Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการสอน3

แผนการสอน3

Published by nookfilmsuksorn, 2020-09-19 09:33:09

Description: แผนการสอน3

Search

Read the Text Version

ทอ้ งร่วงของคนที่อาศยั อยเู่ ชิงเขา หรือเช้ือโรคมาจากแหล่งใด การตอบคาถามดงั กล่าว จาเป็นตอ้ งแสดงท่ีต้งั แหล่งมลพษิ ตา่ งๆ ที่อยใู่ กลเ้ คียง หรืออยเู่ หนือลาธาร ซ่ึงลกั ษณะการกระจาย และตาแหน่งที่ต้งั ของสถานท่ี ดงั กล่าวทาใหเ้ ราทราบถึงความสมั พนั ธ์ของปัญหาดงั กล่าว เป็นตน้ 5. Modeling What if…? จะมีอะไรเกิดข้ึนหาก คาถามน้ีจะเกี่ยวขอ้ งกบั การคาดการณ์วา่ จะมีอะไร เกิดข้ึนหากปัจจยั อิสระ (Independence factor) ซ่ึงเป็นตวั กาหนดการเปล่ียนแปลงไป ยกตวั อยา่ งเช่น จะเกิด อะไรข้ึนหากมีการตดั ถนนเขา้ ไปในพ้ืนท่ีป่ าสมบูรณ์ การตอบคาถามเหล่าน้ีบางคร้ังตอ้ งการขอ้ มูลอ่ืน เพม่ิ เติม หรือใชว้ ธิ ีการทางสถิติในการวเิ คราะห์ เป็ นตน้

ใบงาน เร่ือง ภูมศิ าสตร์กายภาพทวปี เอเชีย 1.ความหมายของแผนที่คือ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2.การจาแนกชนิดของแผนที่ตามลกั ษณะท่ีปรากฏบนแผนท่ี แบ่งไดเ้ ป็ น 3 ชนิด คือ ……………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………….. .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 3.ประโยชนข์ องระบบ GPS คือ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................

เฉลยแบบฝึ กหดั เร่ือง ภูมิศาสตร์กายภาพทวีปเอเชีย ขอ้ 1.แผนที่ หมายถึง การนาเอารูปภาพส่ิงต่างๆ บนพ้ืนผวิ โลก (Earth’ surface) มายอ่ ส่วนใหเ้ ล็กลง แลว้ นามาเขียนลงกระดาษแผน่ ราบ สิ่งตา่ งๆ บนพ้นื โลกประกอบไปดว้ ยสิ่งท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ (nature) และส่ิงท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน (manmade) สิ่งเหล่าน้ีแสดงบนแผนที่โดยใชส้ ี เส้นหรือรูปร่างตา่ งๆ ที่เป็ น สัญลกั ษณ์แทน ขอ้ 2.การจาแนกชนิดของแผนที่ตามลกั ษณะที่ปรากฏบนแผนที่ แบง่ ไดเ้ ป็น 3 ชนิด คือ 1 แผนที่ลายเส้น (Line Map) เป็นแผนท่ีแสดงรายละเอียดในพ้ืนท่ีดว้ ยเส้นและองคป์ ระกอบของเส้น ซ่ึงอาจ เป็นเส้นตรง เส้นโคง้ ท่อนเส้น หรือเส้นใดๆ ที่ประกอบเป็ นรูปแบบต่างๆ เช่น ถนนแสดงดว้ ยเส้นคู่ขนาน อาคารแสดงดว้ ยเส้นประกอบเป็นรูปส่ีเหล่ียม สญั ลกั ษณ์ท่ีแสดงรายละเอียดเป็ นรูปท่ีประกอบดว้ ยลายเส้น แผนที่ ลายเส้นยงั หมายรวมถึงแผนที่แบบแบนราบและแผนท่ีทรวดทรง ซ่ึงถา้ รายละเอียดที่แสดง ประกอบดว้ ยลายเส้นแลว้ ถือวา่ เป็นแผนท่ีลายเส้นท้งั สิ้น 2 แผนที่ภาพถ่าย (Photo Map) เป็นแผนท่ีซ่ึงมีรายละเอียดในแผนที่ท่ีไดจ้ ากการถ่ายภาพดว้ ยกลอ้ งถ่ายภาพ ซ่ึงอาจถ่ายภาพจากเคร่ืองบินหรือดาวเทียม การผลิตแผนที่ทาดว้ ยวธิ ีการนาเอาภาพถ่ายมาทาการดดั แก้ แลว้ นามาตอ่ เป็นภาพแผน่ เดียวกนั ในบริเวณที่ตอ้ งการ แลว้ นามาใส่เส้นโครงพิกดั ใส่รายละเอียดประจาขอบ ระวาง แผนที่ภาพถ่ายสามารถทาไดร้ วดเร็ว แตก่ ารอา่ นค่อนขา้ งยากเพราะตอ้ งอาศยั เครื่องมือและความ ชานาญ 3 แผนที่แบบผสม (Annotated Map) เป็นแบบท่ีผสมระหวา่ งแผนท่ีลายเส้นกบั แผนท่ีภาพถ่าย โดย รายละเอียดที่เป็นพ้ืนฐานส่วนใหญ่จะเป็ นรายละเอียดท่ีไดจ้ ากการถ่ายภาพ ส่วนรายละเอียดท่ีสาคญั ๆ เช่น แมน่ ้า ลาคลอง ถนนหรือเส้นทาง รวมท้งั อาคารท่ีตอ้ งการเนน้ ใหเ้ ห็นเด่นชดั กแ็ สดงดว้ ยลายเส้น พมิ พแ์ ยกสี ใหเ้ ห็นเด่นชดั ปัจจุบนั นิยมใชม้ าก เพราะสะดวกและง่ายแก่การอ่าน มีท้งั แบบแบนราบ และแบบพิมพน์ ูน ส่วนใหญม่ ีสีมากกวา่ สองสีข้ึนไป ขอ้ 3. ประโยชนข์ องระบบ GPS คือ 1.บอกตาแหน่งวา่ ตอนน้ีเราอยทู่ ี่ไหน 2.บนั ทึกเส้นทางวา่ เราไปไหนมาบา้ ง 3.ระบบนาร่องนาทางไปจุดหมายท่ีกาหนด (เครื่องบิน) 4. ระบบติดตามยานพาหนะ 5.ใชใ้ นการกาหนดจุดพิกดั ผวิ โลก เพ่อื งานดา้ นระบบสารสนเทศภูมศาสตร์ หรือขอ้ มูล คาวเทียม 6.ใชใ้ นการสารวจรังวดั ที่ดิน การสารวจพ้ืนท่ี และการทาแผนท่ี 7.ใชใ้ นกิจกรรมทางทหาร

8.ใชใ้ นการศึกษาดา้ นภูมิศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม 9.การสารวจพ้นื ท่ี และการทาแผนที่ 10.ใชต้ ิดตามการเคล่ือนที่ของคน ส่ิงของ 11.ใชใ้ นการควบคุมเคร่ืองจกั ร เช่น เครื่องจกั รทางการเกษตร 12.ใชใ้ นการขนส่งทางทะเล 13.ตรวจวดั การเคล่ือนตวั ของเปลือกโลกและส่ิงก่อสร้าง 14.ใชอ้ า้ งอิงในการวดั เวลาท่ีเที่ยงตรงที่สุดในโลก 15.ใชใ้ นการออกแบบเครือข่ายคานวณตาแหน่งที่ต้งั เช่น โรงไฟฟ้า ระบบน้ามนั 16.ใชต้ ิดตามความปลอดภยั ดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม 17.ใชใ้ นการติดตามอนุรักษแ์ ละควบคุมสตั ว์ 18.ประยกุ ตใ์ ชด้ า้ นกีฬา 19.ใชใ้ นการเดินทางท่องเท่ียว 20.ใชใ้ นดา้ นความมนั่ คงทางทหาร 21.ใชส้ ารวจรังวดั ทาแผนท่ี

แผนการจัดการเรียนรู้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ ความเป็ นมาของประวตั ศิ าสตร์ประเทศในทวปี เอเชีย รหัสวชิ า สค 21001 รายวชิ า สังคมศึกษา หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ประวตั ิศาสตร์ประเทศในทวปี เอเชีย ระยะเวลา 6 ช่ัวโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ความเขา้ ใจตระหนกั ถึงความสาคญั เก่ียวกบั ความเป็นมาของประวตั ิศาสตร์ ประเทศในทวปี เอเชีย และสามารถนาเหตุการณ์ในประวตั ิศาสตร์มาวเิ คราะห์ใหเ้ ห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิด ข้ึนกบั ประเทศไทย และประเทศในทวปี เอเชีย 2.ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 1. บอกถึงประวตั ิโดยสงั เขปของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนมา่ อินโดนีเชีย ฟิ ลิปปิ นส์ และประเทศญ่ีป่ ุนได้ 2. บอกเหตุการณ์สาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ ท่ีเกิดข้ึนในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชียได้ 3.สาระสาคัญ ทวปี เอเชียประกอบดว้ ยประเทศสมาชิกหลายประเทศในที่น้ีจะกล่าวถึงประวตั ิศาสตร์ของ ประเทศในแถบเอเชียที่มีพรมแดนติดและใกลเ้ คียงกบั ประเทศไทย ไดแ้ ก่ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนม่า อินโดนีเชีย ฟิ ลิปปิ นส์ และประเทศญี่ป่ ุน โดยสงั เขป นอกจากน้ีไดเ้ กิดเหตุการณ์สาคญั ๆ ในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชียท่ีน่าสนใจ เช่นยคุ ล่าอาณานิคม และยคุ สงครามเยน็ เป็ นตน้ 4.สาระการเรียนรู้/เนื้อหา ประวตั ิศาสตร์ทวปี เอเชีย 1.ประวตั ิศาสตร์สงั เขปของประเทศในทวปี เอเซีย 2.เหตุการณ์สาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทยละประเทศในทวปี เอเซีย 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความเป็นมาของประวตั ิศาสตร์ประเทศในทวปี เอเชีย

2. สามารถนาเหตุการณ์ในประวตั ิศาสตร์มาวเิ คราะห์ใหเ้ ห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนกบั ประเทศไทย และประเทศในทวปี เอเชีย 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ท่ี 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6. 1.ครูทกั ทายกล่าวนาและสร้างความคุน้ เคยกบั ผเู้ รียนพร้อมกบั พูดคุยกบั ผเู้ รียนเร่ืองความรู้ เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั ประวตั ิศาสตร์ของผเู้ รียนแต่ละคน และร่วมกนั อภิปรายความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์เพื่อนาเขา้ สู่บทเรียน 6.2.ครูและผเู้ รียนร่วมกนั อภิปรายและสร้างความเขา้ ใจเกี่ยวกบั เหตุการณ์ทางประวตั ิศาสตร์ โดยเรียงลาดบั เหตุการณ์ก่อน-หลงั ข้นั ที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.3.ครูและผเู้ รียนวางแผนวธิ ีการเรียนรู้เน้ือหาที่กาหนด 6.4.ครูมอบหมายผเู้ รียนเลือกหวั ขอ้ ของการแบง่ ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์สากลและ ประวตั ิศาสตร์ไทย 6.5.ใหผ้ เู้ รียนนาเอาความรู้เกี่ยวกบั ยคุ ประวตั ิศาสตร์สากลและประวตั ิศาสตร์ไทยที่ศึกษาแลว้ นามาปรับใชใ้ นการดาเนินชีวติ ในสังคมปัจจุบนั ในดา้ นใดบา้ ง 6.6.นาเสนอเพื่อแลกเปล่ียนเรียนรู้หนา้ ช้นั เรียน ข้นั ที่ 3 การปฏิบัตแิ ละการนาไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation) 6.7.ผเู้ รียนส่งตวั แทนนาเสนอความรู้เกี่ยวกบั ยคุ ประวตั ิศาสตร์สากลและประวตั ิศาสตร์ไทยท่ี จบั ฉลากไดแ้ ลว้ นาความรู้น้นั มาปรับใชใ้ นการดาเนินชีวิตในสงั คมปัจจุบนั 6.8.ผเู้ รียนสรุปสาระสาคญั ที่ไดร้ ับจากการนาเสนอของแตล่ ะกลุ่มลงในใบงานแลว้ ส่งครู ข้นั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.10 ครูและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปองคค์ วามรู้จากการนาเสนอผลงานของผเู้ รียน 6.11ผเู้รียนนาความรู้ท่ีไดจ้ ากการสรุปองคค์ วามรู้ไปใชใ้ นการปรับปรุงแกไ้ ขขอ้ บกพร่องของตนเอง 6.12 ครูประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนจากผลงาน ใบงาน ตามสภาพความเป็นจริง และ ธรรมชาติของผเู้ รียน 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพม่ิ เติมดงั นี้ 7.1 ความเป็นมาของประวตั ิศาสตร์ประเทศในทวปี เอเชีย 7.2 เหตุการณ์ในประวตั ิศาสตร์ท่ีทาใหป้ ระเทศไทย และประเทศในทวปี เอเชียเปล่ียนแปลง

8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือแบบเรียนรายวชิ า สค 21001 สังคมศึกษา ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 8.3 ใบความรู้ 8.4 สื่อสิ่งพิมพ์ 9. กระบวนการวดั ผลประเมินผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สังเกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.4 การสงั เกตพฤติกรรมการมีส่วนรวม

ใบความรู้ เรื่อง ประวตั ิศาสตร์ประเทศในทวปี เอเชีย 1.ความสัมพนั ธ์ของยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์สากล ประวตั ิศาสตร์สากลแบ่งยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ออกเป็นสมยั โบราณสมยั กลาง สมยั ใหม่ และ สมยั ปัจจุบนั เห็นแลว้ วา่ ช่วงเวลาของสมยั โบรานยาวนานมาเกือบ 4,000 ปี สมยั กลางประมาณ 1,000 ปี สมยั ใหมเ่ กือบ 500ปี สมยั ปัจจุบนั หรือร่วมสมยั 60ปี (นบั ถึง พ.ศ.2548) ประวตั ิศาสตร์สมยั กลาง เมื่อกรุง โรมถูกพวกอารยะชนโจมตีแตกใน ค.ศ.476ซ่ึงถือเป็นการล่มสลายของจกั รวรรดิโรมนั ตะวนั ตกและสิ้นสุด ประวตั ิศาสตร์สมยั โบราน จริงๆแลว้ ไมใ่ ช่เป็นการ “ล่มสลาย”แต่เป็นการค่อยๆแตกแยกของจกั รวรรดิโรมนั ตะวนั ตกมากกวา่ สภาพของจกั รวรรดิโรมนั ตะวนั ตกที่กล่าวมา แมท้ ุกอยา่ งอยใู่ นสภาพเสื่อมสลาย แตก่ ็ ไมไ่ ดห้ มายความวา่ ทุกอยา่ งจะสูญสิ้น ยงั มีเรื่องสาคญั อยา่ งนอ้ ย 2 ประการที่มีความสัมพนั ธ์ตอ่ เน่ืองกนั มา กบั ประวตั ิศาสตร์สมยั กลางดงั น้ี 1.1 มรดกอารยะธรรมของจกั รวรรดิโรมนั พวกอาณารยะชนหลายพวกซ่ึงโจมตีและ ปลน้ สะดมเมืองตา่ งๆ ของจกั รวรรดิโรมนั ตะวนั ตกเคยอยภู่ ายใตอ้ านาจและเป็นของจกั รวรรดิโรมนั ตะวนั ตก ไดเ้ ห็นความเจริญรุ่งเรือง ไดเ้ รียนรู้และรับอารยะธรรมของจกั รวรรดิโรมนั ตะวนั ตก ผนู้ าอาณารยะ ชนท่ีมีความสามารถและทะเยอทะยานที่จะฟ้ื นความเป็นเอกภพ ความรุ่งเรืองจกั รวรรดิโรมนั ตะวนั ตกข้ึนมา ใหมท่ าใหอ้ ารยะธรรมโรมนั รับการทอดมา 1.2 คริสตศ์ าสนา การท่ีผนู้ าของจกั รวรรดิโรมนั ตะวนั ตกยอมรับคริสตศ์ าสนาอยา่ งเป็นทางการ ไดเ้ ป็นแบบอยา่ งใหผ้ นู้ าหลงั การล่มสลายของจกั รวรรดิโรมนั ตะวนั ตกรับปฏิบตั ิต่อมา ดงั น้นั คริสตศ์ าสนา จึงยงั คงอยู่ และเป็นท่ีพงึ ของผคู้ นในเวลาบา้ นเมืองแตกแยก คริสตศ์ าสนาจึงช่วยรักษาและสืบทอดความคิด และอารยะธรรมโรมนั ประวตั ิศาสตร์สมยั อ่ืนๆก็มีลกั ษณะเช่นเดียวกนั ดงั น้ี (1) ลกั ษณะสาคญั ของสมยั เก่าสิ้นสุดลง ซ่ึงเป็นการสิ้นสุดของจกั รวรรดิที่ยงิ่ ใหญ่ รุ่งเรืองมานาน (2) เกิดลกั ษณะสาคญั แบบใหม่ข้ึนมา ซ่ึงแตกต่างจากสมยั เก่ามาก เช่น การแตกแยกวนุ่ วาย เพราะไมม่ ีรัฐบาลที่มีอานาจปกครองใสมยั กลาง (3) มารดกทางอารยะธรรมยงั คงมีการสืบทอดต่อกนั มา ดงั น้นั ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์จึงมี การการสิ้นสุด การเริ่มตน้ และความสัมพนั ธ์ 2.ความสัมพนั ธ์ของยคุ สมยั ทางประวตั ศิ าสตร์ไทย ในประวตั ิศาสตร์ไทย การแบง่ ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์อาจแตกต่างจากประวตั ิศาสตร์สากลบา้ ง เพราะนิยมแบง่ โดยกาหนดใหเ้ ริ่มและการสิ้นสุดของอานาจกั ร หรือราชธานี หรือราชธานี หรือราชวงศเ์ ป็น ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ แต่ความสมั พนั ธ์ของแตล่ ะยคุ สมยั กม็ ีความต่อเน่ืองสมั พนั ธ์กนั การสิ้นสุด ประวตั ิศาสตร์สมยั อยธุ ยาและการเร่ิมสมยั ธนบุรี สมยั รัตนโกสินทร์ กรุงศรีอยธุ ยาขา้ ศึกโจมตีแตกเม่ือ พ.ศ. 2310 บา้ นเมืองถูกไฟไหม้ ผูค้ นทุกคนชนช้นั ท้งั หญิงชายถูกกวาดตอ้ น บางส่วนหลบหนีเพ่อื ความอยู่ รอด

ทรัพยส์ มบตั ิถูกยดึ บา้ นเมืองอยใู่ นสภาพจลาจล แตกแยก ถือเป็นการสิ้นสุดความรุ่งเรืองของสมยั อยธุ ยาที่มี ตอ่ เน่ืองถึง417 ปี แมว้ า่ กรุงศรีอยธุ ยาจะถูกทาลายลงอยา่ งยอ่ ยยบั แตม่ รดกทางอารยะธรรมของกรุงศรีอยธุ ยา กย็ งั มีความสาคญั ตอ่ สมยั ธนบุรีและสมยั รัตนโกสินทร์จนกระทงั่ ปัจจุบนั สมยั ธนบุรีซ่ึงมีการยา้ ยราชธานี และเป็นสมยั ท่ีเตม็ ไปดว้ ยการสงครามแตส่ มเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชก็ทรงพยายามทาใหก้ รุงธนบุรีเป็ น เหมือนสมยั อยธุ ยา ท้งั การปกครอง ศาสนา ศิลปวฒั นธรรม เศรษฐกิจและสงั คม แต่พระองคท์ รงพระองค์ ทรงทาไดไ้ ม่เตม็ ที่ เพราะมีขอ้ จากดั ท้งั สภาพแวดลอ้ มและเวลา 3.สรุป การแบ่งยคุ สมยั ทางระวตั ิศาสตร์ก็เพ่อื ความสะดวกในการศึกษาระวตั ิศาสตร์ใหเ้ กิดความเขา้ ใจง่าย และเห็นลกั ษณะสาคญั ของประวตั ิศาสตร์ในแตล่ ะช่วงเวลาร่วมกนั เห็นการเร่ิมตน้ ใหม่ของเหตุการณ์ใน ช่วงเวลาหน่ึงไดช้ ดั เจน แตก่ ารแบ่งยคุ สมยั ทางยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์กไ็ ม่ใช่การตดั แยกประวตั ิศาสตร์ ออกจากกนั จริงๆ อารยะธรรมบางประการของยคุ สมยั เก่าท่ีเปลี่ยนไป ยงั คงมีความสัมพนั ธ์ตอ่ เน่ืองกบั สมยั เริ่มตน้ ใหม่หรือหลายสมยั ต่อมา เช่น ระบอบการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ศิลปวฒั นธรรมธรรมอยา่ งใด อยา่ งหน่ึงหรือหลายอยา่ ง ประวตั ิศาสตร์จึงมีความสัมพนั ธ์ตอ่ เน่ืองท้งั ผคู้ นและอารยะธรรม 1.ยคุ หนิ เก่า ( Paleolithic หรือ The Old Stone Age ) พฒั นาการในยคุ หินเก่า สรุปไดด้ งั น้ี ช่ือเรียกมนุษยก์ ่อนประวตั ิศาสตร์ เร่ืองที่คน้ พบ ระยะเวลาโดยประมาณ และเครื่องมือหิน 2 ลา้ นปี Australopitheecus เรียกกนั วา่ มนุษยว์ านร 1.75 ลา้ นปี Homo habilis 1.5 ลา้ นปี Homo erectus หินเก่าตอนตน้ เครื่องมือแบบเชลลีนพบมาก เครื่องมือหินกะเทาะหรือขวาน ตอนกลางของยโุ รป กาป้ัน ใชส้ ับ ตดั ขดู และเครื่องมือแบบอาชลีน มนุษยไ์ ฮเดนเบิร์ก มนุษยช์ วา มนุษยป์ ักก่ิง ในเอเชีย หินเก่า ตอนกลาง เครื่องมือแบบมูส์เตเรียน ปลาย มนุษยน์ ีแอนเดอธลั (Neanderthal ประมาณ 150,000 ปี ระหวา่ งหิมะ แหลม Man) กะโหลกศีรษะแบน หนา้ ผาก ละลาย ลาด เริ่มรู้จกั ศิลปะวาดภาพสตั วบ์ น ผนงั ถ้า เร่ิมมีพธิ ีฝังศพ หินเก่าตอนปลาย ประมาณ 40,000 เคร่ืองมือแบบแมกดาเลเนียน มนุษยโ์ ครมนั ยอง ( Cro- ปี ระยะที่ 4 ของยคุ น้าแขง็ สุดทา้ ย magnonan) พบที่ฝรั่งเศส เคร่ืองมือ ทาจากกระดูก เขาสตั ว์ เครื่องประดบั หลายรูปแบบ ภาพเขียนในถ้าที่เสปนและฝรั่งเศส

ตวั อยา่ งหลกั ฐานยคุ หินเก่า ซ่ึงแบง่ เป็น 3 ตอน คือ ตอนตน้ ตอนกลางและตอนปลาย ยคุ หินเก่าตอนตน้ เครื่องมือหินกะเทาะ ไดแ้ ก่ ขวานมือหรือ ขวานกาป้ัน พบมากในยโุ รปตอนกลาง อายุ ใกลเ้ คียงกบั มนุษยช์ วา และมนุษยป์ ักกิ่ง ที่พบในเอเชีย มนุษยบ์ างกลุ่ม เช่น มนุษยไ์ ฮเดนเบิร์ก สามารถ พฒั นาเครื่องมือใหม้ ีประสิทธิภาพมากข้ึน เช่น เครื่องมือหินกะเทาะแบบอาชลีน (Acheulean) เป็นตน้ ตวั อยา่ งเคร่ืองมือหินกะเทาะแบบ อาชลีน ( Acheulean ) ยคุ หินเก่าตอนกลาง รูปร่างของ เครื่องมือหินกะเทาะแบบน้ีมีปลายค่อนขา้ งแหลม มนุษยก์ ลุ่มท่ีทาเคร่ืองแบบน้ี ไดแ้ ก่ นีแอนเดอธลั ( Neanderthal ) ในเยอรมนั นี เครื่องมือหินกะเทาะท่ีทาข้ึนเรียกกนั วา่ แบบ มูส์เตเรียน ( Mousterian ) เครื่องมือหินกะเทาะ แบบมูส์เตเรียน (Mousterian ) ภาพจาลองนีแอนเดอธลั ( Neanderthal ) อายกุ วา่ 60,000 ปี มาแลว้ ยคุ หินเก่าตอนปลาย เป็น ผลงานของมนุษยโ์ ครมนั ยอง เรียกกนั วา่ แบบแมกดาเลเนียน (Magdalenian ) ซ่ึงนอกจากทาดว้ ยหินไฟแลว้ ยงั นากระดูกสัตวเ์ ขาสัตว์ เปลือกหอยและงาชา้ ง มาใช้ ประโยชน์ เคร่ืองมือสมยั น้ีมีความประณีตมาก รู้จกั ใช้ มีดมีดา้ ม ทาเขม็ จากกระดูกสัตว์ มีการฝนและขดั เคร่ืองมือใหเ้ รียบและคม ใชป้ ระโยชน์ไดห้ ลายดา้ นมากข้ึน ศึกษาภาพเพ่มิ เติมไดจ้ าก http://www.iquat.u-bordeaux.fr/paleo-art/Images.htm เครื่องมือหิน ของพวกโครมนั ยองแบบแมกดาเลเนียนจดั เป็นแบบสุดทา้ ยของยคุ หินเก่าตอนปลาย มีพฒั นาการมากข้ึน รู้จกั ประดิษฐเ์ ขม็ ทาจากกระดูกสัตว์ แสดงวา่ เริ่มรู้จกั การเยบ็ เคร่ืองนุ่งห่มจากหนงั สตั ว์ และทาเคร่ืองมือ เคร่ืองใชห้ ลากหลายมากข้ึน เช่น ฉมวกจบั ปลา เป็นตน้ ที่สาคญั คือ เร่ิมรู้จกั ทาเคร่ืองประดบั และวาดภาพใน ผนงั ถ้า ศิลปะแบบแมกดาเลเนียนท่ีมีชื่อเสียงท่ีสุด ไดแ้ ก่ ภาพวาดบนผนงั ถ้าในประเทศฝรั่งเศสและเสปน

ภาพจากถ้า Lascaux ศึกษาเพม่ิ เติมไดจ้ าก http://www.culture.gouv.fr/culture/arcnat/lascaux/en/ ปลายยคุ หินเก่า เครื่องมือหินมีขนาดเลก็ ลง และสามารถใชไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ มากข้ึน บาง แห่งจึงจดั เป็นยคุ หินกลาง ระหวา่ ง 10,000 – 6,000 ปี 2. ยุคหนิ ใหม่ ( Neolithic หรือ The New Stone Age ) เริ่มตน้ ในช่วง 6,000 ปี ก่อน คริสตกาล แบง่ ตามลกั ษณะเคร่ืองมือหิน ไดแ้ ก่ หินขดั คือ การทาเครื่องมือหินขดั จนบางเรียบ มีดา้ ม ทาใหค้ ม ใชป้ ระโยชน์ไดห้ ลากหลาย บางแห่งนาซุงมาขดุ เป็นเรือ ทาธนูและลูกศร รู้จกั นาสุนขั มา เล้ียง ในราว 8,000 ปี ก่อนคริสตกาล ปรากฏหลกั ฐานวา่ มนุษยเ์ ริ่มรู้จกั ทาการเกษตรอยา่ งเป็นระบบ สามารถ เพาะปลูกพืชและเก็บไวเ้ ป็นอาหาร รู้จกั ทอผา้ และทาเคร่ืองป้ันดินเผา แหล่งโบราณคดีท่ีเก่าที่สุด คือ บริเวณ ตอนเหนือของเมโสโปเตเมียหรืออิรัคในปัจจุบนั ตวั อยา่ งเคร่ืองมือหินขดั และเคร่ืองป้ันดินเผา ขวานหินขดั ก่อนใส่ดา้ ม ขวานหินขดั พร้อมดา้ มไม้ เคร่ืองป้ันดินเผายคุ หินใหม่ พบในประเทศจีน การขยายตวั ของการเกษตรกรรมระหวา่ ง 8,000 – 5,000 ปี ก่อนคริสตกาล เป็นปัจจยั สาคญั นาไปสู่ การสร้างสรรคค์ วามเจริญระดบั อารยะธรรมในเวลาต่อมา จากเอเชียตะวนั ตก ไปสู่ดา้ นตะวนั ออกเฉียงใต้ ของยโุ รป ในราว 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล การเพาะปลูกและเล้ียงสัตว์ เพ่อื เป็นอาหารของชุมชนและ

แลกเปล่ียนกบั ชุมชนอ่ืน ๆ ไดข้ ยายไปสู่บริเวณเอเชียกลางและรอบ ๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เจอริโก หน่ึงในแหล่งโบราณคดียคุ หินใหม่ ศึกษาเพ่มิ เติมจากhttp://www.bibleplaces.com/jericho.htm ชุมชนเจอริโกเป็นตวั อยา่ งของหมูบ่ า้ นยคุ หินใหม่ ท่ีเร่ิมมีการปลูกขา้ วสาลีและขา้ วบาร์เลย์ รู้จกั ใชเ้ คร่ืองมือล่าสัตวแ์ ละทาภาชนะจากดินเหนียว สาหรับเก็บขา้ วเปลือกและใส่อาหาร ต้งั แตร่ าว 5,000ปี ก่อนคริสตกาล สมยั หินใหมจ่ ดั เป็นการปฏิวตั ิคร้ังแรกของมนุษย์ ที่ประสบความสาเร็จข้นั ตน้ ในการ ปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั ขอ้ จากดั ของธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม ไมต่ อ้ งร่อนเร่ยา้ ยถ่ิน และเป็นช่วงเวลา เริ่มตน้ การ รวมกลุ่มเป็นต้งั หลกั แหล่ง ในบริเวณที่มีแหล่งน้าอุดมสมบูรณ์ (แมว้ า่ ยงั มีบางกลุ่มท่ียงั คงวถิ ีชีวติ ผกู พนั กบั การเล้ียงปศุสตั ว์ ที่ตอ้ งเปลี่ยนท่ีไปตามความอุดมสมบูรณ์ของทุง่ หญา้ เช่น พวก อาณารายะชนมองโกล เป็น ตน้ ) ความสามารถในการเพาะปลูกและเล้ียงสตั วเ์ ป็นปัจจยั สาคญั ท่ีทาใหจ้ านวนประชากรโลกเพิ่มข้ึนถึง 10 เทา่ และกระจายอยทู่ วั่ โลก ท้งั ยงั เร่ิมมีความเชื่อทางศาสนา แสดงความเคารพอานาจของธรรมชาติ เพื่อใหม้ ี แตค่ วามอุดมสมบูรณ์ ตวั อยา่ งความเชื่อท่ีสาคญั คือ การนากอ้ นหินขนาดกลางหรือขนาดใหญม่ าเรียงตอ่ กนั เรียกวา่ เมกาลิธิค ( Megalithic ) เช่น สโตนเฮนจ์ (The Stonehenge) ในองั กฤษ สโตนเฮนจ์ ( The Stonehenge ) Wiltshire, England

ภาพจาลอง สโตนเฮนจ์ สร้างตามแบบเสมือนจริง ศึกษาเพ่มิ เติมไดจ้ ากwww.windows.ucar.edu/.../ uts/megalith.html บางแห่งมีความเชื่อเร่ือง การบูชารูปผหู้ ญิงอวบอว้ น แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และการให้ กาเนิดชีวิตใหม่ บางแห่งมีการบูชายญั สาวพรหมจรรยห์ รือสิ่งมีชีวติ อื่น ๆ เพ่อื ใหเ้ ทพเจา้ พอใจและนามาซ่ึง ความอุดมสมบูรณ์ การอยเู่ ป็ นหลกั แหล่ง มีประชากรมากข้ึนและมีอาหารอุดมสมบูรณ์ ทาใหม้ นุษยย์ คุ หิน ใหม่ มีเวลามากข้ึนและเร่ิมแบง่ งานตามความถนดั สามารถนอกจากรู้จกั ทาเคร่ืองป้ันดินเผาแลว้ ยงั รู้จกั เทคโนโลยสี าหรับทาเคร่ืองมือ เคร่ืองใชจ้ ากสาริดและเหล็ก ดงั น้ี 2.1 สมยั โลหะ ประกอบดว้ ยสมยั สาริด และสมยั เหล็ก สมยั น้ีเครื่องมือ เครื่องใช้ ทาจากสาริด และเหลก็ กาหนดอายดุ ว้ ยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ อยใู่ นราว 5,600 – 1,200 ปี ก่อนคริสตกาล เร่ิมตน้ เมื่อ มนุษยพ์ บวธิ ีถลุงแร่ทองแดงและดีบุก นามาผสมผสานกนั เป็นสาริด สามารถทาแมพ่ ิมพเ์ ป็นเครื่องใช้ เครื่องประดบั และอาวธุ หลากหลาย เช่น ใบหอก กาไล กลองมโหระทึก เป็นตน้ 2.2 สมยั เหล็ก ประมาณ 1,200 ปี ก่อนคริสตกาล เป็นพฒั นาการอีกข้นั หน่ึงของมนุษยท์ ี่สามารถ ทาเครื่องมือเคร่ืองใชท้ ่ีคงทนมากข้ึน จึงมีเคร่ืองมือการเกษตรกรรมท่ีใชใ้ นการผลิตไดม้ ีประสิทธิภาพมาก ข้ึน บางกลุ่มรู้จกั เทคโนโลยสี าหรับถลุงเหลก็ และนามาตีเป็นดาบและอาวธุ ต่าง ๆ จึงเป็ นท่ีมาของการสร้าง กองทพั ขนาดใหญ่ ส่งผลต่อการเปล่ียนรูปแบบสงครามและยทุ ธวธิ ีในการรบอยา่ งต่อเน่ือง 3. ยุคประวตั ศิ าสตร์ เร่ิมตน้ ราว 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล เป็ นช่วงเวลาท่ีมนุษยเ์ ร่ิมรู้จกั การประดิษฐต์ วั อกั ษร ใชบ้ นั ทึกเรื่องราวและนามาใชส้ ่ือสารระหวา่ งกนั ในท่ีน้ีขอกล่าวโดยสรุปคือ สมยั น้ีเร่ิมมีชุมชนขนาดใหญ่ และมีความเจริญในระดบั อารยะธรรมตามแหล่งตา่ ง ๆ แบ่งยอ่ ยไดด้ งั น้ี 1.สมยั โบราณ แหล่งอารยะธรรมเก่าท่ีสุด ไดแ้ ก่ เมโสโปเตเมีย ประมาณ 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล ผคู้ นในบริเวณลุ่มแม่น้าไทกริส-ยเู ฟรติสหรือดินแดนพระจนั ทร์เส้ียวเป็นกลุ่มแรกท่ีได้ ประดิษฐอ์ กั ษรคูนิฟอร์ม บนั ทึกเรื่องราวตา่ ง ๆ ปัจจุบนั คือ บริเวณประเทศอิรัคและบางส่วนของซีเรีย แหล่งอารยะธรรมท่ีมีอายใุ นเวลาใกลเ้ คียงกนั คือ อียปิ ต์ ชุมชนบริเวณลุ่มแมน่ ้าไนลเ์ จา้ ของอกั ษรเฮียโรกริฟ ฟิ คเป็นผสู้ ร้างสรรคอ์ ารยะธรรมอียปิ เริ่มต้งั แตป่ ระมาณ 3,300 ปี ก่อนคริสตกาล จนถึงประมาณ 30 ก่อน คริสตกาล เม่ืออียปิ ตต์ กเป็นเมืองข้ึนของโรมนั จีน เริ่มตน้ ดว้ ยราชวงศช์ าง บริเวณลุ่มแม่น้าเหลือง ต้งั แต่ ประมาณ 1,800 ปี ก่อนคริสตกาลฮารัปปา-โมเฮน็ โจดาโร บริเวณลุ่มแม่น้าสินธุ ประมาณ 3,000 ปี แหล่ง

อารยะธรรมท่ีสาคญั ในสมยั ต่อมา คือ กรีก พฒั นาจากอารยะธรรมไมนวล ท่ีเกาะครีต ราว 3,000 ปี ก่อน คริสตกาล จนถึงสมยั ของพระเจา้ อเลก็ ซานเดอร์มหาราช (323 – 30 ปี ก่อนคริสตกาล ส่วนจกั รวรรดิโรมนั เร่ิมตน้ ราว 1,000 ปี ก่อนคริสตกาล และพฒั นาเป็นจกั รวรรดิ ยง่ิ ใหญ่ จนสิ้นสุดเพราะถูกรุกรานโดยอนารยะ ชนเยอรมนิค ในค.ศ. 476 ถือเป็นการสิ้นสุดสมยั โบราณ ศูนยก์ ลางความเจริญไดย้ า้ ยไปอยทู่ ี่ไบเซ็นไทน์ หรือตอ่ มาคือคอนสแตนติโนเปิ ล (อยใู่ นตุรกีปัจจุบนั ) หรือที่เรียกวา่ อาณาจกั รโรมนั ตะวนั ออก ยคุ มืด (Dark Age )และสมยั กลาง ( The Middle Ages) เป็นช่วงตอ่ ระหวา่ งจกั รวรรดิโรมนั ล่มสลาย ความ เจริญหยดุ ชะงกั ประดุจยคุ มืด ประมาณคริสตศ์ ตวรรษที่ 4 - 5 เพราะการบุกทาลายเมืองตา่ ง ๆโดยอนารยะ ชนเยอรมนั นิคเผา่ วสิ ิกอธ ( Visigoth ) ประชาชนในยุโรปต่างไมม่ ีท่ีพ่งึ เจา้ ผคู้ รองแต่ละเมืองต้งั ตวั เป็นใหญ่ ในระบบศกั ดินาสวามิภกั ด์ิ ประชาชนใหค้ วามสาคญั กบั ศาสนาจกั รคริสตโ์ รมนั คาธอลิคอยา่ งมาก ตอ่ มา ศาสนาจกั รจึงมีอานาจเหนือการปกครอง ยคุ น้ีผคู้ นศรัทธาในพระเจา้ จนยอมสละชีพเดินทางไปตะวนั ออก กลาง เพื่อสู้รบแยง่ ชิงดินแดนปาเลสไตนอ์ นั ศกั ด์ิสิทธ์ิจากมุสลิมในสงครามครูเสดหลายคร้ัง (ค.ศ. 1096 – 1291) ต่อเน่ืองนานกวา่ 300 ปี ปลายสมยั กลาง ราว ค.ศ. 1347 หรือคริสตศ์ ตวรรษท่ี 14 เกิดกาฬโรคหรือ Black Death ระบาดทว่ั ยุโรป ผคู้ นเสียชีวติ กวา่ สามลา้ นคน ส่งผลกระทบตอ่ สงั คมยโุ รปใน เวลาน้นั อยา่ งมาก 2.สมยั ใหม่ ราวคริสตศ์ ตวรรษท่ี 15 เป็นสมยั แห่งการฟ้ื นฟูความคิดและศิลปกรรมของกรีก- โรมนั จึงเรียกวา่ สมยั ศิลปวทิ ยาการ ( Renaissance ) ในแหลมอิตาลีและขยายไปสู่ยโุ รปส่วนอ่ืน ๆ นาไปสู่ การเปลี่ยนความคิดออกจากอิทธิพลของศาสนา เนน้ ความสาคญั ของมนุษยแ์ ละเหตุผลมากข้ึน ตอ่ มาในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 17 มีการปฏิวตั ิวทิ ยาศาสตร์ นกั วทิ ยาศาสตร์คนสาคญั เช่นเซอร์ไอแซก นิวตนั เหตุการณ์สาคญั อ่ืน ๆ เช่น 1. สงครามกลางเมืองในองั กฤษ โอลิเวอร์ คลอมเวลเป็นผปู้ กครององั กฤษในนาม รัฐสภาและประหาร กษตั ริยอ์ งั กฤษ ตอ่ มาเม่ือเขาสิ้นชีวติ ราชวงศอ์ งั กฤษจึงไดก้ ลบั มาครองราชยอ์ ีกคร้ัง 2. การปกครองแบบกษตั ริยใ์ นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ลม้ เลิกระบอบศกั ดินา สวามิภกั ด์ิ พระมหากษตั ริยม์ ีอานาจสูงสุดเหนือนครรัฐท้งั หลาย กษตั ริยห์ ลายพระองคส์ ่งเสิรมการสารวจและการ ยดึ ครองดินแดนเป็ นอาณานิคมโพน้ ทะเล มีนกั สารวจเส้นทางสู่ดินแดนใหม่ เช่น โคลมั บสั และแมคเจ แลนด์ เป็นตน้ ในคริสตศ์ ตวรรษที่ 18 ตอนปลาย ถึงคริตศ์ ตวรรษที่ 19 มีการปฏิวตั ิการเกษตรและการ ปฏิวตั ิอุตสาหกรรม เริ่มในองั กฤษเป็นที่แรก ทาใหร้ ะบบเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนสู่ระบบเสรีนิยมและการ ผลิตในระบบอุตสาหกรรม ส่งผลใหเ้ กิดความตอ้ งการทรัพยากรในการผลิตและตลาดจาหน่ายสินคา้ ประเทศในยโุ รปจึงขยายอานาจครอบงาดินแดนตา่ ง ๆ ในสมยั จกั รวรรดินิยม จนเกิดความขดั แยง้ อยา่ ง รุนแรงในสงครามโลกคร้ังท่ีหน่ึง ( ค.ศ. 1914 – 1918 ) และสงครามโลกคร้ังที่สอง ( ค.ศ. 1939 – 1945 ) 3. สมยั ปัจจุบนั นกั วชิ าการส่วนใหญ่กาหนดใหส้ มยั ปัจจุบนั เร่ิมตน้ ในสมยั สงครามเยน็ หลงั สงครามโลกคร้ังท่ี 2 เป็นช่วงที่มีการประจนั หนา้ กนั ระหวา่ งลทั ธิคอมมิวนิสต์ ซ่ึงมีสหภาพโซเวยี ตเป็นผนู้ า มีอิทธิพลเหนือยโุ รปตะวนั ออก กบั สหรัฐอเมริกาเป็นผูน้ า มีอิทธิพลเหนือยุโรปตะวนั ตก ท้งั สองมหาอานาจ

แทรกแซงทางการเมืองในประเทศต่าง ๆ แตไ่ ม่มีสงครามระหวา่ งกนั โดยตรง เพราะต่างเกรงกลวั หายนะจาก อาวธุ นิวเคลียร์ งครามเยน็ เริ่มยตุ ิลงสมยั ประธานาธิบดีโกบาชอฟ ในค.ศ. 1989 เมื่อกาแพงเบอร์ลินท่ีสหภาพ โซเวยี ตเป็ นผสู้ ร้างเพ่อื แบง่ เขตปกครองเยอรมนั ถูกทาลาย สงครามเยน็ ยตุ ิอยา่ งเด็ดขาดเม่ือสหภาพโซเวยี ต ล่มสลาย ในค.ศ. 1991 ทุกวนั น้ีสถานการณ์ในโลกร่วมสมยั (contemporary) เปล่ียนเป็นความขดั แยง้ ดา้ น ความคิดทางศาสนาและการปราบปรามการก่อการร้าย เช่น ความขดั แยง้ ในตะวนั ออกกลาง อิสลาเอล- ปาล เสลไตน์ เหตุการณ์ที่สาคญั ซ่ึงส่งผลกระทบไปทวั่ โลก ไดแ้ ก่ สหรัฐอเมริกาหลงั เหตุการณ์ 9/11 กบั ชาติ มุสลิมในตะวนั ออกกลาง ไดแ้ ก่ อิรัค อฟั กานิสถานและอิหร่าน เป็นตน้ การแบ่งยคุ ตามลกั ษณะเศรษฐกจิ และสังคมของมนุษย์ นอกจากการแบง่ ยคุ ตามชนิดของวสั ดุและเครื่องมือเครื่องใชแ้ ลว้ ยงั พบวา่ ในบางคร้ังนกั วชิ าการ อธิบายยคุ สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ออกโดยดามลกั ษณะเศรษฐกิจสงั คมออกเป็ น 1.1 สังคมนายพราน เป็นยคุ ที่มนุษยด์ ารงชีวติ ดว้ ยการล่าสัตว์ จบั สตั วน์ ้า เก็บอาหารที่ไดจ้ าก ธรรมชาติ ยงั ไมต่ ้งั บา้ นเรือนที่อยอู่ าศยั ถาวร มกั อพยพตามฝงู สัตว์ 1.2 สังคมเกษตรกรรม เป็นยคุ ท่ีมนุษยร์ ู้จกั การเพาะปลูกและเล้ียงสตั ว์ ยงั คงมีการล่าสัตว์ จบั สตั ว์ น้า และเกบ็ อาหารที่ไดจ้ ากธรรมชาติ มกั จะต้งั บา้ นเรือนถาวรบนพ้นื ที่ที่เหมาะแก่การเกษตรกรรม มีการ รวมกลุ่มเป็นหมูบ่ า้ น เป็นเมือง มีการแลกเปลี่ยนผลผลิต และมีระบบการปกครองในสังคม 1.3 สังคมเมือง สมัยลพบุรี ในช่วงเวลาราวพทุ ธศตวรรษท่ี 14 อิทธิพลทางวฒั นธรรมเขมรเริ่มแพร่หลายเขา้ มาสู่พ้ืนท่ีประเทศ ไทยทางดา้ นภาคตะวนั ออกและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย หลกั ฐานสาคญั ท่ีทาใหเ้ ราเช่ือได้ วา่ อานาจทางการเมืองของเขมรเขา้ มาสู่ดินแดนไทย คือ ศาสนสถานท้งั ที่สร้างเนื่องในศาสนาพราหมณ์หรือ ฮินดู และศาสนาพุทธลทั ธิมหายาน รวมท้งั ศิลาจารึกต่างๆ ท่ีมีการระบุช่ือกษตั ริยเ์ ขมรวา่ เป็ นผสู้ ร้างหรือมี ส่วนเกี่ยวขอ้ ง วฒั นธรรมเขมรท่ีแผข่ ยายเขา้ มาทาใหส้ งั คมเมืองในยคุ ก่ึงก่อนประวตั ิศาสตร์เกิดการ เปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นอยู่ เช่น การก่อสร้างบา้ นเมืองมีแผนผงั แตกต่างไปจากเดิม คือ มีลกั ษณะผงั เมืองเป็ นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก และมีคูน้าคนั ดินลอ้ มรอบเพียงช้นั เดียวแทนท่ีจะสร้างเมืองที่มีรูปร่างไม่ สม่าเสมอ หรือเมืองรูปวงกลม วงรี ซ่ึงมีคูน้าหลายช้นั มีระบบการชลประทานเพื่อการบริหารน้าสาหรับการ เพาะปลูกขา้ วแบบนาดา และมี “ บาราย ” หรือแหล่งน้าขนาดใหญ่เพ่ือการอุปโภคบริโภคของชุมชน จนกระทงั่ ราวพุทธศตวรรษที่ 16–18 อาณาจกั รเขมรไดเ้ ขา้ มามีอานาจในดินแดนไทยมากข้ึน ปรากฏ โบราณสถานท่ีเก่ียวเนื่องกบั วฒั นธรรมเขมรโดยเฉพาะในช่วงรัชสมยั ของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 เกือบทว่ั ภาค อีสาน ลึกเขา้ มาถึงภาคกลางและภาคตะวนั ตก โดยภาคกลางของประเทศไทยมีเมืองละโวห้ รือลพบุรีเป็ น ศูนยก์ ลางสาคญั ท่ีปรากฏหลกั ฐานทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบน้ีอยมู่ าก ดงั น้นั ในเวลาท่ีผา่ นมาจึง กาหนดชื่อเรียกอายสุ มยั ของวฒั นธรรมที่พบในประเทศไทยวา่ “ สมยั ลพบุรี ” หลงั จากสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั

ที่ 7 เป็นตน้ มา อิทธิพลทางการเมืองและวฒั นธรรมเขมรก็เส่ือมโทรมลงจนถึงราวพทุ ธศตวรรษที่ 19 ก็สลาย ลงโดยสิ้นเชิง ท้งั น้ีสาเหตุเน่ืองมาจากการแพร่หลายเขา้ มาของพุทธศาสนาลทั ธิลงั กาวงศ์ และเมืองใน ภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทยแถบลุ่มแมน่ ้ายมเริ่มมีความเขม้ แขง้ มากข้ึน สถาปัตยกรรมแบบ วฒั นธรรมเขมรที่พบในประเทศไทย ท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ ปราสาทหินพมิ าย จงั หวดั นครราชสีมา ปราสาทหิน พนมรุ้ง จงั หวดั บุรีรัมย์ ประสาทเมืองสิงห์ จงั หวดั กาญจนบุรี เป็ นตน้ สมัยสุโขทยั ดินแดนในเขตลุ่มแม่น้ายมมีชุมชนอยอู่ าศยั กนั อยา่ งหนาแน่น ยาวนานมาอยา่ งนอ้ ยไมต่ ่ากวา่ พุทธ ศตวรรษท่ี 17 ในศิลาจารึกวดั ศรีชุม มีขอ้ ความท่ีพอจะสรุปไดว้ า่ ประมาณ ปี พ.ศ.1750 เมืองสุโขทยั มี กษตั ริยป์ กครองทรงพระนามวา่ “พอ่ ขนุ ศรีนาวนมั ถม” เมื่อพระองคส์ ิ้นพระชนมล์ งขอมสบาดโขลญลาพง ไดเ้ ขา้ มายดึ ครองสุโขทยั ต่อมาเมื่ออานาจเขมรที่มีเหนือแถบลุ่มน้าเจา้ พระยาท้งั ตอนล่างและตอนบนเสื่อม ลงในตอนกลางของพุทธศตวรรษที่ 18 พอ่ ขนุ บางกลางหาว เจา้ เมืองบางยาง และพอ่ ขนุ ผาเมือง เจา้ เมืองราด พระราชโอรสของพอ่ ขนุ ศรีนาวนมั ถม ไดร้ ่วมกนั ต่อสู้ขบั ไล่โขลญลาพงจนสามารถรวบรวมดินแดน กลบั คืนมาไดส้ าเร็จในปี พ.ศ.1718 พอ่ ขนุ บางกลางหาวสถาปนาข้ึนเป็นปฐมกษตั ริยแ์ ห่งราชวงศศ์ รีอินทรา ทิตย์ ทรงพระนามวา่ “พระเจา้ ศรีอินทรบดินทราทิตย”์ ข้ึนครองเมืองสุโขทยั ซ่ึงต่อมามีกษตั ริยป์ กครองสืบ ทอดกนั มาท้งั สิ้น 10 พระองค์ การนบั ถือศาสนาของคนในสมยั สุโขทยั พุทธศาสนาเป็นศาสนาหลกั ท้งั หินยานและมหายาน นอกจากน้นั ยงั มีศาสนาฮินดูและความเชื่อด้งั เดิม โดยพทุ ธศาสนาแบบหินยานลทั ธิ ลงั กาวงศไ์ ดร้ ับการยอมรับมากจนเป็นศาสนาประจาอาณาจกั ร รองลงมาคือ การนบั ถือผี หรือ พระขะผงุ ผี อนั ถือวา่ เป็นผที ่ียง่ิ ใหญม่ ากกวา่ ผที ้งั หลายในเมืองสุโขทยั นิกายมหายาน และศาสนาฮินดู ตามลาดบั ในรัช สมยั ของพอ่ ขนุ รามคาแหงอาณาเขตของอาณาจกั รสุโขทยั ไดข้ ยายออกไปอยา่ งกวา้ งขวางมาก มีการติดต่อ สัมพนั ธ์ทางการทูตกบั จีนสิ่งท่ีสาคญั อีกอยา่ งหน่ึงที่เป็นการวางรากฐานอารยะธรรมไทย คือ การประดิษฐ์ ตวั อกั ษรไทย ซ่ึงไดท้ รงนาแบบแผนของตวั หนงั สืออินเดียฝ่ ายใต้ โดยเฉพาะตวั อกั ษรคฤหณ์มาเป็นหลกั ใน การประดิษฐต์ วั อกั ษร โดยทรงพิจารณาเทียบเคียงกบั ตวั อกั ษรของเขมรและมอญ ศิลปกรรมในสมยั สุโขทยั ที่โดดเด่นมากที่สุดไดแ้ ก่ งานศิลปกรรมท่ีเกี่ยวเนื่องกบั พุทธศาสนา โดยเฉพาะการสร้างพระพทุ ธรูปซ่ึงมี รูปแบบท่ีเป็ นของตนเองอยา่ งแทจ้ ริง ศิลปะการสร้างพระพทุ ธรูปของสุโขทยั รุ่งเรือง และสวยงามมากใน รัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) พระพุทธรูปท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ พระพุทธชินราช พระศรีศากยมุนี และ พระพุทธชินสีห์ เป็นตน้ งานสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั ของสมยั สุโขทยั คือ เจดียท์ รงดอก บวั ตูม ซ่ึงสามารถศกึ ษาไดจ้ ากโบราณสถานทส่ี าคญั ๆในเมืองสุโขทยั เมืองศรีสัชนาลยั และเมืองกาแพงเพชร ในราว พุทธศตวรรษที่ 20 อาณาจกั รสุโขทยั ออ่ นแอลงจากการแยง่ ชิงการสืบทอดอานาจการปกครอง ทาใหก้ รุงศรี อยธุ ยาซ่ึงเป็นบา้ นเมืองท่ีเขม้ แขง็ ข้ึนในเขตภาคตะวนั ออกของลุ่มแมน่ ้าเจา้ พระยาขยายอานาจข้ึนมาจวบจน ปี พ.ศ.1921รัชกาลพระบรมราชาธิราชท่ี 1 (ขนุ หลวงพะงว่ั ) แห่งกรุงศรีอยธุ ยา สุโขทยั จึงตกเป็นเมือง ประเทศราชของอยธุ ยา โดยมีกษตั ริยท์ ่ีมีฐานะเป็นเจา้ ประเทศราชปกครองมาจนถึงปี พ.ศ.1981จึงหมดสิ้นราชวงศ์

สมยั อยธุ ยา สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 หรือ “ พระเจา้ อูท่ อง ” ทรงรวบรวมเมืองต่างๆ ในที่ราบลุ่มภาคกลางเขา้ ดว้ ยกนั ประกอบดว้ ย เมืองลพบุรี เมืองสุพรรณบุรี และเมืองสรรคบุรี เป็ นตน้ แลว้ สถาปนาเมือง พระนครศรีอยธุ ยาข้ึนในปี พ.ศ. 1893 บริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางอนั มีแมน่ ้าสาคญั สามสายไหลผา่ น คือ แมน่ ้าเจา้ พระยา แม่น้าลพบุรี แมน่ ้าป่ าสัก เป็นชยั ภูมิท่ีเหมาะสมในการต้งั รับขา้ ศึกศตั รู และเป็นพ้ืนท่ีอุดม สมบูรณ์เหมาะแก่การเกษตรกรรมเพาะปลูกขา้ ว กรุงศรีอยธุ ยาดารงฐานะราชธานีของไทย เป็นศูนยก์ ลาง ทางการเมืองการปกครอง การคา้ และศิลปวฒั นธรรมในดินแดนลุ่มเจา้ พระยายาวนานถึง 417 ปี มี พระมหากษตั ริยป์ กครองสืบตอ่ กนั มาท้งั สิ้น 33 พระองค์ จนกระทงั่ ปี พ.ศ. 2301 อาณาจกั รกรุงศรีอยธุ ยาจึง ไดถ้ ูกทาลายลงในระหวา่ งสงครามกบั พมา่ สงั คมในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาเป็นสังคมศกั ดินา ฐานะของ พระมหากษตั ริยเ์ ปรียบเสมือน “เทวราชา” เป็นสมมติเทพ มีการแบง่ ชนช้นั ทางสังคมในระบบ “ เจา้ ขนุ มูล นาย ” ทาใหเ้ กิดความแตกต่างของฐานะบุคคลอยา่ งชดั เจน รวมถึงพระสงฆก์ ม็ ีการกาหนดศกั ดินาข้ึน เช่นเดียวกนั ในการปกครองถือวา่ พระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นเจา้ ของที่ดินท้งั หมดทวั่ ราชอาณาจกั ร โดยจะทรง แบ่งอาณาเขตออกเป็ นหวั เมืองต่างๆ แลว้ ทรงมอบหมายใหข้ นุ นางไปครองท่ีดินรวมท้งั ปกครองผคู้ นท่ีอยู่ อาศยั ในที่ดินเหล่าน้นั ดว้ ย ดงั น้นั ท่ีดินและผลผลิตที่ไดจ้ ากการเกษตรกรรมส่วนใหญจ่ ึงตกอยใู่ นมือของผทู้ ่ี มีฐานะทางสังคมสูง พระมหากษตั ริยท์ รงผกู ขาดการคา้ ขายสินคา้ ในระบบพระคลงั สินคา้ ส่ิงของตอ้ งหา้ ม บางชนิดท่ีหายากและมีราคาแพง ราษฎรสามญั ธรรมดาไมส่ ามารถจะมีไวใ้ นครอบครองเพือ่ ประโยชนท์ าง การคา้ ได้ จะตอ้ งส่งมอบหรือขายใหก้ บั พระคลงั สินคา้ ในราคาที่กาหนดตายตวั โดยพระคลงั สินคา้ และหาก พอ่ คา้ ตา่ งชาติตอ้ งการจะซ้ือสินคา้ ประเภทต่างๆ ตอ้ งติดต่อโดยตรงกบั พระคลงั สินคา้ ในราคาท่ีกาหนด ตายตวั โดยพระคลงั สินคา้ เช่นเดียวกนั การที่พระมหากษตั ริยท์ รงสนพระทยั ทางดา้ นการคา้ และทรงรับเอา ชาวจีนท่ีมีความชานาญทางดา้ นการคา้ มาเป็นเจา้ พนกั งานในกรมพระคลงั สินคา้ ของไทยเป็นจานวนมาก ทา ใหก้ ารคา้ เจริญรุ่งเรืองก่อใหเ้ กิดความมงั่ คงั่ แก่อยธุ ยาเป็นจานวนมาก จนกล่าวไดว้ า่ คร่ึงหลงั ของพุทธ ศตวรรษท่ี 22 กรุงศรีอยธุ ยาเป็นที่ยอมรับกนั วา่ เป็นศูนยก์ ลางการคา้ ที่สาคญั ที่สุดแห่งหน่ึงในภาคตะวนั ออก ไกล รายไดข้ องแผน่ ดินส่วนใหญ่มามาจากการเก็บภาษีโดยส่วนใหญ่จะถูกแบ่งไวส้ าหรับเล้ียงดูบารุง ความสุขและเป็นบาเหน็จตอบแทนพวกขนุ นางและเจา้ นายซ่ึงเป็นผปู้ กครอง ส่วนท่ีเหลือกอ็ าจจะใชซ้ ้ือ อาวธุ ยทุ โธปกรณ์สาหรับป้องกนั ศตั รูที่จะมารุกราน หรืออาจจะใชส้ าหรับการทานุบารุงพระพทุ ธศาสนา บา้ ง เป็นตน้ ส่วนการทานุบารุงทอ้ งถ่ิน เช่น การขุดคลอง การสร้างถนน การสร้างวดั ก็มกั จะใชว้ ธิ ีเกณฑ์ แรงงานจากไพร่ท้งั สิ้น ในดา้ นศิลปกรรม ช่างฝีมือในสมยั อยธุ ยาไดส้ ร้างสรรคศ์ ิลปกรรมในรูปแบบเฉพาะ ของตนข้ึน โดยการผสมผสานวฒั นธรรมของกลุ่มชนหลายเช้ือชาติ เช่น ศิลปะสุโขทยั ศิลปะลา้ นนา ศิลปะ ลพบุรี ศิลปะอู่ทอง และศิลปะจากชาติต่างๆ เช่น จีนและชาติตะวนั ตก ทาใหเ้ กิดรูปแบบ “ศิลปะอยธุ ยา” ข้ึน ซ่ึงสามารถศึกษาไดจ้ ากโบราณสถานที่เก่ียวเน่ืองกบั ศาสนาวดั วาอารามตา่ งๆ รวมถึงปราสาทราชวงั โบราณ ในสมยั อยธุ ยา อนั ปรากฏเด่นชดั อยใู่ นเขตจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา จงั หวดั ลพบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี จงั หวดั เพชรบุรี เป็ นตน้

สมัยธนบุรี หลงั จากเสียกรุงศรีอยธุ ยาใหแ้ ก่พม่า ราษฎรไทยท่ีเหลือรอดจากการถูกกวาดตอ้ นตามเขตแขวง รอบๆ พระนครต่างก็ซ่องสุมผคู้ น เขา้ รบราฆ่าฟันเพื่อป้องกนั ตนเองและแยง่ ชิงเสบียงอาหารเพ่ือความอยู่ รอด กรุงศรีอยธุ ยาจึงอยใู่ นสภาพจลาจล บา้ นเมืองแตกแยกออกเป็นก๊กเป็ นเหล่า มีชุมนุมท่ีคิดจะรวบรวม ผคู้ นเพ่ือกอบกเู้ อกราชถึง 6 ชุมนุม ไดแ้ ก่ ชุมนุมเจา้ พิษณุโลก ชุมนุมเจา้ พระฝาง ชุมนุมสุก้ีพระนายกอง ชุมนุมเจา้ พมิ าย ชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราชและชุมนุมพระเจา้ ตาก ซ่ึงต่อมาชุมนุมพระเจา้ ตากสินเป็นกลุ่ม กาลงั สาคญั ท่ีมีที่สามารถกอบกูเ้ อกราชไดส้ าเร็จ โดยตีค่ายโพธ์ิสามตน้ แตกขบั พม่าออกไปได้ เมื่อสมเด็จ พระเจา้ ตากสินมหาราชทรงกอบกูบ้ า้ นเมืองไดส้ าเร็จในปี พ.ศ.2310 ทรงปราบดาภิเษกข้ึนเป็นพระมหากษตั ริย์ และโปรดเกลา้ ฯใหป้ รับปรุงเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร ซ่ึงต้งั อยทู่ างฝั่งตะวนั ตกของแม่น้าเจา้ พระยา บริเวณ ป้อมวไิ ชเชยนทร์สถาปนาข้ึนเป็นราชธานี โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระราชวงั ข้ึนเป็ นที่ประทบั และศูนยก์ ลาง บริหารราชการแผน่ ดิน ดว้ ยเหตุผลวา่ เป็นเมืองท่ีมีป้อมปราการและชยั ภูมิที่ดีทางยทุ ธศาสตร์ ขนาดของเมือง พอเหมาะกบั กาลงั ไพร่พลและราษฎรในขณะน้นั โครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมสมยั ธนบุรียงั คงดาเนินรอย ตามรูปแบบของอยธุ ยา ฐานะของพระมหากษตั ริยย์ งั คงไมเ่ ปลี่ยนแปลง ยงั ยดึ ขตั ติยราชประเพณีตามแบบ ฉบบั ของกรุงศรีอยธุ ยาเป็นสาคญั เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจขณะน้นั อยใู่ นสภาพที่ทรุดโทรมมาก จาเป็นที่ จะตอ้ งแกไ้ ขเร่งด่วน สมเด็จพระเจา้ ตากสินจึงทรงแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ โดยการสละพระราชทรัพยซ์ ้ือ ขา้ วสารจากพอ่ คา้ ชาวตา่ งประเทศ ดว้ ยราคาแพงเพอื่ บรรเทาความขาดแคลน มีผลทาใหพ้ อ่ คา้ ชาว ต่างประเทศบรรทุกขา้ วสารลงเรือสาเภาเขา้ มาคา้ ขายเป็ นอนั มาก ทาใหร้ าคาขา้ วสารถูกลงและปริมาณ เพียงพอแก่ความตอ้ งการ นอกจากน้นั ยงั ทรงใชใ้ หบ้ รรดาขนุ นางขา้ ราชการขวนขวายทานาปี ละ2 คร้ัง เพอ่ื เพิ่มผลผลิตขา้ วใหเ้ พียงพอแก่ความตอ้ งการ เป็นตวั อยา่ งแก่ราษฎรท้งั ปวง ทาใหร้ าษฎรมีความกินดีอยดู่ ีมาก ข้ึน ในดา้ นการคา้ ชาวจีนที่มาต้งั หลกั แหล่งคา้ ขาย และทามาหากินในราชอาณาจกั รไดม้ ีส่วนสาคญั ในการ ช่วยฟ้ื นฟูเศรษฐกิจของอาณาจกั รธนบุรี ดา้ นการศาสนาและศิลปวฒั นธรรม สมยั ธนบุรีเป็นสมยั ของการฟ้ื นฟูชาติบา้ นเมือง ทรงโปรด เกลา้ ฯใหต้ ้งั สังฆมณฑลตามแบบอยา่ งคร้ังกรุงศรีอยธุ ยา เช่น ทรงจดั การชาระคณะสงฆท์ ี่ไมต่ ้งั อยใู่ นศีลวตั ร สร้างซ่อมแซมวดั วาอารามท่ีตกอยใู่ นสภาพทรุดโทรม แสวงหาพระสงฆท์ ่ีมีคุณธรรมความรู้มาต้งั เป็น พระราชาคณะเป็ นเจา้ อาวาสปกครองสงฆแ์ ละสัง่ สอนปริยตั ิธรรมและภาษาไทย ส่งพระราชาคณะไปเท่ียว จดั สังฆมณฑลตามหวั เมืองเหนือ เพราะเกิดวปิ ริตคร้ังพระเจา้ ฝางต้งั ตนเป็ นใหญ่และทาสงครามท้งั ๆที่เป็น พระสงฆ์ และทรงรวบรวมพระไตรปิ ฎกใหส้ มบูรณ์ครบถว้ น ศิลปกรรมต่างๆจึงยงั คงดาเนินตามแบบ อยธุ ยา เนื่องจากระหวา่ งรัชกาลมีศึกสงครามอยตู่ ลอดเวลาทาใหช้ ่างฝีมือไมม่ ีเวลาในการท่ีจะสร้างสรรคง์ าน ดา้ นศิลปะใหก้ า้ วหนา้ ออกไปจากเดิม สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชทรงครองราชยอ์ ยเู่ ป็นระยะเวลา 15 ปี เนื่องจากทรงมีพระราชภาระกิจท้งั ทางดา้ นการกอบกบู้ า้ นเมืองซ่ึงมีฐานะทางเศรษฐกิจตกต่าจากภาวะการณ์ สงคราม และปกป้องบา้ นเมืองซ่ึงขา้ ศึกไดย้ กเขา้ มาตลอดรัชกาล ปลายรัชกาลไดท้ รงมีพระสติฟั่นเฟื อนในปี

พ.ศ. 2325 เจา้ พระยาจกั รีซ่ึงเป็นแม่ทพั สาคญั ของสมเดจ็ พระเจา้ ตากสิน จึงไดร้ ับอญั เชิญใหค้ รองราชย์ สมบตั ิสืบต่อมา สมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสดจ็ ข้ึนเถลิงถวลั ยร์ าชสมบตั ิเป็นปฐมกษตั ริย์ แห่งพระบรมราชจกั รีวงศเ์ ม่ือวนั ที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 โปรดเกลา้ ฯใหย้ า้ ยราชธานีมาต้งั อยบู่ นฝ่ังตะวนั ออก ของแมน่ ้าเจา้ พระยาตรงขา้ มกบั กรุงธนบุรี การสร้างพระนครเริ่มข้ึน ในปี พ.ศ.2326 เม่ือสร้างสาเร็จในปี พ.ศ. 2328 ไดพ้ ระราชทานนามวา่ “กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ฯ” เป็นศูนยก์ ลางการปกครองของ ประเทศท่ีเจริญรุ่งเรือง มีพระมหากษตั ริยใ์ นราชวงศจ์ กั รีปกครองประเทศมาจนถึงปัจจุบนั จานวน9พระองค์ สภาพกรุงรัตนโกสินทร์ตอนตน้ ประชากรของประเทศยงั คงนอ้ ยมากเมื่อเปรียบเทียบกบั พ้นื ที่ท้งั หมด สังคม ความเป็นอยยู่ งั คงยดึ ถือสืบเนื่องมาจากสมยั กรุงศรีอยธุ ยาตอนปลาย มีการจดั ระเบียบทางสังคมดว้ ยระบบเจา้ ขนุ มูลนาย ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทานา ทาไร่ ผลิตสินคา้ เกษตร จาพวกน้าตาล พริกไทย และหาของป่ าจาพวกไมส้ ัก ไมพ้ ยงุ ไมก้ ฤษณาและไมฝ้ าง การปลูกขา้ วเป็นอาชีพหลกั ผลผลิตที่ ไดจ้ ะใชบ้ ริโภคและส่งออกขายเฉพาะส่วนที่เหลือจากการบริโภคแลว้ เท่าน้นั เนื่องจากบา้ นเมืองยงั คงตกอยู่ ในสภาวะสงคราม การติดตอ่ คา้ ขายกบั ตา่ งประเทศส่วนใหญเ่ ป็ นการทาการคา้ กบั ประเทศจีน อยภู่ ายใต้ ความควบคุมของพระมหากษตั ริยโ์ ดยมีกรมพระคลงั สินคา้ เป็นผดู้ ูแลผลประโยชน์ทางการคา้ ต่อมามีการ เซ็นสญั ญาบาวริงในปี พ.ศ.2398 การผกู ขาดทางการคา้ ถูกทาลาย ระบบการคา้ เสรีเร่ิมเกิดข้ึนและขยาย กวา้ งขวางออกไปทาใหก้ ารคา้ ขายเจริญมากข้ึน มีชาวต่างชาติเขา้ มาติดต่อซ้ือขายกบั ไทยอยา่ งมากมาย เช่น องั กฤษซ่ึงเขา้ มาทาอุตสาหกรรมป่ าไมใ้ นไทย สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เดนมาร์ก โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ รัสเซีย สวเี ดน รุสเซีย เป็นตน้ ขา้ ว ไดก้ ลายเป็นสินคา้ สาคญั เป็นอนั ดบั หน่ึงในการส่งเป็นสินคา้ ออกไปขาย ยงั ต่างประเทศ นอกจากน้นั ยงั มีพืชเศรษฐกิจอื่นๆ รวมถึงสินคา้ ท่ีเกิดจากการแปรรูปผลผลิตทางดา้ น เกษตรกรรม ทาใหเ้ กิดการขยายตวั ทางดา้ นเศรษฐกิจท้งั ในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมาจนถึง ปัจจุบนั ส่วนดา้ นสังคมในปี พ.ศ.2475 จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงระเบียบสงั คม เป็นสงั คมระบอบประชาธิปไตย ประชาชนทุกคนมีสิทธิเทา่ เทียมกนั ทางดา้ นกฎหมาย ในดา้ นการศาสนาหลงั จากเสียกรุงศรีอยธุ ยาใหแ้ ก่พมา่ แลว้ วดั วาอารามตา่ งๆ รวมท้งั คมั ภีร์ทางศาสนาถูกทาลายเสียหายเป็นอนั มาก พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกลา้ ฯใหท้ านุบารุงพระศาสนา โปรดฯใหส้ ร้างวดั พระศรีรัตนศาสดารามเป็นวดั ประจาพระนคร แลว้ ทรงอญั เชิญพระพทุ ธมหามณีรัตนปฏิมากรแกว้ มรกตจากเมืองเวยี งจนั ทร์มา ประดิษฐานเพอื่ ใหเ้ ป็ นพระพุทธรูปคู่บา้ นคูเ่ มือง โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ีการสงั คายนาพระไตรปิ ฎกและใหถ้ ือเป็น ธรรมเนียมท่ีจะใหพ้ ระบรมวงศานุวงศแ์ ละเสนาบดีช่วยกนั บูรณะปฏิสงั ขรณ์วดั วาอารามที่ชารุดทรุดโทรม ส่วนการปกครองคณะสงฆย์ งั คงใชแ้ บบอยา่ งของกรุงศรีอยธุ ยา มีการสอบไล่พระปริยตั ิธรรมสาหรับ พระภิกษุสามเณร โดยนบั เป็ นขา้ ราชการแผน่ ดินอยา่ งหน่ึงดว้ ย ในสมยั รัชกาลที่ 3 ทรงแบ่งการปกครอง คณะสงฆอ์ อกเป็ น4 คณะ คือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะอรัญวาสี เจา้ ฟ้ามงกฎุ ซ่ึงทรงผนวชอยู่

ที่วดั สมอราย ไดท้ รงประกาศประดิษฐานนิกายธรรมยตุ ิข้ึนในพทุ ธศาสนาศิลปกรรมในดา้ นตา่ งๆ ยงั คง เลียนแบบอยธุ ยาตอนปลาย เช่น การสร้างพระพทุ ธรูปส่วนมากสร้างข้ึนตามแบบพระพทุ ธรูปท่ีมีมาต้งั แต่ คร้ังสมยั กรุงศรีอยธุ ยา นิยมสร้างพระพุทธรูปองคเ์ ล็กๆ มากข้ึน และมกั สร้างเป็นภาพเร่ืองราวเก่ียวกบั พทุ ธ ประวตั ิตอนตา่ งๆ ในสมยั รัชกาลท่ี 3 นิยมสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ เช่น พระศรีอาริยเมตไตรยและ สาวกที่ครองผา้ อุตราสงคเ์ ป็ นลายดอก ส่วนสถาปัตยกรรมในตอนแรกยงั คงเป็ นแบบสมยั อยธุ ยาตอนปลาย ตอ่ มาในสมยั รัชกาลท่ี 3 ทรงนิยมศิลปะแบบจีนทาใหเ้ กิดศิลปะผสมผสานระหวา่ งไทยจีน ต้งั แต่สมยั รัชกาล ที่ 4 เป็นตน้ มา อิทธิพลของชาติตะวนั ตกไดเ้ ขา้ มาสู่ประเทศไทยทาใหร้ ูปแบบสถาปัตยกรรมกลายเป็นแบบ ตะวนั ตกมากข้ึนจนถึงปัจจุบนั

ใบงาน เร่ืองการแบ่งยคุ สมัยทางประวตั ิศาสตร์ คาช้ีแจง : ใหผ้ เู้ รียนเขียนเคร่ืองหมายถูก () หนา้ ขอ้ ความท่ีถูกและเขียนเครื่องหมายผดิ (X) หนา้ ขอ้ ความ ท่ีผดิ ………….. 1. ประเทศจีนเป็ นประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกที่มีพ้ืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ………….. 2. ประเทศอินเดียเป็นประเทศประชาธิปไตยท่ีมีประชากรมากที่สุดในโลก ………….. 3. พระเจา้ ตะเบง็ ชะเวต้ี กษตั ริยพ์ ม่าที่สามารถตีกรุงศรีอยธุ ยาแตกในปี พ.ศ. 2112 ………….. 4. ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศที่เป็นหมู่เกาะที่ใหญท่ ่ีสุดในโลก ………….. 5. สงครามเจด็ ปี (Seven Year’ War) เป็นสงครามท่ีเกิดข้ึนในฟิ ลิปปิ นส์จนทาใหญ้ ่ีป่ ุนเกิดการ สูญเสียมากท่ีสุด ………….. 6. ประเทศญ่ีป่ ุนไดช้ ื่อวา่ เป็ น “ดินแดนแห่งพระอาทิตยอ์ ุทยั ” ………….. 7. ยคุ ศกั ดินา หมายถึง ยคุ ท่ีจกั รพรรดิเป็นใหญ่ท่ีสุดในญี่ป่ ุน ………….. 8. ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีนมีการลงทุนในประเทศไทยเป็นอนั ดบั 2 รอง จากญี่ป่ ุน ………….. 9. ประเทศไทยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวนั ตกและทาใหเ้ สียดินแดนไปถึง 14 คร้ัง ………….. 10. สงครามเยน็ ทาใหเ้ กิดการแบ่งสถานภาพกลุ่มประเทศเป็น 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่ กลุ่มประเทศ มหาอานาจ กลุ่มประเทศกาลงั พฒั นา และกลุ่มประเทศดอ้ ยพฒั นา

เฉลยแบบฝึ กหดั เร่ืองการแบ่งยุคสมัยทางประวตั ศิ าสตร์ …… X…….1. …… ……2. …… ……3. …… ……4. …… X … …5. …… …….6. …… X … ….7. …… ….…8. …… X…. …9. …… X….…10.

แผนการจัดการเรียนรู้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ ความสาคัญ เกยี่ วกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง รหสั วชิ า สค 21001 รายวชิ า สังคมศึกษา หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 เร่ือง ประวตั ศิ าสตร์ประเทศในทวปี เอเชีย ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ความเขา้ ใจตระหนกั ถึงความสาคญั เก่ียวกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนามาปรับใชใ้ นการดารงชีวติ 2.ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. บอกถึงความสาคญั เก่ียวกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครองได้ 2. บอกเหตุการณ์สาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ ท่ีเกิดข้ึนในประเทศในทวปี เอเชียได้ 3.สาระสาคัญ ทวปี เอเชียประกอบดว้ ยประเทศสมาชิกหลายประเทศในที่น้ีจะกล่าวถึงประวตั ิศาสตร์ของ ประเทศในแถบเอเชียที่มีพรมแดนติดและใกลเ้ คียงกบั ประเทศไทย ไดแ้ ก่ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนม่า อินโดนีเชีย ฟิ ลิปปิ นส์ และประเทศญ่ีป่ ุน โดยสังเขป นอกจากน้ีไดเ้ กิดเหตุการณ์สาคญั ๆ ในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชียท่ีน่าสนใจ เช่นยคุ ล่าอาณานิคม และยคุ สงครามเยน็ เป็นตน้ 4.สาระการเรียนรู้/เนื้อหา 1.ความสาคญั เกี่ยวกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครองได้ 2.เหตุการณ์สาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ในประเทศในทวปี เอเซีย 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกถึงประวตั ิโดยสังเขปของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนม่า อินโดนีเชีย ฟิ ลิปปิ นส์ และประเทศญี่ป่ ุนได้ 2. บอกเหตุการณ์สาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ ที่เกิดข้ึนในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชียได้

6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6. 1.ครูสนทนาเร่ืองความหมายและความสาคญั ของกระบวนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 6.2. แจง้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ใหผ้ เู้ รียนทราบ 6.3. ใหท้ าแบบฝึกหดั ก่อนเรียน-หลงั เรียน ข้นั ที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.4.ครูและผเู้ รียนวางแผนวธิ ีการเรียนรู้เน้ือหาที่กาหนด 6.5.ครูมอบหมายใหผ้ เู้ รียนคน้ ควา้ เน้ือหาตามหวั ขอ้ ท่ีกาหนดให้ ดงั น้ี กลุ่มท่ี 1 ประวตั ิศาสตร์ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย ญ่ีป่ ุน กลุ่มที่ 2 ประวตั ิศาสตร์ประเทศเมียนมา่ อินโดนีเซีย ฟิ ลิปปิ นส์ กลุ่มท่ี 3 เหตุการณ์สาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ ท่ีเกิดข้ึนในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชียได้ 6.6.ใหผ้ เู้ รียนนาเอาความรู้เกี่ยวกบั ยคุ ประวตั ิศาสตร์สากลและประวตั ิศาสตร์ไทยที่ศึกษาแลว้ นามาปรับใชใ้ นการดาเนินชีวิตในสงั คมปัจจุบนั ในดา้ นใดบา้ ง 6.7.นาเสนอเพ่ือแลกเปล่ียนเรียนรู้หนา้ ช้นั เรียน ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation) 6.8.ผเู้ รียนส่งตวั แทนนาเสนอความรู้เกี่ยวกบั เน้ือหาตามหวั ขอ้ ที่กาหนดให้ 6.9.ผเู้ รียนสรุปสาระสาคญั ท่ีไดร้ ับจากการนาเสนอของแต่ละกลุ่มลงในกระดาษA4แลว้ ส่งครู ข้นั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.10 ครูและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปองคค์ วามรู้จากการนาเสนอผลงานของผเู้ รียน 6.11ผเู้รียนนาความรู้ท่ีไดจ้ ากการสรุปองคค์ วามรู้ไปใชใ้ นการปรับปรุงแกไ้ ขขอ้ บกพร่องของตนเอง 6.12 ครูประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนจากผลงานตามสภาพความเป็นจริงและธรรมชาติของผเู้รียน 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพม่ิ เตมิ ดงั นี้ 7.1 ความสาคญั เก่ียวกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง 7.2 เหตุการณ์ในประวตั ิศาสตร์ท่ีทาใหป้ ระเทศไทย และประเทศในทวปี เอเชียเปลี่ยนแปลง 8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือแบบเรียนรายวชิ า สค 21001 สังคมศึกษา ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 8.3 สื่อสิ่งพิมพ์

9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล 9.1.1 สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สังเกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 ใบงาน . 9.2.2 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.3 การสงั เกตพฤติกรรมการมีส่วนรวม

แผนการจัดการเรียนรู้ ระดับ มธั ยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ คุณธรรม กฎหมาย และข้อมูลการคุ้มครองผู้บริโภคในการผลติ และการบริโภค รหสั วชิ า สค 21001 รายวชิ า สังคมศึกษา หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 เรื่อง เศรษฐศาสตร์ ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ความเขา้ ใจตระหนกั ถึงความสาคญั เก่ียวกบั คุณธรรม กฎหมาย และขอ้ มูลการคุม้ ครอง ผบู้ ริโภคในการผลิตและการบริโภค และสามารถนามาปรับใชใ้ นการดารงชีวิต 2.ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1.สามารถเลือกวธิ ีการที่มีประสิทธิภาพมาใชใ้ นการผลิตสินคา้ และบริการได้ 2. สามารถรู้และเขา้ ใจการใชก้ ฎหมายคุม้ ครองผบู้ ริโภคได้ 3.สาระสาคัญ 1.ความหมาย ความสาคญั ของเศรษฐศาสตร์มหภาคและเศรษฐศาสตร์ จุลภาค 2. กฎหมาย และขอ้ มูลการคุม้ ครองผบู้ ริโภค 3.หน่วยงานท่ีใหค้ วามคุม้ ครองผบู้ ริโภค 4.การพิทกั ษส์ ิทธิ และผลประโยชน์ของผบู้ ริโภค 4.สาระการเรียนรู้/เนื้อหา 1.ความหมาย ความสาคญั ของเศรษฐศาสตร์มหภาคและเศรษฐศาสตร์ จุลภาค 2. กฎหมาย และขอ้ มูลการคุม้ ครองผบู้ ริโภค 3.หน่วยงานที่ใหค้ วามคุม้ ครองผบู้ ริโภค 4.การพิทกั ษส์ ิทธิ และผลประโยชน์ของผบู้ ริโภค 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. เลือกวธิ ีการที่มีประสิทธิภาพมาใชใ้ นการผลิตสินคา้ และบริการได้ 2. รู้และเขา้ ใจการใชก้ ฎหมายคุม้ ครองผบู้ ริโภค

6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ท่ี 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6.1 ครูทกั ทายผเู้ รียนในเร่ืองชีวติ ประจาวนั และช้ีแจงตวั ช้ีวดั อธิบายวธิ ีการเลือกซ้ือและ เลือกใชส้ ินคา้ ท่ีดีและมีคุณภาพ แนวทางการดูแลสิทธิเบ้ืองตน้ ของตนเองจากการกระทาดงั กล่าว 6.2. ครูใหผ้ เู้ รียนสารวจตวั เองวา่ ในแต่และวนั ไดเ้ ลือกซ้ือสินคา้ อุปโภคและบริโภค ประเภท ใดบา้ ง เพ่ือใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งไร มีความเหมาะสมหรือไม่ ข้นั ท่ี 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.3. ใหผ้ เู้ รียนศึกษาความหมายของเศรษฐศาสตร์จากแบบเรียนใหผ้ เู้ รียนสืบคน้ ขอ้ มูล จาก แหล่งเรียนรู้ อินเตอร์เน็ต โดยเขา้ ไปที่ เวบ็ ไซด์ www.google.com คน้ เร่ืองกฎหมายและขอ้ มูลการ คุม้ ครองผบู้ ริโภค คุณธรรมในการผลิตและการบริโภคเพ่ือสรุปเป็ นใบงาน 6.4.ใหผ้ เู้ รียนส่งตวั แทน เพือ่ นาเสนอความหมาย ของเศรษฐศาสตร์ พร้อมใหผ้ เู้ รียนทุกกลุ่ม ช่วยกนั สรุปความหมายของเศรษฐศาสตร์ 6.5.ครูช่วยอธิบายเพม่ิ เติมความหมายของเศรษฐศาสตร์ใหม้ ีความสมบูรณ์มากยง่ิ ข้ึน 6.6.นาเสนอเพอ่ื แลกเปล่ียนเรียนรู้หนา้ ช้นั เรียน ข้นั ท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปประยุกต์ใช้ (I : Implementation) 6.7.เม่ือครูไดอ้ ธิบายเพม่ิ เติมเน้ือหาแลว้ ใหผ้ เู้ รียนภายในกลุ่มร่วมกนั วเิ คราะห์ตามหวั ขอ้ ที่ ครูกาหนด ไดแ้ ก่ ในการเลือกซ้ือสินคา้ อุปโภคและการบริโภคน้นั ตอ้ งคานึงถึงส่ิงใด โดยใชเ้ วลา ประมาณ 10 – 15 นาทีในการวเิ คราะห์ 6.8.เมื่อผเู้ รียนวิเคราะห์งานตามหวั ขอ้ ท่ีกาหนด เสร็จเรียบร้อยแลว้ ครูให้ผเู้ รียนนางานที่ ไดร้ ับมอบหมายในช้นั เรียนมานาเสนอ กลุ่มละไม่นอ้ ยกวา่ 5 นาที ข้นั ที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.9 สังเกตการมีส่วนร่วมของผเู้ รียน 6.10.ใบงาน 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพม่ิ เติมดงั นี้ 7.1 วธิ ีการท่ีมีประสิทธิภาพมาใชใ้ นการผลิตสินคา้ และบริการ 7.2 การใชก้ ฎหมายคุม้ ครองผบู้ ริโภค 8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือแบบเรียนรายวชิ า สค 21001 สงั คมศึกษา ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้

8.3 ใบความรู้ 8.4 ส่ือส่ิงพิมพ์ 9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สังเกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.4 การสังเกตพฤติกรรมการมีส่วนรวม

ใบความรู้ เรื่อง กฎหมาย พระราชบญั ญตั ิและข้อมูลการคุ้มครองผู้บริโภค สิทธิผบู้ ริโภค 5 ประการ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540 เป็นรัฐธรรมนูญฉบบั แรกที่ให้ ความสาคญั ของการคุม้ ครองผบู้ ริโภค โดยบญั ญตั ิถึงสิทธิของผบู้ ริโภคไวใ้ นมาตรา 57 วา่ \"สิทธิของบุคคล ซ่ึงเป็นผบู้ ริโภคยอ่ มไดร้ ับความคุม้ ครองท้งั น้ีตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ\" พระราชบญั ญตั ิคุม้ ครองผบู้ ริโภค พ.ศ. 2522 ซ่ึงแกไ้ ขเพิ่มเติมโดย (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2541 ไดบ้ ญั ญตั ิสิทธิของผู้ บริโภคที่จะไดร้ ับความ คุม้ ครอง ตามกฎหมาย 5 ประการ ดงั น้ี 1. สิทธิที่จะไดร้ ับขา่ วสารรวมท้งั คาพรรณนาคุณภาพท่ีถูกตอ้ งและเพยี งพอเกี่ยวกบั สินคา้ หรือ บริการ ไดแ้ ก่ สิทธิที่ จะไดร้ ับการโฆษณาหรือการแสดงฉลากตามความเป็นจริงและปราศจากพษิ ภยั แก่ ผบู้ ริโภค รวมตลอดถึงสิทธิที่จะไดร้ ับทราบ ขอ้ มูลเก่ียวกบั สินคา้ หรือบริการอยา่ งถูกตอ้ งและเพียงพอที่จะ ไมห่ ลงผดิ ในการซ้ือสินคา้ หรือรับบริการโดยไมเ่ ป็นธรรม 2. สิทธิท่ีจะมีอิสระในการเลือกหาสินคา้ หรือบริการ ไดแ้ ก่ สิทธิท่ีจะเลือกซ้ือสินคา้ หรือรับ บริการโดยความ สมคั รใจของผูบ้ ริโภค และปราศจากการ ชกั จูงใจอนั ไม่เป็ นธรรม 3. สิทธิที่จะไดร้ ับความปลอดภยั จากการใชส้ ินคา้ หรือบริการ ไดแ้ ก่ สิทธิท่ีจะไดร้ ับสินคา้ หรือ บริการที่ปลอดภยั มีสภาพและคุณภาพไดม้ าตรฐานเหมาะสมแก่การใช้ ไม่ก่อใหเ้ กิดอนั ตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพยส์ ิน ในกรณีใชต้ ามคาแนะนาหรือระมดั ระวงั ตามสภาพของสินคา้ หรือบริการน้นั แลว้ 4. สิทธิที่จะไดร้ ับความเป็นธรรมในการทาสัญญา ไดแ้ ก่ สิทธิที่จะไดร้ ับขอ้ สญั ญาโดยไมถ่ ูกเอา รัดเอาเปรียบจากผปู้ ระกอบธุรกิจ 5. สิทธิท่ีจะไดร้ ับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ไดแ้ ก่ สิทธิที่จะไดร้ ับการคุม้ ครองและ ชดใชค้ า่ เสียหาย เม่ือมีการละเมิดสิทธิของผบู้ ริโภคตามขอ้ 1, 2, 3 และ 4 ดงั กล่าว

พระราชบญั ญตั ิ คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ ภูมพิ ลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วนั ที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๒ เป็ นปี ท่ี ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบนั พระบาทสมเด็จพระปรมินทร์รมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระกาศวา่ โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายวา่ ดว้ ยการคุม้ ครองผบู้ ริโภคจึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ รา พระราชบญั ญตั ิข้ึนไวโ้ ดยคาแนะนาและยนิ ยอมของสภานิติบญั ญตั ิแห่งชาติ ทาหนา้ ที่รัฐสภา ดงั ต่อไปน้ี มาตรา ๑ พระราชบญั ญตั ิน้ีเรียกวา่ “พระราชบญั ญตั ิคุม้ ครองผบู้ ริโภค พ.ศ.๒๕๒๒” มาตรา ๒ พระราชบญั ญตั ิน้ีใหใ้ ชบ้ งั คบั ต้งั แต่วนั ถดั จากวนั ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นตน้ ไป มาตรา ๓ ในพระราชบญั ญตั ิน้ี “ซ้ือ” หมายความรวมถึง เช่า เช่าซ้ือ หรือไดม้ าไมว่ า่ ดว้ ยประการใดๆ โดยใหค้ า่ ตอบแทนเป็นเงินหรือ ผลประโยชนอ์ ยา่ งอ่ืน “ขาย” หมายความรวมถึง ใหเ้ ช่า ใหเ้ ช่าซ้ือ หรือจดั หาใหไ้ ม่วา่ ดว้ ยประการใดๆ โดยเรียกคา่ ตอบแทนเป็น เงินหรือผลประโยชน์อยา่ งอ่ืน ตลอดจนการเสนอหรือการชกั ชวนเพื่อการดงั กล่าวดว้ ย “สินคา้ ” หมายความวา่ สิ่งของที่ผลิตหรือมีไวเ้ พ่ือขาย “บริการ” หมายความวา่ การรับจดั ทาการงาน การใหส้ ิทธิใดๆ หรือการใหใ้ ชห้ รือใหป้ ระโยชน์ในทรัพยส์ ิน หรือกิจการใดๆ โดยเรียกค่าตอบแทนเป็นเงินหรือผลประโยชน์อื่นแต่ไม่รวมถึงการจา้ งแรงงานตาม กฎหมายแรงงาน “ผลิต” หมายความวา่ ทา ผสม ปรุง ประกอบ ประดิษฐ์ หรือแปรสภาพและหมายความรวมถึงการเปลี่ยนรูป

การดดั แปลง การคดั เลือก หรือการแบ่งบรรจุ “ผบู้ ริโภค” หมายความวา่ ผซู้ ้ือหรือผไู้ ดร้ ับบริการจากผปู้ ระกอบธุรกิจหรือผซู้ ่ึงไดร้ ับการเสนอหรือการ ชกั ชวนจากผปู้ ระกอบธุรกิจเพื่อใหซ้ ้ือสินคา้ หรือรับบริการ และหมายความรวมถึงผใู้ ชส้ ินคา้ หรือผไู้ ดร้ ับ บริการจากผปู้ ระกอบธุรกิจโดยชอบ แมม้ ิไดเ้ ป็ นผเู้ สียคา่ ตอบแทนกต็ าม” “ผปู้ ระกอบธุรกิจ” หมายความวา่ ผขู้ าย ผผู้ ลิตเพอ่ื ขาย ผสู้ ่ังหรือนาเขา้ มาในราชอาณาจกั รเพื่อขายหรือผซู้ ้ือ เพื่อขายต่อซ่ึงสินคา้ หรือผใู้ หบ้ ริการ และหมายความรวมถึงผปู้ ระกอบกิจการโฆษณาดว้ ย “ขอ้ ความ” หมายความรวมถึงการกระทาใหป้ รากฏดว้ ยตวั อกั ษร ภาพ ภาพยนตร์ แสง เสียง เคร่ืองหมาย หรือการกระทาอยา่ งใดๆ ที่ทาใหบ้ ุคคลทว่ั ไปสามารถเขา้ ใจความหมายได้ “โฆษณา” หมายความถึงกระทาการไมว่ า่ โดยวธิ ีใดๆ ใหป้ ระชาชนเห็นหรือทราบขอ้ ความ เพอื่ ประโยชน์ ในทางการคา้ “ส่ือโฆษณา” หมายความวา่ สิ่งท่ีใชเ้ ป็นส่ือในการโฆษณา เช่นหนงั สือพิมพส์ ิ่งพิมพ์ วทิ ยกุ ระจายเสียง วทิ ยุ โทรทศั น์ ไปรษณียโ์ ทรเลขโทรศพั ท์ หรือป้าย “ฉลาก” หมายความวา่ รูป รอยประดิษฐ์ กระดาษหรือส่ิงอ่ืนใดที่ทาใหป้ รากฏขอ้ ความเกี่ยวกบั สินคา้ ซ่ึง แสดงไวท้ ่ีสินคา้ หรือภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุสินคา้ หรือสอดแทรกหรือรวมไวก้ บั สินคา้ หรือภาชนะ บรรจุหรือหีบห่อบรรจุสินคา้ และหมายความรวมถึงเอกสารหรือคูม่ ือสาหรับใชป้ ระกอบกบั สินคา้ ป้ายที่ ติดต้งั หรือแสดงไวท้ ่ีสินคา้ หรือภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุสินคา้ น้นั “สญั ญา” หมายความวา่ ความตกลงกนั ระหวา่ งผบู้ ริโภคและผปู้ ระกอบธุรกิจเพ่ือซ้ือและขายสินคา้ หรือให้ และรับบริการ “คณะกรรมการ” หมายความวา่ คณะกรรมการคุม้ ครองผบู้ ริโภค “กรรมการ” หมายความวา่ กรรมการคุม้ ครองผบู้ ริโภค “พนกั งานเจา้ หนา้ ที่” หมายความวา่ ผซู้ ่ึงรัฐมนตรีแต่งต้งั ใหป้ ฏิบตั ิการตามพระราชบญั ญตั ิน้ี “รัฐมนตรี” หมายความวา่ รัฐมนตรีผรู้ ักษาการตามพระราชบญั ญตั ิน้ี มาตรา ๔ ผบู้ ริโภคมีสิทธิไดร้ ับความคุม้ ครองดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) สิทธิท่ีจะไดร้ ับข่าวสารรวมท้งั คาพรรณาคุณภาพที่ถูกตอ้ งและเพียงพอเกี่ยวกบั สินคา้ หรือบริการ (๒) สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินคา้ หรือบริการ (๓) สิทธิท่ีจะไดร้ ับความปลอดภยั จากการใชส้ ินคา้ หรือบริการ (๓ ทว)ิ สิทธิที่จะไดร้ ับความเป็นธรรมในการทาสญั ญา (๔) สิทธิท่ีจะไดร้ ับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ท้งั น้ี ตามที่กฎหมายวา่ ดว้ ยการน้นั ๆ หรือพระราชบญั ญตั ิน้ีบญั ญตั ิไว้ มาตรา ๕ ในการปฏิบตั ิหนา้ ที่ตามพระราชบญั ญตั ิน้ี ใหพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ท่ีมีอานาจดงั ต่อไปน้ี (๑) นบั ชงั่ ตวง วดั ตรวจสินคา้ และเกบ็ หรือนาสินคา้ ในปริมาณพอสมควรไปเป็นตวั อยา่ งเพอ่ื ทาการ ทดสอบโดยไม่ตอ้ งชาระราคาสินคา้ น้นั ท้งั น้ี ตามหลกั เกณฑท์ ่ีคณะกรรมการกาหนด

(๒) คน้ ยดึ หรืออายดั สินคา้ ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุสินคา้ ฉลากหรือเอกสารอื่นที่ไม่เป็นไปตาม พระราชบญั ญตั ิน้ีเพ่ือประโยชน์ในการดาเนินคดีในกรณีที่มีเหตุอนั ควรสงสยั วา่ มีการกระทาผดิ ตาม พระราชบญั ญตั ิน้ี (๓) เขา้ ไปในสถานที่หรือยานพาหนะใดๆ เพอื่ ตรวจสอบการผลิตสินคา้ การขายสินคา้ หรือบริการ รวมท้งั ตรวจสอบสมุดบญั ชี เอกสารและอุปกรณ์ที่เก่ียวขอ้ งของผปู้ ระกอบธุรกิจในกรณีท่ีมีเหตุอนั ควรสงสัยวา่ มี การกระทาผดิ ตามพระราชบญั ญตั ิน้ี (๔) มีหนงั สือเรียกใหบ้ ุคคลใดๆ มาใหถ้ อ้ ยคา หรือส่งเอกสารและหลกั ฐานท่ีจาเป็นเพื่อประกอบการ พจิ ารณาของพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี ในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีตามวรรคหน่ึง ใหผ้ ทู้ ่ีเก่ียวขอ้ งอานวยความสะดวกตามสมควร มาตรา ๖ ในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีตามมาตรา ๕ (๓) ถา้ ไม่เป็นการเร่งด่วนใหพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ที่แจง้ เป็ นหนงั สือ ใหเ้ จา้ ของหรือผคู้ รอบครองสถานท่ีหรือยานพาหนะน้นั ทราบล่วงหนา้ ตามสมควรก่อน และใหก้ ระทาการ ตอ่ หนา้ ผคู้ รอบครองสถานที่หรือยานพาหนะ หรือถา้ เจา้ ของหรือผคู้ รอบครองไมอ่ ยใู่ นที่น้นั ก็ใหก้ ระทา ตอ่ หนา้ บุคคลอ่ืนอยา่ งนอ้ ยสองคนซ่ึงพนกั งานเจา้ หนา้ ที่ไดร้ ้องขอมาเป็ นพยาน การคน้ ตามมาตรา ๕ (๒) ใหพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ที่กระทาไดเ้ ฉพาะเวลาระหวา่ งพระอาทิตยข์ ้ึนถึงพระอาทิตยต์ ก มาตรา ๗ ในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีตามพระราชบญั ญตั ิน้ี พนกั งานเจา้ หนา้ ที่ตอ้ งแสดงบตั รประจาตวั เม่ือผทู้ ี่ เกี่ยวขอ้ งร้องขอบตั รประจาตวั ของพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี ใหเ้ ป็นไปตามแบบที่กาหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๘ ใหน้ ายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบญั ญตั ิน้ี และใหม้ ีอานาจแต่งต้งั พนกั งานเจา้ หนา้ ที่ และ ออกกฎกระทรวงเพอ่ื ปฏิบตั ิการตามพระราชบญั ญตั ิน้ีกฎกระทรวงน้นั เม่ือประกาศในราชกิจจานุเบกษา แลว้ ใหใ้ ชบ้ งั คบั ได้ อนั ตรายท่ีอาจไดร้ ับจากสินคา้ หรือบริการ (๕) ดาเนินการเผยแพร่วชิ าการ และใหค้ วามรู้และการศึกษาแก่ผบู้ ริโภคเพื่อสร้างนิสัยในการบริโภคท่ีเป็ น การส่งเสริมพลานามยั ประหยดั และใชท้ รัพยากรของชาติใหเ้ ป็นประโยชนม์ ากท่ีสุด (๖) ประสานงานกบั ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐท่ีมีอานาจหนา้ ที่เก่ียวกบั การควบคุม ส่งเสริม หรือ กาหนดมาตรฐานของสินคา้ หรือบริการ (๗) ปฏิบตั ิการอ่ืนใดตามท่ีคณะกรรมการหรือคณะกรรมการเฉพาะเรื่องมอบหมาย

หมวด ๒ การคุ้มครองผู้บริโภค มาตรา ๒๑ ในกรณีท่ีกฎหมายวา่ ดว้ ยการใดไดบ้ ญั ญตั ิเรื่องใดไวโ้ ดยเฉพาะแลว้ ใหบ้ งั คบั ตามบทบญั ญตั ิแห่ง กฎหมายวา่ ดว้ ยการน้นั และใหน้ าบทบญั ญตั ิในหมวดน้ีไปใชบ้ งั คบั ไดเ้ ท่าที่ไมซ่ ้าหรือขดั กบั บทบญั ญตั ิ ดงั กล่าว เวน้ แต่ (๑) ในกรณีท่ีมีความจาเป็ นเพือ่ ประโยชน์แก่ผบู้ ริโภคเป็ นส่วนรวม หากปรากฏวา่ เจา้ หนา้ ท่ีผมู้ ีอานาจตาม กฎหมายดงั กล่าวยงั มิไดม้ ีการดาเนินการหรือดาเนินการยงั ไม่ครบข้นั ตอนตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการน้นั และ มิไดอ้ อกคาส่ังเก่ียวกบั การคุม้ ครองผบู้ ริโภคตามกฎหมายดงั กล่าวภายในเกา้ สิบวนั นบั แต่วนั ที่ไดร้ ับ หนงั สือแจง้ จากคณะกรรมการเฉพาะเรื่องหรือคณะกรรมการ ใหค้ ณะกรรมการเฉพาะเร่ืองหรือ คณะกรรมการเสนอเร่ืองใหน้ ายกรัฐมนตรีพจิ ารณาออกคาสั่งตามความในหมวดน้ีได้ (๒) ในกรณีตาม (๑) ถา้ มีความจาเป็นเร่งด่วนอนั มิอาจปล่อยใหเ้ นิ่นชา้ ต่อไปไดใ้ หค้ ณะกรรมการเฉพาะ เรื่องหรือคณะกรรมการเสนอเรื่องใหน้ ายกรัฐมนตรีพิจารณาออกคาส่ังตามความในหมวดน้ีไดโ้ ดยไม่ตอ้ ง มีหนงั สือแจง้ หรือรอใหค้ รบกาหนดเกา้ สิบวนั ตามเง่ือนไขใน (๑) ในกรณีท่ีกฎหมายดงั กล่าวมิไดม้ ี บทบญั ญตั ิใหอ้ านาจแก่เจา้ หนา้ ท่ีผมู้ ีอานาจตามกฎหมายออกคาสัง่ เกี่ยวกบั การคุม้ ครองผบู้ ริโภคตามที่ บญั ญตั ิในหมวดน้ี ใหค้ ณะกรรมการเฉพาะเร่ืองมีอานาจออกคาส่ังตามความในหมวดน้ี เวน้ แตใ่ นกรณีท่ี กฎหมายดงั กล่าวมีเจา้ หนา้ ท่ีผมู้ ีอานาจตามกฎหมายอยแู่ ลว้ คณะกรรมการอาจมอบอานาจใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีผมู้ ี อานาจตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการน้นั ๆ ใชอ้ านาจตามพระราชบญั ญตั ิน้ีแทนคณะกรรมการเฉพาะเร่ืองไดก้ าร มอบอานาจใหเ้ จา้ หนา้ ที่ผมู้ ีอานาจตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการน้นั ๆ ตามวรรคสอง ใหป้ ระกาศในราชกิจจา นุเบกษา ส่วนที่ ๑ การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านการโฆษณา มาตรา ๒๒ การโฆษณาจะตอ้ งไมใ่ ชข้ อ้ ความที่เป็ นการไม่เป็นธรรมต่อผบู้ ริโภคหรือใชข้ อ้ ความที่อาจ ก่อใหเ้ กิดผลเสียต่อสังคมเป็ นส่วนรวม ท้งั น้ี ไมว่ า่ ขอ้ ความดงั กล่าวน้นั จะเป็นขอ้ ความท่ีเกี่ยวกบั แหล่งกาเนิด สภาพ คุณภาพหรือลกั ษณะของสินคา้ หรือบริการ ตลอดจนการส่งมอบ การจดั หา หรือการใช้ สินคา้ หรือบริการ ขอ้ ความดงั ตอ่ ไปน้ี ถือวา่ เป็ นขอ้ ความท่ีเป็นการไม่เป็ นธรรมต่อผบู้ ริโภคหรือเป็ น ขอ้ ความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียตอ่ สังคมเป็นส่วนรวม (๑) ขอ้ ความที่เป็นเทจ็ หรือเกินความจริง (๒) ขอ้ ความท่ีจะก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจผดิ ในสาระสาคญั เกี่ยวกบั สินคา้ หรือบริการไมว่ า่ จะกระทาโดยใช้

หรืออา้ งอิงรายงานทางวชิ าการสถิติ หรือส่ิงใดส่ิงหน่ึงอนั ไม่เป็นความจริงหรือเกินความจริง หรือไม่กต็ าม (๓) ขอ้ ความท่ีเป็นการสนบั สนุนโดยตรงหรือโดยออ้ มใหม้ ีการกระทาผดิ กฎหมายหรือศีลธรรม หรือ นาไปสู่ความเสื่อมเสียในวฒั นธรรมของชาติ (๔) ขอ้ ความที่จะทาใหเ้ กิดความแตกแยกหรือเสื่อมเสียความสามคั คีในหมูป่ ระชาชน (๕) ขอ้ ความอยา่ งอ่ืนตามที่กาหนดในกฎกระทรวง ขอ้ ความที่ใชใ้ นการโฆษณาที่บุคคลทว่ั ไปสามารถรู้ไดว้ า่ เป็นขอ้ ความท่ีไม่อาจเป็นความจริงไดโ้ ดยแน่แท้ ไมเ่ ป็นขอ้ ความที่ตอ้ งหา้ มในการโฆษณาตาม (๑) มาตรา ๒๓ การโฆษณาจะตอ้ งไมก่ ระทาดว้ ยวธิ ีการอนั อาจเป็นอนั ตรายต่อสุขภาพ ร่างกายหรือจิตใจ หรือ อนั อาจก่อใหเ้ กิดความราคาญแก่ผบู้ ริโภค ท้งั น้ี ตามที่กาหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๒๔ ในกรณีท่ีคณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาเห็นวา่ สินคา้ ใดอาจเป็นอนั ตรายแก่ผบู้ ริโภคและ คณะกรรมการวา่ ดว้ ยฉลากไดก้ าหนดใหส้ ินคา้ น้นั เป็ นสินคา้ ท่ีควบคุมฉลากตามมาตรา ๓๐ ให้ คณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณามีอานาจออกคาส่ังดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) กาหนดใหก้ ารโฆษณาน้นั ตอ้ งกระทาไปพร้อมกบั คาแนะนาหรือคาเตือนเก่ียวกบั วธิ ีใชห้ รืออนั ตราย ตามเง่ือนไขท่ีคณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณากาหนด ท้งั น้ี โดยคณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาจะ กาหนดเงื่อนไขใหแ้ ตกตา่ งกนั สาหรับการโฆษณาที่ใชส้ ่ือโฆษณาต่างกนั กไ็ ด้ (๒) จากดั การใชส้ ่ือโฆษณาสาหรับสินคา้ น้นั (๓) หา้ มการโฆษณาสินคา้ น้นั ความใน (๒) และ (๓) ใหน้ ามาใชบ้ งั คบั แก่การโฆษณาท่ีคณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาเห็นวา่ การใช้ หรือประโยชน์ของสินคา้ น้นั ขดั ต่อนโยบายทางสงั คมศีลธรรมหรือวฒั นธรรมของชาติดว้ ย มาตรา ๒๕ ในกรณีท่ีคณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาเห็นวา่ สินคา้ หรือบริการใดผบู้ ริโภคจาเป็นตอ้ ง ทราบขอ้ เทจ็ จริงเก่ียวกบั สภาพ ฐานะ และรายละเอียดอยา่ งอื่นเก่ียวกบั ผปู้ ระกอบธุรกิจดว้ ย คณะกรรมการ วา่ ดว้ ยการโฆษณามีอานาจกาหนดใหก้ ารโฆษณาสินคา้ หรือบริการน้นั ตอ้ งใหข้ อ้ เทจ็ จริงดงั กล่าวตามที่ คณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณากาหนดได้ มาตรา ๒๖ ในกรณีที่คณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาเห็นวา่ ขอ้ ความในการโฆษณาโดยทางส่ือโฆษณาใด สมควรแจง้ ใหผ้ บู้ ริโภคทราบวา่ ขอ้ ความน้นั เป็นขอ้ ความท่ีมีความมุ่งหมายเพื่อการโฆษณา คณะกรรมการ วา่ ดว้ ยการโฆษณามีอานาจกาหนดใหก้ ารโฆษณาโดยทางสื่อโฆษณาน้นั ตอ้ งมีถอ้ ยคาช้ีแจงกากบั ให้ ประชาชนทราบวา่ ขอ้ ความดงั กล่าวเป็นการโฆษณาได้ ท้งั น้ี คณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาจะกาหนด เงื่อนไขอยา่ งใดใหต้ อ้ งปฏิบตั ิดว้ ยกไ็ ด้ มาตรา ๒๗ ในกรณีที่คณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาเห็นวา่ การโฆษณาใดฝ่ าฝื นมาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ (๑) หรือมาตรา ๒๕ ใหค้ ณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณามีอานาจออกคาสง่ั อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง หรือหลายอยา่ งดงั ต่อไปน้ี

(๑) ใหแ้ กไ้ ขขอ้ ความหรือวธิ ีการในการโฆษณา (๒) หา้ มการใชข้ อ้ ความบางอยา่ งที่ปรากฏในการโฆษณา (๓) หา้ มการโฆษณาหรือหา้ มใชว้ ธิ ีการน้นั ในการโฆษณา (๔) ให้โฆษณาเพื่อแกไ้ ขความเขา้ ใจผดิ ของผบู้ ริโภคท่ีอาจเกิดข้ึนแลว้ ตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการที่ คณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณากาหนด ในการออกคาสัง่ ตาม (๔) ใหค้ ณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณากาหนดหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการ โดยคานึงถึง ประโยชน์ของผบู้ ริโภคประกอบกบั ความสุจริตใจในการกระทาของผกู้ ระทาการโฆษณา มาตรา ๒๘ ในกรณีที่คณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณามีเหตุอนั ควรสงสยั วา่ ขอ้ ความใดท่ีใชใ้ นการโฆษณา เป็นเทจ็ หรือเกินความจริงตามมาตรา ๒๒ วรรคสอง (๑) ใหค้ ณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณามีอานาจออก คาสง่ั ใหผ้ กู้ ระทาการโฆษณาพิสูจนเ์ พ่ือแสดงความจริงได้ ในกรณีที่ผกู้ ระทาการโฆษณาอา้ งรายงานทางวชิ าการ ผลการวจิ ยั สถิติการรับรองของสถาบนั หรือบุคคล อ่ืนใด หรือยนื ยนั ขอ้ เทจ็ จริงอนั ใดอนั หน่ึงในการโฆษณา ถา้ ผกู้ ระทาการโฆษณาไม่สามารถพสิ ูจนไ์ ดว้ า่ ขอ้ ความที่ใชใ้ นการโฆษณาเป็นความจริงตามท่ีกล่าวอา้ ง ใหค้ ณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณามีอานาจออก คาสงั่ ตามมาตรา ๒๗ ได้ และใหถ้ ือวา่ ผกู้ ระทาการโฆษณารู้หรือควรไดร้ ู้วา่ ขอ้ ความน้นั เป็นความเทจ็ มาตรา ๒๙ ผปู้ ระกอบธุรกิจผูใ้ ดสงสัยวา่ การโฆษณาของตนจะเป็นการฝ่ าฝืนหรือไม่เป็ นไปตาม พระราชบญั ญตั ิน้ี ผปู้ ระกอบธุรกิจผนู้ ้นั อาจขอใหค้ ณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาพจิ ารณาใหค้ วามเห็นใน เร่ืองน้นั ก่อนทาการโฆษณาได้ ในกรณีน้ีคณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาจะตอ้ งใหค้ วามเห็นและแจง้ ใหผ้ ู้ ขอทราบภายในสามสิบวนั นบั แต่วนั ที่คณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาไดร้ ับคาขอ ถา้ ไมแ่ จง้ ภายใน กาหนดระยะเวลาดงั กล่าว ใหถ้ ือวา่ คณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาใหค้ วามเห็นชอบแลว้ การขอความเห็น และค่าป่ วยการในการใหค้ วามเห็นใหเ้ ป็ นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณากาหนด ค่า ป่ วยการท่ีไดร้ ับใหน้ าส่งคลงั เป็นรายไดแ้ ผน่ ดินการใหค้ วามเห็นของคณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาตาม วรรคหน่ึง ไมถ่ ือวา่ เป็นการตดั อานาจของคณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาที่จะพจิ ารณาวนิ ิจฉยั ใหมเ่ ป็น อยา่ งอื่นเมื่อมีเหตุอนั สมควรการใดที่ไดก้ ระทาไปตามความเห็นของคณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาท่ีให้ ตามวรรคหน่ึง มิใหถ้ ือวา่ การกระทาน้นั เป็ นความผดิ ทางอาญา ส่วนท่ี ๒ การคุ้มครองผ้บู ริโภคในด้านฉลาก มาตรา ๓๐ ใหส้ ินคา้ ท่ีผลิตเพื่อขายโดยโรงงานตามกฎหมายวา่ ดว้ ยโรงงานและสินคา้ ท่ีส่งั หรือนาเขา้ มาใน ราชอาณาจกั รเพ่ือขายเป็นสินคา้ ที่ควบคุมฉลาก ความในวรรคหน่ึงไม่ใชบ้ งั คบั กบั สินคา้ ท่ีคณะกรรมการวา่ ดว้ ยฉลากกาหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาในกรณีที่ปรากฏวา่ มีสินคา้ ที่อาจก่อใหเ้ กิดอนั ตรายแก่ สุขภาพ ร่างกาย หรือจิตใจ เนื่องในการใชส้ ินคา้ หรือโดยสภาพของสินคา้ น้นั หรือมีสินคา้ ที่ประชาชน

ทวั่ ไปใชเ้ ป็นประจา ซ่ึงการกาหนดฉลากของสินคา้ น้นั จะเป็นประโยชน์แก่ผบู้ ริโภคในการที่จะทราบ ขอ้ เทจ็ จริงในสาระสาคญั เก่ียวกบั สินคา้ น้นั แตส่ ินคา้ ดงั กล่าวไมเ่ ป็นสินคา้ ที่ควบคุมฉลากตามวรรคหน่ึงให้ คณะกรรมการวา่ ดว้ ยฉลากมีอานาจกาหนดใหส้ ินคา้ น้นั เป็นสินคา้ ที่ควบคุมฉลากได้ โดยประกาศในราช กิจจานุเบกษา มาตรา ๓๑ ฉลากของสินคา้ ที่ควบคุมฉลาก จะตอ้ งมีลกั ษณะดงั ต่อไปน้ี (๑) ใชข้ อ้ ความที่ตรงตอ่ ความจริงและไม่มีขอ้ ความที่อาจก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจผดิ ในสาระสาคญั เก่ียวกบั สินคา้ (๒) ตอ้ งระบุขอ้ ความดงั ต่อไปน้ี (ก) ชื่อหรือเคร่ืองหมายการคา้ ของผผู้ ลิตหรือของผูน้ าเขา้ เพอ่ื ขายแลว้ แตก่ รณี (ข) สถานที่ผลิตหรือสถานท่ีประกอบธุรกิจนาเขา้ แลว้ แต่กรณี (ค) ระบุขอ้ ความท่ีแสดงให้เขา้ ใจไดว้ า่ สินคา้ น้นั คืออะไร ในกรณีท่ีเป็นสินคา้ นาเขา้ ให้ระบุช่ือประเทศที่ ผลิตดว้ ย (๓) ตอ้ งระบุขอ้ ความอนั จาเป็น ไดแ้ ก่ ราคา ปริมาณ วธิ ีใช้ ขอ้ แนะนา คาเตือน วนั เดือน ปี ที่หมดอายใุ น กรณีเป็นสินคา้ ท่ีหมดอายไุ ด้ หรือกรณีอ่ืน เพื่อคุม้ ครองสิทธิของผูบ้ ริโภค ท้งั น้ี ตามหลกั เกณฑแ์ ละเง่ือนไข ท่ีคณะกรรมการวา่ ดว้ ยฉลากกาหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ใหผ้ ปู้ ระกอบธุรกิจซ่ึงเป็นผผู้ ลิต เพอ่ื ขายหรือผสู้ ง่ั หรือผนู้ าเขา้ มาในราชอาณาจกั ร เพ่อื ขายซ่ึงสินคา้ ท่ีควบคุมฉลาก แลว้ แต่กรณี เป็นผูจ้ ดั ทา ฉลากก่อนขายและฉลากน้นั ตอ้ งมีขอ้ ความดงั กล่าวในวรรคหน่ึง ในการน้ี ขอ้ ความตามวรรคหน่ึง (๒) และ (๓) ตอ้ งจดั ทาตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการที่คณะกรรมการวา่ ดว้ ยฉลากกาหนด โดยประกาศในราชกิจจา นุเบกษา มาตรา ๓๒ การกาหนดขอ้ ความของฉลากตามมาตรา ๓๐ ตอ้ งไมเ่ ป็ นการบงั คบั ใหผ้ ปู้ ระกอบธุรกิจตอ้ ง เปิ ดเผยความลบั ทางการผลิต เวน้ แต่ขอ้ ความดงั กล่าวจะเป็ นส่ิงจาเป็นท่ีเก่ียวกบั สุขภาพอนามยั และความ ปลอดภยั ของผบู้ ริโภค มาตรา ๓๓ เม่ือคณะกรรมการวา่ ดว้ ยฉลากเห็นวา่ ฉลากใดไม่เป็นไปตามมาตรา ๓๑ คณะกรรมการวา่ ดว้ ย ฉลากมีอานาจสั่งใหผ้ ปู้ ระกอบธุรกิจเลิกใชฉ้ ลากดงั กล่าวหรือดาเนินการแกไ้ ขฉลากน้นั ใหถ้ ูกตอ้ ง มาตรา ๓๔ ผปู้ ระกอบธุรกิจผใู้ ดสงสัยวา่ ฉลากของตนจะเป็นการฝ่ าฝืนหรือไมเ่ ป็นไปตามมาตรา ๓๑ ผู้ ประกอบธุรกิจผูน้ ้นั อาจขอใหค้ ณะกรรมการวา่ ดว้ ยฉลากพจิ ารณาใหค้ วามเห็นในฉลากน้นั ก่อนได้ ในกรณี น้ีใหน้ ามาตรา ๒๙ มาใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม มาตรา ๓๕ เพื่อประโยชนใ์ นการควบคุมและการตรวจสอบการประกอบธุรกิจเก่ียวกบั สินคา้ ที่ควบคุม ฉลาก รัฐมนตรีมีอานาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากาหนดใหผ้ ปู้ ระกอบธุรกิจในสินคา้ ดงั กล่าวตอ้ ง จดั ทาและเกบ็ รักษาบญั ชีเอกสารและหลกั ฐานเพอ่ื ให้นกั งานเจา้ หนา้ ที่ทาการตรวจสอบได้ วธิ ีจดั ทาและเกบ็ รักษาบญั ชี เอกสารและหลกั ฐานตามวรรคหน่ึงใหเ้ ป็นไปตามที่กาหนดในกฎกระทรวง

ส่วนท่ี ๓ การคุ้มครองผ้บู ริโภคโดยประการอ่ืน มาตรา ๓๖ เม่ือมีเหตุอนั ควรสงสยั วา่ สินคา้ ใด อาจเป็นอนั ตรายแก่ผบู้ ริโภค คณะกรรมการอาจส่ังใหผ้ ู้ ประกอบธุรกิจดาเนินการทดสอบหรือพสิ ูจนส์ ินคา้ น้นั ได้ ถา้ ผปู้ ระกอบธุรกิจไม่ดาเนินการทดสอบหรือ พิสูจนส์ ินคา้ หรือดาเนินการล่าชา้ โดยไมม่ ีเหตุผลอนั สมควร คณะกรรมการจะจดั ใหม้ ีการพสิ ูจนโ์ ดยผู้ ประกอบธุรกิจเป็ นผเู้ สียค่าใชจ้ ่ายก็ได้ ถา้ ผลจากการทดสอบหรือพสิ ูจนป์ รากฏวา่ สินคา้ น้นั อาจเป็น อนั ตรายแก่ผบู้ ริโภค และกรณีไม่อาจป้องกนั อนั ตรายที่จะเกิดจากสินคา้ น้นั ไดโ้ ดยการกาหนดฉลากตาม มาตรา ๓๐ หรือตามกฎหมายอ่ืน ใหค้ ณะกรรมการมีอานาจสัง่ หา้ มขายสินคา้ น้นั และถา้ เห็นสมควรจะสั่ง ใหผ้ ปู้ ระกอบธุรกิจเปล่ียนแปลงสินคา้ น้นั ภายใตเ้ งื่อนไขตามที่คณะกรรมการกาหนดก็ได้ ในกรณีที่สินคา้ น้นั ไมส่ ามารถเปล่ียนแปลงไดห้ รือเป็นที่สงสยั วา่ ผปู้ ระกอบธุรกิจจะเก็บสินคา้ น้นั ไวเ้ พื่อขายตอ่ ไป คณะกรรมการมีอานาจส่ังใหผ้ ปู้ ระกอบธุรกิจทาลายหรือจะจดั ใหม้ ีการทาลายโดยผปู้ ระกอบธุรกิจเป็นผู้ เสียคา่ ใชจ้ ่ายกไ็ ด้ ในกรณีจาเป็นและเร่งด่วน ถา้ คณะกรรมการมีเหตุที่น่าเชื่อวา่ สินคา้ ใดอาจเป็นอนั ตราย แก่ผบู้ ริโภค ใหค้ ณะกรรมการมีอานาจสัง่ หา้ มขายสินคา้ น้นั เป็นการชวั่ คราวจนกวา่ จะไดม้ ีการทดสอบหรือ พิสูจนส์ ินคา้ ตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสอง การสง่ั หา้ มขายสินคา้ ตามวรรคสองและวรรคสาม ใหป้ ระกาศใน ราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๓๗ (ยกเลิกโดยพระราชบัญญตั ิคุ้มครองผ้บู ริโภค (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๑) มาตรา ๓๘ (ยกเลิกโดยพระราชบัญญตั ิคุ้มครองผ้บู ริโภค (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๑) มาตรา ๓๙ ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นสมควรเขา้ ดาเนินคดีเกี่ยวกบั การละเมิดสิทธิของผบู้ ริโภค หรือเมื่อ ไดร้ ับคาร้องขอจากผบู้ ริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิ ซ่ึงคณะกรรมการเห็นวา่ การดาเนินคดีน้นั จะเป็นประโยชน์ แก่ผบู้ ริโภคเป็นส่วนรวม คณะกรรมการมีอานาจแต่งต้งั พนกั งานอยั การโดยความเห็นชอบของอธิบดีกรม อยั การ หรือขา้ ราชการในสานกั งานคณะกรรมการคุม้ ครองผบู้ ริโภคซ่ึงมีคุณวุฒิไม่ต่ากวา่ ปริญญาตรีทาง นิติศาสตร์ เป็นเจา้ หนา้ ที่คุม้ ครองผบู้ ริโภคเพ่ือใหม้ ีหนา้ ที่ดาเนินคดีแพง่ และคดีอาญาแก่ผกู้ ระทาการละเมิด สิทธิของผบู้ ริโภคในศาล และเม่ือคณะกรรมการไดแ้ จง้ ไปยงั กระทรวงยตุ ิธรรมเพ่ือแจง้ ใหศ้ าลทราบแลว้ ใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีคุม้ ครองผบู้ ริโภคมีอานาจดาเนินคดีตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้ ในการดาเนินคดีในศาล ใหเ้ จา้ หนา้ ที่คุม้ ครองผบู้ ริโภคมีอานาจฟ้องเรียกทรัพยส์ ิน หรือค่าเสียหายใหแ้ ก่ผบู้ ริโภคที่ร้องขอไดด้ ว้ ย และในการน้ีใหไ้ ดร้ ับยกเวน้ คา่ ฤชาธรรมเนียมท้งั ปวง มาตรา ๔๐ สมาคมใดมีวตั ถุประสงคใ์ นการคุม้ ครองผบู้ ริโภคหรือต่อตา้ นการแข่งขนั อนั ไม่เป็นธรรมทาง การคา้ และขอ้ บงั คบั ของสมาคมดงั กล่าวในส่วนที่เก่ียวกบั คณะกรรมการ สมาชิก และวิธีการดาเนินการ ของสมาคมเป็นไปตามเง่ือนไขท่ีกาหนดในกฎกระทรวง สมาคมน้นั อาจยนื่ คาขอใหค้ ณะกรรมการรับรอง เพื่อใหส้ มาคมน้นั มีสิทธิและอานาจฟ้องตามมาตรา ๔๑ ได้ การยนื่ คาขอตามวรรคหน่ึง ใหเ้ ป็นไปตาม หลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการท่ีกาหนดในกฎกระทรวง การรับรองสมาคมตามวรรคหน่ึง ใหป้ ระกาศในราชกิจจา

นุเบกษา มาตรา ๔๑ ในการดาเนินคดีท่ีเก่ียวกบั การละเมิดสิทธิของผบู้ ริโภคใหส้ มาคมท่ีคณะกรรมการรับรองตาม มาตรา ๔๐ มีสิทธิในการฟ้องคดีแพง่ คดีอาญาหรือดาเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ในคดีเพ่อื คุม้ ครอง ผบู้ ริโภคได้ และใหม้ ีอานาจฟ้องเรียกค่าเสียหายแทนสมาชิกของสมาคมได้ ถา้ มีหนงั สือมอบหมายใหเ้ รียก คา่ เสียหายแทนจากสมาชิกของสมาคม ในการดาเนินคดีตามวรรคหน่ึง มิใหส้ มาคมถอนฟ้อง เวน้ แตศ่ าลจะ อนุญาตเม่ือศาลเห็นวา่ การถอนฟ้องน้นั ไม่เป็นผลเสียต่อการคุม้ ครองผบู้ ริโภคเป็นส่วนรวมสาหรับคดีแพง่ เก่ียวกบั การเรียกคา่ เสียหายแทนสมาชิกของสมาคมการถอนฟ้อง หรือ การพิพากษาในกรณีท่ีคูค่ วามตก ลง หรือประนีประนอมยอมความกนั จะตอ้ งมีหนงั สือแสดงความยนิ ยอมของสมาชิกผมู้ อบหมายใหเ้ รียก คา่ เสียหายแทนมาแสดงต่อศาลดว้ ย มาตรา ๔๒ นอกจากตอ้ งปฏิบตั ิตามบทบญั ญตั ิในประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยแ์ ละกฎหมายอ่ืนแลว้ สมาคมที่คณะกรรมการรับรองตามมาตรา ๔๐ ตอ้ งปฏิบตั ิตามระเบียบท่ีคณะกรรมการกาหนดเมื่อปรากฏ วา่ สมาคมที่คณะกรรมการรับรองตามมาตรา ๔๐ สมาคมใดไมป่ ฏิบตั ิตามระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด หรือเมื่อมีพฤติการณ์ปรากฏวา่ สมาคมน้นั ดาเนินการเพือ่ ฟ้องคดีโดยไม่สุจริต ใหค้ ณะกรรมการมีอานาจ เพกิ ถอนการรับรองสมาคมน้นั ได้ การเพิกถอนการรับรองสมาคมใดตามมาตราน้ี ใหป้ ระกาศในราชกิจจา นุเบกษา ในกรณีท่ีสมาคมซ่ึงถูกเพิกถอนการรับรองตามมาตราน้ีไดฟ้ ้องคดีใดไวต้ อ่ ศาลและคดีน้นั ยงั คา้ งอยใู่ นการ พิจารณาของศาล ใหศ้ าลส่ังจาหน่ายคดีน้นั เสีย หมวด ๔ บทกาหนดโทษ มาตรา ๔๕ ผใู้ ดขดั ขวางหรือไมอ่ านวยความสะดวก ไม่ใหถ้ อ้ ยคา หรือไมส่ ่งเอกสาร หรือหลกั ฐานแก่ พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีซ่ึงปฏิบตั ิการตามมาตรา ๕ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินหน่ึงเดือน หรือปรับไม่เกินหน่ึง หม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ มาตรา ๔๖ ผใู้ ดไมป่ ฏิบตั ิตามคาสง่ั ของคณะกรรมการหรือคณะกรรมการเฉพาะเรื่องตามมาตรา ๑๗ ตอ้ ง ระวางโทษจาคุกไม่เกินหน่ึงเดือน หรือปรับไม่เกินหน่ึงหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ มาตรา ๔๗ ผใู้ ดโดยเจตนาก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจผดิ ในแหล่งกาเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือ สาระสาคญั ประการอ่ืนอนั เก่ียวกบั สินคา้ หรือบริการ ไม่วา่ จะเป็นของตนเองหรือผอู้ ื่น โฆษณาหรือใช้ ฉลากที่มีขอ้ ความอนั เป็นเท็จ หรือขอ้ ความที่รู้หรือควรรู้อยแู่ ลว้ วา่ อาจก่อให้เกิดความเขา้ ใจผดิ เช่นวา่ น้นั ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหา้ หม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ ถา้ ผกู้ ระทาความผดิ ตามวรรคหน่ึงกระทาผดิ ซ้าอีก ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินหน่ึงปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนบาท

หรือท้งั จาท้งั ปรับ มาตรา ๔๘ ผใู้ ดโฆษณาโดยใชข้ อ้ ความตามมาตรา ๒๒ (๓) หรือ (๔) หรือขอ้ ความตามท่ีกาหนดใน กฎกระทรวงท่ีออกตามมาตรา ๒๒ (๕) หรือฝ่ าฝื นหรือไม่ปฏิบตั ิตามมาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ มาตรา ๒๕ หรือมาตรา ๒๖ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินสามเดือน หรือปรับไมเ่ กินสามหม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ มาตรา ๔๙ ผใู้ ดไม่ปฏิบตั ิตามคาสง่ั ของคณะกรรมการวา่ ดว้ ยการโฆษณาซ่ึงสง่ั ตามมาตรา ๒๗ หรือมาตรา ๒๘ วรรคสอง ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไมเ่ กินหา้ หม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ มาตรา ๕๐ ถา้ การกระทาตามมาตรา ๔๗ มาตรา ๔๘ หรือมาตรา ๔๙ เป็นการกระทาของเจา้ ของสื่อโฆษณา หรือผปู้ ระกอบกิจการโฆษณา ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษเพยี งก่ึงหน่ึงของโทษที่บญั ญตั ิไวส้ าหรับความผดิ น้นั มาตรา ๕๑ ถา้ การกระทาความผดิ ตามมาตรา ๔๗ มาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ หรือมาตรา ๕๐ เป็ นความผดิ ต่อเนื่อง ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษปรับวนั ละไม่เกินหน่ึงหม่ืนบาทหรือไม่เกินสองเท่าของค่าใชจ้ า่ ยท่ีใช้ สาหรับการโฆษณาน้นั ตลอดระยะเวลาท่ียงั ฝ่ าฝืนหรือไม่ปฏิบตั ิตาม มาตรา ๕๒ ผใู้ ดขายสินคา้ ที่ควบคุมฉลากตามมาตรา ๓๐ โดยไมม่ ีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดง ฉลากน้นั ไมถ่ ูกตอ้ ง หรือขายสินคา้ ท่ีมีฉลากที่คณะกรรมการวา่ ดว้ ยฉลากสัง่ เลิกใชต้ ามมาตรา ๓๓ ท้งั น้ี โดยรู้หรือควรรู้อยแู่ ลว้ วา่ การไม่มีฉลากหรือการแสดงฉลากดงั กล่าวน้นั ไม่ถูกตอ้ งตามกฎหมาย ตอ้ งระวาง โทษจาคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไมเ่ กินหา้ หมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ ถา้ การกระทาตามวรรคหน่ึง เป็นการกระทาของผผู้ ลิตเพ่อื ขาย หรือผสู้ ่งั หรือนาเขา้ มาในราชอาณาจกั รเพ่ือขาย ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษ จาคุกไมเ่ กินหน่ึงปี หรือปรับไมเ่ กินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ มาตรา ๕๓ ผปู้ ระกอบธุรกิจผใู้ ดไมป่ ฏิบตั ิตามคาสั่งของคณะกรรมการวา่ ดว้ ยฉลากซ่ึงสัง่ ตามมาตรา ๓๓ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหกเดือน หรือปรับไมเ่ กินหา้ หมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ มาตรา ๕๔ ผใู้ ดรับจา้ งทาฉลากท่ีไมถ่ ูกตอ้ งตามกฎหมาย หรือรับจา้ งติดตรึงฉลากที่ไม่ถูกตอ้ งตามกฎหมาย กบั สินคา้ โดยรู้หรือควรรู้อยแู่ ลว้ วา่ ฉลากดงั กล่าวน้นั ไม่ถูกตอ้ งตามกฎหมาย ตอ้ งระวางโทษปรับไม่เกิน สองหม่ืนบาท มาตรา ๕๕ ผปู้ ระกอบธุรกิจผใู้ ดไม่ปฏิบตั ิตามกฎกระทรวงท่ีออกตามมาตรา ๓๕ ตอ้ งระวางโทษปรับไม่ เกินหน่ึงหม่ืนบาท มาตรา ๕๖ ผปู้ ระกอบธุรกิจผใู้ ด ขายสินคา้ ท่ีคณะกรรมการสง่ั หา้ มขายเพราะสินคา้ น้นั อาจเป็ นอนั ตรายแก่ ผบู้ ริโภคตามมาตรา ๓๖ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหา้ หมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ ถา้ ผปู้ ระกอบธุรกิจน้นั เป็นผผู้ ลิตเพ่ือขายหรือเป็ นผสู้ ่งั หรือนาเขา้ มาในราชอาณาจกั รเพื่อขาย ผกู้ ระทา ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรับไม่เกินหา้ แสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ มาตรา ๕๗ ผปู้ ระกอบธุรกิจผใู้ ดไม่ส่งมอบสญั ญาท่ีมีขอ้ สญั ญาหรือมีขอ้ สญั ญาและแบบถูกตอ้ งตามมาตรา ๓๕ ทวิ หรือไมส่ ่งมอบหลกั ฐานการรับเงินที่มีรายการและขอ้ ความถูกตอ้ งตามมาตรา ๓๕ เบญจ ใหแ้ ก่

ผบู้ ริโภคภายในระยะเวลาตามมาตรา ๓๕ อฏั ฐ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินหน่ึงปี หรือปรับไม่เกินหน่ึง แสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ ผปู้ ระกอบธุรกิจผใู้ ด ส่งมอบหลกั ฐานการรับเงิน โดยลงจานวนเงินมากกวา่ ท่ี ผบู้ ริโภคจะตอ้ งชาระและไดร้ ับเงินจานวนน้นั ไปจากผบู้ ริโภคแลว้ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหน่ึงเดือน หรือปรับต้งั แตห่ า้ ร้อยบาทถึงหน่ึงหม่ืนบาทหรือท้งั จาท้งั ปรับ เวน้ แต่จะพสิ ูจนไ์ ดว้ า่ ตนไดใ้ ชค้ วาม ระมดั ระวงั ตามสมควรในการประกอบธุรกิจเช่นน้นั แลว้ มาตรา ๕๗ ทวิ ผปู้ ระกอบธุรกิจผใู้ ดฝ่ าฝืนหรือไมป่ ฏิบตั ิตามมาตรา ๓๕ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหน่ึงปี หรือปรับไมเ่ กินหน่ึงแสนบาทหรือท้งั จาท้งั ปรับ มาตรา ๕๘ ผใู้ ดกระทาความผดิ ตามพระราชบญั ญตั ิน้ีภายในสถานที่ประกอบธุรกิจของผปู้ ระกอบธุรกิจ และการกระทาน้นั เป็ นไปเพื่อประโยชนข์ องผปู้ ระกอบธุรกิจ ใหส้ นั นิษฐานวา่ ผปู้ ระกอบธุรกิจเป็ นผกู้ ระทา ผดิ ร่วมดว้ ยเวน้ แต่จะพิสูจนไ์ ดว้ า่ ตนไมส่ ามารถคาดหมายไดว้ า่ บุคคลน้นั จะกระทาความผดิ แมจ้ ะใชค้ วาม ระมดั ระวงั ตามสมควรแลว้ มาตรา ๕๙ ในกรณีที่ผกู้ ระทาความผดิ ซ่ึงตอ้ งรับโทษตามพระราชบญั ญตั ิน้ีเป็ นนิติบุคคล กรรมการหรือ ผจู้ ดั การหรือผรู้ ับผดิ ชอบในการดาเนินการของนิติบุคคลน้นั ตอ้ งรับโทษตามท่ีกฎหมายกาหนดสาหรับ ความผดิ น้นั ๆ ดว้ ยเวน้ แตจ่ ะพิสูจนไ์ ดว้ า่ ตนมิไดม้ ีส่วนในการกระทาความผดิ ของนิติบุคคลน้นั มาตรา ๖๐ ผใู้ ดโดยเจตนาทุจริตใชจ้ า้ งวานยยุ งหรือดาเนินการใหส้ มาคมท่ีคณะกรรมการรับรองตามมาตรา ๔๐ ฟ้องร้องผปู้ ระกอบธุรกิจคนใดเป็นคดีแพง่ หรือคดีอาญาต่อศาล เพ่ือกลนั่ แกลง้ ผปู้ ระกอบธุรกิจน้นั ให้ ไดร้ ับความเสียหาย ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไมเ่ กินหา้ หม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ มาตรา ๖๑ ผใู้ ดเปิ ดเผยขอ้ เทจ็ จริงใดเกี่ยวกบั กิจการของผปู้ ระกอบธุรกิจอนั เป็ นขอ้ เทจ็ จริงท่ีตามปกติวสิ ัย ของผปู้ ระกอบธุรกิจจะพงึ สงวนไวไ้ ม่เปิ ดเผย ซ่ึงตนไดม้ าหรือล่วงรู้เนื่องจากการปฏิบตั ิการ พระราชบญั ญตั ิน้ีตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหน่ึงปี หรือปรับไมเ่ กินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ เวน้ แต่เป็นการเปิ ดเผยในการปฏิบตั ิราชการหรือเพื่อประโยชนใ์ นการสอบสวน หรือการพิจารณาคดีผใู้ ดไดม้ า ล่วงรู้ขอ้ เทจ็ จริงใดจากบุคคลตามวรรคหน่ึงเน่ืองในการปฏิบตั ิราชการหรือการสอบสวนหรือการพิจารณา คดี แลว้ เปิ ดเผยขอ้ เทจ็ จริงน้นั ในประการที่น่าจะเสียหายแก่ผหู้ น่ึงผใู้ ดตอ้ งระวางโทษเช่นเดียวกนั มาตรา ๖๒ บรรดาความผดิ ตามพระราชบญั ญตั ิน้ี คณะกรรมการมีอานาจเปรียบเทียบได้ และในการน้ีให้ คณะกรรมการมีอานาจมอบหมายใหค้ ณะกรรมการเฉพาะเรื่องหรือคณะอนุกรรมการพนกั งานสอบสวน หรือพนกั งานเจา้ หนา้ ที่ ดาเนินการเปรียบเทียบไดโ้ ดยจะกาหนดหลกั เกณฑใ์ นการเปรียบเทียบหรือเง่ือนไข ประการใดๆ ใหแ้ ก่ผไู้ ดร้ ับมอบหมายตามท่ีเห็นสมควรดว้ ยก็ได้ ภายใตบ้ งั คบั ของบทบญั ญตั ิตามวรรคหน่ึง ในการสอบสวนถา้ พนกั งานสอบสวนพบวา่ บุคคลใดกระทาความผดิ ตามพระราชบญั ญตั ิน้ี และบุคคลน้นั ยนิ ยอมใหเ้ ปรียบเทียบ ใหพ้ นกั งานสอบสวนส่งเรื่องมายงั คณะกรรมการหรือผซู้ ่ึงคณะกรรมการมอบหมาย ใหม้ ีอานาจเปรียบเทียบตามวรรคหน่ึงภายในเจด็ วนั นบั แต่วนั ท่ีผนู้ ้นั แสดงความยนิ ยอมใหเ้ ปรียบเทียบเมื่อ

ผกู้ ระทาความผดิ ไดเ้ สียคา่ ปรับตามท่ีเปรียบเทียบแลว้ ใหถ้ ือวา่ คดีเลิกกนั ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณา ความอาญา ใบงาน เรื่อง กฎหมาย พระราชบัญญตั แิ ละข้อมูลการคุ้มครองผู้บริโภค 1.พระราชบญั ญตั ิคุม้ ครองผบู้ ริโภค พ.ศ. 2522 ซ่ึงแกไ้ ขเพ่ิมเติมโดย (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2541 ไดบ้ ญั ญตั ิสิทธิ ของผบู้ ริโภคท่ีจะไดร้ ับความคุม้ ครองตามกฎหมาย 5 ประการมีอะไรบา้ ง .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2.ฉลากของสินคา้ ที่ควบคุมฉลาก จะตอ้ งมีลกั ษณะอยา่ งไร .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................

ชื่อ....................................................................................................รหสั นักศึกษา...................................... เฉลยใบงาน เร่ือง กฎหมาย พระราชบัญญตั แิ ละข้อมูลการคุ้มครองผู้บริโภค [1] 1. สิทธิที่จะไดร้ ับขา่ วสารรวมท้งั คาพรรณนาคุณภาพที่ถูกตอ้ งและเพียงพอเก่ียวกบั สินคา้ หรือ บริการ ไดแ้ ก่ สิทธิที่ จะไดร้ ับการโฆษณาหรือการแสดงฉลากตามความเป็นจริงและปราศจากพิษภยั แก่ ผบู้ ริโภค รวมตลอดถึงสิทธิท่ีจะไดร้ ับทราบ ขอ้ มูลเก่ียวกบั สินคา้ หรือบริการอยา่ งถูกตอ้ งและเพยี งพอที่จะ ไม่หลงผดิ ในการซ้ือสินคา้ หรือรับบริการโดยไม่เป็นธรรม 2. สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินคา้ หรือบริการ ไดแ้ ก่ สิทธิที่จะเลือกซ้ือสินคา้ หรือรับ บริการโดยความ สมคั รใจของผบู้ ริโภค และปราศจากการ ชกั จูงใจอนั ไมเ่ ป็ นธรรม 3. สิทธิที่จะไดร้ ับความปลอดภยั จากการใชส้ ินคา้ หรือบริการ ไดแ้ ก่ สิทธิที่จะไดร้ ับสินคา้ หรือ บริการท่ีปลอดภยั มีสภาพและคุณภาพไดม้ าตรฐานเหมาะสมแก่การใช้ ไม่ก่อใหเ้ กิดอนั ตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพยส์ ิน ในกรณีใชต้ ามคาแนะนาหรือระมดั ระวงั ตามสภาพของสินคา้ หรือบริการน้นั แลว้ 4. สิทธิท่ีจะไดร้ ับความเป็นธรรมในการทาสัญญา ไดแ้ ก่ สิทธิท่ีจะไดร้ ับขอ้ สัญญาโดยไมถ่ ูกเอา รัดเอาเปรียบจากผปู้ ระกอบธุรกิจ 5. สิทธิที่จะไดร้ ับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ไดแ้ ก่ สิทธิท่ีจะไดร้ ับการคุม้ ครองและ ชดใชค้ า่ เสียหาย เมื่อมีการละเมิดสิทธิของผบู้ ริโภคตามขอ้ 1, 2, 3 และ 4 ดงั กล่าว [2] 1 ใชข้ อ้ ความท่ีตรงต่อความจริงและไมม่ ีขอ้ ความที่อาจก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจผดิ ในสาระสาคญั เกี่ยวกบั สินคา้ 2 ตอ้ งระบุขอ้ ความดงั ต่อไปน้ี (ก) ชื่อหรือเคร่ืองหมายการคา้ ของผผู้ ลิตหรือของผูน้ าเขา้ เพอื่ ขายแลว้ แตก่ รณี (ข) สถานท่ีผลิตหรือสถานท่ีประกอบธุรกิจนาเขา้ แลว้ แต่กรณี (ค) ระบุขอ้ ความท่ีแสดงใหเ้ ขา้ ใจไดว้ า่ สินคา้ น้นั คืออะไร ในกรณีที่เป็นสินคา้ นาเขา้ ให้ระบุชื่อประเทศที่ ผลิตดว้ ย 3 ตอ้ งระบุขอ้ ความอนั จาเป็น ไดแ้ ก่ ราคา ปริมาณ วธิ ีใช้ ขอ้ แนะนา คาเตือน วนั เดือน ปี ท่ี หมดอายุ

แผนการจัดการเรียนรู้ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ มคี วามรู้ความเข้าใจ และสามารถจาแนกตามแหล่งทมี่ าของวสั ดุ รหสั วชิ า พว 32003 รายวชิ า วสั ดุศาสตร์ 2 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เรื่อง วสั ดุศาสตร์รอบตวั ระยะเวลา 6 ช่ัวโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ความเขา้ ใจ และเห็นคุณคา่ เกี่ยวกบั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งมีชีวติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มในทอ้ งถ่ินประเทศโลก สาร แรง พลงั งาน กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตร์และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชนใ์ นการ ดาเนินชีวติ 2. ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 1. บอกความหมายของวสั ดุศาสตร์ได้ 2. จาแนกประเภทชองวสั ดุศาสตร์ได้ 3. เปรียบเทียบสมบตั ิของวสั ดุศาสตร์ได้ 3. สาระสาคญั วสั ดุศาสตร์ (Materials Science )เป็นการศึกษาองคค์ วามรู้ ที่เก่ียวขอ้ งกบั วสั ดุท่ีนามาใช้ ประกอบกนั เป็ นชิ้นงาน ตามการออกแบบ มีตนั ตน สามารถสัมผสั ได้ โดยวสั ดุแต่ละชนิดจะมีสมบตั ิ เฉพาะตวั ไดแ้ ก่ สมบตั ิทางฟิ สิกส์ สมบตั ิทางเคมี สมบตั ิทางไฟฟ้า และ สมบตั ิเชิงกล วสั ดุ ที่เราใชห้ รือพบ เห็นในชีวติ ประจาวนั สามารถจาแนกตามแหล่งที่มาของวสั ดุ ไดแ้ ก่ วสั ดุธรรมชาติ แบ่งออกเป็ นวสั ดุ ธรรมชาติที่ไดจ้ ากสิ่งไมม่ ีชีวติ เช่นดินเหนี่ยว หินปูน ศิลาแลง กรวด ทราย เหล็ก และวสั ดุศาสตร์สงั เคราะห์ ซ่ึงเป็นวสั ดุท่ีเกิดจากกระบวนการทางเคมี เช่นพลาสติก เส้นใยสงั เคราะห์ โพม เป็นตน้ 4. สาระการเรียนรู้/เนื้อหา 1.ความของวสั ดุศาสตร์ 2.ประเภทของวสั ดุศาสตร์ 3.คุณสมบตั ิของวสั ดุ 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. มีความรู้ความเขา้ ใจ และเห็นคุณคา่ เก่ียวกบั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งมีชีวติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มในทอ้ งถ่ินประเทศโลก 2.มีความรู้ความเขา้ ใจสารแรงพลงั งาน กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลกและดาราศาสตร์

3. สามารถนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ในการดาเนินชีวติ ประจาวนั 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6.1. ครูอธิบายรายละเอียดสาระสาคญั และผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั ในรายวชิ าน้ี 6.2. ครูใหก้ บั ผเู้ รียน ศึกษาคน้ ควา้ และแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ ข้นั ที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.3. ครูแบ่งกลุ่มผเู้ รียน ใหศ้ ึกษาคน้ ควา้ เร่ือง 1. วสั ดุศาสตร์รอบตวั 2. วสั ดุศาสตร์ มีกี่ประเภท อะไรบา้ ง 3. คุณสมบตั ิของสั ดุศาสตร์ในแตล่ ะประเภท 6.4. ครูใหผ้ เู้ รียนสรุปความรู้ท่ีไดร้ ับจากการศึกษาและสรุปลงในกระดาษรายงาน ข้นั ท่ี 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนาไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation) 6.5. ครูใหผ้ เู้ รียนออกมานาเสนอผลงานท่ีผเู้ รียนไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ 6.6. ครูและผเู้ รียนสรุปเน้ือหาร่วมกนั พร้อมใหท้ ุกคนนางานท่ีทาส่งครูผสู้ อน ข้นั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.7. ครูประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนการนาเสนอ การซกั ถาม และใบงาน 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพมิ่ เตมิ ดังนี้ 7.1ใหผ้ เู้รียนศึกษาคน้ ควา้ ต่อเนื่องในหวั ขอ้ การใชป้ ระโยชนแ์ ละผลกระทบจากการใชว้ สั ดุศาสตร์ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือแบบเรียนรายวชิ าพว 22003 วสั ดุศาสตร์ 2 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 9. กระบวนการวดั ผลประเมินผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สงั เกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน

9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.4 การสังเกตพฤติกรรมการมีส่วน

แผนการจัดการเรียนรู้ ระดับ มธั ยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ มีความรู้ความเข้าใจ ในการจัดการเศษซากวสั ดุ รหัสวชิ า พว 32003 รายวชิ า วสั ดุศาสตร์ 2 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง การจัดการเศษซากวสั ดุ ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ความเขา้ ใจ และเห็นคุณค่าเกี่ยวกบั ในการจดั การเศษซากวสั ดุ เพ่ือลดผลกระทบที่จะ เกิดข้ึนกบั ส่ิงแวดลอ้ มมากท่ีสุด โดยใชก้ ระบวนการที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพในการแกป้ ัญหาของเศษ ซากวสั ดุ และอีกท้งั ยงั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชนใ์ นการดาเนินชีวติ ประจาวนั 2. ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. สามารถอธิบายหลกั สาคญั ในการจดั การเศษซากวสั ดุ 2. สามารถบอกอตั ราเร็วในการยอ่ ยสลายเศษซากวสั ดุ 3. สามารถอธิบายหลกั 3R ในการจดั การเศษซากวสั ดุ 4. สามารถระบุประเภทของภาชนะรองรับเศษซากวสั ดุ 5. สามารถอธิบายเทคโนโลยกี ารกาจดั เศษซากวสั ดุ 3. สาระสาคญั วสั ดุท่ีใชแ้ ลว้ หรือเศษซากวสั ดุที่ถูกเรียกวา่ ‘ขยะมลู ฝอย’ในชีวติ ประจาวนั ขยะมลู ฝอยเริ่มทวคี ูณเพิม่ ปริมาณ ข้ึนเรื่อยๆเพ่อื ใหม้ ีปริมาณขยะท่ีลดนอ้ ยลง เรสตอ้ งมีการจดั การขยะมูลฝอยใหถ้ ูกวธิ ี เพอ่ื ลดผลกระทบท่ีจะเกิดข้นึ กบั ส่ิงแวดลอ้ มมากที่สุด ในปัจจบุ นั การจดั การขยะมูลฝอยมหี ลากหลายวธิ ี เป็ นการผสมผสานเพ่ือใหเ้ ป็ นกระบวนการที่ เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการแกป้ ัญหาของขยะมลู ฝอย การจดั การขยะมลู ฝอยข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั หลายอยา่ ง มีความ ยดื หยนุ่ ไมม่ ีรูปแบบที่ตายตวั ข้นึ กบั เงื่อนไขและปัจจยั ดา้ นการจดั การเร่ืองขยะมูลฝอยของทอ้ งถ่ินน้นั ๆเช่นพ้ืนท่ี หรือ สถานท่ี ระดบั การมีส่วนร่วมของชุมชน และ ในปัจจุบนั วธิ ีการกาจดั ขยะอยา่ งง่ายๆที่พบเห็นมี 2 วธิ ี คือ โดยการเผาไหม้ และ ฝังกลบ 4. สาระการเรียนรู้/เนื้อหา 1. การจดั การเศษซากวสั ดุ 2. อตั รายอ่ ยสลายของเศษซากวสั ดุ 3. หลกั 3R ในการจดั การเศษซากวสั ดุ 4.ภาชนะรองรับเศษซากวสั ดุ 5.เทคโนโลยกี ารกาจดั เศษซากวสั ดุ

5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. มีความรู้ความเขา้ ใจ และเห็นคุณค่าเกี่ยวกบั หลกั สาคญั ในการจดั การเศษซากวสั ดุ 2. มีความรู้ความเขา้ ใจบอกอตั ราเร็วในการยอ่ ยสลายเศษซากวสั ดุ 3. มีความรู้ความเขา้ ใจอธิบายหลกั 3R ในการจดั การเศษซากวสั ดุ 4.มีความรู้ความเขา้ ใจภาชนะรองรับเศษซากวสั ดุ 5.มีความรู้ความเขา้ ใจเทคโนโลยกี ารกาจดั เศษซากวสั ดุ 6.สามารถนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ในการดาเนินชีวิตประจาวนั 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6.1. ครูอธิบายรายละเอียดสาระสาคญั และผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั ในรายวชิ าน้ี 6.2. ครูใหก้ บั ผเู้ รียน ศึกษาคน้ ควา้ และแลกเปล่ียนการเรียนรู้ ข้นั ที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.3. ครูแบ่งกลุ่มผเู้ รียน ใหศ้ ึกษาคน้ ควา้ เร่ือง 1. การจดั การเศษซากวสั ดุมีกี่วธิ ี อะไรบา้ ง 2. การกาจดั เศษซากวสั ดุควรคานึงถึงอะไร 3. หลกั 3 R มีอะไรบา้ ง จงอธิบาย 4. เทคโนโลยกี ารกาจดั เศษซากวสั ดุ 6.4. . ครูใหผ้ เู้ รียนสรุปความรู้ที่ไดร้ ับจากการศึกษาและสรุปลงในกระดาษรายงาน ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation) 6.5. ครูใหผ้ เู้ รียนออกมานาเสนอผลงานท่ีผเู้ รียนไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ 6.6. ครูและผเู้ รียนสรุปเน้ือหาร่วมกนั พร้อมใหท้ ุกคนนางานที่ทาส่งครูผสู้ อน ข้นั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.7. ครูประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนการนาเสนอ การซกั ถาม และใบงาน 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพมิ่ เตมิ ดงั นี้ 7.1ใหผ้ เู้รียนศึกษาคน้ ควา้ ต่อเน่ืองในหวั ขอ้ การกาจดั เศษซากวสั ดุ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือแบบเรียนรายวชิ าพว 22003 วสั ดุศาสตร์ 2 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้

9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สงั เกตพฤติกรรมการทางานของผูเ้ รียนรายบุคคล 9.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.4 การสงั เกตพฤติกรรมการมีส่วน

แผนการจัดการเรียนรู้ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ มีความรู้ความเข้าใจ และเจตคตทิ ด่ี ีในงานอาชีพ รหัสวชิ า อช21001 รายวชิ า ช่องทางการพฒั นาอาชีพ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การงานอาชีพ ระยะเวลา 6 ช่ัวโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ความเขา้ ใจ และเจตคติท่ีดีในงานอาชีพ วเิ คราะห์ลกั ษณะงานขอบขา่ ยงาน อาชีพในชุมชน สังคม ประเทศและโลก ที่เหมาะสมกบั ศกั ยภาพของตนและสอดคลอ้ งกบั ชุมชน เพือ่ พฒั นาอาชีพ 2.ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 1. อธิบายความสาคญั และความจาเป็นในการพฒั นาอาชีพ 2. อธิบายลกั ษณะขอบข่าย กระบวนการผลิตงานอาชีพในชุมชน สังคม ประเทศและโลก เพื่อนามาวเิ คราะห์ในการพฒั นาอาชีพ 3. อธิบายการจดั การงานอาชีพในชุมชน สังคม ประเทศและโลก เพือ่ นามาวเิ คราะห์ในการ พฒั นาอาชีพ 4. อธิบายคุณธรรม จริยธรรม ในการพฒั นาอาชีพ 5. อธิบายการอนุรักษพ์ ลงั งานและสิ่งแวดลอ้ มในการพฒั นาอาชีพในชุมชน สงั คม ประเทศ และโลก 3.สาระสาคญั อาชีพในปัจจุบนั มีอยหู่ ลากหลายในสังคม มีท้งั สร้างข้ึนใหมจ่ ากทรัพยากรที่มีอยู่ หรือ พฒั นาขยายขอบขา่ ย จากอาชีพหน่ึงเป็นอาชีพหน่ึง หากผเู้ รียนมีโลกทศั น์ทางอาชีพจะทาใหม้ ี ความรู้ ความเขา้ ใจ อธิบายความสาคญั และความจาเป็น ลกั ษณะขอบข่ายกระบวนการงานอาชีพ คุณธรรม จริยธรรม และการอนุรักษพ์ ลงั งานและส่ิงแวดลอ้ มจะทาใหเ้ ห็นช่องทางในการพฒั นา อาชีพ 4.สาระการเรียนรู้/เนื้อหา 1. ความสาคญั และความจาเป็ นในการพฒั นาอาชีพ 2. การพฒั นาอาชีพในชุมชน สงั คม ประเทศและโลก 3. การพฒั นากระบวนการจดั งานอาชีพในชุมชน สังคม ประเทศและโลก

4. คุณธรรม จริยธรรม 5.การอนุรักษพ์ ลงั งานและส่ิงแวดลอ้ มในการพฒั นาอาชีพในชุมชนสังคมประเทศและโลก 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.อธิบายความสาคญั และความจาเป็นในการพฒั นาอาชีพ 2.อธิบายลกั ษณะขอบข่าย กระบวนการผลิตงานอาชีพในชุมชนสงั คมประเทศและภูมิภาค 5 ทวปี ไดแ้ ก่ทวปี เอเซียทวปี ออสเตรเลียทวปี อเมริกาทวปี ยโุ รปและทวปี อฟั ริกาเพ่ือนามาวเิ คราะห์ ในการพฒั นาอาชีพ 3.อธิบายการจดั การในงานอาชีพในชุมชนสงั คมประเทศ และภูมิภาค 5 ทวปี 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ท่ี 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6.1 ครูและผเู้ รียนพดู คุยแลกเปล่ียนความสาคญั และความจาเป็นในการพฒั นาอาชีพใน ชุมชน ในชุมชนของตนเอง เช่น อาชีพเกษตรกรรม อาชีพรับจา้ ง อาชีพคา้ ขาย และอ่ืนๆ วา่ แต่ ละอาชีพน้นั มีความสาคญั อยา่ งไร และมีแนวทางในการพฒั นาอาชีพของตนเองอยา่ งไร ข้นั ที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.2. ครูใหผ้ เู้ รียนทาแบบทดสอบก่อนเรียนเพือ่ วดั ความรู้ความสามารถก่อนเรียน 6.3. ครูใหผ้ เู้ รียนแบง่ กลุ่มออกเป็น 4กลุ่ม กลุ่มละเทา่ ๆกนั 6.4. ครูแจกใบความรู้เร่ือง ความสาคญั และความจาเป็นในการพฒั นาอาชีพ 6.5. ใหผ้ เู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ จากใบความรู้ จากน้นั ครูมอบหมายงานใหผ้ เู้ รียนแต่ละกลุ่ม ช่วยกนั ระดมความคิด โดยต้งั ประเดน็ ใหน้ กั ศึกษาบอกถึงอาชีพที่สาคญั ในชุมชนพร้อมท้งั แนวทาง ในการพฒั นาอาชีพ ลงในกระดาษบรู๊ฟ 6.6. ผเู้ รียนแตล่ ะกลุ่มนาเสนอตามหวั ขอ้ เมื่อแตล่ ะกลุ่มนาเสนอเสร็จแลว้ ไดม้ ีการเปิ ด โอกาสใหส้ มาชิกกลุ่มอื่นๆ แลกเปล่ียนเรียนรู้ แสดงความคิดเห็นร่วมกนั โดยมีครูเป็ นที่ปรึกษา 6.7.ครูและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาในเรื่อง ความสาคญั และความจาเป็นในการพฒั นา อาชีพ และทาใบงาน 6.8. ครูมอบหมายงาน เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนไปศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง และนาเสนอในการพบ กลุ่มคร้ังตอ่ ไป ข้นั ท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปประยุกต์ใช้ (I : Implementation) 6.9. ผเู้ รียนนาความรู้ที่ไดร้ ับจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่มผเู้ รียนในเรื่องของอาชีพไป ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดารงชีวติ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook