น ในทนี่ ี้คอื บทวา่ “สาวตฺถิ” เปน็ อิตถีลิงค์ ๒.๓ อาคตสมณํ เชตวนํ ในตัวอย่างนี้ บทว่า “อาคตสมณํ” เป็นพหุพพีหิสมาส เป็นนปุงสกลิงค์ เพราะอญั ญปทตั ถะ อรรถของบทอื่น คอื บทวา่ “เชตวนํ”เป็นนปุงสกลงิ ค์ (๓) อัพยยีภาวสมาส สมาหารทิคุสมาส และสมาหารทวันทสมาส รูปส�ำเร็จเป็น นปงุ สกลิงค์ ๓.๑ อัพยยีภาวสมาส เช่น คงฺคาย สมีเป วตฺตตีติ อุปคงฺคํ (อุป + คงฺคา) ในตัวอยา่ งน้ี บทว่า “อปุ ” เป็นอุปสัค อยู่ข้างหนา้ และแปลกอ่ น ส่วนบทวา่ “คงฺคา” เปน็ อิตถลี งิ ค์ เมอ่ื ส�ำเรจ็ เป็นสมาสแล้ว มรี ปู ว่า “อปุ คงคฺ ํ” เปน็ นปงุ สกลิงค์ ๓.๒ สมาหารทิคุสมาส เช่น จตสโฺ ส ทิสา จตุทฺทิสํ (จตุ + ทสิ า) ในตวั อย่างน้ี บทว่า “จตสฺโส” เป็นอิตถีลิงค์ ท�ำหน้าท่ีเป็นวิเสสนะของบทว่า “ทิสา” ๆ น้ี เป็นอิตถีลิงค์ เมือ่ สำ� เร็จเปน็ สมาสแล้ว มรี ูปว่า “จตทุ ทฺ ิส”ํ เปน็ นปุงสกลงิ ค์ ข้อสังเกต ศัพท์เดิมในรปู วิเคราะห์ จะเปน็ ลงิ คอ์ ะไรกต็ าม เมอ่ื สำ� เรจ็ เปน็ สมาหารทคิ สุ มาสแลว้ ตอ้ งเปน็ นปงุ สกลงิ ค์ เอกวจนะเทา่ นนั้ ๓.๓ สมาหารทวันทสมาส เช่น สมโถ จ วิปสฺสนา จ สมถวิปสฺสนํ (สมถ + วิปสฺสนา) ในตัวอย่างนี้ บทว่า “สมโถ” เป็นปุงลิงค์ ส่วนบทว่า “วิปสฺสนา” เป็นอิตถีลิงค์ มีลงิ คต์ า่ งกนั เมื่อสำ� เรจ็ เป็นสมาสแล้ว มรี ปู ว่า “สมถวปิ สสฺ นํ” เป็นนปงุ สกลิงค์ เอกวจนะแน่นอน ๖.๑ อพั ยยภี าวสมาส อพฺยยีภาวสมาส คือ สมาสท่ีมีอุปสัคหรือนิบาต(ศัพท์ท่ีไม่เปล่ียนไปเพราะการลง วิภัตติ) อยู่ข้างหน้า และแปลเป็นประธาน มีวิเคราะห์ว่า “พฺยยนํ พฺยโย” การเสียไป ช่ือว่า พฺยย “นตฺถิ พฺยโย เอตสฺสาติ อพฺยยํ” การเสียไป แห่งบทน้ัน ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า อพฺยย “อพฺยยานํ อตฺถํ วิภาวยตีติ อพฺยยีภาโว” แปลว่า สมาสใด ยังเนื้อความ ของอุปสัคและนิบาตท้ังหลาย ย่อมให้ปรากฏ เพราะเหตุน้ัน สมาสน้ัน ชื่อว่า อัพยยีภาวะ (อพฺยยสทฺทปู ปท + ภู + เณ + ณ) (ช่ือวา่ อัพยยีภาวสมาส เพราะมีอรรถของอุปสัคและนบิ าต เป็นประธาน), หรือวเิ คราะหว์ า่ “อนพฺยยํ อพฺยยํ ภวตีติ อพยฺ ยภี าโว” แปลว่า ไมเ่ ป็นอัพยยะ เป็นอพั ยยะ ยอ่ มเปน็ เพราะเหตนุ น้ั ชือ่ วา่ อพยฺ ยีภาว (อพฺยยสททฺ ปู ปท+ ภู + ณ) เชน่ อปุ นครํ บทว่า อุป เป็นอัพยยศัพท์ ส่วน นคร เป็นนามศัพท์ แต่ได้ช่ือว่าอัพยยะไปด้วย เนื่องจากว่า เมื่อส�ำเร็จเป็นสมาสแล้ว อรรถของบทหน้าเป็นประธาน ฉะนั้น จึงได้ช่ือว่า เป็นอัพยยีภาวะ ตามประธาน
204 ไวยากรณบ์ าลเี บอ้ื งตน้ ลกั ษณะของอัพยยภี าวสมาส มี ๓ ประการ ๑. มอี ปุ สคั หรอื นบิ าตอยหู่ นา้ ๒. อปุ สคั และนิบาตน้นั ต้องแปลก่อน(แปลเปน็ ประธาน) ๓. รปู ส�ำเรจ็ เปน็ นปงุ สกลงิ ค์ ๑. อปุ สคคฺ ปพุ ฺพกอพฺยยีภาวสมาส อุปสคฺคปุพฺพกอพฺยยีภาวสมาส คืออัพยยีภาวสมาสท่ีมีอุปสัคอยู่หน้าและแปลเป็น ประธาน เช่น นครสฺส สมีปํ อุปนครํ อ.ที่ใกล้ แห่งเมือง ช่ือว่า อุปนคร (ท่ีใกล้แห่งเมือง) มาจาก “อปุ + นคร” ในตัวอยา่ งนี้ บทวา่ “อุป” เป็นอปุ สัค อยู่ขา้ งหนา้ และแปลก่อน วิ. กุมฺภสฺส สมปี ํ อปุ กุมฺภํ (อุป + กุมภฺ ) (อปุ = สมีป-ใกล)้ อ.ท่ีใกล้ แห่งหมอ้ ช่อื วา่ อ ุปกมุ ภฺ (ใกล้หมอ้ ) วิ. ทรถานํ อภาโว นิททฺ รถํ (นิ + ทรถ) (นิ = อภาว-ความไมม่ )ี อ.ความไมม่ ี แห่งความเรา่ รอ้ น ท. ช่อื ว่า นทิ ทฺ รถ (ไม่มคี วามเรา่ ร้อน) วิ. รถสฺส ปจฺฉา อนรุ ถํ (อนุ + รถ) (อนุ = ปจฉฺ า-ภายหลัง) ในภายหลงั แหง่ รถ ชอ่ื วา่ อนุรถ (ภายหลงั รถ) ว.ิ รูปสสฺ รปู โยคฺคํ อนุรปู ํ (อนุ + รูป) (อนุ = รูปโยคฺค-สมควร) อ.ความสมควร แกร่ ปู ช่ือว่า อนุรูป (ตามความสมควรแกร่ ปู , ตามความเหมาะสม) วิ. อตฺตานมตฺตานํ ปติ ปจฺจตฺตํ (ปติ + อตตฺ ) เฉพาะ ซึ่งตนๆ ชอ่ื วา่ ปจฺจตฺต (เฉพาะตนๆ) วิ. อทฺธมาสํ อทฺธมาสํ อนุ อนฺวทฺธมาสํ (อนุ + อทธฺ มาส) (อนุ = วิจฉฺ า-กล่าวซ้ำ� ) ทกุ ๆ กงึ่ แหง่ เดอื นๆ ชอ่ื วา่ อนวฺ ทธฺ มาส (ทกุ ๆ กงึ่ แหง่ เดอื น) (เพราะสระหลงั แปลง อุ เปน็ ว)ฺ วิ. เชฏฺ านํ อนปุ ุพฺโพ อนเุ ชฏฺํ (อนุ + เชฏฺ) (อนุ = อนุปุพพฺ -ลำ� ดบั ) อ.ลำ� ดับ แห่งบคุ คลผูเ้ จรญิ ท. ช่ือว่า อนุเชฏฺ (ล�ำดับแห่งผู้เจรญิ ) ว.ิ โสตสสฺ ปฏิโลมํ ปฏิโสตํ (ปติ + โสต) (ปฏิ = ปฏิโลม-ทวนกลับ) อ.ทวน แห่งกระแส ชือ่ วา่ ปฏิโสต (ทวนกระแส) วิ. อตฺตานํ อธกิ จิ ฺจ ปวตฺตา อชฌฺ ตตฺ ํ (อธิ + อตฺต) อ.ธรรม ท. อันอาศัย ซึ่งตนแล้วเปน็ ไป ชอ่ื วา่ อชฺฌตตฺ (อาศยั ตนแล้วเป็นไป, ภายในตน) วิ. ภกิ ขฺ าย สมิทธฺ ตี ิ สุภิกฺขํ (สุ + ภกิ ฺขา) อ.ความสมบูรณ์ แหง่ อาหาร เพราะเหตนุ ้ัน ชอื่ ว่า สภุ กิ ขฺ (ความสมบูรณ์แหง่ อาหาร)
205 สมาส วา่ ด้วยการย่อบทต้งั แต่สองบทขึน้ ไปเข้าด้วยกัน ๒. นปิ าตปพุ ฺพกอพยฺ ยภี าวสมาส นิปาตปุพฺพกอพฺยยีภาวสมาส คืออัพยยีภาวสมาสท่ีมีนิบาตอยู่หน้าและแปล เปน็ ประธาน เชน่ ปาสาทสสฺ อนโฺ ต อนโฺ ตปาสาทํ ในภายใน แห่งปราสาท ชอ่ื วา่ อนฺโตปาสาท (ในภายใน แห่งปราสาท) มาจาก “อนฺโต + ปาสาท” ในตัวอย่างน้ี บทว่า “อนฺโต” เป็นนิบาต อยู่ข้างหนา้ และแปลก่อน วิ. ชีวสสฺ ยตตฺ โก ปริจเฺ ฉโท ยาวชีวํ (ยาว + ชีว) อ.การก�ำหนด อันมีประมาณเพียงใด แห่งชีวิต ช่ือว่า ยาวชีว (กำ� หนดเพียงใดแห่งชีวิต, ตลอดชีวติ ) วิ. อายุสสฺ ยตตฺ โก ปรจิ เฺ ฉโท ยาวตายกุ ํ (ยาวตา + อายุ) อ.การกำ� หนด อนั มีประมาณเพยี งใด แห่งอายุ ชือ่ วา่ ยาวตายกุ (ก�ำหนดเพียงไรแหง่ อายุ, ตลอดอายุ) ว.ิ สรปู สฺส รูปโยคฺคํ ยถาสรปู ํ (ยถา + สรปู ) (ยถา = รูปโยคคฺ -สมควร) อ.ความสมควร แก่สภาพของตนเอง ชอ่ื วา่ ยถาสรูป (ตามสมควรแก่สภาพของตน) วิ. วุฑฺฒานํ ปฏิปาฏิ ยถาวฑุ ฒฺ ํ (ยถา + วฑุ ฺฒ) อ.ลำ� ดับ แหง่ ผู้เจรญิ ท. ชือ่ วา่ ยถาวุฑฒฺ (ล�ำดับผู้เจริญ) วิ. เย เย วฑุ ฺฒา ยถาวฑุ ฒฺ ํ (ยถา + วฑุ ฒฺ ) อ.ผเู้ จรญิ ท. ใด ใด ชื่อวา่ ยถาวฑุ ฒฺ (ล�ำดับผเู้ จรญิ ) วิ. กมํ อนติกฺกมิตฺวา ยถากฺกมํ (ยถา + กม) ไม่ขา้ มแล้ว ซงึ่ ล�ำดบั ชอ่ื ว่า ยถากฺกม (ตามลำ� ดับ) วิ. สตฺตึ อนตกิ กฺ มติ วฺ า ยถาสตตฺ ิ (ยถา + สตฺต)ิ ไมเ่ กนิ แลว้ ซงึ่ ความสามารถ ชื่อว่า ยถาสตฺติ (ตามความสามารถ) วิ. พลํ อนติกฺกมิตวฺ า ยถาพลํ (ยถา + พล) ไมเ่ กินแลว้ ซ่ึงก�ำลัง ชอ่ื วา่ ยถาพล (ตามก�ำลัง) ว.ิ ยตฺตเกน อตฺโถ ยาวทตฺถํ (ยาว + อตถฺ ) (เพราะสระหลงั ลง ทอฺ าคม) อ.ความต้องการ ด้วยวตั ถุมีประมาณเท่าใด (อตฺถิ มีอยู่) ชอ่ื วา่ ยาวทตถฺ (เท่าทต่ี อ้ งการ) วิ. ปพฺพตสสฺ ปรภาโค ตโิ รปพฺพตํ (ติโร + ปพฺพต) อ.สว่ นอ่ืน แหง่ ภเู ขา ช่ือวา่ ติโรปพฺพต (ภายนอกแห่งภเู ขา) ว.ิ ปาการสฺส ปรภาโค ตโิ รปาการํ (ติโร + ปาการ) อ.ส่วนอื่น แห่งก�ำแพง ชอื่ วา่ ตโิ รปาการ (ภายนอกกำ� แพง) วิ. กฏุ ฺฏสฺส ปรภาโค ตโิ รกฏุ ฏฺ ํ (ตโิ ร + กุฏฏฺ ) อ.ส่วนอื่น แหง่ ฝา ช่ือวา่ ติโรกุฏฏฺ (ภายนอกฝาเรอื น)
206 ไวยากรณบ์ าลีเบ้อื งต้น ว.ิ นครสฺส อนโฺ ต อนฺโตนครํ (อนโฺ ต + นคร) ในภายใน แห่งเมอื ง ชอ่ื ว่า อนฺโตนคร (ภายในเมือง) วิ. วสสฺ สสฺ อนฺโต อนโฺ ตวสสฺ ํ (อนฺโต + วสสฺ ) ในภายใน แหง่ กาลฝน ช่ือว่า อนฺโตวสสฺ (ภายในกาลฝน, ภายในพรรษา) ว.ิ นครสฺส พหิ พหนิ ครํ (พหิ + นคร) ในภายนอก แหง่ เมือง ชือ่ วา่ พหินคร (ภายนอกเมอื ง) ว.ิ ปาสาทสฺส อุปริ อปุ ริปาสาทํ (อปุ ริ + ปาสาท) ในเบื้องบน แห่งปราสาท ชือ่ วา่ อปุ รปิ าสาท (ขา้ งบนปราสาท) ว.ิ มญจฺ สฺส อปุ ริ อุปรมิ ญฺจํ (อปุ ริ + มญฺจ) ในเบอ้ื งบน แหง่ เตียง ชื่อวา่ อุปริมญฺจ (ข้างบนเตียง) ว.ิ มญฺจสสฺ เหฏฺา เหฏฺามญฺจํ (เหฏฺ า + มญฺจ) ในภายใต้ แหง่ เตยี ง ช่อื ว่า เหฏฺ ามญจฺ (ใตเ้ ตียง) วิ. ปาสาทสสฺ เหฏฺ า เหฏฺ าปาสาทํ (เหฏฺา + ปาสาท) ในภายใต้ แหง่ ปราสาท ชือ่ ว่า เหฏฺาปาสาท (ใตป้ ราสาท) วิ. ภตตฺ สสฺ ปเุ ร ปุเรภตฺตํ (ปเุ ร + ภตตฺ ) ในกาลก่อน แห่งภตั ร ชือ่ ว่า ปุเรภตตฺ (กอ่ นอาหาร) ว.ิ ภตฺตสสฺ ปจฺฉา ปจฺฉาภตตฺ ํ (ปจฺฉา + ภตตฺ ) ในภายหลงั แหง่ ภัตร ช่ือวา่ ปจฺฉาภตตฺ (หลังอาหาร) ๖.๒ กมั มธารยสมาส กมฺมธารยสมาส คือ สมาสท่ีทรงไว้ซ่ึงชื่อ ๒ อย่างเพียงดังกรรม ตัวอย่างเช่น การทำ� เสือ่ ค�ำวา่ “เสอื่ ” เป็นกรรมที่สามารถทำ� ให้เกิด ๒ อยา่ ง คอื (๑) ทำ� ให้เกิดกิรยิ าการท�ำ (๒) ท�ำให้เกิดประโยชน์ที่ได้จากกิริยาการกระท�ำน้ัน สมาสน้ีก็ฉันน้ัน สามารถทรงไว้ซึ่ง ชื่อ ๒ อย่าง ดงั มีวิเคราะห์วา่ “กมฺมมวิ ทวฺ ยํ ธารยตีติ กมฺมธารโย” ยอ่ มทรงไว้ ซง่ึ อรรถ สองอยา่ ง เพียงดงั กรรม เพราะเหตนุ นั้ ช่ือว่า กมมฺ ธารย ๑. วเิ สสนปพุ ฺพปท กมมฺ ธารยสมาส วเิ สสนปพุ ฺพปท คือ กัมมธารยสมาสที่มีบทวิเสสนะ (ตัวขยาย) อยู่หน้า เช่น มหนฺโต จ โส ปรุ โิ ส จาติ มหาปรุ ิโส อ.ผ้ปู ระเสรฐิ ดว้ ย อ.ผูป้ ระเสริฐน้ัน เป็นบุรษุ ดว้ ย เพราะเหตุนน้ั ช่ือว่ามหาปรุ ิส (บรุ ษุ ผู้ประเสริฐ) มาจาก “มหนฺต + ปุริส” ในตัวอย่างน้ี บทว่า “มหนฺโต” เป็น วิเสสนะ อย่ขู ้างหนา้ ท�ำหน้าท่ขี ยายบทวเิ สสยะว่า “ปรุ โิ ส” ซ่ึงอยู่ขา้ งหลงั
207 สมาส วา่ ดว้ ยการยอ่ บทต้งั แต่สองบทขึน้ ไปเข้าดว้ ยกนั วิ. มหนตฺ ญจฺ ตํ ภยญฺจาติ มหพภฺ ยํ (มหนตฺ + ภย) อ.ใหญ่ดว้ ย อ.ใหญน่ นั้ เปน็ ภยั ดว้ ย เพราะเหตนุ น้ั ชือ่ วา่ มหพฺภย (ภัยใหญ)่ ว.ิ สนโฺ ต จ โส ปุรโิ ส จาติ สปฺปรุ โิ ส (สนตฺ + ปรุ สิ ) อ.ผสู้ งบด้วย อ.ผสู้ งบนนั้ เปน็ บุรุษดว้ ย เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า สปปฺ ุรสิ (สตั บุรษุ ) ว.ิ มหนฺโต จ โส วีโร จาติ มหาวีโร (มหนฺต + วรี ) อ.มากดว้ ย อ.มากนัน้ เปน็ ผู้กลา้ หาญดว้ ย เพราะเหตุนั้น ชอื่ วา่ มหาวรี (ผกู้ ลา้ หาญมาก) ว.ิ มหนฺโต จ โส มุนิ จาติ มหามนุ ิ (มหนตฺ + มนุ ิ) อ.ผปู้ ระเสรฐิ ดว้ ย อ.ผปู้ ระเสรฐิ นน้ั เปน็ พระมนุ ดี ว้ ย เพราะเหตนุ นั้ ชอื่ วา่ มหามนุ ิ (พระพทุ ธเจา้ ) วิ. มหนฺตญฺจ ตํ พลญฺจาติ มหาพลํ (มหนฺต + พล) อ.มากด้วย อ.มากนนั้ เป็นก�ำลังด้วย เพราะเหตนุ นั้ ชือ่ วา่ มหาพล (ก�ำลังมาก) ว.ิ ปุพโฺ พ จ โส ปุริโส จาติ ปพุ ฺพปรุ ิโส (ปพุ พฺ + ปุริส) อ.ขา้ งหน้าดว้ ย อ.ข้างหน้าน้ัน เป็นบรุ ษุ ดว้ ย เพราะเหตุน้นั ชอ่ื ว่า ปุพพฺ ปุริส (บรุ ษุ คนกอ่ น) วิ. ปโร จ โส ปุริโส จาติ ปรปุรโิ ส (ปร + ปุรสิ ) อ.ขา้ งหลังด้วย อ.ขา้ งหลังน้ัน เปน็ บรุ ุษด้วย เพราะเหตุนน้ั ชอื่ ว่า ปรปรุ ิส (บุรษุ คนหลัง) วิ. ปโม จ โส ปุรโิ ส จาติ ปมปุริโส (ปม + ปรุ ิส) อ.ที่หนง่ึ ด้วย อ.ท่หี นง่ึ น้นั เป็นบุรุษด้วย เพราะเหตนุ น้ั ชือ่ ว่า ปมปรุ ิส (บุรุษที่ ๑) ว.ิ มชฌฺ ิโม จ โส ปรุ ิโส จาติ มชฌฺ มิ ปรุ โิ ส (มชฌฺ ิม + ปรุ ิส) อ.ผมู้ ใี นท่ามกลางด้วย อ.ผมู้ ใี นท่ามกลางนนั้ เป็นบุรษุ ด้วย เพราะเหตุนนั้ ชือ่ ว่า มชฌฺ ิมปรุ สิ (บุรษุ ผ้มู ีในท่ามกลาง) ว.ิ อุตฺตโม จ โส ปุรโิ ส จาติ อุตตฺ มปรุ โิ ส (อุตตฺ ม + ปรุ ิส) อ.ผู้สูงสดุ ดว้ ย อ.ผู้สงู สุดนน้ั เป็นบรุ ุษด้วย เพราะเหตนุ ้นั ชอ่ื ว่า อุตฺตมปุรสิ (บรุ ษุ ผูส้ งู สุด) วิ. ทนฺโต จ โส ปุริโส จาติ ทนฺตปรุ ิโส (ทนฺต + ปรุ สิ ) อ.ผ้ฝู ึกแลว้ ด้วย อ.ผฝู้ กึ แล้วน้นั เปน็ บุรษุ ดว้ ย เพราะเหตุนัน้ ชือ่ ว่า ทนตฺ ปุริส (บรุ ุษผฝู้ กึ แล้ว) วิ. ปรโม จ โส ปรุ ิโส จาติ ปรมปุริโส (ปรม + ปุริส) อ.ผู้ยอดเยี่ยมด้วย อ.ผู้ยอดเย่ียมน้ัน เป็นบุรุษด้วย เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า ปรมปุริส (บุรุษ ผยู้ อดเยยี่ ม) วิ. วีโร จ โส ปุริโส จาติ วรี ปุริโส (วีร + ปรุ สิ ) อ.ผกู้ ล้าหาญดว้ ย อ.ผู้กล้าหาญนนั้ เป็นบรุ ุษดว้ ย เพราะเหตนุ นั้ ช่อื วา่ วีรปรุ ิส (วีรบรุ ษุ , บุรษุ ผูก้ ลา้ หาญ) ว.ิ เสโต จ โส หตถฺ ี จาติ เสตหตถฺ ี (เสต + หตฺถ)ี อ.ขาวด้วย อ.ขาวนนั้ เป็นชา้ งด้วย เพราะเหตุนั้น ชอ่ื วา่ เสตหตฺถี (ช้างเผอื ก)
208 ไวยากรณ์บาลีเบอ้ื งต้น วิ. กณฺโห จ โส สปโฺ ป จาติ กณฺหสปโฺ ป (กณฺห + สปปฺ ) อ.ด�ำด้วย อ.ดำ� นน้ั เปน็ งดู ้วย เพราะเหตนุ ้นั ชอ่ื วา่ กณฺหสปฺป (งเู หา่ ) วิ. นีลญฺจ ตํ อุปฺปลญฺจาติ นีลุปฺปลํ (นลี + อปุ ฺปล) อ.เขียวด้วย อ.เขยี วนัน้ เปน็ ดอกอุบลด้วย เพราะเหตนุ ้นั ชอ่ื วา่ นีลุปปฺ ล (ดอกอุบลเขียว) วิ. โลหติ ญฺจ ตํ จนทฺ นญฺจาติ โลหิตจนทฺ นํ (โลหิต + จนฺทน) อ.แดงดว้ ย อ.แดงนัน้ เป็นจันทนด์ ว้ ย เพราะเหตนุ ั้น ชอ่ื ว่า โลหติ จนฺทน (จันทน์แดง) วิ. ปมุ า จ โส โกกิโล จาติ ปุงโฺ กกิโล (ปุม + โกกิล) อ.ตวั ผ้ดู ้วย อ.ตัวผู้น้นั เป็นนกดุเหวา่ ดว้ ย เพราะเหตุน้ัน ชอ่ื ว่า ปุงโฺ กกลิ (นกดเุ หว่าตวั ผ)ู้ ว.ิ ปุมา จ โส นาโค จาติ ปนุ ฺนาโค (ปมุ + นาค) อ.ตัวผู้ด้วย อ.ตัวผู้น้ัน เป็นต้นกากะทิงด้วย เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า ปุนฺนาค (ต้นกากะทิง, ต้นบนุ นาค) ว.ิ ขตตฺ ิยา จ สา กญฺา จาติ ขตตฺ ิยกฺ า (ขตฺติยา + กฺา) อ.หญิงกษัตรยิ ด์ ้วย อ.หญิงกษตั ริยน์ นั้ เป็นสาวน้อยดว้ ย เพราะเหตนุ นั้ ช่อื วา่ ขตตฺ ิยกฺ า (สาวนอ้ ยกษัตริย์) วิ. รตฺตา จ สา ลตา จาติ รตฺตลตา (รตฺตา + ลตา) อ.แดงดว้ ย อ.แดงนัน้ เป็นเถาวลั ย์ดว้ ย เพราะเหตุน้ัน ชอ่ื ว่า รตตฺ ลตา (เถาวลั ยแ์ ดง) วิ. พฺราหฺมณี จ สา ทารกิ า จาติ พฺราหมฺ ณทารกิ า (พรฺ าหฺมณี + ทารกิ า) อ.พราหมณดี ว้ ย อ.พราหมณนี ั้น เป็นเด็กหญงิ ดว้ ย เพราะเหตุนั้น ชอื่ วา่ พรฺ าหมฺ ณทารกิ า (เดก็ หญงิ พราหมณี) วิ. ปุรตถฺ ิโม จ โส กาโย จาติ ปุรตถฺ มิ กาโย (ปรุ ตฺถิม + กาย) อ.มีในเบ้ืองหน้าด้วย อ.มีในเบื้องหน้านั้น เป็นกายด้วย เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า ปุรตฺถิมกาย (กายอันมีในเบอ้ื งหนา้ ) วิ. ปจฺฉิโม จ โส กาโย จาติ ปจฺฉิมกาโย (ปจฺฉมิ + กาย) อ.มใี นเบอื้ งหลงั ดว้ ย อ.มใี นเบอื้ งหลงั นนั้ เปน็ กายดว้ ย เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ ปจฉฺ มิ กาย (กาย อนั มีในเบอื้ งหลงั ) วิ. สพโฺ พ จ โส กาโย จาติ สพพฺ กาโย (สพพฺ + กาย) อ.ท้ังปวงด้วย อ.ทง้ั ปวงนัน้ เป็นกายดว้ ย เพราะเหตุนั้น ชอ่ื วา่ สพฺพกาย (กายทงั้ ปวง) วิ. ปุราโณ จ โส วิหาโร จาติ ปุราณวิหาโร (ปรุ าณ + วหิ าร) อ.เก่าดว้ ย อ.เกา่ น้ัน เป็นวิหารดว้ ย เพราะเหตนุ ัน้ ชือ่ วา่ ปรุ าณวิหาร (วิหารเกา่ ) ว.ิ นโว จ โส อาวาโส จาติ นวาวาโส (นว + อาวาส) (ลบสระหน้า, ทีฆะสระหลงั ) อ.ใหม่ด้วย อ.ใหมน่ ้นั เป็นอาวาสด้วย เพราะเหตนุ น้ั ชื่อว่า นวาวาส (อาวาสใหม่, วัดใหม่, ที่อยใู่ หม่)
209 สมาส ว่าดว้ ยการย่อบทตงั้ แต่สองบทขน้ึ ไปเข้าดว้ ยกัน วิ. กตโร จ โส นิกาโย จาติ กตรนกิ าโย (กตร + นกิ าย) อ.ไหนด้วย อ.ไหนนัน้ เป็นนิกายด้วย เพราะเหตนุ น้ั ชือ่ ว่า กตรนิกาย (นกิ ายไหน) ว.ิ เหตุ จ โส ปจฺจโย จาติ เหตปุ ปฺ จจฺ โย (เหตุ + ปจจฺ ย) อ.เหตุดว้ ย อ.เหตนุ ั้น เปน็ ปจั จัยดว้ ย เพราะเหตนุ ้ัน ชื่อว่า เหตปุ ฺปจฺจย (เหตุปจั จยั ) ว.ิ อพหลุ ํ พหลุ ํ กตนตฺ ิ พหลุ กี ตํ (พหลุ + กต) (ลง ออี าคม = ยทนปุ ปนนฺ า นปิ าตนา สชิ ฌฺ นตฺ )ิ อ.วตั ถอุ นั ไมม่ าก ถกู กระทำ� แลว้ ใหม้ มี าก เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ พหลุ กี ต (ถกู กระทำ� ใหม้ มี าก) ว.ิ ชีวิตปปฺ ธานํ นวกํ ชีวิตนวกํ (ชีวติ + นวก) อ.หมวดเก้า อันมีชีวิตรปู เป็นประธาน ช่อื วา่ ชีวติ นวก (หมวดเกา้ มชี วี ติ รปู เปน็ ประธาน) ๒. วเิ สสนตุ ตฺ รปท กมมฺ ธารยสมาส วิเสสนุตฺตรปท คือ กัมมธารยสมาสท่ีมีบทวิเสสนะ (ตัวขยาย) อยู่หลัง มีศัพท์เป็น เครื่องสังเกต คอื เถร, อาจรยิ , ปณฑฺ ิต, วเิ สส และ ปาป ศพั ท์ เปน็ ตน้ เช่น สาริปตุ ฺโต จ โส เถโร จาติ สาริปุตฺตตฺเถโร อ.พระสารีบุตรด้วย อ.พระสารีบุตรนั้น เป็นพระเถระด้วย เพราะเหตุนน้ั ช่ือว่า สารปิ ุตฺตตเฺ ถร (พระสารบี ตุ รผู้เถระ) มาจาก “สาริปุตฺต + เถร” ในตวั อยา่ งนี้ บทว่า “เถโร” เปน็ วิเสสนะ อย่ขู ้างหลัง ทำ� หนา้ ทข่ี ยายบทวเิ สสยะว่า “สาริปตุ ฺโต” ซ่งึ อยขู่ า้ งหน้า วิ. พทุ ฺธโฆโส จ โส อาจริโย จาติ พทุ ฺธโฆสาจริโย (พุทฺธโฆส + อาจรยิ ) อ.พระพุทธโฆสะด้วย อ.พระพุทธโฆสะน้ัน เป็นอาจารย์ด้วย เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า พทุ ธฺ โฆสาจรยิ (พระพทุ ธโฆสะ ผเู้ ปน็ อาจารย,์ พระอาจารยช์ อื่ วา่ พทุ ธโฆสะ, พระพทุ ธโฆสาจารย)์ วิ. ธมมฺ ปาโล จ โส อาจริโย จาติ ธมมฺ ปาลาจรโิ ย (ธมฺมปาล + อาจรยิ ) อ.พระธรรมปาละด้วย อ.พระธรรมปาละนั้น เป็นอาจารย์ด้วย เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า ธมฺมปาลาจริย (พระธรรมปาละ ผู้เป็นอาจารย์, พระอาจารย์ช่ือว่า ธรรมปาละ, พระธรรม- ปาลาจารย)์ ว.ิ อาจรโิ ย จ โส คุตฺติโล จาติ อาจรยิ คตุ ฺตโิ ล (อาจริย + คุตฺตลิ ) (เป็นวิเสสนบุพพบทบ้าง) อ.อาจารย์ด้วย อ.อาจารยน์ นั้ เป็นคุตตลิ ะดว้ ย เพราะเหตนุ ั้น ช่อื วา่ อาจริยคตุ ตฺ ิล (อาจารย์ คตุ ตลิ ะ) ว.ิ มโหสโธ จ โส ปณฑฺ ิโต จาติ มโหสธปณฑฺ ิโต (มโหสธ + ปณฑฺ ติ ) อ.มโหสธด้วย อ.มโหสธนน้ั เปน็ บณั ฑติ ดว้ ย เพราะเหตุนนั้ ช่ือว่า มโหสธปณฑฺ ติ (มโหสธ ผเู้ ป็นบัณฑิต, มโหสธบณั ฑิต) วิ. วิธโุ ร จ โส ปณฑฺ ิโต จาติ วิธรุ ปณฺฑิโต (วธิ รุ + ปณฺฑติ ) อ.วิธรุ ด้วย อ.วธิ รุ น้นั เป็นบัณฑติ ด้วย เพราะเหตนุ ้นั ชื่อวา่ วธิ รุ ปณฺฑิต (วิธรุ บัณฑติ ) วิ. วตถฺ ุ จ ตํ วิเสโส จาติ วตฺถุวเิ สโส (วตถฺ ุ + วิเสส) อ.วัตถุด้วย อ.วตั ถุนน้ั เปน็ ความพิเศษด้วย เพราะเหตนุ ้ัน ชอ่ื วา่ วตถฺ ุวเิ สส (วตั ถพุ เิ ศษ)
210 ไวยากรณบ์ าลีเบอ้ื งต้น ๓. วิเสสโนภยปท กมมฺ ธารยสมาส วิเสสโนภยปท คือ กมั มธารยสมาสทมี่ บี ททงั้ สองเปน็ วิเสสนะ (ทำ� หนา้ ทขี่ ยายบทอืน่ ทงั้ สองศพั ท)์ เชน่ สตี ญจฺ ตํ อณุ หฺ ญจฺ าติ สตี ณุ หฺ ,ํ วตถฺ ุ อ.วตั ถนุ น้ั เยน็ ดว้ ย รอ้ นดว้ ย เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ สตี ุณหฺ (ทัง้ เย็นทั้งรอ้ น) มาจาก “สตี + อณุ หฺ ” ในตัวอยา่ งนี้ ท้ังบทวา่ “สตี ”ํ และบทวา่ “อุณหฺ ํ” ลว้ นเป็นวิเสสนะทง้ั คู่ ทำ� หน้าทีข่ ยายบทว่า “วตฺถุ” ซึง่ เป็นบทอน่ื (คำ� แปล “ทง้ั ... ทงั้ ...”) ว.ิ สินิทฺโธ จ โส อณุ โฺ ห จาติ สินทิ ธฺ ุณโฺ ห, มาโส (สินิทฺธ + อณุ ฺห) อ.ถว่ั นน้ั อ่อนนุม่ ด้วย รอ้ นดว้ ย เพราะเหตุน้ัน ชื่อวา่ สินทิ ธฺ ุณหฺ (ทงั้ ออ่ นนุม่ ท้ังร้อน) ว.ิ ขญฺโช จ โส ขชุ ฺโช จาติ ขญชฺ ขุชฺโช (ขญชฺ + ขุชชฺ ) อ.บรุ ษุ น้ัน ขาเขยกด้วย คอ่ มดว้ ย เพราะเหตนุ ้ัน ชอ่ื วา่ ขญชฺ ขชุ ฺช (ท้งั ขาเขยกทงั้ ค่อม) ว.ิ อนฺโธ จ โส พธโิ ร จาติ อนธฺ พธโิ ร (อนธฺ + พธริ ) อ.บรุ ษุ นนั้ ตาบอดด้วย หูหนวกดว้ ย เพราะเหตุนนั้ ช่อื วา่ อนฺธพธิร (ทัง้ บอดทั้งหนวก) วิ. กตญจฺ ตํ อกตญจฺ าติ กตากตํ (กต + อกต) อ.กรรมนั้น อันถูกกระท�ำแล้วด้วย อันไม่ถูกกระทำ� แล้วด้วย เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า กตากต (ท้ังท่ีถูกกระท�ำแล้ว ทัง้ ยังไมถ่ ูกกระทำ� ) วิ. ฉทิ ฺทญฺจ ตํ อวฉทิ ฺทญจฺ าติ ฉทิ ฺทาวฉทิ ทฺ ํ (ฉิททฺ + อวฉิททฺ ) อ.วัตถนุ ั้น มีช่องใหญ่ดว้ ย มชี ่องเล็กดว้ ย เพราะเหตนุ นั้ ชอื่ ว่า ฉิททฺ าวฉิททฺ (ทั้งมชี ่องใหญ่ ทง้ั มชี อ่ งเลก็ ) วิ. อจุ ฺจญฺจ ตํ อวจญจฺ าติ อจุ จฺ าวจํ (อุจฺจ + อวจ) อ.กิจนั้น อันสูงดว้ ย อันต�ำ่ ดว้ ย เพราะเหตุนน้ั ชอื่ วา่ อุจฺจาวจ (ทงั้ สูงทัง้ ตำ�่ ) วิ. ฉินนฺ ญฺจ ตํ ภนิ ฺนญฺจาติ ฉนิ นฺ ภนิ ฺนํ (ฉนิ นฺ + ภนิ นฺ ) อ.วัตถุนน้ั อันถูกตัดแลว้ ดว้ ย อนั ถูกผา่ แลว้ ด้วย เพราะเหตุน้ัน ชอื่ ว่า ฉนิ ฺนภินนฺ (ท้ังถกู ตัด ท้งั ถูกผ่า) ว.ิ สติ ตฺ ญจฺ ตํ สมฺมฏฺญฺจาติ สิตตฺ สมมฺ ฏฺ ํ (สิตฺต + สมฺมฏฺ) อ.สถานท่ีน้ัน อันถูกรดแล้วด้วย อันถูกกวาดแล้วด้วย เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า สิตฺตสมฺมฏฺ (ทั้งถูกรดทงั้ ถูกกวาด) วิ. อาคตา จ เต อาคตา จาติ อาคตาคตา, ชนา (อาคต + อาคต) อ.ชน ท. เหล่านั้น ผู้มาแล้วด้วย ผู้มาแล้วด้วย เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า อาคตาคต, ได้แก่ ชนทัง้ หลาย (ผูท้ ัง้ มาแลว้ ทง้ั มาแล้ว) ว.ิ จินตฺ ติ ญจฺ ตํ จนิ ตฺ ิตญจฺ าติ จินตฺ ิตจินตฺ ิตํ, จินฺตนํ (จินตฺ ติ + จนิ ตฺ ิต) อ.ความคิดน้ัน อันถูกคิดแล้วด้วย อันถูกคิดแล้วด้วย เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า จินฺติตจินฺติต, ได้แก่ความคดิ (ทงั้ ถูกคิดแล้วท้งั ถูกคดิ แลว้ )
211 สมาส ว่าด้วยการยอ่ บทตัง้ แตส่ องบทขน้ึ ไปเขา้ ด้วยกนั ๔. อุปมานตุ ตฺ รปท กมฺมธารยสมาส อุปมานุตฺตรปท คือ กมั มธารยสมาสทมี่ บี ทหลงั เป็นบทเปรยี บเทียบ เช่น มนุ ิ จ โส สีโห จาติ มุนิสีโห อ.พระมุนีด้วย อ.พระมุนีนั้น เป็นเพียงดังราชสีห์ด้วย เพราะเหตุน้ัน ชื่อว่า มุนิสหี (พระมนุ เี พียงดังราชสีห์) มาจาก “มนุ ิ + สหี ” ในตวั อย่างน้ี บทว่า “สโี ห” เป็นบทอุปมา อย่ขู ้างหลัง ท�ำหนา้ ท่ขี ยายบทวา่ “มนุ ิ” ซ่งึ อยู่ข้างหนา้ โดยเปน็ การเปรียบเทียบ พระพทุ ธเจา้ ว่า เปน็ ดุจราชสหี ์ วิ. ปุงคฺ โว วยิ ปงุ ฺคโว, มุนิ จ โส ปุงคฺ โว จาติ มุนปิ งุ ฺคโว (มุนิ + ปงุ คฺ ว) เพียงดัง อ.โคหนุ่ม ช่อื วา่ ปงุ ฺคว, อ.พระมุนีดว้ ย อ.พระมนุ นี ้ัน เปน็ เพียงดังโคหนุม่ ด้วย เพราะ เหตนุ น้ั ชื่อวา่ มนุ ิปงุ คฺ ว (พระมนุ ผี ้เู ป็นเพียงดังโคหนุ่ม) ว.ิ นาโค วยิ นาโค, พทุ ฺโธ จ โส นาโค จาติ พทุ ฺธนาโค (พทุ ฺธ + นาค) เพียงดงั อ.ช้างตัวประเสริฐ ชอ่ื ว่านาค, อ.พระพทุ ธเจา้ ด้วย อ.พระพุทธเจา้ น้นั เป็นเพยี งดัง ช้างตัวประเสริฐด้วย เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า พุทฺธนาค (พระพุทธเจ้าผู้เป็นเพียงดังช้างตัว ประเสริฐ) วิ. อาทิจโฺ จ วยิ อาทจิ โฺ จ, พุทโฺ ธ จ โส อาทิจโฺ จ จาติ พุทธฺ าทิจฺโจ (พุทธฺ + อาทจิ ฺจ) เพียงดัง อ.พระอาทิตย์ ชอื่ ว่าอาทจิ จฺ , อ.พระพุทธเจา้ ด้วย อ.พระพุทธเจา้ นัน้ เปน็ เพยี งดัง พระอาทติ ยด์ ้วย เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า พทุ ฺธาทจิ ฺจ (พระพุทธเจา้ ผเู้ ป็นเพยี งดงั พระอาทิตย)์ ว.ิ รสํ ิ วยิ รํสิ, สทฺธมโฺ ม จ โส รสํ ิ จาติ สทฺธมมฺ รสํ ิ (สทฺธมมฺ + รํส)ิ เพียงดัง อ.รัศมี ชื่อว่ารํสิ, อ.พระสัทธรรมด้วย อ.พระสัทธรรมนั้น เป็นเพียงดังรัศมีด้วย เพราะเหตนุ ั้น ช่อื วา่ สทฺธมฺมรสํ ิ (พระสทั ธรรมเป็นเพียงดังรัศม)ี วิ. สาคโร วิย สาคโร, วนิ โย จ โส สาคโร จาติ วนิ ยสาคโร (วินย + สาคร) เพยี งดงั อ.มหาสมุทร ชือ่ วา่ สาคร, อ.พระวินยั ดว้ ย อ.พระวินยั น้ัน เป็นเพียงดงั มหาสมุทร ดว้ ย เพราะเหตนุ ้ัน ชอ่ื ว่า วนิ ยสาคร (พระวนิ ยั เปน็ เพยี งดังมหาสมทุ ร) ว.ิ ปณุ ฑฺ รกี มวิ ปณุ ฑฺ รีโก, สมโณ จ โส ปุณฑฺ รโี ก จาติ สมณปุณฑฺ รโี ก (สมณ + ปุณฺฑรกี ) เพียงดัง อ.ดอกบัวบุณฑริก ช่ือว่า ปุณฺฑรีก, อ.พระสมณะด้วย อ.พระสมณะนั้น เป็น เพียงดัง ดอกบวั บณุ ฑรกิ ดว้ ย เพราะเหตนุ ั้น ชอื่ วา่ สมณปณุ ฺฑรีก (พระสมณะผูเ้ ปน็ เพยี งดงั ดอกบวั บณุ ฑริก) ไดแ้ ก่ พระอนาคามี วิ. ปทุมมวิ ปทุโม, สมโณ จ โส ปทโุ ม จาติ สมณปทโุ ม (สมณ + ปทุม) เพยี งดงั อ.ดอกปทมุ ชอื่ วา่ ปทมุ , อ.พระสมณะดว้ ย อ.พระสมณะนน้ั เปน็ เพยี งดงั ดอกปทมุ ดว้ ย เพราะเหตนุ นั้ ช่อื ว่า สมณปทมุ (พระสมณะผเู้ ป็นเพยี งดงั ดอกปทมุ ) ไดแ้ กพ่ ระสกทาคามี วิ. จนโฺ ท วิย จนฺโท, มขุ ญจฺ ตํ จนฺโท จาติ มุขจนฺโท (มขุ + จนทฺ ) เพียงดัง อ.พระจันทร์ ชื่อว่า จนฺท, อ.หน้าด้วย อ.หน้านั้น เป็นเพียงดังพระจันทร์ด้วย เพราะเหตุนน้ั ชื่อว่า มุขจนทฺ (หนา้ เพียงดังพระจนั ทร์)
212 ไวยากรณบ์ าลเี บ้อื งต้น วิ. ปทมุ มวิ ปทมุ ํ, มุขญฺจ ตํ ปทมุ ญจฺ าติ มุขปทุมํ (มขุ + ปทุม) เพียงดัง อ. ดอกปทุม ชื่อว่า ปทุม, อ.หน้าด้วย อ.หน้าน้ัน เป็นเพียงดังดอกปทุมด้วย เพราะเหตุนน้ั ชอื่ วา่ มุขปทมุ (หน้าเพียงดังดอกปทมุ ) ๕. สมฺภาวนาปุพฺพปท กมมฺ ธารยสมาส สมฺภาวนาปุพฺพปท คือ กัมมธารยสมาสท่ีมีบทแสดงการยกย่องอยู่ข้างหน้า โดยใช้ “อิติศัพท์” คน่ั กลางระหว่างสองศัพทใ์ นรูปวเิ คราะห์ เช่น ธมโฺ ม อติ ิ พุทธฺ ิ ธมมฺ พุทฺธิ อ.ความรู้ ว่าเป็นพระธรรม ช่ือว่า ธมฺมพุทฺธิ (ความรู้ว่าเป็นพระธรรม) มาจาก “ธมฺม + พุทฺธิ” ในตวั อยางนี้ บทวา่ “ธมฺโม” เป็นสมั ภาวนาบท แสดงการยกย่อง อย่ขู า้ งหน้า โดยมี อติ ิ ศัพท์ คัน่ อย่ตู รงกลาง รปู สำ� เรจ็ เป็นสมาส แปลวา่ “...วา่ ...,...ว่าเป็น” วิ. ธมฺโม อิติ สฺา ธมมฺ สฺ า (ธมฺม + สฺ า) อ.ความจ�ำหมาย ว่าเปน็ ธรรม ช่ือว่า ธมมฺ สฺ า (ความจ�ำหมายวา่ เป็นธรรม) วิ. ธมโฺ ม อติ ิ สงขฺ าโต ธมมฺ สงขฺ าโต (ธมมฺ + สงขฺ าต) อ.สภาพอนั ถูกกล่าวแลว้ วา่ เป็นธรรม ชอื่ วา่ ธมมฺ สงขฺ าต (สภาพอนั ถกู กลา่ วว่าเป็นธรรม) วิ. ธมโฺ ม อิติ สมมฺ โต ธมฺมสมฺมโต (ธมฺม + สมมฺ ต) อ.สภาพอนั ถูกสมมตุ ิแลว้ วา่ เปน็ ธรรม ชือ่ ว่า ธมมฺ สมมฺ ต (สภาพอนั ถกู สมมุตวิ ่าเปน็ ธรรม) วิ. ปาโณ อิติ สฺ ิตา ปาณสฺ ิตา (ปาณ + สฺิตา) อ.ความเป็นผ้มู ีความรู้ วา่ เปน็ สัตว์ ชือ่ วา่ ปาณสฺิตา (ความเปน็ ผู้รู้วา่ เป็นสัตว์) วิ. อสโุ ภ อิติ สฺา อสภุ สฺ า (อสุภ + สฺ า) อ.ความจ�ำหมาย วา่ เป็นของไมง่ าม ช่อื ว่า อสุภสฺา (ความจ�ำหมายวา่ เปน็ ของไมง่ าม) วิ. อนจิ จฺ ํ อิติ สฺ า อนจิ ฺจสฺา (อนิจฺจ + สฺา) อ.ความจำ� หมาย วา่ เป็นของไม่เที่ยง ชือ่ วา่ อนิจจฺ สฺ า (ความจ�ำหมายวา่ เป็นของไมเ่ ทีย่ ง) วิ. อนตตฺ า อติ ิ สฺ า อนตฺตสฺา (อนตตฺ + สฺา) อ.ความจำ� หมาย วา่ เปน็ ของไมใ่ ชต่ วั ตน ชอื่ วา่ อนตตฺ สฺ า (ความจำ� หมายวา่ เปน็ ของไมใ่ ชต่ วั ตน) วิ. ธาตุ อติ ิ สฺ า ธาตุสฺ า (ธาตุ + สฺา) อ.ความจำ� หมาย ว่าเป็นธาตุ ช่อื ว่า ธาตุสฺา (ความจำ� หมายวา่ เปน็ ธาตุ) วิ. อตฺถิ อิติ สฺ า อตถฺ สิ ฺา (อตถฺ ิ + สฺา) อ.ความจำ� หมาย วา่ มอี ยู่ ช่ือว่า อตฺถิสฺา (ความจำ� หมายวา่ มีอย)ู่ ว.ิ อตตฺ า อติ ิ ทิฏฺิ อตฺตทฏิ ฺ ิ (อตตฺ + ทิฏฺ )ิ อ.ความเหน็ ว่าเปน็ ตวั ตน ชอ่ื ว่า อตตฺ ทิฏฺิ (ความเห็นวา่ เป็นตัวตน)
213 สมาส วา่ ดว้ ยการย่อบทต้งั แต่สองบทข้ึนไปเข้าดว้ ยกนั ๖. อวธารณปพุ ฺพปท กมฺมธารยสมาส อวธารณปุพฺพปท คือ กัมมธารยสมาสท่ีมีบทท่ีถูกก�ำหนดอยู่ข้างหน้า โดยใช้ “เอว ศัพท”์ คัน่ กลางในรูปวิเคราะห์ เช่น สทธฺ า เอว ธนํ สทธฺ าธนํ อ.ศรัทธานั่นเทยี ว เปน็ ทรัพย์ ชื่อวา่ สทธฺ าธน (ทรัพย์คอื ศรทั ธา) มาจาก “สทฺธา + ธน” ในตัวอยา่ งน้ี บทวา่ “สทฺธา” เป็นศพั ท์ ที่ถกู กำ� หนด โดยใช้ “เอว ศพั ท์” เป็นตัวกลา่ วกำ� หนด รูปสำ� เรจ็ เป็นสมาสแล้ว แปลวา่ “...คอื ...” ว.ิ สลี เมว ธนํ สลี ธนํ (สีล + ธน) อ.ศลี นัน่ เทยี ว เปน็ ทรพั ย์ ช่ือว่า สีลธน (ทรัพย์คือศลี ) ว.ิ ปฺา เอว ธนํ ปฺาธนํ (ปฺ า + ธน) อ.ปญั ญานนั่ เทียว เป็นทรัพย์ ชอื่ วา่ ปฺ าธน (ทรัพย์คอื ปญั ญา) วิ. จกฺขุ เอว อนิ ฺทฺรยิ ํ จกขฺ ุนฺทรฺ ยิ ํ (จกฺขุ + อินทฺ ฺริย) อ.จักษุนั่นเทยี ว เป็นอนิ ทรยี ์ ชอื่ ว่า จกขฺ ุนทฺ รฺ ิย (อนิ ทรยี ค์ ือจกั ษุ, จักขนุ ทรีย)์ วิ. จกฺขุ เอว อายตนํ จกฺขายตนํ (จกขฺ ุ + อายตน) อ.จักษนุ ่นั เทยี ว เป็นอายตนะ ชือ่ วา่ จกขฺ ายตน (อายตนะคอื จักษุ, จกั ขายตนะ) ว.ิ จกขฺ ุ เอว ธาตุ จกขฺ ธุ าตุ (จกขฺ ุ + ธาตุ) อ.จกั ษุนั่นเทยี ว เป็นธาตุ ช่ือว่า จกขฺ ุธาตุ (ธาตคุ อื จักษุ) ว.ิ จกฺขุ เอว ทวฺ ารํ จกฺขทุ ฺวารํ (จกขฺ ุ + ทฺวาร) อ.จักษุน่ันเทยี ว เปน็ ทวาร ช่อื ว่า จกฺขุทฺวาร (ทวารคอื จักษ)ุ ว.ิ รูปเมว อารมมฺ ณํ รูปารมมฺ ณํ (รปู + อารมฺมณ) อ.รปู น่นั เทียว เปน็ อารมณ์ ชือ่ วา่ รปู ารมมฺ ณ (อารมณ์คือรูป, รูปารมณ)์ ๗. นนปิ าตปุพพฺ ปท กมมฺ ธารยสมาส นนิปาตปพุ พฺ ปท คือ กมั มธารยสมาสทีม่ ี น นบิ าตเปน็ บทหนา้ (ปฏเิ สธ) เช่น น อริโย อนริโย อ.พระอริยะ ไม่ใช่ ช่ือว่า อนริย (ไม่ใช่พระอริยะ) มาจาก “น + อริย” ค�ำแปลของ น นิบาต แปลวา่ “ไมใ่ ช่..., ...หามิได้” น นิบาต : การปฏิเสธ มี ๒ อย่าง (๑) ปสชฺชปฺปฏิเสธ การปฏิเสธอรรถของส่ิงที่ถูกปฏิเสธนั้น ได้แก่ การปฏิเสธกิริยา เช่น อสุริยปสฺสา ราชทารา (มเหสี ไม่เห็นพระอาทิตย์) เป็นต้น ค�ำว่า “อสุริยปสฺสา” มาจาก รูปวิเคราะห์วา่ “สรุ ิยํ น ปสฺสนฺตตี ิ อสุริยปสฺสา” น ศัพท์ปฏิเสธกริ ิยาวา่ “น ปสฺสนฺติ” ย่อมไม่เห็น (๒) ปริยุทาสปฏิเสธ การปฏิเสธสิ่งซ่ึงคล้ายคลึงกับส่ิงที่ถูกปฏิเสธนั้น ได้แก่ การปฏิเสธนาม เช่น อพรฺ าหฺมโณ ไมใ่ ช่พราหมณ,์ อมนสุ ฺโส ไมใ่ ช่มนษุ ย์ เปน็ ต้น
214 ไวยากรณบ์ าลเี บอ้ื งต้น น นบิ าต มีอรรถ ๔ อยา่ ง คือ (๑) สทิสตฺถ น นิบาตมีอรรถว่าเหมือน เช่น น พฺราหฺมโณ อพฺราหฺมโณ แปลว่า อ.พราหมณ์ ไม่ใช่ ชื่อว่า อพฺราหฺมณ (ผู้ไม่ใช่พราหมณ์, ผู้เหมือนกับพราหมณ์) มีบาลีว่า อพฺราหฺมโณติ พฺราหฺมณสทิโสติ วุตฺตํ โหติ แปลว่า มีค�ำอธิบายว่า บทว่า อพฺราหฺมโณ ได้แก่ ผเู้ หมอื นพราหมณ์ ในตวั อยา่ งนี้ บทวา่ “อพรฺ าหมฺ โณ” เปน็ ผคู้ ลา้ ยกบั พราหมณ์ แตไ่ มใ่ ชพ่ ราหมณ์ ฉะน้นั น นิบาตท่ปี ฏเิ สธในบทว่า “อพรฺ าหมฺ โณ” นี้ จงึ มีอรรถ “สทิส” แปลวา่ เหมือน, คล้าย, ใกลเ้ คียง (๒) อญฺ ตฺถ น นิบาตมีอรรถว่าอนื่ เชน่ น พยฺ ากตา อพฺยากตา แปลวา่ อ.ธรรม ท. อันเป็นพยากฤต ไม่ใช่ ชื่อว่า อพฺยากต (ธรรมอันอ่ืนจากกุศลและอกุศล, อัพยากฤตธรรม) ในตัวอย่างน้ี บทว่า “อพฺยากตา” เป็นธรรมที่อื่นหรือนอกเหนือจากกุศลธรรมและอกุศลธรรม ที่ไม่ใช่พยากตธรรม ฉะนั้น น นิบาตท่ีปฏิเสธในบทว่า “อพฺยากตา” น้ี จึงมีอรรถ “อฺ” แปลวา่ อน่ื , นอกหนือ (๓) วิรทุ ธฺ ตฺถ น นบิ าตมอี รรถวา่ ตรงกันข้าม เชน่ น กุสลา อกุสลา แปลวา่ อ.กศุ ล ท. ไมใ่ ช่ ชือ่ ว่า อกุสล (ธรรมอันตรงกนั ข้ามกับกุศล, อกศุ ลธรรม) มบี าลวี ่า “กุสลปฏิปกฺขาติ อตฺโถ แปลว่า อ.อรรถว่า ธรรมอนั เปน็ ปฏปิ กั ษ์ ต่อกศุ ล หรือธรรมอนั ตรงกนั ขา้ มกับกุศล ในตวั อย่างน้ี บทวา่ “อกสุ ลา” ไม่ใชก่ ศุ ล หรอื ตรงกันขา้ มกับกศุ ล ฉะนน้ั นนิบาตในบทว่า “อกสุ ลา” นี้ จึงมอี รรถ “วิรทุ ธฺ ” แปลว่า ตรงกันขา้ ม, ปฏปิ กั ษ์ (๔) ปสชฺชปปฺ ฏเิ สธ น นิบาตมอี รรถกลา่ วปฏิเสธกิริยา เช่น น กตวฺ า อกตวฺ า แปลว่า กระทำ� แล้ว หามิได้ ช่อื วา่ อกตวฺ า (ไมก่ ระท�ำแลว้ ), น อุปวาโท อนปู วาโท แปลวา่ อ.การว่าร้าย หามิได้ ช่ือว่าอนูปวาท (การไม่ว่าร้าย) ในตัวอย่างนี้ บทว่า “อกตฺวา” ไม่กระทำ� แล้ว นนิบาต ท�ำหน้าที่ปฏิเสธกิริยา คือ กตฺวา ค�ำว่า กิริยา ในท่ีน้ี หมายรวมถึง กิริยาอาการทั้งหมด ไม่ เฉพาะเจาะจงวา่ ศัพทน์ น้ั จะเปน็ กริ ยิ าศัพท์หรอื ไมก่ ต็ าม ฉะน้นั น นบิ าต ในบทว่า “อนูปวาโท” การไมว่ ่ารา้ ย จงึ จดั เปน็ การปฏิเสธกิรยิ า คือ อุปวาโท การว่าร้าย ด้วยเหมือนกนั ว ิ น มนุสโฺ ส อมนุสโฺ ส (น + มนสุ ฺส) (๑.สทิสตฺถ = อรรถเหมอื น) อ.มนุษย์ ไมใ่ ช่ ชือ่ วา่ อมนุสฺส (ผู้ไม่ใชม่ นษุ ย,์ อมนุษย์, ผเู้ หมือนมนุษย)์ วิ. น สมโณ อสสฺ มโณ (น + สมณ) อ.พระสมณะ ไมใ่ ช่ ช่อื ว่า อสฺสมณ (ผู้ไมใ่ ช่พระสมณะ, ผเู้ หมือนพระสมณะ) ว.ิ น สกํ ิลฏิ ฺ า อสกํ ลิ ิฏฺ า (น + สกํ ลิ ิฏฺ ) (๒.อฺ ตฺถ = อรรถอน่ื ) อ.ธรรมอนั เศรา้ หมอง ท. ไมใ่ ช่ ชอ่ื วา่ อสํกลิ ฏิ ฺ (ธรรมอนั ไมเ่ ศรา้ หมอง, ธรรมอนั อนื่ จากธรรม อันเศร้าหมอง)
215 สมาส วา่ ดว้ ยการยอ่ บทต้ังแต่สองบทข้นึ ไปเขา้ ดว้ ยกัน ว.ิ น ปริยาปนฺนา อปรยิ าปนนฺ า (น + ปริยาปนนฺ ) อ.ธรรม ท. อันนับเน่อื งแลว้ ไมใ่ ช่ ชื่อวา่ อปรยิ าปนฺน (ธรรมอันไม่นบั เนอ่ื ง, ธรรมอันอน่ื จาก ปริยาปันนธรรม) ไดแ้ ก่ โลกตุ ตรจติ ๘, เจตสกิ ๓๖, นพิ พาน ๑ ว.ิ น โลโภ อโลโภ (น + โลภ) (๓.วริ ทุ ธฺ ตถฺ = อรรถตรงกนั ข้าม) อ.ความโลภ ไม่ใช่ ชอ่ื วา่ อโลภ (ความไม่โลภ, อโลภะ, ธรรมอนั ตรงกนั ขา้ มกับโลภะ) วิ. น มิตฺโต อมิตฺโต (น + มิตตฺ ) อ.มิตร ไมใ่ ช่ ชอื่ วา่ อมิตตฺ (ไม่ใช่มติ ร, ผูต้ รงกนั ข้ามกบั มิตร, ศตั ร)ู วิ. น กาตนุ อกาตนุ (น + กาตุน) (๔.ปสชฺชปฏิเสธ = ปฏเิ สธกิริยา) กระท�ำแลว้ ไม่ใช่ ชอื่ ว่า อกาตุน (ไม่กระท�ำแล้ว) วิ. น กโรนฺโต อกโรนโฺ ต (น + กโรนฺต) กระทำ� อยู่ ไมใ่ ช่ ชอื่ วา่ อกโรนตฺ (ไมก่ ระท�ำอย,ู่ เมื่อไม่กระท�ำ) ว.ิ น อสโฺ ส อนสโฺ ส (น + อสสฺ ) อ.ม้า ไม่ใช่ ช่อื ว่า อนสสฺ (ไมใ่ ชม่ ้า, เหมอื นม้า) วิ. น อิสสฺ โร อนสิ ฺสโร (น + อิสสฺ ร) อ.ผเู้ ปน็ ใหญ่ ไม่ใช่ ช่ือว่า อนิสสฺ ร (ไมใ่ ช่ผเู้ ป็นใหญ)่ วิ. น อฏิ ฺโ อนฏิ ฺโ (น + อิฏฺ) อ.ส่งิ ทน่ี า่ ปรารถนา ไม่ใช่ ช่อื ว่า อนิฏฺ (สง่ิ ทไี่ ม่น่าปรารถนา, อนิฏฐารมณ)์ วิ. น อุปวาโท อนูปวาโท (น + อปุ วาท) อ.การว่ารา้ ย ไม่ใช่ ชื่อว่า อนปู วาท (การไมว่ ่ารา้ ย) วิ. น อาทาย อนาทาย (น + อาทาย) ถือเอาแล้ว ไมใ่ ช่ ชือ่ วา่ อนาทาย (ไม่ถอื เอาแลว้ ) ว.ิ น โอโลเกตวฺ า อโนโลเกตวฺ า (น + โอโลเกตฺวา) แลดแู ลว้ ไมใ่ ช่ ช่อื ว่า อโนโลเกตฺวา (ไมแ่ ลดแู ลว้ ) ๘. กปุ พุ ฺพปท กมฺมธารยสมาส กปุ ุพฺพปท คอื กัมมธารยสมาสทีม่ ี กุ นบิ าต (นา่ รงั เกยี จ) เปน็ บทหนา้ เชน่ กุจฺฉติ า ทิฏฺ ิ กุทิฏฺิ อ.ความเห็น อนั น่ารังเกียจ ช่ือว่า กุทิฏฺ ิ (ทิฏฐิอนั นา่ รังเกยี จ, มจิ ฉาทฏิ ิ) มาจาก “กุ + ทฏิ ฺิ” กุนบิ าต แปลว่า “กจุ ฉฺ ติ น่ารังเกยี จ” ว.ิ กจุ ฺฉติ มนนฺ ํ กทนนฺ ํ (กุ + อนฺน) อ.ข้าว อันนา่ เกลียด ชื่อวา่ กทนนฺ (ขา้ วอนั น่าเกลียด)
216 ไวยากรณบ์ าลีเบอื้ งต้น ว.ิ กจุ ฉฺ ิตมสนํ กทสนํ (กุ + อสน) (เพราะสระหลงั แปลง กุ เปน็ กทฺ) อ.อาหาร อนั นา่ เกลียด ชือ่ วา่ กทสน (อาหารอนั นา่ เกลยี ด) วิ. กุจฉฺ ิตา ทารา กทุ ารา (กุ + ทาร) อ.ภรรยา ท. ผู้นา่ เกลียด ชือ่ วา่ กุทาร (ภรรยาผู้นา่ เกลียด, ภรรยาไม่ด)ี ว.ิ กุจฉฺ ติ า ปุตฺตา กปุ ตุ ฺตา (กุ + ปตุ ตฺ ) อ.บุตร ท. ผูน้ า่ เกลียด ชือ่ ว่า กปุ ตุ ตฺ (บุตรผนู้ ่าเกลียด, บตุ รไม่ด)ี ว.ิ กุจฉฺ ิตา ทาสา กทุ าสา (กุ + ทาส) อ.ทาส ท. ผูน้ า่ เกลยี ด ช่อื ว่า กทุ าส (ทาสผู้นา่ เกลยี ด, ทาสไม่ด)ี วิ. กจุ ฺฉติ า ทฏิ ฺิ กทุ ฏิ ฺิ (กุ + ทิฏฺ ิ) อ.ทิฏฐฺ ิ อันนา่ เกลียด ชือ่ ว่า กทุ ิฏฺ ิ (ความเห็นอันน่าเกลยี ด, มจิ ฉาทิฏฐ)ิ วิ. อปฺปกํ ลวณํ กาลวณํ (กุ + ลวณ) (แปลง กุ เปน็ กา) อ.เกลอื อันน้อย ชือ่ วา่ กาลวณ (เกลือน้อย) วิ. อปปฺ กํ ปุปฺผํ กาปปุ ผฺ ํ (กุ + ปปุ ผฺ ) อ.ดอกไม้ น้อย ชอ่ื วา่ กาปุปผฺ (ดอกไม้นอ้ ย) ว.ิ กุจฉฺ โิ ต ปรุ โิ ส กาปุรโิ ส, กปุ รุ ิโส วา (กุ + ปุริส) อ.บุรุษ ผู้นา่ เกลียด ช่อื ว่า กาปุริส, เปน็ กปุ รุ สิ บา้ ง (บรุ ุษผูน้ า่ เกลียด) ๙. ปาทปิ ุพพฺ ปท กมฺมธารยสมาส ปาทปิ พุ พฺ ปท คือ กัมมธารยสมาสท่ีมี ป อุปสัคเป็นต้นเป็นบทหน้า เช่น ปธานํ วจนํ ปาวจนํ อ.คำ� พูด อันเปน็ ประธาน ชอ่ื ว่า ปาวจน (ปาพจน์,พระพุทธพจน์) มาจาก “ป + วจน”, หรอื วิวธิ า มติ วมิ ติ อ.ความรู้ อันมีอยา่ งต่างๆ ช่ือว่า วิมติ (ความรู้อันมอี ย่างต่างๆ, ความสงสยั ) มาจาก “วิ + มต”ิ ข้อสังเกต : ในปาทิบุพพบทกัมมธารยสมาสน้ี มีลักษณะเหมือนกับอัพยยีภาวสมาส ตรงที่มีอปุ สัคเปน็ บทหน้า แต่ในกัมมธารยสมาส อุปสัคท�ำหนา้ ทเ่ี ป็นวเิ สสนะ ว.ิ ปธานํ วจนํ ปาวจนํ (ป + วจน) อ.คำ� พูด อันเปน็ ประธาน ชื่อวา่ ปาวจน (คำ� พดู อนั เป็นประธาน, ปาพจน์, พระพุทธพจน)์ วิ. ภุสํ วทธฺ ํ ปวทฺธํ, สรีรํ (ป + วทธฺ ) อ.ร่างกาย อันใหญ่โต ยง่ิ ชือ่ ว่า ปวทฺธ (ใหญ่โตย่ิง) วิ. สมํ สมฺมา วา อาธานํ สมาธานํ (สํ + อาธาน) อ.การตงั้ อนั เสมอ หรือดว้ ยดี ชอื่ วา่ สมาธาน (การตง้ั ไว้เสมอหรอื การตงั้ ไว้ด้วยด)ี วิ. ววิ ธิ า มติ วมิ ติ (วิ + มติ) อ.ความรู้ อนั มอี ย่างตา่ งๆ ชื่อว่า วมิ ติ (ความรู้อันมอี ย่างต่างๆ, ความสงสัย)
217 สมาส ว่าด้วยการยอ่ บทตง้ั แต่สองบทข้นึ ไปเข้าดว้ ยกนั ว.ิ ววิ โิ ธ กปโฺ ป วกิ ปฺโป (วิ + กปฺป) อ.การท�ำ อนั มีอย่างตา่ งๆ ชื่อว่า วิกปฺป (การท�ำหลายอยา่ ง) วิ. วิสิฏโฺ กปโฺ ป วกิ ปโฺ ป (วิ + กปฺป) อ.การทำ� อันพิเศษ ชอ่ื ว่า วกิ ปฺป (การทำ� พเิ ศษ) ว.ิ อธิโก เทโว อติเทโว (อติ + เทว) อ.เทวดา ผู้ยงิ่ ชือ่ ว่า อติเทว (เทวดาผูย้ งิ่ กวา่ เทวดาองค์อน่ื ) ว.ิ อธิโก เทโว อธเิ ทโว (อธิ + เทว) อ.เทวดา ผู้ยง่ิ ชอ่ื ว่า อธเิ ทว (เทวดาผู้ยงิ่ กวา่ เทวดาองค์อ่นื ) ว.ิ อธกิ ํ สลี ํ อธสิ ลี ํ (อธิ + สลี ) อ.ศลี อนั ยิง่ ชอ่ื วา่ อธิสีล (ศลี อันยิ่ง, อธิศลี ) วิ. สุนทฺ โร คนโฺ ธ สคุ นโฺ ธ (สุ + คนฺธ) อ.กลิน่ อันดี ชื่อว่า สุคนธฺ (กลนิ่ ดี, กล่ินหอม) วิ. กุจฺฉิโต คนฺโธ ทคุ คฺ นฺโธ (ทุ + คนธฺ ) อ.กลนิ่ อันน่าเกลียด ช่อื วา่ ทุคฺคนฺธ (กล่ินอันน่าเกลียด, กล่นิ เหมน็ ) วิ. โสภนํ กตํ สุกตํ (สุ + กต) อ.กรรมอนั บคุ คลกระทำ� แล้ว อันงาม ชอื่ ว่า สุกต (กรรมที่บุคคลทำ� ดี, บุญ) ว.ิ อโสภนํ กตํ ทุกฺกฏํ (ทุ + กต) อ.กรรมอันบุคคลกระท�ำแล้ว อนั ไมง่ าม ชื่อวา่ ทุกกฺ ฏ (กรรมทบี่ ุคคลทำ� ช่วั , บาป) ๖.๓ ทิคุสมาส ทคิ สุ มาส คอื กมั มธารยสมาสทมี่ ปี กตสิ งั ขยาเปน็ บทหนา้ มวี เิ คราะหว์ า่ “เทวฺ คาโว ทคิ ”ุ ววั ทงั้ หลาย สอง ช่ือว่า ทิคุสมาสทม่ี ลี กั ษณะเหมือน ทิคุ ศัพท์ ชือ่ ว่าทคิ สุ มาส ๑. สมาหารทคิ ุสมาส สมาหารทคิ สุ มาส คอื ทคิ สุ มาสทม่ี อี รรถรวบรวม รปู สำ� เรจ็ จะเปน็ นปงุ สกลงิ ค์ เอกวจนะ เท่าน้ัน เช่น ตโย โลกา ติโลกํ อ.โลก ท. สาม ช่อื วา่ ติโลก (โลกทง้ั สาม) มาจาก “ติ + โลก” วิ. ตโย โลกา ตโิ ลกํ (ติ + โลก) อ.โลก ท. สาม ชอ่ื ว่า ตโิ ลก (โลกสาม) วิ. ตโย ทณฺฑา ตทิ ณฺฑํ (ติ + ทณฺฑ) อ.ทอ่ นไม้ ท. สาม ช่อื วา่ ติทณฺฑ (ทอ่ นไม้ ๓ ท่อน) วิ. ตณี ิ มลานิ สมาหฏานิ, ติณฺณํ มลานํ สมาหาโรติ วา ติมลํ (ติ + มล) อ.มลทนิ ท. สาม ถกู รวบรวมแลว้ , หรอื อ.การรวบรวม ซงึ่ มลทนิ ท. สาม ชอ่ื วา่ ตมิ ล (มลทนิ ๓)
218 ไวยากรณบ์ าลเี บอ้ื งต้น วิ. ตณี ิ ลกขฺ ณานิ สมาหฏานตี ิ ติลกฺขณํ (ติ + ลกฺขณ) อ.ลักษณะ ท. สาม ถูกรวบรวมแลว้ เพราะเหตนุ ้นั ชอ่ื ว่า ติลกฺขณ (ไตรลักษณ)์ วิ. ติณณฺ ํ ลกฺขณานํ สมาหาโรติ ตลิ กขฺ ณํ (ติ + ลกฺขณ) อ.การรวบรวม ซง่ึ ลักษณะ ท. สาม เพราะเหตุน้นั ชอื่ วา่ ติลกขฺ ณ (ไตรลักษณ์) วิ. จตตฺ าริ สจฺจานิ สมาหฏานตี ิ จตุสฺสจฺจํ (จตุ + สจจฺ ) อ.สัจจะ ท. ส่ี ถูกรวบรวมแลว้ เพราะเหตุนั้น ชือ่ ว่า จตุสฺสจจฺ (อรยิ สจั จ์ ๔) วิ. จตุนฺนํ สจจฺ านํ สมาหาโรติ จตุสสฺ จจฺ ํ (จตุ + สจฺจ) อ.การรวบรวม ซงึ่ สัจจะ ท. ส่ี เพราะเหตุน้ัน ชือ่ ว่า จตสุ ฺสจฺจ (อริยสจั จ์ ๔) ว.ิ จตสฺโส ทิสา จตทุ ทฺ ิสํ (จตุ + ทสิ า) (รสั สะ อา ท่ี ทสิ า เปน็ อ) อ.ทิศ ท. สี่ ช่อื ว่า จตุททฺ สิ (ทิศท้ัง ๔) ว.ิ ปญฺจ สิกขฺ าปทานิ ปญฺจสกิ ขฺ าปทํ (ปญจฺ + สกิ ฺขาปท) อ.สกิ ขาบท ท. หา้ ช่อื วา่ ปญฺจสกิ ฺขาปท (สกิ ขาบท ๕ ขอ้ , ศลี ๕) วิ. ฉ อายตนานิ สฬายตนํ (ฉ + อายตน) (แปลง ฉ เปน็ ส, ลง ลฺ อาคม) อ.อายตนะ ท. หก ช่ือวา่ สฬายตน (อายตนะ ๖) วิ. สตตฺ อหา สตฺตาหํ (สตตฺ + อห) อ.วนั ท. เจ็ด ช่อื วา่ สตตฺ าห ( ๗ วัน, หน่ึงสปั ดาห์) ว.ิ อฏฺ สีลานิ อฏฺ สลี ํ (อฏฺ + สีล) อ.ศีล ท. แปด ชือ่ ว่า อฏฺสีล (ศีล ๘, อโุ บสถศลี ) ว.ิ นว โลกุตตฺ รา นวโลกุตฺตรํ (นว + โลกตุ ฺตร) อ.โลกตุ ตรธรรม ท. เกา้ ชื่อวา่ นวโลกตุ ฺตร (โลกุตตรธรรม ๙) ว.ิ ทส สลี านิ ทสสีลํ (ทส + สลี ) อ.ศลี ท. สบิ ชอ่ื ว่า ทสสีล (ศีล ๑๐) วิ. สตานิ โยชนานิ สตโยชนํ (สต + โยชน) อ.โยชน์ ท. หน่ึงร้อย ช่ือว่า สตโยชน (ร้อยโยชน)์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร) วิ. เทฺว รตฺตโิ ย ทวฺ ริ ตตฺ ํ (ทวฺ ิ + รตตฺ ิ) (แปลง อิ ของ รตตฺ ิ ศพั ท์ เปน็ อ) อ.ราตรี ท. สอง ชอื่ วา่ ทวฺ ริ ตตฺ (๒ ราตร,ี ๒ คนื ) ว.ิ เทฺว องฺคลุ โิ ย ทวฺ งคฺ ุลํ (ทวฺ ิ + องฺคุลิ) (เพราะสระหลัง ลบสระหนา้ , แปลง อิ เป็น อ) อ.น้ิว ท. สอง ชอื่ ทฺวงฺคุล (๒ องคุลี, ๒ น้วิ )
219 สมาส วา่ ดว้ ยการย่อบทตัง้ แต่สองบทข้ึนไปเข้าดว้ ยกนั ๒. อสมาหารทคิ ุสมาส อสมาหารทิคุสมาส คือ ทิคุสมาสท่มี ีอรรถไม่รวบรวม รูปสำ� เร็จจะเปน็ ไปตามลิงค์ของ บทหลัง และจะเป็นเอกวจนะหรอื เป็นพหวุ จนะกไ็ ด้ เช่น เอโก จ โส ปุคคฺ โล จาติ เอกปคุ คฺ โล อ.ผู้เดียวด้วย อ.ผู้เดียวน้ัน เป็นบุคคลด้วย เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า เอกปุคฺคล (บุคคลผู้เดียว) มาจาก “เอก + ปคุ ฺคล”, ตโย ภวา ติภวา อ.ภพ ท. สาม ชื่อวา่ ติภว (ภพสาม) มาจาก “ติ + ภว” ว.ิ เอโก จ โส ธมโฺ ม จาติ เอกธมฺโม (เอก + ธมมฺ ) อ.หน่ึงด้วย อ.หนงึ่ นั้น เปน็ ธรรมด้วย เพราะเหตุนนั้ ชื่อว่า เอกธมฺม (ธรรมอย่างหนง่ึ ) ว.ิ เอโก จ โส ปตุ โฺ ต จาติ เอกปุตโฺ ต (เอก + ปุตฺต) อ.หนึ่งดว้ ย อ.หนงึ่ นัน้ เป็นบุตรด้วย เพราะเหตนุ น้ั ชื่อว่า เอกปตุ ฺต (บตุ รหนึ่งคน) ว.ิ จตสฺโส ทสิ า จตทุ ทฺ ิสา (จตุ + ทิสา) อ.ทศิ ท. ส่ี ช่ือวา่ จตทุ ทฺ สิ า (ทศิ ๔ ทิศ) วิ. ทสสหสฺสานิ จกกฺ วาฬานิ ทสสหสฺสจกกฺ วาฬานิ (ทสสหสฺส + จกฺกวาฬ) อ.จักรวาล ท. หน่งึ หมืน่ ชอ่ื ว่า ทสสหสสฺ จกกฺ วาฬ (หมนื่ จกั รวาล) ๖.๔ ตัปปรุ สิ สมาส ตปปฺ รุ สิ สมาส คอื สมาสทม่ี บี ทหลงั เปน็ ประธาน มวี เิ คราะหว์ า่ “ตสสฺ ปรุ โิ ส ตปปฺ รุ โิ ส” บรุ ษุ ของพระราชานน้ั ชอื่ วา่ ตปปฺ รุ สิ “ตปปฺ รุ โิ ส วยิ าติ ตปปฺ รุ โิ ส” สมาสทม่ี บี ทหลงั เปน็ ประธาน เหมือน “ตปฺปรุ สิ ”นน้ั ชอื่ วา่ ตปั ปรุ สิ สมาส ตปั ปุริสสมาสน้ี มี ๘ ประการ ตามอรรถของวิภัตติ มที ตุ ยิ าวภิ ตั ตเิ ปน็ ตน้ ๑. ทุติยาตปฺปรุ ิสสมาส ทตุ ยิ าตปปฺ รุ สิ คอื ตปั ปรุ สิ สมาสทมี่ บี ทหนา้ ประกอบดว้ ยทตุ ยิ าวภิ ตั ติ เชน่ ธมมฺ ํ นสิ สฺ โิ ต ธมมฺ นสิ สฺ ิโต อาศัยแล้ว ซ่ึงธรรม ช่ือวา่ ธมฺมนิสสฺ ิต (ผอู้ าศยั ธรรม) มาจาก “ธมมฺ + นิสสฺ ิต” ทุติยาตัปปุริสสมาส ท�ำสมาสกับศัพท์หลังมี คต-ไปแล้ว,ถึงแล้ว, นิสฺสิต-อาศัยแล้ว, อตีต-ลว่ งไปแลว้ , อติกกฺ นฺต-กา้ วลว่ งแล้ว, ปตตฺ -ถึงแลว้ ,บรรลุแล้ว, อาปนฺน-เข้าแลว้ , ถงึ แลว้ , ตอ้ งแล้ว เป็นต้น วิ. สรณํ คโต สรณคโต (สรณ + คต) ผู้ถึงแล้ว ซง่ึ สรณะ ชื่อว่า สรณคต (ผูถ้ ึงสรณะ) วิ. อรญฺ ํ คโต อรฺคโต (อรฺ + คต) ไปแลว้ สูป่ ่า ช่ือวา่ อรฺ คต (ผไู้ ปแล้วสู่ปา่ , ผู้ไปปา่ )
220 ไวยากรณ์บาลีเบอ้ื งตน้ ว.ิ ภูมึ คโต ภูมิคโต (ภูมิ + คต) ไปแล้ว สู่แผน่ ดนิ ชอ่ื วา่ ภมู ิคต (ผไู้ ปแล้วสู่แผ่นดิน,ผูไ้ ปสแู่ ผ่นดนิ ) วิ. ธมฺมํ นสิ ฺสิโต ธมฺมนิสฺสโิ ต (ธมฺม + นิสสฺ ิต) อาศัยแลว้ ซงึ่ ธรรม ชอ่ื ว่า ธมมฺ นสิ สฺ ิต (ผู้อาศัยแลว้ ซึง่ ธรรม, ผูอ้ าศัยธรรม, ผู้อาศัยเหต)ุ ว.ิ อตฺถํ นสิ ฺสิโต อตฺถนสิ ฺสิโต (อตฺถ + นิสสฺ ิต) อาศยั แล้ว ซงึ่ อรรถ ชอื่ ว่า อตถฺ นสิ สฺ ติ (ผู้อาศัยแล้วซึง่ อรรถ, ผ้อู าศยั อรรถ, ผู้อาศยั ผล) ว.ิ กาลํ อตโี ต กาลาตีโต (กาล + อตีต) ลว่ งแลว้ ซ่งึ กาล ชื่อวา่ กาลาตีต (ผลู้ ว่ งแล้วซึง่ กาลเวลา, ผู้ลว่ งกาลเวลา) วิ. ปมาณํ อตกิ ฺกนตฺ ํ ปมาณาตกิ ฺกนฺตํ (ปมาณ + อติกกฺ นฺต) ลว่ งเลยแลว้ ซึ่งประมาณ ชอื่ วา่ ปมาณาติกกฺ นฺต (ผลู้ ่วงแล้วซึง่ ประมาณ, ผูล้ ่วงเลยประมาณ) วิ. สขุ ํ ปตโฺ ต สุขปปฺ ตโฺ ต (สุข + ปตตฺ ) (ปฺ สทสิ เทวภาวะ) ถึงแลว้ ซึง่ ความสขุ ช่ือวา่ สขุ ปฺปตฺต (ผู้ถึงแล้วซง่ึ ความสุข, ผปู้ ระสบความสุข) วิ. ทุกฺขํ ปตโฺ ต ทุกขฺ ปฺปตฺโต (ทุกฺข + ปตตฺ ) ถงึ แลว้ ซ่ึงความทกุ ข์ ช่ือวา่ ทุกขฺ ปฺปตตฺ (ผู้ถึงแลว้ ซ่งึ ความทุกข,์ ผปู้ ระสบความทกุ ข)์ ว.ิ โสตํ อาปนฺโน โสตาปนโฺ น (โสต + อาปนฺน) ถงึ แลว้ ซง่ึ กระแส(คอื อรยิ มรรค) ชอ่ื วา่ โสตาปนนฺ (ผถู้ งึ แลว้ ซง่ึ กระแส, ผถู้ งึ กระแส, พระโสดาบนั ) ว.ิ นโิ รธํ สมาปนโฺ น นิโรธสมาปนฺโน (นิโรธ + สมาปนฺน) เข้าถงึ แลว้ ซ่ึงนิโรธ ชื่อวา่ นโิ รธสมาปนนฺ (ผู้เขา้ ถึงแล้วซ่ึงนิโรธ, ผู้เข้านิโรธสมาบตั ิ) วิ. รถํ อารฬู โฺ ห รถารฬู โฺ ห (รถ + อารูฬฺห) ขึ้นแลว้ สรู่ ถ ช่ือว่า รถารูฬหฺ (ผ้ขู น้ึ แล้วสู่รถ, ผูข้ ึ้นสู่รถ) ว.ิ สพพฺ รตตฺ ึ โสภโน สพฺพรตตฺ ิโสภโน (สพฺพรตฺติ + โสภน) อ.ผูง้ าม ตลอดราตรที ง้ั ปวง ชอ่ื ว่า สพฺพรตฺตโิ สภน (ผ้งู ามตลอดราตรที ั้งปวง) วิ. มุหุตตฺ ํ สุขํ มุหตุ ตฺ สขุ ํ (มุหตุ ตฺ + สุข) อ.ความสุข สน้ิ ชวั่ ครู่หนึง่ ช่ือว่า มหุ ตุ ฺตสขุ (ความสุขช่ัวคร,ู่ ความสุขชั่วขณะ) ว.ิ กมมฺ ํ กโรตีติ กมฺมกาโร (กมฺม + การ) (กติ ันตสมาส) ยอ่ มกระทำ� ซึ่งการงาน เพราะเหตนุ ้ัน ชอ่ื วา่ กมมฺ การ (ผู้กระทำ� ซง่ึ การงาน, ผทู้ �ำงาน) ว.ิ อตถฺ ํ กาเมตตี ิ อตถฺ กาโม (อตถฺ + กาม) ย่อมใคร่ ซึ่งประโยชน์ เพราะเหตนุ ้ัน ชอ่ื วา่ อตฺถกาม (ผู้ใครป่ ระโยชน์) ว.ิ ธมมฺ ํ กาเมตตี ิ ธมฺมกาโม (ธมฺม + กาม) ย่อมใคร่ ซ่งึ ธรรม เพราะเหตุน้นั ชือ่ วา่ ธมฺมกาม (ผู้ใครธ่ รรม) ว.ิ ธมมฺ ํ ธาเรตีติ ธมฺมธโร (ธมมฺ + ธร) ยอ่ มทรงไว้ ซ่ึงธรรม เพราะเหตุนนั้ ชอื่ วา่ ธมฺมธร (ผ้ทู รงธรรม)
221 สมาส วา่ ดว้ ยการยอ่ บทตั้งแต่สองบทข้ึนไปเขา้ ดว้ ยกนั ว.ิ วินยํ ธาเรตีติ วินยธโร (วนิ ย + ธร) ยอ่ มทรงไว้ ซึ่งวนิ ัย เพราะเหตนุ ั้น ชือ่ ว่า วนิ ยธร (ผทู้ รงวนิ ยั ) ว.ิ สจจฺ ํ วทติ ํุ สีลมสสฺ าติ สจฺจวาที (สจฺจ + วาท)ี อ.อันกล่าว ซึ่งความจริง เป็นปกติ ของบุคคลน้ัน มีอยู่ เพราะเหตุน้ัน อ.บุคคลนั้น ชื่อว่า สจจฺ วาที (ผ้มู กี ารกล่าวความจริงเปน็ ปกติ) ๒. ตติยาตปฺปรุ สิ สมาส ตตยิ าตปปฺ รุ ิส คอื ตัปปุรสิ สมาสท่มี บี ทหนา้ ประกอบดว้ ยตติยาวิภตั ติ เช่น พทุ ฺเธน เทสิโต พุทฺธเทสิโต, ธมฺโม อ.พระธรรม อันพระพุทธเจ้า ทรงแสดงแล้ว ชื่อว่า พุทฺธเทสิต (อนั พระพทุ ธเจ้า ทรงแสดงแล้ว) มาจาก “พุทฺธ + เทสติ ” ตติยาตัปปุริสสมาส ท�ำสมาสกับศัพท์หลังมีศัพท์ท่ีมีกิตปัจจัยเป็นท่ีสุด, ปุพฺพ-ก่อน, สทิส-เหมือน, สม-เสมอ, ศัพท์อันมีอรรถว่า วิกล-พร่อง, อูน-หย่อน, กลห-การทะเลาะ, นิปุณ-ละเอียด, มสิ ฺส-ผสม และ สขิล-ออ่ นหวาน เป็นตน้ วิ. พุทฺเธน ภาสิโต พุทธฺ ภาสโิ ต, ธมฺโม (พทุ ฺธ + ภาสิต) อ.ธรรม อนั -อนั พระพทุ ธเจา้ ทรงภาษติ แลว้ ชอ่ื วา่ พทุ ธฺ ภาสติ (อนั พระพทุ ธเจา้ ทรงภาษติ แลว้ ) วิ. สตฺถารา วณฺณิโต สตถฺ ุวณณฺ ิโต, ภิกฺขุ (สตถฺ ุ + วณฺณติ ) อ.ภกิ ษุ ผ-ู้ อนั พระศาสดา ทรงสรรเสรญิ แลว้ ชอ่ื วา่ สตถฺ วุ ณณฺ ติ (ผทู้ พ่ี ระศาสดาทรงสรรเสรญิ แลว้ ) ว.ิ วิญฺญหู ิ ครหโิ ต วญิ ญฺ ุครหิโต, ปุคคฺ โล (วญิ ฺญู + ครหิต) (รสั สะท่ามกลางสมาส) อ.บุคคล ผ้-ู อนั บณั ฑิต ท. ติเตยี นแล้ว ชื่อว่า วญิ ญฺ คุ รหติ (ผ้ถู กู บณั ฑิตตเิ ตยี น) ว.ิ วญิ ญฺ ูหิ ปสตโฺ ถ วญิ ฺญปุ ปฺ สตโฺ ถ, ปุคฺคโล (วญิ ฺญู + ปสตถฺ ) อ.บคุ คล ผ-ู้ อันบณั ฑติ ท. สรรเสรญิ แล้ว ชอ่ื ว่า วิญญฺ ุปปฺ สตฺถ (ผู้ท่บี ัณฑิตสรรเสรญิ ) วิ. อิสฺสเรน กตํ อสิ สฺ รกต,ํ กมมฺ ํ (อิสสฺ ร + กต) อ.กรรม อัน- อันบุคคลผูเ้ ป็นใหญ่ กระท�ำแลว้ ช่อื วา่ อสิ ฺสรกต (กรรมอันผเู้ ป็นใหญ่กระทำ� ) ว.ิ สยํ กตํ สยํกต,ํ กมฺมํ (สยํ + กต) อ.กรรม อัน- อันบคุ คล กระท�ำแล้ว ดว้ ยตนเอง ชอ่ื วา่ สยกํ ต (กรรมทีก่ ระท�ำด้วยตนเอง) ว.ิ สเุ กหิ อาหฏํ สกุ าหฏ,ํ ธญฺํ (สกุ + อาหฏ) อ.ข้าวเปลอื ก อัน- อนั นกแกว้ ท. นำ� มาแลว้ ชื่อวา่ สกุ าหฏ (ขา้ วเปลือกที่ถกู นกแก้วน�ำมา) ว.ิ รฺ า หโต ราชหโต, ปรุ โิ ส (ราช + หต) อ.บุรุษ ผู-้ อันพระราชา ทรงเบยี ดเบียนแลว้ ช่อื วา่ ราชหต (ผูถ้ กู พระราชาเบียดเบียน) วิ. โรเคน ปีฬโิ ต โรคปฬี โิ ต, ปรุ โิ ส (โรค + ปีฬิต) อ.บุรุษ ผ-ู้ อนั โรค เบียดเบียนแลว้ ชือ่ ว่า โรคปฬี ิต (ผูถ้ ูกโรคเบียดเบยี น)
222 ไวยากรณ์บาลเี บ้อื งต้น ว.ิ อคฺคินา ทฑฺโฒ อคฺคิทฑโฺ ฒ, ปุคคฺ โล (อคคฺ ิ + ทฑฺฒ) อ.บุคคล ผ-ู้ อันไฟ ไหม้แล้ว ช่อื ว่า อคฺคิทฑฒฺ (ผู้ถูกไฟไหม)้ วิ. สปเฺ ปน ทฏฺโ สปฺปทฏโฺ , ปุคฺคโล (สปฺป + ทฏฺ ) อ.บคุ คล ผ-ู้ อนั งู กัดแลว้ ชอื่ ว่า สปปฺ ทฏฺ (ผ้ถู กู งูกัด) ว.ิ สลฺเลน วทิ โฺ ธ สลฺลวิทโฺ ธ, ปุคคฺ โล (สลฺล + วทิ ฺธ) อ.บุคคล ผู้- อันลูกศร แทงแลว้ ช่ือวา่ สลฺลวทิ ธฺ (ผถู้ ูกลูกศรแทง) วิ. อจิ ฉฺ าย อปกโต อิจฺฉาปกโต, ปุคคฺ โล (อจิ ฉฺ า + อปกต) อ.บุคคล ผู้- อันความอยาก ครอบงำ� แล้ว ช่อื วา่ อิจฉฺ าปกต (ผถู้ ูกความอยากครอบงำ� ) ว.ิ สีเลน สมฺปนฺโน สลี สมปฺ นโฺ น, ภกิ ขฺ ุ (สลี + สมฺปนฺน) อ.ภิกษุ ผู้ถึงพรอ้ มแลว้ ดว้ ยศลี ชอ่ื ว่า สีลสมปฺ นฺน (ผถู้ งึ พร้อมดว้ ยศีล) วิ. สเุ ขน สหคตํ สขุ สหคตํ, จติ ฺตํ (สุข + สหคต) อ.จิต อนั เปน็ ไปกับ ด้วยความสุข ช่อื วา่ สุขสหคต (อนั เปน็ ไปกบั ด้วยความสขุ ) ว.ิ าเณน สมฺปยุตฺตํ าณสมปฺ ยุตตฺ ํ, จิตตฺ ํ (าณ + สมปฺ ยุตตฺ ) อ.จติ อันประกอบแล้ว ด้วยญาณ ชื่อวา่ าณสมปฺ ยุตตฺ (อนั ประกอบด้วยญาณ) วิ. มติ เฺ ตน สสํ คโฺ ค มติ ฺตสํสคโฺ ค, ปุคฺคโล (มติ ฺต + สสํ คคฺ ) อ.บุคคล ผ้คู ลกุ คลี กับดว้ ยมิตร ชอื่ วา่ มิตฺตสสํ คคฺ (ผคู้ ลุกคลดี ว้ ยมติ ร) วิ. ปเิ ยหิ วปิ ปฺ โยโค ปิยวปิ ปฺ โยโค (ปิย + วิปฺปโยค) อ.การไมป่ ระกอบ ดว้ ยบคุ คลผเู้ ปน็ ทร่ี กั ท. ชอื่ วา่ ปยิ วปิ ปฺ โยค (พลดั พรากดว้ ยบคุ คลผเู้ ปน็ ทร่ี กั ) ว.ิ ชาติยา ถทฺโธ ชาติตถฺ ทฺโธ, ปุคคฺ โล (ชาติ + ถทธฺ ) อ.บุคคล ผู้กระดา้ ง โดยชาติ ช่ือว่า ชาติตฺถทธฺ (ผู้กระดา้ งโดยชาตกิ �ำเนดิ ) ว.ิ คุเณน หโี น คุณหีโน, ปคุ คฺ โล (คุณ + หนี ) อ.บคุ คล ผเู้ ลว ด้วยคณุ ช่อื วา่ คุณหนี (ผู้เลวด้วยคุณ) วิ. คเุ ณน วฑุ โฺ ฒ คณุ วฑุ โฺ ฒ, ปุคฺคโล (คุณ + วฑุ ฒฺ ) อ.บคุ คล ผู้เจรญิ ดว้ ยคุณ ชอื่ ว่า คุณวุฑฺฒ (ผเู้ จรญิ ด้วยคุณ) ว.ิ จตุวคฺเคน กรณยี ํ จตวุ คฺคกรณีย,ํ กมมฺ ํ (จตวุ คคฺ + กรณยี ) อ.กรรม อนั -อนั สงฆจ์ ตวุ รรค พงึ กระท�ำ ชอื่ วา่ จตวุ คคฺ กรณยี (กรรมทส่ี งฆจ์ ตวุ รรคพงึ กระท�ำ) วิ. จตวุ คฺคาทินา กตฺตพพฺ ํ จตวุ คคฺ าทกิ ตฺตพพฺ ,ํ กมมฺ ํ (จตวุ คคฺ าทิ + กตฺตพฺพ) อ.กรรม อนั -อนั สงฆจ์ ตวุ รรคเปน็ ตน้ พงึ กระทำ� ชอ่ื วา่ จตวุ คคฺ าทกิ ตตฺ พพฺ (กรรมทส่ี งฆ์ จตวุ รรค เปน็ ต้นพงึ กระท�ำ) ว.ิ อเุ รน คจฺฉตีติ อรุ โค (อุร + คมุ คติมฺหิ ในการไป + กฺว)ิ (กิตันตสมาส) ยอ่ มไป ดว้ ยอก เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ อรุ ค (ง)ู (ลบพยญั ชนะทส่ี ดุ ธาตุ = ธาตวฺ นตฺ สสฺ ฯ, ลบ กวฺ ิ ปจั จยั )
223 สมาส วา่ ดว้ ยการยอ่ บทตัง้ แต่สองบทขน้ึ ไปเขา้ ดว้ ยกนั วิ. ปาเทน ปวิ ตตี ิ ปาทโป (ปาท + ปา ปาเน ในการด่ืม + อ) (กติ นั ตสมาส) ยอ่ มดื่ม ด้วยราก เพราะเหตนุ ัน้ ช่อื ว่า ปาทป (ตน้ ไม)้ วิ. มาเสน ปุพฺโพ มาสปพุ โฺ พ (มาส + ปุพพฺ ) อ.ผ้กู อ่ น ดว้ ยเดือน ชือ่ วา่ มาสปพุ ฺพ (ผ้กู อ่ นด้วยเดอื น) ว.ิ มาตยุ า สทิโส มาตสุ ทิโส (มาตุ + สทิส) อ.ผู้เช่นกัน กับด้วยมารดา ชอื่ ว่า มาตุสทสิ (ผเู้ ชน่ กับด้วยมารดา) วิ. ปิตรา สโม ปิตสุ โม (ปติ ุ + สม) อ.ผเู้ สมอ ดว้ ยบิดา ชอ่ื ว่า ปิตสุ ม (ผู้เสมอด้วยบดิ า) วิ. เอเกน อนู วสี ติ เอกนู วีสติ (เอก + อนู วสี ต)ิ อ.ยี่สิบอันหยอ่ น ดว้ ยหนง่ึ ชอ่ื ว่า เอกนู วสี ติ (ยี่สบิ หย่อนหนึง่ , สิบเกา้ ) ว.ิ สเี ลน วิกโล สลี วิกโล (สีล + วกิ ล) อ.ผบู้ กพรอ่ ง ดว้ ยศีล ชอื่ วา่ สีลวิกล (ผ้บู กพร่องดว้ ยศลี ) ว.ิ อสินา กลโห อสิกลโห (อสิ + กลห) อ.ความทะเลาะ เพราะดาบ ช่ือวา่ อสิกลห (ทะเลาะเพราะดาบ) ว.ิ วาจาย นปิ โุ ณ วาจานปิ ุโณ (วาจา + นิปุณ) อ.ผู้นุม่ นวล ด้วยวาจา ชื่อวา่ วาจานปิ ุณ (ผู้น่มุ นวลดว้ ยวาจา) ว.ิ ยาวกาลิเกน สํมิสฺสํ ยาวกาลิกสํมิสสฺ ,ํ โภชนํ (ยาวกาลิก + สํมิสสฺ ) อ.โภชนะ อนั ผสม ดว้ ยยาวกาลกิ วตั ถุ ชอ่ื วา่ ยาวกาลกิ สมํ สิ สฺ (โภชนะทผ่ี สมดว้ ยยาวกาลกิ วตั ถ)ุ วิ. วาจาย สขโิ ล วาจาสขโิ ล (วาจา + สขิล) อ.ผอู้ อ่ นหวาน ดว้ ยวาจา ชอื่ ว่า วาจาสขิล (ผอู้ อ่ นหวานด้วยวาจา) วิ. สตฺถารา กปฺโป สตถฺ กุ ปฺโป (สตถฺ ุ + กปปฺ ) อ.ผูเ้ ช่นกับ ด้วยพระศาสดา ชือ่ วา่ สตฺถุกปฺป (ผ้เู ช่นกับด้วยพระศาสดา) วิ. ปุ เฺ น อตถฺ ิโก ปุ ฺตถฺ โิ ก (ปุ ฺ + อตถฺ กิ ) อ.ผมู้ ีความตอ้ งการ ด้วยบญุ ช่อื ว่า ปุ ฺ ตถฺ กิ (ผมู้ คี วามต้องการดว้ ยบญุ ) วิ. คุเณน อธิโก คณุ าธโิ ก (คุณ + อธิก) อ.ผยู้ ง่ิ ด้วยคุณ ช่อื วา่ คุณาธกิ (ผ้ยู ่งิ ด้วยคณุ ) ว.ิ คเุ ฬน สสํ ฏโฺ โอทโน คโุ ฬทโน (คฬุ + โอทน) (เพราะสระหลงั ลบสระหนา้ ) (มชเฺ ฌโลปสี มาส) อ.ข้าวสกุ อันระคนแล้ว ด้วยน้�ำออ้ ยงบ ชอื่ ว่า คโุ ฬทน (ข้าวสุกระคนด้วยนำ้� อ้อยงบ) วิ. ขเี รน สํสฏโฺ โอทโน ขีโรทโน (ขรี + โอทน) (มชเฺ ฌโลปีสมาส) อ.ข้าวสกุ อันระคนแลว้ ดว้ ยน้�ำนม ชอื่ วา่ ขโี รทน (ขา้ วสกุ ระคนด้วยน้ำ� นม) วิ. อสฺเสน ยุตฺโต รโถ อสสฺ รโถ (อสฺส + รถ) (มชฺเฌโลปสี มาส) อ.รถ อนั ถกู ประกอบแล้ว (อนั เทียมแลว้ ) ด้วยม้า ช่อื วา่ อสฺสรถ (รถเทียมมา้ )
224 ไวยากรณบ์ าลเี บือ้ งตน้ ว.ิ มคฺเคน ยุตตฺ ํ จิตตฺ ํ มคฺคจิตฺตํ (มคฺค + จิตตฺ ) (มชฺเฌโลปสี มาส) อ.จติ อนั ประกอบแล้ว ดว้ ยมรรค ชอ่ื ว่ามคคฺ จติ ฺต (จติ ทีป่ ระกอบดว้ ยมรรค) วิ. ชมพฺ ยุ า ปฺาโต ลกขฺ โิ ต ทโี ป ชมฺพุทีโป (ชมฺพู + ทีป) (รัสสะท่ามกลางสมาส) อ.ทวีป อันถูกจดจ�ำแล้ว ด้วยต้นหว้า ช่ือว่า ชมฺพุทีป (ทวีปท่ีถูกจดจ�ำด้วยต้นหว้า) (มชเฺ ฌโลปสี มาส) วิ. เอเกน อธิกา ทส เอกาทส (เอก + ทส) อ.สิบ ท. อันยง่ิ ด้วยหน่ึง ช่ือวา่ เอกาทส (สบิ อันยิ่งด้วยหนง่ึ , สิบเอด็ ) วิ. ชาตยิ า อนโฺ ธ ชจจฺ นโฺ ธ (ชาติ + อนธฺ ) (แปลง อิ เปน็ ย, ตยฺ เปน็ จ, รสั สะ อา เปน็ อ, ซอ้ น จ)ฺ อ.ผบู้ อด โดยกำ� เนดิ ช่อื ว่า ชจจฺ นฺธ (ผ้บู อดโดยก�ำเนดิ ) ว.ิ ปกตยิ า เมธาวี ปกติเมธาวี, ปุริโส (ปกติ + เมธาวี) อ.บุรุษ ผ้มู ปี ญั ญา โดยปกติ ช่อื ว่า ปกติเมธาวี (ผมู้ ีปัญญาโดยปกติ) ๓. จตุตถฺ ีตปฺปุรสิ สมาส จตุตฺถีตปฺปุริส คือ ตัปปุริสสมาสที่มีบทหน้าประกอบด้วยจตุตถีวิภัตติ เช่น กถินสฺส ทสุ สฺ ํ กถินทุสฺสํ อ.ผา้ เพ่อื กฐิน ช่ือว่า กถนิ ทุสฺส (ผ้าเพือ่ กฐนิ ) มาจาก “กถนิ + ทสุ สฺ ” ว.ิ กถนิ สฺส ทสุ ฺสํ กถินทุสฺสํ (กถิน + ทสุ ฺส) อ.ผ้า เพ่ือกฐนิ ชอ่ื วา่ กถนิ ทุสสฺ (ผ้าเพอ่ื กฐิน) วิ. จวี รสสฺ มลู ฺยํ จีวรมูลยฺ ํ (จีวร + มูลยฺ ) อ.มูลคา่ เพอ่ื จวี ร ชื่อวา่ จีวรมลู ฺย (มูลค่าเพอื่ จวี ร) วิ. ยาคุยา อตถฺ าย ตณฺฑลุ า ยาคตุ ณฺฑุลา (ยาคุ + ตณฑฺ ุล) อ.ข้าวสาร ท. เพอ่ื ประโยชน์ แก่ข้าวตม้ ชอื่ วา่ ยาคตุ ณฑฺ ลุ (ขา้ วสารเพ่อื ข้าวตม้ ) วิ. ภตฺตสสฺ อตฺถาย ตณฺฑุลา ภตฺตตณฑฺ ลุ า (ภตตฺ + ตณฑฺ ลุ ) อ.ข้าวสาร ท. เพือ่ ประโยชน์ แกข่ า้ วสวย ชื่อวา่ ภตตฺ ตณฺฑลุ (ข้าวสารเพ่ือข้าวสวย) วิ. สฆํ สฺสตถฺ าย ภตตฺ ํ สฆํ ภตตฺ ํ (สํฆ + ภตตฺ ) อ.ภัตร เพ่อื ประโยชน์ แกพ่ ระสงฆ์ ชอ่ื ว่า สฆํ ภตตฺ (ภัตรเพอื่ ประโยชนแ์ ก่พระสงฆ์, สงั ฆภตั ร) วิ. อาคนตฺ ุกานมตถฺ าย ภตฺตํ อาคนฺตกุ ภตฺตํ (อาคนตฺ ุก + ภตฺต) อ.ภัตร เพื่อประโยชน์ แก่ภิกษุผู้จรมา ท. ช่ือว่า อาคนฺตุกภตฺต (ภัตรเพ่ือภิกษุผู้จรมา, อาคนั ตกุ ภัตร) วิ. ปาสาทาย ทพฺพํ ปาสาททพฺพํ (ปาสาท + ทพพฺ ) อ.ทพั พสัมภาระ เพื่อปราสาท ช่อื ว่า ปาสาททพฺพ (ทพั พสัมภาระเพือ่ ปราสาท)
225 สมาส วา่ ดว้ ยการยอ่ บทต้งั แตส่ องบทข้นึ ไปเข้าดว้ ยกนั วิ. ยสฺสตถฺ าย ยทตโฺ ถ (ย + อตถฺ ) (ทฺ อาคม) เพ่อื ประโยชน์ แก่สิง่ ใด ช่ือวา่ ยทตฺถ (เพือ่ ประโยชนแ์ ก่สิ่งใด) วิ. ยสสฺ ตฺถาย ยทตถฺ า (ยา + อตฺถา) (รสั สะ อา ของ ยา เปน็ อ, ทฺ อาคม) เพอื่ ประโยชน์ แก่สง่ิ ใด ชอ่ื ว่า ยทตฺถา (เพ่ือประโยชนแ์ ก่สง่ิ ใด) ว.ิ ยสฺสตฺถาย ยทตฺถํ (ย + อตถฺ ) (ทฺ อาคม) เพื่อประโยชน์ แก่สิ่งใด ชอ่ื วา่ ยทตถฺ (เพื่อประโยชนแ์ กส่ ง่ิ ใด) วิ. ตสฺสตฺถาย ตทตฺโถ, ตทตถฺ า, ตทตฺถํ (ต + อตถฺ ) (ทฺ อาคม ) เพื่อประโยชน์ แกส่ ิ่งน้นั ชือ่ วา่ ตทตฺถ (เพื่อประโยชน์แกส่ งิ่ น้ัน) วิ. กิสสฺ ตฺถาย กมิ ตฺถํ (กึ + อตถฺ ) (แปลงนคิ หิตเปน็ มฺ) เพอ่ื ประโยชน์ แกอ่ ะไร ช่ือว่า กมิ ตถฺ (เพอื่ ประโยชน์อะไร) วิ. อตฺตโน อตฺถาย อตฺตตถฺ ํ, อตฺตทตฺถํ (อตฺต + อตฺถ) (ทฺ อาคม) เพ่ือประโยชน์ แก่ตน ชอ่ื ว่า อตตฺ ตฺถ, อตตฺ ทตฺถ (เพ่อื ประโยชนต์ น) ว.ิ ปรสสฺ ตถฺ าย ปรตฺถํ (ปร + อตถฺ ) เพ่อื ประโยชน์ แกบ่ ุคคลอ่ืน ช่ือว่า ปรตถฺ (เพ่ือประโยชน์แกบ่ ุคคลอืน่ ) วิ. สวํ รสฺส อตฺถาย (วนิ โย) สวํ รตฺโถ (สวํ ร + อตฺถ) อ.วนิ ัย เพือ่ ประโยชน์ แก่การส�ำรวม ช่อื วา่ สวํ รตถฺ (เพ่ือประโยชน์แก่การส�ำรวม) ว.ิ สมาธิโน อตถฺ าย (สขุ )ํ สมาธตถฺ ํ (สมาธิ + อตถฺ ) อ.ความสุข เพอ่ื ประโยชน์ แก่สมาธิ ชอ่ื ว่า สมาธตฺถ (เพอื่ ประโยชนแ์ กส่ มาธิ) วิ. วริ าคสฺส อตฺถาย (นพิ พฺ ทิ า) วิราคตถฺ า (วริ าค + อตถฺ ) อ.ความเบือ่ หนา่ ย เพือ่ ประโชน์ แก่การคลายความกำ� หนัด ชอ่ื วา่ วริ าคตถฺ (เพื่อประโยชน์ แก่การคลายก�ำหนดั ) ว.ิ วิมุตตฺ ยิ า อตถฺ าย (วิราโค) วมิ ตุ ฺตตฺโถ (วมิ ุตตฺ ิ + อตถฺ ) อ.การคลายความก�ำหนัด เพ่ือประโยชน์ แก่การหลุดพ้น ชื่อว่า วิมุตฺตตฺถ (เพ่ือประโยชน์ แกค่ วามหลดุ พน้ ) ว.ิ โลกสสฺ หโิ ต โลกหโิ ต (โลก + หติ ) อ.อันเป็นประโยชนเ์ กือ้ กลู แก่ชาวโลก ช่ือว่า โลกหติ (อนั เป็นประโยชน์เกอื้ กูลแก่ชาวโลก) ว.ิ พทุ ธฺ สสฺ เทยฺยํ พุทฺธเทยฺย,ํ ปุปฺผํ (พุทฺธ + เทยฺย) อ.ดอกไม้ อันบุคคลพึงถวาย แก่พระพุทธเจ้า ชื่อว่า พุทฺธเทยฺย (อันบุคคลพึงถวาย แก่พระพทุ ธเจา้ )
226 ไวยากรณบ์ าลเี บ้ืองต้น ๔. ปญฺจมีตปฺปุริสสมาส ปญจฺ มตี ปปฺ รุ สิ คอื ตปั ปรุ สิ สมาสทม่ี บี ทหนา้ ประกอบดว้ ยปญั จมวี ภิ ตั ติ เชน่ สพพฺ ภเวหิ นสิ สฺ โฏ สพพฺ ภวนสิ สฺ โฏ ผสู้ ลดั ออกแลว้ จากภพทง้ั ปวงทงั้ หลาย ชอ่ื วา่ สพพฺ ภวนสิ สฺ ฏ (ผสู้ ลดั ออก จากภพทง้ั ปวง) มาจาก “สพพฺ ภว + นสิ ฺสฏ” ว.ิ เมถนุ สฺมา อเปโต เมถนุ าเปโต (เมถุน + อเปต) หลกี ออกแลว้ จากเมถนุ ชอื่ วา่ เมถนุ าเปต (หลกี ออกจากเมถุน) วิ. นครสมฺ า นคิ คฺ โต นครนคิ ฺคโต (นคร + นคิ ฺคต) อ.ผอู้ อกไปแล้ว จากเมือง ช่อื ว่า นครนคิ ฺคต (ผู้ออกไปจากเมอื ง) วิ. ปิณฑฺ ปาตสฺมา ปฏกิ กฺ นโฺ ต ปิณฑฺ ปาตปฏิกกฺ นฺโต (ปิณฺฑปาต + ปฏิกกฺ นตฺ ) อ.ผกู้ า้ วกลบั แลว้ จากบิณฑบาต ชื่อว่า ปณิ ฺฑปาตปฏิกฺกนตฺ (ผู้กลับจากบณิ ฑบาต) ว.ิ คามโต นิกฺขนตฺ ํ คามนิกขฺ นตฺ ํ (คาม + นกิ ฺขนตฺ ) ออกไปแล้ว จากหมบู่ ้าน ชื่อว่า คามนกิ ฺขนตฺ (ออกไปจากหมู่บ้าน) ว.ิ รกุ ขฺ คฺคา ปติโต รุกขฺ คคฺ ปติโต (รกุ ฺขคคฺ + ปตติ ) ตกแลว้ จากยอดแห่งต้นไม้ ชอ่ื ว่า รุกฺขคฺคปติต (ผู้ตกจากยอดไม้) ว.ิ สาสนา จโุ ต สาสนจโุ ต (สาสน + จุต) เคล่อื นแล้ว จากศาสนา ชอ่ื ว่า สาสนจุต (ผเู้ คลอื่ นจากศาสนา) วิ. อาปตตฺ ยิ า วุฏฺานํ อาปตตฺ ิวฏุ ฺ านํ (อาปตฺติ + วุฏฺาน) อ.การออก จากอาบตั ิ ชื่อวา่ อาปตตฺ วิ ุฏฺ าน (การออกจากอาบัต)ิ วิ. ธรณิตลสฺมา อคุ ฺคโต ธรณติ ลคุ คฺ โต (ธรณติ ล + อุคฺคต) (ลบสระหนา้ ) พุง่ ขนึ้ แลว้ จากพนื้ แห่งแผน่ ดิน ช่ือว่า ธรณิตลุคคฺ ต (ผพู้ ุ่งขึน้ จากพื้นดนิ ) วิ. สพพฺ ภเวหิ นิสสฺ โฏ สพฺพภวนสิ ฺสโฏ (สพฺพภว + นสิ สฺ ฏ) สลดั ออกแลว้ จากภพทงั้ ปวง ท. ชอ่ื วา่ สพฺพภวนิสฺสฏ (ผสู้ ลดั ออกจากภพท้ังปวง) ว.ิ โจเรหิ ภยํ โจรภยํ (โจร + ภย) อ.ภัย จากโจร ท. ชื่อวา่ โจรภย (ภยั จากโจร, โจรภยั ) วิ. อมนุสเฺ สหิ ภยํ อมนุสสฺ ภยํ (อมนสุ ฺส + ภย) อ.ภัย จากอมนษุ ย์ ท. ช่ือว่า อมนุสสฺ ภย (ภัยจากอมนุษย์) วิ. อคฺคโิ ต ภยํ อคคฺ ิภยํ (อคคฺ ิ + ภย) อ.ภัย จากไฟ ชื่อวา่ อคคฺ ิภย (ภัยจากไฟ, อคั คีภยั ) ว.ิ ปาปโต ภีโต ปาปภโี ต (ปาป + ภตี ) กลัวแล้ว จากบาป ชือ่ ว่า ปาปภตี (ผูก้ ลวั บาป)
227 สมาส ว่าดว้ ยการย่อบทต้ังแต่สองบทขนึ้ ไปเข้าดว้ ยกนั ว.ิ ปาปสฺมา ภรี ุโก ปาปภีรุโก (ปาป + ภรี กุ ) อ.ผกู้ ลวั จากบาป ชอ่ื ว่า ปาปภรี กุ (ผูก้ ลัวบาป) ว.ิ อกตตฺ พพฺ โต วิรติ อกตตฺ พฺพวริ ติ (อกตตฺ พพฺ + วริ ติ) อ.การงดเว้น จากส่ิงที่ไมพ่ งึ กระทำ� ชอื่ วา่ อกตฺตพพฺ วริ ติ (การงดเว้นจากสง่ิ ที่ไมพ่ งึ ท�ำ) ว.ิ กายทจุ ฺจรเิ ตหิ วิรติ กายทุจฺจริตวริ ติ (กายทจุ ฺจรติ + วิรต)ิ อ.การงดเวน้ จากกายทจุ ริต ท. ช่ือว่า กายทจุ จฺ ริตวริ ติ (การงดเวน้ จากกายทุจรติ ) วิ. วจีทุจจฺ รเิ ตหิ วริ ติ วจที จุ ฺจรติ วิรติ (วจีทุจฺจริต + วิรติ) อ.การงดเวน้ จากวจที จุ ริต ท. ช่อื ว่า วจีทุจจฺ ริตวริ ติ (การงดเว้นจากวจที ุจริต) ว.ิ พนธฺ นา มุตโฺ ต พนธฺ นมุตโฺ ต (พนธฺ น + มตุ โฺ ต) พ้นแลว้ จากเครอ่ื งผกู ชอื่ วา่ พนฺธนมตุ ฺต (พ้นจากเครื่องผกู ) วิ. พนฺธนา โมกฺโข พนฺธนโมกโฺ ข (พนฺธน + โมกขฺ ) อ.การพน้ จากเคร่อื งผูก ช่ือว่า พนธฺ นโมกฺข (การพน้ จากเคร่ืองผกู ) วิ. กมฺมโต สมุฏฺิตํ กมฺมสมฏุ ฺิตํ, รูปํ (กมฺม + สมฏุ ฺิต) อ.รปู อนั ต้งั ขึ้นพร้อมแล้ว เพราะกรรม ชอื่ วา่ กมมฺ สมุฏฺ ิต (อนั ต้งั ขนึ้ เพราะกรรม) วิ. อกุ ฺกฏฺ สมฺ า อกุ กฺ ฏฺ ํ อุกฺกฏฺกุ กฺ ฏฺ ํ, จติ ฺตํ (อกุ กฺ ฏฺ + อกุ กฺ ฏฺ) อ.จิต อนั ยง่ิ กวา่ อกุ ฏั ฐจิต ชื่อวา่ อกุ ฺกฏฺกุ ฺกฏฺ (จิตอันย่ิงกวา่ อกุ ัฏฐจิต) วิ. โอมกสฺมา โอมกํ โอมโกมก,ํ จิตฺตํ (โอมก + โอมก) อ.จติ อันตำ่� กว่าโอมกจติ ชอื่ วา่ โอมโกมก (จิตอันตำ่� กว่าโอมกจติ ) ว.ิ กมฺมโต ชาตํ กมมฺ ชํ, รปู ํ (กมฺม + ช) (กิตนั ตสมาส) เกดิ แล้ว เพราะกรรม ช่ือว่า กมฺมช (รูปท่ีเกิดเพราะกรรม) ว.ิ จติ ฺตโต ชาตํ จิตตฺ ชํ, รูปํ (จติ ตฺ + ช) (กติ ันตสมาส) อ.รูป อนั เกิดแลว้ เพราะจติ ช่อื วา่ จิตฺตช (รปู ที่เกิดเพราะจติ , จิตตชรปู ) วิ. อตุ โุ ต ชาตํ อตุ ุช,ํ รปู ํ (อตุ ุ + ช) (กิตันตสมาส) อ.รปู อันเกดิ แลว้ เพราะฤดู ชอ่ื วา่ อตุ ุช (รูปทเี่ กดิ เพราะฤดู, อตุ ชุ รปู ) วิ. อาหารโต ชาตํ อาหารช,ํ รปู ํ (อาหาร + ช) (กิตันตสมาส) อ.รปู อนั เกดิ แลว้ เพราะอาหาร ช่อื ว่า อาหารช (รปู ท่ีเกดิ เพราะอาหาร, อาหารชรูป)
228 ไวยากรณ์บาลเี บ้อื งตน้ ๕. ฉฏฺ ตี ปฺปรุ สิ สมาส ฉฏฺีตปฺปุริส คือ ตัปปุริสสมาสที่มีบทหน้าประกอบด้วยฉัฏฐีวิภัตติ เช่น พุทฺธสฺส สาวโก พทุ ฺธสาวโก อ.สาวก ของพระพทุ ธเจา้ ชอื่ วา่ พทุ ฺธสาวก (สาวกของพระพทุ ธเจ้า) มาจาก “พุทฺธ + สาวก” วิ. รญโฺ ปตุ ฺโต ราชปตุ ฺโต ( ราช + ปุตฺต) อ.พระโอรส ของพระราชา ชอ่ื ว่า ราชปตุ ตฺ (พระราชโอรส) วิ. รฺโ ปุรโิ ส ราชปรุ ิโส (ราช + ปุรสิ ) อ.บุรษุ ของพระราชา ชอื่ วา่ ราชปุริส (ราชบรุ ษุ ) วิ. อาจรยิ สสฺ ปูชโก อาจรยิ ปูชโก (อาจรยิ + ปูชก) (ฉฏั ฐกี รรม) อ.ผู้บชู า ซ่งึ อาจารย์ ชื่อว่า อาจรยิ ปูชก (ผู้บูชาอาจารย์) วิ. พุทธฺ สฺส สาวโก พทุ ฺธสาวโก (พทุ ธฺ + สาวก) อ.สาวก ของพระพุทธเจา้ ชื่อว่า พุทธฺ สาวก (สาวกของพระพทุ ธเจ้า, พุทธสาวก) วิ. พทุ ธฺ สฺส รปู ํ พุทธฺ รูปํ (พทุ ธฺ + รปู ) อ.รปู ของพระพทุ ธเจา้ ชื่อวา่ พุทธฺ รูป (พระพทุ ธรปู ) ว.ิ ชนิ สสฺ วจนํ ชินวจนํ (ชิน + วจน) อ.พระด�ำรสั ของพระชินเจา้ ช่ือว่า ชินวจน (พระชนิ พจน,์ พระพทุ ธพจน์) ว.ิ สมทุ ฺทสฺส โฆโส สมุทฺทโฆโส (สมุททฺ + โฆส) อ.เสียง ของมหาสมทุ ร ช่อื ว่า สมทุ ทฺ โฆส (เสยี งของมหาสมทุ ร) ว.ิ ธฺ านํ ราสิ ธฺ ราสิ (ธฺ + ราสิ) อ.กอง แหง่ ขา้ วเปลือก ท. ช่อื วา่ ธฺ ราสิ (กองขา้ วเปลือก) วิ. ปปุ ผฺ านํ คนฺโธ ปปุ ฺผคนโฺ ธ (ปปุ ผฺ + คนฺธ) อ.กล่ินหอม ของดอกไม้ ท. ช่อื ว่า ปปุ ผฺ คนฺธ (กลน่ิ ดอกไม้) ว.ิ ผลานํ รโส ผลรโส (ผล + รส) อ.รส แหง่ ผลไม้ ท. ชอื่ ว่า ผลรส (รสผลไม้) ว.ิ กายสฺส ลหุตา กายลหุตา (กาย + ลหตุ า) อ.ความเบา แหง่ กาย ชือ่ วา่ กายลหตุ า (ความเบากาย) วิ. มรณสสฺ สติ มรณสฺสติ (มรณ + สติ) (ฉัฏฐกี รรม) อ.ความระลึก ซึง่ ความตาย ช่อื วา่ มรณสสฺ ติ (มรณสต)ิ วิ. รุกขฺ สสฺ มูลํ รุกฺขมูลํ (รกุ ขฺ + มูล) อ.โคน ของต้นไม้ ชื่อวา่ รุกขฺ มูล (โคนต้นไม,้ รากของต้นไม้)
229 สมาส ว่าด้วยการยอ่ บทตั้งแต่สองบทขน้ึ ไปเข้าด้วยกนั ว.ิ เทวานํ ราชา เทวราโช (เทว + ราช) (แปลง อ ทสี่ ดุ สมาส เปน็ อ = กวฺ จิ ธาตฯุ , เปน็ ปรุ สิ าทคิ ณะ) อ.พระราชา แหง่ เทวดา ท. ชื่อว่า เทวราช (พระราชาแหง่ เทวดา, พระอินทร์) วิ. เทวานํ ราชา เทวราชา (เทว + ราช) (ไมต่ อ้ งแปลง อ ทส่ี ดุ สมาส เปน็ อ, เป็นราชาทคิ ณะ) อ.พระราชา แหง่ เทวดา ท. ช่ือว่า เทวราช (พระราชาแห่งเทวดา, พระอินทร)์ วิ. เทวานํ สขา เทวสโข (เทว + สข) อ.เพอ่ื น แห่งเทวดา ท. ชื่อว่า เทวสข (เพือ่ นเทวดา) ว.ิ ปมุ สสฺ ลิงคฺ ํ ปลุ ลฺ งิ ฺคํ (ปุม + ลงิ ฺค) อ.เพศ แหง่ ผชู้ าย ชอ่ื วา่ ปลุ ลฺ ิงฺค (เพศชาย) ว.ิ ปมุ สสฺ ภาโว ปมุ ฺภาโว (ปมุ + ภาว) (ลบสระ อ ทีส่ ดุ ของ ปุมศพั ท)์ อ.ความเปน็ แหง่ ผ้ชู าย ช่อื ว่า ปมุ ภฺ าว (ความเปน็ ชาย) วิ. หตฺถสิ ฺส ปทํ หตฺถปิ ทํ (หตฺถี + ปท) (รสั สะท่ามกลางสมาส) อ.รอยเท้า ของช้าง ช่อื ว่า หตถฺ ปิ ท (รอยเทา้ ช้าง) วิ. อิตฺถิยา รปู ํ อติ ถฺ ริ ปู ํ (อติ ฺถี + รูป) (รัสสะทา่ มกลางสมาส) อ.รูป แหง่ หญงิ ชือ่ ว่า อติ ถฺ ริ ปู (รูปผ้หู ญงิ ) ว.ิ ภกิ ฺขนุ ีนํ สํโฆ ภกิ ฺขนุ สิ ํโฆ (ภิกขฺ นุ ี + สํฆ) (รสั สะท่ามกลางสมาส) อ.หมู่ แห่งนางภกิ ษุณี ท. ชือ่ ว่า ภกิ ขฺ ุนิสฆํ (หมแู่ หง่ ภิกษณุ ี, ภกิ ษณุ สี งฆ)์ วิ. ชมฺพุยา สาขา ชมพฺ ุสาขา (ชมพฺ ู + สาขา) (รสั สะทา่ มกลางสมาส) อ.ก่ิง ท. แห่งต้นหว้า ชือ่ ว่า ชมพฺ ุสาขา (กง่ิ ตน้ หว้า) วิ. สาวกานํ สโํ ฆ สาวกสํโฆ (สาวก + สฆํ ) อ.หมู่ แห่งสาวก ท. ชอ่ื วา่ สาวกสฆํ (หมแู่ ห่งสาวก) ๖. สตฺตมีตปฺปุรสิ สมาส สตฺตมีตปฺปุริส คือ ตัปปุริสสมาสที่มีบทหน้าประกอบด้วยสัตตมีวิภัตติ เช่น จกฺขุมฺหิ นสิ ฺสติ ํ วิฺ าณํ จกขฺ วุ ิ ฺ าณํ อ.วิญญาณ อันอาศัยแลว้ ในจกั ษุ ชือ่ ว่า จกขฺ ุวิฺ าณ (วญิ ญาณ อนั อาศยั ในจกั ษ,ุ จกั ษุวิญญาณ) มาจาก “จกฺขุ + นิสฺสติ + วิญฺ าณ” ว.ิ รูเป สฺา รูปสฺา (รูป + สฺา) อ.ความหมายรู้ ในรูป ช่อื วา่ รปู สฺ า (สญั ญาในรปู ) วิ. รูเป สญฺเจตนา รปู สญเฺ จตนา (รูป + สญเฺ จตนา) อ.ความตง้ั ใจดว้ ยดี ในรปู ชือ่ วา่ รูปสญเฺ จตนา (ความตั้งใจดว้ ยดีในรูป) วิ. สํสาเร ทกุ ฺขํ สสํ ารทุกฺขํ (สํสาร + ทุกขฺ ) อ.ความทุกข์ ในสงสาร ชื่อว่า สํสารทุกขฺ (ทุกข์ในสงสาร, สงั สารทกุ ข์)
230 ไวยากรณบ์ าลีเบื้องตน้ ว.ิ จกขฺ มุ ฺหิ สนนฺ ิสฺสติ ํ วิญฺาณํ จกฺขวุ ิ ฺ าณํ (จกฺขุ + สนนฺ ิสสฺ ิต + วิฺาณ) (มชเฺ ฌโลปสมาส) อ.วญิ ญาณ อนั อาศยั แลว้ ในจกั ษุ ชอื่ วา่ จกขฺ วุ ิ ฺ าณ (วญิ ญาณทอ่ี าศยั ในจกั ษ,ุ จกั ขวุ ญิ ญาณ) วิ. ธมฺเม รโต ธมฺมรโต (ธมมฺ + รต) ยินดแี ลว้ ในธรรม ชอื่ วา่ ธมฺมรต (ผยู้ นิ ดีในธรรม) ว.ิ ธมเฺ ม อภริ ติ ธมฺมาภิรติ (ธมฺม + อภริ ติ) (ลบสระหนา้ , ทีฆะสระหลัง) อ.ความยินดยี ่งิ ในธรรม ช่อื ว่า ธมฺมาภิรติ (ความยินดียง่ิ ในธรรม) ว.ิ ธมเฺ ม รุจิ ธมฺมรุจิ (ธมฺม + รุจ)ิ อ.ความชอบใจ ในธรรม ช่อื วา่ ธมมฺ รจุ ิ (ความชอบใจในธรรม) วิ. ธมฺเม คารโว ธมมฺ คารโว (ธมมฺ + คารว) อ.ความเคารพ ในธรรม ชอื่ ว่า ธมฺมคารว (ความเคารพในธรรม) ว.ิ ธมเฺ มสุ นิรุตตฺ ิ ธมมฺ นริ ตุ ฺติ (ธมมฺ + นริ ตุ ฺต)ิ (ไวยากรณอ์ นั อธิบายในธรรม) อ.ไวยากรณอ์ ันกลา่ วออก ในธรรม ท. ช่ือวา่ ธมฺมนิรุตฺติ ว.ิ ทาเน อธิมตุ ฺติ ทานาธิมุตตฺ ิ (ทาน + อธมิ ตุ ตฺ )ิ (ลบสระหน้า, ทีฆะสระหลัง) อ.ความน้อมไป ในทาน ช่อื วา่ ทานาธิมตุ ฺติ (การน้อมไปในทาน) ว.ิ ภวนฺตเร กตํ ภวนฺตรกตํ, กมมฺ ํ (ภวนฺตร + กต) อ.กรรม อนั ถกู กระทำ� แลว้ ในภพอื่น ชื่อวา่ ภวนฺตรกต (กรรมท่ถี ูกท�ำในภพอ่ืน) ว.ิ ทสฺสเน อสสฺ าโท ทสสฺ นสสฺ าโท (ทสสฺ น + อสฺสาท) อ.ความยนิ ดี ในการเหน็ ชือ่ วา่ ทสฺสนสฺสาท (ความยนิ ดีในการเหน็ ) ว.ิ อรญเฺ วาโส อรฺวาโส (อรฺ + วาส) อ.การอยู่ ในป่า ชอ่ื ว่า อรฺ วาส (การอยใู่ นป่า) วิ. วิกาเล โภชนํ วิกาลโภชนํ (วกิ าล + โภชน) อ.การกินอาหาร ในเวลาวิกาล ช่ือว่า วิกาลโภชน (กนิ อาหารในเวลาวกิ าล) วิ. กาเล วสสฺ ํ กาลวสสฺ ํ (กาล + วสฺส) อ.ฝน ในฤดกู าล ช่ือว่า กาลวสฺส (ฝนในฤดกู าล) วิ. วเน ปุปผฺ ํ วนปปุ ฺผํ (วน + ปุปฺผ) อ.ดอกไม้ ในปา่ ชือ่ วา่ วนปปุ ผฺ (ดอกไม้ปา่ ) ว.ิ วเน มหิโส วนมหิโส (วน + มหสิ ) อ.กระบอื ในป่า ช่ือว่า วนมหสิ (ควายปา่ ) ว.ิ คาเม สกู โร คามสกู โร (คาม + สูกร) อ.สกุ ร ในหมู่บ้าน ชอ่ื ว่า คามสกู ร (สุกรบ้าน) วิ. สมทุ เฺ ท มจโฺ ฉ สมุททฺ มจโฺ ฉ (สมุททฺ + มจฉฺ ) อ.ปลา ในมหาสมทุ ร ชือ่ ว่า สมุทฺทมจฉฺ (ปลาทะเล)
231 สมาส วา่ ดว้ ยการย่อบทตั้งแต่สองบทขึ้นไปเข้าดว้ ยกนั วิ. อาวาเฏ กจฉฺ โป อาวาฏกจฉฺ โป (อาวาฏ + กจฉฺ ป) อ.เตา่ ในบอ่ น�้ำ ชือ่ ว่า อาวาฏกจฺฉป (เต่าในบ่อ) วิ. อาวาเฏ มณฺฑโู ก อาวาฏมณฺฑูโก (อาวาฏ + มณฺฑูก) อ.กบ ในบอ่ น�้ำ ช่อื ว่า อาวาฏมณฑฺ กู (กบในบ่อ) วิ. กูเป มณฑฺ โู ก กูปมณฑฺ โู ก (กูป + มณฑฺ ูก) อ.กบ ในบอ่ นำ�้ ช่อื วา่ กปู มณฑฺ ูก (กบในบอ่ ) วิ. ตติ เฺ ถ นาวา ติตถฺ นาวา (ติตถฺ + นาวา) อ.เรือ ทีท่ ่า ช่ือว่า ตติ ถฺ นาวา (เรือทที่ า่ ) ว.ิ อิตฺถสี ุ ธตุ ฺโต อิตถฺ ิธุตโฺ ต (อติ ถฺ ี + ธตุ ฺต) (รัสสะทา่ มกลางสมาส) อ.นักเลง ในผู้หญิง ท. ชอ่ื วา่ อิตถฺ ิธตุ ฺต (ชายผู้เป็นนักเลงหญิง, ผชู้ ายทเี่ ทีย่ วผู้หญิงเก่ง) วิ. ฉายาย สกุ โฺ ข ฉายาสกุ ฺโข (ฉายา + สกุ ฺข) อ.อนั แหง้ แล้ว ในรม่ เงา ชอ่ื วา่ ฉายาสกุ ขฺ (ทแ่ี หง้ ในรม่ ) วิ. องคฺ าเร ปกกฺ ํ องคฺ ารปกกฺ ,ํ มํสํ (องฺคาร + ปกฺก) อ.เนอ้ื อนั สกุ แลว้ บนถา่ นไฟ ชอ่ื วา่ องฺคารปกกฺ (ท่สี กุ บนถา่ นไฟ) วิ. จารเก พทโฺ ธ จารกพทโฺ ธ (จารก + พทฺธ) ถูกมดั แล้ว ในเรอื นจำ� ชือ่ วา่ จารกพทธฺ (ผถู้ กู มัดในเรือนจำ� ) วิ. วเน จรตตี ิ วนจโร (วน + จร) (กิตันตสมาส) ย่อมเทีย่ วไป ในปา่ เพราะเหตุนั้น ช่ือวา่ วนจร (ผู้เทย่ี วไปในปา่ ) ว.ิ กุจฉฺ มิ หฺ ิ สยตีติ กจุ ฺฉสิ โย (กจุ ฉฺ ิ + สย) (กติ นั ตสมาส) ยอ่ มนอน ในท้อง เพราะเหตุนัน้ ชื่อวา่ กจุ ฺฉสิ ย (ลมในทอ้ ง) ว.ิ ถเล ตฏิ ฺตีติ ถลฏโฺ (ถล + ) (กิตันตสมาส) ยอ่ มตง้ั อยู่ บนบก เพราะเหตุน้นั ช่ือวา่ ถลฏฺ (ต้ังอยู่บนบก) ว.ิ ชเล ติฏฺ ตีติ ชลฏฺโ (ชล + ) (กติ ันตสมาส) ย่อมตง้ั อยู่ ในน�ำ้ เพราะเหตนุ ้ัน ชื่อวา่ ชลฏฺ (ตั้งอยูใ่ นน้ำ� ) ว.ิ ปพฺพเต ติฏฺตตี ิ ปพพฺ ตฏโฺ (ปพพฺ ต + ) (กิตนั ตสมาส) ยอ่ มตงั้ อยู่ บนภูเขา เพราะเหตุนั้น ชอ่ื วา่ ปพพฺ ตฏฺ (ตัง้ อยู่บนภเู ขา) ว.ิ มคเฺ ค ติฏฺตีติ มคฺคฏโฺ (มคฺค + ) (กติ นั ตสมาส) ย่อมต้งั อยู่ ในหนทาง เพราะเหตุนั้น ชอ่ื วา่ มคฺคฏฺ (ผู้ตั้งอยใู่ นหนทาง) วิ. สิเร รหุ ตตี ิ สิโรรหุ ํ (สริ + รหุ ) (กิตนั ตสมาส) (แปลง อ ของมโนคณศพั ท์เป็น โอ) ย่อมงอก บนศรี ษะ เพราะเหตุนัน้ ชอื่ ว่า สิโรรหุ (ผม) วิ. ปงเฺ ก ชาตํ ปงกฺ ชํ, ปุปผฺ ํ (ปงกฺ + ช) (กิตนั ตสมาส) อ.ดอกไม้ อนั เกิดแลว้ ในตม ชื่อวา่ ปงกฺ ช (ดอกบวั , บงกช)
232 ไวยากรณ์บาลีเบ้อื งตน้ ๗. อมาทิปรตปปฺ ุรสิ สมาส อมาทิปรตปฺปุริสสมาส คือ ตัปปุริสสมาสท่ีมีบทหน้าประกอบด้วยทุติยาวิภัตติ เป็นต้นน้ัน รูปส�ำเร็จจะมีการสลับต�ำแหน่งที่ตั้งของบท เช่น อนฺตํ อติกฺกนฺตํ อจฺจนฺตํ อ.กรรมอนั เกนิ ซงึ่ ที่สุด ชอื่ ว่า อจฺจนตฺ (กรรมอันเกินขอบเขต) มาจาก “อติ + อนฺต”, มาสสฺส อทธฺ ํ อทธฺ มาสํ, มาสทธฺ ํ อ.กึง่ แหง่ เดือน ชื่อว่า อทฺธมาส, มาสทฺธ (กง่ึ เดอื น) มาจาก “อทฺธ + มาส” หรอื “มาส + อทธฺ ” วิ. เวลํ อตกิ ฺกนฺโต อตเิ วโล (เวลา + อต)ิ (รัสสะ) ก้าวล่วงแลว้ ซึ่งเวลา ช่อื ว่า อติเวล (ล่วงเวลา, เลยเวลา) วิ. มาสํ อตโี ต อตมิ าโส (มาส + อติ) อ.กาลอนั ล่วงเลยแลว้ ซึง่ เดือน ช่อื วา่ อตมิ าส (ล่วงเลยเดือน) วิ. ชวี กิ ํ ปตฺโต ปตฺตชีวิโก (ชวี กิ + ปตตฺ ) ถงึ แลว้ ซง่ึ ความเป็นอยู่ ชื่อว่า ปตตฺ ชีวิก (ผู้ถึงซึ่งความเปน็ อย,ู่ ผูถ้ งึ ซึ่งการเล้ียงชีพ) ว.ิ ชีวิกํ อาปนโฺ น อาปนฺนชีวโิ ก (ชวี กิ + อาปนนฺ ) ถงึ แลว้ ซึง่ ความเป็นอยู่ ชอื่ ว่า อาปนฺนชีวิก (ผ้ถู ึงซ่งึ ความเป็นอยู่, ผู้ถึงซ่งึ การเล้ยี งชพี ) ว.ิ อกขฺ ํ ปตคิ โต นสิ สฺ โิ ตติ ปจจฺ กโฺ ข, อตตฺ ภาโว (อกขฺ + ปต)ิ (แปลง ติ เปน็ จ,ฺ จฺ สทสิ เทวภาวะ) อ.อตั ภาพ อนั อาศยั แลว้ ซง่ึ อนิ ทรีย์ เพราะเหตุนน้ั ชอื่ วา่ ปจจฺ กขฺ (อนั อาศัยอินทรยี ์, การเหน็ ประจักษ)์ วิ. อกฺขํ ปตคิ ตา นสิ ฺสิตาติ ปจฺจกฺขา, พทุ ธฺ ิ (อกฺข + ปต)ิ (แปลง ติ เป็น จ,ฺ จฺ สทสิ เทวภาวะ) อ.ความรู้ อันอาศัยแลว้ ซ่งึ อนิ ทรีย์ เพราะเหตุนั้น ชอื่ ว่า ปจจฺ กขฺ า (อนั อาศัยอินทรยี ,์ การเหน็ ประจกั ษ์) วิ. อกฺขํ ปตคิ ตํ นิสฺสติ นตฺ ิ ปจจฺ กฺขํ, ทสฺสนํ (อกขฺ + ปติ) (แปลง ติ เปน็ จฺ, จฺ สทสิ เทวภาวะ) อ.การเหน็ อนั อาศัยแลว้ ซึ่งอินทรยี ์ เพราะเหตุนั้น ชอื่ ว่า ปจจฺ กขฺ (อนั อาศัยอินทรยี ,์ การเหน็ ประจกั ษ)์ ว.ิ อตถฺ ํ อนคุ ตํ อนฺวตถฺ ,ํ นามํ (อตถฺ + อนุ) (แปลง อุ เปน็ ว)ฺ อ.ชอ่ื อันเป็นไปตาม ซึง่ อรรถ ชอื่ ว่า อนฺวตฺถ (ชื่อตามอรรถ) ว.ิ อชฺฌยนาย ปรคิ ลิ าโน ปรยิ ชฌฺ ยโน (อชฺฌยน + ปริ) (ลง ยฺอาคม) อ.ผูเ้ หน็ดเหนอ่ื ย ต่อการสาธยาย ช่ือวา่ ปรยิ ชฌฺ ยน (ผเู้ หนด็ เหนื่อยต่อการสาธยาย) ว.ิ กมฺมสสฺ อลํ สมตโฺ ถติ อลกํ มฺโม (กมมฺ + อลํ) อ.ผู้สามารถ เพ่ือท�ำการงาน เพราะเหตุนั้น ชอื่ ว่า อลํกมฺม (ผสู้ ามารถเพอื่ ท�ำการงาน) วิ. วจนาย อลนฺติ อลํวจโน (วจน + อล)ํ อ.ผู้ควร เพ่อื การกลา่ ว เพราะเหตนุ น้ั ชือ่ วา่ อลํวจน (ผู้ควรเพ่ือกล่าว)
233 สมาส ว่าดว้ ยการย่อบทตง้ั แตส่ องบทขน้ึ ไปเขา้ ดว้ ยกนั วิ. วานโต นิกขฺ นตฺ ํ นิพฺพานํ (วาน + นิ) (ซ้อน ว,ฺ แปลง ววฺ ฺ เปน็ พฺพ)ฺ อ.ธรรมอนั ออกพ้นแล้ว จากตัณหา ชื่อวา่ นพิ พฺ าน (ธรรมท่พี น้ จากตณั หา, นิพพาน) ว.ิ กิเลเสหิ นิกฺขนฺโต นกิ ฺกเิ ลโส (กเิ ลส + นิ) (กฺ สทิสเทวภาวะ) ผ้อู อกพ้นแล้ว จากกิเลส ท. ชอ่ื วา่ นิกกฺ ิเลส (ผปู้ ราศจากกเิ ลส) ว.ิ วนโต นยิ ฺยาโต นพิ ฺพโน (วน + นิ) (ซ้อน วฺ, แปลง ววฺ เป็น พพฺ ) ผอู้ อกไปแลว้ จากปา่ คอื กิเลส ช่อื ว่า นพิ ฺพน (ผ้อู อกจากป่าคอื กเิ ลส) ว.ิ อาจริยโต ปโร ปาจริโย (อาจรยิ + ป) อ.อาจารยผ์ ปู้ ระเสรฐิ กว่าอาจารย์ ชอื่ วา่ ปาจริย (อาจารยข์ องอาจารย)์ วิ. อยฺยกสมฺ า ปโร ปยฺยโก (อยยฺ ก + ป) อ.ปผู่ ู้ประเสริฐ กวา่ ปู่ ชื่อว่า ปยยฺ ก (ปขู่ องปู่, ทวด, ชวด) ว.ิ หิยโฺ ย ปโร ปรหยิ ฺโย (หยิ ฺโย + ปร) อ.วนั อ่ืน จากเมอ่ื วาน ชื่อวา่ ปรหยิ โฺ ย (หลงั จากเมื่อวาน, วานซืน) วิ. คงฺคาย อปุ ริ อุปริคงฺคํ (คงฺคา + อุปร)ิ (รสั สะ) อ.ท่ีเบอื้ งบน แหง่ แมน่ �ำ้ คงคา ชือ่ วา่ อุปริคงฺค (ทเี่ บือ้ งบนแมน่ ำ�้ คงคา) วิ. นทยิ า เหฏฺ า เหฏฺ านที (นที + เหฏฺ า) อ.ทีภ่ ายใต้ แหง่ แมน่ �ำ้ ช่อื วา่ เหฏฺ านที (ท่ีภายใต้แหง่ แมน่ ้ำ� ) วิ. สมาปตตฺ ยิ า อนโฺ ต อนโฺ ตสมาปตตฺ ิ (สมาปตตฺ ิ + อนฺโต) สภาพในภายใน แห่งสมาบัติ ชอ่ื ว่า อนฺโตสมาปตตฺ ิ (สภาพภายในสมาบตั )ิ วิ. หสํ านํ ราชา ราชหโํ ส, หํสราชา วา (หํส + ราช, ราช + หํส) อ.ราชา แห่งหงส์ ท. ช่อื ว่า ราชหสํ , หรอื ชอ่ื ว่า หํสราช (พญาหงส)์ ว.ิ อามลกสฺส อทฺธํ อทธฺ ามลกํ, อามลกทฺธํ วา (อามลก + อทธฺ , อทธฺ + อามลก) อ.กง่ึ แหง่ ผลมะขามป้อม ช่ือวา่ อทฺธามลก หรือ ชื่อวา่ อามลกทธฺ (ผลมะขามป้อมคร่ึงผล) ว.ิ กหาปณสฺส อฑฺฒํ อฑฒฺ กหาปณํ (กหาปณ + อฑฒฺ ) อ.กงึ่ แห่งกหาปณะ ชือ่ วา่ อฑฒฺ กหาปณ (ครึ่งกหาปณะ) ว.ิ มาสกสฺส อฑฒฺ ํ อฑฺฒมาสกํ (มาสก + อฑฒฺ ) อ.กึ่ง แหง่ มาสก ชอ่ื ว่า อฑฺฒมาสก (กึ่งมาสก) ว.ิ รตตฺ ยิ า อฑฒฺ ํ อฑฒฺ รตตฺ ํ (รตตฺ ิ + อฑฒฺ ) (แปลงสระทส่ี ดุ ของสมาสเป็น อ) อ.กึ่ง แห่งราตรี ช่ือวา่ อฑฺฒรตตฺ (ก่ึงราตร)ี วิ. รตตฺ ยิ า ปจฺฉา ปจฺฉารตตฺ ํ (รตฺติ + ปจฉฺ า) (แปลงสระที่สดุ ของสมาสเป็น อ) ในกาลภายหลัง แหง่ ราตรี ช่ือวา่ ปจฉฺ ารตฺต (ในกาลภายหลังแห่งราตรี, ค่อนคนื ) ว.ิ อหสฺส ปุพพฺ ํ ปุพฺพนหฺ ํ (อห + ปุพฺพ) (แปลง อห เป็น อนฺห) อ.เบ้ืองต้น แหง่ วัน ช่อื วา่ ปพุ ฺพนหฺ (เวลาเชา้ )
234 ไวยากรณบ์ าลเี บอื้ งตน้ ว.ิ อหสฺส สายํ สายนฺหํ (อห + สาย)ํ (แปลง อห เปน็ อนหฺ , ลบนคิ หิต) ในเวลาเยน็ แห่งวนั ชอ่ื ว่า สายนฺห (เวลาเยน็ ) ๘. อโลปตปฺปรุ ิสสมาส อโลปตปฺปุริสสมาส คือ ตัปปุริสสมาสที่มีบทหน้าประกอบด้วยทุติยาวิภัตติเป็นต้น รูปส�ำเร็จจะไม่มีการลบวิภัตติของบทหน้า เป็นประเภทอลุตตสมาส เช่น ชุตึ ธาเรตีติ ชตุ นิ ธฺ โร ยอ่ มทรงไว้ ซ่งึ รศั มี เพราะเหตนุ ั้น ชอ่ื วา่ ชตุ ินธฺ ร (ผู้ทรงไว้ซึง่ รัศม)ี มาจาก “ชุติ + ธร” ปรสสฺ ปทํ ปรสฺสปทํ อ.บท เพอ่ื ผู้อ่ืน ชอื่ วา่ ปรสสฺ ปท (บทเพอื่ ผูอ้ นื่ ) มาจาก “ปร + ปท” วิ. ปภํ กโรตีติ ปภงฺกโร (ปภา + กร) (ทตุ ิยาอโลปตัปปรุ ิสสมาส) (กติ ันตสมาส) ย่อมกระท�ำ ซ่งึ แสงสวา่ ง เพราะเหตุนน้ั ช่ือวา่ ปภงกฺ ร (ผูก้ ระทำ� แสงสวา่ ง, พระอาทิตย์) วิ. อมตํ ททาตตี ิ อมตนทฺ โท (อมต + ทท) (ทุตยิ าอโลปตัปปุริสสมาส) (กิตนั ตสมาส) ย่อมให้ ซ่ึงพระนิพพาน เพราะเหตนุ ัน้ ชื่อว่า อมตนฺทท (พระพุทธเจ้าผใู้ หพ้ ระนพิ พาน) วิ. รณํ ชหาตีติ รณญฺชโห (รณ + ชห) (ทตุ ิยาอโลปตปั ปุรสิ สมาส) (กิตันตสมาส) ยอ่ มละ ซ่งึ กิเลส เพราะเหตนุ ั้น ชือ่ ว่า รณญฺชห (ผลู้ ะกเิ ลส) วิ. ชตุ ึ ธาเรตีติ ชุตินฺธโร (ชุติ + ธร) (ทุตยิ าอโลปตปั ปรุ ิสสมาส) (กิตนั ตสมาส) ยอ่ มทรงไว้ ซ่งึ ความร่งุ เรือง เพราะเหตุนน้ั ชือ่ วา่ ชุตินฺธร (ผู้ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรอื ง) วิ. สหสา กตํ สหสากตํ, กมฺมํ (สหสา + กต) (ตตยิ าอโลปตปั ปุรสิ สมาส) อ.กรรม อนั ถูกกระท�ำแลว้ โดยฉับพลนั ชอ่ื วา่ สหสากต (ถูกกระทำ� โดยฉับพลัน) วิ. ปรสสฺ ปทํ ปรสสฺ ปทํ (ปร + ปท) (จตุตถีอโลปตปั ปรุ ิสสมาส) อ.บท เพ่อื ผอู้ น่ื ชือ่ วา่ ปรสฺสปท (บทเพอื่ ผ้อู ่นื , ปรสั สบท) วิ. อตตฺ โน ปทํ อตตฺ โนปทํ (อตฺต + ปท) (จตตุ ถีอโลปตัปปรุ สิ สมาส) อ.บท เพ่ือตน ชอ่ื ว่า อตตฺ โนปท (บทเพอ่ื ตน, อตั ตโนบท) ว.ิ ภยโต อปุ ฏฺานํ ภยตูปฏฺ านํ (ภย + อปุ ฏฺ าน) (ลง โต ปจั จัย, ลบสระหนา้ , ทฆี ะสระหลงั ) อ.การปรากฏ แต่ความเป็นภัย ชือ่ วา่ ภยตูปฏฺ าน (ปรากฏแต่ความเปน็ ภยั ) (ปญั จมีอโลปะ) วิ. ปรโต โฆโส ปรโตโฆโส (ปร + โฆส) (ลง โตปัจจัย) (ปัญจมอี โลปตัปปุรสิ สมาส) อ.เสยี ง จากบคุ คลอนื่ ชอ่ื วา่ ปรโตโฆส (เสยี งจากบคุ คลอนื่ , ปรโตโฆสะ) ว.ิ คุนนฺ ํ ปติ ควํปติ (โค + ปต)ิ (ฉัฏฐีอโลปตปั ปรุ สิ สมาส) อ.เจา้ ของ แหง่ ววั ท. ชือ่ วา่ ควปํ ติ (เจา้ ของแห่งวัว) วิ. ควํปติ จ โส เถโร จาติ ควปํ ตติ เฺ ถโร (ควปํ ติ + เถร) (วเิ สสนุตตรบท กมั มธารยสมาส) อ.เจา้ ของแหง่ ววั ดว้ ย อ.เจา้ ของแหง่ ววั นน้ั เปน็ พระเถระดว้ ย เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ ควปํ ตติ เฺ ถร (พระควมั ปตเิ ถระ)
235 สมาส ว่าดว้ ยการย่อบทตง้ั แต่สองบทขึน้ ไปเขา้ ด้วยกนั ว.ิ มนสิ กรณํ มนสิกาโร (มน + การ) (แปลง สมฺ ึ เป็น อ,ิ ลง สฺ อาคม) อ.การกระทำ� ในใจ ชื่อวา่ มนสกิ าร (การทำ� ไว้ในใจ, มนสกิ าร) (สตั ตมีอโลปตปั ปุริสสมาส) ว.ิ ปพุ ฺเพ นิวาโส ปพุ ฺเพนิวาโส (ปุพพฺ + นวิ าส) (แปลง สฺมึ เป็น เอ) (สตั ตมอี โลปตปั ปุรสิ สมาส) อ.การอยู่ ในกาลกอ่ น ชื่อวา่ ปุพเฺ พนิวาส (การอยู่ในกาลกอ่ น) ว.ิ ปพุ เฺ พ นวิ าสานสุ สฺ ติ ปพุ เฺ พนวิ าสานสุ สฺ ติ (ปพุ พฺ + นวิ าสานสุ สฺ ต)ิ (สตั ตมอี โลปตปั ปรุ สิ สมาส) อ.การระลกึ ถงึ การอยู่ ในกาลกอ่ น ชอ่ื วา่ ปพุ เฺ พนวิ าสานสุ สฺ ติ (การระลกึ ถงึ การอยใู่ นกาลกอ่ น) ว.ิ มชฺเฌ กลยฺ าณํ มชเฺ ฌกลยฺ าณํ, ธมมฺ ํ (มชฺฌ + กลฺยาณ) (สตั ตมอี โลปตปั ปรุ ิสสมาส) อ.ธรรม อนั งาม ในท่ามกลาง ช่อื วา่ มชเฺ ฌกลฺยาณ (งามในทา่ มกลาง) วิ. อนฺเต วสิตํุ สีลมสสฺ าติ อนฺเตวาส,ี อนเฺ ตวาสิโก (อนฺต + วาสี) (สตั ตมอี โลปตัปปุริสสมาส) อ.อนั อยู่ ในภายใน เปน็ ปกติ ของบคุ คลนั้น มีอยู่ เพราะเหตุนน้ั อ.บุคคลน้นั ชอ่ื ว่า อนเฺ ตวาส,ี อนฺเตวาสิก (ผู้อยู่ในภายในเป็นปกติ, อันเตวาสกิ , ศิษย)์ ว.ิ ชเน สุโต ชเนสโุ ต (ชน + สตุ ) (สัตตมอี โลปตัปปรุ สิ สมาส) อ.ผู้ปรากฏ ในหมู่ชน ชื่อวา่ ชเนสตุ (ผู้ปรากฏในฝงู ชน) วิ. อรุ สิ อุฏฺ โิ ต โลโม อุรสิโลโม (อรุ + อฏุ ฺ ติ + โลม) (สตั ตมีอโลปตปั ปรุ สิ สมาส) อ.ขน อนั ตั้งขน้ึ แล้ว บนอก ชือ่ วา่ อรุ สิโลม (ขนบนอก) (แปลง สฺมึ เป็น อ,ิ ลง สฺ อาคม) วิ. กณเฺ ิโต กาโฬ กณเฺ กาโฬ (กณฺ + ติ + กาฬ) (สัตตมีอโลปตัปปุริสสมาส) อ.ไฝ อันตงั้ อยู่แล้ว ท่คี อ ชือ่ วา่ กณฺเกาฬ (ไฝท่คี อ) ๖.๕ พหพุ พหี ิสมาส พหุพพีหิสมาส คือ สมาสท่ีมีอรรถของบทอ่ืนเป็นประธาน (อัญญปทัตถะ) รูปส�ำเร็จ เป็นคุณศัพท์ ท�ำหน้าที่เป็นวิเสสนะขยายบทอ่ืน มีวิเคราะห์ว่า “พหโว วีหโย ยสฺส โส พหุพฺพีหิ (พหุ + วีหิ)” อ.ข้าวเปลือก ท. อันมาก ของบุคคลใด มีอยู่ อ.บุคคลน้ัน ชื่อว่า พหุพฺพีหิ (ผู้มีข้าวเปลือกมาก) สมาสน้ี ก็ถูกเรียกว่า “พหุพพีหิ” ด้วยมีช่ือตามอรรถ เพราะ สมาสน้ีมีลักษณะเหมือนกับ พหุพฺพีหิศัพท์ รูปส�ำเร็จเป็นคุณศัพท์ แปลว่า “ผู้มี..., อันมี...” พหุพพหี ิสมาสนี้ เกีย่ วข้องกบั บท ๒ บท คือ (๑) บทท่ถี กู ยอ่ เรยี กว่า “สกปท” (บทของตัวเอง) เชน่ อาคตสมโณ (อาคต + สมณ) (๒) บทอ่นื ทน่ี อกจากบทท่ีถูกย่อ เรยี กวา่ “อฺปท” (บทอื่น) ในรูปวิเคราะหใ์ ช้ ย, ต, เอต และ อมิ ศพั ท์แทน เมอื่ สำ� เร็จเป็นสมาสแลว้ จะปรากฎอยู่ขา้ งหลังบทสมาส เชน่ สํฆาราโม พหพุ พีหิสมาสน้ี มี ๙ ประการ ดงั นี้
236 ไวยากรณบ์ าลีเบอ้ื งตน้ ๑. ทฺวิปทตุลยฺ าธิกรณพหุพฺพหี ิสมาส ทฺวิปทตุลฺยาธิกรณพหุพฺพหี ิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสที่มีอรรถของบททั้งสอง มีที่ต้ัง เหมอื นกนั หมายความวา่ มวี ภิ ตั ตเิ หมอื นกนั สว่ นลงิ คแ์ ละวจนะนน้ั จะเหมอื นกนั หรอื ตา่ งกนั กไ็ ด้ และมีอัญญบท เป็นตวั กำ� หนดวิภัตตใิ ห้มีช่ือเรียกแตกตา่ งกนั ไปตามวภิ ัตตินั้นๆ ๑.๑ ทตุ ิยาทวฺ ิปทตุลฺยาธิกรณพหุพพฺ ีหิสมาส ทตุ ยิ ตฺถ ทวฺ ปิ ทตุลฺยาธกิ รณพหพุ พฺ ีหิสมาส คอื พหพุ พหี สิ มาสทมี่ อี รรถของบททั้งสอง มที ต่ี ั้งเหมอื นกัน วเิ สสนสพั พนามลงในอรรถทุตยิ าวิภตั ติ เชน่ อาคตา สมณา อิมํ สํฆารามนฺติ อาคตสมโณ, สํฆาราโม อ.สมณะ ท. มาแล้ว สู่สังฆารามน้ี เพราะเหตุนั้น อ.สังฆารามน้ี ช่ือว่า อาคตสมณ (มีสมณะมาแล้ว) ในตัวอย่างน้ี บทว่า “อาคตา” กับบทว่า “สมณา” เป็น ตุลยาธิกรณะกัน เพราะเป็นปุงลิงค์ ปฐมาวิภัตติเหมือนกัน ส่วนบทว่า “อิมํ” เป็นอัญญบท ลง ทุตยิ าวิภัตติ วิ. ปฏิปนนฺ า อทธฺ กิ า ยํ ปถํ โสยํ ปฏปิ นฺนทธฺ โิ ก, ปโถ (ปฏปิ นนฺ + อทธฺ กิ ) อ.คนเดนิ ทางไกล ท. เดนิ ไปแลว้ ส่ทู างใด มีอยู่ อ.ทางนนั้ ชือ่ วา่ ปฏปิ นฺนทธฺ กิ (ทางอนั มี ผเู้ ดนิ ทางไกลไปแล้ว) ว.ิ อภิรูฬหฺ า วาณิชา ยํ นาวํ สา อภริ ฬู ฺหวาณชิ า, นาวา (อภริ ูฬหฺ + วาณิช) อ.พอ่ ค้า ท. ขน้ึ แลว้ สู่เรอื ใด มีอยู่ อ.เรือนนั้ ชือ่ ว่า อภิรูฬฺหวาณิชา (เรอื อนั มีพอ่ ค้าข้นึ แลว้ ) ๑.๒ ตติยาทฺวปิ ทตลุ ฺยาธกิ รณพหุพพฺ ีหสิ มาส ตติยตฺถ ทฺวิปทตุลฺยาธิกรณพหุพฺพีหิสมาส คือพหุพพีหิสมาสที่มีอรรถของบท ท้ังสอง มีท่ีตั้งเหมือนกัน วิเสสนสัพพนามลงในอรรถตติยาวิภัตติ เช่น ชิตานิ อินฺทฺริยานิ เยน โสยํ ชิตินฺทฺริโย, ภิกฺขุ อ.อินทรีย์ ท. อันภิกษุใด ชนะแล้ว อ.ภิกษุน้ัน ช่ือว่า ชิตินฺทฺริย (ผมู้ อี นิ ทรยี อ์ นั ชนะแลว้ ) ในตวั อยา่ งนี้ บทวา่ “ชติ าน”ิ กบั บทวา่ “อนิ ทฺ รฺ ยิ าน”ิ เปน็ ตลุ ยาธกิ รณะกนั เพราะเป็นนปงุ สกลงิ ค์ ปฐมาวภิ ัตตเิ หมือนกนั ส่วนบทวา่ “เยน” เป็นอัญญบท ลงตตยิ าวภิ ตั ติ วิ. ทิฏฺา ธมมฺ า เยน สมเณน โสยํ ทฏิ ฺ ธมฺโม, สมโณ (ทฏิ ฺ + ธมมฺ ) อ.ธรรม ท. อนั พระสมณะใด เหน็ แลว้ อ.พระสมณะนน้ั ชอ่ื วา่ ทฏิ ฺ ธมมฺ (ผมู้ ธี รรมอนั เหน็ แลว้ ) วิ. ปตตฺ า ธมฺมา เยน สมเณน โสยํ ปตตฺ ธมฺโม, สมโณ (ปตตฺ + ธมมฺ ) อ.ธรรม ท. อนั พระสมณะใด บรรลแุ ลว้ อ.พระสมณะนนั้ ชอื่ วา่ ปตตฺ ธมมฺ (ผมู้ ธี รรมอนั บรรลแุ ลว้ )
237 สมาส ว่าด้วยการย่อบทตง้ั แต่สองบทข้นึ ไปเข้าดว้ ยกัน วิ. กตานิ กิจจฺ านิ เยน สมเณน โสยํ กตกิจฺโจ, สมโณ (กต + กิจจฺ ) อ.กิจ ท. อันพระสมณะใด กระท�ำแลว้ อ.พระสมณะน้นั ช่ือว่า กตกจิ ฺจ (ผ้มู ีกิจอนั กระท�ำแลว้ ) วิ. ชิตา มารา อเนนาติ ชติ มาโร, ภควา (ชติ + มาร) อ.มาร ท. อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ี ทรงชนะแล้ว เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า ชิตมาร (ผมู้ มี ารอันชนะแลว้ ) ว.ิ ปฏิวทิ ฺธา สพฺพธมมฺ า อเนนาติ ปฏิวิทธฺ สพฺพธมฺโม, ภควา (ปฏวิ ทิ ธฺ + สพพฺ ธมมฺ ) อ.ธรรมทั้งปวง ท. อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ี ทรงแทงตลอดแล้ว เพราะเหตุนั้น ชื่อวา่ ปฏิวิทธฺ สพพฺ ธมมฺ (ผู้มีธรรมทงั้ ปวงอนั แทงตลอดแลว้ ) ๑.๓ จตุตถฺ ีทฺวปิ ทตลุ ยฺ าธิกรณพหพุ พฺ ีหิสมาส จตุตฺถิยตฺถ ทฺวิปทตุลฺยาธิกรณพหุพฺพีหิสมาส คือพหุพพีหิสมาสที่มีอรรถของบททั้ง สองมีที่ตัง้ เหมือนกนั วิเสสนสพั พนามลงในอรรถจตตุ ถีวิภตั ติ เช่น ทินโฺ น สงุ ฺโก ยสสฺ โสยํ ทินฺนสุงฺโก, ราชา อ.ส่วย อันชาวเมือง ท. ถวายแล้ว แด่พระราชาใด มีอยู่ อ.พระราชานั้น ชื่อว่า ทินฺนสุงฺก (ผู้มีส่วย อันชาวเมืองถวายแล้ว) ในตัวอย่างนี้ บทว่า “ทินฺโน” กับบทว่า “สุงฺโก” เป็นตุลยาธิกรณะกัน เพราะเป็นปุงลิงค์ ปฐมาวิภัตติ เอกวจนะเหมือนกัน ส่วนบทว่า “ยสสฺ ” เป็นอัญญบท ลงจตุตถีวิภตั ติ ว.ิ อปุ นีตํ โภชนํ อสสฺ สมณสฺสาติ อปุ นีตโภชโน, สมโณ (อุปนีต + โภชน) อ.โภชนะ อันบคุ คลน้อมเข้าไปแลว้ แกพ่ ระสมณะน้นั มีอยู่ เพราะเหตุนน้ั ชื่อวา่ อปุ นตี โภชน (ผมู้ โี ภชนะอันบุคคลนอ้ มเข้าไปแล้ว) วิ. อุปหโฏ พลิ อสสฺ าติ อปุ หฏพลิ, ยกฺโข (อุปหฏ + พลิ) อ.พลกี รรม อันบุคคลนำ� เขา้ ไปแล้ว แก่ยกั ษน์ น้ั มีอยู่ เพราะเหตนุ น้ั ช่อื วา่ อุปหฏพลิ (ผู้มี พลีกรรม อันบุคคลนอ้ มเขา้ ไปแลว้ ) ๑.๔ ปญจฺ มที วฺ ิปทตลุ ฺยาธิกรณพหุพฺพหี สิ มาส ปญฺจมิยตฺถ ทฺวิปทตุลฺยาธิกรณพหุพฺพีหิสมาส คือพหุพพีหิสมาสท่ีมีอรรถของบท ท้ังสอง มีท่ีตั้งเหมือนกัน วิเสสนสัพพนามลงในอรรถปัญจมีวิภัตติ เช่น นิคฺคตา ชนา อสฺมา โสยํ นิคฺคตชโน, คาโม อ.ชน ท. ออกไปแล้ว จากหมู่บ้านนั้น มีอยู่ อ.หมู่บ้านนั้น ช่ือว่า นคิ คฺ ตชน (มีชนออกไปแลว้ ) ในตัวอย่างนี้ บทวา่ “นคิ คฺ ตา” กบั บทวา่ “ชนา” เป็นตลุ ยาธกิ รณะกนั เพราะเปน็ ปงุ ลงิ ค์ ปฐมาวิภตั ติ พหวุ จนะเหมือนกนั สว่ นบทว่า “อสฺมา” เป็นอัญญบท ลงปญั จมี วภิ ตั ติ
238 ไวยากรณบ์ าลีเบ้ืองตน้ วิ. นิคคฺ ตา ชนา อสมฺ า โสยํ นคิ คฺ ตชโน, คาโม (นคิ คฺ ต + ชน) อ.ชน ท. ออกไปแลว้ จากหมบู่ ้านนนั้ อ.หมบู่ า้ นนัน้ ชือ่ วา่ นิคคฺ ตชน (มชี นออกไปแลว้ ) วิ. นิคฺคโต อโย อสฺมาติ นิรโย, ปเทโส (นิ + อย) (เพราะสระหลัง ลง รอฺ าคม) อ.ความเจรญิ ไปปราศแลว้ จากสถานทน่ี นั้ เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ นริ ย (สถานทที่ ไ่ี มม่ คี วามเจรญิ ) ว.ิ นิคคฺ ตา กเิ ลสา เอตสฺมาติ นิกฺกิเลโส, อรหา (นิ + กเิ ลส) อ.กิเลส ท. ไปปราศแล้ว จากพระอรหันต์นั่น เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า นิกฺกิเลส (ผู้มีกิเลสไป ปราศแลว้ ) วิ. อเปตํ วญิ ฺ าณํ อสฺมาติ อเปตวิฺาโณ, ปคุ ฺคโล (อเปต + วิ ฺ าณ) อ.วิญญาณ ไปปราศแลว้ จากบคุ คลน้ัน เพราะเหตนุ ั้น ชื่อว่า อเปตวิ ฺ าณ (ผู้มีวิญญาณ ไปปราศแล้ว, ผปู้ ราศจากวิญญาณ, ผู้ทต่ี ายไปแล้ว) ว.ิ อปคตํ ภยเภรวํ อสฺมาติ อปคตภยเภรโว, อรหา (อปคต + ภยเภรว) อ.ภัยน้อยใหญ่ ไปปราศแล้ว จากพระอรหันต์น้ัน เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า อปคตภยเภรว (ผมู้ ีภัยนอ้ ยใหญอ่ ันไปปราศแล้ว) ๑.๕ ฉฏฺีทฺวิปทตลุ ยฺ าธิกรณพหพุ ฺพหี ิสมาส ฉฏฺิยตฺถ ทฺวิปทตุลฺยาธิกรณพหุพฺพีหิสมาส คือพหุพพีหิสมาสที่มีอรรถของบท ทั้งสอง มีทีต่ ั้งเหมอื นกนั วเิ สสนสพั พนามลงในอรรถฉฏั ฐวี ภิ ัตติ เช่น ฉนิ ฺนา หตฺถา ยสสฺ โสยํ ฉนิ นฺ หตฺโถ, ปุริโส อ.มือ ท. อันขาดแล้ว ของบุรุษใด มอี ยู่ อ.บุรษุ นน้ั ช่ือวา่ ฉนิ ฺนหตถฺ (มีมือ อนั ขาดแล้ว) ในตวั อย่างน้ี บทวา่ “ฉินนฺ า” กับบทวา่ “หตฺถา” เป็นตุลยาธิกรณะกัน เพราะเป็น ปุงลงิ ค์ ปฐมาวิภตั ติ พหุวจนะเหมือนกัน ส่วนบทวา่ “ยสสฺ ” เปน็ อัญญบท ลงฉัฏฐีวภิ ตั ติ ว.ิ ฉนิ นฺ า หตถฺ า ยสฺส โสยํ ฉินนฺ หตฺโถ, ปุริโส (ฉินฺน + หตถฺ ) อ.มอื ท. อันขาดแลว้ ของบรุ ษุ ใด มีอยู่ อ.บรุ ุษน้ัน ชอื่ วา่ ฉนิ ฺนหตถฺ (มีมืออันขาดแล้ว) ว.ิ อยํ ปจจฺ โย เอเตสนตฺ ิ อทิ ปปฺ จฺจยา, สงฺขารา (อิทํ + ปจฺจย) อ.อวชิ ชานี้ เป็นปัจจยั แหง่ สังขาร ท.เหลา่ นั่น มีอยู่ เพราะเหตุนัน้ ช่อื วา่ อทิ ปปฺ จฺจย (มสี ง่ิ น้ี เปน็ ปัจจัย) ว.ิ ปรปิ ณุ ณฺ า สงฺกปฺปา ยสสฺ โสยํ ปริปณุ ฺณสงกฺ ปโฺ ป, ปุริโส (ปริปุณฺณ + สงกฺ ปปฺ ) อ.ความดำ� ริ ท. อนั เตม็ แลว้ ของบรุ ษุ ใด มอี ยู่ อ.บรุ ษุ นนั้ ชอ่ื วา่ ปรปิ ณุ ณฺ สงกฺ ปปฺ (ผมู้ คี วามดำ� ริ อันเตม็ แล้ว) ว.ิ ขีณา อาสวา ยสสฺ โสยํ ขณี าสโว, ภกิ ขฺ ุ (ขณี + อาสว) อ.อาสวะ ท. ส้ินแล้ว ของภิกษุใด มีอยู่ อ.ภิกษุนั้น ช่ือว่า ขีณาสว (ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว, พระขณี าสพ)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308