Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้ ใบงาน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

ใบความรู้ ใบงาน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

Published by ครูนภัสสร, 2020-09-14 05:24:31

Description: ใบความรู้ ใบงาน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

Search

Read the Text Version

ใบความรู้ที่ 1 วิชาภาษาไทย พท21001 การสรปุ ความจากการฟังและการดู ความหมายของการสรุปความจากการฟงั และการดู หมายถึง การจบั ใจความสำคญั จากเรื่องที่ ฟงั และดแู ล้วนำมาเรยี บเรยี งใหมอ่ ยา่ งสน้ั ๆ ให้รู้ว่าเป็นเร่ืองอะไร มีใครทำอะไร มใี ครทำอะไร ท่ีไหน เมื่อไร อยา่ งไประโยชน์ของการสรปุ ความจากการฟงั และการดู ได้แก่ 1. เพื่อการนำไปใช้ เช่น เพื่อข้อมูลที่ได้มาเขียนเรียงความ เพื่อช่วยทบทวนความรู้ ความคิด และความจำ เพ่ือนำใจความสำคญั ไปใช้ในการตดิ ต่อสื่อสาร ช่วยให้การฟงั และการดไู ดผ้ ลดียิ่งขึ้น 2. เพื่อความเพลิดเพลิน ได้แก่ การรับสารเพื่อความสนุกสนาน ผ่อนคลายความตึงเครียด ไม่ เน้นความสำคัญของเนือ้ หาสาระ ไม่จำเปน็ ตอ้ งมสี มาธมิ ากนกั ในการรับสาร 3. เพื่อความจรรโลงใจ ได้แก่ การรับสารที่ก่อให้เกิดสติปญั ญาหรือช่วยยกระดับจิตใจให้สูงขน้ึ ผูร้ ับสารต้องมีวิจารณญาณท่จี ะเช่ือหรอื ปฏิบัตใิ นสง่ิ ที่ถูกตอ้ ง 4. เพื่อประเมินผลและวิจารณ์ ได้แก่ การรับสารที่ต้องอาศัยความรู้อย่างละเอียด ถูกต้องใน เร่ืองทจี่ ะประเมินหรือวจิ ารณ์ นอกจากน้นั ต้องมีความเปน็ ธรรม ไมม่ อี คติต่อผูส้ ่งสารหรอื ตัวสาร กระบวนการฟงั และการดู มี ๖ ข้นั ตอนดังน้ี 1. ขน้ั ไดย้ ินหรอื เหน็ เปน็ ขนั้ ต้นของการรบั สาร เมื่อมคี ลื่นเสยี งมากกระทบกับโสตประสาทหรือ ไดเ้ หน็ ภาพที่ปรากฏอยใู่ นสายตา 2. ขั้นพิจารณาแยกแยะเสียงที่ได้ยินหรือภาพที่เห็น ว่าเป็นเสียงอะไรหรือภาพอะไร คน สัตว์ สง่ิ ของ หรือปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ 3. ขั้นยอมรับ เป็นขั้นตอนที่ต่อจากการพิจารณาแล้ว ผู้ฟังหรือผู้ดูอาจยอมรับหรือปฏิเสธว่า ข้อความท่ีได้ยินหรอื ภาพทเ่ี หน็ ส่อื ความหมายได้หรอื ไม่ 4. ขัน้ ตีความ เปน็ ข้ันท่ผี ู้ฟังหรือผู้ดูแปลความหมายหรือตคี วามหมายของส่ิงท่ีได้ยินหรือได้เห็น ให้ตรงกับจุดประสงค์ของผู้ส่งสารที่ต้องการสื่อถึงผู้รับสาร เนื่องจากสารที่ส่งมาอยู่ในรูปของความหมาย โดยนยั 5. ขั้นเข้าใจ เปน็ ขั้นท่ีผู้ฟงั หรอื ผดู้ ทู ำความเข้าใจกบั ข้อความที่ได้ยนิ หรือภาพท่ีได้เหน็ 6. ขั้นนำไปใช้ เป็นขั้นที่พิจารณาจนเข้าใจ อย่างถ่องแท้แล้ว ผู้ฟังและผู้ดูก็จะมีปฏิกิริยา ตอบสนอง หลักการฟังและการดูทดี่ ี ไดแ้ ก่ 1. ฟังและดูให้ตรงจุดประสงค์ จะทำให้ผู้รับสารรู้จักเลือกฟังหรือดูในสิ่งที่ต้องการและทำให้ ตัง้ ใจรบั สารเพ่อื ใหไ้ ดป้ ระโยชนต์ ามจุดมงุ่ หมายท่กี ำหนด

2. ฟังและดดู ้วยความพรอ้ ม คือ ต้องมีความพร้อมท้ังทางร่างกาย จติ ใจ และสตปิ ญั ญา 3. ฟังและดูอย่างมีสมาธิ คอื มีความต้งั ใจ จดจ่ออยูก่ บั เร่ืองทีฟ่ ังหรอื ดู ไมฟ่ ุ้งซา่ นหรือคิดถึง 4. ฟังและดูด้วยความกระตือรือรน้ คอื มคี วามสนใจ เหน็ ประโยชน์หรือคณุ คา่ ของเร่อื งทีฟ่ งั 5. ฟงั และดโู ดยไม่มีอคติ คือ ไม่มีความลำเอียง ซง่ึ ความลำเอยี งเกิดจากความรัก ความโกรธ ความ 6. ฟังและดโู ดยใช้วิจารณญาณ จะนำส่งิ ทฟ่ี ังหรือดูมาประเมินว่ามปี ระโยชนห์ รือนา่ เชอื่ ถือมากนอ้ ย หลักการฟังและดสู ารจากสื่อมวลชน ไดแ้ ก่ 1. การเลือกสื่อที่จะฟังและดู ในปัจจุบันที่สื่อมากมายได้รับการคัดเลือกเพื่อนำมาใช้เผยแพร่ ข้อมูลข่าวสาร วิทยุ เป็นสื่อทีใ่ ช้ในชีวิตประจำวันมากท่ีสุด สามารถเข้าถึงทุกชุมชนในเวลาอันรวดเร็ว ราคา ถูก โทรทัศน์ วีดิทัศน์ ซีดี เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่อาจมีไม่ทั่วถึงทุกชุมชน เนื่องจากรา ค่อนข้างแพง และยงั เปน็ ส่ือท่มี องเหน็ ภาพ สอื่ อินเทอร์เน็ต เป็นสอ่ื ทีก่ ำลังได้รับความนิยมกันในปัจจุบันแต่ กม็ ใี ช้เฉพาะกลุม่ บุคคลเท่านัน้ 2. การเลือกเรื่องหรือรายการที่จะฟังและดู กลุ่มผู้ฟังมีความสนใจเรื่องราวที่จะฟังแตกต่างกนั เชน่ สนใจฟังเพลง ละคร ข่าวสาร สารคดี ตลอดจนการวเิ คราะหเ์ หตุการณบ์ ้านเมือง 3. มีวิจารณญาณ สื่อมวลชนต่าง ๆ นำเสนอรายการมากมายหลายรูปแบบ ผู้ฟังจะต้องใช้ วจิ ารณญาณ แยกแยะวา่ รายการใดมปี ระโยชน์ เหมาะสมกับเพศ วยั แยกแยะองค์ความรู้ ข้อเทจ็ จรงิ 4. การแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง รายการวิทยุหรือโทรทัศน์บางรายการ ผู้ฟังและผู้ดูสามารถมี ส่วนร่วมในกระบวนการสื่อสารได้ดังนั้นหากมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น ควรแสดงความคิดเห็นบ้างตาม โอกาส มารยาทในการฟงั และการดู มดี ังน้ี 1.ไปถึงสถานที่จัดงานก่อนเวลาอย่างน้อย 15 นาที เพื่อจะได้ไม่รบกวนผู้อื่นขณะฟังและดูการ แสดง และควรนั่งตามลำดับก่อนหลัง 2. แตง่ กายใหถ้ ูกกาลเทศะ ถา้ งานทจี่ ดั เป็นทางการ ควรสวมเสื้อผ้าท่ีสุภาพเรียบร้อย ไมส่ วมรองเท้า 3. ให้เกียรตผิ ูพ้ ดู หรือผู้แสดงเม่อื มกี ารแนะนำตวั ดว้ ยการปรบมอื และปรบมอื อีกคร้ังเมอ่ื มกี าร 4. ตั้งใจฟังหรือดูการแสดงด้วยอาการสำรวม ไม่พูดคุยหรือวิจารณ์เสียงดัง เพราะเป็นการ รบกวนผอู้ ่นื 5. รกั ษาความสงบ ไมร่ บกวนสมาธผิ ู้อ่นื ด้วยการกระทำใดๆ 6. ไม่แสดงกิริยาที่ไมเ่ หมาะสมตอ่ ผู้อนื่ ขณะฟงั หรอื ดกู ารแสดง 7. ควรปิดเครอื่ งมือส่ือสาร หากมีธรุ ะจำเปน็ ควรใช้ระบบฝากขอ้ ความ 8. สบตาผพู้ ดู เพ่ือแสดงความสนใจ ไมค่ วรทำกิจกรรมอย่างอ่ืน

ส่วนประกอบของข้อความท่ีฟังและดู ได้แก่ 1. ใจความ หมายถงึ ข้อความทสี่ ำคัญทส่ี ุดของเรอ่ื งจะตัดออกไม่ได้ ถ้าตัดออกจะทำให้ สาระสำคัญของเร่ืองเปลย่ี นแปลงไปจากเดิม 2. พลความ หมายถงึ ข้อความที่มคี วามสำคญั น้อยกวา่ ใจความ มีหนา้ ทีข่ ยายใจความให้ชัดเจน ขัน้ ตอนการสรุปความจากการฟังและการดู ไดแ้ ก่ 1. ขน้ั รบั สารใหเ้ ขา้ ใจ เมื่อฟงั และดเู รอื่ งใดแลว้ ต้องทำความเข้าใจ จับประเดน็ สำคญั หรือ แนวคิดสำคญั ของเร่ืองทผ่ี สู้ ่งสารรเู้ รอ่ื ง เข้าใจ วา่ เปน็ เรื่องอะไร 2. ขั้นคดิ สรปุ ความ เพ่ือให้เข้าใจสาระสำคญั ของเรื่องท้ังหมด ดว้ ยการต้ังคำถามตอ่ จากการจับ ประเด็นสำคัญของเรอื่ งว่า เรื่องนน้ั เกี่ยวกับใคร ทำอะไร ท่ีไหน เมื่อไร อยา่ งไร โดยสรุปใจความสำคญั 3. ประโยชน์หรอื ขอ้ คิดที่ได้จากการฟังและดู หลังจากสรุปเร่ืองทั้งหมดได้แล้ว เพ่ือให้ได้ ประโยชนจ์ ากการฟงั และดูยง่ิ ขึน้ ผูร้ บั สารควรติดต่อวา่ เราได้อะไรจากเร่ืองนน้ั บา้ ง จะเอาไปใช้ประโยชนไ์ ด้ อย่างไร 4. ขนั้ เขียนสรปุ นำใจความสำคัญมาเรียบเรียงใหม่ด้วยสำนวนของผูส้ รปุ เองอย่างส้ันๆ การสรปุ ความจากสารประเภทต่างๆ ไดแ้ ก่ 1. สารที่ให้ความรู้ มที งั้ ความรู้ท่ัวไปทไี่ ด้ยินไดเ้ หน็ ในชวี ิตประจำวัน การทำงานจากบคุ คลรอบ ข้าง ข่าวสาร สารคดี บทวเิ คราะหข์ า่ ว พิจารณาใหร้ อบคอบ 2. สารท่ีใหค้ วามบันเทิง จะไม่เนน้ ทคี่ วามสำคัญของเนื้อหาสาระ จะเน้นที่ความสนุกสนาน เพลิดเพลินแกผ่ ู้รับสาร 3. สารท่ีให้ความจรรโลงใจ ก่อใหเ้ กิดสตปิ ัญญา หรอื ช่วยยกระดับจิตใจของผ้รู ับสารให้สงู ข้ึน ผ้รู ับสารตอ้ งมวี ิจารณญาณที่เช่ือหรือปฏิบตั ใิ นสง่ิ ท่ีถูกต้อง 4. สารทีโ่ น้มนา้ วใจ จะออกมาในลกั ษณะชกั ชวนให้เหน็ ดีเหน็ งามหรือใหโ้ อนอ่อนตาม ให้เช่อื หรือปฏิบตั ิตามในสิง่ ที่ผู้ส่งสารตอ้ งการ ผู้ฟงั หรอื ผดู้ สู ารต้องมวี ิจารณญาณใหร้ อบคอบ เชน่ การดโู ฆษณา สนิ ค้า

ใบงานที่ 1 วชิ าภาษาไทย การฟังและการดู จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. การฟงและการดู หมายถงึ ..................................................................................................................... .............. ...................................................................................................................................................... ............................................................................................ .......................................................... ...................................................................................................................................... ................ ...................................................................................................................................................... 2. จงบอกหลกั การฟงและการดูท่ดี ี มา 3 ข้อ ................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ................ ................................................................................................................... ................................... 3. จงบอกจดุ มุงหมายของการฟงและการดู มา 3 ขอ ............................................................................................................................. ...... ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... ................................................................................................................... ...................................

ใบความรู้ท่ี 2 วิชาภาษาไทย พท21001 การพดู และการอ่าน ความรพู้ ้ืนฐานในการพดู เพ่อื ให้การพดู ประสบความสำเรจ็ ผูพ้ ูดควรมีความรู้พ้ืนฐานในการพูด ดงั ต่อไปน้ี ประเภทของการพดู ประเภทของการพูดแบง่ ตามลักษณะการพดู ได้ 2 ประเภท ดงั นี้ 1. การพูดอยา่ งไม่เปน็ ทางการ คอื การพดู ในชีวิตประจำวัน เช่น การสนทนา การพดู โทรศพั ท์ การแนะนำตวั การซักถาม การตอบคำถาม เป็นต้น ผพู้ ูดตอ้ งฝกึ ฝนให้เป็นผู้ทพ่ี ดู ไดถ้ ูกตอ้ ง น่าฟัง และ เหมาะสมกบั กาลเทศะและบุคคล 2. การพดู อยา่ งเปน็ ทางการ หมายถึง การพดู อย่างเป็นพิธกี ารในท่ปี ระชุม หรือ การพูดตอ่ หน้า ชมุ ชนในโอกาสตา่ ง ๆ และเพ่ือจุดหมายต่าง ๆ ตอ้ งอาศยั ความร้คู วามสามารถและมีศลิ ปะในการพดู การ พูดอยา่ งเป็นทางการ เชน่ การปาฐกถา การอภิปราย บรรยาย การกลา่ วสุนทรพจน์ เป็นตน้ รูปแบบของการพูด การพูดมีหลายแบบ เพ่ือใหป้ ระสบความสำเร็จในการพูด ผู้พูดควรเลือกแบบการพดู ให้ เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการพูดแต่ละคร้ัง แบบของการพูดมีดงั น้ี 1. การพูดบอกเล่าหรือบรรยาย หมายถึง การพดู ท่ีม่งุ ใหค้ วามรู้ ความเขา้ ใจแกผ่ ู้ฟงั เช่น การพูด อบรม ปฐมนิเทศ ชแ้ี จงระเบียบ ขอ้ บังคับ สรปุ รายงาน การสอน การเลา่ เรื่อง เล่าประสบการณ์ การ แนะนำวทิ ยากร การพูดตามมารยาทสงั คมในโอกาสต่าง ๆ เช่น การกล่าวตอ้ นรับ แสดงความยินดี อวยพร เป็นต้น 2. การพดู จงู ใจหรือโน้มน้าวใจ หมายถงึ การพูดทีม่ งุ่ ใหค้ วามรู้ ความคิด ปลุกเร้า ให้ผฟู้ ังคิดตาม เชื่อถอื คล้อยตาม และปฏิบตั ิตาม วิธีการพดู ต้องสอดใส่อารมณ์ กริ ิยาทา่ ทาง ความรสู้ ึกทจ่ี ริงใจ ลงไป เช่น การพูดจูงใจให้คนไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การโน้มน้าวชักชวนให้คนประท้วงหรือเดินขบวน โน้มน้าวให้ คนบริจาคเงิน บรจิ าคโลหติ จงู ใจให้ซือ้ สนิ ค้า เปน็ ตน้ 3. การพูดจรรโลงใจหรือการพูดเพื่อความบันเทิง หมายถึง การพูดที่มุ่งให้ความสนุกสนาน รื่น เริง ขณะเดียวกันก็ได้สาระ หรือได้แง่คิดบางประการด้วย เช่น การเล่านิทาน การเล่าเรื่องตลก ขำขัน ปจั จุบันมีการพดู แบบน้ีในทีส่ าธารณะและมีผู้สนใจฟงั เปน็ จำนวนมาก ในการปฏิบัติ แม้ว่าผู้พูดจะเน้นหนักไปในการพูดแบบใดแบบหนึ่งแต่ก็สามารถนำการพูดทั้ง 3 แบบ มาปรบั ใช้ให้สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ และเนอ้ื หา เพือ่ ให้การพดู ครัง้ นัน้ ๆ ประสบความสำเร็จ วิธกี ารพดู

วิธีการพูด จำแนกได้ดังนี้ 1. พูดแบบฉับพลัน หรือพูดแบบกะทันหัน คือ การพูดที่ผู้พูดไม่มีโอกาส หรือไม่ได้เตรียมตัว ล่วงหน้า ประสบการณ์ ความรู้ ความคิด และปฏิภาณ ไหวพริบ จะช่วยให้ผู้พูด พูดได้ดีในชีวิตประจำวัน เราอาจต้องพดู แบบนเี้ สมอ ๆ เชน่ ในการโต้ตอบสนทนา การใหส้ มั ภาษณ์ เป็นต้น 2. พูดแบบอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ วิธีนี้นิยมใช้แบบเป็นทางการ เช่น การกล่าวรายงาน แถลงการณ์ กล่าวเปดิ กล่าวปดิ งาน กล่าวตอบในพิธีการตา่ งๆ การกล่าวถวายรายงานเฉพาะพระพักตร์เป็น ตน้ 3. การพดู แบบท่องจำ บางครัง้ เราจำเป็นตอ้ งจำข้อความบางอย่างไปใช้อา้ งหรือใช้พูด เช่น โคลง กลอน บทกวีต่าง ๆ คำคม ภาษิต ตัวเลข สถิติ เราสามารถนาสิ่งเหล่านี้ไปประกอบการพูดได้ตามความ เหมาะสม 4. พูดจากความเข้าใจโดยมีการเตรียมตวั ลว่ งหน้า การพูดจากความเข้าใจ คือการพดู จากความรู้ ความสามารถ ความรู้สึกของผู้พูด และจะพูดได้ดียิ่งข้ึนถ้าได้มีการเตรียมตัวล่วงหน้า ผู้ที่คิดว่ายังมีความรู้ ความสามารถนอ้ ยก็จะสามารถพดู ได้ดีถา้ ได้มโี อกาสเตรยี มตัวและฝึกฝน องคป์ ระกอบของการพูด การพูด คือ พฤติกรรมในการสื่อสาร องค์ประกอบของการพูดจะเป็นไปในทำนองเดียวกับ องค์ประกอบของการสอื่ สาร นน่ั คือมอี งค์ประกอบพ้นื ฐานที่สำคญั คือ 1. ผู้พดู คอื ผ้สู ่งสาร (sender) 2. เรอื่ งท่พี ูด คอื สาร หรือเนื้อหาสาระ (message) 3. ภาษา คือ สื่อ(media) หรือเครื่องมือที่ถ่ายทอดสาร ทั้งภาษาที่ใช้ถ้อยคำ (วัจนภาษา) และ ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำ (อวัจนภาษา) และอุปกรณ์อนื่ ๆ ทใ่ี ชป้ ระกอบการพูด เชน่ ไมโครโฟนคอมพิวเตอร์ สื่อ power point แผนภูมิ รปู ภาพ ฯลฯ 4. ผู้ฟงั คอื ผู้รับสาร (receiver) นอกจากนั้นองค์ประกอบของการพูดยังหมายรวมถึงผล (effect) ที่เกิดจากการพดู เช่น ความรู้ ความเขา้ ใจ ความรู้สึก ปฏิกิริยาตอบสนอง (feedback) ทผี่ ฟู้ ังแสดงออก เชน่ เห็นด้วย ไม่เหน็ ดว้ ย ชืน่ ชม ดี ใจ เสียใจ และสถานการณ์แวดล้อมตา่ ง ๆ ในการพูด เชน่ สถานที่ เวลา และโอกาสอกี ด้วย อวัจนภาษาในการพูด การพูดที่ดนี อกจากวัจนภาษา (verbal language) คือถอ้ ยคำภาษาทีส่ ่ือสารเนื้อหาสาระต่าง ๆ แล้วสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ช่วยให้การพูดประสบความสำเร็จ ก็คือ อวัจนภาษา (non-verbal language) ซึ่งจะช่วยสื่อความหมาย ช่วยใหก้ ารพูดเป็นธรรมชาติ ชว่ ยเนน้ ให้มีน้าหนัก และช่วยให้ผู้ฟังเกิด ความรสู้ ึกเชอ่ื มัน่ ศรัทธาในตวั ผู้พูด อวจั นภาษาทีส่ ำคญั ในการพดู มดี งั นี้

1. การเดนิ ควรเดินอย่างกระฉบั กระเฉงมั่นใจ มีชีวติ ชวี าไมเ่ นิบเนือยแต่ไม่ เรง่ รีบลุกลน ท่าเดิน ท่คี วรหลีกเลีย่ งคอื การเดินวางกา้ มแบบนักเลงโต เดนิ ตวั ลีบกระมดิ กระเมีย้ น ประหมา่ อาย หลกุ หลิก แกว่ง แขนมากเกินไป นวยนาดแบบนางละคร เดินหลงั งอ เล่นหรอื ตามสบายเกินไป 1.1 การเดินไปสูท่ ่ีพดู ควรเดินชา้ ๆ มน่ั ใจ เมื่อถงึ ท่พี ูด ควรหยุดเล็กน้อย กวาดสายตาไปทั่ว ๆ ผฟู้ งั ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วจึงเร่มิ ปฏิสันถารหรือทกั ทายผ้ฟู งั 1.2 การเดินระหว่างพูด ทำได้บ้าง ให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่พูด เช่น ก้าวไปข้างหน้า หมายถึงย้ำเน้น ชี้จุดสำคัญ ถอยหลัง หมายถึง ชะงัก ลังเล หรือคิดทบทวน ก้าวไปข้าง ๆ แสดงการ เปรียบเทียบ การเดินระหว่างพูดช่วยดึงดูดความสนใจของผู้พูด แก้ความจำเจ แต่ถ้าเดินมากเกินไปผู้ฟังจะ มนึ งง และไมค่ วรหนั หลงั ให้ผู้ฟังขณะเดนิ กลับจากจุดหน่งึ ไปยงั อกี จดุ หน่ึง 1.3 การเดินกลบั ควรเดินอย่างชา้ ๆ และม่ันใจเช่นเดยี วกัน 2. การยืนและการนั่ง การยืนและการนั่ง จะต้องมีการทรงตัวที่สง่างาม ผึ่งผาย ช่วยให้ผู้ฟัง ศรัทธา การทรงตัวทด่ี ี ลำตวั จะตอ้ งตงั้ ตรง หลังตรง ไหลต่ รง เกบ็ พงุ ดสู บาย และเป็นธรรมชาติ 2.1 การยืน ควรยืนสบาย ๆ วางเท้าให้เหมาะสม ไม่ห่างเกินไป หรือชิดเกินไป ส้นเท้าชิด หรือห่างเล็กน้อย ปลายเท้าห่างพอสมควร น้ำหนักลงที่ก้อนเนื้อกลมถัดจากหัวแม่เท้า ไม่ยืนเขย่งหรือ น้ำหนักลงที่ส้นเท้า ท่ายืนที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น ท่าตรงแบบทหาร เพราะไม่เป็นธรรมชาติ ท่าพักขา หรือ หย่อนขาข้างใดขา้ งหนง่ึ เพราะดลู ำลอง สบาย ๆ เกินไป ท่าท้ิงสะโพกไปข้างใดข้างหนง่ึ หรือสลับกนั เพราะ เสยี การทรงตวั และดูตลก ท่านางแบบ ท่าไหล่ทรุด คอเอยี ง หลกุ หลกิ โยกหนา้ -หลัง พิงโต๊ะ-เกา้ อี้ หรือแท่น พูด ฯลฯ 2.2 การนั่ง นั่งในท่าสง่างาม หลังตรง วางเท้าให้เหมาะสม สุภาพสตรีควรเอียงขาไปข้างใด ขา้ งหนง่ึ หรือไขวป้ ลายเทา้ ไมน่ ั่งไขวห่ ้าง นงั่ ให้เต็มสะโพก เท้ายนั พ้ืน 3. การใช้กริ ิยาทา่ ทาง กิริยาท่าทางท่สี ัมพันธ์กบั การพูด มีดังนี้ 3.1 การเคลื่อนไหวศีรษะและลำคอ สื่อความหมายบางประการดังนี้ ศีรษะตั้งตรง หมายถึง กล้าหาญ ม่นั คง มนั่ ใจ ภมู ใิ จ มีอำนาจ ผงกศรี ษะ หมายถึง ยอมรบั เห็นด้วย โน้มศรี ษะไปขา้ งหน้า หมายถึง เคารพ ขอร้อง ขอความเห็นใจ ผงะศีรษะไปข้างหลัง หมายถึง ตกใจ สะดุ้ง สั่นศีรษะ หมายถึง ปฏิเสธ ไม่ เห็นด้วย ไม่ยอมรับ ก้มศีรษะ หมายถึง ขวยอาย สงบ ปลง สุภาพ เอียงศีรษะ หมายถึง คิด สงสัย ไม่แน่ใจ เปน็ ตน้ 3.2 การแสดงสีหน้า การแสดงสีหน้าจะสอดคล้องกับน้ำเสียง ท่าทาง และดวงตา เช่น ยิ้ม เศรา้ ตกใจ ร่าเริง สงสัย เสยี ใจ สีหน้าโดยท่ัวไป ควรยมิ้ แย้มแจม่ ใส เปน็ มิตรกับผฟู้ ัง 3.3 การใช้ท่ามือ ช่วยเน้นย้ำหรือขยายความเข้าใจ ท่ามือมีหลายแบบ เช่น หงายมือแล้ว ค่อย ๆ เคลื่อนไปสู่ผู้ฟัง เป็นการแสดงความรู้สึกเป็นมิตร ยกย่อง หรือเชื้อเชิญ แบมือทั้งสองข้าง หมายถึง

สูญเสีย หมดหวัง ยกมือตั้งสั่น หมายถึง ปฏิเสธ คว่ำมือแล้วลดมือลง แสดงการขอร้องให้สงบ ขอให้ช้าลง หรือแสดงระดบั สูง-ต่ำ ตะแคงมือแล้วเคล่ือนมือไปทางซ้ายหรือขวา แสดงถงึ การแบ่ง ตะแคงมอื ตั้งบนฝ่ามือ แสดงการตัดแบ่ง กำมือแสดงถึงความมั่นคง เอาจริงเอาจัง ชี้นิ้วแสดงถึงลักษณะเฉพาะเจาะจง เน้น ตักเตอื น หรอื บอกทิศทาง เป็นตน้ นอกจากนั้นยังมีการใช้มือและแขนแสดงขนาดเล็ก ใหญ่ สูง ต่ำ แสดงรูปร่าง กลม เหลี่ยม แสดงจานวน เช่น 1, 3, 5 และระดับมือที่ใช้มีอยู่ 3 ระดับคือ สูง ระดับไหล่ขึ้นไป กลาง ระดับเอวถึงไหล่ และตำ่ คอื ระดบั ต่างจากเอวลงไป โดยท่วั ไปจะใชท้ า่ มอื ในระดับกลางและระดับสูง หลักการใช้ท่ามือที่ดีต้องเป็นธรรมชาติ จังหวะเหมาะ มีความหมายและใช้ไม่มากเกินไป ไม่ ขัดเขนิ หรือมองดูมอื ขณะทำท่า หลกี เล่ียงการใชท้ า่ มอื ซ้ำ ๆ หรอื ไม่มีความหมาย หรอื มลี กั ษณะมือไม่อยู่สุข แตะจมกู เกาศรี ษะ เป็นตน้ 4. การใช้สายตา การใช้สายตาช่วยให้การพูดมีพลังมีความหมาย สร้างความสัมพันธ์กับผู้ฟัง ถ่ายทอด ความรูส้ ึกของผู้พูด ได้รบั รปู้ ฏิกริ ิยาตอบสนองของผู้ฟัง ลักษณะการใช้สายตาท่ีควรฝึกฝน คือ 4.1 การใช้สายตาเมื่อเริ่มต้นพูด ให้มองผู้ฟังเป็นส่วนรวมก่อน โดยมองไปที่ผู้ฟังที่อยู่ตรง กลางแถวหลังสดุ หลังจากนั้นจึงเปล่ียนสายตาไปยังจุดอื่น ซ้าย ขวา หน้า หลัง ให้ทั่วถึง และเป็นธรรมชาติ อย่าเปลี่ยนสายตาโดยรวดเร็ว หรือใช้สายตาแบบพัดลมส่าย ควรจับตาและเปลี่ยนสายตาในลักษณะของ การถา่ ยรูป 4.2 การใช้สายตาขณะพูด มองผู้ฟังให้ทั่วถึง สบตาผู้ฟังนิ่งอยู่เฉพาะคนบ้าง และใช้สายตา แสดงความร้สู กึ อารมณ์ ตามเน้อื หาทีพ่ ูด อวจั นภาษาเกี่ยวกับสายตาบางประการ เช่น เบง่ิ ตาโพลง หมายถึง ตกใจ อยากได้ ปิดตา หมายถึง อ่อนเพลีย หรี่ตา หมายถึง สงสัย ไม่แน่ใจ ยั่วเย้า ประสานสายตา หมายถึง จริงใจ แนใ่ จ ลดสายตาลง หมายถงึ เกรง รูส้ ึกผิด ยอมรับ ชาเลอื งตา หมายถึง อาย อิจฉา ดูถกู เปน็ ตน้ ขณะพูด ให้หลีกเลี่ยงการมองเพดาน มองข้ามศีรษะไปที่ผนังหลังห้อง มองออกนอกประตู หนา้ ต่าง หรือใชส้ ายตาหลุกหลิก เหลือบไปเหลอื บมาตลอดเวลา ทาใหเ้ สียบคุ ลิกภาพ 5. การใช้เสียง เสียงจะห่อหุ้มอยู่โดยรอบถ้อยคำ ช่วยถ่ายทอดอารมณ์ และความรู้สึกของผู้พูด สิง่ ที่ตอ้ งคำนึงเก่ยี วกับการใช้เสยี งมีดังน้ี 5.1 เสยี งและการออกเสียง จะตอ้ งชดั เจน แจม่ ใส นุ่มนวลชวนฟัง ไมห่ ้วน ไม่สงู แหลมจนฟัง ไม่สบายหู ไม่ต่ำจนฟังไม่ถนัดไม่สั่นเครือไม่แหบพร่าและไม่เพี้ยนแปร่ง นอกจากนั้นยังต้องไม่ดังหรือค่อย จนเกินไป หนัก เบา สูง ต่ำ เป็นไปตามธรรมชาติ มีการ เน้นย้ำไม่ราบเรียบเสมอกันไปโดยตลอด (mo-no- tone) แต่ก็ไม่ควรเปลี่ยนระดับเสียงขึ้น – ลง – สูง - ต่ำ มากเกินไป จนดูเหมือนเสียงแสดงละคร (dramatization) ออกเสียงสระ พยัญชนะ และระดับเสียงวรรณยุกต์ชัดเจน ถูกต้อง การออกเสียงชัดเจน ถูกตอ้ งช่วยใหก้ ารพดู ครัง้ น้ัน ๆ น่าฟังและนา่ เชอื่ ถือ

5.2 จังหวะการพูด ไม่เร็วจนเสียความ ไม่ตัดหรือรวบคำ เช่น “กระทรวงสาธารณสุข” ออก เสยี งเปน็ “กระทรวงสาสุข” “มหาวทิ ยาลยั ” ออกเสียงเปน็ “มหาลัย” “พจิ ารณา” ออกเสยี งเป็น “พิณา” เป็นต้น และต้องไม่ช้าเนิบนาบจนเกินไป การพูดเร็วเกินไป ผู้ฟังจะฟังไม่ทันและรู้สึกเหนื่อย การพูดช้า จนเกินไปผู้ฟังก็จะรู้สึกรำคาญ และอึดอัด นอกจากนั้นยังต้องเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง การเว้นวรรคตอนผดิ จะทาใหส้ ื่อความหมายผิดได้ การอา่ น ความรู้พืน้ ฐานเกีย่ วกบั การอ่าน การอ่านทด่ี นี น้ั เกิดจากทกั ษะการฝกึ ฝนและการเรียนรู้ การอ่านเปน็ การสือ่ สารระหว่าง ผสู้ ่งสาร ด้วยการเขียนกับผู้อ่าน โดยอาศัยตัวหนงั สอื เปน็ สื่อ ผู้อา่ นจึงเกดิ ความรู้ ความคิดและประสบการณ์ สามารถ นำความรู้ความคิดและประสบการณ์เหลา่ นน้ั ไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั ได้ แต่ผลจากการอ่านท่ีผ้อู า่ นไดร้ บั นั้น ยอ่ มไดร้ ับผลแตกตา่ งกนั เพราะฉะน้นั การมีความร้เู กยี่ วกบั การอ่านจะชว่ ยใหเ้ กิดประโยชน์ต่อผอู้ า่ นได้ ความหมายของการอา่ น การอ่านคอื การรับรคู้ วามหมายจากถ้อยคำท่ีตีพิมพ์จากสง่ิ พิมพช์ นิดต่าง ๆ เพ่ือรับรู้ว่าผูเ้ รียนคิด อะไรและพดู อะไร โดยทีผ่ ู้อา่ นต้องเรมิ่ ทำความเขา้ ใจวลี ประโยค ซงึ่ รวมอยู่ในย่อหน้า แต่ละย่อหนา้ แล้ว รวมเปน็ เร่ืองเดียวกนั สพุ รรณี วราทร กลา่ วสรุปความหมายของการอ่านวา่ การอ่านเปรยี บเหมือนการถอดรหสั อนั เป็น ผลจากการเหน็ สญั ลกั ษณ์หรือข้อความ การอ่าน เนน้ กระบวนการทางสมองท่ีซับซ้อ ซึ่งการอ่านนัน้ เกย่ี วข้อง กบั พฤตกิ รรม 3 ลักษณะ คือ 1. การรบั รู้ ได้แกก่ ารรับร้คู ำ คอื แปลสญั ลกั ษณ์ท่เี นน้ ลายลกั ษณอ์ ักษรได้ 2. การมคี วามเข้าใจ มี 3 นยั คอื 2.1 การประสานความหมาย คือการกำหนดความหมายใหส้ ญั ลักษณ์ท่ีเป็นลายลักษณ์ อักษร 2.2 ความเขา้ ใจทางภาษา หมายถึง เข้าใจขอ้ ความทอ่ี ่านซ่ึงต้องอาศัยทักษะการอา่ นบาง ประการ 2.3 การตคี วาม เปน็ การประมวลความคดิ จากเนอ้ื หาต่าง ๆ ในข้อเขียน รบั ความเขา้ ใจโดย เชื่อมโยงจากส่ิงท่ีอา่ นท้ังหมด ทำให้เกิดความเขา้ ใจในสารท่ีนำเสนอ 3. การมปี ฏกิ รยิ าต่อส่ิงที่อา่ น เป็นเร่อื งของการประเมินผลซงึ่ หมายถึงการพิจารณา วิเคราะห์ เพื่อหาข้อเท็จจริงจากการอ่าน

พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน ให้ความหมายของการอา่ นวา่ “การอ่านตามตวั หนงั สอื การ ออกเสยี งตามตัวหนงั สือ การดหู รอื เข้าใจความจากตัวหนงั สือ : สงั เกต หรือพิจารณาดู เพอ่ื ให้เขา้ ใจ : คิด นับ (ไทยเดิม)” จากคำจำกดั ความข้างตน้ นี้ การอ่านในที่นีจ้ ึงหมายถงึ การอา่ นในใจและการอ่านออกเสียง สมบตั ิ จำปาเงนิ ให้ความหมายของการอ่านว่า เปน็ การเกบ็ รวบรวมความคิดที่ปรากฏอยู่ในหนังสอื ทีอ่ า่ น และ สรปุ ว่าการอา่ นท่ีจะได้ผลต้องพิจารณาจากพฤติกรรมพน้ื ฐาน 3 ด้าน คอื การแปลความตีความและการขยาย คาม การแปลความ คอื การเข้าใจเร่ืองราวอย่างตรงไปตรงมา การตีความ คือ การเขา้ ใจเรือ่ งราวอย่างลึกซงึ้ และอาจแยกแยะไปไดอ้ ีกหลายแง่มมุ การขยายความ คอื การนำเสนอความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในรปู ของการอธบิ ายเพมิ่ เติม สรปุ การอ่าน หมายถึง การเก็บรวบรวมความคดิ ทป่ี รากฏในหนังสอื ทีอ่ ่าน ซ่ึงในการอา่ นผู้อ่านมี พฤติกรรมในการรบั รู้ การแปลความ ความเขา้ ใจความหมายจากการตีความ โดยต้องอาศัย การขยายความ ประกอบด้วย ลักษณะของนกั อ่านท่ีดี การเปน็ นกั อา่ นท่ดี ีนัน้ ย่อมให้ประโยชน์แก่บุคคลนัน้ ๆอย่างสูงสุด ซึ่งกอ่ นท่จี ะเป็นนกั อา่ นทด่ี ีได้ ผอู้ ่านควรมคี วามร้เู ก่ยี วกบั การอา่ นเบอ้ื งตน้ ว่าต้องมคี วามสามารถทางภาษา รูค้ ำ ร้จู กั ส่วนต่าง ๆ ของ หนงั สือ รวู้ ่าหนังสอื ประเภทใดควรใชก้ ารอา่ นอย่างไร รู้จักเลือกหนงั สืออ่าน และร้แู หลง่ ของหนังสืออีกด้วย การมคี วามรเู้ ร่ืองเหล่านีจ้ ะชว่ ยพฒั นาให้เปน็ นักอา่ นทด่ี ีได้ ซ่ึงนักอ่านที่ดนี ั้น สมบัติ จำปาเงนิ และสำเนยี ง มณีกาญจน์ (2545 , หนา้ 6-7) ได้กล่าวไว้ดังนี้ 1. มีความต้ังใจ หรือมีสมาธแิ น่วแน่ในการอ่าน 2. มคี วามอดทน หมายถึง สามารถอา่ นหนังสือได้ในระยะเวลานานโดยไม่เบอ่ื 3. อ่านได้เรว็ และเขา้ ใจความหมายของคำ 4. มีความรูพ้ ืน้ ฐานพอสมควร ทงั้ ดา้ นความรู้ทั่วไป ถอ้ ยคำ สำนวนโวหาร ฯลฯ 5. มนี สิ ัยจดบนั ทึก รวบรวมความรคู้ วามคดิ ที่ได้จากการอา่ น 6. มีความจำดี คือ จำข้อมลู ของเร่ืองได้ 7. มคี วามรเู้ รือ่ งการหาข้อมูลจากห้องสมุด เพราะจะชว่ ยประหยดั เวลาในการหาข้อมูล 8. ชอบสนทนากับผ้มู คี วามร้แู ละนักอ่านด้วยกนั . 9. หมั่นทบทวน ตดิ ตามความรู้ที่ตอ้ งการทราบหรอื ข้อมลู ทีเ่ ปลย่ี นแปลงตลอดเวลา

10. มีวจิ ารณญาณในการอา่ น คือ แยกเนอ้ื หาข้อเทจ็ จริง เพ่ือกันส่งิ ท่ีเปน็ ประโยชน์ไว้ใช้ต่อไป ในอนาคต ความมุ่งหมายในการอา่ น การรคู้ วามมุ่งหมายในการอ่าน เป็นองค์ประกอบหนึ่งของทักษะการอ่านเร็ว และการอา่ นเพื่อ ได้รบั ประโยชนอ์ ยา่ งเตม็ ท่ี การทีผ่ ู้อ่านรวู้ ่าอ่านเพ่ืออะไร จะทำใหส้ ามารถเลือกส่ือการอา่ นไดอ้ ย่างถกู ต้อง เหมาะสม และทำให้การอา่ นมสี มาธิ โดยทั่วไปการอา่ นมีความมุง่ หมายดังน้ี 1. อา่ นเพือ่ ความรู้ เนน้ การอา่ นเร่ืองราวตา่ ง ๆ ทตี่ ้องการใหเ้ กดิ ความรู้ ซ่งึ การอ่านเพ่ือความรนู้ ้ีมี หลายลักษณะ เชน่ 1.1 อ่านเพอื่ หาคำตอบ เชน่ อ่านกฎ ระเบยี บ คำแนะนำ ตำรา หนังสอื อ้างอิง ฯลฯ 1.2 อ่านเพอ่ื รู้ข่าวสารและข้อมูล เช่น การอา่ นหนังสอื พมิ พ์ นิตยสาร วารสาร เอกสารโฆษณา และประชาสมั พนั ธ์ 1.3 อ่านเพอื่ ประมวลสาร ได้แก่ อา่ นเอกสาร วารสาร หนงั สอื อืน่ ๆ เพอ่ื ส่ิงท่ีตอ้ งการรู้และ นำมาประมวลสารเข้าด้วยกนั การอา่ นเพอ่ื ความรู้มีประโยชนม์ าก เพราะนอกจากจะสนองตอบความต้องการดา้ นตา่ งๆ แลว้ ยัง ทำให้ผอู้ ่านเกดิ ความรู้และความมัน่ ใจอันมีผลต่อบุคลิกภาพ ในบางครง้ั สารท่ีอา่ นยงั ให้ประโยชน์ในการ ประกอบอาชีพอีกด้วย 2. อ่านเพ่ือศึกษา เป็นการอ่านอยา่ งจริงจัง เช่น การอ่านตำรา และหนังสือวิชาการตา่ ง ๆ 3. อ่านเพอ่ื ความคิดเป็นการอ่านเพ่ือใหเ้ ขา้ ใจสาระของเน้อื เรื่องเป็นแนวทางในการริเร่มิ สิง่ ตา่ ง ๆ ซง่ึ เป็นความคิดอนั ได้ประโยชน์จากการอา่ น 4. อ่านเพื่อวเิ คราะห์วิจารณ์ เปน็ การอา่ นเพ่ือความรู้อย่างลึกซึ้ง ทำใหส้ ามารถแสดงความคดิ เห็น จากเรื่องที่อา่ นได้ เชน่ การอ่านบทความ ข่าว เป็นต้น 5. อา่ นเพอ่ื ความเพลดิ เพลิน เปน็ การอา่ นเพ่ือเปล่ยี นแปลงกิจกรรม เปน็ การผอ่ นคลาย เพื่อให้ เกดิ ความรืน่ รมย์ การอ่านชนิดน้ีไม่ไดจ้ ำกัดวา่ อ่านเอกสารชนิดใด ขึ้นอยูก่ ับความพอใจของผู้อ่านเปน็ สำคัญ บางคนอาจชอบอ่านหนังสอื ธรรมะเพื่อความเพลิดเพลนิ บางคนอาจชอบอ่านเรื่องส้นั นวนยิ ายก็ได้ 6. อา่ นเพือ่ ใช้เวลาอย่างสรา้ งสรรค์ หมายถงึ การอา่ นที่ไมไ่ ดม้ งุ่ หวังสง่ิ หน่งึ ส่งิ ใดโดยเฉพาะ เป็น การอา่ นเมอื่ มเี วลาวา่ งขณะรอคอยกิจกรรมอ่ืน ๆ เชน่ การนัง่ คอยบุคคลท่ีไปพบ อาจอ่านหนังสือพมิ พห์ รือ สารคดีอนื่ ใดกไ็ ด้ การอา่ นชนดิ น้ีสามารถหยดุ อา่ นได้ทนั ทโี ดยไมท่ ำลายความต่อเน่อื งหรือสมาธิในการอ่าน

องค์ประกอบของการอา่ น การอา่ นเป็นกระบวนการท่ีสำคญั และมีความซับซ้อน โดยมอี งคป์ ระกอบหลายชนิดทช่ี ว่ ยให้การ อ่านเป็นไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพ ดังตอ่ ไปนี้คือ 1. การเขา้ ใจความหมายของคำผู้อ่านตอ้ งมคี วามเข้าใจในความหมายท่ถี ูกต้องของคำศัพท์ ทุกคำ 2. การเข้าใจความหมายของกลุ่มคำ ความหมายของกลมุ่ คำนนั้ จะช่วยทำให้ผู้อ่านเข้าใจ ความหมายของเน้ือความอยา่ งต่อเน่ือง 3. การเขา้ ใจประโยค หมายถงึ การนำความหมายของกลมุ่ คำแต่ละกลุ่มมาสัมพนั ธก์ ัน จนได้ ความหมายเป็นประโยค 4. การเข้าใจย่อหนา้ ผ้อู า่ นตอ้ งเข้าใจข้อความในแตล่ ะย่อหน้า และสามารถมองเห็น ความสมั พันธ์ของย่อหนา้ ทุกย่อหนา้ อันจะทำใหเ้ ข้าใจความสำคัญของเรื่องได้ท้งั หมด เมอื่ ทราบเร่อื งองค์ประกอบของการอา่ นแล้ว ผ้อู า่ นทดี่ ีจะต้องพยายามศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ให้ ชัดเจน ตามองคป์ ระกอบน้นั ๆ การอา่ นจึงจะเกิดประสทิ ธิภาพตามทตี่ ้องการ ความสำเร็จของการอ่าน ประกอบด้วยปัจจยั ต่อไปน้ี 1) ความรู้เกีย่ วกับระบบการเขยี น รูจ้ กั ย่อหน้า ขอ้ ความทีเ่ นน้ ด้วยการขีดเส้น หรอื พิมพ์อักษร ทบึ การวรรคตอน ประโยคใจความสำคัญ ประโยคขยาย 2) ความรเู้ กี่ยวกบั การใช้ภาษา ในการใช้คำ โวหาร ภาพพจน์ สุภาษิต 3) ความสามารถในการตีความ หมายถึง ความเขา้ ใจเนื้อหา เข้าใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ประโยค และตดิ ตามความคดิ ของผูเ้ ขียนได้ 4) ความร้รู อบตัวของผอู้ ่าน ผู้อ่านที่มคี วามรู้รอบตัวมาก ๆ อาจเกิดจากประสบการณ์ต่างๆ หากสมั พันธก์ บั เรื่องที่อา่ นแล้ว จะทำใหเ้ ข้าใจไดด้ ีย่ิงขึน้ 5) เหตผุ ลในการอ่าน ผู้อ่านที่ดีต้องร้เู หตุผลในการอ่านว่าจะอ่านไปทำไมเพอ่ื จะได้เลือก วิธีการอ่านได้อย่างเหมาะสม เมอ่ื รูอ้ งค์ประกอบของการอ่านข้างต้นแล้ว ผอู้ า่ นท่ีมีความรูเ้ รื่องพน้ื ฐานในการอ่านจะรสู้ กึ ได้ว่า การอา่ นมีคุณค่าต่อชวี ิตอยา่ งมากมาย ซึ่งสามารถนำมาสรุปไดด้ ังต่อไปน้ี 1) การอ่านทำใหเ้ กดิ ความพอใจ เชน่ การอา่ นเพ่ือการพักผ่อนหย่อนใจ ฯ 2) การอ่านช่วยสนองความต้องการเรือ่ งราวตา่ ง ๆ ของตนได้อยา่ งกวา้ งขวาง เช่น การอา่ น เพอ่ื ฆ่าเวลา และยงั ทำให้ใช้เวลาวา่ งได้อยา่ งมีประโยชน์ 3) การอ่านทำให้เกดิ ความคดิ สร้างสรรค์ 4) การอา่ นทำให้รูท้ นั ความคดิ ของผู้อน่ื ทนั โลก และสามารถดำรงชีวติ ได้อย่างมีคณุ ภาพ 5) การอา่ นช่วยพฒั นาคุณภาพชีวติ เช่น การอ่าน เพ่ือการศึกษาเล่าเรยี น

ใบงานที่ 2 วิชาภาษาไทย พท21001 การพูดและการอา่ น จงตอบคำถามต่อไปน้ี 1. จงบอกความสําคญั ของการพดู มา 3 ข้อ ................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ................. ................................................................................................................... ................................... 2. จงเขยี นคำอวยพรวันเกดิ ใหเ้ พื่อน และการเขยี นแนะนำตนเอง ............................................................................................................................. ...... ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... ................................................................................................................... ................................... 3. การอานในใจ หมายถึง ............................................................................................................................. ...... ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................... ........................................................................................................................................... ........... ................................................................................................................... ................................... 4. ผอู านทดี่ ี ควรมีมารยาทอยา่ งไร ............................................................................................................................. ...... ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................. ......................................... ...................................................................................................................................... ................ ......................................................................................................................................................

ใบความรทู้ ่ี 3 วิชาภาษาไทย พท21001 การเขยี น ความรูพ้ ้นื ฐานของการเขียน ความหมายของการเขยี น การให้คำจำกัดความแสดงความหมายของการเขียนนั้นอาจมีความแตกต่างไปไดห้ ลายทางทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับทัศนะและเจตนาตามแง่มุมของวัตถุประสงค์และความสำคัญในการเขียนท่ีแตกต่างกันออกไปของ แตล่ ะบคุ คล ดังตวั อยา่ งทีย่ กมาต่อไปนี้ “การเขียน คือ วิธีการสื่อความหมายที่เป็นผลผลิตทางความคิด จากความรู้ของผู้ส่งสาร แสดง ออกมาทางลายลกั ษณอ์ ักษรภาษาไทย” (ประภาศรี สหี อาไพ, 2527) “การเขียน เปน็ ผลผลติ ของกระบวนการคิด การอ่าน การฟงั เช่นเดยี วกับการพูด ฉะน้ัน ผู้ท่ีจะ เขยี นไดด้ ีย่อมตอ้ งรู้จักคดิ มีวจิ ารณญาณในการอา่ นและการฟงั ” (อวยพร พานชิ , 2543) “การเขียน เป็นกระบวนการใช้ภาษาในภาคแสดงออก ซึ่งต้องสั่งสมความรู้และความคิดนามา เรียบเรียงเป็นเรื่องราวให้ผู้อื่นเข้าใจได้ เป็นทักษะขั้นสุดท้ายที่ยากและซับซ้อนที่สุดในกระบวนการสื่อสาร ทางภาษา” (รงั สรรค์ จันต๊ะ, 2441) จากนิยามของผู้เขียน 3 ท่าน ข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นถึง ความเกี่ยวข้องของทักษะการเขียนใน ฐานะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสื่อสารทางภาษา เป็นผลผลิตที่เป็นลายลักษณ์อักษร จากกระบวนการ คิด การอ่านและการฟงั ซ่ึงมคี วามยากและซับซ้อน สำหรับนยิ ามความหมายของ การเขียน ท่ใี ห้ความหมายครอบคลุมค่อนข้างชัดเจนน้ัน กองเทพ เคลือบพณิชกุล ได้ประมวลจากนยิ ามซ่ึงผู้ร้หู ลายท่านได้เขียนไว้ก่อนแลว้ ความว่า “การเขยี น คือทักษะการ ใช้ภาษาชนิดหนึ่ง เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความคิด จินตนาการ ประสบการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งอารมณ์และ ความรู้สึกกับข่าวสาร เป็นการสื่อสารหรือสื่อความหมายโดยมีตัวหนังสือตลอดจนเครื่องหมายต่าง ๆ เป็น สัญลักษณ์แทนถ้อยคาในภาษาพูด เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตามความมุ่งหมายของผู้เขียน การเขียนจึงเป็น ทักษะที่มีหลักฐานถาวรปรากฏอยู่นาน และการเขียนจะเกิดผลดีหรือผลเสียนั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ เนอ้ื หาและกลวิธีการเขียนของผเู้ ขยี น” (กองเทพ เคลอื บพณิชกลุ , 2542) ความสำคญั ของการเขยี น ทักษะการเขียนเป็นทักษะการสื่อสารที่มีบทบาทเพื่อการส่งสารเป็นหลัก มีความเกี่ยวข้องกับ กระบวนการเรียนรู้โดยทั่วไป ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา จนถึงระดับอุดมศึกษา นักเรียน นักศึกษาจะต้องได้รับการพัฒนาความสามารถทางด้านการเขียนจนถึงขั้นท่ีเรียกได้ว่า มีทักษะในการเขียน อย่างจรงิ จัง สมำ่ เสมอและตอ่ เนอ่ื ง

กระบวนการเรยี นการสอนผู้เรยี นจะได้รับมอบหมายงานอันเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเรียน การสอนจากอาจารย์ผู้สอนในแต่ละรายวิชา ซึ่งล้วนต้องใช้ความรู้ความสามารถในทางการเขียนมากมาย อาทิ การเขียนตอบคำถามต่าง ๆ ท้ายคาบเรียนหรือเป็นการบ้าน การเขียนตอบแบบทดสอบอัตนัย การ เขียนเรียงความ การเขียนบทความ บนั ทกึ การเรยี นรู้ ย่อความ สรุปความ ขยายความ งานเขียนประเภทอื่น ๆ ตามลักษณะเฉพาะของแต่ละสาขาวิชา รวมทั้งที่ขาดไม่ได้ คือ การเขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าทาง วิชาการซ่ึงเป็นงานประจำภาคเรียนของแทบทุกรายวิชาที่เรียกว่าภาคนิพนธ์ (Term Paper) เป็นต้น นอกจากนีแ้ ล้วการเขยี นยังใชเ้ ปน็ แบบฝึกหดั แบบทดสอบ เพือ่ การประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องผเู้ รียน อีกดว้ ย ในอดีต การเขียนเป็นการเรียนวิธีการใช้ภาษาเขียนที่สละสลวย เพื่อใช้ในการจูงใจผู้อ่าน การ เขียนจึงมุ่งเน้นที่งานเขียนในด้านความถูกต้องในการใช้ถ้อยคำภาษาและการเรียบเรียงเนื้อหาอย่างถูกต้อง ละเมียดละไม แต่ภายหลังมีแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการเขียนเพิ่มขึ้นเช่นแนวความคิดที่ว่า การเขียนมิใช่เป็น เพียงการบันทึกคำพูดเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น แต่เป็นการสะท้อนความคิดในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งอยู่ภายใน ของแต่ละบคุ คลแลว้ ถ่ายทอดออกมาเปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษร แนวความคดิ นม้ี งุ่ เนน้ ทีจ่ ุดมุ่งหมายของการเขียน ซึ่งได้แก่การสื่อความคิดความเห็นของผู้เขียนให้ผู้อื่นทราบ และแนวความคิดว่าการเขียนมิได้เป็นเพียง วิธีการสื่อสารเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความคิดสติปัญญา ทั้งในด้านการคิดค้นเร่ืองราวที่จะ นำมาเขยี นและการจัดรปู แบบการนำเสนองานเขยี นน้ัน แนวความคดิ เก่ยี วกบั การเขียนจงึ เปลี่ยนไปเป็นการ มุ่งเนน้ ที่กระบวนการเขยี น การฝึกฝนให้เกิดพัฒนาการด้านการเขียนได้นั้น นักศึกษาควรมีความรู้ ความเข้าใจตลอดจน ความตระหนักถึงความรู้ต่าง ๆ อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการเขียนเสียก่อนเพราะจะทาให้การพัฒนาการ เขียนเปน็ ไปไดด้ ้วยดีมปี ระสิทธภิ าพ

ใบงานที่ 3 วชิ าภาษาไทย พท21001 การเขียน จงตอบคำถามต่อไปน้ี 1. จงบอกหลกั ท่ีควรปฏบิ ัตใิ นการเขยี น มา 4 ข้อ ............................................................................................................................... .... ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... ................................................................................................................... ................................... 2. จงบอกมารยาทในการเขียน มา 4 ข้อ ............................................................................................................................. ...... ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... ................................................................................................................... ................................... 3. ให้นกั ศึกษารวบรวมคำขวัญประจำจงั หวัด มา 10 จังหวัด ............................................................................................................................. ...... ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................ .......................... ...................................................................................................................................... ................ ......................................................................................................................................................

ใบความรทู้ ี่ 4 วิชาภาษาไทย พท21001 หลกั การใช้ภาษา หลกั การใชภ้ าษาไทย ธรรมชาตแิ ละกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกับ โอกาสและบคุ คล การแตง่ บทประพนั ธ์ประเภทตา่ งๆ และอิทธิพลของภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรากฐานมาจากออสโตร ไทย ซึ่งมคี วามคลา้ ยคลงึ กบั ภาษาจีน มหี ลายคำที่ขอยืมมาจากภาษาจีน พ่อขุนรามคำแหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1826 มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสียง), สระ 21 รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์ 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ภาษาไทยดัดแปลงมาจาก บาลี และ สนั สกฤต คนไทยเป็นผู้ที่โชคดีที่มีภาษาของตนเอง และมีอักษรไทย เป็นตัวอักษร ประจำชาติ อันเป็น มรดกลำ้ คา่ ท่ีบรรพบุรษุ ไดส้ รา้ งไว้ ซ่ึงเปน็ เครอ่ื งแสดงว่าไทยเราเปน็ ชาติท่ีมวี ฒั นธรรมสงู สง่ มาแตโ่ บราณกาล และยั่งยืนมาจนปัจจุบนั คนไทยผู้เป็นเจ้าของภาษา ควรภาคภูมิใจที่ชาติไทยใช้ภาษาไทย เป็นภาษาประจำ ชาติมากวา่ 700 ปี และจะยงั่ ยืนตลอดไป ถ้าทกุ คนตระหนักในความสำคญั ของภาษาไทย หากแต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทใน ชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างมาก ความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อสื่อสารกลายเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า การใชภ้ าษาไทยซึ่งเปน็ เอกลักษณ์ของชาตใิ ห้ถกู ต้อง อกี ทัง้ วัยรนุ่ กลบั มองว่าการใชภ้ าษาที่ผิดกลายเป็นเรื่อง ของแฟชั่นที่ใคร ๆ ก็ทำกันทำให้เกิดภาษาใหมท่ ี่เป็นที่แพร่หลายบนโลกอินเตอร์เน็ตหรือเรียกว่าภาษาแชท (Chat) ขึ้น และถ้าหากคนในสังคมไทยยังคงใช้ภาษาไทย เขียนภาษาไทยแบบผิดๆ และไม่คิดใส่ใจที่จะใช้ ภาษาไทยให้ถูกต้อง ต่อไปอาจทำให้เกิดความเคยชินจนติดนำมาใช้สื่อสารกันในชีวิตประจำวัน จนทำให้ ภาษาไทยที่เป็นรากเหง้าของคนไทย ความภาคภูมิใจในภาษาที่บรรพบุรุษคิดค้นขึ้นมา ภาษาที่มีความ สวยงาม ก็คงต้องเลือนหายไป และถูกแทนที่ด้วยภาษาแปลกๆที่ผุดขึ้นมาบนโลกอินเตอร์เน็ตอย่างเช่นใน ปัจจุบัน ดังนั้น คณะผู้จัดทำจึงได้จัดทำเว็บไซต์ ที่เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องใน การส่อื สาร เพือ่ ย้ำเตือนและให้ความรใู้ นการใชภ้ าษาไทยทเี่ ป็นภาษาประจำชาติและเป็นความภาคภูมิใจให้ คงอยใู่ นสังคมไทยสืบไป หลกั การใช้ภาษาไทยเพ่ือการสื่อสารในอินเตอร์เน็ต 1. ใช้คำให้ถูกต้องตรงตามความหมาย กล่าวคือ ก่อนนำคำไปเรียงเข้าประโยค ควรทราบ ความหมายของคำคำนั้นก่อน เช่น คำว่า “ปอก” กับ “ปลอก” สองคำนี้มีความหมายไม่เหมือนกัน คำว่า “ปอก” เปน็ คำกริยา แปลว่า เอาเปลือกหรือสง่ิ ที่หอ่ หุ้มออก แต่คำว่า “ปลอก” เปน็ คำนาม แปลว่า สิ่งที่ทำ

สำหรับสวมหรือรัดของต่างๆ เป็นต้น ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ “วันนี้ได้พบกับท่านอธิการบดี ผมขอ ฉวยโอกาสอันงดงามนี้เลี้ยงต้อนรับท่านนะครับ” (ท่ีจริงแล้วควรใช้ ถือโอกาส เพราะฉวยโอกาสใช้ใน ความหมายท่ไี ม่ดี 2. ใช้คำใหเ้ หมาะสม เลือกใช้คำให้เหมาะสมกับกาลเทศะและเหมาะสมกบั บุคคล เช่นโอกาสท่ี เป็นทางการ โอกาสที่เป็นกันเอง หรือโอกาสที่เป็นภาษาเขียน เช่น “ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านจะคิดยังไง” (คำว่า “ยังไง” เป็นภาษาพูด ถ้าเป็นภาษาเขียนควรใช้ “อย่างไร” “เมื่อสมชายเห็นรูปก็โกรธ กระฟัดกระเฟยี ด มาก (ควรใช้ โกรธปึงปงั เพราะกระฟัดกระเฟยี ดใชก้ บั ผู้หญิง) 3. การใช้คำลักษณนาม ใช้คำที่บอกลักษณะของนามต่างๆ ให้ถูกต้อง เช่น ปากกา มีลักษณ นามเป็น ดา้ ม เล่อื ย มีลักษณะนามเปน็ ปื้น ฤๅษี มลี กั ษณะนามเปน็ ตน เป็นตน้ 4. การเรียงลำดับคำ เป็นเรื่องที่สำคัญมากในภาษาไทย หากเรียงผิดที่ความหมายก็จะ เปลี่ยนไปด้วย ทั้งนี้ เพราะคำบางคำอาจมีความหมายได้หลายความหมายซึง่ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่จัดเรียงไว้ ในประโยค เชน่ แม่เกลยี ดคนใชฉ้ นั ฉนั เกลียดคนใช้แม่ คนใชเ้ กลียดแม่ฉัน แม่คนใชเ้ กลียดฉัน ฉันเกลียดแม่ คนใช้ แมฉ่ นั เกลยี ดคนใช้ ข้อบกพร่องในการเรียงลำดับคำมักปรากฏดังนี้ - เรียงลำดับคำผิดตำแหน่ง เช่น เขาไม่ทราบสิ่งที่ดีงามน้ัน ว่า คอื อะไร (ควรเรียงว่า เขาไมท่ ราบ วา่ ส่ิงท่ดี งี ามนน้ั คืออะไร) - เรยี งลำดบั คำขยายผดิ ท่ี เช่น ขอขอบคุณ มา ณ โอกาสนี้ด้วย เป็นอยา่ งสูง (ควรเรียงว่า ขอขอบคุณ เปน็ อยา่ งสูง มา ณ โอกาสนี้ดว้ ย) - เรียงลำดับคำ ไม่เหมาะสม เช่น จงไปเลือกตั้งลงคะแนนเสียง นายกสโมสรนักศึกษา (ควรเรียงว่า จงไปลงคะแนนเสียง เลอื กตัง้ นายกสโมสรนกั ศกึ ษา) 5. แต่งประโยคให้จบกระแสความ หมายถึงแต่งประโยคให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วนทั้งส่วนที่ เป็นภาคประธานและภาคแสดง ซึ่งประโยคที่จบกระแสความน้ันจะต้องตอบคำถามว่า ใคร ทำอะไร ได้ ชัดเจน สาเหตุท่ีทำให้ประโยคไม่จบกระแสความอาจเกิดจากขาดคำบางคำหรือขาดส่วนประกอบของ ประโยคบางสว่ นไป เช่น เม่อื ตอนยังเดก็ เขาชอบนอนหนนุ ตักแม่ บดั น้เี ขาอายุยี่สบิ กวา่ แล้ว(ควรแกเ้ ป็น เม่ือ ตอนยังเดก็ เขาชอบนอนหนนุ ตกั แม่ บดั นเี้ ขาอายยุ ส่ี ิบกว่าแลว้ ก็ยงั ชอบอยเู่ หมอื นเดมิ ) 6. ใช้ภาษาให้ชัดเจน ใช้ภาษาที่ให้ความหมายเพียงความหมายเดียว เป็นความหมายที่ไม่ สามารถจะแปลความเปน็ อย่างอ่ืนได้ เชน่ “คณุ แม่ไม่ชอบคนใชฉ้ ัน” อาจแปลได้ 2 ความหมายคอื คุณแม่ไม่ ชอบใครก็ตามทใ่ี ช้ให้ฉันทำโน่นทำน่ี หรอื คณุ แม่ไมช่ อบคนรบั ใช้ของฉนั ท้ังนีเ้ พราะคำว่า “คนใช้” เป็นคำท่ี มหี ลายความหมายนนั่ เอง

7. ใชภ้ าษาใหส้ ละสลวย ใชภ้ าษาอย่างไพเราะราบร่นื ฟงั ไมข่ ัดหู และมีความกะทดั รัด - ไม่ใชค้ ำฟุ่มเฟือย หมายถงึ การใช้คำท่ีไมจ่ ำเป็น หรอื ใชค้ ำท่มี ีความหมายซ้ำซ้อน เช่น “วันน้ี อาจารย์ไม่มาทำการสอน” คำว่า “ทำการ” เป็นคำที่ไม่จำเป็น เพราะแม้จะคงไว้ก็ไม่ได้ช่วยให้ความหมาย ชัดเจนขน้ึ กวา่ เดิม หรือถา้ ตดั ทิ้ง ความหมายกไ็ มไ่ ดเ้ สียไป ดงั นน้ั จึงควรแก้ไขเปน็ “วันน้ีอาจารย์ไม่มาสอน” - ใช้คำให้คงที่ หมายถึง ในประโยคเดียวกัน หรือในเนื้อความเดียวกัน ควรใช้คำเดียวกันให้ ตลอด ดังประโยคตอ่ ไปน้ี “หมอถือว่าคนป่วยทกุ คนเป็นคนไขข้ องหมอเหมือนกนั ” (ควรแกเ้ ปน็ : หมอถอื ว่า คนไข้ทุกคนเปน็ คนไขข้ องหมอเหมือนกนั ” - ไม่ใช้สำนวนต่างประเทศ เช่น “มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องจากไป” (ควรแก้เป็น “เขาจำเป็นอย่างยิง่ ที่ตอ้ งจากไป) ขอ้ สังเกตและจดจำในการเขยี นภาษาไทย 1. หลักการประวิสรรชนีย์ในภาษาไทย - คำที่ขึ้นต้นด้วยกระ/กะ ในภาษาไทยให้ประ วิสรรชนีย์ เชน่ กระเชา้ กระเซา้ กระแส กระโปรง กระทรวง กระทะ กระพรบิ กะปิ เป็นต้น 2. คำที่เป็นคำประสมที่คำหน้าก่อนเป็นเสียงอะ ให้ประวิสรรชนีย์ - เช่น ตาวัน เป็น ตะวัน, ฉันนั้น เป็น ฉะนั้น, ฉันนี้ เป็นฉะน้ี, หมากม่วง เป็น มะม่วง, สาวใภ้ เป็น สะใภ้, วับวับ เป็น วะวับ, เรื่อย เรอ่ื ย เป็น ระเรอ่ื ย เปน็ ต้น 3. คำทยี่ ืมมาจากภาษาบาลี สนั สกฤต ตัวท้ายทีอ่ อกเสียง อะ ตอ้ งประวิสรรชนีย์ - เชน่ ศิลปะ มรณะ สาธารณะ วาระ เปน็ ต้ 4. คำทีพ่ ยัญชนะต้น ออกเสยี งอะ แต่ไมใ่ ชอ่ กั ษรนำ ต้องประวสิ รรชณยี ์ - เชน่ ขะมกุ ขะมอม ขะมกั เขม้น ทะเล่อทะล่า เป็นตน้ วรรณคดี และวรรณกรรม วรรณกรรมและวรรณคดี วรรณกรรม ความหมายตรงกบั คำในภาษาอังกฤษ คือคำว่า Literature หมายถงึ วรรณคดีหรือ ศิลปะ ที่เป็นผลงานอันเกิดจากการคิด และจินตนาการ แล้วเรียบเรียง นำมาบอกเล่า บันทึก ขับร้อง หรือ สื่อออกมาด้วยกลวิธีต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้ว จะแบ่งวรรณกรรมเป็น ๒ ประเภท คือ วรรณกรรมลายลักษณ์ คือวรรณกรรมที่บันทึกเป็นตัวหนังสือ และวรรณกรรมมุขปาฐะ อันได้แก่ วรรณกรรมที่เล่าด้วยปาก ไม่ได้ จดบันทึก

ดว้ ยเหตนุ ี้ วรรณกรรมจงึ มีความหมายครอบคลมุ กว้าง ถงึ ประวตั ิ นทิ าน ตำนาน เรื่องเล่า ขำขนั เร่ืองสนั้ นวนิยาย บทเพลง คำคม เป็นตน้ วรรณกรรม เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้ภาษา เพื่อการสื่อสารเรื่องราวให้เข้าใจ ระหว่างมนุษย์ ภาษาเปน็ ส่ิงที่มนุษย์คิดค้น และสรา้ งสรรค์ข้ึนเพื่อใช้สื่อความหมาย เรอ่ื งราวต่าง ๆ ภาษาที่ มนุษย์ใช้ในการสอ่ื สาร ได้แก่ ภาษาพูด โดยการใช้เสียง ภาษาเขียน โดยการใชต้ วั อกั ษร ตวั เลข สัญลักษณ์ และภาพ ภาษาทา่ ทาง โดยการใชก้ ิริยาทา่ ทาง หรอื ประกอบวสั ดอุ ย่างอน่ื ความงามหรือศิลปะในการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับ การใช้ภาษาให้ถูกต้อง ชัดเจน และ เหมาะสมกับ เวลา โอกาส และบุคคล นอกจากนี้ ภาษาแต่ละภาษายังสามารถปรุงแต่ง ให้เกิดความเหมาะสม ไพเราะ หรือสวยงามได้ นอกจากนี้ ยังมีการบัญญัติคำราชาศัพท์ คำสุภาพ ขึ้นมาใช้ได้อย่างเหมาะสม แสดงให้เห็น วัฒนธรรมที่เป็นเลิศทางการใช้ภาษาที่ควรดำรงและยึดถือต่อไป ผู้สร้างสรรค์งานวรรณกรรม เรียกว่า นกั เขยี น นักประพนั ธ์ หรอื กวี (Writer or Poet) วรรณกรรมไทย แบ่งออกได้ ๒ ชนดิ คอื 1. ร้อยแกว้ เป็นข้อความเรียงที่แสดงเน้ือหา เร่ืองราวตา่ ง ๆ 2. ร้อยกรอง เป็นข้อความที่มีการใช้คำที่สัมผัส คล้องจอง ทำให้สัมผัสได้ถึงความงามของ ภาษาไทย ร้อยกรองมีหลายแบบ คอื โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และรา่ ย วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมหรืองานเขียนที่ยกย่องกันว่าดี มีสาระ และมีคุณค่าทาง วรรณศิลป์ การใช้คำว่าวรรณคดีเพื่อประเมินค่าของวรรณกรรมเกิดขึ้นในพระราชกฤษฎีกาต้ังวรรณคดี สโมสรในสมัยรัชกาลที่ 6 วรรณคดี เป็นวรรณกรรมที่ถูกยกย่องว่าเขียนดี มีคุณค่า สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ สะเทือนใจ มีความคิดเป็นแบบแผน ใช้ภาษาที่ไพเราะ เหมาะแก่การให้ประชาชนได้รับรู้ เพราะ สามารถ ยกระดบั จติ ใจให้สงู ข้นึ รวู้ า่ อะไรควรหรอื ไม่ควร วรรณคดีแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท 1. วรรณคดมี ขุ ปาฐะ คือ วรรณคดี แบบที่เล่ากันมาปากต่อปาก ไม่ได้บันทึกไว้ เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น เพลง พื้นบ้าน นทิ านชาวบ้าน บทรอ้ งเลน่ 2. วรรณคดีราชสำนัก หรือ วรรรคดีลายลักษณ์ เช่น ไตรภูมิพระร่วง พระอภัยมณี อิเหนา ลลิ ิตตะเลงพา่ ย

งานเขียนในสมัยใดสมัยหนึ่ง งานประพันธ์ที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ และผู้อ่านทั่วไป สำหรับในภาษาไทย วรรณคดี ปรากฏครั้งแรกในหนังสือพระราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีสโมสร วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ โดยมีความหมายคือ หนังสือที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดี นั้นคือมีการใช้ภาษาอย่างดี มี ศิลปะการแต่งที่ยอดเยี่ยมทั้งด้านศิลปะการใช้คำ ศิลปะการใช้โวหารและถูกต้องตามหลักไว ยากรณ์ และ ภาษานัน้ ให้ความหมายชดั เจน ทำให้เกดิ การโนม้ นา้ วอารมณผ์ ู้อ่านใหค้ ล้องตามไปดว้ ย กล่าวง่าย ๆ คอื เม่ือ ผอู้ า่ น ๆ แล้วทำให้เกิดความร้สู ึกซาบซ้งึ ตน่ื เตน้ ด่มื ด่ำ หนังสอื เล่มใดอา่ นแลว้ มีอารมณ์เฉย ๆ ไม่ซาบซ้ึงตรึง ใจและทำให้น่าเบื่อถือว่าไม่ใช่วรรณคดี หนังสือที่ทำให้เกิดความรู้สึกดื่มด่ำดังกล่าวนี้จะต้องเป็นความรู้สึก ฝ่ายสงู คือทำใหเ้ กิดอารมณ์ความนกึ คดิ ในทางทด่ี ีงาม ไมช่ ักจงู ในทางที่ไม่ดี การศึกษาวรรณคดโี ดยวเิ คราะห์ตามประเภท สามารถแบง่ ได้เปน็ ประเภทตา่ ง ๆ ได้ดังต่อไปนี้ 1. วรรณคดคี ำสอน 2. วรรณคดีศาสนา 3. วรรณคดนี ทิ าน 4. วรรณคดีลิลิต 5. วรรณคดีนิราศ 6. วรรณคดีเสภา 7. วรรณคดีบทละคร 8. วรรณคดเี พลงยาว 9. วรรณคดคี ำฉนั ท์ 10. วรรณคดยี อพระเกยี รติ 11. วรรณคดีคำหลวง 12. วรรณคดีปลกุ ใจ

ใบงานท่ี 4 วิชาภาษาไทย พท21001 หลกั การใช้ภาษา และวรรณคดีและวรรณกรรม จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. การแผลงพยญั ชนะ คือ ................................................................................................................................... .................................................................................................... .................................................. ................................................................................................................................. ..................... ...................................................................................................................................................... 2. คาํ ซอน คือ แบง่ เปน็ กี่ลกั ษณะ อะไรบ้าง ................................................................................................................................... ...................................................................................... ................................................................ ................................................................................................................................. ..................... ...................................................................................................................................................... 3. อกั ษรยอ คือ .............................................................................................................................................. ................................................................................................... ................................................... ............................................................................................................................. ......................... ......................................................................................................................................................

ใบความรู้ที่ 5 เรือ่ ง ลกั ษณะทางภูมศิ าสตรก์ ายภาพของประเทศในทวีปเอเชยี เรอ่ื ง ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพของประเทศในทวีปเอเชีย 1.1 ที่ตั้ง และอาณาเขต ทวีปเอเชียเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ประมาณ 44,648,953 ลา้ นตารางกิโลเมตร มดี ินแดนท่ีต่อเน่ืองกับทวีปยุโรปและทวปี แอฟริกา แผน่ ดินของทวีปยุโรป กับทวีปเอเชีย ที่ต่อเนื่องกันเรียกรวมว่า ยูเรเชีย พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรมีทำเลที่ตั้งตามพิกัด ภูมิศาสตร์ คือ จากละติจูด 11 องศาใต้ ถึงละติจูด 77 องศา 41 ลิปดาเหนือ บริเวณแหลมเชลยูสกิน (Chelyuskin) สหพันธรัฐรัสเซีย และจากลองจิจูดที่ 26 องศา 04 ลิปดาตะวันออก บริเวณแหลมบาบา (Baba) ประเทศตุรกี ถึงลองจิจูด 169 องศา 30 ลิปดาตะวันตก ที่บริเวณแหลมเดชเนฟ (Dezhnev) สหพันธรัฐรสั เซีย โดยมีอาณาเขตติดต่อกบั ดนิ แดนตา่ งๆ ดงั ต่อไปน้ี ทิศเหนือ จรดมหาสมทุ รอารก์ ตกิ มแี หลมเชลยูสกิน ของสหพนั ธรัฐรัสเซีย เป็น แผน่ ดนิ อยูเ่ หนอื สุด ท่ีละตจิ ดู 77 องศาเหนอื ทิศใต้ จรดมหาสมุทรอินเดีย มีเกาะโรติ (Roti) ของติมอร์-เลสเต เป็นดินแดนอยู่ใต้ที่สุดที่ละติจูด 11 องศาใต้ ทิศตะวันออก จรดมหาสมุทรแปซิฟิก มีแหลมเดชเนฟ ของสหพันธรัฐรัสเซีย เป็นแผ่นดินอยู่ ตะวันออกทสี่ ุด ทลี่ องจิจดู 170 องศาตะวนั ตก ทิศตะวันตก จรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลดำ กับมีทวิ เขาอรู าลก้นั ดินแดนกับทวปี ยุโรป และ มีทะเลแดงกับคาบสมุทรไซไน (Sinai) กั้นดินแดนกับทวีปแอฟริกา มีแหลมบาบาของตุรกีเป็นแผ่นดินอยู่ ตะวนั ตกสุด ที่ลองจจิ ดู 26 องศาตะวนั ออก 1.2 ลักษณะภูมิประเทศ ทวีปเอเชียมีลักษณะภูมิประเทศแตกต่างกันหลายชนิดในส่วนที่เป็น ภาคพ้ืน ทวีป แบง่ ออกเป็นเขตต่างๆ ได้ 5 เขต คือ 1) เขตทร่ี าบตำ่ ตอนเหนือ เขตทร่ี าบตำ่ ตอนเหนือ ไดแ้ ก่ ดนิ แดนทีอ่ ยู่ทาง ตอนเหนือของ ทวีปเอเชีย ในเขตไซบีเรีย ส่วนใหญ่อยู่ในเขตโครงสร้างแบบหินเก่าที่เรียกว่า แองการาชีลด์ มีลักษณะภูมิ ประเทศเป็นที่ราบขนาดใหญ่ มีแม่น้ำอ๊อบ แม่น้ำเยนิเซ และแม่น้ำลีน่าไหลผ่าน บริเวณนี้มีอาณาเขต กว้างขวางมาก แต่ไม่ค่อยมีผู้คนอาศัยอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นที่ราบ เพราะเนื่องจากมีภูมิอากาศหนาวเย็นมาก และทำการเพาะปลูกไมไ่ ด้

2) เขตที่ราบลุ่มแม่น้ำ เขตที่ราบลุม่ แม่น้ำ ได้แก่ ดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำต่างๆ ซึ่งมีลักษณะ ภูมิประเทศเป็นที่ราบ และมักมีดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ส่วนใหญ ่อยู่ทางเอเชียตะวันออก เอเชยี ใต้ และเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ไดแ้ ก่ ที่ราบล่มุ ฮวงโห ที่ราบล่มุ แมน่ ำ้ แยงซเี กยี งในประเทศจีน ที่ราบ ลุ่มแม่น้ำสินธุ ที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา และที่ราบลุ่มแม่น้ำพรหมบุตรในประเทศปากีสถาน อินเดีย และ บังกลาเทศ ที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกริส ที่ราบลุ่มแม่น้ำยูเฟรทีส ในประเทศอิรัก ที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ใน ประเทศกัมพูชาและเวียดนาม ที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง ในประเทศเวียดนามที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ใน ประเทศไทย ทีร่ าบลุม่ แม่นำ้ สาละวนิ ตอนล่าง ที่ราบลุ่มแม่นำ้ อิระวดี ในประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพพมา่ 3) เขตเทือกเขาสูง เป็นเขตเทือกเขาหินใหม่ตอนกลาง ประกอบไปด้วยที่ราบสูงและเทือกเขา มากมาย เทือกเขาสูงเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาที่แยกตัวไปจากจุดรวมที่เรียกว่า ปามีร์นอต หรือภาษา พน้ื เมืองเรยี กวา่ ปามีร์ดุนยา แปลวา่ หลังคาโลกจากปามีรน์ อตมเี ทือกเขาสูงๆ ของทวีปเอเชยี หลายแนว ซึ่ง อาจแยกออกได้ดงั น้ี เทอื กเขาทแ่ี ยกไปทางทศิ ตะวันออก ไดแ้ ก่ เทือกเขาหิมาลยั เทือกเขาอาระกันโยมา และเทือกเขาที่ มีแนวต่อเนื่องลงมาทางใต้ มีบางส่วนที่จมหายไปในทะเล และบางส่วนโผล่ขึ้นมาเป็นเกาะในมหาสมุทร อินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ถัดจากเทือกเขาหิมาลัยขึ้นไปทางเหนือ มีเทือกเขาที่แยกไปทางตะวันออก ได้แก่ เทือกเขาคุนลุน เทือกเขาอัลตินตัก เทือกเขานานซาน และแนวที่แยกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนอื ได้แก่ เทือกเขาเทียนชาน เทือกเขาอัลไต เทือกเขาคินแกน เทือกเขายาโบลนอย เทือกเขาสตาโนวอย และ เทือกเขาโกลีมา เทือกเขาที่แยกไปทางทิศตะวันตก แยกเป็นแนวเหนือและแนวใต้ แนวเหนือ ได้แก่

เทือกเขาฮินดูกูช เทือกเขาเอลบูชร์ ส่วนแนวทิศใต้ ได้แก่ เทือกเขาสุไลมาน เทือกเขาซากรอส ซึ่งเมื่อ เทือกเขาทั้ง 2 นี้ มาบรรจบกันที่อาร์เมเนียนนอตแล้ว ยังแยกออกอีกเป็น 2 แนวในเขตประเทศตุรกี คือ แนวเหนอื เป็นเทอื กเขาปอนติก และแนวใต้เปน็ เทือกเขาเตารัส 4) เขตที่ราบสูงตอนกลางทวีป เขตที่ราบสูงตอนกลางเป็นที่ราบสูงอยู่ระหว่างเทือกเขาหินใหม่ท่ี สำคัญๆ ได้แก่ ที่ราบสูงทิเบตซึ่งเป็นที่ราบสูงขนาดใหญ่และสูงที่สุดในโลก ที่ราบสูงยูนนาน ทางใต้ของ ประเทศจีน และที่ราบสูงที่มีลักษณะเหมือนแอ่ง ชื่อ ตากลามากัน ซึ่งอยู่ระหว่างเทือกเขาเทียนซานกับ เทอื กเขาคุนลนุ แตอ่ ย่สู งู กว่าระดบั น้ำทะเลมาก และมีอากาศแห้งแล้งเป็นเขตทะเลทราย 5) เขตที่ราบสูงตอนใต้และตะวันตกเฉียงใต้ เขตที่ราบสูงตอนใต้และตะวันตกเฉียงใต้ ได้แก่ ท่ี ราบสูงขนาดใหญ่ ทางตอนใต้ของทวีปเอเชีย ซึ่งมีความสูงไม่มากเท่ากับที่ราบสูงทางตอนกลางของทวีป ที่ ราบสูงดังกล่าว ได้แก่ ที่ราบสูงเดคคาน ในประเทศอินเดีย ที่ราบสูงอิหร่าน ในประเทศอิหร่านและ อฟั กานิสถาน ทีร่ าบสงู อนาโตเลยี ในประเทศตุรกีและท่ีราบสูงอาหรับ ในประเทศซาอุดีอาระเบยี 1.3 สภาพภมู ิอากาศ สภาพภูมศิ าสตร์และพืชพรรณธรรมชาติในทวีปเอเชยี แบ่งไดด้ งั นี้ 1) ภูมิอากาศแบบป่าดิบชื้น เขตภูมิอากาศแบบปา่ ดิบชื้น อยู่ระหว่างละติจูดท่ี 10 องศาเหนือ ถึง 10 องศาใต้ ไดแ้ ก่ ภาคใตข้ องประเทศไทย มาเลเซยี อนิ โดนเี ซีย และฟลิ ปิ ปนิ ส์ มคี วามแตกตา่ งของอุณหภูมิ ระหว่างกลางวันและกลางคืนไม่มากนัก มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 2,000 มิลลิเมตร (80 นิ้ว) ต่อปี และมีฝน ตกตลอดปี พชื พรรณธรรมชาติเป็นปา่ ดงดิบ ซึง่ ไม่มีฤดูท่ผี ลัดใบและมีต้นไม้หนาแน่น สว่ นบริเวณปากแม่น้ำ และชายฝัง่ ทะเลมีพืชพรรณธรรมชาติเปน็ ป่าชายเลน 2) ภมู ิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน หรอื รอ้ นชื้นแถบมรสุม เปน็ ดินแดนทอ่ี ยู่เหนือละติจดู 10 องศา เหนือขึ้นไป มีฤดูแล้งและฤดูฝนสลับกันประมาณปีละเดือน ได้แก่ บริเวณคาบสมุทรอินเดีย และคาบสมุทร อินโดจีน เขตนี้เป็นเขตที่ได้รับอิทธิพลของลมมรสุม ปริมาณน้ำฝนจะสูงในบริเวณด้านต้นลม (Winward side) และมีฝนตกน้อยในด้านปลายลม (Leeward side) หรือเรียกว่า เขตเงาฝน (Rain shadow) พืช พรรณธรรมชาติเป็นป่ามรสุม หรือป่าไม้ผลัดใบในเขตร้อน พันธุ์ไม้ส่วนใหญ่เป็นไม้ใบกว้างและเป็นไม้เนื้อ แข็งที่มีค่าในทางเศรษฐกิจ หรือป่าเบญจพรรณ เช่น ไม้สัก ไม้จันทน์ ไม้ประดู่ เป็นต้น ป่ามรสุม มีลักษณะ เป็นป่าโปร่งมากกว่าป่าไม้ในเขตร้อนชื้น บางแห่งมีไม้ขนาดเล็กขึ้นปกคลุมบริเวณดินชั้นล่าง และบางแห่ง เปน็ ปา่ ไผ่ หรอื หญ้า ปะปนอยู่ 3) ภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าเมืองร้อน มีลักษณะอากาศคล้ายเขตมรสุม มีฤดูแล้งกับฤดูฝน แต่ ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า คือ ประมาณ 1,000 - 1,500 มิลลิเมตร (40 - 60 นิ้ว) ต่อปี อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี ประมาณ 21 องศาเซลเซียส (70 องศาฟาเรนไฮต์) อุณหภูมิกลางคืนเย็นกว่ากลางวัน ได้แก่ บริเวณ ตอนกลางของอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า และคาบสมุทรอินโดจีนพืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าโปร่ง

แบบเบญจพรรณ ถัดเขา้ ไปตอนในจะเปน็ ทุ่งหญ้าสูงตง้ั แต่ 60 - 360 เซนติเมตร (2 - 12 ฟตุ ) ซึ่งจะงอกงาม ดีในฤดูฝน แต่แหง้ เฉาตายในฤดหู นาว เพราะชว่ งน้ีอากาศแหง้ แลง้ 4) ภูมิอากาศแบบมรสุมเขตอบอุ่น อยู่ในเขตอบอุ่นแต่ได้รับอิทธิพลของลมมรสุมมีฝนตกในฤดู ร้อน ฤดูหนาวค่อนข้างหนาว ได้แก่ บริเวณภาคตะวันตกของจีน ภาคใต้ของญี่ปุ่น คาบสมุทรเกาหลี ฮ่องกง ตอนเหนือของอินเดีย ในสาธารณรัฐประชาชนลาว และตอนเหนือของเวียดนาม พืชพรรณธรรมชาติเปน็ ไม้ ผลัดใบหรือไม้ผสม มีทั้งไม้ใบใหญ่ที่ผลัดใบและไม้สนที่ไม่ผลัดใบ ในเขตสาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลี ทางใตข้ องเขตน้ีเป็นป่าไม้ผลัดใบ สว่ นทางเหนือมีอากาศหนาวกว่าป่าไม้ผสม และป่าไม้ผลัดใบ เช่น ต้นโอ๊ก เมเปิล ถ้าข้ึนไปทางเหนอื อากาศหนาวเย็นจะเปน็ ปา่ สนท่ีมใี บเขียวตลอดปี 5) ภูมิอากาศแบบอบอุ่นภาคพื้นทวีป ได้แก่ ทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีเหนือ ภาคเหนือของญี่ปุ่น และตะวันออกเฉียงใต้ของไซบีเรีย มีฤดูร้อนท่ี อากาศร้อน กลางวันยาวกว่ากลางคืน นาน 5 - 6 เดือน เป็นเขตปลูกข้าวโพดได้ดี เพราะมีฝนตกในฤดูร้อน ประมาณ 750 - 1,000 มม. (30 - 40 นิ้ว) ต่อปี ฤดูหนาวอุณหภูมิเฉลี่ยถึง 7 องศาเซลเซียส (18 องศาฟา เรนไฮต์) เป็นเขตที่ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิมีมาก พืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าผสมระหว่างไม้ผลัดใบ และป่าสน ลึกเข้าไปเป็น ทุ่งหญ้า สามารถเพาะปลูกขา้ วโพด ข้าวสาลี และเลี้ยงสตั ว์พวกโคนมได้ ส่วนแถบ ชายทะเลมีการทำป่าไม้บ้างเลก็ น้อย 6) ภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทรายแถบอบอุ่น มีอุณหภูมิสูงมากในฤดูร้อนและอุณหภูมิต่ำ มากในฤดูหนาว มีฝนตกบ้างในฤดใู บไม้ผลิและฤดูร้อน ไดแ้ ก่ ภาคตะวนั ตกของคาบสมุทรอาหรับ ตอนกลาง ของประเทศตุรกี ตอนเหนอื ของภาคกลางของอหิ ร่าน ในมองโกเลยี ทางตะวันตกเฉยี งเหนอื ของจนี พืชพรรณธรรมชาติเป็นทุ่งหญ้าสั้น (Steppe) ทุ่งหญ้าดังกล่าวมีการชลประทานเข้าถึง ใช้เล้ียงสัตว์และ เพาะปลกู ขา้ วสาลี ขา้ วฟ่าง ฝ้าย ไดด้ ี 7) ภูมอิ ากาศแบบทะเลทราย มคี วามแตกต่างระหว่างอุณหภูมิกลางวนั กับกลางคืนและฤดูร้อนกับ ฤดูหนาวมาก ได้แก่ ดินแดนที่อยู่ภายในทวีปที่มีเทือกเขาปิดล้อม ทำให้อิทธิพลจากมหาสมุทรเข้าไปไม่ถึง ปริมาณฝนตกน้อยกว่าปีละ 250 มม. (10 นิ้ว) ได้แก่ บริเวณคาบสมุทรอาหรับ ทะเลทรายโกบี ทะเล ทรายธาร์ และท่รี าบสงู ทเิ บต ท่ีราบสูงอิหร่าน บริเวณทมี่ นี ำ้ และต้นไมข้ นึ้ เรียกว่า โอเอซสิ (Oasis)พชื พรรณ ธรรมชาติเป็นอนิ ทผลัม ตะบองเพชร และไมป้ ระเภทมหี นาม ชายขอบทะเลทราย ส่วนใหญ่เป็นท่งุ หญ้าสลับ ปา่ โปร่ง มีการเล้ียงสัตวป์ ระเภททเี่ ล้ียงไว้ใชเ้ น้อื และทำการเพาะปลูกตอ้ งอาศยั การชลประทานชว่ ย 8) ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน อากาศในฤดูร้อน ร้อนและแห้งแล้ง ในเลบานอน ซีเรีย อิสราเอล และตอนเหนือของอิรัก พชื พรรณธรรมชาติเป็นไมต้ น้ เตยี้ ไม่พ่มุ มหี นาม ต้นไม้เปลอื กหนาที่ทนต่อ ความแหง้ แล้ง ในฤดรู อ้ นไดด้ ี พชื ท่เี พาะปลกู ไดแ้ ก่ ส้ม องนุ่ และมะกอก

9) ภูมิอากาศแบบไทกา (กึ่งขั้วโลก) มีฤดูหนาวยาวนานและหนาวจัด ฤดูร้อนสั้น มีน้ำค้างแข็งได้ ทุกเวลา และฝนตกในรปู ของหิมะ ได้แก่ ดนิ แดนทางภาคเหนือของทวีปบรเิ วณไซบเี รยี พืชพรรณธรรมชาติ เปน็ ปา่ สน เป็นแนวยาวทางเหนือของทวีป ท่ีเรียกวา่ ไทกา (Taiga) หรือปา่ สนของไซบีเรีย 10) ภมู ิอากาศแบบทนุ ดรา (ขว้ั โลก) เขตน้ีมฤี ดูหนาวยาวนานมาก อากาศหนาวจัด มหี ิมะปกคลุม ตลอดปี ไม่มฤี ดรู ้อน พืชพรรณธรรมชาตเิ ปน็ พวกตะไครน่ ้ำ และมอสส์ 11) ภูมิอากาศแบบที่สูง ในเขตท่ีสูงอุณหภูมิจะลดลงตามระดับความสูงในอัตราความสูงเฉล่ีย ประมาณ 1 องศาเซลเซียสต่อความสูง 10 เมตร จึงปรากฏว่ายอดเขาสูงบางแห่งแม้จะอยู่ในเขตร้อน ก็มี หิมะปกคลุมทั้งปี หรือเกือบตลอดปี ได้แก่ ที่ราบสูงทิเบต เทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาคุนลุน และเทือกเขา เทยี นชาน ซึ่งมคี วามสูงประมาณ 5,000 - 8,000 เมตร จากระดับนำ้ ทะเล มหี มิ ะปกคลมุ และมอี ากาศหนาว เยน็ แบบขว้ั โลก พชื พรรณธรรมชาติเปน็ พวกคะไครน่ ้ำ และมอสส์ การแบง่ ภูมิภาค ทวปี เอเชยี นอกจากจะเปน็ อนภุ ูมภิ าคของทวีปยูเรเชยี ยงั อาจแบ่งออกเปน็ สว่ นย่อยดงั นี้ เอเชียเหนือ หมายถึง รัสเซีย เรียกอีกอย่างว่าไซบีเรีย บางครั้งรวมถงึ ประเทศทางตอนเหนือของเอเชียด้วย เช่น คาซคั สถาน เอเชียกลาง ประเทศในเอเชียกลาง ไดแ้ ก่ - สาธารณรัฐในเอเชียกลาง 5 ประเทศ คือ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และคีร์กีซสถาน - ประเทศแถบตะวันตกของทะเลสาบแคสเปียน 3 ประเทศ คือ จอร์เจีย อาร์เมเนีย และ อาเซอรไ์ บจานบางส่วน เอเชยี ตะวนั ออก ประเทศในเอเชยี ตะวนั ออก ไดแ้ ก่ - เกาะไต้หวันและญีป่ นุ่ ในมหาสมทุ รแปซฟิ ิก - เกาหลเี หนอื และเกาหลใี ต้บนคาบสมุทรเกาหลี - สาธารณรัฐประชาชนจนี และมองโกเลีย เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ดนิ แดนในเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ คอื ประเทศ บนคาบสมุทรมลายู คาบสมทุ รอิน โดจีน เกาะต่างๆ ในมหาสมทุ รอนิ เดยี และมหาสมุทรแปซฟิ กิ เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ประกอบดว้ ย - ประเทศต่างๆ ในแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว กมั พชู า และเวียดนาม - ประเทศตา่ งๆ ในทะเล ไดแ้ ก่ มาเลเซยี ฟลิ ปิ ปินส์ สงิ คโปร์ อินโดนเี ซีย บรไู น และติมอร์ตะวันออก (ติมอร์ - เลสเต) ประเทศอินโดนีเซียแยกได้เป็น 2 ส่วน โดยมีทะเลจีนใต้คั่นกลาง ทั้ง สองสว่ นมีท้ังพ้นื ที่ทีเ่ ปน็ แผ่นดินใหญ่และเกาะ

เอเชียใต้ เอเชียใต้อาจเรียกอกี อย่างว่าอนทุ วีปอนิ เดีย ประกอบดว้ ย - บนเทือกเขาหิมาลยั ไดแ้ ก่ อนิ เดีย ปากีสถาน เนปาล ภูฏาน และบงั กลาเทศ - ในมหาสมทุ รอนิ เดีย ได้แก่ ศรีลงั กาและมลั ดีฟส์ เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (หรือเอเชียตะวันตก) ประเทศตะวันตกโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกามักเรียก อนุ ภูมิภาคนี้ว่าตะวันออกกลาง บางครั้ง “ตะวันออกกลาง” อาจหมายรวมถึงประเทศในแอฟริกาเหนือ เอเชีย ตะวันตกเฉียงใต้แบง่ ย่อยไดเ้ ปน็ - อะนาโตเลยี (Anatolia) ซง่ึ กค็ อื เอเชียไมเนอร์ (Asia Minor) เป็นพ้นื ทส่ี ่วนท่ีเป็นเอเชยี ของตุรกี - ประเทศตุรกี 97 % ของตรุ กี - ทีเ่ ปน็ เกาะ คือ ไซปรสั ในทะเลเมดเิ ตอร์เรเนยี น - กลุ่มเลแวนต์หรือตะวันออกใกล ได้แก่ ซีเรีย อสิ ราเอล จอรแ์ ดน เลบานอน และอิรัก - ในคาบสมุทรอาหรบั ได้แก่ ซาอดุ ิอาระเบยี สหรฐั อาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน กาตาร์ อมาน เยเมน และอาจรวมถงึ คูเวต - ท่รี าบสูงอหิ ร่าน ไดแ้ ก่ อิหร่านและพ้ืนท่ีบางสว่ นของประเทศอื่นๆ - อฟั กานสิ ถาน เรอื่ งท่ี 2 การเปลย่ี นแปลงสภาพภูมิศาสตร์กายภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิศาสตร์กายภาพ หมายถึง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทาง กายภาพที่อยู่รอบตัวมนุษย์ ทั้งส่วนที่เป็นธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศภาคและชีวภาค ตลอดจน ความสัมพันธ์ทางพน้ื ท่ีของส่ิงแวดล้อมทางกายภาพต่าง ๆ ดงั กล่าวขา้ งต้น การเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ทั้งภูมิประเทศและภูมิอากาศใน ประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชีย ส่วนมากเกิดจากปรากฏการณ์ตามธรรมชาติและเกิดผลกระทบต่อ ประชาชนท่ีอาศยั อยู่ รวมท้ังส่งิ กอ่ สร้าง ปรากฏการณต์ ่างๆ ท่ีมกั จะเกิด มีดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1 การเกิดแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของแผ่น เปลือกโลก (แนวระหว่างรอยต่อธรณีภาค) ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของชั้นหินขนาดใหญ่เลือ่ นเคลือ่ นที่หรอื แตกหัก และเกิดการโอนถ่ายพลังงานศักย์ ผ่านในชั้นหินที่อยู่ติดกัน พลังงานศักย์นี้อยู่ในรูปเคลื่อนไหว สะเทอื น จดุ ศูนยก์ ลางการเกิดแผน่ ดินไหว (focus) มกั เกดิ ตามรอยเล่ือน อยู่ในระดับความลกึ ตา่ ง ๆ ของผิว โลก ส่วนจดุ ที่อยใู่ นระดับสูงกว่า ณ ตำแหน่งผิวโลก เรยี กวา่ “จดุ เหนอื ศูนยก์ ลางแผ่นดินไหว” (epicenter) การสัน่ สะเทือนหรือแผ่นดินไหวน้จี ะถูกบันทกึ ด้วยเครื่องมือทเี่ รียกวา่ ไซสโ์ มกราฟ 1) สาหตกุ ารเกิดแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวจากธรรมชาติ เป็นธรณีพิบัติภัยชนิดหนึ่ง ส่วนมากเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ เกิดจากการสั่นสะเทือนของพื้นดิน อันเนื่องมาจากการปลดปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ ภายในโลกออกมา

อยา่ งฉบั พลัน เพื่อปรับสมดุลของเปลือกโลกให้คงท่ีโดยปกตเิ กิดจากการเคล่ือนไหวของรอยเล่ือนภายในช้ัน เปลือกโลก ที่อยู่ด้านนอกสุดของโครงสร้างของโลก มีการเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ อยู่เสมอ แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ภาวะนี้เกิดขึ้นบ่อยในบริเวณขอบเขตของแผ่น เปลือกโลกที่แบง่ ช้ันเปลือกโลกออกเป็นธรณีภาค (lithosphere) เรียกแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบริเวณขอบเขต ของแผ่นเปลือกโลกนี้ว่า แผ่นดินไหวระหว่างแผ่น (interpolate earthquake) ซึ่งเกิดได้บ่อยและรุนแรง กวา่ แผน่ ดินไหวภายในแผน่ (intraplate earthquake) - แผ่นดินไหวจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งมีทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การทดลองระเบิด ปรมาณู การทำเหมือง สร้างอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนใกล้รอยเลื่อน การทำงานของเครื่องจักรกล การจราจร เป็นต้น 2) การวัดระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหว โดยปกติจะใช้มาตราริคเตอร์ ซึ่งเป็นการวัดขนาดและ ความสัมพนั ธ์ของขนาดโดยประมาณกบั ความส่นั สะเทือนใกล้ศูนย์กลาง ระดับความรนุ แรงของแผ่นดนิ ไหว 1 - 2.9 เลก็ นอ้ ย ผู้คนเรม่ิ รสู้ ึกถึงการมาของคลืน่ มีอาการวิงเวยี นเพยี งเล็กน้อยในบางคน 3- 3.9 เล็กนอ้ ย ผคู้ นทอี่ ย่ใู นอาคารร้สู ึกเหมอื นมีอะไรมาเขยา่ อาคารให้ส่ันสะเทือน 4 - 4.9 ปานกลาง ผู้ที่อาศัยอยู่ทั้งภายในอาคารและนอกอาคาร รู้สึกถึงการสั่นสะเทือน วัตถุห้อย แขวนแกว่งไกว 5 - 5.9 รุนแรงเป็นบรเิ วณกว้าง เครือ่ งเรอื น และวัตถุมีการเคล่ือนที่ 6.69 รุนแรกมาก อาคารเร่ิมเสยี หาย พังทลาย 7.0 ข้ึนไป เกิดการสนั่ สะเทือนอยา่ งมากมาย ส่งผลทำให้อาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ เสียหายอย่าง รนุ แรง แผ่นดนิ แยก วตั ถุบนพ้นื ถกู เหวีย่ งกระเด็น 3) ข้อปฏิบตั ิในการป้องกันและบรรเทาภัยจากแผ่นดินไหว ก่อนเกิดแผ่นดินไหว 1. เตรียมเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น ถ่านไฟฉาย ไฟฉาย อุปกรณ์ดับเพลิง น้ำ อาหารแห้ง ไว้ใช้ในกรณีไฟฟ้าดบั หรือกรณฉี กุ เฉนิ อืน่ ๆ 2. จัดหาเครอ่ื งรบั วทิ ยุที่ใช้ถ่านไฟฉายหรือแบตเตอรี่สำหรับเปิดฟังขา่ วสาร คำเตอื น คำแนะนำและ สถานการณ์ต่างๆ 3. เตรียมอปุ กรณน์ ริ ภยั สำหรบั การช่วยชีวิต 4. เตรียมยารกั ษาโรค และเวชภณั ฑใ์ ห้พร้อมท่จี ะใช้ในการปฐมพยาบาลเบ้ืองต้น 5. จัดให้มีการศึกษาถึงการปฐมพยาบาล เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ท่ีได้รับบาดเจ็บ หรืออนั ตรายใหพ้ ้นขีดอันตรายกอ่ นทีจ่ ะถึงมือแพทย์

6. จำตำแหนง่ ของวาล์ว เปิด-ปิดน้ำ ตำแหนง่ ของสะพานไฟฟ้า เพอ่ื ตัดตอนการส่งน้ำ และไฟฟ้า 7. ยดึ เครือ่ งเรอื น เคร่อื งใชไ้ ม้สอย ภายในบ้าน ทีท่ ำงาน และในสถานศึกษา ให้มน่ั คง แนน่ หนา ไม่ โยกเยกโคลงเคลงเพ่ือไม่ให้ ไปทำความเสียหายแก่ชีวติ และทรพั ย์สนิ 8. ไม่ควรวางสิ่งของที่มีน้ำหนักมากๆ ไว้ในที่สูง เพราะอาจร่วงหล่นมาทำความเสียหายหรือเป็น อนั ตรายได้ 9. เตรียมการอพยพเคล่อื นยา้ ย หากถึงเวลาที่จะตอ้ งอพยพ 10. วางแผนป้องกันภัยสำหรับครอบครัว ที่ทำงานและสถานที่ศึกษา มีการช้ีแจงบทบาทที่สมาชิก แต่ลบุคคลจะต้องปฏิบัติ มีการฝึกซ้อมแผนที่จัดทำไว้ เพื่อเพิ่มลักษณะและความคล่องตัวในการ ปฏบิ ัติเม่ือเกิดเหตกุ ารณ์ฉุกเฉนิ ขณะเกดิ แผ่นดินไหว 1. ต้งั สติ อย่ใู นท่ที ี่แข็งแรงปลอดภัย ห่างจากประตู หนา้ ตา่ ง สายไฟฟ้า เป็นต้น 2. ปฏิบัตติ ามคำแนะนำ ขอ้ ควรปฏบิ ตั ขิ องทางราชการอยา่ งเคร่งครดั ไมต่ ่ืนตระหนกจนเกินไป 3. ไม่ควรทำให้เกิดประกายไฟ เพราะหากมีการรั่วซึมของแก๊สหรือวัตถุไวไฟ อาจเกิดภัยพิบัติจาก ไฟไหม้ ไฟลวก ซ้ำซอ้ นกบั แผน่ ดินไหวเพิ่มข้ึนอกี 4. เปดิ วิทยรุ บั ฟังสถานการณ์ คำแนะนำ คำเตือนตา่ งๆ จากทางราชการอยา่ งต่อเนอื่ ง 5. ไม่ควรใช้ลิฟต์ เพราะหากไฟฟ้าดบั อาจมีอนั ตรายจากการติดอยูภ่ ายใต้ลฟิ ต์ 6. มุดเขา้ ไปนอนใตเ้ ตียงหรอื ตงั่ อย่าอยู่ใตค้ านหรอื ที่ทีม่ ีนำ้ หนักมาก 7. อยู่ใตโ้ ต๊ะทีแ่ ข็งแรง เพ่ือปอ้ งกนั อันตรายจากสิง่ ปรักหักพังรว่ งหลน่ ลงมา 8. อยู่หา่ งจากสงิ่ ที่ไม่มั่นคงแขง็ แรง 9. ใหร้ ีบออกจากอาคารเมือ่ มกี ารส่ังการจากผ้ทู ่ีควบคมุ แผนป้องกนั ภัยหรอื ผทู้ ่รี ับผิดชอบในเรื่องน้ี 10. หากอยู่ในรถ ใหห้ ยุดรถจนกวา่ แผน่ ดนิ จะหยุดไหวหรือสน่ั สะเทอื น หลังเกดิ แผน่ ดนิ ไหว 11. ตรวจเช็คการบาดเจ็บ และทำการปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ แลว้ รีบนำส่งโรงพยาบาลโดย ด่วน เพ่อื ใหแ้ พทย์ไดท้ ำการรกั ษาต่อไป 12. ตรวจเช็คระบบน้ำ ไฟฟ้า หากมีการรั่วซึมหรือชำรุดเสียหาย ให้ปิดวาล์ว เพื่อป้องกัน น้ำท่วม เอ่อ ยกสะพานไฟฟา้ เพ่อื ปอ้ งกันไฟฟา้ รว่ั ไฟฟ้าดดู หรอื ไฟฟ้าช็อต 13. ตรวจเช็คระบบแก๊ส โดยวิธีการดมกลิน่ เท่านัน้ หากพบว่ามีการรั่วซึมของแก๊ส (มีกลิ่น) ให้เปิด ประตูหน้าต่าง แล้วออกจากอาคารแจ้งเจ้าหน้าที่ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนผู้ที่รับผิดชอบได้ทราบในโอกาส ตอ่ ไป 14. ไม่ใชโ้ ทรศพั ทโ์ ดยไม่จำเป็น

15. อย่ากดน้ำล้างส้วม จนกว่าจะมีการตรวจเช็คระบบท่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะอาจเกิดการ แตกหักของทอ่ ในส้วม ทำใหน้ ำ้ ท่วมเออ่ หรือสง่ กล่ินทไ่ี มพ่ ึงประสงค์ 16. ออกจากอาคารท่ีชำรุดโดยด่วน เพราะอาจเกิดการพงั ทลายลงมา 17. สวมรองเทา้ ยางเพื่อปอ้ งกนั ส่ิงปรกั หักพัง เศษแกว้ เศษกระเบื้อง 18. รวมพล ณ ทหี่ มายที่ไดต้ กลงนดั หมายกันไว้ และตรวจนับจำนวนสมาชิกว่าอยคู่ รบหรอื ไม่ 19. ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการเข้าไปปฏิบัติงานในบริเวณที่ได้รับความเสียหาย และผู้ไม่มีหน้าที่ หรอื ไมเ่ กย่ี วข้องไม่ควรเข้าไปในบริเวณนัน้ ๆ หากไมไ่ ด้รับการอนญุ าต 20. อย่าออกจากชายฝั่ง เพราะอาจเกิดคลื่นใต้น้ำซัดฝั่งได้ แม้ว่าการสั่นสะเทือนของแผ่นดินจะ ส้ินสุดลงแล้วกต็ าม ผลกระทบต่อประชากรท่ีเกดิ จากแผ่นดนิ ไหว จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงล่าสุดในทวีปเอเชีย ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เมื่อวันท่ี 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 มีความรุนแรงอยู่ที่ขนาด 7.9 ริกเตอร์ ที่ความลึก : 19 กิโลเมตร โดยจุด ศูนย์กลางการสั่นอยู่ท่ี เขตเหวินฉวน มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของนครเฉิงตู 90 กิโลเมตร แผ่นดินไหวครั้งนี้สร้างความเสียหายให้กับประเทศจีนอย่างมหาศาล ทั้งชีวิตประชาชน อาคารบ้านเรือน ถนนหนทาง โดยมีผ้เู สยี ชวี ติ 68,516 คน บาดเจ็บ 365,399 คน และสูญหาย 19,350 คน (ตวั เลขอย่างเป็น ทางการ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551) นอกจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว แผน่ ดินไหวก็ยังสามารถรู้สกึ ได้ในประเทศเพ่ือนบ้าน ของจนี อาทเิ ชน่ ประเทศไทย ประเทศบังกลาเทศ ประเทศอนิ เดีย ประเทศปากีสถาน แม้ว่าการเกิดแผ่นดินไหวไม่สามารถป้องกันได้ แต่เราควรเรียนรู้ข้อปฏิบัติในการป้องกันทั้งก่อนการเกิด แผ่นดนิ ไหว และขณะเกิดแผ่นดินไหว เพ่อื ป้องกันความเสียหายท่ีเกิดกับชวี ิต การเกิดพายุ พายุ คือ สภาพบรรยากาศที่ถูกรบกวนแบบใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะที่มีผลกระทบต่อ พื้นผิวโลก และบ่งบอกถึงสภาพอากาศที่รุนแรง เมื่อพูดถึงความรุนแรงของพายุ จะกล่าวถึงความเร็วที่ ศนู ยก์ ลาง ซง่ึ อาจสูงถึง 400 กม./ชม. ความเร็วของ การเคลอื่ นตัว ทิศทางการเคล่ือนตวั ของพายุและขนาด ความกว้างหรือเส้นผ่าศูนย์กลางของตัวพายุ ซึ่งบอกถึงอาณาบริเวณที่จะได้รับความเสียหายว่า ครอบคลุม เท่าใด ความรุนแรงของพายุจะมีหน่วยวัดความรุนแรงคล้ายหน่วยริกเตอร์ของการวัดความรุนแรง แผ่นดนิ ไหว มกั จะมีความเร็วเพิ่มขนึ้ เร่อื ยๆ ประเภทของพายุ พายแุ บง่ เป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 3 ประเภท คอื 1) พายุฝนฟ้าคะนอง มีลักษณะเป็นลมพัดย้อนไปมา หรือพัดเคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกัน อาจ เกิดจากพายุที่อ่อนตัวและลดความรุนแรงของลมลง หรือเกิดจากหย่อมความกดอากาศต่ำ ร่องความกด

อากาศต่ำ อาจไมม่ ที ศิ ทางท่แี นน่ อน หากสภาพการณแ์ วดลอ้ มต่างๆ ของการเกดิ ฝนเหมาะสมก็จะเกดิ ฝนตก มลี มพดั 2) พายุหมุนเขตร้อนต่างๆ เช่น เฮอร์ริเคน ไต้ฝุ่น และไซโคลน ซึ่งล้วนเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่ เช่นเดียวกัน และจะเกิดขึ้นหรือเริ่มตน้ ก่อตัวในทะเล หากเกิดเหนือเส้นศูนย์สตู ร จะมีทิศทางการหมุนทวน เขม็ นาฬิกา และหากเกิดใตเ้ ส้นศูนยส์ ูตรจะหมนุ ตามเข็มนาฬิกา โดยมชี ่ือต่างกันตามสถานทีเ่ กิด กลา่ วคอื พายุเฮอร์ริเคน (hurricane) เป็นชื่อเรียกพายุหมุนที่เกิดบริเวณทิศตะวันตกของมหาสมุทร แอตแลนติก เช่น บริเวณฟลอริดา สหรัฐอเมริกา อ่าวเม็กซิโก ทะเลแคริบเบียน เป็นต้น รวมทั้งมหาสมุทร แปซิฟกิ บริเวณชายฝง่ั ประเทศเมก็ ซิโก พายุไต้ฝุ่น (typhoon) เป็นชื่อพายุหมุนที่เกิดทางทิศตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ เช่น บริเวณทะเลจีนใต้ อ่าวไทย อ่าวตงั เก๋ยี ประเทศญ่ีปุ่น พายุไซโคลน (cyclone) เป็นชื่อพายุหมุนที่เกิดในมหาสมุทรอินเดียเหนือ เช่น บริเวณอ่าวเบ งกอล ทะเลอาหรับ เป็นต้น แต่ถ้าพายุนี้เกิดบริเวณทะเลติมอร์และทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ออสเตรเลยี จะเรยี กวา่ พายุวลิ ลี-วลิ ลี (willy-willy) พายุโซนร้อน (tropical storm) เกิดขึ้นเมื่อพายุเขตร้อนขนาดใหญ่อ่อนกำลังลงขณะเคลื่อนตัว ในทะเล และความเรว็ ทจ่ี ุดศนู ย์กลางลดลงเมอ่ื เคล่ือนเข้าหาฝง่ั มีความเร็วลม 62 - 117 กิโลเมตรต่อชว่ั โมง พายุดีเปรสชัน (depression) เกิดขึ้นเมื่อความเร็วลดลงจากพายุโซนร้อน ซึ่งก่อให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ธรรมดาหรือฝนตกหนกั มีความเรว็ ลมน้อยกวา่ 61 กโิ ลเมตรต่อชั่วโมง 3) พายุทอร์นาโด (tornado) เป็นชื่อเรียกพายุหมุนท่ีเกิดในทวีปอเมริกา มีขนาดเนื้อที่เล็กหรือ เส้นผ่าศูนย์กลางน้อย แต่หมุนด้วยความเร็วสูง หรือความเร็วที่จุดศูนย์กลางสูงมากกว่าพายุหมุนอื่น ๆ ก่อ ความเสียหายได้รุนแรงในบริเวณที่พัดผ่าน เกิดได้ทั้งบนบกและในทะเล หากเกิดในทะเล จะเรียกว่า นาค เลน่ น้ำ (water spout) บางครัง้ อาจเกิดจากกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า แตห่ มนุ ตวั ยื่นลงมาจากท้องฟ้าไม่ถึงพื้นดิน มรี ปู รา่ งเหมอื นงวงช้าง จึงเรียกกันว่า ลมงวง ความเรว็ ของพายุ สามารถแบง่ ออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ 1) ระดับท่ี 1 มีความเร็วลม 119 - 153 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำลายล้าง เล็กน้อย ไม่ส่งผลต่อส่ิง ปลกู สรา้ ง มนี ำ้ ท่วมขงั ตามชายฝงั่ 2) ระดับที่ 2 มีความเร็วลม 154 - 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำลายล้าง เล็กน้อย ทำให้หลังคา ประตู หน้าต่างบ้านเรอื นเสยี หายบา้ ง ทำให้เกดิ นำ้ ทว่ มขงั 3) ระดบั ที่ 3 มีความเรว็ ลม 178 - 209 กิโลเมตรตอ่ ช่วั โมง ทำลายลา้ งปานกลาง ทำลายโครงสรา้ ง ท่อี ยู่อาศยั ขนาดเลก็ น้ำท่วมขงั ถงึ พื้นบ้านชัน้ ล่าง

4) ระดับที่ 4 มีความเร็วลม 210 - 249 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำลายล้างสูง หลังคาบ้านเรือนบาง แหง่ ถูกทำลาย น้ำท่วมเขา้ มาถงึ พ้ืนบา้ น 5) ระดับท่ี 5 มีความเร็วลมมากกว่า 250 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง จะทำลายลา้ งสงู มาก หลังคาบ้านเรือน ตึกและอาคารต่าง ๆ ถูกทำลาย พังทลาย น้ำท่วมขังปริมาณมาก ถึงขั้นทำลายทรัพย์สินในบ้าน อาจต้อง ประกาศอพยพประชาชน ลำดับชัน้ การเกิดพายุฝนฟา้ คะนอง 1) ระยะเจริญเติบโต โดยเริ่มจากการท่ีอากาศร้อนลอยตัวขึ้นสู่บรรยากาศ พร้อมกับการมีแรงมา กระทำ หรือผลักดันให้มวลอากาศยกตัวขึ้นไปสู่ความสูงระดับหนึ่ง โดยมวลอากาศจะเย็นลงเมื่อลอยสูงข้ึน และเริ่มที่จะเคลื่อนตัวเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ เป็นการก่อตัวของเมฆคิวมูลัส ในขณะที่ความร้อนแฝงจากการ กลั่นตัวของไอน้ำจะช่วยให้อัตราการลอยตัวของกระแสอากาศภายในก้อนเมฆเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุ ให้ขนาดของเมฆควิ มลู ัสมขี นาดใหญ่ข้นึ และยอดเมฆสงู เพมิ่ ข้นึ เป็นลำดบั จนเคล่อื นทีข่ ้ึนถงึ ระดับบนสุดแล้ว (จดุ อม่ิ ตัว) จนพฒั นามาเป็นเมฆคิวมโู ลนมิ บัส กระแสอากาศบางส่วนกจ็ ะเร่มิ เคล่ือนที่ลง และจะเพ่ิมมากขึ้น จนกลายเปน็ กระแสอากาศทเ่ี คลื่อนทลี่ งอย่างเดียว 2) ระยะเจริญเติบโตเต็มท่ี เป็นช่วงที่กระแสอากาศมีทั้งไหลขึ้นและไหลลงปริมาณความร้อนแฝงท่ี เกิดขึ้นจากการกลั่นตัวลดน้อยลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่หยาดน้ำฟ้าที่ตกลงมามีอุณหภูมิต่ำ ช่วยทำให้ อุณหภูมิของกลุ่มอากาศเย็นกว่าอากาศแวดล้อม ดังนั้นอัตราการเคลื่อนที่ลงของกระแสอากาศจะมีค่า เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ กระแสอากาศที่เคลื่อนที่ลงมา จะแผ่ขยายตัวออกด้านข้างก่อให้เกิดลมกระโชกรุนแรง อุณหภูมิจะลดลงทันทีทันใด และความกดอากาศจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและยาวนาน แผ่ออกไปไกลถึง 60 กโิ ลเมตรได้ โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ด้านหนา้ ของทิศทาง การเคลือ่ นที่ของพายุฝนฟา้ คะนอง พรอ้ มกันน้ันการท่ี กระแสอากาศเคลือ่ นทขี่ น้ึ และเคลื่อนทีล่ งจะกอ่ ใหเ้ กดิ ลมเชยี ร์รนุ แรงและเกดิ อากาศป่ันปว่ นโดยรอบ 3) ระยะสลายตัว เป็นระยะที่พายุฝนฟ้าคะนองมีกระแสอากาศเคลื่อนที่ลงเพียงอย่างเดียว หยาด นำ้ ฝนตกลงมาอยา่ งรวดเร็วและหมดไป พร้อมๆ กับกระแสอากาศที่ไหลลงกจ็ ะเบาบางลง การหลบเลีย่ งอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง เนื่องจากพายุฝนฟ้าคะนองสามารถ ทำให้เกิดความเสียหาย ตอ่ ทรพั ย์สินและอันตรายต่อชวี ิตของมนษุ ย์ได้ จงึ ควรหลบเล่ยี งจากสาเหตุดงั กลา่ ว คอื 1) ในขณะปรากฏพายุฝนฟ้าคะนอง หากอยใู่ กล้อาคารหรือบ้านเรือนท่ีแข็งแรงและปลอดภัยจาก น้ำทว่ ม ควรอยูแ่ ตภ่ ายในอาคารจนกว่าพายุฝนฟา้ คะนองจะยตุ ิลง ซ่งึ ใชเ้ วลาไม่นานนัก การอยใู่ นรถยนต์จะ เป็นวิธีการที่ปลอดภยั วิธหี นึ่ง แต่ควรจอดรถให้อยู่ห่างไกลจากบริเวณทีน่ ้ำอาจท่วมได้ อยู่ห่างจากบริเวณที่ เป็นน้ำ ขึ้นจากเรือ ออกห่างจากชายหาดเมื่อปรากฏพายุฝนฟ้าคะนอง เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากน้ำท่วม และฟ้าผ่า

2) ในกรณีทีอ่ ยู่ในป่า ในทุ่งราบ หรือในที่โล่ง ควรคุกเข่าและโน้มตัวไปข้างหน้า แต่ไม่ควรนอนราบ กับพื้น เนื่องจากพื้นเปียกเป็นสื่อไฟฟ้า และไม่ควรอยู่ในที่ต่ำ ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ ไม่ควรอยู่ในท่ี โดดเดยี่ วหรืออยูส่ งู กว่าสภาพสิ่งแวดลอ้ ม 3) ออกห่างจากวัตถุที่เป็นสื่อไฟฟ้าทุกชนิด เช่น ลวด โลหะ ท่อน้ำ แนวรั้วบ้าน รถแทรกเตอร์ จกั รยานยนต์ เครอื่ งมอื อปุ กรณท์ ำสวนทกุ ชนิด รางรถไฟ ต้นไมส้ งู ตน้ ไมโ้ ดดเดย่ี วในที่ แจ้ง ไม่ควรใช้อปุ กรณ์ไฟฟา้ เช่น โทรทศั น์ ฯลฯ และควรงดใชโ้ ทรศพั ทช์ ่วั คราว นอกจากกรณฉี กุ เฉนิ ไมค่ วร ใส่เครื่องประดับโลหะ เช่น ทองเหลือง ทองแดง ฯลฯ ในที่แจ้งหรือถือวัตถุโลหะ เช่น ร่ม ฯลฯ ในขณะ ปรากฏพายุฝนฟ้าคะนอง นอกจากนี้ควรดูแลสิ่งของต่างๆ ให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรงและปลอดภัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะส่งิ ของทอ่ี าจจะหกั โค่นได้ เชน่ หลังคาบา้ น ตน้ ไม้ ป้ายโฆษณา เสาไฟฟา้ ฯลฯ ผลกระทบตอ่ ประชากรทเ่ี กิดจากพายุ จากกรณีการเกดิ พายุไซโคลน “นาร์กสี ” (Nargis) ท่ีสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ถือเป็นข่าวใหญ่ท่ี ทั่วโลกให้ความสนใจอย่างยิ่ง เพราะมหันตภัยครั้งน้ี ได้คร่าชีวิตชาวพม่าไปนับหมื่นคน สูญหายอีกหลาย หมื่นชีวิต บ้านเรือน ทรัพย์สิน และสาธารณูปโภคต่างๆ เสียหายยับเยิน “นาร์กีส” เป็นชื่อเรียกของพายุ หมุนเขตรอ้ น มผี ลพวงมาจากการเกดิ ภาวะโลกร้อน มคี วามเร็วลม 190 กโิ ลเมตรต่อชั่วโมง พายุ “นาร์กีส” เริ่มก่อตัว เมื่อวันท่ี 27 เมษายน 2551 ในอ่าวเบงกอล ตอนกลางและพัดเข้าบริเวณสามเหล่ียมปากแม่น้ำอิ ระวดี ที่นครย่างกุ้งและบาสเซน สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ในเช้าวันท่ี 3 พฤษภาคม 2551 ความรุนแรง ของไซโคลน “นารก์ สี ” จดั อย่ใู นความรุนแรงระดบั 3 คอื ทำลายลา้ งปานกลาง ทำลายโครงสร้างท่ีอยู่อาศัย ขนาดเล็ก น้ำทว่ มขังถงึ พ้ืนบา้ นช้ันลา่ งพัดหลงั คาบา้ นเรือนปลวิ วอ่ น ต้นไมแ้ ละเสาไฟฟ้าหกั โคน่ ไฟฟ้าดับทั่ว เมือง ในขณะที่ทางภาคเหนือและภาคใตข้ องประเทศไทยกเ็ จอหางเลขอิทธิพล “นารก์ ีส” เลก็ น้อย ซ่ึงทำให้ หลายจังหวัดเกิดฝนตกชกุ มนี ำ้ ท่วมขงั พิบัติภัยธรรมชาติไม่มีทางเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะประเทศไหนหรือแผ่นดินใด แต่มีวิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือ รัฐบาลต้องมีหน่วยงานซึ่งทำหน้าท่ี early warning คือ เตือนประชาชนคนของตนแต่แรกด้วยข้อมูลที่มี ประสิทธิภาพและทันการณ์ จากนั้นก็ต้องรีบดำเนินการต่างๆ อย่างเหมาะสม เช่น ย้ายผู้คนให้ไปอยู่ในที่ ปลอดภัย ทั้งนี้ นับเป็นโชคดีของประเทศไทยที่เมื่อ นาร์กีส มาถึงบ้านเราก็ลดความแรงลง คงมีแต่ฝนเป็น ส่วนใหญ่ แม้จะทำความเสียหายแก่พืชไร่ของเกษตรกรไม่น้อยแต่ก็เพิ่มประมาณน้ำในเขื่อนสำคัญๆ แต่ อย่างไรก็ตามผลพวงภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งหมด มาจาก “ภาวะโลกร้อน” ซึ่งก็เกิดจากฝีมือ มนุษย์ทั้งส้นิ

การเกิดคลื่นสึนามิ คลื่นสึนามิ (tsunami) คือ คลื่นในทะเล หรือคลื่นยักษ์ใต้น้ำ จะเกิดภายหลัง จากการสั่นสะเทือนของแผ่นดนิ ไหว แผ่นดินถล่ม การระเบิดหรือการปะทุของภูเขาไฟที่พืน้ ท้องสมุทรอยา่ ง รุนแรง ทำให้เกิดรอยแยก น้ำทะเลจะถูกดูดเข้าไปในรอยแยกนี้ ทำให้เกิดภาวะน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นแรงอัดใต้เปลือกโลกจะดันน้ำทะเลขึ้นมาก่อพลังคลื่นมหาศาล คลื่นสึนามิอาจจะเคลื่อนที่ข้าม มหาสมุทร ซึ่งห่างจากจุดที่เกิดเป็นพันๆ กิโลเมตร โดยไม่มีลักษณะผิดสังเกต เพราะมีความสูงเพียง 30 เซนติเมตร เคล่อื นท่ีด้วยความเรว็ 600 - 1,000 กโิ ลเมตรต่อช่ัวโมง แต่เมือ่ เคลอ่ื นตวั เข้ามาในเขตน้ำตืน้ จะ เกิดแรงดันระดบั น้ำให้สงู ขึน้ อยา่ งรวดเร็ว และมีแรงปะทะอย่างมหาศาลกลายเป็นคล่ืนยักษ์ที่มีความสูง 15 - 30 เมตร สึนามิ ส่วนใหญ่เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกใต้ทะเลอย่างฉับพลัน อาจจะเป็นการเกิด แผน่ ดินถล่มยุบตวั ลง หรอื เปลือกโลกถูกดนั ข้ึนหรือยบุ ตัวลง ทำใหม้ นี ้ำทะเลปรมิ าตรมหาศาลถูกดันขึ้นหรือ ทรดุ ตัวลงอย่างฉบั พลัน พลงั งานจำนวนมหาศาลก็ถา่ ยเทไปให้เกิดการเคลื่อนตัวของน้ำทะเลเป็นคล่ืนสึนามิ ที่เหนือทะเลลึก จะดูไม่ต่างไปจากคลื่นทั่วๆ ไปเลย จึงไม่สามารถสังเกตได้ด้วยวิธีปกติ แม้แต่คนบนเรือ เหนือทะเลลึกที่คลื่นสึนามิเคลื่อนผ่านใต้ท้องเรือไป ก็จะไม่รู้สึกอะไร เพราะเหนือทะเลลึก คลื่นนี้สูงจาก ระดับน้ำทะเลปกติเพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้น จึงไม่สามารถแม้แต่จะบอกได้ด้วยภาพถ่ายจากเครื่องบิน หรือยาน อวกาศ นอกจากนี้แลว้ สึนามิ ยงั เกดิ ได้จากการเกดิ แผน่ ดนิ ถล่มใตท้ ะเล หรือใกลฝ้ ่งั ทท่ี ำให้มวลของดินและ หินไปเคลอ่ื นย้ายแทนที่มวลน้ำทะเล หรอื ภูเขาไฟระเบิดใกล้ทะเล ส่งผลให้เกดิ การโยนสาดดนิ หินลงน้ำ จน เกิดเป็นคลื่นสึนามิได้ ดังเช่น การระเบิดของภูเขาไฟกระกะตั้ว ในปี ค.ศ. 1883 ซึ่งส่งคลื่นสึนามิ ออกไป ทำลายล้างชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนในเอเชีย มีจำนวนผู้ตายถึงประมาณ 36,000 ชีวิต คลื่นสึนามิกับ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเกิดคลื่นสึนามิกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ในหลาย ๆ ด้าน เช่น เกิด การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ชายฝั่งในช่วงเวลาอันสั้น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำบาง ประเภท ปะการังถูกทำลาย ประชาชนขาดที่อยู่อาศัย ไร้ทรัพย์สิน สิ้นเนื้อประดาตัว กระทบต่ออาชีพไม่ว่า จะเป็นชาวประมง อาชพี ที่เกี่ยวกบั การบริการดา้ นทอ่ งเทยี่ ว สง่ิ ปลกู สร้างอาคารบ้านเรอื นเสยี หาย ฯลฯ

ผลกระทบต่อประชากรที่เกิดจากคลื่นสนึ ามิ จากกรณีการเกิดคลื่นสึนามิ ในวันท่ี 26 ธันวาคม 2547 เวลา 0:58:50 น. (UT) หรือเวลา 7:58:50 น. ตามเวลาในประเทศไทย ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.9 ตามมาตราริกเตอร์ ที่นอกชายฝั่งตะวันตกทาง ตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย จุดศูนย์กลางอยู่ลึก 10 กม. ห่างจากเมืองบันดาเอเช่ ประมาณ 250 กม. และห่างจากกรุงเทพฯ 1,260 กม. แผ่นดินไหวนี้เป็นแผ่นดินไหวที่ใหญ่เป็นอันดับท่ี 5 นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 และใหญ่ทสี่ ดุ นับตงั้ แต่แผ่นดินไหวอลาสกาในปี ค.ศ. 1964 เหตกุ ารณ์ดังกล่าวทำให้ เกิดการสั่นสะเทือนรับรู้ได้ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย แรงคลื่นสูงประมาณ 6 เมตร ได้ถาโถม ตามแนวชายฝั่งสร้างความเสียหายในวงกว้าง ทำให้เกิดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ในประเทศ อินเดีย ศรีลังกา มาเลเซีย และจังหวัดท่องเท่ียวทางใต้ของประเทศไทย มีผู้เสียชีวิตนับร้อยและมีผูบ้ าดเจบ็ เป็นจำนวนมากในจงั หวัดภเู ก็ต พงั งา ตรงั และกระบี่ วิธีใช้เคร่อื งมอื ทางภมู ิศาสตร์ เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อตรวจสอบและบันทึกข้อมูลทางด้าน ภูมิศาสตร์ เครื่องมือภูมิศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ แผนที่ ลูกโลก เข็มทิศ รูปถ่ายทางอากาศ และภาพถ่ายจาก ดาวเทียม และเครอ่ื งมือเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษาภูมิศาสตร์ ฯลฯ 3.1 แผนที่ เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพ่ือแสดงลักษณะที่ตั้งของสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนพื้นผิวโลก ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยการย่อสว่ นให้มีขนาดเลก็ ลงตามท่ีตอ้ งการ พร้อม ทั้งใช้เคร่อื งหมาย หรือสัญลักษณแ์ สดงลักษณะแทนสง่ิ ต่างๆ ลงในวสั ดพุ ้ืนแบนราบ ความสำคัญของแผนที่ แผนที่เป็นที่รวบรวมข้อมูลประเภทต่างๆ ตามชนิดของแผนท่ี จึงสามารถใช้ ประโยชน์จากแผนที่ได้ตามวัตถุประสงค์ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปเห็นพื้นที่จริง แผนที่ช่วยให้ผู้ใช้ สามารถรู้ส่งิ ทีป่ รากฏอยบู่ นพ้นื โลกได้อยา่ งกวา้ งไกล ถูกต้องและประหยดั ประโยชนข์ องแผนที่ แผนที่มีประโยชนต์ ่องานหลายๆ ดา้ น คอื 1. ด้านการเมืองการปกครอง เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศชาติ ให้คงอยู่จำเป็นจะต้องมี ความรู้ในเรื่องภูมิศาสตร์การเมือง หรือที่เรียกกันว่า “ภูมิรัฐศาสตร์” และเครื่องมือที่สำคัญของนักภูมิ รัฐศาสตร์ก็คือ แผนที่ เพื่อใช้ศึกษาสภาพทางภูมิศาสตร์และนำมาวางแผนดำเนินการเตรียมรับหรือแก้ไข สถานการณ์ทีเ่ กิดข้ึนได้ 2. ด้านการทหาร ในการพิจารณาวางแผนทางยุทธศาสตร์ของทหาร จำเป็นต้องหาข้อมูลหรือ ข่าวสารท่ีเกยี่ วกับสภาพภมู ศิ าสตร์ และตำแหนง่ ทางสงิ่ แวดล้อมทถี่ ูกต้องแน่นอนเกยี่ วกบั ระยะทาง ความสูง เส้นทาง ลักษณะภูมปิ ระเทศท่ีสำคัญ 3. ด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านเศรษฐกิจ เป็นเครื่องบ่งชี้ความเป็นอยู่ของประชาชนภายในชาติ การดำเนินงานเพ่อื พฒั นาเศรษฐกิจของแต่ละภูมภิ าคทีผ่ ่านมา แผนทีเ่ ปน็ ส่งิ แรกท่ตี อ้ ง ผลติ ขึน้ มาเพ่ือการใช้

งานในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก็ต้องอาศัยแผนที่เป็นข้อมูลพื้นฐานเพ่ือให้ทราบ ทำเลทีต่ ง้ั สภาพทางกายภาพแหล่งทรพั ยากร 4. ดา้ นสงั คม สภาพแวดลอ้ มทางสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทีเ่ ห็นชัดคือสภาพแวดล้อมทาง ภูมิศาสตร์ ซึ่งทำให้สภาพแวดล้อมทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป การศึกษาสภาพการเปลี่ยนแปลงต้องอาศัย แผนท่ีเป็นสำคญั และอาจช่วยใหก้ ารดำเนินการวางแผนพัฒนาสังคมเปน็ ไปในแนวทางท่ีถกู ต้อง 5. ด้านการเรียนการสอน แผนที่เป็นตัวส่งเสริมกระตุ้นความสนใจ และก่อให้เกิดความเข้าใจใน บทเรียนดีขึ้น ใช้เป็นแหล่งข้อมูลทั้งทางด้านกายภาพ ภูมิภาค วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สถิติและการกระจาย ของสิ่งต่างๆ รวมทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และปรากฏการณ์ต่างๆ ใช้เป็นเครื่องช่วยแสดงภาพรวม ของพ้ืนที่หรือของภูมิภาค อันจะนำไปศึกษาสถานการณ์และวิเคราะห์ความแตกต่างหรือความสัมพันธ์ของ พ้นื ที่ 6. ด้านส่งเสริมการท่องเที่ยว แผนที่มีความจำเป็นต่อนักท่องเที่ยวในอันที่จะทำให้รู้จักสถานท่ี ทอ่ งเทย่ี วได้ง่าย สะดวกในการวางแผนการเดนิ ทางหรอื เลือกสถานท่ีท่องเท่ียวตามความเหมาะสม ชนดิ ของแผนที่ แบง่ ตามการใชง้ านได้ 3 ชนดิ ได้แก่ 1. แผนท่ภี ูมิประเทศ เปน็ แผนทแ่ี สดงความสงู ตำ่ ของพื้นผิวโลก โดยใชเ้ ส้นชนั้ ความสงู บอกค่าความ สงู จากระดับนำ้ ทะเลปานกลาง แผนทชี่ นดิ นเี้ ปน็ พน้ื ฐานท่ีจะนำไปทำข้อมูลอนื่ ๆ เกยี่ วกับแผนท่ี 2. แผนท่ีเฉพาะเรื่อง เป็นแผนท่ที แ่ี สดงลักษณะใดลักษณะหน่ึงโดยเฉพาะ ไดแ้ ก่ แผนที่ รฐั กิจแสดง เขตการปกครองหรืออาณาเขต แผนทแ่ี สดงอุณหภูมขิ องอากาศ แผนท่ีแสดงปริมาณน้ำฝน แผนท่ีแสดงการ กระจายตวั ของประชากร แผนทเี่ ศรษฐกจิ แผนทป่ี ระวัติศาสตร์ เปน็ ต้น 3. เป็นแผนที่ที่รวบรวมเรื่องต่าง ๆ ทั้งลักษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางด้าน ประชากร และอ่ืนๆ ไว้ในเลม่ เดียวกนั องคป์ ระกอบของแผนทมี่ หี ลายองค์ประกอบ คือ 1. สัญลกั ษณ์ คือ เคร่อื งหมายทใ่ี ชแ้ ทนสงิ่ ต่างๆ ตามท่ีต้องการแสดงไว้ในแผนที่ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจแผนที่ ไดง้ า่ ยขึน้ เชน่ จุด วงกลม เส้น ฯลฯ 2. มาตราสว่ น คอื อตั ราสว่ นระยะห่างในแผนท่กี ับระยะหา่ งในภมู ปิ ระเทศจริง 3. ระบบอ้างอิงในแผนที่ ไดแ้ ก่ เส้นขนานละติจดู และเส้นลองจจิ ูด (เมรเิ ดียน) เส้นละติจดู เป็นเสน้ สมมติท่ีลากไปรอบโลกตามแนวนอนหรือแนวทิศตะวนั ออก ตะวันตก แต่ละเสน้ ห่างกัน 1 องศา โดยมเี สน้ 0 องศา (เสน้ ศนู ย์สตู ร) แบง่ กง่ึ กลางโลก เสน้ ท่ีอยู่เหนอื เสน้ ศนู ยส์ ูตร เรยี กเส้นองศาเหนือ เส้นทอี่ ยู่ใตเ้ ส้นศูนย์สูตร เรยี กเส้นองศาใต้ ละติจูดมที ้งั หมด 180 เส้น เสน้ ลองจิจูด เปน็ เส้นสมมติท่ีลากไปรอบโลกในแนวตง้ั จากข้วั โลกเหนือไปยัง ขว้ั โลกใต้ แตล่ ะเสน้ ห่างกัน 1 องศา กำหนดใหเ้ ส้นทล่ี ากผา่ นตำบลกรีนชิ กรงุ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เปน็ เส้น 0 องศา (เมริเดียนปฐม)

ถ้านับจากเส้นเมริเดียนปฐม ไปทางตะวันออก เรียกเส้นองศาตะวันออก ถ้านับไปทางตะวันตกเรียกเส้น องศาตะวันตก ลองจิจดู มที ัง้ หมด 360 เส้น พิกัดภูมิศาสตร เป็นตำแหน่งที่ตั้งของจุดตา่ งๆ บนพื้นผิวโลก เกิดจากการตดั กันของเส้นขนานละติจดู และ เสน้ เมริเดียน โดยเสน้ สมมตทิ ง้ั สองน้จี ะตัง้ ฉากซงึ่ กันและกัน 4. ขอบระวาง แผนที่ทุกชนิดควรมีขอบระวาง เพื่อช่วยให้ดูเรียบร้อย และเป็นการกำหนดขอบเขต ของแผนท่ดี ว้ ย ขอบระวางมักแสดงด้วยเสน้ ตรงสองเส้นหรอื เส้นเดียว 5. ระบบอา้ งองิ บนแผนที่ คอื ระบบท่กี ำหนดขน้ึ เพือ่ อำนวยความสะดวกในการคำนวณหาตำแหน่ง ท่ตี ้ังและคำนวณหาเวลาของตำแหน่งตา่ งๆ บนพืน้ ผิวโลก ซงึ่ แยกไดด้ ังนี้ การคำนวณหาตำแหนง่ ท่ตี ้ัง จะใช้ละตจิ ูดและลองจิจูดเปน็ เกณฑ์ วิธีนี้เรียกวา่ การพกิ ัดภมู ศิ าสตร์ การคำนวณหาเวลา โดยใชห้ ลักการว่า 1 นาที = 15 ลิบดา และ 4 นาที = 1 ลองจจิ ดู หรอื 1 องศา 6. สีที่ใชใ้ นการเขยี นแผนทีแ่ สดงลักษณะภมู ิประเทศ สีดำ หมายถึง สง่ิ สำคญั ทางวฒั นธรรมท่มี นษุ ยส์ ร้างขึ้น เช่น อาคาร วัด สถานทรี่ าชการ สีน้ำตาล หมายถงึ ลกั ษณะภูมิประเทศท่ีมคี วามสูง สนี ำ้ เงิน หมายถงึ ลกั ษณะภูมิประเทศที่เป็นน้ำ เช่น ทะเล แม่นำ้ หนองบึง สีแดง หมายถงึ ถนนสายหลกั พนื้ ท่ยี า่ นชมุ ชนหนาแน่น และลกั ษณะภมู ปิ ระเทศสำคัญ สเี ขียว พืชพันธไุ์ ม้ต่าง ๆ เช่น ป่า สวน ไร่ 3.2 ลูกโลก เป็นเครื่องมือทางภูมิศาสตร์อย่างหนึ่งที่ใช้เป็นอุปกรณ์ในการศึกษาค้นคว้าหรือใช้ ประโยชนใ์ นด้านอืน่ ๆ ลูกโลกจำลองเป็นการย่อส่วนของโลกมลี กั ษณะทรงกลม บนผิวของลกู โลกจะมีแผนท่ี

โลก แสดงพื้นดิน พื้นน้ำ สภาพภูมิประเทศ ที่ตั้งประเทศ เมือง และเส้นพิกัดทางภูมิศาสตร์ เพื่อสามารถ บอกตำแหน่งต่างๆ บนพื้นผิวโลกได้ ลูกโลกจำลองสร้างคล้ายลูกโลกจริง แสดงสีแทนลักษณะภูมิประเทศ ต่างๆ องค์ประกอบของลูกโลก ได้แก่ เส้นเมริเดียน เป็นเส้นสมมติที่ลากจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต้ ซึ่งกำหนดให้มีค่าเป็น 0 องศาที่เมือง กรนี ิช ประเทศองั กฤษ เส้นขนาน เป็นเส้นสมมติท่ีลากไปรอบโลกในแนวนอน ทกุ เสน้ จะขนานกับ เสน้ ศนู ย์สตู ร 3.3 เข็มทิศ เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการหาทิศทางของจุดหรือวัตถุ โดยมีหน่วยเป็นองศา เปรียบเทยี บกบั จดุ เร่ิมตน้ อาศยั แรงดึงดูดระหว่างสนามแมเ่ หล็กข้ัวโลกกับเขม็ แม่เหล็ก ซ่ึงเปน็ องค์ประกอบ ที่สำคัญที่สุด เข็มแม่เหล็กจะแกว่งไกวอิสระในแนวนอน เพื่อให้แนวเข็มชี้อยู่ในแนว เหนือ - ใต้ ไปยัง ขั้วแม่เหล็กโลกตลอดเวลา เข็มทิศมีประโยชน์เพื่อใช้ในการเดินทาง ได้แก่ การเดินเรือทะเล เครื่องบิน การ ใชเ้ ขม็ ทิศจะตอ้ งมแี ผนทปี่ ระกอบ และตอ้ งหาทิศเหนอื กอ่ น 3.4 รูปถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายจากดาวเทียม เปน็ รูปหรอื ขอ้ มลู ตวั เลขที่ได้จากการเกบ็ ข้อมูล ภาคพืน้ ดินจากกล้องที่ติดอยูก่ บั ยานพาหนะ เชน่ เคร่ืองบิน หรือดาวเทียม ประโยชนข์ องรูปถา่ ยทางอากาศและภาพถ่ายจากดาวเทยี ม รปู ถา่ ยทางอากาศและภาพถ่ายจากดาวเทียม ให้ข้อมูลพื้นผิวของเปลือกโลกได้เป็นอย่างดี ทำให้เห็นภาพรวมของการใช้พื้นที่และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ตามที่ปรากฏบนพ้นื โลกเหมาะแก่การศกึ ษาทรพั ยากรผิวดิน เช่น ป่าไม้ การใชป้ ระโยชนจ์ ากดนิ หนิ และแร่ 3.5 เครื่องมอื เทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษาภูมิศาสตร์ เทคโนโลยที ี่สำคญั ด้านภมู ศิ าสตร์ คือ 1) ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) หมายถึง การเก็บ รวบรวม และบันทึกข้อมูลทางภูมิศาสตร์ ด้วยระบบคอมพิวเตอรโ์ ดยข้อมูลเหล่านี้สามารถปรับปรุงแก้ไขใหถ้ ูกต้องทันสมัย และสามารถแสดงผลหรือ นำออกมาเผยแพร่เป็นตัวเลข สถิติ รูปภาพ ตาราง แผนที่ และข้อความทางหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือพิมพ์ ออกมาเปน็ เอกสารได้

ประโยชน์ของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) คอื ช่วยให้ประหยดั เวลาและงบประมาณ ชว่ ยให้เห็นภาพ จำลองพื้นที่ชัดเจนทำให้การตัดสินใจวางแผนจัดการและพัฒนาพื้นที่มีความสะดวกและสอดคล้องกับ ศกั ยภาพของพน้ื ท่ีนัน้ และชว่ ยในการปรับปรุงแผนท่ใี ห้ทนั สมัย 2) ระบบพิกัดพื้นผิวโลก (GPS) เป็นเครื่องมือรับสัญญาณพิกัดพื้นผิวโลกอาศัยระยะทางระหว่าง เครื่องรับดาวเทียม GPS บนพื้นผิวโลกกับดาวเทียมจำนวนหนึ่งที่โคจรอยู่ในอวกาศและระยะทางระหว่าง ดาวเทียมแต่ละดวง ปัจจุบันมีดาวเทียมชนิดนี้อยู่ประมาณ 24 ดวง เครื่องมือ รับสัญญาณ มีขนาดและ รูปร่างคล้ายโทรศพั ทม์ อื ถอื เมอื่ รับสญั ญาณจากดาวเทยี มแลว้ จะทราบคา่ พิกดั ณ จดุ ทว่ี ัดไว้ โดยอาจจะอ่าน ค่าเป็นละตจิ ูด และลองจจิ ดู ได้ ความคลาดเคลื่อนขึน้ อย่กู ับชนิดและราคาของเครื่องมือ ประโยชน์ของเครื่องมือเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาภูมิศาสตร์ จะคล้ายกับการใช้ประโยชน์จากแผนที่สภาพ ภูมิประเทศและแผนที่เฉพาะเร่ือง เช่น จะให้คำตอบว่าถ้าจะเดินทางจาก จุดหนึ่งไปยังอีกจุดหน่ึง ในแผนท่ี จะมีระยะทางเท่าใด ถ้าทราบความเร็วของรถจะทราบว่าใช้เวลานานเท่าใด บางครงั้ ขอ้ มูลมีความสับสนมาก เช่น ถนนบางช่วงมีสภาพถนนไม่เหมือนกัน คือ บางช่วงเป็นถนนกว้างที่สภาพผิวถนนดี บางช่วงเป็นถนน ลูกรัง บางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ ทำให้การคิดคำนวณเวลาเดินทางลำบากแต่ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ จะ ชว่ ยใหค้ ำตอบได้

ใบงานที่ 5/1 เรื่อง ลักษณะทางภูมศิ าสตร์กายภาพของประเทศในทวีปเอเชีย จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1) ให้ผูเ้ รยี นอธิบายจุดเด่นของลักษณะภูมปิ ระเทศในทวีปเอเชยี ทั้ง 5 เขต ................................................................................................................ .......................................................... ...................................................................................... .................................................................................... ......................................................................................................................................................... ................. .................................................................................................................. ........................................................ .......................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ............... .................................................................................................................... ...................................................... .......................................................................................... ................................................................................ ............................................................................................................................................................. ............. 2) ภูมิอากาศแบบใดทมี่ ีหิมะปกคลุมตลอดปี และพืชพรรณท่ีปลกู เป็นประเภทใด ............................................................................................................................. ............................................. .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................... ................................................. ........................................................................................................................................................ .................. ..........................................................................................................................................................................

ใบความรู้ท่ี 6 เรอื่ งเหตุการณส์ ำคัญทางประวตั ศิ าสตรท์ ี่เกดิ ขนึ้ ในประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชีย เร่ืองเหตุการณส์ ำคัญทางประวตั ิศาสตรท์ เี่ กดิ ขนึ้ ในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชียยคุ ลา่ อาณา นิคม ยุคล่าอาณานิคมเกิดขึ้นเนื่องจากประเทศทางโลกตะวันตกได้แก่อังกฤษฝรั่งเศสโปรตุเกสฮอลันดา ฯลฯพยายามขยายอาณานิคมของตนเองไปยังประเทศต่างๆท่ัวโลกโดยเฉพาะประเทศในแถบทวปี เอเชียเป็น ประเทศเป้าหมายสำคัญที่ประเทศมหาอำนาจเหล่านี้เดินทางมาเพื่อล่าเป็นเมืองขึ้นทั้งประเทศอินเดียพม่า อินโดนีเซียฟิลิปปินส์ลาวเวียดนามเป็นต้นในบทนี้จะกล่าวถึงประเทศที่ถูกยึดเป็นอาณานิคมพอเป็นสังเขป ดังน้ี ประเทศพม่าตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีระบบการปกครองที่มอบอำนาจให้แก่ กษัตริย์และขุนนางซึ่งเป็นเพียงกลุ่มคนจำนวนน้อยในสังคมส่วนไพร่และทาสซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่และมี หลากหลายชาตพิ ันธุ์จะมีหนา้ ท่ีในการสง่ สว่ ยหรอื ใชแ้ รงงานแก่รฐั ตามกลไกระบบศักดินา หลังสงครามอังกฤษกับพม่าครั้งที่ 3 สิ้นสุดพระเจ้าธีบอและมเหสีก็ถูกเนรเทศอังกฤษก็ได้ผนวกพม่าเข้ากับ อินเดียทำให้ระบบการปกครองของพม่าล้มเหลวขุนนางขาดแหล่ งอ้างอิงในการใช้อำนาจที่ชอบธรรม พระราชวังมัณฑะเลย์กลายเป็นศูนย์กลางรวมกองบัญชาการทหารนอกจากนั้นอังกฤษยังทำการเลิกระบบ ไพร่และทาสด้วย ขุนนางของพม่าจำนวนมากยอมให้ความร่วมมือกับอังกฤษและต่อมาไม่นานก็ถูกระบบของอังกฤ ษ ดูดกลืนหลังจากนั้นอังกฤษก็ได้ขึ้นมาเป็นชนชั้นปกครองของพม่าพม่าได้ถูกสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ซึมซา บถึงทกุ ชนช้ันซ่งึ นักศึกษาสว่ นใหญเ่ ช่ือวา่ พมา่ สมยั ใหมเ่ ปน็ ผลผลติ ขององั กฤษ ICS เป็นกลุ่มนักบริหารอาณานิคมท่ีเกิดจากการคัดเลือกซึ่งจะทำงานอยู่ในอนิ เดยี และพม่าเจา้ หน้าท่ี 1 คน ต้องรับผิดชอบคนราว 300,000 คนทำให้คอ่ นข้างทำงานหนักการทำงานของ ICS จำเป็นจะต้องปฏิสัมพันธ์ กับคนพื้นเมืองเช่นในพม่าแต่ด้วยความที่มีอคติมองว่าชาวพม่าเป็นชนช้ันทีต่ ำ่ ตอ้ ยจึงทำให้ ICS ส่วนใหญ่ไม่ สนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับพื้นเมืองพม่ามากนักทำให้ ICS และคนพื้นเมืองพม่าค่อนข้างที่จะเกิดความรู้สึก แปลกแยกท้ังจากเชื้อชาตเิ ดียวกันและตา่ งเช้อื ชาติ การปกครองของอังกฤษในด้านการเก็บภาษโี ดยเฉพาะสว่ ยทีร่ ัฐบาลเรยี กเก็บรายบุคคลทำใหภ้ าวะราคาข้าว ตกต่ำจนชาวพมา่ เกดิ ความกดดนั และนำไปสูก่ ารต่อต้านเกิดกบฏหยา่ ซานแต่การเกิด

ความขัดแย้งนั้นอังกฤษมองว่าเปน็ การกระทำที่เกิดจากไสยศาสตร์ความคิดแบบจารตี ไมไ่ ด้กล่าววา่ เป็นการ เกิดจากปัญหาสังคม - เศรษฐกิจ ครั้นถึงช่วงปลายพุทธศตวรรษท่ี 24 ต่อช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ประเทศฝรั่งเศสเริ่มให้ความ สนใจที่จะขยายอำนาจเข้ามาสู่ดินแดนในแถบลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อหาทางเข้าถึงดินแดนตอนใต้ของจีนเพื่อเปดิ ตลาดการค้าแห่งใหม่แข่งกับอังกฤษซึ่งสามารถยึดพม่าได้ก่อนหน้านั้นแล้วโดยฝรั่งเศสเริ่มจากการยึดครอง แคว้นโคชินจนี หรือเวียดนามใต้ก่อนในปี พ.ศ. 2402 รกุ คบื เขา้ มาสู่ดินแดนเขมรส่วนนอกซ่ึงไทยปกครองใน ฐานะประเทศราชในปีพ.ศ. 2406 (ไทยตกลงยอมสละอำนาจเหนือเขมรส่วนนอกอย่างเป็นทางการในปีพ.ศ. 2410) จากนั้นจึงได้ขยายดินแดนในเวียดนามต่อจนกระทั่งสามารถยึดเวียดนามได้ทั้งประเทศในปีพ.ศ. 2426 พรมแดนของสยามทางด้านประเทศราชลาวจึงประชิดกับดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสอย่าง หลกี เล่ยี งไม่ได้ ในระยะเวลาเดียวกันในประเทศจีนได้เกิดเหตุการณ์กบฏไทผ่ ิงต่อต้านราชวงศ์ชิงกองกำลังกบฏชาว จีนฮ่อที่แตกพ่ายได้ถอยร่นมาต้ังกำลังซ่องสุมผู้คนอยู่ในแถบมนฑลยูนนานของจีนดินแดนสิบสองจุไทยและ ตามแนวชายแดนประเทศราชลาวตอนเหนือกองกำลังจีนฮ่อได้ทำการปล้นสะดมราษฎรตามแนวพื้นท่ี ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องสร้างปัญหาต่อการปกครองของทั้งฝ่ายไทยและฝรั่งเศสอย่างยิ่งเพราะส่งกำลังไป ปราบปรามหลายครั้งก็ยังไม่สงบเฉพาะกับอาณาจักรหลวงพระบางนั้นทางกรุงเทพถึงกับต้องปลดพระเจ้า มหนิ ทรเทพนภิ าธรเจ้าผู้ครองนครหลวงพระบางออกจากตำแหน่งเนื่องจากไม่สามารถรักษาเมืองและปล่อย ให้กองทัพฮ่อเข้าปล้นสะดมและเผาเมืองหลวงพระบางลงและตั้งเจ้าคำสุกขึ้นเป็นพระเจ้าสักรินทรฤทธิ์ ปกครองดินแดนแทนไทย (หรือสยามในเวลานั้น) จึงร่วมกับฝรั่งเศสปราบฮ่อจนสำเร็จโดยทั้งสองฝ่ายไล่ตี กองกำลังจีนฮ่อจากอาณาเขตของแต่ละฝ่ายให้มาบรรจบกันที่เมืองแถง (เดียนเบียนฟูในปัจจุบัน) แต่ก็เกิด ปัญหาใหม่คือฝา่ ยฝรั่งเศสฉวยโอกาสอา้ งสิทธปิ กครองเมืองแถงและสิบสองจุไทยโดยไม่ยอมถอนกำลังทหาร ออกจากเมืองแถงเพราะอ้างว่าเมืองนี้เคยส่งส่วยให้เวียดนามมาก่อนปัญหาดังกล่าวนี้มีที่มาจากภาวะการ เป็นเมืองสองฝ่ายฟ้าของเมืองปลายแดนซ่ึงจะส่งส่วยให้แก่รัฐใหญ่ทุกรัฐที่มีอิทธิพลของตนเองเพื่อความอยู่ รอดพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิมแสง-ชูโต) แม่ทัพฝ่ายไทยเห็นว่าถ้าตกลงกับฝรั่งเศสไม่ได้จะทำให้ปัญหาโจร ฮ่อบานปลายแก้ยากจึงตัดสินใจทำสัญญากับฝรั่งเศสในวันที่ 22 ธันวาคมพ.ศ. 2431 ให้ฝ่ายไทยตั้งกำลัง ทหารทเี่ มอื งพวน (เชยี งขวาง) ฝรัง่ เศสต้งั กำลังทหารที่สบิ สองจุไทยส่วนเมืองแถงเปน็ เขตกลางให้มที หารของ ทั้งสองฝ่ายดูแลจนกว่ารัฐบาลทั้งสองชาติจะเจรจาเรื่องปักปันเขตแดนได้ผลจากสนธิสัญญานี้แม้จะทำให้ ฝ่ายไทยร่วมมือปราบฮ่อกับฝร่ังเศสจนสำเร็จและสามารถยุตคิ วามขัดแยง้ เรื่องแคว้นสิบสองจุไทยเมืองพวน และหัวพนั ทั้งหา้ ท้งั หกยุตลิ งไปชั่วคราวแต่ก็ต้องเสียดินแดนสบิ สองจุไทยโดยปริยายไป การลา่ อาณานิคมของอังกฤษ

ในยุคล่าอาณานิคมนั้นกลุ่มประเทศมหาอำนาจตะวันตกหลายประเทศต่างแสวงหาอาณานิคมของ ตนเองเชน่ ประเทศอังกฤษโปรตุเกสฝร่ังเศสได้แผอ่ ิทธพิ ลเขา้ มาในทวีปเอเชยี หลายประเทศและประเทศหนึ่ง ทตี่ กเปน็ เมืองขึ้นของอังกฤษคืออนิ เดยี นนั่ เอง บริษัทอิสต์อินเดียของอังกฤษเข้ามาทำการคา้ ในประเทศอินเดียเป็นประวัติศาสตร์ที่ศนู ย์อำนาจชาวอังกฤษ ที่เข้ามาสู่อินเดียนั้นมาในนามของพ่อค้าความจริงแล้วมีหลายชาติที่เข้ามาทำการค้ากับอินเดียที่สำคัญเช่น ชาวโปรตเุ กสชาวฮอลนั ดาชาวฝรั่งเศสเปน็ ตน้ โปรตุเกสนับเป็นยุโรปชาติแรกๆที่เข้ามาทำการค้าบนแผ่นดินอินเดียนับตั้งแต่วัสโกดากามาเดินทางมาถึง เมืองกาลิกัตทางตะวันตกของอินเดียตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 15 และสามารถสร้างเมืองท่าของตัวเอง ข้ึนเปน็ ผลสำเร็จท่ีเมืองกัว (Goa) หลงั จากชาวโปรตุเกสแล้วก็มีชาวฮอลันดาและชาวฝร่ังเศสส่วนอังกฤษน้ัน เข้ามาในภายหลงั เมอ่ื ชาวโปรตุเกสฮอลนั ดาและฝร่ังเศสได้มกี จิ การที่อินเดียอยู่กอ่ นแลว้ และนำศาสนาคริสต์ มาเผยแผใ่ นอนิ เดียด้วยบรษิ ัทอิสตอ์ ินเดยี ของอังกฤษทำให้เกิดเป็นปฏิปกั ษ์กบั ชาวอนิ เดยี ทัง้ ทเี่ ป็นมสุ ลิมและ ฮินดูเพราะบทเรียนเช่นนี้พ่อค้าชาวอังกฤษจึงไม่ปรารถนาจะให้เรื่องศาสนามาเป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ การค้าที่สำคัญคือชาวอังกฤษเองกลับเป็นผู้สนับสนุนชาวอินเดียไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือฮินดูในการต่อสู้กับ พ่อค้าต่างศาสนาแม้จะเข้ามาสู่อินเดียหลังชาติอื่นแต่อังกฤษกลับประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและ มากกว่าชาติอื่นภายในเวลาไม่นานบริษัทอิสต์อินเดียของอังกฤษก็สามารถจัดตั้งศูนย์การค้าของตัวเองได้ ตามเมืองท่าสำคัญนับตั้งแต่แถบตะวันตกที่เมืองสุรัตบอมเบย์มาจนถึงแถบตะวัน ออกคือมัทราสและกัลกัต ตาทงั้ นก้ี ็ดว้ ยความช่วยเหลอื จากเจ้าผ้คู รองนครต่างๆ เมื่อมาถึงช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงที่อำนาจปกครองรวมศูนย์โดยกษัตริย์มุสลิมเริ่ม เสื่อมลงเป็นโอกาสให้พ่อค้าชาวอังกฤษมีโอกาสเข้าไปแทรกแซงด้วยการช่วยเหลือฝ่ายใดฝา่ ยหน่ึงที่มีความ ขดั แย้งกันจนในทส่ี ุดบริษัทอสิ ต์อนิ เดียกม็ ีอิทธิพลเหนือเจา้ ผู้ปกครองเหล่าน้ันและนำไปสู่การมีอำนาจเหนือ แผน่ ดินอนิ เดียในเวลาต่อมา ล่วงมาถึงศตวรรษที่ 19 ประเทศอินเดียทั้งหมดก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษนั่นคือบางส่วน เป็นเขตปกครองของอังกฤษโดยตรงเรียกวา่ บริทิชราช (British Raj) เขตปกครองโดยตรงนี้มปี ระมาณ 3 ใน 5 ของอินเดียทั้งหมดส่วนที่เหลือเป็นการปกครองโดยมหาราชาผู้ครองนครที่แตกแยกเป็นแคว้นเล็กแคว้น น้อยที่แม้จะปกครองตนเองได้แต่ก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอังกฤษกล่าวคือไม่สามารถปฏิเสธอำนาจของ องั กฤษได้ ช่วงประมาณ 100 ปีตงั้ แตต่ น้ ศตวรรษท่ี 19 ถึงตน้ ศตวรรษที่ 20 เป็นรอ้ ยปีแหง่ ความเป็นไปของอินเดียที่ถูก กำหนดทิศทางโดยผู้ปกครองชาวอังกฤษอินเดียที่แตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยมานานหลายร้อยปีถูก เช่ือมโยงใหต้ ดิ กนั เป็นหนึ่งเดียวดว้ ยระบบทางรถไฟและการสื่อสารไปรษณีย์ท่ีอังกฤษจัดสร้างขึ้นบนแผ่นดิน อินเดีย

นับตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มาจนถึงช่วงได้รับอิสรภาพในช่วงกลางศตวรรษกระบวนการ เรียกร้องเอกราชจากการปกครองของอังกฤษก็ทวีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดอินเดียสามารถประกาศเอก ราชได้สำเรจ็ ผู้นำซึง่ มหาตมะคานธซี ่งึ ต่อตานอังกฤษดว้ ยวิธกี าร “อหิงสา” ซ่ึงเป็นวธิ กี ารสงบสนั ตพิ ร้อมๆกับ การแตกอนิ เดียออกเปน็ ฮินดสู ถาน (เขตประเทศชาวฮนิ ดู) และปากสี ถาน (เขตประเทศชาวมสุ ลมิ ) ยุคสงครามเย็น ยุโรปยคุ สงครามเยน็ สงครามเย็น (Cold war) เป็นสงครามที่เกิดจากการปะทะกันระหว่างสหรัฐอเมริกา (เสรี ประชาธิปไตย) และสหภาพโซเวียต (คอมมวิ นสิ ต์) ซงึ่ จะขอรวมเอาไว้ทั้งหนว่ ยงานสำคัญ, สถานท่ีต่างๆเป็น ตน้ สงครามเยน็ เป็นลักษณะการเผชญิ หน้าภายหลังสงครามโลกคร้ังท่ีสองคำวา่ สงครามเย็นเป็นคำใหม่ ที่เกิดขึ้นก่อนสงครามยุติลงและเรียกต่อมาเป็นการอธิบายลักษณะความตึงเครียดระหว่างประเทศหรือ ระหว่างกลุ่มที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการจับอาวุธขึ้นต่อสู้เพราะถ้ามีการใช้อาวุธสถานการณ์จะ เปลี่ยนไปเป็นสงครามร้อน (hot war) ซึ่งจะมีขอบเขตกว้างขวางและก่ออันตรายอย่างใหญ่หลวงแก่ มนุษยชาติวิธีการที่ใช้มากในสงครามเย็นคือการโฆษณาชวนเชื่อสงครามจิตวิทยาการแข่งขันกันทางกำลัง อาวุธและการสร้างความนิยมลัทธิของตนในประเทศเล็กๆที่อาจถูกรวมเข้ามาเป็นประเทศบริวารของแต่ละ ฝา่ ย สมัยเริ่มต้นสงครามเย็นน่าจะอยู่ในสมัยวิกฤตการณ์ทางการทูตในตอนกลางและปลายค.ศ. 1947 เมื่อสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวยี ตเกิดขัดแย้งเรื่องการจัดตั้งองค์การสนั ติภาพในตุรกยี ุโรปตะวันออกและ เยอรมนีซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกาเริ่มตระหนักว่าเป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องเป็นผู้นำต่อต้านแผนการยึดครอง โลกของสหภาพโซเวยี ตทเี่ ปน็ ผู้นำฝา่ ยคอมมวิ นสิ ต์ การแบ่งสถานภาพของประเทศต่างๆในสมัยสงครามเยน็ คือ 1) ประเทศมหาอำนาจ (Big Powers) คือประเทศพัฒนาแล้วหมายถึงประเทศที่มีการพัฒนา อุตสาหกรรมมีภาระหน้าที่นำอารยธรรมไปเผยแพร่ยังประเทศที่ล้าหลังทั้งหมดเป็นการสร้างลักษณะ จักรวรรดนิ ยิ มใหมใ่ นครสิ ต์ศตวรรษที่ 19 คือการลา่ เมอื งขน้ึ และยึดครองประเทศอาณานิคมในแอฟริกาและ เอเชียมีจุดประสงค์คือความต้องการตลาดระบายสินค้าต้องการแรงงานราคาถูกและ ต้องการทรัพยากรใน ประเทศนน้ั มาใชป้ ระโยชนใ์ นงานอุตสาหกรรมของตน 2) ประเทศด้อยพัฒนา (Underdeveloped Countries) คือประเทศที่ยังไม่มีการพัฒนา อุตสาหกรรมหรอื มกี ารพัฒนาในระดบั ตำ่ ประเทศเหล่าน้จี ะมีความล้าหลังทางเทคโนโลยมี ฐี านะเป็นประเทศ พึ่งพา (dependent) และต้องเผชิญหน้าการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกส่วนมากเป็นประเทศในเอเชีย และแอฟรกิ า

3) ประเทศอภิมหาอำนาจ (Super Powers) คือประเทศที่ปรากฏความสำคัญขึ้นมาแทน มหาอำนาจตะวันตกภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีลักษณะเป็นประเทศภาคพื้นทวีป (Continental Character) มีการพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงและเป็นผู้นำลัทธิการเมืองสองฝ่ายคือฝ่ายโลกเสรีและฝ่าย คอมมวิ นสิ ต์ ระยะสงครามเย็น 1) ค.ศ. 1947 - 1949 เป็นระยะความตึงเครียดเนื่องจากการเผชิญหน้ากันระหว่างอภิมหาอำนาจ แต่ยังไม่มีการประกาศสงครามหรือใช้กำลังเป็นสมัยการประกาศแผนการทรูแมน (Truman Doctrine) วนั ที่ 12 มนี าคมค.ศ. 1947 กบั การประกาศแผนการมารแ์ ชลลเ์ พื่อฟ้ืนฟูบรู ณะยโุ รป (The marshall Plan) การขยายอทิ ธิพลของสหภาพโซเวียตในยุโรปตะวนั ออกและการแบ่งแยกเยอรมนีเปน็ ตน้ 2) ค.ศ. 1950 - 1960 เป็นระยะทสี่ าธารณรฐั ประชาชนจีนได้เข้ามามีบทบาทในวงการเมืองระหว่าง ประเทศเกดิ วิกฤตการณห์ ลายอยา่ งเช่นสงครามเกาหลสี งครามเวียดนามและการรกุ รานทิเบตของจนี เป็นต้น 3) ทศวรรษที่ 1960 เป็นระยะการอยู่ร่วมกันโดยสันติ (Peaceful Co-existence) คือการสร้าง ความสัมพันธ์แบบไม่เผชิญหน้าซึ่งเป็นนโยบายของนายนิกิตาครุสชอฟทำให้เกิดความคิดแตกแยกระหว่ าง สหภาพโซเวียตกบั สาธารณรัฐประชาชนจนี 4) ทศวรรษท่ี 1970 เป็นระยะการผ่อนคลายความตึงเครียด (Détente) คือการแตกขั้วอำนาจ ระหวา่ งสองค่ายประชาธิปไตยและคอมมวิ นิสต์ท่สี หรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตเผชิญหน้ากันอยู่ได้เพ่ิมขั้ว จีนคอมมิวนิสต์เข้ามาเริ่มจากการไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในปีค.ศ. 1972 ของประธานาธิบดีริชาร์ ดนิกสันของสหรัฐอเมริกาเยือนสหภาพโซเวียตค.ศ. 1973 และต่อมาประธานาธิบดีเบรสเนฟของสหภาพโซ เวยี ตกเ็ ดนิ ทางไปเยือนสหรัฐอเมรกิ าด้วย 5) ค.ศ. 1985 - 1991 นายมิคาอิลกอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) เสนอนโยบายกล็าสนอสต์- เปเรสทรอยกา (Glasnost-Perestroika) หรือนโยบายเปิด-ปรับ (openness-reconstructuring) ทาง การเมอื งและเศรษฐกจิ ของสหภาพโซเวยี ตจนถึงค.ศ. 1989 เร่ิมมีการทำลายกำแพงเบอรล์ นิ และ เยอรมนตี ะวันออกกับตะวนั ตกสามารถรวมประเทศสำเรจ็ ในค.ศ. 1990 - 91 ประเทศกลุ่มบอลตกิ (ลิทัวเนีย ลัตเวยี เอสโตเนีย) กข็ อแยกตวั ออกจากสหภาพโซเวียต นายมิคาอิลกอร์บาชอฟได้เป็นประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งในสภาแทนการแต่งตั้งโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ดังที่ผ่านมามีการประชุมสุดยอดที่กรุงวอชิงตันสหรัฐอเมริกาเป็นการยุติสงครามเย็นแต่เกิดรัฐประหารใน ค.ศ. 1991 เปิดทางให้นายบอรสิ เยลต์ซินโด่งดังในฐานะผู้สามารถปราบกบฏและเตรียมการตั้งเป็นประเทศ เครือรัฐเอกราช (Commonwealth of Independent States) ในเดือนธันวาคมนายกอร์บาชอฟลาออก จากตำแหนง่ ประธานาธบิ ดีของสหภาพโซเวียตเปน็ การยุตคิ วามคงอยู่ของสหภาพโซเวียตคงใหส้ หรฐั อเมริกา เปน็ อภมิ หาอำนาจผ้นู ำโลกเพียงชาติเดียวและถือว่าเปน็ การยตุ สิ งครามเยน็ ด้วย

จากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาส่งผลให้ประเทศต่างๆในเอเชียมีการเมืองการปกครองใน รูปแบบประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้นและแม้แต่ประเทศสังคมนิยมเช่นสหภาพโซเวียตรัสเซียได้พัฒนาการเมือง การปกครองมาเปน็ สงั คมนิยมสมัยใหมม่ ีการเปิดประเทศและพฒั นาประเทศให้แข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีและ เศรษฐกิจยง่ิ ข้ึน การสิ้นสดุ สงครามเย็นในทวีปเอเชยี ประเทศทวีปเอเชียอยู่ภายใต้อิทธิพลของสังคมเย็นระหว่างรัสเซียและอเมริกาซึ่งพยายามขยาย อทิ ธิพลมายงั ประเทศตา่ งๆในเอเชยี เป็นการแย่งชิงทรัพยากรของมหาอำนาจท้ังสองแต่รสั เซยี ซ่ึงเปน็ ต้นแบบ การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ที่จีนรับมาและพัฒนาให้เหมาะสมกับตนเองจีนจึงเป็นประเทศมหาอำนาจใน เอเชยี ทมี่ ีอิทธพิ ลตอ่ ประเทศต่างๆแทนรสั เซยี ดงั น้ันสงครามเย็นท่เี ริ่มมีในเวยี ดนามกัมพูชาเกาหลีจนปะทุมา เป็นสงครามเยน็ ชงิ ประชาชนเพ่อื ลัทธิการเมืองการปกครองจึงมีประเทศผู้สนบั สนุนคืออเมริกาและจีนคนละ ฝา่ ยจนกระท่งั เวยี ดนาม

ใบงานที่ 6 เร่ืองประวตั ิศาสตร์ทวีปเอเชีย จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ในยคุ ลา่ อาณานิคมนนั้ กลุ่มประเทศมหาอำนาจตะวันตกหลายประเทศตา่ งแสวงหาอาณานิคมของตนเอง มีประเทศใดบา้ ง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. สงครามเย็น (Cold war) หมายถงึ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การสิน้ สดุ สงครามเย็นในทวปี เอเชียเกดิ ขึน้ ได้อย่างไร จงอธิบาย ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบความรู้ท่ี 7 เร่ืองความหมายความสำคญั ของเศรษฐศาสตร์มหภาคและจลุ ภาค เร่อื งความหมายความสำคัญของเศรษฐศาสตร์มหภาคและจุลภาค ความหมายเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาว่าดว้ ยการผลติ การจำหนา่ ยจา่ ยแจกและการบรโิ ภคใช้สอยส่งิ ตา่ งๆของชุมชนมี 2 สาขาคอื เศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาคไดแ้ ก่เศรษฐศาสตรภ์ าคทีศ่ ึกษาปัญหาเศรษฐกิจส่วน เอกชนหรอื ปัญหาการหาตลาดเปน็ ต้นและเศรษฐศาสตร์มหภาคไดแ้ กเ่ ศรษฐศาสตรภ์ าคที่ศกึ ษาปญั หา เศรษฐกจิ ของประเทศโดยส่วนรวมเช่นปัญหาเรื่องรายได้ของประชาชาติการออมทรัพย์ของประชากรปญั หา การลงทุน (พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2542 : http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp) เศรษฐศาสตรเ์ ป็นศาสตรห์ รอื สาขาความรู้ท่วี า่ ดว้ ยการจดั สรรทรพั ยากรที่มจี ำกดั อยา่ งมี ประสิทธภิ าพเพ่ือประโยชนส์ งู สดุ ของสงั คมดังนน้ั ไมว่ ่าจะเป็นดา้ นธรุ กิจการผลิตการขายการตลาดด้าน สขุ ภาพดา้ นการก่อสรา้ งดา้ นสถาปตั ยกรรมวิศวกรรมด้านการค้าการขนสง่ จะเก่ียวข้องกับการจดั สรร ทรพั ยากรอย่างไรจะใช้อย่างไรจะระดมและแบง่ ทรัพยากรอยา่ งไรใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพคุ้มคา่ สงู สดุ จะเป็น เรอ่ื งท่เี กีย่ วขอ้ งกบั เศรษฐศาสตรท์ งั้ ส้นิ เศรษฐศาสตรจ์ ึงนำมาใช้อยา่ งกว้างขวางนอกเหนือจากการใชเ้ พือ่ ดำเนินนโยบายและมาตรการเพ่ือการบริหารจัดการประเทศเพ่อื ให้เกิดผลดตี ่อเศรษฐกิจและสงั คม นอกจากนี้เศรษฐศาสตรเ์ ป็นศาสตร์ทีม่ ีพลวตั และการพัฒนาเสมอเรยี กว่าเปน็ ศาสตร์ที่ไมต่ ายทั้งด้านเทคนคิ ทฤษฎแี ละการประยกุ ต์จึงเป็นศาสตร์ท่จี ะอยคู่ โู่ ลกเสมอและทสี่ ำคัญนักเศรษฐศาสตร์ต้องใฝ่รใู้ ช้สติปัญญา เสมอและดา้ นคุณธรรมจรยิ ธรรมความเปน็ ธรรมกเ็ ปน็ ประเดน็ ทนี่ ักเศรษฐศาสตร์ไมล่ ะเลยเพราะจะจดั สรร ทรพั ยากรเพ่ือใหส้ งั คมได้ประโยชน์สูงสุดตอ้ งใช้ทงั้ หลกั ประสทิ ธิภาพและเสมอภาคด้วย ความสำคญั ของเศรษฐศาสตร์เศรษฐศาสตรส์ ามารถจำแนกได้เป็น 3 ลกั ษณะดงั นี้ 1. ผู้บริโภคชว่ ยให้ผู้บรโิ ภคสามารถปรบั ตัวให้เข้ากบั สถานการณท์ างเศรษฐกจิ ของประเทศและของ โลกไดร้ ูแ้ ละเขา้ ใจในนโยบายทางเศรษฐกจิ ทร่ี ัฐบาลกำหนดจะส่งผลกระทบผ้บู ริโภคอย่างไรช่วยให้เตรียมตวั ในการวางแผนใช้จ่ายหรอื ออมภายในครอบครัวหรอื การประกอบอาชีพได้ 2. ผูผ้ ลิตช่วยให้ผผู้ ลิตสินคา้ และบรกิ ารสามารถวเิ คราะห์และวางแผนการผลติ ไดว้ า่ จะผลิตอะไร จำนวนเทา่ ไรผลิตอย่างไรสำหรับใครซึง่ ต้องคำนึงถึงในทุกข้ันตอนก่อนสินค้าและบรกิ ารถึงมือผูบ้ รโิ ภค เพื่อใหส้ ามารถแขง่ ขันในตลาดได้ 3. เศรษฐศาสตรช์ ว่ ยให้รัฐบาลเขา้ ใจพฤตกิ รรมการบริโภคของประชาชนผ้ผู ลิตปจั จัยในการกำหนด สนิ คา้ ต่างๆความสมั พันธ์ระหว่างตลาดต่างๆในระบบเศรษฐกจิ การกำหนดนโยบายและมาตรการเพ่ือมาใช้ แก้ปัญหาและพฒั นาเศรษฐกิจ

เศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาคเป็นการศึกษาถงึ หน่วยเศรษฐกจิ ยอ่ ยซง่ึ เป็นสว่ นหนง่ึ ของระบบเศรษฐกจิ ทัง้ ระบบเช่นการศึกษาพฤตกิ รรมในการบรโิ ภคความชอบการเลือกความพึงพอใจต่อสินคา้ และบรกิ ารเพอ่ื นำ ผลการศึกษามากำหนดราคาการคดิ ตน้ ทนุ การกระจายสินค้าและบริการเปน็ ตน้ ขอบขา่ ยของเศรษฐศาสตร์แบ่งเป็น 2 ด้านใหญๆ่ คอื 1. เศรษฐศาสตร์มหภาคเป็นการศึกษาถึงหน่วยเศรษฐกจิ เปน็ ส่วนรวมเชน่ การผลิตรายได้การ บรโิ ภคการออมการลงทนุ การจ้างงานการภาษีอากรการธนาคารรายไดป้ ระชาชาตกิ ารคา้ ระหว่างประเทศ เปน็ ต้น 2. เศรษฐศาสตรจ์ ุลภาค(Micro Economics) หมายถึงการศึกษาพฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกจิ สว่ นย่อยซึ่งเปน็ สว่ นประกอบของระบบเศรษฐกจิ สว่ นรวมเชน่ ศึกษาพฤติกรรมของผบู้ ริโภคแต่ละรายหรอื กล่มุ ของผู้บริโภคสนิ ค้าแตล่ ะชนดิ พฤติกรรมของผผู้ ลิตแต่ละรายกล่มุ ผู้ผลิตสนิ ค้าแตล่ ะชนิดการกำหนด ปรมิ าณซื้อของผู้บรโิ ภคการกำหนดปรมิ าณการผลติ ของผ้ผู ลิตการกำหนดราคาปัจจัยการผลิตตลอดจนการ ทำงานของกลไกราคา เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macro Economics) เปน็ การศึกษาพฤติกรรมของระบบเศรษฐกิจโดย ส่วนรวมศกึ ษาถงึ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศในขณะหนึง่ เช่นศกึ ษาเรื่องรายไดป้ ระชาชาตกิ ารจ้างงานการ ออมการลงทุนการเงินการธนาคารการคลงั รฐั บาลการคา้ ระหวา่ งประเทศการพฒั นาเศรษฐกจิ เป็นต้น เศรษฐศาสตร์ท้ังสองแนวน้ีมีความสำคัญเทา่ เทยี มกนั การศึกษาแขนงใดแขนงหน่งึ จะทำให้ความเข้าใจในการ ทำงานของระบบเศรษฐกจิ เป็นไปอยา่ งไม่ครบถ้วนเพราะท้ังสองแขนงต่างเป็นส่วนประกอบซึง่ กนั และกัน ฐานความรขู้ องการศึกษาเศรษฐศาสตร์ในการศกึ ษาเศรษฐศาสตรค์ วรเขา้ ใจแนวคดิ และคำศัพท์เพ่อื เป็น พื้นฐานในการศกึ ษาดังน้ี 1. ความต้องการ (Wants) หมายถงึ ความปรารถนาทจี่ ะได้ส่งิ ต่างๆมาบรโิ ภคเพอื่ ตอบสนองความ จำเป็นในการดำรงชีวติ และเพ่ืออำนวยความสะดวกต่างๆซงึ่ ความต้องการจะเปน็ กลไกสำคัญเบอื้ งตน้ ที่ ก่อใหเ้ กดิ กจิ กรรมต่างๆทางเศรษฐกิจตามมาอีกมากมาย 2. ทรพั ยากรหมายถึงสงิ่ ทั้งหลายทส่ี ามารถนำมาใชใ้ นการผลติ หรอื สรา้ งให้เกิดเป็นสนิ ค้าและ บริการทรัพยากรแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ 2.1 ทรัพยากรมนุษยเ์ ปน็ ทรพั ยากรทสี่ ำคญั เป็นอยา่ งย่ิงในการพัฒนาเศรษฐกิจของ ประเทศ 2.2 ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละทรพั ยากรทม่ี นุษยส์ ร้างขึ้นทรัพยากรธรรมชาติเป็นทรัพยากรท่มี ีอยู่ อยา่ งจำกัดเชน่ แร่ธาตทุ ดี่ ินนำ้ มนั ป่าไม้แหล่งน้ำเปน็ ตน้ ทรัพยากรทม่ี นุษยส์ ร้างข้นึ เป็นทรัพยากรทผ่ี ลติ ขนึ้ จากการใชท้ รัพยากรธรรมชาตเิ ปน็ วัตถุดิบเช่น เครื่องมือเครอื่ งใช้เครอื่ งจกั รอาหารเส้ือผา้ เป็นตน้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook