Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายวิชาศิลปศึกษา ทช21003

รายวิชาศิลปศึกษา ทช21003

Published by ครูนภัสสร, 2021-10-28 03:32:07

Description: ทช21003

Search

Read the Text Version

หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาํ เนินชีวติ รายวชิ า ศิลปศึกษา (ทช ) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ) หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั พืนฐาน พทุ ธศกั ราช สาํ นกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ ห้ามจาํ หน่าย U หนงั สือเรียนเลม่ นีจดั พมิ พด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพือการศึกษาตลอดชีวติ สาํ หรับประชาชน ลิขสิทธิเป็นของ สาํ นกั งาน กศน. สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เอกสารทางวชิ าการลาํ ดบั ที 16/2555

หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาํ เนินชีวติ ) รายวชิ า ศิลปศึกษา (ทช ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ) ลขิ สิทธิเป็นของ สาํ นกั งาน กศน. สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร เอกสารทางวชิ าการลาํ ดบั ที 16/2555

คาํ นํา กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศกั ราช เมือวนั ที กนั ยายน พ.ศ. แทนหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการจดั การศึกษานอกโรงเรียน ตามหลกั สูตรการศึกษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช ซึงเป็นหลกั สูตรทีพฒั นาขึนตามหลกั ปรัชญาและความเชือ พืนฐานในการจัดการศึกษานอกโรงเรียนทีมีกลุ่มเป้ าหมายเป็ นผใู้ หญ่มีการเรี ยนรู้และสังสมความรู้ และ ประสบการณ์อยา่ งต่อเนือง ในปี งบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการได้กาํ หนดแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลือนนโยบาย ทางการศึกษาเพอื เพมิ ศกั ยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขนั ใหป้ ระชาชนไดม้ ีอาชีพทีสามารถสร้างรายไดท้ ี มงั คงั และมนั คง เป็นบุคลากรทีมวี นิ ยั เปี ยมไปดว้ ยคุณธรรมและจริยธรรม และมีจิตสาํ นึกรับผดิ ชอบต่อตนเอง และผอู้ ืน สาํ นักงาน กศน. จึงไดพ้ ิจารณาทบทวนหลกั การ จุดหมาย มาตรฐาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และ เนือหาสาระ ทัง กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ ของหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศกั ราช ให้มีความสอดคลอ้ งตอบสนองนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ซึงส่งผลให้ตอ้ งปรับปรุง หนงั สือเรียน โดยการเพิมและสอดแทรกเนือหาสาระเกียวกบั อาชีพ คุณธรรม จริยธรรมและการเตรียมพร้อม เพือเขา้ สู่ประชาคมอาเซียน ในรายวิชาทีมีความเกียวขอ้ งสมั พนั ธก์ นั แต่ยงั คงหลกั การและวิธีการเดิมในการ พฒั นาหนงั สือทีใหผ้ เู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ ความรู้ดว้ ยตนเอง ปฏิบตั ิกิจกรรม ทาํ แบบฝึ กหัด เพือทดสอบความรู้ ความเขา้ ใจ มีการอภิปรายแลกเปลียนเรียนรู้กบั กลุ่ม หรือศึกษาเพิมเติมจากภูมิปัญญาทอ้ งถิน แหล่งการเรียนรู้ และสืออืน การปรับปรุงหนังสือเรียนในครังนี ไดร้ ับความร่วมมืออย่างดียิงจากผทู้ รงคุณวุฒิในแต่ละสาขาวิชา และผเู้ กียวขอ้ งในการจดั การเรียนการสอนทีศกึ ษาคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มูลองค์ความรู้จากสือต่าง ๆ มาเรียบเรียง เนือหาใหค้ รบถว้ นสอดคลอ้ งกบั มาตรฐาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั ตวั ชีวดั และกรอบเนือหาสาระของรายวิชา สาํ นักงาน กศน.ขอขอบคุณผมู้ ีส่วนเกียวขอ้ งทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี และหวงั ว่าหนังสือเรียนชุดนีจะเป็ น ประ โยช น์แ ก่ ผู้เ รี ยน ค รู ผู้สอน แ ละผู้เกี ยวข้องในทุ กระ ดับ หา กมีข้อเ สนอแนะ ปร ะกา รใด สาํ นกั งาน กศน. ขอนอ้ มรับดว้ ยความขอบคุณยงิ

สารบัญ หนา้ คาํ นาํ คาํ แนะนาํ การใชห้ นงั สือเรียน โครงสร้างรายวชิ า บทที ทัศนศิลป์ ไทย เรืองที จุด เสน้ สี แสง เงา รูปร่าง และรูปทรงทีใชใ้ นทศั นศิลป์ ไทย เรืองที ความหมายและเป็นมาของทศั นศลิ ป์ ไทย ดา้ นจติ รกรรมไทย ประติมากรรมไทย สถาปัตยกรรมไทย ภาพพมิ พ์ เรืองที ความงามและคุณค่าของทศั นศลิ ป์ ไทย เรืองที การนาํ ความงามของธรรมชาติมาสร้างสรรคผ์ ลงาน เรืองที ความคิดสร้างสรรค์ ในการนาํ เอาวสั ดุและสิงของต่าง ๆ มาตกแต่ง ร่างกายและสถานที เรืองที คุณค่าของความซาบซึงของวฒั นธรรมของชาติ บทที ดนตรีไทย เรืองที ประวตั ิดนตรีไทย เรืองที เทคนิคและวิธีการเล่นของเครืองดนตรีไทย เรืองที คุณค่าความงามความไพเราะของเพลงและเครืองดนตรีไทย เรืองที ประวตั ิคณุ ค่าภูมิปัญญาของดนตรีไทย บทที นาฏศิลป์ ไทย 89 เรืองที ความเป็นมาของนาฏศลิ ป์ ไทย 91 เรืองที 2 ประวตั ินาฏศิลป์ ไทย 95 เรืองที ประเภทของนาฏศลิ ป์ ไทย เรืองที นาฏยศพั ท์ 107 เรืองที รําวงมาตรฐาน เรืองที การอนุรักษน์ าฏศิลป์ ไทย

บทที นาฏศิลป์ ไทยกบั การประกอบอาชีพ คุณสมบตั ิของอาชีพนกั แสดงทีดี คุณลกั ษณะของผปู้ ระกอบอาชีพการแสดง อาชีพการแสดงหนงั ตะลุง อาชีพการแสดงลเิ ก อาชีพการแสดงหมอลาํ

คาํ แนะนําการใช้หนังสือเรียน หนังสือเรียนสาระทกั ษะการดาํ เนินชีวิต รายวิชา ศิลปศึกษา ทช21003 เป็ นหนังสือเรียนทีจดั ทาํ ขึน สาํ หรับผเู้ รียนทีเป็นนกั ศกึ ษานอกระบบ ในการศกึ ษาหนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาํ เนินชีวิต รายวชิ า ศลิ ปศึกษา ผเู้ รียนควรปฏบิ ตั ิดงั นี 1. ศกึ ษาโครงสร้างรายวิชาให้เขา้ ใจในหัวขอ้ และสาระสาํ คญั ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และขอบข่าย เนือหาของรายวิชานนั ๆ โดยละเอียด 2. ศึกษารายละเอยี ดเนือหาของแต่ละบทอยา่ งละเอียด และทาํ กิจกรรมตามทีกาํ หนด แลว้ ตรวจสอบ กบั แนวตอบกิจกรรมตามทีกาํ หนด ถา้ ผเู้ รียนตอบผดิ ควรกลบั ไปศึกษาและทาํ ความเขา้ ใจในเนือหานันใหม่ให้ เขา้ ใจ ก่อนทีจะศกึ ษาเรืองต่อ ๆ ไป 3. ปฏิบตั ิกิจกรรมทา้ ยเรืองของแต่ละเรือง เพือเป็ นการสรุปความรู้ ความเขา้ ใจของเนือหาในเรืองนนั ๆ อกี ครัง และการปฏิบตั ิกิจกรรมของแต่ละเนือหา แต่ละเรือง ผเู้ รียนสามารถนาํ ไปตรวจสอบกบั ครูและเพือน ๆ ที ร่วมเรียนในรายวชิ าและระดบั เดียวกนั ไดห้ นงั สือเรียนเลม่ นีมี บท คือ บทที ทศั นศลิ ป์ ไทย บทที ดนตรีไทย บทที นาฏศลิ ป์ ไทย บทที นาฏศลิ ป์ ไทยกบั การประกอบอาชีพ

โครงสร้างรายวชิ าศิลปศึกษา ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น สาระสําคญั มคี วามรู้ความเขา้ ใจ มคี ุณธรรม จริยธรรม ชืนชม เห็นคุณค่าความงาม ความไพเราะ ธรรมชาติ สิงแวดลอ้ ม ทางทศั นศลิ ป์ ไทย ดนตรีไทย นาฏศลิ ป์ ไทย และวเิ คราะหไ์ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั . อธิบายความหมายของธรรมชาติ ความงาม ความไพเราะของทศั นศลิ ป์ ไทย ดนตรีไทย และนาฏศลิ ป์ ไทย . อธิบายความรู้พนื ฐานของ ทศั นศิลป์ ไทย ดนตรีไทย และนาฏศลิ ป์ ไทย . สร้างสรรคผ์ ลงานโดยใชค้ วามรู้พนื ฐาน ดา้ น ทศั นศิลป์ ไทย คนตรีไทย และนาฏศลิ ป์ ไทย . ชืนชม เห็นคุณค่าของ ทศั นศิลป์ ไทย ดนตรีไทย และนาฏศลิ ป์ ไทย . วิเคราะห์ วพิ ากย์ วจิ ารณ์ งานดา้ นทศั นศลิ ป์ ไทย ดนตรีไทย และนาฏศลิ ป์ ไทย . อนุรักษส์ ืบทอดภูมิปัญญาดา้ นทศั นศิลป์ ไทย ดนตรีไทย และนาฏศิลป์ ไทย ขอบข่ายเนอื หา บทที ทศั นศิลป์ ไทย บทที ดนตรีไทย บทที นาฏศลิ ป์ ไทย บทที นาฏศิลป์ ไทยกบั การประกอบอาชีพ สือการเรียนรู้ 1. หนงั สือเรียน 2. กิจกรรม

1 บทที 2B ทัศนศิลป์ ไทย สาระสําคญั ศึกษาเรียนรู้ เขา้ ใจ เห็นคุณค่าความงาม ของทศั นศิลป์ ไทย และสามารถอธิบายความงาม และความ เป็นมาของทศั นศลิ ป์ ไทย ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั อธิบายความหมาย ความสาํ คญั ความเป็นมา ของทศั นศิลป์ ไทย เขา้ ใจถงึ ตน้ กาํ เนิด ภูมปิ ัญญาและการ อนุรักษท์ ศั นศิลป์ ไทย ขอบข่ายเนือหา เรืองที จุด เสน้ สี แสง เงา รูปร่าง และรูปทรงทีใชใ้ นทศั นศิลป์ ไทย เรืองที ความเป็นมาของทศั นศิลป์ ไทยดา้ นจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทย สถาปัตยกรรมไทย ภาพพิมพ์ เรืองที ความงามของทศั นศิลป์ ไทย เรืองที สร้างสรรคผ์ ลงานจากความงามตามธรรมชาติ เรืองที ความคิดสร้างสรรค์ ในการนาํ เอาวสั ดุและสิงของต่าง ๆ มาตกแต่งร่างกายและสถานที เรืองที คุณค่าของความซาบซึงของวฒั นธรรมของชาติ

2 เรืองที จุด เส้น สี แสง เงา รูปร่าง และรูปทรงทีใช้ในทัศนศิลป์ ไทย จุด ................................................................... คือ องคป์ ระกอบทีเลก็ ทีสุด จุดเป็นสิงทีบอกตาํ แหน่งและทิศทางได้ การนาํ จุดมาเรียงต่อกนั ใหเ้ ป็ นเสน้ การรวมกนั ของจุดจะเกิดนาํ หนกั ทีใหป้ ริมาตรแก่รูปทรง เป็นตน้ เส้ น หมายถึง จุดหลาย ๆ จุดทีเรี ยงชิดติดกันเป็ นแนวยาว การลากเส้นจากจุดหนึงไปยงั จุดหนึง ในทิศทางทีแตกต่างกนั จะเป็นทิศมมุ องศา องศา องศา หรือมุมใด ๆ การสลบั ทิศทางของเสน้ ทีลาก ทาํ ใหเ้ กิดเป็นลกั ษณะต่าง ๆ เสน้ เป็นองคป์ ระกอบพนื ฐานทีสาํ คญั ในการสร้างสรรค์ เสน้ สามารถแสดงให้เกิดความหมายของภาพ และใหค้ วามรู้สึกไดต้ ามลกั ษณะของเสน้ เสน้ ทีเป็นพืนฐาน ไดแ้ ก่ เสน้ ตรงและเสน้ โคง้ จากเสน้ ตรงและเสน้ โคง้ สามารถนาํ มาสร้างใหเ้ กิดเป็นเส้นใหม่ทีใหค้ วามรู้สึกทีแตกต่างกนั ออกไปได้ ดงั นี เส้นตรงแนวตงั ใหค้ วามรู้สึกแข็งแรง สูงเด่น สง่างาม น่าเกรงขาม เส้นตรงแนวนอน ใหค้ วามรู้สึกสงบราบเรียบ กวา้ งขวาง การพกั ผอ่ น หยดุ นิง เส้นตรงแนวเฉียง ใหค้ วามรู้สึกไมป่ ลอดภยั การลม้ ไมห่ ยดุ นิง เส้นตดั กนั ใหค้ วามรู้สึกประสานกนั แข็งแรง

3 เส้นโค้ง ใหค้ วามรู้สึกออ่ นโยนนุ่มนวล เส้นคด ใหค้ วามรู้สึกเคลอื นไหวไหลเลอื น ร่าเริง ต่อเนือง เส้นประ ใหค้ วามรู้สึกขาดหาย ลกึ ลบั ไมส่ มบรูณ์ แสดงส่วนทีมองไม่เห็น เส้นขด ใหค้ วามรู้สึกหมุนเวียนมนึ งง เส้นหยกั ใหค้ วามรู้สึกขดั แยง้ น่ากลวั ตืนเตน้ แปลกตา นกั ออกแบบนาํ เอาความรู้สึกทีมตี ่อเสน้ ทีแตกต่างกนั มาใชใ้ นงานศิลปะประยกุ ต์ โดยใชเ้ สน้ มาเปลียน รูปร่างของตวั อกั ษร เพือใหเ้ กิดความรู้สึกเคลือนไหวและทาํ ใหส้ ือความหมายไดด้ ียงิ ขึน

4 สี คือ สีทีนาํ มาผสมกนั แลว้ ทาํ ใหเ้ กิดสีใหม่ ทีมีลกั ษณะแตกต่างไปจากสีเดิม แม่สีมอี ยู่ 2 ชนิด คือ 1. แม่สีของแสง เกิดจากการหกั เหของแสงผา่ นแท่งแกว้ ปริซึม มี สี คือ ม่วง คราม นาํ เงิน เขียว เหลือง แสด แดง ส่วนสีแดง สีเขียว และสีนาํ เงิน อย่ใู นรูปของแสงรังสี ซึงเป็ นพลงั งานชนิดเดียวทีมีสี คุณสมบตั ิของแสง สามารถนาํ มาใชใ้ นการถา่ ยภาพ ภาพโทรทศั น์ การจดั แสงสีในการแสดงต่าง ๆ เป็นตน้ 2. แม่สีวตั ถุธาตุ เป็นสีทีไดม้ าจากธรรมชาติ และจากการสงั เคราะห์โดยกระบวนการทางเคมี มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีนําเงิน แม่สีวตั ถุธาตุเป็ นแม่สีทีนาํ มาใชง้ านกนั อย่างกวา้ งขวาง ในวงการศิลปะ วงการ อุตสาหกรรม ฯลฯ แมส่ ีวตั ถธุ าตุ เมือนาํ มาผสมกนั ตามหลกั เกณฑ์ จะทาํ ใหเ้ กิด วงจรสี ซึงเป็นวงสีธรรมชาติ เกิด จากการผสมกนั ของแม่สีวตั ถุธาตุ เป็นสีหลกั ทีใชง้ านทวั ไป ในวงจรสี จะแสดงสิงต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี สีแดง สีเหลือง สีนาํ เงิน วงจรสี ( Color Circle) สีขันที 1 คือ แม่สี ไดแ้ ก่ สีแดง สีเหลอื ง สีนาํ เงิน สีขันที 2 คือ สีทีเกิดจากสีขนั ที 1 หรือแมส่ ีผสมกนั ในอตั ราส่วนทีเท่ากนั จะทาํ ใหเ้ กิดสีใหม่ 3 สี ไดแ้ ก่ สีแดง ผสมกบั สีเหลือง ได้ สีสม้ สีแดง ผสมกบั สีนาํ เงิน ได้ สีมว่ ง สีเหลอื ง ผสมกบั สีนาํ เงิน ได้ สีเขียว

5 สีขันที 3 คือ สีทีเกิดจากสีขนั ที 1 ผสมกบั สีขนั ที 2 ในอตั ราส่วนทีเท่ากนั จะไดส้ ีอืน ๆ อีก 6 สี คือ สีแดง ผสมกบั สีสม้ ได้ สีสม้ แดง สีแดง ผสมกบั สีม่วง ได้ สีมว่ งแดง สีเหลือง ผสมกบั สีเขียว ได้ สีเขียวเหลือง สีนาํ เงิน ผสมกบั สีเขียว ได้ สีเขียวนาํ เงิน สีนาํ เงิน ผสมกบั สีม่วง ได้ สีม่วงนาํ เงิน สีเหลือง ผสมกบั สีสม้ ได้ สีสม้ เหลือง วรรณะของสี คือสีทีใหค้ วามรู้สึกร้อน-เยน็ ในวงจรสีจะมสี ีร้อน 7 สี และสีเยน็ 7 สี โดยจะมีสีม่วงกบั สี เหลอื ง ซึงเป็นไดท้ งั สองวรรณะ สีตรงข้าม หรือสีตดั กนั หรือสีคู่ปฏิปักษ์ เป็นสีทีมีค่าความเขม้ ของสี ตดั กนั อย่างรุนแรง ในทางปฏิบตั ิ ไมน่ ิยมนาํ มาใชร้ ่วมกนั เพราะจะทาํ ใหแ้ ต่ละสีไม่สดใสเท่าทีควร การนาํ สีตรงขา้ มกนั มาใชร้ ่วมกนั อาจกระทาํ ไดด้ งั นี 1. มีพนื ทีของสีหนึงมาก อกี สีหนึงนอ้ ย 2. ผสมสีอืนๆ ลงไปในสีใดสีหนึง หรือทงั สองสี 3. ผสมสีตรงขา้ มลงไปในสีทงั สองสี สีกลาง คือ สีทีเขา้ ไดก้ บั สีทุกสี สีกลางในวงจรสี มี 2 สี คือ สีนาํ ตาล กบั สีเทา สีนาํ ตาล เกิดจากสี ตรงขา้ มกนั ในวงจรสีผสมกนั ในอตั ราส่วนทีเท่ากนั สีนาํ ตาลมีคุณสมบตั ิสาํ คญั คือ ใชผ้ สมกบั สีอนื แลว้ จะทาํ ให้ สีนัน ๆ เขม้ ขึนโดยไม่เปลียนแปลงค่าสี ถา้ ผสมมาก ๆ เขา้ ก็จะกลายเป็ นสีนําตาล สีเทา เกิดจากสีทุกสี ๆ วงจรสีผสมกนั ในอตั ราส่วนเท่ากนั สีเทา มคี ุณสมบตั ิทีสาํ คญั คือ ใชผ้ สมกบั สีอืน ๆ แลว้ จะทาํ ให้ มดื หม่น

6 ทฤษฎีสีดงั กล่าวมผี ลใหเ้ ราสามารถนาํ มาใชเ้ ป็ นหลกั ในการเลือกสรรสีสาํ หรับงานสร้างสรรค์ ของเราได้ ซึงงานออกแบบไมไ่ ดถ้ กู จาํ กดั ดว้ ยกรอบความคิดของทฤษฎีตามหลกั วชิ าการเท่านัน แต่เราสามารถ คิดนอกกรอบ แห่งทฤษฎีนนั ๆ คณุ ลกั ษณะของสีมี 3 ประการ คอื 1. สีแท้ หมายถึง สีทีอย่ใู นวงจรสีธรรมชาติ ทงั 12 สี ทีเราเห็นอย่ทู ุกวนั นีแบ่งเป็ น 2 วรรณะ โดยแบ่ง วงจรสีออกเป็น 2 ส่วน จากสีเหลืองวนไปถึงสีมว่ ง คือ 1.1 สีร้อน ใหค้ วามรู้สึกรุนแรง ร้อน ตืนเตน้ ประกอบดว้ ย สีเหลอื ง สีเหลืองสม้ สีสม้ สีแดงสม้ สีแดง สีมว่ งแดง สีม่วง 1.2 สี เย็นให้ความรู้ สึ กเย็น สงบ สบายตา ประกอบด้วย สี เหลือง สี เขี ยวเหลือง สีเขียว สีเขียวนาํ เงิน สีนาํ เงิน สีม่วงนาํ เงิน สีม่วง เราจะเห็นวา่ สีเหลอื ง และสีมว่ ง เป็นสีทีอยไู่ ดท้ งั 2 วรรณะ คือ เป็นไดท้ งั สีร้อน และสีเยน็ 2. ความจดั ของสี หมายถงึ ความสด หรือความบริสุทธิของสีใดสีหนึง สีทีถกู ผสมดว้ ย สีดาํ จนหม่นลง ความจดั หรือความบริสุทธิจะลดลง ความจดั ของสีจะเรียงลาํ ดบั จากจดั ทีสุด ไปจนหม่นทีสุด 3. นาํ หนักของสี หมายถงึ สีทีสดใส สีกลาง สีทึบของสีแต่ละสี สีทุกสีจะมีนาํ หนกั ในตวั เอง ถา้ เราผสม สีขาวเขา้ ไปในสีใดสีหนึง สีนนั จะสว่างขึน หรือมนี าํ หนกั อ่อนลงถา้ เพมิ สีขาวเขา้ ไปทีละนอ้ ยๆ ตามลาํ ดบั เราจะ ไดน้ าํ หนกั ของสีทีเรียงลาํ ดบั จากแก่สุด ไปจนถึงออ่ นสุด นาํ หนกั ออ่ นแก่ของสีทีได้ เกิดจากการผสมดว้ ยสีขาว เทา และดาํ นาํ หนกั ของสีจะลดลงดว้ ยการใชส้ ีขาวผสม ซึงจะทาํ ให้ เกิดความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนหวาน สบายตา เราสามารถเปรียบเทียบระหว่างภาพสีกบั ภาพขาวดาํ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน เมอื นาํ ภาพสีทีเราเห็นว่ามีสีแดงอย่หู ลายค่า ทงั อ่อน กลาง แก่ ไปถ่ายเอกสารขาว - ดาํ เมือนาํ มาดูจะพบว่า สีแดงจะมีนาํ หนกั อ่อน แก่ ตงั แต่ขาว เทา ดาํ นนั เป็นเพราะว่าสีแดงมีนาํ หนกั ของสีแตกต่างกนั นนั เอง สีต่างๆ ทีเราสมั ผสั ดว้ ยสายตา จะทาํ ใหเ้ กิดความรู้สึกขึนภายในต่อเรา ทนั ทีทีเรามองเห็นสี ไม่ว่าจะเป็ น การแต่งกาย บา้ นทีอยอู่ าศยั เครืองใชต้ ่างๆ แลว้ เราจะทาํ อยา่ งไร จึงจะใชส้ ีไดอ้ ย่างเหมาะสม และสอดคลอ้ งกบั หลกั จิตวิทยา เราจะตอ้ งเขา้ ใจวา่ สีใดใหค้ วามรู้สึกต่อมนุษยอ์ ยา่ งไร ซึงความรู้สึกเกียวกบั สี สามารถจาํ แนกออก ไดด้ งั นี สีแดง ใหค้ วามรู้สึกร้อน รุนแรง กระตุน้ ทา้ ทาย เคลือนไหว ตืนเตน้ เร้าใจ มีพลงั ความอุดมสมบูรณ์ ความมงั คงั ความรัก ความสาํ คญั สีส้ม ใหค้ วามรู้สึก ร้อน ความอบอุ่น ความสดใส มีชีวิตชีวา วยั รุ่น ความคึกคะนอง การปลดปล่อย ความเปรียว การระวงั สีเหลือง ใหค้ วามรู้สึก แจ่มใส ความร่าเริง ความเบิกบานสดชืน ชีวิตใหม่ ความสด ใหม่ สีเขียวแก่ จะทาํ ใหเ้ กิดความรู้สึกเศร้าใจ ความแก่ชรา

7 สีนาํ เงิน ใหค้ วามรู้สึกสงบ สุขมุ สุภาพ หนกั แน่น เคร่งขรึม เอาการเอางาน ละเอียด รอบคอบ สีฟ้ า ใหค้ วามรู้สึก ปลอดโปร่งโลง่ กวา้ ง เบา โปร่งใส สะอาด ปลอดภยั ความสว่าง ลมหายใจ ความเป็น อสิ รเสรีภาพ การช่วยเหลือ แบ่งปัน สีคราม จะทาํ ใหเ้ กิดความรู้สึกสงบ สีม่วง ให้ความรู้สึก มีเสน่ห์ น่าติดตาม เร้นลบั ซ่อนเร้น มีอาํ นาจ มีพลงั แฝงอยู่ ความรัก ความเศร้า ความผดิ หวงั ความสงบ ความสูงศกั ดิ สีนาํ ตาล ใหค้ วามรู้สึกเก่า หนกั สงบเงียบ สีขาว ใหค้ วามรู้สึกบริสุทธิ สะอาด ใหม่ สดใส สีดาํ ใหค้ วามรู้สึกหนกั หดหู่ เศร้าใจ ทึบตนั สีชมพู ให้ความรู้สึก อบอุ่น อ่อนโยน นุ่มนวล อ่อนหวาน ความรัก เอาใจใส่ วยั รุ่น หนุ่มสาว ความน่ารักความสดใส สีเขียว จะทาํ ใหเ้ กิดความรู้สึกกระชุ่มกระชวย ความเป็นหนุ่มสาว สีเทา ใหค้ วามรู้สึก เศร้า อาลยั ทอ้ แท้ ความลึกลบั ความหดหู่ ความชรา ความสงบ ความเงียบ สุภาพ สุขมุ ถอ่ มตน สีทอง ใหค้ วามรู้สึกหรูหรา โออ่ า่ มรี าคา สูงค่า สิงสาํ คญั ความเจริญรุ่งเรือง ความสุข ความรํารวย การ แผก่ ระจาย จากความรู้สึกดงั กลา่ ว เราสามารถนาํ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาํ วนั ไดใ้ นทุกเรือง . การใช้สีกลมกลนื กนั การใชส้ ีใหก้ ลมกลนื กนั เป็นการใชส้ ีหรือนาํ หนกั ของสีใหใ้ กลเ้ คียงกนั หรือคลา้ ยคลึงกนั เช่น การใชส้ ี แบบเอกรงค์ เป็นการใชส้ ีสีเดียวทีมีนาํ หนกั อ่อนแก่หลายลาํ ดบั 2. การใช้สีตัดกัน สีตดั กนั คือสีทีอยตู่ รงขา้ มในวงจรสี การใช้สีให้ตดั กันมีความจาํ เป็ นมาก ในงาน ออกแบบ เพราะช่วยใหเ้ กิดความน่าสนใจ ในทนั ทีทีพบเห็น สีตดั กนั อยา่ งแทจ้ ริงมีอยดู่ ว้ ยกนั 6 คู่สี คือ 1. สีเหลอื ง ตรงขา้ มกบั สีมว่ ง 2. สีสม้ ตรงขา้ มกบั สีนาํ เงิน 3. สีแดง ตรงขา้ มกบั สีเขียว 4. สีเหลอื งสม้ ตรงขา้ มกบั สีมว่ งนาํ เงิน 5. สีสม้ แดง ตรงขา้ มกบั สีนาํ เงินเขียว 6. สีม่วงแดง ตรงขา้ มกบั สีเหลอื งเขียว การใชส้ ีตดั กนั ควรคาํ นึงถึงความเป็ นเอกภาพดว้ ย วิธีการใชม้ ีหลายวิธี เช่น ใชส้ ีให้มีปริมาณต่างกนั เช่น ใชส้ ีแดง 20 % สีเขียว 80%

8 ในงานออกแบบ หรือการจดั ภาพ หากเรารู้จกั ใชส้ ีให้มีสภาพโดยรวมเป็ นวรรณะร้อน หรือวรรณะเยน็ เราจะสามารถควบคุม และสร้างสรรคภ์ าพใหเ้ กิดความประสานกลมกลนื งดงามไดง้ ่ายขึน เพราะสีมีอิทธิพลต่อ มวล ปริมาตร และช่องว่าง สีมีคุณสมบตั ิทีทาํ ใหเ้ กิดความกลมกลืน หรือขดั แยง้ ได้ สีสามารถขบั เนน้ ใหเ้ กิด จุดเด่น และการรวมกนั ใหเ้ กิดเป็นหน่วยเดียวกนั ได้ สร้างความรู้สึก สีใหค้ วามรู้สึกต่อผพู้ บเห็นแตกต่างกนั ไป ทงั นีขึนอยกู่ บั ประสบการณ์ และภมู ิหลงั ของ แต่ละคน สีบางสีสามารถรักษาบาํ บดั โรคจิตบางชนิดได้ การใชส้ ีภายใน หรือ ภายนอกอาคาร จะมีผลต่อการ สมั ผสั และสร้างบรรยากาศได้ แสงและเงา แสงและเงา หมายถงึ แสงทีส่องมากระทบพนื ผวิ ทีมสี ีอ่อนแก่และพนื ผวิ สูงตาํ โคง้ นูนเรียบหรือขรุขระ ทาํ ใหป้ รากฏแสงและเงาแตกต่างกนั ตวั กาํ หนดระดบั ของค่านาํ หนกั ความเขม้ ของเงาจะขึนอยกู่ บั ความเขม้ ของแสง ในทีทีมีแสงสว่างมาก เงาจะเขม้ ขึน และในทีทีมีแสงสว่างน้อย เงาจะไม่ชัดเจน ในทีทีไม่มีแสงสว่างจะไม่มีเงา และเงาจะอย่ใู น ทางตรงขา้ มกบั แสงเสมอ ค่านาํ หนกั ของแสงและเงาทีเกิดบนวตั ถุ สามารถจาํ แนกเป็นลกั ษณะที ต่าง ๆ ไดด้ งั นี 1. บริเวณแสงสว่างจดั เป็ นบริเวณทีอยใู่ กลแ้ หล่งกาํ เนิดแสงมากทีสุด จะมีความสว่างมากทีสุด ในวตั ถทุ ีมีผวิ มนั วาว จะสะทอ้ นแหลง่ กาํ เนิดแสงออกมาใหเ้ ห็นไดช้ ดั 2. บริเวณแสงสว่าง เป็นบริเวณทีไดร้ ับแสงสว่าง รองลงมาจากบริเวณแสงสว่างจดั เนืองจากอยหู่ ่าง จากแหลง่ กาํ เนิดแสงออกมา และเริมมคี ่านาํ หนกั อ่อน ๆ 3. บริเวณเงา เป็ นบริเวณทีไม่ไดร้ ับแสงสว่าง หรือเป็ นบริเวณทีถูกบดบงั จากแสงสว่าง ซึงจะมีค่า นาํ หนกั เขม้ มากขึนกวา่ บริเวณแสงสว่าง 4. บริเวณเงาเข้มจดั เป็นบริเวณทีอยหู่ ่างจากแหล่งกาํ เนิดแสงมากทีสุด หรือ เป็ นบริเวณทีถกู บดบงั มาก ๆ หลาย ๆ ชนั จะมคี ่านาํ หนกั ทีเขม้ มากไปจนถงึ เขม้ ทีสุด 5. บริเวณเงาตกทอด เป็นบริเวณของพนื หลงั ทีเงาของวตั ถทุ าบลงไป เป็นบริเวณเงาทีอยภู่ ายนอกวตั ถุ และจะมีความเขม้ ของค่านาํ หนกั ขึนอยกู่ บั ความเขม้ ของเงา นาํ หนกั ของพนื หลงั 6. ทิศทางและระยะของเงา ความสําคญั ของค่านําหนัก 1. ใหค้ วามแตกต่างระหว่างรูปและพนื หรือรูปทรงกบั ทีวา่ ง 2. ใหค้ วามรู้สึกเคลือนไหว 3. ใหค้ วามรู้สึกเป็น 2 มิติ แก่รูปร่าง และความเป็น 3 มติ ิแก่รูปทรง 4. ทาํ ใหเ้ กิดระยะความตืน - ลกึ และระยะใกล้ - ไกลของภาพ 5. ทาํ ใหเ้ กิดความกลมกลืนประสานกนั ของภาพ

9 เรืองที ความหมายและความเป็ นมาของทศั นศิลป์ ไทย ศิลปะประเภททัศนศิลป์ ทีสําคัญของไทย ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม และ สถาปัตยกรรม ซึงเป็ นศิลปกรรมทีพบเห็นทวั ไป โดยเฉพาะศิลปกรรมทีเกียวกบั พุทธศาสนาหรือ พุทธศิลป์ ทีมีประวตั ิความเป็ นมานับพนั ปี จนมีรูปแบบทีเป็ นเอกลกั ษณ์ไทย และเป็ นศิลปะไทย ทีสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชือ และรสนิยมเกียวกบั ความงามของ คนไทย ศลิ ปะเหล่านี แต่ละสาขามีเนือหาสาระทีควรค่าแก่การศึกษาแตกต่างกนั ไป ไทยเป็ นชาติทีมีศิลปะและวฒั นธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองมาช้า 0B นานแลว้ เริมตังแต่ก่อนประวตั ิศาสตร์ ศิลปะไทยจะวิวฒั นาการและสืบเนืองเป็ นตวั ของตวั เอง ในทีสุด เท่าทีทราบราว พ.ศ. จนถึง พ.ศ. พระพทุ ธศาสนานาํ เขา้ มาโดยชาวอนิ เดีย ครังนัน แสดงใหเ้ ห็นอิทธิพลต่อรูปแบบของศิลปะไทยในทุก ๆ ดา้ นรวมทงั ภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรม โดยกระจายเป็นกลุม่ ศิลปะสมยั ต่าง ๆ เริมตงั แต่สมยั ทวาราวดี ศรีวิชยั ลพบุรี เมือกลุ่มคนไทยตงั ตวั เป็ นปึ กแผ่นแลว้ ศิลปะดังกล่าวจะตกทอดกลายเป็ นศิลปะไทย ช่างไทยพยายามสร้างสรรคใ์ ห้มี ลกั ษณะพิเศษกวา่ งานศิลปะของชาติอนื ๆ คือ จะมลี ายไทยเป็ นเครืองตกแต่ง ซึงทาํ ใหล้ กั ษณะของ ศิลปะไทยมีรู ปแบบเฉพาะมีความอ่อนหวาน ละมุนละไม และได้สอดแทรกวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและความรู้สึกของคนไทยไวใ้ นงานอยา่ งลงตวั ดงั จะเห็นไดจ้ ากภาพฝาผนงั ตามวดั วาอารามต่าง ๆ ปราสาทราชวงั ตลอดจนเครืองประดบั และเครืองใชท้ วั ไป

10 ลกั ษณะของศิลปะไทย ศลิ ปะไทยไดร้ ับอิทธิพลจากธรรมชาติ และสิงแวดลอ้ มในสงั คมไทย ซึงมีลกั ษณะเด่น คือ 1B ความงามอยา่ งนิมนวลมีความละเอยี ดประณีต ซึงแสดงใหเ้ ห็นถงึ ลกั ษณะนิสยั และจิตใจของคนไทย ทีไดส้ อดแทรกไวใ้ นผลงานทีสร้างสรรคข์ ึน โดยเฉพาะศิลปกรรมทีเกียวกบั พระพุทธศาสนา ซึงเป็ น ศาสนาประจาํ ชาติของไทย อาจกล่าวไดว้ ่าศิลปะไทยสร้างขึนเพือส่งเสริมพุทธศาสนา เป็ นการ เชือมโยงและโนม้ นา้ วจิตใจของประชาชนใหเ้ กิดความเลอื มใสศรัทธาในพทุ ธศาสนา ศิลปะไทยมาจากธรรมชาติ หางหงส์ ติดตงั อยปู่ ลายจนั ทนั มลี กั ษณะคลา้ ยหางหงส์ รวงผงึ ใชป้ ระดบั อยใู่ ตข้ ือ ดา้ นหนา้ ของโบสถ์ วิหาร มีลกั ษณะเป็นรูปคลา้ ยรังผงึ สาหร่าย ส่วนทีติดอยกู่ บั เสาต่อจากรวงผงึ ลงมา บัวหวั เสา กลีบบวั ประดบั บนหวั เสา มีรูปแบบมาจากดอกบวั

11 จติ รกรรมไทย จิตรกรรมไทย เป็นการสร้างสรรคภ์ าพเขียนทีมลี กั ษณะโดยทวั ไปมกั จะเป็ น 2 มิติ ไม่มีแสง และเงา สีพนื จะเป็นสีเรียบ ๆ ไม่ฉูดฉาด สีทีใชส้ ่วนใหญ่จะเป็นสีดาํ สีนาํ ตาล สีเขียว เส้นทีใชม้ กั จะ เป็นเสน้ โคง้ ช่วยใหภ้ าพดอู อ่ นชอ้ ย นุ่มนวล ไม่แขง็ กระดา้ ง จิตรกรรมไทยมกั พบในวดั ต่าง ๆ เรียกวา่ “จิตรกรรมฝาผนงั ” ภาพจิตรกรรมฝาผนงั วดั สุวรรณาราม จิตรกรรมไทย จัดเป็ นภาพเล่าเรื องทีเขียนขึนด้วยความคิดจินตนาการของคนไทย มลี กั ษณะตามอดุ มคติของช่างไทย คือ . เขียนสีแบน ไม่คาํ นึงถึงแสงและเงา นิยมตดั เสน้ ใหเ้ ห็นชดั เจน และเส้นทีใช้ จะแสดง ความรู้สึกเคลือนไหวนุ่มนวล

12 . เขียนตวั พระ - นาง เป็นแบบละคร มีลีลา ท่าทางเหมือนกนั แตกต่างกนั ดว้ ยสีร่างกายและ เครืองประดบั

13 . เขียนแบบตานกมอง หรือเป็นภาพตาํ กว่าสายตา โดยมุมมองจากทีสูง ลงสู่ลา่ ง จะเห็นเป็น รูปเรืองราวไดต้ ลอดภาพ . เขียนติดต่อกนั เป็นตอน ๆ สามารถดูจากซา้ ยไปขวาหรือลา่ งและบนไดท้ วั ภาพ โดย ขนั ตอนแต่ละตอนของภาพดว้ ยโขดหิน ตน้ ไม้ กาํ แพงเมือง เป็นตน้

14 . เขียนประดบั ตกแต่งดว้ ยลวดลายไทย มีสีทอง สร้างภาพใหเ้ ด่น เกิดบรรยากาศ สุขสว่าง และมคี ุณค่ามากขึน การเขียนลายไทยพนื ฐาน ขนั ที 1 ตอ้ งฝึ กเขียนลายเส้นก่อน เช่น การเขียนเส้นตรงโดยไม่ตอ้ งใชไ้ มบ้ รรทัดช่วย การเขียนเสน้ โคง้ ใหไ้ ดเ้ ป็นวงกลมโดยไม่ตอ้ งใชว้ งเวียน เป็นตน้ ขนั ที 2 หลงั จากทีฝึ กเขียนเสน้ จนคล่องและชาํ นาญแลว้ จึงเริมหดั เขียนลายไทย เช่น กนก สามตวั หรือจะเขียนภาพตวั ละครในวรรณคดี เช่น ตวั พระ ตวั นาง ตวั ยกั ษ์ เป็นตน้ ภาพหดั เขียนลายไทย เมือได้ฝึ กฝนทกั ษะการเขียนกนกสามตัวทีเป็ นต้นแบบของกนกชนิดอืน ๆ คือ กนกเปลว กนกใบเทศ และกนกหางโต จนคล่องมือดีแลว้ ก็คงจะเข้าใจในโครงสร้างของตวั กนก ส่วนสาํ คญั ในการเขียนอยทู่ ีการแบ่งตวั ลายและเขียนยอดลาย ถา้ แบ่งตวั ลายและเขียนยอดลายได้ จงั หวะสดั ส่วนดี สะบดั ยอดพริวดี ลายกนกนนั ก็ดูงาม

15 ประตมิ ากรรมไทย ประติมากรรมเป็ นผลงานศิลปกรรมทีเป็ นรูปทรง 3 มิติ ประกอบจากความสูง ความกวา้ ง และความนูน หรือความลึก รูปทรงนีมีปริมาตรทีจบั ตอ้ งไดแ้ ละกินระวางเนือทีในอากาศ ต่างจาก รูปทรง ปริมาตรทางจิตรกรรมทีแสดงบนพืนเรียบเป็ นปริมาตรทีลวงตา ประติมากรรมเกิดขึนจาก กรรมวิธีการสร้างสรรคแ์ บบต่าง ๆ เช่น การปันและหล่อ การแกะสลกั การฉลุหรือดุน ประติมากรรม ทวั ไปมี แบบคือ ประติมากรรมแบบลอยตวั สามารถดูไดโ้ ดยรอบ ประติมากรรมนูน มพี นื รองรับ สามารถดไู ดเ้ ฉพาะดา้ นหนา้ และดา้ นเฉียงเท่านนั และประติมากรรมแบบเจาะลกึ ลงไปในพืน ประติมากรรมไทยเป็ นผลงานการสร้างสรรค์ของบรรพบุรุษโดยประติมากรของไทยที สร้างสรรคข์ ึนเพือรับใชส้ ังคม ตอบสนองความเชือ สร้างความภูมิใจ ความพึงพอใจ และค่านิยม แห่งชาติภมู ิของไทย ประติมากรรมไทยส่วนใหญ่เนน้ เนือหาทางศาสนา มกั ปรากฏอย่ตู ามวดั และวงั มี ขนาดตงั แต่เลก็ ทีสุด เช่น พระเครือง เครืองรางของขลงั จนถึงขนาดใหญ่ทีสุด เช่น พระอจั นะ หรือ พระอฏั ฐารส ซึงเป็ นพระพุทธรูปขนาดใหญ่กลางแปลง มีทงั ประติมากรรมตกแต่ง ซึงตกแต่ง ศิลปวตั ถุ ศิลปสถาน เพือเสริมคุณค่าแก่ศิลปวตั ถหุ รือสถานทีนนั จนถึงประติมากรรมบริสุทธิซึงเป็ น ประติมากรรมทีมีคุณค่าและคุณสมบตั ิเฉพาะ สมบูรณ์ดว้ ยตวั ของประติมากรรมเอง เมือพิจารณา ภาพรวมของประติมากรรมไทยอาจแบ่งประติมากรรมออกเป็ น ประเภทคือ ประติมากรรมรูป เคารพ ประติมากรรมตกแต่ง และประติมากรรมเพือประโยชน์ใช้สอย ซึงจะ ขอกลา่ วตามลาํ ดบั

16 ยุคสมัยของประตมิ ากรรมไทย ทงั ประติมากรรมรูปเคารพ ประติมากรรมตกแต่ง และประติมากรรมเพือประโยชน์ใชส้ อย ผกู พนั กบั ความเปลียนแปลงของสงั คมไทยตลอดมา นอกจากจะแสดงคุณค่าทางทศั นศิลป์ แลว้ ยงั สะทอ้ นวฒั นธรรมอนั ดีงามของชาติในแต่ละยคุ แต่ละสมยั ออกมาดว้ ย ยุคสมยั ของไทยนัน อาจแบ่ง ช่วงศิลปะในเชิงประวตั ิศาสตร์ตามหลกั ฐานทางโบราณวตั ถุสถานไดเ้ ป็น ช่วงคือ . ช่วงศลิ ปะก่อนไทย หมายถงึ ช่วงก่อนทีคนไทยจะรวมตวั กนั เป็ นปึ กแผ่น ยงั ไม่มีราชธานี ของตนเองทีแน่นอน แบ่งออกเป็น สมยั คือ - สมยั ทวารวดี - สมยั ศรีวชิ ยั - สมยั ลพบุรี . ช่วงศิลปะไทย หมายถึงช่วงทีคนไทยรวมตวั กนั เป็นปึ กแผน่ มีราชธานีทีแน่นอนแลว้ แบ่ง ออก เป็ น สมยั คือ สมยั เชียงแสน สมยั สุโขทัย สมยั อู่ทอง สมยั อยุธยา และสมยั รัตนโกสินทร์ งานประติมากรรมสมยั ต่าง ๆ ของไทยเหล่านีผ่านการหล่อหลอมและผสมผสานของวฒั นธรรม โดยดงั เดิมมีรากเหง้ามาจากวฒั นธรรมอินเดีย ต่อมาผสมผสานกบั วฒั นธรรมจีนและชาติทาง ตะวนั ตก แต่เป็ นการผสมผสานดว้ ยความชาญฉลาดของช่างไทย ประติมากรรมของไทยจึงยงั คง รักษารูปแบบทีเป็ นเอกลกั ษณ์ของไทยไวไ้ ดอ้ ย่าง เด่นชดั สามารถถ่ายทอดลกั ษณะความงดงาม ความประณีตวจิ ิตรบรรจง และลกั ษณะของความเป็นชาติไทยทีรุ่งเรืองมาแต่โบราณใหโ้ ลกประจกั ษ์ ได้ พอจะกล่าวถึงประติมากรรมในช่วงศลิ ปะไทยได้ ดงั นี - ประติมากรรมไทยสมยั เชียงแสน - ประติมากรรมไทยสมยั สุโขทยั - ประติมากรรมไทยสมยั อ่ทู องและสมยั อยธุ ยา - ประติมากรรมไทยสมยั รัตนโกสินทร์ ผลงานประติมากรรมไทย คุณค่าของงานส่วนใหญ่ผกู พนั และเกียวขอ้ งกบั ศาสนา สร้างสรรค์ ขึนจากความเชือ คตินิยม ความศรัทธา มีความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งแยกไม่ออก ย่อมมีคุณค่า มีความ งดงาม ตลอดจนเป็นประโยชน์ใชส้ อยเฉพาะของตนเอง ซึงในปัจจุบนั ไดจ้ ดั ให้มีการเรียนรู้เกียวกบั การอนุรักษน์ ิยมและฟื นฟศู ิลปะประเภทนี เพือมุ่งเน้นใหค้ นรุ่นหลงั มีความเขา้ ใจ เกิดความชืนชม หวงแหนเห็นคุณค่าในความเป็นศลิ ปวฒั นธรรมไทยร่วมกนั พร้อมทงั สืบทอด

17 ภาพพระพทุ ธรูปทรงเครืองศลิ ปะอยธุ ยา ประติมากรรมไทยเป็นผลงานศิลปะทีถกู สร้างสรรค์ขึนมาดว้ ยความคิด ฝี มือ ความศรัทธา จากภมู ปิ ัญญาทีเกิดจากการแกป้ ัญหาของคนในทอ้ งถิน โดยใชเ้ ครืองมือและวสั ดุจากพืนบา้ นทีหา ไดง้ ่าย ๆ เช่น ดินเหนียว แกลบ ปนู กระดาษสา ผลงานประติมากรรมไทย แบ่งออกไดเ้ ป็น 4 ประเภท สรุปได้ ดงั นี 1. ประติมากรรมไทยทีเกิดขึนจากความเชือ ความศรัทธา คตินิยมเกียวขอ้ งกบั ศาสนา เช่น พระพทุ ธรูปปางต่าง ๆ ลวดลายของฐานเจดียห์ รือพระปรางคต์ ่าง ๆ

18 2. ประติมากรรมไทยพวกเครืองใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั เช่น โอง่ หมอ้ ไห ครก กระถาง . ประติมากรรมไทยพวกของเล่น ไดแ้ ก่ ตุ๊กตาดินปัน ตุ๊กตาจากกระดาษ ตุ๊กตาจากผา้ หุ่นกระบอก ปลาตะเพียนสานใบลาน หนา้ กาก วสั ดุจากเปลอื กหอย ชฎาหวั โขน ปลาตะเพียนสานใบลาน

19 หุ่นกระบอก . ประติมากรรมไทยพวกเครืองประดบั ตกแต่ง เช่น กระถางตน้ ไม้ โคมไฟดินเผา

20 สถาปัตยกรรมไทย สถาปัตยกรรมไทย หมายถึงศิลปะการก่อสร้างของไทย ได้แก่ อาคาร บ้านเรือน โบสถ์ วิหาร วงั สถูป และสิงก่อสร้างอืน ๆ ทีมีมูลเหตุทีมาของการก่อสร้างอาคารบา้ นเรือนในแต่ละ ทอ้ งถิน จะมีลกั ษณะแตกต่างกนั ไปบา้ งตามสภาพทาง ภูมิศาสตร์ และคตินิยมของแต่ละทอ้ งถิน แต่สิงก่อสร้างทางศาสนาพุทธ มกั จะมีลกั ษณะทีไม่แตกต่างกนั มากนัก เพราะมีความเชือ ความ ศรัทธาและแบบแผนพิธีกรรมทีเหมือน ๆ กัน สถาปัตยกรรมทีมกั นิยมนํามาเป็ นข้อศึกษา ส่วนใหญ่จะเป็ น สถูป เจดีย์ โบสถ์ วิหาร หรือพระราชวงั เนืองจากเป็ นสิงก่อสร้างทีคงทน มีการพฒั นารูปแบบมาอย่างต่อเนืองยาวนาน และไดร้ ับการสรรค์สร้างจากช่างฝี มือทีเชียวชาญ พร้อมทงั มคี วามเป็นมาทีสาํ คญั ควรแก่การศกึ ษา อกี ประการหนึงกค็ ือ สิงก่อสร้างเหล่านี ลว้ นมคี วาม ทนทาน มีอายยุ าวนานปรากฏเป็นอนุสรณ์ใหเ้ ราไดศ้ ึกษาเป็นอยา่ งดี สถาปัตยกรรมไทย สามารถจดั หมวดหมู่ ตามลกั ษณะการใช้งานได้ 2 ประเภท คอื 1. สถาปัตยกรรมทีใช้เป็ นทอี ย่อู าศัย ไดแ้ ก่ บา้ นเรือน ตาํ หนกั วงั และพระราชวงั เป็นตน้ บา้ นหรือเรือนเป็ นทีอยอู่ าศยั ของสามญั ชน ธรรมดาทวั ไป ซึงมีทงั เรือนไม้ และเรือนปูน เรือนไมม้ ีอยู่ 2 ชนิด คือ เรือนเครืองผกู เป็ นเรือนไมไ้ ผ่ ปูดว้ ยฟากไมไ้ ผ่ หลงั คามุงดว้ ย ใบจาก หญา้ คา หรือใบไม้ อีกอยา่ งหนึงเรียกว่า เรือนเครืองสบั เป็นไมจ้ ริงทงั เนืออ่อน และเนือแข็ง ตามแต่ละ ทอ้ งถนิ หลงั คามุง ดว้ ยกระเบืองดินเผา พืนและฝาเป็นไมจ้ ริงทงั หมด ลกั ษณะเรือนไมข้ องไทยในแต่ ละทอ้ งถนิ แตกต่างกนั และโดยทวั ไปแลว้ จะมีลกั ษณะสาํ คญั ร่วมกนั คือเป็นเรือนไมช้ นั เดียวใตถ้ นุ สูง หลงั คาทรงจวั เอยี งลาดชนั

21 ตําหนัก และวัง เป็ นเรือนทีอย่ขู องชนชนั สูง พระราชวงศ์ หรือทีประทบั ชนั รอง ของ พระมหากษตั ริย์ สาํ หรับพระราชวงั เป็ นทีประทบั ของพระมหากษตั ริย์ พระทีนัง เป็ นอาคารทีมีทอ้ ง พระโรงซึงมีทีประทบั สาํ หรับออกวา่ ราชการ หรือกิจการอนื ๆ ภาพสถาปัตยกรรมวดั เบญจมบพติ ร 2. สถาปัตยกรรมทีเกียวข้องศาสนา ซึงส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณสงฆ์ ทีเรียกว่า วดั ซึง ประกอบไปด้วยสถาปัตยกรรมหลายอย่าง ได้แก่ โบสถ์ เป็ นทีกระทาํ สังฆกรรมของพระภิกษุ วิหารใชป้ ระดิษฐาน พระพุทธรูปสําคญั และกระทาํ สังฆกรรมดว้ ยเหมือนกนั กุฏิ เป็ นทีอยขู่ อง พระภิกษุ สามเณร หอไตร เป็นทีเก็บรักษาพระไตรปิ ฎกและคมั ภีร์สาํ คญั ทางศาสนา หอระฆงั และ หอกลอง เป็ นทีใช้เก็บระฆงั หรือกลองเพือตีบอกโมงยาม หรือเรียกชุมนุมชาวบา้ น สถปู เป็ นที ฝังศพ เจดียเ์ ป็นทีระลึกอนั เกียวเนืองกบั ศาสนา ซึงแบ่งได้ 4 ประเภท คือ 1. ธาตุ เจดีย์ หมายถงึ พระบรมธาตุ และเจดียท์ ีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจา้ 2. ธรรมเจดีย์ หมายถึง พระธรรม พระวนิ ยั คาํ สงั สอนทุกอยา่ งของพระพุทธเจา้

22 3. บริโภคเจดีย์ หมายถึง สิงของเครืองใชข้ องพระพุทธเจา้ หรือของพระภิกษุสงฆไ์ ดแ้ ก่ เครืองอฐั บริขารทงั หลาย 4. อุเทสิกเจดีย์ หมายถึง สิงทีสร้างขึนเพือเป็ นทีระลึกถึงองคพ์ ระพุทธเจา้ เช่น สถปู เจดีย์ ณ สถานทีทรงประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา ปรินิพพาน และรวมถึงสญั ลกั ษณ์อย่างอืน เช่น พระพทุ ธรูปธรรมจกั ร ตน้ โพธิ เป็นตน้ สถาปัตยกรรมไทยแท้ ณ ทีนีจะเรียนรู้เฉพาะเรืองราวทีเกียวกบั วดั โดยเน้นไปทีเรืองของ โบสถแ์ ละสถูปเจดีย์ ทีมีลกั ษณะโดดเด่นทงั โครงสร้างและการตกแต่งอนั เป็ นเอกลกั ษณ์ของไทย โดยเฉพาะ

23 โบสถ์ หมายถงึ สถานทีสาํ หรับพระสงฆใ์ ชป้ ระชุมทาํ สงั ฆกรรม เช่นสวดพระปาฏิโมกข์ และอุปสมบทเป็ นตน้ ความงามทางศิลปะของโบสถ์มี ประเภท 1. ความสวยงามภายในโบสถ์ ทุกสิงทุกอย่างจะเน้นไปทีสงบนิง เพือใหผ้ เู้ ขา้ มากราบ ไหวม้ ีสมาธิ ความงามภายในจึงตอ้ งงามอยา่ งเยน็ ตาและเยน็ ใจ ภายในโบสถท์ วั ๆ ไปจะไม่อนุญาต ใหพ้ ุทธศาสนิกชนนาํ สิงของเขา้ มาบูชาเคารพภายใน เครืองสักการบูชา เช่นดอกไมธ้ ูปเทียนจะบูชา เฉพาะดา้ นนอกเท่านันความงามทีแทจ้ ริงภายในโบสถจ์ ึงเน้นทีองค์พระพุทธรูปทีประดิษฐานเป็ น พระประธานโดยเฉพาะ

24 2. ความสวยงามภายนอกเป็นความงามทงั โครงสร้างและลวดลายประดบั ตกแต่ง ความ งามภายนอกเนน้ สะดุดตา โดดเด่น สีสนั แวววาวทงั สีทองและกระจกสี แต่ยงั คงความเป็ นเอกลกั ษณ์ ของการเคารพนบั ถอื

25 ในการสงั เกตว่าสถานทีใดเรียกวา่ โบสถ์ จะมีวิธีสงั เกตคือ โบสถจ์ ะมใี บเสมา หรือซุม้ เสมาลอ้ มรอบ โบสถ์ ( บางทีเรียกใบเสมา ) ใบเสมา ซุ้มเสมาบริเวณรอบโบสถ์

26 วหิ าร การสงั เกตสถานทีใดเรียกวา่ วิหาร เมอื เขา้ ไปอยใู่ นบริเวณวดั สถานทีสร้างเป็นวหิ าร จะไม่มใี บเสมาลอ้ มรอบ วหิ าร หมายถึงทีอยอู่ าศยั ( มเี ศรษฐีถวายทีดิน เพอื สร้างอาคารเป็นพทุ ธบชู าแด่พระพุทธเจา้ สําหรับเป็ นทีอยู่และสอนธรรมะ ในปัจจุบันวิหารจึงใช้เป็ นทีประดิษฐานพระพุทธรูป เพือให้ ประชาชนกราบไหว้ เปรียบเสมือนเป็ นทีอย่ขู องพระพุทธเจา้ ) การวางแปลนของโบสถ์ วิหาร การกาํ หนดความสาํ คญั ของอาคารทงั สอง โบสถ์ จะมีความสาํ คญั กว่าวิหาร โบสถจ์ ะมีโครงสร้าง ใหญ่กวา่ ส่วนใหญ่จะวางแปลนใหอ้ ยตู่ รงกลาง โดยมีวหิ ารสร้างประกบอยดู่ า้ นขา้ ง โครงสร้างของโบสถ์ – วหิ าร - ช่อฟ้ า - หนา้ บนั - ใบระกาและ หางหงส์

27 สถูป - เจดีย์ คือสิงก่อสร้างสาํ หรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจา้ เมือสมยั พุทธกาลทีผ่านมา คาํ ว่าสถูปเป็ นภาษาบาลีหมายถึงมูลดินทีกองสูงขึนสันนิษฐานว่ามลู ดินนนั เกิด จากกองเถา้ ถ่านของกระดูกคนตายทีถกู เผาทบั ถมกนั สูงขึนมาจากกองดิน เถา้ ถ่านธรรมดาไดถ้ ูก พฒั นาตามยคุ สมยั มกี ารก่ออฐิ ปิ ดทบั มลู ดิน เพอื ป้ องกนั ไมใ่ หถ้ กู ฝนชะลา้ ง ในทีสุดการก่ออิฐปิ ดทบั กส็ ูงขึนและกลายเป็นเจดียอ์ ยา่ งทีเราเห็นในปัจจุบนั สถูป สถปู - เจดีย์ ในประเทศไทยไดร้ ับอทิ ธิพลมาจากอนิ เดียและลงั กา ต่อมาช่างไทยแต่ละยคุ สมยั พฒั นา ปรับปรุงและกลายเป็นรูปทรงของไทยตามอดุ มคติในการสร้างสรรคจ์ ินตนาการของช่างไทย

28 เจดยี ์ย่อมุม เจดยี ์ เจดีย์ทรงระฆงั ลกู แกว้ ปลี หรือปลียอด ป้ องไฉน เสาหาน องคร์ ะฆงั บวั ปากระฆงั บรรลงั ก์ มาลยั เถา

29 เจดียท์ ีมีรูปร่างมาจากทรงลงั กา สมยั อยธุ ยา ทังหมดนีคือลกั ษณะของสถาปัตยกรรมเกียวกับสิงก่อสร้างของไทยโดยสังเขป ยงั มี สถาปัตยกรรมสิงก่อสร้างอีกมากมายทีผเู้ รียนจะตอ้ งเรียนรู้ คน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง เพือนาํ มาเผยแพร่ ใหก้ บั สงั คมไดร้ ับรู้ของดี ๆ ทีเป็นเอกลกั ษณ์ของไทยในอดีต

30 ภาพพมิ พ์ การพมิ พ์ภาพ หมายถึง การถา่ ยทอดรูปแบบจากแม่พิมพอ์ อกมาเป็ นผลงานทีมีลกั ษณะ เหมือนกันกับแม่พิมพท์ ุกประการ และได้ภาพทีเหมือนกันมีจาํ นวนตังแต่ 2 ชินขึนไป การพิมพภ์ าพเป็นงานทีพฒั นาต่อเนืองมาจากการวาดภาพ ซึงการวาดภาพไม่สามารถ สร้าง ผลงาน 2 ชิน ทีมีลกั ษณะเหมือนกนั ทุกประการได้ จึงมีการพฒั นาการพิมพข์ ึนมา ชาติจีนเป็ น ชาติแรกทีนาํ เอาวิธีการพมิ พม์ าใชอ้ ยา่ งแพร่หลายมานานนบั พนั ปี จากนนั จึงไดแ้ พร่หลายออกไปใน ภูมภิ าคต่างๆของโลก ชนชาติทางตะวนั ตกไดพ้ ฒั นาการพิมพภ์ าพ ขึนมาอยา่ งมากมาย มีการนาํ เอา เครืองจกั รกลต่างๆเขา้ มาใชใ้ นการพิมพ์ ทาํ ใหก้ ารพิมพม์ ีการ พฒั นาไปอยา่ งรวดเร็วในปัจจุบนั การพมิ พ์ภาพมอี งค์ประกอบทสี ําคญั ดงั นี 1. แมพ่ ิมพ์ เป็นสิงทีสาํ คญั ทีสุดในการพิมพ์ 2. วสั ดุทีใชพ้ ิมพล์ งไป 3. สีทีใชใ้ นการพิมพ์ 4. ผพู้ มิ พ์ ผลงานทีได้จากการพมิ พ์ มี 2 ชนดิ คอื 1. ภาพพิมพ์ เป็นผลงานพมิ พท์ ีเป็นภาพต่าง ๆ เพือความสวยงามหรือบอกเล่าเรืองราวต่าง ๆ อาจมี ขอ้ ความ ตวั อกั ษรหรือตวั เลขประกอบหรือไม่มกี ็ได้ 2. สิงพิมพ์ เป็นผลงานพมิ พท์ ีใชบ้ อกเล่าเรืองราวต่าง ๆ เป็นตวั อกั ษร ขอ้ ความ ตวั เลข อาจมภี าพประกอบหรือไม่มีกไ็ ด้ ประเภทของการพิมพ์ การพิมพ์แบ่งออกได้หลายประเภทตามลักษณะต่าง ๆ ดังนี 1. แบ่งตามจุดม่งุ หมายในการพมิ พ์ ได้ 2 ประเภท คือ 1.1 ศิลปภาพพิมพ์ เป็ นงานพิมพ์ภาพเพือให้เกิดความสวยงามเป็ นงานวิจิตรศิลป์ 1.2 ออกแบบภาพพมิ พ์ เป็นงานพิมพภ์ าพประโยชน์ใชส้ อย

31 นอกเหนือไปจากความสวยงาม ไดแ้ ก่ หนังสือต่างๆ บตั รภาพต่างๆ ภาพโฆษณา ปฏิทิน ฯลฯ จดั เป็นงาน ประยกุ ตศ์ ลิ ป์ 2. แบ่งตามกรรมวธิ ีในการพิมพ์ ได้ 2 ประเภท คือ 2.1 ภาพพิมพต์ น้ แบบ เป็นผลงานพิมพท์ ีสร้างจากแมพ่ มิ พแ์ ละวธิ ีการพิมพท์ ีถูก สร้างสรรคแ์ ละ กาํ หนดขึนโดยศิลปิ นเจา้ ของผลงาน และเจ้าของผลงาน จะต้องลงนามรับรองผลงานชิน บอกลาํ ดบั ทีในการพิมพ์ เทคนิคการพิมพ์ 2.2 ภาพพมิ พจ์ าํ ลองแบบ ( REPRODUCTIVE PRINT ) เป็นผลงานพิมพท์ ีสร้างจากแม่พิมพ์ หรื อวิธีการพิมพ์วิธีอืน ซึงไม่ใช่วิธีการเดิมแต่ได้รูปแบบเหมือนเดิม บางกรณี อาจเป็ น การละเมดิ ลขิ สิทธิผอู้ ืน 3. แบ่งตามจาํ นวนครังทีพิมพ์ ได้ 2 ประเภท คือ 3.1 ภาพพมิ พถ์ าวร เป็นภาพพิมพท์ ีพมิ พอ์ อกมาจากแม่พิมพใ์ ด ๆ ทีไดผ้ ลงานออกมามีลกั ษณะ เหมือนกนั ทุกประการ ตงั แต่ 2 ชินขึนไป 3.2 ภาพพิมพค์ รังเดียว เป็ นภาพพิมพท์ ีพิมพอ์ อกมาไดผ้ ลงานเพียงภาพเดียว ถา้ พิมพอ์ ีกจะได้ ผลงานทีไม่เหมอื นเดิม 4. แบ่งตามประเภทของแม่พิมพ์ ได้ 4 ประเภท คือ 4.1 แม่พมิ พน์ ูน เป็นการพมิ พโ์ ดยใหส้ ีติดอยบู่ นผวิ หนา้ ทีทาํ ใหน้ ูนขึนมาของแม่พิมพ์ ภาพทีได้ เกิดจากสีทีติดอยใู่ นส่วนบนนนั แมพ่ ิมพน์ ูนเป็นแมพ่ ิมพท์ ีทาํ ขึนมาเป็นประเภทแรก ภาพพิมพช์ นิด นีไดแ้ ก่ ภาพพิมพแ์ กะไม้ ในอดีตผคู้ นมกั จะหาวิชาความรู้ไดจ้ ากในวดั เพราะวดั จะเป็ นศนู ยก์ ลางของนกั ปราชญ์ หรือผรู้ ู้ ใชเ้ ป็นสถานทีในการเผยแพร่วิชาความรู้ต่าง ๆ จิตรกรรมฝาผนงั ทีเขียนตามศาลา โบสถ์ วิหาร กเ็ ป็นอีกสิงหนึงทีเราจะหาความรู้ในเรืองต่าง ๆ ไดโ้ ดยเฉพาะทีเกียวกบั พุทธประวตั ิ ชาดก วรรณคดี และนิทานพืนบา้ น ซึงนอกจากจะไดค้ วามรู้ในเรืองศาสนา ประวตั ิศาสตร์ วรรณคดีแลว้ เรายงั ได้ อรรถรสแห่งความสนุกสนานเพลิดเพลนิ กบั ความสวยงามของภาพวาดเหล่านีอีกดว้ ย 4.2 แม่พิมพร์ ่องลึก เป็ นการพิมพโ์ ดยให้สีอยใู่ นร่องทีทาํ ให้ลึกลงไปของแม่พิมพโ์ ดยใชแ้ ผ่น โลหะทาํ เป็นแม่พิมพ์ (แผน่ โลหะทีนิยมใชค้ ือแผน่ ทองแดง) และทาํ ใหล้ กึ ลงไปโดยใชน้ าํ กรดกดั แมพ่ ิมพร์ ่องลกึ นีพฒั นาขึนโดย ชาวตะวนั ตก สามารถพมิ พง์ าน ทีมีความ ละเอียด คมชดั สูง สมยั ก่อนใชใ้ นการพิมพ์ หนงั สือ พระคมั ภีร์ แผนที เอกสารต่าง ๆ แสตมป์ ธนบตั ร ปัจจุบนั ใชใ้ น การพิมพง์ านทีเป็นศลิ ปะ และธนบตั ร 4.3 แม่พมิ พพ์ นื ราบ เป็นการพมิ พโ์ ดยใหส้ ีติดอยบู่ นผวิ หนา้ ทีราบเรียบของแม่พิมพ์ โดยไม่ตอ้ ง ขุดหรือแกะพนื ผวิ ลงไป แต่ใชส้ ารเคมีเขา้ ช่วย ภาพพิมพ์ ชนิดนีไดแ้ ก่ ภาพพิมพห์ ิน การพิมพอ์ อฟ เซท ภาพพมิ พก์ ระดาษ ภาพพมิ พค์ รังเดยี ว

32 4.4 แม่พิมพ์ฉลุ เป็ นการพิมพ์โดยให้สีผ่านทะลุช่องของแม่พิมพ์ลงไปสู่ผลงานทีอยู่ ดา้ นหลงั เป็นการพิมพช์ นิดเดียวทีไดร้ ูปทีมีดา้ นเดียวกนั กบั แมพ่ ิมพ์ไม่กลบั ซา้ ย เป็นขวา ภาพพมิ พ์ ชนิดนีไดแ้ ก่ ภาพพมิ พฉ์ ลุ ภาพพมิ พต์ ะแกรงไหม ในอดีตผคู้ นมกั จะหาวชิ าความรู้ไดจ้ ากในวดั เพราะวดั จะเป็นศนู ยก์ ลางของนกั ปราชญ์หรือ ผรู้ ู้ ใชเ้ ป็นสถานทีในการเผยแพร่วิชาความรู้ต่างๆ จิตรกรรมฝาผนงั ทีเขียนตามศาลา โบสถ์ วิหารก็ เป็นอกี สิงหนึงทีเราจะหาความรู้ในเรืองต่าง ๆ ไดโ้ ดยเฉพาะทีเกียวกบั พุทธประวตั ิ ชาดก วรรณคดี และนิทานพืนบา้ น ซึงนอกจากจะไดค้ วามรู้ในเรืองศาสนา ประวตั ิศาสตร์ วรรณคดีแลว้ เรายงั ได้ อรรถรสแห่งความสนุกสนานเพลิดเพลินกบั ความสวยงามของภาพพิมพ์ต่าง ๆ เหล่านีอีกด้วย ภาพพมิ พ์ของไทย เมือหลายร้อยปี ทีผ่านมา

33 เรืองที B3 ความงามและคุณค่าของทัศนศิลป์ ไทย B4 “ชีวิตสลาย อาณาจกั รพินาศ ผลประโยชน์ของบุคคลมลายหายสินไป แต่ศิลปะเท่านันที ยงั คงเหลือ เป็นพยานแห่งความเป็นอจั ฉริยะของมนุษยอ์ ยตู่ ลอดกาล” ขอ้ ความขา้ งตน้ นีเป็ นความเห็นอนั เฉียบคมของ ท่านศาสตราจารยศ์ ิลป์ พีระศรี ผกู้ ่อตัง มหาวิทยาลยั ศิลปากร แสดงให้เห็นว่างานศิลปะเป็ นสมบตั ิอนั ลาํ ค่าของมนุษยท์ ีแสดงความเป็ น อจั ฉริยะบ่งบอกถึงความเจริญทางดา้ นจิตใจ และสติปัญญาอนั สูงกว่า ซึงมีคุณค่าต่อชีวิต และสงั คม ดงั นี คุณค่าในการยกระดับจติ ใจ คุณค่าของศิลปะอยทู่ ีประโยชน์ ช่วยขจดั ความโฉด ความฉอ้ ฉลยกระดบั วิญญาณความ เป็ นคนเห็นแก่ตน บทกวีของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีซีไรต์ของไทย ไดใ้ ห้ความสาํ คญั ของงาน ศิลปะในการยกระดบั วญิ ญาณความเป็นคนกค็ ือ การยกระดบั จิตใจของคนเราใหส้ ูงขึนดว้ ยการไดช้ ืน ชมความงาม และความประณีตละเอียดอ่อนของงานศิลปะ ตวั อยา่ งเช่น เมือเราทาํ พรมอนั สวยงาม สะอาดมาปเู ตม็ หอ้ ง ก็คงไม่มใี ครกลา้ นาํ รองเทา้ ทีเปื อนโคลนมาเหยียบยาํ ทาํ ลายความงามของพรม ไปจนหมดสิน สิงทีมีคุณค่ามาช่วยยกระดบั จิตใจของคนเราให้มนั คงในความดีงามก็คือ ความงาม ของศิลปะนนั เองดงั นนั เมือใดทีมนุษยไ์ ดช้ ืนชมความงามของศิลปะเมือนันมนุษยก์ ็จะมีจิตใจทีแช่ม ชืน และละเอยี ดออ่ นตามไปดว้ ย เวน้ แต่บุคคลผนู้ นั จะมสี ติวิปลาศ นอกจากนีงานศิลปะบางชินยงั ใหค้ วามงามและความรู้สึกถึงความดีงาม และงาม จริยธรรมอยา่ งลกึ ซึง เป็นการจรรโลงจิตใจใหผ้ ดู้ เู คร่งเครียดและเศร้าหมองของศิลปิ นผสู้ ร้างสรรค์ และผชู้ ืนชมได้เป็ นอย่างดี ดังนันจึงมีการส่งเสริมให้เด็กสร้างงานศิลปะ เพือผ่อนคลายความ เคร่งเครียด และพฒั นาสุขภาพจิต ซึงเป็นจุดเริมตน้ ของพฒั นาการต่าง ๆ อยา่ งสมบรู ณ์ ความรู้สึกทางความงามของมนุษยม์ ีขอบเขตกวา้ งขวางและแตกต่างกันออกไปตาม ทศั นะของแต่ละบุคคล เราอาจรวมลกั ษณะเด่นของความงามได้ ดงั นี . ความงามเป็นสิงทีปรากฏขึนในจิตมนุษย์ แมเ้ พียงชวั ระยะเวลาหนึงแต่จะก่อให้เกิด ความปิ ติยินดี และฝังใจจาํ ไปอีกนาน เช่น การไดม้ ีโอกาสไปเทียวชมสถานทีต่าง ๆ ทีมีธรรมชาติ และศิลปกรรมทีสวยสดงดงาม เราจะจาํ และระลึกถึงดว้ ยความปิ ติสุข บางครังเราอยากจะใหผ้ อู้ นื รับรู้ ดว้ ย . ความงามทาํ ใหเ้ ราเกิดความเพลิดเพลิน หลงใหลไปกบั รูปร่าง รูปทรง สีสัน จนลืม บางสิงบางอยา่ งไป เช่น ผลไมแ้ กะสลกั ความงามของลวดลาย ความละเอยี ดออ่ น อยากเก็บรักษาไว้ จนลมื ไปว่าผลไมน้ นั มีไวส้ าํ หรับรับประทานมใิ ช่มไี วด้ ู

34 . สิงสิงหนึงเป็ นไดท้ ังสิงทีสวยงาม และไม่งาม ไปจนถึงน่าเกลียด อปั ลกั ษณ์ แต่ถา้ ไดร้ ับการยกยอ่ งว่าเป็นสิงมีค่า มคี วามงามจะตรงกนั ขา้ มกบั สิงอปั ลกั ษณ์ทนั ที . ความงามไมม่ มี าตราส่วนใดมาชงั ตวง วดั ใหแ้ น่นอนได้ ทาํ ใหเ้ ราไม่สามารถ กาํ หนดไดว้ ่าสิงนนั สิงนีมคี วามงามเท่าใด . ความงามของสิงทีมนุษยส์ ร้างขนึ เป็นผลมาจากความคิด ทกั ษะฝีมอื หรือภมู ปิ ัญญา ของมนุษย์ แต่เมือสร้างเป็นวตั ถสุ ิงของ ต่าง ๆ แลว้ กลบั เป็นความงามของสิงนนั ไป เช่น ความงาม ของผา้ ความงามของรถยนต์ เป็นตน้ การรับรู้ค่าความงาม ความงามเป็นเรืองทีมีความสาํ คญั เพมิ ขึนตามลาํ ดบั มนุษยร์ ับรู้ค่า ความงามใน กลมุ่ คือ . กลุ่มทีเห็นว่ามนุษยร์ ับรู้ค่าความงามไดเ้ พราะสิงต่าง ๆ มีความงามอยใู่ นตวั เอง เป็ น คุณสมบตั ิของวตั ถุปรากฏออกมาเป็นรูปร่าง รูปทรงสีสนั การอธิบายถึงความงามของงานทศั นศิลป์ จะไดผ้ ลนอ้ ยกวา่ การพาไปใหเ้ ห็นของจริง แสดงใหเ้ ห็นวา่ ความงามมอี ยใู่ นตวั วตั ถุ . กล่มุ ทีเห็นวา่ มนุษยร์ ับรู้ค่าความงามไดเ้ พราะจิตของเราคิดและรู้สึกไปเอง โดยกลุ่มนี เห็นวา่ ถา้ ความงามมีอยใู่ นวตั ถุจริงแต่ละบุคคลย่อมเห็นความงามนนั เท่ากนั แต่เนืองจากความงาม ของวตั ถุทีแต่ละบุคคลเห็นแตกต่างกนั ออกไปจึงแสดงว่าความงามขึนอย่กู บั อารมณ์และความรู้สึก ของแต่ละบุคคล . กลมุ่ ทีเห็นว่ามนุษยร์ ับรู้ค่าความงามไดเ้ พราะเป็นสภาวะทีเหมาะสมระหวา่ งวตั ถกุ บั จิต กลุ่มนีเห็นว่าการรับรู้ค่าความงามนันมิใช่อยา่ งใดอย่างหนึง แต่เป็ นสภาวะทีสัมพนั ธก์ นั ระหว่าง มนุษยก์ บั วตั ถุ การรับรู้ทีสมบูรณ์ตอ้ งประกอบดว้ ยวตั ถุทีมีความงาม ความเด่นชดั และผรู้ ับรู้ตอ้ งมี อารมณ์และความรู้สึกทีดี พร้อมทีจะรับรสคุณค่าแห่งความงามนนั ดว้ ย จะเห็นไดว้ ่าศลิ ปกรรมหรือทศั นศลิ ป์ เป็นสิงทีมนุษยส์ ร้างขึนจึงมกี ารขดั เกลาตกแต่งให้ สวยงามเป็นวตั ถุสุนทรีย์ เป็นสิงทีมคี วามงาม ผดู้ ูรับรู้ค่าความงามไดใ้ นระดบั พนื ๆ ใกลเ้ คียงกนั เช่น เป็นภาพเขียน ภาพปันแกะสลกั หรือเป็นสิงก่อสร้างทีสวยงาม แต่การรับรู้ในระดบั ทีลึกลงไปถึงขนั ชอบ ประทบั ใจ หรือชืนชมนนั เป็นเรืองของแต่ละบุคคล การรับรู้คณุ ค่าทางศิลปะ มหี ลายกระบวนการ ดงั นี . สิงสุนทรีย์ หมายถงึ งานทศั นศลิ ป์ ทีเกิดจากศลิ ปิ นทีตงั ใจสร้างงานอยา่ งจริงจงั มกี าร พฒั นางานตามลาํ ดบั ประณีตเรียบร้อย ทงั ในผลงาน กรอบ และการติดตงั ทีทาํ ใหง้ านเดน่ ชดั . อารมณ์ร่วม หมายถึง สิงสุนทรียน์ ันมีความงามของเนือหาเรืองราว รูปร่าง - รูปทรง สีสนั ทีสามารถทาํ ใหผ้ ดู้ ูสนใจ เพลดิ เพลินไปกบั ความงามของผลงานนนั มีอารมณ์ร่วมหรือ คลอ้ ยตาม เช่น เมอื เห็นงานทศั นศลิ ป์ แลว้ เกิดความรู้สึกประทบั ใจและหยดุ ดอู ยรู่ ะยะหนึง เป็นตน้ 3. กาํ หนดจิต เป็นขนั ต่อเนืองจากการมีอารมณ์ร่วม กล่าวคือ ในขณะทีเกิดอารมณ์ร่วม

35 เพลิดเพลินไปกบั งานทศั นศิลป์ ผดู้ ูส่วนใหญ่จะอย่ใู นระดบั ทีเห็นว่าสวยก็พอใจแลว้ แต่ถา้ มีการ กาํ หนดจิตให้หลุดออกจากอารมณ์ร่วมเหล่านันว่าเรากาํ ลงั ดูงานทศั นศิลป์ ทีสร้างสรรค์อย่างตงั ใจ จริงใจ แต่ละจุดของผลงานแสดงถึงทกั ษะฝี มือของศิลปิ น จิตของเราจะกลบั มาและเริมดูในส่วน รายละเอยี ดต่าง ๆ ทาํ ใหไ้ ดร้ สชาติของความงามทีแปลกออกไป กระบวนการทงั ขนั ตอนขา้ งตน้ ยกตวั อย่างใหเ้ ขา้ ใจง่ายยิงขึนก็คือ พระอุโบสถวดั เบญจมบพิธ ออกแบบโดยเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั วงศ์ อจั ฉริ ยะศิลปิ นของไทย เป็ น สถาปัตยกรรมทีสร้างขึนเพืออุทิศใหแ้ ก่พระพุทธศาสนา การก่อสร้างจึงเต็มไปดว้ ยความประณีต บรรจง เป็นสิงสุนทรีย์ เป็ นทีเชิดหนา้ ชูตาของเมืองไทยแห่งหนึงทีชาวไทยและชาวต่างประเทศมา เทียวชมอยตู่ ลอดเวลาดว้ ยความงามของสถาปัตยกรรมและบรรยากาศทีร่มรืน ทาํ ใหแ้ ขกผมู้ าเยือน เกิดความเพลดิ เพลิน ประทบั ใจ และใชเ้ วลาผอ่ นคลายอิริยาบถอย่นู านพอสมควร ผมู้ าเยอื นบางคน ฉุกคิดไดว้ า่ ขณะนีกาํ ลงั อยตู่ ่อหนา้ สถาปัตยกรรมทีงดงามและมีชือเสียง ควรจะดูอยา่ งพินิจพเิ คราะห์ ดูใหล้ ะเอียดทีละส่วน ซึงออกแบบไดก้ ลมกลืนทงั รูปร่างและวสั ดุซึงทาํ ดว้ ยหินอ่อนทีสวยงามแปลก ไปกวา่ โบสถแ์ ห่งอนื กลุ่มคนทีกาํ หนดจิตในส่วนใหญ่จะเป็ นผทู้ ีมีรสนิยมหรือมีพืนฐานทางศิลปะ พอสมควร

36 เรืองที B การนําความงามของธรรมชาติมาสร้างสรรค์ผลงาน 6B ความคิดสร้างสรรค์ เป็ นสิงทีเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ เป็ นการดาํ เนินการในลกั ษณะ B7 ต่าง ๆ เพือให้เกิดสิงแปลกใหม่ทีไม่เคยปรากฏมาก่อน สิงทีมีชีวิตเท่านันทีจะมีความคิดอย่าง สร้างสรรค์ได้ ความคิดสร้างสรรค์เป็ นความคิดระดบั สูง เป็ นความสามารถทางสติปัญญาแบบ หนึง ทีจะคิดไดห้ ลายทิศทาง หลากหลายรูปแบบโดยไม่มขี อบเขต นาํ ไปสู่กระบวนการคิดเพอื สร้าง สิงแปลกใหม่ หรือเพอื การพฒั นาของเดิมใหด้ ีขึน ทาํ ใหเ้ กิดผลงานทีมีลกั ษณะเฉพาะตนเป็ นตวั ของ ตวั เอง อาจกล่าวไดว้ ่า มนุษยเ์ ป็นสิงมีชีวิตเพียงชนิดเดียวในโลก ทีมีความคิดสร้างสรรค์ เนืองจาก ตงั แต่ในอดีตทีผ่านมา มีแต่มนุษยเ์ ท่านันทีสามารถสร้างสิงใหม่ ๆ ขึนมาเพือใช้ประกอบในการ ดาํ รงชีวิต และสามารถพฒั นาสิงต่าง ๆใหด้ ีขึนกว่าเดิม รวมถึงมีความสามารถในการพฒั นาตน พฒั นาสงั คม พฒั นาประเทศ และรวมถึงพฒั นาโลกทีเราอยใู่ ห้มีลกั ษณะทีเหมาะสมกบั มนุษยม์ าก ทีสุด ในขณะทีสตั วช์ นิดต่าง ๆ ทีมวี วิ ฒั นาการมาเช่นเดียวกบั เรา ยงั คงมีชีวิตความเป็ นอยแู่ บบเดิม อยา่ งไม่มีการเปลียนแปลง มากกว่าครึงหนึงของการพบทียงิ ใหญ่ของโลกไดถ้ ูกกระทาํ ขึนมาโดย ผา่ น \"การคน้ พบโดยบงั เอิญ\" หรือการคน้ พบบางสิงขณะทีกาํ ลงั คน้ หาบางสิงอยู่ การพฒั นาความคิด สร้างสรรค์ของมนุษยจ์ ะทาํ ให้ เกิดการเปลียนแปลง การสร้างสรรคอ์ าจไม่จาํ เป็ นตอ้ งยงิ ใหญ่ถึง ขนาดการพฒั นาบางสิงขึนมาให้กบั โลก แต่มีอาจเกียวขอ้ งกบั พฒั นาการบางอย่างให้ใหม่ขึนมา อาจเป็ นสิงเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ เพือตัวของเราเอง เมือเราเปลียนแปลงตวั เราเอง เราจะพบว่าโลกก็จะ เปลยี นแปลงไปพร้อมกบั เรา และในวถิ แี ห่งการเปลยี นแปลงทีเราไดม้ ปี ระสบการณ์กบั โลกความคิด ส ร้ า ง ส ร ร ค์ จึ ง มี ค ว า ม ห ม า ย ที ค่ อ น ข้า ง ก ว ้า ง แ ล ะ ส า ม า ร ถ นํา ไ ป ใ ช้ป ร ะ โ ย ช น์ กับ ก า ร ผ ลิ ต B8 การสร้างสรรค์สิงประดิษฐ์ใหม่ ๆ กระบวนการวิธีการทีคิดคน้ ขึนมาใหม่ คาดหวงั ว่า ความคิด สร้างสรรคจ์ ะช่วยให้การดาํ เนินชีวิตและสงั คมของเราดีขึน เราจะมีความสุข มากขึน โดยผ่าน กระบวนการทีไดป้ รับปรุงขึนมาใหมน่ ีทงั ในดา้ นปริมาณและคุณภาพ

37 จุดม่งหมายของการคดิ สร้างสรรค์ งานศิลปะโดยเฉพาะงานศิลปะสมยั ปัจจุบัน ศิลปิ นจะสร้างสรรค์งานศิลปะในรูปแบบที หลากหลายมากขึนทาํ ให้มีขอบข่ายกว้างขวางมาก แต่ไม่ว่าจะเป็ นไปในลักษณะใดก็ตาม งานศิลปะทุกประเภท จะใหค้ ุณค่าทีตอบสนองต่อมนุษย์ ในดา้ นทีเป็ นผลงานการแสดงออกของ อารมณ์ ความรู้สึกและความคิด เป็นการสือถึงเรืองราวทีสาํ คญั หรือเหตุการณ์ทีประทบั ใจ เป็นการ ตอบสนองต่อความพึงพอใจ ทังทางด้านจิตใจและความสะดวกสบายดา้ นประโยชน์ใชส้ อยของ ศิลปวตั ถุ องค์ประกอบของการสร้างสรรค์งานศิลปะ การสร้างสรรค์จะประสบความสาํ เร็จเป็ นผลงานได้ นอกจาก ตอ้ งอาศยั ความคิดสร้างสรรค์ เป็นตวั กาํ หนดแนวทางและรูปแบบแลว้ ยงั ตอ้ งอาศยั ความสามารถทียอดเยยี มของศิลปิ น ซึงเป็ นความสามารถ เฉพาะตน เป็นความชาํ นาญทีเกิดจากการฝึกฝน และความพยายามอนั น่าทึง เพราะฝีมอื อนั เยยี มยอด จะสามารถสร้างสรรคผ์ ลงานทีมีความ งาม อนั เยยี มยอดได้ นอกจากนียงั ตอ้ งอาศยั วสั ดุ อปุ กรณ์ต่าง ๆ มาใช้ ในการสร้างสรรคเ์ ช่นกนั วสั ดุอปุ กรณ์ในการสร้างสรรค์ แบ่งออกเป็น วตั ถุดิบทีใชเ้ ป็นสือในการแสดงออก และเครืองมือทีใชส้ ร้างสรรค์ให้ เกิดผลงานตามความชํานาญของศิลปิ นแต่ละคน แนวทางในการ สร้างสรรคง์ านศลิ ปะของศิลปิ นแต่ละคน อาจมีทีมาจากแนวทางทีต่างกนั บางคนไดร้ ับแรงบนั ดาล ใจจากความงาม ความคิด ความรู้สึก ความประทบั ใจ แต่บางคนอาจสร้างสรรคง์ านศิลปะเพือ แสดงออกถึงฝีมืออนั เยยี มยอดของตนเอง เพือประกาศความเป็ น เลิศอย่างไม่มีทีเปรียบปานโดยไม่ เน้นทีเนือหาของงาน และบางคนอาจสร้างสรรค์งานศิลปะจากการใชว้ สั ดุทีสนใจ โดยไม่เน้น รูปแบบและแนวคิดใด ๆ เลยก็ได้

38 เรืองที B9 ความคิดสร้างสรรค์ B01 ในการนําเอาวสั ดุและสิงของต่าง ๆ มาตกแต่งร่างกายและสถานที 1B ความคิดสร้ างสรรค์ คือ กระบวนการคิดของสมองซึงมีความสามารถในการคิดได้ หลากหลายและแปลกใหม่จากเดิม โดยสามารถนาํ ไปประยกุ ตท์ ฤษฎี หรือหลกั การไดอ้ ยา่ งรอบคอบ และมีความถกู ตอ้ ง จนนาํ ไปสู่การคิดคน้ และสร้างสิงประดิษฐท์ ีแปลกใหมห่ รือรูปแบบความคิดใหม่ นอกจากลกั ษณะการคิดสร้างสรรค์ดงั กล่าวนีแลว้ ยงั มีความสามารถมองความคิดสร้างสรรค์ได้ หลากหลาย ซึงอาจจะมองในแง่ทีเป็ นกระบวนการคิดมากกว่าเนือหาการคิด โดยทีสามารถใช้ ลกั ษณะการคิดสร้างสรรค์ในมิติทีกวา้ งขึน เช่นการมีความคิดสร้างสรรค์ในการทาํ งาน การเรียน หรือกิจกรรมทีตอ้ งอาศยั ความคิดสร้างสรรคด์ ว้ ย อยา่ งเช่น การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ หรือการเล่น กีฬาทีตอ้ งสร้างสรรคร์ ูปแบบเกมใหห้ ลากหลายไม่ซาํ แบบเดิม เพือไม่ให้คู่ต่อสู่รู้ทนั เป็ นตน้ ซึงอาจ กลา่ วไดว้ ่าเป็นลกั ษณะการคิดสร้างสรรคใ์ นเชิงวิชาการ แต่อยา่ งไรกต็ าม ลกั ษณะการคิดสร้างสรรค์ ต่าง ๆ ทีกล่าวนนั ต่างก็อยบู่ นพนื ฐานของความคิดสร้างสรรค์ โดยทีบุคคลสามารถเชือมโยงนาํ ไปใช้ ในชีวิตประจาํ วนั ไดด้ ี ในการสอนของอาจารยเ์ พอื พฒั นาความคิดสร้างสรรค์ ควรจดั การเรียนการสอนทีใชว้ ิธีการที เหมาะสม ดงั นี . การสอน หมายถงึ การสอนเกียวกบั การคดิ เห็นในลกั ษณะความคดิ เห็นทีขดั แยง้ ในตวั มนั เอง ความคิดเห็นซึงคา้ นกบั สามญั สาํ นึก ความจริงทีสามารถเชือถือหรืออธิบายได้ ความเห็นหรือ ความเชือทีฝังใจมานาน ซึงการคิดในลกั ษณะดงั กล่าว นอกจากจะเป็ นวิธีการฝึ กประเมินค่าระหว่าง ขอ้ มูลทีแทจ้ ริงแลว้ ยงั ช่วยให้คิดในสิงทีแตกต่างไปจากรูปแบบเดิมทีเคยมี เป็ นการฝึ กมองในรูป แบบเดิมใหแ้ ตกต่างออกไป และเป็ นส่งเสริมความคิดเห็นไม่ให้คลอ้ ยตามกนั (Non – Conformity) โดยปราศจากเหตุผล ดงั นันในการสอนอาจารยจ์ ึงควรกาํ หนดให้นกั ศึกษารวบรวมขอ้ คิดเห็นหรือ คาํ ถาม แลว้ ใหน้ กั ศกึ ษาแสดงทกั ษะดว้ ยการอภิปรายโตว้ าที หรือแสดงความคิดเห็นในกลุม่ ยอ่ ยก็ได้ . การพจิ ารณาลกั ษณะ หมายถึง การสอนใหน้ กั ศึกษา คิดพิจารณาลกั ษณะต่าง ๆ ทีปรากฏ อยู่ ทงั ของมนุษย์ สตั ว์ สิงของ ในลกั ษณะทีแปลกแตกต่างไปกว่าทีเคยคิด รวมทงั ในลกั ษณะทีคาด ไม่ถึง . การเปรียบเทียบอุปมาอุปมยั หมายถึง การเปรียบเทียบสิงของหรือสถานการณ์ที คลา้ ยคลึงกนั แตกต่างกนั หรือตรงกนั ขา้ มกนั อาจเป็นคาํ เปรียบเทียบ คาํ พงั เพย สุภาษิต . การบอกสิงทีคลาดเคลือนไปจากความเป็นจริง หมายถึง การแสดงความคิดเห็น บ่งชีถึง สิงทีคลาดเคลอื นจากความจริง ผดิ ปกติไปจากธรรมดาทวั ไป หรือสิงทียงั ไมส่ มบรู ณ์

39 . การใชค้ าํ ถามยวั ยแุ ละกระตุน้ ใหต้ อบ หมายถงึ การตงั คาํ ถามแบบปลายเปิ ดและใชค้ าํ ถาม ทียวั ยุ เร้าความรู้สึกใหช้ วนคิดคน้ ควา้ เพอื ความหมายทีลึกซึงสมบูรณ์ทีสุดเท่าทีจะเป็นได้ . การเปลียนแปลง หมายถึง การฝึ กให้คิดถึงการเปลียนแปลงดดั แปลงการปรับปรุงสิงต่าง ๆ ทีคงสภาพมาเป็ นเวลานานให้เป็ นไปในรูปอืน และเปิ ดโอกาสให้เปลียนแปลงดว้ ยวิธีการต่าง ๆ อยา่ งอิสระ 7. การเปลียนแปลงความเชือ หมายถึง การฝึ กใหน้ ักศึกษาเป็ นคนมีความยืดหย่นุ ยอมรับ ความเปลยี นแปลง คลายความยดึ มนั ต่าง ๆ เพือปรับตนเขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มใหม่ ๆ ไดด้ ี . การสร้างสิงใหม่จากโครงสร้างเดิม หมายถึง การฝึ กให้นักศึกษารู้จักสร้างสิงใหม่ กฎเกณฑ์ใหม่ ความคิดใหม่ โดยอาศัยโครงสร้างเดิมหรื อกฎเกณฑ์เดิมทีเคยมี แต่พยายามคิด พลกิ แพลงใหต้ ่างไปจากเดิม . ทกั ษะการคน้ ควา้ หาขอ้ มลู หมายถงึ การฝึกเพือใหน้ กั ศกึ ษารู้จกั หาขอ้ มลู . การคน้ หาคาํ ตอบคาํ ถามทีกาํ กวมไม่ชดั เจน เป็ นการฝึ กให้นักศึกษามีความอดทนและ พยายามทีจะคน้ ควา้ หาคาํ ตอบต่อปัญหาทีกาํ กวม สามารถตีความไดเ้ ป็ นสองนยั ลึกลบั รวมทงั ทา้ ทาย ความคิด 11. การแสดงออกจากการหยงั รู้ เป็นการฝึกใหร้ ู้จกั การแสดงความรู้สึก และความคิดทีเกิด จากสิงเร้า กบั อวยั วะสมั ผสั ทงั หา้ 12. การพฒั นาตน หมายถึง การฝึกใหร้ ู้จกั พิจารณาศกึ ษาดูความ ลม้ เหลว ซึงอาจเกิดขึนโดย ตงั ใจหรือไมต่ งั ใจ แลว้ หาประโยชน์จากความผดิ พลาดนนั หรือขอ้ บกพร่องของตนเองและผอู้ ืน ทงั นี ใชค้ วามผดิ พลาดเป็นบทเรียนนาํ ไปสู่ความสาํ เร็จ 13. ลกั ษณะบุคคลและกระบวนการคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การศึกษาประวตั ิบุคคลสาํ คญั ทงั ในแง่ลกั ษณะพฤติกรรมและกระบวนการคิดตลอดจนวธิ ีการ และประสบการณ์ของบุคคลนนั 14. การประเมินสถานการณ์ หมายถึง การฝึ กใหห้ าคาํ ตอบโดยคาํ นึงถึงผลทีเกิดขึนและ ความหมายเกียวเนืองกนั ดว้ ยการตงั คาํ ถามว่าถา้ สิงเกิดขึนแลว้ จะเกิดผลอยา่ งไร 15. พฒั นาทกั ษะการอ่านอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การฝึ กให้รู้จกั คิดแสดงความคิดเห็น ควรส่งเสริมและใหโ้ อกาสนกั ศึกษาไดแ้ สดงความคิดเห็นและความรู้สึกต่อเรืองทีอ่านมากกว่าจะมุ่ง ทบทวนขอ้ ต่าง ๆ ทีจาํ ไดห้ รือเขา้ ใจ . การพฒั นาการฟังอยา่ งสร้างสรรค์ หมายถงึ การฝึกใหเ้ กิดความรู้สึกนึกคิดในขณะทีฟัง อาจเป็ นการฟังบทความ เรืองราวหรือดนตรี เพือเป็ นการศึกษาขอ้ มูล ความรู้ ซึงโยงไปหาสิงอืน ๆ ต่อไป . พฒั นาการเขียนอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การฝึ กใหแ้ สดงความคิด ความรู้สึก การ จินตนาการผา่ นการเขียนบรรยายหรือพรรณนาใหเ้ ห็นภาพชดั เจน

40 . ทกั ษะการมองภาพในมิติต่าง ๆ หมายถึง การฝึ กให้แสดงความรู้สึกนึกคิดจากภาพใน แง่มมุ แปลกใหม่ ไมซ่ าํ เดิม ศิลปะกับการตกแต่งทอี ยู่อาศัย มนุษยเ์ ป็ นสัตวส์ งั คมทีตอ้ งการสถานทีปกป้ อง คุม้ ครองจากสิงแวดลอ้ มรอบกาย ไม่ว่า มนุษยจ์ ะอย่แู ห่งใด สถานทีอยา่ งไร ทีอยอู่ าศยั จะสร้างขึน เพือป้ องกนั ภยั อนั ตรายจากสิงแวดลอ้ ม ภายนอก ทีอย่อู าศยั เป็ นหนึงในปัจจยั ทีมีความสาํ คญั และจาํ เป็ นสาํ หรับการดาํ รงชีวิตของมนุษย์ มนุษยจ์ ึงมกี ารพฒั นาทีอยอู่ าศยั เพอื สนองความตอ้ งการและความพอใจของแต่ละบุคคล มนุษยท์ ุกคน มกี ารพฒั นาการในชีวิตของตนเอง มนุษยจ์ ึงนาํ พฒั นาการเหลา่ นีมาใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์ การพฒั นาที อย่อู าศยั จึงเป็ นหนึงในปัจจยั ทีสาํ คญั สาํ หรับมนุษยท์ ีอยอู่ าศยั ในปัจจุบนั ถูกพฒั นาให้ทนั สมยั กว่า ในอดีตเนืองจากตอ้ งปรับปรุงให้เหมาะสมกบั สภาพการณ์และสิงแวดลอ้ มของโลกทีเปลียนแปลง แต่ในการปรับปรุงนัน ควรคาํ นึงถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ และวฒั นธรรมทอ้ งถินควบคู่กันไป การพฒั นาทีอยอู่ าศยั นนั จึงจะเหมาะสมและสนองความตอ้ งการอยา่ งแทจ้ ริง ทีอยอู่ าศยั โดยเฉพาะบา้ นในปัจจุบนั จะมรี ูปแบบทีเรียบง่ายใกลช้ ิดธรรมชาติและคาํ นึงถึง ประโยชนใ์ ชส้ อยเป็นหลกั และเนน้ ในเรืองเทคโนโลยตี ่าง ๆ เพมิ มากขึน เพราะเกิดการเปลียนแปลง ตามรสนิยมการบริโภค นอกจากนีในการจดั ตกแต่งภายในจะมีการผสมผสานการตกแต่งแบบ ตะวนั ตกและตะวนั ออกเข้าด้วยกนั ทาํ ให้เกิดผลงานการตกแต่งในรูปแบบทีใชง้ านไดส้ ะดวก ตามรูปแบบตะวนั ตก ปัจจยั อีกประการหนึงในการจดั ตกแต่งภายในบา้ นคือการนาํ หลกั การทาง ศิลปะมาผสมผสานเข้ากบั การตกแต่ง เพือให้การดาํ รงชีวิตภายในบ้านสะดวกทงั กายและใจ และแสดงออกถึงความงดงาม และมีรสนิยมของผูเ้ ป็ นเจ้าของบา้ น องค์ประกอบทางศิลปะจึง ถกู นาํ มาเกียวขอ้ ง องคป์ ระกอบทางศิลปะทีนาํ มาใชใ้ นการจดั แต่งแต่งทีอยอู่ าศยั ไดแ้ ก่ 1. ขนาดและสัดส่วนนาํ มาใช้ในการจดั ทอี ย่อู าศัย ได้แก่ 1.1 ขนาดของหอ้ ง ในการกาํ หนดขนาดของหอ้ งต่าง ๆ จะขึนอยกู่ บั กิจกรรมทีทาํ หากเป็ น หอ้ งทีใชก้ ิจกรรมมาก เช่น หอ้ งอาหาร หอ้ งครัว หรือหอ้ งรับแขก ควรกาํ หนดขนาดของหอ้ งให้มีพืนที รองรับกิจกรรมนัน ๆ ให้เหมาะสม ไม่เล็กจนเกินไป เพราะจะทาํ ให้คบั แคบและไม่สะดวกต่อการทาํ กิจกรรม 1.2 จาํ นวนของสมาชิกในครอบครัว ในการกาํ หนดขนาดของห้องต่าง ๆ ควรคาํ นึงถึง จาํ นวนของสมาชิกว่ามมี ากนอ้ ยเพียงใด เพอื จะไดก้ าํ หนดขนาดของหอ้ งใหเ้ หมาะสมกบั สมาชิก

41 1.3 เครืองเรือน ในการกาํ หนดขนาดของเครืองเรือน ควรกาํ หนดใหม้ ีขนาดพอดกี บั หอ้ ง และสมาชิก หรือขนาดพอเหมาะกบั สมาชิกไม่สูงหรือเตียจนใชง้ านไม่สะดวก ในการออกแบบ เครืองเรือน หรือจดั พืนทีภายในบา้ นจะมเี กณฑม์ าตรฐานทใี ชก้ นั โดยทวั ไป ดงั นี ห้องรับแขก -โซฟา ขนาด 0.05 x 0.6 เมตร สูง 0.38 – 0.40 เมตร ห้องอาหาร - โตะ๊ อาหารมหี ลายแบบไดแ้ ก่ขนาด 0.75 x 1.00 เมตร จนถงึ 1.10 x 2.40 เมตร ห้องครัว - ควรมขี นาด 0.50 x 0.55 เมตร สูง 0.80 x 0.90 เมตร ความยาวขึนอยกู่ บั หอ้ ง ห้องนํา - ควรมีขนาด 2.00 – 3.00 เมตร ซึงแลว้ แต่ขนาดของหอ้ ง ส่วนสุขภณั ฑใ์ นห้องจะมี ขนาดมาตรฐานโดยทวั ไป ห้องนอน - เตียงนอนเดียว มีขนาด 0.90-1.0 x 2.00 เมตร สูง 0.50 เมตร เตียงนอนคู่ มีขนาด 1.80 x 2.00 เมตร สูง 0.40 - 0.50 เมตร ตูเ้ สือผา้ ขนาด 0.50 – 0.80 x 2.50 เมตร 2. ความกลมกลืน (Harmony) ความกลมกลืนของศิลปะทีนํามา ใชใ้ นการจดั ตกแต่งทีอยู่ได้แก่ 2.1 ความกลมกลนื ของการตกแต่งทีอยอู่ าศยั การนาํ ธรรมชาติมาผสมผสานในการตกแต่ง จะ ทาํ ใหเ้ กิดความสมั พนั ธ์ทีงดงามการใชต้ น้ ไมต้ กแต่งภายในอาคารจะทาํ ใหเ้ กิดบรรยากาศทีร่มรืน เบิกบานและเป็ นธรรมชาติ 2.2 ความกลมกลืนของเครืองเรือนในการตกแต่งภายในการเลือกเครืองเรือนเครืองใช้ที เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั การใชส้ อย จะทาํ ใหเ้ กิดความสมั พนั ธ์ในการใชง้ าน การเลือกวสั ดุทีใช้

42 ประกอบเครืองเรือนภายในครัว ควรเป็นวสั ดุทีแขง็ แรง ทนทาน ทนร้อนและทนรอยขูดขีดไดด้ ี เช่น ฟอร์ไมกา้ แกรนิตหรือกระเบืองเคลือบต่าง ๆ 2.3 ความกลมกลืนของสี ในการตกแต่ง ซึงตอ้ งใชด้ ว้ ยความระมดั ระวงั เพราะหากใชไ้ ม่ ถูกตอ้ งแลว้ จะทาํ ให้ความกลมกลืนกลายเป็ นความขดั แยง้ การใชส้ ีกลมกลืนภายในอาคาร ควร คาํ นึงถึงวตั ถปุ ระสงคข์ องหอ้ งผใู้ ช้ เครืองเรือนและการตกแต่ง การใชส้ ีกลมกลืนควรใชว้ ิจารณญาณ เลอื กสีใหเ้ หมาะสมกบั วตั ถปุ ระสงคข์ องการใช้ . การตดั กนั ในการตดั กนั โดยทวั ไปของการจดั ตกแต่งทีอย่อู าศยั นิยมทาํ ในรูปแบบของการขดั กนั ในการใช้ เครืองเรือนในการตกแต่ง เพอื สร้างจุดเด่นหรือจุดสนใจในการตกแต่งไม่ให้เกิดความกลมกลืนมาก เกินไป การออกแบบเครืองเรือนแบบร่วมสมยั จึงไดร้ ับความนิยม เนืองจากสร้างความโดดเด่นของ การตกแต่งไดเ้ ป็นอยา่ งดี 4. เอกภาพ ในการตกแต่งสิงต่าง ๆ หากขาดเอกภาพงานทีสาํ เร็จจะขาดความสมบูรณ์ในการตกแต่งภายใน การรวมกลุ่มกิจกรรมเขา้ ดว้ ยกนั การรวมพืนทีในหอ้ งต่าง ๆ ใหเ้ หมาะสมกบั กิจกรรมจึงเป็ นการใช้ เอกภาพในการจดั พืนทีทีชดั เจน การจดั เอกภาพของเครืองเรือนเครืองใชก้ ็เป็ นสิงสาํ คญั หากเครือง เรือนจดั ไม่เป็ นระเบียบยอ่ มทาํ ให้ผอู้ าศยั ขาดการใชส้ อยทีดีและขาดประสิทธิภาพในการทาํ งาน 5. การซํา การซาํ และจงั หวะเป็นสิงทีสมั พนั ธ์กนั การซาํ สามารถนาํ มาใชใ้ นงานตกแต่งไดห้ ลายประเภท เพราะการซาํ ทาํ ให้เกิดความสอดคลอ้ งของการออกแบบการออกแบบตกแต่งภายในการซาํ อาจ นาํ มาใชใ้ นเรืองสายตา เช่น การปกู ระเบืองปพู นื ทีเป็นลวดลายต่อเนือง หรือการติดภาพประดบั ผนงั ถึงแมก้ ารซาํ จะทาํ ใหง้ านสอดคลอ้ ง หรือต่อเนือง แต่ก็ไม่ควรใชใ้ นปริมาณทีมากเพราะจะทาํ ให้ดู สบั สน 6. จงั หวะ การจดั จงั หวะของทีอยอู่ าศยั ทาํ ไดห้ ลายลกั ษณะ เช่น การวางผงั บริเวณหรือการจดั แปลนบา้ นให้ มีลกั ษณะทีเชือมพนื ทีต่อเนืองกนั เป็นระยะ หรือจงั หวะ นอกจากนีการจดั พืนทีใชส้ อยภายในอาคาร นบั เป็นสิงสาํ คญั เพราะจะทาํ ใหเ้ กิดระเบียบและสะดวกต่อการทาํ งาน และทาํ ให้การทาํ งาน และทาํ ใหก้ ารทาํ งานมปี ระสิทธิภาพยิงขึน การจดั พืนทีใชส้ อยภายในอาคารทีนิยมไดแ้ ก่ การจดั พืนทีการ ทาํ งานของห้องครัว โดยแบ่งพืนทีการทาํ งานให้เป็ นจงั หวะต่อเนืองกนั ไดแ้ ก่ พืนทีของการเก็บ การปรุงอาหาร การลา้ ง การทาํ อาหาร และการเสิร์ฟอาหาร เป็นตน้

43 . การเน้น ศิลปะของการเน้นทีนาํ มาใช้ในทอี ย่อู าศัย ได้แก่ 7.1 การเน้นดว้ ยสี ไดแ้ ก่ การตกแต่งภายในหรือภายนอกอาคารดว้ ยการใชส้ ีตกแต่งที กลมกลนื หรือโดดเด่น เพือใหส้ ะดุดตาหรือสดชืนสบายตา ซึงขึนอยกู่ บั วตั ถปุ ระสงคข์ องการจดั นนั 7.2 การเนน้ ดว้ ยแสง ไดแ้ ก่ การใชแ้ สงสวา่ งเนน้ ความงามของการตกแต่ง และเครืองเรือน ภายในบ้านให้ดูโดดเด่น การใช้โคมไฟหรื อแสงสว่างต่าง ๆ สามารถสร้างความงามและให้ บรรยากาศทีสดชืน หรือสุนทรียไ์ ด้อย่างดี ในการใชแ้ สงไฟควรคาํ นึงถึงรูปแบบของโคมไฟ ทีถกู ตอ้ งและเหมาะสมกบั ขนาดและสถานที ตลอดจนความกลมกลืนของโคมไฟและขนาดของหอ้ ง 7.3 เน้นดว้ ยการตกแต่ง ไดแ้ ก่ การใชว้ สั ดุ เครืองเรือน เครืองใชห้ รือของตกแต่งต่าง ๆ ตกแต่งใหส้ อดคลอ้ งสวยงามเหมาะสมกบั รูปแบบและสถานทีตกแต่งนนั ๆ 8. ความสมดุล การใชค้ วามสมดุลในการจดั อาศยั ไดแ้ ก่ จดั ตกแต่งเครืองเรือน หรือวสั ดุต่าง ๆ ให้มีความสมดุล ต่อการใชง้ าน หรือเหมาะสมกบั สถานที เช่น การกาํ หนดพืนทีใชส้ อยทีสะดวกต่อการทาํ งาน หรือ การจดั ทิศทางของเครืองเรือนใหเ้ หมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ ม และการทาํ งาน โดยเฉลียกิจกรรมให้ เหมาะสมและสมดุล 9. สี สีมคี วามสมั พนั ธก์ บั งานศลิ ปะ และการตกแต่งสถานที เพราะสีมีผลต่อสภาพจิตใจและอารมณ์ ของมนุษย์ สีใหผ้ อู้ ยอู่ าศยั อยอู่ ยา่ งมคี วามสุข เบิกบานและรืนรมย์ ดงั นนั สีจึงเป็นปัจจยั สาํ คญั ของการ จดั ตกแต่งทีอยอู่ าศยั ในการใชส้ ีตกแต่งภายใน ควรคาํ นึงถงึ สิงต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี ศิลปะทนี าํ มาใช้ในทอี ย่อู าศยั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook