Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการสอน3

แผนการสอน3

Published by nookfilmsuksorn, 2020-09-19 09:33:09

Description: แผนการสอน3

Search

Read the Text Version

ข้นั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.10 ครูและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปองคค์ วามรู้จากการนาเสนอผลงานของผเู้ รียน 6.11 ผเู้ รียนนาความรู้ที่ไดจ้ ากการสรุปองคค์ วามรู้ไปใชใ้ นการปรับปรุง แกไ้ ข ขอ้ บกพร่องของตนเอง 6.12 ครูประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนจากผลงาน ใบงาน ตามสภาพความเป็ นจริง และ ธรรมชาติของผเู้ รียน 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพมิ่ เตมิ ดังนี้ 7.1 ความสาคญั และความจาเป็นในการพฒั นาอาชีพ 7.2 ลกั ษณะขอบขา่ ย กระบวนการผลิตงานอาชีพในชุมชน สังคม ประเทศและโลก 7.3 การจดั การในงานอาชีพในชุมชนสงั คมประเทศ และภูมิภาค 5 ทวปี 8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือแบบเรียนรายวชิ าอช 21001ช่องทางการพฒั นาอาชีพ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 8.3 ใบความรู้ 8.4 ส่ือส่ิงพมิ พ์ 9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สังเกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.4 การสังเกตพฤติกรรมการมีส่วน

ใบความรู้ เรื่อง ความสาคัญและความจาเป็ นในการพฒั นาอาชีพ ความสาคญั และความจาเป็ นของการพฒั นาอาชีพ วิเคราะห์ลกั ษณะขอบข่ายการงานอาชีพ กระบวนการทางาน การบริหารจดั การของอาชีพต่าง ๆ ในชุมชน สงั คม ประเทศ และโลก เพ่อื การพฒั นา อาชีพจากการงานอาชีพตา่ งๆ การพฒั นาอาชีพ หมายถึง การพฒั นาอาชีพท่ีดาเนินอยใู่ หเ้ หมาะสมกบั ความตอ้ งการของตลาด การพฒั นาอาชีพท่ีมี ประสิทธิภาพจะตอ้ งพฒั นาความรู้ ความสามารถในการวางแผนกาหนดยทุ ธศาสตร์ตา่ งๆ ท้งั ดว้ ยตนเองและ กระบวนการกลุ่ม โดยเฉพาะผปู้ ระกอบอาชีพเดียวกนั เพ่ือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซ่ึงกนั และกนั แลว้ นาไป ตดั สินใจเพื่อนาไปสู่การปฏิบตั ิ นอกจากน้ีควรมีการบริหารจดั การแบบองคร์ วมบูรณาการปัจจยั ต่างๆ ให้ เป็นหน่ึงเดียว สามารถเก้ือหนุนซ่ึงกนั และกนั ได้ เช่น ทุนทางสังคม ทรัพยากรตา่ งๆ ไดแ้ ก่ ความรู้ ความสามารถในกระบวนการผลิต และกระบวนการการตลาด การพฒั นาอาชีพมีความสาคญั และจาเป็น ดงั น้ี 1. ดา้ นเศรษฐกิจ จากการแข่งขนั ทางธุรกิจที่มีการแข่งขนั ทางการตลาดสูง จึงเกิดการรวมกลุ่ม การคา้ ตา่ งๆ เช่น เขตการคา้ เสรีอาเซียน เขตเศรษฐกิจยุโรป ดงั น้นั การพฒั นาอาชีพจึงจาเป็นตอ้ งมีการพฒั นา สินคา้ ใหส้ ามารถเขา้ สู่ตลาดการแขง่ ขนั และเป็ นท่ียอมรับของต่างประเทศ 2. ดา้ นสังคม ประเทศท่ีมีเศรษฐกิจดีจะส่งผลใหส้ ภาพของสังคมดีข้ึน เช่น ปราศจากโจรผรู้ ้าย 3. ดา้ นการศึกษา ครอบครัวท่ีมีเศรษฐกิจดีจะสามารถส่งบุตรหลานเขา้ รับการศึกษาไดต้ ามความ ตอ้ งการ และในอนาคตเยาวชนเหล่าน้ีกจ็ ะเป็ นประชากรท่ีมีคุณภาพ มีความสามารถในการประกอบอาชีพ ส่งผลตอ่ เศรษฐกิจ สังคมให้มีความเจริญกา้ วหนา้ ต่อไป ความสาคัญในการพฒั นาอาชีพ การพฒั นาอาชีพเป็นส่ิงที่สาคญั ในวถิ ีชีวติ และการดารงชีพในปัจจุบนั เพราะอาชีพเป็ นการสร้าง รายไดเ้ พอ่ื เล้ียงชีพตนเองและครอบครัว อาชีพก่อใหเ้ กิดผลผลิตและการบริการ ซ่ึงสนองตอบต่อความ ตอ้ งการของผบู้ ริโภค และท่ีสาคญั คือ การพฒั นาอาชีพมีความสาคญั ต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติ ความสาคญั จึงเป็ นฟันเฟื องในการพฒั นาคุณภาพชีวติ เศรษฐกิจ ชุมชน ส่งผลถึงความเจริญกา้ วหนา้ ของ ประเทศชาติ อาชีพกบั การพฒั นาอาชีพ เร่ืองราวของอาชีพ อาชีพกค็ ือการหาเล้ียงชีวติ ใหม้ ีกินมีอยู่ การเขา้ รับศึกษาของทุกคน ๆ กเ็ พื่อ นาไปประกอบอาชีพแต่ในยคุ ปัจจุบนั อาชีพมีมากมาย และอาชีพใหม่กน็ ่าสนใจมากข้ึน ในการพฒั นาอาชีพ ของแตล่ ะอาชีพน้นั มีแนวทางที่ตา่ งกนั ไปตามสายงาน แตท่ ุกอาชีพสามารถพฒั นาไดท้ ้งั หมด นกั เรียน นกั ศึกษาจบใหมๆ่ บางคนอาจมีแนวคิดแปลกๆ ที่ไม่เหมือนคนอื่น เช่น อยากทาอาชีพอิสระ ซ่ึงคนปัจจุบนั

คิดแบบน้ีมากข้ึน เพราะเหตุท่ีวา่ อาชีพในยคุ ปัจจุบนั ไมถ่ ูกตีกรอบแคบๆ อีกต่อไป อาชีพน้นั ไม่วา่ จะเป็น อาชีพอะไรกต็ าม ท้งั อาชีพที่ใชแ้ รงกาย อาชีพท่ีใชแ้ รงสมอง สามารถพฒั นาไดท้ ้งั น้นั ทศิ ทางการพฒั นาอาชีพ 1. ตอ้ งรู้จกั อาชีพของตนเองใหด้ ีพอ 2. รู้ทิศทางของอาชีพของตน 3. รู้โลกท่ีเปล่ียนแปลงตลอดเวลา 4. วางแผนชีวิตและการทางาน 5. กาหนดนโยบายการพฒั นาอาชีพของตนเอง (มีวสิ ยั ทศั น์) 6. ต้งั เป้าหมาย แบง่ ระยะใหเ้ ห็นเป็นรูปธรรม 7. วางกลยทุ ธพฒั นาอาชีพ 8. ลงมือปฏิบตั ิ 9. ประเมินผลใหเ้ ป็ น 10. ปรับปรุง 11. พฒั นา แนวทางการพฒั นาอาชีพที่กล่าวมาที่จริงแลว้ กค็ ือหลกั พ้ืนฐานทว่ั ไป ซ่ึงคนประกอบอาชีพน้นั ๆ ควรรู้ เช่น อาชีพแมบ่ า้ น สามารถพฒั นาไดจ้ นถึงข้นั สูง และเป็นอาชีพท่ีทรงคุณค่าได้ เรียกวา่ แม่บา้ นมือ อาชีพ อาชีพแมบ่ า้ นสมยั ก่อน คือ อาชีพคนรับใช้ แตใ่ นยคุ ปัจจุบนั อาชีพคนรับใชห้ รือคนทาความสะอาด ภายในบา้ นไมใ่ ช่อาชีพท่ีตอ้ ยต่าอีกต่อไป เพราะปัจจุบนั มีบริษทั เปิ ดใหบ้ ริการสาหรับลูกคา้ ที่ตอ้ งการ แมบ่ า้ นแบบมืออาชีพไป ช่วยเหลือในการจดั การภายในบา้ นหรืออาคารตา่ ง ๆ ตลอดจนถึงโรงแรม ซ่ึงการ เพม่ิ มูลค่าและคุณคา่ คือการพฒั นาอาชีพของตนเอง การยกระดบั แมบ่ า้ นสู่การเป็ นแมบ่ า้ นมืออาชีพ อยา่ งเช่น การจดั โตะ๊ การวางชอ้ น การวางผา้ สาหรับโตะ๊ รับประทานอาหาร มีแนวปฏิบตั ิท่ีเป็นแบบแผนสากล การมีความรู้ในดา้ นน้ีจึงมีความจาเป็น และในเรื่อง อ่ืนๆ อีกอยา่ งเช่น การปูผา้ ปูเตียงใหต้ ึงก็มีเทคนิค การทาความสะอาดเคร่ืองใชต้ ่างๆ อยา่ งเช่น เส้ือผา้ ไหม สูท หรือเส้ือผา้ ท่ีทาจากขนสัตวก์ ม็ ีเทคนิคการดูแลพเิ ศษกวา่ ผา้ ชนิดอื่นๆ น้ีคือแนวทางการพฒั นาอาชีพให้ เป็นแบบมืออาชีพ แมบ่ า้ นมืออาชีพสมยั น้ีตอ้ งชานาญในเร่ืองที่กล่าวมา และมูลคา่ ของค่าจา้ งจึงสูงกวา่ แมบ่ า้ นแบบธรรมดา เพราะมีความรู้ความชานาญพิเศษ ค่าแรงจึงสูงตามไปดว้ ย เห็นดว้ ยหรือไมว่ า่ อาชีพที่ ธรรมดาแตไ่ ม่ธรรมดามูลค่ากเ็ พ่มิ ข้ึนได้ เขาเรียกวา่ การพฒั นาสายงานของตนเอง ฉะน้นั ทุกสายอาชีพสามารถพฒั นาไดห้ มด มีความกา้ วหนา้ ไดท้ ุกหนทุกแห่ง อยา่ ไดน้ อ้ ยใจวา่ อาชีพ ของเราไม่มีคา่ ไมม่ ีราคา ถา้ เราใส่ความรู้ ใส่ความรักกบั งาน งานที่เราทาก็จะช่วยพฒั นาคุณภาพชีวติ และ เจริญกา้ วหนา้ ไดต้ ลอดอาชีพทุกอาชีพมีหนทางพฒั นาในแบบของตน

ความจาเป็ นในการพฒั นาอาชีพ ความจาเป็นในการพฒั นาอาชีพในชุมชน สงั คม ประเทศ และโลก ท่ีเหมาะสมกบั ตนเอง วเิ คราะห์ ความเป็นไปไดต้ า่ ง ๆ ไดแ้ ก่ การลงทุน การตลาด กระบวนการผลิต การขนส่ง การบรรจุหีบห่อ การแปรรูป และผลกระทบต่อชุมชน และสิ่งแวดลอ้ ม ความรู้ความสามารถของตนเองต่อส่ิงที่ตอ้ งการพฒั นา การลาดบั ความสาคญั ของการพฒั นาที่มีความเป็นไปได้ เพ่ือนาขอ้ มูลที่วเิ คราะห์ไวน้ าไปปรึกษาผรู้ ู้ การตดั สินใจเลือก พฒั นาอาชีพท่ีเหมาะสมกบั ตนเอง โดยวิเคราะห์ความพร้อมของตนเอง ความตอ้ งการของตลาด เทคนิค ความรู้ ทกั ษะในอาชีพ และความรับผดิ ชอบต่อสงั คม ทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ ม ประโยชน์ในการพฒั นาอาชีพ 1. มีการใชท้ ุนทางสังคมอยา่ งคุม้ ค่า เน่ืองจากสามารถใชว้ สั ดุทดแทน ใชว้ สั ดุทอ้ งถ่ินลดการขนส่ง และทุนบางชนิดสามารถใชร้ ่วมกนั ได้ เช่น เครื่องมือทางการเกษตรสามารถใชใ้ นกิจกรรมการเกษตรดว้ ยกนั เป็ นตน้ 2. มีการเพมิ่ ผลผลิต เนื่องจากมีการพฒั นาสินคา้ ที่ตรงความตอ้ งการของลูกคา้ ทาใหย้ อดจาหน่าย มากข้ึน 3. มีการขยายตลาด สามารถขยายเครือขา่ ยดา้ นการตลาดใหก้ วา้ งข้ึน โดยผผู้ ลิตจะตอ้ งมีการ ประชาสมั พนั ธ์อยา่ งตอ่ เน่ือง 4. พฒั นารูปแบบผลิตภณั ฑเ์ พอ่ื บรรจุหีบห่อ ตอ้ งพฒั นารูปแบบอยตู่ ลอดเวลาทาใหส้ ินคา้ มีการ พฒั นารูปแบบผลิตภณั ฑห์ รือบรรจุภณั ฑอ์ ยเู่ สมอ 5. เกิดเศรษฐกิจชุมชน จากการที่มีการพฒั นาผลิตภณั ฑส์ ินคา้ ท้งั ดา้ นคุณภาพและปริมาณทาให้ ตลาดกวา้ งขวางข้ึนเศรษฐกิจชุมชนเจริญเติบโต 6. ชุมชนเขม้ แขง็ เม่ือชุมชนมีเศรษฐกิจดีข้ึน ส่งผลต่อการพฒั นาคุณภาพชีวิตดีข้ึน ครอบครัวอบอุ่น ลูกหลานไดเ้ รียนหนงั สือ ปราศจากโจรผรู้ ้ายและยาเสพติด 7. มีอาชีพมน่ั คง เน่ืองจากผปู้ ระกอบอาชีพมีการพฒั นาอาชีพอยตู่ ลอดเวลาในดา้ นการใชท้ ุน พฒั นา รูปแบบ จดั หาตลาดใหก้ วา้ งขวาง ทาใหม้ ีอาชีพมน่ั คง

ใบงาน เรื่องความสาคัญและความจาเป็ นในการพฒั นาอาชีพ คาชี้แจง ให้ผู้เรียนเขียนคาตอบลงในช่องว่าง ขอ้ ที่ 1 จงอธิบายความสาคญั ในการพฒั นาอาชีพ มาพอสงั เขป .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ขอ้ ที่ 2 จงอธิบายความจาเป็ นในการพฒั นาอาชีพ มาพอสังเขป .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................

เฉลยใบงาน เร่ืองความสาคญั และความจาเป็ นในการพฒั นาอาชีพ 1. การพฒั นาอาชีพท่ีดาเนินอยใู่ หเ้ หมาะสมกบั ความตอ้ งการของตลาด การพฒั นาอาชีพที่มี ประสิทธิภาพจะตอ้ งพฒั นาความรู้ ความสามารถในการวางแผนกาหนดยทุ ธศาสตร์ตา่ งๆ ท้งั ดว้ ยตนเองและ กระบวนการกลุ่ม โดยเฉพาะผปู้ ระกอบอาชีพเดียวกนั เพ่ือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซ่ึงกนั และกนั แลว้ นาไป ตดั สินใจเพื่อนาไปสู่การปฏิบตั ิ 2. ควรวเิ คราะห์ความเป็นไปไดต้ ่าง ๆ ไดแ้ ก่ การลงทุน การตลาด กระบวนการผลิต การขนส่ง การ บรรจุหีบห่อ การแปรรูป และผลกระทบตอ่ ชุมชน และสิ่งแวดลอ้ ม ความรู้ความสามารถของตนเองต่อสิ่งท่ี ตอ้ งการพฒั นา การลาดบั ความสาคญั ของการพฒั นาท่ีมีความเป็นไปได้ เพื่อนาขอ้ มูลท่ีวเิ คราะห์ไวน้ าไป ปรึกษาผรู้ ู้ การตดั สินใจเลือกพฒั นาอาชีพที่เหมาะสมกบั ตนเอง โดยวเิ คราะห์ความพร้อมของตนเอง ความ ตอ้ งการของตลาด เทคนิคความรู้ ทกั ษะในอาชีพ และความรับผดิ ชอบต่อสังคม ทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดลอ้ ม

แผนการจัดการเรียนรู้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ มีความรู้ความเข้าใจ และเจตคติที่เหมาะสมกบั ศักยภาพของตนและสอดคล้องกับชุมชน เพ่ือพฒั นาอาชีพ รหสั วชิ า อช21001 รายวชิ า ช่องทางการพฒั นาอาชีพ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ช่องทางการพฒั นาอาชีพ ระยะเวลา 6 ช่ัวโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ความเขา้ ใจ และเจตคติทดี่ ีในงานอาชีพ วเิ คราะห์ลกั ษณะงานขอบขา่ ยงาน อาชพี ในชมุ ชน สังคม ประเทศและโลก ที่เหมาะสมกบั ศักยภาพของตนและสอดคล้องกับชุมชน เพือ่ พัฒนาอาชีพ 2.ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. อธิบายความจาเป็นในการมองเห็นช่องทางในการพฒั นาอาชีพไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั ตนเอง 2. ศึกษาอาชีพในชุมชน สงั คม ประเทศและโลก เพื่อวเิ คราะห์ความเป็นไปไดใ้ นการพฒั นา อาชีพ 3. กาหนดวธิ ีการและข้นั ตอนการประกอบอาชีพโดยพจิ ารณาความเป็นไปไดข้ องการ พฒั นาอาชีพและจดั ลาดบั พร้อมท้งั ใหเ้ หตุผลในการลาดบั การพฒั นาอาชีพท่ีกาหนด 3.สาระสาคัญ การเปลี่ยนแปลงทางดา้ นสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและสิ่งแวดลอ้ ม ความเจริญกา้ วหน้า ทางเทคโนโลยีท่ีมีผลต่อความเป็ นอยู่และการประกอบอาชีพ ดังน้ันจึงจาเป็ นต้องศึกษาและ วิเคราะห์ความเป็ นไปไดใ้ นการพฒั นาอาชีพ เพื่อให้มองเห็นช่องทางในการพฒั นาอาชีพไดอยา่ ง เหมาะสมกบั ตนเองโดยการกาหนดวิธีการและข้นั ตอนดว้ ยการพิจารณาถึงความเป็ นไปได้และ จดั ลาดบั พร้อมท้งั ใหเ้ หตุผลในการพฒั นาอาชีพได้ 4.สาระการเรียนรู้/เนื้อหา 1. ความจาเป็นในการมองเห็นช่องทางเพ่ือพฒั นาอาชีพ 2. ความเป็นไปไดใ้ นการพฒั นาอาชีพ 3. การกาหนดวธิ ีการพฒั นาอาชีพพร้อมใหเ้ หตุผล

5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.อธิบายความจาเป็นในการมองเห็นช่องทางในการพฒั นา อาชีพไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั ตนเอง 2.ศึกษาอาชีพในชุมชนสงั คม ประเทศและภูมิภาค 5 ทวปี ไดแ้ ก่ทวปี เอเซียทวปี ออสเตรเลีย ทวปี อเมริกาทวปี ยโุ รปและทวปี อฟั ริกาเพื่อวเิ คราะห์ความเป็นไปไดใ้ นการพฒั นาอาชีพ 3.กาหนดวธิ ีการและข้นั ตอนการประกอบอาชีพโดยพจิ ารณาความเป็นไปไดข้ อง การพฒั นาอาชีพและจดั ลาดบั พร้อมท้งั ใหเ้ หตุผลในการลาดบั การพฒั นาอาชีพที่กาหนด 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6.1 ครูและผเู้ รียนพดู คุยซกั ถามเก่ียวกบั เรื่อง 1.ความจาเป็นในการมองเห็นช่องทางเพื่อพฒั นาอาชีพ 2. ความเป็นไปไดใ้ นการพฒั นาอาชีพ 2.1 การลงทุน 2.2 การตลาด 2.3 กระบวนการผลิต 2.4 การขนส่ง 2.5 การบรรจุหีบห่อ 2.6 การแปรรูป 2.7 ผลกระทบต่อชุมชนและสภาพแวดลอ้ ม 2.8 ความรู้ 2.9 ความสามารถ 3. การกาหนดวธิ ีการพฒั นาอาชีพพร้อมใหเ้ หตุผล ข้นั ที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.2 ใหผ้ เู้ รียนศึกษาเรื่อง ความจาเป็นในการมองเห็นช่องทางการพฒั นาอาชีพ แลว้ ให้ ผเู้ รียนแบ่งกลุ่มออกเป็ น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 4 – 5 คน โดยใหแ้ ต่ละกลุ่มศึกษาดงั น้ี กลุ่มท่ี 1 ความจาเป็นในการมองเห็นช่องทางการพฒั นาอาชีพ กลุ่มท่ี 2 ความเป็นไปไดใ้ นการพฒั นาอาชีพ และใหผ้ เู้ รียนแตล่ ะกลุ่มที่ไดร้ ับมอบหมายในเร่ืองดงั กล่าวสรุปเน้ือหาลงในกระดาษ A4

ข้นั ท่ี 3 การปฏิบัตแิ ละการนาไปประยุกต์ใช้ (I : Implementation) 6.3. ครูใหผ้ เู้ รียนเขียนความจาเป็ นในการมองเห็นช่องทางการพฒั นาอาชีพ และความ เป็นไปไดใ้ นการพฒั นาอาชีพ 6.4. ครูและผเู้ รียนสรุปร่วมกนั ข้นั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.5 ครูและผเู้ รียนสรุปสาระสาคญั ในองคค์ วามรู้ 6.6 ประเมินผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพม่ิ เตมิ ดงั นี้ 7.1 ความจาเป็นในการมองเห็นช่องทางเพ่อื พฒั นาอาชีพ 7.2 อาชีพในชุมชน สังคม ประเทศและโลก 7.3 วธิ ีการและข้นั ตอนการประกอบอาชีพ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือแบบเรียนรายวชิ าอช 21001ช่องทางการพฒั นาอาชีพ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 8.4 สื่อสิ่งพมิ พ์ 9. กระบวนการวดั ผลประเมินผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สังเกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.3 การสังเกตพฤติกรรมการมีส่วน

แผนการจัดการเรียนรู้ ระดับ มธั ยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ มีความรู้ ความเข้าใจ หลกั การพฒั นาชุมชน สังคม รหัสวชิ า สค 21003 รายวชิ า การพฒั นาตนเองชุมชนสังคม หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เร่ือง หลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน และสังคม ระยะเวลา 6 ช่ัวโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ความเขา้ ใจหลกั การพฒั นาชุมชน สังคม สามารถวเิ คราะห์ขอ้ มูลและกาหนดแนวทางการ พฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คมใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ปัจจุบนั 2.ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. มีความรู้ ความเขา้ ใจ หลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม 2. มีความรู้ความเขา้ ใจ และเห็นความสาคญั ของขอ้ มูลตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม 3. สามารถวเิ คราะห์ขอ้ มูลตนเอง ครอบครัว สังคม ชุมชน สงั คมเพอื่ ใชจ้ ดั ทาแผนชีวิตและชุมชน 4. เกิดความตระหนกั และมีส่วนร่วมในการจดั ทาแผน ประชาคมชองชุมชน 5. นาผลที่ไดจ้ ากการประชาคมเพอื่ ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั 6. สามารถพฒั นาการจดั การการทาแผนชีวิต ชุมชน สงั คม ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพการเปล่ียนแปลง ของชุมชน 3.สาระสาคัญ 1. ความรู้ ความเขา้ ใจ หลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม 2. ความรู้ความเขา้ ใจ และเห็นความสาคญั ของขอ้ มูลตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม 3. การจดั ทาแผน ประชาคมชองชุมชนใหส้ อดคลอ้ งกบั การใชใ้ นชีวติ ประจาวนั 4. การทาแผนชีวติ ชุมชน สงั คม ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพการเปล่ียนแปลงของชุมชน 4.สาระการเรียนรู้/เนื้อหา 1. ความหมาย ความสาคญั ของขอ้ มูล ประโยชนข์ องขอ้ มูลตนเอง ชุมชน สังคม 2. เทคนิคและวธิ ีการจดั เก็บขอ้ มูล เช่น การจดั เวทีประชาคม การสารวจขอ้ มูลการ ประชาพจิ ารณ์ โดยใชแ้ บบสอบถาม การสืบคน้ ขอ้ มูลจากแหล่งต่างๆ ฯลฯ 3. การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเพ่อื การจดั ทาแผนพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม 4. การจดั ทาแผนพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคมและการนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั

5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. มีความรู้ ความเขา้ ใจ หลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม 2. มีความรู้ความเขา้ ใจ และเห็นความสาคญั ของขอ้ มูลตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสงั คม 3. สามารถวเิ คราะห์ขอ้ มูลตนเอง ครอบครัว สังคม ชุมชน สังคมเพอ่ื ใชจ้ ดั ทาแผนชีวติ และชุมชน 4. เกิดความตระหนกั และมีส่วนร่วมในการจดั ทาแผน ประชาคมชองชุมชน 5. นาผลที่ไดจ้ ากการประชาคมเพอ่ื ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั 6. สามารถพฒั นาการจดั การการทาแผนชีวติ ชุมชน สังคม ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพการเปลี่ยนแปลง ของชุมชน 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ท่ี 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 1. ครูและผเู้ รียนพูดคุยแลกเปล่ียนขอ้ มูล สภาพความเป็ นอยขู่ องตนเองในชุมชน ดา้ นต่างๆ ปัญหาที่ตนเองพบในชุมชน เช่น ปัญหาทรัพยากรส่ิงแวดลอ้ ม วา่ มีปัญหาดา้ นใดบา้ ง เช่น ปัญหาน้าเน่าเสีย ปัญหาฝ่ นุ ละออง เป็ นตน้ , การประกอบอาชีพของคนในชุมชนส่วนใหญ่วา่ ประกอบอาชีพอะไรบา้ ง เหมาะสม กบั ทรัพยากรท่ีชุมชนมีอยหู่ รือไม่ เป็นตน้ แลว้ นาขอ้ มูลที่ไดม้ าจดั กลุ่มสภาพปัญหา (ประเด็นสภาพปัญหาที่ครู และผเู้ รียนร่วมกนั และเปล่ียนเรียนรู้ ข้ึนอยกู่ บั บริบทของแต่ละกลุ่ม) .2. ใหผ้ เู้ รียนวเิ คราะห์ปัญหาของชุมชนท่ีเกิดข้ึนในปัจจุบนั ร่วมกนั สนทนา วิเคราะห์ถึงบริบท สภาวะแวดลอ้ มของชุมชนท่ีตอ้ งการพฒั นา ข้นั ที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูยกตวั อยา่ งสถานท่ีเรียนรู้ดว้ ยตนเองท่ีหลากหลายและการเขา้ ถึงขอ้ มูลความรู้ในดา้ นตา่ ง ๆ โดยมุง่ เนน้ ใหค้ น้ ควา้ หาความรู้ท่ีหลากหลายได้ เช่นห้องสมุด วดั ภูมิปัญญาต่างๆ อินเตอร์เน็ต 2. ครูมอบหมายใหผ้ เู้ รียนคน้ ควา้ เน้ือหาตามหวั ขอ้ ท่ีกาหนดให้ ดงั น้ี กลุ่มท่ี 1 หลกั การพฒั นาตนเองชุมชน สังคม กลุ่มที่ 2 ความหมาย ความสาคญั ประโยชน์ของขอ้ มูลดา้ นตา่ ง ๆ กลุ่มที่ 3 การมีส่วนร่วมในการวางแผนพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม 3. ใหแ้ ต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลงาน 4. ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มสรุปผลการรายงานและเก็บรวบรวมงานท่ีนาเสนอ ข้นั ท่ี 3 การปฏบิ ตั ิและการนาไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation) ครูและผเู้ รียนสรุปสาระสาคญั นาความรู้ท่ีไดไ้ ปเป็นแนวทางในการประยกุ ตใ์ ชใ้ นการมีส่วน ร่วมในการวางแผนพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม และทาใบงาน

ข้นั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.7. ครูและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปสาระสาคญั ตามมาตรฐานการเรียนรู้ 6.8. ประเมินผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพมิ่ เติมดังนี้ 7.1 ความหมาย ความสาคญั ของขอ้ มูล ประโยชน์ของขอ้ มูลตนเอง ชุมชน สังคม 7.2 การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเพื่อการจดั ทาแผนพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2หนงั สือแบบเรียนรายวชิ า สค21003การพฒั นาตนเองชุมชนสงั คม ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 8.3 ใบความรู้ 8.4 ส่ือส่ิงพิมพ์ 9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล 9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สงั เกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.4 การสงั เกตพฤติกรรมการมีส่วนรวม

ใบความรู้ เร่ือง หลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม ความหมายของคาว่าการพฒั นา ไดม้ ีผใู้ หค้ วามหมายไวห้ ลายคน ดงั น้ี วิรัช วริ ัชนิภาวรรณ กล่าวว่า การพฒั นาหมายถึง การเปล่ียนแปลงที่มีการกระทาให้เกิดข้ึน หรือมีการวางแผนกาหนดทิศทางไวล้ ่วงหน้า โดยการเปล่ียนแปลงน้ีตอ้ งเป็ นไปในทิศทางทิศทางท่ีดีข้ึน ขณะเดียวกนั การพฒั นามิไดห้ มายถึงการเพ่ิมข้ึนของปริมาณสินคา้ หรือรายไดข้ องประชาชนเท่าน้นั แต่ หมายรวมถึงการเพ่ิมความพงึ พอใจและการเพมิ่ ความสุขของประชาชนดว้ ย วทิ ยากร เชียงกูล กล่าววา่ การพฒั นาหมายถึง ชีวิตความเป็ นอยูข่ องประชาชนมีความสุข มีความสะดวกสบาย ความอยู่ดี กินดี ความเจริญทางศิลปวฒั นธรรมและจิตใจและความสงบสันติ ซ่ึง นอกจากจะข้ึนอยูก่ บั การไดร้ ับปัจจยั ทางวตั ถุเพื่อสนองความตอ้ งการของร่างกายแลว้ ประชาชนยงั ตอ้ งการ พฒั นาทางดา้ นการศึกษาส่ิงแวดลอ้ มท่ีดี การพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ การพฒั นาทางวฒั นธรรมและจิตใจดา้ นต่างๆ ดว้ ย ความตอ้ งการท้งั หมดน้ีบางคร้ังเราเรียกว่าเป็ นการพฒั นา “คุณภาพ” เพื่อท่ีใหเ้ ห็นวา่ การพฒั นาไม่ได้ ข้ึนอยู่กับการเพิ่มปริมาณสินคา้ หรือการเพิ่มรายได้เท่าน้ัน หากอยู่ที่การเพ่ิมความพอใจความสุขของ ประชาชนมากกวา่ สัญญา สัญญาวิวฒั น์ ได้ให้ความหมายของ การพฒั นาหมายถึง การเปลี่ยนแปลงท่ีมีการ กาหนดทิศทาง หรือการเปลี่ยนแปลงที่ไดว้ างแผนไวล้ ่วงหนา้ แลว้ ยุวฒั น์ วุฒิเมธี ให้ความหมายว่า การพฒั นาหมายถึง การทาให้เกิดข้ึนคือการเปลี่ยนจาก สภาพหน่ึงไปสู่อีกสภาพหน่ึงที่ดีกวา่ ทิตยา สุวรรณชฎ ไดก้ ล่าวถึงการพฒั นาไวว้ า่ คือการเปล่ียนแปลงที่ตอ้ งการและไดก้ าหนด ทิศทางและมุง่ ท่ีจะควบคุมอตั ราการเปลี่ยนแปลงดว้ ย ที. อาร์. แบ็ทเท็น (T.R. Batten) ผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นการพฒั นาชุมชนขององั กฤษ ให้ความหมาย ของการพฒั นาไวว้ า่ หมายถึง การเปล่ียนแปลงในทางทีดีข้ึน จากความหมายของการพฒั นาดงั ที่กล่าวมาน้นั สรุปไดว้ า่ การพฒั นาหมายถึง การเปล่ียนแปลง ในทางที่ดีข้ึน โดยได้มีการกาหนดแนวทางในการพฒั นาไวแ้ ล้ว ซ่ึงการพฒั นาน้ันมิได้หมายถึงการ เปล่ียนแปลงท่ีดีข้ึนดา้ นปริมาณที่สามารถจบั ตอ้ งได้ วดั ได้ เทา่ น้นั แตห่ มายถึงการเปล่ียนแปลงดา้ นคุณภาพ ดว้ ย นนั่ คือประชาชนไดร้ ับประโยชนจ์ ากการพฒั นาและประชาชนมีความพึงพอใจตลอดจนมีความสุขดว้ ย แนวคดิ การพฒั นา การพฒั นาทย่ี ง่ั ยืน แนวคิดการพฒั นาท่ียงั่ ยนื (sustainable development) สืบเน่ืองจากกระแสโลกา ภิวตั น์ ความเจริญกา้ วหน้าทางเทคโนโลยี และกลไกการตลาด ไดก้ ่อให้เกิดการเจริญเติบโต การผลิต การ บริโภคและการใชป้ ระโยชนท์ ่ีเป็นผลเสียต่อทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ ม รวมถึงผลกระทบต่อชีวติ มนุษย์ สัตว์ พืชพรรณอย่างฉับพลนั และต่อเน่ือง ประกอบกบั การพฒั นาแบบเดิมที่เน้นการบริโภคอย่าง

ฟ่ ุมเฟื อย ไม่คุม้ ค่า ไม่คานึงถึงสภาพแวดลอ้ มโดยทาลายสภาพแวดลอ้ ม ซ่ึงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ที่มีอยอู่ ยา่ งจากดั ทาให้ทรัพยากรธรรมชาติบางอยา่ งสูญหายไป เกิดปัญหาสิ่งแวดลอ้ ม และส่งผลกบั มนุษย์ สร้างปัญหาใหก้ บั มนุษยอ์ ยา่ งมหาศาล หากมนุษยเ์ ร่งพฒั นาและเน้นการบริโภคอย่างฟ่ ุมเฟื อยทรัพยากรทางธรรมชาติท่ีมนุษยจ์ ะนา นามาใชแ้ ละบริโภคจะร่อยหรอ เสื่อมสภาพ และหมดลงในท่ีสุด ส่ิงมีชีวติ ที่มีอยใู่ นโลกกค็ งจะดารงชีวติ อยดู่ ว้ ย ความยากลาบากหรือหมดสิ้นในที่สุด เพ่ือไม่ให้ทุกสรรพสิ่งในโลกน้ีตอ้ งพบจุดจบ จึงเกิดแนวคิดการพฒั นาที่ยง่ั ยนื ข้ึน นานาชาติจึง แสวงหาแนวทางพฒั นาที่เป็ นกลางมากที่สุดโดยเนน้ ใหป้ ระชาชนเขา้ มามีส่วนร่วมในการพฒั นาในทุกข้นั ตอน การพฒั นาท่ียงั่ ยืนต้อง “ระเบิดจากขา้ งใน” จากชุมชนเองไม่ใช่จากบุคลภายนอกไปกาหนดกรอบและทิศ ทางการพฒั นา บุคคลภายนอกเป็นเพยี งผสู้ นบั สนุนและช่วยเหลือเทา่ น้นั ดงั น้นั จึงเป็นรูปแบบการพฒั นาที่ตอบสนองความตอ้ งการของคนรุ่นปัจจุบนั โดยไม่ส่งผลลบกบั คนรุ่นตอ่ ๆไป ตอ้ งไมท่ าลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ตอ้ งทาใหม้ นุษยก์ บั ธรรมชาติไดเ้ ก้ือกูลซ่ึงกนั และกนั ทุกสิ่งทุกอยา่ งสมดุล เป็นไปตามวถิ ีธรรมชาติ การพฒั นาที่ยงั่ ยนื ไม่ไดป้ ฏิเสธเทคโนโลยี แตเ่ ทคโนโลยี จะตอ้ งไมท่ าลายธรรมชาติ จึงจะเป็นการพฒั นาที่ยง่ั ยนื การพฒั นาที่ยง่ั ยนื ในประเทศไทยเป็นการพฒั นาที่มีลกั ษณะผสมผสาน คือมีกิจกรรมพฒั นา รวมท้งั มีการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มในลกั ษณะที่เป็นส่วนรวม เม่ือใดที่การพฒั นา ทรัพยากรทางธรรมชาติหายไปตอ้ งเสริมสร้างคุณภาพส่ิงแวดลอ้ มในท่ีอ่ืนชดเชยเพื่อให้คุณภาพส่ิงแวดลอ้ มใน ภาพรวมคงอยู่ อนั จะทาให้มนุษยแ์ ละส่ิงแวดลอ้ มควบคู่กนั ไปโดยสงบสุขและยงั่ ยนื จากแนวคิดดงั กล่าว ประเทศไทยไดบ้ รรจุการพฒั นาท่ียงั่ ยนื ไวใ้ นแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ที่ 9 (พ.ศ. 2545- 2549) โดยเนน้ แนวทางเศรษฐกิจพอเพยี ง เนน้ ชุมชนเขม้ แขง็ เนน้ การพฒั นาที่ยง่ั ยนื การพฒั นาตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง (sufficiency economy) เป็ นแนวทางการพัฒนาที่พระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยหู่ วั ทรงมีพระราชดารัสช้ีแนะแนวทางการดาเนินชีวติ แก่ชาวไทยมาโดยตลอดนานกวา่ 28 ปี ซ่ึงมีมา ก่อนเกิดวกิ ฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และภายหลงั ไดท้ รงเนน้ ย้าแนวทางแกไ้ ขเพอื่ ใหร้ อดพน้ และสามารถดารง อยูไ่ ดอ้ ยา่ งมนั่ คงและยงั่ ยืนภายใตก้ ระแสโลกาภิวตั น์และการเปล่ียนแปลงดา้ นต่างๆ เศรษฐกิจพอเพียงจึง เป็ นฐานในการประยุกตใ์ ชก้ บั การพฒั นาดา้ นต่างๆ รวมท้งั ใชใ้ นแง่ของการดารงชีวิตและการปฏิบตั ิงานท้งั ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคมดว้ ย ความพอเพยี งประกอบดว้ ย 3 ดา้ นดว้ ยกนั 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ไมม่ าก ไมน่ อ้ ยจนเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผอู้ ื่น ไดแ้ ก่ การบริโภคท่ีอยใู่ นระดบั ท่ีพอประมาณ

2. ความมีเหตุมีผล หมายถึง การตดั สินใจเก่ียวกบั ระดบั ของความพอเพยี ง จะตอ้ งเป็นไปอยา่ ง มีเหตุผล โดยพจิ ารณาจากเหตุปัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งตลอดจนคานึงถึงผลท่ีคาดวา่ จะเกิดจากการกระทาน้นั ๆ อยา่ งรอบคอบ 3. การมีภูมิคุม้ กนั ท่ีดีในตวั หมายถึง การเตรียมตวั ใหพ้ ร้อมรับผลกระทบและการเปล่ียนแปลง ดา้ นต่างๆ ที่คาดวา่ จะเกิดข้ึนในอนาคตท้งั ใกลแ้ ละไกล เป้าหมายของการพฒั นา การพฒั นาชุมชน สังคม น้นั มีหลายคนสงสัยวา่ พฒั นาไปเพือ่ อะไร ในที่น้ีจะใหค้ าตอบวา่ เป้าหมายของการพฒั นาคืออะไร ซ่ึงมีผใู้ หค้ วามหมายของเป้าหมายการพฒั นาชุมชนไว้ ดงั น้ี สัญญา สญั ญาววิ ฒั น์ กล่าววา่ เป้าหมายของการพฒั นาชุมชน แบง่ ออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ คนและส่ิงแวดลอ้ ม คนจะรวมอยใู่ นการพฒั นาดา้ นต่างๆ คือ การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา สงั คม วฒั นธรรม ครอบครัวและประชากร อนามยั และ สาธารณสุข นนั ทนาการ ฯลฯ ไพฑูรย์ เครือแกว้ กล่าวถึงเป้าหมายของการพฒั นาชุมชนวา่ มุง่ หวงั พฒั นาตวั บุคคล กลุ่มคน ปรากฏการณ์และสิ่งแวดลอ้ มทางวตั ถุและสงั คมของหมู่บา้ น ที. อาร์. แบท็ เทน็ (T. R. Batten) กล่าววา่ เป้าหมายของการพฒั นาชุมชน หมายถึง งานที่จะ พฒั นาคน วตั ถุหรือส่ิงของ แต่อยา่ งไรก็ตามมีผรู้ ู้เก่ียวกบั การพฒั นาชุมชนส่วนใหญ่มิไดก้ าหนดไวแ้ น่นอนวา่ จะตอ้ ง พฒั นาสิ่งใดก่อน แต่อยา่ งไรก็ตามการดาเนินการท้งั หลายท้งั ปวงน้นั เป้าหมายสูงสุดของการพฒั นาชุมชน คือ การส่งเสริม สนบั สนุนใหป้ ระชาชนในชุมชนพ่ึงตนเอง หลกั การพฒั นาตนเอง หลกั ของการพฒั นาตนเอง มีดงั น้ี 1. การพฒั นาตนเองตอ้ งเกิดจากความเตม็ ใจและสมคั รใจ ผทู้ ่ีพฒั นาตนเองตอ้ งมีความตอ้ งการท่ี จะเปล่ียนแปลงตนเองดว้ ยตวั บุคคลน้นั เอง โดยปราศจากความรู้สึกวา่ ถูกบงั คบั ซ่ึงความเตม็ ใจน้ีเกิดข้ึนจาก ปัจจยั สาคญั ประการหน่ึง คือการตระหนกั รู้ถึงปัญหาและความจาเป็นในการเปลี่ยนแปลงตนเอง นนั่ คือผทู้ ่ีจะ พฒั นาตนเองตอ้ งมีความใส่ใจมีการติดตามสังเกตตนเองในแง่พฤติกรรมการแสดงออก ความคิด อารมณ์ ความรู้สึกในสถานการณ์ตา่ งๆ อยา่ งเป็ นปัจจุบนั ซ่ึงการรู้ตนเองเก่ียวกบั พฤติกรรมการแสดงออก ความคิด อารมณ์ความรู้สึกเหล่าน้ี จะทาใหบ้ ุคคลตระหนกั รู้ถึงความรู้สึกของปัญหาและความจาเป็ นของการ เปล่ียนแปลงตนเอง พร้อมท้งั มีความมุ่งมน่ั ท่ีจะฟันฝ่ าอุปสรรคและการผลกั ดนั ตนเองเพ่ือใหไ้ ปถึงเป้าหมายได้ 2. ผทู้ ่ีตอ้ งการพฒั นาตนเอง ตอ้ งเป็นผทู้ ี่มีบทบาทหลกั ในการลงมือพฒั นาตนดว้ ยตนเอง หมายถึงผทู้ ี่พฒั นาตนตระหนกั ถึงความรับผดิ ชอบต่อชีวติ ของตนเองวา่ ไม่มีใครลงมือแทนตนเองได้ ถึงแมว้ า่

ในการเปล่ียนแปลงตนเองอาจจะไดร้ ับความช่วยเหลือจากเพอ่ื น พอ่ แม่ หรือครูอาจารยร์ ่วมดว้ ย อยา่ งไรก็ตามผู้ ท่ีมีบทบาทหลกั คือ ผทู้ ี่ตอ้ งการพฒั นาตนเองนนั่ เอง 3. มนุษยท์ ุกคนมีความสามารถที่จะควบคุมและจดั การเปล่ียนแปลงสภาพแวดลอ้ มและปัจจยั ภายในตนเองเพื่อการพฒั นาตนเอง แมว้ า่ สภาพแวดลอ้ มภายนอกและความคิดความรู้สึกซ่ึงเป็นสภาพภายในตวั บุคคลจะส่งผลรวมกนั ต่อพฤติกรรมมนุษย์ แตผ่ ทู้ ่ีควบคุมดูแลจดั การใหต้ วั เรามีการพฒั นาคนหรือพฤติกรรมที่ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือ ตวั เราเอง 4. การพฒั นาตนเองเป็ นการเปล่ียนแปลงตนเองท่ีมีขอบเขตของจุดมุ่งหมายครอบคลุมท้งั 3 ดา้ น คือเพื่อการแกไ้ ขปัญหาที่เกิดข้ึนในปัจจุบนั เพ่ือการป้องกนั ปัญหาท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต และเพื่อการสร้างเสริม ศกั ยภาพของคนใหส้ ูงข้ึน 5. การพฒั นาตนเองเป็ นกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเน่ืองตลอดชีวติ เพื่อความสุขและความงอกงาม ของตนเอง ซ่ึงจะส่งผลให้เกิดความสุขและความงอกงามของสงั คมส่วนรวมดว้ ยเช่นกนั วธิ ีการพฒั นาตนเอง องคก์ รหน่วยงานตา่ งๆ มีจุดมุ่งหมายท่ีจะพฒั นาบุคลากรของตน ใหม้ ีประสิทธิภาพสูงสุด เป็ นผู้ ทรงคุณค่า การท่ีบุคคลไดร้ ับการพฒั นาน้นั จะเป็ นหลกั ประกนั ไดว้ า่ หน่วยงานน้นั จะสามารถรักษาบุคลากร น้นั ไดย้ าวนาน และเป็ นทรัพยากรมนุษยท์ ่ีมีคุณคา่ ขององคก์ รน้นั ต่อไป วธิ ีการพฒั นาตนเองโดยการฝึ กอบรม มีดงั น้ี 1. การลงมือปฏิบตั ิจริง 2. การบรรยายในห้องเรียน 3. การลงมือปฏิบตั ิงานจริง 4. การอบรมเพมิ่ เติม 5. การฝึกจาลองเหตุการณ์และใชว้ ธิ ีการอื่นๆ การพฒั นาตนเองดว้ ยการลงมือปฏิบตั ิ เพอ่ื เสริมสร้างตนเองใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคต์ ามที่ กาหนดไวค้ วรดาเนินการ ดงั น้ี 1. การหาความรู้เพิ่มเติม กระทาไดโ้ ดย 1.1 การอา่ นหนงั สือเป็ นประจาและอยา่ งต่อเน่ือง 1.2 การเขา้ ร่วมประชุมหรือเขา้ รับการอบรม 1.3 การสอนหนงั สือหรือบรรยายต่างๆ 1.4 การร่วมกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนหรือองคก์ รตา่ งๆ

1.5 การร่วมเป็ นท่ีปรึกษาแก่บุคคลหรือหน่วยงาน 1.6 การศึกษาต่อหรือศึกษาเพิ่มเติมจากสถาบนั การศึกษาหรือมหาวิทยาลยั เปิ ด 1.7 การพบปะเยย่ี มเยยี นบุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ 1.8 การเป็ นผแู้ ทนในการประชุมตา่ งๆ 1.9 การจดั ทาโครงการพิเศษ 1.10 การปฏิบตั ิงานแทนหวั หนา้ งาน 1.11 การคน้ ควา้ หรือวิจยั 1.12 การศึกษาดูงาน 2. การเพมิ่ ความสามารถและประสบการณ์ อาจกระทาโดย 2.1 การลงมือปฏิบตั ิจริง 2.2 การฝึกฝนโดยผทู้ รงคุณวุฒิหรือหวั หนา้ งาน 2.3 การอา่ น การฟัง การถาม จากเอกสารหรือผทู้ รงคุณวฒุ ิ หรือหวั หนา้ งาน 2.4 การทางานร่วมกบั บุคคลอื่น 2.5 การคน้ ควา้ วิจยั 2.6 การหมุนเวยี นเปล่ียนงาน ความหมายของชุมชน สังคม ราชบณั ฑิตยสถาน (2546) ไดใ้ หค้ วามหมายของชุมชนไวว้ า่ ชุมชนคือหมูช่ น กลุ่มคนท่ีอยู่ รวมกนั เป็ นสงั คมขนาดเล็ก อาศยั อยใู่ นบริเวณเดียวกนั และมีผลประโยชน์ร่วมกนั ปาริชาติ วลยั เสถียร ไดก้ ล่าวถึงชุมชนวา่ ชุมชนหมายถึง การท่ีคนจานวนหน่ึง อาศยั อยพู่ ้ืนท่ี แห่งหน่ึง มีความเชื่อ ผลประโยชน์ กิจกรรม และมีคุณสมบตั ิอื่นๆที่คลา้ ยคลึงกนั คุณลกั ษณะเหล่าน้ีมี ลกั ษณะเด่นเพยี งพอที่จะทาใหส้ มาชิกน้นั ตระหนกั และเก้ือกูลกนั อนุชาติ พวงสาลี และอรทยั อาจอ่า อธิบายวา่ ชุมชน (community) หมายถึง การรวมตวั ของกลุ่ม คนที่มีวตั ถุประสงคร์ ่วมกนั ซ่ึงการรวมตวั ดงั กล่าวอาจรวมตวั ตามพ้ืนที่หรือไมก่ ็ได้ สิ่งสาคญั อยทู่ ี่สมาชิกของ ชุมชนมีการติดต่อส่ือสารกนั มีความเอ้ืออาทรต่อกนั มีการทากิจกรรมร่วมกนั มีการเรียนรู้ร่วมกนั มีการ บริหารจดั การส่ิงต่างๆใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ อยา่ งไรกต็ ามในปัจจุบนั น้ีไดเ้ กิดชุมชนรูปแบบใหม่ พร้อมกบั การพฒั นาดา้ นเทคโนโลยแี ละ ความรุนแรงของปัญหาสังคม ทาใหไ้ ม่สามารถที่จะจากดั ความเป็นชุมชนเฉพาะแตใ่ นพ้นื ที่หน่ึงพ้ืนที่ใด เท่าน้นั แตเ่ ป็ นการรวมพลงั ความร่วมมือและเป็นการผนึกกาลงั ดา้ นทรัพยากรจากภายนอกชุมชนดว้ ยเช่นกนั ซ่ึงสมาชิกในชุมชนรูปแบบใหม่ สคูเลอร์ (Schuler) กล่าววา่ มีสมาชิกในชุมชนหลายเพศ วยั ศาสนา และ ฐานะทางเศรษฐกิจ ตวั อยา่ งชุมชนรูปแบบที่สาคญั ไดแ้ ก่ ชุมชนเครือขา่ ยทางอินเทอร์เน็ต สมาชิกรายการ

วทิ ยกุ ระจายเสียง สมาชิกในชุมชนไม่จาเป็นตอ้ งพบหนา้ กนั โดยตรง แตม่ ีการส่ือสารถึงกนั ทางเทคโนโลยี ประสานความสมั พนั ธ์และจิตสานึกร่วมกนั โดยใชเ้ ทคโนโลยใี นการส่ือสาร เช่น คอมพวิ เตอร์ โทรศพั ทม์ ือถือ เป็ นตน้ ธีระภทั รา เอกผาชยั สวสั ด์ิ กล่าวถึง ความหมายของชุมชนมีลกั ษณะร่วมกนั ดงั น้ี 1. การรวมกลุ่มของคน ซ่ึงอาจมีปฏิกิริยาต่อกนั ทางสังคม หรืออาจไม่มีก็ไดแ้ ตเ่ ป็น ความสัมพนั ธ์กนั ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ 2. มีอาณาเขตบริเวณสาหรับอยอู่ าศยั หรือประกอบกิจกรรม หรืออาจไม่ยดึ ติดพ้ืนที่ตายตวั เช่นเป็นชุมชนทางอากาศ เป็ นตน้ 3. การจดั ระเบียบทางสงั คมเพือ่ ควบคุมความสมั พนั ธ์สมาชิกในชุมชนเช่นบรรทดั ฐาน หรือ อาจเป็นการจดั ระเบียบชุมชนในการที่จะเขา้ กลุ่ม อาจจะไม่เขม้ ขน้ หรือแน่นแฟ้นถึงระดบั การจดั ระเบียบทางสงั คม แต่ถา้ ไมป่ ฏิบตั ิตามก็ไม่ไดก้ ารยอมรับจากกลุ่ม เป็นตน้ 4. มีความสมั พนั ธ์ทางสงั คม มกี ารติดต่อสัมพนั ธ์กนั มีกิจกรรมร่วมกนั ในรูปแบบตา่ งๆ 5. มีวตั ถุประสงคแ์ ละเป้าหมายร่วมกนั และรับผลกระทบที่มีผเู้ ป็นส่วนไดส้ ่วนเสียร่วมกนั 6. มีระบบการติดต่อสื่อสารและการเรียนรู้ร่วมกนั 7. อื่นๆ ประโยชน์ทเ่ี กดิ ขึน้ จากการพฒั นาตนเอง 1. การประสบความสาเร็จในการดารงชีวติ 2. การประสบความสาเร็จในการประกอบอาชีพการงาน 3. การมีสุขภาพอนามยั สมบูรณ์ 4. การมีความเช่ือมนั่ ในตนเอง 5. การมีความสงบสุขทางจิตใจ ความหมายของการพฒั นาชุมชน สังคม วริ ัช วิรัชนิภาวรรณ กล่าววา่ การพฒั นาชุมชน (community development) ตามปรัชญาของ การพฒั นาชุมชนน้นั ประกอบดว้ ย 1. มุ่งพฒั นาและใหค้ วามสาคญั กบั คนมากที่สุด แตก่ ารพฒั นาโดยทวั่ ไปมุง่ พฒั นาทางวตั ถุ เศรษฐกิจ หรือพ้ืนท่ีเป็ นหลกั 2. การพฒั นาชุมชนเนน้ การมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนอยา่ งมาก 3. การพฒั นาชุมชนมีแนวคิดท่ีตอ้ งการใหป้ ระชาชนช่วยเหลือตวั เอง และปกครองตนเอง โดย รัฐคอยช่วยเหลือดา้ นวชิ าการ 4. ในทุกข้นั ตอนการดาเนินงานเปิ ดโอกาสใหป้ ระชาชนเขา้ มามีส่วนร่วมในการคิด ตดั สินใจ วางแผน ลงมือปฏิบตั ิ และประเมินผล แตก่ ารพฒั นาโดยทวั่ ไปมุ่งท่ีผลสาเร็จของงานเป็นหลกั

อนุรักษ์ ปัญญานุวฒั น์ กล่าวถึงการพฒั นาชุมชนไวว้ า่ เป็ นกระบวนการท่ีมีข้นั ตอนของการ เปลี่ยนแปลง เพือ่ ใหเ้ ป็ นไปในทิศทางที่ดีข้ึน และมีความสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของชุมชน ซ่ึงมี องคป์ ระกอบอยา่ งนอ้ ย 4 ประการคือ 1. ความยง่ั ยนื ของสรรพส่ิง 2. การมีส่วนร่วมของประชาชน 3. การปรับแนวคิดทางการศึกษาเรียนรู้ 4. การพฒั นาชุมชนภายใตแ้ นวคิดเศรษฐกิจพอเพยี ง หลกั การพฒั นาชุมชน สังคม การปฏิบตั ิงานพฒั นาเพือ่ สร้างความเจริญให้แก่ประชาชนในดา้ นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เพื่อ นาไปสู่จุดหมายปลายทางของการพฒั นา คือการพฒั นาคน และการพฒั นาวตั ถุ สิ่งแวดลอ้ ม แนวทางในการ พฒั นา มีดงั น้ี 1. ยดึ ถือผลประโยชน์ของประชาชนและใหค้ นเป็นศูนยก์ ลางของการพฒั นา 2. ทาการพฒั นาใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพของชุมชน 3. ประชาชนเขา้ มามีส่วนร่วม 4. การทางานตอ้ งค่อยเป็นค่อยไป 5. ใหค้ วามสาคญั กบั ความสนใจ และความตอ้ งการของประชาชน 6. ใชว้ ธิ ีดาเนินงานที่สอดคลอ้ งกบั หลกั ประชาธิปไตย 7. การดาเนินงานตอ้ งยดื หยนุ่ ได้ 8. ทาการพฒั นาใหส้ อดคลอ้ งกบั วฒั นธรรม 9. ทางานพฒั นากบั ผนู้ าทอ้ งถิ่น 10. ทางานพฒั นากบั องคก์ รหรือสถาบนั ที่มีอยใู่ นชุมชน 11. ใชเ้ จา้ หนา้ ท่ีวชิ าการเฉพาะสาขา 12. ทางานกบั คนทุกคนในครอบครัว 13. การดาเนินงานควรกวา้ งขวาง 14. ทางานพฒั นากบั ชนทุกช้นั ของสงั คม 15. การพฒั นาตอ้ งสอดคลอ้ งกบั นโยบายของชาติ 16. ทางานพฒั นาโดยเขา้ ถึงตวั ประชาชน 17. ทางานพฒั นาตามความตอ้ งการที่แทจ้ ริงของประชาชน 18. กิจกรรมพฒั นาควรเร่ิมจากกิจกรรมพฒั นาที่ง่ายไปหายาก 19. ทางานพฒั นาดว้ ยความประหยดั 20. ประสานกบั หน่วยงานหรือองคก์ รท้งั ในและนอกชุมชน 21. ทางานพฒั นาโดยผา่ นกลุ่ม

22. มีการประเมินผลตลอดเวลา 23. การพฒั นาเป็นกระบวนการต่อเนื่อง 24. ทางานพฒั นาอยา่ งเป็ นระบบเครือข่าย

ใบงาน เรื่อง หลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม คาชี้แจง ใหผ้ เู้ รียนทุกคนสรุปสาระสาคญั ของเร่ืองท่ีศึกษามาโดยสงั เขปตามประเด็นต่อไปน้ี 1.การพฒั นาชุมชน หมายถึง .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2.ความพอเพียงประกอบดว้ ย 3 ดา้ น คือ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 3.ประโยชน์ที่เกิดข้ึนจากการพฒั นาตนเอง มีอะไรบา้ ง .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ชื่อ........................................................................................................รหสั นกั ศึกษา........................................

เฉลยใบงาน เร่ือง หลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม 1. การเปลี่ยนแปลงท่ีมีการกระทาให้เกิดข้ึนหรือมีการวางแผนกาหนดทิศทางไว้ล่วงหน้า โดยการ เปล่ียนแปลงน้ีตอ้ งเป็ นไปในทิศทางทิศทางท่ีดีข้ึน ขณะเดียวกนั การพฒั นามิไดห้ มายถึงการเพิ่มข้ึนของ ปริมาณสินคา้ หรือรายไดข้ องประชาชนเท่าน้นั แต่หมายรวมถึงการเพิ่มความพึงพอใจและการเพ่ิมความสุข ของประชาชนดว้ ย 2. 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ไมม่ าก ไมน่ อ้ ยจนเกินไป โดยไมเ่ บียดเบียนตนเอง และผอู้ ่ืน ไดแ้ ก่ การบริโภคที่อยใู่ นระดบั ท่ีพอประมาณ 2. ความมีเหตุมีผล หมายถึง การตดั สินใจเก่ียวกบั ระดบั ของความพอเพยี ง จะตอ้ งเป็นไปอยา่ งมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งตลอดจนคานึงถึงผลที่คาดวา่ จะเกิดจากการกระทาน้นั ๆ อยา่ ง รอบคอบ 3. การมีภูมิคุม้ กนั ท่ีดีในตวั หมายถึง การเตรียมตวั ใหพ้ ร้อมรับผลกระทบและการเปล่ียนแปลงดา้ นต่างๆ ที่คาดวา่ จะเกิดข้ึนในอนาคตท้งั ใกลแ้ ละไกล 3. 1. การประสบความสาเร็จในการดารงชีวติ 2.การประสบความสาเร็จในการประกอบอาชีพการงาน 3.การมีสุขภาพอนามยั สมบูรณ์ 4.การมีความเช่ือมน่ั ในตนเอง 5.การมีความสงบสุขทางจิตใจ

แผนการจัดการเรียนรู้ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น ระยะเวลา 6 ช่ัวโมง สาระการเรียนรู้ มคี วามรู้ ความเข้าใจ หลกั การพฒั นาชุมชน สังคม รหสั วชิ า สค 21003 รายวชิ า การพฒั นาตนเองชุมชนสังคม หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ความหมาย ความสาคัญ และประโยชน์ของข้อมูล 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ความเขา้ ใจหลกั การพฒั นาชุมชน สงั คม สามารถวเิ คราะห์ขอ้ มูลและกาหนดแนวทางการ พฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคมใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ปัจจุบนั 2.ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. มีความรู้ ความเขา้ ใจ หลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม 2. มีความรู้ความเขา้ ใจ และเห็นความสาคญั ของขอ้ มูลตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม 3. สามารถวเิ คราะห์ขอ้ มูลตนเอง ครอบครัว สงั คม ชุมชน สงั คมเพื่อใชจ้ ดั ทาแผนชีวิตและชุมชน 4. เกิดความตระหนกั และมีส่วนร่วมในการจดั ทาแผน ประชาคมชองชุมชน 5. นาผลที่ไดจ้ ากการประชาคมเพ่ือใชใ้ นชีวติ ประจาวนั 6. สามารถพฒั นาการจดั การการทาแผนชีวิต ชุมชน สังคม ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพการเปล่ียนแปลง ของชุมชน 3.สาระสาคญั 1. ความรู้ความเขา้ ใจหลกั การพฒั นาชุมชน สงั คม 2. ความรู้ความเขา้ ใจ และเห็นความสาคญั ของขอ้ มูลตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม 3. วเิ คราะห์ขอ้ มูลตนเอง ครอบครัว สังคม ชุมชน สงั คมเพือ่ ใชจ้ ดั ทาแผนชีวติ และชุมชน 4. จดั การการทาแผนชีวิต ชุมชน สงั คม ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพการเปลี่ยนแปลงของชุมชน 4.สาระการเรียนรู้/เนื้อหา หลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม ความหมายความ ความสาคญั ประโยชน์ ของขอ้ มูลดา้ นภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์การเมือง การปกครอง ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี สาธารณสุข และการศึกษา 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. มีความรู้ ความเขา้ ใจ ความหมายความของขอ้ มูลดา้ นภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี สาธารณสุข และการศึกษา

2. มีความรู้ ความเขา้ ใจ ความสาคญั และประโยชน์ของขอ้ มูลดา้ นภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์การเมือง การปกครอง ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี สาธารณสุข และการศึกษา 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ท่ี 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 1. ครูสนทนาเร่ืองความหมายและความสาคญั ของกระบวนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 2. แจง้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ใหผ้ เู้ รียนทราบ 3. ใหท้ าแบบฝึกหดั ก่อนเรียน-หลงั เรียน ข้นั ที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูยกตวั อยา่ งสถานที่เรียนรู้ดว้ ยตนเองที่หลากหลายและการเขา้ ถึงขอ้ มูลความรู้ในดา้ นต่าง ๆ โดยมุง่ เนน้ ใหค้ น้ ควา้ หาความรู้ที่หลากหลายได้ เช่นหอ้ งสมุด วดั ภูมิปัญญาตา่ งๆ อินเตอร์เน็ต 2. ครูมอบหมายใหผ้ เู้ รียนคน้ ควา้ เน้ือหาตามหวั ขอ้ ที่กาหนดให้ ดงั น้ี กลุ่มที่ 1 หลกั การพฒั นาตนเองชุมชน สงั คม กลุ่มท่ี 2 ความหมาย ความสาคญั ประโยชน์ของขอ้ มูลดา้ นต่าง ๆ กลุ่มที่ 3 การมีส่วนร่วมในการวางแผนพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม 3. ใหแ้ ต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลงาน ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปประยุกต์ใช้ (I : Implementation) ครูและผเู้รียนช่วยกนั สรุปสาระสาคญั ที่ไดร้ ับจากการนาเสนอของแตล่ ะกลุ่มและใหผ้ เู้รียนทาใบงาน ข้นั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ครูและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปสาระสาคญั ตามมาตรฐานการเรียนรู้ 2. ประเมินผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพมิ่ เตมิ ดงั นี้ 7.1 ความหมาย ความสาคญั ของขอ้ มูล ประโยชนข์ องขอ้ มูลตนเอง ชุมชน สังคม 7.2 การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเพ่ือการจดั ทาแผนพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2หนงั สือแบบเรียนรายวชิ า สค21003การพฒั นาตนเองชุมชนสังคม ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 8.3 ใบความรู้ 8.4 ส่ือสิ่งพมิ พ์

9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล 9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สงั เกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.4 การสงั เกตพฤติกรรมการมีส่วนรวม

ใบความรู้ เร่ือง ความหมาย ความสาคญั และประโยชน์ของข้อมูล ข้อมูลทเี่ ก่ียวข้องกบั การพฒั นาชุมชนมหมายและประเภทข้อมูล ขอ้ มูล หมายถึงขอ้ เทจ็ จริงที่เป็นตวั เลข ขอ้ ความ รูปภาพ เสียง ท่ีเก่ียวกบั คน สตั ว์ สิ่งของ หรือ เหตุการณ์ตา่ งๆ หรือสิ่งท่ียอมรับวา่ เป็ นความจริง สาหรับใชเ้ ป็นหลกั อนุมานหาความจริง หรือการคานวณ ประเภทของข้อมูล แบ่งออกเป็ น 4 ประเภท ดงั นี้ 1. ขอ้ มูลที่เป็นตวั อกั ขระ คือขอ้ มูลท่ีประกอบดว้ ยตวั อกั ษร และตวั เลขที่ไมใ่ ชใ้ นการคานวณ เช่น ทะเบียนรถยนต์ หมายเลขโทรศพั ท์ บา้ นเลขท่ี ชื่อ นามสกลุ 2. ขอ้ มูลที่เป็นตวั เลข คือขอ้ มูลท่ีประกอบดว้ ย ตวั เลข 0 - 9 ท่ีใชใ้ นการคานวณได้ เช่นผลคะแนน การสอบ จานวนเงิน ราคาของสินคา้ 3. ขอ้ มูลที่เป็นรูปภาพ คือขอ้ มูลท่ีเป็นภาพ อาจเป็นภาพน่ิงหรือภาพเคลื่อนไหว ภาพลายเส้น ภาพถ่าย ภาพจากวดิ ิทศั น์ 4. ขอ้ มูลที่เป็นเสียง คือขอ้ มูลที่ประสาทสมั ผสั ทางหูรับรู้ได้ เช่นเสียงเพลง เสียงนกร้อง บท สัมภาษณ์ หรือเสียงจากส่ิงต่างๆเป็นตน้ ประโยชน์ของข้อมูล 1. ช่วยใหเ้ ราทราบขอ้ มูลที่แทจ้ ริง 2. ช่วยใหเ้ ราสามารถตดั สินใจบนฐานขอ้ มูลที่ถูกตอ้ ง ความสาคัญของข้อมูล ขอ้ มูลมีความสาคญั เพราะหากขาดขอ้ มูล จะกระทาการบางส่ิงอาจทาไมไ่ ดห้ รือเกิดการผดิ พลาด เสียหายได้ เช่นผรู้ ับเหมาสร้างบา้ นแตไ่ ม่มีขอ้ มูลความตอ้ งการของผวู้ า่ จา้ งในการสร้างบา้ นกไ็ ม่สามารถ สร้างบา้ นได้ หรือ การส่งเน้ือสัตวไ์ ปขายในบริเวณที่ประชาชนเป็นคนมงั สวริ ัติไมก่ ินเน้ือสัตว์ อาจเขียน แผนภาพแสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งขอ้ มูลกบั การตดั สินใจกระทาการสิ่งต่าง ๆ ดงั น้ี การแบ่งประเภทของขอ้ มูลแบง่ ไดห้ ลายแบบข้ึนอยกู่ บั เกณฑท์ ใี่ ชใ้ นการแบ่งซ่ึงอาจแตกต่างกนั ไป ข้ึนกบั จุดประสงคห์ รือความตอ้ งการในการใชข้ อ้ มูลในท่ีน้ีจะแสดงการแบ่งประเภทของขอ้ มูลเพือ่ เป็น ตวั อยา่ ง ดงั เช่น 1. ประเภทของขอ้ มูลเมื่อจาแนกตามรูปลกั ษณะของขอ้ มูล 2. ประเภทของขอ้ มูลเม่ือจาแนกตามลกั ษณะแหล่งเกิดขอ้ มูล 3. ประเภทของขอ้ มูลเม่ือจาแนกตามแหล่งท่ีมาของขอ้ มูล ประเภทของข้อมูลเมื่อจาแนกตามรูปลกั ษณะของข้อมูล 1. ขอ้ มูลตวั เลข 2. ขอ้ มูลอกั ขระ

3.ขอ้ มูลภาพ 4.ขอ้ มูลเสียง ขอ้ มูลตวั เลข คือ ขอ้ มูลท่ีใชแ้ ทนจานวน เช่น ราคาน้ามนั ปริมาณน้าในเข่ือน อุณหภูมิขอ้ มูลอกั ขระ คือ ขอ้ มูลท่ีเป็ นตวั อกั ษร ตวั เลข และสญั ลกั ษณ์ ต่าง ๆ เช่น ท่ีอยู่ ประกอบ ดว้ ยตวั เลข คือ เลขท่ีบา้ นและอาจ มีเคร่ืองหมายประกอบ เช่น / และตวั อกั ษร คือ ช่ือถนน ตาบล ฯลฯขอ้ มูลภาพ คือ ขอ้ มูลภาพถ่าย หรือ ภาพวาด ภาพลายเส้น เช่น ภาพคน แบบก่อสร้างอาคาร ลายนิ้วมือภาพวาดทิวทศั น์ ฯลฯ ขอ้ มูลเสียง คิอ เสียงตา่ ง ๆ ท่ีบนั ทึกไว้ เช่น เสียงคน เสียงดนตรี ฯลฯประเภทของขอ้ มูลเมื่อจาแนก ตามลกั ษณะแหล่งเกิดขอ้ มูล 1.ขอ้ มูลสิ่งแวดลอ้ ม 2.ขอ้ มูลหน่วยงาน 3.ขอ้ มูลส่วนตวั 4.ขอ้ มูลวทิ ยาศาสตร์ และ5.ขอ้ มูลข่าวและเอกสาร ขอ้ มูลสิ่งแวดลอ้ ม คือ ขอ้ มูลของสิ่งที่เกิดข้ึนในสงั คมและในโลก ทาใหท้ ราบวา่ มีอะไรเกิดข้ึนบา้ ง เช่น ราคาน้ามนั สภาพภูมิอากาศ การประทว้ งของประชาชนในประเทศตา่ ง ๆ ฯลฯขอ้ มูลหน่วยงาน คือขอ้ มูลท่ี แสดงความเป็นไปหรือสภาพในหน่วยงาน เช่น ประวตั ิพนกั งาน รายงานต่าง ๆ เก่ียวกบั หน่วยงาน ฯลฯ ขอ้ มูลส่วนตวั คือ ขอ้ มูลส่วนตวั ของบุคคลตา่ ง ๆ เช่น น้าหนกั ตวั ส่วนสูง วนั เดือนปี เกิดกลุ่มเลือด ขอ้ มูลวทิ ยาศาสตร์ คือ ขอ้ มูลเก่ียวกบั ทางวทิ ยาศาสตร์ อาจเป็นขอ้ มูลท่ีพิสูจน์แลว้ หรือกฎเกณฑแ์ ละ ทฤษฎีตา่ ง ๆ เช่น ความเร็วของแสง หรือขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการวดั หรือการสังเกตต่าง ๆ เช่น ปริมาณธาตุตา่ ง ๆใน ดิน ณ ท่ีดินแห่งหน่ึง ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของพืชที่ไดจ้ ากการผสมข้ึนมาใหม่ ฯลฯ ขอ้ มูลเกี่ยวกบั เอกสาร คือ ขอ้ มูลต่างๆ เก่ียวกบั เอกสารท่ีมีผจู้ ดั พิมพข์ ้ึนขอ้ มูลประเภทน้ีมีมากใน หอ้ งสมุดตา่ ง ๆ เช่น ช่ือผแู้ ตง่ ช่ือหนงั สือ เน้ือหาสาระในหนงั สือ ประเภทของข้อมูลเม่ือจาแนกตามแหล่งทม่ี าของข้อมูล อาจแบ่งประเภทของขอ้ มูลเป็น 2 ประเภท คือ ขอ้ มูลปฐมภูมิ กบั ขอ้ มูลทุติยภูมิ ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการเก็บรวบรวมหรือบนั ทึกจากแหล่งขอ้ มูลโดยตรง อาจไดจ้ าก การสอบถาม การสมั ภาษณ์ การสารวจ การจดบนั ทึก ตลอดจนไดม้ าจากเคร่ืองมือวดั ตา่ ง ๆ ขอ้ มูลปฐมภูมิจึง เป็นขอ้ มูลพ้นื ฐานท่ีไดม้ าจากจุดกาเนิดของขอ้ มูล ข้อมูลทตุ ยิ ภูมิ หมายถึงขอ้ มูลที่มีผอู้ ื่นรวบรวมไวแ้ ลว้ บางคร้ังอาจมีการประมวลผลเป็นสารสนเทศไป แลว้ ผใู้ ชข้ อ้ มูลไม่ไดไ้ ปสารวจเอง ตวั อยา่ งเช่นขอ้ มูลสถิติต่าง ๆ ที่มีผทู้ าไวอ้ าจเป็นหน่วยราชการ หรือ หน่วยงานอ่ืน ๆ

ใบงาน เรื่อง ความหมาย ความสาคัญ และประโยชน์ของข้อมูล คาช้ีแจง ใหผ้ เู้ รียนตอบคาถามในประเด็นต่าง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ใหอ้ ธิบายความสาคญั ของขอ้ มูล พร้อมท้งั ยกตวั อยา่ งประกอบ พอสงั เขป ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 2. ประเภทของขอ้ มูลเมื่อจาแนกตามแหล่งท่ีมาของขอ้ มูลมีอะไรบา้ ง .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ช่ือ.......................................................................................รหสั นกั ศึกษา......................................

เฉลยใบงาน เรื่อง ความหมาย ความสาคญั และประโยชน์ของข้อมูล 1. ขอ้ มูลมีความสาคญั เพราะหากขาดขอ้ มูล จะกระทาการบางส่ิงอาจทาไม่ไดห้ รือเกิดการผดิ พลาด เสียหายได้ เช่นผรู้ ับเหมาสร้างบา้ นแตไ่ มม่ ีขอ้ มูลความตอ้ งการของผวู้ า่ จา้ งในการสร้างบา้ นกไ็ ม่สามารถ สร้างบา้ นได้ หรือ การส่งเน้ือสัตวไ์ ปขายในบริเวณท่ีประชาชนเป็นคนมงั สวริ ัติไม่กินเน้ือสัตว์ อาจเขียน แผนภาพแสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งขอ้ มูลกบั การตดั สินใจกระทาการส่ิงตา่ ง ๆ ดงั น้ี การแบง่ ประเภทของขอ้ มูลแบ่งไดห้ ลายแบบข้ึนอยกู่ บั เกณฑท์ ใี่ ชใ้ นการแบ่งซ่ึงอาจแตกต่างกนั ไป ข้ึนกบั จุดประสงคห์ รือความตอ้ งการในการใชข้ อ้ มูลในที่น้ีจะแสดงการแบง่ ประเภทของขอ้ มูลเพือ่ เป็น ตวั อยา่ ง ดงั เช่น 1. ประเภทของขอ้ มูลเม่ือจาแนกตามรูปลกั ษณะของขอ้ มูล 2. ประเภทของขอ้ มูลเมื่อจาแนกตามลกั ษณะแหล่งเกิดขอ้ มูล 3. ประเภทของขอ้ มูลเมื่อจาแนกตามแหล่งที่มาของขอ้ มูล 2. ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการเกบ็ รวบรวมหรือบนั ทึกจากแหล่งขอ้ มูลโดยตรง อาจไดจ้ าก การสอบถาม การสมั ภาษณ์ การสารวจ การจดบนั ทึก ตลอดจนไดม้ าจากเคร่ืองมือวดั ตา่ ง ๆ ขอ้ มูลปฐมภูมิจึง เป็นขอ้ มูลพ้นื ฐานที่ไดม้ าจากจุดกาเนิดของขอ้ มูล ข้อมูลทตุ ิยภูมิ หมายถึงขอ้ มูลท่ีมีผอู้ ่ืนรวบรวมไวแ้ ลว้ บางคร้ังอาจมีการประมวลผลเป็นสารสนเทศ ไปแลว้ ผใู้ ชข้ อ้ มูลไมไ่ ดไ้ ปสารวจเอง ตวั อยา่ งเช่นขอ้ มูลสถิติต่าง ๆ ที่มีผทู้ าไวอ้ าจเป็นหน่วยราชการ หรือ หน่วยงานอื่น ๆ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook